3 ปีที่1 ฉบับที่1
2554
กรกฎาคม สิงหาคม
พลังขับเคลื่อน เพื่อเปลี่ยนสังคม
Centralization
ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
2
t , e d a m t o n e r Revolutions a การรวมศูนย์อำนาจเมื่อร้อย ก ว่ า ปี ก่ อ น เกิ ด ขึ้ น พ ร้ อ ม กั บ แ น วคิ ด ส ร้ า งช าติ ไ ท ย ส มั ย ใ ห ม่ เพ รา ะฉ ะนั้ น อ ำน าจ รั ฐ ใช้ ป ก ค รอ ง สังคม จึงมีฐานความชอบธรรมอยู่ ที่ ก าร ดู แ ล ผ ล ป ระ โย ช น์ ข อ งช าติ
ซึ่งหมายถึงประโยชคนน์ สุขของคำสนิ่งนไี้ไทม่ไยด้ ทหรืุกอทำได้ แ ต่ ห าก รั ฐ ท ไมเ่ ตม็ เมด็ เตม็ ห นว่ ย ความช อบธ รรม ของอำนาจดังกล่าวก็ต้องลดลง…
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กรรมการปฏิรูป สมัย’ อำนาจในประเทศไทย ความจำเป็นแห่งยุค ง า สร้ ครง โ ป ู ร ฏิ ป ร ‘กา อ ข้ ว หั ศษ เ ิ พ กถา ปาฐ 18 ธันวาคม 2553 ในงานเปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังพลเมือง
3
s p li il h P ll e d n e W . e m , they co
เรื่องจากปก
ชีวิตสมดุล
Justice for All
อำนาจในแนวราบ
โฉนดชุมชน
นิรโทษกรรม?
ว่ากันว่าปัญหาระดับ ‘ราก’ ของสังคม ไทย คื อ ความเ หลื่ อ มล้ ำ ที่ สั่ ง สมม า นาน คณะก รรมการป ฏิ รู ป (คปร.) ที่มี อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ใช้เวลาทำงานกว่า 10 เดือน จนได้ ข้อเสนอสำคัญออกมา คือ ‘การปฏิรูป โครงสร้างอำนาจ’
การต่อสู้ระดับตำนานเพื่อที่ดินทำกิน ของเกษตรกรในชุมชนเล็กๆ จังหวัด นครปฐม เนื่ อ งจากปั ญ หา ‘การ ทับซ้อน’ ของสิทธิ์ในการครอบครอง พื้ น ที่ การเ รี ย กร้ อ งด ำเนิ น ม าเ กื อ บ ชั่ ว อ ายุ ค น เพราะฝ่ า ยต รงข้ า มไ ม่ ใ ช่ นายทุน ผู้กว้านซื้อที่ แต่เป็นนโยบายที่ ย้อนแย้งของ ‘รัฐ’
หลั ง ก ารชุ ม นุ ม ใ หญ่ ก ลางเ มื อ งปี 2553 สู่บรรยากาศหาเสียงเลือกตั้ง 2554 ประเด็นที่กล่าวถึงกันมาก คือ การนิ ร โทษก รรม ไม่ ว่ า จ ะเ ป็ น การ ยึดอำนาจ เหตุสลายการชุมนุม หรือ คดี ค อรั ป ชั่ น เพราะบ างค นเ ชื่ อ ว่ า ‘นิ ร โทษก รรม’ คื อ ไทม์ แ มชชี น ที่ พ า ประเทศช าติ ย้ อ นเ วลาไ ปก่ อ นยุ ค ‘มิคสัญญี’ ทางการเมืองจะเริ่มต้นขึ้น
10
14
30
01 Contents 26 Media 28 Justice for All 30 ดินฟ้าป่าน้ำ 32 เทศาภิวัฒน์ 34 ปฏิทิน-ปฏิรูป 36 โรคเหลื่อมล้ำ 38
6 วัน-เดือน-ปี 8 นอกหน้าต่าง 10 เรื่องจากปก 14 ชีวิตสมดุล 17 เติมหัวใจใส่เงิน 19 โลกเสมือน 20 Cut it Out (เปลี่ยนเถอะ) 22 สัมภาษณ์: พงศ์โพยม วาศภูติ
รู้เรียน
5
โลก
Editor’s Talk
วิวัฒนาการ จากมนุษย์หนึ่งคน สู่สังคมที่ต้องอยู่ ร่วมกัน กลไกหลายอย่างถูกพัฒนาขึ้น เพื่อร้อยเรียง ชิน้ ส ว่ นตา่ งๆ ให้อ ยูร่ ว่ มกนั ซึง่ แ น่นอนวา่ สิง่ เหล่าน ไี้ ม่อ าจตอบสนอง ท กุ ค นได้เท่าเทียมกนั ท งั้ หมด ด้วยปจั จัยส ารพัด ทัง้ ย คุ ส มัยท เี่ ปลีย่ น ไป เทคโนโลยี ทุน ลัทธิการเมือง รถถัง และกระสุนปืน กระทั่งกลไกที่ว่านี้ ล้าสมัย เก่าสนิมเขรอะ หรือไม่ก็บังเอิญ มีใครบางคนตกหล่น ถูกหนีบอยู่ระหว่างฟันเฟือง –ความไม่เท่า เทียม อยุติธรรม บังเกิด คนหนุ่มสาวพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลง ยุคบุปผาชน หัวก้าวหน้า พวกเขาต่างออกมายืน ประกาศว่า “เราต้องปฏิวัติ!! Revolution now!!” ผ่านบทกวี เสียงดนตรี และ กีตาร์โปร่ง ‘จิตขบถไม่มีวันตาย’ ปัจจุบัน พวก เขา – ฮิปปี้รุ่นหลังก็ยังหาช่องน้อยพร่ำ ถ้อยคำอยู่บนเฟซบุ๊ค แต่การโยน ก้ อ นหิ น ล งน้ ำ ผ่ า นปุ่ ม คี ย์ บ อร์ ด เกิดแต่เพียงวงกระเพื่อมน้อยนิด และบางครั้ง ไร้ทิศทาง กับบ า้ นเรา หลายครัง้ ใคร บางคนดำริสร้างสิ่งใหม่ ‘แหวก ม่านขนบ’ ด้วยเป้าหมายเบี่ยง ทิศทางสังคม สร้างแนวคิดใหม่ ให้เขยิบออกมาจากฐานที่ผุพัง แต่แล้วเมื่อถูกกลืนด้วยกระแส สังคม ความพยายามจะ ‘เปลี่ยน’ ก็ เ ป็ น เ พี ย งแ ฟชั่ น ที่ ถู ก กั ก ขั ง แ ละ สำแดงออกในระดับปัจเจก “ฉันเป็น อินดี้” – แล้วไง? ขณะเดียวกัน คนอีกส่วนหนึ่ง ยังคง หายใจเข้าอ อกอย่างชาชนิ กับส ภาพทผี่ า่ นมาและเป็น ไป พวกเขาคร่ำครวญเรียกหาสงิ่ ท ดี่ ขี นึ้ แต่ท อดสายตามองปลายเท้า – การเปลี่ยนแปลงอาจลอยผสมปนอยู่ในอากาศ จึงมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ราววาบลมที่พัดผ่านไป แล้วทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ไม่ต่างกับ ‘แกนนำ’ การชุมนุม หลายประเทศ เลือกที่จะขับ เคลื่อนการเปลี่ยนแปลง หรือเรียกเป็นทางการว่า ‘ปฏิรูป’ ด้วยการ ใช้ Think Tank หรือทีมงานมันสมองเป็นหัวขบวน คอยกำหนด ทิศทาง
ที่ปรึกษา สปร. ศ.นพ.ประเวศ วะสี นพ.วิชัย โชควิวัฒน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ดร.วณี ปิ่นประทีป
กองบรรณาธิการ นางสาวพัชรา อุบลสวัสดิ์ นางสาวสมพร อิทธิเดชพงศ์ นางสาวปนัดดา ขาวสะอาด นายครรชิต ปิตะกา นางสาววิไลวรรณ สิริสุทธิ์ นางสาวนงลักษณ์ ยอดมงคล นางสาววันวิสา แสงทิม นางสาวจิตติมา อุ้มอารีย์ นางสาวรัฐวรรณ เฮงสีหาพันธ์ นางสาวสุพรรณี สุวรรณศรี
นิทานภาษิตจีนเล่าถึง ‘ปู่โง่’ อายุ 100 ปี ผู้พยายาม เคลื่อนย้ายภูเขา ไท่หัง กับ หวังอู ที่สูงกว่า 30,000 เมตร เพื่อคนในหมู่บ้านจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมภูเขาเป็นระยะทาง 700 ลี้ ท่ามกลางเสียงดถู ูกเย้ยห ยัน ปูโ่ง่ ชักชวนลกู ห ลาน แบกจอบ เสียม เพื่อขุดภูเขาไปทิ้งทะเลปั๋วไห่ ปู่โง่ บอกกับชาวบ้านว่า “ถูกแล้ว...ข้าอายุปูนนี้ อาจจะทำ เรื่องนี้ได้ไม่นานก็จริง แต่เจ้ารู้ไว้อย่าง หลังจากข้าตายไป พวกลูก ก็ย งั ท ำตอ่ ได้ หากลกู ต ายไป คนรนุ่ ห ลานขา้ ก ย็ งั ท ำได้ รุน่ ห ลานตาย ไป รุน่ เหลนขา้ ก ย็ งั ท ำตอ่ ไปไม่ส นิ้ ส ดุ พวกขา้ ม คี วามตงั้ ใจจริงไม่ส นิ้ สุด แต่ภูเขาสิ มันมีอยู่เท่าเดิม ไม่ได้งอกขึ้นมาอีก สักวันพวกข้าก็ ต้องขุดมันออกไปจนได้” อย่างไม่ต้องเงยหน้ารอฝน คาดหวัง อะไรกับธรรมชาติ แม้ ‘การเปลี่ยนแปลง’ จะเป็ น สั จ ธรรมต้ น ก ำเนิ ด ตั้ ง แต่ โ ลก เริม่ ห มุน ลมเริม่ ก ระดิกพ ดั แต่ก ใ็ ช่ว า่ จะมแี ต่พ ลังอ ำนาจเหนือม นุษย์บ น ฟ้าเท่านั้น ที่สามารถสร้างสรรค์ สิ่งต่างๆ ได้ วารสาร ‘เปลี่ยน’ ฉบับ ปฐม ว่าด้วยปัจจัยตั้งต้นของ ความไ ม่ เ ท่ า กั น จนเ ป็ น ที่ ม า ของการหยอดนำ้ มัน ขยับเขยือ้ น เครือ่ งจักร ปฏิรปู ส งั คม – กระจาย อำนาจ อย่างที่รู้กันว่า โครงสร้างแบบ เดิ ม ‘อำนาจ’ ถูกจำกัดผู้ใช้ไว้เพียง คนกลุ่มหนึ่ง และยังไม่นับโครงสร้างการ บริหารที่อาจเปรียบได้กับ ‘พีรามิด’ หัวกลับ เมื่อรัฐรวมศูนย์ ต้องแบกรับประชาชน 60 ล้านไว้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การ ‘ย้ายภูเขา’ ย่อมต้องมีจุดเริ่มต้น อาจเป็นค ำใหญ่โตและดหู นักอ งึ้ แต่ห ากเป้าประสงค์อ ยูท่ กี่ าร เปลี่ยนแปลง เราไม่อาจมองข้าม ‘อำนาจ’ ในมือประชาชนได้อย่าง เด็ดขาด เพราะพลังจากคนเหล่านี้ คือเครื่องตัดสินว่า จะต้องมีใคร ถือจอบเสียมไปขุดภูเขาโดยลำพังหรือไม่
ดำเนินการผลิต เปนไท พับลิชชิ่ง
พิมพ์เผยแพร่ห้ามจำหน่าย
6
วัน-เดือน-ปี 1
Rabindranath Tagore รพิน ทรนาถ ฐากูร ตลอดชี วิ ต ที่ เ ดิ น ท างทั่ ว ทุกภูมิภาคของโลก รพินทรนาถ ฐากูร พบว่าสังคมวัฒนธรรมและ อารยธรรมนั้นช่างมีความหลาก หลายเ หลื อ เ กิ น จึ ง เ กิ ด ค วาม คิ ด ส ร้ า งศู น ย์ ก ลางก ารเรี ย นรู้ ที่ ปราศจากข้อจำกัดและอุปสรรค ของเส้นพ รมแดนขน้ึ ท ่ี ศานติน เิ กตนั (Santiniketan) ไม่มีป้ายชื่อโรงเรียน ไม่มี กำแพงล้อมรอบ ด้วยเชื่อในอิสรภาพการเรียนรู้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ ธรรมชาติ มิใช่ถูกจองจำในห้องเรียนปิดทึบ เริ่มแรก ครูรพินทรนาถกับนักเรียนเพียง 5 คน นั่งล้อมวงศึกษา ร่วมกันใต้ร่มไม้ใหญ่ ความใกล้ชิดระหว่างครูกับศิษย์ดั่งพ่อลูก ปัจจุบนั ก ารศกึ ษา ณ ศานติน เิ กตนั ยังค งแนบสนิทไปกบั ธ รรมชาติ ตามที่รพินทรนาถปรารถนา ภายใต้ชื่อ ‘วิทยาลัยวิศวภารตี’ (Visva Bharati) ที่ไม่จำกัดอยู่แค่ระดับอุดมศึกษา แต่เปิดกว้างเป็นพื้นที่การ เรียนรู้ตั้งแต่ระดับประถม มัธยม รวมไปถึงฝึกอบรมความรู้ด้านวิชาชีพ แก่ประชาชน ให้มีศักยภาพช่วยเหลือจุนเจือตนเองและชุมชน
ศานตินิเกตัน แบ่งการเรียนรู้แต่ละส่วน เป็น ‘ภาวนา’ หรือ ‘คณะ’ ตามความหมาย สากล เพื่อสื่อถึงวิธีการเรียนรู้แบบอินเดีย โบราณ ที่เชื่อว่าความรู้อันแท้จริงเกิดขึ้นได้ ด้วยกระบวนการภาวนา ผสานจิต สมอง และ วิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ศานตินิเกตัน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ศึกษาจิตของมนุษย์ในการรู้แจ้งความเป็นจริง สร้างสายสัมพันธ์แห่งวัฒนธรรมตะวันออก ศึกษารากฐานวถิ ชี วี ติ ข องตะวันอ อกเพือ่ เรียนรู้ ตะวันตก และสุดท้ายคือแสวงหาสัจธรรมใน การอยู่ร่วมกันเพื่อให้เกิดสันติภาพบนโลก ใบนี้ 7 สิงหาคม 1941 รพินทรนาถ ปราชญ์ และมหากวีเจ้าของโนเบลสาขาวรรณกรรม คนแรกของเอเชีย สมัญญานาม ‘คุรุเทพ’ แห่ง อินเดีย ถึงแก่กรรมด้วยวัย 80 ปี ณ คฤหาสน์ หลังเดียวกันกับที่ถือกำเนิด
2
Lech Walesa เลค วาเลซา ย้อนไปเพียง 20 ปีก อ่ น จากชนชัน้ แ รงงานคนหนึง่ ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี และนำประเทศไปสู่ การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง...นี่คือเรื่องที่ เกิดขึ้นจริง เลค วาเลซา เกิดในประเทศโปแลนด์ มีอาชีพ เป็นช่างไฟ หลังเข้าทำงานที่อู่ต่อเรือเลนิน เขาเริ่ม บทบาททางการเมืองด้วยการออกมาเคลื่อนไหวหยุด งานประท้วงวิกฤติราคาอาหารที่สูงลิบลิ่วโดยเฉพาะ เนื้อสัตว์ ร่วมกับคนงานกว่า 150,000 คน ต่อมา วาเลซา รับบทผู้นำการประท้วง จัดตั้งสหภาพการ ค้าเสรี ยุตกิ ารเซ็นเซอร์ เปลีย่ นแปลงระบบการเมือง และปล่อยตวั นักโทษทางการเมืองทุกคน แต่รัฐบาลโปแลนด์นำโดยรักษาการนายกรัฐมนตรี มิซเช สลอว์ ยาเกลสกี ไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ เป็นเหตุให้คนงานในอู่ต่อ เรือกว่า 16,000 คนลาออกทันที ทำให้จำนวนผู้ประท้วงเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ จนธุรกิจน ับร้อยแห่งทางเกาะเหนือ และเขตอุตสาหกรรม สำคัญท างตอนใต้ข องประเทศเกือบเป็นอ มั พาต โรงงานในเมืองทา่ บอลติกต้องปิดตัวลงชั่วคราว 30 สิงหาคม 1980 การชะงักงันของอุตสาหกรรมทำให้ รั ฐ บาลโ ปแลนด์ ท นต่ อ ไ ปไ ม่ ไ หว จึ ง ยิ น ยอมท ำข้ อ ต กลงกั บ ผู้ประท้วง ภายใต้เงื่อนไขว่า แรงงานทุกคนจะได้รับค่าแรงเพิ่ม
ได้รับอาหารและสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพกว่าเดิม ภาพประวัติศาสตร์ของ วาเลซา ขณะชูมือแสดง ชัยชนะถกู เผยแพร่ไปทวั่ ป ระเทศในวนั น นั้ ในฐานะคนงาน ผู้เขย่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์ จนสามารถคว้าตำแหน่ง บุคคลแห่งปีของนิตยสาร ไทมส์ ในปี 1981 ภายหลังการประท้วงยุติได้ไม่นาน วาเลซา ถูก จำคุกด้วยกฎอัยการศึกในฐานะผู้นำก่อจลาจล หลัง ถู ก ป ล่ อ ยตั ว เขาไ ด้ รั บ ร างวั ล โ นเบลส าขาสั น ติภาพ ในปี 1983 เลค วาเลซ า เคลื่ อ นไหวท างการเ มื อ งอ ย่ า ง ต่อเนื่อง จนกระทั่งได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของ โปแลนด์ในยคุ หลังสงครามเย็น ระหว่างปี 1990-1995
3
Louis Reard หลุยส์ เรอาร์ด
‘ทูพีซ’ ชุดว่ายน้ำที่วิวัฒนาการจากไซส์ ใหญ่เหมือนนุ่งเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น เล็ก ลงเป็นเฟิร์สบราคู่ฮอตแพนท์ และหดจิ๋วจน กระทัง่ น างแบบสมัยน นั้ ไม่มใี ครกล้าใส่ ชือ่ ข อง มันคือ ‘บิกินี’ หลุยส์ เรอาร์ด วิศวกรยานยนต์ชาว ฝรั่งเศส ซึ่งงานของเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง กับชุดวาบหวิวเลยสักนิด แต่เมื่อเขาเปิดตัว สิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ คือ ชุดว่ายน้ำชิ้นน้อยๆ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 1946 และตั้งชื่อตาม เกาะปะการัง บิกนิ ี (Bikini) ทีอ่ เมริกาใช้ท ดลอง ระเบิดปรมาณูเล่นสมัยนั้น ด้วยเหตุผลว่า มัน จะต้องดังระเบิดเหมือนปรมาณูแน่ๆ แล้วก็จริงดังว่า ชุดบิกินีของเรอาร์ด ถูกหยิบยกเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่าง กว้างขวางบนหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ แน่นอน...ในทางเสียห าย เพราะขดั ก บั ศ ลี ธ รรม อันด ขี องชาวคาทอลิกเป็นอ ย่างยงิ่ รัฐบาลยโุ รป หลายประเทศต้องออกกฎหมายห้ามสวมใส่ บิกินีเพื่อตัดตอนไอเดียนักปฏิวัติ ‘บิกินี’ ผู้นี้ เลยทีเดียว ภาพชุดบิกินีผุดขึ้นมาในสมองเรอาร์ด ตอนทเี่ ขาเห็นห ญิงส าวนางหนึง่ ม ว้ นชดุ ว า่ ยนำ้ ขึ้น เพื่อให้แดดอาบผิวเป็นสีแทนทั่วร่างกาย อันที่จริง เรอาร์ดเคยมีพื้นฐานเกี่ยวกับแฟชั่น มาก่อน เขาเคยช่วยแม่ดูแลกิจการรองเท้าที่ ร้าน Les Folies Bergères และเคยออกแบบ ชุดว่ายน้ำที่เล็กที่สุดชื่อ ‘อะตอม’ (Atom) ร่วม กับเพื่อนดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส ฌาคส์ ไฮม์ เมื่อดาราสาว บริจิตต์ บาร์โด จาก ภาพยนตร์เรื่อง Woman Without a Veil สวมบิกินีเข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เมือง คานส์ปี 1952 เตะตาสื่อมวลชนให้ตะลึงกับ ความเย้าย วน เป็นจ ดุ เริม่ ต น้ ให้บ กิ นิ โี ลดแล่นใน วงการภาพยนตร์ และเริม่ ได้ร บั ก ารยอมรับม าก ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเห็นได้ทั่วไปตามนิตยสาร ทุกๆ หน้าร้อน
7
4
Sabino Arana ซาบิโน อารานา ไกลออกไปบริเวณแถบมหาสมุทรแอตแลนติก แคว้นปกครอง ตนเองที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ ‘บาสก์’ อาศัยกระจัดกระจายอยู่ ในเขตแดนสเปนและฝรั่งเศส ชาวบาสก์มีรัฐบาล มีวัฒนธรรม มีภาษาเป็นของตนเอง ทว่า... ไร้ซึ่งเอกราชและอิสรภาพ นักต่อสู้คนสำคัญในประวัติศาสตร์บาสก์ ซาบิโน อารานา นัก ประพันธ์และผู้เชี่ยวชาญภาษาบาสก์ เขาคือผู้พิทักษ์และส่งเสริมการ ใช้ภ าษาบาสก์ในทกุ พ นื้ ทีข่ องสงั คม เพือ่ ล ดความสำคัญข องอำนาจของ สเปนและฝรั่งเศสที่เข้ามาในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อารานาเชื่อว่า เนื้อแท้ของประเทศถูกกำหนดด้วยเลือดเนื้อ หรือองค์ประกอบของกลุ่มชาติพันธุ์ เขาเกรงว่าชาวต่างชาติจะเข้ามามี อิทธิพลทำให้เผ่าพันธุ์บาสก์หายไปในที่สุด จึงสถาปนาพรรคชาตินิยม บาสก์ (Basque Nationalist Party: PNV) ขึ้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 1895 ซึ่งเป็นพรรคขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของบาสก์
ไม่ต่างจากการประกาศสงครามแยกดินแดนอื่นๆ นับค รัง้ ไม่ถ ว้ น เมือ่ ช าวบาสก์ต อ่ สูเ้ พือ่ ป ลดแอกจากอำนาจ ของสเปน ก็ย่อมเกิดเหตุการณ์ยิงปะทะ จนผู้คนล้มตาย แม้ปัจจุบันบาสก์ยังคงตกอยู่ในอำนาจของสเปน แต่ชาวบาสก์ยังคงระลึกถึงอารานาในฐานะบิดาแห่งพรรค ชาตินิยมบาสก์ ผู้รวมรวบชิ้นส่วนแตกหักของภาษาและ วัฒนธรรมบาสก์ให้กลับคืนมาดังเดิม
6
Alice Paul อลิซ พอล
5
Gene Robinson จีน โรบินสัน
บาทหลวงจีน โรบินสัน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบิชอป องค์ที่ 9 แห่งสังฆมณฑลนิวแฮมเชียร์ ในสหรัฐอเมริกา เมื่อ 3 สิงหาคม 2003 อย่างเป็นทางการ ด้วยมติเห็นชอบ 2 ใน 3 ที่ส่วนใหญ่มาจาก สภาผู้ดูแลโบสถ์ การตัดสินครั้งนั้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด มีปฏิกิริยาโกรธเคืองส่งตรงมาจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมและบิชอปแห่งแคน- เทอร์เบอร์ร ี ผูน้ ำคริสต์ศ าสนจักรนกิ ายแองกลกิ นั หรือเชิรช์ อ อฟองิ แ ลนด์ เพราะโรบินสัน เปิดเผยว่าตนเป็นเกย์ โรบินสันข น้ึ ก ล่าวหลังได้ร บั แ ต่งต ง้ั ว า่ ปรารถนาให้การตดั สินในครัง้ น ้ี นำไปสู่ความก้าวหน้า มิใช่ความแตกแยก เขาคิดว่าตัวเองจะสามารถทำ อะไรเพื่อเพื่อนผองเกย์และเลสเบี้ยนได้มากขึ้น เริ่มด้วยการดำเนินชีวิต เช่น ‘บิชอปที่ดี’ มากกว่าเป็น ‘บิชอปเกย์’ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง เขาถือเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดกิจกรรมค่าย เยาวชน และให้การสนับสนุนแก่กลุ่มวัยรุ่นที่ยังสับสนกับเพศตนเอง แม้จะดำรงตำแหน่งอยู่จนปัจจุบัน แต่โรบินสันก็ต้องเผชิญท่าที กีดกันจากฝ่ายบิชอปอนุรักษ์นิยม ครั้งหนึ่ง โรบินสันไม่ได้รับเชิญให้เข้า ร่วมการประชุมบิชอป ซึ่งในที่ประชุมครั้งนั้นเรียกร้องให้โรบินสันลาออก ส่วนผสู้ นับสนุนก ารรบั ต ำแหน่งข องเขานนั้ ถูกข อให้ล กุ ข นึ้ ‘สารภาพบาป’ ต่อหน้าองค์ประชุม
การเลือกตงั้ ไม่ได้ม ไี ว้ส ำหรับผ หู้ ญิง จนกระทัง่ ห น้าป ระวัตศิ าสตร์ก ารเรียกรอ้ งสทิ ธิส ตรี ในสหรัฐได้บันทึกชื่อ อลิซ พอล นักเคลื่อนไหวดีกรีปริญญาเอกเอาไว้ จากประสบการณ์ร่วม ประท้วงกับกลุ่มเรียกร้องสิทธิออกเสียงในอังกฤษ ก่อนเริ่มขยับขยายเรื่องนี้ในบ้านเกิด ขณะถูกจับกุมข้อหาบุกรุกรัฐสภาอังกฤษ เธอได้พบกับ ลูซี เบิร์นส์ (Lucy Burns) ซึ่งถูกจับมาพร้อมกัน หลังจากทั้งคู่กลับสหรัฐ ก็ร่วมกันก่อตั้งสมาคมสิทธิเลือกตั้งสตรีแห่ง อเมริกา (National American Woman Suffrage Association: NAWSA) ปี 1913 อลิซวัย 26 ปี นำขบวนผู้ประท้วงจำนวนครึ่งล้านมุ่งสู่ทำเนียบขาว เจรจากับประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ถึง 2 ครั้ง อลิซต่อสู้จนกระทั่งผู้หญิงใน 12 รัฐได้รับสิทธิ์ออกเสียงในปี 1917 ทว่าต้องแลกกับ การถูกจับขังเดี่ยวเป็นเวลา 7 เดือน พวกเขากล่าวหาว่าเธอป่วยทางจิต และทรมานด้วยการ ส่องไฟใส่หน้าทุกชั่วโมงเพื่อรบกวนการนอนหลับ อลิซอดข้าวประท้วง 22 วัน จนป่วยหนัก แพทย์ผู้รักษาอลิซกล่าวว่า สปิริตของเธอแข็งกล้าราวกับโจนส์ ออฟ อาร์ค ไม่มี ประโยชน์เลยที่พวกเขาจะทรมานเพื่อให้เธอเปลี่ยนใจ เพราะเธอไม่มีวันยอมแพ้ หญิงสาวนับร้อยถูกจับกุมในคราวนั้น แต่มีเพียง 33 คน ถูกตัดสินว่าผิด ในส ภาพนั ก โทษ พวกเ ธอถู ก ปฏิบัติอย่างหยาบคายและรุนแรง ห้าม ติ ด ต่ อ โ ลกภ ายนอก ซั ก ผ้ า ห่ ม ใ ห้ ปี ละ ครั้ง กดชักโครกได้ต่อเมื่อผู้คุมอนุญาต ถูกบังคับให้เปลื้องผ้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ อาบน้ำในห้องที่ไม่มีประตู แต่แนวร่วมที่ ยังม อี สิ รภาพนอกเรือนจำกย็ งั ด ำเนินก าร รณรงค์ต่อไป 26 สิงหาคม 1920 เมื่อสิทธิการ ออกเ สี ย งข องส ตรี แ ห่ ง ส หรั ฐ อเมริ ก า รุ ด ห น้ า สู่ เ ป้ า ห มายด่ า นสุ ด ท้ า ย ‘รั ฐ เทนเนสซี’ ผูห้ ญิงม สี ทิ ธิอ์ อกเสียงเลือกตงั้ ประธานาธิบดีเป็นค รัง้ แ รก ใช้เวลา 72 ปี คาบเกี่ยว 2 ศตวรรษ ใช้ประธานาธิบดี 18 คน บวกสงคราม 3 ครั้ง และความ เจ็บปวดของสตรีนับไม่ถ้วน...
8
นอกหน้าต่าง
PHILIPPINES
หรือโลกกำลังจะขาดอาหาร
BRAZIL
ยิ่งไปกว่านั้น ชายผู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ฆาตกรรมนักอนุรักษ์ธรรมชาติ ก็ถูกฆ่าปิดปากในเวลาต่อมา ปัจจุบัน 2 องค์ ก รก ารกุ ศ ลห ลายแ ห่ ง ท ำนายว่ า คดีนี้ก็ยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแม้แต่ จะเกิด ‘วิกฤติอาหารครั้งใหม่’ ในช่วง โฮเซ คลอดิโอ ริเบอร์โต ดา ซิลวา นัก คนเดียว อนุรักษ์ป่าไม้ถูกยิงในป่าแอมะซอน ทาง กรกฎาคมถึงธันวาคม ปีนี้ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ตลอด 20 ปี ตอน เหนือของรัฐปารา พร้อมกับภรรยา ตั ว อย่ า งที่ เ ห็ น ไ ด้ ชั ด อ ย่ า ง กรุ ง มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อชาวบ้าน ต่ า งพ ากั น ล ะทิ้ ง ที่ ดิ น ท ำกิ น ข องต น มาอ าศั ย อ ยู่ ก ลางใ จเ มื อ งม ากเ ป็ น ประวัติการณ์ โดยคนส่วนใหญ่ให้เหตุผล ทีต่ รงกัน 3 ข้อ คือ หนึ่ง หลายครั้ง พายุทอร์นาโดเก็บ กวาดพชื ผ ลไปจากไร่น า กว่าเศรษฐกิจจ ะ ฟื้นตัวอีกครั้งต้องใช้เวลาถึง 3 ปี หากคิด ฝากปากท้องไว้กับชนบทคงต้องพบกับ ความผิดหวัง
สอง ผลกร ะท บจ ากก ารป ฏิ รู ป ทีด่ นิ รัฐบาลมอบทดี่ นิ ให้ช าวนาชาวไร่ แต่ พวกเขาไม่มเี งินเพียงพอสำหรับก ารลงทุน จึงข ายทดี่ นิ ให้น ายทุนเข้าม าทำแทน ส่วน ตัวเองก็ย้ายมาอยู่ในเมือง สาม กว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของคน ชนบทต้องทนหิวโหยยามค่ำคืน ขณะที่ อัตราในเมืองมเี พียง 10 เปอร์เซ็นต์ บางที ‘เมืองใหญ่’ อาจถกู ม องเป็นท างเลือกแห่ง ความอยู่รอดของผู้คน ไม่ต า่ งจากประเทศกำลังพ ฒ ั นาทงั้ หลาย ที่เกษตรกรหันหลังให้ผืนนาบ่าย หน้าสู่เมืองและโรงงาน และผลของเหตุ ละทิง้ ท ที่ ำกนิ ก ค็ อื ผลผลิตท างการเกษตร ย่อมลดลงเช่นเดียวกับจำนวนเกษตรกร จนหลายฝ่ายต่างตั้งคำถามกันว่า ใครจะ เป็นคน ‘ปลูก’ อาหาร เมื่อโลกต้องประสบกับปัญหาเช่น นั้น ก็นับได้ว่า จิ๊กซอว์ของภาพความ อดอยากได้ถูกต่อเพิ่มเข้าไปอีกชิ้นหนึ่ง แล้ว ที่มา: www.bbc.co.uk
CHINA
จีนกับโทษประหาร จากการศึกษาของศาสตราจารย์หูจิงโต (Hu Xing Do) พบว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ของบ รรดาข้ า ราชการฉ้ อ โกงไ ม่ เ คย ถู ก จั บ ไ ด้ ส่ ว นที่ เ หลื อ นั้ น ต้ อ งถื อ ว่ า โชคร้ า ย เพราะพวกเขาจ ะต้ อ งรั บ โ ทษ รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต เชื่ อ กั น ว่ า เพราะข นาดที่ ใ หญ่ คับทวีปของจีน บวกกับจำนวนประชากร
ทีผ่ า่ นมา นักเคลือ่ นไหวดา้ นสงิ่ แ วดล้อมที่ เข้าไปยงุ่ เกีย่ วกบั ป า่ แ อมะซอนกว่า 1,000 คน ถูกฆาตกรรม และแทบทุกคดีไม่มีการ จับกุมผู้กระทำผิด หน่ ว ยง านติ ด ตามก ารใ ช้ ค วาม รุนแรงในบราซิล (The Pastoral Land Commission) กล่าวว่า ดา ซิลวา และ ภรรยา อยู่ใน 1,800 รายชื่อผู้ร้องเรียนว่า ถูกขู่เอาชีวิตเมื่อปีที่แล้ว อาชญากรรมเหล่าน ี้ มีส ว่ นเกีย่ วพนั อย่างชัดเจนกับกิจการตัดไม้เถื่อน การใช้ ประโยชน์ที่ดินของชาวนา รวมถึงความ ขั ด แ ย้ ง กั บ ผู้ ตั ด ไ ม้ และน ายทุ น ป ฏิ รู ป ผู้บุกรุกที่ดินเพื่อการเกษตร ต่อเรื่องนี้ ทางการบราซิลพยายาม แก้ไขปัญหาด้วยการให้คำมั่นเพียงว่า จะ สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายในภูมิภาค และแก้ไขปญ ั หาความขดั แ ย้งเรือ่ งทดี่ นิ ซึง่ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้ หลายปีที่ผ่านมา สถิติการตัดไม้ ทำลายปา่ ในบราซิลล ดลงอย่างมนี ยั ส ำคัญ เนือ่ งจากเจ้าห น้าทีร่ ฐั ม กี ารตรวจตรา และ ปฏิบัติการเข้มงวดกับผู้ทำผิดกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันเหตุฆาตกรรมหลายราย ก็ยังเกิดขึ้น พร้อมๆ กับราคาไม้เถื่อนที่ พุ่งพรวด เพราะการลักลอบตัดไม้นั้น ทำได้ยากขึ้น
ที่ ม ากเ ป็ น อั น ดั บ 1 ของโ ลก ทำให้ สายงานการตรวจสอบเป็นไปได้ยาก จี น ขึ้ น ชื่ อ ว่ า เ ป็ น ผู้ น ำด้ า นก าร ประหารของโลก เพราะแค่อาชญากรรม เล็กๆ ก็มีสิทธิ์เจอโทษถึงชีวิตได้ ขณะที่ ประเ ทศ อื่ น ๆ บทล งโทษสู ง สุ ด นี้ มี ไ ว้ สำหรับฆาตกรเท่านั้น แนวคิดห ลักข องพรรคคอมมิวนิสต์เอง ก็ไม่ต้อนรับคนเอาเปรียบ และพร้อมจัด โทษหนักไว้ร อผกู้ ระทำผดิ เสมอ โดยเฉพาะ หากเ ป็ น ร ะดั บ ส มาชิ ก ข องพ รรค หรื อ เจ้าห น้าทีร่ ฐั ท ำผดิ เสียเอง ย่อมตอ้ งรบั โทษ หนักกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ไม่ใช่แค่เรื่องทุจริตเท่านั้น ปลาย เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางการจีนได้ ออกประกาศบทลงโทษ ‘ประหารชีวิต’ ทั้ง ผู้ผลิตอาหารปนเปื้อน และผู้ตรวจสอบ อาหารที่ละเลยหน้าที่ด้วย
ที่มา: www.guardian.co.uk
นอกจากนี้ ความคิ ด เ ห็ น บ น อินเทอร์เน็ตเองก็มีบทบาทสำคัญในการ ผลั ก ดั น ค วามคิ ด เห็ น ป ระชาชนจี น ม าก ขนาดที่รัฐบาลไม่สามารถเพิกเฉยต่อเสียง วิ พ ากษ์ วิ จ ารณ์ ไ ด้ ด้ ว ยค วามที่ ช าวจี น เกลียดการทุจริตเข้าไส้ พวกเขาจึงเห็นว่า ผูก้ ระทำผดิ ฐ านฉอ้ โกงไม่ส มควรได้ร บั ส ทิ ธิ์ ในการลดโทษ หลายครั้งการประหารชีวิต จึงเป็นไปตามความเห็นของประชาชน ที่มา: www.time.com
9
UK
อวสานสิงห์อมควัน ต้นปี 2011 บริษัทการเงินข้ามชาติของสหรัฐอเมริการายหนึ่ง ได้เผยแพร่งานวิจัยว่า ภายในครึ่งศตวรรษ การสูบบุหรี่จะหมดไป จากสหราชอาณาจักรอย่างสิ้นเชิง ราวศ ตวรรษที่ 60 กว่ า ค รึ่ ง ข องผู้ ใ หญ่ ช าวอั ง กฤษ เป็นคนสูบบุหรี่ แต่โชคดีที่สถิติดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ สวนท างกั บ ก ารพั ฒนาข องโ ลก เนื่ อ งจากช าวอั ง กฤษท ราบ ถึงปัจจัยเสี่ยงและอันตรายต่อสุขภาพอันเกิดจากการสูบบุหรี่ รายงานฉบับด งั ก ล่าวคาดวา่ ในปี 2050 จำนวนผสู้ บู บ หุ รีจ่ ะลดลง เป็นศูนย์ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตเรื่องราคาบุหรี่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อาจเกิดปัญหาในระยะยาว เพราะทำให้บริษัทผลิตยาสูบได้กำไร เพิ่มเป็นกอบเป็นกำ แต่ปัญหาดังกล่าวก็น่ากังวลน้อยกว่าเรื่อง รูปแบบซองบุหรี่ ที่รัฐบาลอังกฤษกำลังวางแผนให้ผลิตซองบุหรี่ แบบธรรมดาๆ ไม่ดึงดูดใจวัยรุ่น ผลก ารวิ จั ย นี้ ให้ ค วามเ ห็ น แ ย้ ง กั บ วิ ธี ที่ รั ฐ บาลเ สนอ ด้วยเหตุผลที่ว่า รูปแบบซองไม่มีผลต่อการดึงดูดให้คนหันมาสูบ บุหรี่ ฉะนั้นการปรับรูปแบบซองจึงไม่ทำให้อัตราผู้สูบและกำไร ลดลงเท่าไหร่ นอกจากนี้ ยาเสพติดทั่วไปที่ซื้อขายกันก็ไม่ได้มี แม้แต่ซองบรรจุภัณฑ์ ที่มา: www.telegraph.co.uk
SAUDI ARABIA
มหาวิทยาลัยเพื่อ ‘ผู้หญิง’
FRANCE
ฟาร์มแสงอาทิตย์ หากดูภาพถ่ายทางอากาศ ที่ราบสูง ปุยมิเชล ทางด้านใต้ของ เทือกเขาแอลป์ ในประเทศฝรั่งเศส สิ่งที่พบอาจไม่ใช่ทุ่งหญ้า แต่เป็นแผงโซลาร์เซลล์ที่ทอดยาวเรียงกันเป็นระเบียบอยู่บน เนื้อที่กว่า 90 ไร่ เซลล์พลังงานแสงอาทิตย์เหล่านี้ ติดตั้งโดยบริษัท เอ็น ฟินิตี (Enfinity) สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 18.2 เมกะวัตต์ ซึ่งมากพอสำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับ 8,000 ครัวเรือน ฟาร์ ม แ สงอ าทิ ต ย์ นี้ ยั ง มี โ ครงการร ะยะต่ อ ไ ป โดย กำหนดการตดิ ต งั้ แ ผงโซลาร์เซลล์ให้ค รอบคลุมพ นื้ ที่ 1,250 ไร่ กำลังการผลิตราว 100 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นแหล่งผลิตพลังงาน สูงที่สุดในประเทศภายในสิ้นปีนี้ เอ็นฟินิตีใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านยูโร ในการ ออกแบบโดยไม่ใช้โครงสร้างฐานคอนกรีต เพือ่ เว้นท วี่ า่ งสำหรับ ต้นไม้ใหญ่และคงสภาพภูมิทัศน์เดิมให้มากที่สุด ที่มา: www.guardian.co.uk
UK
เศรษฐกิจเล็กในโครงการใหญ่ บรรดาผนู้ ำทางเศรษฐกิจแ ละผใู้ หญ่แ วดวง ขนส่ ง ใ นเ มื อ งแ มนเ ชสเ ตอร์ ประเทศ อังกฤษ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โครงการ รถรางข้ามเมืองแห่งใหม่ (Second City Crossing: 2CC) นั้น “สำคัญยิ่งชีพ!”… แม้มันจะกระทบธุรกิจเล็กๆ อย่างหนัก ก็เถอะ ริชาร์ด คริทช์ลีย์ ผู้จัดการนโยบาย ขนส่งแห่งหอการค้าเมืองแมนเชสเตอร์ กล่าวว่า หากมีการก่อสร้างรถรางจริง จะ ทำให้ถนนใหญ่หลายสายต้องหยุดชะงัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในระยะยาว เพราะโครงการ 2CC มีก ำหนดเริม่ ด ำเนิน การสร้างในปี 2013 และสามารถเปิดใช้ งานได้ประมาณปลายปี 2016 สำนักงานขนส่งแห่งเมืองแมนเชส เตอร์ (Transport for Greater Manchester: TfGM) รูอ้ ยูเ่ ต็มอกวา่ การเผชิญ
หน้ากับธุรกิจเล็กๆ ทั้งหลายนั้นลำบาก และขัดกับยุทธศาสตร์ ‘เศรษฐกิจเข้มแข็ง มั่งคั่ง’ ดังที่ 2CC กล่าวไว้ เพื่ อ แ ก้ ไ ขปั ญ หาอ ย่ า งเ ป็ น ธ รรม กับทุกฝ่าย ทาง TfGM จึงจับมือกับสภา เมืองแมนเชสเตอร์ จัดประชุมสาธารณะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งจะดำเนินไป จนถึงวันที่ 9 กันยายน 2011 เพื่อบรรลุ ข้อตกลงของแผนโครงการให้สามารถเดิน ต่อไปได้ ที่มา: www.bbc.co.uk
มหาลัยที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดิอาระเบียเปิด อย่ า งเ ป็ น ท างการแ ล้ ว โ ดยก ษั ต ริ ย์ อั บ ดุลลาห์ ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองนอกกรุง ริ ห์ ย าด สามารถรั บ นั ก ศึ ก ษาไ ด้ ถึ ง 50,000 คน และจะพัฒนาให้ผู้หญิง สามารถเข้าถึงหลักสูตรต่างๆ ได้ เช่น ธุรกิจและวิทยาศาสตร์ พร้อมสิ่งอำนวย ความสะดวก อาทิ สถานพยาบาล ห้อง ปฏิบัติการ และห้องสมุด เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมากสำหรับ สาวๆ ในซ าอุ ดิ อ าร ะเ บี ย ที่ พ วกเ ธอ จะได้รับการศึกษา แต่ปัญหาก็คือ หลัง จากเรียนจบแล้วพวกเธอจะนำความรู้ ไปทำอะไร หญิงชาวซาอุฯที่ได้รับการ ศึกษาอย่างดีมีอยู่มาก แต่พวกเธอมีสิทธิ์ ทำงานได้ไม่ถ งึ 15 เปอร์เซ็นต์ข องจำนวน ประชากรวัยทำงานทั้งประเทศ และยังได้ ค่าจ้างต่ำกว่าผู้ชายมาก “สิ่งที่เราต้องประเมินคือ สถาบัน แห่ ง นี้ จ ะเ ปิ ด โ อกาสใ ห้ ผู้ ห ญิ ง ม ากขึ้ น ภายใ ต้ สั ง คมที่ ช ายเ ป็ น ใ หญ่ ห รื อ ไ ม่ ” นาเดีย คาลีฟ จาก Human Rights Watch กล่าว ในก ารป ระชุ ม เ ศรษฐกิ จ โ ลก รายงานช่องว่างระหว่างเพศว่า ซาอุดิ อาระเบียร งั้ อ นั ดับ 129 จาก 134 ประเทศ และเป็นประเทศเดียวที่ได้ 0 คะแนน จากการให้อำนาจทางการเมืองแก่ผู้หญิง เพราะที่นั่น ผู้หญิงยังไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เลือกตั้ง แม้จะเปิดมหาวิทยาลัยใหญ่กว่านี้ สิทธิสตรีในซาอุดิอาระเบียก็ไม่ได้เปลี่ยน
ไปแม้แต่น้อย เมื่อทางการซาอุฯแบ่ง แยกหน้าที่หญิงชายในที่ทำงาน ทำให้ ผู้หญิงไม่สามารถหางานที่มั่นคงได้ อย่าง ด้านกฎหมาย ทนายผู้หญิงมีสิทธิ์ทำงาน ด้านธรุ การ รับค ดี แต่ไม่ส ามารถตดั สินใจ ใดๆ ได้ การเปิดมหาวิทยาลัยใหญ่คือตัว บ่งชี้ว่าซาอุฯสนใจการให้การศึกษาแก่ ผ หู้ ญิง แต่ท ตี่ อ้ งทำมากกว่าน นั้ ค อื ยกเลิก การจำกัดสิทธิด้านการทำงานแก่ผู้หญิง ด้วย ที่มา: www.guardian.co.uk
10
เรื่องจากปก
กองบรรณาธิการ
อำนาจ
ในแนวราบ การเปลี่ ย นแปลงเพื่ อ ประชาชน
ข้อเสนอ
ท ี่ออกมาจาก คณะ กรรมการป ฏิ รู ป (คปร.) ข้อสำคัญ คือ เสนอให้ประเทศไทยมีการ ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ด้วยจุดประสงค์ ‘ลดความ เหลื่อมล้ำ’ ใครหลายคนเริ่มสงสัยว่า คำใหญ่โตอย่าง ‘อำนาจ’ มาเกีย่ วข้องกบั ช าวบา้ นตาดำๆ ได้อ ย่างไร ในเมื่อเราเข้าคูหากาบัตรใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้ว ทำไม รัฐบาลที่เราเลือกไปทำงานแทน ไม่จัดการกันเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยวา่ โครงสร้างอำนาจเดิมข อง ไทยนั้น เป็นแบบรวมศูนย์ มีการกระจุกตัวจนเป็น ทีม่ าของปญ ั หา ทัง้ ในระดับบ ริหาร ถึงร ะดับป ากทอ้ ง ชาวบ้าน อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งจุดประสงค์และขั้นตอนของการปฏิรูป โครงสร้างอำนาจ ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ‘การกระจาย อำนาจ’ นั้น ยังคงเป็นปริศนาท้าทายว่า ท้ายที่สุด ใครจะได้รับประโยชน์ และวิธีการเพิ่มอำนาจให้กับ ประชาชนนนั้ จ ะเป็นการถมชอ่ งวา่ งความเหลือ่ มลำ้ ที่ถูกวิธีหรือไม่ ตามตรรกะง่ายๆ เมื่อปัญหาคือ ‘กระจุก’ ทางแก้ก ต็ อ้ ง ‘กระจาย’ ว่าก นั ว า่ การกระจายอำนาจ หรือ การเพิ่มพลังทางราบนั้น เป็นวิธีหนึ่งที่จะ ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับฐานของประเทศ เพิ่ม ศักยภาพของประชาชนระดับท้องถิ่น จนสามารถ พัฒนาไปพร้อมๆ กันได้ ต้องทำความเข้าใจกอ่ นทอดตาสบู่ รรทัดต อ่ ไป ว่า ประเด็นการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจนั้น เป็น ข้อเสนอที่ถูกส่งออกมาจากกลุ่ม ‘นักคิด’ ผู้สวม บทบาท Think Tank แน่นอนว่ายังไม่มีผู้รับลูกไป ปฏิบตั จิ ริง ขณะทผี่ มู้ สี ว่ นรว่ มหลายคนบอกวา่ “อาจ ต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาลในอนาคต” ซึ่งก็ยัง ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย
อำนาจแนวดิ่ง ถ้าเปรียบประเทศเป็นเครื่องจักรขนาดมหึมา อำนาจการปกครองคงเทียบได้ กับกลไกควบคุมระบบทั้งหมดที่ยิ่งใหญ่และยุ่งเหยิง เรื่องการกระจายอำนาจ (Decentralization of Powers) เป็นเรื่องที่พูดกันมา เนิ่นนาน บางคนรู้และเข้าใจความหมาย ขณะที่หลายคนยังงงและสงสัยว่า อำนาจ นั้นเป็นสิ่งที่สามารถกระจายได้จริงหรือ เพราะหากวัดตามความเข้าใจแบบไทยๆ ‘อำนาจ’ นั้น คือสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไป มีลักษณะรวมศูนย์ และมักอยู่ในมือคนหรือคณะ บุคคลใดบุคคลหนึ่งเสมอ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ อำนาจอยู่ในมือข้าราชการและนักการเมืองนั่นเอง ในสว่ นการบริหาร ประเทศทมี่ รี ปู แ บบการปกครองประชาธิปไตย อำนาจสว่ นนี้ จะเป็นของฝ่ายการเมือง ในนาม ‘รัฐบาล’ ที่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้ง ส่วน อำนาจการปกครองนั้น จะเป็นลำดับสั่งการรองลงมาจากฝ่ายบริหาร เรียกให้ง่ายคือ ฝ่ายข้าราชการ ซึ่งต้องทำงานตามนโยบายที่ถูกกำหนดจากรัฐบาล ก่อนจะลงไปถึง ระดับชาวบ้านอีกทอดหนึ่ง ระบบตามแนวดิ่งนี้ นโยบายด้านต่างๆ เป็นแบบรวมศูนย์ทั้งสิ้น ไม่มีการแยก เป็นท้องถิ่น ทั้งที่แต่ละพื้นที่ต่างมีวัฒนธรรมและความต้องการไม่เหมือนกัน ไม่ว่า จะเป็นเรื่องระดับก้นครัว ตำบล อำเภอ แต่รัฐก็ลงมือจัดการให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ทั้งหมด กล่าวกนั ว า่ ต้นตอของความวนุ่ วายทงั้ ห ลายในบา้ นเราชว่ ง 4-5 ปีท ผี่ า่ นมา คือ อำนาจที่รวมศูนย์ จนก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การจัดสรรทรัพยากรทาง อำนาจที่ไม่เป็นธรรม สิ่งเหล่านี้สะสมเรื้อรังยาวนาน กระทั่งปะทุออกมาในที่สุด จุดอ่อนสำคัญอีกข้อของการรวมอำนาจรัฐไว้ที่ศูนย์กลาง คือ เมืองหลวงกับ ชนบทแยกขาดออกจากกนั ด้วยความแตกตา่ งทงั้ ร ะบบเศรษฐกิจ การศกึ ษา รวมทงั้ ก าร มีส ว่ นรว่ มทางการเมือง ซึง่ ช อ่ งวา่ งทรี่ ฐั จ ดั การไม่ท วั่ ถ งึ น ี้ นับว นั ย งิ่ ถ า่ งกว้างขนึ้ เรือ่ ยๆ จนกลายเป็นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน
บ
11 ความง่อนแง่นของพีรามิด กว่า 120 ปี ที่ระบบอำนาจเมืองไทยถูกวาง โครงสร้างไว้ในลักษณะรวมศูนย์ โดยมีรัฐบาลเป็น ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาสู ง สุ ด ข องร ะบบบ ริ ห าร ตามด้ ว ย กระทรวงทบวงกรม ซึ่งมีอำนาจบริหารจัดการสังคม ในทุกขอบเขตปริมณฑล ลองจินตนาการเปรียบประเทศเป็น ‘พีรามิด’ ฝ่ายใช้อำนาจรัฐอยู่ส่วนยอด ขณะที่ประชาชนกว่า 60 ล้านคน เป็นฐาน...นั่นคือโครงสร้างรัฐชาติที่มีการ บริหารงานจากบนลงล่าง ในทางกลับกัน อำนาจยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมความ รับผิดชอบมหาศาล เมื่อกลับหัวพีรามิดลง จะเห็นว่า รัฐแบกรับภาระไว้เต็มๆ อย่างไร แทบเป็นไปไม่ได้เลยทอี่ ำนาจรวมศนู ย์ต รงสว่ น ปลาย จะสามารถทานน้ำหนักและเลี้ยงสมดุลของ ประเทศชาติไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง เมื่อเห็นว่าระบบ ‘พีรามิด’ ใกล้จะเผชิญกับ ความไม่มั่นคง เมื่อการพัฒนาในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น กระแสสงั คมถกู ล ากจงู ด ว้ ย ‘โลก’ ในนาม ‘โลกาภวิ ตั น ’์
สังคมและประชาชนโตขึ้น มีการขยายตัว ทางเศรษฐกิจ ภาคอตุ สาหกรรม การสง่ อ อก การท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้สังคมมีความเหลื่อมล้ำ มากขึ้น เพราะระบบเสรีนั้น เปิดกว้างให้มือ ที่ยาวกว่าฉกฉวยโอกาสได้มากกว่า ขณะที่ ความสามารถของรัฐในการควบคุมระบบ การจัดการต่างๆ เริ่มลดน้อยถอยลง จนบางครั้งด้วยกลไกแนวดิ่งอันสลับ ซับซ้อนและยุ่งยากก็กลายเป็นปัญหาของ การเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองและ สังคมด้วยตัวของมันเอง ซึ่งภาพที่ออกมา ก็ฟ้องถึงความเป็นจริงที่ว่า ระบบเช่นนี้ไม่มี ประสิทธิภาพ
การกร ะจ าย อำนาจ ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 78(2) จัดร ะบบ
การบ ริ ห ารร าชการส่ ว น กลาง ส่ ว นภู มิ ภ าค และ ส่ ว นท้ อ งถิ่ น ให้ มี ข อบเขต อำนาจหน้าที่ และความรับ ผิ ด ช อบที่ ชั ด เจนเหมาะส ม แก่การพัฒนาประเทศ และ สนั บ สนุ น ให้ จั ง หวั ด มี แ ผน และงบประมาณเพื่อพัฒนา จังหวัด เพื่อประโยชน์ของ ประชาชนในพื้นที่ มาตรา 78(3) กระจาย
การกระจายอำนาจ ความหมายของการกระจายอำนาจ (Decentralization) คือ การ ถ่ายโอนอำนาจการตัดสินใจในด้านต่างๆ จากส่วนกลางให้แก่องค์กร ในระดับท้องถิ่นไปดำเนินการแทน ซึ่งการถ่ายโอนอำนาจนี้ จะถูกแบ่ง ย่อยไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ การปรับโครงสร้างให้อำนาจกระจายสู่ระดับท้องถิ่นนั้น จะมุ่ง ลดบทบาทของรฐั ส ว่ นกลางให้เหลือเพียงภารกจิ ห ลักๆ เช่นก ารกำหนด นโยบายและการตดั สินใจระดับช าติเพือ่ ค วามเป็นเอกภาพเท่านัน้ ส่วน ระดับท อ้ งถนิ่ จะเปิดโอกาสให้ป ระชาชนสามารถจดั การชวี ติ แ ละชมุ ชน ได้มากขึ้น มีส่วนในการบริหารงานชุมชน มีส่วนร่วมตัดสินใจบริหาร จัดการตามแนวทางของแต่ละพื้นที่มากขึ้น ดังนั้น ‘การกระจายอำนาจการปกครอง’ คือ การปรับรูปแบบ ความรับผิดชอบของฝ่ายราชการ จากเดิมทีจะมีการกระจุกอำนาจ ไว้ที่ศูนย์กลาง กระทรวง ทบวง กรม เป็นหลัก ไปสู่ผู้ปฏิบัติงานจริง ในระดับท้องถิ่น เพื่อให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และแนวทางการบริหารท้องถิ่นด้วยตนเอง
อำนาจให้ องค์การปกครอง ส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเอง และ ตัดสินใจในกจิ การของทอ้ งถนิ่ ได้เอง ส่งเสริมให้องค์การ ปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วน ร่ ว มในก ารด ำเนิ น ก ารต าม แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่น และระบบสาธารณูปโภคและ สาธารณู ป การ ตลอดทั้ ง โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ ในท้ อ งถิ่ น ให้ ทั่ ว ถึ ง แ ละ เท่ า เ ที ย มกั น ทั่ ว ป ระเทศ รวมทั้ ง พั ฒ นาจั ง หวั ด ที่ มี ความพร้อมให้เป็นองค์การ ปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ข นาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของ ประชาชนในจังหวัดนั้น
12 ในบริบทการเมืองโลก มีชาติประชาธิปไตยเพียงไม่กี่ แห่ง ที่พยายามจะยึดแ นวทางอำนาจรวมศูนย์เป็นหลัก การบริหาร สังเกตได้จากงบประมาณของเกือบทุกชาติ ในโลกตอนนี้ ซึง่ ล ว้ นให้ค วามสำคัญก บั ท อ้ งถนิ่ ม ากกว่ารฐั ส่วนกลาง จึงส ามารถวเิ คราะห์แ นวโน้มก ารเปลีย่ นแปลง อำนาจรัฐในโลกได้ 2 รูปแบบ 1. Downsizing the Government คือ การลด ขนาดของอำนาจรัฐลง เพิ่มอำนาจประชาชน 2. Decentralization คือ การกระจายอำนาจ หรือลดระดับการใช้อำนาจรัฐ จากระดับรวมกลุ่มใหญ่ ลงมาใช้ในระดับท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการแบ่งแยกอย่าง ชัดเจน เพื่อให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น และความ สามารถในการดำเนินการที่แตกต่างกันได้ ตามความ พร้อม ความสามารถ ในเรื่องเกี่ยวกับท้องถิ่น
ตัวอย่างการกระจายอำนาจในต่างประเทศ การกระจายอำนาจในสหราชอาณาจักร
เนือ่ งจากสหราชอาณาจักรเกิดข นึ้ จ ากการรวมตวั กันข องหลายชาติท งั้ อ งั กฤษ เอง สก็อตแลนด์ เวลส์ และ ไอร์แลนด์เหนือ จึง ต้องมี การกระจายอำนาจลงสสู่ ว่ น ภู มิ ภ าค (Regionalized State) แต่เป็นในลักษณะ ของการกระจายอำนาจที่ไม่ สมมาตร ด้วยเหตุผลดา้ นความแตกตา่ งและหลากหลาย ในแต่ละชนชาติ ในประมวลกฎหมายท้องถิ่น ปี 2000 (Local Government Act of 2000) ได้กำหนดรูปแบบการ บริหารงานส่วนท้องถิ่นเอาไว้ 3 รูปแบบ โดยเป็นการ ปรับสมดุลอำนาจระหว่างนายกเทศมนตรีท้องถิ่นกับ คณะเทศมนตรีแ ละสภา เพือ่ ย ดื หยุน่ ก ารทำงานในแต่ละ พื้นที่
การกระจายอำนาจในญี่ปุ่น
ในปี 1999 รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีการเริ่มต้นปฏิรูป โครงสร้างอำนาจในประเทศอย่างจริงจัง ด้วยการออก ร่างกฎหมายส่งเสริมการกระจายอำนาจ (The Package Promoting Decentralization Act) รากฐานของการจัดตั้งรัฐ ในระดับท้องถิ่นนั้น ถูกวางไว้ ตั้งแต่สมัยปฏิรูปเมจิ (Meiji Ishin) โดยเปลี่ยนจากการ มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการ จั ง หวั ด ไปเป็ น ท้ อ งถิ่ น ได้ รับการถ่ายโอนอำนาจจาก รัฐบาลกลางโดยตรง เพื่อให้ เกิดความคล่องตัวในการทำงาน แต่ ทั้ ง หมดยั ง ต้ อ งอ ยู่ ภ ายใต้ ก าร กำกับ และแนวนโยบายที่รัฐบาลกลาง กำหนดไว้ นอกจากนี้ เพือ่ เพิม่ ศ กั ยภาพและขดี ค วามสามารถ ในการทำงานขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐบาล กลางญี่ปุ่นจึงได้ยุบรวมองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ย่อยๆ รวมกันเป็นท้องถิ่นใหญ่ โดยมีการเพิ่มอ ำนาจให้ ตามขนาด โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ การคลัง และ การจัดสรรภาษี
จากพระเอกถึงผู้กำกับ มีคำเปรียบเทียบว่า หากรัฐเป็นพ่อ ก็เป็นพ่อที่ไม่ ยอมปล่อยให้ลูกเดินเอง สุดท้าย ลูกก็กลายเป็นลูกแหง่ที่ ง่อยเปลี้ย ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ดังที่เห็นกันเป็นประจำ ม็อบเกษตรกร ไม่ว่าข้าว ลำไย อ้อย ต่างต้องยกขบวนกันมาตั้งเต็นท์ปักหลักชุมนุม หน้าทำเนียบฯ เพราะผู้ที่จะสามารถจัดการเรื่องราคา ผลผลิตได้ นั่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ยังไม่นับรวมการ ประท้วงปลีกย่อยที่ชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมอีกกว่า พันครั้งต่อปี ทั้งที่ในความเป็นจริง หากการบริหาร และกำหนดนโยบายเป็นของท้องถิ่นเอง การ เรียกร้องเหล่านี้อาจจะจบแค่ระดับอำเภอ หรือจังหวัด โครงสร้างรัฐแบบเดิมมี อำนาจมาก และรัฐบาลก็ทำ หน้าที่ตัดสินใจทุกๆ เรื่องแทน ประชาชน ทั้งเรื่องระดับชาติและ ระดับชุมชน ซึ่งชวนสงสัยว่า ทำไม เรื่องเล็กๆ ระดับท ้องถนิ่ ชาวบา้ น ถึงตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องนั่งรอรัฐ จัดการให้ทุกอย่าง
นั่ น เ ป็ น เ พราะภ าครั ฐ กุ ม อ ำนาจใ น การแก้ไขปัญหาไว้เองทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็น ‘พระเอก’ สำหรับทุกงาน ไม่ว่าใครมีปัญหาอะไร ก็ต้องยกขบวนมาตะโกนขอความช่วยเหลือจาก รัฐ ‘ท่าน’ นี่ คื อ ส าเหตุ ส ำคั ญ ที่ ท ำให้ ท้ อ งถิ่ น แ ละ ชุมชนออ่ นแอ โครงสร้างของชาติก พ็ ลอยงอ่ นแง่น ตามไปด้วย ข้อเสนอในการกระจายอำนาจ จึง เสนอให้มีการปรับบทบาทของ หน่ ว ยง านภ าครั ฐ จากฝ่ า ยที่ ต้องลงมือแก้ปัญหาเองทุกเรื่อง ให้ ห ลบห ลั ง ม่ า น แล้ ว ป ล่ อ ย งานหน้าฉากให้ตัวละครระดับ ท้ อ งถิ่ น ไ ด้ อ อกโรงม าจั ด การ ปัญหาต่างๆ เอง แทนทีจ่ ะสวมบทพระเอก ตลอดเวลา การกระจายอำนาจ บ่ ง บอ กถึ ง ก ารเ ปลี่ ย น สถานะของรัฐให้เลื่อนขั้น เป็นผู้กำกับแทน
จัดการตนเอง ประเทศไทยได้มีการออกพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วนตำบล เมื่อปี 2537 ทำให้มีองค์การ บริหารระดับท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ส่วนการปกครอง ของทางราชการก็ยังคงทำงานควบคู่กันไป ขั้นตอนต่อมาของการปฏิรูป คือ การปรับสมดุลทาง อำนาจใหม่ร ะหว่างศนู ย์กลางกบั ท อ้ งถนิ่ ซึง่ ห มายถงึ ก ารเพิม่ อำนาจให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่นไปพร้อมๆ กับปรับลด บทบาทหน้าทีข่ องรฐั บาลบางสว่ นลง รวมไปถงึ ข า้ ราชการจาก รัฐบาลก็ต้องผันตัวไปเป็นบุคลากรของฝ่ายท้องถิ่นมากขึ้น เมื่ออำนาจรวมศูนย์ถูกกระจายออก 1 องค์กรใหญ่ ก็สามารถแบ่งความรับผิดชอบไปให้ 77 สาขาย่อย ช่วยแบ่งเบาได้ รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าง กลุม่ ต า่ งๆ ในสงั คมไทยจะเปลีย่ นไป บริบท ของการใช้อำนาจจะย้ายแกนจากแนวดิ่ง มาเ ป็ น แ นวร าบที่ ท ำงานไ ด้ อ ย่ า งมี ประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเกิดการกระจายอำนาจ สิ่ง ที่เปลี่ยนไปก็คือ ท้องถิ่นจะสามารถ จั ด การตนเองไ ด้ เ ต็ ม ที่ ตั้ ง แต่ เ ริ่ ม ต้ น กำหนดนโยบาย แนวทางการพัฒนา การ ศึกษา การท่องเที่ยว ระบบสาธารณสุข การ จัดการทรัพยากร โดยมีองค์การปกครองส่วน ท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางคอยประสานงาน อีกป ระเด็นส ำคัญท จี่ ะมาพร้อมกบั ก ารกระจายอำนาจ การป กครองคื อ การกร ะจ าย งบป ระมาณแ ละภ าษี ให้ ชุ ม ชนมี อิ ส ระใ นก ารจั ด สรรง บป ระมาณข องตนเองแ ละ งบประมาณจากรฐั บาลกลางได้เต็มท ี่ เพราะเดิมที ท้องถนิ่ อ ยู่ ในฐานะผู้คอยรับส่วนแบ่งจากการจัดสรรงบประมาณโดยรัฐ เท่านัน้ ทำให้เกิดภ าวะตอ้ งพงึ่ พ งิ ร ฐั ท้องถนิ่ จ งึ เปรียบเสมือน
ครอบครัวขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถจัดการรายรับ รายจ่ายของตัวเองได้ แม้กระทั่งในประเทศจีน ที่ยึดถือแนวคิด คอมมิวนิสต์เป็นธงนำ ก็ยังมีการเก็บภาษีเข้ารัฐ เพียงร้อยละ 20 ที่เหลืออีกร้อยละ 80 เป็นส่วน ของรัฐบาลท้องถิ่น ในขณะที่ประเทศไทยภาษี ถูกเก็บโดยรัฐส่วนกลาง แล้วตกถึงมือท้องถิ่น เพียงร้อยละ 25 เท่านั้น การจัดการตนเองของท้องถิ่น มีข้อยกเว้น 2 เรื่อง ที่พ้นขอบเขตอำนาจของคนในชุมชน คือ เรื่องการรักษาความมั่นคงของประเทศ เช่น การ ทหาร และนโยบายดา้ นตา่ งประเทศ ซึง่ จ ำเป็นต อ้ ง อยูใ่ นขอบข่ายการตดั สินใจของรฐั บาลกลาง เพือ่ ความเป็นเอกภาพของรฐั ช าติ ไม่ว า่ ร ะดับท อ้ งถนิ่ จะมีส่วนได้ส่วนเสียมากน้อยแค่ไหนก็ตาม รูปแบบการกระจายอำนาจที่ก้าวไปไกล ที่สุดของประเทศไทยในขณะนี้ คือ ระบบเขต ปกครองพิเศษอย่างกรุงเทพฯ และพัทยา ซึ่งมี การเลือกตั้งผู้ว่าฯ นายกเทศมนตรีเมือง มีระบบ การทำงานเป็นสภาท้องถิ่น ที่มีอิสระในการ ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ของท้องถิ่นได้โดยไม่ต้อง พึ่งรัฐบาลกลาง ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนต้องเตรียมรับมือ คือ การเปลี่ยนสถานะจาก ‘ผู้รอรับ’ เป็น ‘ผู้จัดการ’ เพราะห ลั ง ก ารกร ะจ าย อำน าจ หน้ า ที่ ข อง พลเมืองจะไม่ใช่แค่การพกบัตรประชาชนไปใช้ สิทธิ์เข้าคูหาเลือกตั้งตามแบบ ‘ประชาธิปไตย ไม่กี่วินาที’ อีกต่อไป
ศ.ดร.สมชัย ฤชุพ ันธุ์ หนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ผู้ร่างข้อ เสนอการกระจายอำนาจ เพื่อเป็นการสมาน รอยเหลือ่ มลำ้ ข องสงั คมไทย ศ.ดร.สมชยั ฤชุพ นั ธุ์ เปรียบระบบอำนาจเป็นค วามสมั พันธ์ท เี่ ปลีย่ นไป จากระบบผู้ปกครอง-ผู้ถูกปกครอง กลายเป็นถูก กำหนดด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ เมื่อเวลาผ่านไป ระบบอำนาจที่มีฐานมา จากเศรษฐกิจก็ถูกท้าทายด้วยโลกาภิวัตน์ เมื่อ ประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้น การรับรู้เปลี่ยน การศกึ ษาเปลีย่ น คนทดี่ อ้ ยกว่าก ม็ โี อกาสมากขนึ้ ทำให้สภาวะความเป็นจริงเริ่มเป็นปฏิปักษ์กับ รูปแบบความสัมพันธ์ในขนบเดิม “ความเ ปลี่ ย นแปลงเ กิ ด ขึ้ น ไ ด้ ต าม ธรรมชาติ แต่ ค นที่ มี อ ำนาจแ ต่ ก่ อ นเ ก่ า จะ พยายามถว่ งไม่ให้เกิดก ารเปลีย่ นแปลง เนือ่ งจาก ภายใต้ระบบเก่า เขามีอำนาจ สุขสบาย คนที่ ถูกกดทับ ก็ดิ้นรนอยากให้เปลี่ยนแปลงความ สัมพันธ์ เรียกร้องให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เรียกร้องสิทธิในการมีเสียง มีความเห็น มีการ สร้างสรรค์ได้” เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ โครงสร้างอำนาจของประเทศคือสิ่งหนึ่งที่ต้อง ปรับตัว ซึ่งสิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดก็คือ อำนาจ รัฐ ซึ่งเป็นระบบรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง เมื่อระบบความสัมพันธ์นี้ต้องการเปลี่ยนแปลง แนวคิดก ารกระจายอำนาจไปให้อ งค์การปกครอง ส่ ว นท้ อ งถิ่ น (อปท.) จึ ง เ ริ่ ม ต้ น ขึ้ น ด้ ว ยก าร ถ่ายทอดอำนาจไป เพื่อให้ภาคประชาชน กำกับ ดูแล ตรวจสอบ และได้มีส่วนร่วม ในการใช้ อำนาจรัฐระดับท้องถิ่น โดยที่รัฐบาลกลางต้อง ถูกลดบทบาทหน้าที่ลง “เรื่องของรัฐบาล เช่น การทหาร การ ป้องกันประเทศ การต่างประเทศ การวางแผน เศรษฐกิจส่วนรวม การรักษาความมั่นคง หรือ ระบบยุติธรรม ยังเป็นของระดับชาติอยู่ แต่การ เก็บขยะ กวาดถนน การสร้างสะพานข้ามคลอง การทำทางระหว่างหมู่บ้าน ควรเป็นหน้าที่ของ อปท. จะขุดบ่อน้ำตรงไหน เป็นรูปอะไร ก็ให้เขา ตัดสินใจได้” อย่างที่เรารู้กัน แนวคิดนี้ถูกทำให้เป็นจริง แล้วพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของ องค์การบริหาร ส่วนตำบล (อบต.) และ องค์การบริหารส่วน จังหวัด (อบจ.) ซึ่งผู้หลงอำนาจใหม่ส่วนหนึ่ง ได้ ผันตัวจากหัวคะแนนมาเป็นมาเฟียท้องถิ่นที่มี กฎหมายรองรับ ทำให้บ างคนมองวา่ สิง่ ท ผี่ า่ นมา คือร่องรอยของความล้มเหลว “รูปแบบของการปกครองส่วนท้องถิ่น จะ ไม่เป็นการส่งเสริมให้ อปท. มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด แต่ให้ อปท. ถูกกำกับโดยประชาชน เป็นสมัชชาประชาชน ให้ประชาชนเข้ามายึดกุม อำนาจรัฐในระดับหนึ่ง และมีส่วนร่วมในการใช้ อำนาจ เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิด มาเฟีย ผูม้ อี ทิ ธิพลมายดึ ก็ย งั ม อี ยู่ แต่ถ า้ ป ระชาชนเข้าใจ
และกำกับด แู ลอย่างดี ทีส่ ำคัญป ระชาชนเลือกได้ เป็นได้ 4 ปี ถ้าไม่ดี เขาก็ไม่เลือก” อีกนวัตกรรมหนึ่งของการกระจายอำนาจ ที่เกิดขึ้นแล้ว คือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ใกล้ตัวคนเมืองอย่าง ‘กทม.’ ซึ่งมีลักษณะเป็น เขตปกครองพิเศษที่มีระบบสภา และการบริหาร ที่ค่อนข้างเป็นเอกเทศจากรัฐบาลกลาง “กทม. ก็คือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะต้องให้อำนาจ กทม. มากขึ้น แล้วก็ต้องแยก เรื่องของ กทม. กับประเทศไทย ออกเป็นคนละ เรื่อง รัฐบาลตั้งอยู่ในกรุงเทพฯได้ แต่ต้องดูเรื่อง ของประเทศไทย ถ้าเป็นเรือ่ งของ กทม. ก็ให้ กทม. ดูแล เช่น เรื่องรถไฟใต้ดิน เป็นเรื่องคน กทม. ฉะนั้น คน กทม. ต้องเสียภาษีเข้า กทม. แล้ว เอามาสร้าง แต่ตอนนี้ภาษีรัฐบาลเก็บรวม ยังไม่ กระจายลงไปให้ท อ้ งถนิ่ ถ้าก ระจายไปให้ถ กู ต อ้ ง กทม. ก็จะเก็บภาษีได้เยอะ และสามารถสร้างได้ ไม่ต อ้ งเอาภาษีจ ากชาวนาทแี่ ม่ฮอ่ งสอน มาสรา้ ง รถไฟให้คนกรุงเทพใช้ ซึ่งมันไม่แฟร์” ในค วามเ ป็ น จ ริ ง กรุ ง เทพฯก็ เ ป็ น อี ก สัญลักษณ์ห นึง่ ข องการรวมศนู ย์ท างอำนาจ ทัง้ ใน เรือ่ งราชการ เศรษฐกิจ การศกึ ษา เมือ่ ร ะบบเมือง โตขึ้น ช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทที่ถูกถีบ ออกจากกันมากขึ้น สิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร หลายอย่างถูกบั่นทอนด้วยระยะทาง คนเมือง ไม่เคยรสู้ กึ ข าดแคลนอำนาจ ในขณะทกี่ ารปฏิรปู โครงสร้างเป็นเรื่องใหญ่โตของคนชนบท “จริงๆ ความมั่งคั่งทั่วประเทศมันถูกดูด มารวมที่ใกล้กรุงเทพฯ เพราะอำนาจรัฐ (Force of Attraction) เป็ น แ ม่ เ หล็ ก ดึ ง ดู ด กิ จ กรรม ทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่ง ถ้าอำนาจรัฐไป ตั้งที่ไหน กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะไปเกิดอยู่ รอบๆ แถวนั้น ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจะถูกดึงดูด ไปกระจุกตัวที่ศูนย์กลางอำนาจ ฉะนั้น เมื่อเรา เอาอำนาจรัฐเกือบทั้งหมดไว้ที่กรุงเทพฯ มันก็ เลยเจริญเอาๆ กิจกรรมเศรษฐกิจคึกคัก วุ่นวาย เป็นศูนย์กลางทุกอย่าง ศูนย์กลางการค้า การ ปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม อำนาจ “มาเลเซียเจริญกว่าไทย รายได้ต่อหัวเขา สูงกว่าเรา เพราะเขามีการกระจายอำนาจรัฐ แล้วก็มีเมืองระดับรอง ที่ต่างจากเมืองหลวงไม่ มาก เมืองจีนก็มีเมืองใหญ่ๆ ที่เจริญทัดเทียม ปักกิ่ง จริงๆ เซี่ยงไฮ้ก็เจริญกว่าปักกิ่ง เพราะเขา กระจายทวั่ ภ มู ภิ าค จริงๆ จุดร ากเหง้าข องมนั ค อื อำนาจรฐั ท รี่ วมศนู ย์ เรากต็ อ้ งชว่ ยกนั ค ดิ ช่วยกนั แก้ปัญหาต่อไป”
13
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ได้ตามธรรมชาติ แต่คนที่ มีอำนาจแต่ก่อนเก่า จะพยายามถ่วงไม่ให้ เกิดก ารเปลี่ยนแปลง เนื่องจากภายใต้ระบบเก่า เขามีอำนาจ สุขสบาย คนที่ถูกกดทับ ก็ดิ้นรน อยากให้เปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ เรียกร้องให้ มีความเท่าเทียมกัน มากขึ้น
14
ชีวิตสมดุล ศรีศักดิ์ พิกุลแก้ว
คืนชีวิต คืนสิทธิ์ คืนโฉนดสู่ชุมชน เ
มื่อพูดถึงอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม หลายคนอาจนึกถึงแต่สถานที่สำคัญ ทางพุทธศาสนา จะมีใครทราบว่า อีกด้านหนึ่งของอำเภอนี้ มีชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง สามารถรวมพลังก นั พ ฒ ั นาตวั เองสพู่ นื้ ทีน่ ำร่องอนั เป็นห มุดห มายสำคัญข องกระบวนการ ปฏิรูปที่ดินประเทศไทย ‘ชุมชนบา้ นคลองโยง’ เป็นท ยี่ อมรับในวงกว้างวา่ เกิดข นึ้ จ ากการรวมตวั ก นั เหนียว แน่นเป็นปึกแผ่นของชาวบ้านธรรมดา เพื่อต่อต้านไม่ให้กลุ่มทุน และฝ่ายอำนาจรัฐ เข้า มาฮุบผืนนา ที่พวกเขาอาศัยทำกินมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ตามประวัตบิ า้ นคลองโยง พืน้ ทีบ่ ริเวณนเี้ ดิมทีเป็นข อง หม่อมเจ้าห ญิงป ระไพพศิ พระธดิ าในรชั กาลที่ 4 ซึง่ ท รงอนุญาตให้ป ระชาชนเข้าม าอาศัยท ำกนิ ได้ จนกระทัง่ ภ ายหลัง เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่ดินเกือบทั้งหมดได้ถูกโอนกรรมสิทธิ์เป็นของราช พัสดุ ขึน้ ต รงตอ่ ก รมธนารักษ์ หลังจ ากนนั้ ได้ม กี ารจดั สรรทดี่ นิ ให้ป ระชาชนทำการเกษตร ครอบครัวละ 20 ไร่ และคิดค่าเช่าไร่ละ 200 บาทต่อปี ปี 2518 มีการประกาศ ‘พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518’ กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงได้ริเริ่มโครงการกองทุนหมุนเวียนเพื่อจัดหาที่ดินทำกิน ให้เกษตรกร โดยใช้ง บประมาณสว่ นหนึง่ จ ากภาครฐั เป็นเงินท นุ จ ดั ซ อื้ ท ดี่ นิ และให้ส หกรณ์ เป็นผู้เช่าซื้อต่ออีกทอดหนึ่ง ‘สหกรณ์เช่าที่ดินคลองโยง’ ตั้งขึ้นมา เพื่อรับหน้าที่สำคัญนี้ ครัง้ น นั้ มีก ารตกลงซอื้ ข ายกนั ในราคา ไร่ล ะ 2,500 บาท รวมเป็นเงินร าว 4.5 ล้าน บาท แต่หลังจากที่ดำเนินการไปแล้ว สิทธิ์ ในการถือครองที่ดินก็ยังไม่ตกมาถึงมือของ สหกรณ์ฯ กลุ่มชาวบ้านก็ได้พยายามรวมตัว กั น เ พื่ อ ผ ลั ก ดั น เ รื่ อ งนี้ ม าโ ดยต ลอด แต่ หน่วยงานเกีย่ วข้องกลับน งิ่ เฉย ไม่เร่งด ำเนิน การ ทำให้ ‘คลองโยง’ กลายเป็นมหากาพย์ การต่อสู้เพื่อที่ทำกิน ที่มีปัญหาคาราคาซัง มากว่า 30 ปี กระบวนการสูญเสียที่ดินของเกษตรกร โดยป กติ การสู ญ เ สี ย ที่ ดิ น ข อง เกษตรกรไ ทยเ ท่ า ที่ ผ่ า นม าจ ะเ กิ ด จ าก 2 ปั จ จั ย ห ลั ก คื อ ปั จ จั ย ด้ า นโ ครงสร้ า ง เศรษฐกิจที่รัฐต้องการสร้างความเติบโตให้ แก่เมืองและภาคอุตสาหกรรม ราคาสินค้า เกษตรถกู ก ำหนดให้ต ำ่ ในขณะทมี่ ลู ค่าส นิ ค้า อุตสาหกรรมถูกกำหนดให้สูง โครงสร้าง เศรษฐกิจที่บิดเบือนดังกล่าว ทำให้ชาวนา ประสบปัญหาหนี้สิน จนต้องเป็นเหยื่อการ กว้านซื้อที่ดินของกลุ่มทุน
อีกปัจจัยหนึ่งคือ ระบบกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่มาพร้อมกับระบบเสรีนิยม การตัดสินใจขายที่ดิน เป็นธุรกรรมระหว่าง เจ้ า ของกั บ ผู้ ซื้ อ ชุ ม ชนไ ม่ มี อ ำนาจม า ควบคุมกำกับ หรือบังคับไม่ให้เปลี่ยนการ ใช้ประโยชน์ผืนดินนั้น จากการทำนา ทำไร่ ไปท ำธุ ร กิ จ อ ย่ า งอื่ น ซึ่ ง ส่ ง ผ ลกร ะท บต่ อ ทรัพยากรของส่วนรวม แต่ในความเป็นจริง ยังมีอีกสาเหตุ หนึ่งที่อยู่นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น คือ การป ระกาศพื้ น ที่ เ ขตป่ า อ นุ รั ก ษ์ แ ละป่ า สงวนแห่งชาติ หรือประกาศการครอบครอง สิทธิ์ในรูปแบบต่างๆ ทับซ้อนพื้นที่ทางการ เกษตร จนท ำให้ ช าวบ้ า นต้ อ งเ สี ย พื้ น ที่ ดังกล่าวไปโดยไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ในกรณีของชุมชนคลองโยง เราจะ พบว่ามีลักษณะสอดคล้องกับการเข้าถือ ครองโดยรัฐ มากกว่าที่จะเกิดจากปัจจัย ด้านเศรษฐกิจ หรือก ารใช้ป ระโยชน์จ ากทดี่ นิ ผิดประเภท
ตั ว บ ทก ฎหมายกั บ ส ภาพค วามเ ป็ น จ ริ ง เนื่องจากพื้นที่เดิมมีสภาพเป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 ระบุว่า “ที่ดินราชพัสดุ ไม่ ค วรโ อนก รรมสิ ท ธิ์ ใ ห้ แ ก่ ส หกรณ์ นิ ค ม หรือองค์กรอื่นใด และควรดำเนินการจัด ทำสัญญาเช่า” ทำให้ไม่สามารถโอนที่ดินดัง กล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านได้ แม้จะมี การเช่าซื้อก่อนไปแล้วหน้านี้หลายสิบปี ด้วยความไม่ชัดเจนดังกล่าว จึงนำไป สู่การชุมนุมใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาล จนกระทัง่ ร ฐั บาลได้ต งั้ คณะกรรมการ อำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่าย ปฏิ รู ป ที่ ดิ น แ ห่ ง ป ระเทศไทย และมี ม ติ คณะรัฐมนตรี เมื่อ 30 มีนาคม 2553 ว่า ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี 25 ธันวาคม 2544 เพื่อเปิดช่องให้กรมธนารักษ์สามารถ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุคลองโยงเนื้อที่ 1,803 ไร่เศษ ให้ส หกรณ์เช่าท ดี่ นิ คลองโยงได้ เมื่ อ ไ ด้ รั บ ที่ ดิ น ม าแ ล้ ว ก็ เ ป็ น ง าน ในส่วนของสหกรณ์ นำไปบริหารจัดการ การทับซ้อนของกฎหมายและความจริง เพื่อประโยชน์แก่สมาชิกตามวัตถุประสงค์ ปัญหาทดี่ นิ ข องสหกรณ์เช่าท ดี่ นิ ค ลอง เดิม เป็นที่มาของโฉนดชุมชนฉบับแรกของ โยง เกิดจากความไม่สอดคล้องกัน ระหว่าง ประเทศไทย
15 โฉนดชมุ ชน การปรับป ระยุกต์เพือ่ ฟ นื้ ฟูอ ำนาจ ของคนธรรมดา แนวคิ ด ‘โฉนดชุ ม ชน’ นั้ น เป็ น สิทธิในการบริหารจัดการร่วมกันของทุก คน โดยได้นำรูปแบบการอาศัยพึ่งพากัน ในชุมชนแบบดั้งเดิมของไทย ผนวกเข้ากับ การถือครองกรรมสิทธิ์ขาดในที่ดินแบบ สากล ซึ่งทำให้ที่ดินทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็น เขตแดนที่ดินของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ ยั ง มี ข อบเขตอ ำนาจข องชุ ม ชนทั บ ซ้ อ น กำกับไว้ด้วย บุญล อื เจริญม ี ประธานสหกรณ์เช่า ทีด่ นิ ค ลองโยง เล่าให้ฟ งั ถ งึ ทีม่ าของแนวคิด โฉนดชุมชนว่า “เราต่ อ สู้ เรื่ อ งสิท ธิที่ ดิน เป็ นเรื่อ ง
หลัก เราอยากให้ชาวบ้านมีสิทธิ์ในพื้นที่ที่ ทำมาหากินมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ส่วน โฉนดชุมชนเป็นเรื่องรอง แรกๆ ชาวบ้าน อยากได้สิทธิเป็นรายปัจเจก แต่เมื่อมาคุย กันว า่ พ นื้ ทีข่ องเราคอ่ นขา้ งลอ่ แ หลมตอ่ ก าร ถูกนายทุนซื้อ เพราะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ จึงค ดิ ว า่ แ นวทางโฉนดชมุ ชนนา่ จ ะใช้ได้ก บั พื้นที่คลองโยง” โฉนดชุมชนของชาวคลองโยงอาจ จะเป็นเรื่องแปลกอยู่สักหน่อย เนื่องจาก ไม่ได้เป็นโฉนดที่ดินให้เปล่าโดยรัฐ เพราะ ทีด่ นิ ผ นื ด งั ก ล่าวนชี้ าวบา้ นมกี ารผอ่ นชำระ ค่างวดไปแล้ว 5.7 ล้านบาท มาตั้งแต่ปี 2519 จากมูลค่าทั้งหมด 6.9 ล้านบาท รัฐบาลจึงดำเนินการมอบเงินส่วนที่ยังค้าง
ให้สหกรณ์ฯ นำไปจ่ายกรมธนารักษ์ เพื่อ รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาครอบครองอย่าง สมบูรณ์ หลังจากนั้น สำนักนายกรัฐมนตรี จึงจัดทำโฉนดชุมชนขึ้น และได้มอบให้ กับชาวคลองโยงในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 ต่ อ ก รณี นี้ คลองโ ยง น่ า จ ะเ ป็ น ตัวอย่างนำร่องแก่ชุมชนที่ตั้งอยู่บนที่ดิน ราชพัสดุได้ แต่สำหรับชุมชนในเขตพื้นที่ ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ก็อาจจะ ต้องมีการสืบประวัติการครอบครองที่ดิน อีกร ปู แ บบหนึง่ รวมทงั้ ว ธิ กี ารออกโฉนดชมุ และกฎหมายรองรับก อ็ าจจะตอ้ งมลี กั ษณะ เฉพาะที่แตกต่างกันไป
เพื่อชุมชน ต้องจัดการแบบสหกรณ์ ด้ า นแ นวทางบ ริ ห ารจั ด การพื้ น ที่ หลังได้รับมอบกรรมสิทธิ์ ชาวคลองโยงมี มติร ว่ มกนั ว า่ จะใช้ก ารบริหารแบบสหกรณ์ โดยมขี อ้ ค วรระวังส ำคัญค อื ห้ามให้เกิดก าร เปลี่ยนมือผู้ถือครองไม่ว่ากรณีใด หลักก ารใหญ่ คือ ผูม้ กี รรมสิทธิต์ อ้ ง เป็นสมาชิกสหกรณ์ รับช่วงต่อด้วยระบบ ทายาทเท่านั้น และต้องใช้ประโยชน์ที่ดิน ทำการเกษตร ห้ามปล่อยทิ้งรกร้างหรือ ทำกิจกรรมอื่นใดเด็ดข าด โดยมีระยะเวลา ของโฉนด 25 ปี และต่อใบอนุญาตได้ตาม เงื่อนไขที่กำหนด ในส่วนที่ระบุว่า “ต้องใช้ที่ดินเพื่อ ทำการเกษตรเท่านั้น” จะเป็นการจำกัด สิทธิ์ของชาวบ้านมากเกินไปหรือไม่นั้น เป็นส ว่ นทคี่ นในชมุ ชนตอ้ งรว่ มกนั พ จิ ารณา ให้ดี เนื่องจากอาจก่อให้เกิดปัญหาการ ผูกขาดการจดั สรรทรัพยากรทดี่ นิ ท จี่ ำเพาะ เจาะจงแก่กลุ่มเกษตรกรจนเกินไป จน ทำให้ไม่มีการขยับขยายใช้ประโยชน์ที่ดิน ในรูปแบบอื่นเลย นอกเหนือไปจากเรื่องโฉนดชุมชน อีกหนึ่งข้อเสนอที่ชาวคลองโยงอยากให้รัฐ เข้ามาช่วย คือ จัดตั้ง ‘ธนาคารที่ดิน’ เพื่อ
เข้าม าดแู ลการจดั ซ อื้ ท ดี่ นิ บ างสว่ นซงึ่ ก ลาย เป็นก รรมสิทธิข์ องเอกชน แล้วน ำมาจดั สรร ให้แก่เกษตรกร และผู้ประสงค์จะเช่า ทำ ประโยชน์ในที่ดิน เพื่อป้องกันปัญหาที่ดิน หลุดมือไปสู่นายทุน แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลทั้งในปัจจุบัน และอนาคตต้องคำนึงถึงโดยมองข้ามไม่ ได้ คือ สถานะทางกฎหมายของระบบ โฉนดทดี่ นิ ช มุ ชน ต้องมคี วามชดั เจนเพือ่ ให้ สิทธิข องชมุ ชนได้ร บั ก ารรบั รองถกู ต อ้ งตาม กฎหมาย เนือ่ งจากปจั จุบนั ม เี พียงระเบียบ สำนั ก น ายกรั ฐ มนตรี เ ท่ า นั้ น ที่ รั บ รอง สถานะการมีอยู่ของโฉนดชุมชน ซึ่งหาก ปราศจากหลักยึดทางกฎหมายแล้ว ความ พยายามที่หลายฝ่ายร่วมมือกันทั้งหมด ก็ อาจกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า
ราคา ปัญหาหนี้สินก็ตามมา จากปัญหาดังกล่าว จึงเป็นที่มาของ แนวคิดร ว่ มกนั ล ดละและเลิกก ารใช้ส ารเคมี เพื่อให้ทั้งคนและข้าวหลุดออกจากวงจร วิกฤติน ี้ แต่น นั้ ไม่ใช่เรือ่ งงา่ ย เนือ่ งจากเป็น แนวทางทสี่ วนกบั ก ระแสความเชือ่ ข องโลก ปัจจุบัน ที่เกือบทุกปัญหาแก้ได้โดยด้วย สารเคมี “วันนี้ชาวบ้านคลองโยงเกือบทั้ง ชุมชนพร้อมใจกันจะกลับไปทำการเกษตร โดยไม่พึ่งสารเคมี ใช้ชีวิตแบบบรรพบุรุษ แต่ก็คงเริ่มแบบค่อยๆ ทำ เพราะชาวบ้าน ยังมีหนี้อยู่อีกมาก ชาวบ้านมีความคิดแน่ว แน่ท จี่ ะทำให้ช มุ ชนบา้ นคลองโยงเป็นช มุ ชน ปลอดสารพษิ ปลอดหนีส้ นิ ใช้ช วี ติ แ บบพอ เพียง ทำให้พ อกนิ พ อใช้ก อ่ น เหลือม ากแล้ว ค่อยเก็บขาย” บุญลือกล่าว การได้รับโฉนดชุมชนอาจเป็นอีก หนึ่งปัจจัยที่ทำให้ชาวบ้านได้เริ่มต้นปรับ เปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะมั่นใจแล้วว่า เสียง เรียกร้องของตนได้รับการตอบกลับเป็น ความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างจริงจัง และในส่วนของรัฐเองก็มีความจริงใจที่จะ ช่วยเหลือชาวบ้าน ทำให้ทุกคนกล้าที่จะ ตัดสินใจปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกษตร
ปรับแนวคิดเพื่อวิถีแห่งค วามยั่งยืน ไม่ต่างจากเกษตรกรในชุมชนอื่นๆ ที่ผ่านมาชาวคลองโยงก็ยังยึดวิธีการทำ เกษตรแผนใหม่เป็นหลัก มีการใช้ปุ๋ยเคมี และยากำจัดศัตรูพืชอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้ ต้นทุนการทำนาสูงขึ้น สุดท้ายผลที่เกิดขึ้น คือ สุขภาพของทงั้ ด นิ แ ละชาวนาทรุดโทรม คุณภาพของผลผลิตตกต่ำ เมื่อข้าวไม่ได้
ออกจากวัฏจักรของเกษตรเคมี ไปสู่ชีวิต แบบเดิมๆ กับวิถีธรรมชาติ หากระบบโฉนดที่ดินชุมชนมีความ ลงตั ว ก็ จ ะเ ป็ น แ นวทางส ำคั ญข องก าร ปฏิรูปนโยบายกฎหมายที่ดิน ที่จะตอบ สนองความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ไม่มี ที่ดินทำกิน ซึ่งหากนำไปประสานกับการ ผลักดันนโยบายด้านอื่นๆ เช่น นโยบาย ด้านภาษีอัตราก้าวหน้า การกระจายการ ถื อ ค รองที่ ดิ น การพั ฒนาเ กษตรกรรม ยัง่ ยืน การจดั การทรัพยากรโดยชมุ ชน และ เศรษฐกิจช มุ ชนพงึ่ ต นเอง อันจ ะนำไปสกู่ าร จัดความสัมพันธ์ใหม่กับระบบตลาด และ โครงสร้างเศรษฐกิจให้มีดุลยภาพยิ่งขึ้น
ข้อมูลอ้างอิง ‘โฉนดชุ ม ชนท างเ ลื อ กข องก ารจั ด การที่ ดิ น แ ละ ทรัพยากรอย่างยั่งยืน’ จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน www. midnightuniv.org ‘โครงการศกึ ษาระบบสทิ ธิในทดี่ นิ ของชมุ ชนทเี่ หมาะ สม’ โดย ผศ.อิทธิพล ศรีเสาวลักษณ์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ‘โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการจัดการที่ดินใน เขตป่าของชุมชนจังหวัดแม่ฮ่องสอน’ โดย อารยะ ภูสาหัส (นักวิจัยอิสระเพื่อการพัฒนาสังคม)
16
เติมหัวใจใส่เงิน
พีชศิลป์ ชนินทร์พงศธร
ภาพ: ชัชชญา วุ่นจินา
ธุรกิจมีหัวใจ
หาก
ไ ข่ ไ ก่ อ า ร ม ณ์ ดี คุณกำลังอิ่มเอมใจไปกับโฆษณาสินค้าสักตัว
ด้ ว ยเ หตุ ผ ลว่ า โ ฆษณาชิ้ น นั้ น แ สดงค วาม รับผ ดิ ช อบอนั ด อี ย่างใดอย่างหนึง่ ต อ่ ส งั คม ไม่ว า่ จ ะเป็นส ร้าง จิตสำนึกดี รักสุขภาพ รักครอบครัว รักษ์โลก ร่วมประหยัด พลังงาน สนับสนุนการศึกษา สร้างฝันเยาวชน ทั้งหมด อาจพูดได้ว่า เป็นวิธีสื่อถึงตัวสินค้าในรูปแบบเกาะเกี่ยวกับ คุณธรรม ค่านิยม วิถีปฏิบัติ แบบที่จิตสำนึกเราคอยเตือนให้ มองหา ‘หัวจิตหัวใจ’ ท่ามกลางทุนนิยมได้อย่างเหมาะเหม็ง ถูกอารมณ์คนปัจจุบัน บทบาทที่องค์กรธุรกิจแสดงออกมาลักษณะนี้ เป็นที่ รู้จักกันดีในชื่อ ความรับผิดชอบทางสังคมเชิงบรรษัท (Corporate Social Responsibility: CSR) ซึ่งเดิมทีนั้น ถูก ออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องถ่วงดุลองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่ แสวงหากำไรให้หันมารู้จัก ‘ตอบแทน’ สังคมบ้าง และไม่ว่า จะอยู่ในรูปแบบโฆษณาหรือกิจกรรม โครงการขององค์กร ต่างๆ เหล่านั้น ก็ยังคงแอบอยู่กับการประชาสัมพันธ์สินค้า และที่สำคัญคือ เป็นวิธีเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรอย่างดี เยี่ยม ทว่า ณ ปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจของบางองค์กรก้าว ข้าม CSR สู่การเป็น กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) มุง่ ด ำเนินก จิ การตามกลไกตลาดเพือ่ บ รรลุผ ลประโยชน์ ทางสังคม สิ่งแวดล้อม และการเงิน ไปพร้อมกัน หรือพูด ง่ายๆ คือ สังคมมาก่อนกำไร
ปล่อยไก่
ต่างจากผเู้ ลีย้ งไก่ร ายอืน่ ๆ อุดมชยั ฟ าร์ม อำเภอพระพุทธบาท จังหวัด สระบุรี เป็นหนึ่งในกลุ่มกิจการเพื่อสังคมของประเทศไทย เพราะผลิตไข่ไก่ โดยใช้วิธีเลี้ยงแบบปล่อยไก่ตามธรรมชาติมานานกว่า 50 ปี ทิพย์-สุธาทิพย์ แสงวัฒนกุล อดีตตำรวจตระเวนชายแดนผู้ทิ้งงาน ราชการมาหาไก่ ในฐานะผดู้ แู ลดา้ นการตลาดของอดุ มชยั ฟ าร์ม ซึง่ เป็นธ รุ กิจ ในครอบครัว ทิพย์ ให้ข้อมูลเรื่องการ ‘ปล่อยไก่’ ว่า “ลักษณะการเลี้ยงของเราไม่เหมือนเพื่อน เราไม่ขังไก่ เราปล่อย ไก่ เพราะเขาทรมาน ธรรมชาติของสัตว์คือวิ่งเล่น ในแวดวงคนเลี้ยงไก่ ด้วยกันเราจะเป็นคนที่เชย เราเลี้ยงตามวิถีบรรพบุรุษ ใช้สายลม แสงแดด ตามธรรมชาติ เราเชื่อว่าธรรมชาติให้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ทำอะไรที่ผิดเพี้ยนจาก ธรรมชาติ เราก็ไม่ได้มีอะไรวิเศษวิโสหรอกนะ ก็คือธรรมชาตินั่นแหละ” เป็นธรรมดาของธรรมชาติ ที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ สวนทาง กับความต้องการของคน ไข่ไก่ก็เช่นกัน ไข่ลูกใหญ่ และสีสวย ย่อมเป็นที่ ต้องการของคนมากกว่า “เราฝา่ ฟันก บั ค วามคดิ แ ปลกแยกจากคนอนื่ ม านานพอสมควร ไข่ท เี่ รา ได้ม าคนกจ็ ะบอกวา่ ส ไี ม่ส วยเมือ่ เอาไปเทียบกบั ไข่ท ไี่ ด้จ ากกรงตบั (กรงเลีย้ ง ไก่แบบเป็นแถวยาว อาจซ้อนกัน 2-3 ชั้น มีพื้นที่สำหรับไก่เพียงประมาณ 20 ตารางเซนติเมตร ต่อ 1 ตัว นิยมใช้สำหรับเลี้ยงไก่ไข่ขาย เพราะสะดวก แก่การเติมอาหาร เก็บไข่ และทำความสะอาดมูลไก่) เพราะเราไม่ใส่สารสี แต่กรงตับเขาให้อาหารที่มีการผสม Red Chlorophyll ลงไป กำหนดสีได้ว่า จะเอาเฉดส้มขนาดไหน ซึ่งคนไทยชอบ”
จุดเริ่มต้นสู่ธรรมชาติ
เริ่มแรก อุดมชัยฟาร์มยังเลี้ยงไก่แบบใช้ยาปฏิชีวนะ แต่เมื่อน้องสะใภ้ผู้ดูแล การขายของครอบครัวล ม้ ป ว่ ยดว้ ยโรคมะเร็ง ทิพย์พ ยายามเสาะหาทกุ ต ำราสขุ ภาพ เพื่อดูแลน้องสะใภ้ แนวคิดการดำเนินธุรกิจจึงเริ่มเปลี่ยนไป “การเลี้ยงแบบปล่อยไก่ ต้องเลือกอาหารที่สมดุลทางโภชนาการ หากซื้อ อาหารจากผคู้ า้ ร ายอนื่ จ ะคมุ ค ณ ุ ภาพไม่ได้ หากสารอาหารไม่เพียงพอ ไก่จ ะมอี าการ เครียดและจิกตีกันจนตาย” ทิพย์เริ่มต้นด้วยการผสมอาหารเอง โดยนำขี้ไก่ไปแลกเปลี่ยนกับข้าวโพด จากชาวไร่ ชาวไร่ก็นำเอาขี้ไก่ไปเป็นปุ๋ย ใช้ระบบแลกเปลี่ยนระหว่างเกษตรกรด้วย กัน ไม่ต้องเสียสตางค์เพิ่ม “ตอนนนั้ เราคยุ ก นั ในครอบครัว รูว้ า่ ม าถกู ท างแล้วเรือ่ งสวัสดิภาพสตั ว์ (Animal Welfare) แต่ในรายละเอียดที่จะไปให้ลึกกว่านั้น คือการทำให้เป็นออร์แกนิก มันยังไปไม่ถึง เพราะทุกๆ วันเรายังเลี้ยงไก่ ยังใช้ยา เพราะไก่เราเยอะ การถอนยา ออกไม่ใช่เรื่องง่าย เมืองไทยอากาศร้อน มันเป็นโรคประจำถิ่น หากเลี้ยงไก่เยอะๆ มันยังจำเป็นต้องพึ่งยาปฏิชีวนะสารพัด” เมื่อเกิดวิกฤติไข้หวัดนกในปี 2546-2547 อุดมชัยฟาร์มเป็นหนึ่งในไม่กี่ แห่งที่เหลือรอดมาได้ ทั้งที่ตอนนั้นไข่ไก่ราคาตกลงเหลือเพียงฟองละ 50 สตางค์ หนำซ้ำยังถูก ‘ชักดาบ’ โกงค่าไข่ ทำให้รายจ่ายเพิ่มทวีคูณ จึงจำเป็นต้องขายราคา ขาดทุนเพื่อความอยู่รอด หลังผ า่ นพน้ ว กิ ฤติ ทิพย์ก ลับม าทบทวนวา่ จ ะไปตอ่ ท างไหน จึงล ดปริมาณไก่ จากหลักแ สนเหลือเพียงหลักห มืน่ หันม าใช้ร ะบบการจดั การดา้ นความปลอดภัยท าง ชีวภาพ (Biosecurity) โดยใช้ส มุนไพรไทยและนำ้ ห มักช วี ภาพแทนยาปฏิชวี นะ ดูแล รักษาสภาพแวดล้อม ปลูกต้นไม้เพิ่ม รักษาระบบนิเวศ เพื่อให้มีอากาศที่ดีและ ปลอดโปร่งบ ริเวณฟาร์มไก่ จนในทส่ี ดุ กส็ ามารถถอนยาปฏิชวี นะออกจากฟาร์มสำเร็จ “มันค่อยๆ เริ่ม ไม่ใช่ปุบปับเป็นออร์แกนิค มันมีที่มาที่ไป ที่สำคัญคือเวลา ในการปรับเปลี่ยน มันมีความเจ็บปวดระหว่างทาง มันมีเหตุ มีสิ่งที่เรารู้ว่า ถ้าเดิน ไปทางนี้ เราจะเดินสู่เส้นทางแห่งความตาย สุขภาพเราจะย่ำแย่ ธุรกิจเราก็จะไป ไม่รอด” กระทัง่ น อ้ งสะใภ้จ ากไป ทิพย์ต ดั สินใจยา้ ยมาอยูท่ กี่ รุงเทพฯ และเริม่ ห นั ห ลัง ให้ฟ าร์ม จนแทบจะถาวร โชคดที รี่ ะหว่างนนั้ น ำไข่ไก่ม าวางขายทรี่ า้ นอาหารมงั สวิรตั ิ ‘บ้านสวนไผ่’ เป็นจุดเริ่มต้นให้พบกับกลุ่มผู้มีความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์ ลูกค้าจึงชักชวนทิพย์ให้นำไข่ไก่ไปวางขายที่โรงเรียนรุ่งอรุณ เขตจอมทอง “โรงเรียนมีนโยบายให้ทุกคนหิ้วตะกร้ามา หรือแพ็คเก่ายี่ห้อไหนก็ได้ คุณไม่ ต้องทิ้งนะ คุณเอากลับมา เราจะหิ้วไข่เป็นมัดๆ ไปจัดใส่แพ็ค เป็นการรียูส ไม่สิ้น เปลือง เขาประหยัดค่าที่จะต้องมาซื้อแพ็คเกจเรา เราก็ไม่ต้องนั่งแพ็ค”
ธุรกิจใส่ใจ ไม่จำกัด
ไข่ไก่อารมณ์ดีของอุดมชัยฟาร์มเปิดตลาดอย่างไม่รีบร้อน จากวางขาย ในเลมอนฟาร์ม ร้านขายสินค้าอินทรีย์ กระทั่งมีโอกาสวางขายในห้างสรรพสินค้า ชั้นนำ แต่ด้วยราคาที่สูงกว่าไข่ไก่ปกติ จึงทำให้กลุ่มลูกค้ายังน้อย “เรามีค่าการจัดการนะ ไม่ใช่แค่เลี้ยงไก่อย่างเดียว เราทำสภาพแวดล้อมให้ ไก่ด้วย ดูแลธรรมชาติ ดูแลคนเลี้ยงด้วย เขาต้องตื่นตี 4 ตี 5 ประมาณ 5 โมงครึ่ง แล้ว เขาไม่ได้เซ็นชื่อออก ยังต้องผูกพันกับไก่ เช่น ดึกๆ อากาศเริ่มเย็นต้องตื่นมา ดูไก่ เปิดพัดลมแรงไปไหม ถ้าเปิดไว้ตอนเช้าไก่จะเป็นหวัด” ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นส นิ ค้าท ำกำไร แต่เหมือนสมาชิกในครอบครัวท ตี่ อ้ งคอย ประคบประหงม การดูแลไก่จึงต้องควบคุมใส่ใจอย่างดีในทุกขั้นตอน ไม่ใช่คอยแต่ เวลาออกไข่ “อย่าน กึ ว า่ ซ อื้ ไข่อ ย่างเดียว นึกไปถงึ แ ม่ไก่ด ว้ ยวา่ ทีต่ น้ ทางเขาอยูย่ งั ไง นึกไป ถึงค นปลูกข า้ วโพดดๆ ี ทำขา้ วดๆ ี คนทจี่ บั ป ลามาทำปลาปน่ คนทที่ ำกากถวั่ เหลือง ปลอดจีเอ็มโอ กว่าจะเป็นไก่ กว่าจะออกมาเป็นไข่” การทำสนิ ค้าเกษตรอนิ ทรียจ์ งึ ไม่ใช่เรือ่ งงา่ ย แม้แต่เกษตรอำเภอไปนงั่ ค ยุ ด ว้ ย ตัวเอง เกษตรกรยงั ไม่ย อมทำ เพราะไม่ม นั่ ใจปริมาณผลผลิตท จี่ ะได้ ทิพย์บ อกวา่ ถ้า ไม่ใช่ก ลุม่ ท มี่ งุ่ ม นั่ แ ต่แ รก บางทีต อ้ งเป็นกลมุ่ ค นทเี่ ดนตายจริงๆ ทีผ่ า่ นประสบการณ์ ไม่มีเงินซื้อปุ๋ยมาแล้ว ถึงจะพลิกมาอยู่กับธรรมชาติได้ “ภาครัฐเองก็มีงานอื่นๆ มากมายเกินกว่าที่จะให้เวลากับเรื่องสำคัญที่สุด ในชีวิต เรื่องกินเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่เราไปห่วงเรื่องอื่นๆ แล้วปล่อย เรื่องกินไปตามยถากรรม อยู่อันดับท้ายๆ เราบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสมอว่า อุดมชัยฟาร์มอาจเป็นแค่ตำนานของการเลี้ยงสัตว์แบบปล่อย กรมจะยังอยู่ แต่เรา
อาจไปก่อน เราพยายามพูดแสดงความคิดเห็น หวังว่าคนที่มีแรงในสังคมจะหันมาช่วย กระตุ้น” ปัญหาหนึง่ ท เี่ กษตรกรมกั พ บเมือ่ ร ฐั เข้าไปสง่ เสริมค อื องค์กรตา่ งๆ จะเข้าม าดงู าน จนชาวบ้านไม่มีเวลาทำมาหากิน เพราะต้องคอยมาบรรยายสรุปให้ฟัง สำหรับอุดมชัย ฟาร์มน นั้ ไม่อ นุญาตให้ค นนอกเข้า เนือ่ งจากตอ้ งรกั ษาความสะอาดและปอ้ งกันเชือ้ โรค ที่อาจปนเปื้อนติดมากับร่างกายผู้มาเยือน “เรือ่ งความสะอาดเป็นเรือ่ งสำคัญ เพราะถา้ เราสกปรกเมือ่ ไหร่ โรคจะมาเยือน แต่เราเป็นฟาร์มที่สะอาดมาก นั่นคือแหล่งที่เราจะผลิตอาหารให้คนกิน ทุกอย่างต้องดี สิ่งที่เราเอามาขายคือสิ่งที่ลูกเรากินได้ นั่นคือมาตรฐาน”
ตลาดไข่อ ินทรีย์
กระทรวงพาณิชย์พยายามหาลู่ทางให้มีสินค้าเกษตรอินทรีย์ แต่เพราะผู้ผลิตกับ ผู้บริโภคไม่มีโอกาสเจอกัน ทำให้เปิดตลาดยาก ตัวสินค้าก็ต้องมีคุณภาพ มีมาตรฐาน ซึ่งแน่นอนว่า คำว่ามาตรฐานหมายถึงเงินหลายแสนที่ต้องจ้างองค์กรเข้ามารับรอง ค่า ใช้จ่ายเหล่านี้ย่อมสูงกว่าระบบการเลี้ยงแบบคอนโดไก่ ยังไม่รวมถึงต้นทุนอาหารที่คัด วัตถุดิบ จำนวนไก่ที่น้อยกว่าต่อพื้นที่ ผลผลิตที่น้อยกว่า ราคาไข่ที่ขายแพงกว่าอาจ เทียบไม่ได้กับต้นทุน “การทำธุรกิจทุกๆ ตัวมันต้องดูต้นทุน ดูการจัดการ ที่เราทำมันเหมือนช่วงเวลา ผ่านมาเราค่อยๆ เปิดตลาด สิ่งที่เราพยายามทำคือดูแลคุณภาพของเราให้ดีที่สุด ทำ ไป ไม่ต้องบ่น กำไรของเราเป็นสตางค์ แต่กำไรที่ได้ไม่ใช่แค่เม็ดเงิน เราได้มากกว่านั้น ลูกค้าโทรมาขอบคุณที่ทำไข่แบบนี้ เพราะลูกชายของเขาทานไข่ของเราแล้วไม่แพ้ หรือ กลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคไต โรคมะเร็ง ต้องทานไข่ขาว เขารวมตัวกันซื้อไข่เรา ซึ่งเราไม่ได้คิด มาก่อนว่าไข่ของเราจะเป็นประโยชน์ต่อคนป่วย” นับว่าเป็น ‘Go Green’ ตามแบบฉบับสมัยใหม่ แต่ทิพย์เรียกว่า เป็นการ ‘คืนสู่ สามัญ คืนสู่ธรรมชาติ’ มากกว่า ตัวอย่างที่เห็นชัด เช่น ในสหรัฐอเมริกากำลังจะออก กฎหมายว่า ปี 2012 จะไม่มีกรงขังสัตว์ ทุกคนต้องเข้าสู่ระบบปล่อย จะเป็นออร์แกนิก หรือไม่ก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องมีสวัสดิภาพให้สัตว์มีสิทธิ์ดำรงชีวิตตามธรรมชาติ “ถามว่าสุดท้ายไก่ไปไหน ตายเหมือนกัน คนก็ตาย เพียงแต่การเดินทางในชีวิต ของเขา เขาจะอยู่ได้นาน อยู่ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง อยู่อย่างสบาย” ถึงจุดนี้ ทิพย์มีความสุข ภาคภูมิใจ และสุขใจที่ได้ทำสิ่งดีๆ ผลิตไข่ไก่ดีๆ ให้ผู้อื่น รับประทาน ไม่ว่าบทบาทไหน อาชีพไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่าชิ้นส่วนนี้คือเงื่อนไขสำคัญในการทำ ธุรกิจ ที่ทำให้กล้าบอกผู้อื่นได้เต็มปากเต็มคำว่าเรา ‘กำลังทำอะไร’ “ถ้าเราไม่เชือ่ ม นั่ ในสงิ่ ท ที่ ำ เราจะอยูไ่ ม่ได้ มันส ำคัญท วี่ า่ เนือ้ ในเราคอื อ ะไร บางที บอกว่าการทำธุรกิจเพื่อสังคมต้องจน มันไม่จำเป็น การทำธุรกิจของคนสมัยนี้กับคน สมัยก่อนไม่เหมือนกัน จะเห็นว่าระบบที่มันแย่ๆ โกงกันไปโกงกันมา เพราะคุณไม่มี คุณธรรม คิดแต่จะรับอย่างเดียว คุณทำนั่นนี่ แล้วเดี๋ยวก็ล้มบริษัท “แต่ทำธุรกิจแบบดั้งเดิม เราคิดถึงว่าคนรุ่นลูกเรา เขาจะยังสืบสานธุรกิจของ เราได้หรือเปล่า รุ่นพ่อแม่สร้างชื่อเสียงไว้ดี ใครๆ ก็อยากขายของให้เรา เราไม่โกงใคร มีเงินสดจ่ายสด เครดิตกี่วันจ่ายตามนั้น การรักษาคำพูดเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องแค่ว่า ทำไข่ แหม มีคุณค่า มันไม่ใช่ ทุกๆ ก้าวในการทำธุรกิจ ต้องคิดดี ทำดี คิดให้ถ้วนถี่”
18
ตอบปัญหาเศรษฐกิจ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทศพร มัณฑนวีรกุล ผู้ประกอบการรับทำป้ายโฆษณา
ธวัชชัย เกษคำขวา พนักงานบริษัท
มานพ ศรีทองสถิตย์ ผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์
สุภาพ วงศ์จักรคำ ข้าราชการบำนาญ
ไม่ทราบว่าการทรี่ ัฐจะลดวงเงินคุ้มครอง เงินฝากเหลือไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อ หนึ่งบัญชี ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม และ ปีหน้าว ันเดียวกันก็จะลดวงเงินคุ้มครอง เงินฝากอีกจนเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ผมควรจัดการเงินฝากอย่างไรดี เพราะกลัว กระทบเงินหมุนเวียนในร้าน
อยากจะทราบว่า ถ้าห ากขอกู้เงินซื้อ บ้านจากโครงการบ้านหลังแรก ดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ นาน 2 ปี ของธนาคาร อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในระหว่าง ที่ทำการผ่อนค่างวดอยู่ ธนาคารนำสินเชื่อ จำนองไปขายต่อในตลาดหุ้นกู้ (Bond Markets) ผมมีความเสี่ยงไหม
ผมมีโครงการจะขยายสินค้าไปทยี่ ุโรป ไม่ ทราบว่าการขยายอายุส ิทธิพิเศษทางภาษี ศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ของสหภาพ ยุโรปออกไปอีก 2 ปี จนถึง 31 ธันวาคม 2556 จะให้ผลดีต่อธุรกิจผมอย่างไรบ้าง
หลังเกษียณอายุได้เงินมาก้อนหนึ่ง แต่ว่า บ้านเดี่ยวในเขตชานเมืองก็ราคาแพงเกินที่จะ ซื้อได้ รัฐควรมีนโยบายในการช่วยเหลือ ข้าราชการบำนาญที่ต้องการซื้อบ้าน อย่างไร
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ: GSP อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่า คือ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ: การ ต้องดูว่าศักยภาพในการนำเข้าของตลาด เอาตราสารหนี้ไปขายต่อในตลาดหุ้นกู้ ยุโรปเพิ่มขึ้นหรือลดลง ถ้าภายใน 1-2 คือผ ปู้ ล่อยกจู้ ะเอาสนิ เชือ่ จ ำนองไปรวมๆ ปีนี้ ศักยภาพการนำเข้าไม่ได้เพิ่มขึ้น ยิ่ง กันแ ล้วแ ปลงเป็นห ลักท รัพย์ (Securitiza- ตอนนี้มาเจอปัญหาการล้มหนี้ในสเปน tion) ซึ่งตราสารจะโอนมือกันได้ เช่น ถ้า และโปรตุเกสอีก จนส่งผลต่อกำลังซื้อ สัญญาเงินกู้ 1 ล้านบาท ผู้ปล่อยกู้อาจ โดยรวมของคนในยุโรป เมื่อกำลังซื้อไม่มี จะเอาสัญญาไปขาย 1 ล้าน 5 หมื่นบาท ศักยภาพในการนำเข้าก็ลดลง นอกจากนี้ ในยุโรปกำลังจะเกิด โดยผซู้ อื้ ต ราสารนนั้ ห วังว า่ พ อครบกำหนด ผ่อนชำระแล้วจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าเงิน ปัจจัยขัดขวางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non Tariff Barriers: NTBs) ตัวใหม่ คือ Carที่จ่ายไป ผมว่ า ผู้ กู้ ไ ม่ น่ า ไ ด้ รั บ ผ ลกร ะท บ bon Footprint (CF) หมายความวา่ สินค้า เพราะไม่ว า่ ต ราสารจะเปลีย่ นมอื ไปกคี่ รัง้ ที่มาจากต่างแดน สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ผู้ กู้ ก็ ผ่ อ นต ามสั ญ ญาที่ เ ซ็ น ไ ว้ ตั้ ง แต่ ในก ารข นส่ ง ม ากๆ สิ น ค้ า เ หล่ า นั้ น ครั้งแรก น่าจะกระทบผู้ที่ถือสัญญาเงินกู้ ก็ จ ะถู ก ตั้ ง ก ำแพงเ นื่ อ งจากท ำให้ เ กิ ด สมมุ ติ ว่ า สั ญ ญากู้ มั น ล้ ม เ หลว ผู้ กู้ ไ ม่ คาร์ บ อนไดออกไซด์ ม าก สมมุ ติ ร าคา สามารถจ่ายเงินตามสัญญาได้ สัญญา สินค้า 100 บาท อาจถกู ก็บค ่าค าร์บอนฯ พวกนี้ก็จะกลายเป็น Subprime Loan 10 บาท เป็น 110 บาท เพราะฉะนั้น ใน 2-3 ปีข า้ งหน้า การทเี่ ราจะผลีผลามขยาย คือ สัญญาที่ไม่สามารถคืนเงินกู้ได้ ตลาดในยุโรปไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ: จริงๆ แล้วข้าราชการบำนาญนี่จัดว่าอยู่ในกลุ่ม ผูส้ งู อ ายุ (Ageing People) รัฐค วรจะสร้าง สิ่งที่เรียกว่า Ageing Community หรือ ชุมชนผู้สูงอายุ ซึ่งถือว่าเป็นบริการเชิง ประกันส งั คม อาจเป็นล กั ษณะทาวน์เฮาส์ หรือเป็นอาคารไม่เกิน 3 ชั้น ราคาก็ ไม่ควรตั้งจนสูงจนเกิน อยู่ในลักษณะที่ รัฐให้การสนับสนุนส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ การให้เปล่า ในชุ ม ชนค วรมี ลั ก ษณะอ ำนวย ความสะดวกแก่คนชรา มีโรงพยาบาล ผูด้ แู ล ร้านคา้ ต า่ งๆ แบบทตี่ า่ งประเทศทำ ผมคิดว่าถ้าเป็นบ้านคนแก่แล้วไม่ควร คิ ด ถึ ง บ้ า นเ ดี่ ย ว ยกเว้ น จ ะอ ยู่ กั บ ครอบครัว
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ: การ
ในราคาถูกลง ทั้งนี้ สินค้าบางอย่างต้องให้รัฐเข้า มาจดั การ อำนาจทมี่ นั อ ยูเ่ หนือต ลาด เป็น พลังทำให้ราคาสินค้าสูงเกินไป เช่น ไข่ใน ประเทศมรี าคาแพงสง่ ผ ลให้อ าหารมรี าคา แพง เราก็ไปสำรวจตลาดต่างประเทศ ที่ถูกกว่า แล้วก็นำเข้ามาเพื่อดึงราคาไข่ ในประเทศให้ต่ำลง
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ: ผม แปลกใจว่านโยบายนี้ ทำไปเพื่ออะไร แต่ ถ้ากังวลมากๆ จะแบ่งฝากเป็นหลายๆ บัญชีก็ได้ ส่วนในเรื่องของดอกเบี้ยก็ไม่มี ผลอะไร เพราะคิดเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ ของเงินฝากอยู่แล้ว อาจมีบางธนาคารที่ ฝากมากก็ได้ดอกเบี้ยมาก แต่นโยบายนี้ อาจส่ ง ผ ลใ ห้ ธ นาคารเ ล็ ก ๆ มี ปั ญ หา คนจะมีความรู้สึกว่าฝากเงินมากๆ น่า จะเลือกฝากธนาคารใหญ่ๆ ที่มีความ ปลอดภัยมากกว่า หลักประกันมากกว่า
แก้ปัญหาที่ตรงที่สุด คือการลดต้นทุน ก่อนอื่นต้องไปดูต้นทุนที่เพิ่มว่ามาจาก ส่วนไหน ผมยกตัวอย่างว่าการแก้ต้นทุน ในเชิงปริมาณ เช่น การเข้าสำรวจตาม รัฐออกมาควบคุมราคาขายปลีกอาหาร ตลาดต่างๆ หรืออาจไปซื้อจากผู้ผลิต ทำให้มีปัญหาเรื่องต้นทุนมาก จะลด โดยตรง หาแหล่งซื้อที่ถูกที่สุด อาจรวม ปริมาณก็กลัวขายไม่ได้ กลุ่มกับผู้ขายอาหารรายอื่นแล้วสั่งซื้อ ผมควรทำอย่างไรดี ในปริมาณมากๆ ก็น่าจะทำให้ได้สินค้า ประเสริม วงศ์วิไล ผู้ค้าขายอาหารรายย่อย
โลกเสมือน
19
ศรีศักดิ์ พิกุลแก้ว
จะ
ว ่าไปแล้ว หากปราศจากคนขับ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กรุงเทพฯ อาจจะกลายเป็นมหานครที่หยุดนิ่ง ไร้ ชีวิต ไร้ความเคลื่อนไหว ทั้งบนถนนใหญ่ และตามตรอกซอกซอย เขาเหล่านั้นต่างพยายามสอดส่าย หาพนื้ ที่ และชอ่ งทางขา้ มผา่ นชนชัน้ ต า่ งๆ ในสังคม พวกเขาวิ่งอยู่ระหว่างอาคาร สถานที่ต่างๆ และพวกเขาวิ่งอยู่ระหว่าง สั ง คมเ มื อ งแ ละสั ง คมช นบท พวกเ ขา บุรษุ (สตรี) ผูว้ งิ่ ข า้ มฝา่ ค วามแตกตา่ งของ สังคมไทย บรรดามอเตอร์ไซค์รับจ้างล้วนแต่ ดำรงอยู่ท่ามกลาง ‘ความสลับซับซ้อน ของสังคม’ หลายประการ ทั้งเชิงรูปธรรม และนามธรรม ในแง่โครงสร้างและสถานะ ทางสังคม ถ้ามองให้ลึกลงไป เราจะพบว่า นอกจากบทบาทในภาค ‘บริการ’ ทางดา้ น การขนส่งแ ล้ว บรรดาผสู้ วมเสือ้ ก กั๊ ห ลากสี ทั้งหลายยังมีอีกบทบาทหนึ่ง ที่สังคมไทย อาจมองข้ามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อระบบสังคมที่ห่างเหินกันถูก ร้อยเข้าหากันโดยมี ‘พี่วิน’ เป็นอุปกรณ์ เชื่อมต่อชั้นดี บทบาทที่ว่าของผู้อยู่หลัง อานมอเตอร์ไซค์ คือ เป็นต วั กลาง-ตัวเชือ่ ม ในหลายๆ เรื่อง ทั้งสังคมเมืองและสังคม ชนบท และตัดข้ามผ่านความแตกต่าง ทางชนชั้นในสังคมไทย
บทบาทที่แท้ของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ภาพ: ศรีศักดิ์ พิกุลแก้ว
‘ผู้กว้างขวาง’ ในพื้นที่นั้น โดยไม่ต้อง พึ่ ง พาอ ำนาจรั ฐ หรื อ มี อิ ท ธิ พ ลมื ด นอกกฎหมายอยู่ในมือ
คนเมืองหัวใจชนบท
ไม่ต่างจากคนในสายอาชีพอื่นๆ วัฒนธรรมเมืองเป็นเรื่องที่แพร่กระจาย ได้คล้ายโรคติดต่อ เมื่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างทำหน้าที่ เป็นสื่อกลางเชื่อมใครต่อใครเข้าหากัน เกื อ บร้ อ ยทั้ ง ร้ อ ย มอเตอร์ ไ ซค์ รูปแบบความสัมพันธ์ดังกล่าวได้สร้าง รับจ้างในกรุงเทพฯ มักจะเป็นคนต่าง- ปรากฏการณ์ ที่ ท ำให้ ชี วิ ต และวิ ถี ก าร จังหวัดผู้เดินทางเข้ามาหา ‘งาน’ และ บริโภคของพวกเขาเปลี่ยนไป เมื่อต้อง ‘เงิ น ’ ในเมื อ งใ หญ่ และเกือบทั้งหมด ผ่านสังคมหลายมิติ รูปแบบของเมืองที่ เป็นผ ู้ชาย มีทั้งที่ทำเฉพาะในช่วงพักจาก ซับซ้อนเริ่มซึมเข้าหาพวกเขาโดยไม่รู้ตัว งานเกษตรกร และยึดอาชีพสวมเสื้อวิน จนคนกลุม่ น เี้ ริม่ เลียนแบบวฒ ั นธรรมสมัย เป็นการถาวร ใหม่ ตามแนวคิดวัตถุนิยมของคนกรุง และหากมองให้พ้นบทบาทด้าน ต่ อ เ รื่ อ งนี้ เราต้ อ งเ ข้ า ใจว่ า การขนส่ ง มอเตอร์ ไ ซค์ รั บจ้ า งยั ง มี อี ก มอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นอาชีพที่มีโอกาส สถานะในสงั คม คือ เป็น ‘Mediator’ หรือ กลับบ า้ นในตา่ งจงั หวัดบ อ่ ยกว่าค นทำงาน สื่อกลาง ผู้ทำหน้าที่เชื่อมร้อยหลายๆ บริการประเภทอนื่ ๆ อาจดว้ ยเหตุผลดา้ น ชิ้นส่วนของสังคมเข้าด ้วยกัน ความอิสระเสรี เพราะงานแบบนี้ไม่มี โดยเฉพาะเรื่องวิถีชีวิต ความเป็น ระบบ นาย-ลูกน อ้ ง จะเดินท างไปไหนกไ็ ด้ อยู่ แบบไทยๆ ที่อิ งอยู่กับระบบความ ไม่ต้องเขียนใบลา สัมพันธ์แ น่นแฟ้น ไว้เนือ้ เชือ่ ใจคนในพนื้ ที่ ในส ถานการณ์ แ บบนี้ พวกเ ขา มอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามารับบทบาทนี้ ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสื่อกลาง-ตัวเชื่อม เพราะระบบเครือข า่ ยทโี่ ยงใยทกุ ซ อกซอย ระหว่างสังคมเมืองกับสังคมชนบท โดย ตั้งแต่ปากทางถนนใหญ่ถึงชุมชนลึกสุด พบว่า บ่อยครั้งเมื่อยามที่พวกเขากลับ ซอย ไม่ว า่ จ ะยากดมี จี น ผูใ้ หญ่ หรือผ นู้ อ้ ย บ้านเกิด คนกลุ่มนี้จะนำสินค้าที่เป็นวัตถุ รากแก้ว รากหญ้า หรือชนชั้นกลาง ต่าง ทางวัฒนธรรมเมืองติดตัวไปด้วย อาทิ ต้องเคยใช้ร ะบบขนส่งส าธารณะหลังอ าน เสื้อผ้า อาหาร เทคโนโลยี เสื้อผ้า หรือ ร่วมกัน ทำให้พวกเขาเคยเห็นหน้าค่าตา จะเรียกรวมๆ ว่าเป็นแฟชั่นแบบคนเมือง คนเกือบทั้งซอย และรู้จักบ้านแทบทุก ก็ได้ หลัง การเ ปลี่ ย นแปลงนี้ ไ ม่ ไ ด้ เ กิ ด บรรดามอเตอร์ไซค์รับจ้างจึงเป็น ผลกระทบเฉพาะตัวพวกเขาเท่านั้น แต่
สื่อกลางระหว่างมิติ
ยังได้ส ง่ ผ ลกระทบไปถงึ ค า่ น ยิ มของคนใน ท้องถิ่นอีกด้วย
วัฒนธรรมใหม่ทพี่ ึงระวัง
ค่านิยมใหม่ที่คนกลุ่มนี้นำกลับไป นั้น ไม่ได้มีเฉพาะคุณประโยชน์ ให้ความ สะดวกสบาย หรือโก้หรูเพียงอย่างเดียว เพราะขณะเดียวกัน สิง่ เหล่าน ไี้ ด้ก อ่ ให้เกิด ‘ลัทธิบูชาเงิน’ และ ‘สังคมบ้าบริโภค’ ขึ้น ซึง่ ก ระตุน้ ให้ช นบทเกิดก ารใช้จ า่ ย หลายครัง้ ถึงขั้นต้องเอาเงินในอนาคตมาใช้ โดยไม่ คำนึงว่า การสร้างหนี้สินจะส่งผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตชาวบ้านขนาดไหน และจะส่ง ผลระยะยาวต่อสังคมโดยรวมอย่างไร นอกจากปั ญ หาห นี้ สิ น แ ล้ ว ค่ า นิยมแบบคนเมือง อาจทำให้เกิดกระแส การอพยพแรงงานเข้ามาอยู่ในเมือง เป็น ที่มาของปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาการ ละทิง้ ถ นิ่ ฐาน ปัญหาอาชญากรรม ปัญหา โสเภณี รวมไปถึงปัญหาด้านสาธารณสุข การแพร่ระบาดของโรคติดต่อชนิดต่างๆ อย่ า งไรก็ ต าม ค่ า นิ ย มดั ง ก ล่ า ว ไม่ได้ถูกนำมาโดยแรงงานที่เข้าไปทำงาน ในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่แฟชั่นคนเมือง ถูกสื่อออกสู่ชนบทเกือบจะทุกพื้นที่ของ ประเทศไทยผ่านหลายช่องทาง พร้อมๆ กับก ารพฒ ั นาเทคโนโลยีส ารสนเทศ ไม่ว า่ จะเป็นทีวี วิทยุ หรืออินเทอร์เน็ต ที่ต่าง ก็ มี ส่ ว นช่ ว ยแ พร่ ก ระจายก ระตุ้ น ใ ห้ คนต่างจังหวัดกระหายอยากจะมีชีวิต แบบคนในเมืองด้วยกันทั้งนั้น
เข้าทำงานในเมืองของคนกลุ่มนี้ ก็เป็น เหมือนการเพิ่มมุมมองให้คนชนบทได้มี โอกาสเข้าไปพบเห็นช่องว่างระหว่างชีวิต ของชนชั้นสูงในกรุงเทพฯกับชีวิตตัวเอง มากขึ้น มองในแง่ดี ภาพเปรียบเทียบที่ พวกเขาเห็นน ั้น อาจทำให้เกิดแ รงกระตุน้ ให้ส งั คมไทยมองปญ ั หาความเหลือ่ มลำ้ ได้ ชัดเจนมากขึ้นกว่าในอดีต ท่าม กลางโลกาภวิ ตั น ท์ ถี่ าโถมและ รุกกระหน่ำทุกชีวิตในทุกพื้นที่ คำถาม จึงมีอยู่ว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่สังคม เมืองต้องยอมรับและตระหนักถึงความ สำคัญของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่ไม่ได้มี บทบาทเฉพาะทางการคมนาคมขนส่ง เพียงอย่างเดียว แต่เราจำเป็นต้องมอง ข้ามไปให้ถึงบทบาทในด้านชนชั้นทาง สังคม การเคลื่อนย้ายของพลเมือง และ การมีส่วนร่วมทางการเมือง รวมทั้งให้ ความสำคัญในพื้นที่ใหม่ของสังคมผ่าน กระจกแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมกัน อาจจะไม่ใช่ในทุกๆ ด้าน แต่อย่างน้อย ด้วยความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน การวัด คุณค่าแห่งศักดิ์ศรีความเป็นคนจึงไม่ควร มีใครสูงกว่าใคร
ฟังดูเหมือนการเข้ามาทำงานใน เมืองของมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะเกิดผล เสียมากกว่าผลดี แต่ในอีกด้านหนึ่งการ
อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง ‘การเมืองเรื่องมอเตอร์ไซค์รับจ้างในประเทศไทย’ ของ เคลาดิโอ โซปรานเซตติ (Claudio Sopranzetti) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
20
Cut it out (เปลี่ยนเถอะ!)
21
22
สัมภาษณ์
อภิรดา มีเดช
กระจายอำนาจสมู่ อื ป ระชาชน ข้อเสนอแรงๆ
หนึ่ง
ในขอ้ เสนอปฏิรปู ป ระเทศ สำคัญข องคณะกรรมการ ปฏิ รู ป ป ระเทศ (คปร.) ที่ มี อานั น ท์ ปั น ย ารชุ น อดี ต นายกรั ฐ มนตรี เป็ น ประธาน ตั้ ง แต่ ช่ ว งเ ดื อ นก รกฎาคม 2553 จนก ระทั่ ง ห มดว าระไ ปเ มื่ อ 15 พฤษภาคม 2554 ที่ ผ่ า นม า มุ่ ง เ น้ น ไ ปที่ ป ระเด็ น ก ารจั ด การกั บ โครงสร้างอำนาจ ซึ่งถูกมองว่าเป็นต้นตอ ของความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมใน สังคม โดย คปร. ถือว่าเป็นปัญหาหลัก ของป ระเทศที่ ส มควรไ ด้ รั บ ก ารแ ก้ ไ ข ลำดับแรก แม้ ว่ า ร ายล ะเอี ย ดข องข้ อ เ สนอ อาจทำให้หลายหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะ ในส่วนภูมิภาคนั่งปฏิบัติงานด้วยภาวะ หนาวๆ ร้อนๆ กันถ ว้ นหน้า เพราะในหน้า กระดาษข้อเสนอนั้น มีคำว่า ‘ยุบ’ ปรากฏ อยู่ข้างๆ และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ จับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเสรีภาพในการ บริหารจัดการตนเอง และงบประมาณ มหาศาล จู่ๆ ก็ร่วงลงมาบนตัก พงศ์ โ พยม วาศภู ติ อดี ต ปลั ด กระทรวงยุติธรรม มีบทบาทในแวดวง รั ฐ ศาสตร์ ร ะดั บ ช าติ ม าห ลายต ำแหน่ ง ก่ อ นจ ะมี ชื่ อ อ ยู่ ใ น คปร. ตั้ ง แต่ วั น แรกจ นถึ ง วั น ที่ ยุ ติ บ ทบาทกั น ทั้ ง ค ณะ กล่าวถึง ‘สาร’ สำคัญที่อยู่ในข้อเสนอ ดังก ล่าวคอื ก ารเปลีย่ นแปลงทตี่ อ้ งเกิดข นึ้ กั บ ทั้ ง ฝ่ า ยป กครอง และประชาชน ที่ ต้องเข้าสู่กระบวนการปรับสมดุลอำนาจ ครั้งใหญ่ โดยมีข้อแม้ว่า...ต้องมีรัฐบาลใหม่ อาสาเข้ามาทำข้อเสนอนี้ให้เป็นจริง
จากการปฏิรูป
23
ภาพ: ชัชชญา วุ่นจินา
แ ล้ ว ฝ่ า ย การเมืองจะยอม เสี ย อ ำนาจเ หร อ? จะเ ห็ น ไ ด้ ว่ า เ ขาม าสู้ กันอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะ อำนาจมั น อ ยู่ ต รงนี้ แต่ ถ้ า เราก ระจายอ ำนาจก ระจาย ผ ลป ระโยชน์ อ อกไ ป เขาก็ ต้ อ งไ ป สู้ กั น ข้ า งล่ า ง บางที เ ราอ าจจ ะ ได้ เ ห็ น อ ดี ต รั ฐ มนตรี ไ ปเ ป็ น น ายก อบจ. ก็ได้
คำว่า ‘กระจายอำนาจ’ ดูใหญ่โตมากในสายตาประชาชน ทำอย่างไรถึงจ ะอธิบายเรื่องนี้ให้ช าวบ้านเข้าใจง่ายๆ ก็ใหญ่จริงๆ ไม่เหมือนของเล่นที่ให้เด็กไป ไม่ตอ้ งสอนอะไรเขากห็ ัดเล่นเองได้ หรือคอมพิวเตอร์ ไม่เคยรู้จักเลย แต่ถ้านั่งปล้ำสักพักจะทำได้ ในความเป็นจริง สิ่งหนึ่งที่เศร้าใจคือ อะไรๆ ก็ ให้รฐั แก้ให้หมด ที่ดิน หนองน้ำ ทั้งที่เขาจัดการกันเอง ได้ ถ้าเราเปิดโอกาสให้เขาจดั การ แล้วค วามขดั แ ย้งจ ะ ได้ไม่มาถึงรัฐ ปัจจุบัน ฝ่ายที่ไม่พอใจก็จะโทษรัฐ แต่ถ้าเขา สามารถจัดการกันเองได้ เขาต้องไปโทษกันเอง คน ส่วนนอ้ ยกต็ อ้ งยอมแพ้ค นสว่ นใหญ่ ถึงต วั ไม่พ อใจกท็ ำ อะไรไม่ได้ แต่นี่ไม่พอใจอะไรก็โทษรัฐ เท่าที่สังเกตรัฐ ก็ชอบให้โทษ จะได้เอามาทำเองทุกอย่าง มีคนถามเหมือนกันว่า แล้วฝ่ายการเมืองจะ ยอมเสียอำนาจเหรอ? จะเห็นได้ว่าเขามาสู้กันอยู่ใน กรุงเทพฯ เพราะอำนาจมนั อ ยูต่ รงนี้ แต่ถ า้ เรากระจาย อำนาจกระจายผลประโยชน์ออกไป เขาก็ต้องไปสู้กัน ข้างล่าง บางทีเราอาจจะได้เห็นอดีตรัฐมนตรีไปเป็น นายก อบจ. ก็ได้ ดูเหมือนจะต้องปรับตัวด้วยกันทั้งรัฐและประชาชน แต่ ชาวบ้านน่าจะตกใจ จู่ๆ คนธรรมดาอย่างตัวเองก็มี อำนาจอยูใ่นมือ? การทำความเข้าใจกบั ป ระชาชน ต้องอาศัยเครือ ข่าย เริ่มจากคนที่สนใจก่อน สมมุติ 100 คน สนใจ สัก 5-10 คน ก็เอาคนกลุ่มนี้เป็นจุดเริ่มต้น รวมตัว เป็นเครือข่าย แล้วช่วยกัน ผลักดัน ผ่านกระบวนการ และช่องทางที่เป็นไปได้ เดีย๋ วนเี้ ครือข า่ ยตา่ งๆ อย่าง เอ็นจ โี อกม็ ไี ม่น อ้ ย ต้องเริ่มจากคนที่สนใจก่อน ส่วนที่คนที่ไม่ค่อยสนใจ ก็ค่อยๆ ตามมา แล้วไปดูสิว่า สถาบันไหนมีพลัง… ก็สื่อมวลชน เป็นคนชี้นำ ก็ต้องคอยถามรัฐบาลใหม่ ว่า เรื่องปฏิรูปท่านจะทำไหม ก็ต้องทำ จะมีใครไม่ทำ ก็คอยจี้คอยไช เหมือนต้นไม้ใหญ่ มันปลูกมา 120 ปีแล้ว ปฏิรปู ค รัง้ ล า่ สุดต งั้ แต่ส มัยร ชั กาลที่ 5 รากกไ็ ปไกลแล้ว เลยไม่ง่าย แต่ผมไม่คิดว่าแก้แบบถอนรากถอนโคน จะดี ยังเชือ่ ว า่ การปฏิรปู เป็นกระบวนการ บางเรือ่ งเร็ว บางเรื่องช้า ต้องดูความสมดุล ตัวไหนด่วนก็อาจจะ ทำตัวนั้นก่อน ตัวไหนรอได้ก็รอไปก่อน ที่ต้องกระจายอำนาจแสดงว่า การสั่งการแนวดิ่ง แบบเดิมมีจุดบอด เวลาคุณสั่ง ต้องสั่งเหมือนกันทั่วประเทศ ทั้งที่ แต่ละพนื้ ที่ แต่ละอำเภอ แต่ละจงั หวัดม นั ไม่เหมือนกนั นี่คือความไม่ดีของทางดิ่ง แต่มันดีในส่วนของเรื่องที่เราจะทำเหมือนกัน หมด อาทิ ฉลองประเทศ หรือถวายความจงรักภักดี พร้อมกัน ชักธงชาติ ร้องเพลงชาติพร้อมกัน แต่บ างเรือ่ งทมี่ นั เป็นส าระเยอะๆ เช่น การทำมา หากิน เรือ่ งโอกาส การเข้าถ งึ ก ระบวนการยตุ ธิ รรม มัน
24 เริ่มไม่ดีแล้ว เพราะการสั่งอะไรเหมือนๆ กันหมดมันแก้ปัญหาไม่ได้ จริงๆ การกระจายอำนาจก็ดูเหมือนไม่ใช่ ของใหม่ ข้อเสนอของ คปร. มีข้อแตกต่าง จากที่ผ่านมาอย่างไร เท่าท อี่ า่ นดู แม้แต่ท สี่ มัชช าฯ (คณะ กรรมการสมัชชาปฏิรูป: คสป.) เสนอ ก็ดู จะมงุ่ เรือ่ งภารกิจ มุง่ เรือ่ งงบประมาณเป็น หลัก ซึ่งผมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องพูดเรื่อง ภารกิจก็ได้ อย่างกรณีรับเรื่องต่างๆ ก็ ปล่อยให้ท้องถิ่นเป็นคนจัดการหมดได้ ยกตั ว อย่ า ง ถ้ า จ ะตั้ ง โ รงงานใ น หมูบ่ า้ น คุณไม่ต อ้ งไปตดิ ต่ออ ตุ สาหกรรม จังหวัด ไปตดิ ต่อได้เลยที่ อบต. แต่ร ฐั บาล กลางจะแบ่งอำนาจมาขนาดไหนล่ะ ถ้า เป็ น โ รงง านเ ล็ ก ๆ ก็ อ าจจ ะแ ค่ อบต. อนุญาตได้เลย ในเอเชีย ถือว่างบประมาณที่ลงไป สู่ท้องถิ่นเราเกือบต่ำสุด ยกตัวอย่าง จีน งบทรี่ ฐั บาลลงให้ท อ้ งถนิ่ ร้อยละ 65 เขมร ร้อยละ 17 ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 12-13 หรือ 300,000 ล้านบาท จาก งบทั้งประเทศ 2,000,000 ล้านบาท ซึ่ง ถือว่าน้อยมาก กรณี ที่ ส มั ช ช าฯเ สนอ อยากใ ห้ เพิ่มงบท้องถิ่น จาก 300,000 ล้านเป็น 500,000 ล้าน แต่ที่ คปร. เสนอต้องเป็น 1,200,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 60 แล้วข า้ ราชการ เช่น ครู ก็เป็นท อ้ งถนิ่ ห มด ครูอาจจะกลับไปสอนเด็กที่บ้านเกิด จากภาพรวมที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มด้วยการมี อบต. เทศบาล ได้ผลอย่างไรบ้าง คือมันจะเป็นระบบราชการล้วนๆ แล้วกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้ดูแลก็ ออกกฎกติกามาเยอะแยะ มีกติกามันก็ ดี แต่ดีสำหรับป้องกันคนร้าย ประมาณ ร้อยละ 5 จากคนทงั้ หมด ทำให้ค นสว่ นมาก เดือดร้อน จริงๆ แล้วมันควรจะอยู่ใน สายตาประชาชน เคยมีนายก (อบจ. อบต. เทศบาล) บางค นเ อาร ถห ลวงไ ปข าย กระทรวง มหาดไทยเลยต้องออกระเบียบห้าม ทั้ง ที่เกิดเพียงแห่งเดียว แต่คุณไปล็อกไว้ทุก เรื่อง จนท้องถิ่นแทบไม่ได้หายใจ เขาก็ อึดอัด ผมเคยเป็นอธิบดีกรมการส่งเสริม การปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ เรากพ็ ยายามให้ อิสระ แต่ก็ให้ในลักษณะไม่ไว้ใจ ที่ ผ่ า นม า อบต. หรื อ เ ทศบาล เหมือนเป็นการเอาระบบราชการไปครอบ มันไม่ใช่ร ะบบชาวบา้ น จริงๆ นายก อบต. ไม่ ต้ อ งมี เครื่ อ งแ บบ ใส่ เสื้ อ ธ รรมดาก็ ทำงานเพื่อชาวบ้านได้ สิ่งสำคัญคือ ถ้าเพิ่มงบให้ท้องถิ่น ร้อยละ 60-70 อย่างที่ คปร. เสนอ สิ่ง ที่ตามมาคือ คนไม่เก่งเป็นนายกไม่ได้ เพราะพฤติกรรมของมนุษย์เปลีย่ นไปตาม สภาพแวดล้อม มันก็ต้องปรับตัว อีกอ ย่าง คนชอบพดู ว า่ ป ระชาชนไม่
สนใจท้องถิ่น แต่ตอนนี้ท้องถิ่นมีอะไรล่ะ เทศบาลมีเงิน 50-100 ล้าน จะสนใจ ทำไม แต่ถ้าทุกอย่างอยู่ในมือเทศบาล มี งบเป็นพันล้าน ไม่สนใจไม่ได้แล้ว สมมุติชาวนาปลูกข้าวมาแล้วขาย ไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปเรียกร้องที่รัฐบาลแล้ว ต้องกลายเป็นนายก อบจ. หาทางขาย ข้าวให้ท้องถิ่น ฉะนั้น ชาวนาจะไม่สนใจ ก็ไม่ได้ เพราะนายก อบจ. จะต้องเป็นคน ขายข้าวให้เรา ดูในรายละเอียด ทำไมในข้อเสนอการปฏิรูป โครงสร้างอำนาจของ คปร. ต้องเริ่มต้น ด้วยคำแรงๆ อย่าง ‘ยุบเลิก’ ราชการส่วน ภูมิภาค ทีแ่ รง เพราะตอ้ งการให้ค นในสงั คม รวมทงั้ ภ าครฐั หันม าสนใจ ยกตวั อย่าง ถ้า เราบอกวา่ คนนปี้ ว่ ย กับคนนกี้ ำลังจ ะตาย อย่างหลังก็ต้องฟังดูแรงกว่า ทำให้คนหัน มาสนใจกันมากขึ้น ข้อเสนอของ คปร. ไม่ได้ม งุ่ จ ะโจมตี กระทรวงมหาดไทย แต่ม งุ่ โจมตีก ระทรวง ทบวงกรมทุกหน่วย ในการรวมอำนาจ ตัดสินใจต่างๆ ไว้ที่ตัวเอง จริ ง ๆ การเลื อ กตั้ ง ผู้ ว่ า ร าชการ จังหวัดไม่ใช่คำตอบ จากประสบการณ์ ที่ เ คยเ ป็ น ผู้ ว่ า ฯ 4 จั ง หวั ด มั น เ ป็ น ที่ รั บ เ รื่ อ ง (Front Office) เท่ า นั้ น เ อง เช่น จะตั้งโรงงานก็มาขออนุญาตผู้ว่าฯ และอุตสาหกรรมจังหวัด แต่ทั้งคู่ไม่ใช่ ผู้อนุญาต ต้องส่งเรื่องไปที่กรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงาน เกีย่ วข้อง อาทิ สำนักน โยบายสงิ่ แ วดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
กระบวนการมนั เยอะ ซึง่ จ งั หวัดไม่ สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้น แม้ก ารเลือกตงั้ ผ วู้ า่ ฯ จะมาจากประชาชน แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้น ข้อเสนอของ คปร. ที่ให้ ยกเลิกภ มู ภิ าค ไม่ได้ห มายความวา่ เราเดิน ไปในแนวทางสหพันธรัฐ (Federation) เรายงั เดินไปในรปู ร ฐั เดีย่ ว แต่เป็นร ฐั เดีย่ ว ที่กระจายอำนาจให้กับท้องถิ่นมากขึ้น แล้วรัฐก็ทำเท่าที่จำเป็น รั ฐ ยั ง มี ง านอี ก เ ยอะ อาทิ การ ป้องกันป ระเทศ รักษาความมนั่ คงภายใน รั ก ษาค วามส งบเรีย บร้ อ ย รวมถึงการ กำหนดมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน การศึกษา อุตสาหกรรม ฯลฯ เมื่อเราเดิน ไปในรูปรัฐเดี่ยวที่มีการกระจายอำนาจ สู ง ก็ ไ ม่ เ ห็ น ค วามจ ำเป็ น ที่ จ ะต้ อ งมี ภูมิภาค เพราะภูมิภาคกับส่วนกลางคือ อันเดียวกัน ท่านอานันท์บ อกวา่ รัฐย งั ม อี ำนาจ เหมือนเดิม และอาจจะเรียกคืนเมื่อไหร่ ก็ได้ เพียงแต่มันกระจายไปอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ถ้าอ ย่างนั้น ตำแหน่งผู้ว่าฯ นายอำเภอ หรือข ้าราชการส่วนกลางอื่นๆ อาจต้อง
ย้ายสังกัด? ถ้าเห็นว่าจำเป็น...ก็ควรมีอยู่ต่อไป เพียงแต่ทำงานน้อยลง เอางานเอาเงิน เอาคนไปให้ท อ้ งถนิ่ ท ำมากขนึ้ คุณก ก็ ำกับ ดูแลและคอยช่วยเหลือแนะนำ หรืออาจจะเปลี่ยนชื่อ เช่น จาก ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็น ‘ผู้ตรวจการ จังหวัด’ เป็นตัวแทนรัฐบาลกลาง เพราะ บอกแล้วว่าเราไม่ใช่สหพันธรัฐ รัฐบาล กลางมีอำนาจเต็มในการดูแลประเทศทุก ตารางนิ้ว แต่ไม่ต้องทำเอง ใช้วิธีกำกับ ดูแล แค่ให้คำแนะนำ และช่วยเหลือทาง ด้านวิชาการ เคยไปดงู านทเี่ ยอรมนี เขามจี งั หวัด ซึ่งไม่ได้มีหน้าทอี่ นุญาตอนุมัติ แต่คอยให้ คำแนะนำ เช่น เกิดป ญ ั หาหนอนลงนาขา้ ว เกษตรจังหวัดจะมีแค่ 1-2 คน คอยให้ คำแนะนำ ช่วยวิเคราะห์ว่าหนอนเป็น พันธุ์อะไร เสนอแนะวิธีจัดการมา แต่ ท้องถิ่นจะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของเขา เขาก็ไปตัดสินชีวิตเขาเอง นี่คือวิธีจัดการ ตนเอง ฉะนั้น ข้าราชการส่วนกลาง ยัง สามารถมีสำนักงานในต่างจังหวัดได้อยู่ แต่มีเงื่อนไขว่า
ผมเป็นเทศบาลมีโครงการสร้างถนน 10 กระบวนการ ก่อนทำตอ้ งมกี ารรบั ฟ งั ค วาม คิด ก็ออกมาต่อรอง ถ้าผู้บริหารมาจากการ เลือ
25 กรมสง่ เสริมส หกรณ์ คุณจ ะไปสง่ เสริมอ ะไรสหกรณ์ ทำไม ไม่ให้ท้องถิ่นเขาส่งเสริมกันเอง หรือกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ทำไมคุณไม่จ้างคนข้างนอกมาตรวจ ทำไมต้องมีกรมนี้ หนึ่ง ต้องมีเพื่อประสานนโยบาย หรือเกี่ยวกับการวิจัยทางวิชาการ เช่น สถานีประมง ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าว สอง เป็นกิจการที่ส่วนกลางยังทำ อยู่ เช่น เรือ่ งการตา่ งประเทศ กรมพธิ กี าร กงสุล กรมการกงสุล จะไปทำพาสปอร์ต หรือตำรวจแห่งชาติ ยังเป็นส่วนกลาง ไม่ใช่ท้องถิ่น สาม เป็นสำนักงานในการกำกับ ดู แ ล ช่ ว ยเ หลื อ แ นะนำท้ อ งถิ่ น ฝ่ า ย ปกครองแทนที่จะทำเอง พูดง่ายๆ คือ ถอยออกมา จากพระเอกเป็นผู้กำกับ ส่วนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เราไม่ได้ เสนออะไร เป็นเรื่องของรัฐบาล เห็นว่ามี ความจำเป็นอ ยูไ่ หม เพราะกำนัน ผูใ้ หญ่บ า้ น ท ำงาน 2 ซีก หนึง่ คือด แู ลทรัพยากร ป่าไม้ ที่ดิน รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ สอง คือ การรักษาความสงบเรียบร้อย โจรผู้ร้าย ยาเสพติด กิจการชายแดน งานด้านพัฒนาจัดการทรัพยากร ถ้าให้ท้องถิ่นทำแล้ว กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน น่าจะมาหนักเรื่องการรักษาความสงบ เรี ย บร้ อ ย เป็ น ต ำรวจหมู่ บ้า น ตำรวจ ชุมชน แต่เมือ่ ใดกต็ ามทเี่ ห็นว า่ ห มดความ จำเป็น ก็ชอบที่จะยกเลิกไปตามความ จำเป็นของพื้นที่ แม้แต่เรื่องการป้องกัน โรคและสง่ เสริมสุขภ าพ หากทอ้ งถนิ่ ท ำได้ ไม่จำเป็นเลยที่รัฐจะต้องทำเอง แต่ถ้าข ้อเสนอปฏิรูปสามารถกระจายอำนาจ ได้จริง กรมการพฒ ั นาชมุ ชน หรือห น่วยงาน อื่นๆ ต้องยุบไป ก็ต้องมีหลายคนตกงาน ไม่เชิงต กงาน เหมือนคณ ุ ย า้ ยไปอยู่ ในท้องถิ่น แต่ถ้าทนไม่ได้ ไม่อยากเป็น ลูกน้อง เลือกตั้งคุณรับไม่ได้ ก็อาจจะมี ระบบลาออกแล้วร บั บ ำเหน็จบ ำนาญ คุณ ก็ไปทำอย่างอื่นได้ ถ้าจ ะทำจริงๆ ต้องอาศัยร ะยะเวลา ช่วย ปีแ รกๆ ต้องเริม่ แ บบคอ่ ยเป็นค อ่ ยไป เช่น กรมส่งเสริมสหกรณ์ คุณจะไปส่ง เสริมอะไรสหกรณ์ ทำไมไม่ให้ท้องถิ่น
เขาส่งเสริมกันเอง หรือกรมตรวจบัญชี สหกรณ์ ทำไมคุณไม่จ้างคนข้างนอกมา ตรวจ ทำไมต้องมีกรมนี้ หรื อ ก รมท างหลวง ก็ มี ห น้ า ที่ ออกแบบถนน พอท้องถิ่นบอกว่าอยาก ได้แบบ 6 เลน ก็เสนอให้เขาสัก 3 แบบ แบบแพง ปานกลาง และแบบถูกแต่ได้ มาตรฐาน คือค ณ ุ ช ว่ ยเหลือเขา ไม่ใช่ไปทำ เอง แล้วไปซื้อที่ดินดักไว้ (หัวเราะ) ถ้ารัฐบาลยังกลัวว่าท้องถิ่นจะทำ เละเทะ ก็เก็บสิ่งที่ดูแล้วไม่ควรปล่อยให้ จัดการกันเองเอาไว้ก็ได้ เหมือนเรามีลูก เพิ่งเดินได้แล้วเขาไปเดินเล่นสนามหญ้า ก็น่าจะปล่อยให้เดินเองได้ แต่ถ้าเขาจะ ข้ามถนน คุณอาจจะไปยืนดูใกล้ๆ หรือ ล็อคตวั เขาไว้ ยังไม่ให้ข า้ มกไ็ ด้ ไม่ใช่ป ล่อย 100 เปอร์เซ็นต์...แต่นี่คุณไม่คิดจะปล่อย ให้เขาเดินเองเลย แต่ที่ผ่านมา เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พอให้ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นบางที่มี อำนาจมาก ก็กลายเป็นการสร้างผู้อิทธิพล ท้องถิ่นไปในตัว? ถูกต้อง...มันเป็นจริงๆ แต่แน่นอน ก็ตรงนี้ไงผมถึงบอก ว่า ถ้าผมเป็น ป.ป.ช. (สำนักงานคณะ กรรมการป้ อ งกั น แ ละป ราบป รามก าร ทุจริตแห่งชาติ) ผมก็ต้องเพิ่มจุด เพิ่ม วิธีการ เรื่องการป้องกันและปราบปราม มันต้องปราบปรามจนถึงที่สุด อย่างฝรั่ง ขับรถมาถึงทางม้าลายแล้วต้องหยุดเลย อาจจะตงั้ แต่ล กู ทำไมลกู ห ยุด เพราะเห็น พ่อห ยุด หรือถ กู จ บั จ นหยุด ฉะนัน้ ตอนหลัง มันก็ชินที่จะหยุดตรงทางม้าลาย แต่ของ เรามันไม่ชิน ก็เลยขับไปเรื่อยๆ ถ้าจะปราบคอรัปชั่น ปราบมาเฟีย เราก็มีกฎหมายอาญา ควบคุมเรื่องอั้งยี่ ซ่องโจร คุณก็ทำไปสิ ถ้าเขาตั้งตัวเป็น ซุ้มมือปืน เจ้าพ่อเจ้าแม่ คุณก็ปราบไปสิ ตำรวจก็มีอยู่ในมือ อยู่ที่ความจริงใจที่
นน 10 สาย ต้องมาทำประชาพิจารณ์ ต้องมี าม คิดเห็นก อ่ น เมือ่ ช าวบา้ นรบั ร วู้ า่ ค ณ ุ จ ะทำ าร เลือกต้งั เขาก็ต้องฟังเสียงประชาชน
ปราบเท่านั้นแหละ ประชาชนก็ต้องให้ เบาะแส คื อ ทุ ก ๆ เรื่ อ ง ประชาชนจ ะไ ป งอมืองอเท้าอยู่ก็ไม่ได้ เราก็ต้องมีวิธียุยง ให้ป ระชาชนแข็งข อ้ ก บั ค นไม่ด ี แล้วร ฐั บาล ก็เข้าไปปราบปราม ป.ป.ช. ก็ต อ้ งมเี ทคนิค เพิม่ ข นึ้ เพือ่ จ ดั การกบั พ วกทอ้ งถนิ่ อาจจะ แยกออกมาเป็น ป.ป.ช. ท้องถิ่น หรือตั้ง สาขาเพื่อเล่นงานโดยเฉพาะ แล้วประชาชนจะตรวจสอบองค์การ ปกครองส่วนท้องถิ่นเหล่าน ี้อย่างไร กลไกที่ว่ามันต้องไปแก้กฎหมาย ตัวอย่าง ผมเป็นเทศบาล มีโครงการสร้าง ถนน 10 สาย ต้องมาทำประชาพิจารณ์ ต้องมกี ระบวนการ ก่อนทำตอ้ งมกี ารรบั ฟ งั ค วามคดิ เห็นก อ่ น เมือ่ ช าวบา้ นรบั ร วู้ า่ ค ณ ุ จะทำ ก็อ อกมาตอ่ ร อง ถ้าผ บู้ ริหารมาจาก การเลือกตั้ง เขาก็ต้องฟังเสียงประชาชน แต่พอคุยกันดิบดีอย่างหนึ่ง แล้ว ทำเหมือนเดิม ประชาชนก็จะได้จำไว้ แต่ ถ้าประชาชนไม่จำ ก็เป็นเวรกรรมของ บ้านเมือง เราส อนใ ห้ ป ระชาชนเ ข้ ม แ ข็ ง เหมือนเราเป็นพ่อ (กระทรวงมหาดไทย)
สอนลูกสาว (ประชาชน) ที่ไปแต่งงานกับ ผู้ชาย (ท้องถิ่น) ผมก็ต้องสอนการบ้าน การเรือน ลูกสาวต้องทำกับข้าวให้สามี แต่ไม่ใช่พอมีปัญหาแล้วพ่อต้องโดดลงไป ช่วยทุกครั้ง เราต้องสอนลูกเราให้จัดการ กับสามี ในที่สุด ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ ก็ต้อง เปลี่ยนสามีใหม่ มีพรรคการเมืองไหนให้ความสนใจ หรือมี ท่าทีตอบรบั ข อ้ เสนอเรือ่ งการกระจายอำนาจ ของ คปร. บ้าง หากได้เป็นรัฐบาลใหม่ พอพู ด เ รื่ อ งป ฏิ รู ป ทุ ก พ รรค ก็ รั บ ปากห มด ว่ า จ ะก ระจายอ ำนาจ สู่ ป ระชาชนม ากขึ้ น ไม่ มี ใ ครบ อกว่ า ทำไม่ได้ แต่ได้รับเลือกตั้งแล้วจะทำหรือ เปล่าเท่านั้น แต่ท งั้ หมดนี้ เวลาเสนอ จะไปบอก ว่าม ที งั้ ป ฏิรปู อ ย่างออ่ น อย่างกลาง อย่าง แก่ ไม่ได้ เราก็ต้องออกมาก่อน แล้วคุณ ค่อยไปดัดแปลงเอา มีพรรคการเมือง หนึ่งเข้ามาถามถึงรายละเอียด คือมันให้ รายล ะเอี ย ดไ ม่ ไ หวห รอก ตอนนี้ มี คอนเซ็ปท์แล้ว คุณก็ไปจัดการเอา การจะถ่ายโอนอำนาจรัฐออกไป เป็นเรื่องใหญ่ คุณก็ไปคิดต่อ เราคิดแทน ไม่ไหว แต่บอกได้เลยว่า ถ้าไม่ถ่ายโอน บ้านเมืองไปไม่รอด จริงๆ มันอาจจะ ไม่ดีก็ได้ รวมศูนย์แบบเดิมดีแล้ว ก็ได้ พิสจู น์ก นั แต่ถ า้ เราไปดทู วั่ โลกทเี่ ขาเจริญ เขาก็ล้วนแต่ให้ประชาชนรับผิดชอบตัว เองทั้งนั้น เหมือนถ้าคุณมีลูกแล้วทำให้ลูก ทุกอย่าง ถ้าคุณตายไป ลูกคุณเป็นง่อย แหงเลย ทำอะไรไม่เป็น
26
รู้เรียน
สันติสุข กาญจนประกร
ขยะ ชาวนา ข้าวอินทรีย์
และเรื่องขี้ๆ ในสถานศึกษา
วัด
จ ากรูปทรง มวลสาร สถิตย์ เม่นแต้ม ชายกลางคนผิวสนิทกับแดด แห่งตำบล หาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ ไม่ใช่คนยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ กล่าวให้ต รงกว่าน นั้ สถิตย์เป็นช าวนาโดยกำเนิด มีห รือจ ะยอมให้ใครมาสอนทำนา ของแบบนี้มันเสียเหลี่ยม ยิ่งกับคนที่ผิวเหมือนไม่เคยถูกแสงอาทิตย์แตะต้อง หลีกได้... หลีกไปเลย ผู้ช่วยอธิการบดี วิรัตน์ จำนงรัตนพันธ์ แห่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ คือชาย ทีผ่ วิ เหมือนไม่เคยถกู แ สงอาทิตย์แ ตะตอ้ ง ใช้เวลาสว่ นใหญ่อ ยูใ่ นสถานศกึ ษา ไม่ต า่ งจาก นักวิชาการทั่วไป แต่เขาทำให้ชายผิวเกรียมแดดอย่างสถิตย์ยอมก้มหัว เปล่า-ไม่ได้ก ม้ อ ย่างยอมจำนน แต่เพือ่ แ สดงการยอมรับในสงิ่ ท เี่ หล่าค ณาจารย์น ำ องค์ความรู้มาให้ “พวกอาจารย์นำสิ่งดีๆ มาช่วยพัฒนาชุมชน” สถิตย์ว่า ไม่มีตำราเล่มโต ไม่มีใบปริญญา สำคัญยิ่งกว่า ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของ ‘1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด’ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ส่งผ่านไปยังชุมชน คือการ ทำให้ชาวบ้านยอมรับ และไม่ทำตัวประดุจเทพเจ้าแห่งความรู้ แต่มันคือการแลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกัน สถิตย์ เม่นแต้ม
ขยะและลักษณะของชาวนา
ผู้ช่วยอธิการบดี วิรัตน์ จำนงรัตน พันธ์ คือหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่เข้าไปช่วย
ชาวบ้าน จัดการเรื่องขยะ ไม่ได้มีเศษปฏิกูลล้นเมืองเกลื่อน กลาด ประเภทถึงขั้นเศษผักเศษอาหาร กองอยู่ตามริมถนน แต่อาจารย์ให้ทัศนะที่ น่าสนใจกว่านั้น “ปัญหาการจดั การขยะเป็นเรือ่ งทมี่ า พร้อมกับการพัฒนาและยุคสมัย ทำไมเรา ต้องปล่อยปละให้ม นั เกิดข นึ้ ก อ่ น แล้วค อ่ ย ตามเช็ดตามแก้” กระนัน้ ทีต่ ำบลหาดสองแคว บางจดุ บางแ ห่ ง เริ่ ม มี ค นเอาข ยะไ ปทิ้ ง ใ นพื้ น ที่ สาธารณะ ตามข้างทาง “เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของ คนที่ยังไม่ถูกวางเงื่อนไข ยังไม่ได้ถูกวิธีคิด ของคนเมืองมาครอบ อย่างการที่แก้อะไร
ไม่ได้ ก็จะพึ่งแต่เทคโนโลยี ไม่เคยคิดพึ่ง ตนเอง ส่วนวิกฤติหรือไม่นั้น เราดูได้จาก ปริมาณการผลิตข ยะตอ่ ห วั ต่อค น ซึง่ ต วั เลข ต่อวันนี่ถือว่าอันตราย และวิธีแก้ปัญหา ขยะ ไม่ได้หมายความว่าเอาไปเผาเท่านั้น แต่มันน่าจะอยู่ที่คนต้นเหตุ เพราะมันคือ การลงทุนที่น้อยที่สุด” นัน่ ห มายความวา่ ทางมหาวิทยาลัย ได้ ป ระสานกั บ ห น่ ว ยง านภ าคี ท้ อ งถิ่ น เข้าไปให้ความรู้เรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อ นำไ ปสู่ ก ารข ายเ ชิ ง พ าณิ ช ย์ และน ำไ ป หมักเป็นป ยุ๋ เพือ่ ล ดตน้ ทุนก ารผลิตในภาค เกษตรกรรม เป็น 1 ในงาน 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด ที่เห็นเป็นรูปธรรม รศ.ดร.ฉัตรนภา พรหมมา หัวหน้า โครงการ เล่าให้ฟังว่า 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
ทำกั น ม าต่ อ เ นื่ อ งย าวนาน ที่ เ ห็ น ชั ด ๆ คือเริ่มจากทุนของ สำนักงานสนับสนุน กองทุ น ก ารวิ จั ย (สกว.) และไ ด้ รั บ ทุ น จาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อนำมาต่อยอดใน ปี 2551 “ฐานคดิ ก ารทำงาน คือม หาวิทยาลัย เพื่อท้องถิ่น โดยการบูรณาการพันธกิจ ของมหาวิทยาลัย เข้ากับสถานการณ์จริง ในชุ ม ชน มี ค วามร่ ว มมื อ ตั้ ง แต่ ต้ น ทาง ระหว่างทาง และปลายทาง มีศูนย์เรียนรู้ และพั ฒ นาสุ ข ภ าวะแ ห่ ง ม หาวิ ท ยาลั ย ราชภัฏอุตรดิตถ์และเครือข่ายเป็นกลไก การทำงาน เพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยง ภาคประชาชนกับมหาวิทยาลัย และภาคี ให้เกิดความยั่งยืน” 3 ปี นับจาก 2551-2553 มีการ สร้างกลไกเชิงร ะบบเพือ่ ข บั เคลือ่ นได้อ ย่าง
27
ยั่ ง ยื น นำม าสู่ ก ารส ร้ า งชุ ด โ จทย์ ต ำบล ออกแบบให้มีเจ้าภาพแต่ละพื้นที่ ใช้หน่วย จัดการงานวจิ ยั แ ต่ละคณะเป็นผ รู้ บั ผ ดิ ช อบ 1 คณะอย่างน้อย 3 ตำบล “เราทำภาพชดั ๆ ของแต่ละพนื้ ทีเ่ ลย ว่า ในแต่ละตำบล 30 ตำบล มีส ถานการณ์ ปัญหาอะไร เพื่อมุ่งสู่ตำบลสุขภาวะ ทั้งนี้ มีฐานย่อยอยู่ 5 อย่าง คือ ศักยภาพและ ทุนชุมชน แหล่งเรียนรู้และเครือข่าย องค์ ความรู้ ด้ า นนวั ต กรรมภู มิ ปั ญ ญาที่ มี อ ยู่ สถานการณ์ส ขุ ภ าวะ และปญ ั หาหรือโจทย์ ที่ยังข าดองค์ความรู้” แม้มีการแบ่งความรับผิดชอบ แต่ การแก้โจทย์ต า่ งๆ มีก ารเชือ่ มโยงหน่วยงาน ที่ เ หมาะส มกั บ แ ต่ ล ะด้ า นเ ข้ า ด้ ว ยกั น พูดง า่ ยๆ โจทย์เชือ่ มกบั ค ณะไหน คณะนนั้ ก็จะเข้ามาช่วย ส่วนสถิตย์ชายผิวสนิทกับแดดที่มี บ้านปลูกอยู่ใกล้ๆ แปลงนาเขียวชุ่มตา เล่าว่า “แต่ละวนั เราบริโภคเศษอาหาร เศษ ผัก เศษเนื้อ เราก็เอามาใส่ถัง ซึ่งได้จาก การอบรมที่เราเสียเงินไป 29 บาท เอา จุลินทรีย์แห้งมาใส่เป็นชั้นๆ วันรุ่งขึ้นเรา ก็ใส่อ ีก ประมาณ 15-20 วัน ก็จะได้เป็น น้ำหมัก นำไปเจือจาง ถ้า 50 ซีซี ก็ผสม น้ำได้ 20 ลิตร เพราะมันมีความเป็นกรด สูง เมื่อปลายปี 2546 หลังจาก อบต. กับ มหาวิทยาลัยล งนามรว่ มกนั จึงเริม่ ม กี ารทำ ปุ๋ยใช้เอง ในโครงการลดต้นทุนการผลิต” ที่ต้องลดต้นทุน เพราะจากการเก็บ ข้อมูล สาเหตุหนึ่งที่เกษตรกรมีหนี้สิน มา จากต้นทุนการผลิตที่สูง หลังจากเรื่องลด ต้นทุน มหาวิทยาลัยจึงชักชวนให้ชาวนา หันมาปลูก ‘ข้าวอินทรีย์’ เพื่อสุขภาพที่ดี ถ้วนหน้า โดยอาจารย์วิรัตน์เชื่อว่า ข้าวที่ มีคุณภาพ ต้องมาจากคนทำที่มีคุณภาพ
ด้วย
ถามว่าชาวนาที่ยังมีหนี้สิน จู่ๆ จะ กลับตัวมาทำเกษตรแบบอินทรีย์เลยได้ ไหม “ชาวนาทั่วไปขายข้าว 8,000 บาท ในโครงการเราขาย 18,360 บาท มันต้อง มานั่งคุยกันว่าอดีตคุณเป็นอย่างไรถึงเป็น หนี้ เกี่ยวข้าว ทำไมหน้าตาหดหู่ ทั้งหมดที่ หนักใจ ทำไมไม่ลองวิธีอื่นบ้าง ซึ่งไม่ใช่สิ่ง แปลกใหม่อะไร เราเคยทำมาตั้งแต่ดั้งเดิม เราเปรียบเทียบให้เห็นว่า ต่อไร่ต้นทุนมัน เท่าไหร่ ท้ายสุด ต้นทุนก็ต่ำกว่า ในขณะที่ ขายได้ราคาสูงกว่า “อาจมีบางคนที่กังวลว่า ถ้าไม่เป็น อย่างที่คิด จะเอาเงินไหนส่งธนาคาร เรา ก็บอก เอางี้ เริ่มต้นโดยการทำนาแปลง รวมก่อนไหม ช่วยกัน 5 ไร่ 3 ไร่ จนมั่นใจ จุดอ่อนอย่างหนึ่งคือ การทำแล้วไม่ครบ วงจร ที่เราจะทำในอนาคตคือแบบครบ วงจร ตัง้ แต่ผ ลิต จนถึงส ง่ ข าย เป็นโครงการ เกษตรข้าวอินทรีย์ครบวงจร แต่ไม่ใช่การ คลี่ตำรามาทำแผนธุรกิจ”
ขี้วัว...เหม็นอย่างมีคุณค่า
อี ก ห นึ่ ง ตั ว อย่ า งข องก ารนำอ งค์ ความรจู้ าก 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด ไปสู่ ชุมชน คือก ารทำแก๊สช วี ภาพจากขวี้ วั ...แล้ว ทำไมต้องขี้ แล้วทำไมต้องวัว ที่บ้านห้วยบง ตำบลป่าเซ่า อำเภอ เมือง ชาวบ้านเลี้ยงวัวกันเยอะ แต่พวกเขา มองข้ า มค วามส ำคั ญข องสิ่ ง เ หม็ น ๆ นี้ เนื่องจากเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผศ.ดร.เจษฎา มิ่ ง ฉ าย แห่ ง ค ณะ เกษตรศาสตร์ เล่าว่า ทีมนักวิชาการเข้าไป ประเมินศ กั ยภาพในดา้ นตา่ งๆ ทีส่ ดุ จ งึ เห็น ประกายจากสิ่งที่ชาวบ้านไม่แยแส “คิดดู มีวัวตั้ง 800 ตัว วัว 1 ตัว
ขี้ประมาณ 6 กิโลกรัม แล้วในพื้นที่จะมี กี่ตันต่อวัน เมื่อก่อน ชาวบ้านก็แค่ตาก แห้งขาย ทำปุ๋ย ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ นักวิจัยในคณะนั่งประชุมกัน ถ้าเราเอาวัว เป็นต วั เกณฑ์ เหมือนทเี่ ราเอาเด็กเป็นต วั ต งั้ ในการศึกษา ใช้วัวเป็นศูนย์กลาง เราจะ พัฒนาอะไรได้บ้าง “สิ่งที่ได้คือ แก๊สใช้ในครัวเรือนจาก ขี้วัว แต่ก่อนโดยเฉลี่ย คนบ้านห้วยบง ใช้ แก๊สเฉลี่ย 2 เดือน ต่อ 1 ถัง ต่อ 1 ครัว เรื อ น เป็ น เงิ น 300 บาท มาใช้ตรงนี้ สามารถลดคา่ ใช้จ า่ ยไปได้เฉลีย่ 100-150 บาท ของเสียที่ออกมาจากระบบ นำมา ทำปุ๋ยได้ เพราะขี้วัว ถ้านำมาใส่ต้นไม้เลย หญ้าจะขึ้นเยอะ” ที่สุดจึงตั้งเป็น หมู่บ้านวิทยาลัยวัว โดยมผี ใู้ หญ่บ า้ น จินดา มาฮวด เป็นแ กนนำ คนสำคัญในการรบั ช ว่ งความรจู้ ากอาจารย์ มาเล่าต่อให้ลูกบ้านฟัง “แรกๆ มันก น็ า่ ก ลัวน ะ กลัวต มู ตาม แต่พอมีความรู้ จริงๆ มันไม่อันตราย เรา สามารถดูแลได้ แถมใช้แทนแก๊สถังได้เลย นะ แต่ยังไงเราก็ควรมีสำรองไว้ด้วย ผมนี่ อย่างเคยใช้อ ยู่ 2 เดือนตอ่ ถ งั ก็ข ยับไปเป็น 4 เดือน แก๊สจากขี้วัวไม่เหม็นด้วย ปิ้งปลา อะไรก็ได้ รสชาติอาหารไม่เสีย” ชาวบ้านบางคนลงทุนทอดไข่ให้กิน ทั้งไข่ดาว ไข่เจียว รสชาติไม่ต่างจากไข่ใน เมืองกรุง “ประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนลด ครึ่งต่อครึ่งเลย หุงข้าวก็ไม่ใช้ไฟฟ้าแล้ว เปิดได้น านสดุ ก เ็ ป็นช วั่ โมงตอ่ เนือ่ งกนั ข้าว เหนียวสุกแล้ว เปิดปุ๊บ ติดปั๊บ น้ำที่ออกมา จากการผลิต ผมได้ทดลองนำแทนปุ๋ยน้ำ ฉีดทางใบ ได้ผลดี อย่างมะนาว ตอนแรก ไม่ค่อยมีลูก พอเอาราดโคนต้น ลูกดกดี มาก มะม่วงนี่ต้องค้ำกิ่งเลย”
ทั้งยังมีการตั้งธนาคารขี้วัวขึ้น เพื่อ การค้าขายเชิงพาณิชย์ที่เป็นระบบ “เราได้รับการเรียนรู้ ประชาคมกับ ทางมหาวิทยาลัย เลยคิดตั้งธนาคารขี้วัว เป็นจุดจำหน่ายแห่งเดียวในหมู่บ้าน เรา จะได้กำหนดราคาได้เสมอกัน มีการถือ หุ้น ก่อนหน้านั้น เราก็ไม่มีข้อมูล ว่าทำกัน อย่างไร หาจุดพอดีไม่ได้ พอได้อาจารย์มา ช่วย ก็เหมือนมีที่พึ่ง ได้รับความรู้ มาช่วย มองว่าวัตถุดิบในหมู่บ้านเรา อะไรมีคุณ ประโยชน์” ระหว่ า งนั่ ง ร ถไ ปช มส วนทุ เ รี ย น พืน้ เมืองบนภเู ขาทอี่ ำเภอลบั แล เราถามถงึ หั ว ใจส ำคั ญ ข องค วามส ำเร็ จ ใ นง าน 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด รศ.ดร.ฉัตรนภา เฉลยว่า อันดับแรกผู้นำต้องมีเป้าหมาย ผสานด้วยความมุ่งมั่นของผู้ปฏิบัติ คือ อาจารย์ “ต้องสร้างการบริหารจดั การให้ม อี ยู่ ในทกุ ค ณะ ทุกอ งค์กร มีก ารเชือ่ มโยงความรู้ กับชุมชนท้องถิ่นอย่างหมุนเวียน ต้องได้ ข้อมูลสถานการณ์จริง เรามีข้อมูลจากทุก ตำบล โดยมี 30 ตำบลหลักๆ ต้องอัพเดท ข้อมูลทุกปี” มีคนบอกว่า ทุเรียนหลงลับแลของ จังหวัดอุตรดิตถ์หวาน เม็ดเล็ก กินอร่อย เราไ ม่ แ น่ ใ จนั กว่ า จ ะเป็ น ต ามนั้ น ไหม...แต่เราเชื่อ และรู้ว่าสิ่งไหนเป็นความ แน่นอน คุณรู้หรือยัง
28
Media
วิไลวรรณ จงวิไลเกษม
สื่อยูโทเปีย: ความจริง-มายาคติ ป
รากฏการณ์แ ห่ง ‘Social Media’ ในการหาเสียงเลือกตงั้ ส มาชิกส ภาผแู้ ทนราษฎร ในวนั ท ี่ 3 กรกฎาคม ของ 2 พรรคใหญ่ เช่น ประชาธิปตั ย์ และ เพือ่ ไทย อย่างเต็มร ปู แ บบครัง้ แ รก ถือเป็นจ ดุ เปลีย่ น(Turning Point) เพือ่ ก ารปฏิรปู ว ฒ ั นธรรม แบบใหม่สำหรับคนทำสื่อ เป็นบทเรียนที่คนทำสื่อกระแสหลัก(เก่า) ต้องตระหนักรู้ว่า ‘ใครๆ ก็เป็นเจ้าของสื่อได้’ ทัศนะแม่บทดั้งเดิมที่ว่า สื่อกระแสหลักแบบ ต้องทำหน้าที่เป็นนายประตูข่าวสาร (Gatekeeper) หรือเป็นกระจก (Mirror) หรือเป็นตะเกียง (Lamp) อุปมาเพื่อให้เห็นความเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อสังคม ในด้านการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และความบันเทิงต่างๆ ถูกท้าทายแบบม้วนตัว ชนิดที่คนทำสื่อต้องถามตัวเองว่า “ถึงเวลาพิจารณาตัวเองหรือยัง?”
เพราะในโลกของ Social Media ไม่มีคำว่า นายประตูข่าวสาร กระจก และตะเกียง เมื่อสื่อเป็นของ ทุกคน และที่สำคัญ ในพื้นที่นั้น ทุกคนเท่าเทียมกันหมด
สื่อยูโทเปีย
สังคมโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว”
สังคมยูโทเปีย ไม่เฉพาะเป็นสังคมในจินตนาการจาก นิยาย ‘ยูโทเปีย’ ของ เซอร์ โทมัส มอร์ (Sir Thomas More) ตัง้ แต่ป ี 1516 แต่เป็นส งั คมในฝนั ข องใครหลายคน (คิดว า่ ไม่ ทั้งหมด) บนโลกทุนนิยมใบนี้ เขาเชื่อว่าความหยิ่งทะนงเป็น หลักก ารสำคัญท ที่ ำให้เกิดค วามชวั่ ร า้ ยทางสงั คม (Social Evil) ดังน นั้ ส ถาบันต า่ งๆ ในสงั คมยโู ทเปียจ งึ ได้ร บั ก ารสร้างขนึ้ เพือ่ ควบคุมความชั่วร ้าย (Vice) เหล่านั้นไว้ ขณะทสี่ งั คมยโู ทเปียว างอยูบ่ นพนื้ ฐ านความเข้าใจเรือ่ ง ธรรมชาติมนุษย์ และความสุขของมนุษย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส นักว ชิ าการทมี่ คี วามสนใจดา้ นสอื่ ได้เสนอ ‘สามเหลี่ยมระบบสื่อสารสร้างสรรค์’ ประกอบด้วย ระบบ สื่อสาร ผู้รับสาร และระบบติดตามเฝ้าระวังสื่อ ผู้เขียนขอร่วมวงแลกเปลี่ยนข้อมูลจากประสบการณ์ ที่เกิดจากหน้าที่การงาน (Lived Experience) โดยเฉพาะ ระบบติดตามเฝ้าระวังสื่อที่ นายแพทย์ประเวศ เสนอให้คณะ วารสารศาสตร์แ ละนเิ ทศศาสตร์ในมหาวิทยาลัยท งั้ หมด ควร จะรวมตัวกันตั้งสถาบันแห่งชาติเพื่อติดตามเฝ้าระวังสื่อ ประสบการณ์แรก เมื่อปี 2553 ผู้เขียนได้เข้าร่วมทำงาน กับค ณะทำงานปฏิร ปู ส อื่ ท มี่ ี รศ.ดร.ยุบล เบ็ญจ รงค์ก จิ คณบดี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน ในบทบาทหน้าที่สัมภาษณ์เชิงลึกบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ทัง้ หมด 20 กว่าฉ บับ ซึง่ ป รากฏวา่ ไม่มบี รรณาธิการฉบับไหน เ ห็ น ด้ ว ยที่ รั ฐ จ ะเ ข้ า ม าป ฏิ รู ป สื่ อ พื้ น ฐ าน โดยใ ห้ เ หตุ ผ ล ตรงกันว่า
ขณะที่ อาจารย์ส ลุ กั ษณ์ ศิวร กั ษ์ หรือ ส.ศิวร กั ษ์ มองวา่ สือ่ ท กุ ว นั น รี้ บั ใช้ท นุ นิยมบริโภคเต็มต วั อะไรกต็ ามทสี่ ามารถ ทำเงินได้ อ้างว่าเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ
“เป็นเพราะวา่ ส อื่ ไม่ได้ร บั ก ารฝกึ อ บรมมา ทำให้ ไม่เข้าใจเรื่องการแสวงหาสัจจะไม่มีความกล้าหาญ ทางจริยธรรม” ส.ศิวรักษ์ ฝากย้ำให้ส่งต่อข้อความเหล่านี้
ไปถึงอาจารย์ที่สอนด้านสื่อทุกคน ประสบการณ์ส อง เมือ่ ห ลายปกี อ่ นผเู้ ขียนทำงานเป็นค น สอนหนังสือท สี่ มั พันธ์ก บั ส อื่ ในมหาวิทยาลัยเอกชน ครัง้ ห นึง่ คณะได้ด ำเนินก ารปรับปรุงห ลักสูตร จึงต อ้ งเชิญผ ทู้ รงคณ ุ วุฒิ สายวิชาการและสายวิชาชีพมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเนื้อหา หลักสูตรที่ต้องปรับปรุง ปรากฏว่า มีคำท้วงติงจากนักวิชาการทางด้านสื่อสาร มวลชนทา่ นหนึง่ ให้ป รับแ ก้ในสว่ นของการวดั ผลและประเมิน นักศึกษา โดยอาจารย์ท่านนี้ให้ความเห็นว่า
“มหาวิทยาลัยไม่ใช่โรงเรียนเทคนิค ดังนั้นการ วัดผลสอบไล่ในสว่ นทฤษฎีค วรให้น ำ้ ห นักเท่ากับภ าค ปฏิบัติ” ซึ่งข้อเสนอวัดผลและประเมินนักศึกษาดังกล่าวนั้น มี คำแนะนำของนกั ว ชิ าชีพส อื่ มวลชนทสี่ ะท้อนภาพนำ้ ห นักข อง การเรียนในห้อง กับการทำงานจริงออกมาว่า
“นักศึกษาปัจจุบันได้แต่ทฤษฎี ทำอะไรไม่เป็น อย่าค าดหวังไปถงึ ว่าจ ะคดิ ป ระเด็นข า่ วได้ แค่เขียนขา่ ว ยังจับประเด็นไม่เป็น จึงต้องการให้มหาวิทยาลัยเน้น ภาคปฏิบัติให้มาก เมื่อจบมา สามารถใช้การได้ทันที “เป็นเรื่องของคนทำสื่อที่จะจัดการกันเอง ทุก ทุกวันนี้ไม่รู้สอนอะไรกัน” วันนี้สื่อถูกกำกับโดยกลไกตลาดและการควบคุมจาก
ส.ศิวรักษ์ “สื่อวันนอี้ ยูภ่ ายใต้อคติ 4 อย่าง คือ อคติ เพราะรัก อคติเพราะเกลียด อคติเพราะกลัว และ อคติเพราะหลง ปัจจุบันสื่อท ำข่าวเชิงสืบสวนน้อย เกิดจากอคติเพราะความกลัว...ณ วันนี้ หน้าที่ของ สื่อค ือประการแรกต้องขายได้ จริงๆ ในปรัชญาของ สื่อไม่มี แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เรียกว่านอกหลักสูตร อันดับแรกขายไม่ได้คุณอยู่ได้ไง”
ฉัตรชัย นามตาปี
หัวหน้าบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ “อย่าไปฝนั เลย ใครจะกำกับใครได้…ใช่ห รือเปล่า ทุกว นั น คี้ นทำ สื่อรู้ดี คุณจ ะไปกำกับย ังไง คุณไปกำกับไทยรัฐได้รึเปล่า คือมันพูดได้ มันท ำได้รเึ ปล่า จริงแ ล้วท ำไม่ได้ห รอก คุณจ ะทำยงั ไงถามวา่ ส มาคม จะกำกับไทยรัฐได้ไหม สภาการหนังสือพิมพ์ด ว้ ย เอา 2 สถาบันเลย... กำกั บ ยั ง ไง? ทุ ก วั น นี้ ทั้ ง ส มาคม ทั้ ง ส ภาก ารห นั ง สื อ พิ ม พ์ ไม่ได้ม บี ทบาท แค่ท ำกจิ ก รรมเล็กๆ น้อยๆ เพราะถงึ เวลาคณ ุ ไปกำกับ ยังไง มันเป็นเรื่องของธุรกิจไง ใช่ไหม มันไม่ใช่เรื่องการทำงานเรื่อง จรรยาบรรณอย่างเดียว คุณบอกว่าช่อง 3 ห้ามเล่าข่าวอย่างนี้ ให้ ทำอย่างอื่นทำได้ห รือเปล่า...ทำไม่ได้”
ความจริง – มายาคติ
จาก 2 ประสบการณ์ แม้จะเป็น ความคิดเห็นระดับปัจเจกบุคคล แต่ก็ ถือว่าเป็นภาพตัวแทน(Representation) ของนักวิชาชีพสื่อและนักวิชาการ ที่มี ปรัชญาองค์ความรู้ด้านคนทำสื่อต่างกัน ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เขียนจึง ยังมอง ไม่เห็นทางออกสำหรับข้อเสนอให้คณะ วารสารศาสตร์ แ ละนิ เ ทศศาสตร์ ใ น มหาวิทยาลัยทั้งหมด ควรที่จะรวมตัว กันตั้งสถาบันแห่งชาติเพื่อติดตามเฝ้า ระวังสื่อ เข้ า ใจไ ด้ ไ ม่ ย ากว่ า หน่ ว ยง าน ดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็น ‘คนกลาง’ ที่ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่คุณสมบัติที่ คนเป็นกลางต้องมีอันดับแรกคือ ‘ความ ไว้วางใจ’ (Trust) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในเรื่องนั้นๆ ซึ่งก็คือ ‘คนทำสื่อ’ เอง ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่า ไม่เห็น ด้วยกับข้อเสนอของนายแพทย์ประเวศ เพราะเป็นข้อเสนอที่ดี สำหรับการนำ คนกลาง ซึ่งเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิมาติดตาม การทำงานของสื่อ แต่จากประสบการณ์ ที่ผู้เขียนสัม ผัสทั้งจากฝ่ายนักวิชาการ และนักวิชาชีพ ดูเหมือนว่าคนทำสื่อตก อยู่ในสภาวะขาด ‘ความไว้วางใจ’ (Trust) นักวิชาการด้านสื่ออย่างมาก
ที่ ส ำคั ญ ...คนท ำสื่ อ ป ระกาศ อย่างโจ่งแจ้งว า่ “เป็นเรือ่ งของคนทำ สื่อที่จะจัดการกันเอง”
เมื่อเป็นเช่นนี้ สื่ออุดมคติเป็น ‘อุดมคติ’ อย่างมนั่ คงและถาวรเพราะลว้ น แต่ม คี นเข้าม าวางโครงสร้างหรืออ อกแบบ (Design) ตามสิ่งที่ตนคิดว่า สื่อที่ดีต้อง เป็นอย่างไร แต่คนทำสื่อเองกลับอยู่ใน ภาวะนงิ่ เฉย ทัง้ ๆ ทีป่ รากฏการณ์แ ห่ง Social Media ในการหาเสียงเลือกตงั้ ส มาชิก สภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมาของ 2 พรรคใหญ่ เช่น พรรค ประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยอย่างเต็ม รูปแ บบครัง้ แ รกถอื เป็นการสถาปนาทศั นะ แม่บทใหม่เกี่ยวกับสื่อใหม่ที่ว่า ‘ใครๆ
ก็เป็นเจ้าของสื่อได้’
คนทำสื่อกระแสหลักคนหนึ่งบอก กับผู้เขียนถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “เป็ น
เพียงสื่อเฉพาะไม่ได้กระทบอะไร กับสื่อกระแสหลักยิ่งดี มีที่ให้ลอก ข่าวมากขึ้น” ถึงตรงนี้ ผู้เขียนได้แต่นึกถึงคำว่า ‘สื่อยูโทเปีย’ ตามความหมายของ โทมัส มอร์ ที่เคยเขียนไว้ในคำแนบของหนังสือ เขาว่า
29
สื่อเสายลม สรีแห่งก ารปฏิวตั ยิ คุ ส มัย เริม่ ต น้ ต งั้ เค้าท ตี่ นู เิ ซีย และอยี ปิ ต์ ตัง้ แต่ป ลายปี 2010 ก่อน
Wherefore not Utopia, but rather rightly My name is Eutopie: A place of felicity ยูโทเปีย เป็นสังคมอันแสนสมบูรณ์แบบ แต่มันก็ไม่มีทางจะไปถึง
จะลามไปทั่วดินแ ดนกลุ่มประเทศอาหรับ สถานการณ์ลุกฮือของ ‘ขบวนประชาชนปฏิวัติ’ เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ยังบันทึก ตัวเองไม่จบ หลายฝ่ายคาดว่ารูปแบบของ ‘ระเบียบโลก’ ในอนาคต ไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาได้ง่าย อีกต่อไป โชคยงั ด ที บี่ า้ นเรากล้าเปิดรบั เรือ่ งราวเหล่าน พี้ อสมควร แม้ไม่ใช่ข า่ วใหญ่บ นหน้าส อื่ ก ระแส หลัก แต่ส ำหรับช่องทางอื่นๆ โดยเฉพาะโซเชียล มีเดียอ ย่าง เฟซบุ๊ค หรือ ทวิตเตอร์ กระแสลม จากทะเลทรายอาจพัดมาแตะจมูกราวอยู่ข้างบ้าน ผิดก ับบางประเทศ ซึ่ง ‘เสรีภาพ’ เป็นเรื่อง เปราะบาง เช่น จีน ยังมีความพยายามกวาดข่าวการลุกฮือครั้งนไี้ว้ใต้พ รม ถึงก ระนัน้ ส ถานการณ์ ‘สือ่ ’ ในไทย ก็ใช่ว า่ จ ะเป็นบ านประตูท เี่ ปิดก ว้าง จนเราสามารถเลือก เสพได้ท ุกอย่าง บางครั้งเราเห็นหมอก บางครั้งเราเห็นโมเสก และบางครั้งจอดำมืดก็ปรากฏ แม้ กระทั่งเว็บไซต์ในโลกไซเบอร์อันเสรี ยังไม่ใช่ท ี่ทางให้ใครได้สูดดมกลิ่นอิสรภาพอย่างเต็มปอด โดยเฉพาะชว่ งสถานการณ์ ‘รอยตอ่ ’ ของประวัตศิ าสตร์ไทย ทีด่ ำเนินผ า่ นทางโค้งแ คบๆ ไป เรื่อยๆ เสียงจากมุมหนึ่งเริ่มเรียกร้องหาเสรี ประท้วงเรื่อง ‘ปิดกั้น’ และ ‘ปิดปาก’ ยังไม่นับก าร เซ็นเซอร์ ที่ส่งผลโดยตรงต่อทั้งข ่าวสาร ละคร และภาพยนตร์ อย่างไม่เคยมีมาก่อน หลายคนสรุปได้ว่า นี่คือความพยายามควบคุมสื่อ เพื่อคัดกรองสารทั้งหลายให้มีรูปร่าง หน้าตาและถ้อยคำตามที่ ‘รัฐ’ กำหนด...เท่านั้น
MAP OF FREEDOM 2010
MAP OF FREEDOM 2011
Freedom Status NOT FREE PARTLY FREE FREE
ที่มา: http://freedomhouse.org
สถานการณ์ ส อ ่ ื 2011 ฟรีด อมเฮาส์ (Freedom House) องค์กรอสิ ระเพือ่ เสรีภาพ
สากล ออกรายงานประจำปี 2011 ว่า สิทธิข องประชากรโลก ในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารอยู่ในสภาวะตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี แม้ว่าช่องทางการสื่อสาร และเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเปิด กว้างขึ้นก ็ตาม ไม่เฉพาะประเทศที่มีความ ‘ไม่เสรี’ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างเกาหลีเหนือ อิหร่าน พม่า หรือก ลุ่มประเทศในคาบสมุทร อาหรับที่ต้องเผชิญการปฏิวัติประชาชนเท่านั้น ประเทศที่ยึดธง ประชาธิปไตยอย่าง ฮังการี เม็กซิโก เกาหลีใต้ และไทย ก็ม อี นั ดับ เสรีภาพของสื่อลดลงเช่นเดียวกัน “ประเทศทนี่ กั ข า่ วไม่ส ามารถรายงานขา่ วได้ โดยกลัวว า่ จ ะ ถูกแทรกแซงจากรัฐบาลหรือกลุ่มใดๆ ย่อมมีความหวังที่ริบหรี่ ในการดำรงไว้ซึ่งป ระชาธิปไตย” เดวิด เจ เครเมอร์ ผูอ้ ำนวยการ ของ ฟรีดอมเฮาส์ กล่าว ในปี 2010 การสำรวจ ‘เสรีภาพ’ ของสื่อ จากทั้งหมด 196 ประเทศ พบว่า มี 68 ประเทศ (ร้อยละ 35) มีส ื่อเสรี อีก 65 ประเทศ (ร้อยละ 33) เป็นก ึ่งเสรี และอีก 63 ประเทศ (ร้อยละ 32) จัดว า่ ไม่เสรี แต่จ ากผลลา่ สุดข อง Freedom of the Press 2011: A Global Survey of Media Independence พบ ว่าประเทศที่มีสื่อเสรีนั้น เหลือเพียง 1 ใน 6 ของโลกเท่านั้น จากรายงานดังกล่าว ฟรีดอมเฮาส์ ได้รวบรวมเหตุผลที่มี ส่วนในการลดทอนเสรีภาพของสื่อล ง เช่น การบังคับใช้ก ฎหมาย ของรัฐเพื่อปิดกั้นช่องทางสื่อสาร ผ่านทั้งมาตรการทั้งละมุน ละม่อมและรุนแรง โดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย ที่มีการปิดเว็บไซต์ และควบคุมเนื้อหาออนไลน์ อย่างเข้มงวดขึ้น การใช้กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด ทางคอมพิวเตอร์ที่จงใจปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น จนทำให้ ไทยอยู่ในอันดับ 138 จาก 196 ประเทศ และเปลี่ยนจากกลุ่ม ‘กึ่งเสรี’ เป็น ‘ไม่เสรี’ สำหรับชาติผู้ได้ชื่อว่ามีเสรีภาพในการสื่อสารมากที่สุด คือ ฟินแลนด์ ซึ่งค รองแชมป์ในการจัดอันดับนี้มาเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อก ันแล้ว ส่วนกลุ่มประเทศที่สื่ออยู่ในอาการ ‘โคม่า’ ประกอบด้วย เบลารุส พม่า คิวบา เอควาทอเรียล กินี เอริเทรีย อิหร่าน ลิเบีย เกาหลีเหนือ เติรก์ เมนสิ ถาน และอซุ เบกิส ถาน ซึง่ ส อื่ ข องประเทศ เหล่าน แี้ ทบจะไม่ต อ้ งทำงานเลย เพราะรฐั บาลมมี าตรการรนุ แรง ในการควบคุม และการเข้าถ งึ ข อ้ มูลข า่ วสารของคนธรรมดากแ็ ทบ เป็นไปไม่ได้ เพราะชาติเหล่านี้จะมีแต่การ ‘สื่อสารทางตรง’ คือ รัฐเท่านั้น มีสิทธิ์พูด
30
Justice for All
เป็น
ท ี่คาดการณ์ตรงกันว่า หลังเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม นี้ คำว่า ‘นิรโทษกรรม’ หรือ การลบล้างความผิดติดตัวให้กลายเป็นโมฆะ ไม่ต้องรับโทษนั้น จะต้องกลาย เป็นประเด็นร้อนของสังคมไทยอย่างแน่นอน นิรโทษกรรม (Amnesty) ถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่ชนวนความขัดแย้งทางการเมือง ในประเทศไทยถกู จ ดุ ข นึ้ ในปี 2549 ไม่ว า่ จ ะเป็น การนริ โทษกรรมผลู้ ม้ อ ำนาจรฐั ผ่านมาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญ 2550 นิรโทษกรรมการยึดสนามบิน การชุมนุมปิดสี่แยก ล้อมทำเนียบ ก่อวินาศกรรมกลางเมือง คดีคอรัปชั่น และการลั่นกระสุนจริงในวัน ‘กระชับพื้นที่’ โดยหลายฝ่ายมี ‘ความเชื่อ’ พื้นฐานว่า การนิรโทษกรรมคือการล้มกระดาน ล้างไพ่ ทำความส ะอาดค ราบไ คล ให้ ทุ กอ ย่ า งก ลั บม าปกติ เหมื อ นเดิ ม และเป็นยาดีสู่ภาวะ ‘ปรองดอง’ ในวงการเมือง ฝัง่ พ รรคเพือ่ ไทย ได้เอ่ยถ งึ ก ารนริ โทษกรรม อดีตน ายกรฐั มนตรี ทักษิณ ชินวัตร ทั้งกระซิบในทางลับและประกาศในทางเปิดเผยมาตั้งแต่ยังเป็นพรรคพลังประชาชน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การลบล้างข้อหาคอรัปช่ัน เพื่อกรุยทางให้อดีตผู้นำได้กลับบ้าน แต่เมื่อมี ‘การกระทำ’ เกิดขึ้นไปแล้ว บางครั้งผลคือการสูญเสียทางเศรษฐกิจ บางครั้ง คือการสูญเสียชีวิต ทำไมความผิดที่ดูร้ายแรงเหล่านี้ถึงกลายเป็นเรื่อง ‘โมฆะ’ ได้ ดังนั้น ทุกค รัง้ เมือ่ เอ่ยถ งึ นิรโทษกรรม ก็ย อ่ มมฝี า่ ยตรงขา้ มคอยสกัดก นั้ ต อ่ ต า้ นการฟอกดำเป็นข าว อยู่เป็นระยะๆ แน่นอนวา่ ภาษากฎหมาย เป็นข องแสลงสำหรับ ‘คนนอก’ และโดยตวั ก ฎหมายเองนนั้ ความหมายของมันก็ไม่ได้ถูกแปลออกมาจากตำราเสมอไป ทำให้หลายครั้งต้องมีการ ตีความ เรื่องที่เป็นขื่อแปเช่นนี้ ยังต้องอาศัยทัศนะ และวิจารณญาณ 2 ‘คนวงใน’ ชาญเชาวน์ ไชยานกุ จิ และ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาสาตอบคำถามเรือ่ ง ‘นิรโทษกรรม’ ว่า เป็นย าวเิ ศษ สำหรับยุติปัญหาต่างๆ ในบ้านเราได้จริงหรือ ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ
รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก
อธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
ล้างไพ่ด้วยนิรโทษกรรม 01
ในบริบทของกฎหมายสากล การ ส่งผ ลให้การปฏิบตั ขิ องเจ้าห น้าทีท่ ผี่ า่ นมา ของฝ่ายบริหาร (Order: พระราชกำหนด ที่จะประท้วงด้วยการกระทำผิดอีก ซึ่งใน ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะอยูภ่ ายใต้ เป็นการกระทำผิด จึงต้องออกกฎหมาย หรือรฐั กำหนด) เพื่อเพิกถอนการกระทำ มุมหนึ่งก็คือ การนำความสงบเรียบร้อย หลักคิดแบบไหน สถานการณ์ใด ฉบับใหม่ออกมานิรโทษกรรมการกระทำ ของราษฎรซึ่งอาจจะได้เป็นความผิดต่อ กลับเข้าสู่สังคม ชาญเชาวน์: โดยทั่ ว ไปก ฎหมาย
ในลักษณะนี้ มักจะมีหลักคิดในบริบท ทางการเมืองที่มักส่งผลย้อนหลังไปยัง การกร ะท ำห รื อ เ หตุ ก ารณ์ ใ นอดี ต ซึ่ ง ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับการกระทำ ทีม่ โี ทษทางอาญา ดังจ ะพบได้ม ากในเรือ่ ง ของการเปลี่ยนผ่านอำนาจการปกครอง ในรู ป แ บบต่ า งๆ เช่ น การยึ ด อ ำนาจ เป็นต้น นอกจากนี้ อาจเป็นก รณีเหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่ของ เจ้าห น้าทีต่ ามกฎหมาย ซึง่ ป รากฏภายหลัง ว่า จำเป็นต้องมีการดำเนินการที่ต่อเนื่อง แต่เพื่อให้เกิดประโยชน์ในทางนโยบาย จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติ ซึ่งอาจ
ของเจ้ า ห น้ า ที่ แ ละผู้ ที่ เกี่ ยวข้ อ งใ นก าร กระทำ หรือเหตุการณ์นั้นๆ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ากฎหมาย นิรโทษกรรมมีหลักคิดในการบังคับใช้ที่ กว้างขวางสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ หรือกรณีที่เกิดขึ้นแล้วกับเหตุการณ์หรือ กรณีป จั จุบนั แ ละในอนาคตได้ ทัง้ นีข้ นึ้ อ ยู่ กับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เจษฎ์: คำว่านิรโทษกรรมในภาษา อังกฤษคอื Amnesty ซึง่ ม รี ากศพั ท์ม าจาก ภาษากรีก Amnestia และเป็นรากศัพท์ เดียวกันกับคำว่า Amnesia ซึ่งแปลว่า ความจำเสือ่ ม หรือก ารลมื ส งิ่ ท เี่ คยเกิดข นึ้ โดยทั่วไปแล้ว นิรโทษกรรมคือ การตรา กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (Act: พระ ราชบญ ั ญัติ หรือร ฐั บ ญ ั ญัต)ิ หรือก ฎหมาย
รัฐ ให้บรรดาผู้ที่อาจจะได้กระทำความ ผิดเหล่านั้น กลับเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งการนิรโทษกรรมนั้นมีขอบเขต ที่ กว้ า งกว่ า ก ารย กโ ทษ หรื อ อ ภั ย โทษ เนื่องจากรวมการยกโทษ หรืออภัยโทษ และการลา้ งมลทินไปดว้ ย ในสภาวการณ์ โลกปจั จุบนั นิรโทษกรรมมกั ถ กู ใช้เชือ่ มโยง กับอิสรภาพ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า นิรโทษกรรมนั้น เป็นไปเพื่อให้บุคคลได้ มีอิสรภาพ นิ ร โทษก รรมมี พื้ น ฐ านอ ยู่ ที่ ก าร ทำให้ราษฎรกลับเข้าสู่การปฏิบัติตัวให้ อยู่ ภ ายใ ต้ ก ฎหมาย แทนที่ จ ะเ อาผิ ด หรือลงโทษพวกเขา ซึ่งอาจทำให้บรรดา ผู้กระทำผิดออกมาทำผิด และถูกลงโทษ อีก หรือบรรดาพรรคพวกของเขาก็เลือก
อีกเหตุผลหนึ่งที่อาจจะเป็นได้ คือ การนำเอาผู้คนจำนวนมากมาลงโทษนั้น สู้ทำให้พวกเขาสามารถกลับเข้าสู่สังคม และเลิกทำตัวไม่ดีจะดีกว่า แต่ก็มีข้อควร ระวังเนื่องจากนิรโทษกรรมอาจจะถูก ใช้เป็นเครื่องต่อรอง เช่น กรณีที่รัฐบาล อูกันดา เสนอที่จะนิรโทษกรรมให้แก่ โจเซฟ โคนี ซึ่งเป็นอาชญากรสงคราม เพื่อไม่ให้ผู้ที่สนับสนุนเขาก่อการลุกฮือ ซึ่งกรณีนี้อาจกลายเป็นการปลดปล่อย ผู้กระทำความผิดซึ่งสมควรจะถูกลงโทษ ด้วยเหตุผลที่ไม่สมควร
31 02
และหลักนิติธรรม ที่ให้ประชาชนมีส่วน ร่วมในกระบวนการนิติบัญญัติ และการ ตัดสินใจทางการเมือง ดังนั้นหากจะนำ กฎหมายนิรโทษกรรมมาเป็นเครื่องมือ ในการจัดการความขัดแย้ง จะต้องมุ่งสู่ กระบวนการที่ชัดเจน โดยมีกลไกกลาง ชาญเชาวน์: ในรูปแบบต่างๆ ของ ทำหน้าทีป่ ระสานงานทกุ ฝ า่ ย และบริหาร การจัดการความขัดแย้ง กฎหมายอาจ จัดการให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมทาง เป็นเครื่องมือหนึ่งในเชิงสถาบัน เพื่อวาง สังคม โครงสร้างแนวทางการจดั การความขดั แ ย้ง แต่ก ารจะทำเช่นน น้ั ได้ กระบวนทศั น์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากจะต้องมี ที่เกี่ยวกับกฎหมายนิรโทษกรรมจะต้อง กระบวนการหรือมาตรการอื่นๆ ทั้งทาง ไม่คับแคบอยู่เพียงการลบล้างความผิด สังคมและทางการเมืองควบคู่กันไปด้วย ของบุ ค คลห รื อ ก ลุ่ ม บุ ค คลห รื อ ฝ่ า ยใ ด ลำพังเพียงแต่บทบัญญัติของกฎหมายคง ฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ต้องเปลี่ยนแปลงจาก ไม่อาจทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ เพราะมองว่า หลั ก คิ ด ข องก ารส ร้ า งว าทก รรมท าง กระบวนการนำไปสู่การยุติความขัดแย้ง การเมือง และต้องมีความชัดเจนเพื่อมุ่ง นัน้ จ ะตอ้ งเริม่ ต น้ ท กี่ ระบวนทศั น์เสียก อ่ น การจัดการความขัดแย้งอย่างจริงจัง โดย หลังจากนั้นจึงค่อยพัฒนากระบวนการ มีกระบวนการนำเสนอตามแนวทางของ สร้างเครื่องมือที่เหมาะสม แล้วกำหนด การกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อสังคม เป็นนโยบาย จึงจะเป็นการมีกระบวนทัศน์ที่ถูกต้อง เนื้อหาของกฎหมายนิรโทษกรรม ข องก ารอ อกก ฎหมายนิ ร โทษก รรม จึงมิใช่เพียงการลบล้างหรือยกเว้นการ ในสถานการณ์ความขัดแย้งของไทย กระทำผิดแต่เพียงประการเดียว แต่เป็น เจษฎ์ : ดั ง ที่ ไ ด้ ก ล่ า วไ ปแ ล้ ว ว่ า กฎหมายที่กำหนดเป้าหมาย แนวทาง นิรโทษกรรมนั้นจะต้องกระทำโดยฝ่าย และวิธีการในการจัดการความขัดแย้ง นิติบัญญัติ หรือฝ่ายบริหาร นั่นก็คือ โดย ด้วย ผู้ที่ถืออำนาจรัฐผ่านทางรัฐสภา หรือผู้ที่ เจษฎ์: ว่ากันอย่างตรงไปตรงมา ถืออำนาจรัฐผ่านทางรัฐบาล ซึ่งในบริบท นิรโทษกรรมให้แก่บรรดาผู้คนทั้งหลายที่ ของสังคมไทยมองในมุมหนึ่งก็คือ ผู้ที่ เข้าร่วมชุมนุม ก่อการร้าย หรือคอรัปชั่น ได้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้งนั่นเอง โดยให้แก่ทุกผู้คน ไม่น่าจะสามารถยุติ (ไม่ใช่พรรคที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง ความขดั แ ย้งได้ อาจจะยงิ่ เป็นการกระพือ หากแต่เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันแล้วได้เสียง บรรดาผคู้ น โดยเฉพาะทเี่ ป็นแ กนนำ หรือ ข้างมากของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน ผู้ที่นำความคิดของคนทั้งหลาย (Master- รัฐสภา) โดยเ ฉพาะก ารแ ก่ ง แย่ ง ท างการ mind) มีความลำพอง และรู้สึกว่าตนอยู่ เหนือก ฎหมาย เนือ่ งจากสามารถใช้ก ำลัง เมืองในประเทศไทย ที่เอาแต่จะยืนกราน มวลชนเข้ากดดันเพื่อสิ่งที่ตนต้องการได้ ว่าพ รรคทไี่ ด้ค ะแนนสงู สุดเป็นอ นั ดับห นึง่ จากการเลือกตั้งเท่านั้น จึงจะมีความ ทั้งนั้น การลงโทษทเี่ ด็ดข าดในการกระทำ ชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล และกุม ความผิ ด ที่ ส มควรไ ด้รับโทษ และการ อำนาจทั้ ง ใ นฝ่ า ยนิ ติ บั ญ ญั ติ และฝ่ า ย ประกาศนริ โทษกรรมอย่างรอบคอบ ด้วย บริหาร ยิ่งทำให้ผู้สมัครทุกคนพยายาม เหตุผลอนั ส มควร และเลือกแต่ก รณีท คี่ วร เต็ ม ที่ ใ ห้ ไ ด้ ม าซึ่ ง อ ำนาจรั ฐ เพื่ อ เ ป็ น จะได้ร บั น ริ โทษกรรมจริงๆ จึงจ ะสง่ ผ ลให้ เครื่องมือปลดแอกทุกๆ อย่าง หากประชาชนไม่เห็นด้วยกับการ เกิดค วามสงบในสังคมได้ กระทำเช่นนี้ ก็สามารถแสดงพลังกันโดย การพร้อมใจกันไม่ไปเลือกตั้งเลย หรือ 03 การประกาศใช้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่เลือกใครเลย โดยแสดงจุดยืนร่วมกัน ให้นักการเมืองทั้งหลายรู้ว่าประชาชน นี้ สามารถทำได้เฉพาะผู้ถืออ ำนาจ รัฐหรือไม่ จึงทำให้หลายคนพยายาม ไม่ต้องการให้พวกที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เข้าไปให้ถึงอ ำนาจนั้นเพื่อลบล้างความ เข้ามาทำงานเลย แต่การจะทำเช่นนี้ให้มี ผิด และสำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งไม่มี ประสิทธิผลอาจจะตอ้ งมกี ารแก้ก ฎหมาย อำนาจ มีช ่องทางใดบ้างที่จะคัดค้าน บางฉบับ ให้พลังของประชาชนมีผลตาม กฎหมาย หรืออย่างน้อยต้องได้สัญญา การออก พ.ร.บ. นี้ ประชาคม (Social Contract) จากบรรดา ชาญเชาวน์: เมื่อมองหลักคิดเกี่ยว ผู้สมัครรับเลือกตั้งว่า ให้ยอมรับความ กับกฎหมายนิรโทษกรรม และหลักคิด พ่ายแพ้หากผู้ออกมาใช้สิทธิ์ไม่ถึงจำนวน ของก ฎหมายโ ดยทั่ ว ไปแ ล้ ว ป ระกอบ เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด หรือหาก กั บ บ ทบั ญ ญั ติ ข องรั ฐ ธรรมนู ญ ฉ บั บ พวกเขาไม่สามารถชนะคะแนน ‘ไม่เลือก ปัจจุบัน ที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตย ผู้ใด’ ได้
ในสถานการณ์ประเทศไทย การ นิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่าย ทั้งการ ปราบปรามผู้ชุมนุม ก่อการร้าย และ ความผิดคอรัปชั่นจะสามารถยุติ ความขัดแย้งลงได้จริงหรือ
04
แนวคิดของการนิรโทษกรรมต่าง จากการลดหย่อนโทษอย่างไร ชาญเชาวน์: หากมองเฉพาะมิติ
ของการกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา การ นิรโทษกรรมมีแนวคิดของกฎหมายที่มี ผลยอ้ นหลังไปให้ถ อื ว่าก ารกระทำในอดีต ไม่เป็นความผิด เพราะยกเลิกกฎหมายที่ ระบุการกระทำที่เป็นความผิดในขณะนั้น เสีย หรือร ะบุก ารกระทำเฉพาะเหตุการณ์ หรือร ะบุช ว่ งเวลาของการกระทำทเี่ กิดข นึ้ หรือกำหนดเงื่อนไขใดๆ ให้กระทำเพื่อ ให้การกระทำที่ผ่านมาไม่เป็นความผิด ก็ได้ ฉะนั้นจึงไม่ต้องรับโทษที่ได้กำหนด ไว้หรือหากกำลังได้รับโทษอยู่ก็ให้ถือว่า การลงโทษสิ้นสุดลง ส่ ว นก ารอ ภั ย โทษห รื อ ก ารล ด หย่ อ นโ ทษเป็ น ก รณี ข องก ารใ ช้ อ ำนาจ สู ง สุ ด หรื อ อ ำนาจต ามก ฎหมายห รื อ ระเบียบที่มีอยู่งดเว้นโทษหรือลดหย่อน โทษที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยยังคงถือว่า บุคคลดังกล่าวเป็น ผู้กระทำผิดแต่ได้รับ การงดเว้นหรือลดหย่อนโทษเท่านั้น ทั้ง 2 กรณีจึงมีความแตกต่างกัน ในหลักคิดและวิธีการ โดยการอภัยโทษ หรือลดหย่อนโทษนั้นมุ่งเน้นการฟื้นฟู แก้ ไ ขผู้ ก ระทำผิ ด โ ดยก ารใ ห้ โ อกาส กลับค นื ส สู่ งั คม ไม่ก ระทำผดิ ซ ำ้ อ กี โดยมกั จะมีเงื่อนไขกำหนดให้ผู้กระทำผิดปฏิบัติ ตามเรียกว่า ‘การคุมประพฤติ’ อีกทั้ง ยังมีมาตรการทางสังคมในการติดตาม ประเมิน ผลการฟื้นฟูผู้กระทำผิดควบคู่ ไปด้วย เจษฎ์ : นิ ร โทษก รรมนั้ น มั ก จ ะ เป็นการไม่เอาผิด หรือการเพิกถอนโทษ ทั้งหมด ซึ่งโดยมากมักกระทำโดยที่ยังไม่ ได้ม กี ารพจิ ารณาความผดิ หรือก ารลงโทษ จากก ารกร ะท ำที่ อ าจจ ะเป็ น ความผิด เหล่านั้นเลย แต่การลดหย่อนโทษนั้น โดยทั่วไปเป็นเพียงการงดเว้นการเอาผิด บางส่วน หรือการเพิกถอนความผิดที่ อาจจะเหลือเป็นบ างสว่ น แต่ม ใิ ช่ค วามผดิ ทั้งหมด และมักจะเกิดขึ้นภายหลังจาก ที่ได้มีการพิจารณาความผิด และการ ลงโทษแล้ว 05
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหลายครั้ง ที่ผ่านมา มักเป็นคดีที่เกี่ยวข้อง กับความมั่นคงภายในประเทศ หมายความว่าข อบเขตของการ นิรโทษกรรมนั้น เลือกตามลำดับ ความสำคัญของคดีหรือไม่ ชาญเชาวน์: เห็นว่าเป็นการมอง กฎหมายนิรโทษกรรมอย่างแคบ หาก มองสถานการณ์ความขัดแย้งของไทยใน ปัจจุบันกฎหมายนิรโทษกรรมมีศักยภาพ
ในการกำหนดโครงสร้างกระบวนการ และ วิธีการจัดการความขัดแย้งได้ ขอบเขต ของกฎหมายจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงเรื่อง การลบล้างความผิดทางอาญาแต่เพียง ประการเดียว ควรจะตอ้ งมองสถานการณ์ ความขดั แ ย้งอ ย่างกว้าง ด้วยการพจิ ารณา สาเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และวาง เป้าหมายให้ชัดเจน จากนั้นจึงพิจารณา ขอบเขตของกฎหมายนริ โทษกรรมในการ เป็นเครื่องมืออีกชั้นหนึ่ง จะเ ห็ น ไ ด้ ว่ า การนิ ร โทษก รรม มีขอบเขตที่กว้างขวางไม่จำกัดเฉพาะ เรื่องของคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคง แต่ ยอมรับว่านิรโทษกรรมมีความสำคัญเชิง โครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดย ส่วนรวม ไม่ควรมุ่งเน้นเพียงผลโดยตรง ที่ เ กิ ด ขึ้ น เ ฉพาะบุ ค คลห รื อ ก ลุ่ ม บุ ค คล เท่านั้น เจษฎ์: ขอบเขตของนิรโทษกรรม นั้นโดยทั่วไปพิจารณาจากความรุนแรง ของความผิด และโทษที่อาจจะลงแก่ การกระทำที่ได้เกิดขึ้นไปนั้น เช่น การเผา ทำลาย หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ หรือการ ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง จำนวนผู้คนที่ เกี่ยวข้อง เช่น คนนับจำนวนพัน จำนวน หมื่น ผลที่จะตามมาจากการลงโทษผู้คน เหล่านั้น เช่น จะทำให้พวกเขากลับใจ ได้สำนึกหรือไม่ และองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อใคร่ครวญดูว่าการเอาโทษกับนิรโทษ อันไหนจะได้ประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า กัน ที่ผ่านมานั้นจะเห็นตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำ การยึดและควบคุมอำนาจการปกครอง แผ่นดิน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่ง มาตรา 3 กำหนดให้ “บรรดาการ กระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใดๆ ซึ่ง ได้ ก ระทำเ นื่ อ งใ นก ารยึ ด แ ละค วบคุ ม อำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 และการกระทำ ข องบุ ค คลที่ เ กี่ ยวเ นื่ อ งกั บ ก ารกร ะท ำ ดั ง ก ล่ า ว...หากก ารกร ะท ำนั้ น ผิ ด ต่ อ กฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง” อย่ า งไรก็ ต าม นิ ร โทษก รรมนั้ น อาจจะมใี ห้แ ก่ก รณีอ นื่ ๆ ก็เป็นได้ หากแต่ การพิจารณาให้มีนิรโทษกรรม ต้องเป็น ไปเพื่อให้เกิดความผาสุกของสังคม มิใช่ เป็นการยอมให้ก บั ก ารขม่ ขูข่ องคนบางคน บางกลุ่ม บางพวก และต้องไม่เป็นไป เพื่อให้คนฮึกเหิมกระทำการหยาบช้าต่อ กฎหมายบ้านเมือง
32
ดิน ฟ้า ป่า น้ำ
เดชรัต สุขกำเนิด : tonklagroup@yahoo.com
ทุ
กวันนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ‘โลกร้อน’ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเรา เรียบร้อยแล้ว โลกร้อนกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเรายุ่งยากซับซ้อน จากความผันแปร ของภูมิอากาศ สภาพอากาศ และภัยพิบัติต่างๆ มากขึ้น จนดูเหมือนทุกอย่างจะต้อง มาลงที่ ‘โลกร้อน’ แม้ว่า ภัยพิบัติบางอย่าง เช่น แผ่นดินไหว หรือสึนามิ จะไม่เกี่ยวข้อง กับโลกร้อนก็ตาม สำหรับคนเมืองอย่างผม โลกร้อนนั้น ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด ทรมานกับทั้งความ ร้อน และฟา้ ฝ นทไี่ ม่เป็นไปตามฤดูกาล และมกั ต ามมาดว้ ยการใช้พ ลังงานมากขนึ้ ก บั ร ถ ที่ติดอยู่บนถนน หรือไม่ก็เดินตากแอร์ในห้าง นั่นคือตัวอย่างเฉพาะคนเมือง ที่แม้ชีวิตจะเต็มไปด้วยความสะดวกสบายเพียง ไหน ก็ยังต้องเตรียมตัวรับมือกับ ‘โลกร้อน’ แล้วชีวิตของเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาลมฟ้า อากาศในการเพาะปลูกพืชผล จะทวีความยุ่งยากมากขึ้นเพียงใด
โลก ร อ ้ น: การพลิกวิกฤติเป็นโอกาสของชาวนายโสธร ชะตาชีวิตเกษตรกร เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ฝ่าข้ามวิกฤติโลกร้อน เกษตรกรเป็ น อ าชี พ ข องเผ่ า พั น ธุ์ มนุ ษ ย์ ที่ มี ค วามยิ่ ง ใ หญ่ ท างวั ฒนธรรม เพราะผ่านการปรับตัวเพื่อรับมือกับความ เปลี่ ย นแปลงต่ า งๆ ทั้ ง ท างธ รรมชาติ และทางสังคมมาหลายต่อหลายศตวรรษ เกษตรกรไทยจึงมิใช่ผู้ที่ยอมแพ้ต่อการ เปลี่ยนแปลงของโลก โดยไม่ปรับตัวรับมือ
แน่นอน ความผัน ผวนของลมฟ้า อากาศ ไม่ว่าจะเป็นความแปรปรวนของ ฤดูมรสุม (โดยเฉพาะฤดูฝน) ภาวะฝนทิ้ง ช่วง การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ หรือแม้ กระทั่งการระบาดของโรคแมลงเนื่องจาก ภาวะอากาศเป็นใจ (กับพวกมัน) ล้วน กระทบชีวิตของเกษตรกรทั้งสิ้น โดยเฉพาะหากประสบกับภัยพิบัติ ที่มากับโลกร้อนด้วยแล้ว เกษตรกรยิ่งต้อง แบกรับหนี้สินจากการลงทุนในการผลิต ของตนมากขึ้นไปอีก ดร.วิเชียร เกิดสุข เคยวิเคราะห์ไว้ ว่า หากชาวนาในทุ่งกุลาร้องไห้ประสบ กับความแปรปรวนของอากาศ (เช่น ฝน แล้ง) ในฤดูกาลผลิตหนึ่ง เขาจะต้องแบก
รับภาระหนี้สิน และปัญหาทางเศรษฐกิจ ต่อไปอีก 7 ปี กว่าจะหลุดพ้นจากภาระ เศรษฐกิจดังกล่าว (หากไม่โชคร้ายเพิ่มขึ้น อีกในระหว่าง 7 ปีนั้น) ในภาพรวมของทงั้ โลก วิลเลียม ไคลน์ (William Klein) นักว ชิ าการดา้ นพชื ศ าสตร์ และการเปลีย่ นแปลงภมู อิ ากาศ คาดการณ์ ว่า ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกจะได้ รั บ ค วามเ สี ย ห ายจ ากก ารเ ปลี่ ย นแปลง ภูมิอากาศประมาณร้อยละ 3-16 โดย ประเทศกำลังพ ฒ ั นา ซึง่ ม กั ต อ้ งพงึ่ พารายได้ จากภาคการผลิตทางการเกษตรจะได้รับ ผลกระทบมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว สำหรับป ระเทศไทย วิลเลียม ไคลน์ ได้ว เิ คราะห์ไว้ว า่ ผลผลิตท างการเกษตรจะ
ลดลงประมาณร้อยละ 15-26 หลายฝ่ า ย โดยเ ฉพาะนั ก ธุ ร กิ จ การเกษตร เห็นว่า นี่น่าจะเป็นโอกาสทอง ของไทย เพราะราคาผลผลิตท างการเกษตร จะสู ง ขึ้ น แต่ เ ขาเ หล่ า นั้ น อ าจลื ม ไ ปว่ า ประเทศไทยยังมีคนยากจนอีกกว่า 6 ล้าน คน หรือป ระมาณรอ้ ยละ 10 ของประชากร ทัง้ หมด ทีย่ งั ต อ้ งใช้เงินเกือบครึง่ ข องรายได้ เพื่อแลกกับอาหาร เมื่อราคาอาหารเพิ่มมากขึ้น โอกาส ที่จะหลุดพ้นจากความยากจนของเขาจึง ยากขึ้นตามไปด้วย ดั ง นั้ น โอกาสท องข องนั ก ธุ ร กิ จ การเกษตร จึงย อ่ มเป็น ‘หลุมด ำ’ ของคนจน ในประเทศนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับ ‘ชาวนา เกษตรอิ น ทรี ย์ ’ ในโ ครงการข องมู ล นิ ธิ สายใยแผ่นดิน (Earth Net Foundation) จังหวัดยโสธร เมื่อโจทย์ที่ตนต้องเผชิญเริ่มชัดเจน ขึ้น จากปัญหาภัยแล้งในปี 2550 กลุ่ม ชาวนาอินทรีย์จึงหารือกับมูลนิธิสายใย แผ่นดิน และองค์กรอ็อกซ์แฟมแห่งสหราช อาณาจักร (Oxfam) เพื่อเริ่มต้นโครงการ ปรั บ ตั ว เ พื่ อ รั บ มื อ กั บ ก ารเ ปลี่ ย นแปลง ภูมิอากาศ ในปี 2551 โดยมีหลักการที่ สำคัญ 4 ประการคือ หลั ก ป ระการแ รก คื อ ‘การเ ติ ม ความร’ู้ เกีย่ วกบั ค วามแปรปรวนของสภาพ อากาศ ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และผลกระทบที่มีต่อกระบวนการผลิต ในภาคเกษตรกรรม โดยนำความรู้ทาง วิทยาศาสตร์จาก ศูนย์จัดการความรู้ด้าน การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย มาประสานกับภูมิปัญญา ท้องถิ่นในการเพาะปลูก การประสานหรือก ารบูร ณาการตรง
จุดนี้สำคัญมาก เพราะการเปลี่ยนแปลง ของภูมิอากาศนั้น ลำพังองค์ความรู้หรือ ภูมิปัญญาท้องถิ่น อาจไม่สามารถใช้แก้ ปั ญ หาไ ด้ อ ย่ า งเ ต็ ม ที่ ใ นส ถานการณ์ ที่ แตกต่ า งไ ปจ ากสิ่ ง ที่ เ คยเ ป็ น ม าตั้ ง แต่ ปู่ ย่ า ต าย าย ขณะเดี ยวกั น องค์ ค วามรู้ ทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวก็มิอาจ เชื่อมต่อกับความเป็นจริงของระบบนิเวศ วัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นได้ การเชือ่ มประสานขององค์ค วามรทู้ งั้ 2 จึงเป็นห วั ใจสำคัญข องการวางแผนรบั มือ กับความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เช่น การคาดการณ์ช่วงเวลาทำนาที่เหมาะสม กับสภาพอากาศในแต่ละปี โดยพิจารณา จากแ บบจ ำลองก ารพ ยากรณ์ อ ากาศ เทคนิคการปลูกข้าวของชาวนา และพันธุ์ ข้าวที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เช่ น ในปี 2553 ชาวนาห ลาย รายที่ยโสธร ตัดสินใจเลื่อนการตกกล้า ของตนอ อกไ ปอี ก 1 เดื อ น เมื่อทราบ ข้อมูลจ ากแ บบจำลองการพยากรณ์อ ากาศ ว่า ฤดูมรสุมจะมาล่าช้าไปประมาณ 1
เดือน เนื่องจากอิทธิพลของปรากฏการณ์ เอลนีโญ หลักประการที่สอง คือ ‘การเกษตร อินทรีย์’ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพืช ที่ปลูก ไปพร้อมๆ กับฟื้นฟูระบบนิเวศ ในแ ปลงน าใ ห้ มี ค วามส มดุ ล ม ากขึ้ น มี กลไกก ารค วบคุ ม แ ละป รั บ ส มดุ ล ต าม ธรรมชาติ ดังน นั้ จึงส ามารถรบั มือก บั ค วาม เปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ดีขึ้น ข้ อ มู ล จ าก พรรณี เสมอภ าค ผู้อำนวยการศูนย์เกษตรอินทรีย์ มูลนิธิ สายใยแผ่นดิน ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเกิดภาวะ ฝนแล้ง ในปี 2551 ผลผลิตข า้ วจากเกษตร อิ น ทรี ย์ จ ะล ดล งเ พี ย งป ระมาณร้ อ ยล ะ 8-10 แต่ผลผลิตข้าวจากแปลงเกษตรเคมี จะลดลงถึงประมาณร้อยละ 30-40 นอกจากนั้น เนื่องจากการทำการ เกษตรอินทรีย์ลดการใช้ปัจจัยการผลิต ทีม่ าจากเชือ้ เพลิงซ ากดึกดำบรรพ์ (เช่น ปุย๋ ยูเรียทำจากก๊าซธรรมชาติ หรือสารกำจัด ศัตรูพืชก็สกัด และพัฒนามาจากน้ำมัน ปิโตรเลียม) การเกษตรอินทรีย์จึงสามารถ
33 สู่โอกาสอันยิ่งใหญ่
กังหันล มรุ่นใหม่ข องชาวยโสธร ต่อไปจะผลิตไฟฟ้าได้ด้วย
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการเรียนรู้ ขณะนี้ชาวนายโสธรกำลังก้าวสู่การเรียนรู้ และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เริ่ ม ต้ น จ ากก ารตั้ ง เ ป้ า ที่ จ ะจั ด ตั้ ง ศูนย์พ ยากรณ์อ ากาศชมุ ชน (ชือ่ แ บบไม่เป็น ทางการ) เพือ่ ท จี่ ะเก็บร วบรวมขอ้ มูลส ภาพ ดินฟ้าอากาศในพื้นที่ และเป็นจุดเชื่อมต่อ ข้อมูลร ะหว่างแบบจำลองการพยากรณ์ท มี่ ี ความละเอียดสงู ซึง่ ร ะบุได้ถ งึ ร ะดับห มูบ่ า้ น กับข้อมูลสภาพจริงในพื้นที่ อันจะเป็นการ นำไปสู่การปรับปรุงการพยากรณ์ที่แม่นยำ ละเอียด และใช้ประโยชน์โดยตรงกับการ ทำมาหากินของประชาชน
ปั จ จุ บั น แนวคิ ด ก ารจั ด ตั้ ง ศู น ย์ พยากรณ์อากาศชุมชน กำลังขยายตัวไป ยังพื้นที่อื่นๆ เช่น ชาวนา ชาวไร่ และครูที่ จังหวัดส ระแก้ว ก็ก ำลังเรียนรแู้ ละเตรียมตวั ตั้งศูนย์พยากรณ์อากาศชุมชนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น กังหันลมสูบน้ำ ซึ่ง เริ่มต้นจากกิจกรรมเล็กๆ ในการจัดการ ระบบน้ำ ก็กำลังได้รับการต่อยอด โดย การจัดการความรู้ร่วมกันในชุมชน จาก การส นั บ สนุ น จ าก สสส. (สำนั ก งาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ทำให้ชาวนายโสธร ซึง่ ก ลายเป็นช า่ งประจำ ชุมชน ได้พ ฒ ั นากงั หันล มรปู แ บบตา่ งๆ ขึน้ มาอีก 3 รูปแบบ เพื่อให้มีความคงทนและ
สามารถใช้ง านได้อ ย่างมปี ระสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น ปัจจุบัน ช่างชุมชนชาวยโสธร เช่น พ่ อ เ อี่ ย ม หรื อ พ่ อ ม นู ญ ก็ ก ลายเ ป็ น วิทยากรรว่ มกบั ม ลู นิธพิ ฒ ั นาอสี าน จังหวัด สุรนิ ทร์ เปิดฝ กึ อ บรมการทำกงั หันล มให้ก บั เกษตรกรในภาคอีสานตอนล่าง เป้าหมายในอนาคตของช่างชุมชน ชาวยโสธร คือ การพฒ ั นากงั หันล มทสี่ บู น ำ้ และผลิตไฟฟ้าได้ในตัวเดียวกัน รวมถึง ต่อยอดความรู้ไปสู่การจัดการพลังงานรูป แบบอื่นๆ เช่น การใช้ก๊าซชีวภาพ และ พลังงานชีวมวล เพื่อลดรายจ่าย และลด โลกร้อนไปด้วยในตัว
สุดท้าย ชาวนายโสธรร่วมกับมูลนิธิสายใยแผ่นดิน และมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กำลังรวบรวมแนวทาง องค์ความรู้ และประสบการณ์ทางเทคนิค ในการรับมือกับภาวะ โลกร้อนให้ได้อย่างน้อย 20 วิธี เพื่อเป็นคลังข้อมูลและเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา ในการดำรงอยู่กับโลกที่ไม่แน่นอนใบนี้ สำหรับชาวนากลุ่มนี้ คำว่า ‘โลกร้อน’ จึงมิใช่สิ่งที่มีไว้ ‘กล่าวโทษ’ หรือ ‘พร่ำบ่น’ อีกต อ่ ไป แต่ก ลายเป็นโจทย์ ‘ปัญหา’ ทีน่ ำไปสู่ ‘ปัญญา’ ซึง่ พ าไปสโู่ อกาส และการเรียนรู้ ที่ไม่รู้จบ สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นหนทางรอดของเกษตรกรรายย่อย เพื่อรับมือกับความ แปรปรวนของภูมิอากาศ ด้วยการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ไปพร้อมๆ กับการสร้าง สมดุลของระบบนิเวศในไร่นา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ‘ตลอด’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าเกิดจนตายเท่านั้น แต่เป็น ‘ตลอด’ ทุกองค์ประกอบ ของการดำเนินชีวิต ประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้ผมนึกถึง สุ ภ าษิ ต ข องช าวนาเ นเธอร์ แ ลนด์ ผู้ คิ ด ค้ น กั ง หั น ล ม เพื่ อ กู้ แ ผ่ น ดิ น ที่ อ ยู่ ต่ำกว่าระดับ น้ำทะเล ให้กลายเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ และมั่นคงยั่งยืนสืบมา “เราไม่อาจหยุดลมที่พัดโหมได้ แต่เรา สามารถสร้างกังหันลมได้” เรากำลังเริ่มทำความฝันที่ยิ่งใหญ่แบบ เดียวกัน ที่ยโสธร
ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันเป็น สาเหตุของโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย หลักป ระการทสี่ าม คือ ‘การปลูกพ ืช แบบผสมผสาน’ โดยการกระจายความเสีย่ ง จากการปลูกพืชหลัก หรือข้าวเพียงชนิด เดียว ไปสู่การปลูกพืชอื่นๆ อีก 31 ชนิด เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้แก่ ครัวเรือนและชุมชน ตามหลักการที่ว่า ‘อย่าใส่ไข่ทั้งหมด ไว้ในตระกร้าใบเดียว’ พรรณี ได้ติดตามดูในพื้นที่ พบว่า ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 57 คน มีผลผลิตพืชอาหารเฉลี่ย 29 ชนิด ส่วน เกษตรกรโดยทั่วไปที่ทำการเกษตรแบบใช้ สารเคมีจะมีผลผลิตพืชอาหารเพียง 16 ชนิด นั่นเป็น ผลให้ชาวนาอินทรีย์ที่เข้า ร่วมโครงการสามารถพึ่งตนเองทางด้าน อาหาร ทั้งข้าว ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ได้
ประมาณร้อยละ 90 ในขณะที่เกษตรกร ทั่วไปที่ทำการเกษตรเคมีจะพึ่งตนเองทาง ด้านอาหารได้ประมาณร้อยละ 70 เท่านั้น หลั ก ป ระการสุ ด ท้ า ย คื อ ‘การ จัดการน้ำในไร่นา’ เพราะน้ำคือหัวใจของ การเกษตร และนำ้ ก เ็ ป็นต วั แปรหนึง่ ท จี่ ะได้ รับผลกระทบจากโลกร้อน และสร้างความ เดือดร้อนให้กับเกษตรกรมากที่สุด แทนทีช่ าวนากลุม่ น จี้ ะรอคอยฟา้ ฝ น มาโปรด หรือเฝ้ารอโครงการแสนล้านจาก รัฐบาล ชาวนาได้ต ดั สินใจลงทุนท ำระบบนำ้ ของตนเอง ประกอบดว้ ย แหล่งน ำ้ ธ รรมชาติ เช่น บ่อบ าดาล แหล่งก กั เก็บน ำ้ ด้วยการขดุ สระนำ้ ระบบสบู แ ละกระจายนำ้ ผ า่ นกงั หัน- ลมสูบน้ำ และคูส่งน้ำ รวมถึงออกแบบ ระบบหมุนเวียนน้ำในแปลงนาเพื่อการใช้ น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เงินลงทุน ทั้งหมดเพียงประมาณ 30,000 บาท ปรากฏว่ า แม้ว่ า ชาวนาก ลุ่ มนี้ จะ
ต้องเสียพื้นที่บางส่วนไปเป็นพื้นที่เก็บน้ำ แต่ ช าวนาก ลุ่ ม นี้ ก ลั บมี ผ ลผลิ ต ข้ า วม าก ขึ้น เพราะมีหลักประกันในเรื่องน้ำมากขึ้น ดังนั้น จึงสามารถจัดการไร่นาของตนเอง โดยลดการพึ่งพิงฟ้าฝนตามธรรมชาติลง ได้ระดับหนึ่ง อีกทั้งการมีแหล่งน้ำยังสร้างรายได้ อื่นๆ ให้กับเกษตรกรได้อีกด้วย ไม่ว่าจะ เป็น ผักและไม้ผลตามริมบ่อน้ำ หรือปลา ในสระน้ำก็ตาม สิ่ ง ที่ น่ า ส นใจคื อ ชาวนาก ลุ่ ม นี้ สามารถคืนเงินลงทุนดังกล่าวได้ในระยะ เวลาไม่เกิน 3 ปี ส่วนเงินที่ได้กลับมา ก็ สามารถนำมารวมกนั เป็นกองทนุ หมุนเวียน และสามารถไปขยายให้กับชาวนาอื่นๆ ที่ ต่อคิวอยู่ในพื้นที่ได้อีก โครงการดังกล่าว จึงขยายตัวจากสิบเป็นร้อยครัวเรือนใน ปัจจุบัน
34
เทศาภิวัฒน์
กองบรรณาธิการ
ถนน
สายนั้นทอด ยาว มีท วิ เขาเขียว เป็ น ฉ ากห ลั ง เราผ่ า นบ้ า นเ รื อ นที่ ตั้ ง อ ย่ า ง สงบเสงี่ยม 2 ข้างทาง รู้สึกถึงความเงียบและน่าอยู่ ต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ความเจริญเข้าไปเบียดรุก อย่างไร้ความเกรงใจ ที่นี่ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นอีกหนึ่งแห่งที่น่า มาเที่ยว มาซึมซับวิถีชีวิต ชาวบ้านเล่าให้เราฟังว่า คนส่วนใหญ่ กว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวสวน ปลูกทุเรียนพื้นเมืองหลงลับแล ลางสาด มังคุด บนภเู ขา สลับก บั พ ชื พันธุธ์ รรมชาติอ ย่างเหมาะสม เรียกว่า ‘วนเกษตร’ และยังมีโฮมสเตย์น่ารักๆ ที่คนในชุมชน ‘ร่วมมือ’ กันทำ เป็นความร่วมมือที่ทำให้บ้านเมืองน่าอยู่จริงๆ จั ง ห วั ด อุ ต ร ดิ ต ถ์ ยั ง มี อี ก ห ลายอ ย่ า งที่ น่ามาเรียนรู้ เราค่อยๆ ทำความรู้จัก ที่นี่กัน
เรื่องของคนมีความสุข ในอุตรดิตถ์
โฮมสเตย์กับข้าวพันผ ัก
ตำบลแม่พูล อำเภอลับแล เป็น พื้นที่สงบ ผศ.ดร.อุดม คำขาด ภาควิชา หลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ บอกว่า นอกจากภูเขาผลไม้ที่เราเกริ่นไปตอนต้น โฮมสเตย์ของที่นี่ก็น่าเที่ยว ผศ.ดร.อุ ด ม และค ณะอ าจารย์ เข้าช่วยชาวบ้านเติมเต็มความรู้เรื่องการ ท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในการทำงานแบบ 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด “ทีน่ อี่ าจเป็นพ นื้ ทีเ่ ดียวในประเทศ ก็ว่าได้ ที่ชาวสวนปลูกผลไม้กันบนเขา แบบวนเกษตร คือปลูกแซมไปกับไม้เดิม ทั้งทุเรียน ลางสาด เวลาเก็บเกี่ยวกันที จะเห็นเข่งผลไม้ไหลมาตามสายเคเบิล
จากเขาสู่เขา นี่คือเอกลักษณ์ที่ยากจะหา ใครเหมือน” “เมื่อมีของดี ชาวบ้านท่ีนี่จึงคิด อยากให้ค นตา่ งถนิ่ ได้เห็นถ งึ ค วามงดงาม” อาจารย์อุดมว่า โฮมสเตย์ของตำบลแม่พูล เกิดขึ้น จากการที่ชุมชนเคยพบปัญหายาเสพติด ในเยาวชน ชาวสวนบนดอยจึงนำวัยรุ่น หลบไปอยูท่ า่ มกลางธรรมชาติ พอปญ ั หา ทุเลา เลยอยากให้คนอื่นมาเห็นของดีใน บ้านตัวเองบ้าง จึงเปิดรับนักท่องเที่ยว ทั่วไป
เมื่อมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วย ก็ได้ นั ก ศึ ก ษาม าถ่ า ยรู ป ส ถานที่ ท่ อ งเ ที่ ย ว ต่างๆ เพือ่ ท ำสอื่ เผยแพร่ท างอนิ เทอร์เน็ต มีข้อมูลต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวรับทราบ วนิดา วันทา เจ้าของโฮมสเตย์เมือง ลับแล หมู่ 4 ตำบลแม่พูล เล่าหน้าบ้าน พักของเธอว่า “ที่ นี่ เ น้ น กิ จ กรรมเ ข้ า ไปดู สวนผลไม้ ที่นี่มีผลไม้ตลอดทั้งปี เงาะ มังคุด ลางสาด ทุเรียนพืน้ เมือง หลงลับแลก็มีชื่อเสียง มีเที่ยว น้ำตก ทำกับข้าวกินกัน เป็น
เมนูอาหารท้องถิ่น พาไปดอยม่อนฤาษี ซึ่งเห็นวิวทั้งจังหวัด หน้าหนาวก็มารับ บรรยากาศ ดู ห มอก อากาศบ ริ สุ ท ธิ์ คนจากระยองแถวมาบตาพุดนี่ชอบมาก มากางเต็นท์น อน บางคนมา ไม่ย อม นอนในบ้าน” เธอบอกว่า ค่าใช้จ่ายต่อ 1 คน 1 คืน เพียง 100 บาท อาหารเช้า 50 บาท กลางวันเย็น 80 บาท ซึง่ น บั ว า่ ถ กู ม าก เจ้าของโฮมสเตย์บ อกวา่ จ ะขนึ้ ราคา ก็สงสารนักท่องเที่ยว
35 “คนที่ รู้ จั ก ค ำว่ า โ ฮมส เตย์ จริ ง ๆ ถึ ง เข้ า ม า เพราะมั น คื อ ก ารใ ช้ ชี วิ ต กั บ เจ้าของบ้าน เหมือนมาเยี่ยมญาติ มัน ไม่สะดวกสบายมาก มาลองดูว่าคนที่นี่ ใช้ ชี วิ ต กั น อ ย่ า งไร บางค นอ ยาก สบายเรากแ็ นะนำวา่ ให้ไปนอน ในเมืองดกี ว่า ยอมรับเลยวา่ อาจารย์เข้ามาช่วยให้การ ท่ อ งเ ที่ ย วดี ขึ้ น คนม า เยอะขึ้น” อาหารขึ้นชื่อของ ที่นี่คือ ‘ข้าวพัน ผัก’ ซึ่ง เป็ น อ าหารพื้ น เมื อ งข อง จั ง หวั ด อุ ต รดิ ต ถ์ เกิ ด จ าก ภู มิ ปั ญ ญาข องค นไ ทยโบราณ มีมานานหลายชั่วอายุคน เพื่อถนอม อาหารใ ห้ ส ามารถเก็ บ ไ ว้ ไ ด้ น าน และ ง่ายต่อการนำติดตัวออกไปกินระหว่าง วัน เมื่อต้องเดินทางไปทำนา ทำไร่ นอก บ้านไกลๆ ชาวบ้านที่นี่ยังมีการคิดสูตรใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้าไปให้นักท่องเที่ยวได้ลองชิม มีการพัฒนากระบวนการผลิตให้สะอาด สะอ้าน และได้มาตรฐานความปลอดภัย เป็นการยกระดับภ มู ปิ ญ ั ญาทอ้ งถนิ่ ด้านอาหาร เห็นแล้วน้ำลายสอจริงๆ
“ประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนลด ครึ่งต่อครึ่งเลย” คนบ้านห้วยบง ใช้แก๊สเฉลี่ย 2 เดือน ต่อ 1 ถัง ต่อ 1 ครัวเรือน เป็น เงิ น 300 บาท เมื่ อ มี ก ารใ ช้ พลั ง งานท างเ ลื อ ก จะ สาม ารถล ดค่ า ใ ช้ จ่ า ย ไปได้เฉลี่ย 100-150 บาท ส่ ว นข องเ สี ย ที่ออกมาจากระบบ แก๊ส ก็นำมาทำปุ๋ย ได้ อีกทั้ง ยังมีการ ตั้งธนาคารขี้วัวขึ้น เพื่อ การคา้ ขายเชิงพ าณิชย์ท เี่ ป็น ระบบ เป็นจ ดุ จ ำหน่ายแห่งเดียวใน หมูบ้าน เพื่อให้คนซื้อไปทำปุ๋ย “เราจะได้กำหนดราคาได้เสมอกัน มีการถือหุ้น ตอนแรกสมาชิกมี 18 ราย มาปีนี้จึงเพิ่มขึ้น สำหรับคนไม่เลี้ยงวัวก็ เข้ามาถือหุ้นได้ หุ้นละ 20 บาท ลูกค้า ที่มาซื้อ ก็ซื้อทีเป็น 100 กระสอบ ล็อต มันใหญ่ขึ้ น มี บ ริ ก ารส่ ง ด้ ว ย สิ้ น ปี ก็ มี การปัน ผล เราวางกติกาต่างๆ กันเอง ทั้งหมด” เด็กอายุ 3-4 ขวบต่อไป น้องๆ ละแวก เดียวกัน เห็นเราทำ ก็อยากทำ อีกอย่าง นายกฯบอกว่า ถ้าใครไปเก็บขยะจะพา จักรยานกับขยะ ไปเที่ยวทะล แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ไป หางบ ศิริพร เพชรรัตน์ นักเรียนมัธยม 5 อยู่ (หัวเราะ) ส่วนปีที่แล้ว ไปจังหวัด ไข่เจียวกับแก๊สชีวภาพ และ ชลธิก าญจน์ กัลยา นักเรียนมัธยม 4 สุพรรณฯมา” ผูใ้ หญ่บ า้ น จินดา มาฮวด คือแ กนนำ ชอบขี่จักรยาน ไม่ได้เอาเท่แบบคนเมือง ทั้งคู่ทิ้งท้ายว่า บ้านตัวเอง ถ้าไม่ คนสำคัญในการให้ความรู้ลูกบ้านเรื่อง นั่งห้องแอร์ห่วงโลกร้อน เธอทั้งคู่ขี่เพื่อ ทำ...แล้วใครจะมาทำ การใช้พลังงานทดแทนจากขี้วัว เราเห็น เก็บขยะ “การเก็บขยะ ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่อง แล้วต้องบอกว่าเป็นนวัตกรรมพลังงาน ชาวบ้านแห่งตำบลหาดสองแคว น่าอาย บ้านเราสะอาด หมู่บ้านเราก็น่า ทดแทนที่ล้ำหน้าจริงๆ อำเภอตรอน มีนโยบายในการจดั การขยะ อยู่ ทำมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย ทำมากกว่า จากข้ อ มู ล พื้ น ฐ านท ะเบี ย น อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการคัดแยกไปขาย 20 ครั้ง มันก็กลายเป็นความเคยชิน รัก เกษตรกรรายครัวเรือน (ระหว่างวันที่ และเก็บขยะตาม 2 ข้างทาง ขึ้นทุกวันๆ” 1 กรกฎาคม 2552 – 12 มกราคม 2553) “เราคือกลุ่มจักรยานสานฝันรักษ์ ขยะทั้งหมดในชุมชน มีขยะที่ย่อย ของอ งค์ ก ารบ ริ ห ารส่ ว นต ำบลป่ า เ ซ่ า สิ่งแวดล้อมค่ะ” สลายได้ 55 เปอร์เซ็นต์ ขยะรีไซเคิล 40 อำเภอเ มื อ ง จั ง หวั ด อุ ต รดิ ต ถ์ พบว่ า เริ่มแรกพวกเธอทำเรื่องปุ๋ยหมัก เปอร์เซ็นต์ ขยะอันตราย เช่น แบตเตอรี่ บ้านห้วยบง หมู่ที่ 7 ของผู้ใหญ่จินดา มี เพื่อลดต้นทุนการผลิต มีการขี่จักรยาน หลอดไฟ ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูล ผ เู้ ลีย้ งโคเนือ้ ร วม 45 ราย มีโคเนือ้ ล กู ผสม ไปขายผัก . ทางวิชาการบ่งว่า ขยะ 90 เปอร์เซ็นต์ อเมริ กั น บ ราห์ มั น แ ละพั น ธุ์ พื้ น เ มื อ ง “ทำกับรุ่นพี่ๆ ทีนี้ทางนายก อบต. เป็นขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ รวมกันกว่า 778 ตัว ชวนให้ช่วยเก็บขยะไปด้วย เพราะ 2 ข้าง เรื่ อ งทั้ ง หมดจึ ง อ ยู่ ที่ ก ารจั ด การ เมื่ อ มี ขี้ วั ว เ ยอะ จึ ง น ำม าใ ช้ ทางมันเยอะ เราก็เก็บทุกสัปดาห์ ตอน ล้วนๆ ประโยชน์เสียเลย 5 โมงเย็น ขยะทุกชิ้นที่นี่สามารถขายได้ “แรกๆ ก็คล้ายหน่วยกล้าตาย ลุย เศษอาหารก็ทำปุ๋ยหมักได้ บำรุงต้นไม้ ใช้แก๊สขี้วัวเองก่อน” ผู้ใหญ่ว่า โดยไม่ต้องใช้สารเคมี กล่องนมก็ขายได้ ชาวนากับข้าวอินทรีย์ “แรกๆ มันก น็ า่ ก ลัวน ะ กลัวต มู ตาม กิโลละ 10 บาท เเต่ต้องล้างให้สะอาด ทีต่ ำบลหาดสองแคว อำเภอตรอน แต่พอมีความรู้ จริงๆ มันไม่อันตราย เรา ถุงพลาสติกก็ไปปูถนนก่อนลาดยาง” ยั ง มี ก ารท ำเ รื่ อ งล ดต้ น ทุ น ก ารผ ลิ ต ใ น สามารถดแู ลได้ แถมใช้แ ทนแก๊สถ งั ได้เลย กลุ่มนักปั่นเพื่อสิ่งแวดล้อมนี้ มี การเกษตร โดยการนำผลผลิตจากขยะ นะ แต่ยังไงเราก็ควรมีสำรองไว้ด้วย ผม สมาชิกประมาณ 20 คน สด มาทำเป็นปุ๋ย เป็นการช่วยให้คุณภาพ นี่อย่างเคยใช้อยู่ 2 เดือนต่อถัง ก็ขยับไป “นี่ แ ค่ ห มู่ บ้ า นเ ดี ย วน ะค ะ เมื่ อ ชีวิตชาวนาดีขึ้น พอดีขึ้น จึงเริ่มคิดถึงการ เป็น 4 เดือน แก๊สจ ากขวี้ วั ไม่เหม็นด ว้ ย ปิง้ ก่อนไม่มีงบ คนเฒ่าก็ให้เงินมาลงหม้อ ปลูกข า้ วดี ไม่ใช่แ ค่เพือ่ ผ บู้ ริโภค แต่เพือ่ ต วั ปลาอะไรก็ได้ รสชาติอาหารไม่เสีย” ก๋วยเตี๋ยวบ้ า ง แต่ ต อนนี้ เราไ ด้ ง บจ าก คนปลูกเองด้วย มื้อกลางวันที่ตำบลป่าเซ่า เราได้ อบต. แล้ว ทำเป็นรุ่นสู่รุ่น ตอนเด็กๆ เรา กลุม่ ช าวนาไทยแท้จ ากหาดสองแคว กินไข่เจียว ไข่ดาว จากแก๊สขี้วัว ยืนยัน ก็ตามรุ่นพี่ๆ พอพี่โตขึ้น ไปเรียนต่าง- บอกว่า ตอนนี้กระแสข้าวอินทรีย์มาแรง ว่าไม่เหม็น แถมอร่อยแบบไข่ๆ จังหวัด เราก็มาทำแทน และก็กำลังสอน “ปีแ รกทที่ ำ มีส มาชิกท งั้ หมด 26 ราย
พืน้ ทีท่ ำนา 132 ไร่ ล่าสุด ยอดสมาชิกอ ยู่ ที่ 50 ราย มีพื้นที่ 515 ไร่ คนที่เข้ามาก็ ด้วยใจ เป็นอ กี แ นวทางทที่ ำให้เราสขุ ภาพ ดี บริโภคข้าวที่ตัวเองทำ ไม่มีสารเคมี ชาวนาทเี่ คยหนีส้ นิ เยอะ เริม่ ผ อ่ นคลายได้ ลดต้นทุนได้ มีหนี้นะ แต่สามารถจัดการ ได้ ไม่ถึงกับต้องให้ยกเลิกหนี้” โดยได้รับองค์ความรู้ต่างๆ จาก อาจารย์ ม หาวิ ท ยาลั ย ร าชภั ฏ อุ ต รดิ ต ถ์ เป็นหลักสูตร 3 คืน 4 วัน รุ่นละ 50 คน ที่เอาชาวนามากิน มานอนร่วมกัน แชร์ ความเห็นกัน มีการเจาะเลือดให้ชาวบ้านดูก่อน เลยว่า ในร่างกายมีสารพิษ สารเคมีมาก น้อยแค่ไหน จากวธิ กี ารผลิตแ บบเก่าๆ ซึง่ เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ นอกจากนี้ ยังมีการรวมตัวไปดู พื้นที่อื่นๆ ที่ทำนาอินทรีย์สำเร็จ เพื่อให้ เกิดแรงกระตุ้น บางเสียงบอกว่า “จริงๆ ข้าวไทย ในสมัยก่อนดีอยู่แล้ว แต่หลังปฏิวัติเขียว เราต้องการปริมาณที่มาก เพื่อเป็นอันดับ ต้ น ๆ ของโ ลก เราเ อาเ ขื่ อ นม า เอา ชลประทานมา เอาธนาคารเกษตรมา เอาปุ๋ยเคมีมา ซึ่งมันเห็นผลในระยะแรก แน่นอน ว่ามันมีความต่างจากอดีตคือ สบาย แต่มรดกที่ตกทอดมา คือการเกิด หนี้สิน สิ่งแวดล้อมเสีย” เมื่อรู้อย่างนั้น จึงเกิดการกลับตัว ไปสู่วิถีการผลิตแบบไม่ทำลายโลก ไม่ ทำร้ายธรรมชาติ ที่สำคัญ ยังได้ความสามัคคีของ ชาวบ้านเป็นของแถม
36
ปฏิทิน-ปฏิรูป
01
สรุปบ ทเรียน การจัดสมัชชาปฏิรูป ระดับชาติ ครั้งที่ 1/2554 11 มิถุนายน 2554 สำนักงานปฏิรูป (สปร.) ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ‘สรุปบทเรียน การจัดสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1/2554’ ณ โรงแรม เดอะไทด์ รีสอร์ท บางแสน จังหวัด ชลบุรี เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการเรียนรู้ร่วมกัน โดยเฉพาะการกำหนดบทบาท และ สร้างเป้าหมายเพื่อการทำงานร่วมกันในฐานะสมัชชาให้มีความชัดเจนมากขึ้น
อัตลักษณ์เฉพาะของสมัชชาปฏิรูป • มีเป้าหมายใหญ่ที่ชัดเจนคือ ‘สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ’ โดยเป้าหมายเชิง ยุทธศาสตร์ คือ การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย • มีความกว้างขวางและหลากหลายเชิงประเด็น เชิงความคิด เชิงกระบวนการ และภาคี เครือข่าย โดยการจัดกระบวนการสมัชชาที่ยอมรับความหลากหลาย เพื่อนำไปสู่นโยบาย สาธารณะ • เปิดพื้นที่ทางสังคมให้กับทุกฝ่ายได้มีโอกาสขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในประเด็นที่ ตนเองสนใจ • เน้นกระบวนการที่ผู้ที่เป็นเจ้าของปัญหามีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งในกระบวนการนโยบาย
ความคาดหวังของสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยครั้งท ี่ 1 • ให้กระบวนการสมัชชาเป็นกระบวนการขับเคลื่อนการปฏิรูปสังคมอย่างกว้างขวาง จริงจัง ต่อเนื่อง และเป็นระบบ • ให้กระบวนการสมัชชาเป็นกระบวนการในการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพในการ ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทย • ให้กระบวนการสมัชชาเป็นกระบวนการสร้างจิตสำนึกพลเมืองและศักยภาพของบุคคล องค์กร เครือข่าย ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการ ‘ไม่พึ่งพารัฐ’ • ให้ก ระบวนการสมัชชาเป็นกระบวนการทที่ ำให้ป ระชาชนและสงั คมไทยเข้าใจถงึ ป ญ ั หาเชิง โครงสร้าง ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาของสังคมทั้งหมด • ให้กระบวนการสมัชชาเป็นเวทีที่จะนำเอาทุกฝ่ายในสังคมที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่าง สุดขั้ว เข้ามาร่วมกันพิจารณาปัญหาสำคัญๆ • ให้กระบวนการสมัชชาเป็นเวทีที่ภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ได้มาสร้างความเข้าใจ ร่วมกันในปัญหาที่สำคัญ • ให้กระบวนการสมัชชาเป็นเวทีที่ช่วยเปิดพื้นที่ทางสังคม และพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้าง ขวาง • ให้ก ระบวนการสมัชชาสร้างความตระหนักต อ่ ภ าคีเครือข า่ ยให้เข้าใจวา่ การปฏิรปู ส งั คมไทย ไม่ได้มีแต่เวทีสมัชชาปฏิรูปเท่านั้น
37
02
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ประกาศลาออกทั้งคณะ 14 พฤษภาคม ในวงเสวนาเพื่อเสนอแนวทางปฏิรูปต่อ พรรคการเมือง ‘เลือกตงั้ ท งั้ ที ควรตอ้ งมกี ารปฏิรปู ’ อานันท์ ปันย ารชนุ ในฐานะประธาน คปร. พร้อมด้วย พงศ์โพยม วาศภูติ ศ.ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์ เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ และพระไพศาล วิสาโล ได้ประกาศ ลาออกทั้งคณะ การประกาศลาออกครั้งนี้ ด้วยเหตุผลว่า เมื่อรัฐบาลประกาศ ยุบส ภา และกำลังจ ะมกี ารเลือกตงั้ ค รัง้ ใหม่ในวนั ท ี่ 3 กรกฎาคม คปร. จึงอยากจะให้อำนาจการคิดและตัดสินใจตกเป็นของคณะผู้แทนใน สภาชุดใหม่มากกว่า แม้ว่า คปร. จะมีอายุตามระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรี 3 ปี ก็ตาม ทั้งนี้ คปร. ได้นำเสนอรายงานฉบับสุดท้ายไว้เป็นพิมพ์เขียว ก่อนทิ้งทวน ส่งมอบให้ภาคประชาชนนำไปปฏิบัติ และให้ฝ่าย การเมืองนำไปใช้ประโยชน์ในการนำเสนอนโยบายระดับชาติ ซึ่ง รัฐบาลใหม่ในอนาคตอาจนำแนวทางนี้ไปศึกษาและสานต่อตาม แนวทางของ คปร. ก็ได้ ผลงานแนวทางการปฏิรูปของ คปร. ที่รวบรวมมาตลอด 10 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้ข้อสรุปว่า ปัญหาหลักของสังคมไทย คือ ความแตกต่าง เหลื่อมล้ำ และการกระจุกตัวของอำนาจ ดังนั้นการ แก้ปัญหาที่ตรงจุด คือ การลดอำนาจรัฐ เพิ่มความเข้มแข็งให้กับ ประชาชน สำหรับข้อเสนอหลักของ คปร. สามารถแบ่งได้เป็น 2 หมวด คือ การปฏิรปู ท ดี่ นิ เพือ่ ก ารเษตร โดยการกำหนดเพดานถอื ค รองทดี่ นิ ไม่เกิน 50 ไร่ต่อครัวเรือน และการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ โดยการ กระจายการปกครองออกสู่ท้องถิ่น
03
เวทีสัญจร ‘เสียงประชาชน เปลี่ยนประเทศไทย ก่อนการเลือกตั้ง 54’ สำนักงานปฏิรูป (สปร.) ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส (Thai PBS) จัด เวทีส ญ ั จรปฏิบตั กิ ารพลเมืองเลือกตงั้ 54 ชีอ้ นาคตประเทศไทยขนึ้ ภายใต้ช อื่ ‘เสียง ประชาชน เปลี่ยนประเทศไทย’ 4 ภาค โดยเวทีส ญ ั จรครัง้ ท ี่ 1 จัดข นึ้ ท โี่ รงละครกาดสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ครัง้ ท ี่ 2 จัดที่อาคารวิทยทัศน์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ครั้งที่ 3 จัดที่ศูนย์ประชุม อเนกประสงค์ก าญจนาภเิ ษก มหาวิทยาลัยข อนแก่น และครัง้ ท ี่ 4 จัดท ศี่ นู ย์ป ระชุม นานาชาติเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป้าประสงค์ข องการจดั เวทีส ญ ั จรในครัง้ น ี้ เพือ่ ร วบรวมขอ้ มูล ระดมความคดิ เห็น เพื่อนำเสนอนโยบายต่อพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 54 โดยระดมความ คิดเห็นจากองค์กรเครือข่ายต่างๆ และประชาชนทั่วไป เพื่อผลักดันนโยบายสำคัญ ในการปฏิรูปประเทศสำหรับรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ ยังม ผี แู้ ทนจากพรรคการเมืองมารว่ มตอบปญ ั หา และรบั ข อ้ เสนอ นโยบายจากเวทีสัญจรในแต่ละภาคด้วย เช่น พรรคเพื่อไทย, พรรคประชาธิปัตย์, พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน, พรรคกิจสังคมและพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น
38
โรคเหลื่อมล้ำ อ้าว ! คุณปอง ไหนเห็นบ่นอยากจะลาออกจากงานไปเป็นชาวนา ได้ที่ ได้ทางรึยังล่ะ แถวบ้านผมดินดำน้ำดี คุณปองสนบ่
คนกรุงเทพฯนี่ความจำสั้น แท้น้อ ก็ที่ครั้งก่อนผมบอกคุณป อง ไปไง เดือนๆ ผมไม่เคยเห็น เงินพันเงินหมื่น แล้วค นเงินเดือน 2 แสน แบบคุณปองจะทิ้งง าน มาทำไร่ทำนาเฮ็ดหยัง
โห พี่ปลิกก็พูดไป ใครจะไปคิดปุ๊บทำปั๊บ แป๊บเดียวเก๋ ผมไม่ ใช่อุ้ม สิริยากร นะ เอ่อ ว่าแต่พี่ปลิก ถามอีกทีเหอะ เดือนๆ พี่ ได้ตังค์เท่าไหร่
พูดก็พูดนะพี่ ไอ้เงินเดือน 2 แสนน่ะ ผมใช้แบบเดือนชนเดือน เผลอๆ มีรูดล่วงหน้าอีกต่างหาก ... ไอ้ลืมน่ะไม่ลืมหรอกพี่ แต่ถามอีกทีเผื่อตัวเลขมัน จะขยับขึ้นมั่งน่ะ
ป้าด มีเรื่องต้องใช้ ขนาดนั้น คุณปอง จะไปทำนาหามะเขือ อันใด๋
แหม่ พี่ปลิกไม่เข้าใจ มันเป็นสภาวะเปลี่ยวเหงา ทางจิตวิญญาณน่ะ บางเวลา คนแบบพวกผมกอ็ ยากออก ไปพูดคุยกับแม่โพสพบ้าง
.. .ก ร ู อ ย า ก
ปลูกผักปลอดสารพิษ ขุดบ่อเลี้ยงปลา หาแม่ ไก่อารมณ์ด ีมาออกไข่ ปลูกข้าวอินทรีย์ สร้างบ้านรีส อร์ทเก๋ๆ ขับออฟโรดไปบริจาคเสื้อผ้าท ีโ่ รงเรียนข้างๆ ชวนเพื่อนบ้านจากกรุงเทพฯมาปาร์ตีด้ ำนา เช้าๆ ชวนแม่อห ี นูไปทำบุญที่วัด ดึกๆ ชวนอห ี นูไปส่องกบ ฯลฯ
ไหนต้องผ่อนบ้านให้ลูกอยู่ ผ่อนคอนโดให้นักศึกษา ช่วยเมียเปิดสปา กันเอาไว้เล่นหุ้น เก็บตังค์เที่ยวเมืองนอก ค่าเทอมโรงเรียนอินเตอร์ลูกอีก ฯลฯ
ฮาก
ใจคอเมิงจะเอาทุกอย่างเลยรึนั่น...
ʹѺ
¡Ô¨
µ¡Å§ä´Œ
Ò¹
ͧ¤ ¡Ã»¡¤Ãͧ ·ŒÍ§¶Ôè¹
ÊÔ·¸ÔàÅ×Í¡µÑ้§/ ŧ»ÃЪÒÁµÔ/ ÂѺÂÑ้§/¶Í´¶Í¹
ÈÒÅ»¡¤Ãͧ á¼¹¡¤´Õ·ŒÍ§¶Ôè¹
µ¡Å§äÁ‹ä´Œ
à¡Ô´¢ŒÍ¾Ô¾Ò· ãËŒÁÕ͹ØÞÒâµµØÅÒ¡ÒÃ
Ò¹§
ʹع §º
» Ã ÐÊ
͹/
¶‹ÒÂâ ͹À ÒÃ
¶‹ÒÂâ
Ñ้§ Í¡µ
»ÃЪҪ¹
» ÃÖ ¡
ÉÒ
ع§º ¹ Ê º Ñ Ê¹
µÑ้§/
¸Ô/ · Ô Ê § Í ÃѺà ¹ÀÒáԨ ¶‹ÒÂâÍ
ÊÔ·¸Ô¨Ñ´
ËÒ
Êӹѡ§Ò¹µÃǨÊͺ áÅÐàʹÍá¹Ð
Êӹѡ§Ò¹ ÊҢҢͧÃÑ°ºÒÅ
Êӹѡ§Ò¹ »ÃÐÊÒ¹¹âºÒÂ
ÃÑ°ºÒÅ
สวนกลาง
·
× ¸ÔàÅ
ÊÔ
à¢ŒÒ Ã‹Ç Á
ทองถิ่น
¤³Ð¡ÃÃÁ¡Òà »ÃЪÒÊѧ¤Á ¨Ñ§ËÇÑ´/µèӡNjҨѧËÇÑ´
ͧ¤ ¡ÃªØÁª¹/ ÀÒ¤»ÃЪÒÊѧ¤Á
ªØÁª¹/ »ÃЪÒÊѧ¤Á
¹ÓÊÔ·¸Ô㹡ÒõѴÊÔ¹ã¨/ÂѺÂÑ้§/¶Í´¶Í¹¤×¹ÊÙ‹»ÃЪҪ¹
39
Ã× Í
2
Decentralization