หนังสือเล่มนี้มีความหลัง 3.
นอกจากจะมีระเบิด หนังสือเล่มนี้ยังมีความหลัง ความหลังของความเรียงทั้งหมดภายในเล่มนี้ ที่ส่วนหนึ่งมาจากคอลัมน์ชื่อ Old School ซึ่งเคยถูกตีพิมพ์ในนิตยสารในช่วงปี 2552-2553 ตอนนัน้ ในคอลัมน์ทกุ ตอน ผมตัง้ ใจให้มนั เป็นคอลัมน์ทพี่ ดู ถึงเรือ่ งเก่า เพือ่ ให้ คนที่อายุน้อยกว่าได้เรียนรู้เรื่องในอดีต โดยมีหลักในการหาเรื่องเพื่อน�ำมาเขียน ว่า ‘ต้องเป็นเรื่องที่คนเกิดหลังปี 2530 เกิดไม่ทัน’ ซึ่ง...ก็เกิดไม่ทันเป็นพันล้าน เรือ่ ง ไม่มผี อู้ า่ นคนไหนเกิดทันวันทีไ่ ดโนเสาร์สญ ู พันธ์ุ ไม่มใี ครเกิดทันจิน๋ ซีฮอ่ งเต้ สั่งทหารแบกปูนไปก่อก�ำแพงเมืองจีน (หรือมีนะ?) และจะดูขึงขังไปหน่อยถ้าผม เลือกเรือ่ งศิลาจารึกโรเซตาสโตนมาเขียนลงนิตยสารวัยรุน่ ทุกเดือน เพราะแค่กว่า จะหาข้อมูลครบก็น่าจะเลื่อนไปลงฉบับเดือนตุลาคมพุทธกาลหน้า ท�ำให้ผมจ�ำเป็นต้องหาหลักคิดเพิ่ม โดยสโคปลงเหลือเพียงเรื่องที่ตัวเองและ เพื่อนคนไทยวัยเดียวกัน ‘อิน’ คัดแต่เรื่องที่ ‘ฮิต’ และ ‘ป๊อป’ มาพูดถึง (แน่นอน ว่าเราไม่อินเรื่องโรเซตาสโตน!) ซึ่งเมื่อดูจากช่วงอายุ บวกลบกับปีที่เกิด มันก็น่าจะเป็นเรื่องของสิ่งที่เด็ก ไทยช่วงวัยประถม-มัธยมก�ำลังคลั่งกันอย่างบ้าเห่อ และเห่อกันอย่างบ้าคลั่ง เมื่อ ประมวลออกมาก็จะได้บรรดาหัวข้อทีค่ นเกิดหลังปี 2530 บางคนได้เห็นเพียงหางตา ไม่เต็มตาอย่างคนรุน่ ผมหรือก่อนหน้า ท�ำให้มนุษย์ขอี้ วดอย่างผมสนุกสนานอย่าง ยิ่งที่ได้ขุดมาเขียนให้อ่านกัน ผมเขียนจนเกือบปี แต่ก่อนที่จะเป่าเค้กครบขวบก็มีอันต้องสะดุดและหยุด เขียนไปเสียก่อน น่าเสียดาย 2.
หยุดเขียน แต่ผมไม่หยุดคิดถึงเรื่องราวสารพัดในวัยเด็ก ก็จะให้ท�ำยังไงได้ เพราะไม่ว่าเดินไปไหนก็เจอสิ่งที่ชวนให้คิดถึงวันวาน เวลาเจอเพื่อนมัธยม หัวข้อ ทีค่ ยุ กันล้วนเป็นการขุดคุย้ เรือ่ งสมัยเรียนทีจ่ บไปแล้วนับสิบปี เวลาไปเดินคลองถม ก็เจอแต่ประสบการณ์ที่เกาะแกะอยู่กับกล่องของเล่นเก่า กระทั่งเวลาได้รับการ์ด
แต่งงานจากคนบางคนก็ท�ำให้เราผลีผลามตามหาอดีตกันจนใจว้าวุ่น ตามไป ตามมา ผมก็เริ่มคันไม้คันมือ เริ่มเขียน และเริ่มรวบรวมต้นฉบับอีก ครั้งส�ำหรับจับมันเข้าเล่ม (และก�ำลังถูกตามจากทีมส�ำนักพิมพ์แซลมอนว่าเมื่อไหร่ค�ำน�ำจะเสร็จ จะได้ ส่งเข้าโรงพงโรงพิมพ์แล้วพวกกูจะได้กลับบ้านไปนอนกันสักที) 1.
หนังสือเล่มนี้มีความหลัง เพราะแทบทุกตอนที่เขียนล้วนเป็นบันทึกชีวิต ส่วนหนึ่งของผมในช่วงวัยเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนวัยเดียวกัน เป็นวัยที่เรายังไร้ เรี่ยวแรง ไม่รู้จะเอาอะไรไปปัจเจก เรายังมีความชอบคล้ายกัน เราคล้อยตามกัน ได้อย่างง่ายดาย เรารู้สึกดีใจกับเรื่องเล็กน้อย เราเสียใจกับเรื่องใหญ่ไม่เป็น เรา กะเกณฑ์คุณค่าของบางสิ่งจากความรู้สึกในใจไม่ใช่ป้ายราคา เราเคยโทร.คุยกัน โดยไม่มีธุระ เราเคยชวนกันปิดต�ำบลฉลองเมื่อวันปิดเทอมมาถึง เราเคยดีใจจน น�้ำตาไหลเมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้คือวันเปิดเทอม และเราก�ำลังจะได้เจอกัน ระหว่างหาข้อมูลและเรียบเรียงด้วยการค้นหาของเก่าในลิ้นชัก ลังกระดาษ ด้านในสุดของห้องเก็บของ หรือไม่ก็โทร.ไปชวนเพื่อนบางคนระลึกชาติ ท�ำให้ผม เหมือนโดนระเบิดเวลาที่ถูกแฝงฝังดักเอาไว้ตามซอกหลืบของความทรงจ�ำ เป็นระเบิดทีอ่ านุภาพรุนแรงไม่เบา เพราะมันพัดตัวผมกระเด็นไปจากปัจจุบนั ได้ทุกที 0.
เอาละ ก่อนจะจบความหลังอันเป็นค�ำน�ำของหนังสือเล่มนี้ ขอเตือนว่าระหว่างอ่านก็ระวังกันหน่อยนะครับ เพราะอย่างที่บอกไปแล้ว ตั้งแต่แรกพบ หนังสือเล่มนี้มีระเบิด
ณัฐชนน มหาอิทธิดล
แด่ บัตรนักเรียน วันปิดเทอม และไอ้หรั่ง-หมาหนุ่มแห่งบดินทรสาม
หนังสือเล่มนี้มีระเบิด มีหนังสือรุ่นหรือหนังสืออนุสรณ์กันไหมครับ? ผมไม่มี ไม่เคยมีครอบครองเป็นของตัวเองเลยสักเล่ม ทั้งที่มัน ดูเป็นสิ่งสลักส�ำคัญ แถมยังมีจ�ำนวนจ�ำกัด ลิมิเต็ด อิดิชั่น หาซื้อ ไม่ได้ในร้านหนังสือชั้นน�ำ ชั้นสอง หรือชั้นใต้ดิน ในฐานะเด็กคน หนึ่งที่เคยร่วมรุ่นสถาบันการศึกษากับเพื่อนนับพัน ก็ควรจะมีเก็บ เอาไว้ เพราะมันเป็นหนึ่งในความทรงจ�ำช่วงชีวิตวัยเรียน มีบันทึก เรือ่ งราวของเราไว้มากมาย ไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งภายนอก เช่น สมัยนัน้ หน้าตาเราเป็นยังไง หรือเรื่องภายในที่ว่า ตอนนั้นเราก�ำลังท�ำอะไร คิด หรือรู้สึกอย่างไรบ้าง รวมถึงเป็นหลักฐานการมีอยู่ของตัวเราเอง แถมยังเป็นอาวุธ ของคนหน้าแก่ทมี่ กั ถูกเพือ่ นกวนตีนว่า มึงเคยมีชว่ งชีวติ วัยเด็กบ้าง ไหม ก็เอาหนังสืออนุสรณ์ยัดใส่หน้ามัน นี่ยังไงล่ะ วัยเด็กของกู ...
การท�ำหนังสือรุ่...อะไรวะ เข้าเรื่องเฉยเลย ไม่เป็นไร เข้าเลย แล้วกันนะ เกริ่นเยอะเดี๋ยวเปลืองกระดาษ การท�ำหนังสือรุ่น เป็นกิจกรรมที่เด็กประถม-มัธยมชาชิน ทุก เทอมเราต้องตั้งแถวหน้ากระดาน เรียงตามเลขที่ เดินทางไปลาน กว้างที่ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนเชื่อว่ามันงดงามที่สุดในโรงเรียน ครูที่ ปรึกษาจะพาตัวเราไปยืนตากแดดรอคิวขึ้นสแตนด์ส�ำหรับถ่ายรูป (ซึ่งนับว่าหน้าด้านมากที่กล้าเรียกตัวเองว่าสแตนด์ เพราะมันคือ การเอาเก้าอี้โรงอาหารขึ้นไปวางต่อกันบนโต๊ะเท่านั้น โคลงเคลง เสี่ยงตายมาก แต่โรงเรียนก็ยังให้เด็กขึ้นไปเซอร์ไวเวอร์อยู่ได้ทุกปี สงสัยเก้าอี้รุ่นนี้ทับเด็กแล้วไม่ตาย) การถ่ายรูปลงหนังสือรุ่นจะเป็นไปอย่างรวดเร็วถ้านักเรียนมี ระเบียบ ซึ่งไม่ค่อยจะมีกันหรอก ขึ้นไปยืนเมื่อไรก็ต้องแซว อยู่ข้าง ใครก็ต้องแกล้งเติมเขา เอาแขนสะกิด หัวเราะคิกคัก ส่วนผู้หญิง ก็ต้องทาแป้ง ซอยหวีสับ ทาลิปมัน สวยยังวะแก แป้งเลอะรึเปล่า ฯลฯ ท�ำให้เพือ่ นร่วมรุน่ อีกสิบกว่าห้องทีย่ นื ตากแดดจนหัวเกรียนเริม่ เกรียม เหงือ่ แตกเสือ้ ซ่กรออยูด่ ว้ ยความโกรธแค้นทีพ่ วกมึงจะอะไร กันนักกันหนา บนนั้นมีอะไรน่าสนุกนักถึงได้ดูร่าเริงเหลือเกิน คุก คิก ยุกยิก อาจารย์เขาก็ถ่ายไม่ได้สักทีเห็นไหม หัดเป็นผู้ใหญ่กัน หน่อยสิวะ แม่ง เดี๋ยวเจอตอนเย็นกูจะต่อยให้ตาแตกเลยไอ้พวก เด็กไม่รู้จักโต (เอ่อ…คือได้ข่าวว่าน้องก็อายุเท่ากันนะครับ...) หนังสืออนุสรณ์ทจี่ ดั ท�ำโดยโรงเรียนจะถูกจัดท�ำทุกปีการศึกษา ดังนั้นเราจะมีรูปเป็นอนุสรณ์อยู่ในหนังสือตั้งแต่เข้าเรียนปีแรกยัน ปีสุดท้ายที่เรียน ซึ่งโรงเรียนผมเป็นภาพขาวด�ำ แทบทุกภาพผ่าน การล้างอย่างเร่งรีบ ท�ำให้บางภาพโอเวอร์ สว่างจนหล่อเหมือนผี ไม่มีหน้า บางภาพอันเดอร์จนมืดเป็นนักเรียนมัธยมไนจีเรีย แถมระยะการวางกล้องในแต่ละปีกไ็ ม่คอ่ ยเท่ากัน ปีไหนเด็กถูก
ไล่ออกเยอะเพราะตีกนั ก็จะท�ำให้นกั เรียนน้อยลง และท�ำให้หน้าเรา ใหญ่โตชัดเจนขึ้นเพราะสมาชิกในห้องน้อยลง ซึ่งที่จริงก็ไม่ค่อย อยากให้ชดั เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ถา่ ยกันเทกเดียว มากสุดก็สอง เทก (ฟิลม์ มันแพงน่ะนะ) ใครไม่พร้อม หรือชีวติ ก�ำลังอยูใ่ นจังหวะ กะพริบตา ก็จะถูกอนุสรณ์อยู่ยังงั้น อับอายไปตลอดชีวิต โดยมากทุกสถาบันจะมีสองชัน้ ปี คือม.สามและม.หกทีจ่ ะมีสทิ ธิ พิเศษได้พนื้ ทีใ่ นหนังสืออนุสรณ์มากกว่าชัน้ อืน่ ทีไ่ ด้แค่หน้าเดียว ไอ้ พวกนีจ้ ะได้ 5-6 หน้า เนือ่ งจากเป็นชัน้ สุดท้ายของระดับการศึกษา เด็กม.ต้นบางคนในชั้นอาจไม่ได้เรียนต่อม.ปลายที่เดิม ส่วนเด็ก ม.หกก็ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัย ท�ำให้แทนที่จะเป็นรูปถ่ายบน สแตนด์เสี่ยงตาย ก็กลายเป็นรูปที่ถูกจัดท�ำอย่างดี เป็นพื้นที่ฟรี สไตล์ อิสระ นักเรียนห้องไหนอยากถ่ายภาพแนวไหนก็เชิญได้ตาม สบาย (คิดอีกอย่างก็คือ ถ้าปล่อยให้ทุกชั้นปีท�ำแบบนี้ หนังสือรุ่น ทุกเล่มคงจะหนาพันกว่าหน้า ราคาแพงกว่าหนังสือเรียนทั้งหกปี รวมกัน) ดังนัน้ ส�ำหรับเด็กม.สามและม.หกแล้ว การออกแบบสร้างสรรค์ รูปแบบในแต่ละห้อง ถือว่าเป็นสมรภูมิแข่งขันที่กดดันอย่างยิ่ง มี ศักดิศ์ รีคำ�้ คอ มีสายการเรียนเป็นเดิมพัน (เพราะเด็กสายวิทย์-คณิต ที่ดูคงแก่เรียน (เนิร์ดนั่นแหละ) จะต้องปกป้องอธิปไตยของตัวเอง ทีว่ า่ เก่งเรียนแต่โง่เรือ่ งความสร้างสรรค์ สว่ นพวกเด็กสายศิลป์กต็ อ้ ง พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกกูบวกเลขไม่เก่ง แต่เป็นมนุษย์ครีเอทีฟ ใช้ สมองซีกซ้ายได้พลิ้วกว่าว้อย!) ไหนจะต้องแข่งขันในห้องเดียวกันอีก อย่างที่รู้กันว่ามนุษย์เรา เกิดมาพร้อมจิตใต้ส�ำนึกที่เรียกว่า ‘อีโก้’ บวกเลขผิดยังสามารถ ตรวจสอบได้ แต่เรือ่ งไอเดียมันวัดกันไม่ได้วา่ ใครผิด ถูก ได้คะแนน น้อยหรือมาก ฯลฯ อาจเป็นชนวนก่อดราม่าภายในทีมเช่น ท�ำไม บอกว่าของกูไม่ดี? ก็แค่ให้ทุกคนแต่งตัวเป็นเม่น ไม่ดีตรงไหน?
งั้นพวกมึงก็ไปท�ำกันเองเลยไป! ห่าน! เป็นต้น ท�ำให้เด็กอย่างเราต้องฝึกจิตให้ตงั้ มัน่ ไม่หวาดหวัน่ แม้เพือ่ นจะ เงียบกริบจนได้ยินเสียงหญ้าสนามบอลปลิวไหวในเวลาที่เราบอก ไอเดียที่ิคิดมาแล้วว่าเจ๋งโคตร ไหนยังจะต้องต่อกรกับพวกชอบกินแรง อันประกอบด้วยตัว หัวโจกของห้อง ทีส่ ว่ นใหญ่มชี อื่ เสียงโด่งดัง ทว่าท�ำอะไรไม่คอ่ ยเป็น (อนึ่ง มันไม่ท�ำเองต่างหาก) เพราะมีความเชื่อว่าถ้ามาร่วมมือท�ำ อะไรกับเด็กกิจกรรม เป็นการกระท�ำที่ติ๋ม พวกเขาจึงนั่งหลับอยู่ หลังห้อง นอนนิ่งเป็นพญาหมีที่จ�ำศีลล่วงเวลา (ครับ ผมเคยเป็น พญาหมีมาก่อน!) ซึง่ พญาหมีจะต้องยอมรับชะตากรรม เพราะถ้าไม่ยอมช่วย หรือ มีส่วนร่วมอะไร ก็อาจถูกเอารูปของตัวเองไปใช้อย่างไม่ยินยอม พร้อมใจ เพราะไอ้ทีมที่ท�ำมันก็เหนื่อยเป็นน่ะนะ เฮ้อ ไอ้พญาหมี เหรอ...อืม เอารูปนีก้ แ็ ล้วกัน (ถอนหายใจ) คัดอย่างขอไปทีนแี่ หละ ไอ้พญาฯ กว่าจะเห็นอีกทีกต็ อนพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแล้ว ไม่มสี ทิ ธิ์ อุทธรณ์แม้หน้าตาจะเปรตเดินดินกินเนื้อคนแค่ไหนก็ตาม (เป็น สาเหตุที่ผมไม่มีหนังสือรุ่นเลยสักเล่ม เข้าใจยัง!) มันเป็นโมงยามทีต่ นื่ เต้นเสมอ เวลาทีเ่ ราจะได้ทำ� อะไรแตกต่าง จากสิ่งที่เคยท�ำ แทนที่จะถ่ายคู่กับสแตนด์ ก็ได้ถ่ายกับพร็อพ ได้ ยักคิว้ ได้เอานิว้ จิม้ แก้ม ได้ถา่ ยกับกลุม่ เพือ่ นสนิท ไม่ตอ้ งไปยืนกับ สุทิน ประมวล หรือภาณุที่ยืนข้างมันทุกปี กูเบื่อมาก บางคนจะส่อแววความเป็นนักสร้างสรรค์ ได้เห็นพรสวรรค์กัน ก็คราวนี ้ อย่างทีร่ นุ่ พีข่ องผมห้องหนึง่ ออกแบบให้หอ้ งของเขาถ่ายรูป เป็นนักโทษทั้งห้อง แถมยังมีบอกอีกต่างหากว่าแต่ละคนติดคุกกี่ปี ด้วยข้อหาอะไรบ้าง เป็นมงคลแก่ชีวิตมาก ป่านนี้ไม่รู้ท�ำงานเป็น อะไร กี่ปี ด้วยข้อหาอะไร
เอกลักษณ์ของหนังสืออนุสรณ์ของเด็กรุน่ ผมคือ อาร์ตเวิรก์ แนว อาวองท์การ์ด ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความพิกลพิการด้านศิลปะ บวกกับยังไม่มีโปรแกรมอย่างโฟโต้ชอป อิลลัสเตรเตอร์ ฯลฯ จะมี ก็เพียงความง่อยเปลี้ยของเอฟเฟ็กต์แสงวิ้งจากโปรแกรมยุค 1.0 ที่ ตอนนี้เราจะเห็นได้จากใบประชาสัมพันธ์งานทอดกฐินสามัคคี ของวัดป่าเท่านั้น หลายวันก่อน ผมเพิ่งคุยกับเพื่อนต่างโรงเรียน พบว่าโรงเรียน บางแห่งจะมีส่วนกลางคอยจัดการรูปแบบหนังสือรุ่นให้เหมือนกัน ทุกห้อง แถมมันยังบอกว่าจะให้นักเรียนไปท�ำเองหาพระแสงแสวง ง้าวอะไร ต้องเปลืองชั่วโมงการเรียนขนาดนั้นท�ำไมวะ กูไม่เข้าใจ แล้วนักเรียนก็ยอมด้วยนะ มึงว่าไหม เฮ้อ (...) แต่ก็มีบางคนที่บอกว่า นอกจากหนังสืออนุสรณ์แล้ว โรงเรียน ของพวกมันก็ยงั มีหนังสือรุน่ ฉบับห้องใครห้องมันด้วย ท�ำกันเองโดย ไม่ผกู มัดติดกับหนังสืออนุสรณ์ประจ�ำของโรงเรียน นับว่าเป็นพืน้ ที่ สีแดงแจ๋ที่ต้องแข่งขันกันสูงขึ้นไปอีก! จากที่เคยแข่งเฉพาะรูปแบบ ความสร้างสรรค์ ไอ้พวกนี้ยังต้องแข่งกันเรื่องวิธีการพิมพ์ด้วย กระดาษที่ใช้ วิธีเข้าเล่ม พิมพ์สีหรือขาวด�ำ ฯลฯ เนื่องจากมันผูก ติดกับภาพพจน์ของฐานะทางบ้าน! ลองเห็นใครใช้กระดาษแบบ อาร์ตมัน พิมพ์สสี่ ี เข้าเล่มด้วยวิธเี ย็บกี่ แถมปกยังมีฟรอยด์เคลือบ วาววับ ฯลฯ = มหาเศรษฐี นอกเหนือจากภาพสมัยครั้งยังเยาว์ หนังสือรุ่นยังมีเนื้อหาชวน ติดตามไม่นอ้ ย เพราะมีคอนเทนต์เกีย่ วกับเพือ่ นร่วมห้อง ประหนึง่ ว่าคือหนังสือกอสซิปดารา น�ำเสนอเนื้อหาที่มักเป็นเรื่องสิ้นคิด ท�ำนองว่า ‘ที่สุดของห้อง!’ ซึ่งจะเป็นเรื่องดีมิได้หรอก ต้องงกที่สุด ในห้อง เตีย้ ทีส่ ดุ ในห้อง บ้านไกลทีส่ ดุ ในห้อง หลับบ่อยทีส่ ดุ ในห้อง ทรามไวที่สุดในห้อง ฯลฯ ส่วนทีส่ นุกทีส่ ดุ คือสมญานาม ทีม่ าจากผลโหวตของเพือ่ น หรือ
สุดแล้วแต่ประธานห้องจะบันดาลให้ (ซึ่งประธานจะโดนกระโดด ถีบเสมอถ้าเกิดบันดาลได้ไม่ถูกใจไพร่ฟ้าประชาชน...แล้วมึงจะมี ประธานไปท�ำไมเนี่ย) ส่วนมากจะเป็นเรื่องอินไซด์เฉพาะกลุ่ม คนนอกเข้ามาอ่านจะไม่เข้าใจ เช่น บางคนเป็นเรื่องเกี่ยวกับแฟนที่ ก�ำลังคบหาเวลานั้น บางคนมีสมญานามเป็นชื่อพ่อ (...) คนอื่นมา อ่านก็เหมือนเปิดเจอมุกตลกของชาวปากีฯ เพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่มันท�ำให้พวกเราข�ำก๊ากเสมอเวลาที่เจอฉายาเพื่อนบางคนที่ฮา จนน�้ำตาไหล (และมันก็ก�ำลังหาตัวไอ้ประธานอยู่) หนังสืออนุสรณ์ท�ำให้เราหัวเราะได้เสมอเวลาที่ไปบ้านเพื่อน แล้วเจอมันวางอยู่ในตู้หนังสือ เป็นหนังสือบันเทิงที่ดูได้ตั้งแต่หน้า แรกยันหน้าสุดท้าย เป็นหนังสือคลาสสิกที่เปิดกี่ทีความรู้สึกก็ไม่ เหมือนเดิม แถมยังเป็นกิจกรรม ‘ระลึกชาติ’ ที่เราสามารถท�ำได้ ร่วมกันเป็นหมู่คณะโดยไม่ต้องอาศัยร่างทรงส�ำนักใด ไม่ต้องใช้ คุณริวมาสัมผัส ในหนังสืออนุสรณ์มเี รือ่ งให้เราพูดถึงได้เยอะแยะ มีเรือ่ งให้แขวะ กันมากมาย เช่น การดัดฟัน (ที่สมัยนั้นฮิตกันมาก ยังไม่มีดัดฟัน แฟชั่นเหมือนทุกวันนี้) ผมติดติ่งหู (ตามระเบียบ และบางคนแหก กฎด้วยการซอยสั้น สุดท้ายก็ถูกฝ่ายปกครองให้ใส่วิก) หัวเกรียน สามด้าน (เพราะถูกไถหน้าเสาธง เนื่องจากพยายามตัดรองทรง เหมือนพีม่ .ปลาย) หรือถุงเท้าตึง-พับ-หย่อน-ขาด (ทีค่ ดิ ว่าเท่!) ฯลฯ รวมถึงยังมีความทรงจ�ำอยูต่ ามหน้าต่างๆ ทีเ่ ราสามารถขุดเรือ่ งเก่า เอามาเล่ามาแซวซ�้ำอยู่ได้ไม่รู้จบ อันเป็นรูปธรรมของวลีที่ว่า ‘แซว ยันลูกบวช’ นั่นเอง ยิ่งตอนนี้ เวลาได้ข่าวว่าเพื่อนคนไหนได้ดิบได้ดีเป็นดาราดัง สวย เอ็กซ์ ก็มักจะพากันจับกลุ่มเปิดหนังสือรุ่นชี้ตัว และพากัน เสียดายหมู่ ร�ำพึงร�ำพันพร้อมกันว่า เฮ้ย! ตอนนัน้ มันไม่มวี แี่ ววเลย นะ! โธ่เอ๊ยยย! รู้งี้กูจีบตั้งแต่เรียนแล้ววว! (คือไม่ปรึกษาเขาด้วย
นะว่าเขาจะเอามึงรึเปล่า) ไม่ตอ้ งถึงขัน้ ดารา บางคนเดินสวนกันแล้วจ�ำได้วา่ เป็นเพือ่ นเก่า ก็กลับไปเปิดดูกันแล้วว่าอีนี่ตอนเด็กมันหน้ายังกับแมวส�ำลักน�้ำ ท�ำไมโตมาแล้วสวยเป็นคนละคนเลยวะ! (แล้วก็พยายามหาเบอร์ โทรศัพท์ ที่อยู่ ฯลฯ) คล้ายเวลาเลิกเรียนแล้วไปเดินห้างฯ วันไหน ผ่านผูห้ ญิงน่ารักต่างสถาบัน เราก็พยายามติดต่อเพือ่ นทีเ่ รียนอยูท่ ี่ นั่น และขอหนังสืออนุสรณ์ของมันมาชี้ตัวกันว่าเป็นคนไหน และ ช่วยแนะน�ำให้หน่อยดิ นะ นะ (แก่แดดที่สุด) ขณะเดียวกันเพื่อนบางคนจะถูกแซวเสมอว่า ดูสิ โคตรจะหล่อ จะใสสมัยม.ปลาย แต่ท�ำไมโตขึ้นมาแล้วเข้าคอนเซปต์โตเป็นควาย ได้ขนาดนีน้ ะ (ว่าแล้วก็ตบไหล่ ท�ำหน้าเห็นใจ แล้วมันก็เอาหนังสือ รุน่ ประจานให้เพือ่ นคนอืน่ ดูเป็นหลักฐานตอกย�ำ้ ความล้มเหลวด้าน กายภาพของเรา จบท้ายด้วยเสียงฮาครืนใหญ่) ในหนังสืออนุสรณ์ ท�ำให้เราระลึกได้ว่าช่วงปีไหนเราก�ำลัง ตกหลุมรักใคร ไม่ว่าจะเป็นรุ่นน้อง รุ่นพี่ หรือรุ่นเพื่อน จากต�ำหนิ ในหน้าที่ถูกอ้ามากกว่าหน้าอื่น หรือตรงไหนที่มีปากกามาร์กเกอร์ เขียนแปะปะเอาไว้ กระทัง่ ยังสามารถค้นหาความรูส้ กึ ในตอนนัน้ ที่ เราอาจพบในบางหน้าที่มีรอยปากการะดมระบายความรู้สึกเอาไว้ มากมาย (อาจเป็นบนหน้าอาจารย์ฝา่ ยปกครองทีเ่ รารูส้ กึ อยากกลับ ไปกราบไหว้ขอขมาเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี หรือเพื่อนคู่อริที่ตอนนี้ อยากกลับไปปรับความเข้าใจ รวมถึงความผิดพลาดบางประการที่ อยากซ่อมแซม) หนังสือรุ่นเหมือนกับดักระเบิด ไม่ต่างจากบางสิ่งที่เราหลงลืม มันไว้สกั แห่งในห้องนอนรอการค้นพบในวันทีบ่ งั เอิญ มันถูกซุกซ่อน เอาไว้ และทันทีที่เราไปเจอ มันก็ระเบิดปัจจุบันกาลจนเรียบราบ พาเราไปล่องลอยอยู่กับอดีต ใช้เวลามากมายอยู่กับมัน ไล่ดูทีละ หน้าตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่เป็นอันท�ำอะไร บางคนหมกมุ่นจนตัดสิน
ใจทิ้งภารกิจ ถือวิสาสะโทร.หา และนัดแนะสถานที่ ขอเจอกันเสีย เดี๋ยวนั้น แล้วเมื่อเจอกันอีกครั้ง เราก็พบว่าถึงรอบตัวของพวกเราจะ เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน วันนี้จะเติบโตในฐานะการงานหรือสังคม เท่าไร แต่เราก็ยังคงเห็นหน้าเพื่อนเหล่านี้ในฐานะเดิม เป็นเพื่อน คนเดียวกันกับที่ยืนอยู่บนสแตนด์เสี่ยงตายด้วยกัน เป็นคนที่เคย วิ่งไล่เตะกันทุกเย็น เป็นคนที่แกล้งเอารองเท้าไปซ่อน เป็นคนที่ ยกมือแทนเวลาเช็กชื่อ เป็นคนให้ลอกข้อสอบ เป็นคนที่ให้ก�ำลังใจ เวลาที่เราตัดสินใจจะบอกรักใครสักคน และเป็นคนที่อยู่ด้วยถึงค�่ำ ในวันที่เราถูกบอกเลิก เป็นคนนั้น... คนเดียวกับเพื่อนที่อยู่ในหนังสืออนุสรณ์
เสียงรอสาย ชัดเจน พูดกันแบบเชยๆ หน่อย โทรศัพท์มือถือนับเป็นเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนเราไปมากยิ่งกว่ามาก แค่ค�ำว่าหน้ามือ เป็นหลังตีนยังน้อยเกินไป มันท�ำงานได้ดีเยี่ยมเหมือนพลทหาร ผู้ถนัดยุทธวิชาทั้งบุ๋นทั้งบู๊ สามารถต่อกรกับข้าศึกได้ทุกรูปแบบ อุปมาว่ามันคล้ายไบกอนเขียวที่บุกเดี่ยวกระทืบกองทัพยุงจนตาย ยกแคว้น แล้วเข้ายึดพื้นที่เมืองได้ส�ำเร็จ ทีนี้พวกเราก็สบาย ไม่ว่าจะติดต่อหาใคร สมัยนี้ก็แค่ปุ่มสีเขียว บนเครือ่ งโทรศัพท์ ไม่ตอ้ งล�ำบากแลกเหรียญเดินหาเครือ่ งส่ง-เครือ่ ง รับกันให้วุ่นวาย ทัง้ ทีย่ อ้ นกลับไปในช่วงปี 2540 โทรศัพท์เคลือ่ นทีย่ งั เป็นสิง่ เกิน จ�ำเป็น ไม่ค่อยมีคนใช้ เพราะมันราคาสูงและค่าบริการแพงหูฉี่ ถ้า ใครมีมือถือใช้ก็จัดไปได้เลยว่าอยู่ในหมวดรวย เท่ ป๋า ต้องมีเครื่อง