ตกตั้งใหม่ 2 วิถีแห่งปลายวงเวียน Reset! Onto the Path of No Names.
เครือข่ายชาวจีมานอม
ตกตั้งใหม่ 2
วิถีแห่งปลายวงเวียน
RESET! Onto the Path of No Names. พิมพ์ครั้งที่ 1 จำ�นวนพิมพ์ 3,000 เล่ม เจ้าของ สำ�นักสงฆ์บ้านจอมมณี ใต้ หมู่ที่ 7 จอมมณี ใต้ ตำ�บลผึ่งแดด อำ�เภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร 49000 พิมพ์ที่ โรงพิมพ์ หจก.สามลดา โทรศัพท์ 02-468-0303 บรรณาธิการ ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย ที่ปรึกษา ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย ไทปิดา พอปัน พิมเผ่า ออกแบบปก ศุภัจจารีย์ คำ�นวน รูปเล่ม ศุภัจจารีย์ คำ�นวน หนังสือเล่มนี้แจกเป็นธรรมทาน พบกับหนังสือเล่มนี้ ในรูปแบบ e-book ได้ที่ http://www.makuikan.com
ข้อมูลทางบรรณานุกรม เครือข่ายชาวจีมานอม. ตกตั้งใหม่ 2 วิถีแห่งปลายวงเวียน.-- : คุณศรชัย ฉัตรวิริยะชัย, 2555. 123.
1. . 0. ศุภัจจารีย์ คำ�นวน, ผู้วาดภาพประกอบ. I. ชื่อเรื่อง.
ISBN 978-616-321-417-1
คําำ�นําำ�
ถ้าใครมาบอกว่ามียาเม็ดซึ่งถ้ากินเข้าไปจนครบชุดแล้วจะเปลี่ยนวิธีการมอง โลกของคุณไปเกือบหมด และยังบอกด้วยว่าปัญหาในชีวิตของคุณจะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าวิชาความรู้ที่คุณมีอยู่เดิมจะถูกทำ�ลายไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง คุณจะยอม กินยาชุดนี้หรือไม่? ยาเม็ ด นั้ น เปรี ย บได้ กั บ วิ ช า “ตกตั้ ง ใหม่ ” หรื อ ภายหลั ง มานี้ รู้ จั ก ในชื่ อ “รีเซ็ต” พระอาจารย์เคยบอกเอาไว้ว่า “วันนี้เรียกแบบนี้ วันหน้าอาจจะไม่ได้ เรียกแบบนี้แล้วก็ได้” เป็นการเตือนให้เราอย่าไปยึดติดใน “ป้ายชื่อ” ที่เอาไว้เรียก ขาน แต่มุ่งหมายที่จะสื่อไปถึงสภาวธรรมภายในที่เป็น “ภาษาใจ” เพราะ “ตก” ก็ คือ ตกไปสู่เรื่องราวความคิดที่ทำ�ให้จิตใจเศร้าหมอง และ “ตั้ง” ก็คือการ “ออก จากความคิด” โดยกลับมารู้สึกที่กายของผู้นั้น การฝึก “ตกตั้งใหม่” หรือ “รีเซ็ต” ถ้าหากทำ�บ่อย ๆ ก็จะเกิดการสั่งสมกำ�ลัง จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อได้ประสบเรื่องราว ที่หนักหนา “สาโหด” กำ�ลังที่เกิดจากการฝึกฝนจนเป็นนิสัยก็จะขึ้นมารับ และช่วย รักษาใจของเราไม่ให้เรื่องราวลุกลามจนมัน “กดทับใจ” ฟังดูช่างสวยสดงดงาม และไม่น่าที่ใครจะต้องลังเลในการตัดสินใจกินยา
เม็ดชุดนี้ แต่ในความเป็นจริงไม่ง่ายเลย เพราะอย่าลืมว่ายาเม็ดชุดนี้ยังมีปฏิกิริยา ข้างเคียง หลังจากที่ได้รับเข้าไปเพียงเม็ดหนึ่งหรือสองเม็ด ภายในใจจะเกิดอาการ ซวนเซ ลองนึกว่าจู่ ๆ ก็มีใครมาทุบทำ�ลายพื้นดินที่กำ�ลังยืนอยู่ หรือจุดไฟเผาทำ�ลาย บ้าน ไม่ใครก็ใครย่อมเกิดอาการไม่ชอบใจ ต่อต้าน หาเหตุผลมาหักล้าง หรือใช้วิธี การเพิกเฉย หลบเลี่ยง หลีกลี้หนีหน้า กินยาไม่ครบโดส! อาการเช่นนั้นเกิดขึ้นเพราะความรู้ใหม่กำ�ลังไปทำ�ลายฐานความรู้เดิม ในช่วง นี้ถ้าใครข้ามผ่านไปไม่ได้ก็จะไม่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ซึ่งเป็น “วิทยาศาสตร์ทาง จิต” ซึง่ เหล่าบัณฑิตและนักปราชญ์ลว้ นกระซิบบอกต่อกันมาระยะเวลาสองพันกว่าปี โดยมีต้นตอมาจากมนุษย์พิเศษผู้นั้น มี บ างคนในกลุ่ ม เราเกิ ด ข้ า มพ้ น จากสภาวะแบบนั้ น จนพอได้ เ ห็ น มรรค เห็นผล เรียกภาษาเราว่า “ปักปลายวงเวียน” หมายถึงเป็นผู้ที่เริ่มได้ “รหัสผ่าน” พาสโค้ดทีเ่ อาไว้ทะลุทะลวงมายาการของภาษาพยัญชนะ เข้าสูน่ ยั ยะของ “ภาษาใจ” ปัญหาอยู่ที่ว่าชุดยาของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนชุดเล็กก็สามารถเข้าใจได้ แล้ว ในเวลาไม่นานนัก แต่บางคนต้องเจอชุดใหญ่จึงจะเข้าใจ หลายคนเจอชุดใหญ่ แล้วก็ยังไม่เข้าใจก็มี ก็ยังคงต้องกินยากันต่อไป หมายถึงเกาะเกี่ยว ได้ยินได้ฟัง และ สนทนากันในเรื่อง “รีเซ็ต” อยู่เนือง ๆ ตามโอกาส ส่วนจะเข้าใจได้เมื่อใดก็อยู่ที่ “เหตุและปัจจัย” จะถึงพร้อม “วิถีแห่งปลายวงเวียน” ที่ท่านถืออยู่ในมือ คือเรื่องราวของผู้กล้า กล้าที่จะ กินยาเม็ดชุดนัน้ กล้าทีจ่ ะพาตัวเองเข้าไปเรียนรูใ้ นเรือ่ งทีเ่ ฉียดกระดูก แล่เนือ้ เถือหนัง ของตัวเอง กล้าที่จะเปิดเปลือยตัวตนออกมามากบ้างน้อยบ้างเพื่อจะเรียนรู้ อย่างที่ อาจารย์ ส. ศิวรักษ์ เรียกขานชาวจีมานอมอย่างพวกเราว่าพวก “ล้อเล่นกับอัตตา” วิธีการอ่านหนังสือเล่มนี้ขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่าน โดยอาจจะอ่านไปตามลำ�ดับที่ บรรณาธิการได้จัดเรียงเอาไว้ หรือจะอ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อนที่ตรงกับความสนใจ ของท่านก็ได้ ไม่จำ�เป็นจะต้องเรียงไปตามลำ�ดับแต่อย่างใด
อนึ่ง นักเขียนของเราทั้ง 26 ท่าน ล้วนแต่มีอายุอานามอยู่ในวัยรุ่นทั้งหมด ซึ่ง ผมจะขอแบ่งอย่างง่ายเป็นรุ่นเล็ก รุ่นกลาง และรุ่นใหญ่ ในรุ่นเล็กท่านจะได้พบกับเรื่องราวของ ชีวิตวัยรุ่นซึ่งยุ่งวุ่นวายอยู่กับการ เรียนหนังสือ การสอบ (ถูกยิงกลางห้องสอบ, ตึกกระโดดใส่เด็กน้อย, เกือบจะ เหลือแต่ชื่อ, เกมแพ้ใจไม่แพ้) , หน้าที่การงาน (มหาสมุทรแห่งความคิด) , การ เผชิญกับความกดดันในบ้าน (มีแต่คนใจร้าย) เรื่องแบบนี้บางครั้งผู้ใหญ่ก็อาจจะมอง ข้ามและเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำ�หรับพวกเขามันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต ลอง มาดูกันว่าวัยรุ่นใช้ “ตกตั้งใหม่” ในชีวิตของพวกเขาอย่างไร ในรุ่นกลางวัยทำ�งาน หลีกไม่พ้นเรื่องหัวใจ เรื่องอาชีพการงาน และสุขภาพ เรามีเรื่องของเรื่องผู้หญิงกับความรัก (ไปหาโดราเอมอน), เรื่องครอบครัว (ต้องเกิด เป็นแม่, ตาสว่างกลางอุโมงค์, รูส้ กึ ตัวตลอด), ความเครียดจากการงาน (กรามล็อก), สุขภาพ (โรคหัวใจสะออน), วิกฤติในที่ทำ�งาน (ดื้อตาใส), เรื่องราวที่ไม่คาดคิด (ไม่ใช่ซิปโป้) ส่วนรุ่นใหญ่ยกให้ในความเก๋า เรามีนักเขียนรับเชิญคือ สุวิชานนท์ มาเล่า ประสบการณ์รักษาใจเมื่อพระเพลิงแวะมาเยี่ยมบ้าน ส่วน นิสาข์ประเทศรัตน์ เขียน เล่าเรื่องประสบการณ์นํ้าท่วมบ้านเมื่อปีที่ผ่านมาได้อย่างน่าติดตาม อ. ประสาท ทดลองการเล่าเรือ่ งแนวใหม่เป็นนวนิยายกึง่ แฟนตาซี ในเรือ่ ง “ปสาธิกสนทนา” (ปะสา-ธิ-กะ-สน-ทะ-นา) ก็พริ้วไหวด้วยลีลาเฉพาะตัว เกือบลืมไปแล้วสิน่า ตกตั้งใหม่เล่มนี้ยังมีผลงานของนักเขียนเยาวชน หนึ่งใน สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มจีมานอม น้อง “ต๊กโต” (ชยันต์ ประเทศรัตน์) มาเล่า ประสบการณ์ว่าเขารักษาใจอย่างไรเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชน ถึงสามครั้ง ท้ายที่สุดนี้ผมขอขอบคุณ โม่ง (สุชาดา โกกนท) และฟ่าง (ถิรญา สงวนพงศ์พันธุ์) ที่ช่วยตรวจสอบคำ�สะกดและแก้ไขคำ�ผิดในต้นฉบับทั้งหมด อาจารย์
ยุทธ (ยุทธนา ไพกะเพศ) จาก ม. มหาสารคาม ที่เอื้อเฟื้องานศิลปะให้เป็นแบบปก หนังสือแถมกำ�ชับว่าให้ดัดแปลงได้ตามที่เห็นสมควร อาจารย์ตั้ว ม. มหาสารคาม (ทัศน์ณอร เลียวประเสริฐกุล) ที่ให้ความช่วยเหลือประสานงาน ตุ๊กตา (รุ่งนภา สุรเชษฐ์) และโม่งที่เป็นธุระในเรื่องจัดการกองปัจจัยทำ�บุญ น้องแพ็ค (ศุภัจจารีย์ คำ�นวน) และ น้องปุ้ย (พอปัน พิมเผ่า) สำ�หรับการออกแบบรูปเล่มที่สวยงาม เก่ง กับหนึ่ง แห่ง โอเพนดรีม (ปฏิพัทธ์ สุสำ�เภา – พัชราภรณ์ ปันสุวรรณ) ที่เอื้อเฟื้อ ทรัพยากรคือสถานที่คลอดหนังสือเล่มนี้ อาจารย์ เอ้อ (ไทปิดา มุทิตาภรณ์) สำ�หรับ คำ�ปรึกษา ทางด้านดิจิตัลอาร์ท ขอให้ กุ ศ ลผลบุ ญ อั น ใดที่ ข้ า พเจ้ า และกั ล ยาณมิ ต รทุ ก ท่ า นได้ ก ระทำ � ร่ ว ม กันในครั้งนี้ ส่งผลให้ทุกท่านประสบพบแต่ความสุขและความเจริญในศาสนาของ พระศาสดา รีเซ็ตสวัสดิ์ทุกท่าน พบกันใหม่เมื่อมีโอกาส ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย บรรณาธิการ
คําำ�นิยม
ชุมชนเรียนรู้ จีมานอม หรือ พุทธบริษัท จีมานอม เกิดจากความสัมพันธ์ เริ่มต้นของกลุ่มกัลยาณมิตรแพร่-มุกดาหาร และ การฝึกอบรม “ตกตั้งใหม่” ทำ�ให้ เกิดเครือข่าย/ชุมชน การเรียนรู้ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ สอน-เรียนธรรมะ ได้ทุก เวลาในทุกที่ ศูนย์รวมจิตใจชาวจีมานอมอยู่ที่ ท่านอาจารย์ ไพบูลย์ ฐิตมโน ซึ่งสอน ธรรมะทุกวันโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จากสำ�นักสงฆ์ ที่ตั้งอยู่ที่ป่าช้า บ้านจอมมณี ใต้ ต.ผึ่งแดด อ.เมืองฯ จ.มุกดาหาร หลังการฝึกอบรม “ตกตั้งใหม่” จะมีผู้จัดการพุทธบริษัทจีมานอม ของพวก เรา อ.ศรชัย ฉัตรวิรยิ ะชัย คอยกระตุน้ สมาชิกให้เรียนรูอ้ ย่างต่อเนือ่ งในชีวติ ประจำ�วัน เพื่อพิสูจน์ว่า ธรรมะที่ได้รับการอบรมมานั้น เกิดมรรคผลจริง จากนั้นก็ยังชักชวนให้ สมาชิกแต่ละคน ได้บนั ทึกการเรียนรู้ “ตกตัง้ ใหม่” ของแต่ละคนออกมาเป็นเรือ่ งเล่า และ แบ่งปันกับสมาชิกคนอื่นๆ ได้เรียนรู้ เพิ่มเติมตลอดเวลา ผ่านเทคโนโลยีออนไลน์ และยิ่งกว่านั้น บทความ เรื่องเล่า เหล่านั้น อ.ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย และคณะ ยังมี ความวิริยะ รวบรวมขึ้นเป็นหนังสือ เพื่อเผยแผ่ ไปสู่สังคมวงกว้าง เพิ่มเติมขึ้นมา อีกระดับ ซึ่งเล่มนี้เป็นเล่มที่สองแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากโดยเฉพาะเจ้าของ
บทความทั้งหมด ส่วนใหญ่แม้ไม่ใช่นักเขียนแต่ก็มีไมตรีจิต อุตสาหะ จัดทำ�บันทึก แบ่งปันบทเรียนของตนให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ได้ร่วมเรียนรู้ไปด้วย ชุ ม ชนการเรี ย นรู้จีมานอม และ หนัง สือที่รวบรวมบทเรียนจากชีวิตจริง ของมวลสมาชิก ที่ได้จัดทำ�ขึ้นมาด้วยความวิริยะและด้วยความปรารถนาดีของผู้ เกี่ยวข้องทุกท่าน เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์แก่สังคม เพราะ แม้เพียงแค่ รู้และเห็น การ “ตก” และ การ “ตั้ง” ของจิตตัวเองได้ในขั้นต้น “องศาชีวิต” ของผู้นั้นก็จะ เปลี่ยนทันที เปลี่ยนไปในทางที่จะเป็นกุศล ต่อตนเอง ผู้อื่น และ โลก การจัดพิมพ์ หนังสือเล่มนี้ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนเรียนรู้ทั้งหมด) จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ยินดี อย่างยิ่ง
นพ.สมพงษ์ ยูงทอง มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์ เขาทอง 13 ตุลาคม 2555
คําำ�นิยม
ฉันและผู้เขียนทั้ง 26 ท่านในหนังสือ ตกตั้งใหม่ 2: วิถีแห่งปลายวงเวียน มีจุด ร่วมกันอย่างน้อย 2 ประการคือ หนึ่ง เราเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ และ สอง เราต่างได้ เรียนรู้วิธีการฝึกปฏิบัติที่มีชื่อสมมุติว่า ตกตั้งใหม่ เหมือนกัน ฉันถามตัวเองว่า ผู้ที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาพลิกอ่าน และมีโอกาสอ่านมา จนถึงตรงนี้กำ�ลังมองหาอะไร ผู้ที่คุ้นเคยกับ ตกตั้งใหม่ อยู่แล้ว อาจอยากทราบว่าฉัน จะแลกเปลีย่ นเรือ่ งอะไร ส่วนผูอ้ า่ นทีเ่ ป็นผูใ้ หม่กบั ตกตัง้ ใหม่ อาจมีค�ำ ถามในใจที่ฉัน พอคาดคะเนได้สักสี่ห้าคำ�ถามเช่น ตกตั้งใหม่ คืออะไร ฝึกฝนไปแล้วได้อะไร ฝึกฝน อย่างไร มาจากสายการปฏิบัติไหน มีใครเป็นครูบาอาจารย์ และจะฝึกฝนการปฏิบัติ นี้ได้ที่ไหน ในสามคำ�ถามแรก ฉันเชื่อว่า คำ�นำ�จากบรรณาธิการ และบทความทั้ง 26 เรื่องจากประสบการณ์ตรงของกัลยาณมิตรศิษย์พี่ศิษย์น้องจะคลายความสงสัย สร้างความเข้าใจ และเสริมแรงบันดาลใจทีจ่ ะฝึกฝนให้ผอู้ า่ นได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี ฉันขอร่วมแบ่งปันอีกเล็กน้อยสำ�หรับสองคำ�ถามหลังก็แล้วกัน นอกจากพื้นที่นี้ ในหนังสือมีการกล่าวถึง พระอาจารย์ไพบูลย์ อยู่ห้าครั้ง
มีสองครั้งที่ระบุฉายา ฐิตมโน และไม่มีบทความที่ท่านเขียนด้วยตนเองเลย นั่นเพราะ พระอาจารย์เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและอิสระ อย่างไรก็ดี ท่านมีเวลาและ พื้นที่ ความเมตตาและปัญญาให้กับผู้ที่ยังติดอยู่ในร่างแหของความรู้สึกนึกคิดของ ตนเองอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้ในยามที่ร่างกายของท่านไม่สมบูรณ์แข็งแรง ผู้อ่านสามารถ สัมผัสได้ถึงความรักความเมตตา ความทุ่มเท และกุศโลบายในการสอนของท่าน ผ่านผู้เขียนทุกท่านได้ตลอดหนังสือเล่มนี้ ฉันขอน้อมกราบพระอาจารย์ผู้เป็นที่รักด้วยกายและใจ พระธรรมของพระพุทธองค์มีไว้ให้ประจักษ์ คำ�สอนของครูบาอาจารย์มีไว้ให้ ปฏิบัติหรือพิสูจน์จนแจ้งแก่ใจ ผู้ที่ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องจะตระหนักถึงอานิสงส์ของ การปฏิบัติได้ด้วยตนเอง แล้วเราจะไปฝึกปฏิบัติเช่นนี้ได้ท่ีไหน ครูบาอาจารย์ของฉันตักเตือนเสมอว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าในเวลาใด ก็ให้ฝึกที่กายที่ใจของเราในเวลานี้ ปัจจุบัน ธรรมนั้นไม่ได้อยู่ในอดีตหรืออนาคต พระรัตนตรัยไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล เริ่มเลยนะ อย่า ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าเลย ด้วยความนอบน้อมต่อพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
จิตร์ ตัณฑเสถียร ตุลาคม 2555
คําำ�นิยม
ทุกคนที่เกิดมาหนีไม่พ้นที่จะต้องพบกับความทุกข์ ไม่ว่าทุกข์กายหรือทุกข์ใจ และพยายามหาทางที่จะออกจากทุกข์ด้วยวิธีต่าง ๆ หนังสือเล่มนี้มีคำ�อธิบายถึงการ ที่จะออกจากทุกข์อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เป็นวิธีที่ง่ายและธรรมดาจนไม่น่าเชื่อ ว่าเป็นการปฎิบัติในแนวสติปัฏฐานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผลที่ได้รับ จากผูค้ นหลายวัยและหลายอาชีพทีเ่ ขียนเล่าประสบการณ์มาแบ่งปันในหนังสือเล่มนี้ สามารถเป็นเครื่องยืนยันได้ถึงผลสำ�เร็จที่ได้รับ หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเปิดความคิด ใหม่ ๆ ให้กับผู้หาทางพ้นทุกข์ทั้งหลาย
สันติ คุณาวงศ์ บริษัทแฟรี่แลนด์สรรพสินค้า
กว่าจะมาเป็นตกตั้งใหม่ พระภัททันตะ วิลาสะ อดีตพระอธิการ วัดปรก ตรอกจันทร์
อาจารย์ แนบ มหานีรานนท์
ท่านเจ้าคุณพระภาวนา ภิรามเถระ (สุข ปวโร)
พระอาจารย์ มหาปาน อานันท์โท
พระอาจารย์ บุญมาก ภูริปัญโญ
พระอาจารย์ ไพบูลย์ ฐิตมโน สำ�นักสงฆ์จอมณี จ.มุกดาหาร
อาจารย์ สาย สายเกษม
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ พระอาจารย์เชื้อสายพม่า ภัททันตะ วิลาสะ ในขณะ นั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดปรก ตรอกจันทร์ เขตยานนาวา กทม. ได้เริ่มทำ �การ สอนวิปัสสนาภาวนาตามนัยแห่งพระอภิธรรม มีลูกศิษย์ที่สำ�คัญคือ อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ ซึ่งท่านได้มอบหมายให้สอนอภิธรรมแทนตัวท่าน ในเวลาต่อมาได้เชิญ อาจารย์ฆราวาสพม่า อาจารย์สาย สายเกษม จากจังหวัดลำ�ปาง มาช่วยการศึกษา ปริยัติธรรมและปฎิบัติธรรมโดยนัยอภิธรรม เมื่อปี ๒๔๙๐ ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี โดยมีท่านเจ้าคุณพระภาวนา ภิรามเถระ (สุข ปวโร) เป็นอาจารย์ใหญ่ร่วมกับอาจารย์สาย อาจารย์แนบ และ พระทิพย์ปริญญา สอนอภิธรรม โดยใช้ตำ�รา พระอภิธัมมัตถสังคหะ ๘ ปริเฉทเป็น บรรทัดฐาน ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้มกี ารนิมนต์พระอาจารย์เชือ้ สายพม่า ๒ องค์ คือ พระอาจารย์สัทธัมโชติกะ ธัมมาจริยะ และพระอาจารย์เตขินทะ ธัมมาจริยะ มาจำ� พรรษาเริม่ แรกอยูท่ ว่ี ดั ปรก และต่อมาได้ยา้ ยไปสอนพระอภิธรรมทีว่ ดั ระฆังโฆสิตาราม ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้มีการเปิดการสอนพระอภิธรรมขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่ “โรงเรียน บรรยายอภิธรรมปิฎก” ทีพ่ ทุ ธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ตรงข้าม วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ซึ่งอีก ๔ ปีต่อมาก็มีการจัดตั้ง “พระอภิธรรมมูลนิธิ” ขึ้นโดยอาจารย์บุญมี เมธางกูร รับผิดชอบเรื่องการสอนพระอภิธรรมร่วมกับอาจารย์ แนบ และคุณพระชาญบรรณกิจ (ปัจจุบันพระอภิธรรมมูลนิธิ มีที่ทำ�การอยู่ที่ อาคาร พระนรราชจำ�นง ถ.พุทธมณฑลสาย ๔ ต.ศาลายา จ.นครปฐม) ข้อมูลจาก อภิธรรมมูลนิธิ
แนะนํำ�นักเขียนจีมานอม
นัฐพล กันทะสีคำ� (เบน) เบน หนุ่มน้อยแห่งเมืองยาว อดีตคือองค์รักษ์หนุ่มประจำ�ตัว ครูนาย(ครูสอนพระพุทธศาสนา) สังเกตตัวเองเป็นยังไงไม่รจ้ ู กั จน กระทั่งมาเจอวิชา Reset เป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก มักมี คำ�ถามเสมอเมือ่ ฟังพระอาจารย์แต่ไม่กล้าทีจ่ ะถามเลยสักครัง้ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาวิชาเล่นแร่แปรธาตุอยู่ที่เชียงใหม่ และ มีเหตุให้ได้ใช้ตกตั้งใหม่ไม่ได้ขาด
ประพิมศรี หอมฉุย (กอล์ฟ) เจ้ า ห น้ า ที่ ส า ย ง า น ส า ธ า ร ณ สุ ข ร พ . ส ต . ท่ า ช้ า ง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ฉายา “หมอกอล์ฟ” เดิมเป็น เพียงหมออนามัยธรรมด๊า ธรรมดา ได้ไปเล่าเรียนต่อเป็น พยาบาลวิชาชีพ จบมาเจอมรสุมชีวิตอันหนักอื้งถึงกับคิด ทำ�ร้ายตนเอง บุญทำ�กรรมส่งให้ได้มาเจอ “กลุม่ ตกตัง้ ใหม่” จึงยังไม่ขี้เกียจหายใจ ทุกครั้งที่เจอพระอาจารย์และกลุ่ม เธอจะนั่งฟังเฉยไม่ซักไม่ถาม ได้แต่เก็บข้อมูล ก็ไม่รู้ว่าเธอ เก็บยังไง เวลาพระอาจารย์พูดแทงใจดำ� นํ้าตาไหลพราก ทุกที จึงเป็นที่มาของฉายา “เด็กโง่ตาแป๋ว”
ถิรญา สงวนพงศ์พันธุ์ (ฟ่าง) ฟ่าง บ้าบ้า คือชื่อที่เธอใช้บนเฟสบุ๊ค เด็กเมืองหลังเขา (เมืองลอง) อีกคนหนึ่งที่พกพาใบหน้าและสายตาจิกตีชาย หนุ่มให้เคลิ้มละเมอ อดีตสาวใช้ (ลูกสาวหล้า) ของครูนาย อีกคน เนื่องจากยังไม่ลืมกำ�พืด เอ๊ย นิสัยเดิม เธอจึงยังคง มาช่วยงานครูมิได้ขาด โดยเฉพาะถ้าหากงานมีชายหนุ่ม หน้าตาดี เธอจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ ปัจจุบันไปวาด ลวดลายเรียนปีสุดท้ายที่ ม. ราชภัฏลำ�ปาง คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย
สุชาดา โกกนท (โม่ง) “โม่ง” น้องสาวสุดทีร่ กั ของน้าตอน (นิสาข์์ ประเทศรัตน์) เธอ มีชอ่ื เล่นฟังดูประหลาดและไม่นา่ เชือ่ ว่าจะเป็นชือ่ เล่นของผูห้ ญิง รับราชการในตำ�แหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ได้ 23 ปีกบั อีก 6 เดือน ก็ลาออกไปทำ�งานที่ สปสช. เขต 2 พิษณุโลก ทำ�อยู่ ได้สองปี จึงได้พบพระอาจารย์ไพบูลย์ เมือ่ ก่อนเป็นคนทีแ่ อนตี้ พระอย่างแรง ถ้าไม่ใช่เพราะพีเ่ ขย (อ. ประสาท) ชาตินค้ี งไม่ได้ รู้จักตกตั้งใหม่ หลังจากคุยกับพระอาจารย์เกิดแรงบันดาลใจ ผสมลูกบ้า ลาออกจากงานอีกเพือ่ ค้นหาตัวเองยามแก่ ทำ�เอา เพือ่ นฝูง พีน่ อ้ ง ญาติมติ ร และเจ้านาย มึนงง สงสัย ลงความเห็น
ว่า “ไอ้นม่ี นั ท่าจะบ้า” ปัจจุบนั ผันตัวเองมาเป็นคนทำ�งาน NGO เต็มตัวได้สามปีเศษ “พระอาจารย์บอกว่า NGO อ่านว่า “โง่” ถ้าเป็นเมือ่ ก่อนใครพูด แบบนี้ บอกได้วา่ เดีย๋ วสวย ๆ แต่เดีย๋ วนีไ้ ม่ตกแล้วค่ะ เวลาได้ยนิ แบบนี้ ฮ่า ๆๆๆ”
รณชัย ศรีสมยา (แบงค์) แบงค์ บ่าววิศวะ มช. ชัน้ ปีท่ี 2 เจ้าตัวบ่นเรียนยากมาก ๆ เป็น อีกหนึง่ หน่อจากก๊วนลองวิทยา ลูกศิษย์หวั แก้วหัวแหวนของครู นาย และครูบญ ุ พร้อม ปกติเห็นขรึม ๆ แต่จริง ๆ ขอบคิดเล็ก คิดน้อย สาว ๆ ทักบอกว่าจะเงียบไปไหนเพ่ พูดบ้างอะไรบ้าง ก็ได้
ปิยะ โอษธีศ (เปิ้ล) เป็นคนกรุงเทพโดยกำ�เนิด จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรม ประกอบธุรกิจส่วนตัว สมรสแล้ว มีลูกเล็กที่น่ารัก อายุ 7 เดือน ชอบออกกำ�ลังกาย ชอบกินขนมปัง สนใจในเรื่องการ พัฒนาจิตใจ
ภาณุเดช วศินวรรธนะ (ออฟ) ออฟ เป็น developer อยู่ที่ opendream ผู้ชายที่เยอะ ไปซะทุกเรื่อง นอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบจะสนใจเรื่อง ทำ�อาหารเป็นพิเศษ ว่าง ๆ และไม่ว่างจะเล่นกีต้าร์และ แต่งเพลง ส่วนมากจะเพลงเศร้า ชอบเสพความเศร้าไม่รู้ ทำ�ไม (เลิกได้ดว้ ยการรีเซ็ต) จริงจังกับงาน คุยง่าย มีอารมณ์ ขัน เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา
นิสาข์ ประเทศรัตน์ (น้าตอน) หรือที่สมาชิกตกตั้งใหม่เรียกกันติดปากว่า “น้าตอน” เธอมี หลายฉายาด้วยกัน เช่น “อองซานซูตอน” เพราะผ้าถุงทีช่ อบ ใส่ และฉายาล่าสุดคือ “เมียผู้ว่าฯ” เนื่องด้วยเป็นภรรยาสุด ทีร่ กั ของ อ.ประสาท ประเทศรัตน์ เมือ่ ก่อนน้าตอนมีความโกรธ เป็นเจ้าเรือน กระทัง่ เมือ่ น้าสาทน้อมนำ�ความรู้ “รีเซ็ต” เข้ามาสูค่ รัว เรือน ความสงบร่มเย็นก็พอมีให้ได้สมั ผัสกัน น้าตอนเป็นปัจจัย อันสำ�คัญของกลุม่ มีนสิ ยั ตรงไปตรงมาเป็นทีพ่ ง่ึ พาได้ เธอจึงเป็น พีส่ าวใหญ่แหล่งรวมใจของอิสตรีกลุม่ รีเซ็ต
ชยันต์ ประเทศรัตน์ (ต๊กโต) “ ต๊กโต” เป็นชือ่ ของเด็กผูช้ ายคนหนึง่ ทีถ่ กู เลีย้ งดูมาอย่าง แตก ต่างกับเด็กในยุคปัจจุบันแบบคนละขั้ว ต๊กโตได้ผันชีวิตตัวเอง จากเด็กในระบบโรงเรียน เข้าสูร่ ะบบ “โรงเรียนชีวติ ” พร้อม กับเรียนรูภ้ าวะ”ตก” และภาวะ “ตัง้ ” ควบคูก่ นั ไปตัง้ แต่อายุ 9 ขวบ โรงเรียนชีวติ ของต๊กโตก็คอื วัด ทีท่ �ำ งานของพ่อ บ้านพี่ ๆ น้อง ๆ บ้านลูกศิษย์ของพ่อ ซึง่ ได้ถกู ฝากปลูกฝากสร้างกันมา เป็นทอด ๆ โดยผ่านพระอาจารย์เป็นผูใ้ ห้ค�ำ แนะนำ�และปรึกษา มาโดยตลอด
นฤมล รอดเนียม (มนต์) ดร.มนต์ อาจารย์สาวผู้มีนัยตาซึ้งซ่าน มองผู้อื่นในแง่ดี เสมอ และไม่ยอมรับมุข (ตลก) ของใครเพราะเรื่องราวทุก เรื่องราวจะถูกกลั่นกรองข้อมูลโดยความคิดอันมากมาย มหาศาล ที่ มี อ ยู่ ใ นรู ป ร่ า งเล็ ก ๆ ของเธอ วั น ดี คื น ดี “วาสนา” ก็ส่งเธอมาให้ได้รู้จักกับกลุ่มตกตั้งใหม่ เธอจึงเริ่ม รู้จักกับคำ�ว่า “ออกจากความคิด” และเริ่มเรียนรู้กับมัน อย่างจริงจังในที่สุดเธอก็เริ่มออกจาก “กับดักความคิดของ ตังเอง” ได้ทีละเล็กละน้อย ที่สำ�คัญเธอมีความตั้งมั่นที่จะ “รีเซ็ต” ตัวเองตลอด
อัญสุรีย์ ศิริโสภณ (อัญ) อัญ เป็นครูพยาบาลสาวสวย รวยเสน่ห์ เวลาพูดจาเธอมี ความมั่นใจ บุคคลิกโดดเด่นเป็นผู้นำ� จริงใจ อุดมการณ์สูง เธอเรียนมาทางจิตวิทยาการบำ�บัด แต่แล้วเมื่อมาเจอโจทย์ ใหญ่ของชีวิต จึงได้รู้ว่าความรู้ที่มีอยู่มากมายไม่อาจช่วย เธอได้ ต่อเมื่อเรียนรู้วิธีการ “ลบพยัญชนะ” จึงออกจาก เรื่องราวได้ กลายเป็นดอกไม้เหล็กที่ทำ�ให้ชายหนุ่มน้อย ใหญ่เหลียวมองคอแทบเคล็ด
พลวัฒน์ เภตรา (ป๊อก) ป๊อก หรือ พีป่ อ๊ ก หรือ ลุงป๊อก แล้วแต่วา่ ใครจะเรียก เป็นพ่อ ลูกสามและนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยไม่กค่ี น ทีย่ งั คงทำ�งาน หลักด้วยการเขียนโปรแกรมขณะที่คนอื่น ๆ ที่รุ่นราวคราว เดียวกันเปลีย่ นสายงานไปทำ�งานบริหารกันหมด ส่วนตัวป๊อก ชอบศึกษามนุษย์และกำ�ลังพยายามสร้างทีมของคนที่ทำ�งาน ต่างสายงานกันแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันที่เป็นคุณสมบัติท่ี หาได้ยากของเด็กไทยรุ่นใหม่ ป๊อกเคยพายเรือล่องแม่น้าํ ปิง และเจ้าพระยาจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ และขี่จักรยานจาก กรุงเทพฯ มาแล้ว และวางแผนจะวิง่ มาราธอนเร็ว ๆ นี้
หัทยา สงวนสิน (หนึ่ง) หนุม่ กรุงหน้าตาชาวทะเล สรวลเสเฮอา นิยมภาษาดนตรี ซนมาก ดือ้ มาก เดินทางไม่หย่อนจบสิน้ วันหนึ่งพบมิตรเเท้ พารู้จักผู้นำ�พาการเดินทางใน ตนเอง จึงเลิกไปไกล ไถลไปมาในตัวเองอย่างบันเทิงเริงใจ เคย คิดอยากกอบกูโ้ ลก เเต่เริ่มเข้าใจว่าเราเป็นเเค่ปัจจัยเพียงเล็ก น้อย จึงหันมาหมัน่ เข้าใจรูจ้ กั ตนเองมากขึน้ ปัจจุบนั ยังคงนับถือ ชืน่ ชมสไปเดอร์เเมน เเละเเบ๊ทเเมนอย่างเดิมเเม้จะรูว้ า่ เป็นเเค่ นิยายการ์ตนู ก็ตาม
ทิพยสุดา สุนันตา (หงษ์ฟ้า) “หงส์ ฟ้ า ” เป็ น นามที่ ติ ด ตั ว มาตั้ ง แต่ เ ธอเริ่ ม จำ � ความได้ ชีวิต ม.ต้น ม.ปลาย เรียบง่าย แทบไม่ได้ใช้ทั้งที่รู้จักตกและ ตั้งใหม่มาบ้างแล้ว กระทั้งเข้าสู่วัยสาว เธอนำ�ตกตั้งใหม่ มาใช้เป็นในวันที่ใจป่วยหนักอย่างที่สุด กระทั่งช่วงก่อนวัย แห่งการทำ�งานเธอพบว่าการ Reset ใช้ได้กับทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องราวจริง ๆ ตอนนี้ชีวิตจริงในการทำ�งาน ของเธอ ดราม่า กว่าละครหลังข่าวอีก หากไม่ฝึกก็ไม่มีกำ�ลังพอที่จะ ละทิ้ง หรือ Reset เรื่องราวได้
อัจฉรา แสนโสม (ครูคา) ครูคาแม่หญิงใจงามในใจของใครหลายคน....เป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์มาตั้งแต่พระอาจารย์มาอยู่ที่วัดจอมมณีเลย ทีเดียว นับได้ก็เกือบ ๆ ยี่สิบปี ส่วนบ้านและที่ทำ�งานก็ อยู่หน้าวัดพระอาจารย์นั่นแหละ ตลอดเวลาเกือบสี่สิบปี ที่หลายๆคนเห็นชีวิตครูคาว่าช่าง “น่าอิจฉา”เสียนี่กระไร เพราะหน้าที่การงาน ชีวิตครอบครัวที่พรั่งพร้อมดูดีไปหมด แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าครูคาละว่า “ในสิ่งที่พร้อมก็ยังมีสิ่งที่ ขาด” นั่นคือการตกไปสู่ความคิดอันหมกมุ่น ไม่สามารถ ออกจากความคิดได้ทำ�ให้ครูคาอยู่ในสภาพที่ “สุขกายแต่ ทุกข์ใจ” จนได้มาพบพระอาจารย์และได้เรียนรู้ถึงความ จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของเรา เรามาคนเดียวเราก็ ไปคนเดียวโดยอาศัยหลัก “การออกจากความคิด สู่ความ รู้สึกตัว”
สุกัญญา ใจทัน (นก) นก ชือ่ เล่นเธอ เธอเป็นนักคิด นักคำ�นวณคณิตศาสตร์ชน้ั สูง พอมีคำ�กล่าวคำ�ไข รีเซ็ต ทันทีเมื่อได้ยิน ในหัวของเธอจะ คำ�นวณเทียบเคียงอย่างรวดเร็ว สังเกตได้จากหน้าจอ เรติน่า ตากลอกไปมาอย่างรวดเร็วด้วยความไวเหนือแสง แต่ยงั โชคดีท่ี
ชีวติ เธอช่าง ประจวบเหมาะเพราะเรือ่ งราวชีวติ เธอมันหนักเสีย ยิ่งกว่า งูเหลือมเขมือบควายไปทั้งตัว เธอจำ�ต้อง ซึมซับคำ�ไข รีเซ็ตอยูต่ รงนัน้ ครัง้ แล้วครัง้ เล่า จนสารอาหารซึมเข้าสูก่ ระแสใจ เธอจึงร้องออกปากเธอว่า “ยูเรกา ๆ รีเซ็ต ๆ ”
สุวิชานนท์ รัตนภิมล เขาแสวงหาอุดมคติใหม่ สดกว่าคนหลังเดือนตุลา เขานำ�พาตัวรอดตายผ่านทะเลทรายชีวติ นักเขียนไส้แห้ง เขาเลิกล้มจะเป็นนักปรัชญามีผ้เู ชี่ยวชาญรองรับ ไปนับถือคน ป่าคนดอย เขาเล่นดนตรีตามใจอยาก ปล่อยให้ลงิ โลดโจนข้าม ทฤษฎีดนตรีทผ่ี คู้ นนับถือ เขามักจะสนใจคุยกับคนแปลก ๆ ข้าง ถนนหรือในป่าลึกหุบเขาดงดิบ นักคิด นักกบฏปรัชญา นักเขียน นักดนตรีผทู้ อ่ งไปแสวงหาแรงบันดาลใจ เขาชือ่ “นนท์นที” ผมเรียกเขาในใจ (เครดิต เทพกีตา้ ร์)
ดวงพรรณ สุกรินทร์ (แตน) “แตน” ผู้บริหารสาวผิวสีคาราเมลแห่ง SMG Co., LTD. นิสัยพับเพียบเรียบร้อยราวกับหลุดจากสมัยแม่พลอย ไม่วา่ เป็นหน้าที่การงานของเธอล้วนแต่ก้าวหน้ากว่าคนรุ่นราว คราวเดียวกัน แต่ช่างประหลาดที่เรื่องส่วนตัวกลับวิ่งไป ทิศทางตรงข้าม เมื่อพบเจอปัญหา เธอก็เหมือนกับใคร หลายคน ที่มองหาคำ�ตอบจากหนังสือพัฒนาตนประโลม โลกย์พวก เดอะซีเคร็ท กฎแห่งกระจก ฯลฯ เธออธิษฐาน เธอพยายามคิ ด เชิ ง บวก แต่ ก ลั บ ไม่ มี อ ะไรเลยที่ จ ะช่ ว ย เหลือเธอได้จนกระทั่งได้มาพบกับหัวหน้าเผ่ากบฎ Mano จึงพอได้วิชารีเซ็ตเอาไว้ประคองตน
นารีรัตน์ ปริสุทธิวุฒิพร (แมว) “อ.แมว” เป็นคนเรียบง่าย หน้าตาเฉย โกรธกับไม่โกรธ การ แสดงสีหน้าท่าทีเหมือนกัน แต่ลกึ ๆ ข้างในเป็นคนจิตใจงดงาม เวลามีเรือ่ งกังวลใจ มักจะเก็บไว้คนเดียว อย่าหวังว่า “อ.แมว” จะปลดปล่อยอะไรออกมาง่าย ๆ จนในครั้งหนึ่ง หน้าตา “อ.แมว” ดูเกร็ง ตึงไปหมด เพราะความคิดวนเวียนอยู่กับ ตนเอง จนกระทัง่ “อ.แมว” มาเจอ Reset นีแ่ หละ ทีท่ �ำ ให้ “อ.แมว” ปลดล๊อคตัวเองได้
จารุวรรณ สุภลาภ (ดาว) เภสัชกรหญิงผู้รักความยุติธรรม ผู้ซ่งึ มีความกระเง้ากระงอด แสนงอนอย่างที่ไม่มีใครเกิน จนหมอเจตน์ให้ฉายาว่า “จอม เยอะ” เธอมักจะใช้สายตาของเธอคุกคามผู้ท่เี ธอไม่เห็นด้วย จนทำ�ให้หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยอะไรออกมาเพราะเกรงว่า จะได้รบั อันตราย ว่ากันว่าสายตาแบบนีท้ �ำ ให้ผชู้ ายร้องไห้เสีย นํา้ ตามาแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเพราะความมีเสน่หแ์ บบโก๊ะ ๆ ของเธอทำ�ให้เธอได้รบั อีกฉายาหนึง่ ด้วยคือ “ตาเจ้าชู”้ ความฝัน อันสูงสุดของเธอก็คอื จะทำ�ให้อาจารย์เลิกสูบบุหรี่ โดยมีเงือ่ นไข แลกเปลีย่ นคือเธอจะต้องลดเส้นรอบเอวให้ได้อย่างน้อยครึง่ หนึง่
สุจิตรา ปรางค์ศรีทอง (พี่แดง) โดยนิสัยค่อนข้างเงียบ เก็บตัว พูดน้อย ชอบทำ�งานของ ตนเอง ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร เพิ่งมารู้จักธรรมะอย่างเข้าใจ เมื่อเข้ากลุ่มจีมานอมนี่เอง ทำ�ให้มองโลกอย่างเป็นจริง ขอบคุณสำ�หรับทุกๆสิง่ ทีผ่ า่ นมาทีต่ กตัง้ ใหม่ได้แชร์บา้ งบางครัง้ สรุปธรรมะใช้ได้กบั ทุกคน ตอนนีส้ ขุ ภาพดีขน้ึ ทานยาน้อยลง ไม่ต้องทุกข์เหมือนก่อน เพราะคิดว่าเป็นโรคได้ก็หายได้ เช่นกัน
นพ. เจตน์ วังแจ่ม “หยิ บ ใบกระเทื อ นถึ ง ราก” การเรี ย นรู้ ข องหมอหนุ่ ม ความดื้อรั้น คิดไวและคิดเก่งกว่าคนปกติ ด้วยเหตุปัจจัย นีเ้ องจึงเจ็บป่วย เพราะความคิด เกือบเรียนไม่ได้ เดชะบุญ ได้คำ�ถามนำ�พาชีวิต...กีตาร์ด้นสด ได้อย่างไร? ทำ�อย่างไร? จึงเป็นที่มาของการตามหาคำ�ตอบ อิมโพรไวส์ นั่นเป็นบท แรกของชีวิตนำ�พาตัวเองเดินทางออกจากพื้นที่อันคุ้นชิน เผชิญกับความไม่รู้ (เครดิต: เทพกีต้าร์)
ประสาท ประเทศรัตน์ ฉายา “เทพกีตา้ ร์ ปากกามาร” สุวชิ านนท์เรียกเขาว่านักกีตาร์ สายขบถ เพราะไม่ตดิ ข้องกับระบบการเรียนรูท้ ม่ี สิ เตอร์สมิทธ ต้อนให้เข้าคอก จึงเป็นผูท้ ่ี “รูเ้ รียน” โดยอาศัยเข็มทิศด้านใน นำ�ทาง และสัมผัสทีล่ ะเอียดของนักดนตรีผกู้ รำ�โลก กลายเป็น ลีลาเฉพาะตัวทีห่ าคนเลียนแบบได้ยาก สนทนากับคนได้หมด ทุกเพศทุกวัย ตัง้ แต่โพสต์ดอกเตอร์ยนั คนบ้า! สนใจเรือ่ ง “การ ฟัง” และ “การสนทนา” มากทีส่ ดุ ในโลก เคยเปรยว่ารูส้ กึ ตัวเอง เป็นหนุม่ ตลอดกาล
ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย จำ�ได้ว่าหลายปีก่อนชายหนุ่มคนหนึ่งได้หอบตำ�ราไปแพร่เพืิอ่ คุยกับอาจารย์ ท่าทางของชายคนนี้อัดแน่นไปด้วยภูมิร้แู ละ วางมาดนิด ๆ จนได้รบั สมญานามจากอาจารย์วา่ “นักบริกรรม ใหญ่” หลายคนไม่ค่อยอยากคุยด้วยหลังจากได้กินข้าวร้อน นอนระเบียงเป็นครั้งแรกในชีวิตทำ�ให้เกิดติดใจในการสนทนา ธรรมรูปแบบนี้จึงได้พยายามติดตามพระอาจารย์มาตลอดจะ พลาดก็นอ้ ยครัง้ . หลังจากไปแพร่บอ่ ยเข้า ๆ มาดทีเ่ คยมีกค็ อ่ ยหายไป ทีละนิด ๆ จากทีไ่ ม่เคยมีคนถามหาก็เริม่ ถามหาว่า “ศรชัยมา มัย้ ” “อ้าวทำ�ไมศรชัยไม่มา” ศรชัยมักเป็นขวัญใจของคนแก่คน เฒ่า โดยเฉพาะเด็ก ๆ พีศ่ รชัยจะใช้ “วิชานักการละคร” มาใช้ เล่นกับเด็กได้อย่าน่าทึง่ แต่กบั สาวๆเขาจะมีคณ ุ ลักษณะพิเศษที่ ทัง้ ดึงดูดให้เข้าหาและอยากไปให้พน้ ๆ ในเวลาเดียวกัน (เครดิต: นิสาข์ ประเทศรัตน์)
อัครชัย เผือกวัฒนะ (อรรถ) หมออรรถ นักศึกษาแพทย์หนุ่มที่มีความเคารพในวิชาชีพ แพทย์ อ ย่ า งเปี่ ย มล้ น เค้ า ใฝ่ ฝั น จะเป็ น หมอที่ ดี และมี ความสุขในการเป็นแพทย์ จึงใช้แนวทางรีเซ็ตในการบรรลุ
จุดหมายนั้น หากคำ�ว่านักศึกษาแพทย์ที่มีหัวใจเป็น มนุษย์ไม่รู้จะเอาไปเรียกขานใครละก็ จงอย่าลังเลที่ จะเรียกเขาว่าอย่างนั้น (เครดิต: หมอเจตน์)
ปรัชญา จินาวงค์ (ต้น) ต้น พี่ใหญ่ของกลุ่มต้นกล้ากัลยาณมิตรที่ ต้องจากบ้านไป สวมบทบาทน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยเมืองรถม้า ลำ�ปาง ในบรรดาศิษย์ยานุศิษย์วัยทีนทั้งหลาย เห็นจะมีแต่น้อง ต้ น นี่ เ องที่ มี ค วามโดดเด่ น ในแง่ ข องการสื บ ทอด DNA มาจากพระอาจารย์ ช นิ ด ที่ เรี ย กว่ า ไม่ ใ ห้ ห ายหกตกหล่ น ทั้ ง คำ � พู ด และลั ก ษณะการพู ด ที่ ยิ ง ตรงและแรง สาวเลย หน้าชากันไปเยอะ แต่ทุกวันนี้ปรับจังหวะได้นุ่มเนียนขึ้นจึง ทำ�ให้สถานภาพความโสดเริ่มสั่นคลอน
สารบัญ
ถูกยิงกลางห้องสอบ
35
นัฐพล กันทะสีคำ�
ตึกกระโดดใส่เด็กน้อย
41
รณชัย ศรีสมยา
เกมแพ้ใจไม่แพ้
47
อัครชัย เผือกวัฒนะ
มหาสมุทรแห่งความคิด
53
ทิพยสุดา สุนันตา
ก้มก็โอ๊ย เงยก็โอ๊ย
61
จารุวรรณ สุภลาภ
เกือบจะเหลือแต่ชื่อ
67
ปรัชญา จินาวงค์
โรคหัวใจสะออน
75
ปิยะ โอษธีศ
มีแต่คนใจร้าย
83
ถิรญา สงวนพงศ์พันธุ์
สุข เศร้า เหงา ที่ไม่ธรรมดา
89
สุจิตรา ปรางค์ศรีทอง
นึกว่าต้องจัดหนัก
95
นฤมล รอดเนียม
กรามล็อก
103
นารีรัตน์ ปริสุทธิวุฒิพร
ต้องเกิดเป็นแม่
111
สุชาดา โกกนท
ดื้อตาใส
119
สุกัญญา ใจทัน
ไม่ใช่ซิปโป้
127
ภาณุเดช วศินวรรธนะ
ไปหาโดราเอมอน
135
ดวงพรรณ สุกรินทร์
ตาสว่างกลางอุโมงค
143
อัญสุรีย์ ศิริโสภณ
เที่ยวไปในกาย
153
ป๊อก Opendream
รู้สึกตัวตลอด
159
ประพิมศรี หอมฉุย
รถชน
175
ชยันต์ ประเทศรัตน์
ในกองเพลิง
181
สุวิชานนท์ รัตนภิมล
นํ้าท่วมใจ
189
นิสาข์ ประเทศรัตน์
สุดสวิงริงโก้ หมอจิ๊กโก๋อยากโซโล่แจ๊ส
197
นพ. เจตน์ วังแจ่ม
ภารดี ภาราไดม์* ภารดรภาพ
209
หัทยา สงวนสิน
หายโง่
219
อัจฉรา แสนโสม
รีเซ็ต แล้วไง?
231
ศรขัย ฉัตรวิริยะชัย
ปาสาธิกสนทนา
241
ประสาท ประเทศรัตน์
35
ถูกยิงกลางห้องสอบ นัฐพล กันทะสีคำ�
...หลายคำ�ที่พระอาจารย์ท่านพูดมามันตรงกับที่ผมเป็น จริงๆ แต่ผมไม่เคยที่จะสังเกตมันเลยจนกระทั่งได้มาฟัง พระอาจารย์ท่านสอน คำ�ที่ผมจำ�ได้แม่นเลยคือ “ตกร้อยครั้ง ตั้งใหม่ร้อยหน” ครั้งแรกผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่า มันหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าอะไรที่มันตกแล้วอะไรที่ มันตั้ง และมีประโยคหนึ่งที่ว่า “ในโลกนี้ ไม่มีอะไรมากมาย มีแค่สองอย่างคือชอบกับชัง เรื่องที่ ไม่พอใจเราก็ ไม่ชอบ แต่พอเป็นเรื่องที่ทำ�ให้พอใจเราก็ชอบหลงใหล ไปกับเรื่องราว”...
ถูกยิงกลางห้องสอบ 37
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต……” เสียงดังมาจากสถานทีแ่ ห่งหนึง่ ขณะทีผ่ มเดินผ่าน ติดตามมาด้วยเสียงสวดมนต์ อันไพเราะ ชวนให้อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ใจหนึ่งคิดว่าเสียงนี้ต้องเป็นของรุ่นพี่ มัธยมปลายแน่ เลยไม่กล้าเข้าไป สถานที่นั้นรู้จักกันในชื่อ “วัดน้อย” หรือที่เรียก ว่า “ศาลาจริยธรรม” ของชาวลองวิทยา ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รู้จักกับกลุ่ม “ตกตั้ง ใหม่” ผ่านวัดน้อย หรือเรียกกันว่ากลุ่มเยาวชนต้นกล้ากัลยาณมิตร ตัวเองเคยได้ยิน ได้ฟังเกี่ยวกับการเข้าค่าย “พาน้องพบธรรม” มาบ้าง พาให้คิดเหมือนใครหลายคน ว่า ค่ายปฏิบัติธรรมเหรอ? มันจะเป็นแบบไหนนะ? พอขึ้น ม.4 ได้เข้ามาเรียนวิชาพระพุทธศาสนา กับ ครูนาย (เยาวลักษณ์ สุภาพ) แล้วด้วยการชักชวนบ่อยครั้งของ ครูนายนี่เอง ผมจึงได้มาเข้าค่ายพาน้องพบธรรมที่เคยได้ยินชื่อมานาน ครั้งแรกที่ผมมานั่งฟังพระอาจารย์พูด รู้สึกอึดอัด เวลาพระอาจารย์ท่านพูดมาหนึ่งประโยค ใจผมมันคิดตอบแบบต่อต้านทันทีที่ได้ยิน ชนิดที่ว่าได้ยินเสียงปุ๊บใจผมสวนกลับปั๊บเลยทีเดียว พอเข้าค่ายบ่อยครั้งเข้า (จน เดี๋ยวนี้ไม่รู้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไร) ผมกลับได้อะไรมากมายกว่าที่เคยคิด หลาย ถ้อยคำ�ที่พระอาจารย์ท่านพูดมามันตรงกับที่ผมเป็นจริง ๆ แต่ผมไม่เคยที่จะสังเกต มันเลย จนกระทัง่ ได้มาฟังพระอาจารย์ทา่ นสอน คำ�ทีผ่ มจำ�ได้แม่นเลยคือ “ตกร้อยครัง้ ตั้งใหม่ร้อยหน” ครั้งแรกผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่ามันหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า
38
นัฐพล กันทะสีคำ�
อะไรที่มันตกแล้วอะไรที่มันตั้ง และมีประโยคหนึ่งที่โดนใจผมมากคือ “ในโลกนี้ไม่มีอะไรมากมายมีแค่สองอย่างคือชอบกับชัง เรื่องที่ไม่พอใจ เราก็ไม่ชอบ แต่พอเป็นเรื่องที่ทำ�ให้พอใจเราก็ชอบหลงใหลไปกับเรื่องราว” ตั้งแต่ที่ได้เข้าค่ายพาน้องพบธรรม ผมนำ�คำ�ที่พระอาจารย์ท่านสอนมาปฏิบัติ เสมอ ถึงบางครั้งจะละเลย จนเกือบต่อไม่ติดก็ตาม แต่โชคยังดีที่มีกัลยาณมิตร หลายท่านให้ผมได้อาศัยพูดคุยทำ�ให้เข้าใจอะไรมากมาย หลายเรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ กับตัว ผมเอง แต่อาจเพราะความอ่อนซ้อม เมื่อเทศกาลแห่งการสอบมาถึง ผมจึงได้เจอ โจทย์สำ�คัญที่ทำ�ให้ผมตกกระจุย เรื่องมีอยู่ว่าในการสอบวิชาสุดท้ายของการสอบกลางภาค ในขณะที่กำ�ลังทำ� ข้อสอบผมมัวแต่คิดกังวลมากมายจนเกือบลืมไปเลยว่ากำ�ลังทำ�ข้อสอบอยู่ ผมมาค้น พบว่าขณะที่อ่านข้อสอบอยู่นั้นใจมันจดจ่ออยู่กับพยัญชนะที่เรียงรายเป็นประโยค แต่พอสายตาหลุดออกมาจากพยัญชนะเหล่านั้นเพียงไม่ถึงเศษเสี้ยวของวินาที มันมี เรื่องราววิ่งวุ่นเข้ามาอย่างมากมายโดยไม่ทันได้สังเกตมันเลย แต่พอได้รู้สึกตัว ผมก็กลับมารู้สึกที่มือข้างที่ถือดินสอ เหมือนอย่างที่เคยได้ ฝึกมา ทำ�อย่างที่อาจารย์ท่านได้ติดตั้งโปรแกรมให้ คือรู้สึกตัวในส่วนที่ชัดเจนที่สุด พอกลับมาที่กายเท่านั้น ความคิดที่มีต่างๆ นานากลับหายไปหมดเหลือแต่เพียง ความรู้สึกของมือข้างขวาที่ถือดินสอ แต่ไม่นานเท่าไร ความคิดเดิมกลับมาอีกครั้ง เป็นแบบนี้อยู่นาน เหมือนการชักเย่อ แต่เป็นการชักเย่อใจที่ตกไปให้กลับมารู้สึกที่ ฐานกาย ผมทำ�แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเกือบหมดเวลาทำ�ข้อสอบ แต่ยิ่งเวลาใกล้หมด คนเริ่มออกจากห้องสอบมากเท่าใด ใจมันอยู่ไม่ติดแล้วมันตามคนอื่นออกห้องสอบ ไปแล้ว ทีนี้ผมไม่รู้จะทำ�อย่างไร จึงนั่งสั่นขาโดยรู้สึกที่ขาไปด้วย แล้วเริ่มทำ�ข้อสอบ ใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเสร็จ เฝ้าพยายามหาคำ�ตอบอยู่เรื่อยมาว่าทำ�ไมถึงเป็นแบบนั้น ทำ�ไมช่วงเวลา
ถูกยิงกลางห้องสอบ 39
จดจ่ออยู่กับพยัญชนะเหล่านั้นถึงไม่มีเรื่องราวเข้ามาเหมือนกับตอนที่สายตาหลุดพ้น จากพยัญชนะเหล่านั้นไปแล้ว และเรื่องราวแต่ละเรื่องที่เข้ามาขณะเวลานั้นมันไม่ได้ ทำ�ให้ใจของเราดีขึ้นหรือพอใจแม้แต่น้อย มีแต่คิดว่าข้อสอบที่ทำ�ไปมันจะถูกไหม? แล้วจะสอบผ่านไหม? จะสู้คนอื่นเขาได้ไหม? พอออกจากห้องสอบมา ยังคาใจ สงสัยมากว่าทำ�ไมพอสายตาหลุดออกจาก พยัญชนะแล้วเรื่องราววิ่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จึงได้ถามพี่ศรชัย ผ่าน facebook ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็ได้รับคำ�ตอบมาว่า “เมื่อเราโดนยิงเราจะรีบไปหาหมอก่อน หรือว่าจะหาคนยิงก่อน” ผมจึงคิดตอบในใจว่าเราก็ต้องไปหาหมอก่อนสิ จะมัวมา หาคนยิงก่อนทำ�ไม ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าพี่ศรชัยหมายถึงอะไรแต่อีกสักพักความ เข้าใจมันก็มาเอง พี่ศรชัยยังบอกอีกว่า “ถ้ามัวแต่หาคนยิง หาที่มาของกระสุนปืน ว่าถูกยิงมาจากทางไหนก็ตายก่อนพอดี ดังนัน้ จึงไม่ตอ้ งไปสาวหาเหตุวา่ อะไรทำ�ให้เรา ฟุง้ ” ถึงผมจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พอรู้ความหมายของคำ�ว่า “ไม่ต้องไปสาว หาเหตุว่าอะไรทำ�ให้เราฟุ้ง” เพราะยิ่งวิ่งหาเหตุ ผมก็ไม่ได้รีเซ็ตใจของผมเองเลย ยิ่ง ผมวิ่งหาคนยิงปืนหรือที่มาของกระสุนปืนมากเท่าไรใจผมเองที่เสียหายมากเท่านั้น และถ้าถามผมว่าได้อะไรจากการฝึก “รีเซ็ต” ผมก็จะบอกว่า “ผมได้รู้สึกตัวว่าผมทำ� อะไรอยู่ ในขณะที่หลาย ๆ คนไม่ได้รู้สึกตัวเหมือนผม”
41
รณชัย ศรีสมยา
...มีอยู่วันหนึ่งจวนเจียนใกล้วันสอบเต็มที จำ�ได้ว่ากำ�ลัง นั่งอ่านหนังสืออยู่ ในห้อง แต่เนื่องจากยังเหลือหนังสือที่ จะต้องอ่านอีกเยอะมาก ขณะที่อ่านไปผมก็เกิด ความรู้สึกเครียด กลัวจะอ่านหนังสือไม่ทันจู่ ๆ มันเกิดความคิดแว่บขึ้นมาว่า “อยากโดดตึก…ไม่อยาก อ่านหนังสืออีกต่อไปแล้วมันน่าเบื่อ”...
ตึกกระโดดใส่เด็กน้อย 43
การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างจากมัธยมมากเพราะเราต้องมีความ ขยันหมั่นเพียรมีความรับผิดชอบมีความอดทนมากพอสมควร ต้องทำ�ตัวให้เป็น ผู้ใหญ่ท่สี ามารถดูแลตัวเอง และเอาตัวเองให้รอดกับสภาพแวดล้อมใหม่ท่ีจะพบเจอ จะต้องอยู่กับเพื่อน ๆ และไม่มีพ่อแม่ญาติพ่ีน้องมาคอยชี้แนะอย่างที่เคยเป็นมา การตัดสินใจทำ�อะไรก็ต้องทำ�ด้วยตนเอง เมื่อเข้ามาใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาเรื่องที่ยาก คือการปรับตัวรับกับสถานการณ์และเรื่องวุ่นวายมากมายที่เข้ามารุมเร้าอยู่ตลอด เวลา ช่วงต้นเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยเริ่มทำ�การสอบกลางภาคและ ก่อนหน้านี้เป็นเทศกาลอ่านหนังสือสอบ โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือสัก เท่าไร ผมได้เห็นเพื่อน ๆ หลายคนเขาตั้งใจอ่านหนังสือกัน ส่วนตัวเองมัวแต่หาเรื่อง เถลไถลไปวัน ๆ ผมรู้สึกอึดอัดที่จะต้องมานั่งอ่านหนังสือ มันเครียดและไม่อยาก ทำ�อะไรเลย บางครั้งก็พาตัวเองมานั่งที่ระเบียงหน้าห้องคิดอะไรไปเรื่อยแต่ไม่ถึงกับ ปล่อยใจจนเหม่อลอย ยังได้สังเกตใจไปกับความคิดที่ผ่านเข้ามา พอได้รู้ว่าคิดอะไร ไปบ้าง มีอยู่ความคิดหนึ่งที่ทำ�ให้ผมเกิดฉุกใจได้เพราะได้คิดไปถึงทางบ้านว่า “แม่จะรู้หรือไม่ถ้าผมไม่ตั้งใจเรียน ไม่ตั้งใจอ่านหนังสือ ถ้าแม่รู้เข้าแม่จะ รู้สึกอย่างไร” ความคิดนี้ทำ�ให้รู้ว่าต้องรีบพาตัวเองออกจากอารมณ์นั้นให้ได้ ผมทำ�ความ
44 รณชัย ศรีสมยา
รู้สึกตัว แล้วความคิดมันก็เริ่มเลือนลางหายไปทีละนิด ผ่านมาอีกสักครู่ก็มีกำ�ลังใจ ที่จะอ่านหนังสือและต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาบั่นทอน จึงได้ลุกไปหยิบหนังสือขึ้นมา อ่าน แต่เมื่ออ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้ามันไม่เข้าหัวเลยเพราะมีความคิดเรื่องราวต่างๆ นานาเข้ามาแทรก มันทำ�ให้ผมคิดและติดตามมันไป ยิ่งอ่านไม่เข้าใจก็ยิ่งเครียด เครียดจัดจนถึงขนาดอยากจะเอาหนังสือปาใส่ฝาผนัง “ไม่อ่านมันแล้วโว้ย!” แต่ในขณะที่ผมกำ�ลังยกหนังสือขึ้น ผมกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของแขนที่ กำ�ลังยกหนังสือขึ้นอย่างชัดเจน ผมจึงวางหนังสือลงนึกว่าจะพักสักครู่แล้วจึงเดินไป ล้างหน้าล้างตาในห้องนํ้า ขณะที่ล้างหน้าก็ทำ�ความรู้สึกตัวไปด้วย มันทำ�ให้ผมสดชื่น ขึ้นมาและกลับไปอ่านหนังสือต่อได้ มีอยู่วันหนึ่งจวนเจียนใกล้วันสอบเต็มที จำ�ได้ว่าตัวเองกำ�ลังนั่งอ่านหนังสือ อยู่ในห้อง แต่เนื่องจากยังเหลือหนังสือที่จะต้องอ่านอีกเยอะมาก ขณะที่อ่านไปก็ เกิดความรู้สึกเครียด กลัวจะอ่านหนังสือไม่ทัน จู่ ๆ มันเกิดความคิดแว่บขึ้นมาว่า “อยากโดดตึก…ไม่อยากอ่านหนังสืออีกต่อไปแล้วมันน่าเบื่อ” แล้วเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างมาครอบงำ�จิตใจ ผมจึงค่อยๆ เดินออกไป ที่ระเบียงอย่างช้า ๆ เหมือนคนเหม่อลอยไร้หัวจิตหัวใจ ครั้นพอถึงระเบียงก็ทอด สายตามองไปยังพื้นดินเบื้องล่าง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด แต่จู่ ๆ … ผมก็ รู้สึกตัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าหรอกความรู้สึกนี้มาจากไหน หรือมาได้อย่างไร รู้แต่ว่ามันทำ�ให้ ผมเกิดความกลัวตายขึ้นมาอย่างแรง (ตลกตัวเองเหมือนกันอยากตายแล้วก็กลัว ตาย) ช่วงนั้นหลงเข้าใจไปจริง ๆ ว่าปัญหาทุกอย่างคงหมดไปถ้าเราได้โดดลงไป ซึ่ง ในความเป็นจริงมันไม่ใช่! นัน่ เป็นการหนีปญ ั หามันไม่ใช่ทางแก้ปญ ั หา พอเห็นอย่างนัน้ ก็ กลับมาทำ�ความรู้สึกตัวให้ชัดเจนมากที่สุด ในใจนึกไปว่าถ้าไม่มี “ตกตั้งใหม่” ป่านนี้
ตึกกระโดดใส่เด็กน้อย 45
คงตายไปแล้ว แล้วจึงได้รวบรวมจิตใจพาตัวเองกลับเข้ามาในห้อง แข็งใจอ่านหนังสือ สอบต่อไป ต่อมาเมื่อถึงเวลาประกาศผลคะแนนสอบกลางภาค คะแนนออกมาไม่เป็นที่ น่าพอใจเลย พอรู้ผลแล้วผมรู้สึกซึม ๆ ยังไงไม่รู้มันบอกไม่ถูก บังเอิญมีเพื่อนคนหนึ่ง มาทักผมว่า “อย่าคิดมากเราต้องสู้ต่อไปดิ Fight” พร้อมกับตบไหล่ผมเบา ๆ ผมก็ รู้สึกตัวขึ้นมาในทันทีทำ�ให้ผมรู้ว่าตกไปแล้วและควรจะตั้งใหม่ผมได้ตั้งสติกำ�หนดรู้ กับการกระทำ�ของผม นั่นก็คือทำ�ความรู้สึกตัวตั้งสติกำ�หนดรู้ว่าทำ�อะไรอยู่สักพักผม ก็เริ่มดีขึ้นความรู้สึกอย่างนั้นค่อย ๆ หายไป ผมได้เรียนรู้บทเรียนสำ� คัญว่าเมื่อ เราไม่จมอยู่ในความคิดกับเรื่องราว ที่ผ่านมาเราก็จะมีกำ�ลังใจที่จะสู้ต่อไป ทุกปัญหามีทางออกเสมออย่าเพิ่งวิ่งหนี ปัญหาต้องต่อสู้กับมันด้วยความมีสติ และทางออกของปัญหาก็ไม่ยากเกินไป ทุกเรื่องราวที่มีอิทธิพลต่อใจผม ผมก็ออกจากอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยวิธีการกำ�หนดรู้ ว่าทำ�อะไรอยู่ และความรู้สึกต่ออารมณ์นั้นมันจะหายไป แต่ในบางครั้งผมก็ไม่สามารถออกจากอารมณ์นั้นได้ผมก็จะหากิจกรรมอะไร สักอย่างทำ� เพราะในขณะที่ทำ�ผมจะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นก็ทำ�ให้ไม่ไปคิดหรือกังวลใน เรื่องราวที่ไม่พอใจ เมื่อไม่ได้คิดจมจ่อมอยู่กับเรื่องที่ไม่พอใจก็จะทำ�ให้รู้สึกดีและไม่ กังวลกับเรื่องต่าง ๆ และนี่คือ “ตกตั้งใหม่” ที่ผมรู้จัก
47
อัครชัย เผือกวัฒนะ (อรรถ)
...เพราะช่วงนั้นผมต้องไปตรวจคนไข้ตั้งแต่เช้าตรู่ ไหนยังต้องต่อสู้กับบรรยากาศรอบข้างที่มีแต่คน อ่านโพย อ่านสรุปของรุ่นพี่ และที่สำ�คัญที่สุดคือ ต้องต่อสู้กับความคิดของตนเอง เพื่อที่จะเดินบนเส้นทางของตัวเอง...
เกมแพ้ใจไม่แพ้ 49
“Do not go where the path may lead; go instead where there is no path and leave a trail” Ralph Waldo Emerson
จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองคลื่นไส้อยากอาเจียน ปวดหัว ปวดต้นคอ เปล่าเลย ผมไม่ได้เจ็บป่วยอะไร เพียงรับรู้ได้ว่าตัวเองกำ�ลังเครียดมาก แม้ว่าจะคอยบอกกับ ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ต้องเครียด ไม่ต้องลนลาน ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป สาเหตุ ของความเครียดน่ะหรือ ก็เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสอบ! สิ่งที่ผมทำ�มาตลอดช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาก็คือ การตั้งใจที่จะเป็น แพทย์ที่ดี แพทย์ที่ดูแลคนไข้ ดูแลความเป็นคน ดังนั้นจึงตั้งใจเรียน ตั้งใจตรวจคนไข้ ให้มากที่สุด วันหนึ่งมีคนมาพูดกับผมว่าหมอที่ดี คือหมอที่มี “ความรู้” ผมก็เฝ้าถาม ตั วเองตลอดมาว่ า ความรู้ที่ว่านั่นคืออะไร? แต่มาจนวันนี้ผ มก็ยังไม่ได้คำ�ตอบที่ แน่ชัดสักเท่าใดนัก สำ�หรับผม “ความรู้” ก็คือ การตรวจคนไข้ การดูแลคนไข้ และ การหาความรู้เพิ่มเติมจากตำ�ราแล้วนำ�มาใช้กับคนไข้ ความรู้ไม่ใช่สิ่งที่อยู๋ในตำ�รา
50 อัครชัย เผือกวัฒนะ (อรรถ)
แต่เพียงอย่างเดียว สามปีในชั้นพรีคลินิกทำ�ให้ผมรู้ได้ว่า การเรียนหนังสือแบบท่อง เพื่อจำ�-จำ�เพื่อสอบ-สอบผ่านเพื่อ “ลืม” มันไม่ใช่การเรียนรู้ที่ถูกต้องเลย ดังนั้นเมื่อขึ้นปีที่สี่ผมจึงเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด โดยตั้งใจอ่านหนังสือทั้งภาษา ไทยและภาษาอังกฤษ ตรวจคนไข้ให้มาก เพิ่มพูนทักษะที่ไม่มีในหนังสือ ฯลฯ และ ที่สำ�คัญ ผมไม่ให้ความสำ�คัญกับคะแนนสอบอีกต่อไป ดังนั้นผมจึงบอกกับตัวเองว่า จะไม่อ่านโพยข้อสอบไปอย่างเด็ดขาด (เพราะโพยข้อสอบของคณะแพทย์นั้นมันไม่ ได้ต่างจากข้อสอบจริงเลย เรียกได้ว่าอ่านบรรทัดแรกจบหลับตากากบาทได้เลย) แต่ ด้วยความกลัวและด้วยความเป็นคนธรรมดา ๆ หรือจะด้วยอะไรก็ช่าง ครึ่งปีแรก ในบางครั้งผมยังคงต้องแอบอ่านโพยข้อสอบเหมือนนักเรียนแพทย์ทั่ว ๆ ไป แต่หกเดือนที่ผ่านมา ผมได้ลองพิสูจน์กับตัวเองจนแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างมัน อยู่ในหนังสือ และสิ่งที่อยู่ในหนังสือมีคำ�อธิบาย มีความหมาย มีเหตุผลมากกว่า การอ่านสรุปหรือการอ่านโพยข้อสอบ แล้วเอาตัวรอดไปแต่ละครั้ง สำ�หรับผม การอ่านหนังสือผนวกการสนทนาไต่ถามกับอาจารย์ที่มีประสบการณ์จึงจะเรียก ว่าเป็น ความรู้ที่แท้จริง ผมจึงตัดสินใจว่าจะไม่อ่านโพยอีกต่อไป และจะเร่งอ่าน หนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ต่อจากนี้ หกเดือน! กับการลบความกลัวออกจาก ความคิดและเริ่มสร้างความกล้า จะว่าไปความกลัวของผมมันก็มีที่มา เพราะกฏของ คณะแพทย์ ถ้าสอบไม่ผา่ นในวิชาใดวิชาหนึง่ นัน่ หมายถึงต้องเรียนซา้ํ อีกหนึง่ ปี การบ่ม เพาะนิสัยใหม่ของผมได้ผลดีมาตลอด และสร้างความมั่นใจให้ตัวเองเรื่อย ๆ แต่แล้วเมื่อตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนเวลาสอบหนึ่งสัปดาห์ ผมต้องกลับมาต่อสู้ กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะวิชา “ศัลยกรรม” ที่ผมกำ�ลังจะสอบ ขึ้นชื่อว่าเป็นวิชาที่ยากและข้อสอบตรงโพยมากที่สุด ในปีที่แล้ว ผมอ่านโพยไปสอบ ครั้งนี้ผมตัดสินใจที่จะไม่อ่านโพยข้อสอบไปอย่างที่ตั้งปณิธาน เอาไว้ แต่ต้องเผชิญกับ การอ่านหนังสือที่หนักมาก และอ่านได้เพียงครึ่งเดียวของ
เกมแพ้ใจไม่แพ้ 51
ที่ตั้งใจไว้ เหตุเพราะช่วงนั้นผมต้องไปตรวจคนไข้ตั้งแต่เช้าตรู่ ไหนยังต้องต่อสู้กับ บรรยากาศรอบข้างที่มีแต่คนอ่านโพย อ่านสรุปของรุ่นพี่ และที่สำ�คัญที่สุดคือต้อง ต่อสู้กับความคิดของตนเอง เพื่อที่จะเดินบนเส้นทางของตัวเอง หนึ่งสัปดาห์ที่เรียก ได้ว่าทรมานมาก กับกิเลสสิ่งยั่วยุ และความกลัวต่าง ๆ และเมื่อถึงเวลาสอบ ผม จึงไปสอบด้วยความรู้เพียงเท่านั้น เป็นความรู้ทั้งหมดที่มี ความรู้ที่ได้จากคนไข้และ หนังสือบางส่วน โดยที่ไม่ได้อ่านโพยไปแม้แต่ตัวเดียว ผมยังจำ�ได้ ช่วงเวลาระหว่างรอเข้าห้องสอบ ใจมันเต้นแรงไปหมด มือเย็น เหงื่อออกเต็มมือ จะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม ผมยังสามารถดึงสติของตัวเอง กลับมาได้ตลอดแม้ว่าบางครั้งมันจะตกไปนานหรือตกไปแค่วูบเดียว ผมไม่รู้ว่าจิต ตกไปกี่รอบ และตั้งจิตได้กี่รอบ แต่มันนานมาก เป็นการตก ๆ ตั้ง ๆ ที่จำ�นวนครั้งน่า จะมากที่สุดเท่าที่ผมเคยปฏิบัติมาในชีวิต ผมพยายามดึงสติตัวเองให้กลับมาตลอด ด้วยทุกส่วนของร่างกายที่รู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นมือ ฝ่าเท้า ลมหายใจ จังหวะการเต้น ของหัวใจ ฯลฯ จนสุดท้าย ก็เข้าห้องสอบไป และทำ�ข้อสอบด้วยความรู้ทั้งหมดที่มี ทั้งสองวันของการสอบสำ�หรับผมเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก หลังจากสอบเสร็จผมรู้ตัวว่าต้องมาสอบซ่อมแน่ ๆ ไม่ต่างจากเพื่อน ๆ อีก หลายคน (ตกกันเยอะมาก) แต่แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกเศร้าเสียใจแม้แต่น้อย ไม่มีคำ� ว่าค้างคากับข้อที่ทำ� ไม่ได้ ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ถ้าต้องไปสอบซ่อม มีแต่ความโล่ง ใจ สบายใจ ภูมิใจ เรียกได้วา่ เต็มใจทีจ่ ะสอบตก และทีส่ �ำ คัญ ช่วงเวลาทีผ่ มต้องต่อสู้ กับความคิดของตัวเอง มันช่างเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุด ผมรู้ ผมเคยได้ยิน ประโยคที่ ว่า ชนะอื่นใด ไม่เท่าชนะใจตัวเอง หลาย ๆ ครั้งที่คิดว่าชนะใจตัวเองได้ แต่ไม่เหมือน ครัง้ นีเ้ ลย ไม่ใกล้เคียงเลย มันเป็นอย่างนีน้ เ่ี อง การชนะใจตัวเอง ชนะได้กด็ ว้ ยการตัง้ สติ ระลึกได้ ออกจากความคิด อยู่กับความรู้สึก
53
มหาสมุทรแห่งความคิด ทิพยสุดา สุนันตา (หงษ์ฟ้า)
...เอาแล้วไง! หลังจากตกไปสู่มหาสมุทรแห่งความคิด จมไปเลย เครียดหนัก นอนไม่หลับ ปวดหัว ไม่ยอมออกจากเรื่องราว กลัวตัดสินใจไม่ได้ จะปรึกษาใครที่ ไหนก็ ไม่ได้...
มหาสมุทรแห่งความคิด 55
ตกตัง้ ใหม่ เหมือนเป็นคำ�ง่าย ๆ และใคร ๆ ก็ท�ำ ได้หากรูว้ ธิ ี ยิง่ ทำ�ได้ท�ำ เป็น ผลคือใจโล่งเบาสบาย แต่อย่าได้ประมาทเลยเชียว เพราะในชีวิตประจำ�วันเราอาจ จะต้องพบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำ�ให้เราตกได้อย่างน่ากลัว หลายคนอาจเห็นว่า บางเรื่องเป็นเรื่องเล็ก ไม่สำ�คัญพอที่จะนำ�มาใช้ เอาไว้ค่อยดึงมาใช้ตอนเจอเรื่องหนัก หนาสาหัสตอนสู้ไม่ไหวจริง ๆ ถ้าใครคิดแบบนี้ บอกได้คำ�เดียวว่า “คิดผิด” เพราะ เมื่อเรื่องหนักมาเยือน เรื่องราวเล็กน้อยที่หมักหมมเอาไว้มันมาผสมปนเปจนยุ่งไป หมด ซํ้าร้ายกว่านั้น เราเองนั่นแหละจะไม่ยอมออกจากมัน แม้จะรู้ตัวว่าตกไปแล้ว ตรงนี้หากใครก็ตามที่ไม่ฝึกฐานมาให้เข้มแข็งมั่นคงพอ คงทำ�ได้แค่ “เปลี่ยนอารมณ์” ไปเรื่อย ๆ หรือหลอกตัวเองว่าไม่คิดอะไร สุดท้ายจะเป็นบ้าเอา ฉันประสบพบเจอมาด้วยตัวเองสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่นานมานี้หลังจาก เรียนจบใหม่ ๆ ... ด้วยความประมาท ทำ�ให้ตกไปสู่เรื่องราวเนิ่นนาน ดีที่ยังออกมาได้ เกือบจม ทะเลพยัญชนะตายเสียแล้ว รูว้ า่ ตกแต่ไม่ยอมตัง้ ใหม่ ไม่ยอมรีเซ็ตใจ จากกระทบเบา ๆ อาการก็หนักหนามากขึ้น เครียดจัด นอนไม่ได้ หลับไม่ลง คิดอยู่นั่นแล้ว คิดจน ปวดหัว ไม่รู้ต้องทำ�อย่างไรกับเหตุการณ์ที่อยู่ต่อหน้า ไม่รู้ว่าต้องเลือกทำ�สิ่งไหนจึง จะดีกว่ากัน เพราะที่ผ่านมาฉันมักจะหยิบยกเรื่องตกตั้งใหม่ หรือการรีเซ็ตมาใช้ใน เรื่องของความผิดหวังจากความรัก หรือเรื่องเรียนที่คาดหวังสูงแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่
56 ทิพยสุดา สุนันตา
หวัง ทำ�ให้มองข้ามเรื่องในการดำ�เนินชีวิตที่ต้องพบเจอ และนำ�มาใช้ไม่เป็นจึงทำ�ให้ ไม่ยอมตั้งใหม่เมื่อตกไปกับความนึกคิด เนื่องด้วยจบมาใหม่ แรก ๆ ก็เครียดเรื่อง หางานทำ�ไม่ได้ เกิดความกังวล แต่โชคดีหน่อย ออกจากเรื่องราว บางเวลาจม และ เปลี่ยนอารมณ์จนลืมเรื่องเครียด ๆ นี้ไป แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่างน่าหนักใจมาก คือมีผลประกาศสอบออกมาว่า ได้ที่ทำ�งานแล้ว ณ เทศบาลแห่งหนึ่ง ในตำ�แหน่งอัตราจ้าง ซึ่งเข้างานใหม่ เงินเดือน ไม่สูงนัก แต่ที่ทำ�งานใกล้บ้านมาก ๆ ประมาณห้าร้อยเมตรได้ เริ่มงานต้นเดือน กรกฎาคมนี้ ซึ่งฉันก็ยังไม่ได้รับปากอะไรไป แต่ก็เตรียมความพร้อมบ้างแล้ว ต่อมา ไม่นานถัดจากทราบผลที่นี่ได้สองสามวัน ก็มีโรงเรียนเอกชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ติดต่อให้ไปเป็นครูสอนเด็กในระดับประถมวัย ซึ่งมีที่พักให้ และ เงินรายเดือนในอัตราที่สูงกว่าที่เทศบาลตำ�บลที่บ้านกว่าเท่าตัว ทางโรงเรียนให้เวลา ตัดสินใจสองถึงสามวัน หากตกลง ก็สามารถเริ่มงานต้นเดือนกรกฎาคมเช่นกัน เมื่อมีสองสิ่งให้เลือก ฉันเชื่อว่าต้องคิดใตร่ตรองให้ดี ทั้งที่ฉันรู้แล้วว่าตัวเอง จมไปกับความคิด แต่ฉันไม่ยอมออกมา เพราะเชื่อว่าหากไม่คิดให้รอบคอบ อาจ ทำ�ให้พลาดสิ่งดี ๆ หลายสิ่งไป ช่วงนั้นฉันกลับไปมองว่าการออกจากความคิดคือ การหนีปัญหา เอาแล้วไง! หลังจากตกไปสู่มหาสมุทรแห่งความคิด จมไปเลย เครียด หนัก นอนไม่หลับ ปวดหัว ไม่ยอมออกจากเรื่องราว กลัวตัดสินใจไม่ได้ จะปรึกษา ใครที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะที่บ้านเขากดดันมาก ตีกรอบให้เราเลย ต้องอยู่ที่บ้านนี่แหละ จะไปที่อื่นทำ�ไม?? เมื่อเครียดหนัก ความคิดเริ่มฟุ้งซ่าน มีปากมีเสียงทะเลาะกับ คุณแม่และคุณตาอย่างหนัก เริ่มมีอคติต่อต้าน ตัดสินใจแล้วจะไปเชียงใหม่แน่นอน ไม่สนใจใคร แต่ก็ยังจมอยู่กับความคิด เมื่อได้อยู่คนเดียวในตอนกลางคืน คิดมันอยู่ นั่นแล้ว เอายังไงดี ที่ไหนดี จะไปก็ห่วงตาห่วงแม่ จะอยู่ก็อึดอัด ไปไม่เป็นเลยทีนี้ จะ พูดจะปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพราะชีวิตเรา เราก็ต้องเลือกเอง เริ่มเพ้อเจ้อแล้ว ร้องไห้ เลย ปวดหัวจนไม่ไหว ทั้งที่รู้มาตลอดว่าจมอยู่ที่ก้นบึ้งของทะเลพยัญชนะ แต่ไม่ยอม
มหาสมุทรแห่งความคิด 57
ดึงตัวเองขึ้นมา สุดท้ายแทบประสาทกินถึงกับต้องกินยาที่ทำ�ให้ง่วง ๆ จะได้นอน หลับ แต่ก็นอนไม่หลับอีก ในตอนเช้าของอีกวัน สภาพร่างกายไม่ไหวหน้าตาดำ�คลํ้าดูแย่มาก ถึงวัน ต้องให้คำ�ตอบแต่ก็ยังไม่มีคำ�ตอบใด คิดอะไรไม่ได้ปวดหัวไปหมด จนเป็นบ้าเป็นบอ พอคิดไปคิดมาเริม่ ไม่ไหว หนักเข้า ๆ ต้องถึงกับกินยาแก้ปวดหัว ซา้ํ ร้ายรูม้ าตลอดว่า ตัวเองจมแต่ก็ไม่รีเซ็ตปล่อยให้มันจม สุดท้ายไม่ไหวก็ลองทำ�ดู... โอ้โห...วินาทีเดียว เท่านัน้ จริง ๆ โล่งหมดเลย หัวทีค่ ดิ จนแทบระเบิด บัดนี้ รูว้ า่ ฉันช่างโง่มานานแสนนาน ฉันนี่โง่แท้ ๆ ฮ่า ๆ ที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรเลยที่ต้องมานั่งคิดนอนคิดจนปวดหัวเป็น บ้าขนาดนี้ งานที่สอบได้ก็เป็นประเภทลูกจ้างทั่วไป อัตราจ้างทั้งคู่ ยังไงก็ต้องอ่าน หนังสือรอสอบอย่างอืน่ อยูด่ จี ะมาทำ�ให้มนั กลายเป็นเรือ่ งใหญ่เรือ่ งโตให้มนั เป็นบ้าอยู่ ทำ�ไมตั้งนาน อยู่บ้านก็ดี ไม่ต้องมาคิดหนักอีกเรื่องห่วงแม่ห่วงตา ห่วงนั่นห่วงนี่ ไม่ ต้องมาคิดเรือ่ งความปลอดภัย เงินค่าใช้จา่ ย แม้แต่สง่ิ ใหม่ ๆ ทีต่ อ้ งไปเจอและปรับตัว ความกังวลต่าง ๆ หายไปหมดเลย ไม่ต้องทะเลาะกับที่บ้านให้เกิดความตึงเครียด แถมยังได้ทำ�หน้าที่ลูกหน้าที่หลานดูแลบ้านเรือนอีกนะ ไม่ต้องกังวลสังคมใหม่ที่ จะต้องไปเจอ ไหนจะอาหารการกิน หลายอย่างมากมาย ดีทั้งเรา ดีทั้งครอบครัว เงินเดือนน้อยช่างมัน ยังไงก็ต้องไปสอบเป็นพนักงานราชการบรรจุอีกทีอยู่ดี แถมอยู่ ทางสายงานเราเองแบบนี้ ยิ่งรู้ที่รู้ทาง รู้จักผู้คนเพิ่มขึ้นอีก ไหนจะการงานที่เราถนัด ย่อมออกมาดีกว่า เหมือนความอึดอัด และทุกสิง่ ทุกอย่างทีเ่ ป็นเรือ่ งกดดันในตอนแรก กลายเป็นแง่บวกหมดเลย เพียงแค่รีเซ็ตออกมาเสียได้ เมื่อใจมันไม่ร้อน ไม่กังวล ทุก อย่างมันก็ดูเข้าที่เข้าทางหมด ไม่อึดอัดกับความเป็นอยู่ แถมยังรู้สึกมีความสุขอีกด้วย จากตอนแรกที่เห็นมันเป็นกรอบกรงให้เราเดิน และเราพยายามจะแหกมันออกมา ซึ่งความเป็นจริงแค่ต่อต้านเท่านั้น “สวัสดีค่ะ ทางโรงเรียน...ใช่ไหมคะ ดิฉันนางสาว ทิพยสุดาค่ะ...ดิฉัน ชอบและอยากมีประสบการณ์ดี ๆ จากการสอนหนังสือ แต่เนื่องด้วยข้อจำ�กัด
58 ทิพยสุดา สุนันตา
หลายอย่างทำ�ให้ไม่สะดวก จึงขอปฏิเสธงานในครั้งนี้ หากคราวหน้ามีโอกาส ดิฉันอาจมีโอกาสและความสามารถมากพอที่จะได้รับเลือกให้ร่วมงานกับคุณใหม่ ขอบคุณนะคะ สวัสดีค่ะ”
61
จารุวรรณ สุภลาภ (ดาว)
...คนเราเมื่อกายกับจิตมาอยู่รวมกันแล้ว ปัญญามัน ก็เกิดขึ้น พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า นี่แหละ คือปัญญาปฏิบัติโดยแท้ ชาวบ้านเขามีรากหรือมีพื้นฐาน อยู่ก่อนแล้ว ถ้าเรียนรู้หลักการปฏิบัติตรงนี้สักหน่อย เขาก็จะทำ�ได้เอง เข้าใจได้เอง สิ่งที่สำ�คัญที่สุดก็คือ ต้องทำ�บ่อย ๆ ใครทำ�ใครได้ และทำ�แทนกันไม่ได้...
ก้มก็โอ๊ย เงยก็โอ๊ย 63
“เราต้องกลับไปฝึกทำ�ต่อที่บ้านนะ ต้องทำ�บ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็จะทำ�ได้ เอง” เสียงหนึ่งดังแว่วออกมาจากกลุ่มผู้เข้ารับการอบรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สุขภาพ ของเครือข่ายบริการสุขภาพอำ�เภอสามง่ามจังหวัดพิจิตร ปี 2554 ซึ่งในปีนี้ ใช้เวลาจัดอบรมกันสองคืนสองวัน เสียงทีด่ งั เมือ่ สักครู่ เป็นเสียงของพีน่ อ้ ย ผูป้ ว่ ยทีเ่ ข้ารับการอบรมนัน่ เอง วันนี้ล่วง เข้าวันที่สองของการอบรมแล้ว กระบวนกรให้ชาวบ้านจับกลุ่มกันแยกตามตำ�บล โดยให้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเองภายในกลุ่ม พอได้ยินเสียงพูดของพี่น้อย เราก็เลย ขยับเข้าไปใกล้ ๆ กลุ่มของพี่น้อยอีกนิดนึง พี่น้อยยังคงพูดคุย บอกเล่าประสบการณ์ ของตนเองให้กับเพื่อน ๆ ในกลุ่มต่อไป (หรือปลุกระดมก็ไม่รู้นะคะ) เล่าไม่เล่าเปล่า ยังแสดงท่าทางพร้อมลีลาประกอบการเล่าอีกด้วย ประมาณว่า เชื่อฉันสิ จริง ๆ นะ ต้องทำ� ต้องค่อย ๆ ฝึก เดี๋ยวมันก็จะทำ�ได้เอง เมื่อก่อนฉันก็ทำ�ไม่ได้หรอก ท่าทางยืด เหยียดแบบนี้ หลังมันแข็งไปหมด ก้มก็โอ๊ย เงยก็โอ๊ย เดี๋ยวนี้สบายมาก เมื่อก่อนเป็น คนยืนหรือก้าวแล้วมันมักจะล้มบ่อย ๆ เดี๋ยวนี้ไม่ล้มแล้ว เวลาก้าวฉันก็จะให้มีสติอยู่ ที่เท้าที่จะก้าว ยืนเหยียบให้มันเต็ม ๆ เท้า เวลาเย็บผ้า ก็ให้มีสติอยู่ที่การเย็บผ้า ไม่ คิดเรื่องอื่น ๆ ให้มันวุ่นวาย ฝ้าที่หน้าก็เหมือนกันเมื่อก่อนต้องหาซื้อครีมทาฝ้าขวด ละเป็นพันสองพันบาทมาใช้ ฝ้าก็ไม่หาย เดี๋ยวนี้ฝ้าไม่มีแล้ว มีแต่คนชมว่าสวยขึ้น ก็ ใจมันดีขึ้นเยอะ ไม่เครียดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เข้าวัดฟังธรรมได้บ่อย ๆ ปัญหาทีเ่ คย
64 จารุวรรณ สุภลาภ
มีมนั ก็ยงั มีอยูเ่ หมือนเดิม แต่เราไม่ไปเครียดกับมันแล้ว อืม...ได้ยนิ แบบนี้ คนแอบฟัง ก็เป็นปลื้มสิคะ ปลื้มใจ ดีใจ หลังจากที่ได้พูดคุยกับพี่น้อย จึงทำ�ให้ได้รู้ว่า พี่น้อยเคยเข้ารับการอบรม แบบเดียวกันนี้เอง เมื่อปีที่แล้วค่ะ (ขอเล่าเท้าความการอบรมเมื่อปีที่แล้ว พอให้ เข้าใจเรื่องคร่าว ๆ นะคะ) เมื่อปีที่แล้ว เครือข่ายบริการสุขภาพอำ�เภอสามง่าม ก็ได้ มีการจัดอบรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรค เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เช่นกัน แต่เป็นครั้งแรกที่ได้นำ�การอบรมรูปแบบ ใหม่มาใช้ในการฝึกอบรม ไม่มีการมาสอนว่า ต้องกินข้าววันละกี่ทัพพี เนื้อหมูวันละ กี่ขีด นํ้ามันนํ้าปลาวันละกี่ช้อน อาหารที่ไม่ควรกินมีอะไรบ้าง ออกกำ�ลังกายยังไงให้ สุขภาพแข็งแรง ลองหลับตานึกบรรยากาศการอบรมแบบนั้นดูสิคะ...มันช่างน่าเบื่อ มาก ๆ เลย จ้างให้ก็ไม่ทำ�หรอกคะคุณหมอ อิชั้นจะกิน ใครจะทำ�ไม ที่บ้านก็มีปัญหา มากมายร้อยแปด กิน ๆ เข้าไปเถอะหมอ เดี๋ยวก็ตายกันหมดแล้ว ลุงไม่มีเวลาออก กำ�ลังกายหรอก เช้ามืดก็ต้องตื่นไปออกนาแล้ว กลับก็มืด ๆ นั่นแหละ หิวก็ต้องกิน นะหมอ กินแล้วก็นอนเอาแรงไว้ทำ�งานต่อวันพรุ่งนี้...และนี่ก็คือผลลัพธ์ที่จะได้จาก การอบรมแบบเก่า ๆ เดิม ๆ แล้วถามว่าที่เราสู้อุตส่าห์สอนและให้ความรู้กับผู้ป่วย เหล่านี้ ตกลงมันดีไหม ผิดหรือว่าถูก ถ้าตอบในมุมมองของตัวเองก็ขอตอบว่า มันก็ ดีอยู่ แต่มันยังไม่สามารถทำ�ให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ มันไม่ได้เปลี่ยนจากข้างใน (ถ้าใครได้ติดตามอ่านตกตั้งใหม่ เล่ม 1 ในบท ชนะใจ ไร้พุง ก็คงพอจะเห็นภาพได้ ชัดเจนขึ้น) การอบรมแบบใหม่นี้ ใช้แนวทางเดียวกันกับ “ตกตั้งใหม่” ของพระอาจารย์ ไพบูลย์ คือฝึกให้ออกจากความคิด ให้กลับมาอยู่กับความรู้สึกตัว คนเราเมื่อกาย กับจิตมาอยู่รวมกันแล้ว ปัญญามันก็เกิดขึ้น พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า นี่แหละ คือปัญญาปฏิบัติโดยแท้ ชาวบ้านเขามีรากหรือมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ถ้าเรียนรู้หลัก การปฏิบตั ติ รงนีส้ กั หน่อย เขาก็จะทำ�ได้เอง เข้าใจได้เอง สิง่ ทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ ก็คอื ต้องทำ�
ก้มก็โอ๊ย เงยก็โอ๊ย 65
บ่อย ๆ ใครทำ�ใครได้ และทำ�แทนกันไม่ได้...พี่น้อยเป็นเพียงแค่หนึ่งตัวอย่างจากผู้ เข้าอบรมในครั้งที่แล้ว ที่นำ�แนวทางนี้มาปฏิบัติกับตัวเอง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงใน ทางที่ดีขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงจากข้างใน และยังอยากที่จะเผยแพร่แนวทางเหล่า นี้ให้กับพี่น้องในชุมชนของตัวเองอีกด้วย น่าสนใจตรงที่พี่น้อยเล่าให้ฟังว่า “ฉันเคยไปทำ�แบบนี้ให้กับชาวบ้านคนอื่น ๆ ดู เขาดูแล้วก็หัวเราะ มองว่าฉัน ทำ�อะไร ฉันก็เลยไม่ทำ� ไม่ชวนใครให้ทำ�แล้ว แต่มาสอนมาทำ�ให้ลูกสาวดู เขา ก็ทำ�ตาม ตอนนี้ครอบครัวเรามีความสุขมากขึ้น ปัญหาสุขภาพก็ลดลง เมื่อ ก่อนชอบกินเหล้า ยิ่งเครียดยิ่งกินเหล้า ไม่เคยกลับบ้านเองเลยนะ เขาต้อง แบกกันกลับทุกที เดี๋ยวนี้เลิกกินแล้ว ไม่ดีกับสุขภาพ...” ใช่ค่ะ เพราะนี่คือการดูแลสุขภาพ ของจริง
67
เกือบจะเหลือแต่ชื่อ ปรัชญา จินาวงค์
...พออ่านถึงประโยคที่ว่า “ทำ�ให้ตายในระยะเวลาอันสั้นได้” ตรงนั้นแหละครับ ความคิดฟุ้งซ่านประดังประเดเข้ามาในหัวผม ด้วยความรักตัว กลัวตายของคนเรา ใจผมทรุดหนักเข้าไปอีก ยิ่งได้ข้อมูลมา ยิ่งทำ�ให้คิดมากกลัวตาย...
เกือบจะเหลือแต่ชื่อ 69
กว่า 6 ปีมาแล้วสำ�หรับการฝึกดูใจตัวเอง สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทาง อารมณ์ ความรูส้ กึ ความคิด ในแนวการปฏิบตั บิ นเส้นทางสายเดีย่ ว “ตกตัง้ ใหม่” ยังคง เป็นพื้นฐานที่ดีในการรักษาใจตัวเอง ที่นำ�มาใช้ต่อยอดแล้วได้ผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างหยุดไม่อยู่ และคงเป็นวิธีการเดียวที่ทำ�ให้ผมรู้รายละเอียดของการใช้ชีวิต การ ดูให้รู้ถึงความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไป การนำ�ไปสู่การแก้ไขปัญหาสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ กำ�ลังเผชิญอยู่ทุกขณะของชีวิต และเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผม “รอดตาย” หากไม่มี “รีเซ็ต” หรือ วิชาตกตั้งใหม่ วันนั้นคง เป็นวันตายของผม ผมพูดคำ� นี้ได้อย่างสนิทใจ แม้คนที่อยู่ใกล้ชิด หรือสนิทสนมแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้เมื่อเราถึงคราว ใกล้ตายขึ้นมาจริง ๆ วันนั้น ผมนั่งทำ�การบ้านส่งอาจารย์จนดึก รู้สึกจะลืมตาไม่ขึ้น งานก็ยังไม่ เสร็จ ผมออกไปซื้อกาแฟกระป๋องที่ “เซเว่น” มาสองกระป๋อง คิดว่าจะให้เพื่อน ที่มาทำ�งานที่หอดื่มด้วยกันแต่ก็ไม่มีใครดื่ม ผมเลยจัดการยกดื่มเองทั้งสองกระป๋อง ทำ�งานไปจนเสร็จ ประมาณตี 1 กว่า ๆ ผมรู้สึกใจสั่นแต่ก็พยายามนอนไปเพื่อจะได้ พักผ่อน ผมนอนหลับไม่สนิทเพราะฤทธิ์ของกาเฟอีน ทำ�ให้กระวนกระวาย (ซึ่งตอน นั้นยังไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอะไร) ผมก็ยังนอนต่อไป รู้สึกวูบวาบเหมือนร่างกาย อยากพักแต่มันนอนหลับไม่ได้เวลาตี 2 ครึ่ง รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนก็เลยลุกไป เข้าห้องนํ้าแต่ก็อาเจียนไม่ออก รู้สึกมือสั่นใจสั่นขาชา เลยกลับมานั่งที่เตียงนอน แล้วก็นั่งสมาธิ ทำ�ความรู้สึกตัว ดูลมหายใจ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างแต่ก็ไม่เป็นผล
70 ปรัชญา จินาวงค์
ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลิกตัวเอาข้างซ้ายลงด้านล่าง นอนไปสักพักน่าจะหลับไป เหมือนกันเพราะไม่รู้สึกตัว แต่!!! มารู้อีกทีตอนเกิดอาการร้อน ๆ หนาว ๆ วูบวาบ รู้สึกเหนื่อยมาก เอามือจับหน้าอกข้างที่หัวใจเต้น ป๊าดดดด ตายห่า หัวใจเต้นช้า มาก ไม่เป็นจังหวะ เต้น ๆ หยุด ๆ เป็นพัก ๆ ผมรูส้ กึ วูบลงไปเหมือนจะเป็นลม เวียนหัว หน้ามืด ตอนนั้นเริ่มรู้ละว่าเป็นผลมาจากการกินกาแฟมากไป ทำ�ไงหล่ะทีนี้ กล้าม เนื้อหัวใจไม่ยอมเต้น ผมเลยกระโดดพร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ แรง ๆ ทุบหน้าอกตัว เอง หัวใจกลับเต้นขึ้นมาอีก แต่ ทีนี้ ดูเหมือนจะเต้นแรงและเร็วเกินไป เกิดอาการ เหนื่อยเหมือนวิ่งมาใหม่ ๆ จะช็อคขาดใจตายยังไงอย่างงั้น ซึ่งตอนนั้นคิดฟุ้งซ่าน ไปมาก เพราะอยู่คนเดียวแล้วก็ดึกมากด้วยถ้าเป็นอะไรไปคงตายจริง ๆ ระหว่างที่ คิดผมก็พยายามกระโดดอยู่ตลอดเพื่อให้หัวใจเต้น เพราะตอนที่หยุดขยับตัวหัวใจก็ เหมือนจะหยุดเต้นไป ขณะที่อาการเวียนหัวยังมีอยู่ตลอด ผมเปิดไฟหมดหอ เรียกพี่ ห้องข้าง ๆ ก็ไม่ยอมตื่น เพราะพี่เขาพึ่งเมากลับเข้าหอมาคงหลับไม่รู้เรื่อง ผมไม่รู้จะ ทำ�ยังไงให้ใจเย็นลง ลองเดินจงกรมดูก็ยังรู้สึกตัวไม่ชัดในอาการก้าวไป เลยลองใช้วิธี แกว่งแขน เหมือนที่หมอนุช ณรังษี สอนชาวบ้านลดระดับนํ้าตาลในเลือด เรียกว่าใช้ ทุกศาสตร์ ทุกศิลป์ที่มี เอาตัวรอดเลยทีเดียว วิธีของหมอนุช ได้ผลครับ เพราะทำ�ให้ ร่างกายขยับ ช่วยกระตุ้นการเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจและรู้สึกตัวชัดเจนขึ้น ผมรีบ เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อหาสาเหตุ ซึ่งสงสัยเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟมากเกินไป ข้อสันนิษฐานผมถูกต้อง มันเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟมากเกินไป ผมอ่านได้ ข้อมูลมาว่า.. ผลเสีย....ของการดื่มกาแฟเมื่อกาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารและลำ�ไส้ แล้วกระจายไป ตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่าง ๆ และ ระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายต้องใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมงในการ
เกือบจะเหลือแต่ชื่อ 71
สลายกาเฟอีนถ้าร่างกายได้รับกาเฟอีนจำ�นวนสูงประมาณ 3,00010,000 มิลลิกรัมจะทำ�ให้ตายในระยะเวลาอันสั้นได้ ถ้าเราดื่มกาแฟ ประมาณ 1/2-2 1/2 ถ้วย จะกระตุ้นประสาทให้ตื่น ลดความเหนื่อย ล้าได้ประมาณครึ่งวันหรือดื่มกาแฟขนาด3-7 ถ้วย จะทำ�ให้มือสั่น กระวนกระวาย โกรธง่ายและปวดศีรษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือด คือทำ�ให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือดคลายตัวหรือบีบรัดตัวมากขึ้นเป็น บางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มหรือลดอัตราการเต้นของ หัวใจ ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ดื่มกาแฟมาก ๆ จะทำ�ให้ กล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นหย่อม ๆ กาเฟอีนยังมีผลทำ�ให้น้าํ ตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมี ไขมันในเลือดสูง ฤทธิ์ของกาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตไม่ทำ�งาน ทีจ่ ริงผมอ่านไม่ทนั จบหรอก...อาการข้างต้นตรงกับทีเ่ กิดกับผมทุกอย่าง พออ่าน ถึงประโยคที่ว่า “ทำ�ให้ตายในระยะเวลาอันสั้นได้” ตรงนั้นแหละครับ ความคิดฟุ้งซ่าน ประดั ง ประเดเข้ า มาในหั ว ผม ด้ ว ยความรั ก ตั ว กลั ว ตายของคนเรา ใจผมทรุ ด หนักเข้าไปอีก ยิ่งได้ข้อมูลมา ยิ่งทำ�ให้คิดมากกลัวตาย แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นคำ�ของ พระอาจารย์มาจากไหนผุดขึ้นจากความคิดว่า “เรื่องราวใดที่ทำ� ให้จิตใจเสียหายให้ รีบออกจากมัน” ผมทิง้ เรือ่ งราวนัน้ ทันทีเอาความรูส้ กึ ตัวมาไว้ทอ่ี าการชาของขาบ้าง... จังหวะการเต้นของหัวใจบ้าง...อาการทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย...ใจผมเริ่มเย็นลง อาการเต้นของหัวใจปกติข้ึนแต่ยังเวียนหัวอยู่ โทรหาเพื่อนก็ไม่รับ พี่ห้องข้าง ๆ ก็ เมาหมดสติ เรียกเท่าไรก็ไม่รเู้ รือ่ ง เลยตัดสินใจขับรถไปทีโ่ รงพยาบาลแม่ทะด้วยตัวเอง
72 ปรัชญา จินาวงค์
ตอนนั้นคิดว่ายังไงถ้าจะตายจริง ๆ ก็ขอให้ตายกับมือหมอก็แล้วกัน ผมขับรถไปใช้ เวลาประมาณ 20 นาที ระหว่างทางรู้สึกตัวไปด้วยตรงขาที่ชาและอากาศหนาวเย็น ที่มาสัมผัสร่างกาย ไปถึงโรงพยาบาลใจเย็นขึ้นมากแล้ว เดินไปหาหมอที่ห้องฉุกเฉิน ก็ไม่เจอ ไปทางไหนก็ไม่มีคนอยู่เพราะเพิ่งตี 3 กว่า ตัดสินใจไปห้องฉุกเฉินอีกทีเรียก จนพยาบาลตื่นมาวัดความดันซักประวัติตรวจร่างกายนิดหน่อย ๆ ก็ให้เกลือแร่มา กินกับนํ้า เพื่อขับกาแฟออกจากร่างกาย ซึง่ ไม่รจู้ ะเล่ายังไงให้มนั ได้ความรูส้ กึ ทีเ่ กิดกับ ตัวเองจริง ๆ นึกถึงความรู้สึกของคนที่รู้ว่าตัวเองจะตายก็แล้วกัน ใจมันเสียหายแค่ ไหน เพราะนอกจากความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปแล้วยังต้องควบคุมการเต้นของหัวใจ เองด้วยไม่ให้แรงไปหรือช้าไปจนหยุดเต้น ถ้าไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาทางใจตรงนี้คง ไม่มี ชายหนุ่มที่ชื่อ “ต้น” อีกต่อไปแน่ ตอนนี้เข้าใจมากขึ้นแล้วว่า “ปัญญา” ที่เกิดจากการเจริญสติ ปัญญาในพุทธศาสนา คือ ปัญญาทีพ่ าให้เอาตัวรอดได้และแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ฉกุ เฉินได้จริง ๆ ซึ่งผมเชื่อในความรู้ของศาสตร์อัน “ลํ้าสมัย” ที่พวกเราเรียกว่า “ตกตั้งใหม่” ก็ดี วิชา “การออกจากความคิด” ก็ดี หรือ วิชา “รีเซ็ต” ก็ดี ครูบาอาจารย์ได้ยอ่ ยความรู้ นี้มาให้เป็นคำ�ที่เข้าใจง่ายและปฏิบัติได้ทุกคน แต่ประโยชน์มันคงเกิดไม่ได้ ถ้าไม่ทำ� ต่อเนื่องทำ�ให้เป็นนิสัย ทำ�แทนความคุ้นชินเดิมที่ชอบปล่อยใจไปกับเรื่องราวต่าง ๆ นั้น พอถึงเวลา คราวเคราะห์ร้ายถามหา หรือ ถึงเวลานํ้าตานองหน้า แล้วจะมานั่ง หลับตาทำ�สมาธิ รีบ “รีเซ็ต” ตอนนั้นมันไม่ทันกินครับ.
75
โรคหัวใจสะออน ปิยะ โอษธีศ
...ผมได้เรียนรู้ว่าพยัญชนะจากผู้เชี่ยวชาญสามารถทำ�ให้ ผมล้มป่วยลงได้ ร่างกายมันไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่ ใจมันทนไม่ได้ ใจมันคิดไปถึงดาวพลูโตแล้ว ใจที่ ไม่ได้ถูกฝึกไว้ดี มันถูกเขาสั่งได้...
โรคหัวใจสะออน 77
ช่วงที่ผ่านมานี้ ผมรู้สึกเสียดหน้าอกด้านซ้าย จึงไปตรวจที่โรงพยาบาล แผนกโรคหัวใจว่ามีอะไรผิดปกติ สุดท้ายก็ได้ไปวิ่งสายพาน และตรวจดูกราฟหัวใจ ผมวิ่งได้สักพัก ยังไม่เหนื่อยอะไรมาก แต่หมอก็ให้หยุดเมื่อวิ่งได้ประมาณ 10 นาที และบอกว่ากราฟหัวใจผิดปกติมาก หมอบอกว่า ผมมีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงถึง 80 % พร้อมให้ยาโรคหัวใจ และโบรชัวร์โปรแกรมการสแกนหัวใจด้วยเครื่องมืออันทันสมัย ที่สุดแล้วนัดให้มาเจอกันสัปดาห์หน้า สิ่งที่หมอบอกมาทำ�ให้ผมกังวลใจมาก ผมได้โทรไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นแพทย์ อีกคน ให้อ่านกราฟดู เพื่อนก็บอกว่า อาการน่าเป็นห่วงมาก แม้แต่จะเบ่งอุจจาระ ยังต้องระวังหัวใจวาย ผมต้องมนต์อย่างจัง รู้สึกป่วยเป็นโรคหัวใจ มีเวลาเหลือ ไม่มาก แต่ขอ้ ดีของมันก็คอื ทำ�ให้ผมใช้ชวี ติ แต่ละขณะอย่างมีคา่ จริง ๆ เรือ่ งเล็กน้อย ๆ จะไม่เก็บมาคิด ทำ�อะไรแล้วก็ผ่านเลย ไม่ย้อนคิดกลับไปมา ตอนที่ตัวเองรู้สึกป่วยนี้ การได้เดินตอนเย็น ได้สัมผัสอากาศเย็น ๆ มันทำ�ให้มีความสุขได้ง่ายอย่างประหลาด เมื่อก่อนตอนเดินมันเต็มไปด้วยความคิด เดินด้วยหัว ไม่ใช้เท้า สัมผัสแต่ความคิด แต่สัมผัสความรู้สึกได้น้อยมาก คืนแรก นอนไม่หลับกลัวตาย กลัวต่าง ๆ นานา การเจ็บป่วยดูเหมือนจะเป็น จริงเป็นจังขึน้ มาเรือ่ ย ๆ ตอนนอนหน้าอกซ้ายมันตึง ๆ เจ็บ ๆ ยิง่ คิด ก็ยง่ิ เครียด ลอง อมยาใต้ลิ้นแก้โรคหัวใจ ที่หมอให้มา ผลก็คือ หน้ามืด เห็นดาวสว่างไปทั่ว เหงื่อออก
78 ปิยะ โอษธีศ
มากมายที่มือ หูอื้อไปหมด รู้สึกเหมือนใกล้ตาย อาการตึงหน้าอกหายไปเล็กน้อย ภรรยาเป็นห่วงผมจนร้องไห้ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทุกข์ได้ขนาดนี้ พอตื่นขึ้นมาทำ�งาน ก็ต้องประคับประคองใจ พยายามปล่อยวาง ไม่อยากให้ หัวใจทำ�งานหนัก แปลกที่ ตอนนั้นทำ�งานแล้วไม่เครียดเลย ทั้ง ๆ ที่งานก็เข้ามามาก รู้ตัวว่าใกล้ตาย ไม่รู้จะคิดมากไปทำ�ไม เบากายเบาใจมาก คื น ที่ ส องก็ น อนไม่ ห ลั บ อี ก เรื่ อ งคิ ด วนเวี ย นมากมาย ไม่ อ ยากให้ ภ รรยา เป็นห่วง ยิ่งคิดยิ่งไม่หลับ หน้าอกตึง ๆ ขึ้นมาอีก สุดท้ายลองใช้ยาหม่องนวดที่อกดู รู้สึกสบายขึ้น หลับได้ใกล้ ๆ เช้า พอตื่นมาทำ�งาน รู้สึกเพลียเล็กน้อย แต่ก็ยังทำ�งานได้ ทำ�งานแบบเบาอก เบาใจ มองข้ามเรื่องเล็ก ๆ ได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นตอนสบายดี ผมจะเอาทุกเรือ่ ง มาเป็นจริงเป็นจังได้หมด พอถึงกินข้าวกลางวัน ก็กนิ ได้ตามปกติ แต่รสู้ กึ ใจหวิว ๆ ชอบกล หน้าอกก็ยังตึงเจ็บอีก เอาล่ะสิ เลยเดินไปเดินมาสักพัก โทรปรึกษา พระอาจารย์ ท่านก็สอนให้ผมออกจากความคิด กลับมารู้สึกที่กายอยู่เรื่อย ๆ ผมรู้สึกดีขึ้นจึง ไปทำ�งานต่อ พอทำ�งานไปได้สักพัก อาการใจหวิวกลับมาอีกแล้ว ผมรู้สึกหน้ามืด เหมือนจะเป็นลมให้ได้ และกลัวว่าหัวใจจะวาย จึงเรียกให้อาขับรถส่งไปโรงพยาบาล ทีใ่ กล้บา้ น ซึง่ ไม่ใช่โรงพยาบาลทีผ่ มไปหาครัง้ แรก ระหว่างทางไป โรงพยาบาล ยังไม่ แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ แต่กย็ งั นำ�ยาแก้โรคหัวใจมาใช้อกี แต่สุดท้ายนึกขึ้นได้ ว่ากินลงไปแล้วมันอาจทำ�ให้แย่ลงไปอีก จึงคายทิ้งเสียที่โรงพยาบาล พอถึงที่ห้อง ฉุกเฉิน พยาบาลวัดความดัน ชีพจร และคลื่นหัวใจ พบว่าปกติ และยังชมเสียอีกว่า ความดันโลหิต ดีมาก ผมก็ยิ่งงง ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ จากนั้นผมก็ถูกส่งไปยังหมอ โรคหัวใจอีกท่านหนึ่ง หมอสอบถามอาการ และอยากให้นอนพักเพื่อเฝ้าดูอาการ และจะตรวจละเอียดในวันรุ่งขึ้น ผมบอกพยาบาลว่าอยากกลับบ้าน แต่เขาก็ยัง ยืนยันว่าให้อยู่ต่อ จึงต้องนำ�ตัวแอดมิด นอนค้างโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต ระหว่ า งที่ น อนค้ า ง ผมก็ ยั ง นอนพั ก ผ่ อ นไม่ ไ ด้ มี คำ � ถามมากมายตลอด
โรคหัวใจสะออน 79
เลยออกมาเดินเล่น พยาบาลก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า เดินแล้วเหนื่อยไหม ผมไม่ เหนื่อย แต่ยังตึง ๆ ที่หน้าอกอยู่ จึงขอยามานวดที่หน้าอก จากนั้นตลอดทั้งคืนก็จะมี คนมาวัดอะไรมากมาย แล้วก็บอกว่าปกติดี ผมมีโอกาสได้คุยกับ พยาบาลอาวุโสท่านหนึ่ง ถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และได้ทบทวนว่า ไปมาอย่างไรจึงมานอนที่นี่ได้ พยาบาลท่านนั้นก็ได้ถามว่าทำ�งาน อะไร ต้องยกของหนักไหม มีท่าทางการทำ�งานอะไรซํ้า ๆ บ้าง ผมก็เลยนึกขึ้นได้ว่า ผมต้องยกแฟ้มหนัก ๆ ด้วยแขนซ้ายข้างเดียว แบบสุดเอื้อมอยู่เสมอ ๆ จากนั้นผม ก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างว่า มันอาจเป็นสาเหตุที่ทำ�ให้ผมเจ็บตึง ๆ หน้าอกซ้ายก็ได้ และเรื่องราวในหัวก็เริ่มปะติดปะต่อ ว่าความเจ็บป่วยนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และได้ นอนหลับอย่างสบาย เช้าวันรุ่งขึ้น ผมได้เตรียมตัวเข้าตรวจหัวใจ เช็คร่างกายมากมาย ก่อนลงไป ตรวจ ผมเห็นพยาบาลมีท่าทางจริงจังจนผมกลัว เขาเลยบอกผมว่าเป็นแค่การเช็ค ไม่ใช่ผ่าตัด แต่จะมีการให้ยาทางเส้นเลือด เพื่อกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วถึงจุด ๆ หนึ่ง แล้วใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ ดูลักษณะการเต้นของหัวใจ และดูกราฟคลื่นหัวใจ ก่อนที่ จะเช็คมีการเซ็นเอกสาร ทำ�ให้ผมกลัวทีเดียว จากนั้น หมอและพยาบาลอีกสองคนก็เข้ามา ผมถูกให้ยาทางเส้นเลือด หัวใจ เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ มือผมเย็นเพราะความกลัวตาย แต่ยังไงก็ตาม หัวใจผมก็ยัง เต้นไม่ถึงที่หมอต้องการ จึงต้องให้ยาเพิ่ม หัวใจผมก็ยังเต้นเร็วไม่ถึงที่หมอต้องการ อีก หมอและพยาบาลก็เลยต้องจับขาผมโยกเพื่อให้ผมเหนื่อยมากขึ้น ลองนึกถึงท่า เต้นแอโรบิคยกขาตอนนอนของสาว ๆ สุดท้าย พยาบาลก็ช่วยกันโยกจนหัวใจผม เต้นถึงเกณฑ์ทก่ี �ำ หนดจนได้ ผลทีอ่ อกมาก็คอื หัวใจผมยังแข็งแรงดี ไม่ตอ้ งกินยาใด ๆ และบอกว่าให้ไปเล่นฟุตบอลได้ ผมได้เรียนรู้ว่าพยัญชนะจากผู้เชี่ยวชาญสามารถทำ�ให้ผมล้มป่วยลงได้ ร่างกายมันไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่ใจมันทนไม่ได้ ใจมันคิดไปถึงดาวพลูโตแล้ว
80 ปิยะ โอษธีศ
ใจที่ไม่ได้ถูกฝึกไว้ดี มันถูกเขาสั่งได้ ผมมีความคุ้นเคย กับการแพทย์สมัยใหม่ รู้จักยามากมาย และชอบพูดคุยกับ พวกหมอ เภสัช พอได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรตรงนี้แล้วรู้สึกว่าได้เติมเต็มอะไรบางอย่าง แต่ยังรู้สึกถึงร่างกายได้น้อยมาก ของแบบนี้ มันคิดเอาไม่ได้ มันต้องทำ� อาจารย์ได้ พูดแบบนีบ้ อ่ ย ๆ โรคทีต่ กไปในอารมณ์บอ่ ย ๆ แบบนี้ เป็นอาการของโรคหัวใจสะออนครับ หมอที่ไหนก็รักษาไม่หาย ต้องรักษาเอง
83
มีแต่คนใจร้าย ถิรญา สงวนพงศ์พันธุ์
...เราไม่สามารถหนี ไปไหนได้ การหนี ไม่ได้ชว่ ยแก้ปญ ั หาได้ ฉันจึงกลับบ้านเพื่อไปเผชิญกับปัญหา และเริ่มคิดว่า เราจะต้องเจอแบบนี้ ไปเรื่อย ๆ หากเราหนี เราก็ต้องหนี ไปตลอดชีวิต...
มีแต่คนใจร้าย 85
ในช่วงชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมา ฉันไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ตั้งแต่จำ�ความได้ เนื่องจากท่านทั้งสองทำ�งานในกรุงเทพ ฯ ฉันอาศัยอยู่กับ ตา ยาย และน้า ในตอน เด็กๆ ฉันรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขดี เหมือนไม่ได้ขาดอะไร ตากับยายเติมเต็มให้ ตลอด เมื่อดิฉันเติบใหญ่ขึ้นมา ได้รับการศึกษาในโรงเรียนใกล้บ้าน เริ่มรู้จักเพื่อน ข้างบ้าน และเพื่อน ๆ ในโรงเรียน เมื่อเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนเริ่มเข้ามามีบทบาท มากกว่าคนในครอบครัว ฉันไม่ถึงกับติดเพื่อนมากนัก แต่รู้สึกว่าเพื่อนมีอิทธิพลกับ เรา เมื่ออายุเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เป็นธรรมดาที่จะไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ มีความคิดเป็นของ ตัวเอง ฉันจะอารมณ์เสียกับการถูกสั่งทำ�โน่นทำ�นี่มาก เดี๋ยวก็เรียกฉันอีกละ ในบาง ครัง้ ฉันถึงกับต้องเสียนา้ํ ตากับเรือ่ งเล็ก ๆ บางเรือ่ งทีแ่ สนจะสะเทือนความรูส้ กึ ของตน มีอยู่ ครั้งหนึ่ง ที่ฉันไม่เคยลืม น้าสั่งให้ฉันถูบ้าน พอฉันบอกว่าเดี๋ยวก่อน น้าก็พูดแบบ ใส่อารมณ์เลยว่าจะทำ�หรือไม่ทำ� ถ้าไม่ทำ�ก็ไม่ต้องทำ� ในบางครั้งขณะที่น้าสั่ง ฉันนั่ง ทำ�การบ้านอยู่ ฉันต้องทิ้งทุกอย่างที่ทำ�อยู่แล้วรีบลุกขึ้นไปเก็บกวาดและถูบ้าน อย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่กวาดไปนํ้าตาก็ไหลไป คิดถึงพ่อกับแม่ ว่าท่านจะรู้ไหมว่า ลูกลำ�บาก และเหนื่อยกับการที่ถูกสั่งทำ�โน่นทำ�นี่ บางครั้งบ้านก็สกปรกเหลือเกิน หลานไม่เคยหยิบไม้กวาดมาทำ�ความสะอาดบ้างเลย ฉันได้แต่คดิ ว่า ทำ�ไมหลานไม่ท�ำ บ้าง น้าไม่คิดจะสอนหลานให้ทำ�งานบ้านเลยเหรอ ในบางครั้งน้าก็จะสั่งเยอะมาก
86 ถิรญา สงวนพงศ์พันธุ์
บางครั้งก็บ่นก็ว่า ในวันเสาร์ อาทิตย์ หากจะออกจากบ้านไปไหน ต้องทำ�งานบ้าน ให้เสร็จก่อน กว่าจะเสร็จก็เกือบสิบโมง ในช่วงเช้าหน้าร้อนจะร้อนมาก ทำ�งานบ้าน เหงื่อก็ไหลเยอะ คนก็อารมณ์ร้อน ในบางครั้งก็มีเถียงน้าบ้างในสิ่งที่เราไม่ผิด แต่ก็ ไม่เคยจะเถียงชนะสักครั้ง ฉันเลยได้แต่ก้มหน้า และคิดว่าคนฉลาดเท่านั้นที่ทำ�งาน เป็นและตรงข้ามกันก็คือ คนโง่ท�ำ ไม่เป็น ฉะนั้นงานอะไรที่เราทำ�ได้ก็ทำ� แค่คิดแบบ นี้มันก็ทำ�ให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่การที่ได้ทำ�งานบ้านบ่อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้ฉันขยันขึ้นเลย บางครั้งก็ขี้เกียจ ต้องคิดว่าถ้ามัวแต่ขี้เกียจงานจะไม่เสร็จแล้วจะโดนด่า จึงทำ�งานไป เรื่อย ๆ จนเสร็จโดยลืมไปเลยว่าขี้เกียจ ในช่วงมัธยมปลาย ฉันได้อาศัยอยู่ที่บ้านน้า น้าจะนอนตั้งแต่หัวคํ่า ฉันกลับ จากโรงเรียนมา ก็ต้องทำ�งานบ้าน กว่าจะเสร็จก็มืดแล้ว ต้องรีบอาบนํ้า จะทำ�การ บ้านหรือคุยโทรศัพท์เสียงดังก็ไม่ได้ จะถูกว่าตลอด เวลาไปเรียนห้องของฉันไม่ได้ปิด กุญแจไว้ หลานจะชอบเข้าไปในห้อง แล้วหยิบปากกาและของใช้อื่นๆ ไปโดยไม่ได้รับ อนุญาต ฉันไม่ได้ตระหนีแ่ ต่อย่างใด ถ้าจะยืมไปใช้แล้วนำ�มาคืนจะไม่วา่ เลย แต่นไ่ี ม่น�ำ มาคืน พอฉันทำ�การบ้าน ก็หาปากกาไม่เจอ พอถามหลานว่าเอาไปใช้ไหม ก็บอกว่า ไม่ พอฉันไปค้นดูในห้องของหลาน ก็เจอปากกาของฉัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลานเอาดินสอฉันไปใช้ แล้วฉันก็ไปเจอดินสอแท่งนั้น แต่ไม่ สามารถนำ�กลับมาใช้ได้อีก มันพังเสียแล้ว ฉันถึงกับนํ้าตาร่วง เพราะดินสอแท่งนั้นพี่ สาวของฉันซื้อให้เป็นของขวัญวันเปิดเรียน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีราคาอะไรมากมาย แต่มันมีคุณค่าด้านจิตใจอย่างมาก ฉันรู้สึกเสียใจและโกรธมาก และด่าหลานฉัน วัน นั้นฉันจึงออกจากบ้านน้าไปนั่งเล่นอยู่บ้านยาย ฉันรู้สึกว่าไม่อยากอยู่แล้วบ้านหลังนี้ มีแต่คนใจร้าย ชอบทำ�ร้ายจิตใจของฉัน แต่เท่าที่ได้ยินได้ฟังมา เราไม่สามารถหนีไป ไหนได้ การหนีไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ ฉันจึงกลับบ้านเพื่อไปเผชิญกับปัญหา และเริ่ม คิดว่า เราจะต้องเจอแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หากเราหนี เราก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต ถ้าเรา ยอมรับและอดทน อะไรที่ยอมได้ก็ยอม อย่าเก็บไปคิดมาก เราก็ต้องอยู่ได้ มันอาจ
มีแต่คนใจร้าย 87
ยากนะ แต่ถ้าเราทำ�ไม่ได้ เราก็จะเป็นทุกข์เอง เวลาที่ถูกน้าบ่น ด่า บ่อยครั้งที่ฉัน เถียงเพราะคิดว่าในเมื่อเราไม่ผิดเราก็จะเถียง แต่หลังจากไปเข้าค่ายกลับมา เริ่มรู้วิธีหลีกเลี่ยงการมีปากเสียง วิธีก็คือ รับฟัง และเฉย ๆ ไม่โต้เถียงใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะยิ่งเถียงก็เหมือนเติมฟืนให้กองไฟ กองไฟจะ ยิ่งลุกโชนขึ้น และไม่มีวันดับ และเวลาถูกใครด่าว่า ก็ไม่เก็บมาคิด ในเมื่อเรารู้จักตัว เองดีว่าเป็นใคร ทำ�อะไรอยู่ เราก็ไม่ต้องสนใจในคำ�พูดที่จะมาทำ�ร้ายเรา มันไม่ยาก หากเราอยากมีความสุข ความคิดมันอาจจะหยุดไม่ได้ หากเรากลับมารู้สึกตัวเองว่า เรากำ�ลังทำ�อะไรอยู่ ความคิดทั้งดี และไม่ดีก็จะหยุดชั่วขณะ รู้สึกตัวบ่อย ๆ แล้วเรา จะรู้ว่าชีวิตมีค่ามากกว่าที่เราเสียเวลาไปคิดโกรธ เกลียด ผู้อื่น.
89
สุข เศร้า เหงา ที่ไม่ธรรมดา สุจิตรา ปรางค์ศรีทอง
...สาเหตุหนึ่งของอาการไม่สบายคือ การไม่สามารถ ยอมรับสภาพความเป็นจริง ดังนั้น เราควรทำ�ใจ ยอมรับมัน แต่ไม่ควรให้การยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ เพื่อการรักษาให้หายขาด หรืออาจใช้วิธีอื่นแทน ซึ่งอาจเป็นตก ตั้ง ใหม่ ก็ ได้นะ...
สุข เศร้า เหงา ที่ไม่ธรรมดา 91
เมื่อรู้ตัวว่าเป็นคนไข้ไบโพล่าร์1 แล้ว อารมณ์ส่วนใหญ่จะมีความสุขมาก จนล้นหรืออีกขั้วก็เศร้าใจ ในเมื่อโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ มันก็ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ได้อยู่แล้ว แต่เรากลับมาเป็นเสียคนเดียวในบ้าน (เป็นเอกเทศ) ชีวิตนี้ช่างไม่มีความ ยุติธรรมเลย จะบอกใครดีทำ�ใจลำ�บากมาก บอกแค่ไม่สบาย เคยได้ยินมีคนพูดว่าคนบางคนที่เป็นโรคนี้จะมีพรสวรรค์ แต่ฉันสิกลับไม่มี อะไรเลย น่าเศร้าไหมตอนป่วยครั้งแรกทำ�ประกันไว้แต่บริษัทประกันชีวิตยังไม่ คุ้มครองค่าใช้จ่ายให้ ซวยจริง ๆ อีกอย่างเราก็เป็นคนเดียวที่ไม่มีกรมธรรม์เลยตอน นี้ ในขณะที่คนอื่นในบ้านมีกันหลาย ๆ อัน เบื่อ เซ็ง หงุดหงิด เมื่อถูกมองแปลกแยก จากคนอื่น รูปร่างก็ไม่ผอมเพรียว และอีกทั้งมีปัญหาต้องไปพบแพทย์บ่อย ๆ เกือบ ทุกเดือน เหมือนเดือนไหนไม่ได้ไปจะขาดอะไรไปสักอย่าง และต้องมีคนพาไปจะขับ รถก็ห้ามขับ (ยากินแล้วง่วง) ติดโรงพยาบาลนี่เพราะใช้สิทธิ์ประกันสังคมฟรี แต่เสียเวลาน่าดู เวลาจะเจาะ เลือดดูไขมันหรือเบาหวานหรือดูระดับยาแต่ละที อดอาหารและนา้ํ หลัง 2 ทุม่ กว่าจะ ได้เจาะเกือบ 9 โมง เฮ้อ...จะมีใครเป็นอย่างเราบ้างไหมหนอ ความคิดกับความรู้สึก ตัว บอกกับตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เรามีทางออกที่ตัดสินใจว่าจะถูกปล่อยตาม ยถากรรม หรือจะเลือกการรักษาจากแพทย์ท่เี ชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อที่สักวันหนึ่ง ยาที่ใช้ต้องลดลงจนไม่ต้องใช้เลยก็ได้ สาเหตุหนึ่งของอาการไม่สบายคือ 1 ใบโพลาร์: โรคที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ขาดการใคร่ครวญ การแสดงออกขัดแย้งกัน
92 สุจิตราปรางค์ศรีทอง
การไม่สามารถยอมรับสภาพความเป็นจริง ดังนั้น เราควรทำ�ใจยอมรับมัน แต่ไม่ควร ให้การยอมรับสภาพทีเ่ ป็นอยู่ เพือ่ การรักษาให้หายขาด หรืออาจใช้วธิ อี น่ื แทน ซึง่ อาจ เป็นตก ตั้ง ใหม่ ก็ได้นะ เรารู้สึกว่ามันเป็นทางเลือกที่ปราศจากอันตรายของเคมีท่ี มีผลต่อร่างกาย เพียงแค่เราควบคุมสติ ระลึกถึงว่าตอนนี้กำ�ลังทำ�อะไรอยู่ และอยู่ กับปัจจุบัน อย่ากังวลในสิ่งข้างหน้า แต่ถ้าตกไปแล้ว ให้รีบกลับมาที่รู้สึกตัวบ่อย ๆ เท่านั้นเอง ง่ายไหมล่ะ สรุปคนทุกคนมีจุดแตกต่าง อย่านำ�ไปเทียบเคียงกัน จงเป็นอย่างที่เราเป็น จะมีความสุขหรือทุกข์ ต้องไม่ขาดความรับผิดชอบ ไม่เบียดเบียนคนอื่น คำ �ติชม มีค่าเสมอ เพราะมันเปิดโอกาสให้ใช้ตกตั้งใหม่นั่นเอง และยังเพื่อการพัฒนาปรับปรุง วิจารณญาณของเราให้ก้าวหน้า (ข้ อ ความต่ อ ไปนี้ เ ป็ น บทสนทนาถามตอบที่ พี่ แ ดงเคยเขี ย นมาคุ ย ใน อี เ มล์ ก ลุ่ ม จี ม านอม เมื่ อ สองปี ที่ แ ล้ ว geemanom@googlegroups.com -บรรณาธิการ) 16 กรกฎาคม 2553, 19:01 น. สวัสดีค่ะอาจารย์น้าสาท ตกแปลว่าทำ�ไม่ได้หรือยังไม่ประสบผลสำ�เร็จตามที่ตั้งใจไว้วนเวียนอยู่กับ ความคิดเดิม ๆ ไม่ออกจากความคิดนั้นได้จริง หมกหมุ่นกับคอมพิวเตอร์มากเกินไป ทำ�ให้งานขาดผู้ปฎิบัติ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ผิดวัตถุประสงค์แบบไม่ได้ตั้งใจให้ เป็นเช่นนั้นเลย คำ�พูดกับพฤติกรรมสวนทางกัน เหมือนหลอกลวงกัน แดง 17 กรกฎาคม 2553, 7:34 น. ศรชัยตอบกลับ ตกคืออาการของใจที่ตกไปในอารมณ์ที่ทำ�ให้เศร้าหมอง ความสำ�เร็จไม่ใช่ว่า
สุข เศร้า เหงา ที่ไม่ธรรมดา 93
ต้องตั้งอยู่ตลอดเวลา เพราะผู้เรียนรู้อย่างเรายังทำ�ไม่ได้ ตกให้รู้ว่าตก แค่รู้ว่าวนเวียน อยู่กับความคิดเดิม ๆ ก็ถือว่าสุดยอด บางคนไม่รู้เลย อาจารย์บอกว่าให้ทำ�บ่อย ๆ กลับมาตั้งที่ความรู้สึกตัว ทำ�บ่อย ๆ คือการสั่งสมกำ�ลัง กำ�ลังไม่พอก็เผลอพูดโพล่งออกไปตูมตาม แต่ ทำ�ไปแล้วก็จบไป รูว้ า่ ไม่ดี ไม่เอามาซํา้ เติมตัวเองเป็นรอบสอง รอบสาม ก็ยง่ิ ตกไปอีก ศรชัย 17 กรกฎาคม 2553, 8:36 น. แดงตอบกลับ การเพิ่มกำ�ลังสติฝึกฝนให้รู้สึกตัวบ่อยๆ แบบนั้น ยากที่จะทำ�ได้ตลอดเวลา ต้องฝึกปฎิบัติฝึกออกจากความยํ้าคิดซํ้าเติมง่ายกว่าเยอะ จะลองทำ�ดู ตกคือไม่ได้ทำ� เมื่อรู้ว่าตก = เริ่มตั้งแล้ว ทุก ๆ วันใช้ชึวิตให้คุ้มค่าที่เกิดมา (ท่านปัญญานันทภิกขุ) แดง 17 กรกฎาคม 2553, 14:44 น. อ. ประสาทตอบกลับ แดงแค่รู้ว่าตกไป แบบยังอุ่น ๆ อยู่นั้นแหละ มันไม่ได้ดั่งใจดอก ก็ให้แค่รู้ รู้ ต้องถามต่อว่า.. เมื่อก่อนเราเคยรู้แบบนี้ไหม ว่ามันตกไป ให้สังเกตเอง เมื่อก่อนเราเป็นอย่างไร ก็รู้สึกตัวนั้นแหละ ออกจากความคิดทันทีเมื่อรู้สึกตัว แต่จิตมันไว เราจึงสังเกตได้ยาก (พระพุทธเจ้า) ประสาท
95
นึกว่าต้องจัดหนัก นฤมล รอดเนียม
...หลายครัง้ ทีค่ �ำ เตือนและคำ�แนะนำ�จากผูท้ ร่ี กั ฉันกล่าวมา ฉันฟังแต่ก็ ไม่ได้ทำ�ตาม หรือทำ�ตามแต่ไม่หมด ด้วยเสียงของความคิดของตนมันดังกว่า ฉันมักจะมี เหตุผลมาลบล้างเหตุผลของผู้อื่นเสมอเพื่อให้ความเชื่อของ ฉันถูกต้อง ฉันไม่แน่ ใจว่าสิ่งนี้จะตรงกับที่พระอาจารย์กล่าวว่า “ฟังแต่ไม่ได้ยิน” หรือเปล่า...
นึกว่าต้องจัดหนัก 97
ฉันเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่ม คำ�ถามที่ฉันมักจะถูกถามเมื่อเจอกันครั้งแรก คือ “มาที่นี่ได้ยังไง?” พอได้ยินคำ�ถามนี้ปุ๊บ ฉันอึ้งหยุดชะงักนิดนึงก่อนที่จะคิดหา คำ�ตอบ หลังจากตอบเสร็จก็คิดต่อ พฤติกรรมนี้กลายเป็นโปรแกรมอัตโนมัติของฉัน ในตอนนั้น แต่สำ�หรับตอนนี้คำ�ตอบของฉันมีแบบง่าย ๆ คือ “ฉันมาเพราะอยากมา และมาเพราะมีเหตุปัจจัย” ฉั น ถามตั ว เองเสมอว่ า “ฉั น มาทำ � อะไร ที่ นี่ ? ” หลายครั้ ง ที่ ฉั น สั บ สนกั บ ตนเองในการเข้ามาร่วมกลุ่มรีเซ็ต จะอยู่ต่อหรือถอยหนี มันเข้ามาเป็นระยะ เมื่อใด ที่ประสบกับสิ่งที่ชอบใจมันก็อยากอยู่ต่อแต่เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจมันก็อยาก ถอยหนี มันมีสองอย่างแค่นี้จริง ๆ แต่ตอนไหนที่ไม่สังเกตก็ไม่เห็นนะ ในตอนที่รู้สึก ไม่ชอบใจ มันรู้สึกว่าอยู่ยาก อึดอัด ขัดเคือง แล้วนำ�ไปสู่ความน้อยใจ อยากที่จะถอย ห่างแล้วก็อยู่คนเดียว ในวันนั้นหากไม่ได้กัลยาณมิตรคอยชี้แนะ ฉันอาจจะไม่ได้มา เขียนบทความนี้ “เธอมาที่นี่ เพื่อเรียนรู้ไม่ใช่เหรอ....ไหนบอกว่าจะเรียนรู้ แล้วทำ�ไมถึงจะถอย ล่ะ”?? “เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงใคร เป็นได้เพียงปัจจัยเท่านั้น” คำ�พูดนี้ มันทำ�ให้ฉันต้องชะงัก แล้วนำ�มาใคร่ครวญ การใช้คำ�อธิบายและ
98 นฤมล รอดเนียม
เปรียบเทียบที่ชัดเจนของกัลยาณมิตรทำ�ให้ฉันตระหนักถึงความต้องการของตนเอง ชัดเจนขึน้ เราต้องการเรียนรูเ้ พือ่ ฝึกตนไม่ใช่หรือ โอกาสมาแล้ว ทำ�ไมฉันจึงจะหนีอยูล่ ะ่ หากฉันมัวแต่หนี ฉันก็จะไม่รู้สักที นี่เป็นความคิดที่ฉันตอบแก่ตัวเอง คำ�พูดที่ฉันได้ยินครั้งนั้น มันจุดประเด็นให้ฉันเริ่มกล้าที่จะออกมาเผชิญกับ ความเป็นจริงในแบบที่ไม่ได้ตระเตรียมไว้ จากเดิมที่ฉันตั้งใจไว้ว่า ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ขอใช้ชีวิตให้ปลอดภัยที่สุด ด้วยการทำ�บุญทำ�ทาน รักษาศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนา ไปทำ�บุญในวันพระ มันน่าจะเพียงพอกับการไม่ตอ้ งเจอทุกข์ไปมากกว่าเดิม ฉันไม่อยาก ทำ�อะไรที่ผิดพลาด ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าต่อไปนี้ฉันจะเริ่มกลับมาเดินจงกรม และนั่ง สมาธิแบบเดิมที่ฉันเคยทำ� โดยตั้งใจว่าจะทำ�ให้ได้ทุกวัน แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำ�ไม่ได้ อย่างใจต้องการ ความขี้เกียจมีมากกว่าความอยากที่จะทำ� จึงทำ�ให้ไม่สามารถทำ�ได้ ต่อเนื่อง ผลก็คือ เมื่อเรื่องราวเข้ามากระทบจิตใจ จิตใจฉันเสียหายในทันที สมาธิที่ ฝึกไว้กลับนำ�เอามาใช้ได้ไม่ทันและความเฉื่อยชาค่อย ๆ เข้ามา เพราะฉันเกิดความ รูส้ กึ ว่าอะไรก็ได้ ไม่ได้ตอ้ งการความก้าวหน้าทางหน้าทีก่ ารงานอะไรมากมายนัก ในตอนนัน้ ฉันมีความเชือ่ ว่า การปฏิบตั ธิ รรมนัน้ ต้องทำ�อย่างเอาจริงเอาจัง แต่ ด้วยภาระการงานที่บีบคั้นในแต่ละวัน จึงทำ�ให้ฉันไม่สามารถทำ�สิ่งที่ต้องการได้อย่าง ใจหวัง ฉันมักจะหาเวลาไปปฏิบัติธรรมที่วัด หรือ สำ�นักปฏิบัติธรรมที่ใกล้ ๆ ตามแต่ โอกาสอำ�นวยเพื่อให้ตนเองได้มีเวลาปฏิบัติธรรมแบบจริงจัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เวลา เพียง 3 - 5 หรือ 7 วัน ปีละ 2 ครั้ง เท่านั้น สถานที่ปฏิบัติธรรมที่ฉันชอบไปเป็นแบบ ที่เขามีกฏระเบียบเคร่งครัด เพราะมีความรู้สึกว่าเราได้ปฏิบัติเต็มที่ ฉันจะพยายาม นัง่ สมาธิ และเดินจงกรมให้ได้ตามกำ�หนดเวลา เพียงเพราะความเชือ่ มัน่ ว่าสิง่ นีค้ อื สิง่ ดี และเชื่อว่าหากเราทำ�ไม่ลดละ วันหนึ่งเราคงได้รู้ได้เห็นอย่างที่มีผู้ที่ท่านรู้ท่านเห็น ไว้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วการทำ�แบบไม่เคยลดละนั่นยังไม่เคยทำ�ได้จริง ทุกสิ่ง ทุกอย่างจึงเป็นเพียงความจริงในระดับนึกคิดของตัวเอง พอกลับมาจากวัด ฉันก็มา ปฏิบัติต่อที่บ้าน แต่ก็ทำ�ได้เป็นพัก ๆ ฉันตั้งใจจะนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน ๆ ละ 30 นาที
นึกว่าต้องจัดหนัก 99
เป็นอย่างน้อย แต่ในความเป็นจริง ฉันทำ�ได้เพียงบางช่วง พอมีภาระงานอื่นเพิ่มก็ไม่ สามารถทำ�ได้ตามที่ตั้งใจ และนี่จึงทำ�ให้การปฏิบัติธรรมแบบเดิมของฉันไปไม่ถึงไหน สำ�หรับการใช้ชีวิตประจำ�วันในตอนนั้น ฉันเข้าใจว่าตนเองใช้ชีวิตแบบสมถะ โดยทานอาหารน้อยบ้าง ดื่มนํ้าน้อยบ้าง (อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะมีความขี้เกียจมากกว่า ความอดทนหรื อ เปล่ า ) ฉั น ไม่ แ ต่ ง ตั ว อะไรเลย แม้ แ ต่ โ ลชั่ น ทาผิ ว ก็ ไ ม่ ไ ด้ โ ดนตั ว มานานหลายปีแล้ว การปล่อยปละละเลยที่จะดูแลตนเองของฉัน ส่งผลให้คนที่รัก อันได้แก่ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนสนิทเริ่มเป็นห่วง พวกเขาเตือนด้วยความ หวังดีว่า มนต์นี่ไม่ใช่เรียกว่าปฏิบัติธรรมนะมันเป็นการเบียดเบียนตนเอง ประกอบ กับการที่เขาเห็นว่ารายได้จากการทำ�งานของฉันส่วนใหญ่นั้น ฉันมักไม่ได้ใช้เพื่อดูแล ตนเอง หลายครั้งที่ผู้ที่รักฉันบอกกล่าวตักเตือน ซึ่งฉันก็ฟังแต่ก็ไม่ได้ทำ�ตาม หรือทำ� ตามแต่ไม่หมด ด้วยเสียงของความคิดของตนมันดังกว่า ฉันมักมีเหตุผลมาลบล้าง เหตุผลของผู้อื่นเสมอเพื่อให้ความเชื่อของฉันถูกต้อง ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้จะตรงกับที่ พระอาจารย์กล่าวว่า “ฟังแต่ไม่ได้ยิน” หรือเปล่า นึกย้อนไปแล้วก็ได้แต่ยิ้มกับความ รู้สึกนึกคิดของตนเองที่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนทำ�นั้นถูกต้องแล้ว เมื่อฉันได้มารู้จัก และฝึกปฏิบัติตามแนวทางรีเซ็ต ด้วยการฝึกสังเกตอาการ ที่เกิดขึ้นกับกายของตน ความรู้สึกชัดส่วนไหน ให้สังเกต ซึ่งทำ�ได้ทุกเวลาที่ตนเอง อยากทำ� ทำ�ในช่วงระยะเวลาสัน้ ๆ แต่ท�ำ บ่อย ๆ ทุกครัง้ ทีน่ กึ ได้ เพือ่ ออกจากความคิด ด้วยการกลับมาที่ความรู้สึกตัว เช่น ความรู้สึกตึงของไหล่ซ้ายตอนที่นิ้วมือกำ�ลังพิมพ์ ที่คีย์บอร์ด ความรู้สึกชัดที่นํ้าหนักของเท้าตอนเหยียดขา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ยิ่งทำ� ยิ่งชำ�นาญ เพราะทำ�ได้ต่อเนื่อง สังเกตได้ว่า การน้อมใจสังเกตความรู้สึกที่กายมันส่ง ผลถึงใจ ทุกครั้งที่ดูอาการกายเห็นอาการของใจ อาการกายเปลี่ยน อาการใจเปลี่ยน เห็นพิรุธที่เกิดในใจชัดขึ้น สังเกตไปสังเกตมาเห็นความเป็นปกติของใจที่มันอยู่ไม่นิ่ง ควบคุมไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ เพียงแต่ใช้การสังเกต ผลจากการได้เข้ามาเรียนรู้ และฝึกรีเซ็ต ทำ �ให้ฉันมีกัลยาณมิตรเพิ่มขึ้น
100 นฤมล รอดเนียม
การได้พบเจอกับผู้คนและเหตุการณ์ใหม่ ๆ ทำ�ให้ฉันได้รู้ว่าผลการฝึกของฉันเป็น อย่างไร ของจริงกับความนึกคิดมันต่างกัน ในความนึกคิด เราคิดว่า เราจะทำ�ให้ดี เสมอ แต่ความคิดไม่ใช่ความจริง หลายครัง้ ฉันตัง้ ใจและพยายามว่าจะคิดแต่สง่ิ ดี ๆ จะ ไม่มองสิง่ ทีไ่ ม่ดี แต่ของจริงพบว่าจิตมันควบคุมไม่ได้ เห็นรูปทีเ่ รารูส้ กึ ไม่ดปี บุ๊ เอ้า! ใจเสีย หายแล้ว โชคดีทฝ่ี กึ รีเซ็ตไว้ รูท้ นั ว่ามันเกิดแล้วนะ พอทำ�ให้รบี กลับมาที่ ความรูส้ กึ ตัว กำ�จัดความรู้สึกที่ทำ�ให้ใจเสียหายออกไปได้ ทำ�ให้เรื่องราวที่กดทับใจตอนนี้มีน้อยลง จิตใจสบายขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่า วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ในวันนี้ฉันมีรีเซ็ตเป็นหลักใจ ที่ใช้ในการดำ�เนินชีวิต ทำ�ได้เท่าที่ได้ทำ� มันก็แค่นี้จริง ๆ
103
กรามล็อก นารีรัตน์ ปริสุทธิวุฒิพร
...มันเป็น “ความรู้” ที่เกิดขึ้นเฉพาะตน เพราะเราทำ�เอง เห็นเอง รู้เอง และอาการป่วย ก็หายเอง แมวถามอาจารย์ถึงอาการที่ตัวเองหาย ว่ามันเกิดจากอะไร อาจารย์บอกว่า “นี่แหละคือการออกจากความคิด คือให้มาอยู่กับความรู้สึกตัว...
กรามล็อก 105
แมวรู้จัก ”จิตตปัญญา” ครั้งแรก เมื่อครั้งที่ศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัย จัดให้มีการอบรมขึ้นประมาณ ปี 2551 ครั้งนั้นจัดที่ปากช่อง และปีต่อมาก็ได้มี โอกาสเข้าร่วมฝึกอบรมการเป็นกระบวนกร ที่สถาบันขวัญเมือง เชียงราย 2 ครั้ง ได้ เข้าร่วมสัมมนาประจำ�ปี เรือ่ งจิตตปัญญาของมหาวิทยาลัยมหิดลหลายครัง้ ทำ�ให้ ตัวเอง รู้สึกว่าได้เข้าใจถึงวิธีคิด รูปแบบ การจัดกระบวนการ และการเป็นกระบวนกร จึง พยายามนำ�สิ่งที่ตนได้เรียนรู้ มาปรับใช้กับการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการสอดแทรก ในระหว่างเรียน เช่น นำ�กระบวนการ “World Café” เข้ามาใช้ ซึ่งเป็นการฝึกทักษะ ของการเป็นผู้ฟังและการเป็นผู้พูดให้แก่นิสิต รูปแบบของกระบวนการนี้ คือ แมวจะ แบ่งเด็กเป็นกลุ่มให้ทำ�รายงานที่แตกต่างกัน เมื่อแต่ละกลุ่มไปค้นงานมาแล้ว ต้องมี การนำ�เสนอผลงาน แต่วิธีการเดิม คือ ให้แต่ละกลุ่มออกมารายงานหน้าชั้น ซึ่งผล ปรากฏว่า เด็กจะไม่ค่อยฟังเพื่อนกลุ่มอื่น เพราะต้องการเตรียมรายงานของตนที่จะ ต้องรายงานเป็นกลุ่มต่อไป ทำ�ให้ขาดการเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อน การนำ�กระบวนการ worldcafé มาใช้ คือ จะมีคนนั่งและคนเดิน เมื่อถึงเวลา เริ่มกระบวนการ จะมีนักศึกษาเป็นตัวแทนกลุ่มอยู่หนึ่งคน ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ จะ เดินไปฟังเพือ่ นกลุม่ อืน่ เล่ารายงานของเขาให้ฟงั คนทีม่ าฟังต้องจดจับประเด็นให้ได้ เพื่อ จะกลับมาเล่าให้เพื่อนที่ไม่ได้ไปฟัง วิธีการนี้จะฝึกทั้งการเล่าเรื่อง และฝึกฟังเรื่อง
106 นารีรัตน์ ปริสุทธิวุฒิพร
ของเพื่อนให้เข้าใจ หลังจากเสร็จกระบวนการ จะมีการถอดบทเรียน โดยนักศึกษาที่นั่งเล่าเรื่อง จะได้ฝึกพูด เด็กเล่าว่า แรก ๆ ต้องเปิดตำ�รา เพราะไม่มั่นใจในงานของตัวเอง แต่ พอพูดเรื่องเดิมซํ้ากันหลายครั้ง เริ่มคล่อง และมั่นใจขึ้น ส่วนฝ่ายที่เดินจะต้องฝึกฟัง อนุโลมให้ซักถามได้ เพื่อให้ได้ความเข้าใจมากที่สุด กลุ่มนี้สะท้อนว่าพวกเขาได้ตั้งใจ ฟังเพื่อนมากขึ้น และเข้าใจรายงานของคนอื่นมากขึ้น แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลา มาก เพราะเด็ก ๆ ไม่เคยฝึกพูดและฟังมาก่อน การพยายามฟังมาก ๆ ก็ทำ�ให้เด็ก อ่อนล้า และเบื่อที่จะฟัง นี่คือเสียงสะท้อนกลับ และคนนั่งที่รอเพื่อนมารายงานให้ ฟัง ก็ไม่สามารถเข้าใจเพื่อนที่นำ�เรื่องราวของกลุ่มอื่นมาเล่าให้ฟังได้ เพราะพวกเขา ไม่ได้ฝึกเล่าเรื่อง และประกอบกับเวลามีอยู่อย่างจำ�กัด เด็กเหนื่อยกับกระบวนการ ถึงแม้จะไม่เครียด แต่ต้องตั้งใจมาก ซึ่งแมวเองก็ยังไม่สามารถแก้จุดบกพร่องเหล่านี้ ได้ เพราะเป็นช่วงที่ตนเองลาเรียน การเรียนรู้กระบวนการจิตตปัญญาของแมวในระยะแรก แมวจะเน้นการ หารูปแบบเพื่อจัดการเรียนการสอนและปรับประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์ ซึ่งส่วน มากจะใช้ด้านรูปแบบมากกว่าวิธีคิด เมื่อตัวเองได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการวิจัย กับสำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กับกลุ่มเพื่อนอาจารย์ที่ชื่นชอบ จิตตปัญญาเหมือนกัน โจทย์ทส่ี นใจคิดต่อ คือด้านความคิด จิตวิญญาณของจิตตปัญญา มหาสารคามที่ควรจะเป็น ช่วงระหว่างที่ทำ�โครงการวิจัยนั้นพอดีกับเป็นช่วงที่ลา เรียน จึงไม่ได้นำ�ไปปรับใช้กับการเรียนการสอน แต่นำ�มาใช้กับตัวเองเป็นหลัก โดย พยายามศึกษาจิตตปัญญาแนวพุทธศาสนา และเปรียบเทียบจิตตปัญญาที่ตัวเองเคย เรียนรูม้ า ในความเห็นของตัวเอง แมวได้ความรูว้ า่ พุทธศาสนาสอนด้านจิตทางตรง สอน ให้ดูจิตตัวเอง เพื่อการเข้าใจตนเอง แต่กระบวนจิตตปัญญาที่แมวเคยไปฝึกอบรม มา จะใช้กระบวนการ และกระบวนกรเป็นผู้นำ�พาไปสู่การเข้าใจตัวเอง ซึ่งวิธีการ หลังนี้ เหมาะสำ�หรับคนที่ไม่รู้ว่าจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร เช่นการใช้กระบวนการ
กรามล็อก 107
เรื่อง “สัตว์ 4 ทิศ” ก็เป็นกระบวนการง่าย ๆ ให้รู้ว่าตนเป็นคนลักษณะไหน แต่ใน แต่ละกระบวนการก็มีจุดอ่อนของมันเอง และตัวกระบวนกรก็ต้องทันกับจุดอ่อน นั้นๆ ด้วย ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากกระบวนกรต้องผ่านการฝึกฝน ใคร่ครวญ ครุ่นคิดในแต่ละกระบวนการอย่างถ่องแท้ เพื่อจะปิดรูรั่วหรือแก้จุดอ่อนของแต่ละ กระบวนการ เหตุเพราะความอ่อนด้อยของตัวเองต่อกระบวนการเหล่านี้ ทำ�ให้แมว ขาดความมั่นใจในการจัดกระบวนการเหล่านี้อีก แมวได้เข้าร่วมกระบวนการกับเพื่อน ๆ ในทีมวิจัยอีกครั้งในช่วงต้นเดือน เมษายน ที่ผ่านมา หลังจากที่ห่างหายไปจากทีมวิจัยหลายเดือน เพราะต้องกลับ ไปทำ�งานวิทยานิพนธ์ของตัวเอง ทีมวิจัยได้เชิญกระบวนกรสองท่าน คืออาจารย์ ประสาท ประเทศรัตน์ และอาจารย์ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย มาจัดกระบวนการให้กับ พวกเรา กลุ่มนี้เน้นการ “การทำ�ความรู้สึกตัว” โดยใช้ฐานกายเป็นหลัก การขยับ ร่างกายอย่างรู้ตัว เป็นการดึงสติให้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งช่วยเหลือแมวอย่างมาก ก่อนเข้าร่วมการฝึกอบรมครั้งนี้ แมวกำ�ลังครํ่าเคร่งกับการเขียนวิทยานิพนธ์ จนไม่รู้ว่าตัวเองป่วย เพราะมันอยู่กับความเครียดจนชิน จนกระทั่งร่างกายเริ่มฟ้อง ว่าป่วย คืออาการกรามแข็ง เวลาตื่นนอนจะรู้สึกปวดกรามทุกครั้ง แต่ก็ไม่รู้จะแก้ไข อย่างไร และช่วงนี้เป็นช่วงที่ฟันผุ หมอฟันนัดรักษารากฟันทุกเดือน แมวพยายาม นำ�พาตัวเองสวดมนต์ นั่งสมาธิ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะความกังวลใจเรื่องงานมันสูง เกินกว่าที่จะแก้ไขด้วยตัวเองได้ พออาจารย์ต๋อย (ด.ร.ฤทธิไกร ไชยงาม) ชวนเข้าร่วม การฝึกอบรมก็ลงั เลเพราะห่วงงาน แต่กร็ วู้ า่ ตัวเองเครียดเกินกว่าจะเขียนงานได้ จึงมา เข้าร่วมงานในครัง้ นี้ อาจารย์ตอ๋ ยพามาคุยกับกระบวนกรก่อน พอได้ฟงั กระบวนกรว่า “พวกเราต้องออกจากความคิด” แมวก็สนใจว่ากระบวนกรหมายถึงอะไร ก่อนการฝึกอบรม แมวได้มีโอกาสพูดคุยกับกระบวนกร และเล่าให้ท่านฟัง ว่าตอนนี้ตัวเองกำ�ลังเครียด มันรู้สึกหนัก ๆ สมอง กรามเกร็ง ปวดกรามและฟัน แมวรู้ว่ามาจากความเครียด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง เพราะพยายามหลายวิธีแล้ว
108 นารีรัตน์ ปริสุทธิวุฒิพร
แต่ก็ไม่ดีขึ้น กระบวนกร (อาจารย์ประสาท) บอกว่า “ออกจากความความคิดสิ” แมวก็สงสัยว่าคืออะไร ออกยังไง ท่านก็ไม่ชี้แจง แต่พาทำ� โดยให้เราวางท่าเหมือน ออกกำ�ลังกาย แต่ให้รู้สึกตัว การยกเท้า ก่อนย่างเท้า ก็ยกแช่อยู่นานจนรู้สึกเมื่อย การเดินเร็ว เดินช้า แต่ให้รู้สึกตัวตลอดเวลา ให้ใจอยู่กับร่างกาย อาจารย์พาทำ�อย่าง นี้สองสามรอบ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง และอาจารย์จึงมาชวนให้คุยถึงความรู้สึก ตอนนั้นแมวรู้สึกว่า กรามที่มันเคยเกร็งตลอด มันคลายตัวไปตอนไหนไม่รู้ แล้วพบ ว่าใบหน้าของตัวเองมีรอยยิม้ การเปลีย่ นแปลงทีต่ วั เองสัมผัสได้ดว้ ยตัวเองนี้ มันเกิน ที่จะบรรยาย มันเป็น “ความรู้” ที่เกิดขึ้นเฉพาะตน เพราะเราทำ�เอง เห็นเอง รู้เอง และอาการป่วยก็หายเอง แมวถามอาจารย์ถึงอาการที่ตัวเองหาย ว่ามันเกิดจากอะไร อาจารย์บอกว่า “นีแ่ หละคือการออกจากความคิด คือให้มาอยูก่ บั ความรูส้ กึ ตัว ” อาจารย์เรียก วิธีการนี้ว่า “รีเซ็ต” อาจารย์บอกว่าไม่ว่าเราจะทำ�อะไร คิดอะไรอยู่ ให้ทำ�ความรู้สึก ตัวอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะกำ�ลังฟัง หรือพูดก็ตาม การมรีเซ็ตอยู่เนือง ๆ ทำ�ให้เราไม่จม กับเรื่องนั้น ๆ จากการป่วยและการรู้ทางออกของอาการป่วยของตัวเอง ทำ�ให้แมวรู้ว่าตัว เองต้องหมั่นรีเซ็ตหรือรู้สึกตัวบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้จมกับเรื่องใดนาน ๆ บางครั้งก็คิดว่า ตัวเองรีเซ็ตแต่เพื่อให้แน่ใจ อาจารย์ท้งั สองแนะนำ�ว่าลอง กลั้นลมหายใจนาน ๆ จน รู้สึกถึงการหายใจไม่ออกสิ นั่นแหละคือการกลับมาอยู่กับความรู้สึกตัวจริง ๆ และ นั่นแหละถึงจะมั่นใจว่าเราไม่ได้คิดไปเองว่าเรารีเซ็ต จากวั น นั้ น จนถึ ง วั น นี้ แมวรู้ ว่ า รี เซ็ ต มี ค วามสำ � คั ญ และจำ � เป็ น ในชี วิ ต ประจำ�วัน ถ้าเราดำ�เนินชีวิตโดยการขาดความรู้สึกตัว ปัญหาจะตามมา โดย เฉพาะความเครียด เพราะฉะนั้นความฝันอย่างหนึ่งตัวเองคือ ถ้าได้กลับไปทำ� หน้าที่สอนหนังสืออีกครั้ง จะนำ�รีเซ็ตเข้าชั้นเรียน เพื่อฝึกเด็ก ๆ ให้ทำ�ความรู้สึก ตัวให้เป็น และให้บ่อย พร้อมกับการสร้างกลุ่มจิตตปัญญาแนวพุทธ ที่ไม่ทิ้งรีเซ็ต ด้วยเช่นกัน
111
ต้องเกิดเป็นแม่ สุชาดา โกกนท
...ลูกชายก็โพล่งขึ้นมาว่า “ทำ�ไมแม่ไม่ไปเรียกยายเองล่ะ... แม่เป็นลูกยายแท้ ๆ...” อึ้งค่ะ ฉันอึ้งไปเลย ตอบคำ�ถามลูกไม่ได้ แต่ก็พบว่าตัวเองไม่สามารถพาตัวเองให้ไปตามแม่ มากินข้าวด้วยได้...
ต้องเกิดเป็นแม่ 113
ใครบางคนเคยบอกว่า บุคลิก ลักษณะ อุปนิสัยใจคอ และการแสดงออก ของคนเรา สามารถสะท้อนอะไรบางอย่างในอดีต หรือในชีวิตวัยเด็กของคน ๆ นั้น ได้ ซึ่งฉันคิดว่าจริง ถ้าฉันเล่าชีวิตตั้งแต่เด็กให้ฟัง บางคนอาจบอกว่า เหมือนละคร นํ้าเน่าของไทยไม่มีผิด และชีวิตที่ผ่านมาก็มีส่วนทำ�ให้ฉันมีบุคลิกค่อนข้างก้าวร้าว เอาเรื่องได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ ทุกเวลา หน้าตาเคร่งเครียด จริง ๆ แล้ว ที่กล่าว มาทั้งหมดนั่น เป็นไปโดยฉันไม่รู้ตัว มีอยู่ครั้งนึง...น้องชายคนเล็กอยากพาแฟน มาแนะนำ�ให้รู้จัก พอแฟนน้องชายเห็นฉันยืนรออยู่หน้าปากซอย เธอหันหลังกลับ วิ่งหนีไปดื้อ ๆ... ใช่แล้ว...ยํ้าว่า เธอวิ่งหนีไป ไม่ใช่เดิน... ด้วยความงง ฉันถามน้อง ชายว่าเกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันหรือเปล่า น้องชายตอบว่า “ไม่ใช่...เค้าเห็นพี่โม่งแล้ว กลัว เลยวิ่งหนีไปซะงั้น...” แม้กระทั่งที่ทำ�งานเก่า เพื่อนๆ และน้อง ๆ จะล้อว่า ตำ�แหน่งของฉัน ไม่ใช่นักวิชาการสาธารณสุข แต่เป็นตำ�แหน่ง เจ้าหน้าที่สร้างศัตรู หรือถ้าใครมีปัญหาไม่กล้าท้าชน ให้มาบอกพี่โม่ง...รับรองล้านเปอร์เซนต์ พี่โม่งออก หน้าแทนให้ หรือแม้แต่ในครอบครัว ถ้าน้าตอน (พี่สาว) มีเรื่องเดือดร้อนบางอย่างที่ จะเล่าให้ฟัง ก็จะต้องขอร้อง หรือถึงขั้นให้สัญญากันทีเดียวเชียวว่า ฉันจะต้องไม่ไป ลุยอย่างเด็ดขาด แม้แต่แม่...ฉันก็ยังไม่ค่อยพูดกับแม่...เนื่องจากความเจ้าคิดเจ้าแค้น
114 สุชาดา โกกนท
จากเหตุการณ์ในอดีต...นี่คือบุคลิกโดยรวมของฉัน คงพอจะจินตนาการถึงภาพของ ฉันได้ ถ้าเป็นพระอาจารย์ไพบูลย์ ท่านคงให้คำ�นิยามสั้น ๆ กับฉันคำ�เดียวว่า “บ้า” สัน้ กระชับ และชัดเจน น้อง ๆ บางคนทีท่ �ำ งานด้วยกัน เคยไปกราบนมัสการ รวมทัง้ อาศัยพระอาจารย์ในเรื่องที่พักและอาหาร กลับมาเล่าให้ฟังว่า พระอาจารย์พูดถึง ฉันว่า “ไอ้โม่งน่ะเหรอ...เมื่อก่อนมันไม่ฟังพระอาจารย์หรอก...มันบ้า!...” ฉันเคยร่วมกระบวนการพัฒนาจิตแนวจิตตปัญญามาพอสมควร แรกเริ่ม กระบวนการมีความรู้สึกว่าดีแล้ว ปลดปล่อยสิ่งที่มันล็อคอยู่ภายในใจออกมาได้ รู้จัก ตนเองดีขึ้น ใจเย็นขึ้น แต่รู้สึกว่ามันยังมีอะไรค้างคา...เพิ่งมาค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ เองว่า สิ่งที่ค้างคานั้น มันคือ “อารมณ์” เพราะเมื่อร่วมกระบวนการ จะมีช่วงเวลา ที่เป็นโหมด “จิตตก” หลายคนรวมทั้งตัวฉันเองได้ระบายสิ่งที่ค้างคาในใจออกมา ซึ่งหลาย ๆ คน ออกจากอารมณ์นั้นไม่ได้ (หรือออกจากอารมณ์ไม่เป็น) แต่ในขณะ นัน้ ฉันไม่รู้ ว่า ตก แล้วจะ ตัง้ ได้อย่างไร เชือ่ ว่าหลายๆ คน เคยเป็นแบบนัน้ ...ฉันเอง หลังจบกระบวนการในลักษณะนั้นแล้ว เกิดอาการเศร้าซึม มีอะไรมากระทบจิตใจ หน่อยก็สามารถร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ มีความรู้สึกว่าอาการมันหนักกว่าเดิมจน กระทั่งพี่สาท (ประสาท ประเทศรัตน์) ต้องใช้กลยุทธ์ไม้หนีบผ้ามาช่วยให้หลุดจาก ร่องอารมณ์ เมื่อก่อนนี้ มีความรู้สึกรำ�คาญพี่เขย (พี่สาท หรือน้าสาท) อย่างมาก...และ อาจถึงมากที่สุด เพราะคุยกับพี่สาทไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจว่าที่พี่สาทพูดออกมานั้น แกต้องการสื่ออะไร ไม่มีประธาน กริยา และกรรมมารองรับตามหลักวิชาการ หลุด เป็นวลีมาลอย ๆ ด้วน ๆ ไม่เสนาะหู ชวนทะเลาะเป็นที่สุด แต่ก็ยังเกรงใจพี่สาวอยู่ เลยต้องใช้วิธีเลี่ยง ๆ ไม่ไปเยี่ยมพี่สาวที่แพร่ หรือบางทีถ้าจะไปต้องโทรเช็คกับพี่สาว ก่อนว่า พี่สาทอยู่บ้านหรือเปล่า...เป็นถึงขนาดนั้น...เป็นอย่างนี้มานาน จนวันนึง... จุดเปลี่ยนก็มาถึง... ฉันพูดกับแม่น้อยมาก เป็นสิบ ๆ ปีมาแล้ว...แม้กระทั่งเวลาจะชวนแม่กินข้าว
ต้องเกิดเป็นแม่ 115
ด้วยกัน ฉันยังไม่รู้จะไปพูดกับแม่ยังไง ใช้ลูกชายให้ไปบอกยายให้มากินข้าวพร้อม กัน บางทียายก็มา...บางทีก็ไม่มา จนวันหนึ่ง ในขณะที่ฉันใช้ให้ลูกไปเรียกยายมากิน ข้าว ลูกชายก็โพล่งขึน้ มาว่า “ทำ�ไมแม่ไม่ไปเรียกยายเองล่ะ... แม่เป็นลูกยายแท้ ๆ...” อึ้งค่ะ ฉันอึ้งไปเลย ตอบคำ�ถามลูกไม่ได้ แต่ก็พบว่าตัวเองไม่สามารถพาตัวเองให้ไป ตามแม่มากินข้าวด้วยได้...ใจอยากจะไปหา ไปเรียกแม่ แต่ไม่รู้จะทำ�อย่างไร มันขัด เขิน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก บางวันไม่เคยพูดกับแม่เลยแม้แต่คำ�เดียว อีกอย่างนึงที่ฉัน รู้สึกขัดใจอย่างแรง และไม่ชอบมากๆ คือการที่แม่ไปร่วมขบวนการขายตรงสินค้า ต่างๆ เป็นเหมือนแชร์ลกู โซ่ ด้วยความอยากรวย หรืออะไรก็แล้วแต่ ฉันต้องการให้แม่ อยูบ่ า้ น ไปวัด มีชีวิตเรียบง่ายเหมือนผู้สูงอายุทั่วไป แต่แม่เป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้าม กับที่ฉันต้องการ...จากการไม่พูดกับแม่นาน ๆ เข้า และการปฏิบัติไม่ดีต่อแม่ ทำ�ให้ แม่เก็บข้าวของเสื้อผ้าออกจากบ้านไปโดยไม่บอกใคร ฉันกลับบ้านมาถามลูก ลูก ก็บอกไม่รู้ เพราะยายไม่ได้บอกอะไร จริง ๆ แล้วเบอร์โทรศัพท์ของแม่ก็มี แต่ด้วย ความที่แทบไม่เคยพูดกับแม่ และทิฐิมานะ ทำ�ให้ได้แต่มองโทรศัพท์ และเป็นห่วงอยู่ ลึก ๆ โทรปรึกษากับพี่สาวว่าจะทำ�อย่างไรดี โทรไปถามแม่ แม่ก็คงไม่บอกว่าอยู่ ที่ไหน แน่นอนว่าเรื่องนี้ถึงหูพี่สาท และพี่สาทก็ได้เริ่มแผนการบางอย่างโดยบอกว่า จะพาพระอาจารย์มาหาที่สำ�นักงานที่พิษณุโลก ในตอนนั้น ฉันไม่รู้จักพระอาจารย์ และโดยส่วนตัว ฉันไม่ชอบพระ!!! เพราะข่าวคราวต่าง ๆ ที่ผ่านสื่อออกมาส่วนใหญ่ เป็นไปในแง่ลบมากกว่าจะทำ�ให้คนเลือ่ มใส แต่กไ็ ม่รวู้ า่ จะปฏิเสธอย่างไร และในที่สุดพี่ สาทก็พาพระอาจารย์มาจนได้ ครั้งแรกที่พบกับพระอาจารย์ หลังจากกราบแล้วพระ อาจารย์พูดว่า “นี่เหรอไอ้โม่ง...ยิ้มแต่ปาก แต่ตาไม่ยิ้ม” คำ�นี้ ฉันยังจำ�ได้เป็นอย่างดี ฉันคุยกับพระอาจารย์ หลายอย่างหลายเรื่อง แน่นอน...เรื่องหลัก ๆ คือเรื่องของแม่ และความคาดหวังของฉันที่มีต่อแม่ พระอาจารย์ฟังแล้วก็บอกฉันสั้น ๆ ว่า “ถ้าเรา อยากให้แม่เป็นอย่างทีเ่ ราต้องการ...ง่ายมาก...เราต้องไปเกิดเป็นแม่ซะเอง” ผ่านไปเกือบสองเดือน จำ�ได้ว่าเป็นปลายเดือนตุลาคม ซึ่งอีกไม่กี่วันจะถึงวัน
116 สุชาดา โกกนท
ครบรอบ 30 ปี ที่พี่สาว น้องสาว และยาย เสียชีวิตในคราวเดียวกันจากอุบัติเหตุ รถชน ซึ่งครั้งนั้น มีน้าตอน เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว....ฉันได้โทรบอกน้าตอน ให้โทรหาแม่ ว่าให้มาทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลร่วมกันที่วัดในจังหวัดแพร่ แม่ตอบตกลง และทุกคนในครอบครัวก็มาพบกัน หลังจากทำ�บุญกันเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ได้กราบ ขอโทษแม่...แม่ร้องไห้ด้วยความปลื้มใจ และเก็บของกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม และ ลดกิจกรรมขายตรงลงอย่างมาก...ส่วนตัวฉัน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม่รู้ตัว จนเมื่อได้คุยกับน้องชายที่อยู่ต่างประเทศ ลูกชาย และเพื่อน ๆ แทบทุกคนถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับฉัน คำ�พูดของฉันเปลี่ยนไป นํ้าเสียงเปลี่ยนไป และอารมณ์เปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้น..แต่กลับไม่รู้ตัว...ต้องขอขอบคุณสองทฤษฎีคือ 1. ทฤษฎีตกตั้งใหม่ 2. ทฤษฎีไม้หนีบ การได้สนทนากับพระอาจารย์นั้น จริง ๆ แล้วยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีก มากมายที่ทำ�ให้ฉันได้รู้ว่า การตั้งเมื่อรู้ว่าตกนั้น เป็นสิ่งที่ทำ�ได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ จะทำ�กันได้ง่าย ๆ อีกเหมือนกัน สำ�หรับฉัน เรื่องสำ�คัญที่สุดคือ ฉันตกไปแล้ว แต่ไม่ รู้ตัวว่าตก มันจะทำ�ให้ตั้งลำ�บาก แต่อย่างน้อย ฉันก็รู้ว่า ตัวเองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น คือเริ่มรู้ว่าตก ซึ่งบางทีอาจรู้ช้าไปบ้าง แต่ก็ยังรู้ และกลับมาตั้งใหม่ บางทีก็ พยายามตัง้ อยูห่ ลายครัง้ กว่าจะตัง้ ได้...เพราะบางทีการติดอยูใ่ นร่องอารมณ์ มันเพลิน มันสะใจ นี่แหละ สำ�หรับฉัน มันยากตรงนี้...เพื่อน ๆ บางคนบอกว่า อยากให้พระ อาจารย์มาสอน แต่ฉันบอกว่า พระอาจารย์ไม่ได้สอนหรอก พระอาจารย์เพียงแต่ แนะให้เท่านั้น นอกนั้นอยู่ที่ฉันเอง ว่าจะรับมาได้แค่ไหน อุปมาว่า พระอาจารย์เพียง ยื่นแผนที่ลายแทงขุมทรัพย์ให้ฉัน ตัวฉันต้องเดินทางไปเอาขุมทรัพย์นั้นด้วยตัวเอง ซึ่งทรัพย์ที่ได้ ก็อาจได้ไม่เท่ากัน ซึ่งแล้วแต่ความเข้าใจ ความเพียรในการฝึก ตั้ง ของ แต่ละบุคคลนั่นแล...
Credit: Paolo Neoz
119
ดื้อตาใส สุกัญญา ใจทัน
...พระอาจารย์บอกฉันว่า ชีวติ เธอไม่เบียดเบียนใครเลยหรือ เมื่อเริ่มเกิดเธอก็เริ่มเบียดเบียนแม่เธอแล้ว เธอกินข้าว เธอก็เบียดเบียนสัตว์ งั้นกินอะไรดี กินหญ้าไหม กินหญ้าก็เบียดเบียนวัวควาย เปลี่ยนเป็นกินนํ้า อย่างเดียวสิ กินนํ้าก็เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในนํ้า เธอแน่ ใจเหรอว่าเธอจะสามารถอยู่ได้แบบไม่เบียดเบียนใคร...
ดื้อตาใส 121
ฉันทำ�งานอยู่ในองค์กรที่เรียกว่าสาธารณสุขมากกว่า 15 ปี แต่มอง ๆ ไปแล้วน่าจะใช้คำ�ว่า “สาธารณทุกข์” มากกว่า ก่อนหน้านี้ฉันเป็นพยาบาลอยู่ใน โรงพยาบาลขนาดพันเตียงที่กรุงเทพ ชีวิตในแต่ละวันวิ่งวุ่น เร่งรีบ มากมายด้วยเรื่อง ราวที่ต้องเจอะเจอในแต่ละวันทั้งเรื่องคนไข้ ทั้งเรื่องคนในชุมชน ผสมกับเรื่องราว ของตนเอง เรียกว่าดรามาสุด ๆ ฉันทำ�งานแบบไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยเพียงแค่ไม่อยาก โดนใครตำ�หนิ ทุกเรื่องที่ฉันทำ�ต้องออกมาดีที่สุด ถึงฉันไม่เคยบอกใครเป็นคำ�พูดแต่ ลึก ๆ ในใจฉันรู้ว่าฉันต้องการ การยอมรับจากทุกคนที่ฉันเกี่ยวข้องด้วย การทำ�งาน ของฉันจึงเต็มไปด้วยความทุ่มเท อดทน ต้องหอบงานมาทำ�ที่บ้านตีหนึ่ง ตีสอง แม้ กระทัง่ ตั้งท้องฉันก็ไม่เคยผ่อนคลายยังคงหอบโน้ตบุ๊คมานั่งพิมพ์งานยามว่าง ฉันอาจ ได้รับคำ�ชมจากผู้ร่วมงานว่าเป็นคนเก่ง แต่เบื้องหลังฉันกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อน ล้ากับการงาน ยิ่งหลังคลอดลูกความรับผิดชอบทั้งลูก ทั้งงานประดังประเดเข้ามาจน แทบล้มทั้งยืน ฉันเริ่มปล่อยตัวเองให้โทรมสุด ๆ หน้าตาเศร้าหมอง ไม่มีเค้าของความ สุข ความสนุกในชีวติ หลงเหลืออยูเ่ ลย ฉันรูส้ กึ ซังกะตายกับชีวติ หายใจทิง้ ไปวัน ๆ หนักเข้าก็ หาหนังสือธรรมะมาอ่านรู้สึกเพลิดเพลินเมื่อได้อ่านข้อคิดข้อธรรมจากครูบาอาจารย์ ที่ทา่ นผ่านการฝึกฝนและปฏิบตั ิ ถึงแม้ไม่สามารถเข้าใจถึงนัยยะบางอย่างในตัวอักษรนัน้ ฉันรู้แค่ว่าอ่านหนังสือธรรมะแล้วฉันรู้สึกสบายใจแค่นั้นเอง แต่เมื่อต้องเผชิญกับเรื่อง
122 สุกัญญา ใจทัน
ราวที่เกิดขึ้นจริงระหว่างวัน ข้อคิดดี ๆ จากหนังสือธรรมะกลับไม่สามารถพาฉันให้ หลุดพ้นจากการกดทับของอารมณ์ที่มากระทบได้เลย “เดี๋ยวจะมีการอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้กับ อสม. นกพา อสม.มาเข้า ร่วมอบรมสักสองสามคนสิ” เสียงของพี่นุช (ณรังษี เมฆบุญส่งลาภ) โทรมาบอกฉัน อบรมอีกแล้ว...สาธารณสุขนี่เป็นไงนะ เอะอะก็จัดอบรม ฉันนึกบ่นในใจแต่ปากก็ ตอบรับคำ�พี่นุชด้วยความเกรงใจ ฉันจำ�เป็นต้องขับรถไปส่ง อสม.ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ เราต้องพาคนไปอบรม เดี๋ยวส่ง อสม.เสร็จเราก็แอบหนีกลับดีกว่า ฉันมักทำ�อย่างนี้ ประจำ�เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการอบรมที่จัดได้จัดดีกันเกือบทุกอาทิตย์ เมื่อไปถึง สถานที่อบรมฉันเห็นกระบวนกรสองท่านแต่งตัวแปลก ๆ ฉันมองแบบงง ๆ พลางนึก ในใจ อบรมอะไรทำ�ไมกระบวนกรท่าทางแปลก ๆ เมื่อเริ่มเข้าสู่กระบวนการอาจารย์ ประสาทและอาจารย์ศรชัยพาพวกเราทำ�ความรู้สึกตัวด้วยการนอน หลังทำ�ฉันรู้สึก สบายใจอย่างประหลาด มันโปร่งโล่ง เบาสบาย มันเหมือนเราเดินทางมาไกลรู้สึก เหนื่อย หิวกระหาย แล้วอาจารย์ก็ยื่นนํ้าเย็น ๆ ให้ฉันดื่มฉันรู้สึกเหมือนกับมีอะไร บางอย่างดึงดูดให้ฉันอยู่ร่วมกิจกรรมกับอาจารย์ทั้งสองจนจบงานทั้งที่ฉันไม่เคยเป็น อย่างนี้มาก่อน ฉันรู้สึกแค่ว่าสิ่งที่อาจารย์พาทำ�มันทำ�ให้ฉันรู้สึกดี อาจารย์พูดถึง ความคิดกับความรูส้ กึ ตอนนัน้ ฉันไม่รหู้ รอกว่า อะไรความคิด อะไรความรูส้ กึ แต่จ�ำ ได้ ว่าฉันถามอาจารย์ประสาทไปว่า “เราควรใช้ความคิดหรือความรู้สึกในการดำ �เนิน ชีวิต” “อืม!!! คำ�ถามนี้ดี แต่ต้องรอไปถามอาจารย์ผม พระอาจารย์จะมาที่คลอง มะแพลบอาทิตย์หน้า หาโอกาสมาสนทนาให้ได้นะ” “หนูหวังว่าหนูจะมีบุญกุศลได้ เจอพระอาจารย์นะคะ” ด้วยความที่ฉันอยากเจอพระอาจารย์เพราะฉันรู้สึกสงสัยในเรื่องราวเกี่ยวกับ ธรรมะจากหนังสือทีต่ นเองชอบอ่านอยูเ่ ป็นประจำ� ฉันจึงตัง้ จิตอธิษฐานหลัง สวดมนต์ ทุกคืนว่าถ้าฉันยังมีวาสนาพอ ขอโอกาสให้ฉันได้เจอครูบาอาจารย์ที่จะทำ�ให้ฉันหลุด จากวงจรชีวิตที่แสนหดหู่อยู่ขณะนี้ และเมื่อถึงวันที่พระอาจารย์เดินทางมาถึงพี่นุช
ดื้อตาใส 123
โทรนัดฉันให้ไปเจอกันที่ อบต.ศรีภิรมย์ วันนั้นฉันต้องอยู่เวรที่สถานีอนามัยเมื่อว่าง จากคนไข้ฉนั รีบขับรถไปอบต.ศรีภริ มย์ แต่เมือ่ ไปถึงกลับไม่พบใครเลยฉันโทรหาพีน่ ชุ พี่นุชไม่รับโทรศัพท์ ฉันรู้สึกผิดหวังขับรถกลับมาที่สถานีอนามัยด้วยระยะทางไม่ตํ่า กว่า 30 กิโลเมตร เมื่อบ่ายคล้อยพี่นุชโทรกลับมาหาฉัน บอกย้ายสถานที่เป็นบ้านชาวบ้าน ฉัน เลยขับรถกลับไปอีกรอบด้วยความตั้งใจที่อยากเจอพระอาจารย์อย่างเต็มเปี่ยม ครั้ง แรกเมื่อเห็นฉันรู้สึกแปลกใจพระอาจารย์รูปร่างเล็ก ๆ ผอมเพรียวท่าทางคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน ช่างตรงข้ามกับที่ฉันนึกไว้โดยสิ้นเชิง ฉันคิดว่าครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบต้องมีท่าทางสงบเสงี่ยม เคร่งขรึม แต่เมื่อฉันได้ฟังคำ�ตอบทางธรรม ที่พระอาจารย์กรุณาขยายความต่อข้อคำ�ถามของพวกเรากลับทำ�ให้ฉันยิ่งทึ่งหนัก เข้าไปอีก พระอาจารย์พูดแต่คำ�จริง และทุกสิ่งที่พระอาจารย์พูดฉันไม่อาจปฏิเสธ ได้เลย เช่น ฉันถามพระอาจารย์ว่าศีลข้อหนึ่งว่าด้วยการเบียดเบียน ดังนั้น เราไม่ ควรกินเนื้อสัตว์ใช่ไหม พระอาจารย์บอกฉันว่า ชีวิตเธอไม่เบียดเบียนใครเลยหรือ เมื่อเริ่มเกิดเธอก็เริ่มเบียดเบียนแม่เธอแล้ว เธอกินข้าวเธอก็เบียดเบียนสัตว์ งั้นกิน อะไรดี กินหญ้าไหม กินหญ้าก็เบียดเบียนวัวควาย เปลี่ยนเป็นกินนํ้าอย่างเดียวสิ กินนํ้าก็เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในนํ้า เธอแน่ใจเหรอว่าเธอจะสามารถอยู่ได้แบบ ไม่เบียดเบียนใคร หรือคำ�ตอบที่พระอาจารย์ตอบเพื่อนพยาบาลเมื่อเธอถามเรื่อง การแก้ไขปัญหาบุหรี่ สุรา พระอาจารย์บอกว่าเขาไม่ได้ติดบุหรี่หรือสุราแต่เขา “ติด อารมณ์” ในการสูบบุหรีห่ รือดืม่ สุรา ฉันเห็นจริงตามพระอาจารย์ จำ�ได้วา่ ขณะขับรถ กลับสถานีอนามัยฉันทำ�ความรู้สึกตัวด้วยการรู้สึกถึงมือที่จับพวงมาลัย เท้าทีแ่ ตะอยู่ กับคันเร่ง ตาทีม่ องไปยังถนน “ไม่กงั วลกับอดีต ไม่ลงั เลกับอนาคต” นัยยะในธรรม ของสิ่งนี้ผุดขึ้นในความรู้สึกของฉันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ความข้องใจจากพยัญชนะ หายไปจากใจอย่างง่ายดายเมื่อเราสัมผัสได้จากการปฏิบัติของเราเองมันลึกซึ้งเมื่อ เรารู้สึกได้ต่อสิ่งนั้น หลังจากนั้นฉันมีโอกาสไปปฎิบัติธรรมกับพระอาจารย์ที่แพร่
124 สุกัญญา ใจทัน
และที่วัดจอมมณีอีกหลายครั้ง แต่อยากบอกว่าถึงแม้ฉันจะไปเข้าร่วมฝึกฝนตนเอง เรียนรู้กับครูบาอาจารย์ แต่ฉันก็ยังไม่คล้อยตามหรือเชื่อฟังครูบาอาจารย์หรอกนะ “นกมันร้าย มันดือ้ ตาใส” อาจารย์ประสาทเป็นนักสังเกตชัน้ ยอดจากสีหน้าและแววตาของ ฉัน อาจารย์รู้ดีว่าฉันกำ�ลังเมามันอยู่กับการกอดเกี่ยวความคิดของตนเองไว้อย่างไม่ หยุดหย่อน แต่เมื่อมีเรื่องราวมากดทับใจ ฉันกลับไม่ใส่ใจต่อคำ�ตักเตือนของอาจารย์ และใช้วิธีเดิม ๆ ในการแก้ปัญหา โดยการสร้างโลกของตนเองขึ้นมาในความคิด ฉัน จินตนาการไปต่าง ๆ นานา ด้วยเชื่อว่าคิดให้จบ แต่ฉันไม่รู้เลยว่าไม่มีทาง เพราะเมื่อ เริ่มต้นคิดมันจะพันต่อยอดไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายก็จบไม่ลง ตาลอย ใจลอยไปกับ เรื่องราวความคิดในหัว และแล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่เข้ามาเป็นบทเรียนอันร้ายแรงสำ�หรับฉันก็เกิด ขึ้นจนได้ ฉันเตรียมเงินเกือบแสนใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายมันเป็นเงินเดือนของ อสม. สองเดื อ นพร้ อ มกั บ เงิ น เดื อ นของฉั น ทั้ ง เดื อ น เช้ า วั น นั้ น ฉั น นั ด จ่ า ยเงิ น เดื อ นให้ กับ อสม.และด้วยความที่คิดโน่น นี่ นั่นไม่หยุด ฉันเผลอวางกระเป๋าสะพายไว้บน กระโปรงท้ายรถและขับรถออกไปอย่างไม่เฉลียวใจ ฉันนั่งคุยไปกับลูกสาวเพื่อไปส่ง ลูกเรียนพิเศษ เมื่อจะลงไปทานข้าวฉันควานหากระเป๋าในรถแต่กลับว่างเปล่า วินาที นัน้ ฉันใจหายวูบนึกทวนไปว่าฉันลืมกระเป๋าไว้ทไ่ี หน ฉันเผลอปลอบใจตนเองว่าคงยัง ไม่ได้หยิบมาจากบนบ้าน ความคิดมากมายเริ่มประดังประเดเข้ามาในหัว ฉันจะทำ� ยังไง เงินจำ�นวนมากขนาดนี้ฉันจะไปหามาคืน อสม.ได้จากที่ไหน แล้วไหนจะเงิน เดือนฉันอีกฉันจะเอาอะไรกิน เอาที่ไหนเลี้ยงลูก พอคิดไปถึงตอนนี้นํ้าตาเริ่มคลอ เบ้า มือสั่น ใจสั่นหวิว ๆ เหมือนจะเป็นลม ฉันหันไปมองหน้าลูก แวบแรกที่เห็นหน้า ลูกคำ�อาจารย์ผุดขึ้นมาในใจฉันทันที แม่เป็นอย่างไรลูกเป็นอย่างนั้น แม่สุขลูกสุข แม่ทุกข์ลูกทุกข์ ฉันเห็นสีหน้าและแววตาของลูกที่เต็มไปด้วยความวิตก หวาดกลัว และเสียขวัญลูกทำ�หน้าจะร้องไห้ วินาทีนั้นฉันนึกถึงพระอาจารย์ นึกถึงสิ่งที่ฉันได้ ไปรํ่าเรียนมา “นำ�กลับมารู้สึกตัวออกจากความคิดที่ทำ�ให้ใจเสียหาย เธอต้องทำ�เอง
ดื้อตาใส 125
เพราะมันทำ�แทนกันไม่ได้” ฉันงัดเอาวิชาความรู้ที่ไปฝึกฝนมา ด้วยเชื่อว่าเป็นที่พึ่ง สุดท้ายสำ�หรับฉัน ฉันต้องออกจากความคิดให้ได้ก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน ตามองถนน มือจับพวงมาลัย เท้าแตะคันเร่ง ก้นและแผ่นหลังที่สัมผัสกับเบาะฉันทำ�ความรู้สึกตัว ไปตลอดทางที่ขับรถกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเท้าสัมผัสพื้นรู้สึกชัดถึงนํ้าหนักของฝ่าเท้า มือเปิดประตูบ้านก็รู้สึกชัดถึงสัมผัสของมือที่จับลูกบิดประตู พักใหญ่ฉันเริ่มรู้สึก เป็นปกติ แต่ยังมีความคิดแวบเข้ามา เมื่อเริ่มคิดฉันรีบกลับมารู้สึกตัว ฉันเฝ้าสังเกต ตนเองตลอดเวลาจนรู้สึกได้ว่าปกติดีแล้ว ฉันจึงจัดการเรื่องราวของตนเองไม่ว่าการ แจ้งความ การติดต่อเพื่อขอเลื่อนจ่ายเงินกับ อสม. การติดต่อขอทำ�เอกสารที่หายไป ซึ่งฉันสามารถจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเป็นปกติและทุกอย่างก็ดำ�เนินไปอย่าง เรียบร้อย ฉันสังเกตใจตนเอง ฉันพบว่าแม้ฉันจะไม่ได้เงินคืนแต่ใจฉันกลับ สงบ ระงับ ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด อาจารย์บอกฉันว่า “บังเอิญไม่มี ผลเกิดจากเหตุ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันต้องเกิดอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกอย่างไรต่อเรื่องตรงหน้า ชอบกับชัง สองสิ่งเท่านั้นที่เกิดขึ้นใน ใจเรา ชอบก็ปกติ ชังก็ปกติ ทุกสิ่งปกติ ใจเราต่างหากที่ไม่ปกติเมื่อมันไปจับกับ เรื่องราว” จากเรื่องราวในครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสำ�หรับฉัน มันมาเพื่อสอน เพื่อเตือนให้ฉันหมั่นฝึกฝน หมั่นสะสม เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราต้องเผชิญจริง ๆ เรา จะรู้ว่ากำ�ลังจากการสะสมเป็นสิ่งที่สำ�คัญที่สุดเพราะไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง.
127
ภาณุเดช วศินวรรธนะ
...ระหว่างนี้ผมรีเซ็ตตัวเองอย่างหนักไม่ได้มี ความฟูมฟาย ไม่ได้คิดหาถ้อยคำ�ด่าเพื่อน ไม่ได้คิดว่ากระสุนเข้าหัวใจไหม กูจะรอดไหม เหลืออีกตั้งหลายอย่างในชีวิตที่ยังไม่ได้ทำ� ผมไม่ได้คิดสิ่งเหล่านี้ผมแค่รู้สึกอยู่ที่มือที่กดลงไป ตรงรูเล็ก ๆ ที่รู้สึกเจ็บและจุกนิด ๆ ...
ไม่ใช่ซิปโป้ 129
ยํ่ า เย็ น หนึ่ ง คุ ย กั น ในวงเพื่ อ น 8 - 9 คนแล้ ว ก็ มี เ สี ย งเอ่ ย ขึ้ น ว่ า “ไป เชียงคานกันไหม” เราคุยกันเย็นนั้นเพื่อที่จะออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้นและแล้วก็ สิริสมาชิกรวมได้ 6 คนเที่ยวเล่นไปตามทางเรื่อยๆ จนถึงเชียงคานบ่ายแก่ ๆ หาที่พัก เดินเล่นกินดื่มคุยจนเวลาล่วงมาถึงเที่ยงคืน ตอนนั้นเมาได้ระดับกำ�ลังดีมีความสุข เพลินเพลินไปกับบรรยากาศรวมกับการรีเซ็ตตัวเองอยู่เรื่อยๆ ถ้าใครสะดุดกับคำ�ว่า “รีเซ็ต” ผมอธิบายได้คร่าว ๆ ว่าเป็นกระบวนการหนึ่งที่ตัวเรารู้สึกตัว เรารู้สึกว่าก้น สัมผัสเก้าอี้ เท้ากำ�ลังไขว้ทับกัน มือที่สัมผัสแก้วเย็น นํ้าที่ไหลลงคอผ่านหลอดอาหาร ค่อย ๆ เย็นวาบไล่ลงไปเพื่อให้เราออกจากความคิดออกจากเรื่องราวทั้งดีและไม่ดี ไม่ต้องมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจใด ๆ ทั้งสิ้นมีเพียงตัวเราที่รู้สึกตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้หรือมอง อีกมุมหนึ่งเช่นเรารู้สึกหิวมาก ๆ จนคิดอะไรไม่ออกเราใช้ความรู้สึกเหล่านั้นเพื่อออก จากความคิดนั่นเอง ส่วนที่ว่ารีเซ็ตแล้วมันดีอย่างไรลองอ่านต่อดูครับ เสียงเพื่อนกระซิบมาไกล ๆ ว่าเดี๋ยวไปซื้อนํ้าแข็งก่อน เสียงเพื่อนกระซิบ ใกล้ ๆ ว่าเดี๋ยวเข้าไปเก็บของก่อนด้วยความที่นิสัยผมเป็นคนซน (มาก) ความอยากรู้ อยากเห็นสูง (มาก) ประกอบเพื่อนเพิ่งหายตัวไปหมดเหลือเพียงผมคนเดียวในระยะ ห้าเมตรซึ่งมีความสงสัยว่าไอ้ซิบโป้น่าตาประหลาดนี่มันจุดยังไงด้วยความรวดเร็วผม ง้างเดือยอะไรสักอย่างทีละเดือยจนครบสามเดือยไฟมันก็ยังไม่ติด สงสัยคงต้องกด ปุ่มนี้หละมั้ง พอกดปุ๊บไฟมันติดวาบผมรู้ทันทีเลยว่ามันไม่ใช่ไฟแช็ค แต่มันเป็นปืน
130 ภาณุเดช วศินวรรธนะ
เลือดอาบมืออย่างรวดเร็วพร้อมกับรูเล็กๆ ตรงซี่โครงซ้ายแถว ๆ หัวใจ ผมมองไปที่เพื่อนที่หันมาด้วยหน้าตาที่อึ้งสุดขีดแล้วถามผมว่าโดนป่ะหน่ะ ผมตอบเบา ๆ ว่าโดน สองคนที่อยู่นิ่งไปห้าวินาทียกเว้นผมที่กำ�ลังถอดเสื้อออก เพื่อเอามาอุดรูเล็ก ๆ นั้น ระหว่างนี้ผมรีเซ็ตตัวเองอย่างหนักไม่ได้มีความฟูมฟาย ไม่ได้คิดหาถ้อยคำ�ด่าเพื่อน ไม่ได้คิดว่ากระสุนเข้าหัวใจไหม กูจะรอดไหม เหลืออีก ตั้งหลายอย่างในชีวิตที่ยังไม่ได้ทำ� ผมไม่ได้คิดสิ่งเหล่านี้ผมแค่รู้สึกอยู่ที่มือที่กดลงไป ตรงรูเล็ก ๆ ที่รู้สึกเจ็บและจุกนิด ๆ ผมต้องเตือนสติเพื่อนว่า “โรงบาลไปเอารถมา” เพือ่ นเจ้าของรถวิง่ ไปวิง่ มาอยูส่ องรอบมันลืมกุญแจ ผมก็บอกมันว่าใจเย็น ๆ กูยงั ไม่ตาย แล้วก็ยิ้มนิด ๆ ที่ได้เห็นความลนลานของเพื่อน เพื่อนอีกสองหรือสามคนกลับมาจากไปซื้อนํ้าแข็งเห็นผมยืนพิงผนังรอรถ ที่เพื่อนอีกคนกำ�ลังขับมาผมก็เล่าไปสั้น ๆ มันก็ลนเหมือนกัน พอผมขึ้นรถทุกคนก็จะ ตามกันไปหมด ผมเลยแนะให้ทิ้งคนไว้ที่นี่ด้วย เพื่อนก็มีสติขึ้นมา ถ้าเราฟูมฟายเรา นั่นแหละที่จะตาย! ออกจากความคิดแล้วมารู้สึกตัวอีกทีผมได้รับการปฐมพยาบาล จากรพ.เชียงคานมายังรพ.เลยระหว่างนั้นก็เป็นเวลาที่ผมต้องนอนอยู่เฉย ๆ ยังดีที่ เขาให้เอาเพื่อนเข้ามาในรถพยาบาลได้ ระหว่างนี้ก็โทรบอกข่าวเพราะอาจจะไม่ฟื้น สีหน้าเพื่อนที่นั่งมาด้วยดูไม่ค่อยดีผมก็สำ�รวจจากระดับความเจ็บปวดแล้วไม่น่าตาย แล้วผมก็บอกเพื่อนว่าไม่ตายหรอกไม่ต้องเครียด สีหน้าเพื่อนก็แลดูมีรอยยิ้มขึ้น มาบ้าง ผมไม่ได้ปลอบเพื่อนนะตอนนั้นผมพูดความจริง ไม่งั้นบทความนี้คงจะไม่ได้ ถูกถ่ายทอดออกมา บอกอีกทีว่าผมรีเซ็ตตลอดเวลาเท่าที่จะทำ�ได้ ถึงรพ.เลย หมอก็ซาวน์หากระสุนไม่เจอแปลว่ามันเข้าไปลึกต้องผ่า และ แล้วผมก็ต้องหลับตาด้วยยาสลบ พริบตาเดียวผมก็ต้องลืมตามาด้วยความเจ็บปวด ขั้นสูงสุด ความเจ็บที่ผมดีใจอย่างสุดซึ้งมันทำ�ให้ผมรู้ว่าผมยังไม่ตาย ผมนอนอยู่เตียง
ไม่ใช่ซิปโป้ 131
หน้าสุดติดกับเคาน์เตอร์ที่พยาบาลอยู่ มันคือเตียงที่ใครมานอนตรงนั้นแล้วมีโอกาส ไม่ตน่ื สูง เสียงพยาบาลถามว่าปวดไหม เสียงผมไม่มหี รือว่ากูจะเป็นใบ้แล้ววะ ผมพยัก หน้าไปก่อน พยาบาลจึงนำ�ยามาฉีดบรรเทาอาการปวดไปได้เยอะ เวลานั้นก็จะเช้า แล้วเพื่อนก็เริ่มทยอยกลับไปทำ�งาน พ่อกับแม่ก็กำ�ลังเดินทางมา เป็นช่วงที่ผมต้อง อยู่คนเดียว นอนรีเซ็ตตัวไปเรื่อย ๆ นอนนิ่งมากเพราะรีเซ็ตอยู่ เวลานั้นผมรีเซ็ตได้ ง่ายมากเพราะรู้สึกตัวได้จากอาการปวดมันชัดมากจนพยาบาลมาทักว่าเมื่อยไหม เปลี่ยนท่านอนบ้างก็ได้นะ ผมก็ทำ�ได้แค่เอาหมอนมารองหลัง ทำ�มากกว่านั้นไม่ได้ แล้วเพราะสายยางที่เข้าออกในตัวผมตอนนั้นมีสักห้าเส้นได้ หลังจากได้จิบนํ้าไปเสียงผมก็กลับมา พยาบาลเปลี่ยนเวรมาใหม่มองดูผม ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีนัก คงเพราะผมไปเกี่ยวข้องกับปืนดูเป็นนักเลง ผมจึงต้อง รีเซ็ตเพื่อที่จะคุยกับพยาบาลได้เป็นปกติ คุยไปคุยมาเขาก็รู้เองว่าผมไม่ได้เป็นนักเลง และสีหน้าก็เปลี่ยนไปมือไม้ก็เบาลง ผมนอนอยู่ ที่ ร พ.เลยอยู่ สั ก อาทิ ต ย์ ห นึ่ ง พร้ อ มกั บ ความเพลิ ด เพลิ น ไปกั บ มอร์ฟีน ผมถูกย้ายไปเตียงที่ห่างออกไปจากพยาบาล พ่อผมแม่ผมและเพื่อนผมมา นอนเฝ้าอาการประทับใจมาก อันที่จริงผมไม่ต้องการกำ�ลังใจอะไรเลยเพราะกำ�ลัง ใจเอาไว้ใช้ปลอบใจตัวเองมันคือความคิดที่รบกวนจิตใจเปล่า ๆ แต่ที่ขาดคนเฝ้าไม่ ได้นี่เพราะผมลุกเองไม่ได้ หยิบนํ้าไม่ถึง พูดไม่ค่อยไหว ต้องมีคนมาพูดโทรศัพท์แทน ผมเริ่ ม เดิ น ไปเข้ า ห้ อ งนํ้ า เองได้ ใ นสองวั น ถั ด มา ผมมี ร อยยิ้ ม ทั้ ง ที่ ผ มยั ง เจ็บปวด ผมไม่ได้อยากยิ้ม แต่เพียงเพราะผมพบความอัศจรรย์ที่ได้รู้จักการรีเซ็ต ปล. ปืนมาอยู่บนโต๊ะได้อย่างไร? ผมก็ไม่ได้ถามจากเพื่อนด้วยซํ้าพอดีเพื่อน มาบอกเอง เพื่อนคงคิดว่าผมสงสัย ผมไม่ได้สงสัยอะไรเท่าไรหรอก คนที่สงสัยจะ เป็นพ่อแม่ผมมากกว่าและท่านก็คิดกันไปต่าง ๆ นานา อันที่จริงเพื่อนผมเขาหวังดี พอดีช่วงหัวคํ่ามีวัยรุ่นจิ๊กโก๋ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นเพื่อนผมเลยเอามาติดตัวไว้ เอาไว้ขู่
132 ภาณุเดช วศินวรรธนะ
น่ะและเพื่อนทุกคนรู้หมดแล้วว่าไอ้ที่วางอยู่ข้างซองบุหรี่นั้นไม่ใช่ซิบโป้ ยกเว้นผมคน เดียวที่ไม่รู้และเพื่อนก็คิดว่าผมรู้แล้ว กราบขอบคุณป๋ามโนสำ�หรับ “เสียงที่ย่อยเป็นเม็ดเล็ก ๆๆๆๆๆ มาเรียงต่อกัน ที่เราฟังมันทุกเม็ด” (ผมเข้าใจการรีเซ็ตผ่านวลีนี้) ขอขอบคุณพ่อและแม่สำ�หรับทุก ๆ อย่าง อ.ประสาทที่ชงจนมาเจอป๋า พี่ฉั่ว ที่สร้างความสงสัยให้ โอเพ่นดรีมที่พร้อมจะออกนอกไข่แดงตลอดเวลา และอีกหลาย คนที่ไม่ได้เอ่ยถึง 12 สิงหาคม 2554
135
ไปหาโดราเอมอน..... แตน ดวงพรรณ สุกรินทร์
“ก็เธอมันเล่นไม่เป็น ชีวิตมันเป็นของเล่นนะ ไปเอาจริงจังได้ที่ ไหนเรื่องมันจบแล้ว... แต่เราไม่ยอมจบมันก็เจ็บ... แล้วจะไปโทษใครล่ะ” “แล้ว เธอจะยอมจบไหมละ...หรือเธอจะต่อไปอีก” “ยอมจบ คะอาจารย์” “จบนะ...เธอต้องจบจากใจจริง ๆ นะ…. ไม่ ใช่จบแต่คำ�พูด”
ไปหาโดราเอมอน..... 137
ฉันมักอ่านหนังสือพวกจิตวิทยา และพวก HOW TO หลากหลายสำ�นัก มานานนับ 10 ปีจนเหมือนหนังสือพวกนัน้ เป็นคูม่ อื ชีวติ ของฉันทีจ่ ะดำ�เนินไปในแต่ละวัน หนังสือพวกนั้นล้วนบอกวิธีให้เราคิดบวกเข้าไว้ และให้พยายามปรับปรุงตนเอง อย่างต่อเนื่องอีกทั้งแนะนำ�วิธีการที่เราจะประสบความสำ�เร็จ 1.....2.....3...4 รวมถึง การปฏิบัติตัวที่เราจะทำ�ท่าทีต่อผู้อื่นอย่างไรถึงจะดูดีน่าประทับใจ 1....2....3....4 ฉัน ยึดพยัญชนะในหนังสือแต่ละบทแต่ละเรื่องเป็นคู่มือชีวิตเรื่อยมา จับเรื่องไหนที่ถูกใจ เรามาเป็นเหตุเป็นผลของเรา และทบทวน จดจำ�มันซึม ๆ เข้ามามีอิทธิพลจนเป็น เหมือนเรื่องจริงของเรา เกิดขึ้นแล้วมีคนเอาเรื่องเราไปเขียน มันช่าง “ตรงใจ” หลายปีทผ่ี า่ นมา มีเรือ่ งกุก๊ กิก๊ ในใจเกิดขึน้ กับฉัน ปีแรก ๆ ก็หวานชืน่ ปีตอ่ มา ๆ มันอึดอัดไม่สมใจฉันทำ�ไมเค้าเป็นอย่างนี้ เค้าเปลีย่ นไปไม่เหมือนเดิมตำ�ราต่าง ๆ ทีม่ ใี นตู้ ก็พลิกหาคำ�ตอบแทบทุกวัน ๆ เป็นอย่างนี้ ต้องทำ�อย่างนั้นปรับตัวเราอย่างนี้คุยกับ เค้าแบบนั้น จนพักหลัง ๆ ทั้งหนังสือ และเพื่อนสนิทช่วยกันพลิกทุกตำ�รามาอ้างอิง แต่กลับทำ�ให้เรื่องราวซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิมเราก็เดินวน ๆ อยู่ ซํ้า ๆ หาทางออกไม่ เจอเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกตเราคิดดี ทำ�ดี ทุกอย่าง แต่ทำ�ไม ใจเรามันยิ่งห่อเหี่ยว ลงทุกที ๆ ไม่เห็นเหมือนบทสรุปในหนังสือที่อ่าน ๆ มา สุดท้ายเรื่องราวก็เป็นดังที่ คาดไว้...จบข่าว
138 ดวงพรรณ สุกรินทร์
เรื่องราวจากเค้าคนนั้นจบลง แต่ใจเรารับไม่ได้ ยังพยายามค้นหาข้อสรุปว่า ทำ�ไม เกิดอะไรขึ้น คิดวิเคราะห์ สารพัดเรื่องราว ทบทวน นำ�มาคุยกับเพื่อนสนิท ของเราได้รับทั้งคำ�ปลอบใจต่าง ๆ ได้รับทั้งแง่คิดบวกต่าง ๆ ทั้งทำ�งานมากขึ้นไม่ให้ ว่าง ไม่ยอมอยู่คนเดียว ทำ�ทุกวิถีทางที่จะลืมเรื่องราวทั้งหมดทั้งปวงก็ล้มเหลว เรื่อง ราวยังค้างคาในใจพร้อมจะทวนออกมาเป็นฉาก ๆ ได้ตลอดเวลา จนทางบริษัทได้จัด สัมมนาขึ้นในต่างจังหวัด วิทยากรที่มาสอนเราก็พูดคุยแลกเปลี่ยน ทำ�ความคุ้นเคย กับทุก ๆ คน ซึง่ ไม่ใช่แค่เรือ่ งงานทีค่ ยุ กันเป็นเรือ่ งราวของชีวติ ทีเ่ กิดขึน้ กับทุกคนซึง่ มี ทัง้ ผิดหวัง และสมหวัง ตลอดการจัดสัมมนา 3 วันนั้นทำ�ให้เรื่องราวในใจฉันเบาลง มีความโล่งใจได้ ระยะหนึ่ง ต่อมาความค้างในใจยังเข้ามาวนอยู่ เกือบ ๆ ตลอดเวลาสุดแล้วแต่จะกำ�หนด ให้ฉาก ๆ ไหนเกิดขึ้น ตัวละครที่มีเราอยู่ด้วยพร้อมจะเปิดฉากไปสู่อดีตเสมอ ๆ จน เรื่องราวมันหนักขึ้นมาก จึงได้เริ่มปรึกษากับอาจารย์ประสาทซึ่งเป็นวิทยากรในช่วง ที่สัมมนาโดยสื่อสารพูดคุยกันทางสไกป์การพูดคุยแทบทุกครั้งฉันก็จะได้รับคำ�กล่าว เน้น ๆ จากอาจารย์ว่า… “ออกจากความคิดนะ รีบ ๆ ออก” “โดยเฉพาะเรื่องราวที่มันทำ�ให้ใจเราเสียหาย เศร้าหมองนะ มันจะลากเราไป คูณสองนะ” “รีบออกมา รีบออกด่วน ๆ มารู้สึกตัวในท่านั่ง ท่ายืน ทำ�อะไรอยู่ มือวางอยู่ ตรงไหน” “นั่นแหละทำ�ดู ต้องทำ� พอมารู้สึกตัว เรื่องราว มันจะเข้ามาไม่ได้นะ ลองทำ� ดูซิ” ในตอนนั้นก็ทำ�ตามที่อาจารย์ประสาทบอก เรื่องมันก็แวบ ๆ หายไปจริง ๆ อาจารย์วา่ ให้ท�ำ บ่อย ๆ แต่ชว่ งนัน้ ก็บอกตรง ๆ ทำ�ได้แวบ ๆ บ้าง ไม่ได้ท�ำ บ้าง พอนึก
ไปหาโดราเอมอน..... 139
ได้ก็ทำ� แต่พอเรื่องมันสะสมมาก ๆ เข้ามันก็หนักหัวจะแย่ เหมือนใครเอาอะไรมาทับ หัวเราไว้ตอนนั้นเราคิดไปมากมายหลายเรื่องที่เกิดกับเราจนมันปนกันโดยไม่รู้ว่าเรา เริ่มคิดจากเรื่องไหนไปก่อน เรื่องไหนหลัง ทำ�ให้เราเบื่องาน เบื่อคน จนไม่อยากพูด คุยกับใคร ๆ ต่อมาวันหนึ่งเรื่องราวแย่มาก ทั้งรับรู้ด้วยตนเอง และจากเพื่อนสนิทเรา เดินอยู่ หรือลอยไปก็ไม่รู้ตัวมันคิดอะไรไม่ออกจำ�ได้ว่าคุยกันทางสไกป์กับอาจารย์ ประสาทอีกครั้งครั้งนี้ มันออกจากเรื่องราวไม่ได้ คุยแบบเบลอ ๆ จนอาจารย์ ถามว่า “เธอคิดอะไรอยู่ เธอกลัวอะไรกลัวเหงาใช่ไหม?” เท่านั้น แหละเหมือนใจมันโดนกระทุ้งข้างใน โดยที่เราไม่เคยสังเกตมันเลย ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเรื่องราวที่เกิดขึ้น เราพยายามยึดเกาะเกี่ยวทุก ๆ อย่างไว้ เป็นเพราะเหตุนี้เอง จึงส่งข้อความหาอาจารย์ประสาทว่า ขอปรึกษาทางโทรศัพท์ และในเวลานั้นฉันโชคดีมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กับอาจารย์ประสาทและ พระอาจารย์ไพบูลย์ด้วยพร้อม ๆ กันโดยที่ยังไม่เคยพบท่านมาก่อนเลย อาจารย์ ประสาทบอกว่า คุยเลยแตน คุยได้หมดทุกเรื่อง ฉันเลยคุยกับพระอาจารย์ไพบูลย์ หมดเปลือกทุกเรื่องจนมาถึงประโยคที่ฉันสะดุดใจมากฉันถามว่า…. “ทำ � ไมคะ ต้ อ งเป็ น เรา เค้ า จะรู้ สึ ก นึ ก ถึ ง เราบ้ า งไหมในเรื่ อ งราวความดี ทั้งหมดที่ผ่านมานะคะอาจารย์ เราตั้งใจดี คิดดีกับเค้ามาตลอด” “เธออยากรู้เหรอ.... ไปไหมอาจารย์จะพาไป...ไปไหม ไปหาอดีตกันจะได้รู้” “ไปคะจริงหรอคะ อาจารย์ทำ�ไงละคะ” “ก็ไปหาโดราเอมอนไง....ต้องขึ้น Time Machine ไปกันนะ” “อ้าว!! อาจารย์!!” ใน 10 วินาทีนั้น แค่เพียง 10 วินาที.....ฉันรู้สึกโล่งใจทันที มันแวบเกิดขึ้น ข้างในใจ เหมือนเรื่องทุกเรื่องมันคลายใจลง……ตัวเราเบาลงหลังจากนั้น
140 ดวงพรรณ สุกรินทร์
พระอาจารย์ไพบูลย์ยังกล่าวต่ออีกว่า “ก็เธอมันเล่นไม่เป็นชีวิตมันเป็นของเล่นนะ ไปเอาจริงจังได้ที่ไหน เรื่องมัน จบแล้ว... แต่เราไม่ยอมจบ...มันก็เจ็บ...แล้วจะไปโทษใครล่ะ แล้วเธอจะยอมจบไหมละ... หรือเธอจะต่อไปอีก” “ยอมจบ คะอาจารย์” “จบนะ...เธอต้องจบจากใจจริง ๆ นะ…ไม่ใช่จบแต่คำ�พูด” ทุก ๆ วันนีส้ ง่ิ ทีฉ่ นั ฝึกฝนอยูต่ ลอด คือ เพียรระลึกรูส้ กึ ตัวถึงจะมีเผลอไปบ่อย ๆ อาจารย์ว่าก็ปกติ ให้รีบกลับมารู้สึกตัว ทำ�บ่อย ๆ ให้เป็นนิสัย เดินฉันก็รู้ถึงการ ถ่ายเทนํ้าหนัก เท้าซ้าย เท้าขวา ทำ�ให้การเดินไม่อึดอัดร้อนรนถึงเรื่องราวอื่นเพราะ เรารู้สึกว่า มีการถ่ายเทนํ้าหนัก เท้าซ้าย เท้าขวาอยู่มีอะไรแวบมาคิด ก็กลับมารู้ตัว รู้เร็วบ้าง รู้ช้าบ้างว่าเผลอคิดไป ก็ให้กลับมา หรือการนั่งฟังการพูดคุยต่าง ๆ ให้มีบ้าง ว่า มารู้สึกตัวว่าเรานั่งอยู่ หลังเราแนบเก้าอี้ รู้สึกแข็ง ๆ ที่ไหล่ ที่หลัง เพียงแค่แวบ ๆ การฟังของฉันก็มีสมาธิขึ้น เพราะเรื่องราวที่มักชอบคิดไปโน่น ไปนี่ ที่กวนใจ เรื่องถูก ตัดให้สั้นลง เรื่องราวทุกเรื่องพระอาจารย์ว่ามันก็เรื่องเดิม ๆ คือภาษาใจนั่นแหละถ้า เราฝึก เพียรระลึก รู้สึกตัวบ่อย ๆ ให้เป็นนิสัย ยิ่งออกจากเรื่องราวต่าง ๆ ได้เร็ว เท่าไรเราก็จะได้เริ่มเรื่องใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา
143
ตาสว่างกลางอุโมงค์ อัญสุรีย์ ศิริโสภณ (อัญ)
...ฉันเป็นครู เป็นวิทยากร สอนคนเรื่องการให้การ ปรึกษา ฉันรู้ขั้นตอนของการให้การปรึกษา เทคนิค ทักษะการ แก้ไขปัญหา วิทยานิพนธ์ของฉันทำ�เรื่องการให้การปรึกษา อีกด้วย ฉันไม่ได้ดูหมิ่นวิชาการคะ แต่ฉันอยากจะบอก ว่ามีบางอย่างที่วิชาการนำ�มาถ่ายทอดเป็นเทคนิค หรือ ทักษะ แก้ไขปัญหาชีวิตยังไม่ได้ ฉันพบว่ามีบางอย่างไม่สมบูรณ์...
ตาสว่างกลางอุโมงค์ 145
ฉันเห็นคำ�ว่า ตก ตั้ง ใหม่ ในกระดาษที่ถูกถ่ายเอกสารจากหนังสือพิมพ์ ยี่ห้อคม ชัด ลึก ที่เขียนถึงพระ และสำ�นักสงฆ์ไร้ชื่อ กระดาษถูกถ่ายเอกสารนั้นมา จากเพื่อนรัก ที่ได้เห็น ได้ฟัง เรื่องราวความทุกข์ใจของฉัน ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ฉันเศร้า ฉันหมองหม่น ฉันจมจ่อมอยู่กับเรื่องราวของตัวเอง เจอเพื่อนก็พูด ระบาย ภายใต้ ความเชื่อว่า ฉันทำ�ถูกแล้ว ทั้งตัวหนังสือหรือคำ�บอกเล่าต่าง ๆ บอกว่า ถ้าเราทุกข์ใจ ไม่สบายใจ ให้เลือกคนที่เราไว้วางใจ พูดเล่า ระบายให้เขาฟัง ฉันอ่านกระดาษแผ่นนั้น เอาปากกาสีมาป้าย คำ�ที่ฉันชอบ “ตก ตั้ง ใหม่” กับ “คนเราตั้งแต่เกิดจนตายได้พบและสัมผัสกับของ 2 สิ่ง คือ สิ่งหนึ่งน่าชอบใจ และ อีกสิ่งหนึ่งไม่น่าชอบใจ” เพราะอ่านแล้ว เราเห็นด้วย ใช่ ใช่ ใช่ ตก ก็ตั้งใหม่ ชีวิตต้องสู้นะเรา ฉันคิด และก็มีความชอบกับไม่ชอบ จริง ๆ ด้วยแหละ...แต่...ฉันมารู้ภายหลังว่า ประโยคที่ฉันเอาปากกาสีมาป้าย มันเป็นเพียง ความชอบใจ เป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันได้พบและสัมผัสเท่านั้น ฉันไม่รู้เลยว่า คำ �นี้มีความ หมายที่แท้เป็นอย่างไร และฉันก็ไม่สนใจประโยคต่อมาที่ว่า “ปัญหาก็คือมันอยู่ที่ ว่าเราจะอยู่อย่างไรกับทั้งสองสิ่งนี้อย่างมีความสุข”...อยู่อย่างไร อยู่อย่างไร อยู่ อย่างไร!....ฉันไม่รับประโยคนี้ในตอนที่อ่านกระดาษแผ่นนี้ ฉันใช้วิธีเดิม คือ รับ เอาแต่ข้อความที่ชอบใจมาหล่อเลี้ยงอารมณ์ตนเองให้ดีขึ้น ให้ผ่านไปวัน ๆ
146 อัญสุรีย์ ศิริโสภณ
มีการอบรมหรือกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับการพักผ่อนร่างกายจิตใจ คือ ไม่ใช่ การอบรมที่เป็นเรื่องทางวิชาการฉันสมัครไป ฉันรู้ตัวว่า ไม่ไหวแล้ว เราต้องหาทาง ช่วยให้ตัวเองมีแรง มีกำ�ลังขึ้น ไปอบรมหรือร่วมกิจกรรมกี่ครั้ง ๆ ก็มีความผ่อนคลาย แต่ไม่คลิก เป็นเพียงการบรรเทาอาการ ฉันเป็นครู เป็นวิทยากร สอนคนเรื่องการ ให้การปรึกษา ฉันรู้ขั้นตอนของการให้การปรึกษา เทคนิค ทักษะการแก้ไขปัญหา วิทยานิพนธ์ของฉันทำ�เรือ่ งการให้การปรึกษาอีกด้วย ฉันไม่ได้ดหู มิน่ วิชาการคะ แต่ฉนั อยากจะบอกว่ามีบางอย่างที่วิชาการนำ�มาถ่ายทอดเป็นเทคนิค หรือ ทักษะแก้ไข ปัญหาชีวิตยังไม่ได้ ฉันพบว่ามีบางอย่างไม่สมบูรณ์ พบพระอาจารย์ครั้งแรก...เนื่องจากเพื่อนนิมนต์ท่านมาในกิจกรรมสำ�หรับ นักศึกษา แต่ฉันไม่ได้พูดคุยอะไร เพื่อนก็กระตุ้นถามว่าคุยกับพระอาจารย์ไหม ฉันปฏิเสธในใจ แล้วก็หาคำ�ที่พอจะเป็นเหตุผลน่าเชื่อถือของการไม่ไปพูดกับพระ เช่น พระจะรู้อะไรในเรื่องทางโลก เรื่องครอบครัว รัก ๆ ใคร่ ๆ เล่าไปก็อายพระ เล่า ไปก็ ไม่วาย พระก็คงให้สวดมนต์ ปลง นั่งสมาธิ เป็นต้น พบพระอาจารย์ครั้งที่สอง ที่ร่มธรรม ฉันต้องผ่านการตัดสินใจที่ยุ่งยาก เพราะฉันนัดครอบครัวคือ สามีและลูก ไปเที่ยวกรุงเทพในช่วงที่เพื่อน ๆ ไปพบ พระอาจารย์ การมีเวลาอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าของครอบครัวเป็นความปรารถนาของ ฉัน เพราะสามีไม่มีเวลาให้ครอบครัว ฉันรอและบอกลูกของฉัน เวลาคิดอยากจะไป เทีย่ วไหน หรือไปทานอาหารในร้านอะไร ฉันจะบอกลูกว่า รอพ่อก่อนดีไหมลูก รอพ่อ มาพร้อม ๆ กันนะลูก อ่านมาตรงนี้ บางคนอาจคิดว่า ทำ�ไมต้องรอ ฉันคิดว่ากรอบบางอย่าง ความฝันของคำ�ว่า ครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตา มันปกคลุมฉันไว้ ฉันอยากให้มีใครอีกสักคน มาจูงมือลูกคนโต ในขณะที่ฉันอุ้มลูก คนเล็ก หรืออย่างน้อย มาอยูใ่ นบริเวณทีท่ �ำ แค่เพียงได้รสู้ กึ ว่า มีคน ๆ หนึง่ อยู่ ฉันจึง เลือกที่จะอยู่กับครอบครัวก่อนและยังคิดว่าจะไม่ไปรวมกลุ่มที่ร่มธรรม และฉันก็พบ ว่า ใจมันไม่ปกติ ในขณะที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่า สามีไม่ได้มีอยู่
ตาสว่างกลางอุโมงค์ 147
ตรงนั้น เขาไม่พูด ไม่มอง ถามคำ�ตอบคำ� ไม่พูดกับฉันก่อนสักครั้ง ซึ่งมีความเปลีย่ นที่ เกิดขึน้ อย่างนีม้ าเป็นปี ๆ แล้ว ฉันเห็นความเปลีย่ นนัน้ แต่ไม่กล้าบอกใคร ๆ ฉันได้แต่ มีคำ�ถามในใจ จนมีเหตุการณ์ (รายละเอียดไว้โอกาสหน้าค่ะ) ฉันตัดสินใจให้ พ่อกับ ลูกเดินทางกลับบ้านด้วยกัน แล้วแยกตัวเอง นั่งรถตู้มานครนายก พบพระอาจารย์ และกลุ่มที่กำ�ลังพูดคุย สภาพฉันอิดโรยมาก สักพักทุกคนเงียบและหันมาให้ความ สนใจฉัน ฉันเริ่มพูดพรํ่าเล่าเรื่องอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ฉันรู้สึกอยากพูดออก มาอย่างกับเทนํ้าออกจากขวดหรือเปิดก๊อกไหล พระอาจารย์บอกกับเพื่อนอีกคน (ฉันเรียกว่า เพือ่ นอาจารย์เพือ่ นฉัว่ แต่จะขอเรียกสัน้ ๆ ว่า เพือ่ นพาเดิน นะคะ) “พาไป เดินซิ” ฉันตะลึงและไม่พอใจ อะไรเนี่ย ฉันยังเล่าไม่จบอย่างที่ฉันต้องการเลย ให้ไป เดินอะไร ทำ�ไม โอ๊ย เซ็งทำ�ไมไม่ฟังกันก่อน ไม่ฟังฉันแล้วจะเข้าใจฉันได้เหรอ ขณะเดิน ฉันได้พบความไวของจิตอย่างมากมาย ฉันไม่ได้รู้โดยตลอดเลย ว่าเท้าของฉันกำ�ลังยํ่าไป แต่ฉันพบปุ๊บฉันบอกเพื่อนพาเดินว่า คิดอีกและ ๆ เพื่อน พาเดินไม่พูดอะไรมากไปกว่า “อื้อ อื้อ ขาขวาเหยียบอยู่หรือเปล่า” และก็คำ�ว่า “ธรรมดา ๆ ” เราเดินวนไปวนมาหลายรอบ แต่ฉันกลับไม่เหนื่อย ตรงกันข้าม กลับ รู้สึกว่าสบาย และมองเห็นว่าบริเวณที่เดินนั้น มีต้นไม้เล็กใหญ่ มีสีเขียวมีลมพัด อากาศถ่ายเทดีมากความที่จิตใจมันจมอยู่แต่กับเรื่องของตัวเอง ไม่เคยจะมองเห็น อะไรรอบ ๆ ตัว คำ�ว่า ตาสว่าง ฉันอยากใช้คำ�นี้กับความรู้สึกตอนนั้น ซึ่งเมื่อก่อน คำ�ว่า ตาสว่าง ฉันจะใช้ต่อเมื่อฉันพบแนวทางแก้ไขปัญหา วิเคราะห์หรือตีโจทย์ ประเด็นอะไรสักอย่างที่คิดว่า ฉันเข้าใจแล้ว หรือมีคำ�ฮิต ๆ ที่เขียนบอกไว้ว่า มีแสง สว่างที่ปลายอุโมงค์ ฟ้าหลังฝนสว่างไสว ฉันเพิ่งเข้าใจว่าคำ�เหล่านี้ มาทำ�ให้คนอย่าง ฉันไม่คิดท้อแท้ ให้มีความหวัง แต่ฉันอยากบอกทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ว่า ตอนที่ คุณเดินในอุโมงค์ หรือนั่งมองสายฝน คุณต้องทำ�อย่างไร ฉันถึงให้ความสำ�คัญประโยคของพระอาจารย์ที่ว่า “ปัญหาก็คือมันอยู่ที่ว่า เราจะอยู่อย่างไรกับทั้ง 2 สิ่งนี้อย่างมีความสุข”
148 อัญสุรีย์ ศิริโสภณ
เพื่อนพาเดินได้เป็นเพื่อนกับฉัน เขาบอกถึง เรื่องราวของเขาในบางอย่าง ว่าเขาก็เคยมีเรื่องราวของเขา ฟังดูแล้ว เพื่อนเหมือนจะสื่อให้ฉันรับรู้ว่า ไม่ใช่ฉันคน เดียวที่มีเรื่องราวทุกข์ใจ และเรื่องของคนอื่นก็อาจจะดูหนักหนาสาหัสกว่าเราซะอีก ซึ่งก็เป็นเช่นนี้ เวลาฉันไปเล่า หรือระบายเรื่องราวให้ใคร ก็จะมีเรื่องของเขาเอง หรือ ไม่ก็เรื่องของคนอื่น มาแลกเปลี่ยน ให้ฉันได้รับรู้ แต่ฟังกี่เรื่องกี่ครั้ง ฉันก็ยังติดกับ เรื่องของตัวเอง และมองว่าเรื่องของฉันหนักที่สุดอยู่เสมอ ฉันเลยมาคิดในตอนหลังว่า มีกิจกรรมกลุ่มแลกเปลี่ยน หรือกลุ่มบำ�บัดที่มา แลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน ฉันมีความเห็นว่า การรับรู้เรื่องราวคนอื่นที่หนักกว่าเรา ไม่ได้ช่วยให้เราออกจากเรื่องราวของเราได้ แค่ให้ความรู้สึกว่า มีเพื่อนทุกข์ เผลอ ๆ ก็เอาเรื่องของเพื่อนทุกข์มาคิดเพิ่มเข้าไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม การได้รู้ว่าคนอื่นก็เป็น เจ้าของความทุกข์เหมือนเรา เรามีเพื่อน ก็ยังดีกว่ามองไม่เห็นใครเลย อีกอย่างหนึ่ง ฉันพบว่า คุยกับหลายคน ก็มีหลายวิธีเหลือเกิน ที่บอกถึงการเดินในอุโมงค์มืด การ ตากฝน เพื่อน ๆ บอกวิธีการของเขา หรือตามหนังสือที่พวกเขาอ่านให้ฉันฟัง และฉัน ก็พบว่า ฉันเลือกวิธีนั้น ๆ ตามที่ใจชอบ วิธีที่ไม่ชอบก็ไม่เลือก มาตอนนี้ฉันอยากบอก ผู้อ่านว่า ถ้ายังเลือกความชอบใจเดิม ๆ คุณจะเหมือนเดิมอาจคิดว่าฉันชอบเรื่อง ธรรมะ หรือ พระ วัด เปล่าเลย...ฉันแค่ชอบตามใจเพื่อน ฉันเลือกมากับเพื่อน แต่ฉัน ไม่ชอบสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เหมือนเพื่อน แต่ความที่เพื่อนชวนมาแล้ว ฉันจึงมาทำ� ในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ.....สิ่งที่ฉันไม่ชอบ.....ทำ�ให้ฉันได้พบ....ตก ตั้ง ใหม่.... เมื่อเดินแล้ว มาพบกับเพื่อน ๆ ที่กำ�ลังพูดคุยกับพระอาจารย์ ฉันก็ยังอยาก เล่าอีก แต่ฉันกลับคิดได้ว่า เรื่องราวไม่ใช่สาระ ฉันจึงพูดรวม ๆ ว่า ฉันมีปัญหาอะไร และดูเหมือนพระอาจารย์ก็ไม่ได้อยากรู้อะไร อาจารย์ได้แต่ถามความรู้สึก สักพักก็ ให้ไปทานข้าว ในขณะอยู่ร่มธรรมฉันมีเหม่อลอย ก้มหน้าก้มตา และคิด ฉันบอกได้ เพราะฉันเริ่มสังเกตตัวเองมากขึ้น ช่วงคํ่ามารวมกันพูดคุยกับพระอาจารย์อีกครั้ง ฉันฟังคำ�พระที่พูดคุยกับคนโน้นคนนี้ มีคนตั้งคำ�ถามโน่นนี่ ฉันประทับใจมาก เพราะ
ตาสว่างกลางอุโมงค์ 149
เป็นเรื่องของ วิธีการ ไม่ใช่เรื่องของการแปลบาลี หรือคำ�เทศน์อย่างที่ฉันเคยฟังพระ มาก่อน แม้จะเพลียแสนเพลียจากการเดินทาง แต่ฉนั ก็อยูฟ่ งั พระอาจารย์พดู คุยจนดึก ฉันเห็นบางคนหลับข้าง ๆ พระอาจารย์ไปเลย มีช่วงหนึ่งพระอาจารย์เล่าประวัติชีวิต ของตนเอง พระอาจารย์บอกว่า เห็นหรือเปล่าอาจารย์ไม่ใช่ดีอะไร ก็เป็นเพียงผู้นำ� เอาสิ่งดีที่มีอยู่แล้วอยู่จริงมาบอก มาเล่า มายํ้า ฉันออกจากร่มธรรม ไม่ใช่ด้วยความสบายใจ หายเศร้าเลยทีเดียว แต่ฉันได้ เห็นทางหรือแนวอะไรบางอย่าง คำ�พูดของพระอาจารย์และของเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ทำ�ให้เข้าใจวิธีการ แต่ฉันก็ยังไม่ฝึก ไม่ทำ� ยังวนเวียนคิด แล้วก็มีแต่ความอยากฝึก อยากทำ� และก็จะทำ�ในเวลาที่มีความสะเทือนใจหรือกระทบใจ คือ เลือกทำ�ตอนจะ วิกฤติแล้ว แย่มาก ๆ แล้ว ตอนอยู่เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่ฝึก เวลาดึงพลังหรือแรงที่จะ ออกมาจากความคิด จึงใช้แรงอย่างมาก แล้วบางทีก็มาบอกตัวเองว่า มันยาก แต่ฉัน ก็ไม่คิดเปลี่ยนทางนะ ก็เรายังไม่เพียรทำ�จนเห็นผลเลย ทำ�ไมเราต้องเปลี่ยน อีกอย่าง ฉันคิดว่า การเปลี่ยนก็คือการหนี ไปเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบ ฉันเพิ่มช่องทางติดต่อกับ เพื่อนในกลุ่มกับพระอาจารย์ ก็มีความอบอุ่นขึ้นมาว่า ข้ามากับพระ แต่ก็มีความ ผิดพลาด บางครั้งทำ�ให้ฉันประมาท ปล่อยอารมณ์ไปตามความคิด ไม่กลัวกับสิ่งที่จะ มากระทบเพราะมีพระ มีเพื่อน ไปคิดเสียอย่างนั้น ฉันได้เรียนรู้กับพระอาจารย์และ เพื่อน (ขอเอ่ยนาม) อาจารย์น้าสาท สอนให้รู้สึกตัว บางทีแค่พระอาจารย์ส่งข้อความ หรืออาจารย์น้าสาท บอกอะไรมา ฉันก็อ๋อ และรีบมาสังเกตตัวเองทันที “ช่วงจังหวะ” หรือ จะเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ ช่วงจังหวะที่จะเข้ามาสังเกต ตัวเอง ตรงนั้นน่ะมันเป็นทักษะ เป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่า มันเป็นอย่างไร ฉันรับรู้แต่ว่า สบายๆ เบา ๆ ฉันก็หมั่นเข้าสังเกตตัวเองไม่มากนัก เพราะฉันเป็นคนขี้เกียจ (ฮา) เพื่อลด การใช้ความคิด ผลลัพธ์กลับทำ�ให้ฉันได้คิด กลายเป็นว่าที่ผ่านมาคิดมาก คิดวน
150 อัญสุรีย์ ศิริโสภณ
แต่ต่อมา ความคิดก็มีอยู่ แต่มีรายละเอียดที่เบาไม่ต้องคิดหนัก เห็นส่วนผสมของ ความคิดและอารมณ์ ต่อมา สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันก็คือ การตัดสินใจ และการใช้ชีวิต ออกนอกกรอบอย่างแท้จริง แต่ฉันไม่เคยคิดว่าฉันนอกกรอบ การได้พบพระอาจารย์ และเพื่อน ๆ ที่ติดตามอาจารย์ ทำ�ให้ฉันใช้ชีวิตอย่างที่ชีวิตมันเป็น ไม่มีใน ไม่มีนอก ของกรอบใด ๆ ควบคุมฉัน แต่ก่อนเพื่อน ๆ สมัยเรียน หรือที่ทำ�งาน จะบอกว่า ฉัน เป็นคนแกร่ง เข้มแข็ง กล้าและเชื่อมั่นในตัวเองดีมาก...ตอนนี้ฉันพบว่า ฉันมีที่เพื่อน บอกมากกว่าและมากขึ้นมีความหมายที่ต่างจากเดิม ความแกร่ง เข้มแข็ง เชื่อมั่น มีความหมายต่างจากเดิมจริง ๆ และ..ฉันรู้สึกอิสระ... และมองไม่เห็นเลยว่า บนโลก ใบนี้จะมีอะไรน่ากลัว...อีกต่อไป...ฉันจึงโทรไปหาสามีบอกเขาว่า เราหย่ากันเถอะ ...แล้วชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป...
153
ป๊อก Opendream
...ความรู้สึกนี้มีส่วนผสมของการเสพติดด้วย ถ้าเทียบ กับยุคสมัยนี้ก็เหมือนกับคนที่ติดมือถือ พอว่างเมื่อไรก็อด หยิบมือถือมาเสพข้อมูลไม่ได้ ตอนนั้นอาการที่ผมเป็นก็เป็น แบบเดียวกัน ใจเรามันอยากเสพ, อยากไปผูกติดกับอะไรสักอย่าง ช่วงนั้นก็เริ่มตั้งคำ�ถามกับตัวเองว่า ทำ�ไมเราถึงรู้สึกว่า “ไม่มีอะไรทำ�” ระหว่างที่ “กำ�ลังขี่จักรยาน”...
เที่ยวไปในกาย 155
ผมขีจ่ กั รยานไปทำ�งานมา 5 ปีแล้ว ระหว่างขีจ่ กั รยานหากเกิดอะไรขึน้ ในใจ บ้าง โดยปกติผมจะพยายามกลับมากำ�หนดความรู้สึกไว้ที่ขา ให้รู้สึกถึงเข่าที่ยกขึ้น รู้สึกถึงข้อเท้าที่หมุนเป็นวง รู้สึกถึงการออกแรงที่สมํ่าเสมอทั้งแรงถีบและแรงดึง ถ้า เป็นเส้นทางที่คุ้นชิน ขี่ไปได้สักพักก็จะตกไปอยู่ในความคิด พอรู้ตัวก็กำ�หนดความ รู้สึกไว้ที่ร่างกายใหม่ บางครั้งก็ตกนาน บางครั้งก็ตกแว่บเดียว แต่ถ้าเป็นเส้นที่ไม่ คุ้นชิน อาการจมไปในความคิดก็จะน้อยมาก ตอนนี้เริ่มสังเกตว่าการนอนน้อยหรือ นอนมากก็มีผลต่อการจมของความคิด ถ้าหากนอนน้อยใจมันจะขุ่น ๆ เบลอ ๆ จม ในความคิดได้ง่าย ความเร็วของการขี่ ก็มีผลที่น่าสนใจ ถ้าเราขี่เร็ว ภาพรอบข้างก็ไหลไปอย่าง รวดเร็ว ภาพเป็นแค่ภาพกระทบที่ตา ไม่ก่อให้เกิดอารมณ์ยกเว้นบางกรณี ที่ภาพ อิ ส ตรี บ างภาพที่ ดึ ง ดู ด ความสนใจจากสั ญ ชาตญาณได้ ม ากพอ บางครั้ ง ผมชอบ เปลี่ยนมาขี่ช้า ๆ แล้วก็พยายามเห็นสิ่งรอบข้างให้มากขึ้นถามว่าเห็นแล้วมันดี อย่างไรก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แค่อยากเห็นให้เยอะขึ้น ช่วงที่ผมชอบมากสุดก็คือ ช่วงที่เราไม่ได้กำ�หนดจิตไว้ที่ร่างกาย แล้วก็ไม่ได้จมอยู่ในความคิด ช่วงนี้มักเกิดใน ช่วงคับขันเช่นการเข้าสี่แยกที่ไม่มีไฟแดง หรือ จังหวะที่เราจะเลี้ยวขวาบนถนนสาม เลน ที่ต้องเปลี่ยนจากช่องซ้ายสุดเป็นขวาสุด ช่วงเวลานั้นมีแต่การกระทำ�บางคน อาจจะบอกว่า ต้องคิดสิ ไม่คิดจะหลบหลีกได้อย่างไร ก็จริงครับที่ต้องใช้การคิด แต่
156 ป๊อก Opendream
สำ�หรับผมมันเป็นการคิดแบบที่ไม่ได้ยินเสียงในหัว อารมณ์โกรธ ก็เป็นอารมณ์ที่มาเยี่ยมเยือนบ่อย ๆ ในช่วงที่ขี่จักรยาน ไม่ว่า จะเกิดจาก รถเก๋งปาดหน้ารถเมล์เบียด จักรยาน มอเตอร์ใซด์วง่ิ สวนเลนมา รถยนต์ท่ี จอดเกะกะทำ�ให้เราต้องเบียดออกขวาไปเสี่ยงกับรถที่วิ่งมาเร็ว ๆ ข้างหลัง พิจารณา ดูแล้วก็คือ เรากำ�ลังไหลหรือ flow ไป อะไรที่ทำ�ให้เราสะดุดนั่นแหละตัวนั้นแหละ ที่ เริ่มทำ�ให้เราขุ่นมัว แต่อาการขุ่นมัวจะเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์โกรธเมื่อเอาสัญญา เก่า ๆ เข้ามาร่วมด้วย เช่น รถกระป๊อปาดหน้าก็ไม่โมโหเท่ารถเบนซ์ป้ายแดงปาด หน้า รถมอเตอร์ไซด์สวนเลนจะโมโหมากกว่าจักรยานสวนเลน (อันนี้เป็นอาการ ลำ�เอียง) มีอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งที่น่าสนใจสำ�หรับผม มันมักจะเกิดขึ้นเมื่อขี่จักรยาน ทางไกล สมัยเมื่อยังหนุ่ม ๆ ผมเคยขี่จักรยานจากกรุงเทพไปภูเก็ต จำ�ได้ว่ามันเริ่ม มาเยือนในช่วงบ่าย ๆ ของวันแรก มันจะรู้สึกกระสับกระส่าย ร้อนรน มีลักษณะ อาการคล้ายเวลาอยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำ� จึงต้องไพล่ไปเปิดทีวีเพื่อบรรเทาอาการ ความรู้สึกนี้มีส่วนผสมของการเสพติดด้วย ถ้าเทียบกับยุคสมัยนี้ก็เหมือนกับคนที่ ติดมือถือ พอว่างเมื่อไรก็อดหยิบมือถือมาเสพข้อมูลไม่ได้ ตอนนั้นอาการที่ผมเป็น ก็เป็นแบบเดียวกัน ใจเรามันอยากเสพ, อยากไปผูกติดกับอะไรสักอย่าง ช่วงนั้นก็ เริ่มตั้งคำ�ถามกับตัวเองว่า ทำ�ไมเราถึงรู้สึกว่า “ไม่มีอะไรทำ�” ระหว่างที่ “กำ�ลังขี่ จักรยาน” สิ่งที่พอทำ�ให้หายร้อนรนได้บ้างก็คือ “หลักกิโลเมตร” อาจเป็นเพราะการ เห็นหลักกิโลเมตรทำ�ให้รู้สึกว่า มันมีความคืบหน้า การขี่จักรยานทางไกลครั้งนั้นเป็น จุดเริ่มให้ผมเห็นความร้อนรนของใจตัวเอง ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวเอง เช่น การขับรถ จากที่เคยขับรถเร็วเกิน 120 ก็เปลี่ยนมาเหลือแค่ 80 ปัจจุบันอาการ ร้อนรนแบบนั้นเกิดขึ้นน้อยมากแล้ว ปัจจัยหนึ่งที่พอจะนึกออกก็คือ ‘การเห็น’ อะไร ที่เราเห็นและตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน เราก็จะเริ่มจัดการมันได้ หลั ง จากผมได้ พ บกั บ กั ล ยาณมิ ต รจากกลุ่ ม ตกตั้ ง ใหม่ และพระอาจารย์
เที่ยวไปในกาย 157
ทุกคนได้ช่วยเป็นปัจจัยให้ผมมองเห็น ‘ความคิด’ ได้ละเอียดขึ้น ทำ�ให้การขี่จักรยาน ไปทำ�งานทุกวันนี้ ผมได้สนุกกับการตึ่นขึ้นจากความคิด ซึ่งก็หวังว่า เมื่อผมเห็นมัน บ่อยขึ้น ผมก็จะจัดการมันได้มากขึ้น
159
รู้สึกตัวตลอด ประพิมศรี หอมฉุย
...กลับมาคิดถึงคำ�ของอ.ประสาท ที่ว่า “อย่าคิดได้ ทำ�ร้ายตัวเองเป็นอันขาด ชีวิตที่ ได้มาเป็นของพ่อแม่เท่านั้นนะ ไม่ ใช่ของเราจะทำ�อะไรลงไป ต้องขออนุญาตแม่ ไม่งั้นบาป คนที่จะฆ่าให้เราตายได้คือพ่อและแม่เท่านั้น”...
รู้สึกตัวตลอด 161
เมื่อก่อนไม่รู้หลักการปฏิบัติตนในเรื่องการรู้สึกตัวเองเลย รู้แต่เพียงว่า เวลาเรามีปัญหาทุกข์ใจก็ควรจะหันหน้าเข้าวัด ฝึกจิตใจให้มีสมาธิโดยการปฏิบัติ ธรรม ฟังธรรม ฟังเทศน์ สวดมนต์ กราบพระก่อนนอนทุกวัน หรือถ้าแย่มาก ก็ลา งานหยุดพักตนเองจากความเครียดโดยการไปปฏิบัติกรรมฐาน ถือศีลแปด และก็ดี ขึ้นมาหน่อยจนกระทั่งมาพบกับกัลยาณมิตรกลุ่มนี้ จากชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง (ปัจจุบันก็ไม่เด็กแล้วนะคะ วัยกลางคน) ซึ่ ง เป็ น คนมี พ รสวรรค์ ด้ า นสมองนิ ด นึ ง แต่ ลึ ก ๆ แล้ ว งี่ เ ง่ า ในทางโลกสิ้ น ดี ได้ มี ประสบการณ์คบกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่เข้มแข็งของตนเองที่ว่า หน้าตา ดี หล่อ ตี๋ ขาว สูง พูดคุยถูกคอกัน รักเรา เป็นอันใช้ได้นี่แหละชายในฝัน (ไม่จำ�เป็น ต้องรวย มีงานทำ�และอยู่ในฐานะเดียวกัน) แต่ใครจะไปคาดคิด ดิฉันเลิกรากับสามี ที่คบหาอยู่ด้วยกันมา15 ปี สิ่งนี้เองเป็นปัญหาใหญ่และสำ�คัญที่สุดในชีวิตของดิฉัน เป็นสาเหตุต้องทำ�ร้ายตนเอง ด้วยความรักเขามากกว่าตัวเอง ตอนนั้นคิดอยู่อย่าง เดียวว่า “ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีเขา” หลังจากมีปัญหาชีวิตอันหนักอึ้ง ต่อมาก็เริ่มมีปัญหาเรื่องการรับประทาน อาหาร จากเคยเป็นคนกินเก่ง หิวนั่น หิวนี่ ก็กินได้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงเวลากิน ข้าวเที่ยงก็ยังไม่อยากกิน แต่ด้วยเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขถึงเวลากินก็ต้องกินบ้าง
162 ประพิมศรี หอมฉุย
อย่างน้อย 3-4 คำ�ก็ยังดี ไม่อย่างนั้นโรคกระเพาะอาหารจะถามหา จนทำ�ให้ผอมลง ไปถนัดตา จากคนอวบเป็นคนหุ่นดีแต่เหี่ยว หน้าตาหมองคลํ้าคล้ายคนโดน ”ของ” ด้วยความคิดที่ว่า “ทำ�ไม เราผิดอะไร จึงเป็นสาเหตุให้เขาต้องเลิกกับเรา เราไม่ดี ตรงไหน” ยังเป็นคำ�ถามค้างคาใจ...สะสมขึ้นทุกวัน ทุกวัน จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถ ทำ�งานหรือปฏิบัติกิจวัตรประจำ�วันได้ดีเหมือนปกติ เหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่ง ลืมตนเองไปชั่วขณะว่ามีลูกสาวอยู่ด้วย ตอนนั้นช่างน่าสงสารลูกสาวเป็นที่สุด เราดัน ไปรักเขามากกว่ารักตัวเอง จนคิดจะตายไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่ใจนึงก็คิดว่า เราจะตายได้อย่างไร กว่าเราจะเรียนจบมีงานทำ�แม่ส่งเราเรียนมาหมดเงินไปเท่าไร แล้ว ยังไม่ได้ช่วยแม่เลย และที่สำ�คัญลูกจะอยู่กับใคร ยังดีนะที่ยังมีสิ่งยึดเหนี่ยว จิตใจ ไม่งั้นคงได้ตกนรกขุมไหนแล้วก็ไม่รู้ หลังจากเรียนจบพยาบาล ดิฉันก็ได้กลับมาทำ�งานที่เดิมและรับผิดชอบงาน ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และได้รับมอบหมายงาน ตามตำ�แหน่ง มีอยู่วันหนึ่งได้รับแจ้งจากผู้รับผิดชอบงานโรคไม่ติดต่อโรงพยาบาล พรหมพิราม ให้พา อสม.หรือผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูงเข้าร่วมอบรมการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ จึงได้คัดอสม.และผู้ป่วย ไปเข้ารับการอบรม ก่อนเข้ารับการอบรมหนึ่งวัน ได้รับเชิญเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบของแต่ละ สถานีอนามัย มาประชุมเตรียมความพร้อมเป็นวิทยากรร่วม บ่ายวันนั้นเองเป็นจุด เริ่มต้นของความคิดแปลก ๆ และมีสิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิต เป็นวันที่ได้เจอผู้ชายผมยาว 2 คน (ท่านหนึ่งดูสูงวัยกว่า หนวดเครายาวสีดอกเลาประปราย อีกท่านหนึ่งอายุ ประมาณ 30 ปลาย ๆ ผมยาวมัดรวบผมสีดำ�เป็นมันวาว) วันนั้นตรวจคนไข้ต่อเนื่อง อีกคน เลยเข้าร่วมช้านิดนึง เข้าไปทีหลังเลยไม่รู้ว่าเขาแนะนำ�วิทยากรหรือยังว่าชื่อ อะไรเป็นใคร มาจากไหน และก็ได้กระซิบถามบุคคลข้าง ๆ ว่า “อาจารย์ชื่อ อะไร มาจากไหนเหรอคะ?” พีเ่ ค้าก็ตอบว่า “ไม่รเู้ หมือนกัน รูแ้ ต่วา่ เคยเป็นวิทยากรชนะใจไร้พงุ ที่ทรัพย์ไพรวัลย์ให้พี่นุชเขา” เหรอ ตายละฉัน มาก็มาทีหลังการอบรมแนวใหม่เพิ่ง
รู้สึกตัวตลอด 163
เรียนจบมาก็ได้เจอสิ่งแปลก ๆ อีก และอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ซึ่งชื่อก็ไม่ทราบว่าเป็น ใครมาจากไหน แต่งตัวก็ดูแปลก ๆ การจัดอบรมโดยทั่วไปแล้วในการจัดอบรม ท่าน วิทยากรจะเป็นบุคคลมีชื่อเสียงแต่งตัวดูดี แต่ไฉนเล่าท่านสองคนนี้จึงช่างเป็นผู้ชาย ธรรมด๊า ธรรมดา หลังจากเข้าไปนั่งได้ไม่กี่นาทีเราก็คิดไปได้ต่าง ๆ นา ๆ หลังจากเรา นั่งได้ไม่นาน ท่านก็บอกว่า “การจัดโต๊ะแบบนี้มันไม่เหมาะสำ�หรับบรรยากาศการ คุยกันหรอกนะครับ คงไม่ว่านะถ้าผมจะขอจัดบรรยากาศการพูดคุยใหม่” แล้วจาก สถานที่ประชุม มีโต๊ะที่จัดไว้ให้นั่งคล้ายบริษัทหรือการประชุมแบบเป็นทางการ ก็ถกู รือ้ ออก เหลือแต่เก้าอีจ้ ดั นัง่ เป็นวงกลม ในใจนึกไปว่า “ท่าน 2 คนนีด่ แู ปลก ๆ ดี นอก เหนือจากการแต่งตัวแบบแปลก ๆ (เสื้อยืด กางเกงสะดออีกคนก็เสื้อผ้าฝ้ายลักษณะ คล้ายผ้าหม้อฮ่อมคนภาคเหนือ) แนวทางการประชุมเตรียมวิทยากรยังแปลกอีกด้วย แหะ ๆ ในใจก็คิด negative thinking ต่อวิทยากรไปซะ 70% แล้วท่านก็ให้หลับตา และจับมือกับคนข้างๆ นั่งให้หัวเข่าชนกัน สักพักหนึ่งท่านก็ให้ลืมตาและให้บอกที ละคนว่า “นั่งโต๊ะแบบเมื่อกี้กับนั่งแบบนี้อันไหนรู้สึกดีกว่ากัน” และคำ�ตอบก็คือนั่ง แบบที่ใกล้ ๆ กันดีกว่า (อบอุ่น รู้สึกปลอดภัยและมีเพื่อน) และก็มีเรื่องเล่าของบุคคล ทั้ง 2 ท่านเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตการดำ�เนินชีวิตและจุดเปลี่ยนของชีวิตหลัง จากได้ปฏิบัติกับสิ่งที่ท่านเชี่ยวชาญอยู่ และบอกว่าพรุ่งนี้รูปแบบการอบรมจะเป็น อย่างไรขึ้นอยู่กับสถานการณ์อีกทีนึง และก็เลิกประชุมวิทยากร ดิฉันก็กลับสถานี อนามัย... “แบบงง ๆ ”... วันรุ่งขึ้นดิฉันก็พากลุ่มอสม.และผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมอบรมปรับเปลี่ยน พฤติกรรม วันแรกเข้ากลุ่ม เล่าประสบการณ์โดยถือก้อนหินผลัดกันพูดและเวียน กลุม่ ไปเรือ่ ย ๆ โดยยึดทักษะการเป็นผู้ฟังที่ดี และกิจกรรมอื่น ๆ แบบเบา ๆ วันแรก ผ่านไปแบบเบา ๆ ซึ่งยัง ไม่ทราบว่าวันพรุ่งนี้จะต้องมีหลักการปฏิบัติที่เคร่งเครียด ตามแบบการอบรมแล้วนำ�ไปปฏิบัติแบบก่อน ๆ หรือเปล่า วันรุ่งขึ้น ดิฉันก็มีภารกิจ กับสามี ต้องไปจดทะเบียนหย่า ซึ่งดิฉันลังเลใจมาก ๆ ไม่อยากหย่าเลย แต่ก็จำ�เป็น
164 ประพิมศรี หอมฉุย
ต้องหย่า ก็เลยมาฝึกปฏิบัติได้ไม่เต็มที่ กลับมาจนเที่ยง ดิฉันจึงได้แต่ถามอสม.ว่า “เป็นอย่างไรบ้างดีหรือเปล่า” อสม.ตอบว่า “ดี” ดิฉันถามต่อว่า “แล้วอาจารย์เค้าให้ทำ�อะไรบ้าง” อสม.ตอบว่า “ก็นั่ง เดิน และนอน” ดิฉันก็ได้คำ�ตอบมา “แบบงง ๆ ” และร่วมฝึกปฏิบัติช่วงบ่ายโดยการนอน ยกมือขึ้นไปเหนือศรีษะพร้อมกับกำ�หนดรู้สึกตัวขณะที่ยกมือไปด้วย แต่แล้วก็หลับ ไปงีบหนึ่ง แล้วก็ลุกมาทำ�กิจกรรมต่อ จำ�ไม่ได้ว่าทำ�อะไรไปบ้าง รู้แต่สรุปแล้วท้าย สุดก็ให้เขียนสิ่งที่ได้จากการอบรมครั้งนี้ และก็มีคำ�บอกเล่ามาว่า “อบรมแบบนี้ดีไม่ เครียดดี” จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้านและดิฉันก็ “ยังงง ๆ ”ว่ามาอบรมแล้ว สิ่งที่ได้คืออะไร แล้วจะกลับเอาไปทำ�อะไรต่อ แล้วอสม.จะได้อะไร (ซึ่งในความเป็น จริงเขาอาจจะได้อะไรไปมากมายก็ได้) แล้วก็มีการจัดประชุมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้รับผิดชอบงานโรคไม่ติดต่อ แต่ละสถานีอนามัยจากผู้รับผิดชอบงานของโรงพยาบาล ดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วม อบรมและเจออาจารย์ทั้ง 2 ท่านอีกเป็นรอบที่ 2 จำ�ไม่ได้ว่าคราวนี้ดิฉันติดภารกิจ ที่สอ.หรือที่ไหนสักอย่าง ได้เข้าร่วมเพียงวันเดียว เสียดายมาก แต่จากการสอบถาม กิ จ กรรมก็ ค ล้ า ยกั บ รอบแรก และในวั น สุ ด ท้ า ย ท่ า นสาธารณสุ ข อำ � เภอมาร่ ว ม กิจกรรม วิทยากรได้เชิญให้ท่านสาธารณสุขอำ�เภอกล่าวถึงประสบการณ์เกี่ยวกับ การทำ�งานว่าทำ�อย่างไรให้ชนะทั้งตนเองและผู้ร่วมงาน มีคำ�หนึ่งที่ท่านกล่าวออก มามีคำ�ว่า ขอบคุณที่ทำ�ให้เขาได้มายืน ณ จุด ๆ นี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะทำ�ให้เขาต้อง เสียความรู้สึกอย่างไรเพียงแค่นั้นเจ้าประคุณ “นํ้าตาของดิฉัน” ไม่รู้ว่ามันหลั่งรินมา จากไหนไม่หยุดหย่อน มีคำ�บางคำ�เข้ามามันก็ต่อยาวไปทุกเรื่องให้นํ้าตาไหลได้ตลอด จนเรื่องเล่าที่จำ�ได้อีกคน คือ ของพี่นุช ณรังษี เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต การดำ�เนิน ชีวิต ในครอบครัว และอาจารย์ก็ให้สิ่งที่เป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวจิตใจ (กลวิธีหลอกล่อ
รู้สึกตัวตลอด 165
ให้ชาวรีเซ็ตแรก ๆ ให้กลับมารู้สึกตัว) จนกิจกรรมสุดท้าย อาจารย์ทั้งสอง ท่านก็ให้ เดินเวียนขอบคุณกัน จำ�ได้ดิฉันเต็มที่และสุดกลั้นกับการร้องไห้มาก ๆ จึงถามพี่นุช ว่า “พี่นุช หนูไม่ไหวแล้วค่ะ พี่นุชช่วยหนูทีซิคะ” พี่นุชบอกว่า “พี่ช่วยอะไรหนูไม่ได้ หรอก เธอต้องไปหาอาจารย์โน่น (ขณะนั้น อ.ประสาท นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างห้องประชุม) ดิฉันก็เดินเข้าไปและนั่งคุยกับอาจารย์ ดิฉัน: อ.ประสาท: ดิฉัน:
“อาจารย์คะ หนูมีปัญหาค่ะ ช่วยหนูหน่อยนะคะ” “อืม! ว่ามา” แค่นั้น นํ้าตาก็ไหลพร่างพรูออกมา และพูดว่า “หนูเพิ่งหย่า กะสามีค่ะ…เหมือนหนูจะอยู่ไม่ได้” อ.ประสาท: “อืม! แล้วไง คิดถึงอนาคตข้างหน้าและอดีตทีผ่ า่ นมาใช่ไหม” ดิฉัน: “ค่ะ” อ.ประสาท: “อย่าคิดได้ทำ�ร้ายตัวเองเป็นอันขาด ชีวิตที่ได้มาเป็นของ พ่อแม่เท่านั้นนะ ไม่ใช่ของเรา จะทำ�อะไรลงไป ต้องขอ อนุญาตแม่นะ ไม่งั้นบาป คนที่จะฆ่าให้เราตายได้คือพ่อ และแม่เท่านั้นนะ” ดิฉันฟังและคิดตาม พยักหน้าพร้อมกับบอกว่า “ค่ะ” อ.ประสาท ล้วงมือเข้าไปในย่ามที่สะพายเป็นประจำ�หาของ (อะไรสักอย่าง) แล้วก็ได้ของออกมา 2 อย่าง คือ สร้อยข้อมือยางยืดร้อยลูกปัดไม้เป็นเม็ด ๆ คล้าย ลูกประคำ� และตัวหนีบผ้า (สีฟ้า) ปัจจุบันก็ยังเก็บอยู่ ท่านนำ�ตัวหนีบผ้ามาหนีบนิ้ว มือของดิฉันและถามว่า “รู้สึกอย่างไร” ระหว่างถูกตัวหนีบ หนีบอยู่ดิฉันก็ครุ่นคิด (ไม่รู้สึกตัว) และตอบว่า “ก็รู้สึกว่า ถูกหนีบอยู่ค่ะ”
166 ประพิมศรี หอมฉุย
อ.ประสาท:
“เป็นเอามากนะเธอน่ะ ลำ�พังผมเอาไม่อยู่แล้ว เธอต้องไปเจอ พระอาจารย์ของผม” ดิฉัน: “ค่ะ พระอาจารย์ของอาจารย์ แล้วหนูจะได้เจออย่างไรคะ” อ.ประสาท: “ได้เจอแน่นอน พระอาจารย์ของผมจะมาจัดกิจกรรมค่าย ธรรมที่โรงเรียนลอง จ.แพร่เป็นประจำ�ทุกปี เดี๋ยวไปพร้อม พี่นุชนัดกัน ๆ ” ท่านนำ�สร้อยข้อมือลูกปัดไม้ สวมใส่ในมือให้ข้างหนึ่ง และบอกว่า “นี่เป็น สัญลักษณ์ให้ระลึกถึง ยามไม่สบายใจ ให้คิดถึงสิ่งนี้เป็นตัวแทนอาจารย์ เพื่อได้ไป พบพระอาจารย์” หลังจากนั้นมาดิฉันก็ได้เครื่องยึดเหนี่ยวและเยียวยาจิตใจ ให้ออกจากความ คิดด้วยเครื่องรางของขลังของอาจารย์ประสาทซึ่งมาจากข้าวของเครื่องใช้ในชีวิต ประจำ�วันง่าย ๆ (คิดได้อย่างไรไม่รู้นับถือ ๆ กลลวง...กลอุบาย..ของเล่น..สำ�หรับผู้ ใหม่..ซึ่งมีแต่ความคิดทับถมจนไม่เหลือความรู้สึกตัวแม้จะเจ็บสักเพียงใด) พอรู้ว่าตัว เองคิดทีไรก็หนั กลับมามองสร้อยข้อมือ และกลับมาคิดถึงคำ�ของอ.ประสาท ทีว่ า่ “อย่า คิดได้ทำ�ร้ายตัวเองเป็นอันขาด ชีวิตที่ได้มาเป็นของพ่อแม่เท่านั้นนะ” ก็ยังอยู่ใน ความคิดอยูด่ ี แต่อยูใ่ นความคิดเรือ่ งดี คือ ไม่ท�ำ ร้ายตัวเอง บางครัง้ รูว้ า่ ตัวเองไม่ออกจาก ความคิดมันอยากจะร้องไห้ ก็หยิบเอาตัวหนีบผ้าสีฟ้า มาหนีบนิ้วมือของตัวเอง หนีบ เอาจนชาโน่นแหล่ะ (พวกจัดหนัก หนีบนิดเดียวยังไม่รู้สึกหรอก) รอวันจนได้ไปแพร่ เพื่อเจอพระอาจารย์ไพบูลย์ เมื่อ กรกฏาคม 2553 ที่บ้าน อ. ประสาท ปกติตนเอง เป็นคนไม่ค่อยสนทนาธรรมอย่างเป็นทางการเท่าไร ส่วนมากจะประสานงานกับเจ้า อาวาสวัดเรื่องกิจกรรม งานประเพณีในหมู่บ้านและถูกใส่หลักธรรมให้กับตนเองโดย ไม่รู้ตัว ส่วนครั้งนี้ เป็นการสนทนาธรรมที่เป็นเรื่องจริง มาคุยกันสด ๆ แก้ปัญหา กันสด ๆ นำ�ไปใช้ได้เลย แต่บังเอิญว่าช่วงนั้นทุก ๆ ปัญหาของแต่ละคนมันช่างเป็น ปัญหาอันน้อยนิเมื่อเทียบกับของฉัน ด้วยความคิดมากก็ได้แต่นั่งนิ่งฟังอย่างเดียวไม่
รู้สึกตัวตลอด 167
พูดไม่จาแล้วทุกท่านก็แยกย้ายวงสนทนาธรรม ประมาณ 21.00 น. ดิฉนั ก็ได้เจอจัดหนักสำ�หรับพวก Hardcore ไม่พูดไม่จา ตาเหม่อลอย ซึ่งมีพระอาจารย์ไพบูลย์, อ.ประสาท, อ.ศรชัย, พี่นุช ณรังษี และดิฉัน ที่โต๊ะอาหารบ้านตองตึง พระอาจารย์: “อ้าว! กอล์ฟมีอะไรจะพูดหรือจะถามหรือเปล่า?” ดิฉัน: “ไม่มีคะ พระอาจารย์” พระอาจารย์: “โกหก!” เป็นคำ�พูดที่เสียงดังมากและเป็นคำ�ที่แรงมากสำ�หรับดิฉันตอนนั้น แล้วก็เป็น อีกครั้งที่ นํ้าตาของดิฉันก็ไหลพร่างพรูออกมา หลังนํ้าตาตกก็ได้ระบายสิ่งที่อึดอัดใจ ขัดเคืองใจพร้อมทั้งนํ้าตาออกไป และได้รับคำ�แนะนำ�ซึ่งเป็นธรรมะที่นำ�ไปใช้แก้ไข ได้กับชีวิตจริง ๆ ซึ่งไม่ต้องยกคำ�มาลอย ๆ อย่างเช่นว่า “ต้องใช้หลัก พรหมวิหาร 4 หรือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขานะ” ซึ่งดิฉันรู้สึกมันไกลตัวและไม่รู้จะนำ�ไป ปฏิบัติอย่างไร วันรุ่งขึ้นก็ได้ร่วมกิจกรรมพาน้องพบธรรมของโรงเรียนลอง จ.แพร่ ที่วัด บ่อแก้ว อ.ลอง จ.แพร่ ก็เป็นเรื่องการปฏิบัติธรรม ถือศีล 8 เหมือนที่อื่น ๆ แต่ทำ�ใน กลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษา แต่ที่แตกต่างจากที่อื่นคือ ไม่ต้องเคร่งเครียด สบาย ๆ แต่ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้อะไรมากมายเพราะตกอยู่ในความคิดเสียส่วนมาก ที่สำ�คัญ คือได้ ความสบายใจ และความสงบมานิดนึง แต่พอกลับมาทำ�งานมันก็ยังคงเหมือนเดิม และยังไม่รู้ด้วยซํ้าว่าต้องนำ�กลับมาปฏิบัติในชีวิตประจำ�วันเช่นไร หนึ่งปีผ่านไปหลังจากนั้น เจออาจารย์ใหญ่ เจ้าหน้าทีใ่ นหน่วยงานเกิดอาการวีนแตก ทัง้ ๆ ทีเ่ ราก็ไม่ได้ทำ� อะไรผิดแม้แต่ประการเดียว เริ่มเดือด คิดในใจว่า “มึง...เจอกูสักตั้งแน่วันนี้” ขณะ นั้นก็อยู่กับความโกรธโดยไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาในใจอย่างไร ก็ใช้ความคิดเอาว่าเออน่ะ
168 ประพิมศรี หอมฉุย
เดี๋ยวมันก็ดีเอง แต่แล้วมันก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอก เก็บมาเรื่อย ๆ แต่มันทุเลาลง เพราะมัน มีปจั จัยน้อยลง ไม่มสี ง่ิ กระตุน้ ให้เกิดอารมณ์โกรธอีก เหมือนเราจะรูต้ วั ได้ อ.ศรชัยและ อ.ประสาทเป็นผู้ให้คำ�ปรึกษา และได้พบกับพระอาจารย์ที่พิษณุโลกเสมอ ๆ เวลา พระอาจารย์ผ่านไปทำ�งานที่แพร่และเขื่อนแควน้อย จะต้องขอไปให้เห็นหน้าพบปะ พูดคุยด้วยทุกครั้งคราไป โดยมีพี่นุช ณรังษีเป็นปัจจัยชวนให้ได้ไปพบ แต่ก็ยังไม่ได้ นำ�มาปฏิบัติในอิริยาบทของตนเองทุกขณะในชีวิตประจำ�วัน จำ�ได้ว่าครั้งหนึ่งได้ พบอ.ศรชัย กับ อ.ประสาท จึงได้สนทนากันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง อ.ศรชัย: ดิฉัน:
อ.ศรชัย: ดิฉัน: อ.ศรชัย: ดิฉัน: อ.ศรชัย: ดิฉัน: อ.ศรชัย: ดิฉัน:
“ฝึกตกตั้งใหม่ ไปถึงไหนแล้ว” “ไม่ค่อยได้ฝึกหรอกค่ะ การเรียนการสอนกะอาจารย์ ช่วงนั้น จิตมันตก เลยไม่ค่อยได้ฝึกอะไรมากมายเท่าไร ช่วงนั้นมันตกมากจริง ๆ ได้แต่ เวลามีความโกรธ ก็ตั้ง สติ ไม่คิดมากเหมือนเมื่อก่อน” “อ้าว..แล้วฝึกความรู้สึกตัวในชีวิตประจำ�วันหรือเปล่า ยืน เดิน นั่ง นอน” “รู้สึกตัว...ตลอด เลยไม่ได้ฝึกอะค่ะ …” “ตลก..ใครจะไปรู้สึกตัวได้ตลอดโม้แล้ว…” “อ๋อ...ยกเว้นตอนนอนค่ะ หลับสนิท...อิอิ” “ก็ยังโม้อยู่ดี…เวลากินข้าว รู้สึกตัวทุกคำ�ไหมหรือกิน แล้วคิดโน่นนี่” “อืม...อันนี้น่าจะลืมไปค่ะบางเวลากินแล้วก็ยังเอาเรื่อง งานมาพูด...อิอิ…” “อ้าว ไหนบอกรู้สึกตัวตลอดว๊าาาาาาาาาาาาา” “แฮ่ ๆๆ ก็รไู้ ง รูว้ า่ กำ�ลังกินข้าวอยูอ่ ะ...อิอมิ นั ก็แค่ บางครัง้ คะ”
รู้สึกตัวตลอด 169
อ.ศรชัย : ดิฉัน: อ.ศรชัย: ดิฉัน: อ.ศรชัย: ดิฉัน: อ.ศรชัย:
ดิฉัน: อ.ศรชัย: ดิฉัน:
“ถึงบอกให้ฝกึ ไงเวลาเดิน รูส้ กึ ถึงฝ่าเท้าทีก่ �ำ ลังก้าวไป” “เวลาเดิน จะต้องขนาดนั้นเลยเหรอคะ…” “อ้าว ก็ฝึกความรู้สึกตัวไม่ใช่เหรอ นึกว่าฝึกอะไร…” “ก็ใช่ มันก็รู้สึกแหละ แต่มันทำ�ไม่ได้ที่จะต้องมารู้สึกว่า ตอนนี้ฝ่าเท้ากำ�ลังก้าวนะน่ะ ไม่ทันซะมั้ง” “แล้วบอกรู้สึกตัวตลอด ถึงบอกว่าโม้ไง” “5555” “เอาง่าย ๆ ก่อน เวลาก้าวไปทุกครั้งที่ฝ่าเท้ากระทบ พื้นให้รู้สึกถึงฝ่าเท้า ถ้ามันยาก รู้สึกแค่ข้างเดียวก่อน เลือกเอาซ้าย หรือขวาก็ได้ สมมุติว่าซ้ายเวลาเดินก็ สังเกตนํ้าหนักที่เท้าซ้ายทุกครั้งที่เหยียบลง แค่นี้ทำ�ได้ ไหมถ้าใจลอยไปก็กลับมารู้สึกใหม่เรียกว่า ตกตั้งใหม่ ” “ทำ�ได้คะ...แต่หนูหมายถึง ช่วงนี้มันไม่มีอะไรทำ�ให้ สติ ไ ม่ ไ ด้ อ ยู่ กั บ ตั ว ไม่ คิ ด มาก ก็ เ ลยมี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ ดีน่ะอิอิ” “ไม่จริงหรอก ถึงไม่มีเรื่องอะไรหนัก ๆ ถ้าสังเกตจริง ๆ เราก็จะใจลอยไปโน่นนี่อยู่แล้ว ตกวันละล้านหนด้วยซํ้า ไปลองสังเกตดูสิ เริ่มพรุ่งนี้ก็ได้” “ค่ะ...ขอเริ่มที่กินข้าวก่อนละกัน..ว่าแต่ว่า...ช่วงที่มี เรื่องตอนนั้นนะคะ...พี่ที่สนิทกันขับรถสวนกันหนูมอง ยังไม่เห็นเลย ใจลอยจริง ๆ ...พอไปฝึกที่แพร่ อืม..มันก็ รู้สึกจริง ๆ ...กำ�หนดขวารู้สึก...แถมซ้ายก็ยังรู้สึกลงแรง กว่ากัน ทัง้ ๆ ทีว่ นั แรกไม่รสู้ กึ อะไรเลย” (ต้องยกความดี ความชอบให้พี่ตุ๊กตาช่วยเป็นปัจจัยให้หนูได้รู้หลัก...แต่
170 ประพิมศรี หอมฉุย
อ.ศรชัย:
ดิฉัน : อ.ศรชัย: ดิฉัน: อ.ศรชัย : ดิฉัน : อ.ศรชัย : ดิฉัน : อ.ศรชัย ดิฉัน :
อ.ศรชัย : ดิฉัน :
หยาบ ๆ แค่รู้สึกตัว รู้สึกว่าเท้าลงพื้นก็บุญแล้ว) “กินข้าวยิ่งยากกว่า เพราะละเอียดมาก เมื่ออ้าปากขึ้น งับปากลง บดเคี้ยวอาหาร กลืน ทั้งหมดนี้ต้องสังเกต ตลอดถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ว่าเรากำ�ลังขยับปากอยู่คิด เมื่อไร ก็จะไม่รู้ ” “อ้าว...ก็จะได้รสู้ กึ ตัวให้กนิ น้อยลง จะได้ไม่อว้ นไง จะได้ อิ่มเร็วอะ...อิอิ..ได้ไหมเนี่ย แล้ว..ถ้ามีคนมาด่าเราว่า... อีบ้าแล้วเราจะฝึกตกตั้งใหม่ยังไงดีล่ะค่ะ” “เขาด่าเรา แล้วเรารู้สึกอย่างไรล่ะ” “เราไม่ได้บ้านะ” “ถามว่ารู้สึกอย่างไรตอนที่เขาว่าเราบ้า” “ก็โกรธสิคะ” “โกรธ ก็คือ ‘ตก’ แล้วตั้ง ทำ�อย่างไร” “แล้วทำ�ไงอ่ะก็นั่นแหล่ะค่ะ” “อ้าว เธอทำ�อย่างไรล่ะตอนนั้น” “ตอนนั้ น เกื อ บจะด่ า เขากลั บ แต่ ก็ เ งี ย บไว้ ” โมโห.. มาก...กะว่าถ้ายังไม่หยุด จะตอกกลับต่อหน้าคนอื่น. เลยแหละ ก็ปรากฎว่า...ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ...ถ้า เธออยู่หน้าข้างหน้าฉันจะอยู่ข้างหลังน่ะ ( ฮ่า ๆๆ... กลับมาย้อนอ่านแล้วตลกตัวเองมากมาย...ทำ�ไปได้... อิอิ) “ในใจคิดอะไรตอนนั้นคิดไปเยอะไหม” “แล้วสิ่งที่ถูก..ควรจะเป็นอย่างไรหล่ะ กำ�หนด..รู้ว่า กำ�ลังโกรธนะ..งี้เหรอ คิดมากเหมือนกัน..ไม่อยากอยู่
รู้สึกตัวตลอด 171
อ.ศรชัย : ดิฉัน : ศรชัย : ดิฉัน :
อ.ศรชัย : ดิฉัน : อ.ศรชัย :
ที่นี่จริงจริ๊ง..เบื่อคิดเยอะแยะ...คงตกทั้งวันอะค่ะ แล้ว ต้องทำ�ไงอ่ะ..หยุดคิดเหรอคะ.” “ไม่รหู้ รือว่าตัง้ ทำ�อย่างไรแล้วเจออาจารย์ไปฝึกอะไรมา” “ก็ แ ค่ อ ยากถามว่ า ควรทำ � ไง?? เผื่ อ วั น หลั ง โดนด่ า คำ�ว่าบ้าจะได้ทำ�ตัวถูก ตั้งได้ถูกน่ะค่ะ..อิอิ” (ย้อนอ่าน ไปเรื่อย ๆ ยิ่งตลกตัวเองมากมาย) “ไปฝึกอะไรมาล่ะ กับอาจารย์ประสาทตอนนั้นได้เอา มาใช้ไหม” “ก็ จำ � ได้ ว่ า ให้ อ อกจากความคิ ด ให้ เร็ ว ที่ สุ ด แต่ . . พยายามแล้ว..วันนั้นมันโกรธมาก..เลยหยุดไม่ได้... แหะ ๆ ” (ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซํ้าการออกจากความคิด ต้องออกอย่างไร ระยะเวลาผ่านมาหลังเจออาจารย์ 1 ปี) “ออกจากความคิด ทำ�อย่างไรที่เรียนรู้มา” “ไม่รู้สิคะ 555” “อ้าว ฉิบหายตายห่ะ” ****ถะแล่มถะแลมถะแลมถะ แล่มทะแลม.....จบค่ะ!****
นับจากวันนั้นมา ดิฉันก็ได้มีโอกาสกราบพระอาจารย์ไพบูลย์ และได้พบปะ กับ อ.ประสาท และอ.ศรชัย อยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่ได้พบพระอาจารย์จะได้ ข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นำ�ไปใช้ในชีวิตประจำ�วันได้อย่างดีทีเดียว และถ้ามีโอกาส ก็จะพาบุคคลสนิทใกล้ ๆ ตัวไปหาพระอาจารย์อยู่เนือง ๆ ต่อมาได้ผ่านเหตุการณ์ที่ ตนเองรอดตายมาจากอุบัติเหตุรถพลิกควํ่า อาจเป็นเพราะอานิสงส์จากการฝึกความ รู้สึกตัว ทำ�ให้ฉันซึ่งตอนนั้นเป็นคนขับ สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้โดยที่ไม่ ตื่นตระหนกทั้ง ๆ ที่มีญาติ ๆ นั่งมากันเต็มรถ เหตุการณ์ครั้งเป็นเครื่องเตือนใจฉันไม่
172
ให้ประมาท และระลึกอยู่เสมอว่า “ชีวิตคนเรานี่ช่างสั้นเหลือหลาย แค่ลมหายใจเฮือกเดียวที่จะผ่านเข้าออกจมูก ยังไม่สามารถจะฉุดรั้งมันไว้ได้เลย”
173
175
รถชน ชยันต์ ประเทศรัตน์
...เหตุที่ต๊กโตอยากเอาเรื่องทั้งสามเรื่องที่เกิดกับต๊กโต มาเล่าให้ฟังก็เพราะอยากให้ทุกคนรู้ว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ ฉับพลันขึ้นกับเรา เราตัองรีบตั้งอย่างรวดเร็ว...
รถชน 177
รถชนหนึ่ง วันนั้นกลับมาจากเชียงราย ต๊กโตนั่งอยู่ในรถกับพ่อระหว่างทางเป็นทางผ่าน โรงเรียน มีพี่สองคนขี่รถมอเตอร์ไซค์คุยกันไม่ดูทางมาตัดหน้ารถ พ่อตัดสินใจอย่างไว เบรคแแต่ไกล ชนตูมกระเด็น พี่คนอ้วนกลิ้งมาหน้ากระโปรงรถ ส่วนคนผอมกระเด็น ไปข้างถนน ต๊กโตตกใจมาก ดีทพ่ี เ่ี ขาไม่เป็นไร พีเ่ ขาขอโทษพ่อเพราะรูส้ กึ ผิด ตอนนัน้ ต๊กโตยังไม่เคยฝึก “ตกตัง้ ใหม่” ก็เลยตกใจมากทำ�อะไรไม่ถกู พ่อถามพีเ่ ขาว่า “ไม่เป็นไร ใช่ไหม” พี่เขาบอก “ไม่เป็นไร” พ่อรีบตัดให้ไวเพราะว่า เรื่องมันจะยาว ต๊กโตยัง ตกใจอยู่ไปหยิบหนังสือพี่เขามาสองเล่มเพราะว่าตกใจมาก หลังจากนั้นพ่อก็ออกรถ ไปสักพักต๊กโตนึกได้รบี บอกพ่อให้ยอ้ นกลับไปเพือ่ เอาหนังสือไปคืน พ่อบอกว่า “เขาจะ เอาตำ�รวจมาจับ” ต๊กโตเลยบอกพ่อว่า “งั้นเรารีบกลับกันเถอะ” แบงค์ตกรถสอง แบงค์เป็นหลานของต๊กโตอายุ 9 ขวบ ตอนนั้นเล่นนํ้าสงกรานต์บนรถปิ๊กอัพ ไปตามทาง พี่บ๊วยเป็นคนขับรถ ตอนเย็นแล้ว แบงค์ต้องกลับก่อนต๊กโตแต่ต๊กโต อยากไปส่งแบงค์ ก็ขอติดรถไปด้วย ต๊กโตกับแบงค์นั่งหลังกระบะรถ ตอนไปพี่บ๊วย เป็นคนขับรถ ส่วนเรานั่งกระบะหลังกันสองคน ตอนไปถึงหน้าบ้านแบงค์ แบงค์เกิด ตกลงไปจากรถไม่รู้เป็นอะไรบ้าง ตอนนั้นต๊กโตตั้งสติได้รีบตะโกนบอกพี่บ๊วยให้ถอย
178 ชยันต์ ประเทศรัตน์
รถแล้วต๊กโตก็โดดลงไปลากแบงค์ออกมา โชคดีที่รถไม่ทับแบงค์ ป้าภาเป็นพี่เลี้ยง แบงค์ได้ยินเสียงต๊กโตก็ออกมาช่วยอุ้มแบงค์ขึ้นรถแล้วพาไปส่งโรงพยาบาลตอนนั้น ไม่ค่อยตกใจเท่าไรเพราะไปฝึกตกตั้งใหม่ที่วัดอาจารย์มาแล้ว รถชนสาม วันที่ต๊กโตอยู่นครสวรรค์ (ไปกับพี่ศรชัย พ่อ) หลังทำ�งานเสร็จ พี่ศรชัยได้ขับ รถเอาเบาะไปคืนเจ้าของที่ยืมเขามา ขากลับมีป้าคนหนึ่งขี่รถมอเตอร์ไซด์ตัดหน้า พี่ ศรชัยหลบไม่ทันชนตูม ป้าคนนั้นกระเด็นไปกลางเลน พ่อกับพี่ศรชัยลงไปดูป้าเขา เป็นแผลแตกตรงหัวเข่า จากนันั้ ป้าเขาก็เดินมาหน้าตาโกรธมาก พ่อถามว่าเป็นไรไหม ป้าเขาบอกว่า “กระจกรถหักอีกแล้ว ไปซ่อมมาสองรอบแล้ว” พ่อกับพี่ศรชัยคุยจนป้าเขาตอบไม่ได้ ป้าเขาก็เริ่มมองหาพรรคพวกใหญ่ พอดี มีญาติเขาขี่รถผ่านมา เป็นลุงกับเด็กน่าตาน่ากลัวลงจากรถได้เขาบอกว่า “จ่ายค่า เสียหายมาห้าร้อยเป็นค่าทำ�แผล“พี่ศรชัยตกลงจ่ายให้แล้วหาแบงค์ห้าร้อยเพราะว่า ถ้าเอาแบงค์พันให้เขาคงจะไม่ยอมทอนให้แน่เลย ต๊กโตแอบฟังอยู่ในรถพอตั้งสติได้ ก็บอกพี่ศรชัยว่า “ต๊กโตมีแบงค์ห้าร้อย” จึงเอาเงินให้ป้าคนนั้นไปแล้วขอบคุณป้า เขาส่วนพ่อก็บอกว่า “ไปละมีงานต่อ” ตามที่ต๊กโตไปเรียนตกตั้งใหม่มา เหตุการณ์ทั้งสามครั้งนี้ ทำ�ให้รู้ว่าเมื่อถึง เหตุการณ์แบบฉับพลันเราตั้ง (รีเซ็ต) ได้ดีขึ้น อย่างรถชนครั้งที่สามที่ต๊กโตไม่ค่อย ตกใจตื่น แบบเผลอไปหยิบอะไร อย่างรถชนครั้งแรก
181
ในกองเพลิง สุวิชานนท์ รัตนภิมล
“โต๊ะทำ�งานตัวที่อยู่ ในใจยังไม่หายไปไหน สิ่งเป็นซากไปแล้ว ลบมันทิ้งไป ใจที่ ไม่เหือดแห้งต่างหาก นำ�พาชีวิตไปข้างหน้าได้ ออกมาจากความคิด หลุดออกมาจากซากเสียเถอะ ความใหม่ ในใจจะเกิด อย่าเก็บซากมากอดไว้อีกเลย...”
ในกองเพลิง 183
นี่คือเรื่องจริงอันไม่อาจปฏิเสธ มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ มันไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ฝันไปแน่ ๆ ความจริงชนิดนี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันใด จู่โจมแทรกเข้ามาใน ชีวิตในเช้าอันเงียบกริบ ความจริงของพายุใต้ฝุ่นมักจะย่องเงียบมาร่วมสังสรรค์ชีวิต ด้วยในช่วงเวลาที่เรารดนํ้าพรวนดินต้นไม้ ชื่นชมดอกไม้อยู่เสมอ เรือ่ งจริงอันเริม่ ต้นมาจากการเดินทางไกล แต่การย่นระยะทางตัดทอนให้สน้ั ลง ต้องจบฉากชะตาลบข้อมูลด้วยเปลวเพลิงเช่นนี้หรือ?..!?.. ผมมองหาสิ่งที่หลงเหลือจากเปลวเพลิงในห้องทำ�งาน (ห้องหลังสุดที่ทำ�ท่า ว่าจะมีต้นฉบับงานเขียนจากห้องนี้เดินทางไปพบปะสังสรรค์กับผู้คนไปเรื่อย ๆ) สิ่งรายล้อมรอบตัวนักเขียนคนหนึ่งมีอะไรบ้าง หนังสือเล่มที่ชอบ หนังสือเล่มหายาก บางเล่มมีประวัติการเดินทางคู่ทุกข์สุขในชีวิต สมุดบันทึก เอกสารข้อมูลที่อยู่ในแผ่น ซีดี ทั้งภาพ เสียง ข้อมูลเรื่อง ต้นฉบับที่รวมกันสูงเกือบเท่าถึงเอว (ผมมักซีร็อกซ์เก็บ รวบรวมไว้) เครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ เครื่องพิมพ์ดีดทั้งสองเครื่อง ภาพเขียน ของศิลปินมีชื่อหลายคนทั้งใส่กรอบและรอการใส่กรอบ ถ้าเอ่ยชื่อแล้วผู้อ่านจะรู้สึก เสียดายที่สุด ยิ่งถ้าเล่าที่มาของภาพเขียนแล้วคุณจะหนาวเยือกถึงหัวใจ ก็หายไปกับ เปลวไฟ... ผมหยิบหนังสือบทกวีของปาโบล เนรุดาที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็น
184 สุวิชานนท์ รัตนภิมล
เถ้าดำ�ราวตอไม้ไหม้ไฟ พลันเหลือบไปเห็นแฟ้มรวบรวมงานเพลง เถ้ากระดาษ ยังปรากฏคำ�กดเน้นด้วยปลายดินสอ หลายเพลงที่เขียนเสร็จสิ้นไปแล้ว หายไปด้วย แฟ้มอีกหลายแฟ้มอันข้องเกี่ยวกับเพลง ไหม้ไฟหมด หยิบตรงไหน นึกถึงเรื่องใด ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน สำ�คัญมากต่ออาชีพนักเขียนอย่างผม นั่นคือภาพถ่ายที่ต้องเรียกว่ามีเป็น หมื่นแสนภาพ และต้องดั้นด้นกันยากลำ�บากกว่าจะได้ภาพเหล่านั้น เป็นอยู่ในรูป แผ่นซีดีอีกสามกล่อง มอดไหม้เป็นปลิดทิ้ง พูดง่าย ๆ ว่าไฟไหม้คราวนี้ ลบรอยประวัติศาสตร์อันพอจะนำ�เป็นหลักฐาน เดินทางต่อ ในความหมายของคนมีอาชีพเขียนหนังสือคนหนึ่ง หายไปอย่างไม่อาจ เรียกคืนกลับ ไม่อาจกู้คืนยังไม่พอ ไม่อาจฟูมฟายซัดส่ายให้เปลืองใจมากกว่านั้นด้วย สรุปรวบยอดก็คือหนังสือนับร้อยเล่มมอดไหม้ เอกสารข้อมูลทุกอย่างหมด สิ้น ที่เหลืออยู่ก็คือข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ฉบับพกพา และโชคดีอย่างเหลือเชื่อ อันคาดไม่ถึงอย่างชนิดเทพปราณีก็คือ กีตาร์สองตัว ตัวหนึ่งเป็นทาคามิเนะ ผลิต ในญี่ปุ่น อีกตัวคือกีตาร์คลาสสิกเอสเตเว ผลิตจากประเทศสเปน นอนอบควันไฟ นานเป็นชั่วโมง ก่อนจะถูกคว้าออกมาได้ในสภาพแบบต้องลุ้นว่าเนื้อไม้หดงอหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็หลุดรอดออกมาจากเปลวไฟที่ลุกโหมมาได้ โชคดีอีกเรื่องก็คือกีตาร์ยี่ห้อมาร์ติน ผลิตในอเมริกาออกเดินทางไปกับผม จึงถูกกันออกไปจากกองเพลิงได้ ขณะผมนั่งเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ กลิ่นควันไฟยังกรุ่นโชยเข้าจมูกอยู่เลย มันมา จากทิศทางไหนไม่รู้ แต่มันเป็นกลิ่นเผาไหม้ที่แสนบาดตาบาดใจ ในชั่วชีวิตของผม ผมเผชิญความสิ้นสูญแรง ๆ มาหลายครั้ง แต่ละครั้งนั้น โหดหิน ยากแสนยากจะข้ามผ่านนำ�พาชีวิตไปข้างหน้า บางเรื่องนั้นโหดหินจะสู้หน้า ผู้คนด้วยการอธิบาย บางเรื่องบั่นทอนชีวิตรุกลํ้ากลํ้ากลืนไม่เว้นแต่ยามหลับ เรียกว่า อยู่กบั ความเป็นตายมอดไหม้เผาผลาญอย่างไม่ปราณีมาจนไม่อยากเผชิญโลกอีกต่อไป
ในกองเพลิง 185
แล้ว
โลกโหดร้ายเกินกว่าเยียวยา!??.. และทุกครั้งของการจบเรื่องอันโหดหินในชีวิต ผมนึกว่ามันจะจบและให้ โอกาสผมเดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่นบ้างเถอะ พอมีความสุขบ้างเถอะ เปล่าเลย?! ชะตาไม่ละเว้น ไล่ตามตบตามตีอย่างกับโกรธแค้นกันมาชั่วกัปกัลป์ เรื่องโหดหินครั้งหลังสุด จนเรียกว่าแทบสูญสิ้นเครื่องมือหากิน พลังชีวิต หดหาย ชาวนาโดนขโมยไถหรือรถไถ เมล็ดพันธุ์ข้าวโดนไฟไหม้ยังไงยังงั้น เราจะ เผชิญต่อกรกับภาวะใจของตัวเองได้อย่างไร ต้องเน้นว่าภาวะใจของตัวเอง เพราะ ใจใครก็ใจใคร ไม่อาจทุกข์แทนกันได้ ไม่อาจเจ็บแทนกันได้ ภายในผมเหมือนโดนคลื่นความร้อนเผาไหม้ตามไปด้วย เป็นคลื่นความ ร้อนตามความเร็วใจ แค่คิดย้อนกลับไปก็มีแต่จะพบเรื่องกดลงทับใจ จุกอกแดดิ้น ทุรนทุราย ยังว่ายวนอาลัยอาวรณ์--เพียงแค่นึกว่าไม่น่าเลย สายไฟฟ้าเส้นนั้น ไม่น่า โดนหนูแทะจนเกิดประกายไฟลัดวงจรง่าย ๆ เลย ที่สำ�คัญนั้นเป็นไฟช๊อตในช่วงเวลา ที่ผมออกเดินทางด้วย ไม่มีเวลาสักน้อยนิดจะช่วยพยุงความเสียหาไว้ได้ ไม่ง่ายเลย จะออกมาจากเรื่องราวความคิดวนเวียนไหลไป จมไป ผมจะทำ�อะไรได้มากไปกว่าการกลับมาสู่ความจริงแท้ที่สุด กลับมาหานิ้วมือ นิว้ เท้า ผิวหนัง ฟัน เส้นผม ดวงตา จมูก ลมหายใจ บนอิรยิ าบถความเป็นไป ให้ทกุ อย่าง กลับมาสู่ความเป็นไป ช้าเป็นช้า เอื่อยเฉื่อยก็เอื่อยเฉื่อย นิ่งฟังเสียงตัวเอง ยืน เดิน นั่ง นอนก็เถอะ ฟังเสียงตัวเองด้วยความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ว่าผมจะอยู่กับการเดิน นั่ง ยืน นอน คุดคู้เหยียดตัวตรง ฯลฯ ที่สำ�คัญนั้นปรับใบหน้า แววตา คลายความ หนักความร้อนผ่าวในดวงตา คลายผิวหน้าให้เบาลงบางลง อยู่กับความนิ่งและเป็น ไป ปล่อยให้ไหล ไม่ขัดขืน ไม่กดกลั้นไว้ แต่จะเอาอะไรได้ล่ะ มันเกิดไปแล้ว มันจบ ไปแล้ว เรื่องกดทับใจทอดเป็นเขาวงกตหมุนวนอยู่ในหัว กักขังใจไว้กับซากผุพังที่
186 สุวิชานนท์ รัตนภิมล
ผ่านพ้นไปแล้วเหล่านั้น จนใจเป็นเศษซากเดินได้ มีแต่ลมหายใจ ใจยังขุดซากมาตั้ง โต๊ะจีนกินเลี้ยง ถาโถมอยู่ในวังวน ความคิดความรู้สึก ใจปะทะแล้วจะหนีไปไหนพ้น ภาษาใจยังหมุนวนอยูใ่ นกับดักความคิดห่วงอาลัยอาวรณ์ในสิง่ พรากจากของรักของหวง “โต๊ะทำ�งานตัวที่อยู่ในใจยังไม่หายไปไหน สิ่งเป็นซากไปแล้ว ลบมันทิ้งไป ใจที่ไม่เหือดแห้งต่างหาก นำ�พาชีวิตไปข้างหน้าได้ ออกมาจากความคิด หลุดออกมา จากซากเสียเถอะ ความใหม่ในใจจะเกิด อย่าเก็บซากมากอดไว้อีกเลย...” ผมบอกตัวเองอีกครั้งหนึ่ง บอกใจตัวเอง ให้เผชิญกับความจริง เยี่ยงช้างศึก ในสนามรบที่ออกไปปะทะคมหอกคมดาบ สิ่งทำ�ได้ลำ�ดับแรกคือรักษาใจตัวเอง จะมี อะไรมากไปกว่า รู้ตัวว่านั่ง รู้ตัวว่ายืน รู้ตัวว่าเดิน ยังเหยียดคู้ ยังนอน ความจริงอัน เป็นสัจจะอยู่ตรงนี้ ผมจะหวนคืนไปสร้างให้เหมือนคืนกลับดังเดิมได้อย่างไร เมือ่ ทุกอย่างกลายเป็น ซากไปแล้ว กอดซากไว้เท่านั้น จะรํ่าไรกอดซากอยู่อย่างนั้นหรือ? เป็นอิสระต่อสิ่งกดทับทั้งปวงแม้รู้สึกได้แต่เพียงอิสระแค่ลมหายใจเข้าออก ก็ตาม...
หมายเหตุ ปรับปรุงเพิ่มเติมจากงานเขียนชิ้นที่เคยตีพิมพ์ลงในคอลัมน์ คนคือการเดิน ทาง นสพ.กรุงเทพธุรกิจรายวัน เสาร์สวัสดี ฉบับที่ 693 วันที่ 1 กันยายน 2555
189
นํ้าท่วมใจ นิสาข์ ประเทศรัตน์
...เห็นข้าวของจมนํ้าไปใจเราก็จมตามไปติดๆ ญาติพี่น้อง มิตรสหายโทรมามันก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็ ไม่อยากร้อง จนบ่าย ๆ พระอาจารย์ โทรมาหาฉันและบอกว่า “ นํ้าท่วมมันเป็นปกติของมัน อย่าให้นํ้ามันท่วมใจเราหนาน้าตอน”...
นํ้าท่วมใจ 191
นํ้าท่วมถือเป็นเทศกาลประจำ�ปีอย่างหนึ่งสำ�หรับบ้านฉัน ปีนี้นํ้ามาเร็ว กว่าทุกปีแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แถมคิดเอาเองว่ามันคงไม่มากไม่น้อยไปกว่าปีก่อน ๆ นัก นํ้าท่วมครั้งนี้ได้แป๋มเป็นหัวแรงช่วยเก็บของก็เบาใจไปเยอะ แถมมีหน่วยงาน ต่าง ๆ เข้ามาแจกข้าวแจกนํ้ากันมากมายซึ่งทุกปีบ้านฉันไม่เคยได้รับอะไรเลย พอนํ้า ลดก็มีรถนํ้าจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยล้างถนนล้างบ้าน แต่ก็ช่วยแบบพวก ใครพวกมัน ฉันบอกให้น้าสาท (สามี) โทรไปบอกพรรคพวกให้ขอรถนํ้ามาช่วยล้าง บ้านเราหน่อยเพราะขี้โคลนมันเยอะมาก น้าสาทก็ไม่จัดการอะไรให้เป็นที่พอใจเรา เสียที ความรูส้ กึ ขณะทีม่ องเห็นรถนํา้ แล่นผ่านบ้านเราไปคันแล้วคันเล่า มันมีความรูส้ กึ เหมือนกับ “หมาเห็นปลากระป๋อง” ปานนั้นพร้อม ๆ กับอารมณ์โกรธก็พุ่งขึ้นมาโดย ไม่ทนั ได้สงั เกตอาการในตัวเรา หันไปหันมาเจอม้านัง่ ก็จบั ทุม่ ไปสามตัว พร้อม ๆ กับบอก ว่า “ไอ้แป๋มเผามันให้หมดไม่ต้องเอาไว้” ปกติแป๋มจะสวนทันทีเลยว่า “ได้เลยเดี๋ยว จัดให้ป้า” แต่วันนี้แป๋มเงียบ แล้วใจเราก็พาลต่อไปอีกเมื่อเห็นแผ่นซีดี หนังสือของ หน่วยงานต่าง ๆ ที่ส่งมาให้น้าสาทช่วยทำ�อะไรต่าง ๆ ให้ ฉันก็จับโยนถังขยะหมด พร้อมกับคิดว่า ดีแต่จะใช้งานเรา ไม่เคยให้ความช่วยเหลือเราสักครั้ง ถ้ามีหนังสือ มาอีกจะทิ้งขยะให้หมด ครั้งนี้รู้ตัวว่าเป็นอารมณ์ที่ต่อยอดมาจากเรื่องรถนํ้า แต่ยัง มีความมันส์ในอารมณ์นั้นอยู่ไม่อยากออกจากอารมณ์นั้น เหมือนกับที่เคยคุยกับ อาจารย์ไว้เลยว่า “มันไม่อยากออกจากอารมณ์นั้น ขออยู่ต่ออีกนิดเถอะเพื่อความ
192 นิสาข์ ประเทศรัตน์
สะใจ”
เว้นไปได้หนึ่งเดือนเต็ม ๆ พายุ “นกเต็น” ก็เข้าอีก คราวนี้นํ้าป่าบวกนํ้ายม ไหลมาอัดกันที่บ้านฉัน ข่าวลือก็ตามติด ๆ ละว่านํ้าคราวนี้หนักมากให้เตรียมขน ข้าวของกัน ฉันก็เตรียมรับมือกันอย่างเต็มที่กับแป๋ม สองวันแรกระดับนํ้ายังไม่ถึง ระเบียงหน้าบ้านเพียงแค่ปริ่ม ๆ เราก็เฝ้านํ้ากันดึก ๆ ทุกคืนจนคืนวันที่สามเผลอ หลับกัน เช้ามาได้ยนิ เสียงน้าสาทว่า “เฮ้ย!! นํา้ เข้าบ้าน” ได้ยนิ เพียงแค่นน้ั จริง ๆ ใจ มันตกวูบทันที พลอยนึกถึงภาพข้าวของที่จมนํ้าว่าจะเสียหายอย่างไร กลัวจนไม่กล้า ที่จะลงมาดูไถลอ้อยอิ่งเข้าห้องนํ้าไป ปล่อยให้น้าสาท แป๋ม ต๊กโตจัดการกันไปก่อน ส่วนตัวเองนั่งทำ�ใจอยู่ข้างบนบ้าน นั่งเก้ ๆ กัง ๆ อยู่สักพักต๊กโตก็วิ่งเอากีต้าร์ที่มี หยดนํ้าเกาะอยู่ปะปรายขึ้นไปวางข้าง ๆ ฉันพร้อมบอกว่า “กีต้าร์จมนํ้าแม่” เท่านั้น เองฉันก็ตะคอกลูกว่า “ทำ�ไมไม่เช็ดให้แห้ง” ตะคอกไปแล้วถึงรู้สึกตัวว่าข้างล่างยัง มีกีต้าร์อีกหลายตัว แต่ต๊กโตวิ่งลงไปก่อนซะแล้ว พอรู้สึกตัวจึงไปเอาผ้ามาเช็ดกีต้าร์ แล้วถือผ้าลงไปข้างล่างพูดกับลูกด้วยนํ้าเสียงปกติว่า “เช็ดให้แห้งซะลูก” แล้วก็ช่วย กันเก็บของหนีนํ้าต่อไป เห็นข้าวของจมนํ้าไปใจเราก็จมตามไปติด ๆ ญาติพี่น้อง มิตรสหายโทรมามันก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่อยากร้อง จนบ่าย ๆ พระ อาจารย์โทรมาหาฉันและบอกว่า “นํ้าท่วมมันเป็นปกติของมัน อย่าให้นํ้ามันท่วมใจ เราหนาน้าตอน” ยอมรับเลยว่าเป็นเรื่องยากที่จะยกใจเราขึ้นมา หรือลึก ๆ เราไม่ อยากยกมันออกมาจากภาวะนั้นก็เป็นได้ เหมือนอย่างที่อาจารย์บอกว่า “ทำ�ได้แต่ มันไม่อยากทำ�” ยิ่งตอนที่เราลุ้นระดับนํ้าอยู่ในใจว่ามันจะขึ้นถึงที่เราหมายตาไว้หรือ เปล่าหนอแล้วนํ้ามันขึ้นมาถึงนี่ซิ ใจเรามันวูบตกไปทันทีเลย ขนหนีกันหลายครั้ง จน น้าตอนถอดใจบอกแป๋มว่า “ถ้ามันถึงนี่ป้าจะขนทิ้งให้หมด” นํ้าท่วมบนบ้านอยู่สองวัน วันที่สามก็เริ่มลดลงอย่างช้า ๆ เราก็ช่วยกันล้างบน บ้านกว่าจะเสร็จก็คํ่าพอดี รุ่งเช้าก็เหลือแต่ข้างล่างเราก็ช่วยกันล้างอยู่เห็นเจ้าของ ท่าทรายเดินผ่านไป ขากลับแกก็แวะคุยด้วย ว่าอยากได้คนช่วยล้างบ้านสักสองคน
นํ้าท่วมใจ 193
แต่หาไม่ได้ น้าสาทก็ว่าจะช่วยโทรตามคนงานให้แต่โทรศัพท์ไม่มีแบตเตอร์รี่ แกก็ บอกว่า “เอาไปชาร์จที่บ้านซิ” น้าสาทก็ตอบไปว่า “เดี๋ยวผมเอาไปครับ” พอเถ้าแก่ ไปแล้วน้าสาทก็หันมาบอกพวกเราว่าไปช่วยเขาล้างกันเถอะเอาไม้กวาดไป ทีแรก ฉันก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรก็ตอบไปว่า “ตัวเองอยากไปก็ไปฉันจะอยู่ล้างบ้าน” น้าสา ทก็คะยั้นคะยอจนฉันไปแต่ไปแบบไม่ค่อยเต็มใจ ไปถึงเห็นสภาพบ้านเขาแล้ว ความ ไม่พอใจมันหายไปตอนไหนไม่รู้ ก้มหน้าก้มตาช่วยเขาล้างกันแบบเต็มที่ ช่วยเขาไป กลับมาดูบ้านเราไปว่านํ้าลงแค่ไหนแล้ว ในที่สุดก็ช่วยเขาจนเสร็จแล้วกลับมาล้าง บ้านเราต่อ ก่อนกลับเถ้าแก่กับลูกเขยบอกกับพวกเราว่า “มีอะไรให้ช่วยก็บอก จะ เอารถนํ้าก็บอก” หลังล้างบ้านเสร็จน้าสาทก็เดินทางไปกรุงเทพ ฯ ถัดมาอีกสองวันแป๋มกับ ต๊กโตก็ตามไป ฉันอยู่บ้านคนเดียวได้วันเดียวนํ้าก็ท่วมอีก ทีแรกจิตตกมากเพราะนํ้า มาเร็วมากโต๊ะเก้าอี้ ข้าวของบางอย่างเราขนลงมาเยอะ ไม่รู้ว่าสมควรจะเก็บอะไร ก่อนดี ก็เลยนั่งมองนํ้าอยู่แป๊บหนึ่งแล้วค่อย ๆ เก็บไปที่ละอย่างสองอย่าง เอารถ มอเตอร์ไซค์ไปฝากไว้หน้าปากซอย กว่าจะเสร็จก็คํ่าพอดี คืนนั้นนํ้าขึ้นบนบ้าน ประมาณตีสาม ก็โทรคุยกับน้าสาทเป็นระยะ ๆ แปลกที่ฉันไม่ได้คิดอะไรมากมาย รู้สึกว่าท่วมก็ท่วมล้างก็ล้าง นํ้าท่วมบนบ้านอยู่สองวันก็ลด ล้างบ้านเสร็จฉันนอนคืน นัน้ ไม่ได้ลกุ ขึน้ มาดูนา้ํ แบบทีเ่ คยทำ� หลับยาวตืน่ มาเกือบเจ็ดโมง ชะโงกหน้าต่างห้องดู เห็นนํ้าลงไปเกือบครึ่งถนนในบ้าน แปลกเหมือนกันที่ความร้อนใจไม่มีทั้ง ๆ ที่ไม่มี นํา้ ไม่มไี ฟจะล้าง ฉันยังมีใจไปต้มกาแฟกินแบบสบาย ๆ แล้วค่อยลงไปล้างแบบเรือ่ ย ๆ จนเกือบเที่ยงรถนํ้าท่าทรายก็แล่นมาคนขับรถน้ําตะโกนบอกฉันว่า “เอานํ้ามาช่วย ล้างครับ” พร้อมกับคนงานผู้หญิงอีกคนมาช่วยล้าง สรุปวันนั้นน้าตอนงานเสร็จเร็ว กว่าที่คิดไว้เกินคาด ครั้งนี้ทำ�ให้น้าตอนนึกถึงคำ�พูดพระอาจารย์ขึ้นมาในเรื่องของ การให้ เพราะน้าตอนก็เป็นคนหนึ่งที่มักติด ๆ ขัด ๆ กับการให้ อาจารย์ ทั้งสอนทั้ง ทำ�ให้น้าตอนดูอยู่เป็นประจำ� อาจารย์มักบอกว่า
194 นิสาข์ ประเทศรัตน์
“อย่าลังเลในการให้ ให้แล้วให้เลยอย่าติดใจ” ยามคับขันของฉันครั้งนี้ ไม่รู้เป็นผลมาจากการที่น้าสาทยกพลไปช่วยเขาล้าง บ้านก่อนหรือเปล่า แต่ทส่ี �ำ คัญ ใจเราไม่ได้วา้ วุน่ เหมือนครัง้ ทีผ่ า่ น ๆ มา ใจมันเบาขึน้ เยอะ แล้วคำ�พูดอาจารย์ก็แว่วมาอีกว่า “ดี ๆ นํ้าท่วมจะได้ล้างบ้านมั่ง น้าตอนไม่ ได้ล้างบ้านมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ขยะในบ้านก็จะได้ขนทิ้งกันบ้าง” ใช่ ๆ ขยะใน บ้านได้ขนทิ้งไปเยอะแยะ แต่ขยะในใจฉันทำ�ไมมันถึงขนทิ้งออกไปได้ยากเย็นสิ้น ดี แต่ก็ยังดีที่ได้ขนออกไปบ้างแม้เพียงเล็กน้อย ต่อไปอาจได้เยอะกว่านี้
197
นพ. เจตน์ วังแจ่ม
...ถ้าเรา “ฟังเป็น” จะรู้รอบในสิ่งต่างๆ มากขึ้น การตอบสนองของเราก็เหมาะสมและยังความสุขให้ผู้ป่วย และหมอ แม้ว่าห้องฉุกเฉินหรืองานผู้ป่วยนอกมันจะคนละ ท่วงทำ�นอง... การทำ�งานของเราจะยังความสุข มาให้หมอและผู้ป่วย เสมือนนักโซโล่แจ๊ส มอบความสุขให้ทั้งตนเองและผู้ฟัง...
สุดสวิงริงโก้ หมอจิ๊กโก๋อยากโซโล่แจ๊ส 199
ถึงแม้ผมจะเป็นหมอบ้านนอก อยู่ป่าดอย เฝ้าคนไข้ ก็มีจิตใจใฝ่ฝันอยาก เป็นนักโซโล่กีต้าร์แจ๊สกับเขาสักครั้งหนึ่ง แม้ว่าหน้าที่จะต้องตรวจคนไข้วันละหลาย สิบคน อยู่เวรเช้ายันเช้านั่งคุยกับคุณลุงที่หูไม่ค่อยได้ยิน ให้กำ�ลังใจคนไข้ที่ชอบ ขอนอนโรงพยาบาล ยุตเิ รือ่ งราวผัวเมียตีกนั จนหัวร้างข้างแตก ทนพยาบาลบ่นงานเยอะ แอดมิดคนไข้เยอะ และญาติที่ขอนั่นนี่ แม้มันจะชวนให้น่าหว่าเว้...(ว้าเหว่) น่าเบื่อ น่าปวดหัวเพียงใด ผมก็อยาก ให้ทุกวันของผม “ส้มจี๊ดโซแจ๊ส!”เหมือนตอนโซโล่เพลงให้สาว ๆ ฟัง และที่สำ�คัญ บทเพลงนั้นจะต้องไพเราะและ ให้คุณค่าแก่คนฟัง ยังความสุขให้คนเล่น เคยมีงานวิจัยของฝรั่งชื่อว่า คลินิคัล แจ๊ส (Clinical Jazz) ซึ่งเน้นว่าการ รักษาคนไข้ที่ดีและได้ผล ต้องใช้ทักษะการเล่นการบรรเลงเพลงแจ๊ส ซึ่งเน้นการ เคารพกติกาสูง ใช้ทักษะสูง มีศิลปะ มีความคิดสร้างสรรค์สูงซึ่งต่างจากเพลงบาโรค ที่เคารพกฎเกณฑ์มากไปจนน่าเบื่อและไม่มีอะไรใหม่ แต่ก็ไม่ใช่เพลงร็อคพั้งค์ดิบ ๆ ที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ แม้ฟิลลิ่งจะได้ ฟังแล้วมันสุด ๆ แต่มั่วสุด ๆ ไม่เหมาะกับการใช้ รักษาคนไข้ที่มีหลักวิชาที่ตายตัว ผมสังเกตว่าหมอเก่ง ๆ ส่วนใหญ่ เหมือนคนบรรเลงเพลงบาโรค ยึดติด หลักการ กลัวความผิด ไม่ยอมรับความผิดพลาด มีความยืดหยุ่นน้อย เน้นการ
200 นพ. เจตน์ วังแจ่ม
แข่งขัน ไม่ยอมเสียเวลาทดลองสิ่งใหม่ ไม่ใคร่รับฟังผู้อื่นและความรู้ใหม่ และมุ่งเป้า หมายเป็นหลัก แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อย พวกนี้สมัยเรียนจะออกแนวศิลปิน แถมจะเหยียดพวกเรียนเก่ง ๆ ว่าเนิร์ด ว่าเกรียน ชอบใช้ชีวิตทุกด้าน มีความมั่นใจ ในตัวเองสูง รักพวกพ้อง รักการดื่ม รักศิลปะ จนดูไม่น่าเคารพนับถือ และถูกกีดกัน โดยสังคมแพทย์ มีผลการเรียนระดับ ปานกลางถึงค่อนข้างห่วย แต่มักประสบความ สำ�เร็จในช่วงทำ�งาน If you cannot listen you cannot play jazz -- Wynton Marsalis การเตรียมตัวเพื่อจะเล่นแจ๊สในชิวิตประจำ�วันอันดับแรก ถ้าเราอยากมีชีวิต รสเเจ๊ส ก็พูดให้น้อยลงหรือเปิดใจรับฟังให้มากขึ้น ปัดโธ่! ผมกล้าพูดเลยว่ามันไม่มี จริงหรอก! เพราะคนเราแค่ฟงั ก็ตดั สินสิง่ ทีต่ วั เองได้ยนิ ตามแบบทีต่ วั เองพอใจด้วยกัน ทั้งนั้น ฟังน่ะฟังอยู่ แต่จะได้ยินจริงหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่นักโซโล่แจ๊สต้อง ฝึกฝนคือฟังเพลงเป็นร้อยเป็นพัน ฟังไปเรื่อย อุปสรรคทีส่ �ำ คัญในช่วงนีก้ ค็ อื การเอาความคิดตัวเองเข้าไปก้าวก่ายกับการฟัง ส่วนใครจะมากจะน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ช่วงที่คิดอยู่เราจะเสียเนื้อหาช่วงนั้นไป เพราะไม่ได้ฟัง ข้อมูลจึงไม่ครบ ผู้ฟังจึงไม่เข้าใจทั้งเนื้อหา อารมณ์ผู้ส่ง บริบทต่าง ๆ อันที่จริงไม่ว่าการดู คลำ� หรือลิ้มรส ก็เกิดอาการแบบนี้ขึ้นได้ ซึ่งการออกจากความคิดนั้นช่วยได้ แต่ต้องฝึกฝน คือเมื่อเราคิดไปให้รีบ ดึงกลับมา มาหาอะไร ถ้าดึงใจมาหากาย การได้ยินก็ไม่เกิดอีก เพราะเราไปจับตรง ความรู้สึกทางกาย ที่ควรจะทำ�ในเวลานี้คือเราต้องกลับไปที่เสียงที่เราต้องการฟัง ทันที ซึ่งแค่นี้ก็ยากแล้วสำ�หรับการเริ่มต้น
สุดสวิงริงโก้ หมอจิ๊กโก๋อยากโซโล่แจ๊ส 201
สมัยเรียนแพทย์ ได้ยินอาจารย์พูดคำ�หนึ่ง ความคิดมาปุ๊บทันที ต้องกลับ มาที่ฐานกายก่อนโดยการใช้เล็บจิกมือ แล้วค่อยฟังต่อ พอเพ่งเพื่อฟังทีนี้กลายเป็น ไม่ได้ยิน เพราะเสียงไม่เข้าในหูเลย ได้เพียงรับรู้การสั่นสะเทือนที่ใบหูตามเสียงของ อาจารย์ที่มาจากหน้าชั้นเรียนเท่านั้น ผมจึงทุ่มเททำ�ความรู้สึกตัวแบบสุดโต่งทาง หนึ่งทะลุทางหนึ่งไปเรื่อย ๆ เมื่อทำ�มากเข้าจะรู้เองโดยไม่ต้องไปนึกคิดอะไร ว่าเรา นี่ช่างสุดโต่ง แต่ก็ไม่รู้จะทำ�อย่างไร ได้เเต่ทำ�ความรู้สึกตัวไปเรื่อย ๆ ทำ�ไปแบบโง่ ๆ ขอให้รู้สึกตัวเป็นใช้ได้ เชื่อไหมกว่าจะได้ยินอะไรจริง ๆ ก็ปาไปเกือบสองปีกว่าแล้ว สมัยเรียน เมื่อก่อนไม่เคยรู้เรื่องนี้เพราะไม่ค่อยเข้าห้องเรียน อ่านเองสอบเอง เข้าใจแต่ภาษาตัว เอง จึงพูดกับใครไม่ค่อยจะรู้เรื่อง พอต้องการจะเรียนรู้จริง ๆ ก็เลยทำ�ไม่ได้ มีความ คิดยุ่บยั่บคอยขัดขวางเต็มไปหมด น่าเศร้าสลดนัก พอพ้นตรงนี้ไปแล้ว เริ่มสั่งสมกำ�ลังการรู้สึกตัวที่มากขึ้น บวกกับประสบการณ์ ทีส่ อนเราจากการทำ�ความรูส้ กึ ตัว ทำ�ให้เราอยากฟังสิง่ ใด ก็ได้ยนิ สิง่ นัน้ จึงเกิดความรูร้ อบ ทั้งบทในการได้ยินนั้น ๆ เช่นรู้ว่าใครพูด รู้ว่าพูดอะไร รู้ว่าพูดเพื่อประสงค์อะไร พูด มุ่งใคร แต่ยังโต้ตอบไม่ได้ อุปมาเหมือนเราหัดพูดภาษาต่างประเทศใหม่ ๆ เราเข้าใจ ที่เขาพูดแต่เราพูดออกไปไม่ได้ เพราะสั่งสมการได้ยินได้ฟังประโยคที่ต้องใช้โต้ตอบ ยังน้อยซึ่งผมเรียกว่า การเรียนรู้ตามความเป็นจริง ในการรักษาคนไข้จิตเวช มีการฝึกฝนสติให้คนไข้จนแยกออกว่าอันไหนคือ ความคิด อันไหนคือความจริง ซึ่งการศึกษาที่ภาควิชาจิตเวช มหาวิทยาลัยขอนแก่น สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาคนไข้โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้าและมีแนวโน้ม ที่จะฆ่าตัวตายได้อย่างมีนัยยะสำ�คัญทางสถิติ ในวงการเวชศาสตร์ครอบครัวได้พัฒนาทักษะการฟังแก่แพทย์ เพื่อจะได้ ฟังสิ่งที่เป็นต้นตอปัญหาจริง ๆ เน้นการลงไปเยี่ยมบ้าน การรักษาทั้งครอบครัว ที่ เ น้ น การส่ ง เสริ ม ให้ แ พทย์ เ ป็ น ปั จ จั ย หล่ อ เลี้ ย งให้ ผู้ ป่ ว ยและครอบครั ว เกิ ด การ
202 นพ. เจตน์ วังแจ่ม
เปลี่ยนแปลงในด้านที่ดี ซึ่งแพทย์จะเข้าไปก้าวก่ายน้อย และให้ผู้ป่วยกับครอบครัว มีการเปลี่ยนแปลงเอง The real purpose of the scientific method is to make sure that Nature hasn’t misled you into thinking you know something you actually don’t know – Robert Pirsig Zen and the Art of Motorcycle Maintenance ถ้าไม่ได้ฝกึ คนเรามักจะถูกล้อมกรอบด้วยความคิด แม้แต่ความรูท้ เ่ี ราเรียนมาก็ เป็นความคิดอีกประเภทหนึง่ ประสบการณ์ตรงทีผ่ า่ นมาเมือ่ เรานึกย้อนไปก็คอื ความคิด อันหนึง่ มันมีผลมากมายต่อทัศนคติ ความเชือ่ และพฤติกรรมของเรา บางคนจมอยู่ กับความพ่ายแพ้จนไม่อาจลุกขึ้นมาเหมือนผมตอนสอบตก ทำ�ให้ไม่เห็นความสำ�คัญ ของเวลาที่มีอยู่ในมือที่จะรีบเปลี่ยนแปลงตัวเอง หมอสมัยเก่ามักยึดตำ�ราเก่าว่าถูก ต้อง ทั้งที่ความรู้มันเปลี่ยนไปแล้ว นักดนตรีไทยมักแต่งเพลงแบบเดิม ๆ แค่เปลี่ยน เนื้อเท่านั้น การที่เรายึดอะไรแบบเดิมไม่ทำ�ให้เกิดการสร้างสรรค์ กล่าวโดยย่อ เมื่อใดเรามีความรู้เมื่อนั้นย่อมถูกครอบงำ� แล้วทำ�ยังไงเล่า ในเมื่อหมออย่างผมต้องใช้ความรู้รักษาคนไข้ทุกวัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำ�ตอบก็คือ เรา ต้องเข้าใจมันอย่างถ่องแท้และรอบด้าน เราถึงจะเป็นอิสระจากมันได้ ในพระสูตร กล่าวว่า องค์ประกอบของความรู้คือ จินตมยปัญญา (การคิด) ภาวนามยปัญญา (การสังเกต) และสุตมยปัญญา (การสดับตรับฟังความรู้) เป็นตัวขับเคลื่อนความรู้ รอบให้เกิดขึ้นเช่น พอผมสังเกตเห็นคนปวดหลัง เดินห่อ ขากระเผลก แผล็บเดียว ก็สามารถบอกได้เลยว่าเป็นโรคกระดูกทับเส้น เพราะวงจรการสังเกตจากคนไข้ คนแล้วคนเล่า บวกกับการขบความรู้ในตำ�รา รวมทั้งจินตนาการถึงกระดูกสันหลังที่
สุดสวิงริงโก้ หมอจิ๊กโก๋อยากโซโล่แจ๊ส 203
มีปัญหาเป็นภาพออกมา ซํ้าแล้วซํ้าเล่า เหมือนค่อย ๆ ต่อจิ๊กซอว์ภาพจนเต็ม เมื่อ เห็นภาพทั้งหมดจนชัดเจน จะเห็นชิ้นใดของจิ๊กซอว์ก็บอกได้เลยว่าภาพทั้งหมดคือ อะไร อุปมาอย่างนั้น เช่นเดียวกันกับการที่คนเราล่วงความทุกข์ได้ มิใช่เพราะหลีก หนีมัน แต่เข้าไปตามรู้อยู่เรื่อย ๆ จน “รอบรู้” ในสิ่งนั้นต่างหาก แต่ถึงแม้จะยังไม่ “รู้รอบ” ความจัดเจนในการสังเกตบ่อย ๆ จนเกิดเป็น อัตโนมัตินั่นเอง ที่เป็นตัวทำ�ให้การตอบสนองนั้นเร็วแบบไม่ต้องผ่านความคิดเลย เพราะมั น ผ่า นวงจรการเรียนรู้มามากพอจึง ไม่ต้องคิดก่อนทำ�ออกไป มันจึงเร็ว ราวกับเสกออกมาแบบแว๊บเหมือนหลวงพ่อตอนบรรยายธรรม แต่ไม่ใช่เร็วแบบ ปรู๊ดปร๊าดหวาดเสียวแบบเล่นเกมยิงปืนซึ่งควบคุมอะไรไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้เรายังไม่มีความรู้รอบในสิ่งที่ต้องการรู้ “กำ�ลัง” ที่สะสมจนเป็น อัตโนมัตินี้จะเป็นสิ่งสำ�คัญซึ่งจะผลักดันให้เราหมุนวงจรแห่งความรู้รอบนี้จนจบ สมัยผมเริ่มฝึกความรู้สึกตัวใหม่ ๆ แล้วสอบตก ก็เกิดอาการวูบแล้วฟูขึ้น ซึ่งเป็นผล จากการฝึกบ่อย ๆ นี้เอง นักมวยจะฝึกรีเฟล็กซ์ (reflex) เมื่อครูมวยยกมือซ้ายนักมวยจะต่อยหมัด ขวาแทบจะทั น ที ถ้ า ช้ า จะโดนเคาะหั ว เมื่ อ นานวั น เข้ า จิ ต ใจนั ก มวยชิ น ต่ อ การ ตอบสนองเร็ว เค้าจะทำ�แบบที่ซ้อมมาโดยอัตโนมัติในสนามจริง การฝึกรู้สึกตัวจึง เป็นการ “เทรน” จิตใจเราให้ออกจากความคิดในยามที่ไม่ต้องการใช้มัน หรือออก จากความคิดที่ทำ�ให้จิตใจเสียหาย การเห็นภาพรวมทั้งหมด หมายถึง เรามีความ “รู้รอบ” ทีนี้จะสามารถ พลิกแพลงให้สอดคล้องกับบริบทได้ไม่ซํ้ากับบุคคล ถึงแม้จะเป็นโรคเดียวกัน แต่ อาการก็แตกต่างกันในคนไข้แต่ละคน ไม่มีการยึดติดตำ�ราอีกต่อไป เมื่อนั้นจะ เป็นการประยุกต์ใช้ความรูท้ เ่ี รามี แก่บริบทต่าง ๆ ไม่วา่ คนหรือสังคม วัฒนธรรมใด ๆ ได้ทง้ั สิน้ ซึ่งเรียกว่า การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
204 นพ. เจตน์ วังแจ่ม
เมื่อใดก็ตามที่มีการสร้างสรรค์ เมื่อนั้นก็ต้องมีการทำ�ลาย (ลบล้างของเก่า) ในตอนแรกเสมอ - Picaso เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ถา้ เราใช้วธิ คี ดิ แบบเดิม ๆ – Albert Einstein การที่จะทำ�ความรู้ของเราให้เกิดประโยชน์ก็คือการนำ�ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ คำ�ว่าสร้างสรรค์ก็คือการทำ�ให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ทำ�ลายของเดิม (หลักวิชา) ที่ต้อง ทำ�ลายคือความคิดเดิมๆ อันเป็นเหตุให้เกิดการกระทำ�เดิม ๆ ของเรานั่นเอง (การยึด รูปแบบการใช้ความรู้นั้น ๆ ) สุดยอดของความรู้แพทย์ก็คือสามารถประยุกต์ใช้กับ บริบทที่แตกต่างกันได้ นี่คือสิ่งที่ครูแพทย์ทุกคนต้องการบอกแพทย์รุ่นหลัง ไม่ใช่เป็น ตำ�ราที่เดินได้ ปัญหาที่หมอส่วนใหญ่ไม่ค่อยฟังใครนั้น ต้องแก้ด้วยกระบวนการฟัง เพราะ มากกว่า 90% ของการฟ้องร้องคือ การสื่อสารที่ผิดพลาด โดยมีทั้งหมอไม่ฟังคนไข้ หรือฟังแล้วเข้าใจผิด หรือคนไข้เข้าใจภาษาของหมอผิด เชื่อไหมว่า การที่หมอ วินิจฉัยผิดพลาด ไม่ใช่เพราะหมอไม่รู้โรคนั้น แต่เพราะหมอฟังคนไข้น้อย ไม่ตรวจ คนไข้ละเอียด ยิ่งหมอจบมาใหม่สมัยนี้ไม่แตะคนไข้ คือไม่ใช่ประสาทสัมผัสของตน เพื่อรับข้อมูลตรง ในเมื่อข้อมูลไม่ครบ ความรู้ที่สั่งสมมาจนได้เกรดเอเป็นกระบุง ก็ไม่ออกมารับ นั่นก็เท่ากับเป็นการคิดเองเออเอง เเถมไปยัดโรคอะไรมั่ว ๆ ให้คนไข้ โดยที่ไม่ได้ดูอะไรให้ถี่ถ้วนเลย มีผลงานวิจัยออกมาว่า ถ้าหมอนิสัยขี้เกียจจะชอบวินิจฉัยโรคง่าย ๆ ที่ให้ ยาแล้วเหวี่ยงคนไข้ให้พ้น ๆ ตัว มักจะเป็นในหมอรุ่นอาวุโสบางคน ซึ่งแก่กินลมชม
สุดสวิงริงโก้ หมอจิ๊กโก๋อยากโซโล่แจ๊ส 205
วิวรักษาไป ถ้าหมอขี้กลัวก็ชอบวินิจฉัยโอเวอร์ เจาะเลือดส่งยาวเป็นหางว่าว โรง พยาบาลก็จนลง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหมอจบใหม่ไฟแรง แม้ทั้งสองคนนี้จะต่างกันใน การทำ�งาน เเต่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ ส่วนใหญ่ไม่เคยดูอาการให้เห็น ไม่เคยฟัง ปอดหัวใจให้ได้ยิน ไม่ได้คลำ�สัมผัสหน้าท้องแขนขาให้รู้สึก มีแต่ความคิดของตัวเอง ล้วน ๆ ที่มาสนับสนุนการรับรู้ท่ีผิดพลาดอันนั้น ซึ่งความคิดของหมอบางคนที่กรำ� งานมานาน ก็คือ ไม่เป็นไรหรอก จึงเกิดความประมาท ส่วนความคิดของหมอมือใหม่ คือ ฉันจะพลาดไหม? ไม่แน่ใจ เลยเกิดความกลัว เพราะไม่มั่นใจในความรู้ของตัวเอง เมื่อไม่มีการได้ยินหรือรับรู้ไม่ว่าทางใด สิ่งที่พวกเขาจะได้เรียนรู้คือ ความคิดของตัว เองเท่านั้น แล้วใครก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ด้วย ส่วนทักษะที่แพทย์เก่ง ๆ สมัยก่อนสั่งสม ในสมัยเรียนคือคลินิคัล สกิล (Clinical skill) ไม่ใช่มาเน้นที่การสอบวัดผลความรู้ แต่หมอสมัยก่อนรู้ว่าควรทำ�อย่างไร ควรปรึกษาใคร และมีทักษะการตรวจร่างกาย ที่แม่นเหมือนตาเห็น อาจารย์เเพทย์เกษม ซึ่งขณะนี้ท่านเป็นองคมนตรีเคยเอามือ สัมผัสหัวใจคนไข้แล้วบอกได้เลยว่า หัวใจห้องนี้ ๆ โต และมีหัวใจรั่วเป็นช่องว่างกี่ เซนติเมตร อาจารย์นายแพทย์กัมมันต์ ซักประวัติคนไข้แล้วบอกได้เลยว่าตำ�แหน่ง ไหนในสมองมีปัญหาทั้งที่ไม่ได้ส่งสแกนสมอง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าเข้าใจกระบวนการรับรู้ ถ้าเข้าใจว่าเมื่อเอาใจ ไปจดจ่อกับสิ่งใดก็จะได้รู้สิ่งนั้น เช่นในขณะที่จดจ่ออยู่กับมือ การรับรู้ด้านอื่นก็จะ เป็นโมฆะ เพราะกำ�ลังรับรู้สิ่งที่เราสัมผัสแทน ถ้าจดจ่อที่หูก็จะได้ยินแต่สิ่งนั้นไม่รับ สิ่งอื่น แพทย์ที่ไม่หัดฟัง ยิ่งพยายามตรวจก็จะยิ่งมีแต่ความคิดของตัวเอง เขาจึงจม อยู่กับเรื่องราวความคิดของตน ซํ้าร้ายยังไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าหลายต่อหลายครั้งนั้น คิดผิด ระบบการศึกษาก็มีส่วนสำ�คัญ การเรียนแพทย์ส่วนใหญ่อาจารย์จะไล่ถาม ความรู้ถูกซุกซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ในตำ�รา ถ้าตอบถูกก็ดูโก้เก๋ (เวลาสอบก็ออกยาก บรมประมาณว่ากลัวเด็กทำ�ได้) แต่ไม่เคยสอนว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนีจ้ ะเอา ความรู้
206 นพ. เจตน์ วังแจ่ม
ตรงไหนในตำ�ราไปใช้ ใช้อย่างไร เมื่อไร เท่าไร เด็กจึงทุ่มเทพยายามอ่านหนังสือเอา ความรู้ที่ชาตินี้ไม่รู้จะได้ใช้หรือเปล่าไปตอบอาจารย์ ไม่ต้องพูดถึงความรู้ที่เอาไป ใช้จริงน้อยต่อน้อย แถมยังไม่ฝึกกระบวนการที่จะเอาความรู้ออกมารับใช้เรา นี่คือ เหตุผลที่ผมเบื่อหน่ายการเรียนแพทย์ จนเผชิญอุปสรรคจากภาพลักษณ์ที่ต่อต้าน ไม่ร่วมมือ และไม่พร้อมที่จะเรียน แต่ถ้าเราฝึกบ่อย ๆ เราจะข้ามความคิดตัวเองไปได้ แล้วมีความรู้ความจำ� จากการสังเกตมาแทนที่ แม้ว่าช่วงแรกเราจะรู้สึกตัวเพื่อออกจากความคิด แต่นาน เข้าๆ เราฟังเสียงหัวใจเพื่อออกจากความคิดได้ เอามือกดท้องผู้ป่วยก็รู้สึกที่มือ เพือ่ จะไล่ความคิดทีม่ าจากความไม่รู้ ทีค่ อยบอกเราให้เขวไปทางชอบคิด แสดงว่า การรู้สึกตัวเพื่อออกจากความคิดบ่อย ๆ พอนานไปจะมีกำ�ลังมากขึ้น จนทำ�ให้ผม สังเกตสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ยากเย็นเลย แถมมีการเรียนรู้เข้ามาแทนความคิดที่มันเคย พยายามรบกวนผมมาหลายปีก่อนหน้านี้มันมีอะไรในหัวผมเต็มไปหมด ตำ�รานั่นนี่ ความคิดนั่นนี่ พอคิดไปทางนี้ก็เศร้า พอมันไปอีกทางก็โกรธ อะไรไม่รู้! ผ่านไปสอง สามปีมันก็สงบลงบ้างด้วยเหตุที่เราออกจากความคิดจนชิน มันจึงมีการเรียนรู้เข้ามา แทน กว่าจะฟังให้ได้ยินนั้นต้องฝึกหัด ต้องข้ามอุปสรรคอันแรกคือความคิดของ เราเองที่คอยตัดสินสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ให้เรามองทุก ๆ อย่างตามความเป็นจริง สำ�หรับ ผมแล้วการไม่เอาความคิดตัวเองไปก้าวก่ายคนไข้ที่อยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งที่ผมเคร่งครัด มาก เพราะมันชี้เป็นชี้ตายชีวิตคนได้เลย หลักการนี้ใช้ในห้องฉุกเฉินได้ดี เพราะ ต้องเร็ว และถ้ามัวคิดคนไข้จะตายเสียก่อน คนไข้ที่ห้องฉุกเฉินจะมาเเบบเร็วเรา ต้องคลำ�ชีพจร ถ้าไม่มีต้องสั่งปั๊มหัวใจทันที แต่จะช๊อคหัวใจหรือให้ยาก็แล้วแต่กรณี ถ้ามีชีพจรแล้วฟังการหายใจ การใช้เวลาหรือคลำ�หัวใจก็ตาม ถ้าใช้เวลาเกินสาม วินาทีคนไข้ตายแน่นอน ดังนัน้ ต้องจับ ต้องฟังแล้ววินจิ ฉัยเลย ถ้าไม่มกี ารหายใจต้องใส่ ท่อช่วยหายใจ เห็นไหมถ้าเราไม่คม ไม่ฝึกไล่ความคิด ไล่ความกลัว ความตื่นเต้นที่
สุดสวิงริงโก้ หมอจิ๊กโก๋อยากโซโล่แจ๊ส 207
คอยออกมากวน เราจะเผชิญหน้ากับความเป็นความตายไม่ได้เลย ส่วนในการตรวจ คนไข้นอก ถ้าเราฟังอย่างแท้จริงเราจะอ่านเบื้องหลังคำ�พูดออกว่าคนไข้กลัวจึงมาขอ เช็คเลือด หรือเพราะกังวลอาการของลูกจึงมาขอนอนโรงพยาบาล หรือเพราะเครียด นอนไม่หลับจึงรักษาโรคกระเพาะไม่หาย บางคนคุมนํ้าตาลดีมาตลอดแต่มาคุมไม่ได้ ตอนหกเดือนหลัง ซักไปซักมาพบว่าพ่อของเขากินยาหลายตัวแล้วเสียชีวิตเขาจึงไม่ ยอมกินยา จะเห็นได้ว่าความคิดมีอิทธิพลมากมายต่อการรับรู้ของคนเรา แล้วจึงส่ง ผลต่อพฤติกรรมของเขาในที่สุด ถ้าเรา “ฟังเป็น” จะรู้รอบในสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น การตอบสนองของเรา ก็เหมาะสมและยังความสุขให้ผู้ป่วยและหมอ แม้ว่าห้องฉุกเฉินหรืองานผู้ป่วย นอกมันจะคนละท่วงทำ�นองก็ตาม การทำ�งานของเราจะยังความสุขมาให้หมอ และผู้ป่วย เสมือนนักโซโล่แจ๊สมอบความสุขให้ทั้งตนเองและผู้ฟัง การเล่นแบบแจ๊ส คือการเล่นแบบอิสระจากกรอบแห่งความคิด แต่ในช่วง กลาง ๆ ของการฝึกความรู้สึกตัวเราจะมีความอึดอัดขัดข้อง เพราะเราเห็นพิรุธ ในใจเรามากขึ้นแต่ไม่ทราบมันมีที่มายังไง จึงเสาะหาฟังธรรม เพราะธรรมของ มนุษย์พิเศษเราขบคิดเข้าใจเอาเองไม่ได้ แล้วจึงกลับมาฝึกความรู้สึกตัวต่อด้วยความ มั่นใจที่มากขึ้นไปถ้าสังเกตแล้วไม่มีอะไรออกมานั่นแปลว่าต้องศึกษาต่อ เพราะ ประสบการณ์ไม่พอ ตรงนีบ้ อกได้เลย แล้วจะรูด้ ว้ ยว่าเราควรไปค้นหาความรูต้ รงไหน เพิ่มเติม ตรงนี้ที่นักเล่นแจ๊สผู้ภาวนาจะเป็นบ่อย ๆ คือเห็นแล้วแต่ไม่รู้คืออะไรมักจะ เกิดความสงสัยตามมา ความสงสัยบางประเภทก็ดีอยู่ เพราะนำ�ไปสู่การค้นพบสิ่ง ใหม่ เพราะถ้านิวตันเป็นคนตาบอด เขาคงคิดทฤษฏีแรงโน้มถ่วงไม่ได้ ส่วนผมเป็นคนตาดี มองเห็นมะม่วงตกจากต้นมาตั้งแต่เด็ก กลับคิดได้เพียงเอาไปปอกกิน
209
ภารดี ภาราไดม์* ภราดรภาพ หัทยา สงวนสิน (หนึ่ง)
...คนเราก็มีเเตกต่างกันเเหละ ทุกคนก็อยากค้นหาพบ ตัวเอง มีทั้งพวกความรู้ตัดเเปะ ผู้ไม่รู้ อยากรู้ มีอยู่มาก เเละพวกแปะสลากที่ตัวเองบางทีก็ ไม่เข้าใจ เเต่ลากมา พันมาเเปะเต็มตัว คล้ายสลากปลากระป๋อง ที่ตัวปลาอ่านไม่เข้าใจ...
ภารดี ภาราไดม์* ภารดรภาพอยากโซโล่แจ๊สอยากโซโล่แจ๊ส 211
“หัทยาอยากเขียน ได้สิ แต่พี่ขอกำ�หนดเรื่องนะ ขอเป็นเรื่องประสบการณ์ ที่ได้มาเข้ากลุ่มสนทนากับอาจารย์ที่มหาสารคาม ขอจำ�กัดวงไว้เฉพาะแค่นี้ และ สำ�หรับเธอต้องไม่เกิน 3 หน้า A4 (กลัวเยอะฟ่ะ 555) อีกอย่าง เขียนธรรมดา ๆ ไม่ต้องพิสดารที่การเขียน แต่ขอให้เล่าเรื่องและหมายความ (ในสิ่งที่เล่า)” งานเข้าแล้วฉัน เสียงบ่นโวยวายตามประสาหลังจากได้ข้อความตอบรับความ ซน ที่ดันไปเสนอตัวว่าอยากเขียนเรื่องประสบการณ์ตกตั้งใหม่ ไม่ทันไร พี่ศรชัย บก.ผู้คุมประพฤติ ก็ตอบกลับมากำ�ชับเสียแน่นหนา ผมนึกหาใครสักคนทันที โลกนี้เรามีไมตรีจิตหลายรูปแบบที่จะคอยเมตตา พึ่งพาอาศัยกัน เลยกำ�หนดส่งมาแล้วด้วย ยิ่งไม่ทวงไม่เร่งยิ่งต้องเกรงใจ ทอดถอน หายใจออกมาดัง ๆ แชททางเฟสบุ๊ค โปรแกรมหรรษาที่ช่วยทำ�ให้คนหลุดจากการติด ที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่ง ถูกเปิดขึ้นเพื่อนใหม่ในหน้าต่างถูกกดทักทาย ผม: สวัสดีครับ...ยุ่งอยู่รึเปล่านี่ลูกพี่...ผมต้องเขียนเรื่องลงหนังสือ ตกตั้งใหม่ให้อาฉั่ว เขาให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวตอนที่ผมไป มหาสารคาม จะเขียนยังไงดีอ่ะเนี่ย...” โดยไม่รอช้าผมติดต่อ “ลูกพี่” อาจารย์สาวคณะวิศวะฯ ผมรู้สึกว่าเราสื่อสารภาษา เดียวกัน ผม: “ตอนไปเข้ากลุ่มสนทนาครั้งนั้นผมไม่ได้ รีเซ็ตอะไรนักเลย
212 หัทยา สงวนสิน
ลูกพี่: ผม:
ลูกพี่: ผม:
พ่อผมเพิ่งตายเผาไปได้หนึ่งวัน ผมก็แค่อยากมาหาที่เสวนา ธรรมมาถึงก็มานั่งนวดเท้าอาจารย์ยิ้ม ๆ ไป แทบไม่ได้ทำ�ไร เลยอ่ะ...ที่นั่นไปถึงผมก็ตกใจมีแต่คนเก่ง ๆ เป็นด็อกเตอร์ นักวิชาการ หมอ กูรูต่าง ๆ เก่ง ๆ กันทั้งนั้นจะเขียนอะไรดีนี่ ผมไปรีเซ็ตอะไรตรงไหนน้อ....หรือลูกพี่ ได้รับความรู้นี้ ไป ลองใช้ยังไงมั่งอ่ะครับ ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ” “เฮ้ย เขาถามเอ็ง แล้วเอ็งไหงมาโยนให้ข้างี้วะ.....รีเซ็ตใน ความหมายทีเ่ อ็งรูจ้ กั ได้กระทำ�จริงในชีวติ ประจำ�วันเป็นไงล่ะ... เล่าสิ” “เพื่อนผมที่ลองพาไปด้วยมันก็บ่นฮา ๆ ว่า นี่มันกลุ่มบำ�บัด จิตรึเปล่าวะ ดูๆ มีเเต่คนป่วย ๆ ทั้งนั้นเลย “ผมได้เเต่ขำ� นะ เเล้วก็บอกว่า คนเราก็มีเเตกต่างกันเเหละ ทุกคนก็อยาก ค้นหาพบตัวเอง มีทั้งพวกความรู้ตัดเเปะ ผู้ไม่รู้ อยากรู้ มี อยู่มาก เเละพวกแปะสลากที่ตัวเองบางทีก็ไม่เข้าใจเเต่ลาก มาพันมาเเปะเต็มตัว คล้ายสลากปลากระป๋องที่ตัวปลาอ่าน ไม่เข้าใจมีมากมาย แต่เราควรเมตตา เรียนรู้ที่จะยิ้มเเย้มต่อ กัน เเม้บางทีในมุมกลับปลากระป๋องอาจคิดว่า เเกกับฉันเป็น คนบ้าที่อันตรายก็ได้นะ ฮ่า ๆๆๆๆๆ^^” “ขอฟังประสบการณ์การรีเซ็ตที่เธอประทับใจว่ากระทำ�ได้ จริง ใช้ประโยชน์ได้จริงหน่อยสิ เอา 1 เรื่อง ง่าย ๆ แบบ ภารดี ภราดรภาพ อ่ะ” “อ่า ถ้างานนี้จริงๆ ผมนำ�มาใช้กับการฟังนะ คนมากมาย ในทีน่ เ้ี ก่งมากในการหาข้อมูล อันเนือ่ งจากพี่ ๆ ครูอาจารย์ที่นี่ เก่ง ๆ กันทั้งนั้นในความเป็นนักวิชาการ ตอนเเรกผมก็ตกใจ
ภารดี ภาราไดม์* ภารดรภาพอยากโซโล่แจ๊สอยากโซโล่แจ๊ส 213
ลูกพี่: ผม: ลูกพี่: ผม: ลูกพี่: ผม: ลูกพี่: ผม: ลูกพี่: ผม:
ที่เขาพูดจาเสวนากันอย่างมีถ้อยคำ�ชุดภาษาที่ลึกล้าํ สืบค้นกัน มาอย่างมากมาย เปิดเน็ตออนไลน์ หาข้อมูลกูเกิล้ มาถก มาถาม กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน” “ครับ การฟัง นะ น่าสนใจมาก” “เเล้วผมตามมาทีหลังพวกเขา คุยกันไปถึงไหนแล้วฟ่ะนี.่ ..ยุง่ ดิ... งานเข้า จะรูเ้ รือ่ งไหมนี่ พวกนีเ้ ก่ง ๆ ทัง้ นัน้ เลย ผมน่าจะเป็นเด็ก น้อยต๊อกต๋อยทีส่ ดุ 5555” “เข้าเรือ่ งเลยละกัน สำ�หรับเธอแล้ว ฟังอย่างไรจึงตรง? (ตอบให้ ตรงคำ�ถามนะ)” “กังวานเพื่อนที่พามาก็เป็นสัตวแพทย์ หมอหมาข้าราชการ ไทยไปโทบริหาร ปกติก็เก่ง ทั้งการบู๊บุ๋นมาเเต่เล็กอ๊ะ...อ๋อ ๆ เราก็ต้องไม่คิดไงฟังดูตลกนะ การฟัง ฟังเฉย ๆ เเต่ไม่คิดตาม” “เย่ แล้วทำ�ไงน้อจึงไม่คิด” “ผมจับจ้องกับการได้ยินเสียง ท่าทางที่เขาเเสดงในเรื่องราว ที่เขาจะเล่า ไม่ไปพะวงกับคำ�บาลียาก ๆ ที่เด็กเกเรอย่างผม ไม่เคยอยากเข้าใจ” “จ้า... แล้วความคิดมันผุดขึน้ มาตอนไหน ขณะฟังมีไหม ก่อนฟัง มีไหม หลังฟังมีไหมจ๊ะ...หรือไม่มีความคิดเลย...” “หลุดออกไปคิดต่อนิดเดียวตายเลย ตามไม่ทนั เเต่เเน่นอน มันมี บางช่วงที่หลุดไปบ้าง เเต่ก็รีบออกจากเรื่องราวในความคิดอ่ะ เเล้วตามต่อให้จบกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อไป” “ขณะนั้น เวลาออกจากเรื่องราว ออกยังไง” “มีนะ เกิดความสงสัย ติดกับคำ�บางคำ�ที่ไม่เข้าใจ ก็คิดต่ออ่ะ ซวยเเระ ข้อความคำ�ใหม่มา ตามไม่ทัน”
214 หัทยา สงวนสิน
ลูกพี่: ผม:
ลูกพี่: ผม:
ลูกพี่:
ผม: ลูกพี่:
ผม:
“เราก็เป็นเหมือนกัน เป็นบ่อยด้วย 555” “ตอนนั้ น หรอ ผมนั่ ง ในจุ ด ลมเเอร์ ม าตกอ่ ะ ผมอาจรู้ สึ ก ทีค่ วามเย็นมัง้ ...จริงดิ นายเป็นอาจารย์นะ ยังหลุดออกมาอีกหรอ ดูนายเก่งจะตายเป็นด็อกเตอร์ไรมาอีก...นายฟังไม่รู้เรื่องหรอ รึเบื่อเรื่องที่ถกเถียงกันข้าง ๆ คู ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ” ^^ “ฉันไม่ใช่อาจารย์ ฉันเป็น entertainer ต่างหาก 555” “เราดื้อ ๆ น่ะ เขาให้เดินช้า ๆ รู้สึกอะไรก็ไม่เอา มันไม่ใช่ เรา จริตเรามันชาวร็อคเอาแต่ใจเราชอบให้ลมผ่านตัวสบาย ๆ เเล้วรู้สึกกับสิ่งนั้น เห็นเเค่เห็น เหมือนตามันมองไปแบบไม่ โฟกัส...5555 ไมนายเป็น entertianer อ่ะแล้วนายกลับมาฟัง รูเ้ รือ่ งต่อได้ไงอ่ะ เล่ามัง่ จิเผือ่ เอาไปใช้พมิ พ์ตามโจทย์ตาศรชัยแก “นายกำ � ลั ง บอกว่ า กลั บ มาอยู่ ใ นเรื่ อ งที่ ฟั ง ได้ จ ากการรั บ รู้ สัมผัสแอร์ที่ตกกระทบกายเหรอ....น่าสนใจนะ.....สำ�หรับฉัน ในประโยคที่คนพูด มีใจความอยู่ไมมากนัก เราไม่ได้ตั้งใจจับ ทุกคำ�พูด เราจับภาพรวม รู้สึกถึงเจตนา เมื่อสะดุด ก็คิดต่อใน เจตนานั้น แล้วสนทนาโต้ตอบอ่ะ” “อ๋อ นายตอบโต้ในใจอ่ะหรอ...” “ฉันไม่เก่ง ไม่ได้อยากจะรับได้ทกุ คำ�พูด ฉันทำ�ตามธรรมชาติอ่ะ หากมันจะฟังตกหล่นก็ยอมรับ เราบกพร่อง หากอยากแก้ จึง แก้ ไม่อยากแก้ก็ปล่อยไป มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ ฉันไม่จำ�เป็น ต้องสมบูรณ์แบบ บางทีก็พูดเป็นคำ�พูดจากปากด้วย แล้วแต่ สถานการณ์” “ใช่ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์เเบบเเน่ เเล้วออกมาจากสิ่งนั้น ยังไงอ่ะ...”
ภารดี ภาราไดม์* ภารดรภาพอยากโซโล่แจ๊สอยากโซโล่แจ๊ส 215
ลูกพี่: ผม: ลูกพี่:
ผม: ลูกพี่: ผม: ลูกพี่:
ผม:
“ช่อดอกไม้งดงามเพราะมีดอกไม้หลากหลายชนิด” “นายนั่งไกลฉันนะ เเอร์ไม่ตกใส่เเบบฉันหรอ...จำ�ล่าย 5555... ดอกไม้ตรงนั้นมีเเต่ผู้เลิศในปัญญาทั้งนั้นเลย ฉันคงเป็น หญ้าเเพรกฮาๆ อ่ะ ฮ่า ๆๆๆๆๆ” “นอนเลย ไม่คอ่ ยได้นง่ั 5555 นายถามฉันว่าออกมาจากความคิด ที่คิดต่อจากสิ่งที่เขาพูดอย่างไรใช่มะ....1) ออกเมื่อคิดตกแล้ว 2) พูดสิ่งที่คิดออกมาให้เขาฟังแล้วสนทนาโต้ตอบกันเลย 3) หลับ 4) ได้ยินเจตนาใหม่ที่เขาสื่อมาผ่านเสียง ข้อ 4 กับข้อ 1 จะทำ�ให้เราฟังเขาต่อไปได้” “จริงสินะ งั้นมันเป็นการรีเซ็ตอะไรนั่นรึเปล่าน่ะ หรือวิธีนาย มีการตก ตั้ง เเล้วจมต่อเมื่อมีสติเเล้ว ลงไปวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ต่อ เเล้วตั้งใหม่อีก เหมือนการว่ายกบไปสู่เป้าในฝั่งข้างหน้า” “5555....ไม่รู้ว่ะ น่าจะตก ๆ ตั้ง ๆ มั้ง” “ฮ่า ๆ ดี ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ มันเป็นเเบบเหมือนที่เพื่อนหมอหมา พูดรึเปล่านะ มันเป็นเรื่องพวกชุดความคิด เขาเล่าเรื่องของ ภาราไดม์ชิพท์ด้วย” “นี่ ๆ ฉันจะไปกินข้าวแระนะ นายไปเขียนต่อเองเลย...เขียน ไรให้ตรง ๆ ในเรือ่ งๆ เดียว แล้วค่อยๆแตก ภาราไดม์อะไรนีเ่ กีย่ วกับ การฟังอย่างไร เพื่อน...นายออกจากความคิดอย่างไรเล่าสั้น ๆ ง่าย ๆ นะ” “จ้า... ไปดีมาดี บุญรักษาเจ้าเสมอ” ^^
กังวานหมอหมา เป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กผมได้ลากเขามาด้วยในงานเสวนา ครัง้ นีท้ ส่ี ารคาม เขาพูดในหนทางประสบการณ์ทเ่ี ขาเคยใช้วธิ รี สู้ กึ ตัวในแบบเขาว่า เขา
216 หัทยา สงวนสิน
มักถามตัวเองเสมอ ว่าเป็นอย่างไรในขณะนั้นเวลานั้น ๆ แล้วในการหยุดพิจารณา ในวงสนทนา และอาจารย์ก็บอกว่าเป็นวิธีการรีเซ็ตวิธีหนึ่งในแบบของเขา และเขา ก็ได้อธิบายเรื่องการออกจากความคิดว่า ในคนเรามักมีภาราไดม์ ที่ฝังอยู่ในแต่ละ บุคคลที่จะเลือนลางความรู้สึกเห็นที่แท้จริง ผมลองอธิบายความหมายของคำ�นี้ จากประสบการณ์ที่เพื่อนมอบให้ และสืบค้นหาอ่านเอาจากที่ต่าง ๆ ดังนี้ ภาราไดม์ (Paradigm) คื อ กระบวนทั ศ น์ ที่ เ ป็ น กรอบที่ ห้อมล้อมความคิดและจิตใจของบุคคล ที่จะส่งผลต่อบุคคลเมื่อมี ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามากระทบในประสาทสัมผัสให้เกิด ภาวะตามปรากฏการณ์ นั้ น ๆโดยมี ก ระบวนทั ศ น์ ที่ เ ป็ น กรอบอยู่ บางครั้งปรากฏการณ์นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่บุคคลตัดสินแต่ในสิ่งที่ฝังใน ชุดความคิดความเชื่อว่ากระบวนทัศน์ของตนเองถูกต้องมักทำ�ให้คน เรามองข้ามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิด ดังชุดความคิดที่นำ�มาครอบให้ มองเลือนบิดความจริงได้ ภาราไดม์ ชิฟท์ (Paradigm shift) จึงเป็นการก้าวข้ามผ่านกระบวนชุดความคิด นีอ้ กี ที ซึง่ ในการกระทำ�จริงอาจหมายถึงการ รีเซ็ต การออกจากความคิด หรือ ตัง้ ใหม่ ในสติเพื่อมองชัดกับสิ่งที่กำ�ลังเผชิญอยู่ แน่นอนทุกคนคงเป็นดังดอกไม้ที่มีสีสัน และรูปแบบต่างกัน ล้วนต่างร่วมอยู่ อาศัยกันในช่อดอกไม้แห่งโลกที่มีความงามในความหลากหลายที่แตกต่าง มีวิธีการ เรียนรู้ การใช้หนทางชีวติ ทีต่ า่ ง ๆ กันไป ในภาวะจิตใจตกไปในเรือ่ งราว ต่างก็จะมี วิธี การตัง้ ใหม่ในหนทางทีแ่ ตกต่างกันไปก็เลือกใช้กนั ไปให้หลุดพ้นจากภาวะทีเ่ ข้ามากระทบ ใจเราทั้งสุข และทุกข์ที่ต้องเผชิญ ผมมักนึกถึงคำ�สอนของ พระอาจารย์ไพบูลย์ที่
ท่านมักบอกบ่อย ๆ ว่า “ในชีวิตคนเราก็เจอเรื่องราวอยู่สองอย่างนั่นแหละ เรื่องที่น่าชอบใจ และ เรื่องที่ไม่น่าชอบใจ สำ�คัญที่ว่าเราจะอยู่ให้ ‘เป็น’ กับเรื่องราวเหล่านั้นอย่างไร” ตก และ ตั้งขึ้นมาใหม่ จึงเป็นเรื่องจำ�เป็นที่ผมนำ�มาใช้กับการอยู่ร่วมกับ สังคมเสมอ เพราะเราต้องเจออะไรต่างๆ มากมาย จะด้วยความซน หรือจะอะไร ก็แล้วแต่สำ�หรับนักเดินทางเช่นผม คงต้องออกกำ�ลังบ่อย ๆ กับการยกขึ้น ลง ของ จิตที่ซัดส่ายคอยตก ๆ ตั้ง ๆ นี้เสมอ จะซนจนกล้ามใหญ่จนไปแข่งโอลิมปิกได้ หรือ จะอย่างไร ผมก็จะหมั่นออกกำ�ลังจิตใจให้แข็งแรงในการเผชิญโลกต่อไปนะครับ ฮ่า ๆๆ งุงิ ๆ ^^
*คำ�ว่าภาราไดม์ ปกติเขียนเป็น พาราไดม์ แต่เพื่อให้คล้องจองกับภารดีจึงใช้ตัวสะกดเป็น “ภ” แทนที่ “พ” – บรรณาธิการ
219
หายโง่ อัจฉรา แสนโสม (ครูคา)
...สมบัติที่มีเช่นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ แม้แต่ลูกเมียที่ว่ารัก กันนักหนา พอถึงวันนั้นมาจริง ๆ ไม่มี ใครตายไปกับเราหนา ใครก็ช่วยเราไม่ได้เราไปของเราคนเดียว มีเงินร้อยล้าน พันล้าน มันก็ ไม่มีประโยชน์อะไร นำ�ติดตัวไปไม่ได้ เอาไปได้เฉพาะบุญ กับ บาป แค่นั้นหนา...
หายโง่ 221
หนึ่งชีวิตที่จะลืมตาออกมาดูโลกนั้น เต็มไปด้วยขวากหนาม สิ่งขัดข้อง และอุ ป สรรคนานาประการ ตลอดเวลาที่ ฝ ากชี วิ ต ไว้ ใ นท้ อ งแม่ มั น เหมื อ นเกม เกมหนึ่ง ผู้แพ้ก็หมดโอกาสที่จะออกมาลืมตาดูโลก...ผู้ชนะ คือ ผู้มีโอกาส มีโอกาสมี ชีวิต มีโอกาสทำ�ทั้งความดีและไม่ดี มีโอกาสเลือกความสุข หรือความทุกข์ มีโอกาส หากำ�ไรให้ชีวิต หรือให้ชีวิตที่เกิดมาแล้วขาดทุน กลับไป และทุกคน ทุกชีวิต ที่ลืมตา ออกมาดูโลกอย่างเราท่านคือ ผู้ที่โชคดีที่สุด และเรื่องราวต่อไปนี้ คือโอกาสที่ดิฉัน ได้เลือกแล้ว.. ชี วิต ดิ ฉั น ก็ เ หมือนชีวิตของบุคคลทั่วไป เกิด เจริญเติบโต ถึงวัยเรียนไป โรงเรียน เรียนหนังสือและทำ�งาน ตามลำ�ดับขั้นของชีวิต เมื่อมีงานทำ�ก็มีครอบครัว แต่ชวี ติ ตอนมีครอบครัวของดิฉนั เป็นชีวติ ทีม่ ปี ญ ั หา และเป็นชีวติ ทีต่ กอยูใ่ นความมืด... ตอนมีครอบครัวนี่แหละค่ะ ดิฉันแต่งงานปี พ.ศ 2524 ชีวิตตอนนั้นมีความสุขมาก มีงานทำ�ที่มั่นคง มีครอบครัวที่อบอุ่น ดิฉัน และสามีเฝ้ารอวันที่ครอบครัวจะมีความสมบูรณ์ (ตาม) แบบ นั่นคือ การมี ”ลูก” จากวันเป็นเดือน จากหนึ่งเดือน เป็นหนึ่งปี..สองปี... จนย่างเข้าปีที่ห้า ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะท้อง ดิฉันเริ่มกังวล (ตก) เริ่มคิดมาก ความสุข ที่มีเริ่มลดลง ลดลง และหายไปในที่สุด จนความทุกข์เข้ามาแทนที่ ดิฉันกลายเป็น
222 อัจฉรา แสนโสม
“คนมีทุกข์” คนเจ้าความคิด คิดไปสารพัด ชีวิตดิฉันล้นไปด้วยคำ�ถาม ..ทำ�ไมเราไม่ท้องเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่พอเขาแต่งงาน เขาก็ท้องหัวปี ท้ายปี? .. ฐานะเราก็พอเลี้ยงเขาได้ ทำ�ไมเขาไม่มาเกิดกับเรา? .. เอ๊า..เพื่อนเราคนนั้น เขาคลอดลูกคนที่สอง แล้ว... เราล่ะ? ฯลฯ และคำ�ถามที่ร้ายสุดสำ�หรับผู้หญิง (ที่โง่) ก็คือ สามีเราคงต้องทิ้งเราไปแน่ๆ เพราะเราไม่มีลูก! ดิฉันกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ มองโลกในร้าย มองทุกคนเป็นศัตรู หากมีเพื่อนมาถามว่า เมื่อไรจะท้อง?....ได้ลูกหรือยัง?..ลูกโตหรือยัง? หากมีคนถาม เรื่องลูก” ดิฉันจะเจ็บ เจ็บมาก..เจ็บแปลบ..ในใจ นํ้าตาพาลจะไหลเอาดื้อๆ และ พลอยเกลียดคนที่ถามไปด้วย ดิฉันเครียดมาก จนสามีเข้าหน้าไม่ติด เพราะอารมณ์ ร้ายของดิฉัน (นางปีศาจ) เรื่องไม่มีลูกคือปมด้อยของดิฉัน ปัญหาต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาในครอบครัว หนักสุดคือ ปัญหาด้านจิตใจ เมื่อจิต ป่วย กายก็เริ่มมีอาการป่วยตามไปด้วย คือ จิตฟุ้งซ่าน เป็นโรคประสาท กายป่วย เป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด อาการหนักมากทั้งกายและใจ ดิฉันตัดสินใจเข้าพบหมอสูตินรี เพื่อทำ�การรักษาโรค (โง่) มีบุตรยากอยู่ห้า ปี ที่แรกที่คลินิคในตัวจังหวัดมุกดาหารเอง โดยการเข้าพบแพทย์ ท่านบอกดิฉันว่า ไข่ไม่ตก ไข่ไม่สุก รับยามาทาน รับปรอทมาวัดอุณหภูมิของร่างกายแต่ละวันแล้ว บันทึกไว้ เข้าพบแพทย์ตามวันนัดพร้อมนำ�ผล ที่บันทึกไว้ไปให้ท่านดูด้วย แล้วรับยา มาทาน เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี ในปี พ.ศ. 2530 ในที่สุดดิฉัน ก็ท้อง...ดิฉันและสามี ดีใจมาก ความสุขเริ่มกลับมาสู่ครอบครัวอีกครั้ง ดิฉันถนอมร่างกายและท้องมาก ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ นั่ง ค่อย ๆ ลุก ทุกอิริยาบถระมัดระวังตัวมาก เช้ า วั น หนึ่ ง ดิ ฉั น ตื่ น นอนแล้ ว มี อ าการปวดหนี บ บริ เ วณท้ อ ง ดิ ฉั น รู้ สึ ก ไม่สบายใจมาก รีบเข้าพบคุณหมอตั้งแต่ 7 โมงเช้า แต่ตอนนั้นคิดเดาว่า น่าจะเป็น ปวดไส้ติ่งอักเสบมากกว่า คุ ณ หมอตรวจดู แ ล้ ว ส่ ง ตั ว เข้ า นอนโรงพยาบาลทั น ที โดยให้ น อนนิ่ ง ๆ
หายโง่ 223
ไม่ให้ลกุ จากเตียง กลัวลูกจะแท้ง ในทีส่ ดุ เขาก็แท้งจริง ๆ....เราไม่สามารถฉุดรัง้ เขาไว้ ได้ คุณหมอบอกดิฉันว่า “คุณท้องนอกมดลูก” ดิฉันตั้งท้องนับได้ 50 วันพอดี จาก เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำ�ให้ดิฉันหมดอาลัยตายอยากในชีวิต กลายเป็นคนเศร้าซึม อาการ ป่วยทางจิตเริ่มกำ�เริบขึ้นมาอีก พร้อม ๆ กับโรคภูมิแพ้ หอบหืด ทางร่างกายแสดง อาการจนดิฉันนอนไม่ได้ ดิฉันต้องนั่งหลับพิงฝาบ้าน เพราะถ้านอนจะหายใจไม่ออก คือหายใจไม่ได้เลย จะขาดใจเสียให้ได้ ชีวิตกลับมามีความทุกข์และ ชีวิตเหมือนตก อยู่ในความมืดสนิทอีกครั้ง ดิฉันตาย...ตายทั้งเป็นอยู่สามปี กลับมาเริ่มต้นใหม่ในปี 2535 ดิฉันไปรับการ รักษาโรค (โง่) มีบุตรยากที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่นอีกครั้ง เทียวไปกลับ มุกดาหาร – ขอนแก่น เป็นว่าเล่น รักษาโดยการรับยามาทาน ผ่าตัดท่อนำ�ไข่ (หมอ บอกว่า ท่อนำ�ไข่ตัน เพราะพังผืดเจริญเติบโต ตอนดิฉันท้องครั้งแรก หลังแท้งแล้ว ไม่ได้ขูดมดลูก) แต่ไม่มีผลคืบหน้าเรื่องลูก ดิฉันเปลี่ยนหมอรักษา เป็นเข้ากรุงเทพ ฯ ไปเข้าคิวขอทำ�เด็กหลอดแก้วที่โรงพยาบาลตำ�รวจ พอถึงวันนัด มีอุปสรรคขัดขวาง ไปไม่ได้ กลับไปที่ขอนแก่นใหม่อีกครั้ง ไปที่คลินิกโรคหมันแห่งหนึ่ง รักษาโดยการ ผสมเทียมนอกมดลูก ทำ�อยู่ 5 ครั้ง ครั้งที่ 6 แทนที่จะติดลูก แต่ดิฉันกลับติดเชื้อ เกือบตาย! ดิฉันหมดแรงทั้งกำ�ลังกาย กำ�ลังใจ และกำ�ลังเงิน มานั่งคิดทบทวน ตั้งแต่ปี 2525 จนถึง ปี 2535 เป็นเวลา 10 ปี ดิฉันใช้เงินไปกับการรักษาโรค (โง่) มีบุตรยาก มากโข ราคายาตกเม็ดละร้อย เม็ดละพัน จ่ายค่ายาแต่ละครั้งเฉียดหมื่น ดิฉันเหมือน คนบ้า ขาดสติ ใจร้อน วู่วาม พาล ปากเสีย ฯลฯ เป็นคนป่วยโรคภูมิแพ้ (แพ้อากาศ) เข้าใกล้จะได้กลิ่นยา...ดูแล้วว่าตัวเองคงจะตายในเร็ววันนี่แหละ ดิฉันตัดสินใจอุทิศ ร่างกาย อุทิศอวัยวะทุกอย่างแก่ทางโรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่นไว้ ในปีต่อมา ชีวิตดิฉันยังตกอยู่ในความมืดเหมือนเดิม ชีวิตเคว้งคว้าง แต่เพลา เรือ่ งไปหาหมอด้วยเรือ่ งรักษาโรค (โง่) มีบตุ รยาก เปลีย่ นเป็นไปเทีย่ วตามจังหวัดต่าง ๆ
224 อัจฉรา แสนโสม
ที่ใจอยากไป ตอนไปเที่ยวเห็นสิ่งแปลกใหม่ ใจมันก็ลืมเรื่องอยากมีลูก แต่พอ กลับ เข้าบ้าน ใจมันไม่หยุด ใจมันไม่นิ่ง มันร้อนทั้งกาย ทั้งใจ ใจมันเหมือนม้า ใจมันเหมือน ลิง ใจมันเหมือนสัตว์ ทีใ่ ครบังคับให้มนั นิง่ ไม่ได้เลย มันวิง่ ไปนัน่ วิง่ ไปนี่ อยูต่ ลอดเวลา และมันก็วกกลับมาคิดเรื่องลูกอีกเหมือนเดิม ในปี 2539 ดิฉันคิดว่า ที่ตัวเองไม่มีลูกนี่ มันน่าจะมาจากกรรมเก่าที่เราเคย ทำ�ไว้แต่ชาติปางก่อน ถ้างั้นเราไปทำ�บุญแก้กรรมตามวัดต่าง ๆ เพื่อให้มีลูกจะดี กว่า แล้วดิฉันก็ตระเวนไปตามวัดต่างๆ ที่ดังๆ ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินข่าวว่าอยู่ที่ไหน ไปหมด ทั่วประเทศ ทั้งไปพบหมอด้าน ไสยศาสตร์ แก้กรรม ทำ�เคล็ด ฯลฯ แล้วมา รอผล...เมื่อไรเราจะท้อง..? ในปีนี้เองพบว่า ตัวเองล้า และเหนื่อย..ล้าทั้งกาย ล้าทั้งใจ เข้าบ้านแล้วมัน ร้อน ถ้าได้ออกนอกบ้านแล้วจะดีขึ้น พอดีกับหน่วยงานต้นสังกัดเขาจัดให้มีการ อบรมพัฒนาจิต ไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่าง ๆ 5 วันบ้าง 7 วันบ้างดิฉันลองไปปฏิบัติ ธรรมตามโครงการดู แต่จริงๆ คงไปตามใจลิงบ้า ที่มันไม่ยอมหยุด นั่นเอง การไป ครั้งแรกเป็นการไปเพื่อสนองความอยากไปของตัวเอง โดยไม่ได้มีความสนใจในธรรม อะไรเลย และคิดว่า ดีแล้วล่ะ จะได้หลบพักผ่อนไปในตัวด้วย พอไปหลายครั้งเข้า ได้ฟังเทศน์ ฟังธรรม จากหลวงปู่ หลวงพ่อ และวิทยากร ที่มากด้วยประสบการณ์ทางธรรม ทำ�ให้จิตใจเริ่มเย็นลง จิตใจเปลี่ยนไป ความคิดก็ เริ่มเปลี่ยนไปสังเกตได้ว่าตัวเองหันมาสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม และจิตใจเริ่มใฝ่มา ทางพระธรรมมากขึ้น ใจดิฉันมีที่เกาะ มีที่ยึด สิ่งนั้นคือ พระธรรม คำ�สอนขององค์ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วงนี้ความคิดเรื่องอยากมีลูกเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มลดลง บางเบามาก ใจที่คิด เรื่องอยากมีลูกทั้งหมด กลับทุ่มเทมาใส่เรื่องการทำ�บุญ เรื่องพระธรรม เรื่องการฝึก สมาธิ เรื่องการดูลมหายใจเข้าออกของตนเอง คิดแต่เรื่องการนั่งสมาธิ ใจที่เคยคิด ว่าตัวเองมีปมด้อยเรื่องไม่มีลูกมันหายไป ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ใจที่เคยคิดด้านลบ
หายโง่ 225
มันเปลี่ยนเป็นมาคิดด้านบวก (ใจเริ่มตั้ง) ชีวติ ดิฉนั เริม่ พบแสงสว่าง ใจดิฉนั เริม่ สว่างตามมา ทุกคำ�ถามในชีวติ เริม่ พบคำ� ตอบแล้ว ความทุกข์มันหายไปตอนปฏิบัติธรรม...ทุกข์..หายไปตอนดิฉันดูลมหายใจ เข้า ดูลมหายใจออก นี่แหละ ดิฉันเข้าไปฝึกหัด เรียนรู้เรื่องทางโลก ปฏิบัติเรื่องทางธรรม จากพระอาจารย์ ไพบูลย์ ท่านจะสนทนาธรรมกับญาติธรรม จากการใช้ชวี ติ จริง ๆ เมือ่ มีเหตุเกิดแบบนี้ เราจะต้องคิดแบบนี้ ฟังธรรมจากพระอาจารย์แล้ว มันสวนทางกับที่ดิฉันปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำ�วันเลย โอ๊ย ทำ�ไมเราคิดอย่างนี้ เราโง่มาก ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ชีวิตขาดทุน ย่อยยับ ดิฉันทำ�ทุกอย่างเพื่อตัวเอง ตัวเองเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงคนอื่นเลยดิฉัน เสียดายเวลาที่ผ่านมา มัวแต่อยากได้ลูก...จนลืมโลก ลืมความเป็นธรรมชาติของชีวิต ลืมญาติพี่น้อง ลืมเพื่อนบ้าน ลืมชาวบ้านที่เขายากจน พระอาจารย์สอนว่า “ชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นคน ถือว่า เป็นผู้ได้สร้างบุญ สร้างกุศลมามากพอสมควร และยิ่งเป็นคนที่มีอาการครบสามสิบสอง ไม่พิกลพิการ ไม่ง่อยเปลี้ยเสียขา ก็ยิ่งเป็น ผู้ที่มีความสมบูรณ์และประเสริฐสุดแล้ว จะทำ�ไหมล่ะ บุญกุศลน่ะ เพราะบุญกุศล นี่ล่ะ จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยส่งผลให้ ทุกคนเกิดมาในภพภูมิที่ดี เกิดมาในตระกูลที่ รํ่ารวย ไม่อดอยากยากแค้น เหมือนทุกวันนี้ สมบัติที่มีเช่นบ้าน ที่ดิน รถยนต์ แม้แต่ ลูกเมียที่ว่ารักกันนักหนา พอถึงวันนั้นมาจริงๆ ไม่มีใครตายไปกับเราหนา ใครก็ช่วย เราไม่ได้เราไปของเราคนเดียว มีเงินร้อยล้าน พันล้าน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร นำ� ติดตัวไปไม่ได้ เอาไปได้เฉพาะบุญ กับ บาป แค่นั้นหนา ” และอีกหลายคำ�สอนที่ไม่อาจนำ�มาพรรณนาหมด ณ ตรงนี้ได้ แต่ได้บันทึก ลงที่ใจแล้ว ดิฉันเริ่มฝึกพลิกกลับตัวเองเสียใหม่ โดยยึดคำ�สอนของพระอาจารย์เป็น เข็มทิศของชีวิต
226 อัจฉรา แสนโสม
ในช่วงเข้าพรรษา หลังเลิกงาน ดิฉันจะรีบเตรียมอาหารไว้ให้สามีที่บ้าน และ ตัวเองจะรีบอาบนํ้าแต่งกายด้วยชุดขาวเข้าไป (จำ�ศีล) ที่วัดพร้อม ๆ กับผู้เฒ่า ผู้แก่ ที่ท่านเตรียมตัวเข้าไปนอนที่วัดตั้งแต่เช้าแล้ว โดยมีพระอาจารย์ ไพบูลย์ เป็นผู้นำ�พา ในการปฏิบัติ การปฏิบัติจะเริ่มจาก พระอาจารย์สนทนาธรรม กับญาติธรรมทุกคน ถึง เวลาหนึ่งทุ่ม เริ่มทำ�วัตรเย็นไหว้พระ สวดมนต์ พระอาจารย์กล่าวธรรม ให้นั่งสมาธิ หรือจะเดินจงกรมก็ได้ ประมาณสามทุ่ม ก็หยุด คนที่ไม่ได้นอนวัดก็กลับบ้าน ส่วน คนที่นอนวัดก็แยกย้ายไปนอน หรือจะนั่งสมาธิ...เดินจงกรมต่อก็ได้ เสียงฆ้องดังอีก ครั้งเวลา ตีสี่ ทุกคนจะรีบตื่น และลุกจากที่นอนเก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วมารวม กันที่ศาลากลาง นั่งสมาธิรอความพร้อม เมื่อทุกคนพร้อม เริ่มทำ�วัตรเช้า เสร็จแล้ว พระอาจารย์จะกล่าวธรรม ให้นั่งสมาธิ หรือจะเดินจงกรม ก็ได้ จนสว่าง ก็แยกย้าย กันกลับบ้าน ช่วงเข้าพรรษาเป็นหน้าฝน บางวันท้องฟ้ามืดครึ้ม โรคภูมิแพ้กำ�เริบ ดิฉันจะ หายใจเสียงดัง เวลานั่งสมาธิ จะต้องใช้ผ้าหนาๆ คลุมศรีษะด้วย ทุกคนจะรู้อาการป่วยของ ดิฉันดีหลังไหว้พระ กราบพระอาจารย์ จะกลับบ้านในตอนเช้าของวันที่มีอากาศเย็นจัดวันหนึ่ง ครูคา.....โรคภูมิแพ้หายไปตอนไหน? .....พระอาจารย์ โยมลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นโรคนี้ และไม่รู้เลยว่ามันหายไป ตั้งแต่เมื่อไร? ณ วันนี้ ดิฉนั มีชวี ติ ใหม่ ดิฉนั ตอบคำ�ถามให้ชวี ติ ตัวเองได้แล้วค่ะ ทำ � ไมเราไม่ ท้ อ ง เหมื อ นผู้ ห ญิ ง คนอื่ น ที่ พ อเขา คำ�ถาม... แต่งงาน เขาก็ท้องหัวปี ท้ายปี? ช่าง....สิ มันไม่อยากท้องนิ...ดีแล้วท้องไม่ลาย คำ�ตอบ...
หายโง่ 227
คำ�ถาม... คำ�ตอบ... คำ�ถาม... คำ�ตอบ... คำ�ถาม... คำ�ตอบ... คำ�ถาม... คำ�ตอบ...
คำ�ถาม... คำ�ตอบ...
ฐานะเราก็พอเลี้ยงเขาได้ ทำ�ไมเขาไม่มาเกิดกับเรา? ช่าง....ลูกสิ ดีแล้ว ไม่เปลืองเงิน...เก็บเงินส่วนนั้นไว้ ทำ�บุญ หรือไว้ช่วยหลาน ๆ ก็ได้นี่ เอ๊า..เพื่อนเราคนนั้น เขาคลอดลูกคนที่สอง แล้ว...เรา ล่ะ? ฯลฯ ช่างเพื่อนสิ...เราพยายามฝึกสมาธิให้จิตสงบอย่างน้อย วันละสองชั่วโมงดีกว่า ก็สองเหมือนกันนี่ สามีเราคงต้องทิ้งเราไปแน่ ๆ เพราะเราไม่มีลูก! ช่างสามีสิ..ยังไงวันหนึ่งเราต่างก็ต้องทิ้งกันไปอยู่แล้ว สามีอาจทิ้ง (ตายจาก) เราไปก่อน หรือ เราอาจทิ้ง (ตาย) สามีไปก่อน ก็ได้ โรค (โง่) มีบุตรยาก หรือ โรคอยากมีลูก คนอื่นอีกหลายคนเขาก็ไม่มีลูก ดูเขาก็ใช้ชีวิตได้อย่างมี ความสุข ชายโสด สาวโสด นักบวช ท่านเหล่านั้นก็ไม่มี ลูกนี่ อ้าว เราคิดอย่างเรา เราก็โง่สิ การมีลูก หรือ ไม่มีลูก ไม่ใช่สาระสำ�คัญของชีวิตเลย สิ่ง สำ�คัญคือ เมื่อมีชีวิตเกิดขึ้นแล้วคุณคือผู้โชคดีมาก คุณ ได้ทำ�ความดีเพื่อคนอื่นเพียงพอหรือยัง คุณได้ทำ�ความ ดี ใ ห้ ต นเองเพี ย งพอหรื อ ยั ง และวั น นี้ คุ ณ เตรี ย มตั ว เตรียมใจพร้อมทีจ่ ะเดินทางแล้วหรือยัง คุณสะสมเสบียง (บุญ) ในการเดินทางไปยังโลกหน้าเพียงพอหรือยัง คนที่เขามีลูก เขาเอาเวลาไปเลี้ยงลูก เอาเวลา ไปดูแลลูก เราไม่มีลูก อย่าเสียเวลาเลย เอาเวลาที่มีทั้งหมด
228 อัจฉรา แสนโสม
ไปทำ�บุญ ไปนั่งสมาธิ ดีไหม....ฯลฯ....... .............. นี่สิ...คือสิ่งคุณควรทำ�! .............. นี่สิ...คือสิ่งที่คุณควรมี..!
231
รีเซ็ต แล้วไง? ศรขัย ฉัตรวิริยะชัย
...ในสังสารวัฏอันยาวนานใครเลยจะประมาทได้ แค่ได้ยิน ได้ศึกษาพระธรรมมาเพียงน้อยนิด ไม่ควรจะถือเป็นโอกาสที่ จะย่ามใจ ตรงกันข้ามพวกเราต้องทำ�ตัวเหมือนคนที่เดินอยู่ บนคมมีด คือมีความระแวดระวังอยู่เสมอ และสำ�นึกอยู่เสมอ ว่ายังมีอีกมากที่เราไม่รู้ เพราะปัญญาของเรายังเข้าไม่ถึง...
รีเซ็ต แล้วไง? 233
นํ้าตาของผมไหลออกมา ความรู้สึกเอ่อท้น ผมหยุดการพูดเอาไว้เพียงแค่ กลางประโยคเท่านัน้ ดูเหมือนน้าสาทจะสังเกตเห็นความผิดปกติเมือ่ คูส่ นทนาเงียบงัน ไปเสียเฉย ๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย หากจะมีคำ�พูดอื่นใดเล็ดลอดออกมาจาก ปากของเขาอีกผมก็จำ�ไม่ใคร่ได้ถนัดนัก ในจังหวะที่โลกหมุนไปในเสี้ยววินาทีที่แล้ว เรายังสนทนากันอย่างออกรส เรื่องงานอบรมเมื่อวานนี้ และเหตุที่ทำ�ให้ผู้คนตะบี้ ตะบึงยึดเอาความเห็นของตนเป็นที่ตั้ง ก้ อ นอะไรสั ก อย่ า งจุ ก ที่ อ ก กล้ า มเนื้ อ ที่ เ กร็ ง เป็ น อุ ป สรรคไม่ ใ ห้ เ ส้ น เสี ย ง ทำ�งานได้อย่างเป็นอิสระ ผมกำ�ลังอยู่ในอาการ “ตื้นตัน” ความแน่นตันที่อยู่ลึกลง ไปเพียงไม่ก่เี ซ็นติเมตรจากทรวงอก มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “ปิติ” หา ใช่ “โทมนัส” ที่โบยตีใจให้บอบชํ้า แต่นํ้าตาที่ไหลออกมานี้เป็นความรู้สึกที่กลั่น ออกจากความรูค้ ณ ุ รูแ้ น่ชดั ว่าชีวติ ของตนคงจะล่องลอยเหมือนวัชพืชทีถ่ กู กระแสนํา้ พัดพา รอเวลาจะเป็นอาหารให้กับสัตว์นํ้า พวกเต่าปูปลา ถ้าหากไม่ได้มาเจอกับพระอาจารย์ ถ้าหากไม่ได้มารู้จักกับตกตั้งใหม่
234 ศรขัย ฉัตรวิริยะชัยรัตน์
ยิ่งพูดเรื่องตกตั้งใหม่เท่าไร ผมยิ่งเกิดพุทธิปัญญาว่าคำ�พูดของผมนั้น ไม่ต่าง อะไรจากสายลมที่เกิดจากลมหายใจรวยรินของชายชรา ที่นอนพะงาบอยู่บนเตียง ในโรงพยาบาล ไม่อาจจะชำ�แรกเข้าไปในภูผาหินที่สูงตระหง่านท้าทาย ไม่มีอะไรจะสามารถชำ�แรกเข้าไปในภูผาหินแห่งความเห็นผิด... แม้แต่ธรรมของพระผู้มีพระภาค... ไม่ใช่พึ่งเคยเป็น...แต่เป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน... “ฝึกบุรุษที่สมควรฝึก อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า” ชะรอยผมคงจะหลงลืมประโยค สำ�คัญ หมายถึงว่าท่านไม่ได้ฝึกผู้คนมั่ว ‘ตั้ว’! ประสบการณ์ของผมสอนว่าผู้ที่เรียนรู้ตกตั้งใหม่ได้ยากที่สุดก็คือผู้ที่เรียก ตัวเองว่าเป็น “นักภาวนา” หรือ “นักปฏิบัติธรรม” ความเห็นทีแ่ ข็งตัวทีก่ อ่ ขึน้ มาเป็นกำ�แพงหนาหลายชัน้ นีเ่ ป็นลักษณะทีแ่ ตกต่าง กับนักเรียนตกตั้งใหม่ ผมไม่เคยเห็นสมาชิกจีมานอมเรียกตัวเองว่าเป็น “นักปฏิบัติ ธรรม” และถึงแม้เขาจะพูดถึงพระอาจารย์ แต่เขาก็ไม่เคยพูดในลักษณะวิจิตร พิสดารปาฏิหาริย์พันลึก พวกเขาจะพูดถึงถ้อยคำ �บางคำ�ที่ได้ยินจากปากอาจารย์ เป็นคีย์เวิร์ดที่นำ�ไปใช้แก้ไขปัญหาชีวิต ก็เพียงเท่านั้นจริง ๆ แถมบางคนยังชอบเอ่ย ถึงประสบการณ์ที่ตัวเองไปถกเถียงอาจารย์ และนำ�มาเล่าราวกับเป็นเรื่องที่ได้ไปคุย กับเพื่อนฝูง ลูกศิษย์ของอาจารย์ส่วนใหญ่เป็นขบถของระบบ เป็นคนหัวดื้อ และเข้าใจ ว่าอาจารย์จะต้องเป็นผู้นำ�ขบวนการ แต่จะแปลกใจถ้ารู้ว่าความขบถแบบหัวชนฝา บ้าระหํ่าของเรานั้น บางอย่างกลับถูกแก้ไขโดยอาจารย์ เช่น “อาจารย์ผมไม่ชอบเลยวัดนี้นะ เขามอมเมาคน หลอกเอาเงินประชาชน คนจนตาดำ� ๆ หาเช้ากินบ่ายก็ไม่เว้น”
รีเซ็ต แล้วไง? 235
คำ�ตอบของพระอาจารย์น่ะหรือ “อย่างน้อยเขาให้คนสวดมนต์ ก็ถือว่าใช้ได้” ได้ยินแล้วรู้สึกอึ้ง ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวแต่อีกหลายคนที่ตั้งใจจะเม้าท์มอย เรื่องนี้ต่อต้องหยุดกึก ต่อเมื่อได้ยินบ่อยเข้าก็เริ่มเกิดความเข้าใจและค่อยๆ เปลี่ยน ความเห็นของตน แต่อาจารย์ก็ยังคงเป็นอาจารย์ ในวินาทีหนึ่งที่เรากำ�ลังจะแช่แข็งความเห็น ของเราที่มีต่ออาจารย์ ว่าอาจารย์เป็นพวกอนุรักษ์นิยม ก็ต้องมีเหตุการณ์บางอย่าง ที่ทำ�ให้ต้อง “ตะลึง ตึง ตึง” เมื่อเข็มวัดขั้วการเมืองของอาจารย์ตีกลับไปอีกด้านหนึ่ง อย่างเหตุการณ์ที่พระอาจารย์ถูกนิมนต์ให้ไปแสดงธรรมในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเจ้าคณะจังหวัดและพระอาวุโสหลายรูปเข้าร่วมงาน ขณะที่ท่านแสดงธรรม อยู่บนธรรมาสน์ พระหลายรูปได้หันมาสนทนากันเสียงเซ็งแซ่ ท่านจึงตวาดเอาว่า “อ้าวเป็นพระอรหันต์กันหมดแล้วหรือ...ถึงไม่ต้องฟัง!” ที่ประชุมเงียบกริบและตั้งใจฟังพระอาจารย์แสดงธรรมต่อไป... ในการฝึกวิทยายุทธ์มีหลักอยู่อย่างหนึ่งว่าผู้ที่มีฝีมือด้อยกว่าจะไม่สามารถ คาดเดากระบวนท่าของผูท้ ม่ี ฝี มี อื สูงกว่าได้ ผมว่าเป็นความจริงครัง้ แล้วครัง้ เล่า เมือ่ ใด ที่เราคาดคิดว่าพระอาจารย์จะทำ�อะไร ก็มีแนวโน้มอย่างมากที่จะเดาผิด ผมจึงได้ เรียนวิธีการดำ�รงอยู่ชนิดที่เรียกว่า “คาดได้แต่อย่าหวัง” จากพระอาจารย์ แล้วมัน ทำ�ให้ชีวิตของผมมีความสุขขึ้น.. อย่างน้อยก็เบาไปครึ่งหนึ่ง! แต่การที่พระอาจารย์เป็นอย่างนี้ก็ทำ�ให้ลูกศิษย์หลายคนไม่พอใจ มันน่า แปลกที่ลูกศิษย์จะไม่พอใจอาจารย์ แต่เป็นเพราะพวกเขาโดดเรียนวิชา “คาดได้ แต่อย่าหวัง” พวกเขาจึงต้องผิดหวัง เมื่ออาจารย์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจเขาต้องการ
236 ศรขัย ฉัตรวิริยะชัยรัตน์
การยึดเหนี่ยวเกาะกุมอัตลักษณ์ของอาจารย์เพียงเสี้ยววินาทีเดียวมันเป็นภัยอย่าง ยิ่ง นั่นคือบทเรียนที่อาจารย์สอนผมโดยไม่ได้สอน เพราะในชีวิตของเรากี่ล้านปีแสง มาแล้วที่เราเข้าไปติดข้องอยู่กับโลกที่มาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยเข้าไป ถือเอาในนิมิต และอนุพยัญชนะ “วาสนา” หรือลักษณะเฉพาะที่สั่งสมมายาวนาน ของอาจารย์จึงทำ�ให้ผู้ ที่เรียกตัวเองว่า “นักปฏิบัติธรรม” บางคนเกิดอาการ “ไม่ปลื้ม” แต่พระอาจารย์ ก็ “ไม่สน” เพราะบอกเสมอว่าไม่ต้องการสาวก เพราะธรรมที่ท่านยกมากล่าวก็ไม่ ได้เป็นของท่านเอง ในงานเข้ากรรมปี 2554 อาจารย์กล่าวถึงกับดักของนักปฏิบัติธรรม 3 ระดับ คือ 1. กับดับของความคิด 2. กับดักของความรู้สึก 3. กับดักคือจิตของตัวเอง ใครที่ไม่เคยสัมผัสตกตั้งใหม่มาก่อนเลย เราจะเรียกว่า “ผู้ใหม่” เรื่องแรก ที่ผู้มาใหม่จะได้ยินได้ฟังบ่อยก็คือเรื่อง “ความคิด” กับ “ความรู้สึก” กล้าเอาหัว เป็นประกันเลยว่าเรื่องนี้ดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย ต่อให้เป็นผู้มีการศึกษาระดับสูงแค่ ไหน หรือจะอ้างตัวเองว่าเป็นนักภาวนามานานแค่ไหนเพียงไร ถ้าตรงนี้ยังไม่ “เข้า ประตู” ต่อให้ท่องจำ�สิ่งที่อาจารย์พูดมาได้ทั้งหมดเป็นฉาก ๆ แต่ก็ต้องถือว่าไม่ผ่าน กับดักอันแรก แล้วถ้ายังไม่ผ่านกับดักอันแรกก็ป่วยการจะคุยกันถึงข้อที่สองและสาม ต่อไป แต่กน็ า่ แปลกไม่นอ้ ย หลายคนมองข้ามกับดักอันแรกไป โดยอ้างว่า “ความรูส้ กึ น่ะหรือ ก็นี่ไงรู้สึกอยู่ นั่งอยู่ก็รู้สึกอยู่แล้วยังไง” รู้สึกที่การนั่งไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหา คือคำ�ว่า “แล้วไง” ที่มักจะห้อยต่อท้ายมาเรื่อย ผมว่าถ้าหากไม่ถามว่าแล้วไงเมื่อใด
รีเซ็ต แล้วไง? 237
เมือ่ นัน้ อาจจะเกิดพุทธิปญ ั ญาขึน้ มาบ้าง บางท่านก็บอกว่า “มีแค่นเ้ี องหรือ ตกตัง้ ใหม่ รู้สึกที่มือที่แขนยืดเหยียด” เมื่อไม่เห็นผลอันเลิศหรู ก็เลยหยุดทำ� หรือไม่ทำ�ให้ต่อ เนื่องจนเป็นนิสัย พวกนี้พอเกิดเหตุการณ์หนักหนาในชีวิต หวังจะเอาไปใช้แต่ไม่ทัน การณ์เสียแล้ว เมื่อมองไม่เห็นว่าจะทำ�ไปทำ�ไม หลายคนก็โผเข้าหาวิธีปฏิบัติเดิม ๆ บางคน บอกว่า “ดูลมหายใจเป็นรีเซ็ตมั๊ย” หรือ “ท่องพุทโธได้มั๊ย” ถ้าหากถามแบบนี้ก็เป็น อันว่าจะได้คำ�ตอบที่ไม่เคยเหมือนกันสักครั้ง ถ้าใครผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ ก็อาจจะรู้สึก ขุน่ ใจทีว่ า่ ทำ�ไมกลุม่ จีมานอมจึงไม่อธิบายให้ “ชัด ๆ” ลงไปสักทีวา่ เป็นอย่างไร ได้หรือ ไม่ได้ น่าจะบอกกันให้ตรง ๆ ไปเลยจะได้ไม่เหลือที่ว่างให้กับความสับสน หลายคนใช้วิธีเทียบเคียงกับความรู้เก่าโดยที่ยังไม่ได้ลองสังเกตด้วยตัวเอง เลย จึงไม่รู้ว่าตัวเองกำ�ลังตกหล่มความคิดอย่างจัง หน้าที่ของความคิดคือต้องการ ประมวลผล ต้องการจัดหมวดหมู่ แต่ในเมื่อสิ่งที่เรากำ�ลังเรียนกันอยู่นี้มันไปพ้นจาก ความคิด มันจึงไปถึงไม่ได้ด้วยความคิด แต่จะว่าไม่ต้องคิดเลยก็ไม่ใช่เสียทีเดียว และ นี่คือกับดักที่สอง ซึ่งมักจะเกิดกับสมาชิกเก่าซึ่งแก่พรรษามาบ้าง มักจะตั้งความเห็น ไว้อย่างสุดโต่งว่า ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของความรู้สึก… หรือไม่ก็ มีแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่จริงแท้… ซึ่ ง แน่ น อนว่าไม่จ ริง เลย เพราะความรู้สึก แม้แ ต่ที่เป็นสุขต่อให้วิเศษวิโส ขนาดไหน ก็ไปยึดเอาไว้ไม่ได้ อย่างที่พระอาจารย์เคยกล่าวให้ฟังว่า “ลองหายใจเข้า สิ มัน (รู้สึก) ดีไหม ถ้าดีก็เก็บเอาไว้สิอย่าหายใจออก! ถ้ามันดีจริงแล้วจะหายใจออก ไปทำ�ไม” ชัดไหม? ถ้อยคำ�หลายคำ�ที่พระอาจารย์พูดมันชัด แต่เพราะเราไม่ชัด จึงไม่เข้าใจ และ หลัง ๆ ก็มักจะได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ในแวดวงศิษยานุศิษย์ว่า
238 ศรขัย ฉัตรวิริยะชัยรัตน์
“ไม่ต้องไปอ่านหนังสือธรรมหรอก เพราะแค่รีเซ็ตอย่างเดียวก็พอ” ทัศนคติแบบนี้น่าเป็นห่วง เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเรากำ�ลังยึดเอา “รีเซ็ต” มายึดกุมไว้ทำ�ราวกับเป็นเครื่องรางของขลังทางนามธรรม เป็นถ้อยคำ�ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะมาทดแทนปัญญาเห็นชอบ จนละเลยที่จะศึกษาพระธรรมคำ�สั่งสอนของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมเห็นว่าพวกเราไม่ควรจะทำ�ตัวสบาย ๆ กันจนเกินไปนัก ตลอดจนพรํ่าบ่นและท่องแต่คำ�ที่ได้เคยได้ยินได้ฟังมาจากพระอาจารย์ให้ผู้อื่นฟัง แบบนกแก้วนกขุนทอง และเอาถ้อยคำ�เหล่านั้นมาเป็นเกราะกำ�บังตัวเองจากความ เกียจคร้านที่จะไม่ฝึกฝนขัดเกลาตนเอง ในสังสารวัฏอันยาวนานใครเลยจะประมาท ได้ แค่ได้ยินได้ศึกษาพระธรรมมาเพียงน้อยนิด ไม่ควรจะถือเป็นโอกาสที่จะย่ามใจ ตรงกันข้ามพวกเราต้องทำ�ตัวเหมือนคนที่เดินอยู่บนคมมีด คือมีความระแวดระวัง อยู่เสมอ และสำ�นึกอยู่เสมอว่ายังมีอีกมากที่เราไม่รู้ เพราะปัญญาของเรายังเข้าไม่ถึง และต้องเร่งขวนขวายเพราะไม่รู้ว่าลมหายใจสุดท้ายของเราจะสิ้นสุดเมื่อใด ใน สัมปสาทนียสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า เหตุใดพระสารีบุตรจึงมั่นใจในสิ่งที่ท่านสอน เป็นเพราะมีญาณหยั่งรู้พระพุทธเจ้า หรือ พระสารีบุตรตอบว่า “ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระเจ้าข้า” พร้อมทั้งอธิบาย ว่า ถึงแม้จะไม่อาจหยั่งรู้พระปัญญาของพระพุทธเจ้าแม้สักองค์หนึ่ง ไม่ว่าจะในอดีต อนาคต หรือปัจจุบนั หากแต่ได้ปฏิบตั ติ ามคำ�สอนจนแจ้งแก่ใจว่าทางทีพ่ ระพุทธองค์สั่ง สอนนี้ เป็นหนทางแห่งความหลุดพ้นที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ใช้ดำ�เนินไป อุปมา เหมือนว่าตนได้สำ�รวจโดยรอบกำ�แพงเมืองแล้ว นอกจากประตูเมืองซึ่งเป็นทางเอก แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีรอยแยกหรือช่องทางอื่นใดจะนำ�พาให้เข้าสู่เมืองได้ จึงเกิดความ มั่นใจในพระศาสดาอย่างไม่อาจจะหาผู้ใดเสมอเหมือน เพราะตนได้รู้ตามในสิ่งที่ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และนำ�มาสอนสั่ง สำ�หรับผู้มีปัญญาน้อยอย่างพวกเราไม่มีทางเลยที่เราจะหยั่งเห็นถึงปัญญา
รีเซ็ต แล้วไง? 239
ของพระอาจารย์ ดังนั้นจึงป่วยการที่เราจะใช้ความคิดวิเคราะห์ของเราไปคาดเดา นอกจากเราจะรู้ไม่ได้แล้วยังไม่เกิดประโยชน์อันใด ที่มีประโยชน์มากกว่าก็คือนำ�เอา ถ้อยคําที่เคยได้ยินได้ฟังจากพระอาจารย์มาใส่ใจ และพิสูจน์ดูว่าจริงหรือไม่ด้วยตัว ของเราเอง มีบางคนอยูเ่ หมือนกันทีก่ ลัวพระอาจารย์และอ้างว่าติดธุระไม่ยอมพบเจอ ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะเขาไม่ได้ตรึกให้แยบคายว่าพระพุทธองค์สอนอะไร ท่านสอน ให้เราแสวงหาแต่อารมณ์ทน่ี า่ ชอบใจหรือ ก็เปล่า ท่านสอนให้เราหลบหนีเมือ่ มาพบเจอ กับอารมณ์ที่ไม่น่าชอบใจหรอกหรือ ก็เปล่าอีก แต่พอถึงเวลาจริงลืมหมดเลย จะเข้า วัดก็เลือกแบบทีถ่ กู ใจ องค์นน้ั พูดเพราะ องค์นน้ั ดูมเี มตตา ไม่ชอบองค์นน้ั เพราะดุ ไม่ชอบ องค์นั้นเพราะพูดจากโฮกฮาก แล้วตกลงเราไปเรียนอะไรกันแน่ เรียนทำ�อาหาร แต่ง หน้าเค้ก จัดดอกไม้ หรือเรียนธรรม เรื่องธรรมไม่ใช่มีแต่ชื่อลอย ๆ เป็นภาษา เป็นคำ� บาลี แต่ต้องเข้าหาด้วยหัวใจนักรบมีความองอาจ แกล้วกล้า ไม่ใช่พวกมีเงื่อนไขเยอะ แบบนี้อยู่ในสนามรบไม่ได้ ถูกฟันทีเดียวตายแล้ว หนีหัวซุกหัวซุนแล้ว พวกนี้ไม่คุ้ม ค่าราคาธรรม จึงช่วยเหลืออะไรไม่ได้ตอ้ งปล่อยซากให้เป็นอาหารกับพวกนกกา เราคือผู้ถูกครอบงำ�แล้ว ไม่ว่าเราจะตัดสินใจแบบไหน เป็นผู้กล้าหรือซาก ผี เพราะไม่ว่าจะเลือกอย่างไหน อย่าลืมว่าในสังสารวัฏนี้ เราเสร็จ “มัน” มาแต่ ไหนแต่ไรแล้ว.
241
ปาสาธิกสนทนา ประสาท ประเทศรัตน์
242 ประสาท ประเทศรัตน์
“ทําไมคนจึงไม่ค่อยแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์รีเซ็ตกันนะ แปลก” สัญชัยรําพึง “อืม.. ก็ได้ยินเขาพูดมาหลายคนแล้ว “แค่ความรู้สึกเหรอ...แค่นี้จะมา พูดกันอยู่เรื่องเดียวนี้นะ” ปาสาธิกะกล่าวแล้วเงียบ ไปนาน ปล่อยให้เสียงลมพัด ผ่านใบไม้ไหว “หรือว่าเราเป็นคนโง่...ที่พยายามชวนพูดคุยในเรื่องฉลาด” ปาสาธิกะรําพึง แทรกสายลมอีกครา “ทําไมท่านจึงกล่าวเช่นนั้น” สัญชัยสะดุดถ้อยคำ� ม่านตาเบิกกว้าง “อ้าว... ท่านตื่นเต้นไปใย ก็เรื่องที่เรานํามาชวนกันพูดคุย เป็นเรื่องราวที่ บุคคลพิเศษท่านได้ค้นพบ อย่างเราก็แค่จําขี้ปากมาชวนขบคิดหลังการทดลองทํา ด้วยตัวเองแล้ว ก็ยังโง่งมอยู่” ปาสาธิกะกล่าว “คนทั่ ว ไปเขาคุ ย การงาน สร้ า งนั่ น ทํ า นี่ คิ ด นั่ น นี่ โครงการระดั บ ใหญ่ การจั ด การอั น ชาญฉลาด มี ร ะบบการจั ด การธรรมชาติ และสามารถควบคุ ม ธรรมชาติได้” สัญชัยกล่าว “ใช่..... คนฉลาดมักคุยเรื่องโง่ ๆ ” ปาสาธิกะกล่าว เขาทอดสายตาไปไกล สุดขอบฟ้าทิศตะวันออก “ท่ า นกล่ า วผิ ด ไปหรื อ เปล่ า ท่ า นกล่ า วใหม่ ไ ด้” สัญชัยตาโต แววตาทอ ประกายระริก
ปาสาธิกะสนทนา 243
“ท่านเคยได้ยินคําว่า อวิชชา หรือไม่ ปุถุชนล้วนถูกครอบงําด้วยความไม่รู้” ปาสาธิกะกล่าวจบ ผิวใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาหันมาทางสัญชัย เคราแพะที่เคยมีสีดำ�ขลับบัดนี้ขาวโพลนราวกับมีหิมะเกาะ ความจริง “ใช่เคยได้ยิน แต่ความไม่รู้นี่ ไม่รู้อะไรฤาท่าน” จู่ ๆ สัญชัยโพล่งขึ้น ปาสาธิกะครางฮือกล่าวว่า “ไม่รู้ความจริงสองอย่าง ความจริงด้วยสมมุติ อย่างหนึ่ง ความจริง ด้วยความจริงแท้อีกอย่างหนึ่ง” “อย่างไรกัน...อย่างไรก็ดีความจริง มันก็อาจจะจริงในโอกาสและบุคคลต่าง บริบท” สัญชัยกล่าวพร้อมกับหันหลังทําหน้าตากับกระจกสี่เหลี่ยมในมือ แล้วกด ปลายนิ้วลงขยุกขยิก “ตัวอักษร ภาษา มีพยัญชนะกํากับ จึงเรียก ท่านสัญชัย แต่ผมได้เห็นใน FB ก็รู้จักท่านในอีกชื่อหนึ่งมิใช่หรือ” ปาสาธิกะกล่าว กลิ่นกาแฟหอมสัมผัสรู้ได้ นี่เป็น กาแฟเวียดนามได้มาจากเมืองตักศิลา “ที่กล่าวมานั้นเรียกว่าความจริงหรือท่าน ไม่เห็นจะเข้าท่า!” สัญชัยสบัด มือยกขึ้นจะขว้างกระจกสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ แต่นึกขึ้นได้ว่าราคาแพงจึงนำ�กลับมา ถือเอาไว้ในมืออย่างประดักประเดิด “ประเดี๋ยวก่อนท่าน นั่นเรียกความจริงด้วยสมมุติ เรียกขาน มีพยัญชนะ ภาษาในกลุ่มชน ในเผ่าพันธุ์ แตกต่างไปตาม พยัญชนะ” ปาสาธิกะกล่าว แล้วยก ถ้วยกาแฟขึ้นจิบปล่อยให้รสขมไหลผ่านต่อมรับรู้รสสัมผัสรสรู้สึกได้ รสาตยะสืบ ต่อสังสารวัฏ ชิวหาวิญญาณลักษณะเฉพาะตน ก่อกระบวนการภายในกระทบสิ่ง ภายนอกดําเนินไป อย่างมิอาจบังคับบัญชาได้ “ไหนกันล่ะ... ความจริงที่จริงแท้ ที่ท่านกล่าวมาข้างต้น ใคร่ได้ฟังจากปาก ท่าน” สัญชัยบัดนี้หยุดค้างท่ารํามวยไว้ชั่วขณะหันมาถาม
244 ประสาท ประเทศรัตน์
“ท่านหยุดค้างอิริยาบถในท่านั้นไว้สิ... ท่านอย่าเพิ่งขยับ ใช่..ใช่...เช่นนั้น.. อืม..เช่นนั้น ค้างกระบวนท่านี้ไว้ก่อนท่านสัญชัย...” 50 อึดใจผ่านไป...เสียงถ้อยคํา แทรกอากาศธาตุ “ยังก่อน...ยังก่อน ท่านค้างไว้ในท่านั้นแหละ ท่านสังเกตความจริงได้แล้ว หรือยัง เดี๋ยวก่อน...ท่านสังเกตความจริงที่เกิดกับท่านเอง อย่างไร” ปาสาธิกะ กล่าวพร้อมกันหันไปมองสัญชัย “ความปวดเมื่อย ปวดล้า” สัญชัยกล่าวแล้ว โคจรลมปราณ สลายความปวด เมื่อย “ท่านว่า หากเป็นผู้อื่น เป็นบุคคลเชื้อชาติอื่นได้ทําอย่างท่านทํา เขาจะมี อาการเหมือนท่านหรือเปล่า” ปาสาธิกะถาม “ก็เหมือนกัน จะแตกต่างกันได้อย่างไร” สัญชัยกล่าว ใจวานร “ทําไม ราตรีผ่านไป ย่อลงแค่ไม่กี่อึดใจ บุคคลใยถึงมีเรื่องราวคิดติดตาม เรื่องราวนั่นนี่ มากมาย” สัญชัยรําพึงท่ามกลางความเงียบงัน สายฝนโปรยลงจากฟ้า กระทบใบตองตึง แว่วดังมากระทบโสตวิญญาณ “ท่านเคยสังเกตลิงป่าพนาไพรหรือไม่ เมื่อโดดเกาะกิ่งไม้แล้วโหนไปอีกกิ่ง มิได้อยู่นิ่งฉันใด จิตใจคนก็ไม่ต่าง...เรื่องราวนั้น ๆ หมดกําลังลง ก็จะโหนไปเกาะ อีกเรื่องราวใหม่ เช่นนั้นเสมอ เป็นปกติธรรมชาติ ความจริงเป็นอย่างนั้น” ปาสาธิกะ กล่าวขึ้น แล้วไหวกายวิญญาณ แปรเปลี่ยนอิริยาบถ การถ่ายเทนํ้าหนักพร้อมเคลื่อน ไปไหวมา การศึกษาเรียนรู้ “ยิ่งผู้คนมุ่งศึกษาสูงมากขึ้น พื้นแผ่นดินถ้วนทั่ว ยิ่งรกร้าง” สัญชัย รําพึง
ปาสาธิกะสนทนา 245
พร้อมผลุนกายออกจากหลังม้าแล้วยืนมองทอดสายตาไปไกลเบื้องหน้า คลื่นพยับ แดดไอร้อนกระทบกายวิญญาณ “เปลวไฟมิอาจแยกจากดวงไฟ” ปาสาธิกะ กล่าวขึ้นมาลอยๆ “กล่าวนัยว่ากระไรหรือท่าน” สัญชัยหันมามองตามหาต้นเสียงแทรกอากาศ ธาตุ ปาสาธิกะนั่งอยู่ในเก๋งงามเทียมแนบอยู่กับอาชาชาติ “พื้นแผ่นดินที่รกร้าง.... เรือนขาดผู้อาศัย....... ป่าขาดผู้คนใช้......หนทางขาด คนเดิน.....การศึกษาขาดการปฎิบัติ” ปาสาธิกะกล่าว “ช่างกล่าว กล่าวเยี่ยงไรฤๅ ต่อสิ่งที่ท่านมากล่าว” สัญชัย ยืนถ่ายเทนํ้าหนัก ตามสังเกตขณะขยับเคลื่อนฝ่าเท้า “เราจะแยกเปลวไฟออกจากดวงไฟไม่ได้ เราจะกล่าวว่ามีเปลวไฟโดยไม่มี ดวงไฟไม่ได้ ฉันใด เราจะกล่าวว่า นับถือพุทธศาสนา และพระบรมศาสดา โดย มิได้ปฏิบตั ธิ รรมของพระศาสดาฉันนัน้ ถ้ากล่าวออกไปถ้อยคาํ ของเรา ก็จะมีแต่ความว่าง เปล่า” ปาสาธิกะกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ สัญชัยฟังแล้วพยักหน้าช้า ๆ ยิ้มนิด ๆ เผ่น โผนโจนขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างแคล่วคล่อง ส้นเท้ากระทุ้งที่ท้องม้าเบา ๆ อาชาชาติ ก็ขยับเดิน เสียงกรุบกรับกระทบโสตก้องไปทั่วเนินเขา สองกายวิญญาณทะยานไป บนหนทางแห่งการแสวงหาแสงที่ปลายทาง ฉับพลันนั้น อะไรบางอย่างวับแวบเข้า กระทบคลองจักษุ “อ้าว! หิ่งห้อย”
แนะนํ าหนังสือในเครือข่ายจีมานอม ผู้ผ่านราตรีนาน ธรรมสารคดี รวมบทความตี พิ ม พ์ ใ นสยามรั ฐ สัปดาห์วิจารณ์ ของ สุวิชานนท์ รัตนภิมล วางแผงแล้ววันนี้ สำ�นักพิมพ์ใบไม้ป่า จัดจำ�หน่าย โดย เคล็ดไทย
ตกตั้งใหม่: ปัญญาปฏิบัติบนเส้นทางสาย เดี่ยว Reset! Taking Small Steps on the Path of Nowhere. ฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง สำ�นักพิมพ์สามลดา หนังสือแจกฟรี ไม่มีจำ�หน่าย ติดต่อขอรับหนังสือตกตั้งใหม่ทั้งสองเล่ม (ปัญญาปฏิบัติบนเส้นทางสายเดี่ยว และวิถี แห่งปลายวงเวียน)
(หนังสือมีจ�ำ นวนจำ�กัดและกรุณารับท่านละ 1 เล่มเท่านั้น โปรดระบุว่าต้องการเล่ม หนึ่งเล่มใด หรือทั้งสองเล่ม เฉพาะเล่มหนึ่งเหลืออยู่ไม่มากแล้ว) กรุณาส่งจดหมายพร้อมซองขนาด A4 จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเองให้ชัดเจน พร้อมทั้งติดแสตมป์ 25 บาท สำ�หรับ 1 เล่ม และ 30 บาท สำ�หรับสองเล่ม วงเล็บมุมซองว่า “ขอรับหนังสือตกตั้งใหม่” มาที่ ฝ่ายส่งเสริมกีฬา บุญรอดบริวเวอรี่ (ชั้น6) 83 CB-House ถ.อำ�นวยสงคราม แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. 10300 (ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 เท่านั้น)