ถ้าท่านไม่สนใจหนังสือนี โปรดมอบแด่ผทู้ ี ตอ้ งการ ขอความกรุ ณาอย่าทิง ไป เพราะเขียนจากประสบการณ์ที ฝึกมา ด้วยความเหนื อยยากนานหลายปี เพื อเป็ นธรรมทาน ท่านผูใ้ ดประสงค์จะพิมพ์ เผยแพร่ เป็ นธรรมทาน ก็ให้ทาํ ได้ โดยไม่ตอ้ งขออนุญาตก่อน
ณรงค์ ศักดิ เนียมนัด
คํานําครั งที ๑ ข้าพเจ้าได้รับการชี แนะอบรมสั งสอนจากท่านอาจารย์ ผูม้ ีพระคุ ณหลายท่าน ทั งพระสงฆ์และฆราวาส แต่ ก็ปฏิบตั ิ ผิด ๆ ถูก ๆ นานหลายปี เป็ นเพราะปฏิบตั ิมามากมายหลายวิธี ด้วยกัน แต่เมื อเพียรปฏิบตั ิไปเรื อย ๆ โดยไม่ ย่อท้อ ด้วยการ เฝ้ าสังเกตและแก้ไขกิเลสที ใจตนเองอย่างต่อเนื อง ตอนใดไม่รู้ ก็ถามผูร้ ู ้เรื อยไป ซึ งทุกๆท่ าน ก็เมตตาชี แนะจนปฏิบตั ิ ได้ผล เป็ นความสุ ขความสบายตามลําดับ ต่ อมาได้รับเชิ ญไปสอน ผูช้ ่ ว ยผูพ้ ิ พ ากษา ที สถาบัน พัฒ นาข้า ราชการตุ ล าการ จึ ง ได้ เขี ยนวิธีฝึกจิ ตให้จางคลายจากทุ กข์ เพื อจะเป็ นประโยชน์แก่ ผูพ้ ิพากษาและผูส้ นใจทัว ๆไป และเป็ นการตอบแทนพระคุณ ของสมเด็จ พระสั ม มาสั มพุ ท ธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บิ ด า มารดา และท่ า นอาจารย์ผูม้ ี พ ระคุ ณ ข้า พเจ้า ได้เ รี ย งลํา ดับ การฝึ กจิตซึ งเป็ นการขัดเกลากิ เลสไปตั งแต่เรื องง่าย ๆ จนถึ ง ยากขึ นไปเรื อ ย โดยเขี ยนไปตามอาการของจิ ตที เกิ ดขึ นจริ ง จากการฝึ กจิต
อนึ ง ข้า พเจ้า ไม่ ไ ด้ เ ข้า โรงเรี ยนพระอภิ ธ รรมหรื อ มหาเปรี ยญ ดังนั นคําบาลีบางคําที จาํ เป็ นจะต้องนํามาเขียนไว้ จึงได้ขยายไปตามอาการของจิตที เกิดขึ น ถ้าหากมีขอ้ ผิดพลาด ขอท่านผูร้ ู ้ได้โปรดชี แนะเป็ นวิทยาทาน จะเป็ นพระคุณอย่างสู ง
ณรงค์ ศักดิ เนียมนัด
คํานําครั งที ๒ หนั ง สื อ วิ ธี ฝึ กจิ ต ให้ จ างคลายจากทุ ก ข์ ที พิ ม พ์แ จก เป็ นธรรมทานมาหลายปี ได้หมดลง มีหลายท่ านประสงค์จะ พิมพ์ห นังสื อ แจกเป็ นธรรมทาน ข้าพเจ้าจึ ง ได้น ําหนัง สื อวิธี ฝึ กจิ ต ให้จ างคลายจากทุ ก ข์ มาปรั บ ปรุ ง แก้ไ ขเพิ ม เติ ม ใหม่ เพื อให้เกิ ดความชัด เจนในการปฏิ บตั ิ ในสายเจโตวิมุ ตติ หรื อ ฉฬภิ ญ โญ และในสายปั ญ ญาวิมุ ต ติ ห รื อ สุ ข วิปั ส สโก จะได้ ไม่ เ กิ ด การโต้เ ถี ย งขัด แย้ง ในระหว่า งผูป้ ฏิ บ ัติ ด้ว ยกัน ซึ ง จะ ปฏิบตั ิวธิ ีใด ก็ได้ผลทั งนั น พระอรหันต์ต งั แต่พุทธกาล เป็ นต้น มาก็มี ท ัง สองแบบ ทั ง นี ต ้อ งมี ศ รั ท ธา ความเพี ย ร ขัน ติ สติ สมาธิ ปั ญญาอย่างต่อเนื องไม่ขาดสายจริ ง ๆ จึงจะเห็นผลได้ ข้า พเจ้า เขี ย นจากประสบการณ์ ที เ พี ย รปฏิ บ ัติ ม านานเกื อ บ สามสิ บปี เกิ ด ผลจากการปฏิ บ ั ติ ไ ด้ ถึ ง ทุ ก วัน นี ก็ เ พราะ ท่ านอาจารย์ผูม้ ี พระคุ ณหลายท่ า นช่ ว ยอบรมชี แ นะตลอดมา ถ้า หนัง สื อ นี มี ค วามดี อ ยู่ บ ้า ง ข้า พเจ้า ขอถวายเป็ นกุ ศ ลแด่ ท่านอาจารย์ผมู ้ ีพระคุณทุกท่าน และหนังสื อเล่มนี สําเร็ จลงได้ ก็ดว้ ยความมีน าํ ใจช่ วยเหลื อจากหลายท่าน ตั งแต่ช่วยกันคัด
ต้นฉบับจากลายมือข้าพเจ้า ช่วยกันตรวจทาน และบริ จาคทรัพย์ เพื อ พิ ม พ์ ห นั ง สื อ นี ออกมาเป็ นธรรมทาน ขออํา นาจคุ ณ พระพุท ธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรคผลนิ พ าน และบุ ญกุศ ล ที ทุ ก ท่ า นได้ ก ระทํา มาแล้ว ทั ง หมด รวมทั ง ความมี น ําใจ ช่ วยเหลือทุกประการ ตลอดจนบริ จาคทรัพย์เพื อพิมพ์หนังสื อ เล่ มนี แ จกเป็ นธรรมทาน ซึ งเหนื อกว่าการให้ท านใดทั งมวล จงดลบันดาลให้ทุกท่านและครอบครัวมีแต่ความสุ ขกายสุ ขใจ ปราศจากทุกข์โศกโรค ภัย เสนียดจัญไรทั งหมด และขอให้เกิด สติ สมาธิ ปั ญญา พาตนให้เจริ ญรุ่ งเรื องยิง ๆ ขึ นไปในทางโลก และทางธรรม จนบรรลุนิพพานด้วยกันทั งหมดทุกท่านเทอญ
ณรงค์ ศักดิ เนียมนัด
สารบัญ “รู ้”แต่ไม่สนใจ
1
ฝึ กคิดแต่ส ิ งที ทาํ ให้สบายใจ ฝึ กคิดตัดให้ส นั หางานอดิเรกทํา ดูโทรทัศน์หรื อฟังเพลง ไม่พดู แต่เรื องเครี ยด ๆ ฝึ กเป็ นผูใ้ ห้ไม่ใช่เอาแต่ได้ ฝึ กไม่ตามใจตัวเอง
3 3 4 4 5 5 6
ฝึ กแก้นิสัยตัวเอง ฝึ กให้อภัยไม่ถือสา ทําบุญทํากุศล สํารวมอินทรี ย ์ กินอยูห่ ลับนอนแต่พอดี เมื อมีความทุกข์หรื อความเครี ยดให้กระพริ บตาถี ๆ
6 7 8 8 9 9
ใจแช่อยูก่ บั ความเบาสบายก็ตอ้ งรู ้ตวั วิธีการกระพริ บตาถี ๆ
9 11
เคลื อนไหวทางกายละลายอาการทางจิต เคลื อนไหวทางกายละลายความคิดปรุ งแต่ง
13 14
ฝึ กผูกจิตใจ “พุทโธ” ใช้ฝึกได้ท งั สมาธิ สติ ปัญญา วิธีบริ กรรมหรื อนึก“พุทโธ”
15 17 18
ฝึ กจิตระดับอุเบกขาฌานหรื ออัปปนาสมาธิ ล้างกิเลสซึ งเป็ นไฟเผาใจ ร่ างกายเป็ นเพียงธาตุสารอาหาร ร่ างกายเป็ นเพียงส่วนผสมปรุ งแต่ง ร่ างกายเป็ นของไม่เที ยง
19 22 25 25 26
คิดถึงความตาย
27
นามธรรมเกิดขึ นแล้วก็ดบั ไปไม่มีตวั ตน พึงเห็นแต่หน้าดับไปของนามธรรม หยุดหรื อวางจึงจะว่าง
28 29 29
หมายเหตุ (การปฏิบตั ิในสายเจโตวิมุตติ)
30
วิธีที ๒ สายปัญญาวิมุตติหรื อสุ ขวิปัสสโก 31 ปรมัตถธรรม 31 เทียบขันธ์หา้ กับปรมัตถธรรม 32 ขันธ์หา้ ปรมัตถธรรม อายตนะภายใน และอายตนะภายนอก 33 ควรทําความเข้าใจให้ถูกต้อง 34 รู ป จิต เจตสิ ก นิพพาน 36 การปฏิบตั ิสายปัญญาวิมุตติ หรื อสุ ขวิปัสสโก 41 ความคิดปรุ งแต่ง 43
อวิชชาเป็ นปัจจัยให้เกิดอาสวะอนุสยั อาสวะอนุสยั เป็ นปัจจัยให้เกิดอวิชชา อวิชชาเป็ นปัจจัยให้เกิดสังขาร
45 46 47
สังขารเป็ นปัจจัยให้เกิดวิญญาณไปจนถึงเวทนา
47
เวทนาเป็ นปัจจัยให้เกิดตัณหา อุปาทาน(ความยึดถือ) 47 อาสวะอนุสัยและอวิชชาเป็ นปัจจัยให้เกิดตัณหา อุปาทาน 49
จะดับความคิดปรุ งแต่งต้องรู้วา่ คิดเรื องอะไร
51
ข้อสังเกต (ในเรื องของความคิด)
54
ทุกข์นอ้ ย ๆ กลายเป็ นทุกข์มาก
55
ข้อผิดพลาดที พบบ่อย
58
ความเข้าใจผิดทําให้ไม่พน้ ทุกข์
59
อวิชชาตัวใหญ่
66
คิดปรุ งแต่งจนเลยไปเป็ นตัณหา อุปาทานจะทําให้เกิดตัวตน 67
ไม่คิดซ้อนผูร้ ู้ ไม่รู้ซอ้ นรู้ ไม่คิดซ้อนคิด ไม่คิดซ้อนอารมณ์ สรุ ปให้รู้เพียงชั นเดียว
70 71 72 73 74
ความเข้าใจผิดในเรื อง “สักแต่วา่ รู ้” หรื อ “รู ้เปล่า ๆ”
75
จุดสุดท้ายของสังขารปรุ งแต่ง
76
แยกรู ป(กาย) ในขันธ์หา้ ออกจากจิต
77
แยกเวทนา สัญญา สังขาร ซึ งเป็ นเจตสิ กออกจากจิต 78 ไม่ยดึ “จิต (ผูร้ ู ้)” และไม่ยดึ นิพพาน จึงจะพบนิพพาน
79
ไม่ยดึ ถือก็วา่ งเปล่า
81
หน้าที ทางโลก
83
“รู้ ” แต่ ไม่ สนใจ “ถ้ า เราสนใจสิ ง ใด สิ ง นั น ก็อ ยู่ ใ นใจเรา เราก็จ ะ ทุกข์ กบั สิ งที อยู่ในใจเรา ถ้ าเราไม่ สนใจสิ งใด ก็ไม่ มีอะไรอยู่ในใจเรา เราก็ ไม่ ทุกข์ อย่ า ไปโทษว่ า มี สิ ง ใดภายนอกมาทํ า ให้ เ ราทุ ก ข์ เพราะถ้ าเราไม่ เข้ าไปสนใจ เราก็ไม่ ทุกข์ ” “รู้” คือรู้ทางตา หู จมูก ลิน กาย และใจ “สนใจ” คือ เข้ า ไปยึด ถือ หรื อ ถือ สา หรื อ ให้ ค่ า หรื อให้ ความสํ าคัญ หรื อเกิดความรั ก หรื อเกิดความชั ง หรือเข้ าไปวิพากษ์ วจิ ารณ์ ตามที ถูกใจเราหรือไม่ ถูกใจเรา
ถ้ า “รู้ ” แล้ ว ไม่ ส นใจ ก็ไ ม่ ต้ อ งมี วิธี ก ารปฏิ บั ติ ธรรมใด ๆ และไม่ ต้ อ งอ่ า นหนั ง สื อ เล่ ม นี ต่ อ ไปด้ ว ย เพราะท่ านพ้นจากทุกข์ แล้ว “ความคิดปรุ งแต่ งหรือความคิดฟุ้ งไปในประการ ต่ า ง ๆ เปรี ย บเหมื อ นละอองนํ า ในอากาศที เ พิ ง เริ ม เกิดขึน ใหม่ ๆ หากไม่ รู้ เท่ าทันตั งแต่ แรก ๆ ละอองนํ านั น ก็จะรวมกันเป็ นเมฆฝนที หนาแน่ น พร้ อมที จะตกลงมา เป็ นฝน เช่ น เดีย วกับความคิด ฟุ้ งในประการต่ าง ๆ ถ้ า ไม่ รู้ เท่ าทันตั งแต่ ฟุ้งน้ อย ๆ ก็จะยิ งฟุ้ งซ่ านมากขึน ๆ ไป เรื อย ๆ จะมีอารมณ์ หนาแน่ นมากขึน ๆ เปรียบดั งเมฆฝน แล้ ว ก็ เ ป็ นความทุ ก ข์ ใ จ บางครั งต้ องร้ องไห้ เสี ย ใจ เหมือนดัง ฝนทีต กลงมา” “รู้เท่ าทันความคิด ปลุกจิตให้ ตนื สดชื น แจ่ มใส เบิกบาน”
คลายทุกข์ คลายเครียด ฝึ กคิดแต่ สิ งที ทําให้ สบายใจ โดยปกติ จิ ต ใจคนเราย่อ มไม่ ค่ อ ยอยู่ก ับ ตัว ชอบนึ ก คิดปรุ งแต่งไปถึงคนอื น สิ งอื นหรื อเรื องราวต่าง ๆ ทั งที เป็ น อดี ต บ้ า ง อนาคตบ้ า ง จนทํา ให้ เ กิ ด ความทุ ก ข์ ใ จ เช่ น ความกัง วลใจ ความไม่ ส บายใจ เป็ นต้น ที จ ะนึ ก คิ ด ให้ เกิ ด ความสุ ข ใจไม่ ค่ อ ยมี ดัง นั น ต้อ งฝึ กฝนให้ คิ ด นึ ก ใน เรื อ งที สุ ข ใจ สบายใจ โดยการหาวิธี เ อาความสุ ข มาแทนที ความทุกข์เสี ยก่อน
ฝึ กคิดตัดให้ ส ัน เมื อมีเรื องที ทาํ ให้ไม่สบายใจมากระทบใจ จิตใจก็จะ ไม่ ผ่ อ งใส มี ค วามไม่ ส บายใจ มี ค วามกั ง วลใจ หรื อมี ความทุ กข์ใจ จึ งต้องหาวิธีทาํ ให้ค วามทุ กข์ใจนั นผ่อนคลาย หรื อปลงใจไปได้บา้ ง เช่น คิดว่าช่างมัน อะไรจะเกิดก็ตอ้ งเกิด หรื อคิดว่าช่ างมันเถอะ เราคงทํากรรมกับเขามาก่อน หรื อคิดว่า
ช่ างมัน นึ กเสี ยว่าให้ทานไปก็แล้วกัน หรื อคิดว่าช่ างมันเถอะ มัน แตกไปแล้ว หรื อ เสี ย หายไปแล้ว คิ ด ไปก็ไ ม่ มี ป ระโยชน์ หรื อคิ ดว่าช่ างเถอะ เขามี ความรู ้ ความสามารถแค่ น ี เอง หรื อ คิดว่าช่างเถอะ เขามีบุญมาแค่น ีเอง หรื อคิดว่าช่างเถอะ ค่อย ๆ แก้ไขกันไป เป็ นต้น ซึ งแล้วแต่จะหาอุบายคิดหรื ออุบายพูด ให้เกิดความสบายใจ จะได้ไม่ทุกข์ใจอยูน่ าน
หางานอดิเรกทํา โดยปกติ คนเราถ้าอยู่ว่าง ๆ ไม่ มีอะไรทํา ก็จะคิ ดนึ ก ปรุ งแต่งฟุ้ งซ่ านไปในประการต่าง ๆ นานา มักจะหาเรื องทุกข์ มาใส่ ตวั ดังนั น จึ งต้องหางานอดิ เรกในสิ งที ชอบใจทํา เช่ น เล่นกีฬา เลี ยงสัตว์ เช่ น สุ นขั แมว เลี ยงไม้ประดับ ปั กผ้า เป็ น ต้น แต่งานอดิเรกนี จะต้องไม่ก่อทุกข์ใส่ ตวั เช่น สะสมของที มี ราคาแพงจนหมดเงินหมดทอง
ดูโทรทัศน์ หรือฟังเพลง ดูละครนํ าเน่ าหรื อตลกเสี ยบ้าง หรื อ ฟั งเพลง ร้องเพลง เสี ยบ้าง ก็จะทําให้ผอ่ นคลายความตึงเครี ยดไปได้มาก
ถ้าดูหรื ออ่านแต่ข่าวสารบ้านเมืองหรื อข่าวอาชญากรรม เพียงอย่างเดียว ก็อาจจะเพิม หรื อสัง สมความเครี ยดยิง ขึ น
ไม่ พดู แต่ เรื องเครียด ๆ ไม่คิดหรื อพูดแต่ในแง่ลบของคนอื น หรื อสิ งอื น หรื อ เอาแต่ตาํ หนิ ติเตียนผูอ้ ื นหรื อสิ งอื น ไม่ ว่าจะเป็ นสัตว์ สิ งของ หรื อแม้แต่ลมฟ้ าอากาศ จะทําให้ไม่มีใครอยากคบหาสมาคม ด้วย และจะทํา ให้ตนเองมี แต่ ความเครี ยด ขี บ่น ขี จู ้จ ี มากขึ น เรื อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลง และต้องไม่ตาํ หนิ ตวั เองจนเกิด เป็ นความเครี ยดหรื อขาดความเชื อมัน ตัวเองด้วย
ฝึ กเป็ นผู้ให้ ไม่ ใช่ เอาแต่ ได้ ฝึ กปล่อยวางเสี ยบ้าง หรื อฝึ กตัดใจสละสิ งต่าง ๆ โดย ฝึ กจากเรื อ งง่ า ย ๆ มาก่ อ น เช่ น สละของที ไ ม่ ใ ช้แ ล้ว ไปให้ คนยากจนหรื อผูท้ ี มีความจําเป็ นต้องใช้ บริ จาคเสื อผ้าเก่ า ๆ ที ไ ม่ ใช้แ ล้ว ให้แ ก่ ญาติ พี น้อ งที ย ากจนกว่า ต่ อ ไปฝึ กบริ จ าค ให้แก่คนยากจนคนอื น ๆ บริ จาคหนังสื อเก่า ของใช้ที ไม่ได้ ใช้แล้วให้แก่ผทู ้ ี ตอ้ งการ จะทําให้ใจเป็ นสุ ข ยิง เมื อได้เห็นผูร้ ับ
มีความสุ ขใจยินดีปรี ดาอย่างยิง ก็จะทําให้เรามีความสุ ขใจมาก การให้ ห รื อการบริ จาคสิ งของใด ต้ อ งทํ า กั บ ผู ้ ที เ ขามี ความต้องการ มิฉะนั น เมื อเห็นผูร้ ับไม่เต็มใจรับหรื อทิ งขว้าง สิ งของที เราบริ จาค ก็จะทําให้เราเกิดความเสี ยใจได้ ความสุ ขจากการเป็ นผูใ้ ห้ จะดื มดํ าไปนาน แต่ความสุ ข จากการเป็ นผูร้ ับหรื อเอาแต่ได้ จะสุ ขไม่นาน แล้วก็อยากจะได้ เพิม มากขึ นเรื อย ๆ จนกลายเป็ นความทุกข์
ฝึ กไม่ ตามใจตัวเอง ฝึ กตัดใจจากสิ งที ทาํ ได้ง่ายก่อน เช่นอยากจะกินอาหาร ราคาแพง หรื ออยากจะไปเที ยว หรื ออยากจะสะสมของสิ งใด เพิ ม หรื อ อยากจะได้เ ครื อ งแต่ งตัว ใหม่ เช่ น เสื อ ผ้า รองเท้า นํ าหอม เครื องประดับ ถ้ามีพอแล้วก็ตดั ใจเสี ยบ้าง
ฝึ กแก้นิสัยตัวเอง นิ สั ย หรื อ สั น ดานของตัว เองจะพาไปหาทุ ก ข์บ่อ ย ๆ เช่น มีนิสัยเป็ นคนเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย ใจร้อน ใจเร็ ว ก็จะเกิด ความขัดใจ ไม่ได้ดงั ใจ เป็ นความเครี ยด เกิดอารมณ์เสี ยบ่อย ๆ
หรื อมี นิ สั ย ใจน้ อ ย เจ้ า คิ ด เจ้ า แค้ น ก็ เ ก็ บ มาคิ ด ให้ ขุ่ น ใจ แค้น เคื อ งใจ บางครั งถึ ง ขั น ผูก ใจเจ็บ หรื อ อาฆาตพยาบาท ขึ นมา หรื อมี นิสัยมักมากในกามคุ ณ ต้องดิ นรนทะยานอยาก เพื อให้ได้มาในรู ป รส กลิ น เสี ยง สัมผัส หรื ออารมณ์ที ชอบใจ แล้วก็ชอบคิ ด ชอบพูด หรื อชอบฟั ง หรื อชอบสัมผัสในสิ งที ก่อให้เกิดอารมณ์ เมื อรู ้ตวั ว่ามีนิสัยอย่างไร ก็ตอ้ งพยายามหาวิธี หาอุบาย หรื อ เทคนิ ค ของตนเอง เพื อ จะค่ อย ๆ แก้ไ ขนิ สั ย ของตนให้ เบาบางลงไปเรื อย ๆ ค่อย ๆ ฝึ กไปโดยไม่ทาํ ตามใจอยาก เช่ น อยากคิด อยากพูด อยากดู อยากฟั ง อยากสัมผัส หรื ออยากทํา ก็หกั ห้ามใจ ไม่คิด ไม่พดู ไม่ทาํ ไปตามใจอยาก
ฝึ กให้ อภัย ไม่ ถอื สา ฝึ กหัดให้อภัยไม่ถือสาผูอ้ ื น จนถึงคนใกล้ตวั เช่ น สามี หรื อภรรยา ซึ งคนใกล้ตวั กลับให้อภัยหรื อไม่ ถือสายากที สุด ต้องฝึ กให้อภัย ไม่ถือสาตั งแต่เรื องง่าย ๆ ไปก่อน อย่าเอาเรื อง เล็ก ๆ น้อ ย ๆ มาเป็ นเรื องใหญ่ ไปทุ ก เรื อง สามี หรื อภรรยา จะเป็ นเครื อ งมื อ วัด ความก้า วหน้า ในการฝึ กจิ ต ของเราได้
เป็ นอย่างดี คือ ถ้าทะเลาะเบาะแว้งกันหรื อหงุดหงิดรําคาญใจ กันน้อยลงไปเรื อย ๆ แสดงว่าการฝึ กจิตของเรามีความก้าวหน้า ดีข ึน
ทําบุญทํากุศล ฝึ กใจให้เริ มใฝ่ ในการบุญการกุศล เช่น ทําบุญ ใส่ บาตร ฟั งธรรม อ่านหนังสื อธรรมะเสี ยบ้าง ฝึ กทําความดีข ึนเรื อย ๆ และพยายามละความชัว จิตใจจะเริ มอ่อนโยนลง เริ มสวดมนต์ ไ หว้พ ระทํา สมาธิ บ ้ า ง ใจก็ จ ะเริ มมี ความสงบร่ มเย็นขึ น
สํารวมอินทรีย์ ให้สํารวมอินทรี ย ์ คือ ตา หู จมูก ลิ น กาย ใจ เพื อมิให้ จิ ต ต้อ งดิ น รนเร่ า ร้ อ นทะยานอยาก เป็ นไฟราคะ ไฟโทสะ พยาบาท หรื อเป็ นไฟโมหะมาเผาใจ
กินอยู่หลับนอนแต่ พอดี ให้รู้จ ักประมาณในการกิ น อยู่ห ลับนอน ให้สังเกตว่า กิ นอะไร และมากน้อยขนาดไหน กายจึ งจะเบา ใจจึ งจะเบา รวมถึงการนอนด้วย
เมื อมีความทุกข์ หรือความเครียดให้ กระพริบตาถี ๆ ถ้า เกิ ด ความทุ ก ข์ ห รื อความเครี ยด เพราะขาดสติ ไม่ รู้เ ท่ า ทัน ปล่ อยให้คิด ปรุ ง แต่ งดิ นรนทะยานอยากไปตาม ใจชอบหรื อไม่ ช อบเป็ นเวลานาน หรื อรู ้ เ ท่ า ทั น แล้ ว แต่ ไม่สามารถสลัดความทุกข์หรื อความเครี ยดให้ออกไปจากใจได้ ก็ให้มองออกไปไกล ๆ แล้วกระพริ บตาถี ๆ ให้เร็ วกว่าความคิด เป็ นเวลานานสั ก พัก หนึ ง จนความทุ ก ข์ ห รื อ ความเครี ย ด ระเบิดออกไป แล้วให้ลุกไปหาอะไรทําทันที อย่านัง หรื อนอน อยูน่ ิง ๆ เป็ นอันขาด
ใจแช่ อยู่กบั ความเบาสบายก็ต้องรู้ตวั บางท่านเมื อมีความรู ้สึกเบาสบาย ก็เกิดความพึงพอใจ ความรู ้สึกเบาสบาย โดยจะนัง แช่ นอนแช่ ใจสบายอยูอ่ ย่างนั น
ซึ งเมื อเกิดความพอใจ ก็เท่ากับหลงยึดถือคือสนใจ หรื อให้ค่า หรื อให้ความสําคัญกับความรู ้ สึกเบาสบายนั น ย่อมเป็ นทุ กข์ แต่ เ ป็ นความทุ ก ข์ ล ะเอี ย ดมากซึ งจะสั ง เกตได้ เ มื อ ส่ ง ผล มาถึ งกาย คื อจะเกิ ดความง่ วงซึ ม ๆ เซา ๆ หรื ออึ ดอัดน้อย ๆ ก็ให้รู้เท่าทัน เคลื อนไหวร่ างกาย พร้อมกับเปลี ยนความสนใจ ไปเป็ นอย่างอื น หรื อกระพริ บตาถี ๆ เมื อรู ้สึกง่วง ๆ ซึ ม ๆ หรื อรู ้สึกอึดอัดแล้วอย่ าพยายาม ส่ งจิตออกนอก หรื ออย่ าพยายามทําให้ความรู ้สึกง่วง ๆ ซึ ม ๆ หรื อรู ้สึกอึดอัดหายไป หรื ออย่ าพยายามที จะลื มความอึ ดอัด เพราะเท่ า กับ ไปสนใจหรื อ ให้ ค วามสํ า คัญ กับ ความอึ ด อัด ย่อมไม่พน้ ความอึ ดอัดที เป็ นทุกข์ไปได้ เหมือนกับถูกคนรั ก ทิ ง ไป แล้ว พยายามที จ ะลื ม คนรั ก นั น แต่ ยิ ง พยายามจะลื ม กลับยิ งลื มไม่ ลง เหมื อนกับที ว่า “อยากลืมกลับจํา” เพราะ การพยายามที จะลืมก็คือยังสนใจให้ค่า หรื อให้ความสําคัญอยู่ จะต้องไม่สนใจหรื อไม่ให้ความสําคัญอี กเลย หาอะไรทําไป เดีM ยวก็ลืมไปเอง แต่เมื อใดที คิดปรุ งแต่ งวนเวียนเข้าไปสนใจ ข้า งใน ก็ ใ ห้รู้ เ ท่ า ทัน พร้ อ มกับ เคลื อ นไหวกาย และเปลี ย น ความสนใจไปเป็ นอย่างอื นหรื อกระพริ บตาถี ๆ
วิธีการกระพริบตาถี ๆ ๑). การกระพริ บ ตาถี ๆ อย่ า ทํา โดยวิ ธี เ ฝ้ าสั ง เกตดู ความคิ ด และอารมณ์ อ ยู่ภ ายในใจ แล้ว ทํา ความรู ้ สึ ก ตัว เพื อ ไล่ ค วามคิ ด และอารมณ์ น ัน เพราะจะเป็ นเหมื อ นปั ด ฝุ่ นใน ห้องนอน โดยฝุ่ นละอองจะไม่ออกไปจากห้องนอนได้เลย หรื อ ความทุ ก ข์จ ะไม่ อ อกไปจากใจได้เ ลย วิ ธี ท าํ ที ถู ก ต้อ งให้เ อา ความรู ้สึกอยูก่ บั สิ งต่าง ๆ ที ดูอยูภ่ ายนอกไกล ๆ แต่ไม่ได้สนใจ สิ งที ดูอยูน่ นั อย่างจริ ง ๆ จัง ๆ แล้วกระพริ บตาถี ๆ ให้เร็ วกว่า ความคิดนานสักพักหนึ ง ๒). การกระพริ บ ตาถี ๆ นี ต้อ งทํา ด้ว ยความเพลิ น อย่า งต่ อ เนื อ ง และให้มี ค วามรู ้ สึ ก ผ่ อ นคลายทั ง กายและใจ ถ้า หากมี ค วามเคร่ ง เครี ย ดกับ การกระทํา แม้เ พี ย งเล็ ก น้ อ ย ก็จ ะเกิ ด ทุ กข์ข ึ น จากการกระทํา โดยความเคร่ งเครี ย ดนั นเอง คืออาจจะเกิดความรู ้สึกมึนทึบตื อได้ ๓). การกระพริ บตาถี ๆ นี ใช้ในกรณี จิตคิดปรุ งแต่ ง วนเวีย นไปยึด ถื อ หรื อ ถื อ สาคนใดสิ ง ใดหรื อ คํา พูด ของใคร ไม่ เลิ กราเสี ยที หรื อกรณี จิตคิ ดปรุ งแต่ งวนเวียนเข้าไปยึดถื อ ตัวเอง หรื อเรื องของตัวเองจนเป็ นความทุกข์หรื อความเครี ยด
กัด ติ ด หรื อ จิ ต นิ ง อยู่ภ ายในจนเริ ม จะไม่ คิ ด อะไร ไม่ อ ยาก ทําอะไร ไม่อยากพูดกับใคร ต้องรี บกระพริ บตาถี ๆ พร้อมกับ เอาความรู ้ สึ ก ไปอยู่ที ไ กล ๆ ที ย อดไม้ห รื อ เมฆบนท้อ งฟ้ า หรื อ กรณี จิ ต แช่ อ ยู่ใ นอารมณ์ ใ ดหรื อ แช่ อ ยู่ใ นความรู ้ สึ ก ใด ก็ให้กระพริ บตาถี ๆ เอาความรู ้สึกไปอยู่ไกล ๆ เช่ นเดี ยวกัน แต่ ถ ้า เพี ย งแค่ คิ ด ปรุ ง แต่ ง เหม่ อ ลอยออกไปที อื น ๆ ใช้ก าร รู ้ เ ท่ า ทัน หรื อ รู ้ ต ัว ขึ นมา ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง นั น ก็ ดับ ไปแล้ว ไม่ตอ้ งใช้กระพริ บตาถี ๆ
ข้ อสังเกต ถ้า ไม่ มี ค วามคิ ด ปรุ งแต่ ง ชนิ ด ที ว นเวี ย นคิ ด ไม่ เ ลิ ก ก็ไ ม่ ต ้อ งใช้วิ ธี ก ระพริ บ ตาถี ๆ เพราะเพี ย งแต่ รู้ เ ท่ า ทัน และ เปลี ยนความสนใจไปอยูก่ บั สิ งอื นใดก็พอเพียงแล้ว ไม่ใช่กระพริ บตาถี ๆ เพื อป้ องกันความคิดปรุ งแต่งที จะ คิดขึ นมา อย่างนี เท่ากับคิดปรุ งแต่งไปล่วงหน้าก่อนแล้ว
เคลือ นไหวทางกายละลายอาการทางจิต ปกติ เ มื อ อายตนะภายใน [ตา หู จมู ก ลิ น กาย ใจ ] กับอายตนะภายนอก [รู ป เสี ยง กลิ น รส โผฏฐัพพะ(สิ งที สัมผัส ประสาทกาย) ธรรมารมณ์(สิ งที จิตคิดถึง)] ไม่มากระทบหรื อ ไม่ ม าสั ม ผัส กัน ก็ จ ะไม่ มี อ าการใดเกิ ด ขึ นในใจ แต่ เ มื อ มี การกระทบหรื อ สั ม ผัส กัน ก็ จ ะเกิ ด อาการทางจิ ต อย่ า งใด อย่ า งหนึ งเกิ ด ขึ นในใจ เรี ยกชื อ แต่ ล ะอาการแตกต่ า งกัน เพื อจะได้สื อสารกันรู ้เรื อง เช่น ราคะ ความโลภ โทสะ พยาบาท ขัด เคื อ งใจ ความหงุ ด หงิ ด รํ า คาญใจ โมหะ ความฟุ้ งซ่ า น ความลังเลสงสัย ความเพลิดเพลินเจริ ญใจ ความเบื อ ๆ เซ็ง ๆ ความท้อแท้ ความหดหู่ ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ เป็ น ต้น เมื อเกิดอาการทางจิตต่ าง ๆ เป็ นราคะ โทสะพยาบาท หรือโมหะ คือความหลงเพลินติดไปกับสิ งใด เช่ น ความฟุ้ งซ่ าน ความลังเลสงสั ยตัดสิ นใจไม่ แน่ นอน ความง่ วงงุนเคลิบเคลิม เบื อ ๆ เซ็ง ๆ หดหู่ เป็ นต้ น ให้ รู้ เท่ าทันพร้ อมกับการเคลือ นไหว กายหรื อ อวั ย วะส่ วนใดส่ วนหนึ ง ของร่ างกายทั น ที ทั น ใด เช่ น ลุ ก ไปทํ า อะไรทั น ที หรื อ วิ ง หรื อ กระโดดโลดเต้ น หรื อ
หัวเราะ หรือขยับแขนขาหรือดีดนิ ว หรือไหวตัว หรือกระพริบ ตาถี ๆ และต้ องเปลีย นไปดูหรือไปรู้ อย่ างอืน ทันทีด้วย เมื อ เปลี ย นความสนใจแล้ว ต้อ งเปลี ย นเลย ไม่ ต ้อ ง เข้าไปสังเกตอีกว่าอาการทางจิตนั นหายไปหรื อยัง หรื อทําไม ไม่หายเสี ยที ถ้าคอยเข้าไปสังเกตดู จะวนเข้าไปหาอาการทาง จิตใหม่อีก
เคลือ นไหวทางกายละลายความคิดปรุงแต่ ง ให้เ คลื อ นไหวกายหรื อ อวัย วะส่ ว นหนึ ง ส่ ว นใดของ ร่ างกาย หรื อกระพริ บตาทันที เมื อเกิดความคิดปรุ งแต่งต่าง ๆ ที จ ะทํา ให้ เ กิ ด ความพอใจ หรื อเกิ ด ความไม่ พ อใจ หรื อ เพลิดเพลินไปกับสิ งใด หรื อจะทําให้เกิดความทุกข์ใจ ความคิด ในเรื องที พอใจ เช่ น คิดในเรื องของกามราคะ หรื อความโลภ อยากได้อ ยากเอาจนใจดิ น รนหรื อ ร้ อ นรนจนเป็ นไฟเผาใจ ส่ วนความคิดในเรื องไม่พอใจ เช่ น ความคิดในเรื องพยาบาท ขัดเคืองใจ อิจฉาริ ษยา นิ นทาว่าร้าย เพ่งโทษผูอ้ ื น หรื อตําหนิ ตนเอง ทํา ให้ ห มดความเชื อ มั น ตนเองไปเรื อ ย ๆ หรื อ คิ ด เพลินไป เช่น ความคิดฟุ้ งซ่านหาประโยชน์ไม่ได้
การเคลื อ นไหวกายละลายความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ต้อ งทํา พร้ อม ๆ กับเปลี ยนความรู ้ สึก ไปจากสิ ง นั นทันที ด้ว ย แต่ ถ ้า เคลื อ นไหวกายไปแล้ว ใจยัง หมกมุ่ น หรื อ จดจ่ อ หรื อ สนใจ หรื อ ให้ ค่ า ให้ ค วามสํ า คัญ อยู่ ก ับ ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ที ท ํา ให้ เกิ ด อาการทางจิ ต นั น อี ก ก็ จ ะไม่ ส ามารถละลายความคิ ด ปรุ งแต่งที เกิดซํ าถี ๆ ได้ แต่ถา้ ใจวนกลับไปหาสิ งนั นอีก ก็ให้ เคลื อนไหวกายอีก หรื อกระพริ บตาถี ๆ ทําอย่างนี เรื อย ๆ ไป จนกว่ า ใจจะไม่ ว นกลับ ไปหาสิ ง ที ก่ อ ให้ เ กิ ด อาการทางจิ ต นั นอีก
ฝึ กผูกจิตใจ ปกติ จิ ต ของคนเราจะฟุ้ งซ่ า นไปในสิ งต่ า ง ๆ อยู่ ตลอดเวลา ไม่ค่อยมีความสงบ มีความดิ นรนทะยานอยากไปหา กิ เ ลส ซึ ง เป็ นความโลภ ความโกรธ ความหลง หรื อ ราคะ โทสะ โมหะตลอดเวลา หรื อท่านกล่าวว่า จิตใจเหมือนลิง อยู่ ไม่ สุ ข ดิ นรนกวัด แกว่งอยู่ตลอดเวลา จึ งต้องฝึ กผูก จิ ตไว้ก บั เครื อ ง ล่ อ จิ ต เลื อ กเอาอย่ า งใดอย่ า งหนึ ง พระพุ ท ธเจ้า ยกตัวอย่างไว้ ถึ งสี สิบอย่าง เช่ น ลมหายใจเข้าออก อาการ
สามสิ บสองของ ร่ างกาย ธาตุ ต่าง ๆ สี ต่าง ๆ พระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ (ใช้วธิ ีท่องบริ กรรม เช่น คําว่า “พุทโธ” หรื อ คําสวดมนต์ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อย่าง ต่อเนื อง หรื อนึ กถึงพระพุทธรู ป หรื อนึ กถึงพระที ห้อยคอไว้) หรื อผูกจิตไว้กบั เท้า ที กา้ วเดิน งานที กาํ ลังทํา หรื อกับมือที โบก เข้าโบกออกก็ได้ หรื อนอกจากนี จะใช้ส ิ งอื นก็ได้ แต่ตอ้ งไม่ ผูกกับสิ งที จะก่อให้เกิดกิเลส เช่ น ผูห้ ญิงไม่ผูกจิตไว้กบั ผูช้ าย หรื อผูช้ ายไม่เลือก ผูกจิตไว้กบั ผูห้ ญิง ถ้า เลื อกสิ ง ที ถู กกับใจ ก็จะทํา ให้ผูก จิ ต ไว้กบั สิ ง ที ใ ช้ ล่อจิตได้ง่าย เคยให้ผูฝ้ ึ กจิตที นับถือคริ สต์ศาสนา ผูกจิตใจไว้ กั บ เพลงบรรเลงที ท่ า นชอบ ก็ ท ํา ได้ ดี ม าก ต้ อ งทํา ด้ ว ย ความปล่ อ ยวางความอยากทุ ก อย่าง ผ่อ นคลายร่ างกายจิ ต ใจ ให้ เ กิ ด ความสบายอย่ า งที สุ ด เท่ า ที จ ะสามารถทํา ได้ ให้ ท ํา ความรู ้ สึ ก ตัว คล้า ย ๆ กับ ว่ า จะพัก ผ่ อ นจิ ต ใจไว้ก ับ สิ ง ที ใ ช้ ล่ อจิ ต เป็ นเวลานาน ๆ ไม่ ทาํ อย่างตั งใจจัด เกิ น ไป และอย่า มี ความรู ้สึกอยากได้หรื ออยากเป็ นอะไร แม้แต่อยากจะให้จิตใจ สงบ มิฉะนั นจะเกิดความรู ้สึกอึดอัด มึนศีรษะ ปวดกระบอกตา หรื อปวดหว่างคิ ว หรื อปวดที ตน้ คอ หรื อปวดร้าวบริ เวณไหล่
หรื อหายใจติดขัด เป็ นต้น ให้สังเกตดูวา่ ถ้าทําถูกต้อง จิตจะมี ความสงบ เบากาย เบาใจ มากขึ นไปเรื อย ๆ ใจต้องมีความรู ้สึก โปร่ ง โล่ ง เบาสบาย ซึ ง ความสงบนี จะต้อ งไม่ เ กิ ด จากการ สะกดใจ หรื อสะกดจิตให้น ิง ๆ หรื อให้สงบไว้ มิฉะนั น จะเกิด ความผิดปกติ ท างร่ า งกายอย่างหนึ ง อย่า งใดตามที กล่ า วแล้ว และอาจร้อนตามตัวขึ นมาด้วย
“พุทโธ” ใช้ ฝึกได้ท งั สมาธิ สติ ปัญญา ถ้า เพี ย รให้ จิ ต ใจจดจ่ อ อยู่ก ับ คํา บริ ก รรมหรื อ คํา นึ ก “พุทโธ” หรื อสิ งอื นใดที ใช้เป็ นเครื องล่ อ จิ ตไว้อย่างต่ อเนื อ ง ไม่ ข าดสาย และไม่ ส นใจกับสิ งอื นใดเลย จนจิ ตใจรวมสงบ แนบแน่ น เป็ นหนึ ง เดี ย วกับ “พุ ท โธ” หรื อ สิ ง ที ใ ช้ล่ อ จิ ต โดย ไม่รู้สึกว่ามีอยูส่ อง คือผูบ้ ริ กรรมหนึ ง และ “พุทโธ” หรื อสิ งที ใช้ ล่ อ จิ ต อี ก หนึ ง เช่ น นี เรี ยกว่ า ฝึ กสมาธิ เ ป็ นหลั ก ส่ วน สติปัญญาเป็ นรอง เพราะให้ความสําคัญกับการรู ้ เท่าทันน้อย แต่ เ น้น ความสํา คัญ ให้ใ จอยู่ก บั สิ งที ใช้ล่อจิ ตเพีย งอย่า งเดี ย ว คื อ การฝึ กจิ ต ใจให้เ ป็ นหนึ ง เดี ย วกับ สิ ง ที ใ ช้ล่ อ จิ ต จนถึ ง ขั น อุเบกขาฌานหรื ออัปปนาสมาธิ
แต่ถา้ เพียงใช้ “พุทโธ” หรื อสิ งใดสิ งหนึ งเป็ นเพียง ตัว ล่ อ จิ ต ใจไว้เ พื อ จะให้เ ห็ น จิ ต ใจในขณะที ไ ม่ อ ยู่ก บั พุ ท โธ หรื อ ไม่ อยู่กบั สิ งที ใช้ล่อ จิ ต เช่ น จิ ต ออกไปแอบคิ ด แอบนึ ก แอบตรึ ก แอบตรอง แอบวิ พ ากษ์วิ จ ารณ์ แอบนิ น ทาว่ า ร้ า ย แอบอิ จ ฉาริ ษ ยาคนใดหรื อ สิ ง ใดทั ง ที อ ยู่ต่ อ หน้า หรื อ ไม่ อ ยู่ ต่ อ หน้า ในขณะนั น ทั งที พ อใจหรื อ ไม่ พ อใจ หรื อ เหม่ อ ลอย ออกไปโดยไม่ รู้ ต ัว เพราะขาดสติ หรื อ เข้า ไปยุ่ง วุ่น วายหรื อ พอใจหรื อไม่พอใจเกี ยวกับร่ างกายหรื อจิตใจของตนเองหรื อ ยุ่ ง วุ่ น วายแต่ เ รื อ งของตนเอง แล้ว ก็ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะหรื อ สติปัญญารู ้เท่าทันทําความรู ้สึกตัวขึ นมาทันทีทุกครั งไป อย่างนี เรี ยกว่าฝึ กสติสัมปชัญญะหรื อฝึ กสติปัญญาเป็ นหลัก ส่ วนสมาธิ เป็ นผลที เกิดขึ นจากการมีสติ โดยไม่ได้เน้นสมาธิ ที นง ั หลับตา สงบลึก
วิธีบริกรรมหรือนึก“พุทโธ” ถ้าไม่สามารถ “รู ้เปล่า ๆ” หรื อ “สักแต่วา่ รู ้” หรื อ “รู ้แต่ ไม่สนใจ”ได้ ก็ให้อยูก่ บั คํานึก “พุทโธ” ตลอดเวลา ใจจะได้ไม่ เข้า ไปยุ่ง วุ่น วายกับ คนใดหรื อ สิ ง ใด ๆ ภายนอก และจะได้
ไม่ ยุ่งวุ่นวายกับความรู ้ สึก นึ กคิ ดและอารมณ์ ต่างของตนเอง หรื อเรื องของตนเอง จนกว่าจะรู ้เปล่า ๆ หรื อสักแต่ว่ารู ้ หรื อรู ้ แต่ไม่สนใจได้แล้ว จึงวางคํานึกพุทโธเสี ย ทุ ก ครั งที นึ ก “พุ ท โธ” ให้ น้ อ มระลึ ก ถึ ง พระพุ ท ธ พระธรรม พระอริ ย ะสงฆ์ คุ ณ บิ ด ามารดา ครู บ าอาจารย์ผูม้ ี พระคุ ณ มรรคผลนิ พ พาน และบุ ญ กุ ศ ลหรื อ คุ ณ งามความดี ที เราได้กระทํามาแล้วทั งหมด พร้อมกับส่ งความปรารถนาดี ออกไปทุ กทิ ศทุ กทางไม่ มีที สุด ไม่ มีป ระมาณให้แ ก่ เจ้า กรรม นายเวรของเราทั งหมด ตลอดจนสรรพสัตว์ที เป็ นเพื อนทุ กข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั งหมดไม่เลือกที รักมักที ชงั ไม่วา่ อยูใ่ กล้ หรื อไกลเพียงใด ขอให้เขาเหล่านั นจงได้ดีมีสุข พ้นจากทุกข์ อโหสิ กรรมซึ งกันและกัน อย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป ซึ งถ้าเวรกรรมไม่มาตัดรอน และทั งเขาและเราให้อภัยกันได้ ก็จะสามารถพ้นภัยต่าง ๆ ได้
ฝึ กจิตระดับอุเบกขาฌานหรืออัปปนาสมาธิ วิ ธี ฝึ ก ให้ นึ ก ถึ ง สิ ง ที ใ ช้ล่ อ จิ ต ไว้ใ นใจอย่า งต่ อ เนื อ ง ไม่ ขาดสาย ถ้าสิ งที ใช้นึกถึ งนั นหายไปเพราะเผลอสติ ไปคิ ด
เรื องอื น ก็ให้มีสติรู้เท่าทันแล้วกลับมานึ กถึงสิ งที ใช้ล่อจิตอีก ให้นึกถึงสิ งที ใช้ล่อจิตนั นไปเรื อย ๆ อย่างต่อเนื องไม่ขาดสาย (สําหรับผูท้ ี นง ั หลับตา ถ้ามี นิมิตเห็ นรู ปอื นใดที ไม่ใช่ ส ิ งที ใช้ ล่อจิต หรื อได้ยนิ เสี ยงใดก็จะต้องไม่สนใจ ไม่ให้ค่าหรื อไม่ให้ ความสํา คัญ เพราะจะทํา ให้ห ลงไปได้ เช่ น เคยมี พ ระสงฆ์ รู ป หนึ งขณะนั ง สมาธิ ไ ด้เ ห็ น พระพุ ท ธเจ้า มากวัก มื อ เรี ย ก แล้วลุกวิ งตามไปจนตกตึกตาย) ถ้าเผลอสติไปคิดเรื องอื น สิ งที นึ ก ไว้ก็จ ะหายไปอี ก ให้มี ส ติ รู้ เ ท่ า ทัน กลับ มานึ ก ถึ ง สิ ง ที ใ ช้ ล่อจิตนั นขึ นมาอีก ให้ทาํ อย่างนี เรื อยไป จนกว่าสิ งที ใช้ล่อจิต นั นไม่หายไปจากจิตเลย เรี ยกว่า จิตรวมเป็ นหนึ งเดียวกับสิ งที ใช้ล่อจิต (ถึงตรงนี บางคนจะมีอาการวูบไปคล้ายกับตกหลุม อากาศ พร้อมกับสิ งล่อจิตที ใช้นึกไว้จะปรากฏเป็ นภาพใหญ่โต มาก เรี ยกว่า “อุคคหนิมิต” ก็ไม่ตอ้ งตกใจ ก็ให้ลองนึกให้ใหญ่ ขึ น หรื อเล็ก ลง ถ้าภาพนั นสามารถใหญ่ หรื อเล็กได้ดังใจนึ ก เรี ยกว่าเป็ น “ปฏิ ภาคนิ มิต” ) ระหว่างนี จะเกิ ด “อารมณ์ ปีติ” มีอาการซาบซ่ านหรื อมีขนลุกไปทัว ตัว อารมณ์ปีติน ี จะรู ้สึกได้ ที กาย ก็ให้เพียงแต่รู้อาการปี ติที กาย เฉย ๆ ไม่เข้าไปเอ๊ะอ๊ะหรื อ ให้ความสนใจอย่างใด ต่อจากนั น อาการปี ติที กายและภาพที ใจ
จะค่ อ ย ๆ จางหายไป โดยเปลี ย นไปเป็ นความรู ้ สึ ก เป็ นสุ ข อิ มเอิบที ใจ เรี ยกว่า “อารมณ์ สุข” เมื ออารมณ์สุขเพิ มพูนเต็มที ที ใ จ อารมณ์ ปี ติ ที ก ายก็จ ะจางหายไปจนหมด เหลื อแต่ เพี ย ง ความสุ ขที ใจ ต่อจากนั น อารมณ์สุขที ใจจะค่อย ๆ จางหายไป จากใจจนหมดสิ น คงเหลือแต่ความรู ้สึกสงบ ไม่รู้สึกมีปีติที กาย และไม่รู้สึกมีความสุ ขที ใจ เรี ยกว่า “อุเบกขา” หรื อ “อัปปนา สมาธิ” เมื อจิ ตอิ ม ตัวอยู่ในสภาวะอุ เบกขาเต็มที แล้ว จิ ต ก็จ ะ ถอนออกมาเป็ นปกติ จะอยู่อ ย่า งนั น ไม่ ไ ด้ เพราะจิ ต ซึ ง เป็ น อุ เ บกขาก็เ ป็ นจิ ต พักเหมื อ นการนอนหลับ เมื อ พักเต็มที แ ล้ว หรื อนอนเต็มที ก็ตอ้ งถอนออกมา หรื อตื นขึ นมาทํางานต่อไป โดยจิ ต จะถอนตัว ขึ นมาเอง เราไม่ ต ้อ งทํา ความรู ้ สึ ก ถอนจิ ต ขึ นมา เมื อจิตถอนตัวออกมาเป็ นปกติ ก็ให้ออกจากความสนใจ ทัน ที อย่า อ้อ ยอิ ง วนกลับ ไปในอารมณ์ ปี ติ สุ ข อุ เ บกขาอี ก เพราะจะทําให้ติดสุ ข ต่อจากนั นให้มีสติปัญญาพิจารณาให้เห็น ความเป็ นจริ งของกายทันที
ล้างกิเลสซึ งเป็ นไฟเผาใจ กิเลสซึ งเป็ นความโลภ ความโกรธ ความหลง หรื อราคะ โทสะ โมหะ เปรี ยบเหมือนไฟเผาใจของคนเราอยู่ตลอดเวลา เมื อกิเลสอย่างใดอย่างหนึ งเกิดขึ น ก็ทาํ ให้ใจร้อนรน ต้องดิ นรน กระเสื อกกระสน เพื อให้ได้ให้เป็ นดังใจอยาก เมื อไม่ได้ไม่เป็ น ดัง ใจอยากก็ เ ป็ นทุ ก ข์ จึ ง ต้อ งหาวิ ธี ที จ ะดับ กิ เ ลสในใจ คื อ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟแต่ ล ะชนิ ด ก็ใ ช้วิ ธี ดับ ไฟ ไม่เหมือนกัน เปรี ยบเหมือนกับไฟที ลุกไหม้วตั ถุหรื อสารเคมี ที แตกต่างกัน จึงต้องใช้น าํ หรื อสารเคมีที แตกต่างที จะมาดับไฟ ให้ถูกชนิดกัน มิฉะนั น ไฟอาจลุกลามเสี ยหายยิง ขึ น ไฟราคะ ก็ ใ ห้ ใ ช้วิ ธี ต รึ ก นึ ก คิ ด พิ จ ารณาให้เ ห็ น ตาม ความเป็ นจริ งของอวัย วะต่ า ง ๆ ภายในร่ างกายว่ า มี แ ต่ ความสกปรก ถ้ามี รูเจาะทะลุ ออกมาทางผิว หนังตรงที ใดก็มี ขี ไ หลออกมา เช่ น ขี รั ง แคไหลออกมาจากรู ผ ม ขี ไ คลไหล ออกมาจากรู ขน ขี ตาไหลออกมาจากรู ตา ขี หูไหลออกมาจากรู หู ขี มูกไหลออกมาจากรู จมูก ขี ปากขี ฟันไหลออกมาจากรู ปาก ปั ส สาวะไหลออกมาจากรู ท วารเบา และอุ จ จาระไหล ออกมาจากรู ทวารหนัก ซึ งล้วนแต่เหม็นและสกปรกอย่างมาก
จน ตัวเองก็ทนไม่ได้ ต้องทําความสะอาดมันอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั นเป็ นที น่ารังเกียจของคนอื นด้วย ลองไม่อาบนํ าสักเจ็ด วัน ก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเหม็นเน่า ให้พิจารณาทุกครั ง ที ถ่ า ยอุ จ จาระออกมา ดู ใ ห้ ดี ๆ ดมให้ ดี ๆ จะรู ้ สึ ก ถึ ง ความ สกปรกและความเหม็นเน่าด้วยตัวเอง ไม่ตอ้ งไปถามใคร ของ ตนเองและของคนอื นมีความเน่าเหม็นด้วยกันทั งนั น ขนาดคน เป็ น ๆ ยังเหม็นเน่ าขนาดนี ถ้าตายลงตั งแต่ หนึ งวัน สองวัน สามวันไปเรื อย ๆ ก็จะเริ มเน่ าเหม็นจนทนไม่ได้ ให้พิจารณา กลับไป กลับมาอย่างต่อเนื องไม่ขาดสาย โดยมีสติสัมปชัญญะ ตาม รู ้เห็นความเป็ นจริ งนั นด้วยตลอดเวลา อย่าให้ใจลอย เผลอสติ จนกว่าใจจะยอมรับตามความเป็ นจริ ง ไฟราคะจะมอด ลง จนแทบไม่เหลือเชื อให้ลุกไหม้ข ึนมาอีกเลย ไฟโทสะ ต้อ งฝึ กให้มีเ มตตากรุ ณ าต่ อผูอ้ ื น อ่ อ นน้อ ม ถ่อมตน ไม่เย่อหยิ ง นึ กคิดในทางเมตตาอย่างต่อเนื องไม่ขาด สาย วิธีแผ่เมตตา เช่ น ให้แผ่ให้แก่ ตนเองก่อนว่าอยากจะได้ อะไรบ้า ง ก็นึ ก ให้ม าก ๆ ไว้ทุ ก อย่า ง เช่ น อยากได้ล าภ ยศ ทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ อยากได้ความสุ ข ความไม่เบียดเบียน กัน ความไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ต่อจากนั น ก็นึกไปถึง บิดา
มารดา สามี ภรรยา บุ ต รอัน เป็ นที รั ก ขอให้เ ขาเหล่ า นั น ได้ ทุกสิ งทุกอย่างตามที เราต้องการ มากกว่าที เราได้ ต่อไปก็ให้ นึ ก ถึ ง ญาติ พี น้อ ง ถัด ไปก็เ ป็ นบุ ค คลอื น ๆ เจ้า กรรมนายเวร สรรพสัตว์ท งั หลายที เป็ นเพื อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั งหมดทั งสิ น ไม่ว่าจะอยูใ่ กล้หรื อไกลเพียงใด ทุกทิศ ทุกทาง ไม่ มี ที สุ ด ไม่ มี ป ระมาณ ตลอดจนศัต รู คู่ แ ค้น ที ท าํ ให้เ จ็บ ชํ า นํ าใจ ขอให้เขาเหล่านั น จงได้ทุกสิ งทุกอย่าง มากกว่ า ที เรา อยากได้ ก็จ ะทําให้จิตใจอ่ อนโยนลง เริ ม มี ความสงบร่ มเย็น ภายในจิตใจ เพราะเชื อไฟโทสะหรื อไฟพยาบาท หรื อไฟริ ษยา ค่อย ๆ มอดไป ไฟโมหะ พวกที มีไฟโมหะมาก จะสังเกตได้คือ พวกที มีนิสัยเป็ นคนคิดมาก ชอบใจเหม่อลอย ชอบคิดวิตกกังวลไม่ เลิ ก ราในทุ ก ๆ เรื อ ง ให้ ฝึ กผู ก จิ ต ไว้ก ับ เครื อ งล่ อ อย่ า งใด อย่ า งหนึ ง การผู ก จิ ต ไว้ก ับ เครื อ งล่ อ ก็ เ พื อ ไม่ ใ ห้ จิ ต คิ ด นึ ก ปรุ งแต่งไปหาสิ งที เกิดทุกข์หรื อเกิดความไม่สบายใจ หรื อเกิด ความกังวลใจ เมื อ ได้ ท ํา ตามที ก ล่ า วมาแล้ว ข้า งต้น ทั ง หมดอย่ า ง ต่อเนื องไม่ขาดสาย ก็เท่ากับว่า ได้ชาํ ระล้างความสกปรก หรื อ
ความเศร้าหมองภายในจิตใจออกไปได้เกือบหมด ความทุกข์ ในใจจะเบาบางไปมาก
ร่ างกายเป็ นเพียงธาตุสารอาหาร พิจารณาให้เห็นความจริ งว่า ร่ างกายประกอบด้วย ธาตุ สารอาหารที กินเข้าไปและถ่ายออกตลอดเวลา มีท งั เนื อ นม ไข่ ผัก สด ผลไม้ ไขมัน โปรตี น เกลื อ แร่ นํ า อากาศ ออกซิ เ จน ลมหายใจ และความร้ อ นที เกิ ด จากการเผาผลาญสารอาหาร และความร้อนในอากาศที ซึมซับเข้าไปเป็ นต้น ไม่ใช่ตวั ตนคงที ของเรา ต้องมีเสื อมไป หมดไป แล้วกินเข้าไปใหม่ หรื อรับเข้า ไปใหม่ตลอดเวลา จึงไม่ควรหลงยึดถือว่าเป็ นตัวเรา หรื อเป็ น ตัวตนของเรา
ร่ างกายเป็ นเพียงส่ วนผสมปรุงแต่ ง ประกอบด้ว ยผม ขน เล็บ ฟั น หนัง เนื อ เอ็น กระดู ก เยื อในกระดูก ม้าม ปอด หัวใจ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่าซึ งเป็ นธาตุดิน นํ าเลือด นํ า ไขมัน นํ าลาย นํ าเหงื อ นํ าปั สสาวะ เป็ นต้น เป็ นธาตุน าํ ลมหายใจ ลมเรอขึ นเบื องบน
ลมตด เป็ นต้น เป็ นธาตุลม ความร้อนในร่ างกาย เป็ นธาตุไฟ และธาตุอากาศ จึงไม่ควรหลงยึดถือว่าเป็ นเรา หรื อเป็ นตัวตน ของเรา หรื อเป็ นตัวเราขึ นมา
ร่ างกายเป็ นของไม่ เทีย ง ส่ วนประกอบต่าง ๆ ของร่ างกาย เป็ น “อนิจจัง” ต้องมี ความดับไป เปลี ยนไปตลอดเวลา ไม่อาจให้คงที อยูไ่ ด้ จึงเป็ น “ทุก ขัง ” และไม่ อยู่ใ นบังคับของเรา จึ งเป็ น “อนั ต ตา” ซึ ง มี ความแก่ มี ค วามเจ็บ มี ค วามตาย ตาม ๆ กัน ไปตลอดเวลา ต้อ งเห็ น ความจริ ง ที เ กิ ด ขึ น กับ ใจ มิ ใ ช่ คิ ด เอา วิ ธี ป ฏิ บ ัติ ให้ นึ กถึงแผ่นหนังที หุ้มร่ างกาย พร้อมกับน้อมใจในทางเน่ าเปื อย หลุ ดร่ วงไป ต้องนึ กบ่ อย ๆ จนกว่าจะรู ้ สึกอย่างนั นได้จริ ง ๆ แล้วจะรู ้สึกว่ามีแต่โครงกระดูกตั งอยู่ ก็ให้นึกว่าโครงกระดู ก แตกร้าวออกเหมือนของเก่าแตกลายงา ค่อย ๆ ผุพงั ป่ นเป็ นธุ ลี ไปรวมเป็ นเนื อเดี ยวกับดิ น ซึ งร่ างกายของเราก็กินสารอาหาร ที มาจากดิน จนโตขึ นมาถึงทุกวันนี แม้จะกินเนื อสัตว์ แต่สัตว์ ก็กินสารอาหารจากดิน ก็เท่ากับว่ามาจากดินกลับคืนสู่ ดิน
คิดถึงความตาย ให้นึกคิดพิจารณาเพียงอย่างเดียวว่า ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้ า น้า อา บิ ด า มารดา ญาติ พี น้อ ง คนที รั ก พลัด พรากตายจาก ตาม ๆ กันไปหมดแล้ว ในที สุ ด เราก็จ ะต้อ งตายจากทุ ก คน ทุ ก สิ ง ไปในไม่ ช้า เหมื อ นกัน ไม่ ใ ช่ คิ ดว่าจะมี ชีวิตยืนยาวไป อีกนานโดยไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องตาย หรื อหลงคิดไปว่า จะอยู่ จนแก่เฒ่าไม่รู้จกั ตาย เพราะความตายอาจเกิดขึ นได้ในขณะใด ขณะหนึ งในปัจจุบนั ทันด่วน ไม่อาจประมาทได้ เช่น เกิดหัวใจ วายอย่างกะทันหัน หรื อเกิดอุบตั ิเหตุถึงแก่ความตายทันทีโดย ที ไม่ทนั ได้สง ั เสี ย ให้ ระลึกถึงความตายอย่ างต่ อเนื อง โดยหาวิธี นึกตรึ กตรองอย่ างแยบยล จนเกิดความรู้ สึกขึน ในใจจริ ง ๆ ว่ า เราจะต้ องตายจากทุ ก สิ ง ทุก อย่ า งไปอย่ า งแน่ แ ท้ ระหว่า งที คิดถึงเรื องความตายอยูน่ นั ในตอนแรก ๆ จะไม่สามารถคิดถึง ความตายได้อ ย่า งต่ อ เนื อ ง เพราะไม่ คุ ้น เคยมาก่ อ น ซึ ง จะมี ความคิดอื น ๆ แทรกเข้ามาเป็ นระยะ ๆ ให้ มีสติทําความรู้ สึกตัว ตั ด ความคิ ด อื น ที แ ทรกเข้ า มาเป็ นระยะ ๆ จนกว่ า จะเหลื อ ความคิดเดียว คือ ความคิดเรื องความตายของทุกคนแล้ วจบลง ที ตนเอง ซึ งเป็ นไปตามสั จธรรมความจริ งของอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา หรื อ เกิดขึ น ตั งอยู่ ดับไปของสรรพสัตว์ท งั หลาย ไม่มี ใครหนี พน้ ในที สุ ด เหลือ ความคิด เพีย งความคิด เดีย วอย่ า ง ต่ อ เนื อ งว่ า ตนจะต้ อ งตายจากทุ ก คนทุ ก สิ ง อย่ า งแน่ แท้ ใจจะค่ อ ย ๆ ยอมรั บ ตามความเป็ นจริ ง ว่ า ตนจะต้ อ งตาย เหมือนคนอื น ๆ และเพีย งแวบเดียวที ใจรู้ สึกอย่ างนั น จะเกิด ความอั ศ จรรย์ ใ จเป็ นอย่ า งยิ ง อย่ า งบอกไม่ ถู ก แล้ว ใจจะมี ความสงบอย่างแท้จริ ง ซึ งเมื อถึงตอนนี แม้จะพยายามคิดถึ ง เรื อ งความตายขึ น มาอี ก ใจก็ไ ม่ ย อมคิ ด ความฟุ้ งซ่ า นใด ๆ ก็พลันดับไปหมดสิ น และมีความรู ้สึกว่ากายเบา ใจเบาเหมือน ไม่มีน าํ หนัก หรื อเหมือนกับตัวลอยได้
นามธรรมเกิดขึน แล้วก็ดบั ไป ไม่ มตี วั ตน เมื อเห็นความจริ งจนสิ นสงสัยในส่ วนของรู ปธรรม คือ กายแล้ว ต่ อ ไปให้เ ห็ น ความจริ ง ในส่ ว นของนามธรรม คื อ ความรู ้สึก ความจํา ความนึกคิดและอารมณ์ ซึ งเมื อปฏิบตั ิมาถึง ขั น นี จะรู ้ สึ กว่าความรู ้ สึก ความจํา ความนึ ก คิ ด และอารมณ์ ที เกิดขึ นมีความละเอียดหรื อมีความบางเบามาก คือแทบไม่มี ผลอะไรต่อใจเลย ซึ งเป็ นส่ วนของจิตใจที ละเอียด ก็ให้พึงตาม
สั ง เกตรู ้ เ ห็ น ตามความเป็ นจริ ง อยู่เ ฉย ๆ อย่ า งต่ อ เนื อ งไม่ ขาดสายว่า ความรู ้สึก ความจํา ความนึกคิด และอารมณ์ เกิดขึ น แล้วก็ดบั ไป เกิดขึ นแล้วก็ดบั ไป เกิดขึ นแล้วก็ดบั ไป ๆ โดยมี สติสัมปชัญญะกํากับตลอดสาย ไม่เผลอใจลอยไปที อื น
พึงเห็นแต่ หน้ าดับไปของนามธรรม ต่ อ จากนั น พึ ง เห็ น แต่ ห น้ า ดับ ไป ดับ ไปๆๆๆ ของ ความรู ้สึก ความจํา ความนึ กคิดและอารมณ์ โดยไม่ ใส่ ใจกับ หน้าเกิด ใจก็จะค่อย ๆ วางทุกสิ งทุกอย่างไปเรื อย ๆ ความเร่ า ร้อนใด ๆ ซึ งเป็ นความทุกข์ใจต่าง ๆ จะค่อย ๆ จางหายไปหมด สิ น ใจจะมีแต่ความสุ ขเป็ นอย่างยิง
หยุดหรือวางจึงจะว่าง ถ้ ายังไม่ หยุดปรุงแต่ งดิน รนค้ นหาก็ยังไม่ พ้นทุกข์ จริง ๆ ต้ องหยุดการดิ นรนแสวงหาทางพ้ นทุกข์ โดยสิ นเชิ ง จึงจะพ้น ทุกข์ ความอยากที จ ะพ้น ทุ ก ข์ เป็ นสิ ง ที ดี แต่ ใ นท้า ยที สุ ด ต้องวางความอยากหรื อหยุดอยากที จะพ้นทุกข์น นั เสี ย เพราะ
การดิ นรนค้นหาทางพ้นทุกข์ ก็เป็ นเหตุให้เกิดความเร่ าร้อนใจ ซึ งเป็ นความทุกข์ แต่เป็ นความทุกข์ตวั สุ ดท้าย เมื อความดิ นรน แสวงหาทางพ้นทุ กข์ดับลง ความทุ กข์ก็ดับลงด้วย หรื อหยุด ดิ น รนค้ นหาความจริ ง จึ งจะพบความจริ ง เพราะความจริ ง เป็ นสิ งทีไ ม่ ดนิ รน
หมายเหตุ (การปฏิบัตใิ นสายเจโตวิมุตติ) การปฏิ บ ัติ ต ามที ก ล่ า วมาข้า งต้น เป็ นการปฏิ บ ัติ เ ต็ม ตามรู ปแบบในสายเจโตวิมุตติ หรื อฉฬภิ ญโญ ซึ งการปฏิ บตั ิ วิธีน ีมีขอ้ สําคัญคือ ๑) ต้องทําสมาธิ ในขั นสมถกรรมฐานถึงระดับอุเบกขา ฌานหรื ออัปปนาสมาธิ จิตจึงจะมีกาํ ลังเห็นความเป็ นจริ งของ กายและจิตหรื อวิญญาณได้ ๒) การพิจารณาในขั นกาย ต้องเพียรมี สติ ควบคุ มจิ ต ให้อ ยู่ก ับ การพิ จ ารณากายอย่า งต่ อ เนื อ งไม่ ข าดสาย จนกว่ า จิตอิ มในความเป็ นจริ งของกายว่าเป็ นเพียงส่ วนผสมของธาตุ มีความเสื อมไป มีความแก่ เจ็บ ตายตลอดเวลา จนใจสิ นการ ยึดมัน ในเรื องของกาย จะสังเกตได้ว่า เมื อจิตสิ นความยึดมัน
ถื อ มั น ในเรื อ งของกายแล้ว จิ ต จะไม่ ย อมพิ จ ารณาให้ เ ห็ น ความเป็ นจริ งของกายอีก แม้จะบังคับให้จิตพิจารณาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมเลย และจะมีขอ้ สังเกตอีกอย่างหนึ งคือ เมื อถึงตรงนี รู ้ สึกว่า กายเบา ใจเบาเหมื อนกับไม่ มี น าํ หนักเลยตลอดเวลา จึงจะจบในเรื องกาย ต่อจากนั น สังเกตให้เห็นความเป็ นจริ งใน ส่ วนของนามธรรม คื อ ความรู ้ สึก ความจํา ความนึ กคิ ดและ อารมณ์ ว่ า มี แ ต่ ค วามไม่ เ ที ย ง ดับ ไป ดับ ไปตลอดเวลาจน สิ นการยึดถือในส่ วนของนามธรรมอีกทีหนึ ง ข้ อสั งเกต วิธีแรกนี ถ้าพิจารณาไม่ขาดในเรื องของกาย แล้ว ในส่ วนของนามธรรมก็จะไม่ขาดด้วย ความยากจึงอยูใ่ น ขั นของการพิจารณาให้เห็ นความเป็ นจริ งของกาย ซึ งถ้าขาด จากความยึ ด ถื อ ในเรื อ งของกายแล้ว ในขั น การตามเห็ น ความเป็ นจริ งของนามธรรมก็ไม่ยาก
วิธีที ๒ สายปัญญาวิมุตติ หรือสุ ขวิปัสสโก ปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรม สภาพธรรมที เป็ นสัจธรรม คือ ความจริ ง ตามธรรมชาติ ที ไ ม่ ใ ช่ สั ต ว์ บุ ค คล ตั ว ตน เรา เขา เป็ น
สภาพธรรมที ไม่มีใครเป็ นเจ้าของ และไม่มีใครเปลี ยนแปลง ลักษณะของสภาพธรรมที มีลกั ษณะเฉพาะแต่ละอย่างนั นได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาพบความจริ งของปรมัตถธรรม ซึ ง เป็ นความจริ ง ตามธรรมชาติ ที มี อ ยู่แ ล้ว จึ ง ได้สํา เร็ จ เป็ น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรื อพระอรหันต์ ซึ งได้แก่ จิต เจตสิ ก รู ป นิพพาน
เทียบขันธ์ ห้ากับปรมัตถธรรม ขันธ์ ห้า รู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
=
ปรมัตถธรรม รู ป
=
เจตสิ ก
= =
จิต นิ พ พาน (ไม่ ใ ช่ ข ัน ธ์ เป็ น ขันธวิมุตติ คือ พ้นจากทุกข์)
ขั น ธ์ ห้ า ปรมั ต ถธรรม อายตนะภายในและอายตนะ ภายนอก อายตนะภายนอก + อายตนะภายใน รู ป + ประสาทตา เสี ยง + ประสาทหู + ประสาทจมูก กลิ น รส + ประสาทลิ น โผฏฐัพพะ + ประสาทกาย ธรรมารมณ์ (สิ งที จิตคิดถึง)
+ ใจ
+ วิญญาณ = + จักขุวญิ ญาณ = + โสตวิญญาณ = + ฆานวิญญาณ = + ชิวหาวิญญาณ = + กายวิญญาณ =
จิตรู้ รู ้รูป รู ้เสี ยง รู ้กลิ น รู ้รส
รู ้สัมผัส (สิ งที มากระทบประสาทกาย) + มโนวิญญาณ = รู้เรื อง ที คิด
ทุกครั งที จิตหรื อวิญญาณเกิ ดขึ นมา “รู้ ” หรื อ “คิด” จะต้องมีเจตสิ ก คือเวทนา สัญญา สังขาร เกิดขึ นมาพร้อมกับ จิตหรื อวิญญาณ และดับไปพร้อมกับจิตหรื อวิญญาณ เช่น จิ ตเห็ นรู ปผ่านประสาทตาแต่ ละครั งก็จะรู ้ สึกเป็ นสุ ข (สุ ขเวทนา) หรื อเป็ นทุกข์ (ทุกขเวทนา) หรื อไม่สุขไม่ทุกข์ (อุ เ บกขาเวทนาหรื อ อทุ ก ขมสุ ข เวทนา) ทุ ก ครั ง จะไม่ ใ ห้มี
เวทนาไม่ได้ แล้วจะจํารู ปนั นได้ (สัญญา) ว่าเป็ นรู ปอะไร หรื อ เป็ นใคร เช่น เป็ นสามีหรื อภรรยาของใคร หรื อเป็ นบิดามารดา หรื อ ลู ก ของใคร เป็ นต้น ซึ งจิ ต ปรุ ง ให้ รู้ เ รื อ งเบ็ ด เสร็ จ ใน การเห็นแต่ละครั งเรี ยกว่า “สังขาร” กระบวนการในการเห็น ทั งหมดนี เป็ นปกติตามธรรมดาของธรรมชาติซ ึ งเป็ นขันธ์ห้า ยัง ไม่ ถึ ง ขั น คิ ด ปรุ ง แต่ ง ต่ อ ออกไปให้เ กิ ด กิ เ ลสตัณ หา หรื อ เกิดทุกข์ ในกรณี ได้ยินเสี ยง ได้กลิ น ลิ มรส สัมผัสทางกายหรื อ คิดนึกไปถึงคนใดหรื อสิ งใดหรื อเรื องราวใดก็เป็ นเช่นเดียวกัน
ควรทําความเข้ าใจให้ ถูกต้ อง ในกรณี เ ห็ น รู ป โดยผ่ า นประสาทตา เป็ นเรื อ งที รู ป กระทบทางตา แต่กรณี ผงเข้าตา เป็ นเป็ นเรื องฝุ่ นผงมากระทบ กับประสาทตาเป็ นโผฏฐัพพะสัมผัสทางกาย กรณี จิ ต หรื อวิ ญ ญาณรู ้ ค วามเจ็ บ ปวดทางกาย รู ้ ความแน่ นอึ ดอัดหรื อปวดร้าวหัวไหล่ ต้นคอ หรื อปวดศีรษะ ก็เ ป็ นโผฏฐัพพะ คื อ มี สิ งใดไปกระทบกับ ประสาทกาย เช่ น ความร้ อน ความเย็น อ่ อน แข็ง ตึ งแน่ น มี การเคลื อนไหวใน
ร่ างกาย เช่ นลมขึ นเบื องบน ลมตดลงเบื องล่ า ง หรื อการเต้น ของหัวใจเป็ นต้น แล้วจิตหรื อวิญญาณมารับรู ้โผฏฐัพพะที มา กระทบกั บ ประสาทกายนั น ถ้ า ไม่ มี อ ะไรมากระทบกั บ เส้ น ประสาทของร่ า งกายตรงบริ เ วณนั น จิ ต หรื อ วิญ ญาณก็ ไม่เกิดมารู ้ความเจ็บปวดที กายนั น เช่ น แพทย์หรื อทันตแพทย์ จะผ่าตัดหรื อกรอฟั น ก็จะต้องฉี ดยาชาที เส้นประสาทตรงนั น เมื อผ่าตัดหรื อกรอฟันจะไม่รู้สึกเจ็บหรื อไม่รู้สึกเสี ยวฟัน กา ร รู ้ โ ผ ฏ ฐั พ พ ะ ห รื อ รู ้ สั ม ผั ส ท า ง ก า ย นี ก็ เ ป็ น เช่ นเดี ยวกับรู ้รูปโดยผ่านประสาทตา คือจะต้องมีเวทนาคือรู ้ แล้วเป็ นสุ ข หรื อรู ้แล้วเป็ นทุกข์ หรื อรู ้แล้วเป็ นอุเบกขาเวทนา คือไม่สุข ไม่ทุกข์ จะห้ามไม่ให้มีเวทนาไม่ได้และจะจําสิ งที สัมผัสนั นได้ (สัญญา) โดยจะจําได้วา่ อะไรเป็ นอะไร (สังขาร) ซึ งจบแค่น นั เป็ นปกติตามธรรมชาติของขันธ์หา้ จะไม่มีเหตุให้ เกิ ด ทุ ก ข์ คื อ ยัง ไม่ มี ค วามคิ ด ปรุ ง แต่ ง ที เป็ นกิ เ ลสตัณ หาหรื อ ความทุกข์ กรณี ธรรมารมณ์ สัมผัสกับประตูใจคื อจิ ตคิ ดถึงคนใด หรื อสิ งใดหรื อเรื องราวใด คนหรื อสิ งของหรื อเรื องราวที ถูกคิด เป็ นอายตนะภายนอก ส่ วนความคิดเป็ นจิต
เมื อจิตคิดถึงคนใดหรื อสิ งใด หรื อเรื องราวใด ก็จะต้อง เกิดเจตสิ ก ซึ งได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร เป็ นต้น ติดมาพร้อม กับความคิ ดทุ กครั งเหมื อนกับการรู ้รูป เสี ยง กลิ น รส สัมผัส จะห้ามไม่ให้มีสุขเวทนาหรื อทุกขเวทนา หรื ออุเบกขาเวทนา ไม่ได้ เช่ นคิดจะไปหาคนที คุน้ เคยกัน ก็จะมีความรู ้สึกเป็ นสุ ข เวทนาติดมาพร้อม ถ้ากําลังคิดเกี ยวกับงานที ทาํ ในปั จจุบนั ซึ ง เป็ นเรื องยาก ก็จะรู ้สึกเป็ นทุกขเวทนา หรื อคิดเรื องการวางแผน งานตามปกติ หรื อ คิ ด จะลุ ก ไปหยิบ อะไร ก็จ ะเป็ นอุ เ บกขา เวทนาคือไม่รู้สึกเป็ นสุ ขเป็ นทุกข์ กรณี ดงั นี เรี ยกว่าคิดตามปกติ ธรรมดาของขัน ธ์ ห้ า ซึ งเป็ นปกติ ข องธรรมชาติ แต่ ถ ้า คิ ด ปรุ งแต่งขึ นมาตามความอยากหรื อไม่อยาก อย่างนี เป็ นความคิด ปรุ ง แต่ ง ที มี กิ เ ลสและตัณหา หรื อ ความทุ ก ข์ ไม่ ใช่ ค วามคิ ด ตามปกติ
รูป จิต เจตสิก นิพพาน “รู ป ” หมายถึ ง สิ ง ที ถู ก รู ้ ได้ แ ก่ รู ป เสี ย ง กลิ น รส โผฏฐั พ พะ (สิ ง ที ก ระทบประสาทกาย) และธรรมารมณ์ (สิ งหรื อเรื องราวที จิ ต คิ ด ไปถึ ง ) ซึ งรู ป เสี ยง กลิ น รส
โผฏฐัพพะ และธรรมมารมณ์ ไม่อาจรู ้ได้ดว้ ยตัวเอง ต้องอาศัย จิตจึงจะรู ้ได้ ร่ างกายของตัวเองก็เป็ นรู ป ไม่ อ าจจะรู ้ ได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยจิตมารู ้ กรณี กม้ ดูตวั เอง ร่ างกายก็เป็ นรู ปมากระทบตา จิตก็มารู ้ร่างกายโดยผ่านประสาทตา แต่ถา้ รับรู ้ถึงความเจ็บปวด ที ร่างกาย หรื อผงเข้าตาก็เป็ นโผฏฐัพพะ คือมีสิ งใดมากระทบ ระบบประสาทกาย จิตรู ้ได้โดยผ่านระบบประสาทกาย “จิต” มี สภาพ “รู ้ ” กับ “คิ ด” เป็ น “ นาม” ไม่ มีตวั ตน ไม่มีรูปร่ าง ไม่มีที อยู่ ไม่มีขอบเขต เกิดดับเร็ วมาก จิตเกิดขึ นมา ทุกครั งต้อง “รู ้” สิ งที ถูกรู ้ คือรู ป เสี ยง กลิ น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ จะเกิดขึ นรู ้ลอยๆโดยไม่รู้ส ิ งที ถูกรู ้ หรื อจะมีเฉพาะ ผูร้ ู ้โดยไม่มีส ิ งที ถูกรู ้ไม่ได้ “เจตสิ ก” คือสิ งที เกิดมาพร้อมกับจิต แล้วดับไปพร้อม กับจิต เช่ น เวทนา (สุ ขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนาหรื อ อทุกขมสุ ขเวทนา) สัญญา สังขาร เป็ นต้น ซึ งเจตสิ กจะเกิดขึ น มาเอง โดยไม่ อ าศัย จิ ต เกิ ด ไม่ ไ ด้ ต้อ งทํา ความเข้า ใจให้ดี ว่ า เจตสิ กไม่ใช่จิต ต้องไม่หลงเอาเจตสิ กเป็ นจิต เช่น
“ใจสบาย” ความสบายเป็ นสุ ขเวทนา ที เกิดมาพร้อมกับ จิตรู ้ส ิ งใด ดังนั นความสบายจึงไม่ใช่จิต “ทุ ก ขเวทนา” เป็ นเจตสิ ก เกิ ด ดับ พร้ อ มกับ จิ ต รู ้ ห รื อ จิ ต คิ ด ขึ น มา ส่ ว นความทุ ก ข์ (ทุ ก ข์ ใ จหรื อ ทุ ก ข์ เ พราะยึ ด ) ไม่ เกิ ดดับพร้อมจิตรู ้หรื อจิตคิ ด แม้จิตรู ้และจิ ตคิ ดดับไปแล้ว ความทุ ก ข์ (ทุ ก ข์ใ จหรื อ ทุ ก ข์เ พราะยึ ด ) ก็ ย งั ไม่ ดับ ดัง นั น ความทุ ก ข์ ใ จจึ ง ไม่ ใ ช่ ทุ ก ขเวทนา หรื อ ทุ ก ขเวทนาไม่ ใ ช่ ความทุกข์ใจ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่มีความทุกข์ใจ แต่มีทุกขเวทนา “อุ เ บกขาเวทนา” คื อ ความรู ้ สึ ก ไม่ สุ ข ไม่ ทุ ก ข์ เป็ น เจตสิ ก เกิดดับพร้อมกับจิตรู ้หรื อจิตคิดขึ นมา ส่ วนความรู ้สึก ว่ า ง ๆ หรื อความรู ้ สึ กไม่ สุ ข ไม่ ทุ ก ข์ ที รู้ สึ กอย่ า งนั นไว้ ตลอดเวลา เป็ นความรู ้สึกว่าง ๆ ที เกิดจากจิตยึดถือ คือ พยายาม ให้ รู ้สึกว่าง หรื อไม่สุขไม่ทุกข์ไว้ จึงไม่เกิดดับไปพร้อมกับ จิต และไม่ใช่นิพพาน เพราะนิ พพานจะไม่ยดึ ถือสิ งใด รวมทั ง ความรู ้สึกว่าง ๆ หรื อความรู ้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ดว้ ย “นิพพาน” ไม่ใช่ ขนั ธ์ นิ พพานเป็ นขันธวิมุตติ คือ พ้น จากทุกข์ และนิพพานเป็ นอสังขตธรรม คือไม่มีปัจจัยปรุ งแต่ง
ให้เกิดขึ น จึงไม่เกิด ไม่ดบั ส่ วนรู ป จิต เจตสิ ก เป็ นขันธ์หา้ เป็ น สังขตธรรม คือมีเหตุปัจจัยปรุ งแต่งให้เกิดขึ น เมื อสิ นเหตุปัจจัย ปรุ งแต่งก็จะดับไป ดังนั น รู ป จิต เจตสิ ก จึงเป็ นสังขารธรรม คือเกิดดับตลอดเวลา หรื อเกิดขึ นแล้วก็ตอ้ งดับไป ไม่อาจยึดถือ ให้คงอยูไ่ ด้ดงั ใจอยาก ไม่อยูใ่ นบังคับของเรา จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ ของเรา อย่าไปหลงยึดมัน ถื อ มัน ว่า เป็ นเรา หรื อ เป็ นของเรา หรื อเป็ นตัวตนของเรา เมื อสิ นการยึดถื อรู ป จิ ต เจตสิ ก และ ไม่ยึดนิ พพานด้วย จึงจะพบนิ พพาน ซึ งเป็ นวิสังขารธรรม คือ ไม่เกิด ไม่ดบั หรื อ ถ้า ยึด ถื อ “รู ป ” หรื อ สิ ง ที ถู ก รู ้ คื อ รู ป เสี ย ง กลิ น รส โผฏฐัพพะ(สิ งที กระทบประสาทกาย) และธรรมารมณ์ (สิ งที จิ ตคิ ดไปถึ ง) รวมทั ง ร่ างกายของตนเอง ว่าเป็ นเรา หรื อ เป็ น ของเรา หรื อเป็ นตัวตนของเรา ก็จะไม่พบนิพพาน หรื อ ถ้ายึดถือเจตสิ ก คือเวทนา สัญญา และสังขาร ว่าเป็ นเรา หรื อ เป็ นของเรา หรื อเป็ นตัว ตนของเรา ก็จะไม่ พ บนิ พ พาน เช่นกัน หรื อ
ถ้า ยึด จิ ต คื อ ผูร้ ู ้ ห รื อ ผูค้ ิ ด ว่าเป็ นจิ ตเราหรื อ จิ ต ของเรา หรื อ เราเป็ นผูร้ ู ้ หรื อเราเป็ นผูค้ ิ ด ก็จะไม่ พ บนิ พพานเช่ น กัน และ “ผูร้ ู ้เปล่า ๆ” ก็ไม่ใช่นิพพาน เพราะเป็ นเพียงจิตที ไม่ได้ ปรุ ง แต่ ง ไปยึด สิ ง ใด เป็ นการรู ้ ต ามปกติ ซ ึ ง เป็ นวิ ญ ญาณใน ขันธ์ห้า และถ้ายึดผูร้ ู ้เปล่า ๆ ว่าเป็ นนิ พพาน ก็จะยังหลงยึดถือ เอา “จิ ต (ผู ้รู้ ) ” เป็ นนิ พ พาน ก็ จ ะพยายามให้ รู้ เ ปล่ า ๆ ไว้ ตลอดเวลา อย่า งนี เรี ย กว่ า ยึด ผูร้ ู ้ หรื อ ยึด จิ ต ว่ า เป็ นนิ พ พาน ต่ อเมือ “รู้ เปล่า ๆ” และไม่ มผี ู้ยดึ ถือจึงจะเป็ นนิพพาน พระพุ ท ธเจ้า แยกจิ ต เจตสิ ก รู ป และนิ พ พาน ออก จากกัน ดังนั น นิ พพานจึงไม่ใช่ “จิต(ผูร้ ู ้)” นิ พพานเลยผูร้ ู ้หรื อ ผูค้ ิดไปจนไม่มีที หมาย ถ้าหมายไว้ว่า “นิ พพาน” จะต้องเป็ น อย่างนั น จะต้องเป็ นอย่างนี ก็ยงั มีเราหรื อตัวเราผูย้ ดึ ถืออยู่ เมื อไม่ ยึด “ผูร้ ู ้ ” และไม่ ยึด นิ พ พานเสี ย ด้ว ย จึ ง จะพบ นิพพาน คือความดับทุกข์หรื อความพ้นทุกข์
การปฏิบัติ สายปัญญาวิมุตติ หรือสุ ขวิปัสสโก ผู ้ป ฏิ บ ัติ วิ ธี น ี ไม่ ต ้อ งนั ง สมาธิ ห ลับ ตา และไม่ ต ้อ ง พิจ ารณากายให้เห็ นเน่ า เปื อยผุพงั แต่ จะต้อ งมี ค วามสงบใจ จากความเร่ าร้อนใด ๆ และมีสติ ปัญญาที จะสังเกตเห็ นได้ว่า แต่ละขณะจิตหนึ งที “รู ้” หรื อ “คิด” ขึ นมามีอะไรปนอยูก่ บั จิต ที บริ สุทธิWบา้ ง เช่น ๑. ถ้า มี ความทุ กข์ใ จ หรื อความเครี ยด หรื อ ความไม่ สบายใจปนอยูก่ บั จิตที บริ สุทธิW จะต้องเอาออกไปก่อน ด้วยการ รู ้เท่าทัน พร้อมกับเคลื อนไหวทางกายหรื อเบี ยงเบนความสนใจ ไปเป็ นอย่างอื น ทันที เช่ น ไปหาอะไรทํา เพลิ น ๆ หรื อ ดู ตลก หรื อร้ องเพลง หรื อฟั งเพลง เป็ นต้น หรื อใช้วิธีมองออกไปที ยอดไม้ไ กล ๆ หรื อ เมฆบนท้อ งฟ้ า แล้ว กระพริ บ ตาถี ๆ ให้ เร็ วกว่าความคิ ดเป็ นเวลานานสั กพักหนึ ง จนความทุ กข์และ ความเครี ยดระเบิ ด ออกไป (ในกรณี ที มี ค วามทุ ก ข์ หรื อ ความเครี ย ด ห้ า มอยู่ นิ ง ๆ หรื อ ห้ า มนั ง สมาธิ โ ดยเด็ ด ขาด เพราะจะทําให้ เก็บกด แล้วระเบิดอารมณ์ ออกมาใส่ คนอืน ได้ ) ๒. ถ้ามีอารมณ์ราคะ หรื อมีความโลภ หรื อความโกรธ เคื อ ง หรื อ ความหงุ ด หงิ ด หรื อ ความฟุ้ งซ่ า นรํา คาญใจ หรื อ
ความลัง เลสงสั ย ตั ด สิ นใจไม่ แ น่ น อน หรื อความง่ ว งงุ น เคลิ บ เคลิ ม ซึ ง เรี ยกว่า “นิ ว รณ์ ห้า ” หรื อ กิ เ ลสปนอยู่ก บั จิ ต ที บริ สุ ท ธิW จะต้อ งเอาออกไปอี ก ด้ว ยการรู ้ เ ท่ า ทัน พร้ อ มกับ เคลื อนไหวทางกายหรื อเบี ยงเบนความสนใจไปเป็ นอย่างอื น ทันที ๓. มี ต ัณ หาคื อ ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ดิ น รนทะยานอยาก เช่ น อยากได้ อยากเอา หรื ออยากให้เป็ นอย่างนั น หรื ออยาก ให้เป็ นอย่างนี หรื อคิ ดปรุ งแต่ งดิ นรนผลักไสเพราะอยากให้ หายไป หรื อเป็ นความไม่อยาก เช่ นไม่อยากพูดด้วย ไม่อยาก พบหน้า หรื อไม่อยากให้เขาได้ดีกว่าเรา หรื อไม่อยากให้เป็ น อย่างนั น ไม่อยากให้เป็ นอย่างนี ปนอยูก่ บั จิตที บริ สุทธิW จะต้อง เอาออกไปอีก ด้วยการรู ้เท่าทัน พร้อมกับเคลื อนไหวทางกาย หรื อเบี ยงเบนความสนใจไปเป็ นอย่างอื นทันที ๔. เมื อ เอากิ เ ลสตัณ หาและความทุ ก ข์ต ามข้อ ๑ ถึ ง ข้อ ๓. ออกไปแล้ว “รู ป” ซึ งเป็ นสิ งที ถูกรู ้ ได้แก่ รู ป เสี ยง กลิ น รส โผฏฐัพพะ(สิ งที กระทบกับประสาทกาย) และธรรมารมณ์ (สิ งที จิตคิ ดไปถึง) ก็จะไม่มีอิทธิ พลอย่างใดต่อจิต หรื อจิตจะ ไม่ มีอ ะไรกดทับ จิ ตก็เ กิ ดเวทนา คื อเกิ ด อารมณ์ ปี ติ มีอ าการ
ทางกาย คื อ มี อ าการซาบซ่ า นคล้า ยกับ ขนลุ ก ไปทั ง ตัว แล้ว อาการปี ติ น ั นจะค่ อ ยๆจางหายไป กลายเป็ นอารมณ์ สุ ข คื อ มี ค วามสุ ข ใจอิ ม เอิ บ ในใจ แล้ว ความสุ ข ใจอิ ม เอิ บ ใจจะ ค่ อ ย ๆจางหายไป กลายเป็ นความสงบจากอาการทางกาย และทางใจอยูภ่ ายใน เรี ยกว่า “อุเบกขา หรื ออทุกขมสุ ขเวทนา” แล้ ว ให้ ถ อนความสนใจออกมาจากการรั บ รู้ เ วทนาภายในใจ ก็เท่ ากับแยกเวทนากับจิต(ผู้รู้ )ได้ แล้ว ๕. ต่อไปก็เหลือแต่ “จิต(ผูร้ ู ้)” ให้เห็นว่าจิตหรื อผูร้ ู ้ไม่มี ตัวตน ไม่มีรูปร่ าง ไม่มีที อยู่ ไม่มีขอบเขต ไม่ยดึ ถือผูร้ ู ้วา่ เป็ นเรา หรื อเป็ นของเรา และขณะเดี ยวกันไม่ ยึดถื อนิ พพานด้วย คื อ หยุด คิ ด ปรุ ง แต่ ง ดิ น รนค้น หานิ พ พาน ก็จ ะพ้น จากทุ ก ข์ ซึ ง หลังจากพ้นทุกข์จะมีสภาพดังนี “รู้ ” แต่ ไม่ สนใจ หรือ “รู้ เปล่ า ๆ” หรือ “สั กแต่ ว่ารู้ ” โดยไม่ มตี ัวตนของผู้รู้ จนถึงวันตาย
“ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ” คื อ ความคิ ด ที มี กิ เ ลสตัณ หา หรื อ ความทุกข์ปนมากับความคิด เช่น ๑) แอบคิ ด แอบนึ ก แอบตรึ ก แอบตรอง แอบ วิพากษ์วิจารณ์ แอบคิดตําหนิ ติเตียน หรื อแอบคิดอิจฉาริ ษยา
แอบคิดนิ นทาว่าร้าย คนใดหรือสิ งใดที อยู่ต่อหน้ า ไม่ว่าจะเป็ น รู ป เสี ยง กลิ น รส สัมผัสที อยูต่ ่อหน้าขณะนั น ถ้าพอใจก็จะเกิด เป็ นราคะ หรื อความโลภ ถ้าไม่ พอใจ ก็จะเกิ ดอารมณ์ โทสะ พยาบาท หงุ ดหงิด รําคาญใจ ขุ่นข้อง หมองใจ เจ็บใจ ถื อสา ไม่ยอมให้อภัย หรื อกรณี ไม่ถึงกับเป็ นราคะหรื อความโลภหรื อ โทสะ แต่เป็ นโมหะคือความหลง เช่ น คิดฟุ้ งซ่ านเพลิดเพลิน เจริ ญใจโดยไม่รู้ตวั ซึ งจะสังเกตได้คือเมื อมีการพูดคุยกันเล่น ในหมู่ค ณะแต่ เ รื องที คุ ยนั น ยังนํา ไปคิ ด เพลิ น ต่ อไปอี ก หรื อ กรณี ดูหนังดูละคร เมื อหนังละครจบแล้ว แต่ใจไม่ยอมจบ คือ นําไปคิดหรื อนําไปพูดคุ ยเป็ นความเพลิดเพลินเจริ ญใจต่อไป อีก เป็ นความหลงเพลินไปโดยไม่รู้ตวั ๒) ขณะที ทาํ งานอยูห่ รื ออ่านหนังสื อ หรื อพูดคุยอยูก่ บั คนใด แต่จิตคิดปรุ งแต่งเหม่อลอยหรื อเพลินออกไปหาคนอื น หรื อสิ งอื นที ไม่ได้อยูต่ ่อหน้าขณะนั น ๓) จิ ต คิ ด ปรุ ง แต่ ง ในเรื อ งที ท าํ ให้เ กิ ด ความทุ ก ข์ใ จ ความไม่สบายใจ ความกังวลใจ หรื อวิตกกังวล เป็ นต้น ทั งข้ อ ๑, ๒, ๓ เรียกว่ า คิดปรุงแต่ งออกไปภายนอก
๔) คิ ด ปรุ ง แต่ ง วุ่น วายเกี ย วกับ เรื อ งของตัว เองหรื อ จิตใจของตัวเอง หรื อเกี ยวกับอาการของกายหรื ออาการของใจ ของตัวเอง หรื อคิดปรุ งแต่งพอใจ ไม่พอใจเกี ยวกับขันธ์หา้ คือ รู ป เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร วิ ญ ญาณ ถ้า พอใจก็ คิ ด ปรุ ง แต่ ง อยากให้เป็ นอย่างนั น อยากให้เป็ นอย่างนี เรี ยกว่า ภวตัณหา ถ้าไม่พอใจก็คิดปรุ งแต่ง ดิ นรนผลักไส อยากให้หายไป หรื อ เป็ นความไม่อยาก เรี ยกว่า วิภวตัณหา เฉพาะข้ อ๔ นี เรี ยกว่ า คิดปรุ งแต่ งยึดถือขันธ์ ห้าหรื อ ปรุงแต่ งเข้ าข้ างใน หรือคิดปรุงแต่ งออกไปยึดถือตัวเอง กรณีสะกดจิตหรื อพยายามบังคับจิตไม่ ให้ คิดปรุ งแต่ ง หรื อ คอยเข้ า ไปดู ห รื อ เข้ า ไประวัง อยู่ ภ ายในใจเพื อ ไม่ ไ ห้ จิ ต คิดปรุ งแต่ งออกไปยึดถือสิ งใด ก็เรียกว่ า คิดปรุ งแต่ งเข้ าข้ างใน หรือยึดถือขันธ์ ห้า เป็ นความไม่ อยากให้ จิตคิดปรุ งแต่ งซึ งก็เป็ น ตัณหา
อวิชชาเป็ นปัจจัยให้ เกิดอาสวะอนุสัย เมื อ มี ค วามคิ ด ปรุ งแต่ ง ขึ นมาแต่ ล ะครั ง แล้ว ไม่ มี สติปัญญารู ้เท่าทัน เรี ยกว่า “อวิชชา” คือไม่รู้ทุกข์ (ที เกิดจาก
ความคิดปรุ งแต่ง) ไม่รู้สมุทยั (คือความคิดปรุ งแต่ง) ไม่รู้มรรค (คือไม่รู้เท่าทันความคิดปรุ งแต่ง) ไม่รู้นิโรธ (คือดับทุกข์ไม่ได้) จิตก็จะคิดปรุ งแต่งดิ นรนทะยานอยากไปยึดถือคนใดหรื อสิ งใด ทั งภายนอกและภายในจนเป็ นนิ สัยจะกลายเป็ นความเคยตัว เคยใจมากยิ งขึ นไปเรื อย ๆ จนกลายเป็ นสันดานความเคยชิ น หรื อเรี ยกว่ากิเลสดองสันดาน (อาสวะอนุสัย)
อาสวะอนุสัยเป็ นปัจจัยให้ เกิดอวิชชา ถ้าอาสวะอนุสัย คือความเคยตัวเคยใจมีกาํ ลังมาก แม้จะ รู ้เท่าทัน เคลื อนไหวร่ างกายพร้อมกับเบี ยงเบนความสนใจไป เป็ นอย่า งอื น ๆ ก็ไ ม่ ส ามารถจะถอนใจออกจากสิ ง ที ยึด ถื อ ทั งภายนอกและภายในได้ หรื อเมื อมี ความคิ ดปรุ งแต่งขึ นมา แต่ละครั ง มีสติรู้เท่าทันแต่ไม่มีปัญญาที จะออกจากความทุกข์ ที เ กิ ด จากความคิ ด ปรุ ง แต่ ง นั น ได้ หรื อ รู ้ เ ท่ า ทัน แต่ ก็แ พ้ใ จ ตนเอง จึงคิดหรื อพูดหรื อกระทําไปตามความคิดปรุ งแต่งที ทาํ ให้เ กิ ด กิ เลสตัณหาและความทุ ก ข์น ัน ได้ก็เ รี ยกว่า “อวิช ชา” การมี ส ติ รู้ เ ท่ า ทันแล้ว แต่ ก็แ พ้ใ จตัวเองก็เ พราะปล่ อยให้เ กิ ด ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ไปในทางกิ เ ลสตัณ หาหรื อ ตามใจตัว เอง
มานาน จนเป็ นนิ สัยสัน ดานหรื อความเคยตัวเคยใจ (อาสวะ อนุสัย) เสี ยแล้ว
อวิชชาเป็ นปัจจัยให้ เกิดสังขาร อวิช ชา เป็ นปั จ จัย ให้เ กิ ด สั ง ขาร ซึ ง หมายถึ ง การเกิ ด มาเป็ นตั ว ในท้ อ งแม่ และหมายถึ ง จิ ต สั ง ขาร(ความคิ ด ) วาจาสังขาร(คําพูด) และกายสังขาร(การกระทํา)
สังขารเป็ นปัจจัยให้ เกิดวิญญาณ ไปจนถึงเวทนา เพราะสั งขารเป็ นปั จจัยจึงทําให้เกิดวิญญาณ แล้วเมื อ มีรูป เสี ยง กลิ น รส โผฏฐัพพะ(สิ งที กระทบกับประสาทกาย) และธรรมารมณ์(สิ งที จิตคิดไปถึง)มากระทบกับตา หู จมูก ลิ น กาย ใจ ก็จ ะเกิ ด วิ ญ ญาณมารู ้ ส ิ ง ที ม ากระทบนั น แล้ว ดับ ไป และจะเกิดเวทนาเป็ นสุ ขเวทนา หรื อทุกขเวทนา หรื ออุเบกขา เวทนาทุกครั งไป
เวทนาเป็ นปัจจัยให้ เกิดตัณหา อุปาทาน(ความยึดถือ) สุ ข เวทนา และอุ เ บกขาเวทนา จะเป็ นปั จ จัย ให้ เ กิ ด ความคิดปรุ งแต่งเป็ นความอยากได้ อยากเอา ซึ งเป็ นกามตัณหา
หรื ออยากให้เป็ นอย่างนั น อยากให้เป็ นอย่างนี ซึ งเป็ นภวตัณหา ส่ ว นทุ ก ขเวทนา จะเป็ นปั จ จัย ให้เ กิ ด ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง เป็ น ความไม่อยากซึ งเป็ นความดิ นรนผลักไส ซึ งเป็ นวิภาวตัณหา ดังนั นถ้ าคิดปรุ งแต่ งต่ อออกไปจากเวทนา จะเป็ นกิเลส ตัณหาและอุปาทาน(ความยึดถือเป็ นเรา หรือเป็ นของเรา) แล้ ว ทําให้ เกิดทุกข์ และถ้ าปล่ อยให้ เกิดขึน บ่ อยจนเป็ นความเคยตัว เคยใจ ซึ งเรียกว่ า “อาสวะ” หรือ “อนุสัย” หรือ “อาสวะอนุสัย” ต่ อให้ มีสติปัญญารู้ เท่ าทันก็จะแพ้ ใจตัวเอง จึงต้ องมี “สติ” รู้ เท่ าทันความคิดปรุงแต่ ง พร้ อมกับมี “ปัญญา” ถอนความพอใจ หรือความไม่ พอใจออกมาจากสิ งนั นเสี ย แล้ วความคิดปรุ งแต่ ง ให้ เกิดความเร่ า ร้ อ นใจ ซึ งเป็ นความอยากได้ อยากเอา หรื อ อยากให้ เ ป็ นอย่ า งนั น อยากให้ เ ป็ นอย่ า งนี อั น เนื อ งมาจาก สุ ข เวทนาหรื อ อุ เ บกขาเวทนา หรื อ ความเร่ าร้ อนใจ เป็ น ความไม่ อยาก ดิ นรนผลักไส อันเนื องมาจากทุกขเวทนาก็จะ ดับไป ใจก็จะกลับคืนสู่ ความเป็ น “ปกติ” ซึ งใจที เป็ น “ปกติ” นี เรี ย กว่ าใจมี “ศี ล ” และมี “สมาธิ ” คื อ มี ค วามสงบจาก ความเร่ าร้ อนใจใด ๆ ใจมีศีลและมีสมาธิได้ ก็เกิดจากมี “สติ” รู้ เท่ า ทั น ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ที จ ะทํ า ให้ เ กิ ด กิ เ ลสตั ณ หา หรื อ
เกิ ด ทุ ก ข์ แต่ ถ้ า มี ส ติ รู้ เท่ า ทั น ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง แล้ ว ก็ ต้ อ ง มี “ปั ญ ญา” ที จ ะออกจากกิ เ ลสตั ณ หาหรื อ ความทุ ก ข์ ไ ด้ มิฉ ะนั น จะออกจากทุ ก ข์ ไ ม่ ไ ด้ หรื อ ถ้ า ใจมีแ ต่ ค วามเร่ า ร้ อ น ไม่ มีความสงบใจ เพราะขาด “สมาธิ” รวมทั งเร่ าร้ อนใจที จะ พบนิ พ พานด้ ว ย ต่ อ ให้ มี “สติ ” รู้ เท่ า ทั น อย่ า งไร ก็ ไ ม่ อ าจ จะดั บ ความเร่ า ร้ อ นได้ เพราะเป็ นผู้ ไ ม่ มี “ปั ญ ญา” ที จ ะดั บ ความเร่ าร้ อนใจได้
อาสวะอนุสัยและอวิชชาเป็ นปัจจัยให้ เกิดตัณหา อุปาทาน อาสวะอนุสัยเป็ นปัจจัยให้เกิดอวิชชา อวิชชาเป็ นปั จจัย ให้เกิดสังขาร สังขารเป็ นปั จจัยให้เกิดวิญญาณไปจนถึงเวทนา เวทนาเป็ นปั จ จัย ให้ เ กิ ด ตัณ หา ตัณ หาเป็ นปั จ จัย ทํา ให้ เ กิ ด อุปาทาน(ความหลงยึดถือเป็ นเรา หรื อเป็ นของเรา) อุปาทาน เป็ นปั จจัยให้เกิดทุกข์ ดังนั น กล่าวได้ว่าเพราะอาสวะอนุ สัย และอวิชชาเป็ นปั จจัยจึ งทําให้เกิ ดตัณหา อุ ปาทานและความ ทุกข์ จึงต้ องมีความเพีย รในการมี “สติ” และ “ปั ญ ญา” รู้ เ ท่ า ทัน ความคิด ปรุ ง แต่ งที ต่ อ ออกไปจากเวทนา พร้ อ มกับ
เคลื อนไหวร่ างกายและเบี ย งเบนความสนใจไปเป็ นอย่ างอื น เพื อ ลดทอนกํ า ลั ง ความเคยชิ น หรื อ ความเคยตั ว เคยใจ (อาสวะอนุ สั ย ) ที จ ะคิ ด ปรุ ง แต่ ง ยึ ด ถื อ คนใดหรื อ สิ ง ใดทั ง ภายนอกและภายในไปเรื อ ย ๆ ซึ ง ต้ อ งใช้ ขัน ติ ความอดทน อดกลั น ข่ มใจไว้ ได้ มาช่ วยด้ วย มิฉะนั นจะแพ้ ใจตัวเองได้ ง่าย ๆ เมื อความเคยตัวเคยใจ หรื ออาสวะอนุ สัยอ่ อนกําลังลงไปมาก เพราะอํานาจสติปัญญาที รู้ เท่ าทัน แล้ วต่ อไปเมื อคิดปรุ งแต่ ง ขึ น มาครั ง ใดเพีย งแต่ รู้ เ ท่ า ทัน ความคิด ปรุ ง แต่ ง ก็ดั บ ไปโดย ง่ ายดาย ไม่ ต้องใช้ วิธีเคลือ นไหวร่ างกายและเปลีย นความสนใจ ไปเป็ นอย่ า งอื นอีก และจะไม่ ทันให้ เ กิด ความเร่ าร้ อนใจเป็ น กิเลสตัณหา อุปาทานขึน มา สติ สมาธิ ปั ญ ญา จึ ง เป็ นเครื อ งหนุ น กัน ตลอดเวลา จะขาดอย่ างใดอย่ างหนึ งไม่ ได้ ถ้ าสติขาด สมาธิก็ขาด ปั ญญา ก็ขาด ถ้ าสติมี สมาธิก็มี ปัญญาก็มี หรือถ้ าสมาธิขาด สติกข็ าด ปั ญญาก็ขาด หรื อถ้ าปั ญญาขาด สติก็ขาด สมาธิก็ขาด ไม่ อาจ พ้ นทุกข์ ได้ ดังนั น ต้ องฝึ กให้ มี “สติ” และ “ปั ญญา” รู้ เท่ าทัน ความคิดปรุ งแต่ งให้ เกิดกิเลสตัณหา อุปาทานและความทุกข์ อยู่เสมอ จนกว่ าจะเป็ นมหาสติ คือมีสติรู้ เท่ าทันเป็ นอัตโนมัติ
ถ้ า สติ เ ป็ นมหาสติ จะเป็ นมหาสมาธิ และเป็ นมหาปั ญ ญา คื อ ถอนความพอใจหรื อ ความไม่ พ อใจเสี ย ได้ และจะดั บ ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ให้ เ กิ ด กิ เ ลสตั ณ หาได้ ซึ ง เมื อ ตั ณ หาดั บ ความทุกข์ กด็ ับ เพราะตัณหาเป็ นปัจจัยให้ เกิดทุกข์
จะดับความคิดปรุงแต่ งต้ องรู้ว่าคิดเรื องอะไร โดยธรรมชาติ ของจิ ตจะทําหน้าที “ รู้ ” และทําหน้าที “คิด” ดังนั น จิ ตจึ งคิ ดตลอดเวลา จะห้ามไม่ให้คิดเลยไม่ ได้ แต่ถา้ ปล่อยให้จิตคิดถึงเรื องที ทาํ ให้เกิดทุกข์กจ็ ะเกิดความทุกข์ ถ้าคิดถึงเรื องที ทาํ ให้เกิ ดราคะก็จะเกิ ดอารมณ์ ราคะ ถ้าคิดถึ ง เรื องที ทาํ ให้เกิ ดโทสะพยาบาทหงุดหงิ ดรําคาญใจ วิตกกังวล ก็จ ะเกิ ดอารมณ์ โ ทสะพยาบาทหงุ ด หงิ ดรํา คาญใจ หรื อวิต ก กังวล หรื อถ้าคิดถึงเรื องที ทาํ ให้เกิดเบื อๆเซ็งๆ ก็จะเกิดอารมณ์ เบื อ ๆ เซ็ง ๆ ถ้าคิดถึงเรื องที ทาํ ให้เกิดความเพลิดเพลินเจริ ญใจ โดยไม่รู้ตวั ก็จะเกิดความหลงเพลินไป ความคิดตามที กล่าวมา ทั งหมดเรี ยกว่า “ความคิดปรุ งแต่ ง” คือคิดแล้วมีกิเลสตัณหา หรื อความทุกข์ปนมากับความคิด
มีความคิดอีกประการหนึ งคือ ความคิดในเรื องการงาน หรื อความคิดเรื องปกติธรรมดาของชี วิต เช่ น คิดวางแผนหรื อ คิ ด จะไปทํา อะไร เป็ นต้น เรี ย กว่ า “ความคิ ด ธรรมดา” ให้ สังเกตว่าความคิ ดธรรมดาตามธรรมชาติ จะไม่มีกิเลสตัณหา หรื อความทุกข์ปนมากับความคิด ดังนั น ถ้าในชี วิตประจําวันคิ ดแต่ เรื องธรรมดาไม่ คิ ด ปรุ งแต่งในเรื องที ทาํ ให้เกิดกิเลสตัณหาหรื อเกิดความทุกข์ ก็จะ ไม่ ทุกข์ หรื อว่างเปล่ าจากทุ กข์ แต่ ไม่ ใช่ เข้ าใจผิดว่ าถ้ าไม่ คิด แล้ วจะไม่ เกิดทุกข์ พระอรหันต์และพระพุทธเจ้าก็ตอ้ งคิด เช่ น คิดจะทําอะไร คิดจะไปสอนผูใ้ ดว่าอย่างไรเป็ นต้น แต่ท่านไม่ คิดปรุ งแต่งในเรื องที ทาํ ให้เกิดทุกข์หรื อเกิดกิเลสเป็ นราคะหรื อ ความโลภ หรื อโทสะพยาบาท หรื อโมหะ การที จ ะดับ ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ให้ เ หลื อ แต่ ค วามคิ ด ธรรมดาได้จ ะต้อ งเพี ย รมี ส ติ รู้ ต ัว ว่ า กํา ลัง คิ ด ถึ ง เรื อ งอะไร อยู่เ สมอ ทั ง คิ ด ธรรมดาและคิ ด ปรุ ง แต่ ง โดยจะต้อ งไม่ ห ลง ตามไปมีอารมณ์ร่วมกับสิ งที คิดถึงนั น ซึ งถ้าหลงไปมีอารมณ์ ร่ ว มกับ สิ ง ที คิ ด ถึ ง ก็ ใ ห้ รู้ เ ท่ า ทัน และทํา ความรู ้ สึ ก ตัว ขึ น มา พร้อมกับถอนความพอใจหรื อความไม่พอใจออกมาจากสิ งนั นเสี ย
ถ้ า ไม่ ห ลงตามไปมี อ ารมณ์ ร่ วมกับ สิ ง ที คิ ด ปรุ ง แต่ ง ยึดถือ ก็จะรู้ หรื อเห็นหรื อเข้ าใจได้ ว่าความคิดใดเป็ นความคิด ธรรมดา ความคิดใดเป็ นความคิดปรุงแต่ ง แต่ ถ้ า หลงไปมี อ ารมณ์ ร าคะหรื อ ความโลภ โทสะ พยาบาท หรื อโมหะ (ความหลง) กับสิ งที คิดปรุ งแต่ งจนจิตใจ มี ค วามเร่ า ร้ อ นดิ น รนทะยานอยากไปตามอารมณ์ น ั น เช่ น อยากได้ อยากเอา หรื อ อยากให้ เ ป็ นอย่ า งนั น อยากให้ เ ป็ น อย่ างนี เพราะพอใจ หรื อไม่ อยากให้ เป็ นอย่ างนั น ไม่ อยากให้ เป็ นอย่ างนี หรื อดิ นรนผลักไสเพราะไม่ พอใจ ซึ งเป็ นตัณหา ก็จ ะไม่ มีส ติ ปั ญ ญาเข้ า ใจได้ เ ลยว่ า ความคิ ด ใดเป็ นความคิ ด ธรรมดา ความคิดใดเป็ นความคิดปรุ งแต่ ง จนกว่ าจะถอนใจ ออกมาจากสิ งนั นเสี ยได้ ด้ วยวิธีรู้ เท่ าทัน และทําความรู้ สึกตัว ขึน มา พร้ อมกับเบี ยงเบนความสนใจเป็ นอย่ างอืน เสี ยก่อน แต่ถา้ ไม่ถึงกับจิตใจเร่ าร้อนดิ นรนทะยานอยากไปตาม อารมณ์ ต่ า ง ๆ แล้ว ก็เ พี ย งแค่ เ พี ย รมี ส ติ ต ามรู ้ ค วามจริ ง อยู่ เปล่ า ๆ ว่าเป็ นความคิ ด ประเภทใดคื อ เป็ นความคิ ดธรรมดา หรื อ ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง แล้ว จะเกิ ด ปั ญ ญารู ้ แ จ้ง ขึ น มาเองว่ า ความคิ ดธรรมดายอมให้คิด ต่ อไปได้ ส่ วนความคิ ดปรุ งแต่ ง
เพี ย งแค่ ถู ก รู ้ ท ัน มัน ก็ ห ายไปเอง และด้ว ยความเพี ย รให้ มี สติปัญญาดังนี ไปเรื อย ๆ อย่างต่อเนื องไม่ขาดสาย ไม่ใช่รู้บา้ ง ไม่รู้บา้ ง หรื อเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ดังนี เรี ยกว่าเป็ นผูข้ าดสติ ซึ ง เมื อสติขาด สมาธิ (ความสงบใจ) ก็จะขาด ซึ งจะเกิดความเร่ า ร้อนใจไปตามกิเลส และปั ญญาก็จะขาดด้วย แต่เมื อสติรู้เห็น ความจริ ง ของความคิ ด อย่า งต่ อเนื องไม่ ข าดสายทั งความคิ ด ธรรมดา และความคิดปรุ งแต่ง เรี ยกว่ามหาสติ และจะเป็ นมหา สมาธิ และมหาปั ญญาด้ว ย และด้วยอํานาจของมหาสติ มหา สมาธิ แ ละมหาปั ญ ญา ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง ทั ง หมดก็ จ ะไม่ มี อิทธิพลอย่างใดต่อใจที จะทําให้เกิดตัณหาเป็ นความเร่ าร้อนดิ น รนทะยานอยากไปตามความคิ ด ปรุ ง แต่ ง นั น อี ก ต่ อ ไป หรื อ ตัณหาดับนั นเอง ซึ งตัณหาเป็ นสมุทยั คือเป็ นเหตุ ให้เกิ ดทุ กข์ ดังนั นเมื อตัณหาดับ ความทุกข์จึงดับ
ข้ อสังเกต (ในเรื องของความคิด) ๑). ถ้าไม่มีความคิดใดเกิดขึ น แสดงว่าสะกดจิตให้ ผิด ธรรมชาติแล้ว เพราะธรรมชาติของจิตต้องคิดนึก
วิธีแก้ ถ้าเห็นว่าไม่มีความคิดใดเลย จิตอยูน่ ิง ๆ ต้องรี บ คิดอะไรขึ นมา โดยจะคิดอะไรก็ได้ แต่ตอ้ งรู ้ตวั ว่าเป็ นความคิด ธรรมดาหรื อเป็ นความคิดปรุ งแต่ง ๒). ไม่ ใ ช่ ฝึกดับ ความคิ ด แต่ ฝึ กให้รู้ ความคิ ด ว่า คิ ด ธรรมดาหรื อคิดปรุ งแต่ง ๓). ถ้า จ้อ งดู จ ะให้ เ ห็ น ความคิ ด จิ ต จะถู ก สะกดไว้ ไม่ให้คิด และจะไม่เห็นหรื อไม่รู้ความคิด ๔). ไม่ ใ ช่ เ ข้า ไปคอยระวัง อยู่ภ ายในเพื อ ไม่ ใ ห้ จิ ต คิดปรุ งแต่ง จะเป็ นการสะกดจิต
ทุกข์ น้อย ๆ กลายเป็ นทุกข์ มาก โดยปกติ เ ราจะคิ ด ปรุ ง แต่ ง ฟุ้ งไปในประการต่ า ง ๆ ทั งวัน ปั ญหามีว่าเมื อคิดปรุ งแต่งฟุ้ งไปในประการต่ าง ๆ ใน แต่ละครั งเรารู ้เท่าทันหรื อไม่ ถ้าเราไม่รู้เท่าทันก็เรี ยกว่าหลง (โมหะ) และถ้าเราไม่รู้เท่าทันความคิดปรุ งแต่งหรื อคิดฟุ้ งไปใน ประการต่าง ๆ ตั งแต่เริ มแรก ความคิดปรุ งแต่งหรื อคิดฟุ้ งไปใน ประการต่ าง ๆ ก็จ ะกลายเป็ นคิ ด ฟุ้ งมากหรื อฟุ้ งซ่ านมากขึ น เรื อย ๆ ซึ งคิดฟุ้ งน้อย ๆ ก็เป็ นกิ เลสฝ่ ายหลง (โมหะ) น้อย ๆ
เมื อคิดฟุ้ งมาก ๆ ก็เป็ นกิเลสฝ่ ายหลงมาก ๆ และความคิดฟุ้ งไป ในประการต่าง ๆ นี เองจะพาไปหากิเลสฝ่ ายโลภหรื อราคะและ กิเลสฝ่ ายโทสะหรื อพยาบาทรวมทั งความหงุดหงิดรําคาญใจ เป็ นเพราะขาดสติไม่รู้เท่าทันตั งแต่แรก จึงปล่อยให้คิดฟุ้ งไปใน ประการต่าง ๆ ในที สุดความคิดนั นก็วกเข้าหาคนต่าง ๆ หรื อ สิ งต่ าง ๆ หรื อเรื องราวต่ าง ๆ ที ทาํ ให้เกิ ดความพอใจซึ งเป็ น ความโลภหรื อราคะหรื อที ทาํ ให้เกิดความไม่พอใจซึ งเป็ นโทสะ หรื อพยาบาทหรื อหงุดหงิดรําคาญใจเป็ นความดิ นรนทะยาน อยากไปตามกิ เ ลสและเมื อ ไม่ ไ ด้ด ัง ใจก็ เ ป็ นความทุ ก ข์ ใ จ ความเสี ยใจ ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ หรื อความกังวล ใจ เป็ นต้น ความคิดปรุ งแต่งหรื อความคิดฟุ้ งไปในประการต่าง ๆ เปรี ย บเหมื อ นละอองนํ า ในอากาศที เ พิ ง เริ ม เกิ ด ขึ น ใหม่ ๆ หากไม่ รู้ เ ท่ า ทัน ตั ง แต่ แ รก ๆ ละอองนํ า นั น ก็จ ะรวมกัน เป็ น เมฆฝนที ห นาแน่ น พร้ อ มที จ ะตกลงมาเป็ นฝน เช่ น เดี ย วกับ ความคิ ดฟุ้ งในประการต่ าง ๆ ถ้าไม่ รู้เท่ าทันตั งแต่ ฟุ้งน้อย ๆ ก็จะยิง ฟุ้ งซ่ านมากขึ น ๆ ไปเรื อย ๆ จะมีอารมณ์หนาแน่ นมาก
ขึ น ๆ เปรี ยบดัง เมฆฝน แล้วก็เป็ นความทุ กข์ใจ บางครั งต้อง ร้องไห้เสี ยใจเหมือนดัง ฝนที ตกลงมา ดังนั น ต้องรู ้เท่าทันความคิดปรุ งแต่งหรื อความคิดฟุ้ ง ไปในประการต่าง ๆ อยูเ่ สมอแม้คิดฟุ้ งไปในเรื องร่ างกายหรื อ จิตใจของตนเอง เช่ น เรื องความรู ้สึก ความนึ กคิดและอารมณ์ ต่าง ๆ ว่าว่างหรื อไม่ว่าง เบาสบายหรื อไม่เบาสบายหรื อแม้แต่ คอยคิดปรุ งแต่งสงสัยว่าเราคิดปรุ งแต่ งหรื อไม่หนอ หรื อเรา ไม่ได้คิดปรุ งแต่งก็เรี ยกว่า “ฟุ้ ง” หรื อคิดหมกมุ่นอยูใ่ นธรรม จนเกิดเป็ นความเครี ยดหรื อคิดฟุ้ งอยูใ่ นธรรมจนใจไม่มีวนั สงบ เลยก็เรี ยกว่า “ฟุ้ ง” แต่ถา้ นําข้อธรรมที ได้อ่านหรื อได้ฟังมาหรื อ ที เกิดกับใจมาวิเคราะห์วิจยั เพื อความเข้าใจ อย่างนี ไม่เรี ยกว่า คิดปรุ งแต่ง หรื อคิดฟุ้ งไป แต่เรี ยกว่า “ธรรมะวิจยั ”
ข้ อควรระวัง เราจะห้ามไม่ให้มีความคิดฟุ้ งไปในประการต่าง ๆ เลย ทันที ไม่ ไ ด้ เปรี ยบเหมื อนกับเราจะห้ามไม่ ใ ห้เกิ ดละอองนํ า ในอากาศไม่ได้เช่ นเดียวกัน เราเพียงแต่มีสติรู้เท่าทัน ความคิด ฟุ้ งไปในประการต่ าง ๆ ทุ กขณะปั จจุ บนั ความคิ ดฟุ้ งน้อย ๆ
ก็ดบั ไปไม่อาจกลายเป็ นความคิดฟุ้ งซ่ านมาก ๆ ที จะเกิดเป็ น ความทุ ก ข์ไ ด้ ละอองนํ า ในอากาศก็เ ช่ น เดี ย วกัน แม้จ ะห้า ม ไม่ให้เกิดไม่ได้แต่ถา้ รู ้เท่าทันทุกขณะปั จจุบนั ไม่ให้ละอองนํ า นั นรวมตัวกันได้กจ็ ะไม่กลายเป็ นเมฆฝนที จะตกเป็ นฝนลงมา แต่ ถ ้า มี ค วามระวัง ไม่ ใ ห้ มี ค วามคิ ด ปรุ ง แต่ ง หรื อ มี ความคิดฟุ้ งอย่างใด ๆ เลยจะกลายเป็ นสะกดจิตตัวเอง ทําให้ มีความผิดปกติทางร่ างกาย หรื อจิตใจ เช่น เกิดอาการมึนศีรษะ ปวดศี ร ษะ ปวดร้ า วหัว ไหล่ หรื อ ต้น คอ แน่ น หน้า อก หรื อ มีอาการร้อนหรื อเย็นตามตัว เป็ นต้น
ข้ อผิดพลาดที พบบ่ อย แม้ จ ะรู ้ เ ท่ า ทั น ความคิ ด ปรุ งแต่ ง อยู่ เ สมอ แต่ ถ ้ า มี ความเข้าใจผิดก็ไม่อาจพ้นทุกข์ได้ ข้อ ที เ กิ ด จากการผิ ด พลาด หรื อเข้ า ใจผิ ด กั น ก็ คื อ การพยายามทําใจให้เฉย ๆ ทําใจให้ว่าง ๆ นิ ง ๆ หรื อพยายาม ประคองรั ก ษาความว่า งไว้ จะเป็ นการเข้า ไปหลงยึด ถื อ คื อ พอใจความว่าง ถ้าสนใจความว่างหรื อสนใจจะทําใจให้ว่า ง นัน แหละใจไม่วา่ งจากทุกข์ การให้ความสนใจสิ งใด หรื อให้ค่า
หรื อ ให้ค วามสํา คัญ ต่ อ สิ ง ใด หรื อ ถื อ สาสิ ง ใด แสดงว่า หลง ยึดถือ เพราะถ้ าเราให้ ความสนใจ หรือให้ ค่า หรือให้ ความสํ าคัญ หรื อถื อสาสิ งใด สิ ง นั น ก็จ ะอยู่ ใ นใจเรา เราก็ทุ กข์ กับ สิ ง ที อ ยู่ ในใจนั น ถ้ าเราไม่ ยึดหรือไม่ สนใจ หรือไม่ ให้ ค่า ให้ ความสํ าคัญ หรือไม่ ถือสาสิ งใดก็จะไม่ มอี ะไรอยู่ในใจเรา เราก็ไม่ ทกุ ข์
ความเข้ าใจผิดทําให้ ไม่ พ้นทุกข์ มีความเข้าใจผิดดังนี ๑) เข้าใจผิดว่าจะต้องไม่คิดจึงจะไม่ทุกข์ ซึ งความจริ ง ความคิดตามปกติธรรมดาไม่เป็ นเหตุให้เกิดทุกข์ ๒) พยามยามดับความคิดปรุ งแต่ง ซึ งเป็ นการปฏิบตั ิ ที ผิด เพราะเป็ นการสะกดจิ ต และจะมีผลเสี ยต่ อร่ างกายและ จิตใจตามมาหลายอย่าง ที ถู ก ต้อ งคื อ ให้สั ง เกตดู ไ ปเรื อ ยๆว่า ความคิ ด ใดเป็ น ความคิดธรรมดา ความคิดใดเป็ นความคิดปรุ งแต่งซึ งถ้าจิตเขา ไม่ คิ ด ปรุ ง แต่ ง ก็เ ป็ นเรื อ งปกติ ข องเขาเอง หรื อ ถ้า จิ ต เขาจะ คิดปรุ งแต่ งก็เป็ นเรื องปกติตามความเคยชิ นหรื อความเคยตัว เคยใจของเขา เราก็มีหน้าที รู้เท่าทันไปเรื อย ๆ พร้อมกับถอน
ความพอใจหรื อความไม่พอใจหรื อความเพลินติดไปกับสิ งนั น เสี ย ๓) ไม่ เ ข้า ใจว่า การรู ้ ท างตา ทางหู ทางจมู ก ทางลิ น ทางกาย หรื อทางความคิดจะมีเวทนาติดมาทุกครั ง ทั งสุ ขเวทนา คือรู ้สึกเป็ นสุ ข ทุกขเวทนาคือความรู ้สึกเป็ นทุกข์ หรื ออุเบกขา เวทนา คื อความรู ้ สึกไม่ สุขไม่ ทุกข์ ซึ งเป็ นธรรมดาตามปกติ ของธรรมชาติ หรื อตามปกติ ธรรมดาของขันธ์ห้า จะไม่ให้มี เวทนาติดมากับการรู ้ทางตา หู จมูก ลิ น กาย และทางความคิด ไม่ ได้ และจะเลื อกเอาแต่ สุขเวทนา ไม่ เอาทุ กขเวทนาไม่ ไ ด้ ถ้าชอบสุ ขเวทนา แล้วเกลียดทุกขเวทนา จะไม่มีทางพ้นทุกข์ ๔) เข้าใจผิดว่า ในขณะที รู้อะไรทางตา หู จมูก ลิ น กาย หรื อความคิด แล้วเกิดความรู ้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ ซึ งเป็ นอุเบกขา เวทนานั น เป็ นความว่างหรื อเป็ นนิพพาน หรื อหลงเอาอุเบกขา เวทนาเป็ นนิ พพาน เมื อเข้าใจผิดเช่ นนั น ก็จะทําให้ปฏิบตั ิผิด แม้จ ะทํา ความเพี ย รด้ว ยความอดทน อดกลั น นานเท่ า ใด ก็ ไม่ อ าจพ้น ทุ ก ข์ไ ด้ เพราะเมื อ ตา หู จมู ก ลิ น กาย สั ม ผัส กับ รู ป รส กลิ น เสี ยง โผฏฐัพพะ หรื อคิดไปถึงสิ งใดหรื อเรื องราว ใด ก็จะพยายามทําใจให้เป็ นแต่อุเบกขาเวทนา คือความรู ้สึก
ไม่ สุ ข ไม่ ทุ ก ข์ โดยจะไม่ เ ห็ น ความจริ ง ว่ า อุ เ บกขาเวทนา สุ ขเวทนา และทุกขเวทนา เป็ นสิ งที เกิดขึ นพร้อมกับจิตรู ้หรื อ จิตคิ ดเสมอ แล้วก็ดบั ไปพร้ อมกับจิ ตรู ้ หรื อจิ ตคิดนั น ไม่ อาจ ยึดถือไว้ได้ เป็ นอนิ จจัง(ไม่เที ยง) เป็ นทุกขัง(ทนอยู่กบั สภาพ เดิมไม่ได้) และเป็ นอนัตตา คือไม่อยูใ่ นบังคับของเรา จะเลือก เอาแต่ อุ เ บกขาเวทนา หรื อ สุ ข เวทนา เพี ย งอย่า งเดี ย วไม่ ไ ด้ แม้จ ะชอบอุ เ บกขาเวทนาหรื อ สุ ข เวทนา แต่ ก็ไ ม่ อ าจบัง คับ ให้ต ัง อยู่อ ย่า งนั น ได้ จะต้อ งดับ ไป เปลี ย นไป เป็ นอุ เ บกขา เวทนาบ้าง สุ ขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง และเวทนาไม่ใช่ จิต และ ไม่ ใ ช่ นิ พ พาน เป็ นเพี ย งเจตสิ ก ซึ ง พระพุ ท ธเจ้า แบ่ ง ออกเป็ น จิต เจตสิ ก รู ป นิ พพาน ดังนั น เวทนาทั งหมด ไม่ว่า อุเบกขาเวทนา สุ ขเวทนา หรื อทุกขเวทนา จึงจะต้องไม่อยู่ใน ความสนใจ ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสําคัญ ไม่หลงยึดถือ จึงจะพบ นิพพาน ๕) เข้าใจผิดว่า ทุกขเวทนาเป็ นสิ งเดียวกับความทุกข์ใจ ที เกิดจากความคิดปรุ งแต่งยึดถือ ทุกขเวทนา เป็ นขันธ์ห้า ติดตัวมาตั งแต่เกิ ด เกิดขึ น พร้อมกับจิตรู ้อะไรทางตา หู จมูก ลิ น กาย หรื อเกิดขึ นพร้อม
กับจิตคิดถึงเรื องราวใด แล้วดับไปพร้อมกับจิตรู ้หรื อจิตคิดเป็ น ทุ กขสัจ ซึ งเป็ นความทุ กข์ที เป็ นธรรมชาติ พระพุทธเจ้าและ พระอรหัน ต์ก็ต ้อ งรั บ ทุ ก ขเวทนานี เช่ น พระองค์ไ ปกระทบ อะไร ก็ต ้อ งเจ็บ เหมื อนกับ ปุ ถุช น หรื อ เมื อ ไม่ ไ ด้ฉันนํ า หรื อ อาหารก็ต ้อ งหิ ว เพราะนํ า ย่อ ยซึ ง เป็ นสิ ง สั ม ผัส กาย ออกมา กระทบกับ ประสาทกาย หรื อ กัด กระเพาะ จิ ต หรื อ วิ ญ ญาณ ก็เกิ ด มารู ้ ก ารกระทบของนํ าย่อยกับประสาทกายที กระเพาะ แล้วเกิดทุกขเวทนาทางกาย แต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ไม่มีความทุกข์ทางใจ ความทุกข์ ใจ ไม่ ใ ช่ ข ั น ธ์ ห้ า แต่ เ กิ ด จากความคิ ด ปรุ งแต่ ง ยึ ด ถื อ สิ งใดหรื อคนใด จึ ง จะเกิ ด ความทุ ก ข์ ใ จ เพราะฉะนั น ความทุ ก ข์ ใ จจึ ง มี แ ต่ เ ฉพาะปุ ถุ ช น ส่ วน พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สิ นความคิดปรุ งแต่งยึดถือแล้ว จึงไม่เกิด ความทุกข์ใจอีก ถ้า เข้า ใจผิ ด ว่ า ทุ ก ขเวทนาเป็ นความทุ ก ข์ที เ กิ ด จาก ความคิ ด ปรุ งแต่ ง ก็จะคิ ด ปรุ งแต่ ง ดิ น รนผลักไสทุ กขเวทนา อยู่ต ลอดเวลา อยากให้ทุ ก ขเวทนาดับ ไป หรื อ พยายามทุ ก วิถีทาง ที จ ะดับทุ กขเวทนา โดยไม่ เข้า ใจว่า ทุ กขเวทนาเป็ น
ขั น ธ์ ห้ า ไม่ ส ามารถจะดั บ ให้ ส นิ ท ได้ ต้ อ งตายเสี ยก่ อ น ทุ ก ขเวทนาจึ ง จะดับ แต่ ถ ้า ตายแล้ว แต่ ย งั มี จิ ต คิ ด ปรุ ง แต่ ง ยึดถืออยู่ ความทุกข์ใจก็จะไม่ดบั แต่จะดับเฉพาะทุกขเวทนา เท่านั น ดังนั นจะเห็นได้วา่ ทุกขเวทนาไม่ใช่ความทุกข์ใจ ๖) ความอึดอัดอยู่ภายในร่ างกาย เกิดจากเอาจิตจดจ่อ เข้าไปภายในร่ างกายของตัวเอง เมื อจิตจดจ่อ ก็จะเกิดพลังงาน หรื อ พลัง จิ ต กดไปที ป ระสาทกาย ซึ ง พลัง จิ ต นี ก็เ ป็ นสิ ง ที ม า สัมผัสกาย (โผฏฐัพพะ) จิตจะเกิดมารู ้สัมผัสนี เมื อจิตเกิดมารู ้ สัมผัส ก็จะเกิดทุกขเวทนาติดมาพร้อมกับจิตรู ้ คือมีความรู ้สึก เป็ นทุกข์ เช่ นปวดร้าวหัวไหล่ ต้นคอ ถ้าพลังจิตสัมผัสที ศีรษะ ก็ จ ะปวดศี ร ษะ ถ้า พลั ง จิ ต สั ม ผัส ที ท ้ อ งก็ จ ะแน่ น ในท้อ ง ถ้าสัมผัสที หน้าอกก็จะแน่นหน้าอก แต่ถา้ จิตคิดปรุ งแต่งดิ นรนผลักไสทุกขเวทนานั น ก็จะ เกิ ด ความทุ ก ข์ใจตามมา แต่ ถ ้ารู ้ ว่าเป็ นเพี ย งทุ ก ขเวทนาแล้ว ไม่เกิดความคิดปรุ งแต่งดิ นรนผลักไสอยากให้หายไปอย่างใด ก็จะไม่เกิดความทุกข์ใจ คงมีแต่ทุกขเวทนาเท่านั น และเมื อใด เลิ กเอาจิตเข้าไปจดจ่อที กายหรื อที ภายในตัวเอง พลังจิตก็จะ
ไม่ ไ ปกดหรื อ กระทบกับ ระบบประสาทกาย ก็ จ ะไม่ เ กิ ด ทุกขเวทนาที เกิดจากจิตจดจ่ออีก บางครั งไม่ได้มีพลังจิตที สัมผัสหรื อกระทบกับระบบ ประสาทกายอย่า งเดี ย ว อาจมี พ ลัง งานในธรรมชาติ ห รื อ ใน จักรวาลเข้าไปอัดที ระบบประสาทกายด้วย จิตก็จะเกิดมารับรู ้ ที ร ะบบประสาทกาย เกิ ด ทุ ก ขเวทนาติ ด จิ ต มาเช่ น เดี ย วกัน ถ้าไม่เข้าใจว่าเป็ นทุกขเวทนา แต่ไปเข้าใจผิดว่าเป็ นความทุกข์ ก็จะพยายามดิ นรนผลักไสทุกขเวทนานั น ทําให้เกิดความทุกข์ ใจตามมา เมื อเกิดความทุกข์ใจผสมปนกับทุกขเวทนา ก็จะทําให้ เกิดทุกขเวทนามากขึ น เพราะจิตที ดิ นรนผลักไสนั นจะยิง เพิ ม พลังงานไปกดที ร ะบบประสาทกาย เมื อเกิ ดทุ กขเวทนามาก ยิง ขึ น ก็จะยิง ดิ นรนผลักไสมากยิ งขึ น จะทําให้เกิดความทุกข์ (ทุกข์ใจ)มากยิง ขึ น เมื อเกิดความทุกข์ใจมากยิง ขึ น ก็จะดิ นรน ผลักไสมากยิ งขึ น ก็จะยิ งเพิ มพลังจิ ตไปกดที ระบบประสาท กายมากยิง ขึ นไปอีก จะทําให้เกิดทุกขเวทนามากยิ งขึ นไปอีก ก็จะยิ งดิ นรนผลักไสมากยิ งขึ น จะเป็ นงูกินหางกันไปอย่างนี ไม่จบสิ น จนไม่อาจหาทางออกจากทุกข์น นั ได้เลย
เมื อ ทํา ความเข้า ใจให้ถู ก ต้อ งตรงตามความเป็ นจริ ง ดั ง กล่ า วแล้ ว ก็ จ ะถอนใจออกมาจากการหลงยึ ด ถื อ คื อ ความไม่ พ อใจเสี ย ได้ เพราะเห็ น ว่า ไม่ ใ ช่ ท างพ้น ทุ ก ข์ และ เห็นว่าทุกขเวทนาเป็ นเพียงเจตสิ ก ไม่ใช่จิต ไม่ใช่รูป และไม่ใช่ นิ พ พาน ดัง นั น ถ้า ใจยัง ยุ่ง วุ่น วายอยู่ก บั ทุ ก ขเวทนา ซึ ง เป็ น เพียงเจตสิ ก ก็จะไม่พบนิพพาน ๗) เข้าใจผิดว่า เมื อจิตรู ้อะไรทางตา หู จมูก ลิ น กาย หรื อจิตคิ ดอะไรอยู่ ต้องทําใจอยู่น ิ งๆจึ งจะถูก โดยมี ใจตั งอยู่ นิ ง ๆ เป็ นตั ว เป็ นตนภายในใจอี ก ตั ว หนึ ง หรื อเรี ยกว่ า “จิตเคลื อนไหว แต่ใจตั งนิ ง” หรื อ “จิตเคลื อนไหว แต่ใจตั งอยู”่ ถ้าเป็ นดัง นี ต้องรู ้ เท่ าทันขณะที มีใจตั งนิ งซ้อนอยู่อีกตัวหนึ ง ทุ ก ครั ง เคยเห็ น ผู ้ฝึ กจิ ต บางท่ า น ขณะที ดู ร ายการตลกอยู่ คนอื น ๆ เขาก็หวั เราะตามปกติ แต่ท่านนี ไม่หวั เราะ นัง ดูตาเป๋ ง และมี ความเครี ยดอยู่ภ ายในตลอดเวลา แล้ว บอกว่า กําลังฝึ ก ให้เป็ นสักแต่ว่าไม่เอาใจเข้าไปร่ วมเล่นด้วย ซึ งเป็ นการเข้าใจ ผิดเอามาก ๆ เพราะการทําเช่ นนี เท่ ากับจิ ตคิดปรุ งแต่ งยึดถื อ ไปแล้ว โดยเป็ นความกลัวหรื อความไม่อยากอยูใ่ นใจลึก ๆ ว่า ไม่อยากให้จิตคิดปรุ งแต่ง
อวิชชาตัวใหญ่ การพยายามทําใจให้สงบนิ ง หรื อพยายามทําใจว่าง ๆ ทําใจเฉย ๆ นิ ง ๆ แม้จะมีความสงบมากเพียงใด ก็ยงั หลงเข้าไป ตั งอยู่ในอารมณ์ฌานที มีความสงบ โปร่ งโล่ง เบาสบายยิ งขึ น ยิง ขึ นไปเรื อย ๆ ตามลําดับ เมื อมีความเบาสบายอย่างละเอียด มากขึ น ไปเรื อ ย ๆ อารมณ์ แ ละความนึ ก คิ ด ปรุ ง แต่ ง อื น ๆ แทบจะไม่ ป รากฏให้ เ ห็ น เลย หรื อเรี ยกว่ า อารมณ์ แ ละ ความนึ ก คิ ด ปรุ งแต่ ง น้ อ ยนิ ด หนึ งแทบจะไม่ มี ป รากฏใน ความรู ้สึกเลย รู ้สึกว่าใจใสใจสบายอย่างต่อเนื อง หรื อรู ้สึกว่า ใจว่ า ง ๆ เบา ๆ สบายอย่ า งต่ อ เนื อ ง จนผู ้ป ฏิ บ ัติ ส่ ว นใหญ่ หลงอยูใ่ นสภาวะนี โดยพยายามเกลี ยจิตหรื อบดจิตให้ละเอียด เข้า ไปเรื อ ย ๆ หรื อทํา ให้จิต ว่า ง ๆ จากความนึ ก คิ ด ปรุ ง แต่ ง และอารมณ์ เ ข้า ไปเรื อ ย ๆ จนมี ค วามรู ้ สึ ก ว่า มี ค วามเป็ นอยู่ โดยไม่ มี ค วามคิ ด ไม่ มี อ ารมณ์ ใ ด ๆ เลย แล้ว เข้า ใจเอาว่ า การปฏิบตั ิ ธรรมได้ถึงที สุดแล้ว หรื อใกล้ถึงที สุดแล้ว อย่างนี จะเป็ นอวิ ช ชาตัว ใหญ่ คื อ หลงเข้า ไปอยู่ใ นอรู ป ฌาน หรื อ เรี ยกว่า ปั ดฝุ่ นในห้องนอน ซึ งฝุ่ นจะไม่หายไปไหน คือ กิเลส กับความทุกข์จะไม่หายไปไหน แต่จะวนเวียนอยูใ่ นใจนั นเอง
ซึ งจะไม่มีทางพ้นทุกข์ได้เลย เพราะความทุกข์ถูกบดละเอียด เข้าไปเป็ นเนื อเดียวกับจิต รวมทั งความนึกคิดปรุ งแต่งที ดิ นรน ทะยานอยากที เ ป็ นตัณ หาพาให้ เ กิ ด ทุ ก ข์ ก็ ถู ก บดละเอี ย ด เข้าไปกับ จิ ตจนไม่ ส ามารถแยกออกจากจิ ตได้ สรุ ป แล้ว ทั ง ความนึ ก คิ ด ปรุ งแต่ ง ที ดิ น รนทะยานอยากซึ งเป็ นเหตุ ใ ห้ เกิดทุกข์ และความทุกข์ถูกบดละเอียดอยูใ่ นจิต จนมีความรู ้สึก ว่ า น้อ ยนิ ด หนึ ง ก็ไ ม่ ป รากฏให้เ ห็ น แท้จ ริ ง เหตุ ใ ห้เ กิ ด ทุ ก ข์ และความทุกข์ไม่ได้หายไปจากใจแต่อย่างใด เพียงแต่ถูกสะกด ไว้เท่านั น ซึ งเป็ นการปฏิบตั ิที ผดิ
คิดปรุ งแต่ งจนเลยไปเป็ นตัณหาอุปาทาน จะทําให้ เกิด ตัวตน ทุกครั งที เกิดความคิดปรุ งแต่งเพียงแค่เป็ นความพอใจ หรื อ ความไม่ พ อใจหรื อ คิ ด เพลิ ด เพลิ น เจริ ญ ใจแล้ว รู ้ เ ท่ า ทัน เสี ยก่อนทันทีโดยยังไม่ถึงกับเกิดเป็ น ตัณหา อุปาทาน คือยังไม่ เกิดความยึดถือเป็ นเราหรื อตัวเราออกไปอยากได้อยากเอาหรื อ อยากให้เป็ นอย่างนั นอยากให้เป็ นอย่างนี หรื อดิ นรนผลักไส อยากให้พน้ ไปเพราะไม่อยากได้ ไม่อยากเอา ไม่อยากให้เป็ น
อย่างนั น ไม่ อยากให้เป็ นอย่างนี ก็จะไม่ เกิ ดจิ ตหรื อวิญญาณ ที เ ป็ นกายโปร่ ง แสงรู ป ร่ า งเหมื อ นตัว เราซ้ อ นกับ กายเนื อ (ขันธ์ห้า) ขึ นมาอี กตัวหนึ ง แต่ ถา้ คิ ดปรุ ง แต่ งเลยไปจนเป็ น ตั ณ หา อุ ป าทาน แล้ว ไม่ มี ส ติ ปั ญ ญารู ้ เ ท่ า ทัน หรื อ รู ้ เ ท่ า ทัน แล้วแต่ไม่สามารถถอนใจออกมาจากสิ งที ยดึ ถือทั งภายนอกคือ รู ป เสี ย ง กลิ น รส สั ม ผัส ทั ง ภายในคื อ รู ป เวทนา สั ญ ญา สังขาร วิญญาณ ซึ งเป็ นขันธ์หา้ ของตัวเอง หรื อเรื องของตนเอง หรื อเรื องเกี ยวกับจิตใจของตัวเองได้ ก็จะเกิดจิตหรื อวิญญาณ เป็ นตัวตนมี รู ปร่ างเป็ นกายโปร่ งแสงเหมื อนกับ ตัวเรา ซ้อ น กายเนื อ ซึ ง เป็ นขัน ธ์ ห้า ตามธรรมชาติ ข ึ น มาอี ก ตัว หนึ ง แล้ว ออกไปอยู่ก ับ สิ ง ที ห ลงยึ ด ถื อ ทั ง ภายนอกและภายใน เช่ น ขณะที พู ด คุ ย อยู่ก ับ หนุ่ ม หล่ อ หรื อ สาวสวยแล้ว จิ ต แอบคิ ด ปรุ งแต่งอยากให้เรามีเพศสัมพันธ์กบั คนที อยูต่ ่อหน้านั น ก็จะ เกิ ดจิ ตหรื อวิญญาณเป็ นตัวตนมีกายโปร่ งแสงรู ปร่ างเหมื อน ตัวเราอีกตัวหนึ งออกไปคลอเคลียอยูก่ บั คนนั น หรื อถ้ายึดถือ ขัน ธ์ ห้า ของตัว เอง ก็จ ะมี ก ายโปร่ ง แสงซ้อ นอยู่ก ับ กายเนื อ (ขันธ์ห้า) ของตนเองอี กตัวหนึ ง เช่ นในขณะที เราดูโทรทัศน์ แต่ จิ ตคิ ดปรุ ง แต่ งดิ นรนผลัก ไสอยากให้อ าการทางกายหรื อ
อาการทางใจอย่างใดหายไปเพราะไม่ชอบใจ หรื อแอบอยากให้ ความรู ้ สึ ก ที เ ป็ นความสุ ข สบายตั ง อยู่ แล้ว จิ ต แช่ ติ ด อยู่ก ับ ความรู ้ สึ กนั น ก็จ ะเกิ ด จิ ต หรื อวิญ ญาณเป็ นกายโปร่ ง แสงอี ก ตัวหนึ งมองเข้าไปดูภายในตัวเอง ส่ วนกายเนื อมองดูโทรทัศน์ อยู่ ซึ ง ผูม้ ี ต าทิ พ ย์ค ม ๆ จะสามารถสั ง เกตเห็ น ได้ จึ ง ต้อ งรู ้ เท่าทันพร้อมกับถอนความพอใจ หรื อความไม่พอใจ หรื อถอน ความหลงยึดถื อเพลิ นติ ดไปกับสิ งใดทั งภายนอกและภายใน เสี ย ได้ กายโปร่ ง แสงหรื อ จิ ต หรื อ วิ ญ ญาณที เ ป็ นตัว ตนก็จ ะ ดับลงทุ กครั งไป กลับมาเหลือแต่ กายเดี ยวจิ ตเดี ยว (ขันธ์ห้า) เมื อหลงยึดถื ออี ก ก็จะเกิ ดกายโปร่ งแสงรู ปร่ างเหมื อนตัวเรา ขึ นมาอี ก แต่ เ มื อ รู ้ เ ท่ า ทัน พร้ อ มกับ ถอนความพอใจหรื อ ความไม่พอใจหรื อความหลงยึดถือเพลินติดไปกับสิ งใดเสี ยได้ กายโปร่ งแสงหรื อจิตหรื อวิญญาณเป็ นตัวตนก็จะดับ คงเหลือ แต่กายเดี ยวจิตเดี ยว(ขันธ์ห้าตามธรรมชาติ) อีก จะเป็ นเช่ นนี เรื อยไป ดั ง นั น เมื อ เกิด ความคิ ด ปรุ ง แต่ ง เป็ นเราหรื อ ตั ว เรา ออกไปยึด ถือ คนใดหรื อสิ งใดทั ง ภายนอกและภายในจนเกิด เป็ นตัณหาคือเกิดความดิ นรนทะยานอยาก เป็ นความอยากได้
อยากเอา อยากให้ เ ป็ นอย่ า งนั น อยากให้ เ ป็ นอย่ า งนี เพราะ เกิด ความพอใจ หรื อ เกิด ความไม่ พ อใจดิ น รนผลัก ไส ก็จ ะ เกิดจิตหรือวิญญาณเป็ นตัวตน เป็ นกายโปร่ งแสงรู ปร่ างเหมือน ตัวเราอีกตัวหนึ งไปติดอยู่ กับ สิ งที ยึดถือทันที โดยไม่ ต้องรอ ให้ ตายก่อน
ไม่ คดิ ซ้ อนผู้รู้ เมื อรู ้อะไรทางตา หู จมูก ลิน กาย จะต้องไม่คิดปรุ งแต่ง ซ้อนการรู ้น นั ขึ นมาอีก และไม่มีเรา หรื อตัวเราเข้าไปยุง่ กับผูร้ ู ้ รู ้ อ ะไรแล้ว ก็ จ บไป หรื อ ดับ ไปตามธรรมชาติ ข องเขาเอง เป็ นการรู ้เพียงชั นเดียว หรื อรู ้อยูอ่ ย่างเดียว หรื อสักแต่วา่ รู ้ หรื อ รู ้อยู่เปล่ า ๆ ไม่ มีคิดวิตกวิจารณ์ ใดซ้อน “ผูร้ ู ้ ” เช่ น รู ้ รูปอะไร ทางตา แล้วคิดวิตกวิจารณ์ซ้อนว่าอย่าคิดปรุ งแต่งเกี ยวกับรู ปนี นะ หรื อรู ้ อะไรแล้วคิดวิตกวิจารณ์ ว่าเราเก่ งมากเลยที เห็ นรู ป แล้วไม่คิดปรุ งแต่งอะไร หรื อรู ้อะไรแล้วคิดวิตกวิจารณ์วา่ เรานี ใช้ไม่ได้เลย หรื อรู ้ อะไรที กระทบกับประสาทภายในร่ างกาย เช่น ปวดท้อง ก็คิดปรุ งแต่งว่าเราจะตายหรื อไม่ อย่างนี เป็ นต้น เรี ยกว่า “ คิดซ้อนผูร้ ู ้ ”
หรื อเมื อ เห็ น รู ปแล้ ว แอบนึ ก แอบคิ ด แอบตรึ ก แอบตรอง แอบวิ พ ากษ์วิ จ ารณ์ ใ นทางพอใจหรื อ ไม่ พ อใจ อย่า งไรต่ อ รู ป นั น โดยไม่ ไ ด้สนใจเรื อ งที พูด คุ ยกัน ก็เรี ย กว่า “ คิดซ้อนผูร้ ู ้ ” เมื อ ใด “ คิ ด ซ้ อนผู้ รู้ ” ก็ ใ ห้ รู้ เท่ า ทั น ให้ เ หลื อ แต่ รู้ ( รู ป เสี ยง กลิน รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ) เพียงชั นเดียว หรื อ รู้ สิ ง ที ถู ก รู้ เ พีย งอย่ า งเดี ย ว หรื อ มี แ ต่ ขั น ธ์ ห้ า ทํ า หน้ า ที ด้ ว ยความบริ สุ ท ธิ เ พีย งชั น เดี ย ว ไม่ คิ ด วิ ต กวิ จ ารณ์ ห รื อ คิ ด ปรุงแต่ งซ้ อนการรู้ น ันขึน มาอีกชั นหนึ ง หรือเรียกว่ า “ สั กแต่ ว่า รู้ ” หรือ “ รู้ เปล่า ๆ ”
ไม่ รู้ซ้อนรู้ คื อ เมื อ จิ ต รู้ อะไรทางตา หู จมู ก ลิ น กาย และทาง ความคิดแล้ ว ก็ให้ รู้ เพียงชั นเดียว ไม่ เข้ าไปรู้ ที ใจภายในซ้ อน ขึน มาอีกชั นหนึ ง เช่นเห็นคน หรื อพูดอยูก่ บั คนใดคนหนึ งแล้ว จิตคิดปรุ งแต่งคอยเข้าไปรู ้ที ใจของตัวเองภายในอีกตัวหนึ งว่า ใจของเราเป็ นอย่างไร สบายหรื อไม่สบาย หรื อขณะนี เราคิ ด ปรุ ง แต่ ง หรื อ ไม่ คิ ด ปรุ ง แต่ ง หนอ เราสงบหรื อ ไม่ ส งบ เรามี
สมาธิ ห รื อ ไม่ มี ส มาธิ เรามี ส ติ ห รื อ ไม่ มี ส ติ กรณี น ี เรี ย กว่ า “รู ้สองชั น” หรื อ “รู ้ซ้อนรู ้” ซึ งไม่ถูกต้อง เป็ นการปฏิบตั ิที ผิด รู ้อะไร หรื อจะพูดด้วยกับใคร ก็ไม่ตอ้ งคอยเข้าไปดูใจตัวเอง หรื อไม่ตอ้ งคอยเข้าไประวังใจตัวเอง ให้รู้อยู่กบั สิ งที ถูกรู ้ คื อ สิ งที ถูกเห็น หรื อคนที เราจะพูดคุยด้วย เรี ยกว่ารู ้เพียงชั นเดี ยว ไม่ใช่รู้ส ิ งใดทางตา หู จมูก ลิ น กาย หรื อทางความคิด แล้วค่อย มารู ้ใจตัวเองด้วย ซึ งจะไม่พน้ ทุกข์ ถ้ารู ้อะไรทางตา หู จมูก ลิ น กาย และทางความคิดแล้ว เกิ ด ไปรู ้ ที ใ จภายในด้ว ย ซึ ง การรู ้ ที ใ จภายในนี แท้ที จ ริ ง คื อ จิ ต คิ ด ปรุ ง แต่ ง ยึด ถื อ เป็ นตัว ตนที ค อยรู ้ อ ยู่ภ ายในอี ก ตัว หนึ ง ดัง นี ต้อ งมี “สติ ” รู ้ เ ท่ า ทัน จิ ต ที ไ ปรู ้ อ ยู่ภ ายในใจตนทุ ก ครั ง จนกว่ า จะเหลื อ แต่ จิ ต รู้ ทางตา หู จมู ก ลิ น กาย หรื อ ทาง ความคิดเพียงชั นเดียว
ไม่ คดิ ซ้ อนคิด เมื อ จิ ต คิ ด เรื อ งอะไรขึ น มา ก็ ใ ห้ คิ ด เพี ย งชั น เดี ย ว ถ้าเผลอไปคิดปรุ งแต่งเรื องที เป็ นกิเลส ตัณหา หรื อความทุกข์ ก็รู้เท่าทันเอา ไม่คิดตําหนิ ตวั เองอีก ถ้าคิดตําหนิ ตวั เองขึ นมา
อีก เช่ น เราไม่น่าคิดอย่างนี เลย กรณี เช่นนี เรี ยกว่า คิดซ้อนคิด หรื อคิดสองชั น คือคิดปรุ งแต่งซ้อนความคิดธรรมดาขึ นมาอีก ชั นหนึ ง
ไม่ คดิ ซ้ อนอารมณ์ เมื อจิตคิดปรุ งแต่งจนเกิดอารมณ์ราคะ หรื อ โทสะ หรื อ เผลอเพลินไปแล้ว ก็ไม่คิดตําหนิตวั เองว่า เรามีอารมณ์อย่างนี ได้อย่างไร หรื ออารมณ์ราคะที เกิดไปแล้วนี ไม่ดีนะหรื ออารมณ์ โทสะที เกิ ดไปแล้วนี ไม่ดีนะ กรณี เช่ นนี เรี ยกว่า “คิดซ้อน อารมณ์” ขึ นมาอีก ต้องมี “สติ” รู ้เท่าทันความคิดซ้อนอารมณ์ เมื อ มี อ ารมณ์ แ ล้ว ก็รู้ เ ท่ า ทัน พร้ อ มกับ ถอนความพอใจหรื อ ความไม่พอใจออกจากสิ งนั นเสี ย ซึ งผูฝ้ ึ กใหม่ อาจจะต้องใช้ การเปลี ยนความสนใจไปอยูก่ บั อย่างอื น จึงจะถอนความพอใจ หรื อความไม่พอใจออกมาจากสิ งนั นเสี ยได้ แต่กรณี คอยระวังใจว่าจะมีอารมณ์ ซึ งกรณี เช่นนี ไม่ได้ คิดปรุ งแต่ งยึดถืออารมณ์ ราคะ โทสะ โมหะ แต่ คิดปรุ งแต่ ง ยึดถือใจตัวเอง ซึ งก็ไม่ถูกเช่นเดียวกัน
สรุป ให้ รู้เพียงชั นเดียว ถ้ า เห็ น อะไร ได้ ยิ น อะไร รู้ ก ลิ น อะไร ลิ ม รสอะไร สั มผัสอะไร หรื อคิดอะไร ก็ปล่ อยให้ จิตเขารู้ หรื อจิตคิดไป ตามปกติธรรมชาติเพียงชั นเดียว ต่อเมื อจะคิดปรุ งแต่งให้เกิด กิเลสตัณหา หรื อความทุกข์ ก็รู้เท่าทันเอา ไม่ใช่ ไปคอยดัก รู ้ เ ท่ า ทัน ไว้ เพื อ จะไม่ ใ ห้ คิ ด ปรุ ง แต่ ง ในทางกิ เ ลสตัณ หา หรื อ ความทุ ก ข์ และจะต้อ งไม่ ค อยรู ้ เ ท่ า ทัน ไว้เ พื อจะไม่ ใ ห้ เกิดอารมณ์ ราคะ โทสะ โมหะ จะทําให้ไม่พน้ ทุกข์ได้ เพราะ การที จิตเข้าไปคอยระวังจิตไม่ให้คิดปรุ งแต่ง หรื อ คอยเข้าไป ระวังจิตไม่ให้มีอารมณ์ ราคะ โทสะ โมหะ นั น เป็ นความทุกข์ และ ให้ เหลือแต่ “รู้ ” ( รู้ รูป เสี ยง กลิ น รส โผฏฐั พพะ และ ธรรมารมณ์ ) เพีย งชั น เดี ย ว หรื อ รู้ ค วามรู้ สึ ก ความนึ ก คิ ด และอารมณ์ ซึ งเป็ นสิ งที ถูกรู้ เพีย งชั นเดีย ว หรื อมีแต่ ขันธ์ ห้า ทํ า หน้ า ที ด้ ว ยความบริ สุ ท ธิ เ พี ย งชั น เดี ย ว ไม่ คิ ด ปรุ ง แต่ ง ใด ๆ ซ้ อนจิ ต รู้ หรื อ จิ ต คิ ด ขึ น มาอี ก ชั น หนึ ง หรื อ เรี ย กว่ า “สั กแต่ ว่ารู้ ” หรือ “ รู้ เปล่า ๆ ”
ความเข้ าใจผิดในเรื อง “สักแต่ ว่ารู้” หรือ “รู้เปล่า ๆ” คําว่า “สักแต่ว่ารู ้” หรื อ “รู ้เปล่า ๆ” นี ผูป้ ฏิบตั ิจะเข้าใจ ผิดกันมาก คือ เมื อรู ้อะไรทาง ตา หู จมูก ลิ น กาย แล้วพยายาม ทํา ใจให้เ ป็ นกลาง ๆ หรื อ พยายามทํา ใจว่ า ง ๆ เปล่ า ๆ โดย พยายามไม่ให้รู้สึกเป็ นสุ ขเวทนา หรื อทุกขเวทนาต่อสิ งที ถูกรู ้ โดยพยายามทํา ใจให้ เ ป็ นอุ เ บกขาเวทนาต่ อ สิ ง ที ถู ก รู ้ อ ยู่ ตลอดเวลา ซึ งเป็ นความเห็ นหรื อ ความเข้าใจที ผิด เพราะไม่ เข้าใจผัสสะตามธรรมชาติ คือเมื อมีส ิ งใดที มากระทบทางตา หู จมูก ลิ น และทางระบบประสาทกาย หรื อทางความคิด จะต้อง มีสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรื ออุเบกขาเวทนา เกิดขึ นมาพร้อมกับ จิตรู ้ หรื อจิตคิดทุกครั ง ซึ งแล้วแต่ส ิ งที มากระทบว่าจะทําให้เกิด เป็ นสุ ข เวทนา หรื อ ทุ ก ขเวทนา หรื อ อุ เ บกขาเวทนา เราจะ บังคับให้เกิดแต่อุเบกขาเวทนาแต่อย่างเดียวไม่ได้ เช่น เห็นคน ที คุน้ เคยกัน ก็เกิ ดสุ ขเวทนา(ยังไม่ถึงกับเกิดตัณหาใด) ติ ดมา พร้ อ มกับ จิ ต รู ้ รู ป ทางตานั น แล้ว ก็ดับ ไปทัน ที พ ร้ อ มจิ ต รู ้ รู ป แต่ถา้ เห็นรถชนคนตายก็รู้สึกเป็ นทุกขเวทนาติดมาพร้อมกับจิต รู ้รูปทางตานั น แล้วดับไปทันทีพร้อมจิตรู ้รูปนั น แต่ถา้ เห็นอิฐ หิ น ปูน ทราย ถนน ก็จะเกิ ดอุ เบกขาเวทนา หรื ออทุ กขมสุ ข
เวทนา (ความรู ้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ หรื อความรู ้สึกเป็ นกลาง ๆ) ติ ด มาพร้ อ มกับ การเห็ น รู ป นั น แล้ว ดับ ไปพร้ อ มกับ จิ ต รู ้ รู ป ทางตานั น ในกรณี หูได้ยนิ เสี ยง จมูกได้กลิ น ลิ นลิ มรส รู ้อะไรทาง ระบบประสาทกาย หรื อคิดถึงสิ งใด หรื อเรื องราวใดขึ นมา ก็มี สุ ขเวทนา หรื อทุกขเวทนา หรื ออุเบกขาเวทนา ติดมากับจิตรู ้ หรื อจิตคิดทุกครั ง ไม่สามารถจะเลือกเอาแต่อุเบกขาเวทนาได้ ถ้าเพียงแค่เป็ นสุ ขเวทนา หรื อทุกขเวทนา หรื ออุเบกขา เวทนา เป็ นเรื องปกติตามธรรมชาติที บริ สุทธิW หรื อเป็ นเรื องปกติ ของขันธ์ห้าตามธรรมชาติ เพราะเมื อเกิ ดขึ นมามี อาการครบ สามสิ บสอง คือมี ตา หู จมูก ลิ น กาย และใจ ก็ตอ้ งมีการเห็ น การได้ยิน การได้กลิ น การลิ มรส การสัมผัส การนึ กคิ ด และ จะต้องมีสุขเวทนา หรื อทุกขเวทนา หรื ออุเบกขาเวทนา ติดมา ด้วยทุกครั ง
จุดสุ ดท้ ายของสังขารปรุงแต่ ง จุดสุ ดท้ายที จะพ้นจากทุกข์ได้ คือต้องดับผู้คอยระวัง หรื อผู้คอยตามรู้ วา่ จะคิดอะไรหรื อจะมีอารมณ์อะไร เพราะจิต
ที คอยระวัง หรื อคอยตามรู้ ความคิด หรื อคอยรู ้เท่าทันอารมณ์ นั น ก็คือจิ ตที ปรุ งแต่ งยึดถื อ จะทําให้มีค วามทุ กข์อ ยู่ ดังนั น เมื อใดมีผู้คอยระวัง หรื อมีผู้ คอยตามรู้ ความคิด หรื ออารมณ์ ก็ให้รู้เท่าทันไปเรื อยๆ จนกว่าผู้คอยระวัง ผู้คอยตามรู้ และ ผู้คอยรู้ เท่ าทัน จะดับไปหมดสิ น แต่ ถ ้า มี ผูร้ ู ้ ค อยระวัง ว่า จะเกิ ด ผูค้ อยระวัง หรื อ ผูค้ อย ตามรู ้ หรื อผูค้ อยรู ้ เท่ าทัน ก็จ ะมี ผูร้ ู ้ ซ้อ นผูร้ ู ้ ไ ปเรื อ ยๆไม่ รู้จ บ ถ้า เป็ นดัง นี ก็ใ ห้รู้ เ ท่ า ทัน ผูร้ ู ้ ทุ ก ตัว ที เ กิ ด ซ้อ นขึ น มาเรื อ ย ๆ จนกว่าไม่ มีผูร้ ู ้ ซ้อน “จิ ตรู ้ ” และไม่ มีผูร้ ู ้ ซ้อน “จิ ตคิด” ตาม ธรรมชาติข ึนมาอีก ก็จะเหลือแต่ขนั ธ์ห้า คือรู ป เวทนา สัญญา สั ง ขาร และวิ ญ ญาณ(จิ ต ) ทํา หน้ า ที อ ย่ า งบริ สุ ท ธิW ไปตาม ธรรมชาติเพียงอย่างเดียว หรื อทําหน้าที เพียงชั นเดียว โดยไม่มี ความคิดปรุ งแต่งใดๆซ้อนขึ นมาอีกชั นหนึ ง
แยกรูป(กาย)ในขันธ์ ห้าออกจากจิต ผูป้ ฏิบตั ิในสายปั ญญาวิมุตติ หรื อสุ ขวิปัสสโกนี ไม่ได้ พิจารณากายจนเห็นตายเน่ าเปื อยผุพงั ไปต่อหน้าต่อตา ดังนั น ต้อ งมี ส ติ ปัญ ญาที จ ะสลัด ออกจากการหลงยึดถื อ กายได้โ ดย
วิธีอื น เช่ นมี สติ ปัญญาเห็ นว่ากายเป็ นเพียงส่ วนผสมของธาตุ สารอาหารที กินมาตั งแต่อยูใ่ นท้องแม่ หรื อกายเป็ นเพียงสิ งที ถู ก รู ้ ข องจิ ต ดัง นั น ถ้า ต้อ งการเข้า ถึ ง จิ ต ที บ ริ สุ ท ธิW ซึ ง เป็ นผูร้ ู ้ จะต้องไม่สนใจ หรื อให้ค่า หรื อให้ความสําคัญต่อกายเลย จึงจะ เข้าถึ ง จิ ต ที บ ริ สุท ธิW ได้ ถ้าเปรี ย บจิ ต ที บ ริ สุ ท ธิW เหมื อ นแก่ น ไม้ ส่ วนกายเหมือนกระพี หรื อเปลือกไม้ภายนอก ซึ งถ้าเราต้องการ จะได้แ ก่ น ไม้ ก็ตอ้ งลอกกระพี ห รื อ เปลื อกนอกออกไปก่ อ น จึงจะพบแก่น แต่ถา้ มัวแต่เสี ยดายกระพี หรื อเปลือกนอก ก็จะ ไม่มีโอกาสพบแก่นได้เลย
แยกเวทนา สัญญา สังขาร ซึ งเป็ นเจตสิกออกจากจิต เวทนา สั ญ ญา สั ง ขาร เป็ นเจตสิ ก ซึ งเกิ ด พร้ อ มจิ ต และดับ ไปพร้ อ มจิ ต เช่ น ตาเห็ น รู ป ก็ต ้อ งมี สุ ข เวทนา หรื อ ทุกขเวทนา หรื ออุเบกขาเวทนาติดมากับการเห็นทุกครั ง แล้ว ก็จาํ รู ปนั นได้ (สัญญา) จําได้แบบผสมปรุ งแต่ งมาเสร็ จ เช่ น เป็ นบิดา มารดา สามี ภรรยา บุตรของใคร ทํางานที ใด เป็ นต้น เรี ยกว่าสังขาร
ในกรณี หูได้ยินเสี ยง จมูกได้กลิ น ลิ นลิ มรส กายสัมผัส หรื อคิดถึงสิ งใด ก็เป็ นเช่นเดียวกับตาเห็นรู ป เวทนา สัญญา สังขาร จึงไม่ ใช่ จิตซึ งเป็ นผูร้ ู ้ที บริ สุทธิW ดังนั น ถ้าเราต้องการเข้าถึงจิตที บริ สุทธิW จะต้องไม่สนใจ หรื อ ให้ค่ า หรื อ ให้ค วามสํา คัญ ต่ อ เวทนา สั ญ ญา และสั ง ขารเลย จึ ง จะเข้า ถึ ง จิ ต ที บ ริ สุ ท ธิW ได้ ถ้า เปรี ย บจิ ต ที บ ริ สุ ท ธิW เหมื อ น แก่นไม้ กายเหมือนกระพี หรื อเปลือกไม้ภายนอก ส่ วนเวทนา สัญ ญา และสั ง ขารเหมื อ นกับ เยื อ ไม้ ซึ ง ถ้า เราต้องการจะได้ แก่นไม้ ก็ตอ้ งลอกกระพี หรื อเปลือกนอกออกไปก่อน แล้วจึง ลอกเยือ ไม้ออกอีกชั นหนึ ง จึงจะพบแก่นคือจิต(ผูร้ ู ้) แต่ถา้ มัวแต่ เสี ย ดายกระพี ห รื อ เปลื อ กนอก และเสี ย ดายเยื อ ไม้ ก็จ ะไม่ มี โอกาสพบแก่นได้เลย
ไม่ ยดึ “จิต(ผู้รู้)” และไม่ ยดึ นิพพานจึงจะพบนิพพาน เมื อลอกเปลื อกไม้ภายนอก และเยื อไม้ออกหมดแล้ว จึงรู ้วา่ เป็ นไม้ไม่มีแก่น โดยรู ้แจ้งแก่ใจว่า จิต(ผูร้ ู ้) เป็ นเพียงนาม ไม่ มีต ัวตน ไม่ มีรู ปร่ าง ไม่ มี ที อ ยู่ ไม่ มีข อบเขต เกิ ดมารู ้ แล้ว ดับ ไปเร็ ว มาก ก็ ไ ม่ ต ้อ งให้ค วามสนใจ หรื อ ให้ ค่ า หรื อ ให้
ความสําคัญต่อ “ผูร้ ู ้” ให้ผ่านเลยไป ให้หาอะไรทํา ไม่ ใช่ มา นัง อยู่ กับ “ผูร้ ู ้” เมื อไม่ให้ความสําคัญอันใด ต่อ “ผู้รู้ ” และจะต้องไม่ให้ ค่ า หรื อ ให้ค วามสํา คัญ ต่ อ “นิ พ พาน” ด้ว ย คื อ ต้อ งหยุด คิ ด ปรุ ง แต่ ง ดิ น รนค้น หานิ พ พานด้ว ย จึ ง จะพบนิ พ พาน เพราะ นิพพานเลย “ผูร้ ู ้” ไปอีก ซึ งพระพุทธเจ้าได้แบ่งเป็ น จิต เจตสิ ก รู ป และนิ พพาน ดังนั น นิ พพานจึงไม่ใช่ จิต (ผูร้ ู ้) ต้องเลยผูร้ ู ้ ไปอี ก จนไม่ มี ที ห มาย ดัง นั น ถ้า ผู ้ป ฏิ บ ัติ ม าหยุ ด อยู่ ต รงที หมายไว้ว่ า สภาวะนี แ หละเป็ นนิ พ พานแล้ว แสดงว่ า ยึ ด “นิพพาน” เอาเป็ นที หมายไว้ จึงไม่พบนิพพานจริ ง ซึ งนิพพาน ไม่ ใช่ สภาวะใดที จะหมายเอาได้ นิ พพานเป็ นอสั ง ขตธรรม ไม่ ใช่ สภาวะที เกิ ดดับ หรื อเปลี ย นแปลงได้ ไม่ ใ ช่ วนั นี เป็ น นิพพาน พอถึงวันต่อไปไม่เป็ นนิพพานแล้ว เมื อเป็ นนิ พพาน ก็เป็ นนิพพานตลอดไป และผูท้ ี พบนิพพานก็จะรู ้ได้ดว้ ยตัวเอง จะเป็ นปัจจัตตัง เหมือนดังผูท้ ี ได้ลิม รสแกง ย่อมรู ้รสแกงได้เอง ฉันนั น
เมื อไม่ ยดึ ถือก็ว่างเปล่า เมื อ จิ ต ไม่ คิ ด ปรุ งแต่ ง ยึ ด ถื อ เป็ นความพอใจหรื อ ความไม่ พ อใจ หรื อ หลงเพลิ น ไปกับ สิ ง ใดทั ง ภายนอก [รู ป เสี ย ง กลิ น รส โผฏฐั พ พะ (สิ ง ที ม ากระทบประสาทกาย) ธรรมารมณ์ (สิ งหรื อเรื องราวที จิตคิดไปถึง)] และภายใน (รู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรื อขันธ์ห้า) แล้ว ขันธ์ห้าก็ ทํา หน้า ที ที บ ริ สุ ท ธิW ไปตามธรรมดา ธรรมชาติ ข องเขาจนถึ ง วันตาย และเมื อไม่มีผูย้ ึดถือจึงเข้าใจได้หรื อเห็นได้ว่าแท้จริ ง มีเพียงแต่ขนั ธ์หา้ เท่านั นที เกิดขึ น แล้วก็ดบั ไป นอกจากขันธ์หา้ แล้ว ไม่ มี ผู ้ยึ ด ถื อ อื น ใดอี ก ซึ งขัน ธ์ ห้ า นี เกิ ด ขึ นแล้ว ดับ ไป ตลอดเวลา เป็ นอนิ จจัง ทุ กขัง อนัตตา ไม่ อาจเอาขันธ์ห้าไป ยึดถือรู ป เสี ยง กลิ น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ และไม่อาจเอา ขันธ์หา้ ไปยึดถือขันธ์ห้า คือรู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้ เมื อกระทบหรื อสัมผัสกับสิ งใดทาง ตา หู จมูก ลิน กาย ใจ ก็เพียงสักแต่ว่าสัมผัส จะไม่เกิดตัวตนของผูย้ ึดถือซึ งเป็ นกาย โปร่ งแสงรู ปร่ างเหมือนตัวเรา หรื อเกิดเป็ นจิตหรื อวิญญาณเป็ น ตัวตนซ้อนกายเนื อ (ขันธ์หา้ ) ขึ นมาอีกตัวหนึ ง จะมีแต่เพียงกาย เดี ย วจิ ต เดี ย วคื อขัน ธ์ห้า เมื อใดที ข ันธ์ห้าแตกดับหรื อตายลง
ก็จ ะไม่ มี จิ ต หรื อ วิญ ญาณที เ ป็ นกายโปร่ ง แสงรู ป ร่ า งเหมื อ น ตัว เราเหลื อ อยู่ใ ห้ต ้อ งรั บ กรรม หรื อ ไปเกิ ด ในร่ า งใด ๆ อี ก ต่อไป ถ้ าจะเปรียบรู ป เสี ยง กลิน รส โผฏฐั พพะ ธรรมารมณ์ ที ม ากระทบกั บ ตา หู จมู ก ลิ น กาย ใจ รวมทั ง ความรู้ สึ ก นึ ก คิด และอารมณ์ ที เ กิด ขึ น แต่ ล ะครั ง เป็ นเหมือ นเสี ย ง โทรศั พ ท์ ที ดั ง ขึ น ถ้ า ไม่ มี ผู้ รั บ (ไม่ มีจิ ต หรื อ วิญ ญาณเป็ นตั ว เป็ นตนหรื อเป็ นกายโปร่ งแสงออกไปรั บ) เสี ยงโทรศั พท์ น ั น ก็ดับไปเอง หรื อเรี ย กว่ า “รู้ เปล่ าๆ” หรื อ “สั กแต่ ว่ารู้ ” หรื อ “รู้ แต่ ไม่ สนใจ” จิตก็จะปลอดโปร่ งแจ่ มใสเบิกบานอยู่ และจะ มีแต่ ความสุ ขอย่ างยิง สมดังพุทธพจน์ที วา่ “ดูกรภิกษุท งั หลาย ความทุ กข์ท งั มวลมีมูลรากมาจาก ตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยากดิ นรนและความยึดถือมั น ว่ าเป็ นเราเป็ นของเรา รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ ต่าง ๆ สิ งที เข้าไปเกาะเกี ยวยึดถือไว้โดยความเป็ นตนเป็ นของตนที จะ ไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้น นั เป็ นไม่มี เมื อใดบุคคลมาเห็นสั กแต่ ว่า ได้ เห็น ฟั งสั กแต่ ว่าได้ ฟัง รู้ สักแต่ ว่าได้ รู้ เข้าไปเกี ยวข้องกับ สิ งต่ าง ๆ เพียงสักแต่ ว่าไม่ หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื อนั นจิ ต
ก็จะว่างจากความยึดถือต่าง ๆ ปลอดโปร่ งแจ่มใสเบิกบานอยู่ และ
“ผู้ใดระงับหรือดับสังขาร(ความคิดปรุงแต่ ง) เสียได้ จะถึงซึ งความสุ ขอย่ างยิง ” “สักแต่ ว่ารู้” หรือ “รู้ แต่ ไม่ สนใจ” ไม่ มตี วั ตนของผู้รู้ “รู้เปล่าๆ” หน้ าที ทางโลก ที ก ล่ า วมาแล้ ว ทั งหมดเป็ นเรื องทางใจที พ ้น ทุ ก ข์ แต่ ปั ญ หาทางโลกก็ ย ัง ต้ อ งใช้ ค วามรู ้ ค วามสามารถและ สติ ปั ญ ญาในทางโลกมาแก้ไ ขด้ว ย พร้ อ มกับ ต้อ งทํา หน้า ที ให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ เอาแต่เรื องใจไม่ทุกข์แต่ เพียงอย่างเดี ยว โดยไม่ ทาํ หน้า ที ข องตนที มี อ ยู่ เช่ น หน้า ที ข องสามี ภรรยาที ยังให้การอุปการะเลี ยงดูอยู่ ให้กาํ ลังใจ ให้เงินใช้ ให้ความสุ ขใจ หน้า ที ข องบิ ด ามารดาที มี ต่ อ บุ ตรต้อ งให้ก ารอุ ป การะเลี ย งดู ให้ ก ารศึ ก ษา สอนให้ ล ะชั ว ให้ ท ํา แต่ ค วามดี แต่ มิ ใ ช่ มี แ ต่
สั งสอนเท่านั น บิดามารดาต้องประพฤติเป็ นแบบอย่างที ดีดว้ ย มิใช่ ว่าแต่ เขาอีเหนาเป็ นเอง บุ ตรก็มีหน้าที ตอบแทนคุ ณบิ ดา มารดาโดยให้การอุปการะเลี ยงดู ให้ความสุ ขใจสบายใจ ไม่ก่อ ความเดือดร้อนหรื อความทุกข์ใจมาให้บิดามารดา และต้องมี ความพยายามใฝ่ ใจในการศึกษาหาความรู ้ เพื อประโยชน์ในการ เล่าเรี ยนหรื อในการทํางานเพื อให้ตนเองประสบความสําเร็ จ เจริ ญก้าวหน้าในทางโลกยิง ๆขึ นไปมิใช่สนใจแต่ในทางธรรม เท่านั นและจะเป็ นที ชื นชมหรื อเป็ นความสุ ขใจของบิดามารดา อย่า งนี เ รี ย กว่ า ได้ต อบแทนพระคุ ณ ของท่ า นที อ บรมเลี ย งดู เรามา นอกจากหน้า ที ใ นทางครอบครั ว แล้ว ยัง มี ห น้า ที ใ น การงาน หน้า ที ใ นสั ง คมอี ก ก็ ต ้อ งทํา หน้ า ที ทุ ก หน้า ที ด้ว ย ความถูกต้องเหมาะสม เพราะมิฉะนั น จะเป็ นเหตุให้เกิดทุกข์ หรื อ ความเดื อ ดร้ อ นแก่ ต นเองหรื อ ผูอ้ ื น ได้ ต่ อ เมื อ ตายแล้ว หน้าที ท งั หมดจึงจะจบลง.