พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

Page 1


2  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

ISBN 978-616-7767-72-7 หนังสือ พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย ผู้เขียน ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ ภาพประกอบ ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม  ๒๕๕๙ จำ�นวนพิมพ์ ๒,๐๐๐ เล่ม ราคา ๕๘๐ บาท สงวนลิขสิทธิ์โดยสำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ ในนามบริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด บรรณาธิการเล่ม ออกแบบปก/รูปเล่ม คอมพิวเตอร์ ควบคุมการผลิต แยกสี/เพลท พิมพ์ที่ จัดพิมพ์ จัดจำ�หน่าย

อภิวันทน์ อดุลยพิเชฏฐ์ นัทธินี สังข์สุข วัลลภา สะบู่ม่วง ธนา วาสิกศิริ เอ็นอาร์ฟิล์ม  โทร. ๐-๒๒๑๕-๗๕๕๙ ด่านสุทธาการพิมพ์  โทร. ๐-๒๖๙๙-๑๖๐๐-๖ บริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด (สำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ) บริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด  ๓ ซอยนนทบุรี ๒๒ ถนนนนทบุรี (สนามบินนํ้า)  ตำ�บลบางกระสอ อำ�เภอเมืองนนทบุรี  นนทบุรี ๑๑๐๐๐ โทร. ๐-๒๕๔๗-๒๗๐๐  โทรสาร ๐-๒๕๔๗-๒๗๒๑

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย. -- นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๕๙. ๕๖๐ หน้า. ๑. ศิลปะ--พจนานุกรม. I. ชื่อเรื่อง. ๗๐๙.๕๙๓๐๓ ISBN 978-616-7767-72-7

สำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ (ในนาม บริษัทวิริยะธุรกิจ จำ�กัด) ๓ ซอยนนทบุรี ๒๒ ถนนนนทบุรี (สนามบินนํ้า) ตำ�บลบางกระสอ อำ�เภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี ๑๑๐๐๐   โทร. ๐-๒๕๔๗-๒๗๐๐  โทรสาร ๐-๒๕๔๗-๒๗๒๑  ที่ปรึกษา ศรีศักร วัลลิโภดม ธิดา สาระยา เสนอ นิลเดช  สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์  ผู้อำ�นวยการ สุวพร ทองธิว  ผู้จัดการทั่วไป/ผู้อำ�นวยการฝ่ายศิลป์ จำ�นงค์ ศรีนวล  บรรณาธิการ สำ�นักพิมพ์ อภิวันทน์ อดุลยพิเชฏฐ์  ที่ปรึกษากฎหมาย สมพจน์ เจียมพานทอง


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  3

สารบัญ

คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ คำ�นำ�ผู้เขียน บทนำ�

๔ ๕ ๖

อักษร ก ..................................................................... ๓๙ อักษร ข ..................................................................... ๙๘ อักษร ค .................................................................. ๑๑๓ อักษร ง ................................................................... ๑๕๐ อักษร จ .................................................................. ๑๕๑ อักษร ฉ .................................................................. ๑๘๖ อักษร ช ................................................................... ๑๙๑ อักษร ซ .................................................................. ๒๑๗ อักษร ฐ .................................................................. ๒๒๙ อักษร ด .................................................................. ๒๓๗ อักษร ต ................................................................... ๒๔๓ อักษร ถ .................................................................. ๒๕๒ อักษร ท ................................................................. ๒๕๘ อักษร ธ .................................................................. ๒๗๑ อักษร น .................................................................. ๒๗๘ อักษร บ ................................................................... ๒๙๘ อักษร ป ................................................................. ๓๑๙ อักษร ผ .................................................................. ๓๕๓ อักษร ฝ .................................................................. ๓๖๐ อักษร พ .................................................................. ๓๖๖ อักษร ฟ .................................................................. ๓๘๔ อักษร ภ ................................................................... ๓๘๕ อักษร ม ................................................................... ๓๙๑ อักษร ย .................................................................. ๔๑๒ อักษร ร ................................................................... ๔๑๗

อักษร ฤ ................................................................... ๔๓๖ อักษร ล .................................................................. ๔๓๗ อักษร ว ................................................................... ๔๕๘ อักษร ศ ................................................................... ๔๖๘ อักษร ส .................................................................. ๔๗๖ อักษร ห .................................................................. ๕๐๙ อักษร อ ................................................................... ๕๔๓ อักษร ฮ ................................................................... ๕๕๓ บรรณานุกรม......................................................... ๕๕๔


4  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ หนั ง สื อ  พจนานุ ก รมศั พ ท์ ศิ ล ปกรรมไทย ผลงานของ ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ เล่มนี้ เป็นหนังสือเล่มที่ ๓ ของหนังสือ  ชุ ด พจนานุ ก รมของอาจารย์ วิ บู ล ย์ ที่ สำ � นั ก พิ ม พ์ เมื อ งโบราณจั ด พิ ม พ์   เผยแพร่ สู่ ผู้ อ่ า น ต่ อ จากหนั ง สื อ  พจนานุ ก รมหั ต ถกรรม เครื่ อ งมื อ เครื่องใช้พื้นบ้าน (ปรับปรุงใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๘) และ พจนานุกรมผ้าและ เครื่ อ งถั ก ทอ (ปรั บ ปรุ ง ใหม่  พ.ศ. ๒๕๕๙)  สำ � หรั บ  พจนานุ ก รมศั พ ท์ ศิลปกรรมไทย เกิดจากความมุ่งมั่นของอาจารย์วิบูลย์ที่รวบรวมความรู้ จากประสบการณ์มากกว่า ๓๐ ปีในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานศิลปะและ  หัตถกรรมทั่วประเทศ การสอนนักศึกษา และจากการที่ท่านร่วมจัดทำ�  พจนานุกรมของราชบัณฑิตยสภา เพื่อให้ผู้อ่านรู้จักงานศิลปะไทยผ่าน  คำ�ศัพท์ที่อาจารย์ประมวลและให้คำ�อธิบาย พร้อมภาพประกอบทั้งภาพ  วาดลายเส้นและภาพถ่ายเพื่อเสริมความเข้าใจแก่ผู้ใช้หนังสือเล่มนี้  ส่วน  ที่นับว่าพิเศษแตกต่างจากพจนานุกรมที่อธิบายคำ�ศัพท์คือ บทนำ�ว่าด้วย  ศิลปะไทย ทีใ่ ห้ความรูเ้ กีย่ วกับงานศิลปะไทยนับแต่อดีตถึงปัจจุบนั  ลักษณะ  เด่นของงานศิลปะไทยสมัยต่างๆ และเอกลักษณ์ของศิลปะไทยในแต่ละ  ภูมิภาค  นอกจากนี้คำ�ศัพท์บางคำ�มีทั้งความหมายของคำ�และอธิบายวิธี  การสร้างงานประเภทนั้นๆ จึงทำ�ให้คำ�อธิบายศัพท์บางคำ�มีความยาวมาก  นั่นเป็นเพราะความประสงค์ที่อาจารย์อยากถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้อ่าน  ผ่านคำ�ศัพท์เหล่านี้ พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย จึงเป็นหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับ ศั พ ท์ ด้ า นศิ ล ปะไทย รวมทั้ ง เป็ นการบั นทึ ก ความรู้  ภู มิ ปั ญ ญาทางด้ า น  ศิ ล ปะของคนไทย ซึ่ ง สำ � นั ก พิ ม พ์ ฯ  มุ่ ง หวั ง ว่ า จะเป็ น พื้ นฐานขององค์   ความรู้ที่จะช่วยสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ให้ดำ�รงอยู่ในสังคม ไทยสืบไป

สำ�นักพิมพ์เมืองโบราณ ตุลาคม ๒๕๕๙


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  5

คำ�นำ�ผู้เขียน หนังสือ พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย เรียบเรียง รวบรวมองค์ความรู้ ที่บรรดาผู้รู้ได้เขียนไว้ในหนังสือต่างๆ มากกว่า ๕๐ เล่ม  เหตุที่ต้องเขียน  หนังสือเล่มนีเ้ พราะเห็นว่า ศิลปะไทย เป็นศิลปะทีท่ รงคุณค่า ทัง้ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และประณีตศิลป์ ซึ่งมีความหลากหลาย  มากมาย  แม้จะเป็นสิง่ ทีอ่ ยูใ่ กล้ตวั แต่คนไทยจำ�นวนไม่นอ้ ยไม่รจู้ กั  ไม่เข้าใจ  และมองไม่เห็นคุณค่า จึงเห็นว่าควรจะแนะนำ�ศิลปะไทยให้ผสู้ นใจ นักเรียน  นิสติ  นักศึกษาได้รบั รู ้ เพือ่ ให้เกิดความรู ้ ความรัก และรูค้ ณ ุ ค่า โดยพยายาม  เขียนอย่างเรียบง่าย ไม่เป็นวิชาการจนเกินไป โดยปรับจากประสบการณ์ท ี่ ได้รับจากการทำ�งานร่วมกับราชบัณฑิตยสภาเขียนพจนานุกรมศิลปกรรม  ไทยมานานนับสิบปี และศึกษาเรียนรู้ศิลปะไทยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง  มาช้านาน จนซึมซับสุนทรียรสของศิลปกรรมไทยอย่างรู้คุณค่า และเข้าใจ  ความยิ่งใหญ่ที่ไม่ด้อยกว่าศิลปกรรมใดในโลก จึงปรารถนาถ่ายทอดความรู้  และความรู้สึกนั้นไปสู่ผู้ที่ไม่มีโอกาสสัมผัสได้ด้วยตนเอง การสร้างความเข้าใจและความรู้คุณค่าในศิลปะไทยต้องมีสมาธิ  ค่อยๆ ซึมซับภูมิปัญญาและสุนทรียรสที่ปรากฏ ไม่ใช่ดูอย่างฉาบฉวย มอง  ผ่านๆ เช่น ในการชมภาพจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถ วิหาร พระที่นั่ง ต้อง  พิจารณาตั้งแต่การสร้างองค์ประกอบศิลป์ การใช้เส้น สี รูปทรง จะเห็น  ภูมิปัญญาและทักษะอันยอดเยี่ยมของช่างที่บ่มเพาะความรู้สึกนึกคิดจาก  วิถชี วี ติ  ศาสนา สภาพแวดล้อมให้หลอมรวมเป็นหนึง่  แล้วแปรออกมาเป็น  ภาพจิตรกรรมฝาผนัง พระพุทธประติมา สถูปเจดีย์ ลวดลาย ที่สมบูรณ์มี  ชีวติ จิตใจ  สิง่ เหล่านีห้ ากมีการเสนอแนะ แนะนำ�ให้เกิดความรู ้ ความเข้าใจ  ความรัก ก็จะเห็นคุณค่าในที่สุด นอกเหนือจากเนื้อหาแล้ว ภาพประกอบเป็นสิ่งสำ�คัญที่พยายาม  จะนำ�เสนอให้หลากหลาย โดยเฉพาะศิลปะโบราณวัตถุสถานที่พยายาม  เสนอให้เห็นความหลากหลายในทุกภาคของประเทศ  อย่างไรก็ตามหนังสือ  เล่มนีพ้ ยายามสร้างความรูค้ วามเข้าใจศิลปะไทยให้ประชาชนทัว่ ไป นักศึกษา  โดยไม่ต้องไปศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็น  ประโยชน์ตอ่ การเรียนรูแ้ ละสร้างความเข้าใจในศิลปะไทย เพือ่ ผดุงศิลปะไทย  ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ รู้คุณค่า และรักษาศิลปะไทยไว้สืบไป

ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ


6  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

บทนำ�

ค�ำถามแรกส�ำหรับผู้อ่านหนังสือเล่มนีค้ ือ ศิลปกรรมไทยคืออะไร ศิลปกรรมไทย คือ ผลงานสร้างสรรค์ของศิลปินและช่างไทย  ตัง้ แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั  มีรปู แบบ กลวิธ ี และลักษณะเฉพาะทีม่ เี อกลักษณ์  ชัดเจน ศิ ล ปกรรมไทยมี ห ลายประเภท โดยเฉพาะผลงานวิ จิ ต รศิ ล ป์  (Fine art) ที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ และราชส�ำนัก  ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ซึ่งเรียกว่า ทัศนศิลป์  (Visual art) หรือศิลปะที่มองเห็นได้ด้วยตา ศิลปกรรมไทยเป็นศิลปะ  แบบตะวั น ออก สร้ า งตามอุดมคติ ไม่เหมือนจริงอย่างศิลปะตะวันตก   ศิลปกรรมไทยให้ความส�ำคัญกับเส้น รูปทรง สี และเนื้อหา โดยประมวล  ขึ้นจากสุนทรียภาพ อารมณ์ ความรู้สึกที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยและ  คติความเชื่อในพุทธศาสนา ศิลปกรรมไทยในที่นี้หมายถึงงานทัศนศิลป์ ได้แก่ จิตรกรรม  แบบประเพณี  จิตรกรรมบนผ้า จิตรกรรมบนกระดาษ จิตรกรรมฝาผนัง  โบสถ์ วิหาร และจิตรกรรมติดที่ต่างๆ  ประติมากรรม ได้แก่ พระพุทธรูป  ลวดลายแกะสลัก ลวดลายปูนปั้น  และสถาปัตยกรรม ได้แก่ สถูป เจดีย ์ ปรางค์ โบสถ์ วิหาร และสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมทั้งงานศิลปะประยุกต์หรือ  ประยุกต์ศิลป์ (Applied art) ได้แก่ งานประณีตศิลป์และศิลปหัตถกรรม  เช่น งานประดับมุก ลายรดน�้ำ เครื่องไม้จ�ำหลัก ลวดลายปูนปั้น เป็นต้น การชื่นชมและการเข้าถึงศิลปกรรมไทยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ  บุคคลทั่วไป ซึ่งมักคิดว่าเป็นเรื่องยาก เมื่อยากก็เลยไม่สนใจ ไม่เห็นคุณค่า ท�ำอย่างไรให้ผู้คนสนใจ ซึ่งเป็นปัญหาโลกแตกที่มีมานาน แม้  ปัจจุบันก็ไม่พัฒนามากนัก อุปสรรคส�ำคัญประการหนึง่ คือ ทัศนคติที่ปฏิเสธเป็นเบื้องต้น ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ซึ่งเป็นการไม่ยอมรับแต่แรก การชื่นชมงานศิลปกรรม ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องก็ได้ ประการแรกคือ การชืน่ ชมความงามหรือสุนทรียภาพของผลงาน  ศิลปกรรมไม่จ�ำเป็นต้องรู้หรือเข้าใจ  เมื่อชมงานจิตรกรรมฝาผนัง ความ  รู้สึกแรกคืองามหรือไม่งาม ที่ว่างามนัน้ เกิดจากการประสานกลมกลืนกัน  ของสี เส้นที่อ่อนช้อย เมื่อรู้สึกว่างามแล้วจะท�ำให้เกิดความสนใจ เกิด  ค�ำถาม และแสวงหาค�ำตอบว่ารูปนัน้ เป็นรูปอะไร แสดงอะไร จนในที่สุด  สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจตามมา ดังนั้นการ  ชื่นชมศิลปกรรมไทยจึงต้องท�ำใจให้ยอมรับเป็นเบื้องต้นเสียก่อน เสมือน  การอ่านหนังสือหากไม่อยากอ่านเสียแต่หน้าแรก ก็ไม่เข้าใจ ไม่สามารถ


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  7

เข้าถึงอรรถรสได้ วัตถุประสงค์แรกของการเขียนหนังสือเล่มนี้คือ ต้องการน�ำ  เสนอผลงานศิลปกรรมที่อยู่รอบๆ ตัวเราอย่างง่ายๆ เช่น ภาพมารผจญ  คืออะไร ภาพชาดกเป็นอย่างไร ช่อฟ้า คันทวย หน้าบัน หางหงส์ อยู่ส่วน  ไหนของอาคารสถาปัตยกรรมไทยและมีลักษณะอย่างไร ประการต่อมา ต้องการเชิญชวนให้คนไทยสนใจศิลปะไทย ซึ่ง  เป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชาติอื่น  การชื่นชมและการเข้าถึงศิลปกรรมไทย  ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะการน�ำเสนอในลักษณะพจนานุกรมน่าจะเป็น  ช่องทางหนึง่ ที่ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และสามารถชื่นชมได้อย่าง  ลึกซึ้งต่อไป การท�ำความเข้าใจศิลปกรรมไทยเบื้องต้นคือ การศึกษาประวัติ  ความเป็นมาของผู้คน ขนบประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา สิ่งเหล่านี้  เกี่ยวโยงกับการสร้างงานศิลปกรรมของคนไทย งานศิลปกรรมไทยมีหลาย  ประเภท มีรูปแบบ กลวิธีที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและสกุลช่าง ซึ่งแบ่ง  เป็นสกุลช่างต่างๆ อย่างกว้างๆ ได้ดังนี้

เศียรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร พบที่ต�ำบลคูบัว อ�ำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓

ศิลปะทวารวดี

ศิลปะของอาณาจักรทวารวดีซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในบริเวณภาค  กลางก่อนที่คนไทยจะตั้งอาณาจักรของตนเอง มีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณ  จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ ส่วน  มากเป็นศิลปะในพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก  อินเดีย เขมรโบราณ ศิลปะทวารวดีมีทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม และ  สถาปัตยกรรม จิตรกรรมไม่ปรากฏรูปแบบเฉพาะชัดเจนเป็นเพียงการเริ่มต้น  สร้างภาพเกี่ยวกับศาสนาเท่านั้น จึงมีเพียงภาพสลักบนแผ่นหินเป็นรูป


8  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

ผู้ชายนัง่ ที่สลักเหมือนจริงอย่างหยาบๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับภาพสลักลาย  เส้นหรือจิตรกรรมฝาผนังสมัยต่อมา

พระพุทธรูปศิลาขาว  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เจ้าสามพระยา

ประติมากรรมทวารวดียุคแรกเป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่  ประทั บ นั่ง ห้ อ ยพระบาท เช่ น  พระพุ ท ธรู ป ศิ ล าขาวที่ พ ระอุ โ บสถวั ด  พระปฐมเจดีย์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม, พระพุทธรูปศิลาขาว พิพิธ-  ภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัด  พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น พระพุทธรูปขนาดใหญ่ประทับนัง่ ห้อยพระบาท  พบทั้งหมด ๖ องค์เท่านัน้ พระพุทธรูปทวารวดีส่วนมากได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธรูป  แบบคุ ป ตะและหลั ง คุ ป ตะของอิ น เดี ย  มั ก เป็ น พระพุ ท ธรู ป ศิ ล าจ�ำหลั ก  ขนาดใหญ่ แบ่งเป็น ๓ แบบ แบบที่ ๑ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีอิทธิพลของศิลปะ  แบบคุปตะและหลังคุปตะอยู่มาก รวมทั้งอิทธิพลของศิลปะอมราวดีของ  อินเดีย เช่น ไม่มีรัศมีบนพระเกตุมาลา พระพักตร์ยังคล้ายศิลปะอินเดีย  ถ้าครองจีวรห่มเฉียงจะไม่มีชายจีวรอยู่เหนืออังสาซ้าย ประทับนัง่ ขัดสมาธิ  ราบอย่างหลวมๆ หรือประทับยืนแบบตริภังค์ (เอียงวรกาย) และแสดง  ปางด้วยพระหัตถ์ขวา พระหัตถ์ซ้ายยึดชายจีวรไว้ในพระหัตถ์ พระพุทธรูป  แบบนี้พบไม่มากนัก


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  9

แบบที่ ๒ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ มีลักษณะพื้นเมือง  มากขึ้น เช่น พระพักตร์มีขมวดพระเกศาใหญ่ พระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม  หรือลูกแก้วอยู่เหนือพระเกตุมาลา พระพักตร์แบน พระขนงเป็นเส้นโค้ง  ต่อกันเป็นรูปปีกกา พระเนตรโปน พระนาสิกแบน พระโอษฐ์หนา ประทับ  นัง่ ขัดสมาธิหลวมๆ แบบอมราวดี ถ้าครองจีวรห่มเฉียงมักมีชายจีวรสั้นอยู่  เหนือพระอังสาซ้าย แบบที่   ๓ พระพุ ท ธรู ป รุ ่ น สุ ด ท้ า ยของอาณาจั ก รทวารวดี   มี  อิทธิพลของศิลปะเขมรสมัยปาปวนหรือลพบุรีตอนต้น เช่น พระพักตร์เป็น  สี่เหลี่ยม มีร่อง (ลักยิ้ม) แบ่งกลางระหว่างพระหนุ (คาง) ชายจีวรยาวลง  มาถึงพระนาภี ปลายตัดเป็นเส้นตรง ประทับนัง่ ขัดสมาธิราบอย่างเต็มที ่ ฐานบัวคว�่ำและบัวหงายสลักอย่างคร่าวๆ

ธรรมจักร ศิลาจ�ำหลัก  เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๘๐ เซนติเมตร  พบที่วัดเสน่หา อ�ำเภอเมือง  จังหวัดนครปฐม  ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒

พระพุทธรูปทวารวดีส่วนใหญ่สลักจากหิน พระพักตร์กว้าง ริม  ฝีพระโอษฐ์หนา พระเกศาเป็นขมวดใหญ่ ผ้าทรงสนิทแนบพระวรกาย  เห็นแต่รอยสลักเป็นเส้นๆ เท่านัน้  นอกจากนี้ยังพบธรรมจักรศิลาจ�ำหลัก  และรูปกวาง สถูปจ�ำลอง จารึกคาถา“เย ธมมา เหตุปัปปภา” ซึ่งเป็น  หัวใจของพระพุทธศาสนา ใช้ตัวอักษรปัลลวะของอินเดียฝ่ายใต้ ส่วน  ประติมากรรมส�ำหรับตกแต่งฐานอาคารและสถูปเจดีย์ ได้แก่ ศิลาจ�ำหลัก  เป็ น ลวดลายพรรณพฤกษา และภาพศิ ล าจ�ำหลั ก รู ป พระพุ ท ธเจ้ า ทรง  แสดงธรรม พบที่วัดไทร อ�ำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม (ปัจจุบันอยู่ที่  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม) ประติมากรรมทวารวดีที่พบมากอีกประเภทหนึง่ ได้แก่ ประติมา-  กรรมดินเผาและปูนปั้นเป็นเศียรพระ หน้าคน และคนในอิริยาบถต่างๆ  รวมทั้งคนโทน�้ำดินเผา สร้อยลูกปัด ต่างหูโลหะ และก�ำไลส�ำริด


38  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

แหล่งศึกษาค้นคว้าศิลปะรัตนโกสินทร์  พิพิธภัณฑสถาน  แห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่างๆ พระ  บรมมหาราชวั ง  วั ด พระศรี รั ต นศาสดาราม กรุ ง เทพฯ วั ด ต่ า งๆ ใน  กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดังกล่าวแล้วจะเห็นว่าศิลปกรรมไทยส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับ  พุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ ทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถา-  ปัตยกรรม และประยุกต์ศิลป์ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับงานวิจิตรศิลป์ แต่ท�ำเพื่อ  ตกแต่งหรือเป็นส่วนหนึ่งของงานสถาปัตยกรรมและงานประยุกต์ศิลป์  หลายประเภท แต่ละประเภทมีกลวิธีการผลิตและรูปแบบที่โดดเด่น เช่น  งานไม้จ�ำหลัก ปูนปั้นที่ลงรักปิดทองประดับกระจกเพื่อใช้ตกแต่งหน้าบัน  โบสถ์ วิหาร ลายรดน�้ำใช้ตกแต่งฝาต�ำหนัก หอไตร จนถึงตู้พระธรรม   งานประยุกต์ศิลป์ที่ส�ำคัญอีกอย่างหนึง่ คือ ลายประดับมุก และเครื่องมุก   กลวิธีการสร้างงานประเภทนีต้ ้องใช้ความละเอียดประณีตสูง ตั้งแต่การ  ฉลุเปลือกหอยมุกเป็นลวดลายแล้วฝังบนพื้นถมรัก แล้วขัดให้ขึ้นเงา งาน  ประดับมุกมักใช้ตกแต่งบานประตูพระอุโบสถ วิหาร หอไตร ตลอดจน  เครื่องใช้ต่างๆ เช่น ตะลุ่ม พานแว่นฟ้า ตู้พระธรรม ส่วนลายรดน�้ำ เป็น  งานประณีตศิลป์ที่พบมากเพราะใช้ตกแต่งบานประตูและบานหน้าต่าง  โบสถ์ วิหาร หอไตร  งานประยุกต์ศิลป์มีมากมายหลายประเภทซึ่งได้  รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ สามารถเปิดไปอ่านรายละเอียดได้จากค� ำนัน้ ๆ  เช่น เครื่องมุก เครื่องไม้จ�ำหลัก เครื่องทอง เครื่องถม เครื่องรัก ลายรดน�้ำ   เป็นต้น หนังสือ พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่  ช่วยให้เข้าถึงงานศิลปกรรมไทยได้ หากต้องการความรู้ที่ลึกซึ้งต้องสร้าง  ประสบการณ์ด้วยตนเอง โดยการไปชมและศึกษาศิลปกรรมจากแหล่ง  ศิลปกรรมโดยตรงตามที่แนะน�ำไว้


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  39

กกหรือซอกบานหน้าต่าง พระอุโบสถวัดสุวรรณาราม  เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ  ศิลปะรัตนโกสินทร์

กก ซอกหรือที่ว่างระหว่างบานประตูหรือบานหน้าต่างขณะเปิด ซึ่งเป็นส่วน  ผนังอาคารเครื่องก่อ เช่น อุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น  ซอกนี้  เรียก กกประตู กกหน้าต่าง

กกุธภัณฑ์ในวิหาร บริเวณจังหวัดน่าน

กกุธภัณฑ์ เครื่องแสดงความเป็นกษัตริย์ ประกอบด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสง


60  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

กระแบะ ฝาเรือนเครื่องสับ

กระแบะ แผงฝาเรือนเครื่องสับภาคกลางระหว่างช่วงเสาเรือนด้านรี เป็นแผง  สี่ เหลี่ ย ม ประกอบด้ ว ย กรอบฝา ลู ก ตั้ ง  ลู ก นอน ลู ก นอน ลู ก ฟั ก หรื อ  ลูกปะกน  กระแบะจึงหมายถึงฝาเรือนระหว่างช่วงเสาช่วงหนึง่ ๆ

โครงสร้างกระหนกสามตัว

กระจัง

กระหนกตัวเดียว หัวนาคหางหงส์

กระหนกหางหงส์

กระหนกนาค

กระหนก, ลาย แม่ลายในกรอบสามเหลี่ยม ประกอบด้วยตัวกระหนกสามตัวเรียงกัน  ตัวที่ ๑ ลักษณะเป็นตัวเหงาอยู่หน้าสุด หัวขมวดคว�่ำลง  ตัวที่ ๒ เป็น


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  61

ตั ว ประกบตั ว ที่   ๑  ตั ว ที่   ๓ ต่ อ จากตั ว ที่   ๒ หั ว ขมวดสลั บ กั บ ตั ว ที่   ๒  ปลายบากเป็ นช่ ว งๆ และสะบั ด ไหว  กระหนกทั้ ง สามตั ว มี ข นาดและ  ช่องไฟที่เหมาะสม ปลายขมวด ยอดแหลม เป็นแม่ลายส�ำคัญที่คลี่คลาย  เป็นลายอื่นๆ

กระหนกท้ายเกริน หรือกระหนกท้ายราชรถ  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  พระนคร กรุงเทพฯ

กระหนกท้ายเกริน กระหนกสามตัวที่น�ำประกอบกันเป็นส่วนท้ายของ

ราชรถ ท�ำด้วยไม้แกะสลักปิดทอง จัดอยู่ในประเภทลายกระจังเรียก ลาย กระหนกท้ายรถหรือท้ายเกริน

กระหนกเปลวลายรดน�้ำวัดเซิงหวาย  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ  ศิลปะอยุธยา

ภาพลายเส้นกระหนกเปลว

กระหนกเปลว กระหนกที่มีลักษณะคล้ายเปลวไฟ ตัดกระหนกตัวหน้า  ออกไป เพื่อให้ได้ลายที่เพรียวและสะบัดไหว กระหนกเปลวใช้สอดใน


98  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

พระพุทธรูปปางสมาธิประทับบนขนดนาค  ซุ้มเจดีย์วัดเจดีย์เจ็ดแถว  อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย  จังหวัดสุโขทัย ศิลปะสุโขทัย

ขนดนาค การขดตัวของพญานาคที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ๓, ๕, ๗ ชั้น พบในงานจิตร-

กรรมและงานประติมากรรมสมัยลพบุรที นี่ ยิ มสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก  ซึ่งประทับนัง่ บนขนดนาคและแผ่พังพานเหนือพระเศียร  ในพุทธประวัติ  กล่าวว่า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วในสัปดาห์ที่ ๖ ขณะที่ประทับใต้  ต้นจิก “มุจลินท์” มีฝนตกหนักพายุแรง พญามุจลินท์นาคราชได้เข้าขดตัว  ๗ รอบ และแผ่แม่เบี้ยเหนือเศียรพระองค์เพื่อปกป้องภัยอันตราย จึงเป็น  ที่มาของการสร้างพระพุทธรูปประทับนัง่ บนขนดนาค ในสมัยสุโขทัยก็ยัง  นิยมสร้างพระพุทธรูปประทับนั่งบนขนดนาค ซึ่งขดเป็นวงไล่ขนาดจาก  วงเล็กขึน้ มาเป็นวงใหญ่ แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์นยิ มสร้างขนดนาคข้างล่าง  เป็นวงใหญ่ไล่ขนาดสู่ข้างบนเป็นวงเล็ก

รูปช้างในจิตรกรรมฝาผนัง พุทธสถานวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้า กรุงเทพฯ  ศิลปะรัตนโกสินทร์

ขนบนิยม รูปแบบของงานศิลปกรรมไทยที่ได้รับการยอมรับกันในสกุลช่างหรือยุคนัน้

สมัยนั้น เช่น งานจิตรกรรมแบบประเพณีไทยมีขนบนิยมว่า เขียนหงส์


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  99

ให้ดูฟ้า หมายความว่า เขียนหงส์หัวจะต้องเชิดขึ้น, เขียนม้าให้ดูดิน คือ  เขียนม้าหัวต้องก้มดูดิน, เขียนช้างให้พี คือช้างต้องอ้วน, เขียนฤๅษีต้อง  ผอม เป็นต้น

ไม้ฉลุเรือนขนมปังขิง

ขนมปังขิง ลวดลายฉลุไม้ส�ำหรับตกแต่งอาคาร มีลักษณะคล้ายขนมปังขิง (ginger

bread) ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะตะวันตก นิยมมากในสมัยรัชกาลที่ ๕  โดยใช้ตกแต่งจั่ว ตัวอาคาร พระที่นั่ง ต�ำหนัก และบ้านเรือน เช่น ลาย  ขนมปังขิงที่พระที่นงั่ อภิเศกดุสิต พระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ ต�ำหนักเพช็ร  วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เป็นต้น

จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส กรุงเทพฯ ศิลปะรัตนโกสินทร์

ขมิ้นกับปูน ในทางศิลปะไทยคือ การใช้หัวขมิ้นอ้อยทดสอบความเค็มของผนังก่อน

เขี ย นภาพฝาผนัง  หลั ง จากโบกปู น และเตรี ย มผนัง อุ โบสถหรื อ วิ ห ารที่  ต้องการเขียนภาพ  เมื่อผนังแห้งสนิทแล้วเอาหัวขมิ้นอ้อยขีดบนผนัง ถ้า  รอยขี ด เป็ น สี แดงก็ แ สดงว่ า ผนัง ยั ง ไม่ จื ด  เพราะความเค็ ม ของผนัง ท� ำ


112  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

โขนเรือโบราณที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โขนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ  รัชกาลที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๓๙

โขนเรือ ไม้ ที่ ต ่ อ หั ว เรื อ โบราณให้ ง อนเชิ ด ขึ้ น ไป มั ก ท�ำ เป็ น หั ว ตั ว ละครในเรื่ อ ง

ไขรา องค์ประกอบหลังคาอาคารสถาปัตยกรรมไทยที่ยื่นจากผนังออกไป หากยื่น

รามเกียรติ์หรือสัตว์หิมพานต์ เช่น หงส์ ครุฑ นาค อสูร เป็นต้น  ท�ำด้วย  ไม้จ�ำหลัก ปิดทองประดับกระจก เช่น โขนเรือพระราชพิธี ตัวอย่างเช่น โขนเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ โขนเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช โขนเรือ  พระที่นงั่ นารายณ์ทรงสุบรรณ เป็นต้น

จากหน้าจั่วเรียก ไขราหน้าจั่ว  ถ้าอยู่ตรงหน้าบันเรียก ไขราหน้าบัน  หาก  รับปีกนกเรียก ไขราปีกนก


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  113

ภาพลายเส้นคชปักษา

คชปักษา สัตว์หิมพานต์พวกหนึ่ง ตัวเป็นครุฑ หัวมีงวงมีงาอย่างช้าง บนหัวมีช่อ

กระหนก คอประดั บ ด้ ว ยกรองศอ รั ด อก เกราะอ่ อ น ทั บ ทรวง อย่ า ง  เครื่องทรง  มีขนปีกและหางคล้ายนก  มีช่อกระหนกต่อเป็นส่วนหาง

คชสิงห์ ลายรดน�้ำตู้พระธรรม ศิลปะรัตนโกสินทร์

คชสิงห์ สัตว์หิมพานต์พวกหนึ่ง หัวเป็นสิงห์แต่มีงวงมีงาอย่างช้าง ตัวเป็นสิงห์

ปรากฏในลายรดน�้ำตู้พระธรรม และจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์หรือวิหาร


150  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

งวงไอยรา  หน้าบันพระอุโบสถ วัดกษัตราธิราช  อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ศิลปะอยุธยา

งวงไอยรา ส่วนประกอบของเครื่องล�ำยองหลังคาโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ

ลั ก ษณะเป็ นงวงออกมาจากตั ว ล� ำ ยองหรื อ ตั ว นาค โค้ ง เกี่ ย วกั บ หั ว แป  ปลายเลื้อยลงมาข้างล่าง รูปร่างโค้งปลายงอนสะบัดเล็กน้อย

งอนรถ ราชรถน้อยในโรงราชรถ  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  พระนคร กรุงเทพฯ

งอนรถ ส่วนประกอบของราชรถ ท�ำเป็นคันไม้ทอดยาวจากระดับพืน้ ออกไปข้างหน้า

เงือก รูปอมนุษย์ ครึ่งคนครึ่งปลา ตั้งแต่ศีรษะจนถึงเอวเป็นคน จากเอวลงไป

ปลายโค้งงอนขึ้นแกะสลักเป็นรูปหัวนาค ติดธงที่ปลาย  ราชรถขนาดใหญ่  จะมีงอนรถ ๓ คัน คันกลางยาวกว่าสองคันด้านข้าง  งอนรถเป็นเครื่อง  เสริมราชรถให้ดูสง่างาม

เป็นปลา  จิตรกรและประติมากรได้รับความบันดาลใจมาจากวรรณกรรม  แล้วสร้างเป็นรูปจิตรกรรมและประติมากรรม


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  151

จงกล สิ่งที่ท�ำรูปร่างคล้ายดอกบัวชนิดหนึ่ง ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องใช้

เครื่องประดับ งานศิลปกรรม เช่น จงกลเชิงเทียน จงกลดาวเพดาน บัว  หัวเสา เป็นต้น

(ซ้าย) ภาพลายเส้นจตุรพักตร์พรหม (ขวา) จตุรพักตร์เหนือซุ้มประตูก�ำแพงแก้ว วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง  อ�ำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

จตุรพักตร์ ผู้มีสี่หน้า หมายถึง พระพรหม ซึ่งเป็นเทพเจ้า ๑ ใน ๓ องค์ของศาสนา

พราหมณ์ ได้แก่ พระพรหม พระวิษณุหรือพระนารายณ์ และพระศิวะ  หรือพระอิศวร ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน พระพรหม หมายถึง พระโพธิสัตว์  อวโลกิเตศวร จึงปรากฏจตุรพักตร์ในงานจิตรกรรม ประติมากรรม และ  สถาปัตยกรรมพุทธศาสนา  จตุรพักตร์ บางทีเรียก พรหมพักตร์


186  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

ฉนวนวัดมเหยงคณ์  ต�ำบลหันตรา  อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ศิลปะอยุธยา

ฉนวน ทางเดินที่มีเครื่องก�ำบังสองข้างส�ำหรับพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายฝ่ายใน

ฉลัก กลวิธีแกะสลักโดยใช้เครื่องมือประเภทสิ่ว เช่น ฉลักหนังตะลุงหรือหนัง

เสด็จขึ้นลงหรือเข้าออกไปพระที่นงั่ ต่างๆ หรือวัดส�ำคัญ เช่น ฉนวนทาง  เดินเข้าพระอุโบสถวัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งท�ำเป็นทาง  เดินเชื่อมระหว่างซุ้มประตูทางเข้าและพระอุโบสถ ลักษณะเป็นก�ำแพงมี  บัวหลังเจียดคล้ายก�ำแพงแก้ว สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระบรม-  ราชาธิราชที่ ๒ ราว พ.ศ. ๑๙๘๑ และมีการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ใน  รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๕๒-๒๒๕๖

ใหญ่  ปัจจุบันใช้ว่า แกะสลัก เช่น แกะสลักหนังตะลุง แกะสลักหนังใหญ่  เป็นต้น

ฉลุหรือตอกกระดาษ ส�ำหรับตกแต่ง

ฉลุ กลวิธีการท�ำลวดลายโปร่งบนวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษ แผ่นไม้ แผ่นหนัง


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  187

แผ่ น โลหะ เป็ นต้ น  โดยใช้ เครื่ อ งมื อ แตกต่ า งกั น ไปตามวั ส ดุ  เช่ น  ฉลุ  กระดาษใช้สิ่วและตุ๊ดตู่ ฉลุแผ่นไม้ใช้เลื่อย ฉลุแผ่นหนังใช้สิ่วและตุ๊ดตู่  เป็นต้น

ลายฉลุโปร่ง  ปูนปั้นซุ้มเจดีย์วัดเกาะกลาง  อ�ำเภอป่างซาง จังหวัดล�ำพูน  ศิลปะล้านนา

ฉลุโปร่ง รูปแบบของลวดลายปูนปั้นล้านนา มักเป็นลายโปร่ง คือ ลายนูน

ฉลุลาย ฉลุให้เป็นลาย เช่น ฉลุกระดาษให้เป็นลายเพื่อใช้เป็นแม่แบบ

ที่ปั้นบนพื้นหลังเป็นลวดลายดอกไม้ มีก้านและใบอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม  เป็นลายกาบ ลายประจ�ำยามรัดอก  ลายฉลุโปร่งอาจได้รับอิทธิพลมาจาก  ศิลปะจีน ปรากฏเป็นประติมากรรมและลายตกแต่งซุ้มประตูโขงและ  พระเจดีย์

ส�ำหรับท�ำลวดลายลงรักปิดทอง เช่น ลายค�ำในศิลปะล้านนา หรือฉลุไม้  ให้เป็นลวดลายเพื่อใช้ตกแต่งอาคารสถาปัตยกรรม เช่น ท�ำเป็นลายฉลุไม้  เชิงชายหลังคา ป้านลม เป็นต้น

ฉัตรศิลาจ�ำหลัก  สมัยทวารวดี  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  พระนคร กรุงเทพฯ

ฉัตร ๑ (๑) เครื่องสูงอย่างหนึง่  ทรงสามเหลี่ยมคล้ายร่มซ้อนกันเป็นชั้นๆ จ�ำนวน


216  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

สถาปัตยกรรมเชียงแสนโดยเฉพาะเจดีย์แบ่งออกเป็น ๓ แบบ  คือ เจดีย์ทรงยอดปราสาท เจดีย์ทรงระฆัง และเจดีย์ทรงเบ็ดเตล็ด - เจดีย์ทรงยอดปราสาท ได้แก่ เจดีย์วัดป่าสัก อ�ำเภอเชียงแสน  จังหวัดเชียงราย, เป็นเจดีย์ก่ออิฐ ฐานรูปสี่เหลี่ยมยกสูง ซ้อนลดหลั่นกัน  ขึน้ ไปรองรับเรือนธาตุสเี่ หลีย่ มยกเก็จ  จระน�ำประจ�ำเรือนธาตุทงั้ สีป่ ระดิษ-  ฐานพระพุทธรูปยืน เหนือเรือนธาตุมีห้ายอด ยอดกลางเป็นประธาน ทรง  กลมยอดแหลม มียอดบริวารสี่ยอด ซุ้มจระน�ำประดับด้วยลวดลายปูนปั้น  เจดีย์ทรงยอดปราสาทพัฒนาต่อมาในเจดีย์หลวงวัดเจดีย์หลวงโชติการาม  อ�ำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

พระธาตุหริภุญชัย  อ�ำเภอเมือง จังหวัดล�ำพูน

- เจดีย์ทรงระฆัง ได้แก่ เจดีย์วัดผ้าขาวป้าน อ�ำเภอเชียงแสน  จั ง หวั ด เชี ย งราย, เจดี ย ์ ท รงระฆั ง วั ด พระธาตุ ห ริ ภุ ญ ไชย อ� ำ เภอเมื อ ง  จังหวัดล�ำพูน และเจดีย์ทรงระฆังที่วัดพระธาตุล�ำปางหลวง อ�ำเภอเกาะ  จังหวัดล�ำปาง


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  217

ซับหนุนทอง วิธีรองพื้นด้วยสีก่อนปิดทองค�ำเปลวในงานจิตรกรรม เพื่อให้ทองเกิด

ประกายสีและมีความสุกใส เช่น ซับหนุนด้วยสีเหลืองเพื่อให้ทองเกิด  ประกายสีเหลืองสดใส ซับหนุนด้วยสีชาดเพื่อให้เกิดทองประกายแดงส้ม  เป็นต้น  การซับหนุนทองจะช่วยให้เครื่องทรงของกษัตริย์ นางกษัตริย ์ นางสนมในภาพมีประกายสีทองที่แตกต่างกัน

ซุ้มหน้าต่างพระอุโบสถวัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ ศิลปะรัตนโกสินทร์

ซุ้ม ๑, ประเภท สิ่งที่สร้างขึ้นเป็นกรอบส�ำหรับตกแต่งประตู หน้าต่างของพระที่นงั่  โบสถ์

ซุม้ คูหา ซุม้ เหนือทางเข้าสูห่ อ้ งในพระปรางค์หรือพระเจดียซ์ งึ่ ประดิษฐาน

วิหาร หรือเป็นเครือ่ งประดับตกแต่งทางเข้าออก เช่น ประตูวงั  ประตูเมือง  หรือท�ำเป็นซุ้มเจดีย์ ซุ้มปรางค์ ซุ้มเสมา  ซุ้มมีรูปแบบต่างๆ เช่น ท�ำเป็น  ซุ้มโค้งแหลมมีช่อฟ้าใบระกาอย่างหน้าบันโบสถ์ วิหาร ท�ำเป็นซุ้มยอด  มงกุฎตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น เป็นต้น

พระพุทธรูปหรือพระบรมสารีริกธาตุ  นิยมตกแต่งซุ้มด้วยลวดลายปูนปั้น


258  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

ทรงโรง พระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์  กรุงเทพฯ ศิลปะรัตนโกสินทร์

ทรง ในงานช่างและหัตถกรรมใช้เรียกรูปร่างของสิ่งก่อสร้างหรืองานหัตถกรรม

แสดงให้เห็นคตินิยมหรือขนบนิยมในแต่ละสมัย เช่น เจดีย์ทรงดอกบัวตูม  หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เจดีย์ทรงลังกา หัวเสาทรงมัณฑ์ เรือนทรงปั้นหยา  โถทรงโกศ เป็นต้น

ภาพลายเส้นทรงข้าวบิณฑ์

ทรงข้าวบิณฑ์ รูปทรงในงานศิลปะไทยที่เป็นพุ่มคล้ายใบโพหรือข้าว-

บิณฑ์ เช่น ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือลายพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ เจดีย์ทรงพุ่มข้าว-  บิณฑ์ เป็นต้น  บางทีเรียก ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  259

พระอุโบสถทรงโรง  วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  กรุงเทพฯ  ศิลปะรัตนโกสินทร์

วิหารทรงโรง  วัดราชบูรณะ  อ�ำเภอเมือง  จังหวัดพิษณุโลก  ศิลปะอยุธยา

ทรงโรง รูปทรงโบสถ์ วิหาร ที่หลังคาคลุมผนัง ไม่มีมุข ระเบียง เฉลียง

มีประตูทางเข้าหนึง่ หรือสองประตู  อาคารลักษณะนีม้ าจากโรงนา โรงควาย  เช่น พระอุโบสถและวิหารวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และพระอุโบสถวัด  ชนะสงคราม กรุงเทพฯ เป็นต้น

ทรงมัณฑ์ หรือหัวเม็ดทรงมัณฑ์เสา

ทรงมัณฑ์ ยอดเสากลมที่ท�ำเป็นชั้นๆ สามหรือสี่ชั้น ยอดบนสุดท�ำเป็นปลีเรียวแหลม

เรียก ทรงมัณฑ์ เช่น เสาหลักเมือง กรุงเทพฯ  เสาบราลีตามยอดปราสาท  บราลีบนสันหลังคาโบสถ์ เป็นต้น


278  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

นกการวิกจากสมุดภาพสัตว์หิมพานต์

นกการวิก สัตว์หิมพานต์พวกหนึ่ง หัวเป็นนก มีปีกและหางอย่างนก ตัวสีหงเสนอ่อน

มักปรากฏในลายรดน�้ำตู้พระธรรม บานประตูโบสถ์ วิหาร

นกคาบ, ลาย ลายไทยที่ใช้เป็นลายออกเถาแทนกาบคู่หรือกาบไขว้

ภาพลายเส้นช่อฟ้าแบบนกเจ่า

นกเจ่า รูปแบบของช่อฟ้าในสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั  รัชกาลที ่ ๓

นกเทศ สัตว์หิมพานต์จ�ำพวกหนึ่ง รูปร่างคล้ายนกอินทรี สีหงชาด ปรากฏในงาน

ใช้แทนช่อฟ้าทีม่ มี าแต่อดีต โดยท�ำเป็นรูปนกคอสัน้ แทนช่อฟ้า ใช้กบั โบสถ์  และวิหารแบบพระราชนิยม เช่น นกเจ่าที่พระอุโบสถวัดราชโอรสาราม  กรุงเทพฯ, พระอุโบสถวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร จังหวัดนนทบุร ี เป็นต้น


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  279

จิตรกรรมและประติมากรรม เช่น จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดสุทัศน-  เทพวราราม กรุงเทพฯ  หุ่นที่เป็นเครื่องสังเค็ดในพระราชพิธีบ�ำเพ็ญพระ-  ราชกุศลพระบรมศพ เป็นต้น

นกหัสดิน จากสมุดภาพสัตว์หิมพานต์

นกหัสดิน สัตว์หิมพานต์จ�ำพวกหนึ่ง รูปร่างคล้ายนกหรือหงส์ หัวเป็นนาค มีงวง

นกหัสดีลิงค์ สัตว์หมิ พานต์จำ� พวกหนึง่  ตัวเป็นนก หัวเป็นช้างหรือหัวเป็นนกมีจะงอยปาก

มีปีกและหางอย่างนก พื้นสีขาว ปีกสีหงดินอ่อน ปรากฏในงานจิตรกรรม  และประติมากรรม

เป็นงวงช้าง ตัวเป็นนก มีปีก ขา และหางอย่างนก  นกหัสดีลิงค์อยู่ในป่า  หิมพานต์ เป็นนกส�ำคัญที่ปรากฏในงานศิลปกรรมไทยทั้งจิตรกรรมและ  ประติมากรรม

นกอินทรี จากสมุดภาพสัตว์หิมพานต์

นกอินทรี สัตว์หมิ พานต์พวกหนึง่  รูปร่างเหมือนนก หางเป็นลายกระหนก พืน้ สีเขียว

อ่อน ปีกสีหงดิน


298  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

บรรณาลัย หอสมุดที่เก็บรักษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพราหมณ์ในศิลปะขอม เช่นที่

บรรทัดรองมือ อุ ป กรณ์ ช ่ ว ยการเขี ย นภาพ เป็ น แผ่ น ไม้ แบนๆ ยาว ๑-๒ ฟุ ต  กว้ า ง

บรรทัดราง เครื่องมือช่างไม้ ใช้ส�ำหรับตีเส้น ท�ำเป็นรางไม้มีรอกที่ม้วนเชือกไว้ เมื่อ

ปราสาทพนมรุ้ง อ�ำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ราวพุทธศตวรรษ  ที่ ๑๘ (พ.ศ. ๑๗๒๐-๑๗๗๓) ประมาณ ๑ นิ้ว หนุนปลายข้างหนึ่งให้สูง ใช้รองมือขณะเขียนภาพเพื่อ  ไม่ให้สีเลอะติดมือ ดึงเชือกผ่านกระปุกสีด�ำหรือสีแดงเชือกจะติดสี  เมื่อดึงเชือกตามแนวที่  ต้องการแล้วดีดเชือก สีจะติดบนแผ่นกระดานหรือวัตถุเป็นแนวตรง บรรทัดราง บางทีเรียก รางบรรทัด หรือเต้า

บราลีสังเค็ดวัดเชิงท่า  อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ศิลปะอยุธยา

บราลี เครือ่ งประดับสันหลังคาโบสถ์ วิหาร ปราสาท ปราสาทแบบขอม ธรรมาสน์

ท�ำด้วยไม้ หิน ปูน เครื่องเคลือบ รูปร่างคล้ายเสายอดแหลม ขนาดเล็กๆ  ดุจฐานยอดพระเจดีย์ทราย ใช้เสียบเรียงรายไปตามสันหลังคา หรือเสียบ  บนสันหลังคาบันแถลงบนหลังคาเครื่องยอด เช่น บราลีประดับสันหลังคา  ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์, บราลีประดับสันหลังคาธรรมาสน์หรือ  สังเค็ด เช่น หลังคาธรรมาสน์วัดใหญ่สุวรรณาราม อ�ำเภอเมือง จังหวัด  เพชรบุรี บราลี บางทีเรียก ปะราลี

บังแทรก เครื่องสูงอย่างหนึง่ ส�ำหรับใช้ในริ้วขบวนแห่ของพระมหากษัตริย์


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  299

บังนก ส่วนที่ปิดช่องหลังคาโบสถ์ วิหาร อยู่ระหว่างหลังคาที่ซ้อนกันด้านหน้า

และด้านหลัง เป็นแผ่นสามเหลี่ยม ท�ำด้วยไม้หรือปูน ใช้ป้องกันนกและ  สัตว์ไม่ให้เข้าไปภายในและป้องกันฝนสาดด้วย

บัญชักธรรมวัดต้นเกว๋น  อ�ำเภอหางดง  จังหวัดเชียงใหม่

บัญชักธรรม ไม้หรืองาช้างแผ่นเล็กๆ ท�ำเป็นป้ายเขียนชื่อคัมภีร์ธรรมของชาวล้านนา

เสียบติดกับผ้าห่อคัมภีร์เช่นเดียวกับสลากธรรมหรือสลากคัมภีร์ในภาค  กลาง

บัณเฑาะว์  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  พระนคร กรุงเทพฯ

บัณเฑาะว์ กลองสองหน้าขนาดเล็ก ผูกตุ้มห้อยไว้หน้ากลองเพื่อแกว่งให้กระทบหน้า

บันได สิง่ ทีท่ ำ� เป็นขัน้ ๆ ส�ำหรับขึน้ หรือลง เช่น บันไดบ้าน บันไดโบสถ์ บันไดท่าน�้ำ

บันไดแก้ว (๑) ที่ส�ำหรับพาดหรือวางพระแสงดาบราชศัสตราวุธ คัมภีร์

กลองเกิดเสียงดัง ใช้ในพระราชพิธีพราหมณ์

เป็นต้น  ท�ำด้วยไม้ ไม้ไผ่ คอนกรีต โลหะ มีหลายรูปแบบ

ใบลาน จัดอยู่ในเครื่องสูงหรือมีความศักดิ์สิทธิ์  บันไดแก้วมักท� ำด้วยไม้  ตกแต่งด้วยลายรดน�้ำและประดับกระจก (๒) บันไดรองรับพระคัมภีร์หรือใบลานส�ำหรับจาร ท�ำด้วยไม้  ตกแต่งด้วยลายรดน�้ำ หรือประดับกระจก ท�ำซ้อนกันเป็นขั้นๆ


412  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย

ยกกระเปาะ ยกขอบขึ้นตามรูปทรงอัญมณีที่ต้องการฝังเพชรพลอยลงในงานโลหะรูป-

พรรณ เช่น ยกกระเปาะหัวแหวนเพื่อฝังเพชรหรือพลอยลงในหัวแหวน

ยกเก็จ ในสถาปัตยกรรมไทย หมายถึง ส่วนที่ยื่นออกมาจากผนัง ก�ำแพง ฐาน  ยกพื้นที่ให้นูนพ้นระนาบ จึงมีลักษณะเป็นกระเปาะที่นูนขึ้น จึงเรียกอีก  อย่างว่า ยกกระเปาะ ภาพลายเส้นมงกุฎยอดศิราภรณ์

มงกุฎยอดกระหนก

มงกุฎยอดกาบไผ่

มงกุฎยอดนาค

มงกุฎยอดหางไก่

ยอดศิราภรณ์ ยอดเครื่องประดับศีรษะหรือเครื่องสวมหัว วิวัฒนาการมาจากการน� ำ

ดอกไม้สดและผ้าพันศีรษะเพื่อความสวยงาม ภายหลังกลายเป็นเครื่อง  แสดงยศต�ำแหน่ง เช่น มงกุฎ เกี่ยว ชฎา หรือใช้เป็นเครื่องสวมหัวในการ  แสดงโขน ละคร - มงกุฎ เครื่องสวมศีรษะประเภทหนึ่ง มียอดหลายแบบ เช่น  มงกุฎยอดชัย (ยอดแหลม) หรือพระมหาพิชัยมงกุฎ มีเกี้ยว ๓ ชั้น, มงกุฎ  ยอดน�้ำเต้ากลม รูปคล้ายผลน�้ำเต้าตัดครึ่ง, มงกุฎยอดน�้ำเต้ากาบ ลักษณะ  เหมือนผลน�้ำเต้ากลม โคนมีกาบหุ้ม, มงกุฎยอดน�้ำเต้าปลี รูปทรงน�้ำเต้า  แต่ยอดแหลมเหมือนหัวปลี, มงกุฎยอดน�้ำเต้าเฟือง รูปน�้ำเต้าแต่กลีบเป็น  ริ้วอย่างผลมะเฟือง, มงกุฎยอดสามกลีบ ลักษณะเป็นมงกุฎยอดแหลม  เป็นต้น - ชฎา เครื่องสวมศีรษะประเภทหนึง่  มีลักษณะต่างๆ กัน ได้แก่  ชฎายอดแหลม มีเกี้ยวสองชั้น, ชฎายอดเดินหน ยอดมีลักษณะเป็นปล้อง,


ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณ  413

(ซ้าย) ชฎายอดฤษี (ขวา) มงกุฎหรือชฎายอดน�้ำเต้ากลม

ชฎายอดกาบไผ่ ยอดเป็นกระหนก, ชฎายอดบัด ยอดปัดไปด้านหลัง, ชฎา  ยอดกะตาปา เรียกทั่วไปว่า ชฎายอดฤษี หรือชฏายอดบวช

เทริดยอดแหลม

- เทริ ด  เครื่ อ งสวมศี ร ษะประเภทหนึ่ง  มี ลั ก ษณะต่ า งๆ กั น  ได้ แ ก่   เทริ ด ยอดน�้ ำ เต้ า  มั ก พบท� ำ เป็ น เทริ ด พระพุ ท ธรู ป ลั ท ธิ ม หายาน  เทวรู ป , เทริ ด ยอดแหลม มั ก เป็ น เทริ ด ส� ำ หรั บ แสดงโนรา, เทริ ด ยอด กระบอกตัด ใช้เป็นเทริดของพวกยักษ์หรืออสูร

ย่อมุม การแตกมุมหรือการท�ำมุมให้มากขึ้นของแท่น ฐาน อาคารสถาปัตยกรรม

ไทย เช่น ปรางค์ เจดีย์ และธรรมาสน์ บุษบก เสา โดยท�ำให้เกิดมุมย่อยๆ



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.