ตกตั้งใหม
ปญญาปฏิบัติ บนเสนทางสายเดี่ยว
ตกตั้งใหม – ปญญาปฏิบัติ บนเสนทางสายเดี่ยว ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย บรรณาธิการ RESET! TAKING SMALL STEPS ON THE PATH OF NOWHERE
Edited by Sornchai Chatwiriyachai
ฉบับออนไลน โดย issuu.com E-Book Version by Issuu.com
เจาของ สํานักสงฆบานจอมมณีใต หมูที่ 7 จอมมณีใต ตําบลผึ่งแดด อําเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร 49000 ห้ามมิให้ค ั ดลอก ทํ าซํ า ดั ดแปลง หรื อเผยแพร่ ส่ วนใดส่ วนหนึ งของหนังสื อเล่มนี โดยไม่ได้ รับ อนุญาต พระราชบั ญญั ติ ลิขสิ ทธิ พ.ศ. 2537
คํานํา การนําพาตัวเองมาสูวิถีของการเรียนรูเรื่องจิตใจเปนเรื่องไมยาก แตก็ไมงาย นัก เพราะปจจุบันเราอยูในยุคแหงการแยงชิงพื้นที่ทางความเชื่อซึ่งสัประยุทธกัน อยางดุเดือดที่สุดในสมัยหนึ่ง เมื่อสองพันหารอยปที่แลว มนุษยพิเศษคนหนึ่งไดไปคนพบและนํามาบอก ตอสัจธรรมที่พิสูจนไดกับตัว สัจธรรมนี้เปนแนวทางที่ทําใหเราเห็นความเปนจริงที่ เกิดขึ้นกับกายกับใจของเรา เขายังบอกย้ําอีกวาความรูนี้ไมตองเชื่อทันทีแตใหไปลอง ทําดู ความรูนี้ตอมามีการจัดการใหเปนระบบแลวถูกเรียกวา “ศาสนาพุทธ” มองที่เมืองไทยทุกวันนี้ วิกฤตของคนเดินดินอยางเราที่เกิดในยุคที่ผูแสวงหา สัจจะเหลืออยูนอย ก็คือ การทีไ่ มรูจะหันไปพึ่งใคร อยางไร ที่ไหนกันดี ยิ่งศาสนาถูก วางไวเปนเพียงสถาบันทางสังคมหนึ่งๆ ซึ่งตองยอมรับการตรวจสอบจากอํานาจอื่นๆ ในสังคม เฉกเชนเดียวกับสถาบันอื่นๆ การควานหาลงไปใหเจอเนื้อในคือคําสอนที่ นํามาใชกับตัว จึงยากแสนยาก เพราะผูคนมัวแตไปติดอยูทวี่ า ฉันควรจะเชื่ออะไร แลวทําไมจึงตองเชื่ออยางนั้น หรือยิ่งไปกวานั้นก็คือ หากเชื่ออยางนั้นแลวฉันจะได อะไร... ไมเพียงแต “ความเชื่อ” และ “ศรัทธา” จะถูกทําใหลาสมัย โดยไมเคยคิดที่ จะลงมือปฏิบัติ “พระ” หรือ “นักบวช” ในพุทธศาสนาของไทยก็ยังถูกดิสเครดิตวา ลาหลัง ไมปรับตัว สังคมสงสัญญานในเรื่องนี้ชัดเจนผานสื่อวาพระสงฆแบบไหนที่ฉัน อยากได สังคมอยากได แตหากเราฉุกใจคิดกันสักนิดวาแทจริงแลวผูเรียนไมใชหรือที่ ตองปรับตัว นอมตัวนอมใจลงเพื่อการเรียนรู เมื่อมีศิษยจึงมีครู ถาวิชาที่เสาะแสวงหา กันอยู จะเลือกเอาแตเพียงที่ถูกใจเรา การเรียนรูที่แทจริงจะเกิดขึ้นไดอยางไร
ทุกวันนี้ผูคนยุคกระทงหลงทางตื่นตัวกับการเรียนรูเรื่องจิตใจกันมากขึ้น กระแสนี้ถูกโหมกระพือโดยสื่อหลายหลาก ซึ่งลวนทําหนาทีเ่ รงเราวัฒนธรรมของการ สมาทานแบบหลับใหล ตําหรับตํารา หนังสือแนวพัฒนาจิต พัฒนาอะไรตอมิอะไร ลวนหางายและมีอยูอยางดารดาษ เมื่อการอานยังไมอาจตอบสนองความตองการใน การแสวงหาไดเพียงพอ คอรสอบรมพัฒนาจิตใจจากหลากหลายสถาบันกันพรอมที่ จะเขามาทําหนาที่นี้ ทั้งสถาบันในประเทศ และตางประเทศ ใหเปนที่อุนหนาฝาคั่ง และแมแตความเคลื่อนไหวในศาสนาพุทธเอง ก็มีการเริ่ม ‘นําเขา’ พุทธศาสนานิกาย อื่นเขามาทั้ง มหายาน และวัชรยาน ทั้งในรูปหนังสือ สื่อสิ่งพิมพ สื่อออนไลน และ คอรสอบรม อยางเต็มรูปแบบมากขึ้นกวาในอดีตที่ยังไมเขาสูความสนใจของสื่อ กระแสหลัก ทั้งหมดนี้สงผลใหใครก็ตามที่รักจะเรียกตัวเองวาชาวพุทธตองปรับตัว ตอง นําพาตนใหเขาสูกระแสของการเรียนรู เพราะยิ่งความเชื่อมีหลากหลาย เรายิ่งตอง หันกลับมาทบทวนความเห็นและความเชื่อของเรา อีกทัง้ ยังตองเพิ่มความ กระตือรือลนในการเสาะแสวงหาครูบาอาจารย ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ใหมากขึ้นกวา ที่เคยเปนมา เครือขายชาวจีมานอม คือชื่อเรียกกันอยางไมเปนทางการของกลุม กัลยาณมิตรผูแสวงหาความจริงของจิตใจกลุมหนึ่ง พวกเรามากันจากสถานที่ หลากหลายแตถูกยึดโยงเขามาบนเสนทางสายนี้ดวยความเชื่ออยางหนึ่งคือ “เชื่อใน สิ่งที่เราทําได” เมื่อทําแลวจึงนําประสบการณตรงมาบอกเลาใหกันฟง เรื่องเลา เหลานี้คือหมุดหมายที่ผูเลาจะยอนมองการกาวยางของตนบนเสนทางสายเดี่ยว คือ ผาใหมที่ใสในวาระของการเฉลิมฉลอง คือริ้วธงหลากสีที่เพรียกหาผูคนใหเขามา สัมผัส
ผมขอขอบคุณทานนักเขียนทุกทานที่เขียนเรื่องสงมาให ไมวาจะไดรับการ ตีพิมพหรือไม ผมรูวาเปนเรื่องไมงายสําหรับหลายคน ในการเรียบเรียงภาษาใจ ออกมาเปนถอยคํา บางทานรูจักอาจารยมาหลายสิบปก็ไมเคยมีเหตุใหตองเขียน เวลาเขียนก็ปริวิตกตองวานหาคนชวยกันใหวุน บางทานก็วาไมรูจะเขียนอะไรแตพอ เขียนมาก็ตองตัดออกเพราะเกินไปหลายหนา บางทานวาใหไปทํางานที่ตองใชหยาด เหงื่อแรงกายยังจะงายเสียกวาใหมาเขียนเรื่องของตัวเอง แตอยางไรก็ตามหากผูอาน ไดอานแลวคงจะเห็นตรงกับผมวาเรื่องจริงที่เลาจากใจลุนๆ มีพลังที่จะยิงตรงเขาสูใจ ของผูอานไดมากกวาการประดิษฐประดอยใดๆ และหากเรื่องเลาสั้นๆ ที่ถายทอด อยางจริงใจเหลานี้ จะสามารถเปนปจจัยใหผูอื่นแมเพียงสักคนเดียว ไดหันมามอง และกาวเขามาเรียนรูในความรูอันจะเปนประโยชนแกตนและผูอื่น ผมก็จะถือวาการ จัดพิมพหนังสือเลมนี้ประสบความสําเร็จ สุดทายนี้ ขออนุโมทนากับผูที่สนับสนุนดานทุนทรัพยอันเปนปจจัยเพื่อให การจัดพิมพหนังสือเลมนี้เปนไปได ขอบคุณ นุช พิษณุโลก สําหรับการเปนธุระดาน การเงิน พี่นพพร สําหรับการจัดพิมพหนังสือ และกัลยาณมิตรทุกทานทีเ่ อาใจชวย สําหรับการจัดพิมพหนังสือ ตกตั้งใหม: ปญญาปฏิบัติ บนเสนทางสายเดี่ยว เลมนี้ ขอ ความสุขความเจริญในธรรมจงมีแดทุกทาน ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย บรรณาธิการ ๒๒ พฤษจิกายน ๒๕๕๓
สารบัญ 1.
“ใครครวญ v.s คร่ํ าครวญ” - ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย................................................... 7
2.
อยากจะตายวันละสามเวลา – ปรัชญา จินาวงค ................................................. 11
3.
ปลูกฝง - ญาณาธร นามเขต ......................................................................... 17
4.
ชนะใจ ไรพุง- จารุวรรณ สุภลาภ ................................................................... 21
5.
ออกจากความคิด - รุงนภา สุรเชษฐ ................................................................ 26
6.
ลูกชิ้นกินไมหมด – ฉวีวรรณ ดวงบุญ............................................................... 30
7.
รักษาดียังไงก็ตาย – ประสาท ประเทศรัตน ....................................................... 34
8.
สมการเซน– บุญพรอม ณ หลังเขา ................................................................. 38
9.
แคนี้ก็เหลือกิน - ณรังษี เมฆบุญสงลาภ ......................................................... 41
10.
ไมออนดัดงาย
11.
อยาบาตามเขา - นันทภัค เสนาใจ .................................................................. 49
12.
โงหลายตายซะ – เยาวลักษณ สุภาพ ........................................................... 54
13.
กองขี้ กับ แฮปป – นิสาข ประเทศรัตน ....................................................... 57
14.
นักลงทุนขามชาติ – ธวัชชัย พิภพลาภอนันต ..................................................... 59
15.
Improvisation - ดาริกา ธารบัวสวรรค ............................................................... 60
16.
“1 +1 = 3” - เจตน วังแจม ........................................................................... 64
17.
ผมปวยหนัก - หัทยา สงวนสิน ...................................................................... 70
–
ปยะเรศ สีเกี๋ยง.................................................................. 45
18.
คนผานทุกข - อุดมรัตน ศรีเกตุ ................................................................... 76
( This page is intentionally left blank )
6
1.
“ใครครวญ v.s คร่ําครวญ” - ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย “ตกรอยครั้งตั้งใหมรอยหน” อะไรตก? อะไรตั้ง? นั่นคือคําถามในใจผมเมื่อ ไดยินประโยคนี้ของอาจารยไพบูล ย ฐิตมโน พระนัก เลงจากวัดจอมมณี จังหวัดมุกดาหาร แตในตอนนั้นคิดกับตัวเองวาจะนํามาปฏิบัติเสียกอนจึงยัง ไมไดถาม หากเมื่อเริ่มปฏิบัติไปแลวก็นึกวาตัวเองเขาใจ แตที่ไหนได มันยัง ไมใช ปญหาใหญของผมก็คือผมเอาหลักของอาจารยไปใชในตอนนั่งสมาธิ ภาวนา ไมไดนําไปใชในชีวิตประจําวันแตอยางใด พอใชไปเราก็หลงไปคิดวา เราชักเริ่มเขาใจมัน แตพอมาพบพระอาจารยอีกครั้งถึงรูวาที่เราเขาใจนั้นมัน ยังไมถูก
ผมนึ ก ไปถึง ตอนฝ ก ละคร และฝก สมาธิ ภ าวนาบางสํ า นัก ที่ส อนให นํ า ความรูสึกไปจับเอาไวที่สวนตาง ๆ ของรางกาย คําวา “ใหนําความรูสึกของเราไปไวที่ มือ ไปไว ที่ ขา” นี่ ก็ ผิด อีก เพราะมั นไม ตรง ไม ตรงกับ ความเป นจริ ง ! คํา ว า “ความรูสึก” ในภาษาธรรม เรียกวา “เวทนา” ซึ่งไมใชแปลวาสงสาร สมเพชอยาง ภาษาคน แตแปลวา “ความรูสึก” แตที่ผมไมเขาใจก็คือ ขั้นตอน หรือกระบวนการ กอนที่จ ะเกิ ดความรูสึก มันเปนสิ่ง ที่ผ มละเลยไปเสียนี่ เพราะจู ๆ คนเราจะนํ า “ความรูสึก” ไปไวที่นั่นที่นี่ไมได เพราะความรูสึกนั้นมันเปนผลไมใชเหตุ แลวเหตุของ ความรูสึกคืออะไร ก็คือ “เจตนา” นั่นเอง ถาใหสั้นลงก็คือ “เจตนามันนําความรูสึก” ดังนั้นถาหากจะพูดอยางนั้น ควรพูดวาใหลองนํา “เจตนา” ของเราไปที่มือขางซาย ไมใชนําความรูสึกไปตรงนั้น ความละเอียดออนมันอยูตรงนี้ แตที่แลวมา ผมไปสนใจ 7
ผลมากกวาเหตุ ผลก็คือไมรูเหตุ พอเราไมรูวามันเรียงรอยกันอยางนี้ ปญญาที่จะเห็น ที่มาที่ไปตามความเปนจริงก็ไมมี ถาอยางนั้นแลวธรรมมันยากตรงไหน เพราะที่อธิบายมาก็ดูเปนเหตุเปนผล งายจะตาย แตนั่นแหละคือความยากของมัน อาจารยใชคําวา “เสนผมบังจักรวาล” พอเราไปจับความเขาใจดวยตรรก ความเปนเหตุเปนผล เราก็เลยไมเขาใจ มันเหมือน เราวิ่งตามเงา ยิ่งเราไปเขาใจมันในมุมนั้น เราก็ยิ่งถูกทําใหหางออกไปจากความจริง อยูตลอดเวลา เอางาย ๆ ก็คือ ถอยความในยอหนาที่สองนั้น ระหวางผูฝกปฏิบัติ กับ ผูที่ไมฝกปฏิบัติจะเขาใจไมตรงกัน และสภาวะของความเขาใจตรงนี้ตางกันราวกับฟา กับเหวเลยทีเดียว!! อาจารยใชคําวา “ภาษาใจ” ถาเราไมเขาใจภาษาใจ เราก็ไมเขาใจภาษา ธรรม ตรงนี้คลายกับ ที่ เพลโตบ อกวาเราไปเขาใจวาเงาที่อยูในถ้ํามันคือ ความเปนจริง เพราะเราเห็นมันทุกวัน แตเพราะเราไมไดออกจากถ้ําเราจึงไม รูวาเงาที่อยูในถ้ํานั้นเกิดจากการเคลื่อนไหวของวัตถุบางอยางที่อยูภายนอก ถ้ํา พวกเราจึงกลายเปน “นักดูเงา” แตไมใช “นักดูใจ” ถาหากรูแลวอยางนี้วาคําวา “ความรูสึก” ไมควรใช แลวจะพูดอยางอื่น ไดมั้ย เพราะบางครั้งการทํากระบวนการอบรม ผูเขารวมอบรมมีพื้นฐานความเขาใจ ไมเทาเทียมกัน ถาจะพูดวา “เจตนา” อาจจะฟงแลวไมเขาใจ หรือพาลจะคิดไปเปน อื่น ผมมาลองดูคําวา "ความสนใจ" คือ ใหนําความสนใจของเราไปไวที่นั่นที่นี่ พอ กลอ มแกลมแตไมตรงนัก หรือ จะใชคําวา "ความใสใจ" ก็จะไปใกลเคียงกับคําวา Attention ซึ่งจะกลายเปนเพงพินิจไปหรือเปลา สวนจะใชคําวาใหเพงกระแสจิตไป ตรงนั้นก็ดูจะเปนเรื่องเหนือธรรมชาติ และมีทาทีของการบังคับควบคุม อันจะเปน 8
มิจฉาสมาธิ สรุปแลวก็ยังไมมขี อตัดสินที่ตายตัวนัก อาจารยมักจะพูดวา “อาจารยไมอยากใชคําวาพิจารณา” เพราะมันไมตรง แตคําวา “สังเกต” จะตรงกวา คํานี้อาจารยจะใชควบคูไปกับคําวา “พิรุธ” จิตของ เรามีพิรุธอยูมากมาย ถาหากไมทันสังเกตเรายอมถูกครอบงําดวยอารมณไดงาย การ ครอบงํ า นี้อ าจารยมั ก จะใชคํ า วา “มั่ว สุ ม ”หรื อ “ประสม” อาจารย ใ หอุ ป มา เหมือนกับน้ําใส ๆ ในแกวที่ถูกน้ําสีมาผสมจนเปลี่ยนสีไป จิตก็เชนเดียวกันการเกิด ดับของจิตที่เปนไปอยางตอเนื่องนั้นชอบไปจับกับอารมณจนกลายเปนน้ําสีที่ขุนมัว หนักเขาเราจึงมีความเศราหมอง ตรงนี้อาจารยไมอยากใชคําวา “ปรุงแตง” เพราะ มันก็ไมตรงอีก สิ่งที่นาสนใจในเรื่องของอารมณก็คือ จริง ๆ แลวเราทุกคนนั้นรักสุข เกลียด ทุกข แตที่แปลกก็คือคนเรานั้นถึงแมจะเห็นวามันเปนสิ่งไมดี เปนสิ่งที่ใหทุกข แตดวย ความที่เราไปติดมันเสียแลว เราก็ยังคงทําสิ่งเหลานั้นอยูดี เหมือนคนที่ติดเหลา ติด บุหรี่ ยาเสพติด รูวาไมดีแตก็ทํา เพราะเกิดการ “ติดอารมณ” อาจารยมักจะใชคําวา “มันไมไดติดเหลาหรอก มันติดอารมณเวลาดื่มเหลา มันแซบ” เหมือนกับที่ใครสักคน หนึ่งเคยบอกเคยเขียนเอาไววา เขาไมไดติดเหลาแตเ ขาติดบรรยากาศของการดื่ม เหลา ซึ่งเพื่อนฝูงสรวญเสเฮฮา สนุกสนาน เพราะในโลกที่มีแตความเอารัดเอาเปรียบ มีแตคนที่จองจะทํารายและแทงขางหลัง บรรยากาศที่เปดกวางอยางนั้นถึงแมจะเปน เพียงชั่วคราวก็ทําใหหลายๆ คนเคลิบเคลมไปได แตจะดวยเหตุผลอะไรสุดทายก็คือ การติดอารมณอยางที่อาจารยวา ตรงนี้อาจารยเคยใชคําวา “สองเสพ” กลับ มาที่คําวา “พิจ ารณา” กับ “สังเกต” อีกคําหนึ่ง ที่ในวงการ จิตต ปญญาใชกันมากก็คือคําวา “ใครครวญ” คําวาใครครวญเปนคําที่สละสลวย แตถาจะ วากันจริงๆก็ “ไมตรง” เชนเดียวกัน เพราะคําวาใครครวญมีนัยยะคลายกับคําวา พิจารณา ตรึกตรอง พินิจ ไมวาจะเรียกมันอยางไร ก็ลวนแลวแตใชไมไดทั้งสิ้น เพราะ 9
ถาหากใชเมื่อใดก็มีแนวโนมที่จะนําเรา “ตามเขาไป” ฟุงอยูกับอารมณ จมจอมอยูกับ อารมณอันละเมียดละไมนั้น ปญญาที่ไดมากระบวนการเชนนั้นก็ยังไมใชปญญาวิมุตติ แตแฝงฝงไปดวยการเลนแรแปรธาตุของอัตตา ทายที่สุดเกมนี้เรายอมกลายเปนผูพาย แพ เพราะเราอยากจะเขาใจเรื่องอัตตาและปญญา เราจึงถอยหางไปจากมัน จึงเกิด คําพูดที่บอกวา “อวสานกระบวนกร” เปนปรากฎการณที่กําลังเกิดขึ้นทีละเล็กทีละ นอย และกําลังจะสงผลกระทบเปนระลอกใหญในไมชา แทนที่จะใครครวญเราจึง ตองกลับมาสังเกตความเปนไปของตัวเอง ที่บอกวาอยากจะไปชวยคนอื่น เราตอ ง ชวยตัวเองกอน นั้นเปนความจริง เพราะไมงั้นแทนที่จะเรียนรูดวยใจอันใครครวญ อาจกลายเปน “ไมเรียนรูอะไรเพราะใจมันอยากจะคร่ําครวญ”
เขียนเมื่อ 10 มีนาคม 2552
10
2. อยากจะตายวันละสามเวลา – ปรัชญา จินาวงค จากเด็กนอยไรเดียงสากาวเขาสูโลกแหงความจริง ความจริงของชีวิตที่ เปนไปโดยที่คนเราไมรูตัว ไมสังเกตเห็นสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นเฉพาะหนา ดวย เหตุของการดําเนินชีวิตที่เปนไปอยางลําบาก มีหลายเรื่องราวสารพันปญหา ที่เขามารุมเราจิตใจใหเกิดความเสียหาย โศกเศราเสียใจหาทางออกไมเจอ ผมไดมีโอกาสเรียนรูการใชชีวิตที่ “แปลกแตไมใหม” เพราะเปนสิ่งที่มีคนรูมากอน แลวตั้ง 2500 กวาป แตความรูอันนี้มีนอยนักที่ผูคนจะรูตามและเขาใจวิธีและการ ปฏิบัติฝกฝนอยางตอเนื่องจนเกิดประโยชนกับการดําเนินชีวิต..ซึ่งความรูอันนั้นก็คือ “การหยุด(เพื่อ)สังเกตตัวเอง” ในปจจุบันนี้คนสวนใหญใชชีวิตไปวันๆโดยที่ไมรูจุดหมายปลายทาง ไมรูวา ในแตละวันทุกคนคิดอะไรกันบาง..จึงเกิดปญหามากมายไมรูจักจบสิ้น เพราะโดยมาก คนเราขาดการสังเกตใจตัวเองจึงไมรูวาปญหาทุกอยางที่เกิดขึ้นมันมาจากใจของเรา เอง..ที่มันคิดไปถึงเรื่องตางๆนาๆแลวออกจากความคิดไมเปน..หลงไปกับอารมณที่ตน คิดจนเกิดเรื่องราวที่ทําใหจิตใจเสียหาย.. การออกจากความคิดนั้นคือ “การหยุดคิด...แลวนําความรูสึกกลับมาระลึกที่ ตัวเองใหชัดเจน” วาขณะนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ตัวเองกําลังทําอะไรอยู แลวเราจะรู ไดอยางไรวาเราเองกําลังคิด.. แลวจะหยุดคิดไดอยางไร
11
การที่เราจะรูวาเรากําลังคิดนั้นไมใชเรื่องยากอะไรหรอก เพราะ เราเองทุก คนก็คิดกันจนเปนปกติอยูแลวเพียงแตเราไมรูตัวไมไดหยุดสังเกตเองเทานั้น วาเรา กําลังคิดอยู สวนการหยุดคิดนั้น..ไมใชเรื่อ งอยากแตทําไดไมงาย จึงมีก ารฝกใหสังเกต ตัวเองโดยการ ทําความระลึกรูสึกตัว ใหเกิดความเคยชิน.จากปกติที่เรามักจะคิดไป เรื่องอื่น ใหกลับมาสังเกตที่ กายเราเองวากําลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวของเรา หลายคนมีขออางวา ไมมีเวลาหรอกเพราะในแตละวันตองทํางานมากมายไม มีเวลาไปฝกหัดปฏิบัติอะไรหรอก..อยากไปเหมือนกันแตไมวาง..ไมมีเวลาไป บอกได เลยวา นั่นเปนเพียงขออาง..เพราะการที่เราจะ ฝกสังเกตตัวเองนั้นสามารถทําไดทุกที่ ทุกเวลา และทุกสถานการณ การสังเกตตัวเองนั้นมีคําจํากัดความงายๆคือ “ตกตั้งใหม” แลวอะไรตก แลวใหตั้งอะไร หลายคนคงสงสัย “ตก” คือ อาการที่จิตใจคนเราที่เ ปนนามธรรม ติดตามไปในเรื่องราวตางๆ เรียกวา “คิด” ทั้ง เรื่องที่ทําใหตัวเองมีความสุขและ เรื่องราวที่เปนทุกข แลวจึง อยากหนีจ ากมัน อยากทําลายมันไมใหมันเกิด คิดไป นอกเหนือจาก “กายอันเปนที่ตั้งของจิตใจ”ตัวเองที่มั่นคงที่สุด เมื่อ มันเกิดขึ้นอยางนี้แลวจึง มีการฝกให “ตั้ง ” คือ การนําตัวเองออกจาก อาการที่ตกไปยังเรื่องราวตางๆที่ทําใหเกิดกระบวนการคิดตอยอดคิดไปเรื่อยๆอยาง ไมมีที่สิ้นสุด มาไวที่ “ฐาน” หรือที่ตั้งของจิต(ความคิด) คือ “กาย” ของเราเอง แลว “ทําไมตองตั้ง” คงเปนคําถามตอไป.. ถาจิตใจของเรา ตกไปจาก “ฐาน” หรือ “ที่ตั้ง” คือ “กาย” บอยครั้งเขา จะ ทําใหเกิดความเคยชิน ในการคิดไปยังเรื่องราวตางๆทั้ง อดีต ปจจุบัน และอนาคต ซึ่ง เรื่องราวตางๆเหลานี้ไมมีประโยชนอะไรกับเรา เพราะ “อดีต” เปนสิ่งที่ผานมาแลว 12
กลับไปแกไขขอผิดพลาดอะไรไมได “ปจจุบัน” อยูตรงไหน เพราะเวลามันเดินผานไป เรื่อยๆไมไดหยุดใหเปนปจจุบันของเรา สวน “อนาคต” ก็เปนสิ่งที่ยังมาไมถึง เราก็ ไมสามารถทําอะไรลวงหนาได..ความคิดเหลานี้จึงไมมีความหมายอะไรใหเราคิดตอไป สวนคําถามตอไปคงเปน “แลวจะใหตั้งทําไม” เอา..ก็ลองไม “ตั้ง” ดูส.ิ .ถาจิตใจตกยังความคิดเรื่องราวตางๆที่ทําใหจิตใจ เสียหาย โศกเศราเสียใจ มันเหมือนอยากจะตายทันทีเลยนะ ถาตนตั้งไมเปนหรือตั้ง ไมทัน ถาเจอเรื่องราวที่รายแรง มากๆ ถึงกับตองฆาตัวตายเพื่อหนีปญหากันเลยเชียว .. แตถาจิตใจเรา “ตก” ไปยังเรื่องราวที่นาชอบใจ นายินดี มันก็ไดแตคิดทั้งวัน ไมเปนทําอะไร ทําใหเพลิดเพลิน เจริญใจ จนขาดสมาธิ จนลืมตัวเองวากําลังทําอะไร อยู จึง เกิดขอผิดพลาด ในการตัดสินใจ ในการทําสิ่ง ตางๆ เพราะขาดการระลึก รูสึกตัว ถาเราตั้งเปน สังเกตเปน เห็นถึงเรื่องราวตางๆที่เกิดขึ้น ภายในจิตใจ การ ดําเนินของเราก็จะเปนไปอยางปกติ เรื่องราวที่มากระทบจิตใจยอมมีอิทธิพลนอยลง เกิดขอผิดพลาดในการทําสิ่งตางๆนอยลง แคการ “หยุดสังเกตตัวเอง” เทานั้น และ เมื่อคนเรา “รูเหตุ รูปจจัย ปญหาทุกอยาง จึง สิ้นความหมาย” จากประสบการณ “ตกตั้งใหม” ของตัวเอง อยากจะยกปญหาที่เกิดขึ้นกับ วัยรุน วัยเรียนกันทุกคน..เรื่องที่วัยรุนฮิตมากที่สุด คือ “การมีแฟน” สําหรับตัวผม เองในฐานะวัยรุนชายคนหนึ่งก็คบหาเพื่อนหญิงเปนเรื่องปกติแตที่ไมปกติก็คือ เวลา คบกับเขาแลว ใจของเราเอง “ตกไป” อยูกับเขาทุกที่ ทุกเวลา จนไมเปนอันจะกินจะ เรียนกันเลย กอนที่คิดจะคบใครสักคน ตองแยกระหวางความ “รัก” กับ ความ “หลง” ใหเปนเสียกอน ซึ่งคําวา “รัก” ของวัยรุนในปจจุบันนี้ ถาสังเกตดีๆเหมือนวาจะ เปน 13
คํา “หลง” มากกวา เพราะที่จริงแลวใจเราเอง อยากใหเขาเปนอยางที่ใจเราตองการ ซึ่งตัวผมเองก็เคย “ตก”ไปสูอารมณนั้น เพราะมันเปนอารมณที่เราตองการ มันเปน อารมณที่นาชอบใจ นายินดี และมีความสุขที่ไดอยูกับมัน ..แตพอ อยูมาๆ มันเกิดไม เปนอยางที่ใจเราตองการ โอโห..มันอยากตายวันละสามเวลาเลยทีเดียว.. ผมอยากจะเลาตัวอยางประสบการณที่มีอิท ธิพ ลตอใจผมมากที่สุดใหฟง เอาไวเปนตัวอยางในการฝกหัด “การสังเกตตัวเอง”เรื่องของเรื่องก็คือ ผมรักผูหญิง คนหนึ่งแลวคบหาดูใจกันมาอยางเปดเผย โดยที่ พอ แม ทั้งสองฝายรับทราบไมมีขอ ปดบังอะไรกัน ทั้งสองครอบครัวได ไปมาหาสูกัน แลวใหเด็กสองคนคบหาดูใจกัน นานถึง 3 ป ซึ่ง ตอนนั้นผมไดละทิ้งเรื่องของการ “สังเกตตัวเอง” ไป จึง ปลอ ยให อารมณที่นาชอบใจ ครอบงําตัวเอง จึงเปนเหตุใหเกิดน้ําตาอันนองหนา ซึ่งมันไม นาจะเกิดกับ ผูชายอกสามศอกเลย ผมไดปลอยใจตัวเองใหไปอยูกับ คนอื่นมากไป ตามเอาอกเอาใจคนรักทุกอยาง ถึงขั้นไปรับมาสงที่รานอาหารเพื่อใหเขามากินเหลา กับเพื่อน ทั้งที่ระยะทางบานเขากับบานของผมไกลจากกันตั้ง 20 กิโลเมตร เขาใหไป รับไปสงตอนกลางคืน ผมก็ยังไป ทั้งที่ไปไมใชเรื่องอะไรของผมเลยผมทําไปเพราะ “ปลอยใจ” ให “หลง” รักเขามากเกินไปโดยที่ไมยอมสนใจฟาดิน จนถึงเวลาที่ผมไดลอง “หยุด(เพื่อ)สังเกต” การใชชีวิตของเราสองคน จึงทํา ใหผมเห็นเรื่องปดบังที่ฝายเธอแอบซอนไว ผมเห็นกริยาแปลกๆที่เกิดขึ้นกับเธอเวลา เธอ ออกไปเที่ยว กินเหลากับเพื่อนๆผมไดยินเธอคุยโทรศัพทดวยถอยคําหวานๆตาม ประสาวัยรุน โดยที่ไมสนใจตัวผมที่นั่งอยูขางๆ อันที่จริงเหตุการณแบบนี้ มันเกิดขึ้น เปนประจําจนผม “ลืมสังเกต” ความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะคิดวาคงไมมีอะไรมาก แตที่ไหนไดเ ธอคุ ยกับ ผูช ายหลายคนในขณะที่คบกับ ผมอยู มี อ ยูครั้ง หนึ่ง ผมได ตัดสินใจถามวา “คบกับผมแลวยังคบกับคนอื่นดวยหรือ” ผมไดคําตอบกับมาวา “เรา ไมไดคบกันไมใชหรือเราเลิกกันตั้งนานแลว” ผมถามตอไปวาอีกวา “เรื่องที่ผานมาผม 14
คิดไปเองใชไหม” เธอตอบกลับมาวา “คงทํานองนั้น”และเธอยังยอนถามผมอีกวา “เจ็บไหม” ขณะนั้นผมอึ้งจนแทบหายใจไมออกในคําตอบและคําถามของเธอผมอยาก รองไหแตก็รองไมออก...มันรูสึกวามีลมมาจุกที่หนาอกอยางเดียวมันทําอะไรตอไป ไมไดอีกแลว เธอยังใหผมกลับไปสงที่บาน..หลังจากคุยกันเสร็จแลว..เธอยังบอกใหผม นอนคางที่บานเธออีก แตผ มตัดสินใจกลับ บานตอนพาเธอไปสง นั้นผมวาเล็ง จะ “ลอยแพ” (บอกเลิก) เธอเพื่อประชด แต ใ นระหว า งทางผมได “สั ง เกต”ใจตั ว เองมาตลอดทางจึ ง ทํ า ให รู ถึ ง เหตุการณตางๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด วาที่จริงมันเริ่มจากใจของผมกอนทั้งสิ้น เพราะผม “ปลอ ยใจ” ใหไปกับเธอเอง ทั้งๆที่ตนเองมีพื้นฐานการเจริญสติ “สังเกต” ความ เปนไปของใจอยูแลวแทๆ กลับทิ้งมันคงเปนเพราะ ไมรูจัก “ทุกข” มั้ง ผมเลยทิ้งฐาน ภาวนาทิ้งวิธีการสังเกตใจแลวออกไปหามัน.. ตัวอยางเหตุการณนี้ คงไมเปนปญหาที่หนักหนามากนัก เพราะตอนนั้น..ผม ก็พอมีพื้นฐานในการฝก “ตั้งสติ” ทําความระลึกรูสึกตัวอยูบางแลว จึงทําใหผม ออก จากอารมณ ความคิดที่ทําใหจิตใจเสียหายนั้นไดเร็วพอสมควร เรื่องราวที่รายแรง ตางๆ ที่เกิดขึ้นภายในใจจึงหมดอิทธิพล ถึงแมก ารดําเนินชีวิตของคนบางคนจะไมมีปญหาอุปสรรคมากนัก แตถา สังเกตใหดีจะเห็นไดวา “ปญหามันเกิดขึ้นกับใจอยูตลอด” ในการใชชีวิตของผมเอง ในปจจุบันนี้ ก็ยังมีเรื่องราวเขามากระทบจิตใจ ไมเวนแตละวัน ทั้งเรื่องของการเรียน ที่ยุงยากจนตัวเอง “เกิดความไมพอใจ” และเวลาเกิดความไมพอใจขึ้นแลวใจของผม เองมันยังคิด “ตอตาน”อีก เพราะมันไมพอใจนั้นแหละเห็นเลยทันที “ความปราด ของใจ” ทําดีไป ตามใจตัวเองเกินไปก็ไมดี เจอเรื่องไมพอใจก็ “ตอตาน” อีกทั้งยัง 15
เรื่องที่ “เก็บเอามาคิด”เวลาเดินผานผูคนในแตละวัน เมื่อเจอหนากัน ใจมันไปอยูกับ เขาทันที แลวมันก็เกิดความคิดตางๆมากมาย จนทําใหเดินสะดุดโดยไมรูตัว สวนในขณะที่กําลังเรียนอยู “สังเกต”ไดวา ใจของผมมักคิดออกไปจากเรื่อง ที่ครูกําลังสอนอยู รูตัวอีกที่ครูพูดไปถึงไหนแลวก็ไมรู ทั้งๆที่เราฟงอยู แตเราไมไดยิน เสียงที่ครูพูด ฉะนั้น เคล็ดลับไดการดําเนินชีวิต การทํากิจกรรม งานตางๆ ใหประสบ ผลสําเร็จ จึงสรุป..รวมไวที่การ “สังเกต” ความเปนไปของใจเราในแตละวัน แตละ เวลา แตละนาที จึงจะเห็นขอผิดพลาด ขอบกพรอง และเปนเหตุใหเกิดปญญาในการ แกไขปญหาที่เกิดขึ้นดวยตนเองได ไมตองใหหมอดูหมอเดาที่ไหนมาชวย (กินตังคเรา อีก) นี้แหละเปนความรูอ ันล้ําสมัยที่มีผูรูมากอนแลวเมื่อ 2500 กวาป และรูโดย การ “หยุด(เพื่อ)สังเกต”ดู ความเปนไปของใจที่เปนนามธรรมของตัวเอง และนี้ แหละเปนสิ่งที่ “มนุษย”ปุถุชนคนรุนหลังควรรูไวแลวนําไปปฏิบัติตามเพื่อประโยชน และความสุขในการดําเนินชีวิตของทุกผูทุกตน..
16
3. ปลูกฝง - ญาณาธร นามเขต “มึง ไมฟง ” เปนคําของลุง สาทที่กับ ผมตลอดเวลาที่ผ มฟง เพลง หรือ เลนกีตารกับแก และอีกคําที่ชอบพูดคือ “ฟงแตไมไดยิน ไดยินแตไมไดฟง” พับผาสิ ผมไมชอบเลยที่โดนวาอยางนั้น! เพราะตัวผมเองก็เขาใจวาผมก็ฟง อยูนะ แตทําไมถึงบอกวาไมไดฟง หลายครั้งที่เวลาจับกีตารขึ้นมาเลนผมคิดกอนเลย วา เอะ? จะเลนเพลงอะไร มันก็เลยทําใหผมเลนไมออก แตก็ยังเลนเลนแบบที่วาไหล ไปเรื่อย ไหลที่วาคือเลนไมมีหลัก หรือเลนมั่ววางายๆ คือตอนที่ผมไปนั้นไมรูวามัน ไหลไปมันเพลิน พอผมเลนเสร็จผมไมไดอะไรจากการเลนที่ผานมาเลย มันทําใหผม เบื่อ และไมอยากเลนพอมีใครมาบอก ไหนลองเลนกีตารใหฟงหนอย ใจผมตกไปทันที พยายามเลนใหดี มันกลับไมดีตัวพยายามที่จะเลนมันทําใหผมเลนแบบดนสดไมได พูดถึงตอนที่ผมอยูคนเดียว ผมจะคิดไปเรื่อยไมหยุด คิดถึงบาน คิดถึงเพื่อน และอีกหลายๆเรื่อง จนทําใหบางวันผมดู เหงา ซึมเศราไปเลย มีอยูชวงหนึ่งผมเปน หนักมาก จากที่เมื่อกอน เคยเลนกีตารแบบดนสดได ตั้งใจเรียนฝกซอม เกิดจากการ ไมทําตามคําแนะนําของลุง ปลอยใหคิดไปเรื่อย แลวตัวเองก็ไปจมอยูกับความคิด ตอนนั้นไมอยากเรียนแลวคืออยากกลับบานวางั้นเถอะ การที่ผมคิดไมหยุดนี่มันจะ สงผลตอการเรียนของอยางมาก อืมม..ไมเฉพาะกับการเรียนหรอก ทุกๆเรื่องเลยนั้น แหละ แตผมก็ไมไดกลับมารูสึกตัวไวเหมือนคนอื่นเขาหรอก คือเวลาที่ผมคิดแลวผม 17
จะคิดนาน กวาจะกลับ มารูสึกตัวก็นานหนอย แตก็ยังดีที่ยังกลับมาไดใชวาจะรูอ ยู ตลอดนะ แปบเดียวก็คิดไปอีกแลว ผมนึกถึงตอนที่ลุงวา "มึงไมฟง"นี่แหละ ผมลองไปตั้งใจฟงดู ตั้งใจมากเลยนะ ฟงยังไมถึงครึ่งเพลงเลย ก็เปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น เพลงจบตอนไหนยังไมรูเลย ผมจึง เขาใจวาที่จริงผมไมฟงจริงดวย แลวอยางนี้จะไปแกะเพลงไดยังไงถาหากฟงไมดี จะ ฟงคนอื่นรูเรื่องไดไง ถาผมไมตั้งใจฟง เอาใจไปฟง ผมก็เปนคนขี้เบื่อเหมื่อนกันนะ อยางเชนไปเจอไปไดยินเพลงไหน ถูกใจ อยากที่จะ เลน ได ก็ฟง แล วแกะ ก็ แกะได เ ฉพาะ อิน โทรของ ..แต่ถ้าเมื อก่อนทีไม่ได้ ฝึกรู้ส ึกตั ว หรือตกตั ง เพลงนั้น แลวก็เลิกเลนเพลงนั้นไป ทั้งๆที่ผมยังเลนไม ใหม่ ผมจะโกรธนาน จบเพลงเลย มันทําใหผมเสียนิสัยดวย เจอเพลงไหน มาก คือถ้าทําอะไร ถูกใจ สวนใหญก็จะเปนอยางนี้ไดแคทอนอินโทร ก็ เ ป ลี่ ย น ไ ป เ อ า เ พ ล ง อื่ น อี ก ซึ่ ง มั น เ กี ย ว กั บ ไม่ได้ตอนนั นผมจะคิด หาวิ ธีเอาคืนให้ได้… ชีวิตประจําวันของผมดวยนะ คือทําอันนี้ยังไมเสร็จก็ เปลี่ยนไปทําเปนอยางอื่น ผมมาเปนชวงหลังนี่อีก สาเหตุเกิดจากไมอยากทํา ลุงบอกอะไรก็ไมคอยฟง เทาไรแกก็เลยสงใหไปอยูกับพระอาจารย อยูวัดอาจารยก็พาทํางานบาง อาจารยใหดู หนังบาง แตที่อาจารยชอบพูดบอยๆ คือใหสังเกตเวลาทํางาน หรือเวลาอยูคนเดียว จะไดรูวาใจตอนนี้เปนยังไง อยางเชนปลูกตนไมจะปลูกไปเรื่อยก็ไมไดนะไมไปดูแลมัน ก็ไมได อาจารยบอกวา "อยางนั้นเขาไมไดเรียกวาปลูก เขาเรียกวาฝง"
18
อาจารยมักจะพูดใหฟงอยูบอยๆผมอยูที่วัดชอบนอนตื่นสาย ลุกไปทําวัตรไมทัน จะ โดนอาจารยดุอยูเรื่อย ผมโดนดุอยางนั้นใจผมตกไปในความคิดทันทีเลย ทําไมตองมา วาดวยก็แคตื่นสายไมไปทําวัตรเอง มันผิดดวยหรอ....คือตอนนั้นไมรูวามันตกไปใน ความคิดกวาจะตั้งไดก็นานเหมือนกัน ตอนอยูที่บานลุงสาทมีนักดนตรีคนหนึ่งเขามาที่บาน พี่เขาเอากีตารมาดวย ผม เห็นกีตารของพี่เขาสวยดี เปนกีตารแจ็ส ดวยก็เ ลยไปจับ กีตารม าเลนโดยไมไดรับ อนุญาตจากเขา ผมจับมาลองดีดดูแลวก็วางคืนไวที่เดิม พอพี่เขากินขาวเสร็จแกเดิน เขามา ตอนนั้นผมยังลางจานอยู พี่เขาถามวา ใครจับกีตารเปนคนสุดทาย ผมก็บอก วาผมเอง เทานั้นแหละเขาดุผมใหญเลยวานักดนตรีที่ดีไมควรเลนเครื่องดนตรีของคน อื่นโดยไมไดรับอนุญาต ผมเห็นเขาโมโหใหญเลย แลวพี่เขายังพูดอีกวาถาเปนคนที่อยู ที่ที่เขาทํางาน เขาจะบอกเจาของรานใหไลออกเลยนะ เขายังบอกอีกดวยวาถาเปน คนอื่นผมเตะเลยนะ ตอนนัน้ ผมโกรธมากเลย ผมก็คิดวากะอีแคจับกีตารตองมีเตะมี อะไรดวยหรอ ทําไมตองพูดใสอารมณขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ไมไดทํากีตารพังสัก หนอ ย ตอนนั้นใจอยากจะเรียกพี่เขามาชกกันเลยนะ แตทําอะไรไมไดที่จริงก็กลัวเหมือนกัน นะ จากนั้นผมเดินลงไปขางลาง ยังโกรธไมหายนะ พอผมเขาหองน้ําไปอาบน้ําสักพัก อาบน้ําเสร็จไอความโกรธก็หายไป แลวก็ขึ้นไปบอกลุงวาเมื่อกี้โกรธมากเลย แตพอ อาบน้ําเสร็จไมรูสึกโกรธเลย ขึ้นมาเจอพี่เ ขาก็ธรรมดา คุยกันธรรมดา แตถาเมื่อ กอนที่ไมไดฝกรูสึกตัว หรือตกตั้งใหม ผมจะโกรธนานมาก คือถาทําอะไรไมไดตอนนั้น ผมจะคิดหาวิธีเอาคืนใหได ตั้งแตที่ไดฝกทําความรูสึกตัว หรือ “ตกตั้งใหม” ความโกรธของผมเริ่มมีระยะหาง กวาเดิมไมเปนบอยมากเหมือนเมื่อกอน หรือถาเจอเรื่องที่ทําใหหงุดหงิด รําคาญ 19
อาการพวกนี้มีไมมากเหมือนเมื่อกอนกลับมารูสึกตัวไดชัดขึ้น ไวขึ้น แตยังไงก็ตองทํา ไปเรื่อยๆ สังเกตดูใจวามันเปนไง ตอนนี้ก็ยูในชวงฝกฝนอยู
20
4. ชนะใจ ไรพุง- จารุวรรณ สุภลาภ ใจกับพุง มันเกี่ยวของกันยังไงนะ อยากรูจัง กลางเดือนสิงหาคม 2553 สํานักงานสาธารณสุขอําเภอสามงาม จ.พิจิตร ได จัดคายอบรมในหัวขอ “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อปองกันโรคเรื้อรัง” ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน โดยกลุมเปาหมายในครั้งนี้ก็คงไมพนกลุมเสี่ยงอยางขาพเจา (พวกที่พรอมจะอวนหรือ อวนไปแลว นั่นแหละคะ) แคคิด ก็นาเบื่อแลว... วันแรก ก็เจอของแปลกเขาใหแลวสิเรา มีการอบรมไหนบางคะที่ใหนั่ง เดิน ยืน และก็นอน ...สบายละ ทีนี้ กินแลวก็นอน แถมเสียงกรนใหฟ รีๆ อีกตางหาก อาจารยที่เปนวิทยากรทั้ง 2 ทาน คือ อ.ประสาท ประเทศรัตน และ อ.ศรชัย ฉัตร วิริยะชัย ทําอะไรมันก็ดูแปลกไปหมด การพูดจา อิริยาบถตางๆ (กิน เดิน ยืน นั่ง) นั่นคือสิ่ง ที่ขาพเจาคิดและสังเกตคนอื่น แตลืมสังเกตตัวเอง สิ่งที่อ าจารยพูด เชน สังเกตไหมวาตัวเรานั่งอยูที่หองนี้ แตใจเรามันไปอยูที่ไหน ที่บาน ที่ทํางาน ที่ตางๆที่ ใจเราคิดถึง หรือ “ฟงแตไมไดยิน ไดยินแตไมไดฟง” หรือ เวลานั่งก็ใหรูสึกอยูกับ การนั่ง รูสึกที่ขาสัมผัสพื้น กนสัมผัสพื้น ขาซายทับขาขวา ลมหายใจเขา ลมหายใจ ออก ตอนนั้นขาพเจาก็ส งสัยอยูเ หมือนกันวา รูไดยัง ไงวาใจเราไมไดอยูตรงนี้ รูไ ด ยังไงวาเราฟงแตไมไดยิน เอะ...ยังไง วันที่สอง “กาแฟหมา” มื้อเชามหัศจรรย ที่ตอนนี้เอาอะไรมาแลกก็ไมยอม ตักขาวตม วางตรงหนา แลวก็เริ่มกิน กินคําแรกดวยความหิว คําที่ 2, 3, 4 ...หมดไป ครึ่งถวย เอะ... (ตอมเอะเริ่มทํางานอีกแลวคะ) มันชักอิ่มๆ แลวนะ ถามตัวเอง อีกครั้งวาอิ่มจริงๆหรือ เพราะปกติแคนี้ไมพออิ่มแนๆ โอ...เหมือนโดนหมัดน็อกกลาง 21
อากาศ นี่ไงเลา ที่อาจารยทั้งสองทาน เฝาเพียรสั่งสอนตลอดระยะเวลาที่อบรม ทั้ง พูดใหฟงและทําใหดูอยูบอยๆ เมื่อใดที่เรากลับมาอยูกับความรูสึกตัว ความคิดมันก็ จะคอยๆลดลงหรือหมดอิทธิพลลง ความรูสึกตัวก็จะคอยๆชัดเจนขึ้น เราก็เลยรูวา ความรูสึกอิ่มมันเปนยังไง แตกอนนี้ เวลากินขาว ไมเคยสังเกตความรูสึกตัวเองเลย ยิ่งอาหารอรอยๆ กินกันหลายๆคน กินไปคุยไป ก็กินมากโดยไมรูตัว ก็เหมือนเวลา เราตักขาวตม มันมีทั้งความหิวและความอยาก ความอยากทําใหตักมามากเพราะกลัว จะไมอิ่ม วันที่สาม ก็ยิ่งชัดเจนในความรูสึกตัวของตนเองมากขึ้น ความคิดตางๆเริ่ม นอยลง กลับมาสนใจอยูกับความรูสึกตัว เวลาทําทาทางการเคลื่อ นไหวตางๆ เชน เหยียดปลายเทา เหยียดแขน และอีกหลายๆทา มารูทีหลังวาเปนอุบายใหกายกับจิต มาประกอบกัน คืออุบายการฝกจิตใหเกิดความละเมียด จะไดมีความฉับไวในการ จัดการกับเรื่องราวตางๆที่เราตองเจอในแตละวัน ขาพเจารูแลววาจะรักษากาย อยางไร ไมใหปวยหรือเปนกลุมเสี่ยงกับโรค เรื้อรังตางๆ ทั้งๆที่กอ นหนานี้ ไมเ คยคิดสนใจในการดูแลสุขภาพตนเองเลย ดวย ขออางที่ทันสมัย คื อ ไมมี เ วลา เนื่อ งจากคิ ดอยา งประมาณวา ตัวเองรางกายยั ง แข็งแรงดี ไมดื่มเหลา ไมสูบบุหรี่ ตรวจสุขภาพประจําปก็ไมเคยพบความผิดปกติอะไร มาถึง ตรงนี้ก็ฉุกคิดไดวา เจาหนาที่และบุคลากรในแวดวงสาธารณสุขหลายๆคน รวมถึงชาวบานและตัวผูปวยเอง ก็คงรูอยางที่ หมอๆ รูนั่นแหละ วาทําอยางไรถึงจะ ไมปวย ทําอยางไรถึงจะมีสุขภาพดี แตมันยากตรงที่ไมอยากทํานี่แหละ สําคัญนัก การดูแลสุขภาพ ก็คือการดูแลธรรมชาติในรางกายของเรา ใหเกิดสมดุล ไมมากไป ไม นอยไป ผูปวยที่แนนโรงพยาบาลทุกวันนี้ ก็เพราะใสความไมเปนธรรมชาติเขาไปใน รางกายมากเกินไปนั่นเอง กินมากไป หวานไป เค็ม ไป ผิดธรรมชาติของรางกาย เหลานี้ ลวนนํามาซึ่งโรคเรื้อรังโรครายตางๆ ถาทุกๆคน รู และเขาใจ ตามนี้ เชื่อวา 22
หมอๆ และเจาหนาที่ตางๆในโรงพยาบาลคงเหนื่อยนอยลง เพราะวารางกายเราเกิด มาจากธรรมชาติและวันหนึ่งก็ตองคืนกลับสูธรรมชาติเชนกัน กลับจากการอบรม ขาพเจาก็ไดนําสิ่งตางๆที่ไดเรียนรูมาปฏิบัติตอที่บาน ทั้ง ตื่นนอนตอนเชาและกอนเขานอน เชน การเหยียดปลายเทา การออกกําลังกายดวย ทาทางงายๆ และสังเกตความรูสึกตัวเองตามไปดวย รูสึกไดวานอนหลับไดสนิทขึ้น ตื่นเชามาสดชื่นกวาแตกอน เริ่มตนวิ่งออกกําลังกายตอนเย็น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การกินของตนเอง โดยพยายามรูสึกตัวทุกครั้งเวลาจะกินอะไร สังเกตวามันเปนความ หิวหรือความอยาก ถาเปนความอยากก็ละเสีย กินขาววันละ 2 มื้อ ไมกินขาวมื้อเย็น (ซึ่งจากขอ มูล ทางวิท ยาศาสตร พบวา ถาเราปลอยใหรางกายรูสึก หิวหนอยๆ “..แปลกมาก ทีสามารถ ลด อารมณ์ รางกายจะรับมือกับความซึมเศราและ ไม่ชอบใจต่างๆ ได้ดีขึ น ไวขึ น ความวิตกกัง วลไดดีขึ้น หรือสามารถ ถึงแม้ ว่ามั นยั งรู้สึกถึงอารมณ์ทีไม่ ตานโรคซึมเศราไดนั่นเอง) อืม...ใครจะ ชอบใจอยู่ แต่ม ั นก็มีอิทธิพลน้อยลง เชื่อ เพียง 3 อาทิตย น้ําหนักลดลงไป 5 ทีสําคัญไม่ตามติดไปทีบ้านด้ วย กิ โ ลกรั ม รอบเอวลดลงไป 2 นิ้ ว ซึ่ ง เวลาเลิกงานก็เลิกจริ งๆ จบจริ งๆ เทคนิคงายๆ ก็คือ วงกลม 3 วง วงนอก เพราะมั นคืออดีตไปแล้ ว..” สุดคือตํ ารา ความรูตางๆ วงกลางคื อ การปฏิบัติ และวงกลมที่สําคัญที่สุด คือ วงกลมขางในสุด ก็คือตัวเรา จิตและใจ ของเรานั่นเอง “สุขภาพดีไมมีขาย ถา อยากได ตองเริ่มจากวงในสุด” ถาเราเอาชนะใจตัวเองได เราก็ไรพุง ความรูสึกบางอยางมันเริ่มเกิดขึ้นในใจ เปนความสุขความภูมิใจเล็กๆ วาเรา ก็ทําได ถาการรัก ษากายมันมาเกี่ยวของโดยตรงกับการรัก ษาใจ อยางนี้แลว สิ่ง ที่ 23
สําคัญที่สุดที่เราตองเรียนรู ก็คือการรักษาใจนั่นเอง ปลายเดือนกันยายน 2553 จ. แพร ที่ระเบียงบาน อ.ประสาท ประเทศรัตน ขาพเจาไดมีโอกาสสนทนาธรรมกับพระ อาจารยไพบูลย รวมกับเหลาลูกศิษยลูกหาของพระอาจารย ทําใหยิ่งชัดเจนและรูสึก ปติในใจเปนอันมาก โดยเฉพาะประโยคที่วา “บนโลกใบนี้ มีอยูแคสองสิ่ง คือสิ่งที่ ชอบใจและสิ่งที่ไมชอบใจ” ประโยคสั้นๆ งายๆ แตความหมายชางลึกซึ้ง กวางไกล เหลือเกิน คือกระทบใจอยางแรง มันเปลี่ยนความคิดและมุมมองตางๆไปเลย เชน การที่เรารูสึกไมดีกับคนๆหนึ่ง แตกอนเราก็จะบอกวาเคาไมดีอยางนั้น อยางนี้ เคาทํา อยางนั้น อยางนี้ แตจริงๆแลว เคาทําไมถูกใจเราตางหากละ ใชเลยคะ ไมถูกใจ ก็เลย ไมชอบใจ ความโกรธและเกลียดก็จะตามมา แตกอนไมรู ก็อยูกับความโกรธ ความ เกลียดไป ตอนนี้รูแลว ก็ละเสีย รีบออกจากอารมณที่ไมชอบใจนั้นเสีย หรือที่พระ อาจารยใชชื่อวา ตกตั้งใหม (ตกรอยครั้ง ตั้งใหมรอยหน) อืม...โชคยังดีนะ ที่เราไดมี โอกาสมาเรียนรูวามันตก แตกอนนี้ไมเคยรู ไมเคยสังเกตตัวเองเลย วาจิตใจเรามันตก มันจม ไปกับ ความทุก ข และก็ยิ่ง ไม รูเ ลยวาจะเอาใจมันตั้ง ขึ้น มาใหมไ ดอยางไร เทคนิคของพระอาจารยไมยากแตก็ไมงาย ยากตรงไมอยากทํา อยาที่พระอาจารยพูด ตองปฏิบัติบอยๆ รูสึกตัวบอยๆ จะเรียกวาถูกจริตก็ได กิน เดิน ยืน นั่ง มันสามารถ เรียนรูและฝกฝนไดตลอดเวลา เวลาขับรถไปทํางานไกลๆ แตกอนนี้ก็เขาใจวาเสียงเพลง จะชวยใหไมงวง ไม เบื่อ พอมาสังเกตจริงๆกลับไมเปนอยางนั้น เวลาเราฟงเพลงไปเพลินๆ ใจเราก็เริ่ม เคลาไปกับเสียงเพลง สติก็ไมไดอยูกับการขับรถแลวมาอยูกับเสียงเพลงแทน สักพักก็ งวงอยูดี ตอนนี้เลยใชวิธีใหรูสึกตัวบอยๆเวลาขับรถ รูสึกถึงมือที่จับพวงมาลัย รูสึกถึง แผนหลัง ที่ สัม ผั ส เบาะ ไดผ ลชะงั ก เลยคะ ความงว งหายเปน ปลิด ทิ้ง ไมต อ งพึ่ ง เสียงเพลงแลว หรือ เวลาทํางานแลวเจอะเจอกับ เรื่อ งราวที่ไมชอบใจ ที่มันเขามา กระทบใจ ก็รีบกลับมารูสึกตัว แปลกมาก ที่สามารถ ลด อารมณไมชอบใจตางๆ ได 24
ดีขึ้น ไวขึ้น ถึงแมวามันยังรูสึกถึงอารมณที่ไมชอบใจอยู แตมันก็มีอิทธิพลนอยลง ที่ สําคัญไมตามติดไปที่บานดวย เวลาเลิกงานก็เลิกจริงๆ จบจริงๆ เพราะมันคืออดีตไป แลว มีเวลามีความสุขกับครอบครัวกับตัวเองและกับคนที่เรารัก รักษากาย รักษาใจ ทําใหไดเรียนรู การใชชีวิต และใชชีวิตอยางมีความสุขมากขึ้น...
25
5. ออกจากความคิด - รุงนภา สุรเชษฐ กลุมตกตั้งใหม เปนชื่อที่ไมเคยรูจักมากอน และไดรูจักชื่อนี้ จากนาสาทและ พีศรชัย มีโอกาสรูจัก กับ พี่ทั้งสอง ในงาน “สภาสันติภาพโลก” (World Peace Congress 2010) เมื่อเดือน กรกฎาคม ที่ผานมา โดยเราทําหนาที่ในฐานะผูจัดงาน และพี่ๆ ทั้งสอง เขารวมในฐานะ ผูอภิปราย ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ตางคนตางทํา หนาที่ของตน จึงไมไดพูดคุยกันมากนัก หลังจากจบการประชุม ก็ไดมีการติดตอกัน ทางโทรศัพท และนัดเจอกันที่รานกาแฟแหงหนึ่ง ในการสนทนาครั้งนี้ เปนกันเอง และตลอดการสนทนา รับ รูถึง ความรูสึก สบาย มีพลัง และกําลัง ใจ ในสิ่ง ที่ทําอยู ความรูสึกของการพูดคุยกับเพื่อนที่เรียกวา “มิตร” เปนเชนนี้เอง หลังจากนั้นไดติดตอกับพื่ๆ เปนระยะ โดยไดหารือกันในเรื่องตางๆ จนวันนึง พี่ศรชัยไดชัก ชวนใหไปเยี่ยมนาสาทที่ จังหวัดแพร การไปครั้งนี้ไดมีโอกาสเจอกับ อาจารย และเพื่อนๆ ในกลุมตกตัง้ ใหม ซึ่งเปนครั้งแรกที่ไดนั่งลอมวงพูดคุยกับผูที่เรา ไมเคยรูจักมากอน แตดวยความไมมีรูปแบบของวงสนทนา จึงทําใหเราไมรูสึกอึดอัด จากนั้นในวันรุง ขึ้นไดเดินทางไป วัดบอแกว เมืองลอง การไปครั้งนี้ เราเองก็ ยังไมรูวัตถุประสงคของการที่เราจะเขารวม แตตั้งใจไววาไปไหนไปกัน และการมา ครั้งนี้นี่เองที่ทําใหเราไดฝกการรูสึกตัว หนึ่งในกิจกรรมที่ฝกปฎิบัติการรูสึกตัวคือ การ เดิน ชวงที่เราเดินก็สังเกตดูคนอื่นไปดวย พรอมกับกังวลเล็กนอย วาจะตองกาวสั้น ยาวแคไหน และความเร็วประมาณเทาใด แลวเรารูสึกหรือไมวาเรากําลังเดิน คิดเยอะ มาก เขารอบที่สอง นาสาท เดินมาประกบขางๆ บอกวา “มารคความรูสึกไวที่จุดๆ เดียวกอน เริ่มจากเทาซายกอน ก็ได” จากนั้นเหมือนไดโคช มาแนะนําให เริ่มรูสึกกับ 26
การเดินของตัวเองไดมากขึ้น น้ําหนักจะเริ่มจากสนเทาซาย จากนั้นก็เคลื่อนผานฝา เทา จนไปถึงปลายนิ้ว รับรูแบบนี้ไปสักระยะ ก็เริ่มรับรูการเคลื่อนไหวของตนเองใน สวนตางๆ ชัดขึ้น รับรูถึงลมที่มาสัมผัส รับรูถึงความคิดที่ผุดขึ้นมา บอยครั้ง ขณะเดิน ก็จะรูมากขึ้นวาเราไปกับความคิดอีกแลว ซึ่งคิดแลวก็กลับมารูสึกตัว ไดขอ สังเกตวา เราเห็นการคิดของเรา ไดบอยขึ้น และการฝก ในครั้งนี้คือ การฝกออกจากความคิด โดยใชความรูสึกตัว เปนเครื่องมือในการออกจากความคิด ซึ่ง คงคลายๆ กับ นัก กีฬา ที่ตองฝก ใหรูสึ ก ถึง การเกร็ง ของกลามเนื้อในแตล ะมั ด เพื่อใหรูวาความรูสึกของกลามเนื้อที่ผอนคลายเปนอยางไร หลังจากกลับจากการฝก ที่เมืองลอง ก็ได นําความรูสึกตัวกลับมาฝกตอ โดย เริ่มจากเรื่องราว และอารมณที่เปนปกติ ในแตละวัน เชน เวลาขับรถ ก็ฝกรูสึกตัวไป ดวย รับรูถึงน้ําหนักเทาที่เรากําลังเหยียบคันเรง รูน้ําหนักมือที่จับพวงมาลัย จากนั้น จึงเริ่มเห็นมากขึ้นวาเวลาสวนใหญเราจะอยูกับความคิด เมื่อกอนไมเคยสังเกต ก็ไม เคยรูวาเราคิด คิดก็ใหรูวาคิด จากนั้นก็ออกจากความคิดโดยใชการรูสึกตัว นี่แหละ คือสิ่งที่ฝกอยูทุกวันนี้ ขอเลาประสบการณที่เ คยนําสิ่ง ที่ฝกมาใชกับเหตุก ารณๆ หนึ่ง จากการ พูดคุยโทรศัพทกับเพื่อน มีอยูวันหนึ่งมีเสียงโทรศัพทดังขึ้น พรอมกับโชวชื่อผูโทร...(เพื่อนสนิทเราเอง) เรากดรับสาย แตยังไมทันจะพูดฮัลโหลเลย เสียงตะโกนจากโทรศัพท ดังขึ้นดวย เดซิ เบล สูง ปด พูดรัว ชนิดจับ ใจความไมได รูเรื่องอีก ที ตรงคําวา "เบื่อ ๆ ๆ ... เบื่อ โวยยยย" แลวก็รองไห ตอนแรกพยายามจะปลอบเพื่อน 27
“เฮยใจเย็น ๆ เกิดอะไรขึ้น พูดเบาลงหนอย เราฟงไมรูเรื่อง” สิ่งที่ตามมาจากประโยคที่เราพูดจบ กลับเปนเสียงตะโกนที่สูงขึ้นกวาเดิม เหมือนความเสียใจเพิ่มเปนทวีคูณ ฟงอยูอยางนี้ชั่วโมงเศษ ๆ เหตุและผลที่ บอกออกไปชวยอะไรไมไดเลย “เฮยๆ ๆ...เฮย ฟงฉันหนอย ตอนนี้นายทําอะไรอยูวะ” “นั่งอยูในรถ....โอยยยย” “ขับรถอยูเหรอ” “จอดอยู โวย...โอย เบื่อ....” “เออๆ แลวนั่งอยูฝงคนนั่ง หรือฝง คนขับ” “คนขับ” ตอบสบัดเสียงหวนๆ “ออ แลว แลว น้ําหนักสวนใหญที่นายนั่ง มันลงไปที่กนหรือลงไปที่หลัง วะ” “ที่กน” ตอบดวยเสียงหวนเชนเดิม “อะไรของเธอวะ” “เออนา ตอบคําถามฉันกอ น... แลวมือ นายหละ มือ หนะวางอยูที่ไหน ที่ พวงมาลัย หรือวาที่ตัก” “ที่พวงมาลัย” เสียงเริ่มออนลง “ทําไมเหรอ?” “เปลา...แลวมือนายกําพวงมาลัยอยูหรือเปลา” “เปลาวางอยูเฉยๆ ไมไดกํานี่” น้ําเสียงเปนปกติ “อืม..แลวน้ําหนักในแตละนิ้วที่วางอยูนะ มันเทากันมั๊ย เพื่อน” “ก็ โอเค นะ วางสบายๆ ...มีอะไรหรือเปลา” “เปลา.....” 28
จากนั้นการสนทนาก็เริ่มพูดคุยตอ ใน น้ําเสียง และจังหวะในการพูดที่เปนปกติ ความ เสียใจยังไมหมดไป แตอิทธิพลของมันลดนอยลง นี่หละจุดเล็กๆ ที่ไดจากการฝกการรูสึกตัว (ออกจากความคิด) ขอบคุณพระ อาจารยที่ยอยเรื่องราวตางๆ ใหเขาใจไดโดยงาย พรอมทั้งปรับจูนมาในคลื่นความถี่ที่ พอดิบพอดีกับคลื่นของผูรับ การฝกยังคงดําเนินตอไป เชื่อวาคงจะไมเหลือวิสัย...
29
6. ลูกชิ้นกินไมหมด – ฉวีวรรณ ดวงบุญ “ขาดสติยั้งคิด” ฉันเขาใจวา มันเปนกันเฉพาะคนเราเวลากินเหลาแลว เมาจนขาดสติ บางคนจําไมไดดวยซ้ําวาตนเองมาถึงบานไดอยางไร หรือคนเจ็บ/ปวย ไข ที่ใกลตาย จะเพอเพราะขาดสติ ซึ่งตัวเองไมเคยเปนหนักถึงขนาดนั้น ก็เขาใจมา ตลอดวาตนเองเปนผูมีสติดี ไมเ คยขาดสติใหใครๆ ตําหนิได สวนมากเวลามีงาน สังสรรคมักจะมีคนชวนใหกินเหลา เบียร รวมถึงเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอลชนิดออน สําหรับผูห ญิง เพื่อ รวมงานบางคนที่ชอบสนุกถึงขนาดคะยั้นคะยอ ยกมาจอปาก หากฉันกินก็จะโหรองเชียรดวยความสนุกสนานดีใจที่มีสมาชิกคอเหลาเพิ่ม แตครั้ง หนึ่งฉันไมยอมกิน เพื่อนกดแกวจะเทใสปาก เพราะฉันไมยอม จําไดวาฉันโกรธมาก จนหนาแดง เขาจําตองละไปเสียไปสนุกตอของเขา แตฉันสิยังโกรธอยู เปนนานกวา จะหาย ก็หมดสนุกไปเลย ใครตอใคร ก็วาในชีวิตคนเราไมมีใครสมหวังไปเสียทุกเรื่องหรอก แตเพราะ ชีวิตไดรับความผิดหวังสําหรับฉันถือวารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต จนเคยคิดวา ชีวิตฉันก็เหมือนละคร มันตลกดี แตหัวเราะไมออก จะรองไหก็รองไมออก มันอยูใน อกในใจที่เต็มไปดวยทุกข มันตรงกับคําวา “หนาชื่น อกตรม” ตรงสุด สุด แถม จะ บอกใคร พูดก็ไมได มันไมมีประโยชนอันใด หากเขาไมรักไมชอบเราก็เลาไปก็กลัวเขา จะซ้ําเติม อายเสียเปลา ๆ ฉันพยามยามเลี่ยงที่จะเลา พยายามจะลืม หากมีคนถาม มักปฏิเสธวาเราพูดเรื่องอื่นกันดีวา ฉันไมอยากพูดเรื่องนี้ หากถูกพาดพิงฉันก็จะเงียบ ไมก็ยิ้มหรือหัวเราะ ไมโตแยง หรือไมกลาวคําใดๆ ออกมา หากเขาใหคําแนะนําก็จะ ยิ้มรับเสีย ใหมันผานไป 30
ความทุกขที่มันเกิดขึ้นกับฉันขณะนั้นมันหนักหนา เคยคิดจะฆา ตัวตาย แตม าไตรตรองดูเ ห็นวาไมดีพอ แมเปลือ งขาวเปลืองน้ํา เปลืองเงินทองไปเทาไหร เลี้ยงเรากวาจะโตขนาดนี้ แถมยังไมไดทดแทนบุญคุณผูมีอุปการะ ตายไปก็เสียชาติ เกิด ปกติฉันเปนคนประหยัดไมกินทิ้งขวาง ขาวในจานเมื่อตักมาแลวจะตองกินให หมด ชวงที่ทุกขมากไปกินกวยเตี๋ยวเจาอรอย มันกินไมลงขนาดลูกชิ้นที่เคยกินหมด กอ นเสน ก็ ยัง เหลือ เต็ ม ชาม ที่จํ าใจไปกิ นนั้ นเพราะยัง รัก ตนเอง กลั วเปน โรค กระเพาะ แคนี้ก็ทุกขแยอยูแลว ถาตองปวยอีกคงไมไหว ชวงที่ทุกอยางมันเลวราย จําไดวาอยากฟงเพลงเศรา ๆ ถาตรงกับเรื่องของ เราก็ยิ่งชอบ รองไหไปรองไป มันจมสุด สุด จนสุดทายแกไขอะไรไมไดก็เลยโทษวา ทําไมเรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นกับเรา ชาติกอนไปทํากรรมเวรอะไรไวถึงไดรับความทุกข อยางนี้ ประมาณนี้ ถึงแมพ ยายามหากิจกรรมทํามันก็ลืมไปบาง แตชวยอะไรไมได มาก เพราะเดี๋ยวก็ทุกขเหมือนเดิม มันคิดมากขนาดรูสึกตัวตื่นมาตอนเชา รูสึกตัว เรื่องทุกขมันก็คิดถึงเลยเปนเรื่องแรก จําไดแมนเพราะวันนั้นเปนวันหยุดตื่นสาย เลย วาทําไมมันหนัก หนาขนาดนั้น ยอมรับ วาตอนนั้ นทุก ขม าก ไมรู วิธีจัดการกับ มั น อยางไร ที่มีความเขาใจเรื่องของสติอยางถูกตอง เพราะไดมีโอกาสรูจักครูบาอาจารย ที่เปนนักบวช บานเราเรียกวา “พระ” นั่นแหละ จึงไดรูวิธีจัดการกับความทุกข แม ในตอนแรกจะเห็นผลไมมากนัก แตทุกสิ่งตองใชเวลา จนมาวันนี้ฉันดีขึ้นโดยเฉพาะ จิตใจ ความรูสึก ตัว ไมจ มในทุก ขห นัก เหมือนเดิม โดยนําหลัก ที่พระอาจารยมัก กลาวถึง คําวา “ตกแลวตั้งใหม” โดยเฉพาะชวงทํากิจกรรมเรียกกันวาเขาคาย ชวง วันศุกร-เสาร-อาทิตย โดยพระอาจารยเปนวิทยากร มีการเขารักษาศีลแปด ใหกับ นักเรียน ร.ร.ลองวิทยา หลายครั้ง ฉันจะรูสึกลืมทุกขไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจาก 31
นั้นก็กลับมาอยูกับสิ่งแวดลอมเดิมๆ ก็กลับเปนเหมือนเดิม แตทุกขหนักนั้นก็คอยๆ ดีขึ้น พระอาจารยมัก จะย้ําถามเวลาเจอหนา จะบอกวา อย า ลืมนํา ไปใชน ะ วิธีการรักษาใจนะ บอกวิธีไปแลว อยาลืมเอาไปใช ไดยินบอยมากในชวงแรก ๆ ตกแลวตั้งใหมหรือวิธีรักษาใจของฉัน ทําอยางไร ก็ตั้งแตตื่นนอนตอนเชาจนเขานอน เรารูสึกตัว จะพยามรูสึกตัวเองใหชัดเจน วาขณะนี้ตัวเรากําลังทําอะไรอยู นั่งอยูจะ รูสึกชัดเจนที่กนสัมผัสพื้น นอนอยูรูสึกชัดเจนที่หลังและกน ยืนอยูรูสึกตัวชัดเจนที่ ฝาเทา หรือเดินอยูรูสึกตัวถึงการกาวไปแลวเหยียบ โดยเฉพาะการเดินจะรูสึกตัวได ชัด เพราะผานการฝกเดินจงกลม สรุปงายๆก็คือใหรูสึกตัววาเรากําลังทําอะไรอยู ใหใจอยูกับกาย ไมฟุงซานไปกับเรื่องตาง แตฉันมักจะเผลอเวลาพูด เพราะเปนคนพูด มาก บาน้ําลาย ลืมหมด ทีนี้เผลอยาว เมื่อรูสึกตัวแลว ใจก็ไมคิดฟุงซานไปในเรื่องนี้ เรื่องนั้น หากเผลอคิดไป เมื่อนึกขึ้นไดก็ใสใจกับตัวเรากลับมารูสึกตัวใหม ชวงปแรก ๆ กวาจะรูสึกตัวก็เผลอลืมไปนานมาก แตการรูสึกตัวจะคอย ๆ ดีขึ้น ก็ทําแบบนี้อยู นานจนเดี๋ยวนี้นับเวลาคงเกิน 5 ป แลวกระมัง เมื่อผานมาถึงตอนนี้รูและเขาใจถูกแลว เกี่ยวกับเรื่องของสติ หลังจากเขาใจ ผิดมาตลอด วาสติมี 2 อยาง คือ สัมมาสติ (ดานที่เปนกุศล) เชน การทําบุญใหทาน รักษาศีล เปนตน และมิจฉาสติ (ดานที่เปนอกุศล) เพราะครั้งหนึ่งทําผิดศีลหนึ่งในหา ขอ แตก็ยังพูดดวยความมั่นใจเต็มปากวาฉันมีสติดีอยู ฉันรูตัวเองดีทุกอยาง ฉันเต็มใจ ทํามัน เพราะฉันไมรูวามันคือมิจฉาสติ ฉันยอมรับวา เกรง+กลัว +นับถือ+เคารพ+ศรัทธา พระอาจารยมากที่สุด กวา อาจารยใดใดที่ฉัน เคยมี ทา นชี้ท างใหฉั น ซึ่ ง ใครใครแมแ ตค นที่รั ก เรา ก็ไ ม 32
สามารถบอกใหเขาใจได ไมใชงมงายหลงพระนะ เพราะวาทานจะพูดกับลูกศิษย เสมอวา “คําสอนที่อาจารยสอนพวกเธอนั้น อาจารยไมไดคิดเอาเองนะ อาจารย เอาคําสอนของพระพุทธเจามาสอน ไมเชื่อก็ใหพิสูจนทดสอบ ใครไมเชื่อก็โตตอบ มา ใครสนใจใหไปศึกษาอานเอาเอง พระไตรปฎกก็มี ไปหาอานเอง” ฉันยัง รูสึก วาฉันเจอครูบ าอาจารยชาไปเสียหนอย แตก็ยัง โชคดีที่ไดเ จอ มิฉะนั้นชีวิตฉันคงจมอยูกับกองทุกขหนักไปอีกนาน แถมยังหาทางออกที่ไมถูกตอง หาวิธีลืมทุกข คงหาความสุขสนุกสนานเปนคอเหลาไปเลยแลว ชีวิตจมทุกขแบบนี้ไม เกิดขึ้นอีกแลวขอบคุณที่ฉันไดรูวิธีรักษาใจ ตกแลวตั้งใหม ขอกราบขอบพระคุณ พระอาจารย ไ พบู ล ย ถึ ง แม เ ราจะเป น ใครก็ ต าม พระอาจารย ก็ มี เ มตตามาก ขอขอบคุณสิ่งใดก็ตามที่ทําใหฉันไดเจอกับพระอาจารย ไดรับคําสอนที่ถูกตอง ทําให ฉันเดินถูก ทาง รวมถึงไดพ บเหลากัล ยาณมิตรทั้งหลาย เขาเหลานั้นเปนคนดีและ จริงใจเสมอ ทั้งที่ปกติแลวชีวิตนี้ฉันคงไมมีโอกาสจะรูจักเขาเหลานั้นหรอก
33
7. รักษาดียังไงก็ตาย – ประสาท ประเทศรัตน ตกตั้งใหมในชวงยาม “วิกฤติ” ยามคับขัน รูแลว ไดยินไดฟงมาแลว ไดทํา มาแลว ในช วงอาจารยพ าทํา แนะนํา ได สัม ผั ส แล ว กลับ มาใชชี วิต ประจํา วัน ก็ เหมือนเดิมคือ คิดวาเรารูแลวทํามาแลว ก็คงจะใชได พอไดรับกับเหตุการณอุบัติเหตุ กับตัวเอง ทําใหเจ็บปวยไมสามารถเดินไดคือนอน อยูกับเตียงเปนเวลา สามอาทิตย ทั้ง ที่ โ รงพยาบาลและที่บ าน ก็ แต นอนนึ ก นอนคิดถึง การงานและคิดวาตัวเองจะหาย “…ผมมั นใจในสิ งทีผมทํ า จากอาการนี้อยางไร จะเดินไดเ หมือ นเดิม มากกว่าเชือในสิ งทีคิด…” ไหม จะสามารถทํางานไดไหม หลังจากนี้ไป จะมีง านอะไรที่เ ราจะทําหาเลี้ยงครอบครัว ลูก เมีย แลวใครจะมาดูแล ในการนอนปวยของเราอยูอยางนี้ นับ วัน นับ คืน นับ ชั่วโมง อาการการเจ็บปวดที่กระดูกสันหลังก็ ปวดมากแมจะขยับรางกายนิดหนึ่งก็ ปวดมาก อาการแยล งจิตใจ ขุนมัว ในขณะที่มีใครมาเยี่ยม สัง เกตเห็นแวดตาที่ สมเพชเวทนาในภาพที่เห็นเรานอนอยูบนเตียงไมสามารถนั่งหรือเดินได จะกิน จะ ถายบนเตียง การขยับรางกายแตละครั้ง เจ็บปวดมาก ตองคอยๆ ขยับ ความเจ็บปวด นั้น แสนจะเจ็บปวดมากที่สุดเทาที่เคยมาในชีวิต มีผูคนมาเยี่ยมใจเราก็ยิ่งหอเหี่ยว เพราะการสนทนากับเขาดูเหมือนเขาจะใหกําลังใจ แต ใจเขาก็รูสึกไมดีที่เห็นสภาพ ของเราคงจะสงสาร นึกเวทนา ตอชะตากรรมของเรา มาก การดูแลก็มีแตภรรยาที่ คอยดูแล เอาใจใส ปอนขาวปอนน้ํา เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว เช็ดตัวใหพอนานวันเขาก็รูสึก กังวลใจตอการจะอยูอยางไรเราก็คิดวาเราเปนภาระใหเขา ตอนนั้นก็เริ่มโทษตัวเองใส 34
ความคิดวาไมนาจะอยู แตจะตายมันก็ไมตาย ตลอดวันคืนสลับกับ อาการเจ็บปวดที่ กระดูกสันหลัง นอนนิ่งๆนานก็ตองขยับ แตขยับเมื่อไรความเจ็บปวดทําใหจิตใจแยไป ลงอีก “ขี้อะไรทั้งวัน หลายหน ไมไดทําอะไร ใหขี้ครั้งเดียวนะ” ภรรยาเริ่ม ลําบากใจในการมาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวทําความสะอาดใหกับเรา ที่ชวยเหลือ ตัวเองไมได จิตใจยิ่งตกไปอีกกับอิสรภาพของความเจ็บปวย “นาสาท รักษาดีอยางไรมันก็ตาย” เสียงดังมาจากหนาบานจําเสียงไดชัดเปนเสียงพระอาจารยไพบูลย มันมา สกัดความนึกความคิดที่กําลังคิดที่จะแกไข วาเราจะทําอยางไรในชีวิตเรา ความรูสึก เมื่อไดเสียงถอยคําที่อาจารยตะโกนบอกกลาว ทําใหผมรูสึกโกรธไมพอใจ หู หนา ตา รอนเลือดฉีดแรง คิดในใจวา อาจารยทําไมมาวาแบบนี้นาจะใหกําลังใจพูดบอกกลาว กันดีๆ “นี.่ .นาสาท…เซลมัน ตายนาทีละเปนลานๆ เซล รางกายก็เหมือนกันมัน ตายแนๆรางกายรักษาดีอยางไร มันตายแน…รักษาใจสิ …….มารูสึกตัว อยาไป ตามคิดมัน….. มันคูณสองนะ ความเจ็บความปวด” อาจารยมายืนพูดตอที่เตียง นอนผมแลว แปลก คําพูด ตอนแรกที่ทําใหผมโกรธ แตตอนที่อาจารยมายืนที่ใกล เตียงพูดตอมันทําใหผ มรูสึก เบาใจขึ้นโลงใจขึ้น มีแวป หนึ่ง สะดุดคําวา “รางกาย รักษาอยางไร มันก็ตายแนๆ” มันจริง ๆ ในใจมันออกมารับ แบบนี้ ตามมาวา “รักษาใจ เพราะใจมันเสียหาย จิตใจเสียหาย” คําหลัง นี้เ ปนคําเกาตั้งแตไดยินเสียงอาจารยครั้ง แรก เมื่อไดยินเสียงเกิด สะดุดใจ เดินเขาไปดูวาใครหนอเปนเจาของเสียงนี้ ที่วัดหวยกี้ตอน ไปสงภรรยาผม ไปทําอาหารเลี้ยง นัก เรียนลองเขากรรมฐาน สัญ ญาจํามันทํางานมันเก็บไว แลว 35
และสิ่งไดทําแลว มันเปนเหตุใหเ กิดผล คือ ความเขาใจตอคําพูด ถอ ยคํา อารมณ ความรูสึก เจตนา ของอาจารยทันทีเมื่อไดฟง ตกไปในอารมณเรื่องราวที่เศราหมอง ใหออกจากเรื่องราวนั้นเสีย จากการคุยกันเมื่อเร็วๆ นี้ ผมถึงสังเกตไดวา คนมักจะเลาเรื่องไดชัดตอนมัน ตกอยูในอารมณหรือเรื่องราวที่ไมดีคือ โกรธมาก ทําอะไรไมถูก การตัดสินใจพลาดทํา ใหการกระทําพลาดดวย เขาจะเลาไดแตตอนที่ สถานการณที่มัน “ตกไป” แตตอนที่ มัน “ตั้งขึ้น” กลับไมมีใครกลาวถึงวามันตั้งไดอยางไร ศรชัยบอกวานาสาท ชอบถาม เขาวา “แลวทําอยางไรตั้ง ทําอยางไร” ตอนนั้นผมก็สังเกตวาทําไมคนถึงไมเลาตอน มันตั้ง ตั้งอยางไร….กอ นจะตั้ง มันตกกอน “จิตตก” คือตกไปในอารมณเชน โกรธ โมโห เศราใจฯล เปนลักษณะอาการ ของการ “ตก” “มันเปนธรรมดา อยางนั้นแหละ มันก็เปนของมันอยางนั้น แลวเธอไป เดือดรอนอะไรกับมัน” ถอยคําที่ไดฟงไดยินบอยๆ “จิตมีหนาที่รูอารมณ อารมณดีมันรู อารมณไมดีมันก็รู แตหลังจากนั้นแหละมัน เกิดอะไรขึ้น” ไดยินถอยคําที่อาจารยพูดบอยๆ ในใจออกมารับ ออ จิตมีหนาที่ รู อารมณ กอเปนผล ใหลักษณะอาการของจิตใจเปลี่ยนทันที ที่ไดยิน เบาใจ คลายใจ ออกจากเรื่องราวความคิด ใจไมเศราหมอง “เปนเหตุใกล”คํานี้ไดยินบอย แตยังติดคางใจอยู มันแครูตามจริงๆ ถึงวา มัน ยาก หากไม มี อ าจารย เ ปน ผู แ นะนํ า อบรมบ ม นิสั ย ใน คอร ด ก อ เหตุ ป จ จั ย เบื้องแรก คงไมสามารถคิดตามและตามคิด เขาใจตามได ตอนตั้ง จึงสังเกตไดยาก เพราะเปน ออโตรัน (autorun) มันไวมาก ยิ่งมันไว แตก็ไมไดสังเกต ไมไดฝกสังเกต หรือทวนถาม ชวนกันสาวหาเหตุ ยิ่งไมมีทางจะรูวามันตั้ง ไดตอนไหน มันเปนอยางไร 36
มันเปนเครื่องหมาย อะไร อะไร รูตัว รูสึก มันเปนเครื่องหมาย อุปมาคนไมเคยกิน ทุเรียน ใหมาอธิบายรสทุเรียน จะรูไดถึงครื่องหมายของรสทุเรียนไดหรือเปลานะ ที่ จริง ผมเคยคุยบอกอาจารยวา “อาจารย มารูตาม ตั้งก็ตั้งตาม หลังที่มันเกิดไปแลวทั้งหมดทั้งสิ้นไมมี ทางทัน เหมือนเขาวา รูเทาทัน, รูตัวทั่วพรอม ,ปจจุบันขณะ ,รูเทาทัน อารมณ” “ก็นั้นแหละ นาสาท ไอนั่นมันขี้โม” อาจารยพูด เกือบลืม หลังจากนั้นมาอาการเจ็บ ปวดทางกายที่ผมเปนอยูถูกรักษาดวย กระบวนการ ของ “ตกตั้งใหม” เริ่ม ที่รักษาที่ใจ ออกจากความคิด มาสัง เกตที่ อาการความรูสึก ความเจ็บปวด ในรางกายเทาที่จะทําได ไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นอีก 15 วันผมสามารถเดินได ชวยเหลือตัวเองได ผมมั่นใจในสิ่งที่ผมทํา มากกวาเชื่อใน สิ่งที่คิด ทําอะไร ทําสิ่งใด จะนอน จะนั่ง จะยืน จะเดิน ผมมั่นใจในสิ่งที่ผมทํา เพราะ ลองทําแลว มันมั่นใจมากขึ้น
37
8. สมการเซน– บุญพรอม ณ หลังเขา เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 ไดมีโอกาสมาเขากรรมฐานที่วัดจอมมณีเปน ครั้งที่ 2 วันหนึ่งมีการลอมวงสนทนาธรรมะกันหลายคน อาจารยประสาทเปนผูนํา ในการสนทนา ในวงไดพูดกันถึงเรื่องความคิดกับความรูสึก อาจารยประสาทได อธิบายเรื่องของความคิดกับความรูสึก ซึ่งฉันฟงแลวแยกไมคอยออก (เขาใจ...แตไมรู เรื่อง...) คงเปนเพราะติดอยูในระบบความคิด จึงขอใหอาจารยประสาทอธิบายใหฟง อีกที ทันใดนั้นมีวัตถุไมทราบชนิดฟาดลงบนหัวฉันอยางแรง เสียงดัง “พลั๊วะ” ตกใจมากคิดวาโดนไมหนาสามฟาดหัว หัวคงแตกแลวกระมัง ขณะที่กําลังมีนงงกับ เหตุการณนั้น ไดยินเสียงพระอาจารยดังขึ้นมาวา “รูสึกหรือยัง..มันตองคิดมั้ย..ถาม อยูนั่นแหละ” โอโฮ ! งานนี้ฉันตกแบบตั้งไมไดเลย กําลังไมพอ ไดแตนั่งน้ําไหลออก ตากลางวงนั่นแหละ จะลุกขี้นวิ่งหนีก็ลุกไมออก รูสึกอึดอัดขัดเคืองไปหมด ฉันได ถามพี่นอย(มุกดาหาร) ภายหลังวาพระอาจารยเอาอะไรฟาดหัวฉัน พี่นอยบอกวา หมวกไหมพรม ไมทราบเหมือนกันวาทําไมแคหมวกไหมพรมฟาด จะทําใหเจ็บปวดได ขนาดนั้น มันทั้งเจ็บทั้งอาย และรูสึกโกรธ (ความรูสึกในขณะนั้น) แตตอนนี้ไมเจ็บไม อายและไมโกรธแลวคะ กราบขออภัยพระอาจารยดวยคะ และขอบพระคุณที่พระ อาจารยสอนใหเกิดการเรียนรูแบบเซนคะ ซึ่งสามารถเขาสมการไดงายๆ ดังนี้ 1 หมวกไหมพรม + 1 หัว = 1 ความเจ็บ+ 1 ความอาย+ 1 ความโกรธ
...จึงเปนที่มาของ 1 + 1 เปน 3 ดวยประการฉะนี้ 38
กอนหนานี้ฉันไดเคยมีโอกาสเขารวมปฏิบัติธรรม โครงการพานองพบธรรม ที่ครูนายจัดใหนักเรียนโรงเรียนลองวิทยาเมื่อป 2549 พอไดฟงคําสอนของพระ อาจารยแลวรูสึกชอบ ทานสอนใหรูสึกตัวเพื่อออกจากสิ่งที่เราชอบใจหรือไมชอบใจ ทานพูดถึง “ตกรอยครั้งตั้งใหมรอยหน”ซึ่งฟงแลวเหมือนทําไดงาย แตจริงๆ แลว ไมไดงายอยางที่คิด บางวันไมไดรูสึกตัวเลย ทําไปตามความเคยชิน ไมไดกําหนดรูใน อิริยาบถของตนเลย ไมวาการยืน เดิน นั่ง นอน บางวันรูสึกตัวตอนตื่นนอนกับ ตอนเขานอนเทานั้น สวนมากจะอยูกับความคิดเสียเปนสวนมาก คิดนั่น คิดนี่ สารพัดสารพัน ไหนจะงานสอน ไหนจะงานพิเศษ ไหนจะตั้งฎีกาเบิกเงิน ไหนจะ เบิกเงินเดือน เงินคารักษาพยาบาล เงินคาการศึกษาบุตร บําเหน็จบํานาญครู เกษียณ เยอะแยะมากมายไปหมด บางวันถึงกับนั่งรําพึงรําพันกับตนเองวา “การทํา ความรูสึกตัวนี่มันยากจริงหนอ” ทุกครั้งจะมีเสียงของพระอาจารยแววเขาหูเสมอวา “ทํามันไมยาก มันยากตรงที่มันไมอยากทํา” บางวันตั้งใจจะทําความรูสึกตัวใหบอย ๆ กลับมีเสียงของพระอาจารยดังแววเขามาวา “เฮ็ดเลนเปนอีหลี เฮ็ดอีหลีเปนขี”้ อาวเปนงั้นไป.. จากการฝกฝนตกตั้งใหมตั้งแตป 2549 จนถึงปจจุบัน ก็เปนไปอยาง ทุลักทุเล ออกจากความคิดไดบางไมไดบาง หากพบกับสิ่งที่ไมชอบใจจะสลัดทิ้งได งายกวาสิ่งที่เราชอบใจ เพราะขืนเก็บไวจะอึดอัดขัดเคือง ทําใหจิตใจเศราหมอง วิธีการคือ ใหรูสึกตัววาขณะนี้กายของเรากําลังทําอะไรอยูใหชัดเจน เพื่อออกจาก ความคิดที่คิดอยูในขณะนั้น หากพบกับสิ่งที่ชอบใจนี่สิตัวราย..มันแซบ..อยากอยูกับ มัน ไมอยากออกจากมัน มันสะใจดี บางครั้งยังขอตอรองกับตนเองอีกวา ขออีก 3 นาทีนะ ขออีก 5 นาทีนะ พระอาจารยถึงกับบอกวา “โงหลาย...ตายซะ” พระอาจารยเคยบอกฉันเสมอวา “ครูคณิตศาสตรมันโง รูจักตัวเลขแค 10 ตัว ตั้งแต 0 ถึง 9 เทานั้นแหละ” หรือ “ครูเดี๋ยวนี้มันไมใชครูแลวนะ เปนเพียง 39
แคพนักงานรับจางสอนหนังสือเทานั้นนา” หรือไมก็ “ลูกผูหญิงมันอิจฉากันเอง” เมื่อกอนถาไดยินไดฟงคําเหลานี้จะรูสึกไมชอบใจมาก ฉันมักจะเถียงพระอาจารยอยู ในใจทันที แบบประโยคตอประโยค แบบสวนกลับทันที ที่พระอาจารยพูดเสมอวา “ไมจริง! ไมใช!” แสดงวาตกแบบไมรูตัว ไมรูตกไมรูตั้ง วางั้นเหอะ แตเดี๋ยวนี้ไมวา พระอาจารยพูดอะไร จะทนได ไมโกรธ จะยิ้มหรือหัวเราะ รับมุขได ไมเถียงในใจ พระอาจารยบอกวา “เดี๋ยวนี้หนาดาน” ฉันวา...ตกตั้งใหม...จะไดผลจะตองมีกัลยาณมิตร พูดคุย แนะนํา แลกเปลี่ยนเรียนรู เตือนสติซึ่งกันและกัน มีครูบาอาจารยที่ใหคําแนะนําและตอง เชื่อฟงคําสั่งสอนของครูบาอาจารย นอมรับคําสอนของทานแลวนําไปประพฤติ ปฏิบัติตามกําลังของใครของมัน . . . สะสมทีละเล็กทีละนอยตามกําลังของตน ยอมรับวาการทําความรูสึกตัวไมใชเรื่องงายสําหรับตัวเอง ตองอดทน ตองมีความ เพียรพยายาม ตองฝกฝนบอย ๆ จนเกิดความเคยชิน โดยใชกายตนเปนสถานที่ทํา ใชใจตนเปนผูทํา คือใชใจดูกายเจาของ (เที่ยวไปในกายของตน) นั่นเอง...แต...ใจของ ฉันมันชอบไปเที่ยวที่อื่นอยูเรื่อย ก็กําลังฝกฝนตกตั้งใหมเชนกันคะ
40
9. แคนี้ก็เหลือกิน - ณรังษี เมฆบุญสงลาภ “ครูฉั่ว พระอาจารยอยูที่ไหน เราอยากไปพบพระอาจารย” นั้นเปนครั้ง แรกที่รูสึกวาสิ่งที่ไมชอบใจรบกวนจิตใจอยางมาก แมจะทําทุกวิธีที่จะใหลืมเรื่องที่ไม ชอบใจ แตมันก็เขามาวนเวียนอยูในความคิดตลอดเวลา นอนหลับก็ไมคอยสนิท ตื่น กลางดึกแลวก็คิดวนเวียนอยูแตเรื่องนั้น ลึกๆในใจคือเราคิดวาเราทําถูกทําดีแลว แต ทําไมไมไดสิ่งที่ดีๆตอบแทนกลับมา จนไดมีโอกาสเรียนรูเรื่องตกตั้งใหมครั้งแรกกับ พระอาจารยไพบูลย ที่หาดเสลา นครสวรรค เปนการเรียนรูการรักษาใจที่ไมเคยได เรียนรูที่ไหนมากอน ไดฟงการถามและตอบปญหาชีวิตของเพื่อนที่รวมเรียนรูดวยกัน พระอาจารยตอบไดทุกคําถามและในใจเราก็หาขอหักลางไมได ฝกหัดการรูสึกตัวผาน การยืน เดิน นั่ง นอน การกราบพระ ซึ่งเปนชองทางใหออกจากเรื่องราวที่สามารถทํา ไดและเอาไปใชไดในชีวิตจริง เราก็ไดเรียนรูวาปญหาของเราที่รบกวนจิตใจ ถาเทียบ กับปญหาของคนอื่น เชน พี่รัตนพยาบาลที่นครสวรรคที่เปนมะเร็งระยะที่ 3A ที่เอา ชีวิตเปนเดิมพัน จึงมาตระหนักวาเรื่องที่รบกวนจิตใจเราชางเปนเรื่องเล็กนอย แต ทําไมมันชางกดทับจิตใจเราไดอยางมากมาย เปนเพราะเราไมยอมที่จะจบเรื่องราว เหลานั้น เราสะใจกับเรื่องราวนั้น กลับจากหาดเสลา ก็ไดฝกการรูสึกตัวใหบอย ทั้ง การยืน เดิน ทํางาน ผลของการปฏิบัติทําใหเมื่อเวลาเผชิญกับคนและสิ่งที่ไมชอบใจ รูสึกวาในใจสั่นไหวนอยลงเวลาตองปฏิสัมพันธกับผูคน มีอยูครั้งที่มีเรื่องราวใหตอง โกรธ รูสึก ไดถึง ความรอนที่วูบ ขึ้นในตัว ใจสั่น มันอยากตอบโตส วนกับ ทันที แต เหมือ นมีอะไรมาหยุดไดทัน ก็เ ลยไมไดโ ตตอบกลับ ไปแบบเดิมๆที่เ คยทํา ก็ไมเกิด เรื่องราวที่จะกระทบใจกับคนอื่น เรียกไดวาเดี๋ยวนี้ รักษาใจพอไดและจบเปน 41
จากนั้นก็ไดมีโ อกาสเรียนรู ตกตั้งใหมอีก หลายครั้งทั้ง ที่วิท ยาลัยพยาบาล สวรรคประชารักษ คายเด็กเมืองลอง และที่บานตองตึง ของ อ.ประสาท ที่จังหวัด แพร การไดเขากรรมฐานครั้งแรกที่วัดปาจอมมณีเมื่อป 53 ที่เกือบจะไมไดไปเพราะ ความโลเลและรักความสบาย แตเพราะคําของพระอาจารยที่วา “บุญไมมีอยาหวัง นะ” ก็เลยตัดสินใจไปได การที่ไดฟงธรรมะที่ลานธรรมครั้งนี้ไดเรียนรูเรื่องการฟง เปนมากขึ้น กอนหนานั้นก็ไดขอสังเกตเรื่องการฟงมาวาเราพูดตามในใจทุกคําพูด บางคําที่เราสงสัยใจเราก็จ ะตามคิดในคํานั้นไปเรื่อย จนการฟงของเราไมส มบูร ณ จากการสังเกตและฝกการฟงผานการรูสึกตัว เราจะฟงทุกคําผานไปอยางรวดเร็วไม ไปทวนทุกคํา โดยตองฝกการรูสึกตัวใหบอยและสังเกตการฟงใหมากขึ้น เมื่อกลับมา อยูที่บานและที่ทํางาน ก็ยังมีอยูบอยครั้งที่ถอยคํามีกําลังแรงพอที่จะดึงเราใหตกไป กับถอยคําและเรื่องราวนั้นได รูวาเราจะออกจากเรื่องราวที่ไมชอบใจเหลานั้นไดเรา ตองมีกําลังเพียงพอ ถอยคําหรือเรื่องราวจึงจะหมดอิทธิพลตอเรา ทั้งนี้อยูที่การฝก ตนซึ่งไมยากแตที่ยากเพราะเราไมอยากทํา เรื่องราวมันจึงดึงเราไปสูรองอารมณเดิม การเรียนรูตกตั้งใหม ที่บานตองตึงเมื่อวันสงกรานตป 53 ก็เปนอีกครั้งที่ได เรียนรูอยางเขมขน ความที่เราเปนแมที่มีลูกชายคนเดียววัย 7 ขวบ สังเกตเห็นวาลูก ชาย มีลักษณะนิสัยที่ถาไมแกไข หากเขาโตขึ้นไปกวานี้ตัวเขาเองและเราจะลําบาก อาจจะโดยจากการเลี้ยงดูของเราที่ประคบประหงมเคาใหไดรับความสบายมากเกินไป จนเขาไมพยายามชวยเหลือตนเอง แมกระทั่งเรื่องงายๆ ที่ใครอาจไมรูสึกวานาจะเปน ปญหา เชน การกิน การเลนตามประสาเด็ก เราสังเกตเห็นไดเมื่อรวมวงกินขาวใน กลุมเด็กที่ตองตึง ลูกชายเรากินขาวชามากและรอใหแมจัดการให ใจของแมที่เห็นลูก ชาในการกิน เราอยากเขาไปจัดการตักกับขาวใหเขาจนแทบอยากจะปอนเลย ดวย กลัววากับขาวจะหมดแลวเขาจะไมไดกินกับขาวดีๆ เราไดเรียนรูที่จะหยุดไมจัดการ ใหลูกทุกอยางเพื่อที่เขาจะไดแกไขตัวเอง หากกินไมทันเคาก็อดไป แลวจะไดเรียนรูที่ 42
จะเอาชีวิตใหรอด เพราะชีวิตจริงโหดรายกวาที่เด็กแยงกันกินขาวบนโตะเยอะ เราไม สามารถทําใหลูกไปไดตลอดชีวิตของเขา เราเรียนรูไมใหลูกกดปุมเรา และใหลูกได จัด การอารมณ เ ขาเองเมื่อ มี เ รื่ อ งที่ เ ขาไม ช อบใจอย างแรงในวั น สุด ท ายของวั น สงกรานต อาจารยใหแบบทดสอบเล็กๆ เขาเอะอะโวยวาย รองไห สวนเราถูกกันให ออกไปอยูวงนอกไมไดเขาไปโอลูก ปลอยใหลูกชายจัดการอารมณของเขาเอง ครั้งนี้ แหละที่เราแทบหยุดตัวเองไมอยู ไดยินเสียงลูกรองไห เตะประตู โวยวาย คําพูดที่ คร่ําครวญหาแม ใจเรารอ นรนอยากเขาไปจัดการใหเ ขาเงียบ เราอายดวย พระ อาจารยและเพื่อ นกัล ยาณมิตร ใหส ติวาเปนโอกาสที่เ ราจะไดฝกตั้งและออกจาก เรื่องราวนั้น ตอนนั้นเหมือนใจมันจะขาด สักพักเพื่อนก็พาออกไปขางนอกกับอาจารย แมออกมาจากบานตองตึงแลว แตตลอดเวลาที่อยูในวงสนทนา ใจเราก็คิดหวงลูกจน นั่งไมติด ตกเย็นจึงไดกลับเขาบาน รูสึกทึ่งมากที่เห็นลูกชายเขาพูดคุยกับทุกคนอยาง ปกติเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไดเรียนรูที่จะกลับเขากลุมใหไดหากทําอะไรที่ไม เหมาะสม ในการทํางานเรื่องสุขภาพ ตกตั้งใหม ถูกนํามาใชอยางกลมกลืนในการอบรม โดยไมทําใหรูสึกวากําลังปฏิบัติธรรม นาสาทและศรชัย ไดเปนปจจัยใหชาวบานได เรียนรูการสังเกต ความหิว ความอยาก เหมือนกับที่เราเคยไดเรียนรูตอนกิน “กาแฟ หมา” การไปตักอาหารเองทามกลางเมนูที่หลากหลาย ไดสังเกตใจที่โลภอยากกินไป หมด ตักมาแลวก็มารอ เห็นความหิวและอยากชัดมากขึ้น แทบกระโจนลงไปกินใน กะละมังเลย พอไดกินโดยไมตองคุยกัน เคี้ยวใหชาลง บางคนกินไมถึงสิบคําก็อิ่มแลว ที่ตักมาไมหมดเหลือเกือบครึ่ง ไดฝกชนะใจตนเองในการจัดการแกไขตนเอง จนเกิด ปญญาปฏิบัติ ไดเปนปจจัยที่ทําใหชาวบานนําตกตั้งใหมไปใชตอเมื่อกลับไปที่บาน เชน ฝกรูสึก ตัวผานทาโยคะงายๆ จนสามารถควบคุมการกินได พุงลดลง เลิกดื่ม เหลา อารมณเย็นลงจากที่เคยโมโหราย บางคนก็หยุดการที่จะทะเลาะกับคนใกลตัว 43
ไดทัน ครอบครัวก็เปนสุข ใชไดจนถึงเรื่องในมุงที่ชายหญิงอาจไมเทาเทียมกันเมื่อวัย ลวงเลย “อาจารยใหญ” ที่บานไมวาจะเปนสามีและลูก ก็เปนครูฝกที่มาทาทายทุก วัน ใหไดตกบอยๆแลวตั้งไมคอยทัน ถลําลงรองอารมณเดิมและการพร่ําบนไดงาย ดวยเราไปคิดอยากเปลี่ยนแปลงพวกเขาใหไดอยางใจเรา เราไดเ รียนรูวาเราไม สามารถเปลี่ยนแปลงใครได เปนไดแคปจจัยใหเขาไดเรียนรู และแมนเราจะเปน ปจจัยใหเขาเรียนรูแลวถาเขาไมเปลี่ยน เราเสียอีกที่ตองรักษาใจใหได เพราะสุดทาย ไมวาตัวเรา สามี ลูก ตลอดถึงทุกๆคนตางมีชีวิตเปนของตนเอง และมีทางสายเดี่ยว เปนเปาหมายที่บัง คับใหทุกคนตองเดินไป สิ่ง ที่เราตองทํากอนที่เวลาจะมาถึงคือ เพียรรูสึกตัวใหปลอย ตกก็รูใหวาตก ตั้งใหได สั่งสมกําลังเพื่อเผชิญกับสิ่งไมชอบใจ และความทุกข ดังที่ที่พระอาจารยชี้ทางพนทุกขใหวา “แคนี้ก็เหลือกินแลว ตกรอย ครั้ง ตั้งใหมรอยหน”
44
10. ไมออนดัดงาย – ปยะเรศ สีเกี๋ยง เมื่อราวๆ 5-6 ปกอน ฉันกําลังอยูในชวงยายโรงเรียนใหมจากชั้นประถมมา อยูมัธยม และยายจากโรงเรียนประจําตําบลมาอยูโ รงเรียนประจําอําเภอ ซึ่งเปน โรงเรียนขนาดใหญขึ้นและมีเด็กนักเรียนมากกวาเดิมอีกหลายเทาตัว เด็กที่นี่มาจาก หลากหลายแตสวนใหญจะมาจากในตัวอําเภอ เปนที่รูกันดีอยูวาเด็กในเมืองยอ ม ไดเปรียบกวาเด็กนอกเมือง สวนตัวเราเองก็เปนเพียงคนเดียวของทั้งโรงเรียนเกา ที่มาเรียนที่นี่ ทําใหตอ งหาเพื่อนใหม ซึ่งเปนการยากมากที่จะใหสนิทกันเหมือ น เพื่อนเกา ชวงนั้นก็ พ อดี วาใกลวั นเกิ ดของตัว เอง กอ นหน านี้ฉั นเคยบอกกับ แมว า อยากจะจัดงานวันเกิด จึงตั้งใจวาจะจัดเปนงานเลี้ยงแลวชวนเพื่อนมากินกัน เพราะ เห็นหลายบาน หรือเพื่อน พี่นองหลายคนก็จัดกันออกบอยเปนที่สนุกสนาน มีทั้ง ทํากับขาว ดื่มเหลา ดื่มเบียร ปง ยาง เนื้อกินกับแกลมกัน แตกอนนั้นเราไมกลา ขอจัดเพราะเพื่อนแตล ะคนก็ยัง เด็กกันอยู แตรูสึกวาตอนนี้โ ตขึ้นแลวนาจะจัดได ประกอบกับตัวเองเปนคนที่พอแมตามใจมาตลอด อยากทําอะไรก็ทํา ไมเคยบังคับ แมกระทั่งจนถึงตอนนี้ แตเหตุการณกลับไมเปนดังคาด เพราะเมื่อไปขอเขาจริงๆ แมกลับไมเห็น ดวย และแมขัดขึ้นมาซะกอนวา “ แมไมใหจัด” ซึ่งเหตุผลของแมก็คือ “ แมไม อยากใหสิ้นเปลือง กับเรื่องเหลานี้ อยากใหเก็บเงินไวใหไปเรียน จะไดเรียนสูงๆ จบมาจะไดมีงานดีๆ ทํา” แลวแมก็ยกตัวอยางใครหลายๆคนอีกสารพัด เชน คุณ หมอชาญชัย ศิล ปะอวยชัย คุณหมอที่ห ลายๆคนเคารพ เพราะท านเปนคนดี 45
ชวยเหลือชาวบานมาตลอด แลวก็เปนคนรวยที่เคยจนมากอน รูจักคุณคาของเงิน จนลูกของทานยังนึกนอยใจหลายครั้งที่พอ ไมใหจัดงานวันเกิด ซึ่งก็เพราะเหตุผ ล เดียวกันกับแมนั่นเอง แตแมยังไมไดจบเพียงแคนั้น แมบอกตอดวยวาถาอยากจะจัด ก็ไดแตแมไมใหเงิน ตองหาเงินเอง และที่สําคัญ ถาจะจัดตองไมมีอบายมุขทั้งหลาย มาเกี่ยวของ ความรูสึกตอนนั้นบอกไดเลยวา ก็นึกเคืองๆบางละ ตามประสาของคนที่ไม เคยถูกขัดใจมากอ น พอแมพูดจบปุบ ก็ยังเก็บมาคิดตออีกวาทําไม แมถึง ไมใหจัด ไมใหโ อกาสเรา มันรูสึกอึดอัดขัดเคือ งใจ กระวนกระวาย ยังไงบอกไมถูก เลยละ เพราะชวงนั้นยังไมไดรับการฝกจึงไมรูวิธีการที่จะจัดการกับอารมณของตัวเองวาเปน อยางไร รูอยางเดียววาจะรองไห อยากจะอาละวาด หรือโวยวาย หรือทําอะไรก็ได ซักอยาง เพื่อระบายอารมณอ อกมา ไมรูเลยวาตอนนั้นทําอะไรลงไปบาง แตไมรู อุปทานไปเองหรือเปลา วาหลังจากที่เราแสดงอารมณนั้นไป บรรยากาศในบานมันไม คอ ยนาอยูเ ทาไร พอ แม พี่ ไมมีใครคุยกันเลย เงียบๆ อึดอัด สวนฉันก็นั่ง คุยกับ ตัวเองตั้งนาน ตกอยูในหวงความคิด คิด คิด คิด คิดแลวก็คิดอีกวาตอไปฉันจะไปบอก เพื่อนยังไงดี คิดไปสารพัดอยางแมกระทั่งเรื่องที่ยังมาไมถึง แตสุดทายก็ตองลุกไป ทําอยางอื่นตอ เปนอันสรุป ไดวาเหตุผลที่แมชี้แจงมาในวันนั้น ไมไดอ ยูในใจ หรือ จิตสํานึกเลยแมแตนอย แตสุดทายก็ตองยอมรับในสิ่งที่แมพูดทําไงไดละ ก็ไมมีทุนนี่ นา งานวันเกิดในปนั้น จึงเพียงแคไปทําบุญที่วัดกับแม เพียงแคนั้นเอง แตความตั้งใจ ที่จะจัดงานเลี้ยงยังไมหมดไป ถึงจะไมไดจัดวันเกิดก็ขอกินเลี้ยงกันแบบธรรมดาๆ ตอมาภายหลังฉันก็ไดจัดจนไดเพราะทํางานกับปาไดเงินมาหกพันกวาบาท หลังจาก ซื้อเสื้อผาของฝากใหครบทั้ง พอ แม พี่สาว พี่เขย เราก็จัดการเลย เลี้ยงหมูกระทะ เพื่อนๆ สนุกสนาน และอิ่มใจอยางบอกไมถูก เพราะครั้งนี้ที่จัดได ก็มาจากเงินที่ หาไดเอง แลวไดรูวางานเลี้ยงไมจําเปนตองมีอบายมุขก็สนุกได 46
เรื่องของการเรียนนับไดวาฉันก็เปนคนเกงคนหนึ่ง แตในใจจริงๆแลวไมมีใคร รูเลยวาฉันรูสึกกดดันตัวเองมากเวลาเขาเรียนแตละครั้ง เวลาเกรดใกลจะออกแตละ ที ฉันจะรูสึกปวดหัว เพราะตื่นเตน กลัวเกรดออกมาไมดีเหมือนครั้งกอนๆ กลัว ไมได 4 ทั้งหมด ในขณะที่คนอื่นชื่นชมแตฉันกลับไมมีความสุขกับมันเลย ยิ่งมาเขา โรงเรียนลองวิทยาใหมๆ ยิ่งกดดันเพราะเพื่อนแตละคนเกงๆทั้งนั้น ยังจําไดเลยวาครู นาย เยาวลักษณ ชอบแซวอยูบอยๆวา “แตนะเมื่อกอนไมเหมือนตอนนี้ หัวจะฟูๆ คิ้วจะขมวดกัน ชนกัน เดินก็เร็ว เหมือนยุง เครียดอยูตลอดเวลา” เปนเพราะ ฉันคิดอยูตลอดเวลา วางแผนอยูเสมอวาทําตรงนี้แลว ตอไปควรจะเปนยังไง พอ ไมไดดังใจ ก็เก็บมาคิดตออีก ใครทําอะไรไมถูกใจ เปนเจอวีนบางละ จนสุดทาย หลังจากเกรดออกแลว ถึงไดสบายใจ เพราะยังไมตก 3.8 แตความเครียดมันเริ่ม มากขึ้นๆ เพราะคิดอีกแลววาเทอมตอไปถาตกจะทํายังไง แลวกิจกรรมก็ชางเยอะ จริงๆ ยิ่งไดเปนหัวหนาหองยิ่งตองรับผิดชอบทุกอยาง ตอนนั้นสมองเริ่มเบลอ จะ เขียนวันที่เ พื่อสง งานครูยังลืมวา วันนี้วันที่เ ทาไร หรือทํางานอะไรหลายอยางก็ดู เหมือนจะผิดพลาดไปหมด เพราะปลอ ยใหเรื่องกังวลมีอ ยูในใจเยอะเกินไป จน จัดสรรเวลาใหกับตัวเองไมได จนกระทั่งไดพบเพื่อนที่เคยไปฝกปฏิบัติกับอาจารย นั่นแหละถึงไดตัดสินใจไปลองดู พอไดไปฝก แรกๆ ฉันก็ไมคอยเขาใจเทาไร อาจารยพูดอะไร ไมรู ไดยิน อยูแตจับสาระไมคอยได แตหลังจากนั้นฉันก็ไปทุกครั้งที่จัดคายพานองพบธรรม จน ครั้งที่ 3-4 ฉันถึงเขาใจวาทําไมฉันถึงไดเปนถึงขนาดนั้น ไดเห็นถึงการใหแกไขตัวเอง เพราะแตกอนฉันสนใจแตคนอื่น สังเกต และอยากจะทําอะไรสารพัดเพื่อคนอื่น แต ลืมที่จะสังเกตและเอาใจใสตัวเอง บานของฉันไมแข็งแรง พอลมพัดเขาหนอยถึงกับ เอนเอียงจวนจะลม แลวแตกอนพอพอ แม ขัดใจหรือเตือนฉันก็จะเถียงกลับไปทุก ครั้ง เพราะฉันเชื่อวาตัวเองถูกเสมอ พระอาจารยทําใหฉันนึกถึงพระคุณของพอแม 47
ที่เลี้ยงใหโตมาไดจนถึงทุกวันนี้ และยังทําใหฉันไดมีโอกาสเปดโลกใจใหกวางขวาง มากขึ้น ไดเห็นความเปนจริงที่เกิดขึ้นในปจจุบัน ทําใหฉันยอมรับความเปลี่ยนแปลง หลายอยางที่ไมเคยคิดเลยวาตัวเองจะทําได ทําใหฉันไดรูตัวเองวาสิ่งที่ฉันตองการ จริงๆคืออะไร ทําใหฉันซึ่งเดินหลงทางในความฝน ออกมาใชชีวิตอยูกับความจริงได ดวยประโยคทานกลาวออกมา “เราเกิดมาไดก็บุญโขแลวลูก พอแมเขาหยอกกัน เลนเฉยๆ เรานั่นแหละทะลึ่งเกิดมาทําไม” ตอนไดฟงอยางนี้แรกๆสะดุงเลยคะ หลังจากนั้นภาพพอแมทํางานหนักก็วนเวียนมาใหเ ห็นตลอด และทําใหคิดไดวา “ถึงแมทานจะเปนอยา งไรก็ตาม ทานก็คือพอ แม ผูใหกําเนิด คือผูมีพระคุณ ผูใหชีวิต” หลังจากนั้นไมนาน ประโยคใหมจากอาจารยก็ตองทําใหสะดุงอีกครั้ง ที่วา “ไมแกเขาไมดัด..แตตัดเอาไปทําอยางอื่น” ถอยคํานี้ทําใหนึกถึงตัวเองเลย รูเลยวา ที่สิ่งที่พอแมทํานั้นทานพยายามอบรมเรา ทําใหดู ไดเห็นตัวอยาง ดัดเราเสียตั้งแต วันนี้กอนที่เราจะไปเจอกับชีวิตจริงในวันหนา ฉันเห็นดวยวา หากอยากจะดัดใครก็ ตองดัดตั้งแตตอนเด็กๆ ยังเปนไมออนอยู พอเปนไมแกไปแลวคงยากที่จะดัดได พอดัดไมได เขาก็ตัดซะเพื่อเอาไปทําประโยชนอยางอื่น
48
11. อยาบาตามเขา - นันทภัค เสนาใจ ฉันไดรูจักพระอาจารยมาตั้งแตอายุประมาณ 10 ขวบโดยการตามแม ไปวัด ฉันไมไดสวดมนตอะไรหรอก แตชอบตามไปนอนอยูใกลๆ แม พระอาจารยจะ เห็นความเปนไปของฉันไดเปนอยางดีมาโดยตลอด ยกเวนแตชวงเขาสูวัยรุนเพราะไป เรียนหนังสือที่ตางจังหวัดจึงหางพระอาจารยไป ชวงที่เรียนนั้นฉันก็ไดใชชีวิตวัยรุน อยางเต็มที่ เหตุเพราะชวงที่อยูกับแมมีความรูสึกวาคุยกับแมไมคอยรูเรื่อง จําไดวา ตอนที่ฉันยังเล็ก ถาหากแมอารมณเสียก็มักพาลมาลงที่ฉันกับพี่ตลอด เมื่อมีโอกาสอยู ไกลหูไกลตาแมฉันก็อยากใชชีวิตของฉันใหเต็มที่ ชวงนั้นฉันอยูกับพอประมาณ 3 ป พอของฉันไมใครบนวาไมเหมือนกับแมที่คอยบนวาฉันตลอดเวลา วัน หนึ่ง แม ชวนฉัน ไปหาพระอาจารยที่ วั ด เขานอ ย ฉัน ไมไ ด เ จอพระ อาจารยมานานจึงอยากไป พอเห็นหนาอาจารยก็ถามทุกขสุขพรอมกับสั่งสอนแบบที่ อาจารยเคยทําเปนประจํา มีคําหนึ่งที่ฉันฟงแลวสะดุดใจมากคือ “แนน...เธอก็โตขึ้นทุกวันๆ ถาวันหนึ่งไมมีพอไมมีแมแลวจะอยูอยางไร……..” คําพูดนี้มันทําใหฉันไดคิดไดในวันนั้นเองวาตลอดเวลาที่ผานมาที่ฉันไดใชชีวิตนั้นมัน นาเสียดายจริงๆ ฉันเลยตัดสินใจที่จะกลับมาอยูกับแมที่บานและทํางานที่เดียวกับแม ชวงแรกของการทํางานรูสึกวาเปนสิ่งที่วิเศษมากๆ ฉันไดเจอกับสิ่งที่ใหมๆ ดีๆ ได ความรักและเอาใจใสเปนอยางดี จนลืมพอกับแมไปเลยโดยไมรูสึกตัว ในตอนนั้นพอ 49
กับแมไมไดอยูในสายตาเลย ถาหากไดคุยกันเมื่อไร เปนตองทะเลาะกันทุกที ฉันเริ่ม เบื่อแมมากขึ้นเรื่อยๆ หนาตาฉันเริ่มไมแจมใส อารมณแปรปรวนจนอาจารยเห็นหนา ฉันถึงกับพูดวา “โหย…..หนาตาไมรับแขกเลยคิ้วผูกโบวตลอดเลย สวดมนตเขาอะไรๆ มันจะไดดี ขึ้น….” ฉันก็บอกวา “ ไมไดหรอกคะมีเรื่องตองคิดอยูตลอดเวลา” อาจารยก็บอกอีกวา “ถาเขาบา....เอ็งก็อยาไปบาตามเขา” คําพูดเหลานี้ยังไมอาจรักษาใจฉันไดอยูดี ตอนนั้นสภาวะที่เปนก็คือมันตอง คิดฟุงซานอยูตลอดเวลา สวนพระอาจารยก็ยังมาบานที่ฉันอยูบอยๆ ฉันไดมีโอกาส สนทนากับพระอาจารยเรื่อยมาจนไมรูเมื่อใดที่ตัวฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ฉันเริ่มทําใจ ได กั บ ป ญ หาที่ มี อ ยู ร อบๆ ตั ว และเริ่ ม จั ด การกั บ ป ญ หาได ที ล ะเล็ ก ที ล ะน อ ย ความสัมพันธกับแมก็เริ่มกลับมาดีขึ้นแมเริ่มใชอารมณนอยลงไปเรื่อยๆ เห็นความ ผิด พลาดเปน เรื่อ งนา หัว เราะ อยา งเรื่ อ งเมื่อ เดือ นตุ ล าคมที่ ผ านมาเปน อะไรที่ ประหลาดใจมากเพราะวาแมและฉันไมเคยเปนอยางนี้มากอน เรื่องมีอยูวาแนนเอา ลูก คาดู ส รอยอยูเ ส นหนึ่ง แตยัง ไมถูก ใจแบบสรอยก็เ ลยฝากแมม า พอตกตอน กลางคืนแมบอกวา “แนน สรอยวางอยูบนโตะนะ เก็บใหดีๆ” เราก็บอกวาแมวา “รู แลวเดี๋ยวเก็บ ” แมบอกวาเดี๋ยวมันหายนะ “จะไมหาย” ฉันก็เก็บไวในลิ้นชักโตะ ปรากฏวาไมถึงอาทิตยจะเอาสรอยไปใหลูกคาดู ฉันก็จัดการเปดลิ้นชักโตะดูก็ไมมีแม บอกวาหาอะไรเหรอ “หาสรอยไงแม” ฉันก็คิดอยูนะวาเราก็ใชแลวทําไมหาไมเจอสัก ทีแมก็ชวยหาบนไป “บอกวาใหเก็บไวดีๆ” สิ่งที่ประหลาดใจมากที่สุดคือแมพูดบน แกมหัวเราะ ฉันก็นึกวาแมจะโมโหเหมือนครั้งกอนๆ ที่วามัก จะบนแบบมีอ ารมณ 50
ประมาณวาไมรูจักเก็บเปนที่เปนทาง แตกลับกลายเปนวาฉันเริ่มมีอารมณนิดๆ วา ทําไมหาไมเจอนึกขึ้นไดถาโมโหกับแมคงไมดีแนนๆ เดี๋ยวจะเปนบาป ก็ตกตั้งใหมคือ ปรับความรูสึกตัวใหเร็วที่สุดจนเปนปกติแลวก็เริ่มหัวเราะกับแมได แลวก็ขอโทษแม วาจะเก็บเขาของใหดีกวานี้ ซึ่งแบบนี้ไมใชนิสัยของฉันเลยเมื่อกอน เดี๋ยวนี้ ฉันก็เปลี่ยนตัวเองหลายอยาง เชนดูแลพอแมมากขึ้นเอาใจใสมากขึ้น กวาเดิมเยอะ ถาไมมีวันนี้ที่เราไดเจอ ‘ครูใหญ’ เราคงตองตกบอที่มองอะไรไมเห็น สิ่งตางๆไมชัดเจน ทุกวันนี้คุยกับแมเสมอวาถาเราไมมี ‘ครูใหญ’ ปานนี้เรา 2 คนตอง หนาผูกโบว หนาปวยใจปวย ตองเขาหองไอซียูกันทั้งแมและฉัน สุดทายนี้ ฉันอยากจะเลาเรื่องของแมใหฟงบางเล็กนอย เมื่อประมาณ 17 ป มาแลว แมมีอาชีพทํากับขาวสุกขายตามหนวยราชการ วันๆ แมก็ขายของพรอมกับเลี้ยงลูกอีกสองคนสวนสามีทํางานอยูตางจังหวัด แมมักมี อารมณหงุดหงิดกับลูกๆ อยูเสมอ วันหนึ่งมีขาประจําที่ซื้อกับขาวแมชวนแมไปเขา กรรมฐานที่วัดศรีบุญเรือง แมก็ปฏิเสธไปวาไมมีเวลาเพราะตองขายของ ขาประจํา ซื้อกับขาวก็หมั่นชวนอยูบอยๆอยางไมลดละ จนวันหนึ่งแมก็ตอบตกลงไปดวยความ เกรงใจ โดยกระเตงเอาฉันซึ่ง เปนลูกสาวไปดวย เมื่อ ไปครั้ง แรกแมก็สวดมนต นั่ง สมาธิแบบชนิดที่เรียกวา ตัวอยูที่วัดแตใจก็นึกไปถึงวา “เอ….พรุงนี้เราจะทําอะไรไปขายดี แลวจะไปขายที่ไหนกอนดีหนอ….”
51
แรกๆก็เห็นแมไปไมไดสม่ําเสมอนัก ตอมาก็เริ่มไปทุกวันโดยพยายามปรับตัว เตรียมขาวของที่จะไปขายใหเสร็จเรียบรอยแลวจึงไปวัด เพื่อที่จะไดไมตองกังวลวายัง ไมไดเตรียมของ แมเริ่มไปวัดทุกวันจนพอ (ลุงศักดิ์) สงสัยและถามวา ‘ไปวัดทําไมทุกวันๆ’ แมก็บอกวาไปสวดมนต ตอนนี้แมจิตใจเริ่มดีขึ้น การทํามาหากินก็เริ่มดีขึ้นตามไป ดวย จนในที่สุดแมก็เลิกอาชีพขายกับขาวถุง เพราะมีลูกคาที่เปนกัลยาณมิตรชวนแม ไปทํางานดวย ตอมาเธอก็ไดชวนฉันใหไปทํางานดวยอีกคนหนึ่ง โดยใหฉันไปกินนอน อยูที่บานของเธอเลย ในดานหนึ่งฐานะความเปนอยูของแมก็เริ่มดีขึ้น หนาที่การงาน ของพอ ก็ดีขึ้นตามไปดวย ชวงนี้แมก็เ ริ่มหางจากการไปทําวัตรเย็นไประยะหนึ่ง เพราะวางานที่ทําอยูตองติดตอผูคนตลอดไมจํากัดเวลา แตถาไดขาววาพระอาจารย ไปแพรเมื่อไรแมก็จะแอบหาเวลาไปนมัสการพระอาจารยตลอด เมื่อทํางานที่ใหมนี้ได ประมาณสิบหาปแมก็อยากออกจากงานเพราะมีปญหาและอุปสรรคในการทํางาน มากขึ้นเรื่อยๆ ทําใหแมไมมีความสุขในการทํางาน อยากขอลาออกหลายครั้งแตก็ไม กลาเพราะเกรงใจและอยูกันมานาน จึงปรึกษาปญหานี้กับพระอาจารยเสมอ พระ อาจารยก็ไดแตบอกวา ‘ออกไดแนเมื่อสิ้นเหตุสิ้นปจจัย’ แมก็ยังไมเขาใจกับคําของ พระอาจารยเทาไรนักในตอนนั้น และก็รอนใจกับการอยากออกจากงานตอไป จนวั น หนึ่ ง ได เ กิ ด เรื่ อ งราวที่ แ ม ส ะเทื อ นใจมากที่ สุ ด และแม ก็ คาดหวังกับสิ่งนี้มาก และสิ่งที่แมคาดหวังไวก็ไมเปนดังที่แมตั้งใจไว เหตุการณนี้ทํา ใหแมตัดสิ้นใจไดในวันนั้นเองวาแมควรตัดสินใจอยางไรกับการงานในชีวิตของแม และแมก็เขาใจคําวา ‘เมื่อสิ้นเหตุสิ้นปจจัย’ ที่พระอาจารยเคยบอกไวในตอนนั้นเอง มันก็ขึ้นมารับทันที ออ...มันถึงเวลามันก็ทําใหเราหายของใจ
52
ฉันไมแนใจเหมือนกันวาความเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัวของเรามันเริ่ม ตั้งแตตอนไหนเพราะในขณะที่ทุกขมาสุม เรามักมองเห็นแตความทุกข เหมือนมืด แปดดาน คิดอะไรไมออกอยากแตจะแกปญหาเพียงอยางเดียว แตถามองใหดีๆ แลว ขณะนั้นเราไมไ ดแก ไขอะไรให ดีขึ้น แมแ ตนอ ยเพราะใจเรามัน ฟุง ไปหมดเลยไม สามารถทําอะไรได สิ่ง ที่ไดคือคิดหลอกตัวเองวาเราแกไดบางละ (คิดเชิง บวก – บรรณาธิการ) จนเมื่อเราฉุกคิดไดกับคําพูดของอาจารยนั่นแหละสติก็เริ่มมาทีละเล็ก ทีนอย เราก็เริ่มมองเห็นทางแกปญ หาขึ้นมาลางๆ และคอยๆ เพิ่มขึ้นจนสามารถ แกไขไดจริง หลายครั้ง เรามองปญ หาเปนเรื่อ งสนุก ไมเครียดกับปญหาและเราก็ สามารถผานปญหาไปไดบางเรื่องอาจชาบางเรื่องอาจเร็ว ฉันคิดวาขอใหใจเรามั่นคง เทานั้นทุกสิ่งยอมผานไปได…
53
12. โงหลายตายซะ – เยาวลักษณ สุภาพ “โงหลายตายซะ” เสียงของอาจารยพูดทางโทรศัพท หลังจากที่อาจารย ไดฟงเราระบายความไมพอใจของเราเอง ฟง แลวใจหาย ใจตกวูบ แลวตามดวย ความไมพอใจ แอบตอ วาอาจารยในใจวา “...ทําไมคนเปนครูบาอาจารยตองวา อยางนี้ดวย แทนที่จะใหกําลังใจ กลับบอกใหเราไปตายซะ แลวจะเปนครู – ศิษย กันไดนานแคไหนเนี่ย...ตอไปนี้เราจะไมโทรฯหา ไมปรึกษาอะไรอีก แลว...” โทษ อาจารยไปซะไกลมากมาย คิดถึงอาจารยทีไรก็เกิดความขัดเคืองและตอวาในใจ...จม อยูกับความรูสึก ไมพอใจ นอยใจ ขัดเคืองใจอาจารยอยูนาน สอนลูกศิษยเกี่ยวกับความหมายของคําศัพททางพระพุทธศาสนาคําวา “โง” คือ การหลงไปในอารมณตางๆ ที่จริงก็สอนคํานี้มาตั้งนานหลายปแลวแตใจไมเคยปง ในความหมายที่แทจริงเลยแมครั้งเดียว แตครั้งนี้กลับปงแวบขึ้นมาในใจวา... เอะนี่ เราโงจริง ๆ นะเนี่ย หลงอารมณทั้งนอยใจ เสียใจ ขัดเคืองใจมากมาย จมปลักอยู กับมัน...ทําไมมันจะไมตายละ...อาจารยใหยาแรง ก็เพงโทษอาจารยมากมาย...เรา ตอ งฝกตกตั้งใหมใหม ากขึ้น แตป ฏิบัติการตกตั้งใหมของตัวเองในขณะนั้นยัง ไม เขมแข็งเลย ตั้งไดแปบเดียวมันก็หายไปกับเรื่องอื่นตั้งหลายวันกวาจะรูสึกตัวไดอีก ครั้ ง ก็ นานแสนนาน คํา กล า วของอาจารย ที่ว า “ทํา ไมเ ลิก ไม ล ะ” ทํ าใหมี ความ พยายามในการรูสึกตัวมากขึ้น จะไดบอยแคไหนก็ “ขอใหไดทํา” ทําไปเรื่อย ๆ จาก การที่ความรูสึกตัวหายไปเปนอาทิตยก็เขามาเยือนบอยขึ้น บางครั้งตั้งใจไววาเดินไป หองสมุดจะทําความรูสึกตัวเมื่อยางเทากาวไป แตก็ไดแตเพียงนอยนิด ระหวางทาง เจอลูกศิษย ยิ้มใหทักทายก็ลืมไปเลยหายไปอีก......นาน......... 54
การทําบอย ๆ ก็เปนการสะสมแตม เหมือนนักบินสะสมชั่วโมงบิน ถาแตม สะสมสูงขึ้น จะไดประจักษดวยตนเองดวยคําพูดของอาจารยที่วา “สติ เหมือนเซฟ ทีคัท” ตัดกอนที่ไฟจะไหมลุกลามไปใหญโต ลูกชายคนเล็กรบเราจะไปเลนกีฬาที่สนามกีฬา ก็บอกกับลูกชายวา รอแม ทํากับขาวเสร็จคอยไปไมมีใครขายของหนาราน ลูกคามาซื้อของไมมีคนขาย แตลูก ก็ไมยอม ยืนกรานจะไปเดี๋ยวนี้แหละ พูดยังไงก็ไมฟง เลือดขึ้นหนา โมโหมากสุดๆ จะตีลูก ขณะที่กําลังจะยกมือขึ้น ก็เกิดความรูสึกถึงอาการเคลื่อนไหวของมือที่กําลัง เคลื่อนขึ้น ใจทิ้งความโกรธไปจับอยูที่อาการเคลื่อนไหวของมือ ความโกรธหายไป มีความรูสึกตัวขึ้นมาแทนที่ ก็เลยเอามือลงไมตีลูก ลูก ศิษยก ลุมเดิม เจาประจํามัก เขาหอง “สติ เหมือนเซฟทีคัท” สายเปนประจํา เตือนก็ไมยอมปรับตัว แถมยัง ตัดกอนที่ไฟจะไหม เดินออยอิ่งหยอกลอกันเลน ไมรีบเขาหองซักที ลุกลามไปใหญโต ชักไมพอใจแลวนะ พอเขามาในหองเรียนก็เสียง แข็งถามลูกศิษยวา “เมื่อไหรหนูจะมาเขาหองทัน เพื่อนซะที ครูชักจะรําคาญแลวนะกับกิริยาทาทางที่หนูไมแยแสตอคําเตือนของครู” ....คําพูดก็หลั่งไหลออกมาเปนชุดของความโกรธ...นักเรียนก็ตอบโตดวยคําพูดที่เราฟง แลวไมชอบใจ โมโหเพิ่มมากขึ้นจะตอวานักเรียนอีก แตขณะที่กําลังจะพูด ใจไป รูสึก ถึง อาการเคลื่อนไหวของริมฝป ากที่กําลัง อา ใจทิ้ง ความโกรธมารูสึก ถึง การ เคลื่อนไหวของริม ฝปาก ความโกรธหายไปมีความรูสึกตัวเกิดขึ้นแทนในขณะนั้น หยุดความโกรธไดชะงัด 100 เปอรเซ็นตเต็ม ทุกวันนี้ยังสะสมแตมของตัวเองไปเรื่อย ๆ เซพทีคัท จะไดทํางานบอยขึ้น ความโง ก็ยังมีอยู ยังจมปลักกับเรื่องราวตาง ๆ สารพัดที่เขามาในแตละวัน แตยัง 55
พอมีความฉลาดอยูบางเปนระยะ ๆ รูสึกตัวไดในเศษเสี้ยวของวินาที ไมใชมีแตคํา วา โง โง โง เพียงอยางเดียว.... เอวัง...
56
13. กองขี้ กับ แฮปป – นิสาข ประเทศรัตน เคยไดนั่งฟงอาจารยอบรมเด็กๆ โรงเรียนลองวิทยาคม แลวสะดุดใจกับคํา ว า “แนะนํ า ” ของอาจารย ม าก อาจารย บ อกว า “แนะ” คื อ การพู ด ให ฟง “นํา” คือการทําใหดู ทําใหเขาใจตอนนั้นเองวาการที่เราจะไปแนะนําใครๆ นั้น เราตองเปนทั้งผูรู และผูเคยลงมือกระทําสิ่งนั้นๆ มากอนถึงจะบอกใหผูที่เราแนะนํา ได อาจารยเคยแนะใหฟงวาจะออกจากอารมณที่คั่งคางในใจเราไดอยางไร แต ก็ไมคอยไดสังเกตตัวเองเทาไร เพราะไมคอยอยากออกจากอารมณนั้นๆ มันอยากจะ ใหจบๆ ไปตามที่ใจเราตองการ แตสวนใหญมันก็จบแบบไมตรงใจเราสักครั้ง เมื่ อ สงกรานต ที่ ผ า นมา ฉั น นิ ม นต “แนะ” คือพูดให้ฟัง อาจารย ไ ปที่ บ า น พอดี ช ว งนั้ น กํ า ลั ง ต อ เติ ม “นํา” คือทํ าให้ดู ระเบี ย งหลั ง บ า นและทํ า บั น ไดหน า บ า นอยู พอดี อาจารยมาอยูไดสองสามวันงานตอ เติม ก็ เสร็จ ชางก็จัดการเก็บขาวของที่เ ปนของตัวเอง กลับอยางเรียบรอย แตสวนที่เปนของที่บาน ชางหยิบออกมาใชก็ไมยอมเก็บใหแลว งานที่ทําไวเลอะเทอะก็ไมเก็บกวาดให ฉันเองไมไดลงไปดู (เพราะมัวแตทําอะไรอยูก็ ไมแนใจ) แตพอชางกลับไปแลว ฉันลงไปตรวจดูความเรียบรอย แคเปดประตูออกไป เทานั้น อารมณมันเริ่มกรุนตั้งแตตอนไหนก็ไมรู เห็นบันไดหนาบานเลอะเทอะ เดิน ไปทางระเบียงเห็นขาวของเครื่องไมเครื่องมือ เศษไม เศษปูนเกลื่อนไปหมด ใจก็เดือด ปุ ด ๆ….. หั น ไปหั น มาก็ เ ริ่ ม จั บ ทุ ก อย า งที่ ข วางหู ข วางตาโยนไปรวมๆ กั น ไว ใ ต 57
ถุน (ขางบนมีอาจารย ศรชัย กับประสาทนั่งอยู) ตั้งใจวาจะเผาใหหมดทีหลังชาง มันจะไดไมตองมายืมเราใช โดยลืมนึกไปวาขางบนมีคนนั่งคุยกันอยู จนอาจารยเห็นฉันยกเสาที่เขาตัดทิ้งไวเปนทอนๆ อาจารยยังอุตสาหตะโกน ลงมาวา “นา ตอนระวัง หลังจะเสียนะ” ฉันก็ตอบกลับ ทันทีวา “ไมเปนไร อาจารยเดี๋ยวจะเผามันใหหมด” ทั้งน้ําเสียงและอาการที่แสดงออกตอนนั้นมันอาจ ไมคอยนาดูเทาไร แตฉันก็ไมรูสึกตัวเลยจริงๆ ในขณะนั้น อาจารยก็เงียบไปสวนฉันก็ ไหลไปตามอารมณที่โมโหตอไปสักประเดี๋ยวอาจารยก็บอกวา “นาตอนกินน้ําสม ก อ น” น้ําเสี ย งยั ง เมตตาเหมื อ นเดิ ม ที่ นี้ ฉั น ก็ เ ริ่ ม สะดุ ด ใจละ ความรู สึ ก ตั ว ก็ คอยๆ ตามมาทีละนิดๆ เลยขึ้นบานไปกราบขอโทษอาจารย อาจารยก็วา “ขอโทษ อะไรไปกินน้ําสมซะ” น้ําเสียงยัง เมตตาเหมือนเดิม ยังนึก อยูเหมือนกันวาทําไม อาจารยไมดาฉันบาง……..เพราะมันอาจทําใหฉันรูสึกดีขึ้น จนวันที่อาจารยกลับวัดฉัน ก็ก ราบขออโหสิ ก รรมกั บ อาจารยอี ก ครั้ง อาจารยก็ หัวเราะอย างอารมณดี แล ว วา “เฮย ! จะไปบวชรึวะ” ฉันมายอนนึกดูจึงเขาใจวาเหตุการณนี้นั่นแหละคือการ ทําใหดู ของอาจารย วาเราจะออกจากอารมณไดอยางไร...... นึกแลวก็ขํา ยังจําวันที่อาจารยสอนเด็กวันนั้นไดเลย อาจารยบอกวา “แนะใหแลววา ไปทางนั้นกองขี้ ไปทางนี้แฮปป ก็เลือกกันเองแลวกันวาไปจะทางไหน!”
58
14. นักลงทุนขามชาติ – ธวัชชัย พิภพลาภอนันต หุน ถือ เปนการลงทุนประเภทหนึ่ง ที่ใหผลกําไรสูง แตก็มีความเสี่ยงที่จ ะ ขาดทุนสูงเชนกัน การเกิดมา หนึ่งชีวิต ยาววา หนาคืบ กวางศอก มีใจครองนั้นก็ เปรียบ เหมือนพอรตลงทุนพอรตนึง มีกําไร มีขาดทุน มีสุข มีทุกข ดีใจ เสียใจ หุนมี ความผันผวนสูง ตัวเราก็มีความผันผวนสูงเชนกัน หุนมีเครื่องมือตางๆนานา เพื่อคาดการพยากรณแนวโนมลวงหนาไดวา จะขึ้น หรือลง แต ตัวเราไมมีเครื่องมือใดๆเลย ที่จะบอกไดวาเราจะเจอเหตุการณอะไรในภายภาค หนา Cut loss เปนการขายตัดขาดทุน เพื่อใหเราเจ็บตัวนอยที่สุด Let profit เปนการขายเพื่อทํากําไร เพราะแนนอนเมื่อหุนขึ้นไปถึงจุดจุดนึง แลวมันก็จะลง ตกตั้งใหมเปนเครื่องมือ ที่เปนทั้ง Cut loss และ Let profit เมื่อในยามที่ใจ เราเสียหาย เศราหมอง ตองพบกับปญหาทุกขยาก ในยามนั้นถาไม Cut loss ความ เสียหายจะกัดกิน ลึกลงไป ในทางกลับกัน เมื่อตัวเราพานพบสิ่งที่นารัก นาชอบใจ ถา ไมมี Let profit แลวตัวเรา วิ่งตาม ดิ้นรน เพื่อใหไดสิ่งที่นาชอบใจ ทีนี้พอไมไดก็จะ เปนจะเปนจะตาย ก็ใจเสียหายอีกนั่นแหละ ฝากไวดวยครับ หุนพุทธบริษัท ลงทุนแลวไมผิดหวัง มีแตได กับได แถมผลตอบแทน ยังติดตัวไปขามภพขามชาติดวย 59
15. Improvisation - ดาริกา ธารบัวสวรรค Improvise หมายถึงการเลนดนตรีแบบดนสด ซึ่งเดฟ ดักลาสเปนหนึ่งในนัก ดนตรีที่ตกผลึกในเรื่องนี้ เคาหนีไปจากคํานิยามแจ็สแบบดั้งเดิม สูการไมยดึ ติดกับฟอรม บอยครั้งเคาทําใหนึกถึงทองทุงกวางและเวิ้งฟาสุดสายตา ฉันอานเรื่องนี้อยางคราวๆ ในเนชั่นสุดฯ ฉบับวันที่ 6 มีนาคม 52 กอนตามชมพู (จุฑารัตน สวางชัย) ไปเขารับการ อบรมที่ธาราศัย (อ. เกาเลี้ยว จ.นครสวรรค) ในยามค่ําของวันเดียวกัน ไมรูวาเคาอบรมเรื่องอะไร วิทยากรเปนใคร ไมรูวาเสียคาใชจายเทาใด แตพอรู วามีใครมาเขารับการอบรมบางซึ่งการอบรมไดเปดตั้งแตค่ําของวันพฤหัสที่ 5 แตไดไปชา เกือบหนึ่งวันเต็ม ไปถึงก็ปาเขาไปเกือบสองทุม พบผูเขารับการอบรมคุนหนาคุนตาและ วิทยากรผูสอนทานเปนพระชื่ออะไรก็ไมรู เพราะไมเคยเห็นหรือรูจักมากอน ทานกําลัง สาธิตการเดิน การมีสติอยูกับกาย และสอนเรื่อง “ตกรอยครั้ง ตั้งใหมรอยหน” เปนครั้ง แรกที่ไดยินเรื่องนี้ “ตกและตั้ง” ที่ผานมาไดรับการสอนเรื่องการเดินจงกรม “ใจมีสติอยู กับกาย”การรับรูการเคลื่อนไหวของกายอยูกับเทาที่กาวเดิน ฉันฟงแลวทําตามพวกเคา ไป พระอาจารยเปดเวทีใหผูเขาอบรมถาม ฉันไดรับโควตาใหถามไดดวยแตตอนนั้นยังมึน กับคําบาลีตาง ๆ เชน “ปฏิจจสมุปบาท” และคําบาลีอื่น ๆ ที่พวกเขาไดเรียนกันใน ภาคเชา พระอาจารยผสู อนทานเปนนักดูหนังและฟงเพลง ทานโปรดเพลง Improvise มากเราเลยไดฟงเพลงจากมือถือของทาน ฉันเปนพวกปลื้มแจ็สอยูแลว ฟงแจ็สที่ไรฟอรม เลยชอบมาก คลื่นเสียงที่เกิดจากเครื่องเปาไมวาจะเปนแซ็กโซโฟนหรือทรัมเปตมันสุด ยอด เดิมตอนเปนเด็กจะชอบไวโอลินที่สุดแตยิ่งฟงทําใหยิ่งเศราก็เลยหันมาชอบแจ็ส 60
นอกจากนี้เรายังคุยกันเรื่องหนัง เชน Slumdog Millionaire และหนังรางวัลอื่นๆ ของ ออสการปนี้ คุยกันไปออกโนนหนังของคุโรซาวาและสุดยอดผูกํากับคนอื่นๆ ดีที่ไมวกมา เรื่องวรรณกรรม เพราะเรื่องชักไปไกลเกิน แตก็ เปนตัวอยางที่ดีของตกและตั้ง คืนวันเสารพระอาจารยใหเราอาบน้ําอาบทาใหสบายใจ จนใกลเที่ยงคืน เพื่อ ปลอยตัวใหเราเดินจงกรมไปตามลําพังคนเดียวในความมืดรอบพื้นที่ธาราศัย คนที่มี ปญหาเรื่องกลัวผีคือฉันและหมอสมพงษ (สมพงษ ยูงทอง) เราสองคนมีปญหาเรื่อง เดียวกันคือการกลัวความสูงและกลัวผี ฉันเปนพวกที่คนอื่นมองดูแลวบอกวาไมเขาใจ ฉันกลัวความสูงแตกลาที่จะโดดหอสูงที่โรงเรียนนายรอย จปร. ไมวากอนที่จะหยอนตัว ลงในความวางเปลาฉันจะกลัวมันจนหัวใจจะหยุดเตน ถึงจะกลัวผีมากแตก็กลาที่จะอยู คนเดียว และมีปญหาเรื่องอัตวินิตบาตกรรมแตก็ทําการดูแลผูปวยระยะสุดทายได ฉันเดินตามคนที่เดินลวงหนาซึ่งลับตาไปในความมืด บรรยากาศไมนากลัวนัก เพราะยังมีแสงไฟอยูหางๆ ลมเย็นยามดึกพัดมาปะทะหนาทําใหรูสึกสดชื่นและปลอด โปรง ที่แหงนี้ฉันเคยเดินในแถวตามหลังทานไพศาล (พระไพศาล วิศาโร) ไปเมื่อครั้ง อบรมชีวิตในอุดมคติครั้งแรก ตอนนั้นเปนเวลาเชาตรูที่สดชื่นแจมใสไมมีความกลัวอะไร ในใจ มีแตยางกาวของการรูสึกตัวบางเผลอบาง การเดินคนเดียวในความมืดครั้งนี้ฉันไม ยักกลัวแฮะ ถึงแมนจะมีคนเลาวาเมื่อเขาเดินผานตนไมใหญสองตนที่อยูทางเขาประตู ดานหนา เขารับความรูสึกวามีสิ่งที่มองไมเห็นและทําใหขนลุกทุกครั้งที่เดินผาน ฉันก็ เพียงไมเลือกทางเดินที่ผานตนไมที่วาและทําแคเดินไปขางหนาเรื่อยๆ เปนใชได การอบรมครั้งนี้เรามีความใกลชิดกับวิทยากรมาก เราตั้งวงคุยกันไดอยาง สนุกสนานของพื้นที่ทุกแหงที่สมาชิกกลุมมีความพรอม จนเกือบเที่ยงคืนทุกวันและตอง ตื่นมาทําวัตรเชาตั้งแตตี 5 อาหารเชามีเพียงขาวกลองตมเปลาๆ และหามเติมเครื่องปรุง ใดๆ มื้อเย็นงดมีเพียงน้ําหวานคนละแกวเทานั้น แตพวกเราก็ยังรับรูแฮะวาทานเปนพระ เพียงแตเปนพระที่อาจจะไมเหมือนพระรูปอื่นนัก ในวงสนทนาฉันเปดประเด็นเรื่องเพศ 61
สภาพ เพราะรูสึกวาพระอาจารยทานพูดบอยวาผูหญิงมีความอิจฉาและริษยากันเองอยู ในยีน ถึงแมนวาฉันเองไมเปนแฟมินิสตเหมือนจันทรเจา แตก็คิดวาเหมือนมันไมจริง ทั้งหมด ยอมรับวา ผูหญิงมีอายตนะที่เร็วและละเอียดกวาผูชาย แตความอิจฉาริษยากัน นั้นมักพบในละครหลังขาวของไทยและทําแคตบหนากันและรองกรี๊ดๆ แตความริษยากัน ของชายทําความเสียหายรุนแรงกวามากมายนัก ตอนนั้นยกเรื่องมาประกอบไมทันแต พอมาอานเรื่องขององคุลิมาลแลวถึงนึกออกวาความริษยากันของชายทําใหอหิงสกะ ถึงกับตองฆาคนไปมากมายเพื่อสังเวยโรคริษยา และคิดวาผูชายที่เปนแตวหรือตุดมีการ แสดงออกของความอิจฉามากกวาฉันซึ่งเปนหญิงแทเสียอีก แตก็ชักไมแนใจนัก เพราะ เทียบกันแลวอายตนะฉันมักชากวาผูหญิงอื่น ในวงสนทนาเราคุยกันหลังจากพระอาจารยทานเปดประเด็นเรื่อง “รักษาตน ยอมชื่อวารักษาผูอื่น” เรื่องนี้เมื่อพูดกันไปเรื่อยๆ แลวมันทําใหฉันเขาใจบางเรื่องที่ผาน มาของตนเอง ไดเห็นตนเองอยางชัดเจนวาปวยมานานดวยโรค “หลงตน” เดิมนั้นฉันมัก รูสึกสับสนเหมือนกันที่ตนเองเปนพวกบางาน แบบไมหวังผลตอบแทนเปนเงิน ตําแหนง หรือการเลื่อนขั้น การกระแทกใสตรงๆ ของพระอาจารยทําใหยอมรับวาทําไปเพราะ ตองการการยอมรับวา “เกง” เปนพวกอัตตาโตคับใจ ที่ผานมาฉันทําวิชาการใหคนอื่น ผานการประเมินซีแบบทําใหฟรี ไมตองใหอะไรตอบแทนขอใหชื่นชมแคนั้น พอไมได รับคําชมถึงอาการออกของโรคหลงตน นอกจากนี้พอฉันเลาเรื่องวาจะลาออกจากงานไป อยูมูลนิธิเพื่อทําเรื่องแพทยทางเลือก ทานบอกวาไมตองพูดมาก “กลามั้ย ถากลาก็ออก เลย” นับเปนคําพูดที่ตรงมาก แตฟงแลวไดใจวามันเปนอยางนั้นแหละ กลามั้ย ถากลาก็ ออกมา ความสดของความรูสึก พูดออกมาจากใจ เปน “ภาษาใจ” ไมใชภาษาที่ปรับแตง แลว ทานวาพวกเราทุกคนที่มานั่งกันสลอนอยูที่นี้วา ลวนเปนนักวิชาการ ที่จะพูดอะไร ตองมีสาระ ดูดี ดูมีการศึกษา ฉันฟงแลวสะเทือน เพราะเปนคุณเลขาของการประชุม 62
เกือบทุกครั้ง มันทําใหเกิดความเคยชินที่จะตองฟงแลวจับประเด็น พูดเปนประเด็น ทํา ใหตองเรียบเรียงเรื่องที่ไดยินและเรื่องที่จะพูด ถาไมรูเรื่องก็จะโดนประธานที่ประชุมเลน งานไดสิ พวกเราตางลวนถูกฝกมาอยางนั้น สมาชิกคนหนึ่งอดีตเปนอาจารยมหิดล แตตอนนี้ลาออกมาเปนฟรีแลนซ แลว ถามวา การเคลื่อนไหวทางสังคมของคนที่ยังตองมีเงินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงทองนั้น นับเปน เรื่องลําบากมาก เพราะเรายังตองทํางานเพื่อเงินมาใชจาย ไมอิสระเหมือนทานที่ทํางาน ไดสะดวกกวา ไมตองมีภาระเรื่องนี้ (ฉันแวบนึกถึงทานไพศาลทันที เพราะเคยรูสึกวา ทานสามารถไปไหนมาไหน ทําอะไรไดอยางอิสระ และทาทางมีความสุขอยางนาอิจฉา) คําตอบของพระอาจารยสดดีจริงวาตองลอง ลองบวชดูสิ แลวก็รูเองแหละวาเปนอยางไร ทําเอานึกถึงพระหลายรูปที่ตองลาสิกขาออกมาเปนฆราวาส เพราะอยากทําอะไรที่อิสระ กวา ขณะที่บันทึกอยูนี้เสียงของเครื่องเปาหลายชิ้นแววมาในความคํานึง อิสระที่โหย หา รัก และหลงใหลในอิ ส ระ อาจเพราะในชี วิ ตจริ งไม ได มี อิส ระอยู เลย ตกอยู ใน พันธนาการของอัตตา และความมืดบอดของอวิชชา ตกมานานอยางนี้จะตองฝกฝนไป นานสักเทาใดถึงจะตั้งได โดยเฉพาะคนซับซอนมากมายอยางฉัน มันทําใหมึนหนักเมื่อผง เขาตา
63
16. “1 +1 = 3” - เจตน วังแจม “ขึ้นแผนกศัลกรรมแลว ตายละกู!” ผมสะดุงตื่นหกโมงเชา แตงตัวไปดูคนไข ความทรงจํายังแจมชัดราวกับเพิ่ง เกิดเมื่อวานนี้ ผมเคยสอบตกแผนกนี้ เวลากลับมาเรียนผมจะเครียดมากเปน พิเศษ หนึ่งนั้นผมถูกเพงเล็งอยูเดิมเลยทําใหอึดอัด สองผมกลัวตกซ้ําชั้นอีก ซึ่งมันเลวรายมากสําหรับผม ตอนนี้ก็สามอาทิตยแลว เหลืออีกอาทิตยเดียว จะลงแผนกนี้แลว ในชวงอาทิตยแรกนั้น ผมเครียดมากเพราะพยายามทําตัวใหดูแอคทีฟ ขยัน ขันแข็ง ผมไมเคยมาสายสักวัน จําคนไขไดหมดทุกเตียง รูความคืบหนาของคนไขทั้ง กอนผาหลังผา ซึ่งผมไมเคยทําไดมากอน ผมทําดีขนาดนี้ทําไมผมถึงกลัว ผมตื่นมาทุก เชาไมใชเพราะความสดชื่น แตเหมือนมีอะไรมาผลักผมลุกจากเตียง ความกลัวในใจ ผมหรือเปลา ผมขยันทํางาน มีความรับผิดชอบสูง ผมกลัวอะไรหรือเปลา..... .....และผมก็ไดเรียนรูคําตอบ วาผมกลัวใจของตัวเอง ทุกวันจันทรตอนเที่ยงจะเปนวันที่เอกเทริน(นักศึกษาแพทยชั้นปที่หก)จะเอา คนไขทุกนาขึ้นสไลด พวกเรามีหนาที่จําใหไดทุกเคส โดนถามเคสไหนตองตอบได ไม 64
งั้นจะโดนสตาฟที่เขากันเกือบครบยําแหลกนั่นเปนวิธีกดดันพวกผมใหจําเคสได ให ทํางานใหดี วันจันทรแรกเริ่มทํางานใหม ไมวาผมโดนตําหนิเทาไหร ใจก็รับไปปรับปรุง การทํางานเพราะถึงแมมันจะโหดแตก็มีเหตุผลเพื่อประโยชนของคนไขอยูดวย ผม ยอมรับไดตรงนั้น แตวันจันทรที่เ พิ่ง ผานมานี้ผมโดนอีก ผมซัก คนไขม าละเอียดดวยตัวเอง อาจารยทานหนึ่งซึ่งไมคอนชอบขี้หนานักเรียนที่ลําปางเกือบทุกคนทุกรุน(ไมทราบ เพราะอะไร)เลนผมทันที เมื่อเริ่มเลาเคส คนไขเคยผาไสติ่งเมื่อหาเดือนที่แลวครับ แลวใสทอระบายเพราะไสติ่งมันแตก อีกสองเกิดมีไข แผลบวม มีหนองไหล … อาจารย “ไมเขาใจ แลวแผลมันเปดไดไง” ผม “แผลเปดเอง จากการที่มีหนองสะสมอยูขางใตครับ” อาจารย “ตกลงเคากรีดบนระบายบนแผลเลยเหรอ” ผม “ครับ” อาจารย “บนแผลหรือใตแผล” เริ่มกวนตีนแลว ผม “บนแผลครับ” อาจารย “ผลชิ้นเนื้อที่นั่นอานเปนอะไร” ผม “คนไขบอกปกติครับ” อาจารย “อาวไมเห็นเองเหรอ ทําไมสตาฟรู” สตาฟคนนั้นแทรก เออ มันไมมีจริงๆแหละ เราตองเชื่อคนไข “บอกวามีหนอง ไปเพาะแลวขึ้นชื่ออะไร” อาจารยยังวาตอไปอยางไมลดละ ผม “E. coli ครับ (เชื้อปกติในลําไสใหญ)” 65
อาจารย “ตอบสนองตอยาอะไร” ผม “Amikin ครับ (ยาฆาเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง)” สรุป คนมีทอตอระหวางผิวหนังกับลําไสใหญเกิดจากการติดเชื้อจากการผาตัดเปน เหตุ สตาฟวางแผนจะผาเพื่อปดทอนั้น แลวสงผลชิ้นเนื้อที่ผิดปกติ นาจะจบแลว ผม ตอบไดครบถวน แตยังไมจบ อาจารย “คนไขใชสิทธอะไร” ผม (มึงถามทําไมวะ) “…ขอโทษครับไมไดซัก” อาจารย “คนไขขอมาเอง หรือแพทยสงมา” ผม (อึ้งอีก) “ขอมาเองครับ” อาจารย “แนใจ” ผม “… ครับ” สตาฟ แพทยที่นั่นบอกวาถาจะไป ไมตองกลับมาใหเห็นหนา อาจารย “ที่ออกมาเปนอะไร” ผม “หนองครับ” อาจารย “ไมมีขี้เหรอ (มองหนา) รูจักขี้ไหม” ผม “…” (ไมตอบ) อาจารย “ตกลงมีไหม” ผม “ไมมีครับ” (คําถามหลอก) อาจารย “บอกวาหนองสีเขียวมีน้ําดีออกมาไหม” ผม “ไมใชน้ําดีครับ” (ลําไสใหญบานปามึงดิ มีน้ําดี) 66
ผมโดนคนเดียวเกือบชั่วโมง (มีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการนําเสนอคนไขทั้งอาทิตย) ผมทราบดีวาผมโดนเลนแลว ปกติแลวอาจารยทานอื่นที่ผมไมมีปญหาดวย จะชวยตัดบทสนทนาที่ไมไดกอ ใหเกิดความรูเหลานี้ แลวขามไปเคสใหมทันที แต จันทรนี้อาจารยทานไมอยู อาจารยที่ชวยเหลือกันมาตลอด(ไมใชไมดีไปซะทุกคน)ก็ เขาเพียงคนเดียว ชวยไดไมมาก ผูอานอยาไดตกใจวาทําไมเขาจงใจแกลงผมนัก อาจารยทานนั้นทําอยางนั้น มาหลายตอ หลายรุนแลว เวลาไมชอบหนาใคร จะไมใหเขาชวยผาตัด เวลาเขียน แผนการดูแลหลังผาตัดให ก็จะฆาทิ้งแลวเขียนใหม สรางความคับของใหนักศึกษา แพทยมาหลายรุนแลว ลาสุดนองใหมปสี่ก็โดนเหมือนกัน การกระทําแบบนั้นถือวา ธรรมดา เห็นมาทุกครั้งที่เขา conference ผมรูสึ ก เหมื อ นโดนแกล ง อีก ครั้ง เหมื อ นตอนที่ ผ มตกใหมๆ ความรู สึ ก เดียวกันเลยแตเ บากวา ผมอยากรองไห ไมใชเ พราะโดนดา แตความคับ แคนทั้ง ของเดิมของใหมออกมารับแลว มันนาเจ็บใจเรื่องเดิมๆ เรื่องครอบครัว สารพัดมัน ออกมาหมด แลวมันก็หยุดไปเฉยๆ คลายตอนที่อยูตอหนาผอ. ตอนที่โดนบอกวาคุณ ตองซ้ําชั้น... …ผมยิ้ม แตตอนนี้ดีกวานั้นมาก ….ในใจก็คิดกี่ครั้งแลวหนอ ที่ตกตั้งใหมชวยเราไว ที่ผมอยากรองไหก็คือ เสียใจใหกับการกระทําของเราเองไมรูหนไหน ที่ทําให เราไดรับผลของเรา ผมไมโกรธเขา ที่ดีใจก็คือ วันจันทรหนาผมก็จะพนไปแลว และ จะไมทําเหตุใดๆ ที่ใหผลเชนนั้นอีก โอ นากลัวเหลือเกิน ขอใหอาจารยทานนั้นมีแตความสุข ความเจริญ อยาไดไปเบียดเบียนใคร ใหไดรับผลอันแสนทุกขทรมานนั้นตอไปเลย 67
แมจะต่ําตอยเรี่ยดิน แตก็ขอบังอาจออกตัวเปนพยานปากเอกผูหนึ่งที่พิสูจน คําพูดของมนุษยพิเศษผูนั้น ซึ่งปรินิพพานนานแลว วา “จิตที่ฝกดีแลว นําความสุขมาให” “ธรรมะยอมคุมครองผูประพฤติธรรม” “สติเปนหัวหนาของกุศลธรรมทั้งหลาย” เพราะเปนเมื่อกอนผมคงตกไปอีกรอบเรียบรอยแลว แถมไมพอคงไมไดเรียน แพทยตอ เพราะไปตอยปากใครเขา ผมออกจากอารมณที่เคยเคี่ยวกรําชีวิตผมมา หลายปดวยเวลาเพียงไมกี่วินาที ดวยวิริยะที่ฝกหัดความรูสึกตัวใหเกิดขึ้นเปนเวลา เกือบหาป ดวยความชํานาญในการออกจากความคิด โดยใชการรูสึกตัวเปนฐาน ทํา ใหกําลังของการออกจากความคิดที่รบกวนจิตใจเพิ่มพูน แถมมีสติปญ ญาที่เพิ่มพูนไว ใชศึกษาเลาเรียนหนังสือเปนโบนัสพิเศษ นั่นคือยารักษาโรคของคนบาทุกคน ยิ่งฉลาดยิ่งบา! เชื่อผม ยิ่งพูดก็ยิ่งนึกถึงคําพูดหลวงพอที่ไดใหลูกศิษยแบบใหกันทั้งชิวิต รากเหงา ของชีวิตเราที่จะดําเนินไปในภายภาคหนา ยิ่งไดมีโอกาสเผยแพรตกตั้งใหมเทาไหร สอนคนอื่นมากเทาไหร ก็เ หมือนไดตอบแทนบุญ คุณทานเทานั้น ยิ่งไดตอบแทน บุญคุณพอแมดวยการทําในสิ่งที่เปนกุศล โอ นาอัศจรรย ในการรูสึกตัวเพียงหนึ่งครั้ง 68
การแกตนตอของปญหาก็เกิดขึ้นแลว (solving) การเรียนรูก็เกิดขึ้นแลว (learning) การรักษาใจก็เกิดขึน้ แลว (healing) จะไมใช 1+1 = 3 ไดอยางไร
69
17. ผมปวยหนัก - หัทยา สงวนสิน “การที่ผมปวยครั้งนี้ ผมรับรูไดตั้งแตแรกที่รูสึกมีความผิดปกติกับการหายใจ” ไม นานมานี้ เ อง ผมถูก สอนใหสั ง เกตตัว เองอยูเ สมอ วัน นี้อ ยูดี ๆ อาการ ผิดปกติก็เริ่มเกิดขึ้นมากับลมหายใจ มันเริ่มจากลมเขาออกดูลําบากผิดปกติ แสบๆ โพรงจมูก แลวหูอื้อๆไดยินอะไรก็รูสึกแปลกๆ อึดอัดรําคาญ คอเริ่มคันเหมือนมีกอน อะไรเติบโตขึ้นแถวๆฃวงกอนลูกกระเดือก ตาเริ่มพรามัวความคมฃัดดูเหมือนจะเริ่ม หายไป อาการทุกอยางประเดประดังเขามาตามลําดับ ในรางกายผมอยางรวดเร็ว ภายในเวลาสัก สองชั่วโมงเห็นจะได ผมบอกกับ เรยอ าจารยดนตรีที่ส นิทสนมกัน ตั้งแตชวงแรกที่เริ่มรูสึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ .....................พุธดึกหลังเลิกงานเลนดนตรีแถว ม.เกษตร เที่ยงคืนกวาคืนนั้นเองเรยสง SMS แสดงความหวงใยแนะนําการดูแลตนเอง กวาจะ เห็นคืออีกนานมากผมไมคอยไดยินเสียงอะไรรอบตัวนักแลว ใครๆก็คงรูวาจากอาการ ที่เลาใหฟงตอมาคงตองลมหมอนนอนเสื่อเปนแน ถูกตองครับ อาการหนักเลยดวยคราวนี้ แตคืนนั้นกลับไปผมตองไปจัดการ กับงานตัดตอวีดีโอสารคดีที่ทําคางไวเพราะลูกคาตองรีบใชอีก พอเสร็จสงไดกลับมา นอนตอนสายๆ อาการก็หนักขึ้นจนเบลอไมรูตัว ลอยๆแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ไขที่มี 70
คอนขางสูงมาก วันนี้ตองออกงานสามงาน ผมรูกําลังของตนเอง จึงจัดการเลื่อนทุก อยางหมดเหลือแคอันที่เ ลื่อนไมไดคือหนัง ที่จ ะฉายของเพื่อนผูกํากับ ทานหนึ่ง ที่ หางสรรพสินคาชื่อดังแหงหนึ่ง ........................พฤหัสในโรงมหรสพกลางกรุง ภาพยนตรเรื่องนี้ เปนเรื่องที่เพื่อนอุทิศใหกับคุณพอของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไป ผมสนิทกับครอบครัวนี้ตั้งแตยังเด็ก การถอสังขารไปอยางดัน ทุรังครั้งนี้คงเปนการ ไปรวมแสดงความยินดี และแสดงความเคารพตอคุณพอเพื่อนที่จากไป เสียงตอบรับภาพยนตรเรื่องนี้ออกมาดีมาก ภายในโรงเสียงปรบมือดังมาจาก ผมคนแรก รูสึกตื้นตันที่เพื่อนทําออกมาไดดี ผมยินดีกับความรักทีเ่ ขานํามาแสดงออก ในผลงาน ..............................ศุกรบนเตียงที่แทบไมลุกไปไหน เชาวันตอมาอาการไมดีขึ้น เสลดเชมเหนียวคอ กอนอึดอัดนั้นใหญขึ้นมากๆ ไมมีเสียง จะพูด เสียงผมกลายเปนเสียงลึกๆใหญๆ มีแตโทนเสียงเบส สื่อสารอะไรกับใครฟงรู เรื่องยาก แตที่สําคัญผมไดรับสายโทรศัพทจากเพื่อนเกาที่คุยไมคอยรูเรื่อง ยืนยันวาจะ ทําอยางนั้นอยางนี้ จะมาบานผมใหได คุยยังไงก็ไมรูเรื่อง ผมโกรธมาก และเสียใจที่ เพื่อนคนนี้ไมเขาใจ แลวจะคอยเอาความไมเขาใจมาโกรธผม ซึ่งทําใหอึดอัดใจมาก และขอใหเขาหยุดสรางความปวดหัวใหกับผม 71
บายวันนั้นจิตใจหอเหี่ยว เบื่ออาหาร อาการหนักทรุด ผมมั่นใจวาวันนี้ นาจะไมพ นโรงพยาบาลแนแ ลว ฃั้น จึ ง โทรบอกเพื่ อ นอีก คนใหรู อ าการ แล วให เตรียมพรอมไปสงโรงพยาบาลดวย หากไมไหวแลวจะโทรไปตาม มานอนหลับ ไมรูเรื่องตอ อีก ตื่นขึ้นมาก็เ จอสายไมไดรับ 60 กวาสายจาก เพื่อนคนที่ยืนยันจะมาเอาของมาให พอโทรกลับไปเขาก็โกรธพูดจาหยาบคาย ซึ่ง อาการผมเปนขนาดนี้แลว เขายัง ทําแบบนี้เ ลย ผมรูสึกแยมากๆ เสียใจ และโกรธ รูสึกเหมือนเขาอยากทํารายผม ผมเสียใจในสัมพันธภาพที่เคยดีรักใครแบงปนน้ําใจ ตอกัน แตตอนนี้ผมดาในใจวา “แมงจะฆากูหรอวะ บอกวาปวยๆวากันวันหลัง” ขอ สงบๆเถอะอยามายุงกับผม แนนอนสิ่งที่พระอาจารยบอกผมเสมอคือ คนเราเจอเรื่องในชีวิต อยูสอง อยางหลักๆคือ ความชอบใจ กับความไมชอบใจ เราไมสามารถเปลี่ยนแปลงใครได เปนเพียงแคปจจัยเล็กนอยในการเปนไปของบางสิ่งเทานั้น ผมวางใจ กลับมารูตัวแบบปวยๆนี้ตอ ไมนงไมนอนมันแลว ลุกมากินขาว เปดเพลงที่ชอบเสียงดัง โรครายที่กอตัวขึ้นจากปจจัยในโลกที่ควบคุมไมได มันบาง เบาไมก ลับมากอปญ หาในใจอีก บางทีผ มก็คิดวาตัวเองเหี้ยมไปหรือเปลา คนเคา เดือดดิ้นจะเปนจะตาย เรากลับเฉย วางเขาลง ไมนํากลับมาเปนทุกขเพราะความ อยากนําพาใหเขาพนทุกข โลกของผมดูบางเบาสบายขึ้น ดวยอุบายเตรียมตัวกอนไปทํางานแบบฮาๆ แทนที่จะหาวิธีเดินทางไปทํางานงายๆสบายๆ ผมเลือกที่จะเดินถืออุปกรณทํางาน หนักๆพะรุงพะรังไปเบียดรถไฟใตดินใหมันลําบากเลน แตอาการเจ็บก็ปวยผอนคลาย ทุเลาลงไปตามลําดับ
72
เมื่อกอนผมจะหนักมากกับการตั้งใจดีแลวสิ่งนั้นไมไดเปนไปดังใจ ตั้งใจดีแต กลับ ไมไดดี แตตอนนี้เ ฉยขึ้นมาก กระแสชอบโดนนินทาหาเรื่องดา เมื่อกอนก็กอ อาการซัดสายกับใจผมที่มาตกสภาวะคิดวกวน บางสิ่งมันพาใจละเลยในสิ่งที่ควรทํา ทั้งที่จริงแลวชีวิตก็ไมไดมีเวลามากนัก การวางเปนเรื่องยาก มันกอความรูสึกวาเรากําลังละเลย หรือเรากําลังจะ ขามพนสิ่งนั้นไปกันแน… .............................วันเสารเชา เมื่ อ ไม กี่ ชั่ ว โมงก อ นถึ ง เวลาเช า นี้ เ พื่ อ นที่ ผ มรั ก มากอี ก คน โทรมาอี ก 15 สาย ลาสุดคือเวลาประมาณตี 5 ผมไมทราบแนชัดวาเขาตองการอะไร แตตอนหลัง เลิกงานสักตี 2 เขาโทรมาและคาดคั้นจะเอาความจริงวาผมคิดยังไงกับการเลนดนตรี ของเขาในวง ถึงผมไมใชคนฉลาดนักแตฟงจากเสียงที่คุนเคยนี้มันเปนสภาวะที่มึนเมา ไม ควรแกการสื่อสารเหตุผล การที่ผมนิ่งเงียบไมพูดอีกสาเหตุหนึ่งเปนเพราะจากอาการ ปวยหนักและผลขางเคียงจากยาดวย ผมนึกในใจสงสารแกมากที่ตองมาทุกขใจกับ ความสงสัยไมเขาเรื่องพวกนี้ จนลืมเมตตาคนปวยที่ยังบาไปทํางานเชนผม จริงๆผมมองเห็นปญหา แตใจเย็นลงกวาเกา เรื่องบางเรื่องไวกอนคอยแกไข เพราะอยากรักษาความเปนเพื่อนไว แลวคอยๆสื่อสารในเวลาที่เหมาะ ที่ปกติ ตามประวัติผมเองจะเสียเพื่อนฝูง คนรูจักไปมากโขอยู และมักนําความไม เขาใจเกิดกับผมวาก็ทําดีแลวนะ แตดีนี่ดีของใครก็คงไมเหมือนกันอีก อันนี้ก็เขาใจกับ การที่ตองเปนไปการพูดอะไรตรงไปก็คงไมดี คงจะจริงอยางขงจื้อกลาวไว วาจาที่ แทจริงมักไมไพเราะ แลวใครมันอยากจะฟงหละครับ 73
อาการปวยที่ผมยุติมันใหคลายลงไดใชเวลาครึ่งชั่วโมงที่นั่งขางถนนบนเกาอี้เหล็ก สีเขียวของ กทม ทางผานกอนไปทํางานตรงบริเวณกอนแยกรถไฟฟาสิริกิตติ์ กอน ทรุดตัวนั่ง ผมเดินชามากเหมือนคนชราเดินลอยแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมแคอยากจะลองความไวของตัวเอง จึงนั่งลงมองและพยายามไดยินเสียง ตางๆใหชัดเจน เริ่มไปจับที่เสียงรถคันที่ผานไป ไดยินเสียงใหไกลที่สุดโดยไมหันไป มอง นึกถึงคนตางๆแบบเอาใหไดกลิ่นหรือสัมผัสที่เคยผานมา แลวกลับมาที่หลังที่ เอนตัวพิงเกาอี้ ผิวสัมผัสของแขน ผิวหนาที่ลมพัดมาปะทะ จากชาๆ ก็ปลอยใจไป จับไปปลอยใหเร็วขึ้น เสียงรถคันนั้นคันนี้ ไปยังเรื่องตางๆ และกลับมาที่ตัวเรา… สิ่งที่มาหลังจากหูไดยินชัดเจนคือตาเริ่มมองอะไรชัดขึ้น ผมไดยินแลวหันไป มองตามทันพลุที่จุดขึ้นในระยะไกลมากๆ ผมก็ไมแนใจวาที่ทําอยูมันดีไมดี หรือดีกวา ควรทํายังไง ตามประสาคนกลัวหลงทางจึงโทรหาอาจารยประสาทพี่ชายนักดนตรีที่ เริ่มแนะแนวทางสูการเขาหาสภาวะจริงๆของจิตอีกทาน ซึ่งเราไดสนทนาสักครูใหญ ทานก็ดีใจที่มาถูกทาง ถึงวินาทีนี้ ผมไมสนใจอะไรสิ่งไหนที่นําความไมสงบในใจตัวเองมากอความ ไมป กติก ดดันกับ ตัวผม ผมเฉยๆ แคก ดแปนพิมพหูไดยินเสียง นิ้วรูก ารสัม ผัส กับ แปนพิมพนี้ ลมพัดผานรางกายเย็น ตาเห็นแตหนาจอคอมพที่พิมพ หนังสือที่พระอาจารยบอกผมใหเ ขียนเรื่องจากประสบการณตรงนี้จึง ไดเ ริ่ม ขึ้น และจบลงในเวลาไมกี่นาที อาการปวยทุเลาลงมากๆอยางนาแปลกใจ มันเปนการ พิมพที่ลื่นไหล ไมไดมีความคิดอะไรเลย พิมพจบรอบเดียวกลับไปยอนอานยังงงวา 74
เขียนมาไดไงถึงตรงนี้ ผมดีใจที่ในชวงเวลาที่สาหัสสากรรจเชนนี้ยังเขียนอะไรออกมา ได เหมือนดีใจที่แมจะอยางไรหากตั้งใจดีก็จะยังกระทําสิ่งดีๆ ไดเสมอ ขอสันติจงอยูกับใจทีพ่ รอมตั้งในความรูสึกตน ตกลานครั้ง ตั้งลานหน
75
18. คนผานทุกข - อุดมรัตน ศรีเกตุ เมื่ออายุ 49 ป ฉันเปนมะเร็งเตานม ผาตัด เคมีบําบัด ฉายแสง หมอบอกฉัน เปน Stage 3A หลังการรักษาอาการของฉันมีแขนบวมแดงปวดมาก ตัวฉันเองก็ เปนพยาบาล นึกนอยใจวาเรียนจนจบปริญญาโทความรูตั้งมากมายแตกลับตองมา เปนคนปวยเสียเอง ฉันพยายามที่จะติดตอเพื่อนฝูงที่เปนหมอเปนพยาบาล ไดยามา หลายขนาน เมื่อหมอสั่งเอ็กซเรยปอดใหมหมอบอกพบจุดที่ปอดขวา สังเกตวาหมอ นัดถี่ขึ้นคือเปนอาทิตยถัดไปดวย ดวยเหตุที่ฉันเปนพยาบาลฉันจึงเขาใจไดวาการนัดถี่ แสดงถึงอาการไมดี ญาติพี่นอง แม พี่สาว ก็พากันหวงใยชวยเหลือและพาฉันไปหา พระอาจารยวัดโพธิลังกา อําเภออินทรบุรี จังหวัดสิงหบุรี พระอาจารยใหฉันกินยา อาการฉันก็ดีขึ้น จากนั้นฉันก็ไปหาหมอตามนัดทุกครั้ง รางกายฉันก็ดีกวาเดิม ฉันหยุดงานนาน พอฉันมีแรงจึงกลับไปทํางานภาระหนาที่เดิม มีพยาบาลรุน นองมาทํางานแทน หนาที่การงานฉันเปลี่ยนไปแมวาจะสูงขึ้นดวยความกรุณาของ นายและพยาบาลรุนพี่ แตฉันก็อึดอัด ก็ชีวิตฉันเคยแตทํางานกับคนไขมาตลอด พอ ทํางานบริหาร งานเอกสาร ฉันทําไมเ ปน ลําบากมาก กดดัน อีกอยางฉันไมชอบ แกปญหาเพื่อนพยาบาลทะเลาะกัน ชีวิตที่บานฉันปกติเราอยูกัน 3 คน มีฉัน สามี ลูก ชาย บานฉันอยูในกลุม บานญาติพี่นองเปนที่ม รดกพอ ฉันเปนลูก คนเล็ก มีพี่ 3 คน เหลือ แตแม สวนพอ เสียชีวิตไปแลว ระหวางปวยฉันมีคนเฝาไขเยอะทั้งแม พี่ เพื่อน และนองๆ ลางานกัน มาเยี่ยมมาเฝา กําลังใจฉันอยูที่ลูกกับสามี ฉันแตงงานมา 16 ป สามีฉันเปนคนดี ดูแล ฉันทุกอยาง ตั้งแตแตงงานฉันไมคอยไดทําอะไรเองมากนัก ตอมาสามีก็ทิ้งฉันไปอยู 76
กับผูหญิงอีกคน ไมติดตอฉันกับลูกเลย ฉันพยายามติดตอไปก็ปฏิเสธการติดตอ ฉัน ตองขับรถไปธุระ ซื้อขาว ซื้อของ ตอทะเบียนรถเอง ชวงหลังแตงงานสามีดูแลเรื่องนี้ ฉันจึงไมเคยตองทํา พอตองมาทําเรื่องเหลานี้ดวยตัวเองฉันรูสึกลําบากมาก แขนซาย ของฉันถูกตัดตอมน้ําเหลือง จะบวมปวดแตก็พอทนได รถฉันสูง ฉันตองปนรถขับเอง ฉันพยายามทํากายภาพบําบัด ทํากิจกรรมบําบัด ดูแลจนเดินไดปกติ สภาพรางกาย พอเดินได แมไมดีนัก ลูกชายฉันอายุ 15 ป ยายโรงเรียน เดิม ลูกชายก็ขยันดี พอยายโรงเรียนใหมลูกฉันดูไม ฉันจิตตกฉันก็ตั้งใหม ชีวิต คอยจะสนใจเรียน เลนเกมสออนไลนทุกวัน การ ฉันรูสึกทุกขนอยลง มี เรี ย นแย ล ง วั นๆ ได แ ตนั่ ง เลน นั่ ง หลั บ อยู กั บ ความสุขเพิ่มขึ้น ไมมีใครทํา คอมพิวเตอรในบาน หากฉันพูดฉันเตือนก็มีได ใหฉันสุขหรือทุกขไดหรอก ทะเลาะกั น ลูก ชายเรีย นไดเ กรดต่ําสุ ดที่ เ คย นอกจากตัวฉันเอง เปนมา 2.1 ฉันกลุมใจมากหวงอนาคตลูก ฉันรูสึกวาชีวิตฉันหาความสุขไมได ความสุขหายไปไหน ทุกขทั้งนั้น ตัวเอง ปวยก็ทุกข สามีทิ้งก็ทุกข ลูกไมตั้งใจเรียนก็ทุกข พอไปทํางานหนาที่การงานใหมฉัน ก็ทําไมคอยไดเหมือนคนไมมีประโยชนฉันก็ทุกข นองๆ พยาบาล 3 คน คือ ชมพู ตั๋น เอง พาฉั นไปหาพระอาจารย ไพบูล ย ที่ส ถานปฏิ บัติธ รรมหาดเสลา ฉันไดรูจั ก อาจารยศรชัยดวย ชีวิตที่ผานมาฉันไมชอบพระ ไมชอบทําบุญ ชีวิตฉันไมเคยปฏิบัติ ธรรม อยางมากก็แคสวดมนตพ อได เคยฟงธรรมจากซีดีที่เพื่อนๆ ใหในชวงปวยก็ เขาใจบางไมเ ขาใจบาง พอฉันไดรับ คําสอนงายๆ จากพระอาจารยไพบูล ย พระ อาจารยใหฉันลองนั่งคิดถึงวาในบานฉันมีใครบาง อะไรอยูตรงไหน ไปยังไง ฉันก็นึก ตาม ที่บานฉันมีสุนัข 1 ตัว ชื่อสีเงิน มีลูกชาย และขาวของตางๆ ฉันก็นึกตาม มา สะดุดที่พระอาจารยสอนวาตัวฉันนั่งอยูตรงนี้แทๆ แตจิตยังแวบไปเที่ยวไกลๆ ได จิต 77
คนเราควรจะอยูกับตัว ฉันเรียนถามพระอาจารยวา ความสุขของฉันหายไปไหน พระอาจารยสอนวา คนเราตองพบ ตองเห็น ตองเปน ในสองสิ่ง คือ สิ่งที่ชอบใจและ สิ่งที่ไมชอบใจดวยกันทุกคน ไดของชอบก็สุข ไดของไมชอบก็ทุกข ฉันบอกวาฉัน อยากมีแตความสุข แตพระอาจารยสอนวาในชีวิตของเราตองประสบกับทั้งของที่ไม ชอบ และของที่ไมชอบ เมื่อไมพอใจจิตมันตก เกิดทุกข พระอาจารยสอนวา จิตตก ก็ตั้งใหมได ฉันจิตตกบอยๆ จากที่พระอาจารยใหตั้งจิตใหมฉันก็พยายามใหกายกับ จิตอยูดวยกันอยางพระอาจารยสอน ฉันกลับมาปฏิบัติฝกจิตตอที่บาน ฝกไดแคจิตอยู กับกายแตก็ไมไดบอยนัก เมื่อฉันกลับบาน ฉันอธิษฐานใหอภัยสามีกับผูหญิงที่แยง สามีฉันไป สวนลูก ฉันสวดมนตแผเ มตตาใหเ ขา พระอาจารยบอกวาฉันปวยเปน มะเร็ง ยังไงฉันก็ตองตาย และบอกกับคนอื่นๆที่ไมปวยวา ถึงไมปวยเปนอะไรยังไงก็ ตองตายทุกคน ลูกก็ไมใชตัวตนของฉัน ฉันรักฉันหวงพอเขาทําไมไดดั่งใจฉันฉันก็จิต ตก การงานก็ตองพบสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไมชอบทั้งนั้น เราก็จิตตกอีกแหละ สามีก็ไมใช ตัวตนของฉันเปนใครก็ไมรูแลวมาอยูดวยกัน เอาใจไปอยูกับเขาพอเขาไมไดดั่งใจเรา เราก็จิตตก จิตตองอยูกับตัว จิตตกตั้งใหมได ตกกี่ครั้งก็ตั้งใหม จิตตกรอยครั้งตั้งใหม รอยครั้ง พระอาจารยสอนวาตองทําใหได ทุกวันนี้ฉันไปหาหมอตามนัด หมอบอกวามะเร็งฉันผลเลือดปกติ รางกาย ก็ปกติ สามีก็ยังไมกลับบาน ลูกชายฉันตั้งใจเรียนมากขึ้นเขาทําเกรดได 3.7 เรื่อง หนา ที่การงาน ฉันก็ทํา ตามที่ไ ดรับมอบหมาย ฉันเชื่อแลววาคนเราไมส ามารถ เลือกงานไดทุกคน ฉันก็เปนอยางที่พระอาจารยสอน คือไดพบกับสิ่งที่ชอบและไม ชอบ พอฉันจิตตกฉันก็ตั้งใหม ชีวิตฉันรูสึกทุกขนอยลง มีความสุขเพิ่มขึ้น ไมมีใคร ทําให ฉันสุข หรือ ทุกขไ ดหรอกนอกจากตัวฉัน เอง ฉันดี ใจที่ชี วิตฉั นไดพ บพระ อาจารยไ พบู ล ยใ นยามที่ ฉั นคิ ด วา ฉัน ทุ กข ที่สุ ด ถ า บอกได ฉัน อยากบอกพระ อาจารยวา ฉันภูมิใจที่เกิดมาชีวิตนี้ไดรูจักพระอาจารยไพบูลย ขออนุโมทนา 78
79
ddddddd
80