@SAMUTPRAKAN Travel Issue 5

Page 1

Vol.2 No.1 March 2015 ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดือนมีนาคม 2558

in trail OF 1893

Paknam Crisis ตามรอย ร.ศ.112 ยุทธนาวีปากน้ำ�เจ้าพระยา

www.fahmai.com


IN TRAIL OF 1893

PAKNAM CRI S I S ตามรอย ร.ศ.112 ยุทธนาวีปากน้ำ�เจ้าพระยา

หากย้อนไป 400 ปี ยุคทีโ่ ลกติดต่อค้าขาย แสวงหาอาณานิคมใหม่การเดิน ทางสูก่ รุงศรีอยุทธยาแห่งสยาม ไม่มเี รือล�ำใด เหตุการณ์ ใดจะไม่ผา่ น “ปากน�ำ้ ไปได้” สมุทรปราการ เป็นจุดเริม่ รับและออกสูโ่ ลกภายนอก เราจึงมีเรือ่ งเหตุการณ์ เอกสาร สถานที.่ .ทางประวัตศิ าสตร์อกี มาก ทีย่ งั เผยแพร่นอ้ ยมาก หรือเกือบไม่มี โอกาสเผยแพร่เลย อบจ.สมุทรปราการโดยกรอบภารกิจด้านการให้ความรู้การท่องเที่ยว จึงพยายามเปิดเผยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากที่สุด อันเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ Over 400 years ago when the world was busy with trading and colonization, not a single ship sailing to Ayutthaya or other incidents could be possible without passing through Paknam. Samut Prakan was serving as the gateway welcoming and sending off people to the outside world. Thus, we have numerous historical incidents, documents and, locations that have not yet been publicized, or we can say that there hardly is the possibility to publicize. With the mission to promote education in tourism, Samut Prakan Provincial Administration Office is trying to publicize historical information as much as we can to promote historical tourism.

ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ

Chonsawat Asavahame

Chief Executive of Samut Prakan Provincial Administrative Organization


Editor’s Talk สมุทรปราการมีพนื้ ทีต่ ดิ แม่นำ�้ เจ้าพระยาเชือ่ มต่ออ่าวไทย ส่งผล ให้วิถีชีวิต ความเป็นอยู่และวัฒนธรรม ผสมกลมกลืนไปกับสายน�้ำ การดึงเอกลักษณ์นี้มาพัฒนาให้ทันสมัย เชื่อมวัฒนธรรมเก่า-ใหม่ เข้าด้วยกัน เกิดเป็นวัฒนธรรมสมัยนิยม ก่อนต่อยอดไปสู่รูปแบบ ของการท่องเทีย่ ว ย่อมเป็นอีกหนึง่ แนวทางส�ำคัญในการพัฒนาเมือง ทีผ่ า่ นมา องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ได้รเิ ริม่ โครงการ ใหม่ๆ เพือ่ น�ำสมุทรปราการก้าวไปสูเ่ มืองท่องเทีย่ วทางธรรมชาติและ ประวัติศาสตร์ จุดหมายส�ำคัญแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เช่น โครงการ 9 wonders อัศจรรย์สมุทรปราการเทีย่ วได้ตลอดปี ส่งเสริม เส้นทางปั่นจักรยานรอบกระเพาะหมู พื้นที่ธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่ได้ รับการยกย่องให้เป็นเสมือนปอดของคนกรุงเทพฯ สร้างสรรค์ศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิมและเชื่อมโยงเอกลักษณ์ท้องถิ่นสู่การ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีเสน่ห์เฉพาะของแต่ละพื้นที่ ซึ่งก�ำลังได้รับ ความสนใจจากชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่มีอีกมุมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวยังคงไม่ได้สัมผัสถึงเสน่ห์ที่ ซุกซ่อนอยู่ภายใน นั่นคือ ประวัติศาสตร์ ซึ่งสมุทรปราการมีเรื่องราว ในอดีตทีน่ า่ สนใจมากมายรอให้คน้ หา และเสน่หท์ ที่ ำ� ให้ประวัตศิ าสตร์ ของสมุทรปราการน่าสนใจและควรค่าแก่การเดินทางมาเยือนนัน่ เพราะ.. แม้เรื่องราวจะผ่านมานับร้อยปี แต่ผู้คนยังคงสัมผัสและจับต้องได้ แม้ ในปัจจุบัน @SAMUTPRAKAN Travel ฉบับนี้ จะน�ำทุกคนไปพบกับเสน่ห์ ของประวัตศิ าสตร์ทซี่ อ่ นอยู่ในเมืองหน้าด่าน กับวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ยุทธนาวีครั้งส�ำคัญของเมืองไทย ร่วมร�ำลึกความหลังไปกับป้อม ปราการริมแม่น�้ำเจ้าพระยาและสูดหายใจให้เต็มปอดกับธรรมชาติ ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ของสมุทรปราการ เรือ่ งราวผ่านตัวหนังสือ คงไม่สามารถเติมเต็มจิตวิญญาณของใคร หลายคนได้ ผมหวังว่าทุกคนจะเดินทางมาเยีย่ มเยือนเมืองแห่งนี้ และ ร่วมเปิดประสบการณ์ ใหม่ๆ ไปด้วยกัน

คุยกับบรรณาธิการ

Samut Prakan is situated on the area by the Chao Phraya River connecting to the Gulf of Thailand. The geographical location results in the way of life and culture thare blended with the waterways. This unique identity is picked as the soul for modernized development linking the old and modern cultures together and creating a new trend culture before furthering into tourism which is an important factor in city development. In the past, Samut Prakan Provincial Administration Office has initiated many new projects to make Samut Prakan as a new important natural and historical destination for world travelers. Those projects include 9 Wonders; Amazing Samut Prakan - All Year Round Destination; promotion of cycling route around the ‘pig stomach’ area - the largest natural area that is regarded as the lung for Bangkok residents; promotion of arts, culture and original way of life; connecting the charming local identity of each area with ecotourism which are all in the interest of both Thai and foreigners. However, there is another angle that visitors may not experience the hidden charms. It is the historical angle and Samut Prakan has a lot of interesting stories to explore. The charms make the history of Samut Prakan interesting and worth a trip to visit because even the history is over hundred years ago it is tangible that we can touch and feel even in this day. In this issue, @SAMUTPRAKAN Travel will take readers to experience the charms of history hidden in this outpost with the story of Rattanakosin Era 112 Crisis, an important naval battle in Thailand. Join us in recollecting the old days at the fortresses by the Chao Phraya River and fill your lung with the pristine and fertile nature of Samut Prakan. Stories through words cannot fulfill the eager soul of many people. We hope that everybody will visit this town and have new experiences together.

แปลโดย : นภาพร สัตยาลัย Translater : Napaporn Satayalai


40 34 60 สารบัญ

CONTENTS

58 76

72

6 10 12

Magnificent International Lantern Festival

24 54

In Trail of 1893 Pak Nam Crisis

เทศกาลโคมไฟนานาชาติ ปากน้ำ�

OTOP Products of Paknam 2 ทำ�เนียบ OTOP เมืองปากน้ำ� 2

Pa-Ked Wood lot Natural Classroom.. Of Song Kanong community สวนป่าเกดน้อมเกล้า ห้องเรียนธรรมชาติ..แห่งชุมชนทรงคนอง

ตามรอย ร.ศ. ๑๑๒ ยุทธนาวี ปากน้ำ�เจ้าพระยา

Interview

สัมภาษณ์พิเศษนักประวัติศาสตร์


Chulachomklao Fort Touring

เที่ยวป้อมพระจุลฯ ตามรอย ร.ศ.112 เดินมุดป้อมชมปืนเสือหมอบ สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ

Nature Lover’s Paradise Butter Fly Island

เกาะผีเสื้อสวรรค์ของคนรักธรรมชาติ

Pak Nam Fort

ป้อมปราการ ปากน้ำ� ปกป้องแผ่นดิน

Sing Hai Hong Coffee & Restaurant ซิงไฮฮง.. ชิมอาหาร จิบกาแฟ แลบรรยากาศย้อนยุค

Simple and Close to Nature at Baan Suan Im Sabai Resort

เรียบง่ายใกล้ชิดธรรมชาติ.. ณ บ้านสวนอิ่มสบายรีสอร์ท

Collection of Retro Objects Uncle Lek’s House of lamps บ้านตะเกียง..ลุงเล็ก แหล่งสะสมของเก่าย้อนยุค

58 An Ecotourism Destination 76 with in reach to Bangkok หลบร้อนไปรับลมทะเลที่ขุนสมุทรจีน แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศใกล้กรุงแค่เอื้อม 80 of Farmers 108 TheปลุกคนรุNew่นGeneration ใหม่..สู่เกษตรวิถีเมือง 86 114 Woven Silverwares a new Definition of Handicrafts เครื่องเงินสาน..นิยามใหม่งานหัตถกรรม 90 Fortresses 118 Monasteries The War and Peace Rapport วัด..ป้อมปราการ สายสัมพันธ์แห่งสงครามและสันติ 94 Years old 124 Pak300 Namปี ริมaฝั่ง300เจ้าพระยา..เมื องปากน้ำ� Calendar 128 Tourism ปฏิทินท่องเที่ยว in Beautiful View 130 Check เช็กอิน วิวสวย

100

124

the Summer Heat to Enjoy 100 Escape the Sea Breeze at Khun Samut Jeen

114

ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ประจำ�เดือนมีนาคม 2558

ISSUE 1 คณะผู้จัดทำ� ประธานที่ปรึกษา : นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมุทรปราการ

March 2015

Editorial Team Advisor : Mr.Chonsawat Asavahame Chief Executive of Samut Prakan Provincial Administrative Organization

คณะที่ปรึกษา : Advisory Group : นายอัครวัฒน์ อัศวเหม Mr.Acaravat Asavahame รองนายก อบจ.สมุทรปราการ Deputy Chief Executive of Samut Prakan PAO นายธนภณ คารมปราชญ์ Mr.Dhanabhon Caromprach รองนายก อบจ.สมุทรปราการ Deputy Chief Executive of Samut Prakan PAO นายปิติชาติ ไตรสุรัตน์ Mr.Pitichat Trisurat รองนายก อบจ.สมุทรปราการ Deputy Chief Executive of Samut Prakan PAO นายสายัณห์ รักษนาเวศ Mr.Sayan Raksanaves ปลัด อบจ.สมุทรปราการ Chief Administrator of Samut Prakan PAO คณะทำ�งาน : Working Group : นายธนวัฒน์ กล่ำ�พรหมราช Mr.Tanawat Klamprommarach รองปลัด อบจ.สมุทรปราการ Deputy Chief Administrator of Samut Prakan PAO นางสุรีวัน สุขพัตร์ Mrs.Sureewan Sugapat เจ้าพนักงานธุรการ 6ว Clerical Officer นางวรรณดี เกตุนคร Mrs.Wandee Ketnakorn เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 5 Administrative Officer Owner : Samut Prakan Provincial Administration Organization Sutpirom Road, Paknam Subdistrict, Mueang Samut Prakan District, Samut Prakan 10270 โทรศัพท์ : 0-2389-0600 Tel : 0-2389-0600 โทรสาร : 0-2395-4560 Fax : 0-2395-4560

เจ้าของ : องค์การบริหารส่วนจังหวัด สมุทรปราการ ถ.สุทธิภริ มย์ ต.ปากน้ำ� อ.เมืองฯ จ.สมุทรปราการ 10270

พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์สำ�นักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขที่ 314-316 ถ.บำ�รุงเมือง เขตป้อมปราบฯ กทม. 10100

Print : Printing Office of National Buddhism. 314-316, Bamrung Mueang Road, Pom Prap Sattru Phai District, Bangkok 10100 โทรศัพท์ : 0-2223-3351 Tel : 0-2223-3351 โทรสาร : 0-2621-2910 Fax : 0-2621-2910

www.fahmai.com


6

Activity News ข่าวกิจกรรม อบจ.


มีนาคม 2558 / March 2015

MAGNIFICENT INTERNATIONAL

LANTERN FESTIVAL

7


8

Activity News ข่าวกิจกรรม อบจ.

สีสนั โคมไฟแฟนตาซียามค่�ำ คืน Colorful fantasy night lamp

ตระการตา..

เทศกาลโคมไฟนานาชาติ ต้อนรับตรุษจีนปากน้ำ� ระบำ� 5 นางฟ้า Five fairy Ballerina performance

น.ส.สุกญ ั ญา อัศวเหม มอบของทีร่ ะลึก Miss Sugunya Asavahame

การท่องเทีย่ วฯ จับมือจังหวัดสมุทรปราการ และศาลเจ้ามูลนิธธิ รรมกตัญญู (เสียนหลอไต้ เทียนกง) จัดงาน “เทศกาลโคมไฟ เฟสติวลั 2015” ครัง้ ที่ 4 สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอนั ดี งามของชาวไทยเชือ้ สายจีน ตระการตาความงามโคมไฟนานาชาติกว่า 5,000 ดวง ภายในงาน “เทศกาลโคมไฟ เฟสติวลั 2015” ในปีน้ี ผูเ้ ข้าร่วมงานจะได้รบั ชมการแสดง โคมไฟทีย่ งิ่ ใหญ่ตระการตา อาทิ โคมไฟการ์ตนู แฟนตาซี โคมไฟเทพเจ้า และโคมไฟทีห่ ลาก หลายกว่า 5,000 ดวงทีน่ ำ� เข้ามาจากประเทศไต้หวัน ชมการจุดพลุอนั งดงามตระการตา เนือ่ ง ในเทศกาลตรุษจีนผูท้ สี่ นใจสามารถไหว้พระขอพรปีมะแม กราบไหว้บูชาเทพเจ้า 5 พระองค์ จากฝีมือการแกะสลักหินอันประณีต ชมสิงโตคู่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแกะสลักจากหินหยก เขียว โชว์การแสดงสิงโต ชมการแสดงเต้นตุก๊ ตาหุน่ และการแข่งขันวาดรูปลงบนโคมไฟ เป็นต้น ศาลเจ้ามูลนิธธิ รรมกตัญญู (เสียนหลอไต้เทียนกง) ได้รบั การถ่ายทอดความเชือ่ ทางศาสนามา จากมูลนิธหิ นานคุณเซินไต้เทียนฟู่ ทีม่ คี วามศรัทธาในเรือ่ งเทพเจ้าโหงวหวังเอีย้ หรือ เทพเจ้าแห่ง 5 ตระกูล โดยมีผอู้ ญ ั เชิญเสด็จเข้ามาในประเทศไทยตัง้ แต่ ปี พ.ศ.2519 แต่เพิง่ มาสร้างศาลเจ้าแห่งนีเ้ มือ่ ปี พ.ศ.2534 ส�ำหรับการจัดงานเทศกาลโคมไฟนานาชาติ จัดขึน้ เป็นประจ�ำทุกปีในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยในปีนี้ จังหวัด สมุทรปราการ ร่วมกับมูลนิธธิ รรมกตัญญู (เสียนหลอไต้ เทียนกง) การท่องเทีย่ วแห่งประเทศไทย (ททท.) ส�ำนักงาน กรุงเทพมหานคร สมาคมการค้าพัฒนาการท่องเทีย่ วจังหวัด สมุทรปราการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ได้ จัดงาน “เทศกาลโคมไฟ เฟสติวลั 2015” ครัง้ ที่ 4 ระหว่าง วันที่ 18 กุมภาพันธ์ – 15 มีนาคม 2558 ที่ บริเวณลาน กิจกรรมศาลเจ้ามูลนิธธิ รรมกตัญญู (เสียนหลอไต้เทียนกง) โคมไฟรูปเจ้าแม่กวนอิม ต.บางปูใหม่ อ.เมืองฯ จ.สมุทรปราการ Guanyin lantern


มีนาคม 2558 / March 2015

มอบอัง่ เปาแก่นกั แสดง Given money to the actress

การแสดงสิงโต และกายกรรม Lions and acrobatic performances

Tourism Authority of Thailand (TAT) in collaboration with Samut Prakan Province and Thamma Katanyu Foundation (Sian Lo Tai Tian Kong) organized the 4th “International Lantern Festival 2015” to perpetuity preserve Thai-Chinese traditions with the festival of over 5,000 magnificent international lanterns. Visitors to the festival will be mesmerized with the exhibition of over 5,000 lanterns in diverse themes such as cartoon lanterns, deity lanterns and many others stunning themes. Those lanterns are imported from Taiwan. Moreover, there will be spectacular firework to celebrate Chinese New Year. Besides, fairgoers could pray for blessings from 5 Chinese deity figurines finely carved from stone, admire the largest pair of lion carved from jadeite stone, lion dance, Chinese puppet shows and lantern painting competition, etc. Thamma Katanya Shrine (Sian Lo Tai Tian Kong) inherited the religious beliefs from Nan Kun Tian Fu Foundation in Taiwan that has faith in Ngow Wang Aei Gods or Gods of five families which were brought to Thailand in 2519 B.E. (1976 A.D.) but the shrine was built in 2534 B.E. (1991 A.D.) The International Lantern Festival is organized every year during the Chinese New Year. This year the event is jointly organized by Thamma Katanya Foundation (Sian Lo Tai Tian Kong), TAT Bangkok Office, Samut Prakan Trade and Tourism Promotion Association, government and private sectors and general public of Samut Prakan during 18 February -15 March 2015 at the event ground of Thamma Katanyu Foundation (Sian Lo Tai Tian Kong) in Bang Pu Mai Sub-district, Muang District, Samut Prakan Province. สิงโตคู่ใหญ่ทส่ี ดุ ในประเทศไทย แกะสลักจากหินหยกเขียว The biggest lion statues in Thailand

การแสดงเต้นตุก๊ ตาหุน่ Puppets dance

9


10 Hall of Frame

ทำ�เนียบของดีสมุทรปราการ

PRODUCT OF PAKNAM ท�ำเนียบ OTOP เมืองปากน�ำ้ (2) สมุทรปราการ ถือเป็นจังหวัดทีม่ คี วามโดดเด่นเรือ่ งงานฝีมอื ไม่ เป็นรองใคร ผลิตภัณฑ์และสินค้าขึน้ ชือ่ มีให้เลือกหลากหลาย ทัง้ ของกิน ของใช้ เครื่องประดับ ตกแต่ง เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อมีโอกาสได้มาเยือน จึงไม่ควรพลาดช็อปกลับไปเป็นของฝากให้กับตนเองและคนใกล้ตัว Samut Prakan is another province renowned for handicrafts with diverse products be it food, wares, accessories, décor items, etc. They are second to none. Therefore, should you have the opportunity to visit Paknam, you should not miss shopping some souvenirs for yourself and loved ones.

พรแฮนด์ เมด Porn Handmade เพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ด้วยการน�ำเศษหนังและเศษผ้าที่เหลือจาก การผลิตโซฟาและเบาะรถยนต์ มาท�ำเป็นกระเป๋าหลากหลายรูปทรงออก จ�ำหน่ายสร้างรายได้อย่างน่าสนใจ ผ่านการออกแบบตามสมัยนิยม ตัดเย็บ อย่างประณีตแนบเนียน ถ้าไม่พิจารณาอย่างละเอียดจะไม่ทราบได้เลยว่า ผลิตมาจากวัสดุเหลือใช้ มีความทนทาน และราคาไม่แพง ซ�้ำยังเป็นการ ลดการใช้ทรัพยากรที่น่าชื่นชม

Leather scraps and fabric remnants from making sofa and car seats are used in making bags for sale in various in trend designs. It is an interesting subsidiary occupation. The making of bags is very neat that if you do not look closely you will never know that it was made from scraps. The products are durable and price is affordable. Moreover, it is an admirable idea in reducing the use of resources. เลขที่ 481/40 หมู่ 2 ต.แพรกษา อ.เมืองฯ จ.สมุทรปราการ โทร. 0-2701-1383, 08-9135-1446 481/40 Moo 2, Praeksa Sub-district, Muang District, Samut Prakan Tel. 0-2701-1383, 08-9135-1446

พริ มา Prima ผลิตภัณฑ์จากเครือ่ งหนังและผักตบชวา งานฝีมอื ของ ชาวชุมชนบ้านเอือ้ อาทร เคหะเมืองใหม่บางพลี ทีม่ ารวมตัวสร้าง ผลิตภัณฑ์ออกจ�ำหน่ายเพือ่ เป็นอาชีพเสริม มีทงั้ หมวก กระเป๋า รองเท้าเพือ่ สุขภาพ ทุกชิน้ เป็นงานท�ำมืออย่างประณีต ด้วยแนวคิด ทีว่ า่ ชิน้ งานแต่อย่างท�ำออกมาในจ�ำนวนจ�ำกัด เพือ่ คงเอกลักษณ์ เฉพาะตัวและไม่ซำ�้ แบบใคร The residents of Baan Ua-athorn Community in Kehamuangmai Bang Phli form a group to create leather and water hyacinth products as their subsidiary occupation. Their products include hats, bags, shoes, etc. Each piece is neatly made by hand with the concept that each design will be made in limited quantity in order to maintain the unique characteristics. 2095/30 หมู่ 15 ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ โทร. 08-4166-6019 2095/30 Moo 15, Bang Saothong Sub-district, Bang Saothong District, Samut Prakan Tel. 08-4166-6019


มีนาคม 2558 / March 2015

11

วลี

Valee Color Natural Stone Accessories งานฝีมอื จากความชอบส่วนตัวของ คุณวลี ไชยแดน ทีน่ ำ� หินสีจากธรรมชาติมาท�ำ เป็นเครือ่ งประดับถูกน�ำมาเรียงร้อยกลายเป็นสร้อยข้อมือ มีทงั้ นิล หยก อความารีน เทอร์ควอยซ์ คริสโซเพรส โกเมน เป็นต้น แต่ละชนิดล้วนมีความหมายมงคลแตกต่างกัน ออกแบบ เน้นความสวยงาม เรียบง่าย และสามารถสวมใส่ประดับร่างกายได้หลายโอกาส โดยค�ำนึงถึง ความทนทานและพัฒนารูปแบบสม�ำ่ เสมอเพือ่ ไม่ให้ลา้ สมัย Ms. Valee Chaidaen has the personal passion for accessories from color natural stones. She strings stone pieces be it onyx, jade, aqua marine, turquoise, chrysoprase, garnet, together into bracelets. Each stone carries different auspicious meaning. The design is simple that it can be used in many occasions and the designer takes into consideration the durability. She regularly develops the designs to be in trend. เลขที่ 140/3 หมู่ 11 ซ.สุขสวัสดิ์ 70 ถ.สุขสวัสดิ์ ต.บางครุ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โทร. 08-9131-1418 140/3 Moo 11, Soi Suksawat 70, Suksawat Road, Bang Kru Sub-district, Phra Pradaeng District, Samut Prakan Tel. 08-9131-1418

กระเป๋ าสานพลาสติก Woven Plastic Bags กระเป๋าสานพลาสติก ฝีมอื การออกแบบของ คุณมณี ผาณิตสุคนธ์ ทีเ่ กิดไอเดียจากการน�ำสิง่ ของรอบตัวทีเ่ หลือใช้ คือเส้นพลาสติกจากโรงงาน ทีเ่ ป็นธุรกิจของครอบครัวมาดัดแปลงเป็นงานหัตถกรรมถักทอจนเกิดเป็น กระเป๋าทีม่ รี ปู ทรงแปลกตาและสีสนั สดใสสวยงาม จนได้เป็นสินค้าโอท็อป ของจังหวัดสมุทรปราการ มีทงั้ ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ หลากหลายรูปทรง เหมาะแก่การใช้งานส�ำหรับสาวๆ Ms. Manee Panitsukhon, the designer, got the idea from recycling unused materials around her i.e. plastic yarns from her family factory. She adds value to those yarns by weaving them into stunning and colorful bags in various sizes and designs that her products have won the OTOP award of Samut Prakan. เลขที่ 237-239 ซ.เทศบาล 13 ถนนสุขมุ วิท ต.ปากนำ�้ อ.เมืองฯ จังหวัดสมุทรปราการ 10270 โทร. 08-9812-5020, 08-6908-0808 237-239 Soi Tesaban 13, Sukhumvit Road, Paknam Sub-district, Muang District, Samut Prakan 10270 tel. 08-9812-5020, 08-6908-0808

บาติกเฮ้าส์

Batik House

ผสานความรูด้ า้ นบาติกและความสามารถด้านศิลปะเข้าด้วยกัน ถ่ายทอด ลงบนผืนผ้าจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ ทัง้ เสือ้ กางเกง ผ้าคลุมไหล่ ผ้าเช็ดหน้า และธงรูปปลา งานทุกชิน้ ผ่านกระบวนการท�ำด้วยมืออย่างประณีต พิถพี ถิ นั ตัง้ แต่การร่างลายด้วยเทียน เพ้นต์ลวดลายอย่างวิจติ ร สีสนั คมชัดทัง้ ด้าน นอกและด้านใน ด้วยเทคนิคเฉพาะท�ำให้ซกั แล้วสีไม่ตก The house combines the art of batik making and artistic skill together on the fabric before making into blouses, pants, shawls, handkerchiefs and fish banners. Each piece is carefully made by hand starting from drafting the design with wax followed by colorfully painting the design. They use special technique that colors are crisp on both sides of the fabric and are not easily faded away with washing. เลขที่ 1082-4 หมู่ 2 ซ.ส�ำโรงเหนือ 14 ต.ส�ำโรงเหนือ อ.เมืองฯ จ.สมุทรปราการ โทร. 0-2394-4709, 08-1428-7992 1082-4 Soi Samrong Nuea 14, Samrong Nuea Sub-district, Muang District, Samut Prakan Tel. 0-2394-4709, 08-1428-7992


12 Rest in Natural สีสันใต้เงาไม้


มีนาคม 2558 / March 2015

สวนป่าเกดน้อมเกล้า

ห้องเรียนธรรมชาติ..แห่งชุมชนทรงคนอง “สวนป่าเกดน้อมเกล้า” นับเป็นพืน้ ทีส่ เี ขียวที่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยระบบนิเวศอันหลากหลาย ทัง้ ต้นไม้ ท้องถิน่ แปลงเพาะพันธุก์ ล้าไม้ และสวนสมุนไพร ซึง่ เกิด จากการรวมกลุม่ ของจิตอาสาทีม่ หี วั ใจอนุรกั ษ์ ช่วยกัน พลิกฟืน้ ผืนป่าชุมชนทีถ่ กู ปล่อยรกร้างไร้การสร้าง ประโยชน์ น�ำมาพัฒนาต่อยอดให้พนื้ ทีป่ า่ จ�ำนวน 70 ไร่ กลายเป็นห้องเรียนธรรมชาติกลางเมืองให้กบั คนทีส่ นใจ ไม่ ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา นักท่องเทีย่ ว เข้ามาศึกษาเรียนรู้ ท�ำความเข้าใจและสัมผัสกับความร่มรืน่ ของธรรมชาติ สวนป่าแห่งนีถ้ กู สร้างขึน้ เมือ่ ปี 2549 ด้วยแนวคิด ของคนในชุมชนทีอ่ ยากช่วยกันพัฒนาให้เป็นแหล่งท่อง เทีย่ วเชิงอนุรกั ษ์ ทีม่ กี ารบริหารจัดการโดยคนในชุมชน ซึง่ เป็นหนึง่ ในพืน้ ทีเ่ ป้าหมายของโครงการสวนป่ากลาง มหานคร ตามแนวพระราชด�ำริของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูห่ วั ทีท่ รงต้องการอนุรกั ษ์พนื้ ทีส่ เี ขียว เพือ่ ให้เป็นปอดเมืองของกรุงเทพมหานคร ฉะนัน้ การท่องเทีย่ วในสวนป่าแห่งนีจ้ งึ มีการแบ่ง เป็น 3 โซนย่อยๆ เพือ่ ให้งา่ ยต่อการเดินเสพบรรยากาศ ไม่วา่ จะเป็นโซนลานกิจกรรม โซนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และโซนสวนสมุนไพร ซึง่ ล้วนมีความน่าสนใจและรอ การเข้าไปเยือนจากนักท่องเทีย่ วทุกท่าน

‘Suan Pa Ked NomKlao’ is the green area of Songkanong Community rich with diverse ecosystem be it native plants, seedling breeding plots, herb garden and activity ground. It is the effort of the volunteer group who aspired to revive the desolated community woodland by developing the area of 70 rai (28 acres) into a nature learning classroom in the middle of the city for interested parties be it students, tourists, government sectors, private enterprises to learn about and experience the natural serenity. This garden plot was formed in 2549 B.E. (2006 A.D.) by the people in the community who wanted to help creating an ecotourism destination managed by the community. This area is one of the target areas for community woodland in the big city following H.M. the King’s initiation to preserve the green area in 6 sub-districts around Bang Kachao Bend namely Bang Nam Pheung, Bang Ko Bua, Songkanong, Bang Kachao, Bang Kasob and Bang Yor in Phra Pradaeng District of Samut Prakan Province. This green area should be preserved to remain as the lung of Bangkok. This serene woodland is divided into 3 zones for a convenient visit to experience the natural atmosphere i.e. activity zone, nature learning trail zone and herb garden zone. Each zone is very interesting and awaiting to welcome visitors.

ต้นลำ�แพน: Sonneratia ovata

สวนป่าเกดน้อมเกล้า เป็นหนึง่ ในพืน้ ทีเ่ ป้าหมายของการอนุรกั ษ์ พืน้ ทีส่ เี ขียวในโครงการสวนกลางมหานคร เพือ่ ให้เป็นปอดของกรุงเทพฯ

Suan Pa Ked Nom Klao, one of the areas targeted for green area preservation in the park in the city centre project to create the lung for Bangkok.

13


14 Rest in Natural สีสันใต้เงาไม้

Save Green อนุรักษ์พันธุ์ไม้


มีนาคม 2558 / March 2015

กลุ่มคนในชุมชนช่วยกันปลูกไม้ท้องถิ่น และดูแลต้นไม้ในพื้นที่” “Community residents help in planting native plants and nurturing the trees in the area

Shady Activities Ground ลานกิจกรรมอันร่มรื่น เมือ่ เดินทางเข้ามาในพืน้ ทีส่ วนป่าเกดน้อมเกล้า ลานกิจกรรมเป็นเสมือนสถานทีร่ บั แขกจุดแรก ซึง่ มี การวางโต๊ะ เก้าอี้ ไว้ตามจุดต่างๆ เพือ่ ให้นกั ท่องเทีย่ ว ได้นง่ั พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางธรรมชาติ และมีลาน โล่งบริเวณตรงกลางไว้จดั แสดงการละเล่นพืน้ บ้าน นาฏศิลป์ ดนตรีไทย โดยมีตน้ ไทรขนาดใหญ่อายุไม่ตำ�่ กว่า 30 ปี เด่นตระหง่านแผ่รม่ เงา เปรียบเสมือนเป็น แลนด์มาร์คของสวนป่าเกดฯ เลยก็วา่ ได้ อีกด้านหนึง่ ของลานกิจกรรมถูกสร้างขึน้ เป็นแปลง เพาะพันธุก์ ล้าไม้ทอ้ งถิน่ ไม่วา่ จะเป็นต้นเกด ต้นจิก ต้น ช�ำมะเลียง ต้นพังกาหัวสุมดอกขาว ต้นตีนเป็ดทะเล ต้น ล�ำพู และต้นล�ำแพน ซึง่ กลุม่ นักเรียนและชาวบ้านทีม่ ี จิตอาสาได้มาช่วยกันเพาะพันธุ์ไว้ เพือ่ รอให้หน่วยงาน ต่างๆ เข้ามาช่วยกันปลูกเพิม่ เติม

The activity ground is serving as the drawing room of a house where guests are welcome. Tables and chairs are placed in various corners for visitors to relax in the embrace of nature. The open ground in the middle is for the folk shows, classical dances and Thai classical music with a huge banyan tree over 30 years standing tall spreading branches as a landmark of this activity area. On the other side of the activity ground is the seedling breeding plot where students and volunteers in the community help breeding be it , Manikala hexandra, Indian Oak, Luna nut, Brugueira sexangula or commonly known as upriver orange mangrove, pong-pong, cork tree, that wait interested parties to help planting them.

ต้นจิกหรือมุจลินทร์: Indian Oak

“พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เชิงนิเวศ และห้องเรียนธรรมชาติ” ลานกิจกรรมที่ห้อมล้อมไปด้วยแมกไม้

ground filled with nature

To be developed as an ecotourism destination and nature learning classroom.

ต้นลำ�พู: Mangrove apple

15


16 Rest in Natural สีสันใต้เงาไม้

A variety of ecosystems ความหลากหลายของระบบนิเวศ


มีนาคม 2558 / March 2015

17

Nature Learning Trail เส้นทางศึกษาธรรมชาติ จากนัน้ ก็เดินเข้าไปในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ทีม่ คี วามยาวกว่า 500 เมตร เพือ่ เรียนรูค้ วาม หลากหลายของระบบนิเวศ ซึง่ เป็นทางเดินลัด เลาะผ่านร่องสวนทีเ่ ต็มไปด้วยต้นไม้หลากชนิด ไม่ ว่าจะเป็นต้นไทรขนาดใหญ่ทยี่ นื แผ่รม่ เงาระหว่าง ทาง ต้นจากทีม่ กั ขึน้ ตามริมคลอง ต้นมะพร้าวทีม่ ี ล�ำต้นสูงชวนมองแบบสุดสายตา แต่เมือ่ มองลึกลงไปตามร่องสวน ก็จะพบ ต้นไม้พนั ธุท์ อ้ งถิน่ กระจายเต็มพืน้ ที่ เช่น ต้น ตะเคียนทอง ต้นยางนา ต้นหูกวาง ต้นมะหาด ต้นช�ำมะเลียง ต้นพิลงั กาสา ต้นตีนเป็ดทะเล และ ต้นไผ่ ซึง่ ล้วนมีลำ� ต้นทีส่ งู ใหญ่ บ่งบอกได้ถงึ ความ อุดมสมบูรณ์ของพืน้ ที่ได้เป็นอย่างดี

Afterwards you can proceed to the 500 m. long nature learning trail to learn about diverse ecosystem. The trail winds along the plantation ditches lining with, as far as the eyes can see, many species of plants such as big banyan trees standing tall providing shade, nipa palm grown on the canal banks or eye catching tall coconut trees. Deep into the plantation, along the ditches, we can see plenty native plants be iron wood, Gurjun oil tree, tropical almond, Chakoocha or Monkey jack, Luna nut, Ardisia polycephala, pong-pong, and bamboo. All trees are tall and big which clearly indicate that the soil is rich with nutrients and very fertile.

“จุดเด่นของสวนป่าเกดน้อมเกล้า คือความหลากหลายของระบบนิเวศ” เส้นทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ The fertile passage

The highlight of Suan Pa Ked Nom Klao is diverse eco-system.


18 Rest in Natural สีสันใต้เงาไม้

Tunnel banyan roots อุโมงค์รากต้นไทร


มีนาคม 2558 / March 2015

19

รักษ์แปลงสมุนไพรพื้นบ้าน เพื่อให้เด็กนักเรียนเข้ามาศึกษา” “ อนุ Native herbs preservation plots for students to learn about herbs

Herb Garden สวนสมุนไพรพื้นบ้าน ส�ำหรับสวนสมุนไพรพืน้ บ้าน นับเป็นอีกแปลง ที่ได้รบั ความนิยมจากนักท่องเทีย่ วและเด็กนักเรียน ในชุมชนอย่างยิง่ เพราะมีการปลูกสมุนไพรไว้หลาก ชนิด ไม่วา่ จะเป็นสะเดา, ชะมวง, เหงือกปลาหมอ, แคน�ำ้ , อัญชัน, ฟ้าทะลายโจร และช�ำมะเลียง ซึง่ ล้วนมีคณ ุ ประโยชน์และสรรพคุณแตกต่างกันไป เช่น ฟ้าทะลายโจร ทีม่ สี รรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ไอ ปวดคอ ระงับอาการอักเสบ และไข้หวัด ส่วน ชะมวง มีสรรพคุณเป็นยาระบาย ฟอกโลหิต และ สามารถน�ำไปประกอบอาหารได้หลายเมนู ส่วนแปลงข้างๆ สวนสมุนไพรพืน้ บ้าน ก็จะ มีแปลงอนุรกั ษ์ตน้ เกด ซึง่ เป็นต้นไม้ทอ้ งถิน่ ประจ�ำ ชุมชน โดยในอดีตจะมีตน้ ไม้ชนิดนีจ้ ำ� นวนมาก จน มีการน�ำมาตัง้ เป็นชือ่ ชุมชน “วัดป่าเกด” แต่ชว่ ง หลายปีทผี่ า่ นมาต้นเกดกลับเริม่ สูญหายไปจากพืน้ ที่ ทางกลุม่ จึงได้ปลูกไว้เพือ่ อนุรกั ษ์ ให้อยูค่ กู่ บั ชุมชน นอกจากความหลากหลายของระบบนิเวศที่ได้ เดินดูแล้ว ส�ำหรับใครทีอ่ ยากมีสว่ นร่วมในการปลูก ต้นไม้เพือ่ เพิม่ ร่มเงา ก็สามารถแจ้งความจ�ำนงผ่าน เจ้าหน้าที่ได้เลย ส่วนใครทีช่ อบปัน่ จักรยานทีน่ กี่ ม็ ี บริการให้เช่าเช่นกัน เรียกได้วา่ มาทีเ่ ดียวสามารถ ท่องเทีย่ วเชิงอนุรกั ษ์ได้หลากสไตล์เลยทีเดียว

ต้นเกด: Manilkara hexandra

Herb garden is another popular spot with visitors and students in the community because there are variety of herbs grown in the garden be it neem, Garcinia cowa, sea holly, mangrove trumpet, butterfly pea, Indian Echinacea and luna nut. All of which have different medicinal properties such as Indian Echinacea can help relieve coughing, inflammation and fever; Garcinia cowa is good to relieve constipation, detoxifying the blood system and can be used as an ingredient in many recipes. The plot on the side of herb garden is reserved for preserving Manilkara hexandra which is regarded as the plant of the community. In the past, Mainilkara hexandra was so plentiful in the area that where the name ‘Wat Pa Ked Community’ derived from. However, in the recent past Manilkara hexandra has gradually diminished. Thus, the group has started to preserve this plant as the symbol of the community. Apart from diverse ecosystem that visitors can enjoy, should they want to participate in tree planting campaign, they can do so by informing the staff on duty. For those who are avid cyclists, they can enjoy various styles of eco-tourism in just one place.

สมาชิกกลุ่มจิตอาสาที่ดูแลสวนป่าเกดน้อมเกล้า Member of Suan Pa Ked Nom Klao

ทีต่ งั้ : สวนป่าเกดน้อมเกล้า ต�ำบลทรงคนอง อ�ำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

Suan Pa Ked Nomklao, Song kanong Sub-district, Phra Pradaeng District, Samut Prakan Province

การเดินทาง : ใช้ถนนเส้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ลงทีถ่ นนสุขสวัสดิ์ แล้วเลี้ยวซ้ายสู่ถนนนครเขื่อนขันธ์ จากนั้นเลี้ยวเข้าสู่ ถนนเพชรหึงษ์ สวนป่าเกดน้อมเกล้าจะตั้งอยู่ในซอย เพชรหึงษ์ 16 (ซอยวัดป่าเกด) สอบถามเพิ่มเติม (For more information) คุณเปรมปรีย์ ไตรรัตน์ โทรศัพท์ 08-6101-0704 Ms. Prempree Trairat, Tel. 08-6101-0704


20 Did You Know รู้ไว้ก่อนเที่ยว

6

CHECKLIST BEFORE TO BE

READY

ON A TRIP

สิ่งที่ควรพร้อม ก่อนออกเที่ยว หลายคนวางแผนทีจ่ ะท่องเทีย่ วตัง้ แต่ตน้ ปี แต่บางคนมีภาระหลาย อย่างทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องเวลา เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วย ท�ำให้การเดินทางของคุณไม่เสียเที่ยว เพียงแค่เตรียมพร้อม ก่อนลงมือแพ็กกระเป๋า..

Many people plan their holiday trip since the beginning of the year. However, many of them have numerous responsibilities be it the family matters, workloads, timing and particularly insufficient money plus other innumerable problems. Today, we would like to present trick that will help make your holiday a memorable.

1 When

03 calenda

March

เที่ยวเมื่อไร

ส�ำหรับคนไม่มพี นั ธะทุกรูปแบบ เทีย่ วเมือ่ ไร ก็เทีย่ วได้ แต่สำ� หรับนักเรียนนักศึกษาทีต่ อ้ งรอ ขอแม่เทีย่ วช่วงปิดเทอม หรือมนุษย์เงินเดือนที่ ต้องรอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ วันลากิจ ลาป่วย ลาพักร้อน การล็อกวันเทีย่ ว ถือว่าส�ำคัญมากๆ จะศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 3 วัน 2 คืน หรือลารวดเดียว 6 วัน หรืออยากเทีย่ ว ช่วงสงกรานต์ 10 วัน ฯลฯ จ�ำนวนวันจะบอกให้ รูว้ า่ จะเทีย่ วได้ ใกล้ไกลแค่ไหน For those who do not have obligations, they can take holidays anytime they prefer. But, for students who have to ask their moms for a holidays during the school breaks or, salary man who has to wait for weekends, public holidays, leave of absence, sick leave, or vacation, it is very important to choose their holidays be it on Friday, Saturday and Sunday for a 3 days 2 nights trip or a long weekend or you want to go during Songkran Festival for 10 days, etc. The number of days can indicate your length of holidays.

2 Where

3 Luggage

ถ้ามีเวลาแค่เสาร์-อาทิตย์ ระยะทางเทีย่ ว สบายๆ ไม่ควรเกิน 250 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ถ้าออกเส้นบางนา-ตราด แนะน�ำให้ไป บางแสน พัทยา จอมเทียน สัตหีบ ระยอง ถ้าออกเส้น เพชรเกษมก็นเี่ ลย อัมพวา ชะอ�ำ หัวหิน ปราณบุรี หรือจะไปราชบุรี กาญจนบุรกี ย็ งั ได้ และถ้าออก เส้นพหลโยธิน จะไปไหว้พระอยุธยาหรือไปสูด โอโซนทีว่ งั น�ำ้ เขียวก็ยงั ดี แต่ถา้ มีตวั๋ เครือ่ งบิน อยูใ่ นมือ อยากไปเชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ ก็แล้วแต่ความชอบกันได้เลย!!!

ส�ำหรับนักท่องเทีย่ วสไตล์ Backpacker แค่เป้ผา้ เนือ้ ดี มีชอ่ งเก็บสัมภาระเพียงใบเดียว ก็สามารถเที่ยวได้ทั่วโลก แต่ถ้าเป็นสไตล์ลูก ทัวร์ กระเป๋าเดินทางแบบมีลอ้ ลากน่าจะเหมาะ และจะเหมาะกว่านีถ้ า้ เป็นกระเป๋า ไฟเบอร์เพราะทัง้ เบา และทัง้ ท�ำความสะอาดง่าย

เที่ยวที่ ไหน

If the time permits only during weekends, the distance for an easy trip should not exceed 250 km. If you take the Bangna-Trad Highway, we suggest you head for Bangsaen, Pattaya, Sattahip or Rayong. If you take the Petchakasem Highway, we recommend Ampawa, Cha-am, Huahin,Or, if you have plane tickets either to Chiang Mai, Chiang Rai, Phuket, Krabi, etc., choose one of your choice.

กระเป๋าเดินทางใช้ได้

For backpacker style travelers, you can roam the world with a good quality back pack with enough space for necessary belongings. However, if you are going on group tour, luggage with wheels is better. It would be more suitable if the luggage is made from fiber because of its light weight and it is easy to look after while the luggage made from fabric tends to get dirty easily.

Select an appropriate


มีนาคม 2558 / March 2015

21

Would you like?

5 How?

เที่ยวอย่างไร

บางคนชอบเทีย่ วตามใจฉัน ออกแบบโปรแกรมท่อง เทีย่ วด้วยตัวเอง ตัง้ แต่จองทีพ่ กั จองตัว๋ รถทัวร์ ซือ้ ตัว๋ เครือ่ ง บิน ไม่กข็ บั รถเทีย่ วเอง แต่บางคนก็ชอบซือ้ ทัวร์สำ� เร็จรูป จากบริษทั น�ำเทีย่ ว โดยเฉพาะโปรแกรมเทีย่ วเมืองนอก ประเภทจ่ายเงินครัง้ เดียวไม่ตอ้ งติดต่อหลายขัน้ ตอน ถึง เวลาก็แค่ลากกระเป๋าไปให้ถงึ สนามบิน และนับแต่นนั้ ก็ สุดแต่ไกด์จะพาไป ก่อนออกเดินทางจึงควรเช็กตัวเอง และ เพือ่ นร่วมทางให้แน่วา่ ชอบแบบไหน จะได้ไม่เทีย่ วไปบ่นไป Some people like to take a trip by their own, designing their own itinerary including booking accommodation, flights or self driven. There are people who prefer the readymade program by tour companies particularly a trip to foreign countries that they pay the company to handle everything. When it’s time to travel, you just take your luggage to the airport and let yourself in the hand of the tour guide. Therefore, it is better to check what style you and your trip companion prefer so that afterwards you will not regret.

แค่เตรียมพร้อม

ก็สามารถท่องเที่ยว ได้อย่างสนุกสนาน

4 Money

6 Check List

กระเป๋าสตางค์พร้อม

สัมภาระครบ

เวลาพร้อม สถานที่พร้อม เพื่อนพร้อม แต่เงินไม่พร้อม อันนี้ก็ล่ะครับถึง เงินจะไม่ใช่เรื่องส�ำคัญที่สุด แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด จะเที่ยวให้สบายใจก็ต้องมี เงินสดพร้อมจ่าย ไม่ใช่เที่ยวด้วยเงินกู้ รูดปื้ดๆ ระหว่างไปเที่ยว ควรมั่นใจว่ามี เงินสดส�ำรองเพียงพอ หรือมีบัตรเครดิตไร้พรมแดนติดตัวอย่างน้อย 1 ใบ ถ้าไป เทีย่ วต่างประเทศ อย่าเก็บเงินไว้ ในกระเป๋าสตางค์ ใบเดียว โดนล้วงกระเป๋าสะพาย จะได้ยังเหลือเงินในกระเป๋ากางเกงไว้ ใช้ยามฉุกเฉิน

Credit Card is good choice

Though money is not an important problem, it can be a big problem. When timing, destination, companion are ready, you should be certain that you have sufficient cash on hand during the whole trip. It is not advisable to go on a trip using a loan at least you should be sure that you have adequate cash and a credit card recognized worldwide, if you are going on an overseas trip.

อย่ามัวเพลินกับการเตรียมชุดสวยไว้ถา่ ยรูปแต่เพียง อย่างเดียว จนลืมไปว่ายังมีสิ่งของจ�ำเป็นที่ต้อง Check List อีกเพียบ บางคนจดเป็นหมวดหมู่ อย่างหมวดดูแล ร่างกาย หมวดอุปกรณ์ หมวดของใช้ส่วนตัว ยาประจ�ำตัว ยาแก้เมา หรือแม้แต่ฟันปลอม จัดของจ�ำพวกของเหลว ต่างๆ ใส่ขวดขนาดเล็ก เพื่อง่ายต่อการเก็บ เพียงเท่านี้ก็ มีพื้นที่เหลือในกระเป๋าเดินทางให้ ใส่ของช็อปกลับมาฝาก มิตรสหายได้แบบสบายๆ

Do not prepare to pack only beautiful clothing for photography and forget that there are many other necessary personal effects that need a check list preparation. Some people divide their personal effects into group i.e. body care group starting from toothpaste, tooth brush, soap, shampoo, body lotion, sun screen cream, etc. ; utensil group, personal belongings or even denture; filling those liquid base materials in small bottles for convenient packing. This check list will help saving space in the luggage for souvenir shopping for friends. Reference/อ้างอิง : www.it24hrs.com


22 App for Traveling พก App พาเที่ยวอุ่นใจ..

คำ�นวนแคลอรี ที่เผาผลาญ Calculate calories ถ่ายและแชร์ภาพ บนโลกโซเชียล Photo and Share

ตรวจสอบเส้นทาง และแผนที่ Bike route map

แอพฯ เดี ย วปั น ่ ทั ว ่ โลก สนุกจัดเต็มสำ�หรับนักปั่นรักสุขภาพ “ในยุคปัจจุบนั นี้ กิจกรรมออกก�ำลงั กายถือว่าก�ำลงั ได้รบั ความนิยมอย่าง แพร่หลาย โดยเฉพาะการปัน่ จักรยานก็เป็นอีกหนึง่ กิจกรรมของคนรักสุขภาพ ทีก่ �ำลงั มาแรงในขณะนี”้ ส�ำหรับบางคนปัน่ เพือ่ ออกก�ำลังกาย บางคนปัน่ เพือ่ การแข่งขัน เทคโนโลยีตา่ งๆ อย่างแอพพลิเคชันในสมาร์ทโฟน ต่างถูกออกแบบมา รองรับกับกิจกรรมนีโ้ ดยเฉพาะ ซึง่ แต่ละแอพฯ จะมีคณ ุ สมบัตทิ แี่ ตกต่าง กันไป เราจึงถือโอกาสคัดเลือกแอพพลิเคชัน BikeBrain มาดูกนั เผือ่ ว่าสิงห์นกั ปัน่ ทัง้ รุน่ เล็ก รุน่ ใหญ่ จะมีตดิ โทรศัพท์และใช้ประโยชน์กบั การปัน่ จักรยานอย่างเพลิดเพลิน นอกจากนีแ้ ล้ว ยังมีแอพพลิเคชัน อืน่ ๆ ทีม่ คี ณ ุ สมบัตทิ แี่ ตกต่างกันออกไป สามารถเลือกได้ตามความชอบส่วนตัว เช่น Map My Ride สามารถวางแผนเส้นทางการ ปัน่ ได้ดว้ ยตัวเอง หรือจะเป็น Bike Map ที่ สามารถค้นหาเส้นทางรอบตัวหรือเส้นทาง บริเวณใกล้บา้ น รูอ้ ย่างนีแ้ ล้วก็ลองหยิบ สมาร์ทโฟนของคุณมาโหลดแอพพลิเคชัน Download This Apps ฟรีๆ เหล่านีม้ าใช้ดกู นั ได้

จับอัตราการเต้นของหัวใจ Check your heartbeat rate

ตรวจสอบความเร็ว และระยะเวลาที่ปั่น Time and Speed Checking

Core qualification คุณสมบัติเด่น

• สามารถให้ขอ้ มูล เส้นทางแผนที่ • ความเร็วเฉลีย่ ทีป่ น่ั ความเร็วสูงสุด ระยะทางและระยะเวลาทีป่ น่ั • ค�ำนวนแคลอรีทคี่ ณ ุ เผาผลาญ และจับอัตราการเต้นของหัวใจ • ถ่ายและแชร์ภาพ ซึง่ จะมีการบันทึกข้อมูลการปัน่ ของคุณโดยอัตโนมัติ • Provide information and bike route map • Provide biking data on average speed, highest speed, distance and duration • Calculate the calorie you have burned in biking and Check your heartbeat rate • Including taking and sharing photographs

Nowadays, physical exercise is very popular particularly cycling is one of the hot in trend activities for health conscious people. Some of them go cycling for exercise while some are taking the activity for competition. Modern technology especially various applications applicable on smart phone are designed to support this specific activity. Each application differs. We choose BikeBrain Application for both amateur and professional bikers that they can download on their mobile phones and enjoy biking to the fullest. Moreover, there are many other applications with diverse properties which bikers can choose to suit their personal preferences such as MapMyRide application that you can plan your own biking route or be it BikeMap application that can search for the biking route around your whereabouts or close to your home. So, you should pick up your smart phone and download those free applications for your convenience. Reference/อ้างอิง : www.it24hrs.com


กันยายน 2557 / September 2014

13


รัชกาลที่ 5 ฉายพระรูปพร้อมสมเด็จเจ้าฟ้าชายสามพระองค์ ซึ่งถูกตีพิมพ์บนข่าวหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112

Photo of King Rama V taken with 3 princes published on the front page of a French newspaper covering the 1893 Paknam Crisis


"...ฉันรูต ้ ว ั ชัดอยูว ่ า่ ถ้าความเปนเอกราชของกรุงสยามได้สด ุ สิน ้ ไปเมือ ่ ใด ชีวต ิ รฉันก็คงจะสุดสิน ้ ไปเมือ ่ นัน ้ ..." “…I am fully aware that whenever the Siamese independence should cease It’s the end of my life…”

พระราชหัตถเลขา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2436 (ก่อนวิกฤตการณ์เพียง 3 เดือน) ระหว่างทรงพระราชดำ�เนินตรวจป้อมพระจุลจอมเกล้า ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องและรักษาเอกราชของชาติให้คงอยู่

Handwritten note by King Rama V dated April 10th, 2436 B.E. (1893 A.D.), when he inspected the defensive preparation at Chulachomklao Fort only 3 months before the crisis, portrays how he determined to safeguard national independence.


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จตรวจป้อมและทดลองยิง ปืนเสือหมอบ ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เพียง 2 เดือน

King Rama V to inspect and test-fired a gun turret.



ภาพทิวทัศน์พระบรมมหาราชวัง และฝั่งแม่น�้ำเจ้าพระยา View of the Royal Palace And Chao Phraya River


IN TRAIL OF 1893

PAKNAM CRISIS ตามรอย ร.ศ. 112 ยุทธนาวี ปากน�ำ้ เจ้าพระยา

วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เป็นหนึ่งในวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ ในการปกป้องเอกราชของไทยในครั้งอดีตที่ผ่านมา อันสะท้อนถึงลัทธิ การล่าอาณานิคมของชนชาติตะวันตกในสมัยนั้น ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพยายาม แก้ไขปัญหา ทั้งวิธีทางการทูต การทหาร และการแสวงหาความช่วยเหลือจากมหาอ�ำนาจอื่น รวมทั้งการสร้างป้อมซึ่งเป็นยุทธวิธีในการป้องกัน ประเทศบริเวณปากแม่น�้ำเจ้าพระยา ณ จังหวัดสมุทรปราการ

ถึงแม้กาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 112 ปี แต่เหตุการณ์เรือ่ งราวครัง้ นัน้ ยังคงอยูใ่ นความทรงจ�ำของคนสมุทรปราการ ทีถ่ กู เล่าขานถ่ายทอดกันมา โดยมีปอ้ มพระจุลจอมเกล้าและสถานทีส่ ำ� คัญต่างๆ เป็นเครือ่ งยืนยัน ให้ลกู หลานได้เห็น พระปรีชาสามารถของพระองค์ ในการปกป้องประเทศ ปัจจุบนั ป้อมพระจุลจอมเกล้า ไม่เป็นเพียงแหล่งศึกษาประวัตศิ าสตร์ ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 แต่ยงั เป็น สถานทีท่ อ่ งเทีย่ วเชิงธรรมชาติ ซึง่ จะได้สมั ผัสบรรยากาศริมอ่าว รวมทัง้ มีเส้นทางธรรมชาติทเี่ ขียวขจี ปกคลุมไป ด้วยต้นไม้มากมาย นอกจากนีย้ งั สามารถชมพิพธิ ภัณฑ์เรือหลวงแม่กลองที่ได้ชอื่ ว่า “เรือครู” ของเหล่านาวี ทีเ่ ก่า แก่เป็นอันดับ 2 ของโลก และอุทยานประวัตศิ าสตร์ ทีม่ ปี นื และทุน่ ระเบิด ในเหตุการณ์ ร.ศ.112 จัดแสดงให้ชม และป้อมผีเสือ้ สมุทรก็เป็นอีกแห่งทีม่ คี วามน่าสนใจไม่นอ้ ย ทัง้ หมดนีจ้ ะถูกรวบรวมไว้ ใน @SAMUTPRAKAN Travel ตามรอย ร.ศ.112 ยุทธนาวีปากน�ำ้ เจ้าพระยา The Rattanakosin Era 112 Crisis was one of heroic incidents in defending national independence in the past. The crisis exhibited the ideology of western powers in colonization. It also portrayed the intelligence of King Rama V in trying to solve the problems be it by means of diplomacy, military or seeking assistance from other powers at that time including the building of Phra Chulachomklao Fort at strategic defensive location at the mouth of the Chao Phraya River in Samut Prakan Province. Though the crisis erupted over 122 years ago, the incident is still remembered by Samut Prakan residents. The history has been told from generation to generation with Phra Chulachomklao Fort and other important locations as the witnesses of the intelligence of King Rama V in defending the country. At present, Phra Chulachomklao Fort is not only the place to learn about what happened in the Rattanakosin Era 112 Crisis but it is also an eco-tourism destination where visitors can experience the coastal atmosphere by the Gulf in the naturally green education trail. Besides, there is the museum on HTMS Maeklong which is regarded as “Grand Master Ship” of the naval officers and is the world second oldest battleship, and also a historical park with cannons and mines used in the crisis on display. Pee Suea Samut Fort is another interesting site. Readers can find the interesting stories of all the above locations in this issue of @SAMUTPRAKAN Travel ‘In trail of 1893 Paknam Crisis, a naval battle at the Chao Phraya Estuary’.


30 Cover Story เรื่องจากปก

ล่าอาณานิคม

COLONIZATION

ในอดีตชาติตะวันตก มักจะติดต่อค้าขายกับเอเชีย เพราะยุโรปเป็นทวีปขนาดเล็ก ทรัพยากรธรรมชาติจงึ มีนอ้ ยกว่า เมือ่ วัตถุดบิ ต่างๆ ทีย่ โุ รปต้องการใช้เริม่ ไม่เพียงพอ หนทางเดียวทีจ่ ะท�ำให้อยูร่ อดได้ คือส�ำรวจเส้นทางใหม่เพือ่ ค้าขาย In the past, Europe was a small continent with exhausted resources, when natural resources depleted western countries had only way out for survival which was to survey new routes for trading particularly with China and India that still had plenty natural resources. The route via Red Sea, Indian Ocean was a worthwhile choice. They did business by means of trade and barter. Subsequently, they seized the opportunity to change the method to direct ruling in order to expropriate the plentiful natural resources for the benefits of their own country. They utilized their powerful political and military forces with those countries they viewed as their inferiors. They were equipped with superior weapons when coupled with their needs and greed, numerous suppression and maltreatment strategies were applied instead of normal trade. It was the origin of colonization. In the reign of King Rama IV, many countries in Asia including Thailand which at that time called “Siam” were threatened by the western powers such as England that could occupy India, a big trading market then. Therefore, China remained an only important territory อังกฤษ สามารถเอาชนะฝรั่งเศส ในการยึดครองอินเดียได้ที่เมืองปลาสซี with large natural resources. France would like to enter the south of The British beat the French in capturing India at Plassi. China (Yunnan) which they considered as an important market point. The French strategically moved towards their objectives step by step โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ที่มีแหล่งวัตถุดิบมากมายที่เป็นประโยชน์กับ along the Mekong River. ตนเองจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ผ่านทางทะเลแดง มหาสมุทรอินเดีย โดย ใช้วิธีการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า จากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นการปกครองโดยตรงเพื่อจัดการกอบโกย ทรัพยากรด้วยตัวเอง และจัดการสร้างเอง ท�ำเอง เพื่อป้อนผลประโยชน์ เหล่านี้ให้ชาติตวั เองมากทีส่ ดุ โดยใช้อำ� นาจการเมืองและทางทหารทีม่ นั่ คง แข็งแกร่ง เมือ่ เห็นว่าประเทศนัน้ ด้อยพัฒนาและเหนือกว่าทัง้ ด้านเทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์ ผสมกับความต้องการและความโลภมีมากกว่าการพาณิชย์ ยุทธวิธี กดขี่ ข่มเหง สารพัดวิธีจึงเกิดขึ้น เพื่อรวบอ�ำนาจเบ็ดเสร็จไว้แต่ เพียงผู้เดียว จุดเริ่มต้นการล่าอาณานิคม จึงเกิดขึ้นนับแต่นั้นมา ช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 4 หลายชาติในทวีปเอเชียรวมทั้งไทย ซึ่งใน เวลานั้นเรียกว่า “สยาม” ต่างได้รับภัยคุกคามจากมหาอ�ำนาจชาติตะวัน ตก อย่างอังกฤษ ที่สามารถยึดครองอินเดียที่ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ในเวลา นัน้ จึงเหลือเพียงแค่ประเทศจีนเท่านัน้ ทีย่ งั เป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ ฝรัง่ เศสจึงต้องการทีจ่ ะเปิดประเทศจีนตอนใต้ (มณฑลยูนนาน) เพราะเป็น การล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในญวน (เวียดนาม) ตลาดที่ส�ำคัญ กลวิธีคือต้องยึดดินแดนไปทีละแห่ง เพื่อปูทางเข้าสู่เป้า French colonization of Yuan. หมาย โดยใช้แนวแม่น�้ำโขงเป็นเส้นทาง


มีนาคม 2558 / March 2015

ภาพการ์ตูนล้อเลียน การล่าอาณานิคมของชาติมหาอ�ำนาจในประเทศจีน Caricature mimicking the colonization of major powers in China

รองศาสตราจารย์วฒ ุ ชิ ยั มูลศิลป์ อดีตนายกสมาคมประวัตศิ าสตร์ ใน พระราชูปถัมภ์ อธิบายว่า จีนในสมัยก่อนเป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่เหมือนใน สมัยนี้ เวลานัน้ เมืองท่าตามชายฝัง่ ของจีนถูกบังคับให้เปิดในหลายเมือง แต่ ทัง้ ฝรัง่ เศสและอังกฤษยังต้องการเข้าไปด้านในของจีน นัน่ ก็คอื มณฑล ยูนนาน (มีขนาดใหญ่เท่ากับประเทศไทยในปัจจุบนั ) ในสมัยก่อนการเดินทาง ไม่สะดวก ฝรัง่ เศสจึงได้ ให้ นายโอกุสต์ ปาวี นักส�ำรวจชาวฝรัง่ เศส ส�ำรวจ ดินแดนฝัง่ ขวาของแม่นำ�้ โขง หรือทีเ่ รียกว่า อินโดจีน เพือ่ หาเส้นทางไปสู่ มณฑลยูนนาน หลังจากนัน้ ฝรัง่ เศสจึงคิดว่าแม่นำ�้ โขงน่าจะเป็นเส้นทางที่ จะผ่านเข้าไปได้งา่ ยทีส่ ดุ เพราะฉะนัน้ จึงต้องการยึดดินแดนทีแ่ ม่นำ�้ โขงไหลผ่านเพือ่ เข้าไป เปิดตลาดการค้า ฝรัง่ เศสจึงเริม่ ล่าอาณานิคมทีญ ่ วน(เวียดนาม)เป็นล�ำดับ แรก และต่อด้วยการเข้าไปมีอทิ ธิพลในเขมร (กัมพูชา) ซึง่ ช่วงแรกสามารถ ยึดทางตะวันออกของเขมร แต่ยงั ไม่สามารถเข้าถึงต้นทางของแม่นำ�้ โขงได้ จึงพยายามและสามารถยึดดินแดนทีเ่ ป็นต้นทางของแม่นำ�้ โขงไหลผ่านได้ ส�ำเร็จ หลังจากนัน้ ยุทธวิธคี อื ล่องไปตามแม่นำ�้ โขงและยึดดินแดนทีส่ งู ขึน้ นัน่ ก็คอื ลาว แต่ตดิ ปัญหาตรงทีว่ า่ ดินแดนลาวในสมัยนัน้ เป็นประเทศราช ของไทย ข้อพิพาทจึงเริม่ ต้นขึน้

31

Associate Professor Wuttichai Mulsilp, ex-president of The Historical Society under the Royal Patronage, elaborated that in the past China was a big market, the same as at present. At that time, many Chinese coastal ports were forced to open but both France and England wanted to advance deep into the mainland i.e. to Yunnan (the area about the same size as Thailand at present). In the old days, the transportation was not convenient, France appointed Monsieur Auguste Pavi, a French surveyor, to survey the land on the right bank of the Mekong River known as Indochina, in order to find the strategic route to Yunnan. The French considered that the Mekong River would be the possible and easiest route to Yunnan. Hence, they needed to occupy the land where the Mekong River passed for their commercial purpose. Therefore, the French started to colonize Vietnam and followed by extending their influence into Khmer (Cambodia). At first they could manage to occupy the eastern part of Cambodia but could not get to the area by the Mekong River. They tried and could finally occupy the area where the Mekong River passed. Afterwards, they applied new strategy sailing up the river and occupied the land up north which was Laos. The problem was that at that time Laos was under Siamese sovereignty. Thus, the dispute erupted.

การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในประเทศจีน The colonization of western powers in China


32 Cover Story เรื่องจากปก

สู่วิกฤตการณ์ ร.ศ.112

LEADING TO CRISIS

J

uguste Pa A n vi a e

e

หลังจากฝรัง่ เศส มุง่ ให้ความสนใจไปทีก่ าร ยึดครองดินแดนลาว ซึง่ ในขณะนัน้ ลาวบางส่วน ยังคงเป็นประเทศราชของไทย ท�ำให้เกิดข้อพิพาท เรือ่ งพรมแดน เนือ่ งจากยังไม่มกี ารก�ำหนดแผนที่ ทีช่ ดั เจน อีกทัง้ ยังมีสถานะเป็น “เมืองสองฝัง่ ฟ้า” คือการที่เจ้าเมืองยอมรับอ�ำนาจการปกครองทั้ง ญวน และ ไทย ฝรั่งเศสจึงใช้อ้างสิทธิเหนือดิน แดนลาว ว่าญวนและเขมร เคยมีอ�ำนาจเหนือ ลาวมาก่อน เมื่อญวนกับเขมรเป็นของฝรั่งเศส ดังนั้นดินแดนเหล่านี้ก็ควรตกเป็นของฝรั่งเศส ด้วย ในฐานะผู้สืบสิทธิต่อจากญวน While the French focused their attention on occupying Laos, many problems arose. At that time, partial of Laos was under Siamese sovereignty that the Laotian ruler accepted the ruling authority of both Siam and Vietnam plus there was no clear boundary map. The French claimed that in the past Vietnam and Khmer dominated Laos so that when Vietnam and Khmer fell under French authority, Laos should also be under French authority who was the successor of Vietnamese authority. At that time, Siam did not have any map or document to confirm that the territory belonged to Siam. However, Siam contested that “any land that Siamese authority appointed the ruler and any land that sent tributes to Siam, that particular land is under Siamese sovereignty according to the ruling tradition widely observed in Asia since the ancient times.”

โอกุสต์ ปาวี ผู้ยื่นค�ำขาดต่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ให้สยามยกดินแดน ฝัง่ ขวาของแม่นำ�้ โขง ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112

Auguste Pavi, the man who gave King Rama V an ultimatum after the Rattanakosin Era 112 Crisis to cede the territory on the right of the Mekong River

M.Auguste Pavie ฝรั่งเศสได้แต่งตั้ง โอกุสต์ ปาวี (M.Auguste Pavie) เป็นรองกงสุลประจ�ำเมืองหลวงพระบาง หลังรู้ว่าตกอยู่ในสถานะที่เป็นรองสยาม เพื่อเป็นคนเจรจา และขับเคลื่อนนโยบายให้ส�ำเร็จ ซึ่งเขาผู้นี้เป็นอดีตเสมียนไปรษณีย์ฝรั่งเศสประจ�ำไซ่ง่อน และเป็นคนส�ำรวจเส้นทางของฝรั่งเศสตลอดแนวแม่น�้ำโขง มีความ รู้เรื่องประวัติศาสตร์และพงศาวดารท้องถิ่นทั้งของญวน เขมร ลาว และสยาม รวมทั้งมีความคุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้อยู่มาก The French realized the disadvantage so they appointed Monsieur Auguste Pavi Vice Consul to Luang Prabang to negotiate and push forward the policy. He used to be a French postal clerk in Saigon who surveyed the route along the Mekong River. He was knowledgeable in Vietnamese, Khmer and Laotian history and local chronicles and was familiar with the local geography.


มีนาคม 2558 / March 2015

ปราบกบฏจีนฮ่อ

33

กองทัพสยาม เมื่อครั้งปราบกบฏจีนฮ่อ Siamese troop during the Haw Rebel suppression

DESTROY REBEL

ช่วงเวลานัน้ ได้เกิดกบฏจีนฮ่อ เข้ามาปล้น จี้ สร้างความเสียหายในหลายพืน้ ที่ สยามในเวลานัน้ ได้ไล่ตอ้ นปราบอยูห่ ลายปี ฝรัง่ เศสจึงตกลงว่าจะ ช่วยปราบฮ่อ แต่จะอยู่ในเขตแดนของตัวเอง เพราะดินแดนทีฮ่ อ่ ยึดครองคือเมืองไลเป็นส่วนหนึง่ ของญวน ซึง่ อยูภ่ ายใต้การคุม้ ครองของ ฝรัง่ เศส จนฮ่อหนีไปเมืองม่วยและเมืองลาทีอ่ ยู่ในเขตยึดครองของไทย

จีนฮ่อ (Haw) ฮ่อ หรือกองก�ำลังชาว จีน ที่ต่อต้านราชวงศ์แมนจู ได้ ก่อการกบฏโดยเรียกกลุม่ ตัวเอง ว่า กบฏไท้ผิง เพื่อปลดปล่อย ตนเองออกจากการปกครอง ของราชวงศ์แมนจูทเี่ ป็นใหญ่ยดึ ครองประเทศจีนอยู่ในขณะนั้น Haw was united Chinese quasi-military forces against Manchu dynasty. They called their group Taiping Rebel with the objective to liberate from the reigning Manchu dynasty.

ขณะนัน้ ฝรัง่ เศสได้ปราบฮ่อและรุกล�ำ้ เข้ามายังดินแดนสิบสองจุไท เมือ่ ปราบส�ำเร็จปรากฏว่าฝรัง่ เศสไม่ยอมถอน ทัพ แต่กลับยึดครองสิบสองจุไท พร้อมกับประจันหน้ากับกองก�ำลังสยาม ความขัดแย้งได้เพิม่ ความรุนแรงเรือ่ ยมา “ฝรัง่ เศสต้องการทีจ่ ะยึดดินแดนตรงบริเวณสิบสองจุไทให้ได้ เพราะดินแดนบริเวณนี้ใกล้กบั จีนตอนล่าง ซึง่ ถือ เป็นเส้นทางทีจ่ ะท�ำให้ฝรัง่ เศสสามารถเข้าไปยังมณฑลยูนนานของจีนได้กอ่ นอังกฤษ แต่ในเวลานัน้ ดินแดนสิบสองจุไท เป็นประเทศราชของไทย จึงท�ำให้ฝรัง่ เศสต้องหาหนทางเพือ่ ปูทางสูเ่ ป้าหมายให้จงได้” อาจารย์พลาดิสยั สิทธิธญ ั กิจ นักวิชาการประวัตศิ าสตร์ ให้ความเห็น At about the same time, there was Haw Rebel from China ravaged and plundered in many areas. For many years, Siam had expedited military forces to repel the Haw Rebel. The French authority agreed to help repelling the Haw Rebel in their colonized area only because Muang Lai captured by the Haw Rebel was in Vietnam that was under the French authority. The Haw Rebel retreated to Muang Muai and Muang La which were under Siamese authority. The French power followed and pushed forward the Haw Rebel to Sibsongjutai area. However, when the rebel was suppressed, the French did not withdraw the troops. They occupied Sibsongjutai and confronted with Siamese troops. Serious conflicts were consequentially augmented. “The French wanted to occupy the Sibsongjutai because it was close to lower China, the gateway that they wanted to use in getting to Yunnan before the British. But, at that time Sibsongjutai was a Siamese dependency and the French wanted to meet their objectives.” Mr. Pladisai Sitthithanyakit, a historian opined.


34 Cover Story เรื่องจากปก

ป้องกันราชอาณาจักร

DEFENDING THE KINGDOM เวลานัน้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงตระหนักถึงภัยคุกคามของชาติตะวันตก โดยเมือ่ วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2436 ได้เสด็จพระราชด�ำเนินด้วยเรือพระทีน่ งั่ มหาจักรี เพือ่ ทอดพระเนตรภูมฐิ านป้อมทีต่ �ำบลแหลมฟ้าผ่าด้วยพระองค์เอง ทรงมีพระราชด�ำรวิ า่ ป้อมนีอ้ ยู่ในท�ำเลทีต่ งั้ มัน่ คง สามารถทีจ่ ะท�ำการป้องกันประเทศได้แห่งหนึง่

ภาพวาดแสดงถึงบรรยากาศของป้อมบริเวณริมปากอ่าว The atmosphere of the fort Along the estuary


มีนาคม 2558 / March 2015

At that time, King Rama V was well aware of the threats แต่ทรงพบว่าการก่อสร้างป้อมไม่คืบหน้าเท่าที่ควรและจะไม่ from western powers. On the 10th of April 2436 B.E. (1893 A.D.), แล้วเสร็จตามก�ำหนดอาจไม่สามารถใช้ป้องกันพระนครได้ จึงมีพระ he boarded Maha Chakri royal yacht to inspect the fortress at ราชหัตถเลขาถึงเสนาบดีสภา เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2436 แสดง Laem Fahpha Sub-district. He thought that the fort was in a พระราชประสงค์จะพระราชทานเงินจ�ำนวน 10,000 ชั่ง (800,000 good defending location. However, he found that the construction not progress as it should be and it was likely that it would บาท) ซึง่ เป็นเงินพระคลังข้างทีห่ รือเงินส่วนพระองค์ เพือ่ เร่งรัดการ did not finish in time to defend the capital. He sent a royal note สร้างป้อมและซือ้ ศาสตราวุธทีท่ นั สมัยเพือ่ ป้องกันพระนคร และในครัง้ to the minister council on April 10th, 2436 B.E. (1893 A.D.) นัน้ ได้มพี ระราชหัตถเลขาถึงแนวพระราชด�ำริ อันสะท้อนถึงความมุง่ expressing his intention to provide, from his private reserve, the มั่นในการรักษาเอกราชของชาติ ว่า “...ฉันรู้ตัวชัดอยู่ว่า ถ้าความ amount of 10,000 Chung (equivalent to 800,000 Baht) to speed up the construction of the fort and the procurement of modern เปนเอกราชของกรุงสยามได้สดุ สิน้ ไปเมือ่ ใด ชีวติ รฉันก็คงจะสุดสิน้ armaments. His handwritten note reflects his determination to ไปเมื่อนั้น มิได้อยู่ปกครองทรัพย์สมบัตินี้เลย ซึ่งจะทนอยู่อย่างที่ขอ maintain the independence of the country as follows: During the construction which ไม่ได้เลยเปนอันขาด...” was at the same with the dispute with ขณะทีก่ ำ� ลังเตรียมการ ซึง่ เป็นเวลา the French, King Rama V wrote to HRH “...ฉั น รู ต ้ ว ั ชั ด อยู ว ่ า ่ ถ้ า ความเปน เดียวกับการสูร้ บกับฝรัง่ เศส *ทรงมีพระราช Kromluang Pichit Preechakorn, เอกราชของกรุงสยามได้สดุ สิน้ ไป Prince หัตถเลขาถึงพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง the royal high commissioner of Laos, stationed at Ubol Rachathani who was เมือ่ ใด ชีวติ รฉันก็จะสุดสิน้ ไปเมือ่ พิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่เมืองลาวกาว for the defense of southern นัน้ มิได้อยูป่ กครองทรัพย์สมบัติ responsible ซึง่ ประทับทีเ่ มืองอุบลฯ และเป็นผูป้ กป้อง Laos territory. A part in his royal letter, ดินแดนทางลาวตอนใต้ ตอนหนึง่ ว่า “..อย่า นีเ้ ลย ซึง่ จะทนอยูอ่ ย่างทีข่ อ he wrote … “Don’t even think that I will, in anyway, comply with the French. ให้มีความคิดว่าฉันจะยินยอมอย่างใดแก่ ไม่ ได้เลยเปนอันขาด...” Even they point the gun into my face ฝรัง่ เศส ทีส่ ดุ เอาปืนมาจ้องหน้าให้เซ็นชือ่ and force me to sign or capture me to ฤาจะจับตัวลงเรือรบไป ก็ ไม่ยอมเป็นอัน their battleship, I will never submit..” He also determined that ขาด..” และทรงมุ่งมั่นว่า “..ด้วยฉันเชื่อมั่นเปนแน่ว่า ถ้าลมหายใจมี “…I believe that if I still have my breath, I will never see Siam ตราบใด จะไม่ได้เห็นกรุงสยามปราศจากอ�ำนาจอันเปนเอกราชเลย..” loses her independence…” By the end of May 2436 B.E. (1893 A.D.) the level of เมื่อสถานการณ์ส่อเค้ารุนแรง ปลายเดือนพฤษภาคม 2436 disagreement seemed to escalate, King Rama V again boarded (ก่อนวิกฤตการณ์ 2 เดือน) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั the Maha Chakri royal yacht to revisit the Chao Phraya Estuary ทรงเสด็จไปปากน�ำ้ เจ้าพระยาอีกครัง้ โดยเรือพระทีน่ งั่ มหาจักรี ทรง inspecting the fortresses in Samut Prakan and Phra ChulaFort. He found the construction progress satisfactory ไปตรวจป้อมต่างๆ ทีส่ มุทรปราการ และป้อมพระจุลจอมเกล้า พบว่า chomklao that 3 pits were completed and 2 were under construction. เสร็จแล้ว 3 หลุม ซึ่งก�ำลังลงมืออีก 2 หลุม ความก้าวหน้าในการ *Morning of May 28, 2436 B.E. (1893 A.D.), in order to familiarize สร้างป้อมเป็นที่พอพระราชหฤทัย *เช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2436 himself with the power of the weapon, King Rama V tried firing พระองค์ทรงทดลองยิงปืนเสือหมอบ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยและรู้ disappearing carriage cannon for 5 shots – 2 met the target and 3 missed. The first shot soared too high and the seond ก�ำลังอาวุธ เป็นจ�ำนวน 5 นัด พบว่ายิงเข้าเป้า 2 นัด ยิงผิด 3 นัด even was fired at adjusted lower range was too high. The โดยนัดแรกโด่งไป นัดที่ 2 ลดต�่ำลงก็ยังโด่ง นัดที่ 3 ที่ 4 ยิงถูก third and fourth shots met the target. He tried to align the เป้า นัดที่ 5 ทรงทดลองตัง้ ศูนย์ ใหม่ ปรากฏว่าต�ำ่ ไป หลังจากนัน้ ทรง front sight of the cannon, but the last shot was too low. He that the defensive armaments would not be sufficient วิตกว่าศาสตราวุธที่ใช้ป้องกันจะมีไม่เพียงพอ และทรงด�ำริว่า ควร worried and also considered that there should be telegram service มีโทรเลข เชือ่ มตัง้ แต่ปอ้ มพระจุลจอมเกล้า ถึงป้อมผีเสือ้ สมุทรและ connecting Phra Chulachomklao Fort to Pee Suea Samut Fort ต่อไปยังป้อมแผลงไฟฟ้า เพื่อติดต่อสื่อสาร and further on to Plaeng Faifah Fort for efficient communications.

35


36 Cover Story เรื่องจากปก

10 เมษายน 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำ�เนินด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรี เพื่อทอดพระเนตร ภูมิฐานป้อมที่ตำ�บลแหลมฟ้าผ่าด้วยพระองค์เอง On April 10th, 2436 B.E. (1893 A.D.), King Rama V boarded the Maha Chakri Royal Yacht to survey the fort at Laem Fahpha Sub-district.

*ระหว่างทีพ่ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ประทับอยู่ บนเรือพระทีน่ งั่ มหาจักรี นอกป้อมพระจุลจอมเกล้า นายปาวี ทูตฝรัง่ เศสประจ�ำกรุงเทพฯ ได้ลงเรือไปเฝ้า ท�ำนองไปสังเกตหาความ รู้เกี่ยวกับการเตรียมการป้องกันของไทย ระหว่างเฝ้าทรงสังเกตว่า นายปาวี “หน้าไม่ซดี แต่แลดูสำ� รวมอยูบ่ า้ ง” และแน่นอกว่านายปาวี ได้เห็นป้อมและเป้าซ้อมยิง หรืออีกนัยหนึ่งคือไปสอดแนม ข้อพิพาทในดินแดนสิบสองจุไทมีมาอย่างต่อเนือ่ ง ช่วงนัน้ เกิด การปะทะกันรุนแรง ระหว่างฝรัง่ เศสกับสยามทีน่ ำ� โดยพระยอดเมือง ขวาง (ข�ำ ยอดเพชร) เจ้าเมืองค�ำเกิด ค�ำมวน จนท�ำให้นายโกรสกูแรง หรือ ม.ครอสคุรงั (M.Grosgurin) นายทหารฝรัง่ เศส ถูกยิงเสียชีวติ เหตุการณ์ครัง้ นีน้ บั ว่าเป็นฉนวนส�ำคัญทีท่ ำ� ให้ฝรัง่ เศสไม่พอใจอย่าง มาก ใช้สอ่ื ในประเทศของตัวเอง ประโคมข่าวว่าสยามเป็นประเทศที่ ป่าเถือ่ นรวมทัง้ ใช้กำ� ลังท�ำให้ทหารฝรัง่ เศสเสียชีวติ จนเป็นเหตุบาน ปลายและเป็นข้ออ้างในการส่งเรือรบเข้ามายังสยาม สถานการณ์ ในเวลานั้นสร้างความตึงเครียด ฝรั่งเศสได้ส่ง เรือรบมารวมกันทีเ่ มืองไซง่อน (นครโฮจิมนิ ห์ ) อังกฤษเห็นว่าสถานการณ์ ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเป็นไปอย่างตึงเครียด จึงได้ส่งเรือรบ เข้ามาอีก 2 ล�ำ แต่จะทอดสมอดูสถานการณ์ที่นอกสันดอน ปากแม่น�้ำเจ้าพระยา

*While King Rama V was on board the Maha Chakri royal yacht anchored in front of Phra Chulachomklao Fort, Monsieur Pavi, French Ambassador to Siam, took a boat for an audience with His Majesty. Actually, he wanted tospy on Siamese defensive preparation. King Rama V noticed that Monsieur Pavi “his face was not pale and he seemed to be well composed”. It was for sure that Monsieur Pavi saw inside the fort and firing practice butt or in other words he cameas a spy. The disputes over Sibsongjuthai continued to go on. There was a severe clash between the French power and Siamese which was led by Phra Yod Muang Kwang, the ruler of Muang Kamkerd and Kammuan. Monsieur Grosgurin, a French officer, was shot death. This incident caused extreme dissatisfaction to the French. They used their hometown media to propaganda that Siam was a barbarous country using power to cause French officer life. The incident was escalated that the French took as an excuse to send battleships to Siam. The situation was tense. The French gathered their battleships in Saigon (presently Ho Chi Minh City). The British sensed that the situation between Siam and the French was tense that they sent in 2 battleships anchored outside the Chao Phraya Estuary bar to observe the situation.


มีนาคม 2558 / March 2015

37

ภาพบรรยากาศภายในหลุมปืน

Thai military inside fort

การสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้า เป็นไปอย่างเร่งรีบ โดยมีพระยาชลยุทธโยธินทร์ เป็นผู้ ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างป้อม และมีพระยาวิจิตรนาวี (วิลเลียม บุณยกะลิน) เป็นนายช่างกลท�ำการติดตั้งปืนเสือหมอบ ที่ประจ�ำการอยู่ป้อมพระจุลจอมเกล้า 7 กระบอก และป้อมผีเสื้อ สมุทร 3 กระบอก โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับสัง่ ให้ปรับปรุงป้อมแห่งนีเ้ ป็นการเร่งด่วน ก่อนเกิดเหตุการณ์ เพียง 3 เดือน

The construction of Phra Chulachomklao Fort was done in haste with Phraya Chonlayutthayothin as the architect and project manager, Phraya Vichitnavee (William Boonyaklin) was the chief mechanic responsible for the installation of 7 disappearing carriage cannons at Phra Chulachomklao Fort and 3 at Pee Suea Samut Fort. It was only 3 months before the crisis that King Rama V ภาพที่แupสดงให้ เห็นถึงrenovation การท�ำงานของป้ มปืนเสือหมอบ ordered to speed the urgent of this อfort. รูปแบบของป้อมในอดีต

Phra Chulachomklao Fort Replica

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx


38 Cover Story เรื่องจากปก

ภาพการ์ตูน เมื่อฝรั่งเศสมีชัยเหนือสยามในสมรภูมิรบบนฝั่งซ้ายแม่น�้ำโขง

Thailand took a defeat French at the battle on the banks of the Mekong River Siam.

ท�ำให้ฝรัง่ เศสใช้ขอ้ อ้างนี้ ทีจ่ ะส่งเรือรบเข้ามาเพิม่ เติม *ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2436 นายปาวีจงึ แจ้งต่อพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง เทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ขอน�ำเรือรบ 2 ล�ำ คือเรือแองคองสตังค์ (Inconstat) และเรือโคแมต (Comete) เข้ามายังกรุงเทพฯ ในวันที่ 15 กรกฎาคม และต่อมาในวันเดียวกันก็ได้ แจ้งต่อไทยเพิม่ เติมว่า เรือรบทัง้ 2 ล�ำ จะเข้ามาถึงวันที่ 13 กรกฎาคม โดยให้เหตุผลว่าจะเข้ามาดูแลทรัพย์สมบัตแิ ละสินค้าของชาวฝรัง่ เศส แต่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ได้ตอบหนังสือ นายปาวีวา่ ไม่อนุญาตให้ฝรัง่ เศสน�ำเรือรบทัง้ 2 ล�ำเข้ามา โดยในเวลา นัน้ ได้มเี รือรบฝรัง่ เศส ชือ่ ลูแต็ง (La Lutin) เข้ามาทอดสมอบริเวณหน้า สถานทูตแล้ว ขณะเดียวกัน ได้สง่ โทรเลขไปยังอัครราชทูตไทยประจ�ำกรุง ปารีส ให้แจ้งต่อรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝรัง่ เศส เพือ่ คัดค้าน

The French took this as another excuse to send in more battleships *On July10, 2436 B.E. (1893 A.D.) Monsieur Pavi informed HRH Prince Devavongse Varoprakarn, Foreign Affairs Minister, the Frenchwould like to bring 2 battleships namely the Inconstant and the Comete to Bangkok on July 15th and subsequently on the same day he informed the Siamese side that the ships would now arrive on July 13th. The given reason was to look after the French properties and goods in Bangkok. However, HRH Prince Devavongse Varoprakarn declined Monsieur Pavi’ s request to bring in 2 battleships as at that time the La Lutin, a French battleship, was already anchored in front of the French Consulate. At the same time the Prince sent a telegram to Siamese Ambassador in Paris to protest to the French Ministry of Foreign Affairs on the French request to bring in 2 battleships as it deemed as an action violating the bilateral


มีนาคม 2558 / March 2015

“พลเรือโทพระยาชลยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเออ) หรือ กัปตัน ริเชอลิเออ ชาวเดนมาร์ก เชือ้ สาย ฝรัง่ เศส ผูบ้ ญ ั ชาการทหารเรือของกองทัพเรือสยาม เป็นรองผูบ้ ญ ั ชาการการรบของไทยในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เมือ่ วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 และเป็นผูอ้ อกแบบป้อมพระจุลจอมเกล้า” การส่งเรือรบทัง้ 2 ล�ำเข้ามา เพราะเป็นการละเมิดสัญญาและความ agreement and Siamese sovereignty. King Rama V secretly went by special train to the mouth เป็นเอกราชของชาติไทย of the Phraya River. He visited Phra Chulachomklao พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จพระราชด�ำเนิน Fort andChao found that the disappearing carriage cannons were เป็นการลับทีป่ ากน�ำ้ เจ้าพระยา โดยรถไฟพิเศษได้ทอดพระเนตร all mounted and ready for use. He inspected sunken ships ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปืนเสือหมอบได้รบั การติดตัง้ จนพร้อมใช้งาน to bar the estuary and the navigation channel, tried small และทรงตรวจเรือทีจ่ มเพือ่ ปิดปากอ่าว และเสด็จริมช่องทางเดินเรือ torpedo and found that it was very powerful. All available with outdated armaments were collected to station ลองระเบิดตอร์ปโิ ดขนาดเล็ก ปรากฏว่ามีอานุภาพมาก พร้อมกับ battleships on guard the torpedo buoys at the mouth of the ChaoPhraya น�ำเรือรบทัง้ หมดทีม่ อี ยู่ ทัง้ เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ Riversuch as the Makut Rachakuman, the Muradha Vasitsvasti and ซึง่ เป็นเรือรบแต่อาวุธล้าสมัย เรือทูลกระหม่อม เรือนฤเบนทร์บตุ รี other small battleships with old style cannons that cannonballs were loaded through the barrel namely the Thune Kramom, the เรือหาญหักศัตรู เป็นเรือขนาดเล็กน�ำปืนใหญ่แบบโบราณ (บรรจุลกู กระสุนปากกระบอก) พร้อมกับท�ำการป้องกันวางทุน่ ระเบิด (ตอร์ปโิ ด) Naruebaneputri, and the Hanhaksattru. Only narrow navigation Rama V gave orders and paid ปิดปากอ่าวเจ้าพระยา โดยบังคับเปิดทางเดินเรือเพียงเล็กน้อย โดย channel was open. King attention to the preparation to protect พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้สงั่ the national sovereignty from the การและตัง้ พระราชหฤทัยในการเตรียม “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ French invasion. Three days before the crisis ความพร้อมทีจ่ ะป้องกันฝรัง่ เศส ไม่ให้ลว่ ง ได้ ส ง ่ ั การและตั ง ้ พระราช erupted, King Rama V senta handwritten ล�ำ้ อธิปไตยได้แม้แต่นอ้ ย note to Phraya Chonlayutthayothin หฤทั ย ในการเตรี ย มความพร้ อ ม ก่อนวิกฤตการณ์เพียง 3 วัน พระบาท “As the French battleships fixed to สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั มีลาย ทีจ่ ะป้องกันฝรัง่ เศส ไม่ ให้ลว่ งลำ�้ arrive on July 13th and we disallow อธิปไตยได้แม้แต่นอ้ ย” the arrival, I would suggest that Phraya Chonพระหัตถ์ถงึ พระยาชลยุทธโยธินทร์ มีความ layutthayothin drop the torpedo blocking ว่า “ก�ำหนดเรือรบฝรัง่ เศสจะเข้าในวันที่ 13 the whole entrance. When they arrive, if it is กรกฎาคม เวลาเย็น และฝ่ายเราไม่ยอมนัน้ necessary you should order firing without delay or waiting ให้พระยาชลยุทธโยธินทร์ คิดวางตอร์ปโิ ดเสียให้เต็มช่อง ถ้าเข้ามา for order. And, if they fire first, we must fire..” Following the diplomatic communication, the French เมือ่ ไร ก็เป็นการจ�ำเป็นทีจ่ ะต้องระเบิด อย่าให้ตอ้ งรอค�ำสัง่ อีกเลย Minister of Foreign Affairs informed Siamese Ambassador in และถ้าเขายิงก่อนแล้วเราต้องยิง” that France would withdraw the order for the 2 battleships หลังจากเจรจาเรือ่ งการทูต รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ Paris going to Siamese territory and would send an envoy for an ฝรัง่ เศส ได้แจ้งต่ออัครราชทูตสยามว่าจะถอนค�ำสัง่ ที่ให้เรือรบทัง้ 2 amicable negotiation. The French authority sent 2 telegrams: ล�ำ เข้ามายังสยาม และจะส่งทูตเข้ามาเจรจาฉันมิตรกับสยาม โดยได้ one telegram to Siamese Foreign Affairs Minister and the โทรเลขมายังสยาม 2 ฉบับ ฉบับหนึง่ ส่งมายังเสนาบดีกระทรวงการ other to Monsieur Pavi, French Consul in Bangkok, and that Pavi to pass the order to stop the 2 battleships ต่างประเทศของสยาม อีกฉบับส่งมาทีก่ งสุลฝรัง่ เศสประจ�ำกรุงเทพฯ Monsieur from entering Siamese territory to the captains of both ships. เพือ่ ให้นายปาวี น�ำเอกสารค�ำสัง่ หยุดเรือรบ ไปให้กบั ผูบ้ ญ ั ชาการเรือรบ Unfortunately, the telegram to Monsieur Pavi never reached ทัง้ 2 ล�ำ ก่อนทีจ่ ะล่วงล�ำ้ อาณาเขตสยาม แต่เอกสารโทรเลขทีอ่ ยูก่ บั the captains of the battleships. Hence, the Paknam Crisis นายปาวีฉบับนัน้ กลับไม่ถงึ ผูบ้ ญ ั ชาการเรือรบทัง้ สองล�ำ วิกฤตการณ์ erupted. In the morning of July 13th, Phraya Chonlayutthayothin ทีป่ ากน�ำ้ เจ้าพระยาจึงเกิดขึน้ was commanding the defense at the Chulachomklao Fort. วันที่ 13 กรกฎาคม เวลาเช้าพระยาชลยุทธโยธินทร์ ได้อำ� นวย He gave order to each captain that should the fourth warning การป้องกันอยูท่ ปี่ อ้ มพระจุลจอมเกล้า และได้สงั่ การแก่ผบู้ งั คับการ shells was fired from Chulachomklao Fort and the French เรือทุกล�ำว่า ถ้าเกิดการสูร้ บขึน้ เมือ่ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ท�ำการ ships did not stop, all the Siamese ships should join the ยิงเตือนไปเป็นนัดทีส่ แี่ ล้ว เรือฝรัง่ เศสยังไม่หยุด ก็ให้เรือเริม่ ท�ำการ Chulachomklao Fort in firing. ยิงร่วมกับป้อมได้

39


40 Cover Story เรื่องจากปก

เรือรบฝรั่งเศสแล่นเข้ามา ผ่านพระเจดีย์กลางน้ำ�

French warship sailed into Through the water tower


มีนาคม 2558 / March 2015

ยุทธนาวีปากน�้ำเจ้าพระยา

NAVAL BATTLE AT THE CHAO PHRAYA RIVER “เวลา 17.15 น. เรือรบฝรัง่ เศสได้ลอ่ งมาถึงสันดอนปากแม่นำ�้ และได้หยุดเรือ โดยไม่ทอดสมอ พร้อมกับเรือ บัปติสต์เซย์ (Jean Baptist Say) เรือสินค้าประจ�ำไซ่งอ่ นกับกรุงเทพฯ มีความช�ำนาญในการน�ำเรือข้ามสันดอน ปากแม่นำ�้ เจ้าพระยา จึงได้บงั คับในขณะอยูก่ ลางทะเล ให้เป็นเรือน�ำรอ่ งเข้ามายังสยาม” **โดยปกติเมือ่ เรือขนาดใหญ่หากจะแล่นเข้ามาในน่านน�ำ้ จะต้องมีเรือ น�ำร่องคอยน�ำทางเข้ามา ซึง่ ทางรัฐบาลฝรัง่ เศสก็ได้แจ้งขอทางไทยไว้กอ่ น แล้ว ซึง่ ทางเจ้าท่าไทยก็ได้เตรียมเรือน�ำร่อง (เรืออรรคราชวรเดช) และ กัปตันไว้ ให้ โดยจอดอยูใ่ กล้บริเวณนัน้ เมือ่ เรือรบฝรัง่ เศสมาถึง มิสเตอร์แจคสันน�ำร่องใหญ่ (ฝ่ายสยาม) สัญชาติองั กฤษ ซึง่ อยูท่ เี่ รือน�ำร่องได้ขนึ้ ไปบนเรือเซย์ ส่วนกัปตันวิล เจ้าท่า ไทยได้ขนึ้ ไปบนเรือแองคองสตังค์ โดยทัง้ สองได้ขนึ้ ไปเจรจากับกัปตันเรือรบ ฝรัง่ เศส เพือ่ ห้ามปรามมิให้เรือเดินทางล่วงล�ำ้ น่านน�ำ้ เข้าไป ขณะนัน้ เรือกลไฟไทยได้เข้าเทียบเรือแองคองสตังค์ โดยมีนายเรือโท นายทหารประจ�ำเรือลูแตงน�ำถุงไปรษณียม์ าให้ดว้ ย เหตุการณ์ดำ� เนิน ไปอย่างตืน่ ระทึก ด้วยไม่รวู้ า่ กัปตันเรือฝรัง่ เศสจะเชือ่ กัปตันเรือน�ำร่องหรือไม่ ระหว่างนัน้ ผูบ้ งั คับการเรือพาลลาส (เรือรบอังกฤษ) ทีจ่ อดทอดสมอนอก สันดอนปากแม่นำ�้ เพือ่ ดูสถานการณ์ ได้สง่ นายเรือเอกเอดเวิดส์ นายทหาร ฝ่ายพลาธิการขึน้ ไปบนเรือแองคองสตังค์เพือ่ แจ้งให้ทราบว่า ราชทูตฝรัง่ เศส มีคำ� สัง่ ให้เรือรบฝรัง่ เศสจอดทอดสมออยูน่ อกสันดอน แต่ผบู้ งั คับเรือแอง คองสตังค์ไม่ยอมฟังการห้ามปรามใดๆ เพราะไม่ได้รบั ค�ำสัง่ ด่วนให้หยุด เรือ ผ่านโทรเลขของนายปาวี เจ้าหน้าทีท่ ขี่ น้ึ ไปเจรจาจึงเดินทางกลับ โดย ช่วงเวลานัน้ เกิดพายุและฝนตกอย่างหนัก ท�ำให้ไม่สามารถมองเห็นเรือที่ เข้าออกบริเวณสันดอนปากแม่นำ�้ ได้ At 5.15 p.m. French battleships sailed to the estuary bar and stopped without anchoring. At the same time the Jean Baptiste Say, a regular cargo ship between Saigon and Bangkok which was familiar with the navigation channel was forced, while it was at sea, to navigate the bar at the mouth of the Chao Phraya River. Normally, if a large ship wanted to sail into the territorial waters, a pilot boat should lead the ship through navigation channel. The French requested for a pilot boat which the Siamese authority already prepared a pilot boat (Akrarajvoradecha) with captain anchoring in the area on standby. When the French battleships arrived, Mr. Jackson, an Englishman who served as Siamese pilot master on standby on the pilot boat, got on board the Jean Baptiste Say while Mr. Will, Siamese Harbor Master got on board the Inconstant. They both tried to prohibit the French captains sailing into the territorial waters.

เรือรบของฝรั่งเศสกำ�ลังเตรียมปืนใหญ่ต่อสู้กับสยาม Warships of France Siamese fighting with artillery preparation

พลเรืออูมานน์ ผู้บัญชาการเรือรบฝรั่งเศส

The commander of the French frigate

41


42 Cover Story เรื่องจากปก

เรือรบฝรั่งเศสทั้ง 2 ลำ� แล่นฝ่าคลื่นลมและหลบวีถีกระสุนผ่านเข้ามา French warships and aircraft Plow winds and dodged a bullet came through.

เวลาประมาณ 18.05 น. เรือแองคองสตังค์ กับ เรือโคแมต ก็ฝา่ พายุเข้ามา โดยมีเรือเซย์นำ� หน้าเรียงตามกันปิดท้ายระยะห่าง ประมาณ 400 เมตร เป็นช่วงเวลาทีฝ่ นเริม่ หยุดตก ฝ่ายไทยจึงเริม่ เห็นเรือรบ ฝรัง่ เศสก�ำลังแล่นเข้ามา ไม่กนี่ าทีจากนัน้ เรืออรรคราชวรเดชได้สง่ สัญญาณประมวลสากล ไปยังป้อมพระจุลจอมเกล้าให้เตรียมพร้อม มี ความหมายว่า “เตรียมตัวรับพายุใหญ่” เหล่าทหารต่างเตรียมพร้อม และประจ�ำทีห่ ลุมปืนทัง้ 7 ป้อมพระจุลจอมเกล้าได้ยงิ นัดดินเปล่า (ไม่มหี วั กระสุน) ไป 2 นัด เพือ่ เป็นการเตือน แต่เรือก็ยงั แล่นเข้ามาด้วยความเร็ว พอยิงเตือนครบ 4 นัด ดูเหมือนว่าเรือน�ำร่อง ได้หยุดและก�ำลังจะหันกลับออกไป แต่ตอ่ มาก็แล่นไปตามเดิม เรือรบฝรัง่ เศสทัง้ สองล�ำ ได้ชกั ธงชาติขนึ้ ทัง้ 3 เสา ตลอดจนทีเ่ สาก๊าฟ และได้ทำ� การยิงมายังป้อม จากบันทึกของผูบ้ งั คับการเรือโคแมต อธิบายช่วงเวลานัน้ ไว้วา่ **เมือ่ เวลา 18.30 น. เราเข้ามาใกล้ทนุ่ ด�ำ ได้ยนิ เสียงปืนดังขึน้ นัดหนึง่ แล้วก็ดงั ซ้อนๆ กันหลายนัด ปรากฏว่าทีแ่ หลมตะวันตก (ป้อมพระจุลฯ) ท�ำการยิงมีเสียงกระสุนหลายนัดส่งเสียงหวือๆ มายังเรา “ประจ�ำสถานี รบ” เป็นค�ำสัง่ ให้ทกุ คนรีบเข้าประจ�ำทีข่ องตน และชักธงขึน้ ยอดเสา เรา เตรียมพร้อมแล้วทีจ่ ะยิง การสูร้ บของทัง้ สองฝ่ายเป็นไปอย่างดุเดือด ในบันทึกเล่าต่อไปว่า

When the Siamese boat came alongside the Inconstant, a French lieutenant from the La Lutin brought the mail bag to the ship at the same time. The situation was very tense because the Siamese side did not know whether the French captain would listen to the pilot master or not. During that time the Pallard Ship Master (a British battleship) anchoring outside the bar observing the situation sent Lieutenant Commander Edward, a commissary, to inform the Inconstant captain that the French Ambassador ordered the French battleships to anchor outside the bar. But, the Inconstant captain refused to the dissuasion because he did not receive the order to anchor the ship via the urgent telegram to Monsieur Pavi. Those officers trying to negotiate the situation returned to their boats. It happened that during that time, there was storm and heavy rain that the visibility of ships sailing in and out of the bar was very poor. Approximately at 6.05 p.m. the Inconstant and the Comete led by the Jean Baptiste Say braved the storm sailing into the navigation channel at the distant of 400 meters between each ship and it happened to be the time that the rain stopped. The Siamese side saw the French ships and a few minutes later the Akrarajvoradecha sent a signal to Phra Chulachomklao fort to get gun crews readily station in those seven gun pits. Phra Chulachomklao Fort fired two warning blank shots (no cannonball) but the ships continued sailing at the same speed. When 4 warning shots were fired, it seemed that the pilot ship would stop and turn back but eventually continued sailing in. The 3 French battleships flew their naval ensign on all three masts including on the gaff and started firing at the fort.


มีนาคม 2558 / March 2015

เรือรบฝรั่งเศสถูกสกัดกั้น โดยปืนใหญ่จากป้อมพระจุล

Thai forces made intercopted French battleships

ป้อมพระจุลจอมเกล้า กลบไปด้วยแสงไฟและควันปืน เราอยู่ห่าง ถึง 4,000 เมตร ปืนเหล่านี้เมื่อยิงจะโผล่ขึ้นมา ครั้นยิงแล้วก็ผลุบลง ไปในหลุม ที่มีเกราะป้องกันโดยทันที การยิงอย่างเต็มขนาดไปยังป้อม ในขณะนี้ดูจะไร้ผล ดังนั้นเราจึงบรรจุปืนใหญ่ด้วยกระสุนลูกปลาย ซึ่ง จะระเบิดแตกท�ำลายคนประจ�ำปืน และเครื่องประกอบปืนอันอยู่ในที่ ก�ำบัง บนสะพานเดินเรือมีเรือโทบาแซง ซึ่งเป็นต้นหนคอยนับจ�ำนวน กระสุนที่ยิงมา นอกจากปืนเสือหมอบทีค่ อยระดมยิงแล้ว ยังมีแนวป้องกันทีข่ นาบ ข้างไปด้วย เรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือทูลกระหม่อม เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือหาญหักศัตรู ที่ระดมยิงโดยเฉพาะเรือเซย์ เพื่อ ไม่ให้สามารถน�ำร่องพาเรือรบของฝรั่งเศสเข้ามาได้ อาจารย์พลาดิสยั สิทธิธญ ั กิจ นักวิชาการประวัตศิ าสตร์ ให้ความเห็น ว่า ปากน�ำ้ เจ้าพระยา เป็นชัยภูมทิ ดี่ ตี งั้ แต่สมัยอยุธยา พืน้ ทีเ่ ป็นสันดอน เยอะ จึงท�ำให้เรือที่เข้า-ออก ถ้าไม่ช�ำนาญทางจะต้องจ้างเรือน�ำร่อง เพื่อน�ำทางเดินเรือไม่ให้ติดสันดอนบริเวณปากแม่น�้ำ ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ครั้งนั้น เรือรบฝรั่งเศสถึงได้บังคับเรือขนส่งสินค้าที่ช�ำนาญ เส้นทางให้น�ำร่องเข้ามา ทางเรือรบของไทยจึงใช้ยุทธวิธียิงเรือน�ำร่อง ให้เกยตืน้ เพือ่ ทีว่ า่ เรือรบฝรัง่ เศสจะไม่สามารถเข้ามาได้ เมือ่ เรือน�ำร่อง ของฝรั่งเศสถูกยิงจึงเกยตื้นบริเวณแหลมล�ำพูลาย (บริเวณบางปู)

43

From the diary of the Comete Commander, he elaborated the situation at that point of time as follows **at 6.30 p.m. we got closer to the black buoys and heard a shot following by many more several shots. It appeared that from the west cape (Phra Chulachomklao Fort) started the firing at us. “At your station” was the order that everybody rushed to their assigned stations and flew the naval ensigns. We were ready to counter fire. It was a violent battle. The diary continued that Phra Chulachomklao Fort was engulfed with light and firing smoke. We were 4,000 meters away. Those cannons would appear only when it was about to fire and disappear into shielded gun pit after firing. Full bombarding to the fort seemed to be ineffective. Therefore, we loaded our cannons with cannonball pellets that would burst and destroy the gun crews and the cannons in the shielded gun pit. Lieutenant Tobasin, the deck officer, was on the bridge to count the number of shells fired at us. Apart from bombarding by disappearing carriage cannons, there was also a defensive line flanked by the Makut Rachakuman, the Muradha Vasitsvasti, the Thune Kramom, the Naruebaneputri and the Hanhaksattru jointly bombarded the Jean Baptiste Say in order that it would not be able to pilot the French battleships through the navigation channel. Lecturer Pladisai Sitthithanyakit, a historian, viewed that the mouth of the Chao Phraya River has been a superb strategic location since the Ayutthaya period. The area has a number of bars that ships unfamiliar with the navigation channel should hire a pilot boat to navigate in order to avoid sailing aground. In the Rattanakosin Era 112 Paknam Crisis, the French battleships had to force the cargo ship familiar with the navigation channel to pilot them. Siamese strategy was to bombard the cargo ship to sail aground so that the French battleships could not pass through the bar. After the French pilot ship aground at Lampoolai Cape (in Bang Pu area at the present), the French battleships stopped to keep an eye on the situation. But, it was the high tide so the French took the opportunity to sail through the bar and other defensive lines without difficulties. The diary further elaborated that suddenly the Jean Baptiste Say turned prow to the left, we could sail pass. The captain shouted that the pilot did not want to pilot further and would like to anchor because the Jean Baptiste Say was hit by a cannonball. To avoid the ship sinking, they had to sail aground near the black buoys. Before long, a cannonball fell on the Inconstant hit the Davits pole asunder (Davits pole is a pole with pulley to lower and roll up the row boat) and a Petty Officer, who was the carpenter, was fatally hit on the spot. Captain Bori ordered to turn the prow to the left and steer direct to the middle of the estuary. He also gave an order to fire and the Comete followed firing suit. At 6.43 p.m. the battle rightly began.

“ฝ่ายสยามได้ใช้ปืนกลยิงมายังเรา รวมทั้งปืนใหญ่ก็ยิงมาดังห่าฝน ถูก พลประจ�ำปืนตายไปสองคน”


44 Cover Story เรื่องจากปก

เรือลูแตง ของฝรัง่ เศส จอดคุมเชิงและกดดันสยามในกรณีพพิ าท บริเวณหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ประจ�ำกรุงเทพ French frigate “Le Lutin”


มีนาคม 2558 / March 2015

45


46 Cover Story เรื่องจากปก

เรือนำ�ร่อง บัปติสเชต์ (Jean Baptist Say) ของฝรั่งเศส ถูกยิงเกยตื้นที่แหลมลำ�พูลาย (บริเวณบางปู) The pilot of France Shot aground at Lum Pu Lai promontory


มีนาคม 2558 / March 2015

ในปัจจุบัน หลังจากที่ไม่มีเรือน�ำร่องแล้ว ช่วงนั้นฝรั่งเศสจึงหยุด การเดินเรือเหมือนคุมเชิง แต่กลับเป็นช่วงเวลาทีน่ ำ�้ ขึน้ จึงถือโอกาสตอน นี้ล่องเรือเข้ามา โดยผ่านสันดอน และแนวป้องกันต่างๆ ได้ไม่ยากนัก ตามบันทึกอธิบายต่อไปว่า ทันใดนัน้ เรือเซย์ได้หนั หัวเรือไปทางซ้าย เราจึงแล่นผ่านเลยไป กัปตันของเรือตะโกนบอกมาว่า น�ำร่องไม่ยอมน�ำเรือ ต่อไปอีก และต้องการจะทอดสมอ เรือเซย์ถกู กระสุนปืนหนึง่ นัด และเพือ่ ไม่ให้เรือจมจึงต้องแล่นเกยตืน้ ใกล้ๆ ทุน่ ด�ำ ในไม่ชา้ ก็มกี ระสุนอีกนัดหนึง่ ระเบิดลงบนเรือแองคองสตังค์ หลักเดวิทเรือโบตหักสะบัน้ ลง (หลักเดวิท หมายถึง หลักทีใ่ ช้สำ� หรับชักหย่อนเรือโบต) พันจ่าช่างไม้ประจ�ำเรือเสียชีวติ คาที่ นาวาโทโบรี จึงสัง่ หันหัวเรือไปทางซ้าย และให้ถอื ท้ายมุง่ ตรงต่อไปทาง กลางปากน�ำ้ แล้วสัง่ เริม่ ยิง เรือโคแมตก็เริม่ ยิงตาม ขณะนีเ้ วลา 18.43 น. การรบได้บงั เกิดขึน้ แล้ว การรบได้เป็นไปอย่างเผ็ดร้อน ถัดจากเรือทุน่ ไฟมีเรือเหล็กจมอยูห่ ลายล�ำ ซึง่ ยึดไว้อยูก่ บั ที่ โดยน�ำหลักปักไว้ขนาบไว้เป็นสองแถว และมีสายโซ่ขงึ ไว้เป็นแนวอย่างแข็งแรง เหลือช่องว่างให้เรือเข้าออกได้ราว 80 เมตร ช่อง นีย้ งั ได้วางตอร์ปโิ ดไว้ เลยแนวกีดขวางเข้าไปมีเรือไทย จอดเรียงรายกันอยู่ ปืนหัวเรือเหล่านี้ได้รว่ มยิงกับป้อมพระจุลจอมเกล้า ประกอบกันเป็นช่องทาง ทีเ่ ราต้องผ่านไป เดินหน้าเต็มตัวเราจะได้พงุ่ เข้าชนเครือ่ งกีดขวาง ล่วงถึงเวลา 18.50 น. ขณะทีเ่ รือแองคองสตังค์ แล่นเข้าไปใกล้เรือ ทุน่ ไฟนัน้ ตอร์ปโิ ดลูกหนึง่ ได้ระเบิดข้างหน้าเรือแต่ไม่ถกู เรือแองคองสตังค์ ได้แล่นผ่านแนวกีดขวาง ปืนเสือหมอบของป้อมพระจุลจอมเกล้าจึงหมดมุม ยิง พร้อมทัง้ ท�ำการสูร้ บกับเรือสยามทีต่ งั้ เรียงรายเป็นสองแนว เรือโคแมต ซึง่ แล่นตามแนวทางของเรือแองคองสตังค์ ก็ได้ผา่ นกอง เรือไทย และได้ยงิ โต้ตอบด้วยปืนใหญ่ประจ�ำเรือ ฝ่ายสยามได้ ใช้ปนื กลยิง มายังเรา รวมทัง้ ปืนใหญ่กย็ งิ มาดังห่าฝน ขณะทีเ่ ราแล่นผ่านเรือใบล�ำใหญ่ ทาสีขาว ซึง่ เป็นเรือล�ำสุดท้ายทางซีกซ้ายในระยะห่างกัน 100 เมตร เรือล�ำ นี้ได้ยงิ มายังเราตับหนึง่ ถูกพลประจ�ำปืนตายไปสองคน ปืนท้ายของเราได้ ยิงตอบไปบ้าง ถูกตัวเรือทีท่ ำ� ด้วยไม้อย่างจัง เมือ่ เวลา 18.58 น. เส้นทาง เดินเรือก็ปลอดโปร่งไปชัว่ ขณะ เป็นเวลามืด ยังเหลือป้อมทีเ่ กาะเล็กอีกป้อมหนึง่ (ป้อมผีเสือ้ สมุทร) เวลา 19.00 น. ได้มาถึงป้อมนีซ้ งึ่ ยังคงสงบเงียบอยู่ เราได้ยงิ กราดเข้าไป และปืน 21 เซนติเมตร ของป้อมก็ได้ยงิ ตอบโดยไม่ถกู เรือเรา เราแล่นเลย สมุทรปราการไปโดยไม่มฝี า่ ยสยามติดตามมาเลย การยิงของฝ่ายไทยไม่ ใคร่แม่น อ�ำนวยการยิงไม่ดี และไม่มกี ารค�ำนึงถึงความเร็วเรือเพือ่ แก้ศนู ย์ กระสุนส่วนใหญ่จงึ ตกสูง หรือหลุดท้ายเรือเราไป ตอร์ปโิ ดก็ระเบิดก่อนเวลา อันสมควร จึงไม่บงั เกิดผลแต่อย่างใด เวลา 21.00 น. ผูบ้ งั คับหมูเ่ รือส่งสัญญาณมาว่าให้ทอดสมอพร้อมกัน พอเลีย้ วตามแม่นำ�้ คุง้ แรกก็แลเห็นท่าจอดเรือกรุงเทพ ฯ แม่นำ�้ ตอนนีแ้ คบ มากและเต็มไปด้วยเรือกลไฟ เรือใบ และมีเรือเล็ก ๆ มีแสงสว่างทัว่ ไปหมด กระแสน�ำ้ ก็ไหลแรง ทางเรือก็ไม่มนี ำ� ร่อง เรือแองคองสตังค์ ได้ทอดสมอ อยูใ่ กล้ๆ สถานทูตฝรัง่ เศส เรือโคแมตก็ทอดสมออยูใ่ กล้กนั เป็นธรรมเนียมปฏิบตั วิ า่ เมือ่ เดินทางมาถึงจะต้องไปรายงานตัวต่อ ม.ปาวี กงสุลฝรัง่ เศสประจ�ำกรุงเทพฯ แต่นาวาโทโบรี ได้ประชุมผูบ้ งั คับการ เรือลูแตง และเรือโคแมต เพือ่ หาวิธแี ก้แค้นและได้ตกลงว่าพรุง่ นีเ้ วลาเช้าตรู่ จะน�ำเรือรบทัง้ สามล�ำ ออกไปจมเรือลาดตระเวนมหาจักรี แล้วจะตรึงเรือ เป็นแนวอยูต่ รงหน้าพระบรมมหาราชวัง หากไม่ได้รบั ความตกลงทีพ่ อใจ ก็ จะได้ระดมยิงพระบรมมหาราชวัง แต่ความคิดนัน้ ก็ไม่ได้เกิดขึน้ แต่อย่างใด

47

พลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ (อองเดร ดูว์ เปลซี เดอ ริเชอลิเยอ)

Vice admiral André du Plessis de Richelieu

The fighting heatedly escalated. After the lighting buoys, there was a defensive line of many sunken steel vessels held in place and braced on both side with two rows of wooden poles firmly chained together. The open space for sailing in and out ships was about 80 meters wide and torpedoes were placed in the open sailing space. Further behind Siamese defensive line, many ships with guns in the prow were lining to help firing together with the Phra Chulachomklao Fort. It was the only passage that we should pass. Being on full speed, we could hit those stoppages. At 6.50 p.m. as the Inconstant got close to the lighting buoys, a torpedo exploded in front of the ship but did not hit the ship. The Inconstant passed through the defensive line and the disappearing carriage cannons at Phra Chulachomklao Fort lost it effective firing angles. We continued to fight with the Siamese ships lining the sailing passage. The Comete that followed the Inconstant passed the Siamese fleet and counter fired with them. The Siamese side used the machine guns including cannons bombarding us heavily. When we passed a white yacht which was the last ship on the left about 100 meters apart, this yacht fired at us fatally hit two of our gun crews. Our stern gun fired back and directly hit the ship which was in wood at 6.58 p.m. The sailing became free from trouble for a while. It was getting dark and there was another small fort on an islet (Pee Suea Samut Fort). At 7.00 p.m. we arrived at this fort which was still quiet. We opened firing and the 21 cm. cannons at the fort fired back but did not hit us. We sailed pass Samut Prakan without Siamese followed us in tail. The Siamese firing was not accurate, firing command was not good and they did not take into account the speed of the sailing ship for adjusting the firing range. Most of the shells were either too high or missed our ship stern. Torpedo prematurely exploded before the time so it was ineffective. At 9.00 p.m. the French fleet commander sent out the signal for all ships to anchor. When we turned at the first bend and saw the Bangkok dock. The river in this area was very narrow and full with steamships, sailboats and other small boats. Lights were everywhere. The current was strong and our ships did not have pilot. The Inconstant anchored near to the French Consulate and the Comete anchored nearby. It was the common practice that when arriving we should report to Monsieur Pavi, the French Consul at Bangkok. However, Captain Bovi called the commanders of the La Lutin and the Comete to find out how to revenge. They agreed that the next day they would bring all 3 battleships to sink Siamese cruiser, Mahachakri. Then they would line their ships in front of the Grand Palace. Should they do not receive satisfactory agreement from the Siamese authority, they would bombard the Grand Palace. Fortunately, it did not happen.


48 Cover Story

Cr.Photo by : happydelight.blogspot.com

เรื่องจากปก

ลักษณะของเงินถุงแดง ที่ใช้ ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112

Red purse of Rs 112 in crisis.

เงินเหรียญนกเม็กซิกัน สันนิษฐานว่าเป็นเงินชนิดหนึ่งในถุงแดง Antique Mexico Coin in the Red Purse


มีนาคม 2558 / March 2015

สัญญาสงบศึก

THE TREATY OF PEACE “ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2436 รัฐบาลฝรัง่ เศสได้สงั่ ให้นายปาวี ยืน่ ค�ำขาดต่อไทยให้ชดใช้คา่ เสียหาย โดยบีบ บังคับต้องให้ค�ำตอบภายใน 48 ชัว่ โมง โดยมีเรือรบฝรัง่ เศสทัง้ 3 ล�ำนี้ ปิดล้อมแล้วหันปากกระบอกปืนเข้าหา พระบรมมหาราชวัง เพือ่ บีบบังคับให้ไทยยอมท�ำตามข้อเรียกร้อง”

On diplomatic side, HRH Prince Devavongse Varoprakarn, Siamese ด้านการทูตทางฝ่ายไทย เมือ่ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง Foreign Minister, seriously protested to the French government เทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ประท้วง and demanded that the French authority issue an order for the ไปยังรัฐบาลฝรัง่ เศสอย่างรุนแรง และเรียกร้องให้มคี ำ� สัง่ ถอน French battleships to withdraw from Siamese territorial waters. เรือรบออกไปทันที แต่ขณะเดียวกัน นายปาวี ก็ได้สง่ โทรเลขถึง But, at the same time, Monsieur Pavi sent a telegram to French รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝรัง่ เศส ว่าควรฉวยโอกาสนีส้ ง่ Minister of Foreign Affairs that the French should take advantage the situation to land the soldiers ashore if the Siamese did not กองเรือพร้อมทหารขึน้ บก ถ้าหากว่าไทยไม่ยอมแพ้ และในวันที่ of give in. On July 20th, 2436 B.E. (1863 A.D.) the French authority 20 กรกฎาคม 2436 รัฐบาลฝรัง่ เศสได้สงั่ ให้นายปาวี ยืน่ ค�ำขาด ordered Monsieur Pavi to give an ultimatum that Siam had to pay ต่อไทยให้ชดใช้คา่ เสียหาย โดยบีบบังคับต้องให้คำ� ตอบภายใน France an indemnification. They gave Siam 48 hours to consider the Siamese authority to accept 48 ชัว่ โมง โดยมีเรือรบฝรัง่ เศสทัง้ 3 ล�ำนี้ ปิดล้อมแล้วหันปาก their ultimatum. They threatened their ultimatum by having the cannons on กระบอกปืนเข้าหาพระบรมมหาราชวัง the 3 French battleships trained at the เพือ่ บีบบังคับให้ไทยยอมท�ำตาม Palace. “ช่วงเวลานัน้ ฝรัง่ เศสมีโอกาสทีจ่ ะยึด GrandKing Rama V tried various means to solve ข้อเรียกร้อง อาณานิคมของสยาม แต่ก็ ไม่สามารถท�ำได้ก็ problems be it by diplomacy, military and ระหว่างนัน้ พระบาทสมเด็จพระ เพราะในช่วงนัน้ อังกฤษมีผลประโยชน์บางส่วน the seeking assistance from other major powers. He จุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงพยายาม กับสยาม ซึง่ อังกฤษถือว่าเป็นชาติมหาอ�ำนาจ closely discussed with his royalties, noblemen แก้ไขปัญหา ทัง้ วิธที างการทูต การ and ministers particularly with HRH Prince ทหาร และการแสวงหาความช่วย ที่ ใหญ่ทสี่ ดุ ฝรัง่ เศสจึงไม่กล้าท�ำอะไรมากนัก” Devavongse Varoprakan on how to reject ุ ชิ ยั มูลศิลป์ อดีตนายก the French ultimatum. At the same time, he เหลือจากมหาอ�ำนาจอืน่ ทรงปรึกษา รองศาสตราจารย์วฒ ordered the Siamese Ambassador in London อย่างใกล้ชดิ กับเจ้านาย ขุนนาง สมาคมประวัติศาสตร์ อธิบาย to consult with the British authority to balance the power so that the French a thority would โดยเฉพาะพระเจ้าน้องยาเธอ กรม not cause violent actions to the Siam. หลวงเทวะวงศ์วโรปการ เพือ่ ไม่ยอมรับกับข้อเรียกร้องดังกล่าว “At that time, France the opportunity to capture Siam as ซึง่ ในเวลาเดียวกัน ทรงให้ทตู ไทยประจ�ำกรุงลอนดอนปรึกษากับ its colony but could not do had so because the British still had benefits รัฐบาลอังกฤษ เพือ่ ถ่วงดุลอ�ำนาจและต้องการให้ฝรัง่ เศสไม่กล้า with the Siamese authority. The British was deemed the biggest superpower at that time. So, France dared not take any harsh ปฏิบตั ริ นุ แรงกับไทย Associated Professor Wuttichai Mulsilp, ex-president of The แต่เมือ่ ถูกบีบบังคับจนไม่สามารถขัดขืนได้ ในทีส่ ดุ ไทย action.” Historical Society under the Royal Patronage, further commented. ก็ตอ้ งยอมลงนามใน “สนธิสญ ั ญาฝรัง่ เศส-สยาม ร.ศ.112” At last, the Siamese authority could not resist the French (Franco-Siamese Treaty of 1893) เมือ่ วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 oppression, agreed to sign Franco-Siamese Treaty of 1893 on ซึง่ เป็นสนธิสญ ั ญาทีท่ ำ� ให้ไทยต้องเสียดินแดนฝัง่ ซ้ายของแม่นำ�้ October 3rd, 2436 B.E. (1893 A.D.) The pact made Siam lost the on the left bank of the Mekong River (presently is Laos) โขง (ประเทศลาวในปัจจุบนั ) รวมทัง้ เกาะต่างๆ ในแม่นำ�้ โขง territory including all the islets, covering total area of 143,000 square meters รวมเป็นพืน้ ทีป่ ระมาณ 143,000 ตารางกิโลเมตร ให้กบั ฝรัง่ เศส to France. Moreover, Siam had to pay silver coins equivalent นอกจากนัน้ ยังต้องจ่ายเงินเหรียญให้กบั ฝรัง่ เศสทันทีอกี เป็น to 3 million francs indemnification to France (approximately 1.56 มูลค่า 3 ล้านฟรังก์ (เทียบค่าเงินขณะนัน้ ได้ราว 1.56 ล้านบาท) million Baht in value of that time) at once.

49


50 Cover Story เรื่องจากปก

ทหารฝรั่งเศสน�ำเงินเหรียญนกเม็กซิกัน ซึ่งเป็นเงินค่าปฏิกรรมสงครามจากฝ่ายสยามมานับจ�ำนวน French troops led Mexican bird Coin. The amount of indemnity from the Siam count.


มีนาคม 2558 / March 2015

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั จึงต้องทรงน�ำเงินทีเ่ ป็น เหรียญมีมลู ค่ามหาศาลมาจ่ายให้กบั ฝรัง่ เศสในทันที จึงมีพระราชด�ำริถงึ “เงิน ถุงแดง” หรือเงินทีพ่ ระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 3 ทรงเก็บ ออมไว้จากการค้าขายกับต่างชาติ เพือ่ ให้คนรุน่ หลังได้นำ� มาใช้ชว่ ยเหลือบ้าน เมือง และยังเป็นเงินเหรียญของประเทศเม็กซิโก ซึง่ ตรงตามเงือ่ นไขของ ฝรัง่ เศส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั จึงทรงน�ำเงินถุงแดงมา รวมกับพระราชทรัพย์สว่ นพระองค์นำ� ไปจ่ายให้กบั ฝรัง่ เศสได้จนครบถ้วน *สร้างความโทมนัสจนทรงพระประชวรและทรงคิดว่าอาจจะสวรรคต ถึงกับมีพระราชปรารภหลายครั้งเกี่ยวกับพระบรมศพ อนาคตของพระ ราชโอรส พระราชธิดา และทอดอาลัยในชีวิต ดังในพระราชนิพนธ์ที่ พระราชทานพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นด�ำรงราชานุภาพ (ต่อมาคือ สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ) ตอนหนึ่งว่า

“เจ็บนานหนักอกผู้ คิดใคร่ลาลาญหัก ความเหนื่อยแห่งสูจัก กูจักสู่ภพเบื้อง

บริรักษ์ ปวงเฮย ปลดเปลื้อง พลันสร่าง หน้านั้นพลันเขษม”

พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นด�ำรงราชานุภาพ มีพระราชนิพนธ์เพือ่ ตอบให้ทรงมีมานะ ทีจ่ ะเผชิญวิกฤตการณ์ ทีท่ รงเปรียบเหมือนพายุรา้ ย และ ทรงเปรียบพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ว่าเหมือนกัปตันเรือ ทีก่ ำ� ลังเผชิญพายุรา้ ย เรือย่อมขาดกัปตันไม่ได้ แต่ถา้ กัปตันสามารถน�ำเรือ

“แก้รอดตลอดฝั่ง เหลือแก้ก็จ�ำจม

จะรอดทั้งจะชื่นชม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม”

นั้นคือ ถ้ากัปตันสามารถน�ำเรือเข้าสู่ฝั่งได้ก็จะเป็นที่ชื่นชมยินดีโดย ทั่วไป แต่ถ้าให้ความพยายามเต็มที่แล้ว เรือยังจม และถ้าเป็นเช่นนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นด�ำรงราชานุภาพ ก็ทรงพระนิพนธ์ต่อไปว่า

“เสียทีก็มีชื่อ สงสารว่ากรรมเกิน

ได้เลือ่ งลือสรรเสริญ ก�ำลังดอกจึงจมสูญ”

ยิง่ ไปกว่านัน้ การเสียดินแดนฝัง่ ซ้ายแม่นำ�้ โขงในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ซึ่งท�ำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสียพระราช หฤทัยอย่างสุดซึ้ง จนถึงกับน�้ำพระเนตรไหล ดังที่มหาเสวกเอกพระยา บุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) ได้เล่าไว้ว่า “แต่ในทีส่ ดุ พระองค์กท็ รงหักพระทัยได้ ทรงรับสัง่ เป็นเชิงปรารภว่า การเสียดินแดนแต่เพียงเล็กน้อยตามชายพระราชอาณาจักร ซึง่ เราเองก็ ท�ำนุบำ� รุงรักษาให้เจริญเต็มที่ไม่ได้นนั้ ก็เปรียบเหมือนกับเสียนิว้ ของเราไป ยังไกลอยู่ รักษาหัวใจกับตัวไว้ ให้ดีก็แล้วกัน”

51

พระบิดาแห่งการต่างประเทศของไทย

พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ HRH Prince Damrong Rajanuparb Younger brother of King rama V

พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะ วงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่าง ประเทศ ท�ำหน้าทีด่ แู ลงานต่างประเทศ ทรงมีบทบาทส�ำคัญด้านการทูต เป็นผูเ้ จรจา ข้อพิพาทกับฝรัง่ เศส ครัง้ วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ทรงเสนอให้มกี ารตัง้ สถานทูตในต่าง ประเทศ ทีย่ โุ รปและสหรัฐอเมริกา ทรง ว่าราชการเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่าง ประเทศทัง้ ในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 เป็นเวลา 37 ปี จนได้ชอื่ ว่าเป็น องค์บดิ า แห่งการต่างประเทศของไทย HRH Prince Damrong Rajanuparb Younger brother of King rama V Minister of Foreign Affairs Oversees foreign operations He played a key role in diplomacy. A parley with France.

Since the huge amount of indemnification had to be paid at once, King Rama V thought of “red pouch money” that King Rama III had saved from trading with foreign countries with the purpose to save as a fund for his successors to use in salvaging the country from crisis. Fortunately, those coins were Mexican silver coins which rightly met the French criteria. King Rama V used the money in the “red pouch” and his private reserves to pay France in full. *The king was so distressed that he thought he would die. He talked many times about his funeral, future of his sons and daughter, etc. He was in grave despair as witnessed in a part of his note to HRH Prince Damrong Rajanuparb that as a king he was so painful that he would rather die as the next life could make him happy again. In his reply, HRH Prince Damrong Rajanuparb encouraged the king to persevere and face the crisis with grace. The crisis was like a storm and the king was like the captain steering the ship braving the storm. The ship had to have captain. If the captain could bring the ship out of the storm, he would be admired. But, if could not, it would be the karma or fate that the captain could sink with the ship Additionally, the loss of the territory on the left bank of the Mekong River in the Rattanakosin Era 112 Crisis caused King Rama V a deep sorrow that brought tears to his eyes as Maha Sawek Ek Phraya Burutrud Rajapullop (Nop Krairirk) wrote: “At last, the king could suppress his feelings. He said that losing some small areas by the boundary of the kingdom that we could not fully look after was like losing one of our fingers to save our heart and body.”


52 Cover Story เรื่องจากปก

อ้างอิง: -รองศาสตราจารย์วฒ ุ ชิ ยั มูลศิลป์ อดีตนายกสมาคมประวัตศิ าสตร์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี -อาจารย์พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ นักวิชาการประวัติศาสตร์ -ป้อมพระจุลจอมเกล้า -*ความตอนหนึ่งของหนังสือวิกฤติการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ป้อมพระจุลจอมเกล้ากับการรักษาเอกราชของชาติ รองศาสตราจารย์วุฒิชัย มูลศิลป์ -**ความตอนหนึ่งของหนังสือสยาม ร.ศ.๑๑๒ วิกฤตแผ่นดิน พิพาทฝรั่งเศสและเสียดินแดน เกริกฤทธี ไทคูนธนภพ -สมุดภาพเหตุการณ์ ร.ศ.112 Franco – Siamese Crisis 1893 ไกรฤกษ์ นานา Reference: -Associate Professor Wuttichai Mulsilp, ex-president The History Society under the Royal Patronage -Lecturer Pladisai Sitthithanyakit, History expert -Phra Chulachomklao Fort -*an excerpt from the book “Rattanakosin Era 112 Crisis, Phra Chulachomklao Fort and the protection of national Independence” by Associate Professor Wuttichai Mulsilp -*a excerpt from the book “Siam at RattanakosinEra 112 Crisis, Conflicts with France and Loss of Territory” by Grirk-rittee Taikoonthanapob - 1893 Paknam Crisis Photobook Franco – Siamese Crisis 1893 Franco – Siamese Crisis Mr.Krairoek Nana


มีนาคม 2558 / March 2015

แผนที่เส้นทางการรบที่ปากน�้ำ 13 กรกฎาคม 2436 PAKNAM CRISIS TRAIL IN 13 JULY 1893 MAP

53

แนวเดินเรือรบฝรั่งเศส เข้ามายังปากแม่น�้ำเจ้าพระยา The French nautical route to entering the Chao Phraya River ป้อมผีเสื้อสมุทร เตรียมการด้วยปืนเสือหมอบ 3 กระบอก Pee Suea Samut Fort 3 disappcraring carriage cannons at Pee Suea Samut Fort

เรือมกุฏราชกุมาร เรือรบของไทยช่วย ยิงสกัด แต่อาวุธล้าสมัย Makut Ratchakuman that was out of date battleship at that time

เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือรบอีกหนึ่งล�ำช่วยยิง เรือ เย.เบ.เซย์ จนเกยตื้น Muratha Wasitsawat The other thai battleship that shoot J.B.Say

จุดวางทุ่นระเบิด จ�ำนวน 16 ลูก area of 16 land mines

ป้อมพระจุลจอมเกล้า ปืนเสือหมอบ ทั้ง 7 กระบอก ต่างระดมยิง

Phra chulachomklao Fort Volley of 7 disappearing carriage cannons

เรือแองคองสตังค์ ยิงต่อสู้ด้วยปืนกล 5 ล�ำกล้อง ด้วยความเร็ว 400 นัด / นาที Inconstant was shot by 5 tube machine gun, 400 bullets / minute

เรือโคแมต Comete


54 Interview สัมภาษณ์พิเศษ

จีนตลาดการค้าขนาดใหญ่ ประเทศจีนในอดีตเป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่ เวลา นัน้ เมืองท่าตามชายฝัง่ ทะเลของจีน ได้ถกู บังคับจากชาติ มหาอ�ำนาจตะวันตกให้เปิดการค้าแล้วในหลายเมือง แต่พบ ว่าทัง้ ฝรัง่ เศสและอังกฤษเอง ก็ยงั ต้องการทีจ่ ะเข้าไปเปิดการ ค้าทีอ่ ยูด่ า้ นในของจีน คือมณฑลยูนนาน เพราะมีวตั ถุดบิ และทรัพยากรมากมาย ซึง่ มีขนาดใหญ่เท่ากับประเทศไทย ในปัจจุบนั แต่การคมนาคมและการเดินทางไปไม่สะดวก ท�ำให้ยากล�ำบากต่อการเดินทาง

เรื่องราวประวัติศาสตร์ การล่าอาณานิคมที่เกิดขึ้น เราควรใช้เหตุการณ์นนั้ มา เป็นบทเรียน เพือ่ ปรับปรุงประเทศ ไม่อยากให้ชนรุ่น หลังมีความรู้สึกโกรธเกลียด แต่อยากให้คิดว่า มันเป็นประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งหลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงย�้ำว่า “เราควรจะ เรียนรู้ประวัติศาสตร์และบทเรียนที่เคยเกิดขึ้น เพื่อ เตือนตัวเรา เตือนลูกหลาน” จึงอยากให้เข้าใจ ในประวัติศาสตร์ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราจะ รู้สึกโกรธฝรั่งเศสตลอดไป

ท�ำไมฝรั่งเศสถึงต้องการควบอ�ำนาจอินโดจีน ในความคิดของฝรัง่ เศสพบว่า แม่นำ�้ โขงคงน่าจะ เป็นเส้นทางไปยังมณฑลยูนนานได้สะดวกทีส่ ดุ เพราะ ฉะนัน้ จึงจะต้องท�ำการยึดดินแดนทีแ่ ม่นำ�้ โขงไหลผ่าน จึงให้ นักส�ำรวจชาวฝรัง่ เศสท�ำการส�ำรวจพืน้ ทีบ่ ริเวณแม่นำ�้ โขง อย่างละเอียด โดยเฉพาะในรายงานการส�ำรวจของนายปาวี ฝรัง่ เศสจึงเริม่ ล่าอาณานิคมทีเ่ วียดนาม และต่อด้วยเขมร ซึง่ ในช่วงแรกสามารถยึดทางตะวันออกได้สำ� เร็จ แต่ดนิ แดน ตรงนัน้ ยังไม่ถงึ แม่นำ�้ โขง จึงได้พยายามล่าอาณานิคม ขยายอาณาบริเวณให้ได้ลกึ เข้าไปอีกในดินแดนทีแ่ ม่นำ�้ โขง ไหลผ่าน หลังจากนัน้ จะใช้เส้นทางแม่นำ�้ โขง เพือ่ เข้าไปยัง มณฑลยูนนานของจีน แต่จะต้องผ่านลาวซึง่ ในเวลานัน้ เป็น ประเทศราชของไทย จุดเสียเปรียบของไทยทีด่ นิ แดนบางส่วน ล่วงล�ำ้ เข้ามา ในส่วนทีเ่ ป็นภูเขาซึง่ ไม่ใช่แม่นำ�้ ฝรัง่ เศสจึงค่อยๆ คืบคลาน เข้ามา ข้อพิพาทเรือ่ งดินแดนจึงได้เริม่ ต้นขึน้ ส่วนส�ำคัญก็ คือ ฝรัง่ เศสต้องการดินแดนทีแ่ ม่นำ�้ โขงไหลผ่าน ซึง่ เราจะ เห็นว่าสัญญาทีฝ่ รัง่ เศสได้ทำ� กับไทย จะเจาะจงให้ได้พนื้ ที่ ตรงบริเวณทัง้ ฝัง่ ซ้าย-ขวาของแม่นำ�้ โขง เกิดเหตุที่ดินแดนลาว แต่ท�ำไมส่งเรือรบมายัง ปากน�้ำเจ้าพระยา หลายคนอาจจะสงสัยและตัง้ ค�ำถามว่า ท�ำไมฝรัง่ เศส ต้องการดินแดนลาว แต่กลับส่งเรือรบมาทีป่ ากแม่นำ�้ เจ้าพระยา และท�ำไมไม่รบกันตรงบริเวณนัน้ ซึง่ ต้องอธิบาย ว่าเป็นลักษณะของการท�ำสงครามและการขยายอ�ำนาจใน สมัยก่อน คือชาติตะวันตกจะใช้อาวุธทีเ่ ข้มแข็งทีส่ ดุ คือ กองเรือรบและปืนทีต่ ดิ ตัง้ บนเรือเป็นอาวุธส�ำคัญ เมือ่ เกิด กรณีพพิ าทในดินแดนลาวก็จริง แต่ดนิ แดนตรงบริเวณนัน้ การเดินทางไปไม่สะดวกกว่าการเข้ามายังปากน�ำ้ เจ้าพระยา จึงส่งเรือรบเข้ามากดดันสยามทัง้ 2 ล�ำ


มีนาคม 2558 / March 2015

55

THE LESSON

AFTER THE CRISIS เรียนรู้หลังวิกฤตการณ์ “ถอดบทเรียน ร.ศ.112”

ฉบับนี้จะขอหยิบยกบทสัมภาษณ์ ซึ่งได้รับเกียรติจากนักประวัติศาสตร์ของไทยทั้ง 2 ท่าน ที่มีความรู้ในเรื่องราวของ “วิInterview กฤตการณ์ ร.ศ.112 มาถ่ายทอดประสบการณ์ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้มีความเข้าใจในเหตุการณ์และบทบาทหน้าที่ของการป้องกัน ประเทศในสมัยนั้น แล้วจะรู้ว่าเราได้อะไรจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ”

Associate Professor

WUTDICHAI MOOLSILPA

EX-PRESIDENT OF THE HISTORICAL SOCIETY UNDER THE ROYAL PATRONAGE

รองศาสตราจารย์

วุฒิชัย มูลศิลป์

อดีตนายกสมาคมประวัติศาสตร์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี คลายสงสัย พระยาชลยุทธโยธินทร์ ชาวเดนมาร์ก เชือ้ สายฝรัง่ เศส รองผูบ้ ญ ั ชาการการรบในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 อาจจะมีขอ้ สงสัยว่า พระยาชลยุทธโยธินทร์ ซึง่ เป็นชาวเดนมาร์ก จะมีความมุง่ มัน่ เพือ่ ป้องกันประเทศ ในเหตุการณ์ครัง้ นัน้ มากน้อยแค่ไหน ซึง่ ต้องยอมรับว่า ในสมัยนัน้ เราไม่มบี คุ ลากรทีม่ คี วามรูค้ วามช�ำนาญ จึง จ�ำเป็นจะต้องจ้างชาวต่างชาติ แต่พระยาชลยุทธโยธินทร์ ก็มคี วามจงรักภักดีตอ่ ชาติบา้ นเมือง ซึง่ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงได้บนั ทึกไว้อย่างชัดเจน ว่า “ยังไงฝรัง่ ก็เป็นฝรัง่ เขาไม่ใช่คนไทย จะให้เขาจงรัก ภักดีต่อเราเต็มที่ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควรกระท�ำ อย่างยิง่ นัน้ ก็คอื เราจะต้องเรียนรูห้ ลายๆ อย่างจากเขา และเราจะต้องเลิกจ้างหรือจ้างให้น้อยลง” ป้อมปากน�้ำ ควรอนุรักษ์ ในจังหวัดสมุทรปราการมีปอ้ มเก่าเป็นจ�ำนวนมาก ซึง่ ได้สร้างขึน้ มาตัง้ แต่สมัยรัชกาลที่ 1 ไปจนถึงรัชกาล ที่ 5 เราควรที่จะมีการอนุรักษ์ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้ ให้กบั ลูกหลาน ซึง่ ครัง้ หนึง่ ป้อมเหล่า นี้สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องบ้านเมือง ถึงแม้จะไม่ ได้ ใหญ่โตมากนัก โดยรูปแบบป้อมก็เพื่อป้องกันการ คุกคามของเพื่อนบ้านในแถบนี้ ไม่ใช่ใช้ป้องกันจาก ชาติมหาอ�ำนาจอื่นๆ

I

n this issue, Interview Column would like to present the interview with 2 prominent historians who are strongly knowledgeable in the Rattanakosin Era 112 Crisis. They will share their knowledge on the subject so that younger generations understand the situation and defensiveroles at that time in order to make themunderstand what we should learn from the history. China was a large commercial market In the past, China was a large commercial market. At that time, ports along the coast of China were forced by western major powers to open as free ports. At any rate, both British and France wanted to go further inland for commercial benefits i.e. to Yunnan where raw materials and natural resources were in abundance. Yunnan was about the same size as Thailand at present. However, the transportation at that time was inconvenient with many difficulties. Why did France want to dominate Indochina? The French authority considered that the Mekong River could be the most convenient route to Yunnan. Therefore, they wanted to occupy the area where the Mekong River passed. French surveyors thoroughly surveyed the area along the river and it was Monsieur Pavi who did a very thorough survey report. France started their colonization pursuit at Vietnam and followed by Khmer. Initially, they succeeded in occupying the eastern part of Khmer but that area was yet far from the access to the Mekong River. They extended their endeavours deeper into the area where the river passed so that later they would reach Yunnan via the Mekong River. By the way, their planned route had to pass Laos which at that time was a Siamese dependency. Siamese disadvantage was that some parts of the Laotian territory overstepped in the mountainous area, not the river. The French authority gradually pushed forward and therefore, the dispute over the territory commenced. The most important point was that France wanted the areas where that river passed which we can see from the Treaty France made with Siam that specified about receiving the land on both left-right of the Mekong River for compensation. The dispute occurred in Laos but why France sent battleships to the Chao Phraya Estuary? Many people may wonder and have question that since France wanted to occupy Laos but why sent battleships to the Chao Phraya Estuary? Why they did not fight where the problem was? The answer should be elaborated that this was

the nature of war and power expansion in the past. Themajor western powers would use their most powerful weapon which was the battleship fleet mounted with guns as their major weapons. Though the dispute occurred in Laos but the transportation was not convenient. It was more convenient to travel to the Chao Phraya Estuary. Therefore, France saw it was better to send 2 battleships to threaten Siam. Clearing the doubt about Phraya Cholayuttayothin, a Danish with French origin, Vice Commander in the Rattanakosin Era 112 Crisis Some people may doubt whether Phraya Chonlayuttayothin who was Danish with French origin did really have determination to defend Siam sovereignty in the crisis. We have to accept that at that time Siam did not have personnel with skills and had to hire foreigners to do many jobs. However, Phraya Chonlayuttayothin was very loyal to Siam that King Rama V clearly put in his note that “foreigner is a foreigner. He is not a Thai that will be fully loyal to us. But, what we should do is that we should learn many things from them and we have to stop hiring them or employ them less.” Fortresses at Paknam should be preserved Samut Prakan has a number of forts built during the reign of King Rama I to King Rama 5. Therefore, we should preserve them to be tourism destination and learning venues for our descendants. These forts, though they were not big, were built for national defense against invasion from neighboring countries not for defending the threats from other major powers. “We should utilize the past history of colonization (Rattanakosin Era 112) as the lesson for developing the country. I don’t want future generations feel angry and hate. They should think of it as a part of history that not only our country faced with colonization threats. Other countriesbe it China, India, Singapore, Laos, Cambodia,Vietnam, Myanmar experienced the same fate. After theRattanakosin Era 112 Crisis,King Rama Vemphasized “we should learn from history and learn from the lessons that actually happened in order to remind ourselves and also to remind our children” In the reign of King Rama VI, troop of Thai militiamen helped fighting together with France in World War I that the French government sent a letter of appreciation to Thailand. I would like readers to understand history otherwise we would be angry with France forever.”


56 Interview สัมภาษณ์พิเศษ

เงินถุงแดง ซึ่งเป็นเงินที่รัชกาลที่ 3 ได้ก�ำไรจากการค้าขาย ในสมัยนั้น น�ำมาชดใช้ค่าความเสียหาย แต่ก็ยังไม่พอ เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงน�ำเงินไปสมทบจนครบ ซึ่งได้มีการบันทึกช่วงเวลาดังกล่าวว่า มีการขนเงินออกไป จากพระราชวังโดยรถม้า บรรดาชาวสยามต่างมายืนดูพวกฝรั่ง ขนเงินขึ้นเรือ จนบางคนร้องไห้ในความสูญเสียครั้งนั้น LECTURER

PALADISAI SITTHITHANYAKIJ A HISTORIAN

อาจารย์ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ นักวิชาการประวัติศาสตร์

ดินแดนปากอ่าว เจ้าพระยา ปากน�ำ้ เจ้าพระยา เป็นชัยภูมทิ ดี่ มี าตัง้ แต่สมัยอยุธยา เพราะไม่วา่ เรือจะเข้ามายังอยุธยาหรือกรุงเทพมหานคร จะต้องเดินเรือมายังปากแม่นำ�้ เจ้าพระยา ซึง่ พืน้ ที่ ตรงบริเวณนัน้ เมือ่ น�ำ้ ลงจะเป็นสันดอนเยอะ จึงท�ำให้เรือ สินค้าทีเ่ ข้า-ออกปากแม่นำ�้ ถ้าไม่มคี วามช�ำนาญเส้นทาง จะต้องจ้างเรือน�ำร่องของไทย เพือ่ น�ำทางเดินเรือไม่ให้ ติดสันดอน ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ครัง้ นัน้ ก็เช่นกัน เรือรบฝรัง่ เศสจึงได้บงั คับเรือขนส่งสินค้าทีช่ ำ� นาญเส้น ทางให้นำ� ร่องเข้ามา ทางฝ่ายไทยจึงระดมยิงเพือ่ จมเรือ น�ำร่องไม่ให้สามารถเข้ามาได้ ฝรัง่ ควบคุมปืนเสือหมอบ ป้อมพระจุลจอมเกล้า เป็นป้อมทีท่ นั สมัยทีส่ ดุ ในเวลา นัน้ เพราะได้ตดิ ตัง้ ปืนเสือหมอบจ�ำนวน 7 กระบอก แต่ละ หลุมปืนจะมีทางเข้าและห้องเก็บกระสุนดินปืน โดยการ เคลือ่ นย้ายกระสุนปืนจะมีรถเลือ่ นเพือ่ คอยล�ำเลียงกระสุน ขึน้ ไปในแต่ละกระบอก มีผคู้ วบคุมการเล็งและยิงปืน เป็นชาวต่างชาติทงั้ หมด หรือแม้กระทัง่ กัปตันเรือรบของ ไทย ซึง่ ถือว่าช่วงนัน้ คนของประเทศเรายังไม่มคี วามรู้ ความสามารถในเรือ่ งเกีย่ วกับอาวุธยุทโธปกรณ์มากนัก

ความสูญเสียในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เหตุการณ์ครัง้ นัน้ ได้สร้างความสูญเสียให้กบั ฝ่ายไทยเป็นจ�ำนวนมาก โดยมีนายทหารเสียชีวติ จ�ำนวน 10 นาย และบาดเจ็บอีก 12 นาย เรืออับปาง 1 ล�ำ และมีเรือปืนเสียหายอีก 1 ล�ำ ส่วนทางฝัง่ ฝรัง่ เศส เสียชีวติ ไป 3 นาย และบาดเจ็บจ�ำนวน 2 นาย โดย มีเรือเกยตืน้ และเสียหายอย่างละ 1 ล�ำ จะเห็นว่าได้ สร้างความเสียหายทัง้ 2 ฝ่าย โดยเฉพาะประเทศไทย ทีต่ อ้ งเสียดินแดนฝัง่ ซ้ายแม่นำ�้ โขง ถึง 143,000 ตาราง กิโลเมตร (ประเทศลาวปัจจุบนั ) เงินถุงแดง หลังจากทีม่ กี ารเจรจาเรือ่ งการรบทีป่ ากน�ำ้ จบแล้ว ฝรัง่ เศสได้เรียกร้องเงินจ�ำนวนมหาศาลกับฝ่ายไทย พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั จึงจ�ำเป็นต้องน�ำเงินถุง แดง ซึง่ เป็นเงินทีร่ ชั กาลที่ 3 ได้กำ� ไรจากการค้าขายใน สมัยนัน้ น�ำมาชดใช้คา่ ความเสียหายแต่กย็ งั ไม่พอ เหล่า ข้าราชการชัน้ ผู้ ใหญ่ จึงน�ำเงินไปสมทบจนครบ ซึง่ ได้มี การบันทึกช่วงเวลาดังกล่าวว่า ได้มกี ารขนเงินออกไปจาก พระราชวังโดยรถม้า บรรดาชาวสยามต่างมายืนดูพวกฝรัง่ ขนเงินขึน้ เรือ จนบางคนร้องไห้ ในความสูญเสียครัง้ นัน้ ฝรัง่ เศสใช้เวลาการขนย้ายเป็นเวลานานกว่าจะเสร็จสิน้ ซึง่ ทหารจะคอยนับจ�ำนวนเงินจนครบ The Chao Phraya Estuary The Chao Phraya Estuary has been a good strategic location since the Ayutthaya period because ships sailed into Ayutthaya or Bangkok had to pass the Chao Phraya Estuary. At low tide there would be many bars that could be obstruction to cargo ships sailing in and out. If they were not familiar with the channel, they had to hire Thai pilot boat to lead them avoiding running ashore. In the Rattanakosin Era 112 Crisis, the French battleships forced French cargo ship that was familiar with the navigation channel to pilot them. The Siamese side bombarded the French pilot ship sinking it from sailing further.

Foreigners controlled disappearing carriage cannons Phra Chulachomklao Fort was the most modern fort at that time with 7 disappearing carriage cannons. Each gun pit had the entrance and cannonball and gunpowder storage. Trolley was use to move cannonballs and gunpowder to each gun pit. The officers who commanded the setting of firing range and the firing were all foreigners even the commanders of Siamese battleships were all foreigners. At that time, our country did not have skillful personnel in utilizing modern armaments. The Damages in Rattanakosin Era 112 Crisis The crisis caused damages to both parties. On Thai side, we lost 10 officers and 12 were injured, 1 ship foundered and 1 gunship damaged. On French side, they lost 3 officers and 2 injured, 1 ships aground and 1 ship damaged. The damages were done to both countries particularly Thailand had to cede the territory on the left of the Mekong River totaling 143,000 sq. km. (at present is Laos). Red Pouch Fund After the negotiation regarding the indemnification for the damages in the battle at Paknam France demanded a huge sum of indemnification. King Rama V had to use the Red Pouch Fund which was the reserves that King Rama III collected from profits from trading in his time to pay France. At that time, many high ranking officers also donated their private reserves to help make the full payment possible. There was a record saying that horse carriages carried money out of the Grand Palace while Siamese were watching in tears. The French took long time in moving the money to their ships and French officers counted the money on board.


มีนาคม 2558 / March 2015

ปากน�้ำ เป็นเมืองที่มี ประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะบริเวณปากอ่าว เจ้าพระยา ที่ถือเป็นด่านแรก ของการเข้ามายังสยาม ท�ำให้พื้นที่ แห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราว ทางประวัติศาสตร์ และถือเป็น จุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม หลายชนชาติ

57


58 Cover Story เรื่องจากปก

VISIT

Phra Chulachomklao Fort

เที่ยวป้อมพระจุลฯ ตามรอย ร.ศ.112 เดินมุดป้อมชมปืนเสือหมอบ สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ

ป้อมพระจุลจอมเกล้า หรือทีเ่ รียกกันสัน้ ๆ ว่า ป้อมพระจุลฯ เดิมมีชอื่ ว่า ป้อม แหลมฟ้าผ่า ตัง้ อยูบ่ ริเวณปากแม่นำ�้ เจ้าพระยา สมุทรปราการ อดีตป้อมแห่งนี้ เป็นสถานทีห่ นึง่ ทีต่ อ้ งจารึกในประวัตศิ าสตร์ชาติไทย ด้วยบทบาทหน้าทีส่ �ำคญ ั ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ประกอบไปด้วยป้อมและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ ทันสมัยทีส่ ดุ ในเวลานัน้ เพือ่ ต่อต้านเรือรบฝรัง่ เศสในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ปัจจุบนั ป้อมแห่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สถานทีบ่ อกเล่าเรือ่ งราว แต่ยงั เป็นแหล่งเรียนรูร้ ากเหง้าทางประวัตศิ าสตร์ ให้คนรุน่ หลังได้ซมึ ซับ เรือ่ งของการป้องกันเอกราชในเวลานัน้ ผ่านป้อมและปืนเสือหมอบ ทีย่ งั คงยืนหยัดอยูต่ ามเดิม ซึง่ ปัจจุบนั ได้รบั การดูแลจากฐานทัพเรือกรุงเทพ ให้เป็นแหล่งประวัตศิ าสตร์และแหล่งท่องเทีย่ ว ไม่เพียงแค่ปอ้ มและ ปืนทีม่ คี วามน่าสนใจ แหล่งศึกษาธรรมชาติปา่ ชายเลน พิพธิ ภัณฑ์เรือ หลวงแม่กลองที่ได้ชอื่ ว่า “เรือครู” ของเหล่านาวี ทีเ่ ก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก และอุทยานประวัตศิ าสตร์ ทีเ่ ก็บรวบรวมปืนของกองทัพ เรือมากมาย ก็มคี วามน่าสนใจไม่นอ้ ย โดยเฉพาะปืนและทุน่ ระเบิด ที่ อยูใ่ นเหตุการณ์ ร.ศ.112 ปัจจุบนั สามารถเช่าหรือปัน่ จักรยาน เพือ่ เทีย่ วชมตามจุดต่างๆ ได้ อย่างเพลิดเพลิน เห็นไหมว่ามาทีเ่ ดียวได้ทงั้ การเรียนรูป้ ระวัตศิ าสตร์ และสัมผัสธรรมชาติโดยรอบบนเนือ้ ทีห่ ลายพันไร่ บริเวณริมอ่าวไทย ได้อย่างสบายๆ


มีนาคม 2558 / March 2015

Phra Chulachomklao Fort or the Thais call in short as ‘Pom Phra Chul’ was formerly called Laem Fahpha Fort situated at the mouth of the Chao Phraya River. The fort holds important historical role in defending national sovereignty. It was equipped with the most modern armaments of that time in order to resist the French battleships in the Rattanakosin Era 112 Crisis. At present this fort is not only a historical site with stories but it is also the place where we can learn about the strategic defensive measures of that time through the layout of the fort and the disappearing carriage cannons which were kept in their original locations. The Bangkok Naval Base is responsible for the upkeep of the fort as the historical and tourism destination that does not have only the fort and cannons but also the mangrove forest education area, museum at HTMS Maeklong which is regarded as the “Grand Master Ship” by naval officers and is the world second oldest battleship, plus historical park with collection of naval armaments particularly those used in the crisis in Rattanakosin Era 112. At present, visitors and rent or ride their bicycles to visit all interesting sites insider the fort. You can easily learn about the history and experience the pristine nature by the Gulf of Thailand in just one visit.

อิฐสร้างป้อม การก่อสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าจะใช้อิฐชนิดพิเศษในการ สร้างป้อมโดยเฉพาะ มีการสั่งจากประเทศอังกฤษโดยบริษัท Ramsay London ซึง่ คุณสมบัตขิ องอิฐจะมีความคงทนแข็งแรง และสามารถซับ แรงกระแทกและสัน่ สะเทือนของการยิงปืนเสือหมอบได้อย่างแข็งแรง ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ Special bricks for fort construction were used in building Phra Chulachomklao Fort. These bricks were imported from Ramsay London Company in England. Their distinctive properties were durability and could fully absorb the impact and vibration from firing. Presently, they are still in good condition.

รูปแบบของอิฐ Spacial bricks

59


60 Cover Story เรื่องจากปก

พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 มีลักษณะฉลองพระองค์เครื่องแบบ เต็มยศจอมพลเรือ สวมพระมาลา หล่อด้วยปลอกลูกปืน น้ำ�หนักกว่า 3 ตัน Statue of King Rama V in full Admiral Uniform completed with hat cast from cannonball casings weighted over 3 tons


มีนาคม 2558 / March 2015

SCARED OBJECT AT THE FORT สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ป้อม หลังจากเดินทางมาถึง สิ่งแรกที่หลายคนไม่ควร พลาดก่อนการเดินชมป้อมนัน้ ก็คอื การเข้าสักการะศาล พระนเรศ-นารายณ์ ทีอ่ ยูบ่ ริเวณด้านหน้า ศาลแห่งนีถ้ อื เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเคารพนับถือ รวมทั้งเหล่าทหาร ในละแวกนั้น มีการเล่าต่อกันว่า ในขณะที่ท�ำการขุดดิน เพือ่ บูรณะป้อมเมือ่ ปี พ.ศ. 2427 หรือช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ได้พบเทวรูปพระนารายณ์ เนือ้ ส�ำริดจ�ำนวน 2 องค์ มีรปู แบบการปัน้ ด้วยฝีมอื ชาวบ้าน ไม่ได้มคี วามประณีตมากนัก จึงได้มีการตั้งชื่อว่า พระนเรศ-นารายณ์ เพื่อให้มีความ คล้องกัน ปางหนึ่งแผงศร อีกปางหนึ่งมี 4 กร และ ตั้งศาลในบริเวณนั้น เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษา ป้อมเรื่อยมา ด้วยความศักดิส์ ทิ ธิจ์ งึ ได้ถกู ขโมยหายไปทัง้ 2 องค์ ตัง้ แต่พระเพลา (หน้าแข้ง) ขึน้ ไป เพราะช่วงด้านล่างได้ ท�ำการโบกปูนทับไว้ ปัจจุบนั เป็นองค์จำ� ลอง ซึง่ ป้อมพระ จุลจอมเกล้าได้ทำ� การหล่อขึน้ มาใหม่โดยใช้ภาพถ่ายเป็น แบบในการหล่อ นับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ป้อมพระจุลฯ จนถึงทุกวันนี้ ที่ต้องสักการะเป็นสิ่งแรก ก่อนเที่ยวชม สถานที่อื่นๆ เดินถัดไปด้านหลังศาลพระนเรศ-นารายณ์ ประมาณ 50 เมตร เราจะพบพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 5 ประทับยืนด้วย ฉลองพระองค์จอมพลเรือ ตัง้ ตระหง่านเพือ่ เป็นอนุสรณ์ และร�ำลึกในพระมหากรุณาธิคณ ุ ทีท่ รงมีตอ่ ประเทศชาติ นานัปการ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ ร.ศ.112 สร้างขึน้ เนือ่ ง ในโอกาสทีป่ อ้ มพระจุลจอมเกล้ามีอายุครบ 100 ปี โดยมี ลักษณะฉลองพระองค์เครือ่ งแบบเต็มยศจอมพลเรือ สวม พระมาลา มีขนาดความสูง 4.20 เมตร หรือ 2 เท่าครึง่ ของ พระองค์จริง มีความพิเศษคือหล่อด้วยปลอกลูกปืน น�ำ้ หนัก กว่า 3 ตัน ส่วนใต้ฐานพระรูป เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการ ไว้ภายใน หลังจากทีเ่ ราได้สกั การะและชมพระบารมีกนั แล้ว ลองเดินเข้าไปชมนิทรรศการภายในกันต่อได้เลย

ศาลพระนเรศ-นารายณ์

Phra Nares-Narai Shrine

The first thing that we should do upon arriving at the fort is to pay homage to the sacred objects at Phra Nares-Narai Shrine in the front of the fort. Villagers and naval officers respect this shrine as their sacred site. Story has it that during the restoration of the fort in 2427 B.E. (1884 A.D.) or in early King Rama V period, two bronze idols of Vishnu were found. The idols were not neatly casted assuming that they were layman workmanship. These two idols were named Phra Nares-Narai. One is in the position of shooting an arrow and the other has four arms. A shrine was set up to enshrine these two idols as the sacred objects of the fort from thereon. Because of their sacredness, they were stolen from the shin up as the lower parts were plastered to the shrine. The present ones are the replica that Phra Chulachomklao Fort has casted from the old photographs and enshrined as the sacred objects of Phra Chulachomklao Fort. We should first pay homage to Phra Nares-Narai before getting on touring the fort. About 50 m. behind Phra Nares-Narai Shrine, we will see the statue of King Rama V standing majestically in full naval Admiral Uniform. The statue is to commemorate his numerous benevolences to the country particularly solving the crisis in Rattanakosin Era 112. The statue was casted on the occasion of the 100th Anniversary of Phra Chulachomklao Fort. The height is 4.20 m. equivalent to two and a half size of his actual height. The uniqueness of the statue lies on the material used in casting, they used the bullet casings weighted over 3 tons. The base of the statue is the exhibition hall. After paying homage, we should walk inside to see the exhibition.

61


62 Cover Story เรื่องจากปก


มีนาคม 2558 / March 2015

63

THE EXHIBITION

ชมนิทรรศการ แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ภายในห้องมีการจัดแสดงนิทรรศการล�ำดับเหตุการณ์ตา่ งๆ ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เมือ่ เข้าไปให้เริม่ เดินด้านซ้ายมือเป็นล�ำดับแรก จะพบนิทรรศการตัง้ แต่ ส่วนที่ 1 เป็นการแสดงแผนทีข่ องประเทศสยามก่อนทีจ่ ะถูกล่าอาณานิคม ว่ามี พืน้ ทีอ่ าณาบริเวณกว้างใหญ่ขนาดไหน หลังจากนัน้ จะเป็นการจัดแสดง ตัง้ แต่ลำ� ดับ เหตุการณ์ทนี่ ำ� ไปสูว่ กิ ฤตการณ์ ร.ศ.112 และบอกเล่าถึงบุคคลส�ำคัญในช่วงเวลานัน้ ส่วนที่ 2 จะเป็นการล�ำดับเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างสยามกับฝรัง่ เศส ทีป่ ากน�ำ้ เจ้าพระยา รวมทัง้ จัดแสดงเรือรบจ�ำลองของทัง้ สองประเทศว่ามีลกั ษณะ และรูปแบบอย่างไร ให้ได้เรียนรูไ้ ปพร้อมๆ กัน ถัดมาจะเป็นการล�ำดับความเสียหาย ภายหลังเกิดเหตุปะทะ รวมทัง้ จุดนัง่ ชมวีดทิ ศั น์ และแผนทีจ่ ำ� ลองเส้นทางการเดิน เรือของฝรัง่ เศส ก่อนเข้ามาบริเวณปากแม่นำ�้ อย่างละเอียด นอกจากนีย้ งั สามารถเรียนรูผ้ า่ นนิทรรศการอืน่ ๆ อีกมากมายเช่น การจ�ำลอง รูปแบบป้อมในอดีต ประวัตปิ อ้ มต่างๆ ในสมุทรปราการ รวมทัง้ วิวฒ ั นาการของ ป้อม ก่อนน�ำไปสูแ่ หล่งท่องเทีย่ วเหมือนในปัจจุบนั ซึง่ ตรงจุดนีจ้ ะเปิดให้เข้าชมใน ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ โดยจะมีวทิ ยากรคอยให้ความรู้ เผือ่ ว่าหลายคนคงจะมีคำ� ถาม สงสัยก็สามารถถามได้เลยในส่วนนี้ หลังจากทีเ่ ราได้เรียนรูป้ ระวัตศิ าสตร์ผา่ น นิทรรศการกันไปแล้ว มาคราวนีเ้ ราลองไปชมป้อมปืนแบบจริงๆ กันว่าจะมีหน้าตา เป็นอย่างไรในการปกป้องประเทศในเวลานัน้ The exhibition presents the chronicle of the crisis in Rattanakosin Era 112. From the entrance, you start from the left to see the first part of the exhibition showing the map of Siam before colonization endeavor of the western powers and you will see how large the country was then. After that is the chronicle of incidents leading to the crisis and stories of important persons during that period. The second part is the chronicle of clashes between Siam and France at the mouth of the Chao Phraya River including the display of battleship models of both countries. Next is the chronicle of damages after the clash including video presentation and detailed map showing the French nautical route before entering the estuary. Moreover, there are many other interesting exhibitions such as simulation of fort in the past, history of other forts in Samut Prakan including the evolution before becoming a tourist destination.This part opens on Saturday and Sundays, an officer is on standby to explain if visitors have any question. After we have learned about the history of the fort, now we will proceed to see the gun pits closely. ภายในนิทรรศการจะลำ�ดับเหตุการณ์ ร.ศ.112 ไว้อย่างละเอียด รวมทั้งสามารถชมวีดิทัศน์ โดยจะมีวิทยากรคอยให้คำ�บรรยาย The exhibition inside depicts the chronicle of Rattanakosin Era 112 Crisis in details including the video presentation with lecturer on hand to explain.

เรือรบจำ�ลองของฝรั่งเศส ในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 Model of French battleships in the Rattanakosin Era 112 Crisis.


64 Cover Story เรื่องจากปก

ภายในป้อมสามารถเดินถึงกันได้ทั้ง 7 หลุม

Inside the fort, all the 7 gun pits were interconnected

DUCK INTO THE FORT

TO SEE DISAPPEARING CARRIAGE CANNONS

เดินมุดป้อมชมปืนเสือหมอบ

ออกเดินจากประตูหอ้ งนิทรรศการมาได้ประมาณ 30 เมตร จะพบ ว่าตรงหน้าของเราจะเป็นประตูทางเข้าสูป่ อ้ มปืน เมือ่ เดินเข้าไปจะพบ ทางเดินระหว่างกลางเป็นห้องโล่ง บนเพดานจะเป็นเหล็กรางรถไฟ หลายคน อาจชวนสงสัย แต่ก็ได้รบั ค�ำบอกเล่าจากวิทยากรว่า ก็เพือ่ วางค�ำ้ ยันระหว่าง ป้อมกับในส่วนทีเ่ ป็นห้องพักทหารและห้องกักเก็บน�ำ้ ไว้ ใช้ ทีต่ อ้ งใช้เหล็กราง รถไฟก็ดว้ ยเพราะเป็นตัวกันแรงสัน่ สะเทือนระหว่างหลุมปืนกับห้องต่างๆ ระหว่างทีม่ กี ารยิงปืนเสือหมอบเพือ่ ไม่ให้เกิดความเสียหาย ซึง่ เหล็กราง รถไฟนีก้ ย็ งั เป็นของดัง้ เดิมกว่า 100 ปีมาแล้ว เมือ่ เดินเข้าไปในป้อมจะมีลกั ษณะคล้ายอุโมงค์ เพดานสูงประมาณ 2 เมตร เรียกว่าเดินแต่ละก้าวต้องระวังอย่างมากโดยเฉพาะคนตัวสูง ภายใน อุโมงค์จะแบ่งออกเป็นห้องพักของพลประจ�ำปืน ห้องคลังดินปืน ห้องคลัง ลูกปืน เพราะต้องแยกออกจากกัน เพือ่ ไม่ให้เกิดการเสียดสีจนท�ำให้ระเบิดได้ ด้านล่างถึงแม้จะเป็นอุโมงค์แต่อากาศก็ไม่รอ้ นเพราะแต่ละห้องจะมีปล่องรับ อากาศด้านบนเพือ่ น�ำอากาศลงมาถ่ายเทด้านล่าง ส่วนตัวปืนจะอยูบ่ ริเวณ ทีต่ งั้ ยิง สูงขึน้ ไปอีกเล็กน้อย หลุมปืนทัง้ 7 หลุม จะสามารถเดินถึงกันได้หมด แต่ละหลุมกว้างมีเส้น ผ่าศูนย์กลาง 7.50 เมตร ลึก 3 เมตร และหนา 1 เมตร ทอดยาวเป็นแนว กว่า 200 เมตร กระบอกปืนหันหน้าออกไปทางปากอ่าวไทย เพือ่ ท�ำหน้าที่ ป้องกันภัยทางทะเล ด้านขวามือของป้อมจะเป็นห้องควบคุมการยิง ภายใน

มีหม้อต้มไอน�ำ้ ซึง่ เป็นตัวขับดันลูกปืนแบบระบบน�ำ้ กับอากาศ ปืนเสือหมอบเป็นปืนใหญ่ทท่ี นั สมัยทีส่ ดุ ในเวลานัน้ ซึง่ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงพระราชทานเงินพระคลังข้างทีห่ รือทรัพย์สว่ น พระองค์ เพือ่ พัฒนาป้อมโดยเฉพาะ ทรงรับสัง่ ให้ซอื้ ปืนทีท่ นั สมัยทีส่ ดุ ในเวลา นัน้ ก็คอื “ปืนเสือหมอบ” ไว้คอยปกป้องประเทศจากชาติตะวันตกทีเ่ ปีย่ มไป ด้วยแสนยานุภาพทางยุทโธปกรณ์ แต่ละหลุมจะมีนายทหารคอยประจ�ำการ อยู่ 10 นาย แยกออกเป็นพลประจ�ำปืนมี 7 นาย และพลกระสุนอีก 3 นาย ในช่วงเวลานัน้ ปืนเสือหมอบมีความทันสมัยอย่างมาก ท�ำให้ทหารไทย ไม่มคี วามรูแ้ ละความช�ำนาญในการยิง ซึง่ แต่ละกระบอกจึงต้องมีทหารชาวต่าง ชาติคอยท�ำหน้าทีส่ ำ� คัญๆ ทหารไทยจะมีหน้าทีเ่ พียงบรรจุกระสุนปืนและ บังคับทิศทางตามค�ำสัง่ เท่านัน้ โดยการยิงแต่ละครัง้ จะใช้เวลาถึงนัดละ 4 นาที ซึง่ ถือว่ามีขนั้ ตอนการยิงทีซ่ บั ซ้อนและรวมกับความไม่ชำ� นาญในการ ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ในเวลานัน้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าท�ำไมถึงเรียกว่าปืนเสือหมอบ ก็เพราะปกติ ลักษณะปืนจะอยูต่ ำ�่ กว่าขอบของหลุมปืน เมือ่ ท�ำการยิง ปืนจะยกตัวสูงขึน้ ด้วย การใช้อากาศและน�ำ้ มันอัด ผ่านหม้อต้มไอน�ำ้ ทีห่ อ้ งควบคุมการยิง แรงดัน จะมาทางท่อทีฝ่ งั อยูด่ า้ นล่าง หลังจากยิงไปแล้วกระบอกปืนก็จะลดล�ำกล้อง ต�ำ่ ลงมา จึงมีลกั ษณะผลุบโผล่ทำ� ให้ขา้ ศึกนัน้ มองไม่เห็น ก็ดว้ ยเพราะมีเนิน ดินสูงบังอีกชัน้ หนึง่ จึงเรียกว่า ปืนเสือหมอบ หรือ ปืนผีหลอก


มีนาคม 2558 / March 2015

ปืนเสือหมอบเป็นปืนใหญ่ทที่ นั สมัยทีส่ ดุ ในเวลานัน้ ซึง่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงพระราชทานเงินพระคลังข้างทีห่ รือทรัพย์สว่ นพระองค์ เพือ่ พัฒนาป้อมโดยเฉพาะ Disappearing carriage was the most modern cannon at that time. King Rama V provided his private reserves for the restoration of the fort

After leaving the exhibition hall for about 30 m. we will see the entrance to the gun pit. Upon entering, we will see a passage in the middle of the bare room and on the ceiling is the railway iron bars which the officer told us that iron bars were used to support the area between the fort and the living quarters and water storage room. They used railway iron bars because they can absorb the impact of firing power between the gun pits and other quarters. Those railways iron bars are original and aged over 100 years. Inside the fort is like a tunnel. The ceiling is about 2 m. high that visitors have to walk carefully especially those who are tall. In the tunnel, there are living quarters for gun crews. Gunpowder storage room and cannonballs storage room had to be separated to avoid getting friction that could lead to an explosion. In the tunnel is not hot because each pit has a ventilator above. The cannon was mounted at the firing station a little higher than the tunnel. Those 7 gun pits were interconnected. Each pit has the diameter of 7.50 m. and 3 m. deep with the wall of 1 m. thick. They lined over 200 m. long with the cannons trained in the direction of the Gulf of Thailand. On the right hand side of the fort is the firing control room. Inside there is a boiler to propel the cannonballs by water and air pressure system. Disappearing carriage was the most modern cannon at that time. King Rama V provided his private reserves for the restoration of the fort. He specially ordered to procure the best cannon model at that time which was the disappearing carriage for the defense of the country against the western powers that were equipped with powerful and better armaments. Each pit had 10 soldiers stationed, 7 were gun crews and 3 were cannonball loaders. At that time disappearing carriage was the most modern cannon that Siamese soldiers did not have any knowledge and skills in firing. Therefore, foreign soldiers were employed for important jobs while Siamese soldiers were responsible only for loading the cannonballs and directed the firing as instructed. It took 4 minutes in each firing. The firing process was considered as being complicated with the lack of skill in using the modern armaments at that time. Many people may wonder why this type of cannon was called disappearing carriage. Theanswer is that in the normal situation the cannon lied low in the pit but when it was time for firing the cannon would elevate by the power of compressed air and oil through boiler in the firing control room. The firing power would flow through the pipe in the ground. After firing, the cannon would be lowered so that the enemy could not see the cannon as there was also a high mound in front of the pit as well. That is why people at that time called this type of cannon disappearing carriage or ghost cannon.

ทางเดินจะมีเหล็กรางรถไฟ คอยค้ำ�ยันเพื่อดูดซับแรง กระแทกในขณะที่ยิงปืน Along the walkways, there were railways iron bars to absorb the impact of cannon firing

นวณระยะทางการยิ คำคำ��นวณระยะการยิ ง ง

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx การค�ำนวณระยะการยิงให้เข้าเป้าในอดีต ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความยาก เพราะต้องใช้ความ ช�ำนาญทางด้านอาวุธ โดยการก�ำหนดทิศทาง ปืนเสือหมอบนั้น ตัวก�ำหนดระยะทางใกล้-ไกล คนท�ำหน้าที่จะต้องค�ำนวณโดยการใส่ดินขับ จะ มาก-น้อยก็ขึ้นอยู่กับระยะ ถ้าค�ำนวณผิด หรือ ไม่มีความช�ำนาญก็อาจจะไม่เข้าเป้าหมาย ผิด กับในปัจจุบันที่น�ำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มา พัฒนาค�ำนวณการยิง ทั้งระยะทางและจุดพิกัด ได้อย่างแม่นย�ำ In the past, the calculation of firing range to hit the target was very difficult because it needed skill in using the weapon. For the disappearing carriage cannon, the responsible firing master should calculate the amount of gunpowder depending on the distance of targeted objected. If miscalculated or did not have enough skills the firing would not hit the target. It is unlike at present that computer technology can precisely calculate the firing distance and the target aiming.

65


64 Cover Story 66 เรื่องจากปก

หลุมปืนเสือหมอบ

Disappearing Carriage cannon inside the fort


มีนาคม 2558 / March 2015

65 67


68 Cover Story เรื่องจากปก

Caliber

ความกว้าง ปากล�ำกล้อง

152.4 mm.

FEATURES AND CAPABILITIES OF THE

DISAPPEARING

CARRIAGE CANNON ลักษณะและความสามารถของปืนเสือหมอบ ปืนเสือหมอบ สร้างขึน้ ระหว่างปี พ.ศ. 2428-2429 โดยบริษทั เซอร์ ดับบลิว จี อาร์มสตรอง จ�ำกัด (SIR W.G. ARMSTRONG) ประเทศอังกฤษ เป็นปืนบรรจุท้ายรุ่นแรกของกองทัพเรือ ประเทศไทยได้จัดซื้อเพื่อเตรียมการป้องกันประเทศในเหตุการณ์ ร.ศ.112 จ�ำนวน 10 กระบอก ติดตั้งไว้ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าจ�ำนวน 7 กระบอก และอีก 3 กระบอก ติดตั้งไว้ที่ป้อมผีเสื้อสมุทร ใช้ก�ำลังพลประจ�ำปืนทั้งสิ้น 10 นาย ต่อกระบอก เป็นเจ้าหน้าที่ประจ�ำปืน 7 นาย และเจ้าหน้าที่ คลังลูกปืนและดินปืน 3 นาย พลประจ�ำปืน จะท�ำหน้าที่บรรจุหัวลูกปืน ดินขับ ดินเริ่ม ไพรเมอร์ หลังจากนั้นจะท�ำการปิดลูกเลื่อนและปรับแต่ง และบังคับทิศทางตามค�ำสั่งของห้องควบคุมการ ยิง ปืนจะยกขึ้นสูงเหนือปากหลุม เพื่อท�ำการยิงปืนเสือหมอบ ยิงด้วยวิธีการกระตุกเชือกเพื่อให้ สลักไปกระทบกับจุดยิง โดยคนที่ท�ำหน้าที่นี้จะยืนอยู่บริเวณด้านบนปากหลุม หลังจากยิงไปแล้ว แรงดันของปืนจะบังคับล�ำกล้องให้กลับลงมาในหลุมปืนตามเดิม The disappearing carriage cannon founded during 2428-2429 B.E. (1885-1889 A.D.) by Sir W.G. Armstrong in England. It was the first model of breech loading cannon that the Royal Thai Navy bought 10 cannons for the defensive operation in the Rattanakosin Era 112 crisis. Of all the ten cannons bought, 7 were mounted at Phra Chulachomklao Fort and 3 at Pee Suea Samut Fort. 10 gun crews were assigned to each cannon of which 7 were responsible for firing preparation and 3 were responsible for securing cannonballs and gunpowder. Gun crews were responsible for loading cannonballs and gunpowder, closing the cartridge and adjusting the firing range according to the order from the firing control room. The cannon would rise automatically over the wellhead of the pit for firing. Another crew standing at the wellhead of the pit would pull the firing lanyard so that explosive bolt would impinge the mortar. After firing, the pressure of the cannon would force the cannon to lower into the pit.

Controll point of Elevation

จุดควบคุมการยกตัวของปืน

producer Sir W.G. Armstong บริษัทผลิตปืนเสือหมอบ


มีนาคม 2558 / March 2015

Cannonball 155 mm. กระสุนปืนใหญ่กลางวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร

69

ความกว้าง ปากล�ำกล้อง 152.4 มิลลิเมตร ความยาวจากท้ายปืนถึงล�ำกล้อง 5.20 เมตร ความยาวล�ำกล้อง 4.865 เมตร ระยะยิงได้ไกลสุด 8,046 เมตร มุมกระดกสูงสุด 15 องศา ตํ่าสุด-3 องศา บรรจุกระสุนจากท้ายล�ำกล้อง เกลียวล�ำกล้องเป็นเกลียวบิดทวี 28 เกลียวเวียนขวา รังเพลิงกว้าง 200 มิลลิเมตร หมุนได้ 360 องศา นํ้าหนัก 5 ตัน

Highest elevation มุมกระดกสูงสุด -3 to 15 degree

-3 to15 degree

Breech loading ความยาวจากท้ายปืนถึงล�ำกล้อง

Length (Barrel to Trail)

5.20m.

28-right rifling increasing twist บรรจุกระสุนจากท้ายล�ำกล้อง เกลียวล�ำกล้องเป็นเกลียวบิดทวี

28 เกลียวเวียนขวา

ความยาวล�ำกล้อง

Barrel length 4.865M.

platform

controller ที่บังคับฐานปืน


70 Cover Story เรื่องจากปก

NAVAL HISTORICAL PARK

อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ

ปืน 40/40 มิลลิเมตรแท่นคู่

40/40mm gun Double podium.

หลังจากมุดป้อมมาได้สักพัก ก็ออกมาสูด อากาศด้านนอกกันต่อที่ อุทยานประวัติศาสตร์ ทหารเรือ หรือ อุทยานปืน แหล่งเรียนรู้และจัด แสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ส�ำคัญของกอง ทัพเรือ จะมีอาคารนิทรรศการ จัดแสดงภาพ ความเสียหายจากการรบ นอกจากนี้ยังมีการจัด แสดงพิพิธภัณฑ์อาวุธยุทโธปกรณ์กลางแจ้ง ปืน ที่เคยใช้ ในกองทัพเรือ ตั้งแต่สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 1และ 2 สงครามเวียดนาม ตั้งแต่ปืน ขนาดเล็กจนถึงทุ่นระเบิดและตอร์ปิโด แยกออก เป็นกลุ่มๆ อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเราจะพา ไปดู ทุ่นระเบิดที่ใช้วางเป็นแนวป้องกันเรือรบ ของฝรั่งเศสในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 สิ่งแรกที่เรามาถึงตรงจุดนี้ต้องมาชม ทุ่น ระเบิด (แบบหมวกแขก) โดยพระราชด�ำริของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรง รับสั่งให้วางทุ่นระเบิดทั้งสิ้น 16 ลูก เป็นหนึ่ง ในอาวุธส�ำคัญของเรา ที่ใช้วางขวางเป็นแนว ป้องกันไม่ให้เรือรบฝรั่งเศส ล่วงล�้ำเข้ามา ซึ่ง การจะท�ำให้ระเบิดนั้นจะต้องใช้ปืนยิง หรือให้ เรือฝรั่งเศสแล่นมาชน ท�ำให้เกิดแรงกระแทก จึงจะระเบิด

ทุ่นระเบิด (แบบหมวกแขก)

marine mines (Indian hood style)

After touring the fort, we will go to Naval Historical Park where armaments of the Royal Thai Navy are on display. There is an exhibition hall displaying the photos of the damages after the clashes. Moreover, there is an outdoor exhibition of naval armaments that were in service since World War I and II, and Vietnam War including small size guns to marine mines and torpedoes. We specifically want to see marine mines used as the defensive line to block the French battleships in the Rattanakosin Era 112 Crisis. The first thing that we should see is the marine mines (Indian hood style) that King Rama V ordered 16 pieces of such marine mines blocking the French battleships from encroaching Siamese territorial waters. The marine mines would explode after being shot at or impinged by the French ships.


มีนาคม 2558 / March 2015

นอกจากทุน่ ระเบิดทีเ่ ราดูแล้วนัน้ ลอง เดิน ถัด มาอีก เล็ก น้อ ยจะพบปืน ล้อ สนามที่ เป็นอาวุธคอยป้องกันในเหตุการณ์ครัง้ นัน้ ซึง่ ปืนชนิดนีม้ ชี อื่ ว่า ปืน 47/40 เป็นปืนล้อ สนาม ผลิตบริษทั เดียวกับปืนเสือหมอบ โดย การบรรจุกระสุนบริเวณท้าย ซึง่ ถือว่าทันสมัย ในเวลานัน้ คอยยิงสกัดเรือรบของฝรัง่ เศส ควบคูไ่ ปกับปืนเสือหมอบ และมีชอื่ เรียกขาน อีกอย่างหนึง่ ว่า “ปืนเทีย่ ง” เพราะนอกจากจะ เป็นปืนทีป่ ระจ�ำการอยูท่ ปี่ อ้ มพระจุลจอมเกล้า แล้ว ปืนนีย้ งั ประจ�ำการอยูท่ ก่ี รุงเทพมหานคร มีหน้าทีย่ งิ เพือ่ บอกเวลาตอนเทีย่ งวัน ในเขต บริเวณพระนคร หลังจากได้เรียนรูเ้ รือ่ งปืนของไทยไป แล้ว มาคราวนีล้ องไปดูทางฝัง่ ฝรัง่ เศสกัน ว่าเรือรบเขาใช้ปนื อะไรกันบ้าง ปืนนีจ้ ะอยูบ่ น หัวเรือรบของฝรัง่ เศสคอยยิงต่อสูก้ บั ไทยใน วันนัน้ เป็นปืนกลขนาด 37 มม. เวลายิงจะมี ลักษณะการหมุน และมีขดี ความสามารถสูง ยิงได้ถงึ 400 นัด/ นาที ยิงได้ไกลประมาณ 400 เมตร ลองคิดเอาว่า ปืนเสือหมอบทีเ่ รา ใช้ ในวันนัน้ ยิง 1 นัด ต้องใช้เวลาประมาณ 4

ปืนใหญ่ในสมัยก่อน ที่จัดแสดงอยู่ตรงบริเวณหน้าอุทยาน

Old cannon Displaying located directly in front of the park.

ปืนกล 37 มิลลิเมตร 5 ลำ�กล้อง

37mm. 5 barrel machine gun.

นาที ถึงแม้วา่ กระสุนของเราจะใหญ่กว่า แต่ ด้วยช่วงเวลาทีห่ า่ งกันท�ำให้เกิดข้อได้เปรียบ เสียเปรียบอย่างชัดเจน หลังจากเดินชมไปรอบๆ พบว่ายังมีอาวุธ ปืนทีน่ า่ สนใจมากมาย ทัง้ เครือ่ งยิงต่อต้าน อากาศยาน เครือ่ งยิงตอร์ปโิ ด เพือ่ ท�ำลายเรือด�ำน�ำ้ หรือจะเป็น ปืนขนาด 102/45 ทีส่ ามารถยิง ได้ไกลถึง 9.8 กม. และต้องไปสะดุดตากับปืน ล้อสนามที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่มหี น้าทีอ่ นั ยิง่ ใหญ่ คือการยิงรถถัง หลายคนฟังแล้วก็อาจจะสงสัย แต่ขอเฉลยว่าวิธกี ารยิงของมันนัน้ คงไม่ได้ยงิ เพือ่ ต้องการท�ำลายให้รถถังระเบิดเป็นเศษเหล็ก แต่จะเป็นการยิงไปทีส่ ายพาน เพือ่ หยุดการขับ เคลือ่ นรถไม่ให้สามารถไปไหนได้นนั่ เอง

คำ�ไกลปื นวณระยะทางการยิ นเที่ยง ง

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx “ไกลปืนเที่ยง” เป็นส�ำนวนไทย หมายถึง การห่าง ไกลความเจริญ สมัยอดีตยังไม่มีเครื่องบอกเวลา เหมือนในปัจจุบนั แต่จะใช้วธิ กี ารยิงปืนเป็นการบอก เวลาแทน ไกลปืนเที่ยงจึงมีหมายความว่า อยู่ไกล มากจนไม่ได้ยนิ เสียงสัญญาณปืนทีบ่ อกเวลานัน่ เอง

“Klai Puen Tiang” is a Thai colloquial phrase means far from civilization. In the past, there was no clock to tell the time as it is today. So, they told the time by shooting. Thus, “Klai Puen Tiang” means living far away that one could not hear the shot signaling the noon time.

71

ปืน 70/40 มิลมิเมตร แบบ 78 ยิงเร็วมุมสูง 70/40mm. gun high angle shot.

A little further from the marine mines, we will see cannons on wheels used in the crisis as well. This model was called 47/40 model founded at the same company with the disappearing carriage cannons. Cannonballs were loaded at the breech which was considered a very modern technique at that time. 47/40 helped in firing blocked shots to the French ships along with the firing from disappearing carriages cannons. This model of cannon was called in another name as “Klai Puen Tiang” (literally means ‘far from the noon shot’ because apart from being in service at Phra Chulachomklao Fort, this cannon was also in service in Bangkok to fire a shot within the city center signaling the noon time. After learning about Thai cannons, now we will see what the French had in their battleships. The gun at the prow was the 37 mm. machine gun that would swivel when fired. It had high firing capability at 400 shots/minute and the firing range was approximately 400 m. Our disappearing carriage cannon took 4 minutes for a shot and our cannonballs were bigger. With such a difference in firing time, the disadvantages were vivid. Walking around, we will see that there are many other interesting armaments such as antiaircraft guns, torpedo firing machine for destroying submarines, or be it the 102/45 cannon that the effective firing range was as far as 9.8 km. We are struck by cannon on wheel though it is not big but its duty is very important i.e. shooting tanks by training the shot at track shoe to stop the tanks from moving.


72 Cover Story เรื่องจากปก

HTMS MAEKLONG MUSEUM The Grand Master Ship for Naval Officers

พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง “เรือครู” เหล่านาวี หลังจากเราเยีย่ มชม ป้อมปืนและเรียนรูก้ ารท�ำงาน ของการยิงไปแล้วนัน้ เราลองมาพบกับอีกสถานทีท่ ี่ได้ รับความสนใจไม่แพ้กนั นัน้ ก็คอื พิพธิ ภัณฑ์เรือหลวง แม่กลอง ซึง่ เป็นเรือรบประเภทเรือสลุป (Sloop) ขึน้ ประจ�ำการในราชนาวีตงั้ แต่ปี พ.ศ.2480 หลังจากนัน้ ได้ปลดประจ�ำการ ในปีพ.ศ. 2539 รวมเวลากว่า 59 ปี นับว่าเป็นเรือทีป่ ระจ�ำการยาวนานทีส่ ดุ ในประวัตศิ าสตร์ ของกองทัพเรือไทย และเป็นเรือรบทีเ่ ก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก เรือ GUN SHIP ชือ่ GUANAJUATO ของประเทศเม็กซิโก ส�ำหรับเรือหลวงแม่กลองล�ำนี้ เคยปฏิบตั กิ าร ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึง่ ออกท�ำภารกิจลาด ตระเวนในน่านน�ำ้ อ่าวไทย ขณะนัน้ จัดว่าเป็นเรือทีม่ คี วาม ทันสมัยไม่นอ้ ย เนือ่ งจากมีการติดตัง้ อาวุธยุทโธปกรณ์ อย่างครบครัน้ และยังมีเครือ่ งบินทะเล แต่ไม่ได้มรี นั เวย์ บนตัวเรือ เนือ่ งจากเป็นเครือ่ งบินน�ำ้ แต่จะใช้รอกยกลง จากตัวเรือสูพ่ นื้ ทะเลนัน้ เอง ถือว่ามีแสนยานุภาพมาก และเป็นทีน่ า่ เกรงขามของข้าศึก และเป็นเรือล�ำแรก ของไทย ทีม่ เี ครือ่ งบินทะเลประจ�ำการติดเรือ การเทีย่ วชมนัน้ ก็สามารถเดินขึน้ ชมส่วนต่างๆ ของเรือได้ตามสบาย เรียกว่าเดินส�ำรวจได้ทกุ ซอกทุก มุม ตัง้ แต่ สะพานเดินเรือ จนถึงห้องครัวขนาดย่อม

พร้อมกับหม้อหุงข้าวทีท่ ำ� ด้วยเหล็กขนาดใหญ่ ไว้คอย เลีย้ งเหล่าทหารในยามศึก และห้องพักนายทหารต่างๆ ท�ำให้สามารถรับรู้ ว่าการออกทะเลกับเรือรบนัน้ ใช่วา่ จะมีความเป็นอยู่ สุขสบายนัก ก็ดว้ ยเนือ้ ทีท่ จ่ี ำ� กัด ก็ทำ� ให้หอ้ งไม่กว้าง ขวางและสะดวกสบาย นอกจากนี้ ส่วนของอาวุธต่างๆ ก็ยงั มีประจ�ำการ อยูร่ อบๆ เช่น ปืนใหญ่ จ�ำนวน 4 กระบอก ตอร์ปโิ ด ขนาด 450 มม. ท่อคู่ 2 แท่น ปืนกล หรือจะเป็นท่อ ยิงลูกระเบิดน�ำ้ ลึก เพือ่ ต่อสูก้ บั เรือด�ำน�ำ้ รางทิง้ ทุน่ ระเบิด เรือเล็กประจ�ำเรือ และทุน่ ระเบิดน�ำ้ ลึก ปืน ต่อสูอ้ ากาศยาน สองกระบอกคู่ อยูท่ างท้ายเรือ ซึง่ ท�ำให้เห็นว่าในอดีตนัน้ เรือหลวงแม่กลอง เต็มเปีย่ ม ไปด้วยประวัตศิ าสตร์ความเกียงไกรเพียงใด สมแล้วที่ เป็นเรือรบทีท่ รงอานุภาพทีส่ ดุ ในเวลานัน้ แต่ถา้ ใครแข็งแรงหน่อย ก็สามารถปีนบันได เหล็กอันสูงชัน ขึน้ ไปทีช่ นั้ 2 จะพบห้องควบคุมและ หอบังคับการเดินเรือ รวมทัง้ ทีต่ งั้ ปืนกลทีอ่ ยูบ่ ริเวณด้าน หน้า พอกลับลงมาชัน้ ล่างก็อย่าลืมไปอุดหนุนร้านค้าขาย ของทีร่ ะลึกของป้อมพระจุลฯ ทีค่ อยเปิดต้อนรับนักท่อง เทีย่ วทัง้ รุน่ จิว๋ รุน่ ใหญ่ในทุกๆวัน ติดไม้ตดิ มือกลับไปกัน

บริเวณด้านบนเรือ The atmosphere on board


มีนาคม 2558 / March 2015

After visiting the gun pits and learn about the shooting, we will proceed to another interesting location i.e. HTMS Maeklong Museum. HTMS Maeklong was a sloop that was in service over 59 years since 2480 B.E. (1937 A.D.) and discharged in 2539 B.E. (1996 A.D.) It was considered the longest in service ship of the Royal Thai Navy. Moreover, it is recorded as the world second oldest battleship, second only to the Guanajuato of the Mexican Navy. HTMS Maeklong used to participate in the World War II with the main responsibility to patrol Gulf of Thailand. At that time, it was considered one of modern ships because it was fully equipped with armaments including seaplane. However, there was no runway or landing track on the ship since they used pulley to haul the seaplane in and out of the sea. Thus, HTMS Maeklong was formidable and also the first battleship of the Royal Thai Navy that had seaplane.

ห้องบังคับการเรือ Commodore Room

For the tour of the ship, we can visit every corner of the ship from the compass bridge to the tiny kitchen with large iron crockery and living quarters of officers on board. We can see that living on board a battleship is not convenient because of limited space. Moreover, all the weapons are still in their original mounting stations such as 4 cannons, 450 mm. torpedo firing machine with twin pipes, machine gun, or be it deep water explosive firing pipe to combat with submarines, bomb disposal chute, small boats and deep water bombs. At the stern, there are two antiaircraft guns. Therefore, we can imagin how glorious HTMS Maeklong was in the past. Strong visitors can climb steep iron stairs to the deck level where they will see control room, compass bridge with machine gun at the front. When climbing down, do not forget visiting the souvenir shop for some souvenirs.

ห้องนอนทหารเรือ Naval bedroom

73

เรือหลวงแม่กลอง เรือหลวงแม่กลอง ( H.T.M.S Maeklong ) ตัวย่อ H.T.M.S ถือเป็นค�ำสงวนทีใ่ ช้เฉพาะกองทัพ เรือของชาติ ทีย่ งั มีระบบกษัตริยป์ กครอง ด้วย ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเป็น ประมุข จึงยังเรียกกองเรือว่าเรือหลวง ส�ำหรับ ตัวย่อนัน้ ก็ยอ่ มาจาก His Thai Majesty Ship ตัวอย่างของอังกฤษนัน้ ก็จะมีเรือหลวงเช่นกัน แต่จะใช้ ตัวย่อ H.M.S ซึง่ ย่อมาจากค�ำว่า Her Majesty Ship เพราะอังกฤษมีประมุขเป็นราชินี นัน่ เอง ไม่วา่ ชาติมหาอ�ำนาจจะใหญ่โตเพียงไหน ก็ไม่สามารถใช้ตวั ย่อเหล่านี้ได้ ถ้าไม่มพี ระราชา หรือราชินี เป็นประมุขของประเทศ The abbreviation HTMS is reserved for the country with monarchy system. Since Thailand is a constitutional monarchy country, ships in the naval service are all considered royal ships. HTMS stands for His Thai Majesty Ship. England uses HMS which stands for Her Majesty Ship because the country is ruled by a queen. Other countries that do not have the monarchy system, regardless how powerful they are, cannot use such abbreviation with the naval fleet.

ด้วยความที่เรือหลวงแม่กลองมีเกียรติประวัติอันยาวนาน จึงรับ หน้าที่เป็นเรือยิงสลุตในพิธีสำ�คัญต่างๆ อยู่เป็นประจำ� เมื่อใดมี การจัดเรือใหญ่หลายลำ�รวมกันเป็นหมู่เรือออกไปปฏิบัติงาน เรือ หลวงแม่กลองก็จะได้รับเลือกให้เป็นเรือบัญชาการ ที่ในหมู่ชาว ทหารเรือเรียกกันว่า “เรือธง” The HTMS Maeklong has a long standing reputation that it always appointed as salute firing ship in important ceremonies. Whenever a fleet was formed for marine operations, HTMS Maeklong was always appointed as the commanding ship that the naval officers call “Flag Ship”.


74 Cover Story เรื่องจากปก

THE FIRST TELEGRAM POLE BANGKOK-PAKNAM

ชมเสาโทรเลขสายแรก กรุงเทพฯ – ปากน�้ำ ระหว่างเดินออกมาเพือ่ ไปยังจุดมุง่ หมายต่อไป ลองแวะชมเสาโทรเลขสายแรก ซึง่ ได้สร้างขึน้ ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั จากกรุงเทพฯ ไปปากน�้ำ และได้วางเคเบิลโทรเลขใต้น�้ำ ต่อออกไป ถึงกระโจมไฟนอกสันดอนปากแม่น�้ำเจ้าพระยา รวม ระยะทางทั้งสิ้น 45 กิโลเมตร เพื่อรายงานการเข้า ออกเรือบริเวณปากน�้ำ เข้าไปยังสถานีปากน�้ำ ต่อ ไปที่กรุงเทพฯ หลังจากนั้นจะมีการสั่งการไปยังป้อม พระจุลจอมเกล้า เพื่อเป็นการส่งข่าวทางราชการใน สมัยนั้น และเป็นการสั่งการในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ในครัง้ นัน้ ด้วย เห็นอย่างนีแ้ ล้วต้องบอกว่าในช่วงนัน้ ประเทศไทยเป็นประเทศทีพ่ ฒ ั นาอย่างมากไม่ดอ้ ยไป กว่าชาติอื่นๆ แม้กระทั่งชาติตะวันตก Before proceeding further, we stop to see the first telegram pole from Bangkok to Paknam built in the reign of King Rama V. Underwater cable was extended to the lighthouse outside the estuary bar with the total distance of 45 km. to report the in and out of ships at the estuary to the Paknam station before relaying the message to Bangkok after which orders would be sent to Phra Chulachomklao Fort. It served as a means to relay official orders at that time. In the Paknam Crisis, orders were issued via this means of communication. We can say that at that time Thailand was a developed country, second to none even the western countries.


มีนาคม 2558 / March 2015

75

ป่าชายเลนห้อมล้อมไปด้วยต้นโกงกางและสัตว์นานาชนิด Abundant mangrove

WALKWAT INTO

THE MANGROVE FOREST

สะพานชมป่าชายเลน

หลังจากเยีย่ มชมพิพธิ ภัณฑ์เรือหลวงแม่ กลองและแวะชมเสาโทรเลขมาได้สกั ระยะ เราเดิน มุง่ หน้าไปจุดต่อไปที่ สะพานชมป่าชายเลน พืน้ ที่ อนุรกั ษ์ธรรมชาติบริเวณป้อมแห่งนี้ มี 2 จุดด้วยกัน จุดแรกเป็นสะพานไม้ทอดยาวติดริมอ่าว มี ต้นโกงกางใบใหญ่โอบตัว เพือ่ คลุมแสงแดดให้ ความร่มเย็นในขณะเดินบนระยะทางประมาณ 200 เมตร ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพืน้ ทีท่ ำ� ให้สามารถ พบเห็น ปู ปลาจุมพรวด (ปลาตีน) และลิงแสม ต่าง ออกมาทักทายและหาอาหาร พร้อมแวะซุม้ พักผ่อน ส�ำหรับผูเ้ ข้าเยีย่ มชมระบบนิเวศป่าชายเลน นัง่ รับ ลมได้แบบสบายๆ จุดทีส่ องห่างกันเล็กน้อย เป็นผืน ป่าปกคลุมหนาแน่น ด้วยการดูแลเป็นอย่างดี เพือ่ เป็นแหล่งเรียนรูท้ างธรรมชาติ ระหว่างทางตามจุด ต่างๆ มีขอ้ ความให้ความรูเ้ กีย่ วกับระบบนิเวศชายฝัง่ พืชพันธุ์ไม้ และสัตว์ชายเลน รวมถึงนิทรรศการเปิด โลกป่าชายเลน ท�ำให้การเดินชมธรรมชาตินอกจาก จะท�ำให้จติ ใจร่มรืน่ ระหว่างทางแล้วยังเกิดอรรถรส ในการเรียนรูไ้ ปพร้อมๆ กันอีกด้วย ปัจจุบนั บริเวณป่าชายเลนแห่งนีเ้ ขียวชอุม่ ไปด้วยไม้ปา่ ชายเลนหลากหลายพันธุ์ ทัง้ ยังเป็น แหล่งทีอ่ ยูอ่ าศัยของสัตว์นำ�้ และนกนานาชนิด ที่ สร้างบรรยากาศอันน่ารืน่ รมย์ให้แก่ผทู้ มี่ าท่องเทีย่ ว ได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายด้วยการนัง่ กินลมชมวิวริมอ่าวไทย ที่ สะพานชมภูมปิ ระเทศเฉลิมพระเกียรติ ตัง้ อยูบ่ ริเวณ พิพธิ ภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง สะพานคอนกรีตที่ ทอดยาวกว่า 110 เมตร ปลายสะพานเป็นศาลา

ส�ำหรับแวะพักและเป็นจุดทีน่ กั ท่องเทีย่ วสามารถชม พระอาทิตย์ตก หรือเพลิดเพลินไปกับลมธรรมชาติ และชมเรือบรรทุกสินค้า ทีเ่ ข้าออกปากแม่นำ�้ เจ้าพระยาไม่เว้นวัน นับว่าเป็นจุดผักผ่อนยอดฮิต หลังจากทีเ่ ราได้ไปเรียนรูป้ ระวัตศิ าสตร์และสัมผัส ถึงธรรมชาติอนั บริสทุ ธิ์ หรือถ้าใครจะแวะพักทาน อาหารก่อนกลับก็จะได้บรรยากาศไปอีกแบบทีร่ า้ น อาหารสโมสรท้ายเรือหลวงแม่กลอง ไม่ใกล้ไม่ไกล จากบริเวณสะพานเท่าไรนัก รับประทานอาหารริม อ่าว เปลีย่ นบรรยากาศให้หายเหนือ่ ยแล้วค่อยเดิน ทางกลับ ก็เป็นตัวเลือกทีน่ า่ สนใจไม่แพ้กนั After visiting HTMS Maeklong museum and the telegram pole, we head for the next destination – walkway into the mangrove forest which is divided into 2 parts. The first is a wooden walkway stretches along the Gulf with big mangrove trees providing shades while walking on this 200 m. walkway. The area is very fertile that we can see crabs, blue-spotted mudskippers and crab-eating macaque. There is a pavilion for visitors to cherish the ecosystem of mangrove forest to rest and enjoy cool breeze. The second part is just a little further away. It is a dense mangrove forest with very well caretaking. It is a natural learning venue. Along the way, there are information boards educating visitors about the coastal ecosystem, plants and mangrove fauna including the mangrove discovery exhibition. At present, this mangrove forest is rush green with diverse species of mangrove flora and also the habitat of diverse aquatic animals that create a pleasant atmosphere for visitors.

Lastly, we complete our trip with a stop for relaxation by the Gulf of Thailand at the Chalermprakiat Bridge in the vicinity of HTMS Maeklong museum. It is a 110 m. concrete jetty. At the end of the jetty is a pavilion for a stop to enjoy the scenery and to watch the sunset or to watch cargo ships sailing in and out. It is a popular spot after learning the history and enjoying the pristine nature. For some, they may want to have something filling their stomach before heading home. There is a restaurant, not far from the bridge, where visitors can enjoy the meal by the Gulf. Another interesting choice of activities.

ที่ตั้ง : ต. แหลมฟ้าผ่า อ.พระ สมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เปิดบริการทุกวัน เวลา 06:00 – 21:00 น. Laem Fahpha Sub-district, Phra Samut Chedi District, Samut Prakan Everyday: 06.00-21.00 hrs. การเดินทางโดยทางรถยนต์ส่วนตัว วิง่ ตามถนนสุขสวัสดิ์ มุง่ หน้าสูส่ ามแยกเจดีย์ ด้านซ้าย มือจะเป็นทางเข้าวัดพระสมุทรเจดีย์ ให้เลีย้ วไปทางขวา มุ่งหน้าสู่ป้อมพระจุลจอมเกล้า วิ่งตรงไปประมาณ 6 กิโลเมตร จะเจอป้อมทหารรักษาการณ์บริเวณทางเข้า ตรงเข้ามาตามป้ายสักระยะก็ถึงที่หมาย


76 Cover Story เรื่องจากปก


มีนาคม 2558 / March 2015

ป้อมผีเสื้อสมุทร เกาะกลางน้ำ�เจ้าพระยาที่ถูกโอบล้อมด้วย ธรรมชาติ และชุมชนท้องถิ่น Pee Suea Samut Fort, an islet in the Chao Phraya River in the embrace of nature and native communities

77


78 Cover Story เรื่องจากปก

ทางเดินสะพานไม้ที่ทอดยาวเข้าไปให้ความร่มรื่น และเย็นสบาย

Wooden walkway stretches into the pleasant shade and coolness


มีนาคม 2558 / March 2015

79

NATURE lOVER’S PARADISE

BUTTERFLY ISLAND เกาะผีเสื้อ สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ ป้อมผีเสือ้ สมุทร หรือ เกาะผีเสือ้ ถือว่ามีความส�ำคัญในการปกป้องเอกราชในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 อีกป้อมหนึง่ เพราะได้เตรียมพร้อมและประจ�ำการปืนเสือหมอบจ�ำนวน 3 กระบอก จากทัง้ สิน้ 10 กระบอก ที่ ได้สงั่ ซือ้ จากประเทศอังกฤษ

Pee Suea Samut Fort or Pee Suea Islet is regarded as one of the places holding important roles in protecting Siamese sovereignty during the Rattanakosin Era 112 Crisis where 3 of all 10 available sua morb (disappearing carriage) cannons bought from England and available in Thailand at that time were mounted.

ป้อมแห่งนีม้ ลี กั ษณะเฉพาะคือ ตัง้ อยูบ่ น เกาะในแม่นำ�้ เจ้าพระยา ซึง่ อยูใ่ นระหว่างทางเดิน เรือ 2 ทาง บริเวณพระสมุทรเจดีย์ โดยพระบาท สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้สร้างขึน้ เมือ่ ปี พ.ศ. 2362 หรือ 196 ปี มาแล้ว ตัวป้อมมีลกั ษณะเหมือนผีเสือ้ ใช้ดา้ นหาง ผีเสือ้ เป็นทางเข้า ต่อมาทางเดินเรือด้านในตืน้ เขิน จนเรือใหญ่ไม่สามารถแล่นผ่านได้ ทีต่ งั้ ป้อมจึงชิด ติดกับฝัง่ มากยิง่ ขึน้ อาวุธยุทโธปกรณ์ประจ�ำป้อมในอดีต ใช้ปนื ใหญ่รนุ่ เก่า เป็นลักษณะบรรจุลกู ดินทางปากกระบอก และได้เริม่ ใช้ปนื ใหญ่บรรจุลกู ทางท้ายแทน เมือ่ ปี พ.ศ. 2435 เป็นปืนชนิดหลุม ขนาด 6 นิว้ รวม 3 กระบอก แบบเดียวกับทีป่ อ้ มพระจุลจอมเกล้า โดยมีนายพลเรือโท พระยาวิจติ รนาวี (วิลเลียม บุณยะกลิน) เป็นนายช่างกลท�ำการติดตัง้ ปืนนี้ ถือ เป็นอีกหนึง่ ป้อมทีม่ ปี ระวัตศิ าสตร์ควบคูไ่ ปกับป้อม พระจุลจอมเกล้าในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ถึงแม้จะ มีบทบาทไม่เทียบเท่าป้อมพระจุลฯ แต่ก็ได้เตรียม พร้อมเพือ่ ปกป้องเอกราชไม่แพ้กนั ปัจจุบนั ป้อมผีเสือ้ สมุทร หรือทีช่ าวบ้านเรียก จนติดปากว่า เกาะผีเสือ้ ได้ปลดประจ�ำการและ เป็นแหล่งท่องเทีย่ วเชิงอนุรกั ษ์ทเี่ ต็มเปีย่ มไปด้วย ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ มีทงั้ ต้นจาก ต้น ล�ำพู แสม หรือนกหลากหลายชนิด ทัง้ นกกินเปีย้ ว นกกินปลีอกเหลือง นกกินปลีคอสีนำ�้ ตาล และนก ยางกรอกพันธุช์ วา โดยเฉพาะค้างคาวแม่ไก่ ทีอ่ าศัย อยูใ่ นบริเวณป้อมมาหลายสิบปี ก็ดว้ ยเพราะระบบ นิเวศและธรรมชาติอนั เงียบสงบบนเนือ้ ทีก่ ว่า 30 ไร่ โดยเราสามารถเดินบนสะพานคอนกรีต ซึง่ เป็นทาง เดินศึกษาธรรมชาติเชือ่ มต่ออยูร่ อบๆ ทีล่ ดั เลาะ เข้าไปยังใจกลางผืนป่าได้แบบไม่ลำ� บากมากนัก ให้ อารมณ์เหมือนก�ำลังท่องอยูใ่ นกลางป่าใหญ่ หรือจะ แวะพักตามซุม้ เพือ่ นัง่ ดูคา้ งคาวแม่ไก่ เกาะตามกิง่ ไม้ หลายร้อย หลายพันตัว เมือ่ ออกมาด้านนอกก็จะพบคลังเก็บทุน่ ระเบิด

รวมทัง้ ห้องและอาคารทีส่ ร้างขึน้ ตัง้ แต่สมัยโบราณ รวมทัง้ ปืนเสือหมอบ ต้องบอกว่าป้อมแห่งนี้ เป็น ป้อมเก่าแก่ซงึ่ ในอดีตคนทีเ่ ข้าไปได้นนั้ จะต้องเป็น นายทหาร บุคคลธรรมดาจะไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนัน้ พืน้ ทีด่ า้ นในจึงมีความอุดมสมบูรณ์อย่าง มาก ภายหลังฐานทัพเรือกรุงเทพได้ ให้ปอ้ มผีเสือ้ สมุทร เป็นแหล่งท่องเทีย่ วเชิงอนุรกั ษ์ โดยเปิดให้ นักท่องเทีย่ วเข้าไปชมความสวยงามทางธรรมชาติ ซึง่ สามารถเดินข้ามสะพานบริเวณพระสมุทรเจดีย์ เข้าไปยังป้อมได้อย่างสะดวกสบาย

ค้างคาวแม่ไก่จำ�นวนมากเกาะอยู่ตามกิง่ ไม้ Thousands flying foxes hanging on every tree branch

This fort situated on an islet in the Chao Phrya River between two navigation channels in the area of Phra Samut Chedi. King Rama II ordered to establish this fort in 2362 B.E. (1819 A.D.) or approximately 196 years ago. The fort was in the shape of butterfly (pee suea in Thai). The entrance was at the tail. Later, the inner navigation channel became shallow that large barges could not sail through. Hence, the fort seemed to get closer to the river bank. In the past the armaments mounted at the fort were old style cannon that cannonballs should be loaded from the muzzle. Rear end cannonball loading cannons were replaced in 2435 B.E. (1892 A.D.). They were the same models as those mounted at Chulachomklao Fort i.e. 3 cannons with 6 inches muzzle mounted in gun pits. Vice Admiral Phraya Vijitnavee (William Boonyaklin) was the chief

mechanic supervising the mounting of those cannons. This fort along with Chulachomklao Fort held important role in the remarkable history of Rattanakosin Era 112 Crisis. Though its role might not be as glorious as that of Chulacholklao Fort, it also stood strong in protecting national sovereignty as well. At present, Pee Suea Samut Fort aka called by villagers as Ko Pee Suea was discharged from the naval service and becomes an eco-tourism destination with rich natural beings such as napa palm trees, cork trees, mangroves and various species of birds be it collared kingfishers, olive-backed sunbirds, brown-necked sunbirds, Javan pond herons, particularly flying foxes that have been living on the islet for decades because of the rich eco-system and peaceful environment. We can conveniently walk on concrete raised walkway, serving as nature observation trail, to the center of the 30 rai (48,000 sq.m.) tropical woodland. The trip would make we easily feel like walking in the midst of vast forest. During the trip, we could stop for a rest at the pavilion in the rest area to watch thousands flying foxes perching on the surrounding trees. When we come to the outer area, we will find gunpowder warehouse and those buildings built in the past including the disappearing carriage cannons. In the past, only officers could get on the islet, layman could not enter. Therefore, the inner area is still naturally rich. Later, the Bangkok Naval Base turned Pee Suea Samut into an eco-tourism destination that visitors could visit to admire the rich natural beauty that they can easily walk over a bridge from Phra Samut Chedi to the Fort. ทีต่ งั้ : ต.ปากคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ Pak Klong Bang Pla Kot Sub-district, Phra Samut Chedi District, Samut Prakan การเดินทาง : ใช้ถนนสุขสวัสดิ์ มุง่ หน้าสูว่ ดั พระสมุทรเจดีย์ ป้อมผีเสื้อสมุทรจะอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัด


80 Cover Story เรื่องจากปก


มีนาคม 2558 / March 2015

Fortresses of Paknam ป้อมปราการ ปากน้ำ� ปกป้องแผ่นดิน

“ ปากน�้ำเจ้าพระยา ต้นสายธารแห่งวัฒนธรรม ความเจริญมาตั้งแต่อดีต ก็ด้วยเพราะในสมัยก่อน การเดินทางของชาวจีนหรือชาติตะวันตก จะเข้ามายังกรุงเทพมหานครต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการ เดินทาง ปากน�้ำเจ้าพระยาจึงเป็นด่านแรกหรือปราการแรก ที่คอยต้อนรับ ” หลายครัง้ ที่มีวิกฤตบ้านเมือง เกิดข้อพิพาท จนอาจน�ำไปสู่การสู้รบ พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ จึงคิดสกัดกั้นผู้ไม่หวังดี ปกป้องผืนแผ่นดินไทยต่ออริราชศัตรู ที่เคลื่อนทัพรุกล�้ำมาทางปากแม่น�้ำเจ้าพระยา ดังนั้นสิ่งส�ำคัญที่สุดในการต่อสู้กับศัตรูคือป้อมปราการ เป็นดั่งก�ำแพงป้องกันบ้านเมืองตลอดสองฝั่งแม่น�้ำ เจ้าพระยา คอยป้องกันก่อนล่วงล�้ำเข้าไปยังพระนครได้ โดยง่าย พื้นที่ปากน�้ำเจ้าพระยา หรือเรียกง่ายๆว่า สมุทรปราการ จึงเป็นเมืองหน้าด่านที่ส�ำคัญตั้งแต่อดีต จวบจนปัจจุบนั แต่จะมีใครบ้างทีร่ วู้ า่ สมุทรปราการนัน้ มีปอ้ มปืนมากมายเพียงใด นอกจากป้อมพระจุลจอมเกล้า และป้อมผีเสือ้ สมุทร ทีค่ อยปกป้องและรักษาบ้านเมือง ถึงแม้วา่ ปัจจุบนั บางแห่งอาจจะพังทลายตามกาลเวลา แต่บางแห่งยังคงสภาพและบอกเล่าเรื่องราวผ่านก้อนอิฐและปืนได้เป็นอย่างดี ป้อมในสมุทรปราการมีกว่า 24 ป้อม ตั้งเรียงรายตลอดฝั่งแม่น�้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันเหลือเพียง 3-4 ป้อม ที่ยังคงเหลือในสภาพดีเท่านั้น เช่น ป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมผีเสื้อสมุทร ป้องแผลงไฟฟ้า และป้อม นาคราช โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณนครเขื่อนขันธ์ หรือ พระประแดงในปัจจุบัน มีป้อมรวมกันมากที่สุด ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรม พระราชวังบวรสถานมงคล ไปเป็นแม่กองสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ ขึ้นที่บ้านปากลัด (พระประแดง) เมื่อปี พ.ศ.2357 พร้อมกันนั้นโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมขึ้น 8 ป้อม รวมกับป้อมวิทยาคม ของเดิมที่สร้างขึ้นตั้งแต่ รัชกาลที่ 1 เป็นทั้งสิ้น 9 ป้อม Chao Phraya Estuary has long been the birth place of culture and prosperity since the old days. In the past, Chinese and western traders coming to Bangkok had to come by boats via the Chao Phraya Estuary that served as the first checkpoint to welcome them. Many times that the country experienced crises or disputes that could bring the country at war. Therefore, many reigning monarchs considered to protect the sovereignty and to intercept those invaders through the Chao Phraya Estuary by building fortresses along both banks to guard the river so that invaders could not easily get to the capital. The area on Chao Phraya Estuary or commonly known as Samut Prakan has become an important outpost since the past until nowadays. However, how many people know that apart from Chulachomklao Fort and Pee Suea Samut Fort that served in protecting the country, how many forts are there in Samut Prakan? Though some of those forts were tumbledown by the passing time, but there are some forts that remain standing to tell their stories through bricks and cannons. Samut Prakan had more than 24 fortresses along both banks of the Chao Phraya River. At present, there are only 3-4 fortresses that are still in good condition i.e. Chulachomklao Fort, Pee Suea Samut Fort, Plaeng Faifah Fort, and Nagaraj Fort. Particularly in the area of Nakhon Khuean Khan or Phra Pradaeng nowadays, there used to be more forts than in other areas. In the reign of King Rama II, he ordered Krom Phra Rajawang Bovorn Sathan Mongkol, his viceroy, to supervise the building of Nakhon Khuean Khan at Baan Paklad (Phra Pradaeng) in 2357 B.E. (1814 A.D.). At the same time, he ordered to build 8 forts. There were altogether 9 forts including Wittayakom Fort built in the reign of King Rama I.

81


82 Cover Story เรื่องจากปก

FORTRESSES ON

PHRA PRADAENG SIDE ป้อมปราการ ฝั่งเมืองพระประแดง

ฝัง่ ขวาของแม่นำ�้ เจ้าพระยา มีทงั้ หมด 5 ป้อม คือป้อมแผลง ไฟฟ้า ป้อมมหาสังหาร ป้อมศัตรูพนิ าศ ป้อมจักรกรด และป้อมพระจันทร์ พระอาทิตย์ ทัง้ 5 ป้อมนีช้ กั ปีกกาถึงกัน เปรียบเสมือนดัง่ ภูผาตัง้ ตระหง่าน ล้อมเมืองนครเขือ่ นขันธ์เอาไว้ ข้างหลังป้อม เป็นตัวเมืองมีกำ� แพงล้อมรอบ ตัง้ เป็นเมืองนครเขือ่ นขันธ์ ได้สร้างคลังเสบียง คลังเครือ่ งศาสตราวุธ และ โรงพัก กองทหาร นอกจากนัน้ ยังได้ทำ� ลูกทุน่ ขึงสายโซ่กนั้ แม่นำ�้ ระหว่างฝัง่ ซ้ายและฝัง่ ขวา เพือ่ ส�ำหรับป้องกันเรือข้าศึกศัตรูทจี่ ะรุกรานมาทางน�ำ้ อีก ชัน้ หนึง่ และในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างป้อมเพชรหึง ขึน้ ต่อจากป้อมศัตรูพนิ าศ โดยเสริมให้สงู ขึน้ จากเดิม 1 ชัน้ ล่วงมาในสมัย พระบาทสมเด็จนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาลที่ 3) ทรงให้สร้างป้อมปีกกาวง เดือน เป็นป้อมทีม่ ลี กั ษณะเป็นปีกกาออกไปทัง้ สองข้าง อีก 1 ป้อม ปัจจุบนั ป้อมทัง้ หมดนี้ได้หมดความส�ำคัญลง บางป้อมได้ถกู รือ้ ถอนและปลูกสร้าง เป็นสถานทีร่ าชการเกือบทัง้ หมด เช่น • ป้อมมหาสังหาร ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานีต�ำรวจภูธรพระประแดง • ป้อมศัตรูพินาศ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอ�ำเภอพระประแดง • ป้อมจักรกรด ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของส�ำนักงานเทศบาลพระประแดง • ป้อมพระจันทร์พระอาทิตย์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกรมทรัพยากรธรณี • ป้อมเพชรหึงปัจจุบนั เป็นทีต่ งั้ ของสถานสงเคราะห์คนพิการ พระประแดง จะหลงเหลือเพียงป้อมแผลงไฟฟ้า ที่มีความสมบูรณ์บางส่วน ปัจจุบันเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ป้อมแผลงไฟฟ้า เป็นสถานที่ส�ำหรับ พักผ่อนและออกก�ำลังกาย

or on the right bank of the Chao Phraya River, were altogether 5 forts namely Plaeng Faifah Fort, Mahasanghan Fort, Sattru Pinad Fort, Chakkrod Fort, and Phra Chandra Phra Artit Fort. These 5 forts had connected parapets. It seemed like a mountainous strong walls protecting Nakhon Khuean Khan. There were also provision storehouses, arsenals and living quarters. Moreover, there were chained buoys across the river between the left and right river banks to guard against invading battleships. Around the end of his reign, King Rama II ordered to add Petch Heung Fort next to Sattru Pinad Fort with one more storey higher. In the reign of King Rama II, he ordered to build a fort with expanded parapets on both sides. At present, all these forts lost their importance and almost all were demolished to pave way for the construction of official buildings namely: • Mahasanghan Fort is now the site of Phra Pradaeng Provincial Police Station • Sattru Pinad Fort is now the site of Phra Pradaeng District Administration Office • Chakkrod Fort is now the site of Phra Pradaeng Municipality Office • Phra Chandra Phra Artit Fort is now the site of Department of Mineral Resources • Petch Heung Fort is now the site of Phra Pradaeng House for the Disabled People

Only Plaeng Faifah Fort remains standing partially intact and presently becomes Plaeng Faifah Historical Park where people come for relaxation and exercise.

ปืนโบราณบริเวณป้อม ปู่เจ้าสมิงพราย Antique cannon of Poochao Samingplai Fort


มีนาคม 2558 / March 2015

83

PLAENG FAI FAH FORT ป้อมแผลงไฟฟ้า

อมมีเชิงเทินที่ตั้งปืนใหญ่และถนนส�ำหรับชักลากปืนขึ้นบนเชิงเทิน ก�ำแพงป้อมเป็นก�ำแพงสองชั้น ตอนกลางอัด “แน่นบริเพืเวณภายในป้ ่อป้องกันกระสุนปืนที่ยิงตกลงมา นับว่าเป็นป้อมที่แข็งแรงมากในสมัยนั้น และระหว่างป้อมฝั่งขวาและป้อมฝั่งซ้ายมีการขึงโซ่ โดยใช้ซุงเป็นทุ่นกั้นขวางแม่น�้ำเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันเรือข้าศึกที่จะเข้ามารุกรานทางทะเล ”

“Inside the fort, there are battlements for cannons and ramps for moving the cannons up. The wall of the fort was double wall with packed earth filling in the middle between the outer and inner wall for safety against the firing shells. It was a strong fort at that time. Between the fort on the right bank and that on the left bank there were intermittent chained buoys by using logs to prevent invading battleships from advancing up the river.”

PLAENG FAI FAH ENTRANCE GATE ประตูปอ้ มแผลงไฟฟ้า มีกำ� แพงล้อมรอบตัวป้อมทัง้ 4 ด้าน คือ ทิศ เหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ด้านทิศ ใต้ มีกำ� แพง 2 ชัน้ ถมดินอัดแน่นระหว่างชัน้ นอก และชัน้ ใน ประตูทางเข้ายังอยูใ่ นสภาพสมบูรณ์ มี บันไดทางขึน้ ไปบนซุม้ ประตูดา้ นในทัง้ 2 ด้าน ด้าน ในก�ำแพงมีบนั ไดทางขึน้ ไปบนก�ำแพง ปี พ.ศ.2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาล ที่ 5 ) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซอ่ มแซมป้อม แผลงไฟฟ้าให้อยูใ่ นสภาพที่ใช้งานได้ และในปี พ.ศ. 2514 เทศบาลเมืองพระประแดงได้ตกแต่งซ่อมแซม ให้เป็นสถานทีพ่ กั ผ่อนหย่อนใจของประชาชน

There were walls on all 4 directions : North, South, East and West. On the southern side, the wall was double wall with packed earth filling between outer and inner walls. The entrance gate is still in good condition with stairs leading up to archways. Inside the wall, there were stairs leading up the wall. In 2346 B.E. (1803 A.D.), King Rama V ordered to renovate Plaeng Fai Fah Fort to a useable condition. Subsequently in 2514 B.E. (1971 A.D.), Phra Pradaeng Municipality renovated the place to be a relaxation venue for the people.

ปืนใหญ่ภายในป้อมแผลงไฟฟ้า Antique cannon of Plang Fai Fah Fort


84 Cover Story เรื่องจากปก

ทางลาดขึน้ ลงส�ำหรับชักลาก ปืนใหญ่ขนึ้ ไปบนก�ำแพง

there were ramps for moving the cannons up to the parapet

INSIDE THE FORT

บริเวณภายในป้อม ป้อมชัน้ ในตรงกลางมีทางลาดขึน้ ลงเป็นทีช่ กั ลากปืนใหญ่ขนึ้ ไปบนก�ำแพง ป้อม มีปนื ใหญ่ตงั้ อยูม่ มุ ก�ำแพงด้านซ้ายมือ ซึง่ มีอยูเ่ ดิม ปัจจุบนั ส�ำนักงานเทศบาล เมืองพระประแดง ได้นำ� ปืนใหญ่ขนึ้ มาบนก�ำแพง ตัง้ อยูต่ รงกลาง 1 กระบอก และมุมก�ำแพงด้านขวา 1 กระบอก ระหว่างทางลาดมีบนั ไดทางขึน้ ทัง้ สองด้านขึน้ ไปบน ก�ำแพง แนวก�ำแพงด้านขวาและด้านซ้ายมีอโุ มงค์กอ่ อิฐถือปูน มีทางเดินถึงกันได้ ป้อมแผลงไฟ ตัง้ อยูท่ ตี่ ำ� บลตลาด อ�ำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ดดั แปลงเป็นป้อมทหารเรือของกอง โรงเรียนทหารเรือที่ 3 หลังจากนัน้ กรมศิลปากรได้ขนึ้ ทะเบียนป้อมแผลงไฟฟ้า เป็นโบราณสถาน นอกจากนีฝ้ ง่ั ซ้ายของแม่นำ�้ เจ้าพระยา (ปัจจุบนั อยูฝ่ ง่ั ปูเ่ จ้าสมิงพราย) สร้างขึน้ อีก 3 ป้อม คือ ป้อมปูเ่ จ้าสมิงพราย ป้อมปีศาจสิง ป้อมราหูจร และ รวมกับป้อมวิทยาคม ป้อมทีส่ ร้างตัง้ แต่สมัยรัชกาลที่ 1 มีลกั ษณะเป็นป้อมชัก ปีกกาถึงกัน เป็นดัง่ ก�ำแพงอีก 1 ฝัง่ ท�ำหน้าทีป่ กป้องบ้านเมืองไปพร้อมๆ กับ ป้อมฝัง่ เมืองนครเขือ่ นขันธ์ สถานทีต่ งั้ ป้อมเหล่านี้ ปัจจุบนั เป็นโรงพยาบาล พระประแดงและสถาบันราชประชาสมาสัย ไม่หลงเหลือสภาพความเป็นป้อม ยกเว้นแต่ปอ้ มปูเ่ จ้าสมิงพรายทีย่ งั หลงเหลือบางส่วน ป้อมทัง้ หมดนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2 ) ได้ อพยพครอบครัวมอญจากเมืองปทุมธานี เป็นชายฉกรรจ์ ประมาณ 300 คน มา ช่วยสร้างป้อม โดยตัง้ ถิน่ ฐานอาศัยและอยูด่ แู ลเมืองนครเขือ่ นขันธ์นบั แต่นนั้ มา อีกหนึง่ ป้อมทีย่ งั คงหลงเหลือความสมบูรณ์นนั้ ก็คอื ป้อมนาคราช ตัง้ อยูท่ ี่ ต�ำบลปากคลองบางปลากด อ�ำเภอพระสมุทรเจดีย์ สร้างขึน้ ในปี พ.ศ. 2365 เป็น ป้อมทีส่ ร้างตามแนวยาวเลียบขนานไปกับฝัง่ แม่นำ�้ เจ้าพระยา ก่ออิฐโบกปูนมี ก�ำแพง 2 ชัน้ ใช้อฐิ แดงในการก่อสร้าง ป้อมนาคราชสร้างขึน้ เพือ่ เก็บรักษา ดินปืน ดังนัน้ พืน้ ทีส่ ว่ นใหญ่ในบริเวณป้อมนาคราชจึงมีการขุดพบปืนใหญ่เป็น จ�ำนวนมาก เมือ่ มีการสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าขึน้ ก็มอี าวุธปืนใหญ่ทนั สมัย เพือ่ ต่อต้านข้าศึกทีม่ ปี ระสิทธิภาพมากขึน้ กว่าเดิม ป้อมนาคราชจึงหมดความส�ำคัญและไม่ได้ถกู ใช้งานอีกต่อไป จนกรม ศิลปากรได้ประกาศขึน้ ทะเบียน เป็นโบราณสถานทีส่ ำ� คัญของชาติในปี พ.ศ. 2549 จึงได้มกี ารบูรณะ ปัจจุบนั แนวก�ำแพงป้อมนาคราชทีเ่ หลืออยูท่ างด้าน ริมแม่นำ�้ เจ้าพระยา จะอยูใ่ นบริเวณโรงเรียนป้อมนาคราชสวาทยานนท์ ซึง่ ทาง โรงเรียนจัดสวนหย่อม ไว้ ใกล้แนวก�ำแพง เป็นทีน่ งั่ พักผ่อนอันร่มรืน่ ของโรงเรียน

In the middle of the inner fort, there were ramps for moving the cannons up to the parapet. Cannon was originally installed in the left corner of the wall. Presently, Phra Pradaeng municipality has moved two more cannons up and installed one in the middle and another one in the right corner of the wall. Between the ramps, there were stairs on both sides leading up the wall. Along the walls on the left and right, there were bricks and mortar tunnels with passage. Plaeng Fai Fah Fort is situated at Talad Sub-district, Phra Pradaeng District, Samut Prakan. In the reign of King Rama V, he approved to alter the use of the fort to be a naval fort of the 3rd Division, Naval Cadet School. Later on, Department of Fine Arts has registered Plaeng Faifah Fort as an archaeological site. Additionally on the left bank of the Chao Phraya River (presently is the Poochao Samingplai side) there were 3 forts namely Poochao Samingplai Fort, Peesaj Sing Fort, Rahu Chorn Fort, plus Wittayakom Fort built in the reign of King Rama I. They were all having connected parapets. Thus, they served as the wall on another side of the river protecting the country along with those forts on Nakhon Khuean Khan side. The sites of those forts are nowadays the location of Phra Pradaeng Hospital and Rajprachasamasai Institute with no trace of using to be a fort except the partial remains of Poochao Samingplai Fort. King Rama II moved about 300 strong Mon migrantory families from Patumthani to help in building the fort. They later settled down and looked after Nakhon Khuean Khan by dividing into divisions such as Another fort that still has a sound remain is Nagaraj Fort situated at Pakklong Bangplakod Sub-district, Phra Samut Chedi District. This fort was built in 2365 B.E. (1822 A.D.) parallel to the Chao Phraya River. It was built in bricks and mortar with double walls and used red bricks in building. Nagaraj Fort was built to keep the gunpowder. It is the reason why at the time of building Chulachomklao Fort, equipped with modern cannons for a more efficient counteract, a large number of cannons were unearthed in the compound of Nagaraj Fort. Nagaraj Fort downgraded its importance and was disused. In 2549 B.E. (2006 A.D.), Department of Fine Arts registered it as a national archaeological site followed by a restoration. At present, the remaining wall of Nagaraj Fort on the Chao Phraya River side is in the compound of Pom Nagaraj Sawashtayanon School which the school arranges a pleasant garden landscaping near the wall line as a relaxing area.


มีนาคม 2558 / March 2015

85

แผนทีป่ อ้ มสมุทรปราการ

SAMUTPRAKAN FORT MAP ป้อมแผลงไฟฟ้า (พ.ศ. 2357) ป้อมมหาสังหาร (พ.ศ. 2357) ป้อมศัตรู พินาศ (พ.ศ. 2357) ป้อมจักรกรด (พ.ศ. 2357) ป้อมพระจันทร์พระอาทิตย์ (พ.ศ. 2357)

Plaeng Faifah Fort (1814 A.D.) Mahasanghan Fort (1814 A.D.) Sattru Pinad Fort (1814 A.D.) Chakkrod Fort (1814 A.D.) Phra Chandra Phra Artit For (1814 A.D.)t

ป้อมราหูจร (พ.ศ. 2357) Rahu Chorn Fort (1814 A.D.) ป้อมปีศาจสิง (พ.ศ. 2357) Peesaj Sing Fort (1814 A.D.) ป้อมวิทยาคม (พ.ศ. 2330) Wittayakom Fort (1787 A.D.)

ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย (พ.ศ. 2357) Poochao Samingplai Fort (1814 A.D.) ป้อมเพชรหึง (พ.ศ.2385) Petch Heung Fort (1842 A.D.)

ป้อมตรีเพชร (พ.ศ. 2371) Tripetch Fort (1828 A.D.)

ป้อมประโคนชัย (พ.ศ. 2352) ป้อมนารายณ์ปราบศึก (พ.ศ. 2352) ป้อมกายสิทธิ์ (พ.ศ. 2352) Prakonechai Fort (1807 A.D.) Narai Prabsuek Fort (1807 A.D.) Gayasit Fort situated (1807 A.D.)

ป้อมคงกะพัน (พ.ศ. 2377) Kongkrapan Fort (1834 A.D.)

ป้อมเสือซ่อนเล็บ (พ.ศ. 2393) Suea Son Lep Fort (1850 A.D.)

ป้อมผีเสื้อสมุทร (พ.ศ. 2362) Pee Suea Samut Fort (1819 A.D.)

ป้อมปราการ (พ.ศ. 2371) Prakan Fort (1828 A.D.)

ป้อมนาคราช (พ.ศ. 2362) Nagaraj Fort (1819 A.D.) ป้อมปีกกาทับ (พับ) สมุทร ไม่ปรากฏปีการก่อสร้าง Peek Ka Tup (pup) Samut Fort

ป้อมปีกกา (พ.ศ. 2371) Peek Ka Fort (1828 A.D.)

ป้อมพระจุลจอมเกล้า (พ.ศ. 2427) Phra Chulachomklao Fort (1884 A.D.)


86 Linger Around แวะชิมริมทาง

SING HAI HONG Coffee & Restaurant ซิงไฮฮง.. ชิมอาหาร จิบกาแฟ แลบรรยากาศย้อนยุค


มีนาคม 2558 / March 2015

คาร์แคร์ที่ ให้บริการท�ำความสะอาดรถยนต์ ย่านพระประแดง ใครจะรู้ว่าเมื่อเข้าไปภายในจะมี ร้านกาแฟขนาดกะทัดรัดน่ารักซ่อนอยู่.. ซิงไฮฮง คือชือ่ คาร์แคร์และร้านกาแฟทีเ่ รากล่าวน�ำไว้ขา้ งต้น เกิดจากความตัง้ ใจของ กิตติโชค มธุระพันธ์ุ เจ้าของกิจการให้บริการ ดูแลรถยนต์ มีความเห็นว่าเวลาคนน�ำรถมาใช้บริการแล้วอยากให้มี พืน้ ทีน่ งั่ รอแบบสบายๆ บวกกับความชืน่ ชอบและหลงใหลในรสกาแฟ ของตัวเองจึงน�ำมาสู่การตัดสินใจเปิดร้านกาแฟในคาร์แคร์แห่งนี้ “เมื่อคนน�ำรถยนต์เข้ามาใช้บริการท�ำความสะอาดเราจึงคิด ว่าช่วงเวลาทีล่ กู ค้ารอนัน้ ควรจะมีพนื้ ที่ให้นงั่ ผ่อนคลายแบบสบายๆ และตัวเราเป็นคนชอบดื่มกาแฟมากแต่หาร้านถูกใจไม่ค่อยได้เลย ตัดสินใจเปิดร้านกาแฟขึ้นมา ซึ่งก่อนจะเปิดนั้นเราต้องไปศึกษา ศาสตร์ ในการชงกาแฟอย่างจริงจังด้วยการไปเรียน หาข้อมูลจาก หนังสือ ตระเวนชิม และหาสูตรที่เป็นของตัวเอง ทดลองอยู่นาน กว่าจะลงตัว และน�ำเมนูอาหารเข้ามาเสริม” เจ้าของร้าน เล่าถึง จุดเริ่มต้น

87

คาร์แคร์แห่งนี้เป็นโรงเรือนไม้หลังคาสังกะสี มีพื้นที่กว้างขวาง มองผิวเผินบรรยากาศคล้ายโกดัง บวกกับความชืน่ ชอบข้าวของสมัยเก่า กิตติโชค จึงท�ำการออกแบบร้านอาหารให้เข้ากับโครงสร้างเดิม ผสมผสานสไตล์จนี และเพิม่ ความเท่ดว้ ยผนังปูนเปลือยแบบลอฟต์ตาม ความชอบส่วนตัว ตกแต่งด้วยเฟอร์นเิ จอร์ไม้ โอ่งมังกร กระดานอักษร ภาษาไทย ภาพถ่ายขาวด�ำ ที่เจ้าตัวซื้อสะสมและถือโอกาสน�ำมาใช้ ท�ำให้ภาพรวมของรูปแบบร้านออกแนวย้อนยุค ส่วนชื่อร้านใช้ว่า ซิงไฮฮง ชื่อเดียวกับคาร์แคร์ ซึ่งมีความหมายว่า “ธุรกิจใหม่ชื่อเสียง กว้างไกล มั่นคงดั่งภูผา” ซึ่งมาจากแนวคิดของเจ้าของร้านที่เชื่อว่า การท�ำกิจการต้องค่อยๆ พัฒนาให้เติบโตทีละก้าวอย่างมั่นคง อาหารของทีน่ มี่ หี ลากหลายเมนู ส�ำหรับคนรักสุขภาพแนะน�ำเมนู คลีนอย่างสลัดทูน่า-ไข่กุ้ง สลัดปลาแซลมอน หรืออยากให้หนักท้อง ขึ้นมาหน่อยต้องเป็นสเต็ก มีให้เลือกทั้ง หมู เนื้อ ไก่ และปลา แต่ถ้า ชอบความเข้มข้นจัดจ้านแนะน�ำเมนูไทยๆ อย่าง ข้าวคลุกน�้ำพริกกะปิ ผัดพริกแกง ต้มย�ำ พล่ากุง้ ต้มแซบ นอกจากนีท้ างร้านยังประยุกต์ผสม ผสานอาหารไทยและต่างชาติเข้าด้วยกันเกิดเป็นเมนูใหม่ชวนให้ลอง เช่น สปาเก็ตตี้แกงเขียวหวานไก่ พาสต้าต้มย�ำกุ้ง สเต็กจิ้มแจ่ว ส่วนเครื่องดื่มทางร้านเลือกใช้เมล็ดกาแฟอาราบิกาชั้นดีจาก ภาคเหนือมาสร้างสรรค์เป็นเมนูหลายระดับความเข้มข้น แต่ที่ต้อง ลองคือ ไอซ์เอสเพรสโซลาเต้ ที่สร้างความแปลกใหม่ด้วยการน�ำเอส เพรสโซแช่แข็งในแม่พิมพ์แล้วน�ำออกมาใส่ในแก้วที่มีส่วนผสมของ นมสดและไซรัปท�ำให้ได้ความเย็นและความเข้มข้นจากการละลาย ของเอสเพรสโซโดยไม่ตอ้ งใช้นำ�้ แข็งเปล่า ซึง่ เจ้าของร้านเล่าให้ฟงั ว่า ไอเดียนีเ้ กิดจากลูกค้าซือ้ กาแฟเย็นแล้วดืม่ ไม่ทนั น�ำ้ แข็งละลายเจือจาง รสชาติ จึงน�ำวิธนี มี้ าใช้แก้ปญ ั หา ซึง่ เมนู ไอซ์กรีนทีลาเต้และไอซ์ทลี าเต้ ก็ใช้วิธีการลักษณะเดียวกัน ด้วยตัวร้านถูกตกแต่งอย่างมีสไตล์ ท�ำให้เหมาะแก่การแวะพัก รับประทานอาหาร จิบกาแฟ และสัมผัสบรรยากาศ ที่ชวนให้นึกถึงวันวาน ปัจจุบันร้านนี้จึงไม่ใช่แค่ร้าน นัง่ รอส�ำหรับคนน�ำรถมาท�ำความสะอาด แต่กลายเป็นร้านทีห่ ลายคนตัง้ ใจแวะ มานัง่ ชิล ตัวร้านอาจหลบสายตา เล็กน้อย สังเกตง่ายๆ คืออยูต่ รง ข้ามวัดกลาง เข้ามาแล้วเห็นรถ เยอะแยะก็ไม่ตอ้ งตกใจ เดินเข้ามา อีกนิดจะพบความรื่นรมย์.. HONEY TOAST


88 Linger Around แวะชิมริมทาง

Car Care Service Center in Phra Pradaeng vicinity where we never know there is a chic cafe’ hidden inside. Sing Hai Hong is the name of the abovementioned car care service center and cafe’. It is originated from the intention of Mr. Kittichoke Maturaphan, owner of the car care service center, who wants his customers to have a nice area while waiting for their cars to be serviced coupled with his passion for coffee flavor. “When customers bring their cars in for cleaning service, we think that there should be a relaxing waiting area for them plus I, myself a coffee addict, cannot find a cafe to my liking. These reasons clicked for opening of this cafe’. Before opening, I seriously studied the art of coffee brewing by joining trainings, reading books, tasting coffee around and setting our own recipes. We have taken a long time of experiments before everything gets into place and we finally add the selective menu.” The owner revealed about the taking off of his business. This car care service center is a wooden building with corrugated roof which at the first glance look like a warehouse. As Mr. Kittichoke also has passion for old style furniture, he designed his cafe ambience to go along with the old structure with integrated Chinese style de’cor and emphasized the chic look with bare concrete walls in the loft style that he personally like. He decorated with wooden furniture, glazed water jars with dragon pattern, blackboard with written Thai alphabets, black & white photographs, etc. from his own collection. Hence, the cafe’ has a retro atmosphere. The name of the cafe’ is Sing Hai Hong which is the same as that of car care service center. It means “new prosperous business that will be as firm as a mountain” following the belief of the owner that business should be firmly developed step by step. Menu at this cafe’ is diverse. For health conscious diners, we would recommend clean menu such as Tuna salad with shrimp roe and salmon salad. Should you fancy something more filling, try steak with choices of pork, beef, chicken and fish. For those who prefer strong flavors, we recommend Thai menu i.e. rice mixed with shrimp paste, fried choice of meat with curry paste, spicy and sour soup (tomyum), spicy and sour shrimp salad, spicy clear soup northeastern style, etc. Besides, the restaurant has adapted new menu from Thai and western dished together such as spaghetti with chicken green curry, pasta in spicy and sour prawn soup, steak with spicy northeastern style sauce. For beverages, the cafe’ uses the fine Arabica coffee beans from the North in creating various levels of intense flavors. The one that you should not miss is iced espresso latte, a new creation by freezing espresso in ice making blocks then put the iced espresso cubes in a glass filled with the mixture of fresh milk and syrup that drinkers will enjoy the coolness and intense coffee flavor from the melting espresso ice cubes. The owner got this idea from observing his customers who bought iced coffee and could not finish it. The ice melted and diluted the coffee flavor. He then applied this method to solve the problem and also uses it in making iced green tea latte and iced tea latter as well. Since the cafe’ is stylishly decorated, it is suitable for a drop in for a meal and coffee sipping in the atmosphere that make us recalling the old days. It is not only a waiting area for car care service customers but becomes a cafe’ that many people intentionally come to chill out. The cafe’ may be a little hide away. It is easily noticeable as it is situated just opposite Wat Klang. Come inside and don’t be surprised with many cars parking in the ground, walk further a few steps inside you will find a cool pleasantness.


มีนาคม 2558 / March 2015

89

Recommended

COCOA ALMOND WHIPPED CREAM

ข้าวคลุกน�้ำพริกกะปิ i.e. rice mixed with shrimp paste

สลัดทูน่า-ไข่กุ้ง Tuna salad with shrimp roe

สเต็กหมู steak pork

ICED ESPRESSO LATTE

การเดินทาง เส้นสุขสวัสดิม์ งุ่ พระประแดง เลีย้ วซ้ายเข้า ถนนนครเขื่อนขันธ์ ตรงไปเรื่อยๆ ตัวร้าน จะอยู่ด้านซ้ายมือ ( ตรงข้ามวัดกลาง)ใกล้ กับสะพานข้ามไปยังท่าน�้ำพระประแดง ที่ตั้ง : ซิง ไฮ ฮง เลขที่ 160/3 หมู่ 6 ต.บางพึ่ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ (ตรงข้ามวัดกลาง) โทรศัพท์ 08-0250-7231, 09-4810-5522 เปิดบริการ 7.30-20.00 น. Location : Sing Hai Hong 160/3 Mu 6, Bang Pheung Sub-disrict, Phra Pradaeng District, Samut Prakan Province (Opposite Wat Klang) Tel. 08-0250-7231, 09-4810-5522 Opening hours 7.30-20.00 hrs.


90

Living Guide พักนี้..ที่ผ่อนคลาย

at Baan Suan Im Sabai Resort

Simple

and Close to Nature เรียบง่ายใกล้ชิดธรรมชาติ.. ณ บ้านสวนอิ่มสบายรีสอร์ท


มีนาคม 2558 / March 2015

การใช้ชวี ติ ย้อนกลับไปสูค่ วามเรียบง่าย หลีกหนีความวุน่ วาย และเบรกจากความเร่งรีบชัว่ คราว โดยใช้เวลาช่วงวันหยุดหาสถานที่ สงบพักผ่อนใกล้ชดิ ธรรมชาติพร้อมสูดอากาศบริสทุ ธิใ์ ห้เต็มปอด ถือเป็นการชาร์ตแบตให้แก่ตัวเองได้เป็นอย่างดี เราเลยถือโอกาส ชวนแพ็คกระเป๋าออกมาเปลีย่ นบรรยากาศกันที่ บ้านสวนอิม่ สบาย รีสอร์ท อ�ำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ Living in a simple way of life during the weekend at a resort in the embrace of nature where you can inhale lungful of fresh air, far from hectic urban lifestyle, is the best means to recharge your vital strength. We would like to take this opportunity inviting readers to pack your bags and come to experience the change of atmosphere at Baan Suan Im Sabai Resort in Bang Saothong District, Samut Prakan.

รับลม อกมานั่ง อ ้ ห ใ ก ั พ บ้าน the . king ยี งบริเวณ e

ชานระเบ a overlooool breez c nd vera o enjoy pond

t

91

บ้านสวนอิ่มสบาย รีสอร์ทขนาดกะทัดรัด ในเนื้อที่ราว 3 ไร่ เดิมที คุณสุนันทา อิ่มสบาย เจ้าของรีสอร์ท ตัง้ ใจท�ำเป็นบ้านสวนเล็กๆ ไว้สำ� หรับ พักผ่อนส่วนตัว แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นและอยากมี ธุรกิจเล็กๆ ที่เป็นของตัวเอง จึงค่อยๆ ขยับขยาย จนเกิดเป็นบ้านพักแบบชาวสวนใกล้ชิดธรรมชาติ แห่งนี้ขึ้นมา โดยมีหัวใจหลักว่า ‘ปล่อยให้เป็น แบบธรรมชาติ เรียบง่ายแบบชาวบ้าน ไม่ต้อง ปรุงแต่งอะไรมากมาย’ ความพิเศษของพื้นที่แห่งนี้คือใครก็ตาม เมือ่ ได้เข้ามาพักเอนกายจะรูส้ กึ ถึงความผ่อนคลาย เรียบง่ายในธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรให้ พิถีพิถันจนเกินไป พื้นที่ใจกลางรีสอร์ทคือบ่อปลา ขนาดใหญ่ โดยมีบ้านพักเรียงรายอยู่ตามแนว ริมบ่อ ชานระเบียงยื่นหันหน้าให้เราได้ชมเหล่า ปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายอยูก่ ลางบ่อน�ำ้ ทอดสายตา ไปอีกนิดจะเห็นพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน ทั้งสวนมะม่วง และบ่อผักกระเฉด Baan Suan Im Sabai Resort is a compact size resort in the area of 3 rais (approximately 4,800 sq.m.). Initially, Ms. Sunanta Imsabai, the owner, intended to build a small farmhouse for family private holidays. However, as she got older and would like to have a small business, she gradually expanded her farmhouse to a garden resort style amidst the nature. Her principle is “let it be in the natural way with villager’s simplicity, without too much make ups.” The uniqueness of this place lies in the simple nature without luxury. In the middle of the resort is a big pond encircled by small bungalows with veranda overlooking the pond where visitors can happily relax watching fishes swimming. Looking a bit further, there are agricultural plots of villagers be it mango orchard or water mimosa plots.


92

Living Guide พักนี้..ที่ผ่อนคลาย

ศาลาริมน�้ำ น

ั่งรับ

ลมเย็นๆ ตัก Pavilion อาหารให้ปล ากิน by the pond to cool br enjoy eeze or feed th e fishe s.

ภายในบ่อน�้ำเป็นแหล่งอาศัยของปลาหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งปลานิล ปลาดุก ปลาทับทิม ปลาตะเพียน ปลาคาร์ฟ ปลาแรด และปลาสวาย รวมแล้วกว่าพันตัว เราสามารถมานั่งชมยามที่พวก มันแหวกว่ายไปมาได้อย่างเพลิดเพลิน หรือจะตักอาหารเม็ดหว่าน ให้พวกมันก็สนุกไปอีกแบบ จะให้ดีต้องเป็นช่วงเช้าและเย็น เพราะ ช่วงกลางวันปลาเหล่านี้จะหลบร้อนอยู่ในน�้ำลึก มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ ขึ้นมาบนผิวน�้ำ ซึ่งเจ้าของรีสอร์ทใช้เวลาเลี้ยงมาเกือบ 1 ปี เพื่อไว้ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมโดยไม่มีการจับขาย รอบๆ ที่พักเต็มไปด้วยพรรณไม้หลากชนิด ปลูกกระจัดกระจาย ไว้ตามจุดต่างๆ ทั้ง กล้วย มะม่วง เตยหอม มะยม มะยงชิด ชะอม นอกจากท�ำหน้าที่ช่วยเพิ่มความร่มรื่นให้แก่สถานที่แล้ว เมื่อถึงฤดูกาล ออกดอกออกผลยังสามารถเก็บไปขายเพิ่มรายได้เล็กๆ น้อยๆ อีก ด้วย นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงไก่ไข่ ไก่ด�ำ ไก่ต๊อก และไก่งวง อยู่ใน เล้าขนาดย่อมริมบ่อน�้ำตรงข้ามบ้านพัก แม้จะมีจ�ำนวนไม่มากนักแต่ กลับเพิ่มชีวิตชีวาได้เป็นอย่างดี บางจังหวะจะได้ยินพวกมันส่งเสียง ขันให้ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายอยู่ในชนบท เจ้าของรีสอร์ท บอกกับเรา ว่า พวกมันออกไข่ให้น�ำไปท�ำอาหารเป็นประจ�ำ

ไก่ดำ� มีลกั ษณะแบบเดียวกับ ไก่ทวั่ ไปทุกอย่าง แต่วา่ มีสดี ำ� ทัว่ ทัง้ ตัว คือหนังสีดำ� เนือ้ สีดำ� กระดูกสีดำ� และเครือ่ งในสีดำ� เป็นไก่พนื้ เมืองทีม่ ตี น้ ก�ำเนิดมา จากประเทศมองโกเลีย Black chicken looks similar to ordinary chicken only that the skin, meat, bone and gizzard are all black. It is the native chicken originated in Mongolia.

The pond is the habitat of many breeds of fish such as Nile tilapia, catfish, pink tilapia, silver barb, Koi, giant gourami, and striped catfish. There are over 1,000 fishes in the pond that we can enjoy watching them swimming or feed them with fish food pellets. It is actually a kind of simple enjoyment. The best time to feed those fishes is in the morning and evening because during the day they will hide in deep water to avoid the heat from the sunlight and only a few will come up. The owner has been breeding these fishes for almost a year for visitors to enjoy. She never sells them to the market. Around the resort, there are many kinds of plants be it banana, mango, pandanus, star gooseberry, Marian plum, or climbing wattle. Apart from providing shades, when it is time for each kind to bear fruits, she can make some money from selling them as well. Moreover, she raised chicken for eggs, guinea fowl and turkey in a small pen by the pond, opposite the bungalows. Though they are not in great number, the can add a lively atmosphere to the place. Sometime when they crow, the crowing makes us feel the warmth of the rural living. The owner told us that they regularly lay eggs for home cooking at the resort. ้ยงรวมไว้ ในบ่อเดียวกัน

ปลาหลากหลายสายพันธุ์ที่เลี

fish in pond. many breeds of


มีนาคม 2558 / March 2015

แม้ว่าพื้นที่รีสอร์ทจะไม่ ใหญ่โตนัก แต่เรียกได้ว่ามีการจัดสรร พื้นที่ ใช้สอยอย่างคุ้มค่าและมีความพิถีพิถันซ่อนอยู่สะท้อนให้เห็น ถึงความเรียบง่ายแบบชาวบ้าน ทำ�ให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนกับได้มา พักบ้านสวนของญาติสนิทอย่างไงอย่างงั้น Even though the area of the resort is not big, the owner efficiently allocate the space with hidden nicety reflecting the rural simple way of life which make visitors feel as if they are staying at their relative’s farmhouse.

การเดินทาง ใช้ถนนบางนา-ตราด ตรงไปจนถึงแยกทางเข้าถนนศรีวารีน้อย จากนั้นเลี้ยวเข้าไปประมาณ 6 กิโลเมตร จะพบปั๊มแก๊ส ด้านหน้าปากซอย ให้ตรงไปตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งข้ามสะพาน จากนั้นจะเห็นป้ายของบ้านสวนอิ่มสบาย ที่ตั้ง : บ้านสวนอิ่มสบายรีสอร์ท เลขที่ 28/5 หมู่ 6 ต.ศีรษะจรเข้ ใหญ่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ โทร. 08-1802-5307

Location : Baan Suan Im Sabai Resort

28/5 Moo 6, Srisajorakaeyai Sub-district, Bang Saothong District, Samut Prakan Tel. 08-1802-5307

93


94 Familiar Path มุมบันดาลใจ

Collection of Retro Objects

UNCLE LEK’S

HOUSE OF LAMPS บ้านตะเกียง..ลุงเล็ก แหล่งสะสมของเก่าย้อนยุค จากความชื่นชอบแสงสว่างไสวของตะเกียงเจ้าพายุแบบฝังใจ ในวัยเด็ก จึงเป็นแรงผลักดันให้ ลุงเล็ก-สุชิน พูลเกตุ เริ่มออกเดินทาง ทั่วประเทศ เพื่อหาซื้อตะเกียงมาเก็บสะสม เปรียบเสมือนเป็นสมบัติล�้ำค่า ที่สุดของชีวิต จนเวลาผ่านล่วงเลยไป 40 ปี ทุกส่วนของบ้านหลังนี้จึงเต็ม ไปด้วยตะเกียงจ�ำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 ดวง ที่ถูกแขวนไว้ ในส่วนต่างๆ ไล่ไปตั้งแต่เสาบ้าน ฝาผนัง ยันเพดาน ซึ่งกลายเป็นแหล่งสะสมของเก่า ย้อนยุคที่มีคุณค่าและหาชมได้ยากยิ่งในปัจจุบัน His personal childhood passion in the bright light of storm lanterns has driven Uncle Lek - Suchin Poolket to travel across the country looking for lamps to be added to his most precious collection. After forty years of collecting, his house has more than 1,000 lamps hung in various places be it on the wooden columns, walls or even on the ceiling. Thus, his house turns into a place with collection of retro objects that could hardly be found this day.


มีนาคม 2558 / March 2015

95


96 Familiar Path มุมบันดาลใจ

บ้านตะเกียงหลังนีม้ ลี กั ษณะเป็นบ้าน ไม้ยกพื้นสูง ใต้ถุนของบ้านทุกตารางนิ้ว จะเต็มไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุนับพันดวง ที่ห้อยอย่างเป็นระเบียบ เพื่อสร้างความ สวยงามให้กบั ตัวบ้าน ซึ่งลุงเล็กเล่าให้ฟงั ว่ารู้สึกชอบตะเกียงตั้งแต่วัยเด็ก เพราะ สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เวลาถึงฤดูกาล ท�ำนาก็จะใช้ตะเกียงเพิ่มความสว่างไสว แทนไฟฟ้า ท�ำให้ลงุ เกิดความประทับใจและ ชื่นชอบตะเกียงเป็นอย่างมาก

This house of lamps is an elevated wooden house where almost every inch on the ground under the house is full with thousand of storm lamps hung neatly embellishing the house. Uncle Lek recounted that he has had strong passion for storm lanterns since he was very young. At that time there was no electricity. When it was time for harvest, they used the storm lamps for lighting that the light and lamps impressed him tremendously.

Lamp from the reign British Kerosene Lamp of King Rama V

ตะเกียงน�้ำมันก๊าดอังกฤษ

ตะเกียงสมัยรัชกาลที่ 5

ลุงเล็กจึงเริม่ ออกเดินทางไปทุกพืน้ ที่ ทัว่ ประเทศทีม่ ตี ะเกียงและของเก่าจ�ำหน่าย ไม่วา่ จะขึน้ เหนือไปจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แพร่ หรือจังหวัดละแวกบ้านอย่างชลบุรี ระยอง จันทบุรี และกรุงเทพฯ ท�ำลักษณะ เช่นนีอ้ ยูห่ ลายปี บ้านของลุงเล็กจึงเต็มไป ด้วยตะเกียง ซึง่ นอกจากตะเกียงเจ้าพายุทถี่ อื เป็นไฮไลต์แล้ว ทีน่ ยี่ งั เก็บสะสมเครือ่ งยนต์ เรือชนิดต่างๆ ไว้อีกด้วย เพราะในอดีต ลุงเล็กเคยมีอาชีพขับเรือรับส่งผู้ โดยสาร

He traveled across the country to where storm lanterns and other antiques were for sale be it up north to Chiang Mai, Chiang Rai, Prae or those provinces close to his hometown such as Cholburi, Chantaburi and Bangkok. He did so for many years that made his house full of lamps. Apart from storm lanterns which are regarded as the highlight, he also collects various kinds of boat engines because in the past Uncle Lek earned his living by driving passenger boats.


มีนาคม 2558 / March 2015

Storm lantern Petromax 829 ตะเกียงเจ้าพายุ รุ่น Petromax 829

Chinese Opera Lamp ตะเกียงงิ้ว ฉะนัน้ บ้านหลังนีจ้ งึ มีของเก่าทีส่ ะสม ไว้หลากหลายประเภทให้ได้ชม ทัง้ ตะเกียง เจ้าพายุ, ตะเกียงงิ้ว, เครื่องยนต์เรือชนิด ต่างๆ, โอ่งมังกร, โอ่งเขียวจากจีน และ เครื่องเสียงโบราณ ซึ่งของเก่าบางชิ้นก็ มีคุณค่าทางจิตใจอย่างยิ่ง เช่น ตะเกียง สมัยรัชกาลที่ 5 ที่นับเป็นของหายากและ เป็นชิ้นที่ลุงเล็กภาคภูมิใจและหวงแหน ส่วนอีกชิน้ คือโอ่งเขียวจากประเทศจีน ทีม่ ี การน�ำมาจ�ำหน่ายสมัยทีย่ งั ใช้การคมนาคม ทางเรือเป็นเส้นทางหลัก และอีกชิ้นคือ เครือ่ งยนต์เรือ JLO จากประเทศเยอรมนี ซึง่ เป็นเครือ่ งยนต์เรือชนิดแรกทีเ่ ข้ามาใน ประเทศไทย

JLO boat engine

เครื่องยนต์เรือ JLO

German Kerosene Lamp ตะเกียงน�้ำมันก๊าดเยอรมนี

Therefore, this house has a diverse collection such as storm lantern, Chinese opera lantern, variety of boat engines, glazed water jar with dragon pattern, greenish glazed water jar from China and ancient acoustics. Some pieces have special sentimental value for Uncle Lek such as the lamp from the reign of King Rama V which is very rare and it is his top pride. His other pride pieces of collection are the greenish glazed water jar from China that was sold in the time that waterway was the main route of transportation and JLO boat engine from Germany which was the first model of boat engine ever imported to Thailand.

greenish glazed

water jar from China โอ่งเขียวจีน

97


98 Familiar Path มุมบันดาลใจ

ด้วยความหลากหลายของวัตถุโบราณ ล�้ำค่าเหล่านี้ จึงมีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา นักปั่นจักรยาน และคนที่สนใจ แวะเวียน เข้ามาเยีย่ มชมไม่ขาดสาย ซึง่ ลุงเล็กก็ยนิ ดี และเปิดบ้านต้อนรับด้วยไมตรีเสมอมา เพราะเชื่อว่าสิ่งของที่สะสมไว้ ในบ้าน ตะเกียงหลังนี้ นอกจากจะมีคณ ุ ค่าทางจิตใจ ส�ำหรับลุงแล้ว อาจจะมีประโยชน์ตอ่ คนรุน่ หลังที่เข้ามาเยี่ยมชม ได้น�ำความรู้ไปต่อ ยอดอย่างสร้างสรรค์ต่อไป

With such a diverse collection of valuable retro objects, Uncle Lek’s house becomes a destination where students, cyclists and interested parties like to drop in for a visit which Uncle Lek welcomes them willingly. He believes that, apart from having sentimental value to him, his collection is useful as an inspiration for creative inventions to younger generations visiting his house.

การเดินทาง ใช้ถนนเทพารักษ์ มุ่งหน้า อ.บางพลี สังเกตเห็นโรงพยาบาลบางนา 5 ให้กลับรถตรง บริเวณปั้มน�้ำมัน ตรงมาประมาณ 200 เมตร ซ้ายมือจะพบซอยที่ดินไทย ตรงเข้าไป จนถึงทางแยก ให้เลี้ยวซ้าย ตามถนนทางหลวงชนบท สมุทรปราการ 3034 มุ่งหน้าประมาณ 200 เมตร จะพบทางแยกให้เลี้ยวขวา จะพบบ้านตะเกียง ที่ตั้ง : บ้านตะเกียง..ลุงเล็ก 19/1 ม.22 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม: นายสุชิน พูลเกตุ (ลุงเล็ก) โทรศัพท์ 08-6057-6247 Location : Uncle Lek’s 19/1 Moo 22, Bang Phli Yai Sub-district, Bang Phli District, Samut Prakan Province For more information, please contact : Mr. Suchin Poolket (Uncle Lek) Tel. 08-6057-6247


มีนาคม 2558 / March 2015

IN OF

99

TRAIL

PAKNAM CRISIS รำ � ลึ ก วิ ก ฤ ต ก า ร ณ์ ร . ศ . 1 1 2

July 2015

Chulachomklao Fort, Phra Samut Chedi, Samut Prakan ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ


100 On The Way สุดฟ้า..ล่าตะวัน


มีนาคม 2558 / March 2015

101

An Ecotourism Destination within reach to Bangkok

Escape the Summer Heat to Enjoy the Sea Breeze at Khun Samut Jeen หลบร้อนไปรับลมทะเลที่ขุนสมุทรจีน แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศใกล้กรุงแค่เอื้อม

หน้าร้อนปีนี้ มีแผนไปเที่ยวไหนหรือยัง? ถ้ายังเราขอชวนให้มาที่ ขุนสมุทรจีน เพราะหน้าร้อนของ คนกรุง คือหน้าลมทะเลของขุนสมุทรจีน ถือเป็นฤดูกาล ที่เหมาะแก่การมาเยือนที่สุด เพื่อจะได้สัมผัสสายลม ที่พัดเย็นสบายตลอดวัน ไปพร้อมๆ กับท�ำความรู้จัก ธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่.. ขุนสมุทรจีน ตั้งอยู่ที่หมู่ 9 ของต�ำบลแหลม ฟ้าผ่า อ�ำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ตัง้ อยูบ่ นแหลมขนาดเล็กทีย่ นื่ ออกไปในทะเลอ่าวไทย แม้วา่ ปัจจุบนั จะได้รบั ผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝัง่ จนแผ่นดินที่เคยอาศัยหายไป แต่ทุกคนก็เรียนรู้และ ปรับตัวอยูร่ ว่ มกับธรรมชาติไปพร้อมๆ กับสร้างชุมชน ให้เข้มแข็ง ทริปขุนสมุทรจีนคราวนี้ เราได้นดั แนะกับ วิษณุ เข่งสมุทร หรือ พี่โพ นักอนุรักษ์ท้องถิ่นที่จะ ช่วยเป็นไกด์อาสาพาเราท�ำความรู้จักกับขุนสมุทรจีน มากยิ่งขึ้น

Do you have any plan for this summer? If the answer is no, we would suggest you go to Khun Samut Jeen when the summer season of the urbanites is the sea breeze season at Khun Samut Jeen. It is suitable for a visit to enjoy the cool sea breeze all day long. Let’s go to Khun Samut Jeen and getting to know the nature and way of life of the villagers. Khun Samut Jeen is situated at Moo 9, Laem Fah Pha Sub-district, Phra Samut Chedi District. It is actually on a small promontory in the Gulf of Thailand. Though nowadays, it is affected by the coastal erosion that the land has gone, villagers have learned and adapted themselves to live with Mother Nature together with building a strong community. This trip to Khun Samut Jeen, we made appointment with Mr. Visanu Khengsamut, aka Brother Po, the local environmentalist who will be our guide to educate us on Khun Samut Jeen.


102 On The Way สุดฟ้า..ล่าตะวัน

โฮมสเตย์ของชาวบ้านสร้างอยู่บนพื้นที่นากุ้ง นาหอย home stay at Khun Samut Jeen


มีนาคม 2558 / March 2015

103

LIVABLE COMMUNITY TO TOURISM COMMUNITY ชุมชนน่าอยู่..สู่ชุมชนท่องเที่ยว

วิถชี วี ติ ของชาวขุนสมุทรจีนยังด�ำเนินไปอย่างพึง่ พาอาศัยกัน ใช้ชวี ติ เรียบง่าย ยึดอาชีพประมงชายฝัง่ น�ำ้ ตืน้ ท�ำนากุง้ นาหอย ส่วนรายได้เสริมจะเป็นประเภทแปรรูปอาหารทะเล เช่น กะปิ น�ำ้ ปลา หอยดอง ปูดอง ปลาเค็ม กุง้ แห้ง เป็นต้น เมือ่ การท่อง เทีย่ วเข้ามาก็เหมือนกับน�ำรายได้เข้ามาด้วย ชาวบ้านจึงได้รวม กลุ่มท�ำโฮมสเตย์ขึ้นมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่อยากค้างคืน สัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวประมง โดยมีข้อตกลงร่วมกัน ว่าโครงสร้างของโฮมสเตย์ต้องท�ำด้วยวัสดุธรรมชาติเพื่อให้ กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เว้นแต่นำ� บ้านพักถาวรของตนเอง มาท�ำเป็นโฮมสเตย์ พี่โพ ไกด์อาสา เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของการท�ำ โฮมสเตย์นั้น ต้องย้อนกลับไปราวปี 2554 น�้ำเสียเข้ามาใน พืน้ ที่ ท�ำให้ชาวบ้านทีเ่ ลีย้ งสัตว์นำ�้ ได้รบั ความเสียหายอย่างหนัก ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้จึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาสน�ำการท่องเที่ยว เข้ามาเป็นรายได้เสริมให้แก่ชมุ ชน แต่จะไม่ให้เป็นรายได้หลัก เพราะ ชาวบ้านต้องด�ำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมและพึ่งพาตัวเองได้ด้วย ชาวบ้านทุกคนจะท�ำหน้าทีเ่ ป็นเจ้าบ้านทีด่ ี ช่วยกันรับแขก ท�ำอาหาร และพาท�ำกิจกรรมในชุมชน เช่น ปลูกป่าชายเลน งมหอยแครง เป็นต้น สิ่งที่น่าสนใจคือ รายได้ส่วนหนึ่งจาก การมาพักโฮมสเตย์ของนักท่องเทีย่ วจะถูกรวบรวมไปใช้พฒ ั นา ชุมชน เช่น การจัดเก็บขยะ ต่อเติมแนวเขื่อนไม้ไผ่การทิ้งหิน เพื่อท�ำเขื่อน เป็นต้น ถือว่าเป็นชุมชนแห่งความร่วมมือร่วมใจ อย่างแท้จริง ซึ่ง @SAMUTPAKAN Travel จะน�ำเรื่องราว การจัดตั้งเครือข่ายโฮมสเตย์ชุมชนมาน�ำเสมอในโอกาสต่อไป

เมนูอาหารพื้นบ้านสำ�หรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักโฮมสเตย์ Traditonal foods for the tourist.

พื้นที่นากุ้ง นาหอย อาชีพหลักของชาวบ้าน

shrimp and cockle farming

The villagers of Khun Samut Jeen Community maintain their simple way of life and earn their living with coastal fishery, shrimp and cockle nursery. They have supplementary occupation by processing seafood such as making shrimp paste, fish sauce, fermented shells, fermented crabs, salted fish, dried shrimp, etc. When tourism arrives at Khun Samut Jeen, extra income is made to Khun Samut Jeen Community. Villagers jointly promote the home stay project for visitors who want to overnight amidst the nature experiencing fisherman way of life. The villagers agreed that the structure of home stay should be made from natural products blended well with the environment except for those who turn their permanent houses into home stay. Brother Po, our volunteer guide, told us that the starting of home stay can get back to 2554 B.E. (2011 A.D.) when wastewater flooded the area that aqua animal nursery farms were heavily damaged. The villagers were left with no money, no income. So, they turned the crisis into opportunity by means of tourism as a supplementary occupation. However, they did not want to make tourism their major earning because they want to maintain their original way of life and self reliance at the same time. Every villager will be a good host, helps in welcoming visitors, cooking and taking visitors to do the activities in the community such as mangrove reforestation, picking cockles, etc. The interesting point is that a part of earning from home stay will be set aside for community development activities such as garbage collection, repairing bamboo breakwater, placing stones for making breakwater, etc. It is actually the community of cooperation. @SAMUTPRAKAN Travel will discuss about the founding of home stay network on the next occasion.


104 On The Way สุดฟ้า..ล่าตะวัน

COMMUNITY HISTORY THROUGH ANTIQUES ของเก่าเล่าประวั ติศาสตร์ชุมชน

หีบไม้สักโบราณอายุกว่า 100 ปี ancient casket.

พิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ บ้านขุนสมุทรจีน ได้จดั ตัง้ อย่างเป็นทางการมาตัง้ แต่ปี 2550 โดยความร่วมมือ ของชาวบ้าน เป็นแหล่งรวบรวมวัตถุโบราณทีช่ าวบ้านได้ไปขุดพบเจอบริเวณปากทะเล หรือหากบ้าน ใดมีของเก่าก็จะน�ำมาสมทบไว้ด้วยกันที่นี่เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ประจ�ำชุมชน พี่โพ เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านเริ่มขุดพบเศษซากวัตถุโบราณบริเวณป่าชายเลนติดกับวัด ขุนสมุทราวาสและบริเวณชายฝัง่ ทีถ่ กู น�ำ้ ทะเลกัดเซาะ ตัง้ แต่ปี 2548 เรือ่ ยมา วัตถุโบราณส่วนใหญ่ จะเป็นเครื่องลายครามของชาวจีน ทั้งถ้วย ชาม ไห ช้อน คาดว่าอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง หรือตรงกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมไปถึงเครือ่ งใช้ เครือ่ งประดับ เบีย้ และเหรียญ กษาปณ์รชั กาลต่างๆ มีอายุไม่ตำ�่ กว่า 200 ปี ปัจจุบนั วัตถุโบราณมีจำ� นวนกว่า 40,000 ชิน้ จากหลักฐานทีจ่ ดั แสดงภายในพิพธิ ภัณฑ์ชว่ ยยืนยันการด�ำรงอยูข่ องชุมชนมาเป็น เวลานานและบ่งบอกว่ากลุ่มคนที่อาศัยในพื้นที่นี้มีเชื้อสายจีน นอกจากนี้ยังพบสิ่งของ จ�ำพวกขวดเหล้า ที่เป็นของญี่ปุ่น เวียดนาม และยุโรป รวมอยู่ด้วย จึงคาดการณ์กันว่า พืน้ ทีบ่ า้ นขุนสมุทรจีนในสมัยก่อนนัน้ เป็นเมืองท่า มีพอ่ ค้าจากต่างชาติเข้ามายังบริเวณนี้ การจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์จัดแบ่งหมวดหมู่แบบง่าย เช่น ช้อน ถ้วย ชาม ไห เครือ่ งประดับ เหรียญกษาปณ์ เป็นตูๆ้ เนือ่ งจากตัวอาคารมีขนาดเล็กไม่สามารถรองรับ ข้าวของได้ทงั้ หมด บางส่วนจึงต้องเก็บรักษาไว้ทบี่ า้ นของ ผู้ ใหญ่สมร เข่งสมุทร นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ประมงที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการท�ำมาหากินของชาวบ้าน เช่น เครื่องดักปลาตีน เครื่องไสเคย รองเท้าเกี๊ยะที่ใช้เดินบนดินเลน เป็นต้น

Khun Samut Jeen Native Museum was officially opened with the cooperation of villagers since 2550 B.E. (2007 A.D.) The museum houses collections of antiques villagers found in the coastal area and from villagers’ private belongings. The exhibition of the community history. Brother Po told us that since 2548 B.E. (2005 A.D.) onwards villagers found antiques along the mangrove forest next to Wat Khun Suthawas and along the coastal area eroded by seawater. Most of the antiques found are Chinese porcelains be it bowls, plates, pots or spoons. It is assumed that these antiques were from the Qing Dynasty and should be the same period as early Rattanakosin. The items found include utensils, jewelry, chips, and coins from various reigns, aged not less than 200 years. At present, there are more than 40,000 items collected at the museum. The evidence found in the exhibition confirms that the community has long been in the area and that the people lived in the area were of Chinese descent. Moreover, many items such as Japanese, Vietnamese and European wine bottles were found among collected antiques. Therefore, it is assumed that in the past Khun Samut Jeen area used to be a port visited by foreign traders. The antiques were categorized into simple grouping such as spoons, bowls, porcelains, pots, jewelry, coins, etc. As the museum building is quite small and cannot accommodate the whole collection, some antiques have to be kept at the house of village headman, Samorn Khengsamut. Additionally, there are fishing equipment reflecting the folk wisdom of villagers such as apparatus to catch mudskipper, krill collecting equipment, wooden shoes for walking on muddy soil, etc. on display as well.

เครื่องดักปลาตีนจากภูมิปัญญาชาวบ้าน Mudskipper catcher from folk wisdom.


มีนาคม 2558 / March 2015

ศาลเจ้าพ่อหนุ่มน้อยลอยชาย ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้าน รูปทรงแบบศาลาจีน Noom Noi Loi Chai Shrine.

NOOM NOI LOI CHAI SHRINE THE HEART AND SOUL OF THE COMMUNITY ศาลเจ้าพ่อหนุ่มน้อยลอยชาย..ศูนย์รวมจิตใจ

“Noom Noi Loi Chai” Shrine is a sacred venue of the village and serves as the heart and soul of the community since the old days until nowadays. Story has it that a fisherman went out fishing when he casted the fishing net he got a piece of carved wood. He threw the wood back into the sea but when he casted the net again, he caught that piece of wood again. It happened like this again and again for the whole day. Finally, the fisherman decided to take the carved wood back home and set up a shrine. He named this shrine “Noom Noi Loi Chai”. The wood was carved in the shape looked like a boy with tuft of hair left to grow on the shaven head, two fingers on the left were pointing upward while two fingers on the right were pointing down. Brother Po told us that initially the shrine was a small raised platform with thatched roof situated by the sea. However, because of the erosion the shrine was later moved into the village and with the donations from faithful donors, the new shrine was built in Chinese style pavilion. The villagers helped in building the shrine without asking for wages because they believe in doing favors for the village god. Villagers used to ask for favor in their occupations and fortune. However with the changing of time, the requests for favor change to various subjects. Parents and their children ask for favors in their children education. Once they receive the good result for what they requested, they will offer tributes to the village god. The tributes always comprise of incense sticks, candles, fireworks, kites, sweets, milk and toys because they believe that the village god was a child. Since we are here, let’s drop in to pay homage and ask for blessings before moving on to admire the beauty of nature of mangrove forest with Mr. Suwan Buaplai aka Uncle Ae, another local guide to lead the way.

105

ศาลเจ้าพ่อหนุม่ น้อยลอยชายเป็นสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิป์ ระจ�ำหมูบ่ า้ น และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวชุมชนมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตามประวัติเล่ากันว่ามีชาวบ้านออกเรือประมง เมื่อวางอวนลง จับปลาปรากฏว่ามีไม้แกะสลักคล้ายเด็กมาติดที่อวนจึงโยนทิ้งไป เมื่อวางอวนใหม่ไม้แกะสลักรูปนั้นก็ติดอวนขึ้นมาอีก เป็นเช่นนี้ อยู่ทั้งวันชาวประมงจึงได้น�ำขึ้นมาตั้งศาลและตั้งชื่อว่า “เจ้าพ่อ หนุ่มน้อยลอยชาย” ลักษณะขององค์นั้นท�ำจากไม้ มีรูปร่างคล้าย เด็กหัวแกละสองข้าง มือซ้ายชูสองนิว้ ขึน้ ฟ้า มือขวาชูสองนิว้ ลงดิน พี่โพ บอกว่า แต่เดิมนั้นศาลเจ้าพ่อหนุ่มน้อยลอยชายเป็น ศาลเล็กๆ หลังคามุงจากตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล แต่เนื่องจากการกัด เซาะจึงได้ท�ำการย้ายหนีเข้ามาตั้งในหมู่บ้านและได้งบจากผู้มีจิต ศรัทธาร่วมบริจาคจึงก่อสร้างเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีน โดยชาวบ้าน มาช่วยกันก่อสร้างไม่มีการคิดค่าแรง เพราะตามความเชื่อนั้นถือ เป็นการช่วยเจ้า ชาวบ้านมักจะขอพรในเรือ่ งการท�ำมาหากิน และเรือ่ งโชคลาภ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปการขอพรจึงหลากหลายขึ้น พ่อแม่ ผูป้ กครองและเด็กๆ นิยมขอพรเรือ่ งเรียน เมือ่ ได้สมหวังในสิง่ ทีข่ อ แล้วก็จะน�ำสิ่งของไปถวายตอบแทนเจ้าพ่อ สิ่งที่นิยมจัดมาถวาย สักการะหรือแก้บนจะเป็นธูป เทียน ประทัด ว่าว ผลไม้ ขนม นม และของเล่นเด็กต่างๆ เพราะเชื่อว่าเจ้าพ่อยังคงเป็นเด็กอยู่ เพราะฉะนั้นมาถึงแล้วเราจึงแวะขอพร เพื่อความสบายใจ และเป็นสิริมงคลก่อนมุ่งหน้าไปชมธรรมชาติบริเวณป่าชายเลน กันต่อ โดยมี สุวรรณ บัวพลาย หรือ น้าเอ๊ะ ไกด์ชาวบ้านอีกคน รับหน้าที่ต่อเป็นผู้น�ำทาง

ภายในศาลเจ้าพ่อหนุ่มน้อยลอยชาย มีการเล่าประวัติด้วยภาพจิตรกรรม เริ่มจากด้านขวามือ Starting from the right, inside “Noom Noi Loi Chai” Shrine is mural painting.


106 On The Way สุดฟ้า..ล่าตะวัน

REVIVING MANGROVE FOREST ฟื้นชีวิตป่าชายเลน

Cr. Photo by : www.amazingthaitour.com

ไฮไลต์อกี หนึง่ จุดทีม่ าแล้วต้องแวะเก็บภาพเป็นทีร่ ะลึก คือแนว เขื่อนชะลอความรุนแรงของก�ำลังคลื่นเกิดจากความร่วมมือร่วมใจ ของชาวบ้านที่ช่วยสร้างขึ้นมา โดยชั้นนอกจะเป็นแนวเขื่อนหินทิ้ง ถัดเข้าด้านในฝัง่ จะเป็นแนวเขือ่ นไม้ไผ่ มีความยาวกว่า 1 กิโลเมตร ช่วยลดความรุนแรงของก�ำลังคลื่นที่ซัดเข้ามาในแนวป่าชายเลน “เมื่อก่อนที่ยังไม่มีเขื่อนตัวนี้ปลูกป่าทีไรก็ตายหมด เพราะ มันโดนคลื่นซัด ชาวบ้านจึงใช้ภูมิปัญญาช่วยกันสร้างแนวเขื่อนนี้ ขึ้นมาท�ำให้ป่าชายเลนเริ่มขยายตัวและเกิดการสะสมของตะกอน ดินเพิ่มมากขึ้น เมื่อก่อนเราเดินเข้าไปจะจมดินประมาณตาตุ่ม แต่ เดี๋ยวนี้จะจมดินสูงขึ้น พอดินตะกอนเริ่มสูงป่ามันก็จะเร่งสูงขึ้นหนี ตะกอนดิน” น้า เอ๊ะ เล่าถึงความ เปลี่ยนแปลง ขณะเดินตาม แนวป่าชายเลน ปั จ จุ บั น ผืนป่าชายเลน ในส่วนที่เป็น ป่าปลูกขยาย ตัวขึ้นกว่าสิบ ไร่ในระยะเวลา กว่า 10 ปี ช่วย ป้องกันการกัด ปูก้ามดาบหยกฟ้า ชาวบ้านนิยมเรียกว่า ปูเปี้ยว Uca urvillei, some villger call Pu Paew. เซาะชายฝัง่ เป็น แหล่งอาศัยของ สัตว์หน้าดิน และแหล่งอนุบาลสัตว์น�้ำ วงจรชีวิตของสัตว์หน้าดิน เป็นอีกหนึง่ เรือ่ งทีน่ า่ สนใจ หากสังเกตให้ดจี ะพบว่าบางช่วงต้นไม้ขนึ้ เป็นหย่อมๆ ไม่เต็มป่า นั่นเพราะต้นอ่อนที่โตไม่ทันจะถูกปูก้ามดาบ จัดการกินเป็นอาหารจนต้นไม้ตาย หลังจากนั้นปูจะขับถ่ายออกมา เป็นปุย๋ ให้กบั หาดเลน เมือ่ ปูกา้ มดาบมีจำ� นวนมากเกินไป ปลากระจัง และหนู จะมากินปูก้ามดาบอีกทอดหนึ่ง เกิดเป็นห่วงโซ่อาหารที่ สร้างความสมดุลให้กับผืนป่าชายเลนแห่งนี้ พรรณไม้ส่วนใหญ่คือโกงกาง รองลงมาเป็นแสมขาว

แสมด�ำ ซึง่ ประโยชน์ของต้นไม้เหล่านีน้ อกจากจะช่วยยึดหน้าดิน และเป็นทีอ่ ยูอ่ าศัยของสัตว์แล้ว ยังเป็นอาหารให้เรารับประทาน ได้ดว้ ย ระหว่างนัน้ น้าเอ๊ะ ผูน้ ำ� ทาง ได้เด็ดใบอ่อนของต้นโกงกาง มาเคีย้ ว พร้อมชวนให้เราได้ลมิ้ ลอง รสชาติของใบอ่อนโกงกางจะ มันๆ ไม่ฝาด คล้ายกับใบขนุน แต่จะให้อร่อยเด็ดต้องน�ำไปชุบแป้ง ทอดจิ้มกับน�้ำพริกกะปิ ส่วนลูกแสมเอาไปเชื่อมเป็นของหวาน เดินชมสองข้างทางไปเรื่อยๆ จนถึง วัดขุนสมุทราวาสเรา เข้าไปไหว้พระในอุโบสถหลังเก่าเป็นอันดับแรก ปัจจุบันพื้นล่าง ของอุโบสถถูกยกให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้น�้ำทะเลกัดเซาะจนพังลง ภาพรวมค่อนข้างช�ำรุดเสียหาย เนือ่ งจากไอเค็มของทะเล ส่งผลให้ สีลอกล่อน โครงสร้างเหล็กภายในถูกสนิมกัดกิน และช่วงฤดูรอ้ น เช่นนี้จะพบคราบไอทะเลเกาะอยู่ตามผนังอุโบสถ เมื่อลองใช้ ปลายนิว้ ลูบแล้วน�ำมาแตะทีล่ นิ้ จะพบว่ามีรสชาติเค็มคล้ายเกลือ การกัดเซาะของน�้ำทะเลกินพื้นที่เข้ามาเรื่อยแต่วัดไม่สามารถ ย้ายไปไหนได้จงึ กลายมาเป็นวัดทีอ่ ยูก่ ลางทะเล ชาวบ้านได้รว่ ม แรงร่วมใจกันสร้างแนวกั้นน�้ำป้องกันการกัดเซาะวัดไว้ถึง 3 ชั้น สถานการณ์จึงเริ่มดีขึ้น ออกมาจากอุโบสถมานัง่ รับลมทะเลให้เย็นใจบริเวณศาลา ชมวิว จุดสุดท้ายของทริปขุนสมุทรจีน ไกด์อาสา ชี้นิ้วให้เราดู พร้อมกับเล่าให้ฟงั ว่า ยอดเสาไฟฟ้าทีม่ องออกไปราว 1 กิโลเมตร ในทะเล คือชุมชนที่ถูกทะเลกลืนกินไปแต่เดิมมีพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ ในปี 2510 ปัจจุบันลดเหลือเพียง 70 กว่าไร่เท่านั้น ชาวบ้าน ต้องถอยร่นออกไปอยูห่ ลังวัด บางส่วนก็ตอ้ งย้ายออกไปอยูท่ อี่ นื่ ใกล้กันมีแนวเขื่อนเสาไฟฟ้าชะลอความรุนแรงของก�ำลัง คลืน่ ชือ่ ว่า “ขุนสมุทรจีน 49A2” เป็นเสาคอนกรีตทรงสามเหลีย่ ม เรียงแถวสามชั้นห่างกัน 1.5 เมตร ในลักษณะสลับฟันปลา เป็นแนวยาว 250 เมตร เมื่อคลื่นซัดเข้ามากระทบจะแตกออก 2 ข้าง และสะท้อนไปมาตามแนวเสา แรงปะทะของคลื่นจะ ค่อยๆ ลดก�ำลังลง ปัจจุบันนี้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งยังเป็นภัยคุกคามที่ ไม่อาจเลีย่ งได้ แต่ความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านทีร่ ว่ มกันต่อสู้ และดูแลธรรมชาติ ท�ำให้ขนุ สมุทรจีนในวันนีก้ ลายเป็นแหล่งท่อง เทีย่ วเชิงนิเวศทีน่ กั เดินทางสายอนุรกั ษ์ตอ้ งหาโอกาสแวะมาเยือน


มีนาคม 2558 / March 2015

Another highlight that visitors should stop for photograph taking is the breakwater built with the cooperation of the villagers. The outer breakwater is the dropped stone line and the inner breakwater line is made from bamboo. The breakwater is over 1 kilometer long and it can help ภายในอุโบสถหลังเก่าวัดขุนสมุทราวาส reducing the severity inside old main chapel. of wave power to the mangrove forest area. “In the past when we did not have breakwater, our reforestation never succeeded because it could not stand the wave power. Villagers used their folk wisdom to build this breakwater that can help expand the mangrove forest area. The accumulation of sediments increases. Formerly if we walked in the mangrove forest, our feet would submerse in the mud to the ankle bone level. But now, our feet will submerse deeper. When the sediment gets higher, the forest will grow higher.” Uncle Ae told us about the environmental changes while walking along the mangrove forest. At present, the mangrove reforestation increases covering the area over 10 rais (16,000 sq. m.) The increased mangrove forest can mitigate the coastal erosion. The area serves as the habitat of benthos and aquatic animal nursery. Life cycle of benthos is very interesting. If you observe carefully, you will notice that in some area trees grow in patches. It is because the saplings are eaten by fiddler crabs. Crab droppings are fertilizer to the mud flat. But when the fiddle crabs are in great number, they will be rid by giant mudskippers and

107

mice. Thus, it creates a balance food chain to this mangrove forest. Most of the plants found in this area are mangrove, Avicennia alba and Avicennia officinalis. These trees are useful not only in holding the soil and as the habitat of aquatic animals, it is edible too. On the way, Uncle Ae, our guide, picked young mangrove leaf and chewed. He insisted we tried eating it too. The taste of young mangrove leaf is chewy like jackfruit leaf. The best way to eat it is deep fried in batter and taken with shrimp paste. The mangrove fruit is good to make sweets by boiling in syrup. We took a pleasant walk enjoying the scenery along the way until we got to Wat Khun Samut Suthawas. We went into the old main chapel to pay homage to Buddha images. At present, the lower floor of the chapel was elevated higher in order to escape erosion by sea water. The overview situation of the chapel is somewhat damaged because the salty vapor makes the color peel out and the iron structure is in rust. During the summer, sea water stains are seen on the wall and if we touch those stains and taste it, we can taste the salty taste. The sea water erosion keeps encroaching but the temple cannot move away. Thus, it becomes the temple in the sea. Villagers united in making 3 layers of breakwater that could help making the situation better. Getting out of the main chapel, we stopped at the pavilion to enjoy the scenery and the cool sea breeze. The last spot of the trip that our guide pointed us to look at is the tip of electricity pole about 1 km. away. He told us that it used to be the site of the community swallowed by the sea. In 2510 B.E. (1967 A.D.) the community covered the area over 1,000 rais (400 acres) but nowadays it is only 70 rais (28 acres). Villagers have to move inland behind the temple and some of them moved out elsewhere. Nearby, there is electricity pole breakwater line called “Khun Samut Jeen 49A2”. It is made from triangular concrete poles lined 250 m. long in 3-zigzag lines at the interval of 1.5 m. When the waves hit the breakwater, they will break into two lines along the side of the poles and their impacts will be gradually reduced. Currently, coastal erosion is an unavoidable threat. However, the cooperation of villagers, to fight against and look after the nature at the same time, helps make Khun Samut Jeen a tourism destination for environmental conservation travelers.

การเดินทาง ใช้เส้นทางถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าสู่สามแยกพระสมุทรเจดีย์ แล้วเลี้ยวขวา ไปทางป้อมพระจุลจอมเกล้า ขึ้นสะพานข้ามคลองสรรพสามิต แล้วเลี้ยวขวา เข้าบ้านสาขลา หลังจากนั้นขึ้นเรือหางยาวที่ท่าเรือป้าลี่ไปที่ขุนสมุทรจีน

เส้นทางเดินตามแนวป่าชายเลน scenery along the mangrove forest.

การติดต่อ : นางสมร เข่งสมุทร เลขที่ 67 หมู่ 9 บ้านขุนสมุทรจีน ต�ำบลแหลมฟ้าผ่า อ�ำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ โทร. 08-7781-9875, 08-5020-0024 Contact : Mrs. Samorn Khengsamut, 67 Moo 9, Ban Khun Samut Jeen, Laem Fahpha Sub-district, Phra Samut Chedi District, Samut Prakan Tel. 08-7781-9875, 08-5020-0024


108 Stories of Paknam ร้อยเรื่องเมืองปากน้ำ�


มีนาคม 2558 / March 2015

ปลุกคนรุ่นใหม่..สู่เกษตรวิถีเมือง T he New Generation of Farmers หลังจากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ได้มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรรุ่นใหม่ ที่รักอาชีพเกษตรกรรมของแต่ละจังหวัด สร้างเครือข่ายพบปะ แลกเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนของตนเอง โดยในส่วนของจังหวัด สมุทรปราการก็มกี ารรวมกลุม่ ด้วยเช่นกัน ภายใต้ชอื่ “YOUNG SMART FARMER” ซึ่งสมาชิกในกลุ่มส่วนใหญ่จะเน้นการ เพาะปลูกแบบเกษตรวิถีเมือง ที่ไม่ต้องมีที่ดินจ�ำนวนมาก แต่ สามารถเพาะปลูกได้ ในพื้นที่ ไม่กี่ตารางวา ไม่ว่าจะเป็นการ ปลูกไม้ผลในกระถาง ท�ำเกษตรผสมผสาน และเพาะต้นอ่อน ทานตะวัน ที่ล้วนมีความน่าสนใจและสามารถสร้างรายได้จาก สิ่งที่ปลูกได้เป็นกอบเป็นก�ำ After Department of Agricultural Extension, Ministry of Agriculture and Cooperatives has launched the policy to support new generation of farmers who are fond of agriculture in each province in creating network in their own province, new generation farmers in Samut Prakan Province have formed a group called “YOUNG SMART FARMER”. Most of the members emphasize their farming on urban agricultural style that does not need vast land for farming. They need a few square meters for their farming in pots, integrated agriculture and cultivating sunflower saplings which are very interesting and can generate a sizeable income.

109


110 Stories of Paknam ร้อยเรื่องเมืองปากน้ำ�

ปลูกไม้ผลในกระถาง

พี่วสันต์ รัตนวงศ์ Mr.Vasan Rattanawong

หลายคนอาจคุน้ เคยและชินตากับการปลูกไม้ดอกลงในกระถางเพือ่ ประดับตบแต่งบริเวณบ้าน แต่พวี่ สันต์ รัตนวงศ์ หนึง่ ในสมาชิกกลุม่ YOUNG SMART FARMER กลับมีแนวความคิดทีแ่ ตกต่าง โดยการน�ำไม้ผลอย่างต้นมะม่วง ต้นมะนาว ที่คนส่วนใหญ่มักปลูกลงในที่ดินจ�ำนวนหลาย 10 ไร่ แต่เขาน�ำมาปลูกลงในกระถางใบเล็กเสมือนเป็นไม้ประดับ ซึง่ นอกจากจะให้ความร่มรืน่ สวยงามแล้ว ยังมีผลให้รับประทานอีกด้วย Many people are familiar with flower planting in pots for home de’cor. But, Mr.Vasan Rattanawong, a member of YONG SMART FARMER Group, has a different idea. He plants fruit bearing trees, such as mango or lime that most people would plant on tens acres of land, in pots like those flowering plants that apart from providing shade they also bear fruits for consumption.

ปัจจุบันพี่วสันต์ปลูกไม้ผลอยู่สองสายพันธุ์ คือ ต้นมะม่วง น�ำ้ ดอกไม้พระประแดง และต้นมะนาวพันธุแ์ ป้นพิจติ ร กับพันธุแ์ ป้น พวงบ้านแพ้ว ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกง่ายและให้ผลผลิตมาก ส่วน ข้อดีของการปลูกไม้ผลในกระถางจะท�ำให้สะดวกในเรือ่ งการเคลือ่ น ย้าย เพราะสามารถย้ายกระถางไปตัง้ บริเวณส่วนไหนของบ้านก็ ได้ At present, Mr.Vasan cultivates two breeds of fruit bearing trees i.e. Phra Pradaeng Nam Dok Mai mango and Pichit Paan lime and Ban Paew Paan lime because they are all easy to cultivate and bear a lot of fruits. The advantage of planting fruit bearing trees in pots is the convenient move to any area around the house.

Lime ต้นมะนาว

เริ่มแรกผมปลูกไม้ใบ พวกต้นหมากผู้หมากเมียมา ก่อน ต่อมาจึงหันมาสนใจเรื่องไม้ผลในกระถาง ซึ่งได้รับ แรงบันดาลใจมาจากวารสารการเกษตรของประเทศญีป่ นุ่ ที่เขาปลูกต้นมะม่วงลงในกระถาง ล�ำต้นก็ไม่สูงใหญ่ แต่ กลับให้ผลผลิตจ�ำนวนมาก ผมจึงเริ่มหาไม้ผลในบ้านเรา มาลองปลูกลงในกระถางบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็ปลูกต้นมะนาว ต้นมะม่วง ออกจ�ำหน่ายตามงานเกษตรต่างๆ ผลตอบ รับจากตลาดค่อนข้างดี At first, I planted foliage like Cordyline and later I turned to get interested in planting fruit bearing trees in pots which I got inspired by a Japanese agriculture journal that they planted mango in a pot. The trunk is not tall but it bears a lot of fruits. Hence, I started experimenting to plant our native fruit bearing trees in pots. Presently, I cultivate mango and lime for sale in agricultural fairs which received good response.


มีนาคม 2558 / March 2015

111

T hongprasert breed jackfruit ขนุนพันธุ์ทองประเสริฐ

เกษตรผสมผสาน พี่สุรพล กมลวิศวกร Mr. Suraphol Kamolvisavakorn

เกษตรผสมผสาน คือการปลูกทุกสิ่งอย่างลงไปในแปลงเดียวกัน ซึ่งสวนของ พีส่ รุ พล กมลวิศวกร สมาชิกกลุม่ YOUNG SMART FARMER ก็เป็นแบบนัน้ เพราะ มีการปลูกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไม้ผลอย่าง ขนุน มะนาว ส้มโอ มะม่วง ชมพู่ มะพร้าว หรือผักสวนครัวอย่าง ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เพื่อให้มีผลผลิตหมุนเวียน และสามารถน�ำไปจ�ำหน่ายได้ตลอดทั้งปี Integrated agriculture is planting everything in one plot. Mr. Suraphol Kamolvisavakorn, a member of YOUNG SMART FARMER Group, employs this cultivating method in his orchard as there are diversified crops such as jackfruit, lime, pomelo, mango, rose apple, coconut or garden vegetables such as ginger, galangal, lemongrass, kaffir lime which he can sell the produces all year round. จุดเด่นของเกษตรผสมผสาน คือ ความหลากหลาย ถ้าเราปลูกเชิงเดี่ยวเวลา ถึงฤดูกาลเก็บเกีย่ ว ผลผลิตก็จะออกพร้อม กันจ�ำนวนทีละมากๆ ซึง่ ผลไม้กจ็ ะล้นตลาด มีการกดราคาชาวสวน เพราะปลูกเพียง ชนิดเดียว แต่ถ้าเราปลูกแบบผสมผสาน คือปลูกผลไม้ทุกอย่างเลย มันก็จะเกิดการ หมุนเวียน เดือนนีจ้ ำ� หน่ายมะม่วง เดือนหน้า จ�ำหน่ายชมพู่ ขนุน ส้มโอ มะนาว ก็จะท�ำให้ ตัวเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย

ปัจจุบันสวนพี่สุรพลมีการเพาะปลูกไม้ผลเป็นจ�ำนวนมาก ซึ่งแต่ละ สายพันธุล์ ว้ นมีจดุ เด่นพิเศษแตกต่างกันไป เช่น มะนาวพันธุแ์ ป้นน�ำ้ ทิพย์ ซึง่ เป็น สายพันธุ์ ใหม่ทขี่ ยายพันธุข์ นึ้ เอง จะมีลกั ษณะเด่นในเรือ่ งลูกใหญ่ เปลือกหนา น�้ำหอม และขนุนพันธุ์ทองประเสริฐ ที่มีลักษณะเด่นในเรื่องพวงใหญ่ เนื้อสี เหลือง รสชาติหวาน โดยทุกสิ่งที่ปลูกก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไปจ�ำหน่าย ได้ทุกฤดูกาล At present, there are diverse fruits in his orchard, each breeding has distinctive characteristics such as Paan Namtip breed lime, the new breed that he successfully bred himself, is outstanding in giving big fruits with thick rind and nice fragrance; or, Thongprasert breed jackfruit that is distinctive with big yellow pulp and sweet taste. He can harvest his produces in the orchard all year round.

The distinctive point of integrated agriculture is diversity. If we do the monoculture, when it is time for harvest, the produces will be oversupply and the prices are forced down. However, if we do integrated agriculture i.e. we plant all kinds of fruits, the produce will be in rotation such as this month we sell mangoes, next moth we can sell rose apples, jack fruit, pomelo, lime, etc. This will result in an increasing income for farmers.


112 Stories of Paknam ร้อยเรื่องเมืองปากน้ำ�

เพาะต้นอ่อนทานตะวัน

เมือ่ ก่อนผมท�ำงานบริษทั เอกชน รูส้ กึ ว่ารายได้ ไม่คอ่ ยดีเท่าไหร่ จึงหันมาลองเพาะต้นอ่อนทานตะวัน ช่วงแรกผมลองเพาะถั่วงอกดูก่อน แต่พอมาศึกษา ในตลาดก็พบว่าราคาจ�ำหน่ายถั่วงอกไม่ค่อยสูง จึง เริ่มมาเพาะเมล็ดอ่อนทานตะวัน ซึ่งลองผิดลองถูก อยู่นาน ก็สามารถเพาะจ�ำหน่ายได้ส�ำเร็จ ส่วนวิธี การเพาะ คือ เอาเมล็ดพันธุ์ทานตะวันมาแช่น�้ำทิ้ง ไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จนรากเริ่มงอก แล้วน�ำลง ดินกลบบางๆ จากนั้นก็รดน�้ำให้ชุ่มๆ เพียง 4 วัน ก็สามารถน�ำมารับประทานได้ Formerly, I worked in a private company but I felt the earning was not sufficient. Then, I started cultivating sunflower saplings. At first, I started with bean sprouts but found that the selling price is not good so I turned to sunflower saplings which I tried an error for quite a long time before I finally succeeded in cultivating sunflower sapling for sale. The cultivating process starts with soaking sunflower seeds in water for 2 hours so that the roots start to come out then covering them thinly with soil and then watering them to wet for about 4 days and they will be ready for cooking.

พี่วรพล กลิ่นเอม Mr. Woraphol Klin-aim

จากกระแสความนิยมบริโภคผักออร์แกนิกในปัจจุบัน ท�ำให้พี่วรพล กลิ่นเอม สมาชิกกลุ่ม YOUNG SMART FARMER เริ่มจับตลาดเพาะเมล็ดอ่อนทานตะวัน เพื่อจ�ำหน่ายให้กับคนที่รักสุขภาพ เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการ สูง คือ มีโปรตีน มีวิตามินอี ช่วยบ�ำรุงสายตา ช่วยชะลอความแก่ มีธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 บี 6 และช่วยบ�ำรุงสมอง ท�ำให้ผักชนิดนี้ก�ำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาด Nowadays, eating organic vegetable is a popular trend that inspires Mr. Woraphol Klin-aim, a member of YOUNG SMART FARMER Group, to cultivate sunflower saplings for sale to health conscious group. Sunflower saplings have high nutrients including protein, vitamin E that helps promote good eyesight and delay aging, iron, vitamin B1 and B6 that help promote the brain quality. All combined nutrients make this kind of veggie becoming popular in the market.

ปัจจุบนั พีว่ รพลสามารถเพาะต้นอ่อนทานตะวันได้ประมาณ วันละ 6 กิโลกรัม ราคาจ�ำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท ซึ่ง ผักชนิดนี้นิยมน�ำไปประกอบอาหารหลากหลายเมนู ทั้งต้ม แกง ผัด สลัด ย�ำ ฯลฯ ส่วนคนที่สนใจสามารถสั่งซื้อโดยตรง ได้ที่ : www.facebook.com/ตี๋เล็ก-ฟาร์ม-ต้นอ่อนทานตะวัน-เมล็ดและผักปลอดสารพิษ

At present, he can cultivate sunflower saplings about 6 kilograms a day and the selling price is at 150 Baht per kilogram. This veggie is good as ingredient in many menu be it soup, curry, stir-fried, salad, etc. Interested party can place the order directly at www.facebook.com/ตี๋เล็ก-ฟาร์ม-ต้นอ่อน ทานตะวัน-เมล็ด-และผักปลอดสารพิษ

ต้นอ่อนทานตะวัน


มีนาคม 2558 / March 2015

เกษตรกรรุ่นใหม่ ปลอดภัยไร้สารพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Yong Smart Farmer Save T ha Environ Ment

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : กลุ่ม YOUNG SMART FARMER จังหวัดสมุทรปราการ โทรศัพท์ 08-7144-2784 For more information, please contact : YOUNG SMART FARMER Group Samut Prakan, Tel. 08-7144-2784

113


114 High Time เยือนบ้านงานมือ

สร้อยคอทำ�จากเส้นเงิน สานลายผ้าไหม ก่อนประดับตกแต่งด้วยพลอยนพเก้า นับเป็นเครื่องประดับที่ได้รับความนิยม และมีราคาสูงอีกชิ้นหนึ่ง necklace, silk design, before to adorn the work with the auspicious nine color stones


มีนาคม 2558 / March 2015

WOVEN SILVERWARES

A NEW DEFINITION OF HANDICRAFTS

เครื่องเงินสาน..นิยามใหม่งานหัตถกรรม การท�ำเครื่องเงินของประเทศไทยปรากฏให้เห็นนับแต่ยุคสุโขทัย โดยเฉพาะเครื่องประดับเงิน เริ่มเป็นที่นิยม ในกลุ่มชนชั้นกลางและเด็กมากขึ้นในสมัยอยุธยา ต่างจากเครื่องทองซึ่งเป็นของกษัตริย์และชนชั้นสูง องค์ความรู้ในการท�ำเครื่องเงินจากอดีตที่ ได้รับการสั่งสอนและสั่งสมจากรุ่นสู่รุ่น ก่อให้เกิดงานหัตถกรรมอันวิจิตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าตราบจนปัจจุบัน The making of silverwares, particularly silver accessories, could be traced back to Sukhothai period. Silverwares became popular among the middle class and children in Ayutthaya period unlike the golden wares which were for the member of the royal families and noblemen only. The knowledge and skill in making silverware were passed from generation to generation. The result is exquisite silverwares reflecting the invaluable handicrafts until presently.

นายสนิท ชรินทร์ หรือพี่สนิท ประธานกลุ่มสานเงิน สานทอง ผู้ประกอบการ OTOP จ.สมุทรปราการ เป็นผู้หนึ่งที่ รับสืบทอดศาสตร์ ในการสร้างสรรค์เครื่องเงินและเครื่องทอง ซึง่ ได้นำ� ทักษะงานช่างผสมผสานความคิดสร้างสรรค์มาปรับปรุง รูปแบบของผลิตภัณฑ์เครือ่ งเงินดัง้ เดิม ให้สอดคล้องกับค่านิยม ของผูค้ นทีเ่ ปลีย่ นแปลงไป โดยหยิบเอาความประณีตของการ ท�ำเครือ่ งเงินโบราณมาผสานกับลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์และ แนวคิดสมัยใหม่ เกิดเป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายสวยงาม เหมาะกับผู้คนทุกกลุ่มวัย ดึงเสน่ห์ของเครื่องเงินให้กลับคืน มาอีกครั้ง พี่สนิทเล่าว่า เครื่องเงินของทางกลุ่มไม่ใช่งานแกะลาย เบาเหมือนที่พบเห็นได้ตามท้องตลาด แต่เป็นงานสานเช่น เดียวกับการสานด้วยหวาย ใบจากหรือไม้ไผ่ ในด้านคุณค่าทาง ศิลปหัตถกรรมแล้ว เครือ่ งจักสานท�ำขึน้ ด้วยมือแบบชิน้ ต่อชิน้ ต่างจากผลิตภัณฑ์ทอี่ อกจากโรงงาน ท�ำให้แต่ละชิน้ มีเอกลักษณ์ และคุณค่าเฉพาะตัว ลวดลายของการสาน สอด ทอ ถัก และ รูปแบบเครือ่ งจักสาน ยังแสดงถึงทักษะและความคิดสร้างสรรค์ ของช่าง เมื่อน�ำเครื่องเงินมาประยุกต์เข้ากับงานสาน ท�ำให้ ได้ผลิตภัณฑ์ทแี่ ตกต่างจากเครือ่ งจักรสานหรือเครือ่ งเงินทัว่ ไป มูลค่าของสินค้าจึงเพิ่มสูงขึ้น คุณค่าของเครื่องประดับเงินสาน เกิดจากการใช้แร่ เงินบริสุทธิ์ที่มีราคารองจากทองค�ำ มาผ่านกระบวนการท�ำ มือที่ต้องอาศัยเวลาและทักษะเฉพาะ เริ่มจากขั้นตอนการ น�ำเม็ดเงินบริสุทธิ์มาหลอมในเบ้าหลอม โดยใช้เครื่องปั๊มลม เป่าระดับความแรงของไฟตามต้องการ ราว 2 นาที เม็ดเงิน จะละลายกลายเป็นของเหลว ขั้นตอนนี้ต้องรีบเทใส่แท่ง พิมพ์ที่ละลายเทียนเคลือบไว้ก่อนแล้ว เพราะเงินบริสุทธิ์จะ คืนรูปอย่างรวดเร็ว ต่อด้วยขั้นตอนการขึ้นรูป น�ำเข้าเครื่อง รีดโดยปรับระดับและขนาดช่องจนได้เส้นเงินที่มีขนาดเล็กลง จึงน�ำเข้าเครื่องดึงเพื่อให้เส้นเงินยืดออกและมีขนาดเล็กลง กว่าเดิม ขัน้ ตอนนีต้ อ้ งอาศัยช่างทีม่ ปี ระสบการณ์ เพราะเส้นเงิน อาจจะขาดได้

Mr. Sanit Charin, aka Sanit is the president of silver and gold weaving group and one of OTOP entrepreneur in Samut Prakan. He inherits the art of making silver and gold accessories and he applies his creativity with his skills to create silver accessories that meet the changing taste of the people i.e. exquisite ancient silver making process together with unique new in trend designs resulting in beautifully silver accessories suitable for everybody. The charm of silverwares is brought back in limelight again. Brother Sanit recounted The silver products of the group are not carved or embossed like those found in the market but he uses the art of weaving, same as the making of rattan works. For the artistic value, the hand woven wares are made by hand and piece by piece. The finish product differs from those out of factory. Therefore, each piece of work is unique with the design fabricated by means of interlacing, the same as basketry. The outcome of silverwares making by weaving techniques is different from ordinary silverwares or basketry. Thereby the value of the work is added. The value of woven silverwares lies in using the pure silver ore. The process starts from smelting silver in the crucible for about 2 minutes by using air pump for heating. Silver pellets will melt and it should be quickly pour into the mould laminated with wax as the pure silver will quickly resume its original character. The next step is shaping by using the pressing machine that is adjusted to get the desired size of silver thread. Next step will use the machine to stretch the thread into smaller sizes. This step requires very experienced hand as the stretched thread can easily parted.

115


116 High Time เยือนบ้านงานมือ

หลอมเม็ดเงินบริสุทธิ์ smelting silver.

การสานเส้นเงินอาจกินเวลาราว 2-3 วัน weaving process take about 2-3 days in making.

เมื่อได้เส้นเงินขนาดเล็กและยาวคล้ายเส้นลวดแล้ว ช่างจะน�ำเข้า เครือ่ งทับเพือ่ ให้เส้นเงินกลม มีลกั ษณะแบนลง ซึง่ ความบางของเส้นเงินนัน้ ขึ้นอยู่กับชิ้นงานที่ต้องการผลิต เช่น สร้อยคอ ก�ำไล อาจต้องใช้เส้นเงิน หนากว่า แหวนและต่างหู เป็นต้น จากนัน้ น�ำไปผ่านไฟให้เส้นเงินอ่อนตัวลง และดึงด้วยคีมอีกครัง้ ก็จะได้เส้นเงินลักษณะตรง แบนและบาง เหมาะส�ำหรับ น�ำมาสานเพื่อท�ำเป็นเครื่องประดับ ในขัน้ ตอนการสานนัน้ ช่างอาจจะเลือกสานตัง้ แต่ 6 เส้น ไปจนถึง 20 เส้น ได้ตามแต่ความช�ำนาญ ซึ่งเวลาที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไป เมื่อสานเส้น เงินเป็นแผ่นเรียบร้อยแล้วจะน�ำไปประกอบเป็นเครื่องประดับชนิดต่างๆ ตามต้องการ ก่อนขัดให้เงินขึ้นเงาและผ่านกระบวนการชุบเพือ่ เพิม่ ความ มันวาว ขัน้ ตอนนีล้ กู ค้าสามารถเลือกได้วา่ ต้องการชุบหรือไม่ เพราะสีเงินด้าน ก็เหมาะเป็นเครือ่ งประดับส�ำหรับผูช้ ายเช่นกัน สุดท้ายจึงเป็นการตกแต่งด้วย เพชร พลอยและหินสี เพือ่ เพิม่ ความสวยงามและมูลค่า จากกระบวนการ ผลิตที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น อาจกินเวลาราว 10 - 15 วัน ซึ่งเป็นที่มาว่า เหตุใดเครื่องประดับเงินจึงมีคุณค่าและราคาไม่ต่างจากทองค�ำมากนัก นางศรีนวน ชรินทร์ หรือพี่พิณ ภรรยาของพี่สนิท อธิบายให้เราฟัง ต่อว่า ราคาเครื่องเงินสานมีตั้งแต่หลักพันไปถึงหลักแสน เพราะเงินเป็น วัตถุดบิ ทีม่ รี าคารองลงมาจากทองค�ำ อีกทัง้ หากลูกค้าต้องการสัง่ ท�ำเฉพาะ ประดับตกแต่งด้วยเพชร พลอยหรือเงินผสมทอง ราคาก็จะสูงขึน้ ตามไปด้วย เครื่องประดับเงินสานของทางร้านมีให้เลือกหลากหลายชนิด เช่น แหวน ก�ำไล สร้อยคอและตุ้มหู เป็นต้น วัสดุที่ใช้ลูกค้าสามารถเลือก ทั้งเงิน นาค ทอง และเลือกประดับด้วยเพชร หินสี หยก พลอยหรือ นพเก้าได้ตามความต้องการ ส�ำหรับลวดลายก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ลายผ้าไหม ลายมัดหมี่ ลายขัด ลายขัดแตะ ลายสอง (ลายกระดูกงู) รวมถึงงานแบบปล้องไผ่ ซึ่งความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และราคานี้ ท�ำให้กลุ่มวัยรุ่นเริ่มหันมาสนใจเครื่องประดับเงินสานมากขึ้นด้วย

พี่สนิทกับโต๊ะทำ�งานคู่ ใจ Mr. Sanit.

When we get the desired length and thickness, the artisan will use another machine to flatten the thread. The thickness of the thread depends on the work that he is going to make such as making necklace or bracelet, the silver thread will be thicker than the thread for making rings and earrings. Then the artisan will pass the thread through heat to make the silver thread softer and pull the thread with pliers. The result is a straight, flat and thin silver thread suitable for weaving into various accessories. In the weaving process, the artisan will weave with at least 6 threads up to 20 threads depending on his experience. Timing used in weaving differs. When the silver threads are woven into sheet, it will be assembled to accessories of various shapes. Then the works will be polished and plated. However, the customers can decide whether they want to plate the finished works or not because the matt silver accessories are suitable for men. The final touch is to adorn the work with diamond, semi-precious stone or color stones in order to add value to the finished works. The whole process takes about 10-15 days in making. Thus, it is the reason why silver accessories worth no less in value and price than gold accessories. Mrs. Srinuan Charin or Pin, Sanit’s wife, informed us that the selling prices of woven silverwares ranges from thousand to hundred thousand Baht because silver cost is second only to gold. Moreover. The store displays variety of silver woven accessories such as rings, bracelets, necklaces and earrings. Customers can choose the material they like be it silver, gold or allow of gold, silver and copper; their preferred stone for embellishment be it diamond, color stone, jade or the auspicious nine color stones; even the weaving patterns of their choice. The diversity of products and the prices make teenagers interested in the woven silver accessories.


มีนาคม 2558 / March 2015

เครื่องประดับเงินผสมทองตามสมัยนิยม bracelet from silver and gold.

เครื่องประดับเงินชุดลายผ้าไหม silverwares, silk design.

เครื่องประดับเงินขณะยังไม่ผ่านการขัดและชุบ silverwares before to plate.

ชุดเครื่องประดับนพเก้า auspicious nine color stones.

ใครที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ กลุ่มสานเงินสานทอง 498/103 ม.4 ซอยบางปูนคร ถนนเทพารักษ์ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ โทรศัพท์ 08-9884-3069 และ 08-1910-3314 พี่สนิทและพี่พิณยินดีเปิดบ้านต้อนรับ เสมอ ถ้าจะให้ดีควรโทรไปนัดแนะกันก่อน เพราะทางกลุ่มออกงานแสดงสินค้าทั่วประเทศ บ่อยๆ เดี๋ยวจะพลาดโอกาสได้ของดีติดไม้ติดมือกลับไป แล้วจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะ Interested party can visit the products at Silver and Gold Weaving Group, 498/103 Moo 4, Soi Bang Pu Nakorn, Theparak Road, Praeksa Mai Sub-district, Muang Samut Prakan District, Samut Prakan, Tel 08-9884-3069 0r 08-1910-3314. Mr. Sanit and Mrs. Pin are willing to welcome everybody. It is advisable to call for an appointment in advance because the group always joins in the trade fair across the country and you will regret missing the opportunity to get valuable souvenir home.

117


118 At One Time เยือนสถานโบราณศิลป์

The War and Peace Rapport

MONASTERIES FORTRESSES วัด..ป้อมปราการ สายสัมพันธ์แห่งสงครามและสันติ สมุทรปราการเมืองป้อม สมญานามนี้ ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด เพราะในบรรดาจังหวัด ชายทะเลทั้ง 22 แห่ง เมืองปากน�้ำมีความส�ำคัญทางยุทธศาสตร์มากที่สุด ด้วยเป็นเมืองหน้าศึก มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาราชธานี ทั้งยังมีการสร้างป้อมปราการเสริมทัพยุทธนาวี ตั้งแต่ปากแม่น�้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ ไปจนถึง อ.พระประแดง มากถึง 26 ป้อม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยติดตั้งอาวุธ ยุทโธปกรณ์และเตรียมก�ำลังทหารไว้เต็มอัตราเพือ่ ท�ำศึกกับชาติตะวันตก แต่เรือ่ งราวของ ป้อมปราการ ไม่จำ� เป็นจะต้องคูก่ บั สงคราม เท่านัน้ หากแต่ยงั มีสายสัมพันธ์บางๆ กับ ศาสนสถาน ปรากฏให้เห็น Samut Prakan was a town of fortresses is not an overstatement because among 22 coastal provinces, Paknam held the most strategic importance. It had been serving as the naval outpost since Ayuttaya dynasty. Altogether there were 26 fortresses fortifying Siamese naval might from the estuary in Muang Samut Prakan District all the way to Phra Pradaeng District. Once upon the time those fortresses were fully equipped with armaments and military force ready for national protection against invading western power. However, the stories of the fortresses do not have to be paired with only fighting because they had a noticeable thin rapport with religious places as well.


มีนาคม 2558 / March 2015

119

@SAMUTPRAKAN Travel ฉบับนี้ จะน�ำทุกท่านย้อน กลับไปครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อพบกับสายใย ระหว่าง สงคราม และ ความสงบ ที่ยังคงเหลืออยู่ เป็นอนุสรณ์ ให้เราได้ร่วมร�ำลึกถึงอดีตไปพร้อมกัน In this issue, @SAMUTPRAKAN Travel will take you back in time to the early Rattanakosin period to learn about the rapport of war and peace that the remains reflecting the past for us.

WAT SONGTHARMA VORAVIHARN วัดทรงธรรมวรวิหาร

จากหนังสือ “ท�ำเนียบพระอารามหลวง” ฉบับกรมธรรมการ พ.ศ. 2468 ระบุประวัติ ของวัดไว้วา่ “วัดทรงธรรม พระอารามชัน้ โท ชนิด วรวิหาร อ�ำเภอพระประแดง จังหวัดพระประแดง (จังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบนั ) เคยถือกันว่าเป็น วัดวังหน้า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสร้างเมือ่ ครัง้ ไปท�ำป้อม แต่ปอ้ มไม่แล้ว กรมหลวงรักษ์รณเรศท�ำต่อ และได้รอื้ พระอุโบสถ ฝากระดานเดิมท�ำเป็นฝาผนัง แต่ก่อไม่ทันแล้ว ในรัชกาลที่ 4 ไม่ได้ทรงปฏิสังขรณ์ เพิ่งได้ทรง ปฏิสังขรณ์ ใหม่ในรัชกาลที่ 5 พอสักว่าแล้วใน ส่วนอุโบสถ” ค�ำว่า วัดวังหน้า เป็นค�ำทีช่ าวบ้านใช้เรียกกัน อาจมีที่มาจากครั้งสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ ราวปี 2358 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า เป็นแม่กองในการก่อสร้าง เพือ่ เป็นสิรมิ งคลแก่ บ้านเมืองตามโบราณราชประเพณี ในครั้งนั้น ทรงสร้างพระอารามขึ้น พระราชทานนามว่า

วัดทรงธรรม โดยก�ำหนดให้ตงั้ อยูท่ างฝัง่ ตะวันตก ของแม่นำ�้ เจ้าพระยา (บริเวณโรงเรียนอ�ำนวยวิทย์ ในปัจจุบัน) ชาวนครเขื่อนขันธ์จึงเรียกว่าวัด วังหน้าตามชือ่ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล วัดทรงธรรมวรวิหาร เป็นวัดของชาว รามัญมาแต่เดิม ด้วยในปี 2358 ชาวมอญถูก กดขี่อย่างทารุณ จึงได้ก่อกบฏขึ้น ภายหลังการ ถูกปราบปรามต้องอพยพหนีมายังเมืองไทยกว่า 40,000 คน นับเป็นการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดใน ประวัตศิ าสตร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ ท�ำกินให้แก่ชาวมอญ ตัง้ รกรากเลีย้ งดูตนเองและ ครอบครัว ทั้งยังให้วัดแห่งนี้เป็นที่พึ่งทางใจเพือ่ ชาวรามัญได้บำ� เพ็ญกุศล ประกอบกิจทางศาสนา และอาศัยหลักธรรมเป็นแนวทางในการด�ำเนินชีวติ ส�ำหรับป้อมปราการที่มีความเกี่ยวพัน กับวัดแห่งนี้ ได้กล่าวไว้ ในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 2 พระนิพนธ์ ในสมเด็จฯ กรมพระยา ด�ำรงราชานุภาพ ใจความว่า “...พระราชทานชือ่ ว่าเมืองนครเขือ่ นขันธ์ แล้วท�ำป้อมฝัง่ ตะวันออก

3 ป้อม ให้ชื่อ ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย 1 ป้อม ปีศาจสิง 1 ป้อม ราหูจร 1 ป้อม รวมทั้งป้อมเก่า ชื่อ ป้อมวิทยาคม ซึ่งสร้างในรัชกาลที่ 1 ด้วย เป็น 4 ป้อม สร้างข้างฝัง่ ตะวันตกอีก 5 ป้อม ชือ่ ป้อมแผลงไฟฟ้า 1 ป้อม ป้อมมหาสังหาร 1 ป้อม ป้อมศัตรูพินาศ 1 ป้อม ป้อมจักรกรด 1 ป้อม ป้อมพระจันทร์พระอาทิตย์ 1 ป้อม เหล่านี้ ชักก�ำแพงถึงกัน...” เครื่องหมายของสงครามทั้ง 8 แห่งถูก สร้างขึ้นเพื่อปกป้องเอกราชจากอริราชศัตรูที่ หวังจะเข้ามารุกราน กระนัน้ แม้อยู่ในพืน้ ทีส่ งคราม คนไทยก็ยังคงความเป็นชนชาติรักสงบ ด้วย การสร้างวัดขึ้นเคียงข้างก�ำแพงป้อม เพื่อเชื่อม สายสัมพันธ์อนั บางเบาระหว่างการสูร้ บและหลัก ธรรมค�ำสอนทางศาสนาเข้าด้วยกัน ชาวรามัญ ได้อาศัยวัดแห่งนี้เป็นหลักทางใจ และในกาล ต่อมาสัญลักษณ์ของสงครามและความสงบที่ ตั้งอยู่เคียงข้างกัน ก็กลายเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ให้ชาวไทยหลงลืมคุณธรรมและความดี ใน จิตใจของตนเอง


120 At One Time เยือนสถานโบราณศิลป์

พระมหารามัญเจดีย์ วัดทรงธรรมวรวิหาร สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 จุดเด่นบริเวณฐานประทักษิณ ได้สัดส่วนกลมกลืนกับความงามของเจดีย์ The Great Raman Pagoda was built in the reign of King Rama IV

ป้อมแผลงไฟฟ้า / Plaengfaifah Fort

ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย / Puchao Saming Phrai Fort

According to “Record of Royal Monasteries” Volume 2468 B.E (1925 A.D.) by Dhammakan Department (presently is Ministry of Education) mentioned the history of this monastery as follows: “Wat Songtharma is a second class royal Buddhist monastery in Worawihan category situated at Phra Pradaeng District in Phra Pradaeng Province (presently is Samut Prakan Province). It used to be recognized as Wat Wangna (Wangna literally means Front Palace. It is the colloquial name of the residence, person and office of Siamese titular heir to the king whose power was second only to the reigning monarch). King Rama II ordered to erect this temple when he ordered the construction of fortress. However, the construction of the fortress was not complete, Krom Luang Rakronares carried on the construction by pulling down the wooden wall of the main chapel and replacing with brick and mortar and again the work was not

complete. King Rama IV did not carry on the renovation. The remaining construction was carried on in the reign of King Rama V sufficiently finished in the area of the main chapel only.” Wat Wangna is the colloquial name used by villagers. It was probably since the time of founding Nakhon Khuean Khan around 2358 B.E. (1815 A.D.) in the reign of King Rama II when he ordered Krom Phrarajawang Bovorn Sathan Mongkol, generally known as Wangna, to supervise the construction for auspiciousness following the ancient royal tradition. At that time he also built a Buddhist temple on the western bank of the Chao Phraya River (in the areas where presently is the location of Amnuaywit School) and named this temple Wat Songtharma. Therefore, residents of Nakhon Khuean Khan called this temple Wat Wangna following the colloquial name of Krom Phrarajawang Bovorn Sathan Mongkol.


มีนาคม 2558 / March 2015

Wat Songtharma has been a Raman Buddhist temple since the inception. The reason was that in 2358 B.E. (1815 A.D.) Mon ethnic was brutally tyrannized that they could no longer stand and started a rebel which was eventually suppressed by the ruling power. Approximately 40,000 Mons fled to seek protection in Thailand. King Rama II graciously gave them land for settlement including this temple for their spiritual refuge and merit making. As for the fortresses relating to this temple, there was record in King Rama II Royal Chronicle by HRH Prince Damrong Rajanubhap that “…royally bestowed the name Nakhon Khuean Khan and to build 3 forts on eastern banks namely Puchao Saming Phrai Fort, Peesajsing Fort, Rahujorn Fort including a sacred tower called Wittayakom Tower built in the reign of King Rama I. Therefore, they were totally 4 forts. Additionally, on the western bank was to construct another 5 forts namely Plaengfaifah Fort, Maha Sanghan Fort, Sattrupinat Fort, Charkkrod Fort and Phra Chandra Phra Artit Fort. The outer fortifications of these forts were connected…” Those 8 symbols of war were constructed with the purpose to protect national independence from invading enemies. Even in the war zoning, Thai people still maintain being peace loving people by building Buddhist temples close to the fort walls in order to link a thin rapport between fighting and religious practices together. The Mon people used this temple as their spiritual refuge. Subsequently, it becomes a symbol of war and peace standing together reminding Thai people not to forget their own virtue and mindfulness.

121


122 At One Time เยือนสถานโบราณศิลป์

WAT PAICHAYON PHONLASEP WAT PRODKET CHETTARAM วัดไพชยนต์พลเสพ วัดโปรดเกศเชษฐาราม

ข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือพระราช พงศาวดารรัชกาลที่ 2 พระนิพนธ์ ในสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ระบุวา่ “...จึงโปรด ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพ เป็นแม่กองท�ำการก่อสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ ที่ยังค้างอยู่ ได้สร้างป้อมปราการขึ้นอีกป้อม 1 ชื่อ ป้อมเพชรหึง และให้ขุดคลองลัดหลัง เมืองนครเขื่อนขันธ์คลอง 1 มาทะลุออกคลอง ตาลาว คลองลัดที่ขุดใหม่นี้ เมื่อขุดกว้าง 6 วา ลึก 5 ศอก ยาว 50 เส้น กรมหมื่นศักดิพลเสพ ทรงสร้างวัดขึน้ ในคลองทีข่ ดุ ใหม่วดั หนึง่ พระราชทานนามว่า วัดไพชยนต์พลเสพ พระยาเพชรพิไชย (เกษ) ซึง่ เป็นนายงานสร้างเมืองนครเขือ่ นขันธ์ สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งใกล้กันกับวัดไพชยนต์ฯ ชื่อ วัดโปรดเกศเชษฐาราม ยังเป็นพระอารามหลวง อยู่จนทุกวันนี้ทั้ง 2 วัด” เมื่อแรกสร้าง กรมหมื่นศักดิพลเสพเป็น พระธุระอุปการะมาตลอด เมือ่ ทรงด�ำรงต�ำแหน่ง กรมพระราชวังบวรในรัชกาลที่ 3 ส่งผลให้วัดนี้ คงมีฐานะเป็นพระอารามหลวง (ชั้นโท ชนิด วรวิหาร) เช่นเดียวกับวัดโปรดเกศเชษฐาราม พระอารามหลวงชัน้ ตรี ชนิดสามัญ ตัง้ อยูต่ รงข้าม วัดไพชยนต์พลเสพ มีเพียงคลองลัดหลวงกั้น กลาง วัดแห่งนีป้ รากฏในพระราชพงศาวดารกรุง รัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 2 พระนิพนธ์ ในสมเด็จฯ

กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพและเจ้าพระยา ทิพากรวงศ์ ว่าผู้สร้างคือ พระยาเพชรพิไชย (เกษ) ต้นสกุล เกตุทตั ช่วงเวลาเดียวกันกับการ สร้างวัดไพชยนต์พลเสพราวปี 2365 ส่วนป้อมปืนเพชรหึงที่ได้กอ่ สร้างขึน้ ใหม่ เป็นหนึง่ ในป้อมหน้าด่านทางทะเลทีส่ ร้างขึน้ ใน รัชกาลที่ 2 เพื่อป้องกันสงครามกับชาวญวน ซึ่งเจ้าเมืองญวนได้เกณฑ์ไพร่พลญวน - เขมร ผลัดละ 10,000 คน ขุดคลองใหญ่จากทะเลสาบ เขมรออกเมืองบันทายมาศ ใกล้ชายแดนไทย อันเป็นเหตุให้เราได้รับความสั่นคลอน เพราะ ญวนจะสามารถยกกองทัพเรือมารุกรานไทยได้ ง่ายขึน้ พระองค์ทรงแน่พระทัยว่าการขุดคลอง ของญวนเป็นแผนการที่คิดจะรุกรานไทย จึงมี พระราชด�ำริเห็นควรให้สถาปนาเมืองสมุทรปราการ ขึน้ ใหม่และเลือ่ นออกไปให้ ใกล้ปากแม่นำ�้ ก่อสร้าง ป้อมปราการชายฝั่งขึ้นนับสิบแห่ง เพื่อตั้งเป็น เมืองหน้าด่านส�ำคัญป้องกันทัพเรือของศัตรู เข้าสู่พระนคร ไม่เพียงแต่มีการสร้างป้อมปราการและ ศาสนสถานขึ้นเท่านั้น พระเจ้าน้องยาเธอฯ ยัง ได้ขุดคลองลัดหลวงขึ้น เพื่อย่นระยะทางเดิน เรือในล�ำน�้ำเจ้าพระยาตอนปลาย ซึ่งคดโค้ง มากและเกรงว่าแม่นำ�้ เจ้าพระยาจะกัดเซาะตลิง่ ของคลองให้กว้างออกเช่นเดียวกับคลองลัดโพธิ์

ตลอดระยะทางกว่า 3 กิโลเมตรของล�ำคลอง ได้แบ่งชุมชนออกเป็น 2 ฝั่ง การข้ามคลอง กว้างกว่า 12 เมตรจ�ำเป็นต้องใช้เรือพายเท่านัน้ นีอ่ าจจะเป็นสาเหตุหนึง่ ของการสร้างวัดไพชยนต์พลเสพและวัดโปรดเกศเชษฐาราม ให้ตงั้ อยูค่ นละ ฟากฝัง่ คลอง เพือ่ ทีช่ าวบ้านจะได้ไม่ตอ้ งล�ำบาก ในการประกอบกิจทางศาสนาซึ่งกระท�ำอยู่เป็น ประจ�ำ ป้อมปราการแห่งใหม่หลายต่อหลาย แห่งที่ถูกสร้างขึ้นนี้ อาจช่วยให้ชาวไทยปกป้อง เอกราชของตนจากศัตรูได้ แต่แท้จริงแล้ว ความสงบสุขของบ้านเมือง จ�ำเป็นต้องเริ่มจาก ผูค้ นภายในประเทศอยูอ่ ย่างสงบสุขก่อนเช่นกัน หากเราลองสังเกตให้ดีจะพบว่า แม้ป้อม ปราการชายทะเลและศาสตราวุธมากมายถูก สร้างขึ้น กระนั้นวัดกับป้อมปราการก็มักจะถูก สร้างไว้ ให้อยูเ่ คียงข้างกัน นีอ่ าจเป็นอุบายส�ำคัญ ของคนโบราณที่ต้องการสร้างขวัญและก�ำลัง ใจให้เหล่าทหารที่ก�ำลังสู้รบ เป็นที่พึ่งทางใจ ให้ผู้คนยามมีศึกสงคราม และแม้ ในยามบ้าน เมืองสงบสุข สัญลักษณ์ทั้งสองนี้ก็จะคอยย�้ำ เตือนให้ผคู้ นไม่หลงลืมว่า ทุกสิง่ ย่อมมีสองด้าน เสมอ เมื่อมีดีก็ย่อมมีร้าย เมื่อมีศึกก็ย่อมต้องมี ความสงบเป็นของคู่กัน


มีนาคม 2558 / March 2015

A part in King Rama II Royal Chronicle by HRH Prince Damrong Rajanubhap mentioned that “…graciously ordered HRH Prince Sakdiphonlasep to supervise the remaining construction of Nakhon Khuean Khan and a fort named Petch Hueng Fort. He also ordered the digging of a shortcut canal at the back of Nakhon Khuean Khan joining with Ta Lao canal. The newly dug canal was 6 wah wide, 5 sok deep and 50 sen long (12 m. wide, 2.50 m. deep and 2 km. long). Prince Sakdiphonlasep also erected a Buddhist temple on the canal and named this temple “Wat Paichayon Phonlasep. Phraya Petchpichai (Ket) who was the foreman for the construction of Nakhon Khuean Khan also built a temple near to Wat Paichayon Phonlasep which was called Wat Prodket Chettaram. Both temples are remaining royal monasteries until today.” Since the construction of Wat Paichayon Phonlasep, HRH Prince Sakdiphonlasep supported the temple. When he was elevated to the position of Krom Phrarajawang Bovorn Sathan Mongkol (titular appointed name for Wangna) in the reign of King Rama III, this temple maintained the position as the royal monastery (second class in Worawihan category) as well as Wat Prodket Chettaram as a third class royal monastery in ordinary category that situated opposite Wat Paichayon Phonlasep with only the royal shortcut canal between them. This temple was mentioned in King Rama II Royal Chronicle by HRH Prince Damrong Rajanubhap and Chao Phraya Thipakornwong that the founder of this temple was Phraya Petchpichai (Ket), the primogenitor of Ketudat clan, built during the same time as the construction of Wat Paichayon Phonlasep circa 2365 B.E. (1822 A.D.) On part of Petch Heung Fort that was built at the same time was one of the coastal fortresses built in the reign of King Rama II to protect the country against the war with Vietnam that the ruler had gathered the Vietnamese and Khmer force at 10,000 men per shift to dig a large waterway from Khmer lake to Banteay Meas close to Siamese territory which caused Siamese insecurity

123

พระพุทธไสยาสน์ ปูนปั้น ลงรักปิดทอง ต้นแบบการหล่อพระนอนวัดโพธิ์ The Reclining Buddha is the prototype of The Reclining Buddha of Wat Po. Not only building fortresses and Buddhist temples, HRH Prince Sakdiphonlasep also commanded the digging of Lad Luang Canal serving as a shortcut for navigation in the mouth of the Chao Phrya River which was very curvy that the water would erode the banks such as at Lad Po สถาปัตยกรรมภายในวัดทั้ง 2 แห่ง Canal. Along the 3 km. length of the newly canal, communities on both banks had มีการผสมผสานศิลปะของไทย จีน dug to commute only by boats over the 12 m. และมอญ เช่นหน้าบันประดับด้วย wide canal. It is assumed that this is the ถ้วยกระเบื้องแบบจีน จิตรกรรม reason for building Wat Paichayon Phonand Wat Prodket Chettaram on each ฝาผนังแบบไทย และเจดีย์แบบมอญ lasep side of the canal so that villagers did not in going to make merits. The architecture of both temples have difficulties Those forts might help protecting are combination of Chinese, Thai people and keeping their independence from invaders. However, the national Thai and Mon. peacefulness should commence from a peaceful living of people in the country as well. Should we make a careful observation, we could see that though those coastal forts and armaments were established in the area where Buddhist temples were always built nearby. This could as the Vietnamese force might easily probably be a well thought plan of our invade with naval force. The king was so ancestors to boost morale of the soldiers confident that Vietnamese ruler intended during the war time as temples were always to invade Thailand, he then ordered to be spiritual refuge for the people during the establish Samut Prakan once again and hard times. Even when the country is at moved the town close to the estuary, built peace, these two symbols always remind ten coastal forts so that it would be an the people not forget that everything has important outpost protecting the capital two sides. Life has good sides and bad from any probable attacks by foreign sides. Conflicts and peacefulness always come together. naval forces.


124 Story Told สืบมาเล่า

Cr. PHOTOGRAPH BY SKYHIGH

PAKNAM A 300 YEARS OLD 300 ปี ริมฝั่งเจ้าพระยา..เมืองปากน้ำ�

จังหวัดสมุทรปราการ นามสามัญเรียกว่า ปากน�้ำ (อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย) มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สืบแต่สมัยลพบุรีเรื่อยมา แต่หลักฐานที่ชัดเจนเริ่มปรากฏให้เห็นในสมัยอยุธยาปี พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทองได้ตั้งเมืองพระประแดงขึ้นเป็น 1 ใน 4 เมืองหน้าด่านส�ำคัญ Paknam is the common name of Samut Prakan Province (Thai Geographic Gazette) which has been holding a long history since the Lopburi Dynasty. However, the vivid evidence of the history was found in 1893 B.E. (1350 A.D.) when King U-Thong founded Phra Pradaeng as one of the 4 important outposts.


แม่น�้ำเจ้าพระยา สมุทรปราการสมัยรัชกาลที่ 5 Chao Phraya River in the reign of King Rama V

นับแต่นั้น เรื่องราวของปากน�้ำได้รับการจดบันทึก ไว้มากมายจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น การศึกสงคราม พุทธศาสนา วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง หรือแม้แต่เรือ่ งราวในรัว้ วัง และสิ่งหนึ่งที่ได้ รับการบันทึกไว้อย่างน่าสนใจ คือ แม่น�้ำเจ้าพระยา ต้นรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 28 แห่งกรุงศรีอยุธยา ภายหลังผลัดแผ่นดินได้ ประมาณ 2 ปี นายเอนเยนเบิรต์ แกมป์เฟอร์ หมอประจ�ำ คณะทูตวิลันดา ชาวเยอรมัน ได้ติดตามคณะทูตออกจาก ปัตตาเวีย (กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซียใน ปัจจุบนั ) เพือ่ เจริญทางพระราชไมตรีกบั ประเทศญีป่ นุ่ และ เข้าถวายพระราชสาส์น ณ กรุงศรีอยุธยา จากบันทึกการ เดินเรือผ่านปากน�้ำในครานั้น ระบุไว้ว่า “...จากทีจ่ อดทอดสมอเรือใหญ่ไปจนถึงปากน�ำ้ เป็นที่ ซึง่ ภายใต้นำ�้ ลงไปเป็นดินโคลนเหลวๆ และเรือสามารถแล่น ผ่านไปได้ โดยสะดวก เมือ่ เดินเรือไปนัน้ จะพบเครือ่ งหมาย แสดงให้ทราบถึงร่องน�้ำเดินเรือ เพื่อให้เรือแล่นขึ้นไป ได้ โดยไม่ชักช้าและไม่ติดตื้นด้วย จนถึงแม่นำ�้ เจ้าพระยา ในระหว่างทางนั้นได้เห็นเรือหาปลาหลายล�ำ คนในเรือหา ปลาก�ำลังทอดแหตีอวนอยูอ่ ย่างขะมักเขม้นในแถบบริเวณ ใกล้ปากน�ำ้ และเมือ่ เหลียวกลับไปดูเรือใหญ่ทจี่ อดทอดสมอ อยู่ก็แทบจะมองไม่เห็นเสากระโดงเรือใหญ่ล�ำนั้น และ เมื่อมองดูไปรอบๆ ก็จะเห็นเรือส�ำเภา และเรือสินค้าอื่นๆ อีกมากมายหลายล�ำได้จอดทอดสมออยู่เรียงรายกันไป...”

Since then many records on Paknam by both Thai and foreigners were found be it about the wars, Buddhism, culture, administration even the court stories behind the palatial walls. But, the most interesting point found in those records is the Chao Phraya River. About 2 years after the beginning Phra Phetracha reign, the 28th king of Ayuttaya Kingdom, Mr. Engelbert Gampfer, a German doctor in the Dutch ambassadorial entourage travelled with the entourage from Pattavia (presently is Jakarta, capital of Indonesia) to boost bi-lateral relations with Japan and stopped over in Ayuttaya for royal friendship letter presentation, recorded the trip passing Paknam as follows: “…from where the boats anchored to Paknam, under the water surface was muddy but the boats could sail through conveniently. Signs for navigation channel were found along the way for a convenient sail into the river without delay and to avoid sailing aground. During the course of sailing we saw many fishing boats with fishermen busily casting nets and trawling for fishes near the estuary. When we looked back to our anchored master ship, we could hardly see the mast. Looking around we could see many anchored barges and cargo ships in the area…”

Cr. www.oknation.net/blog/JabChordKhui

Cr. www.oknation.net/ blog/Redsscouser

มีนาคม 2558 / March 2015

วิถีชีวิตริมแม่น�้ำเจ้าพระยาในอดีต The way of life along the river

125


126 Story Told สืบมาเล่า

ภาพมุมสูง อ.เมืองฯ ริมแม่น�้ำเจ้าพระยา Bird’s-eyeview of Pak Nam


มีนาคม 2558 / March 2015

จากข้อความดังกล่าว จะพบว่า สภาพของแม่น�้ำ เจ้าพระยาในอดีตยังปรากฏสันดอนให้เห็นอยู่ ซึ่งพบ เห็นได้ ในเวลาน�้ำลง ความสูงของระดับน�้ำจากสันดอน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกิน 15 ฟิต (ประมาณ 4.5 เมตร) เรือใหญ่ที่กินน�้ำลึกจึงต้องอาศัยเครื่องหมายแสดงให้ ทราบถึงร่องน�้ำเดินเรือหรือในปัจจุบันเรียกว่าทุ่นเครือ่ งหมายช่วยการเดินเรือ เพือ่ ไม่ให้เรือวิง่ ชนสันดอน ส่วนสภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประมงและ เรือหาปลาที่บันทึกไว้เมื่อกว่า 300 ปีนั้น คงเลือนหาย ไปหมดสิ้นแล้ว บันทึกหมอแกมป์เฟอร์ยังเขียนไว้อีกว่า “...เมื่อ เดินเรือเข้าไปถึงปากแม่น้�ำเจ้าพระยา และไม่ไกลออก ไปเท่าไรนัก มีรงั ดินปืนทิง้ อยูก่ บั ปืนใหญ่ตามบริเวณสอง ฟากฝั่งของแม่น�้ำ เข้าใจว่าคงเป็นของที่จัดตั้งขึ้นไว้ ใน คราวที่มีการผลัดแผ่นดินใหม่...”ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า สมุทรปราการมีการก่อสร้างป้อมปราการบริเวณสองฟาก ฝั่งแม่น�้ำเจ้าพระยามาแต่อดีต อาจเกิดการพังทลายไป ตามกาลเวลาและไม่มผี ู้ ใดจดบันทึกไว้ ต่างจากป้อมเพชร และป้อมประตูข้าวเปลือก จ.อยุธยา ที่มีเอกสารโบราณ

บันทึกเรื่องราวไว้อย่างชัดเจน แม่นำ�้ เจ้าพระยาในวันนีเ้ ปลีย่ นแปลงไปจากเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นความกว้างของล�ำน�้ำที่ลดน้อยลงกว่าครึ่ง สองข้างทางทีเ่ คยเป็นป่าละเมาะ มีเสือและสัตว์รา้ ยต่างๆ ชุกชุม กลับกลายเป็นบ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม ทันสมัยและท่าเรือขนส่งสินค้า รวมถึงสัญลักษณ์ของ แสนยานุภาพทางทหารอย่างป้อมปราการ ที่เคยตั้ง ตระหง่านตลอดร่องน�้ำเจ้าพระยา ก็พังทลายไปเกือบ หมดสิ้น แต่กระนั้น ในยุคสมัยใหม่บางสิ่งก็ยังคงด�ำรง อยู่และดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นความส�ำคัญของแม่น�้ำ เจ้าพระยาในฐานะประตูหลักทางโลจิสติกส์ เป็นแหล่ง พักพิงของนกนางนวลอพยพนับพันๆ ตัวในแต่ละปี น�ำไปสู่เทศกาลดูนกที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เป็นแหล่ง ประมงขนาดใหญ่ทคี่ อยหล่อเลีย้ งผูค้ นทัง้ ประเทศ และสิง่ ส�ำคัญ คือ เป็นสายน�ำ้ ทีร่ วบรวมประวัตศิ าสตร์มากมาย ของสมุทรปราการไว้ ซึ่งจะยังคงบอกเล่าเรื่องราวได้ อย่างชัดเจนแม้ผ่านไปอีกร้อยปีนับจากนี้..

From the above note, we find that in the past there were bars in the Chao Phraya River which could be found during ebb tide. The average water level from the bar was not higher than 15 feet (approximately 4.5 meters). Therefore, deep draught large ships had to rely on signs for navigation channel. In the present days, they are called maritime buoys that help ships from sailing aground onto the bars. The way of life of the fishermen and their fishing boats as recorded over 300 years ago faded away completely. Mr. Gampfer also recorded that “… upon arriving at the Chao Praya estuary, not far on the river banks there were gunpowder shelters and cannons along both banks. We assumed that these were setup during the change of the reigning monarch…” This note shows that there were constructions of forts on both banks of the Chao Phraya River in Samut Prakan since the very old days. Those forts demolished with the passing time and nobody made any record about them at all. It was a different case with the Phet Fort and Pratu Khao Plueak Fort in Ayuttaya

where records in the old documents were found. Nowadays, the Chao Phraya River has changed tremendously be it in the width of the river which diminished by almost half of its original width; on both banks where it used to be scrub forests abundant with tigers and other wild animals but today the area is turned to be modern residential, industrial areas and cargo ports. The symbols of military might such as those forts standing majestically on the banks were tumbledown. However, in this modern days something are still standing and probably better than in the past such as the importance of the Chao Phraya River as the main logistics gateway; the habitat of migratory seagulls which each year makes Paknam world renowned for Thailand Bird Fair; and the large fishing area that feed the people in this country. The most important of all is that it is the river that stores uncountable history of Samut Prakan that will still be kept telling for at least another century.

ทุ่นเครื่องหมายช่วยการเดินเรือ maritime buoys

127


128 Tourism Calendar ปฏิทินท่องเที่ยว

Tourism

Calendar ปฏิทินท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการ 2558

ประเพณีสงกรานต์พระประแดง เทศบาลเมืองพระประแดง ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เชิญเที่ยวงานประเพณีสงกรานต์พระประแดง ระหว่างวันที่ 17-19 เมษายน บริเวณที่ว่าการอ�ำเภอพระประแดง จ.สมุทรปราการ

“ถิ่นสาวงาม เมืองมอญ นามนครเขื่อนขันธ์” Phra Pradaeng Songkran Festival

Phra Pradaeng Municipality in cooperation with Tourism Authority of Thailand organize the Phra Pradaeng Songkran Festival during 17-19 April at Phra Pradaeng District, Samut Prakan “the town of Mon beauties called Nakhon Khuean Khan”.

ชมการละเล่นสะบ้าบ่อน และสะบ้าทอย ชมขบวนแห่สุดอลังการ การประกวดนางสงกรานต์และหนุ่มลอยชาย ประเพณีปล่อยนก ปล่อยปลา ชมการแต่งกายแบบชาวมอญ

Enjoy the games of Saba, magnificent procession, Songkran Beauty Queen and Mon Young Man Contest, Releasing birds and fishes tradition, Exquisite Mon costumes.

วันที่ 17-19 เมษายน 2558 : ตั้งแต่เวลา 18.00 น. • ชมการละเล่นพื้นบ้าน (สะบ้ารามัญ) ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ ป้อมแผลงไฟฟ้า และหมู่บ้านมอญ • ชมการแสดงทะแยมอญ • ชมการกวนกาละแมของดีเมืองพระประแดง • ชมการประดับไฟ แสง สี เสียง ณ บริเวณอุทยาน ประวัติศาสตร์ป้อมแผลงไฟฟ้า

17-19 April, 2015 from 18.00 hrs. • Watch the show of folk game (Saba Raman) at Plaeng Faifah Historiccal Fort and at Mon village. • Watch the show “Tayae Mon”, Mon folk play. • Watch the making of Mon caramel, a highlight of Phra Pradaeng. • Watch the light and sound show at Plaeng Faifah Fort Historical Park.

วันที่ 17 เมษายน 2558 ตั้งแต่เวลา 18.30 น. • ชมการประกวดนางสงกรานต์พระประแดง และหนุ่มลอยชาย ณ เวทีการประกวดหน้าที่ว่าการอ�ำเภอพระประแดง

17 April, 2015 from 18.30 hrs. • Watch the Phra Pradaeng Songkran Beauty Queen and Mon Young Man Contest at the stage for the contest in front of Phra Pradaeng District Office.

วันที่ 19 เมษายน 2558 ตั้งแต่เวลา 14.30 น. • ชมพิธีเปิดงานประเพณีสงกรานต์พระประแดง ณ บริเวณปะรําพิธีหน้าที่ว่าการอ�ำเภอพระประแดง • สรงน�้ำพระพุทธรูป รดนํ้าขอพรผู้ใหญ่ ร่วมเล่นน�้ำสงกรานต์ • ชมขบวนแห่นก - แห่ปลา • ชมขบวนแห่นางสงกรานต์และขบวนรถบุปผชาติที่สวยงามตระการตา • ชมพิธีปล่อยนก ปล่อยปลา ณ พระอารามหลวงวัดโปรดเกศเชษฐาราม

19 April, 2015 from 14.30 hrs. • Watch the opening ceremony of Phra Pradaeng Songkran Festival at the pavilion in front of Phra Pradaeng District Office. • Bathing Buddha images, pouring water and requesting for blessings from elders, Join in the Songkran Water Festial. • Watch the procession to release birds and fishes. • Watch the procession of Songkran ladies and amazing floral float. • Watch the releasing of birds and fishes tradition at Wat Prodeked Chettaram, a royal monastery.


มีนาคม 2558 / March 2015

129

ประเพณีรับบัว ประเพณีรับบัว 2558 “หนึ่งเดียวในโลก แห่งเดียวในไทย” ณ คลองสำ�โรง บริเวณวัดบางพลี ใหญ่ ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ Rub Bua Festival

2015 Rub Bua Festival “the only one in the world and in Thailand” at Samrong Canal in front of Wat Bang Phli Yainai, Bang Phli District, Samut Prakan.

ฉลอง 200 ปี เมืองนครเขื่อนขันธ์ ระหว่าง 1-2 มิถุนายน ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำ�เภอพระประแดง The 200th Anniversary Celebration of Nakhon Khuean Khan.

during 1-2 June, in front of Phra Pradaeng District Office

งานนมัสการ องค์พระสมุทรเจดีย์ ตั้งแต่แรม 5 ค่ำ� เดือน 11 (เดือนพฤศจิกายน) บริเวณองค์พระสมุทรเจดีย์ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ Phra Samut Chedi Temple Fair

from the 5th day of the waning moon, the 11th month of lunar calendar (during November) Around Phra Samut Chedi, Phra Samut Chedi District and in front of the Samut Prakan Town Hall.

งานนมัสการหลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส วันขึ้น 8 ค่ำ� เดือน 12 (ช่วงเดือนพฤศจิกายน) บริเวณที่ว่าการอำ�เภอบางบ่อ และวัดมงคลโคธาวาส อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ Luang Poh Pan Worship Festival Wat Mongkolkodhawas

the 8th day of the waxing moon, the 12th month of lunar calendar (during November) At Bang Bo District Office and Wat Mongkolkodhawas, Bang Bo District, Samut Prakan.

งานลอยกระทง พระสมุทรสัตยาธิษฐาน สืบสานประเพณี ลอยกระทงลงอ่าวไทย ไปปากน้ำ� 25 พฤศจิกายน ณ บริเวณริมเขื่อน หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ Loy Kratong Festival

Phra Samut Loy Kratong Festival to carry on the tradition of Loay Kratong in the Gulf of Thailand On November 25, head to Paknam at the embankment in front of the Samut Prakan Town Hall

เทศกาลดูนกเมืองไทย ครั้งที่ 14 ณ สถานตากอากาศบางปู ระหว่างเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 58 ตรวจสอบวันเวลาได้ที่ www.facebook.com/bcst.or.th หรือ www.bcst.or.th th

14 Thailand Bird Fair

At Bang Pu Seaside Resort. during November-December 2015 For More information www.facebook.com/bcst.or.th or www.bcst.or.th


130 Beautiful View เช็กอินวิวสวย

check in

beautiful View เช็กอิน วิวสวย ภาพหลากสไตล์ หลายอารมณ์ เมื่อมาสัมผัสมนต์เสน่ห์..เมืองปากอ่าว ต้องไม่พลาดที่จะถ่ายภาพเช็กอิน ให้หลายคนต้องรู้สึกอิ​ิจฉา Do not miss Check-in when you touch the chaming at Samut Prakan. It’s show off time.

วิวรอบป้อมพระจุลจอมเกล้า Scenery around Phra Chulachomklao Fort.

บางกะเจ้า เกาะสวรรค์ของบรรดานักปั่น 2 ล้อ Bang Kachao, heaven for cyclists.

นกยาง บริเวณสะพานปูน ป้อมผีเสื้อสมุทร

Egrets at the concrete walkway in Pee Suea Samut Fort.

ภาพธรรมชาติ วิวสวยๆ และวิถีชีวิตหลากสไตล์ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองภาพ จะทำ�ให้ทุกคนได้สัมผัสความมหัศจรรย์ ที่ถูกซ่อนไว้ ในดินแดนปากอ่าวไทย

ผืนนาข้าว อันเขียวขจี Lush green rice field.


มีนาคม 2558 / March 2015

พื้นที่ธรรมชาติ ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปในสมุทรปราการ

Natural landscape found everywhere in Samut Prakan.

บรรยากาศยามเย็น ริมเขื่อนเจ้าพระยา

131

Samut Prakan, the land of natural abundance.

สมุทรปราการ พื้นที่ธรรมชาติอันสมบูรณ์

บรรยากาศริมอ่าว Atmosphere by the Gulf.

โฮมสเตย์ขุนสมุทรจีน อ.พระสมุทรเจดีย์

Evening atmosphere at the Chao Phraya embankment.

Khun Samut Jeen Home Stay, Phra Samut Chedi District.

มดตัวน้อย ณ ผืนป่าบางกะเจ้า Tiny ants in Bang Kachao woodland.

ลานกิจกรรมอันร่มรื่น สวนป่าเกดน้อมเกล้า อ.พระประแดง

เหินฟ้า ริมเจ้าพระยา Flying high by the Chao Phraya River.

Cargo ships at the mouth of the Chao Phraya River.

Shady activity ground at Suan Pa Ked Nom Klao Park, Phra Pradaeng District.

เรือสินค้าที่แล่นเข้า-ออก ปากแม่น้ำ�

You will be surprised and indulging in natural Charms through my pictures in this estuary.


n a r k g n o S 17-19 April 2015

ถิ่นสาวงาม เมืองมอญ นามนครเขื่อนขันธ์ ชมการละเล่นสะบ้าบ่อน สะบ้าทอย การประกวดนางสงกรานต์ และหนุ่มลอยชาย ประเพณีปล่อยนก ปล่อยปลา ชมการแต่งกายแบบชาวมอญ และขบวนแห่สุดอลังการ Hometown of Mon Beauties The Name is Nakhon Khuean Khan Watch the game of Saba and the procession Marvelous Songkran Beauty Queen Contest And Gorgeous Young Men Contest, Releasing Birds and Fishes Tradition Dressing in Mon style


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.