ปุจฉา - วิสัชนา กรกฎาคม 2560

Page 1

ปุจฉา - วิสัชนา กรกฎาคม 2560


วางแล้วก็ว่าง และ ไม่มีผู้ยึดถือความว่าง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ขออนุญาต ถามข้อธรรมที่คาใจครับ ที่หลวงตาบอกว่า ตัวรู้ที่ พูดตลอดเวลานั้นให้ละ ผมเข้าใจว่าตัวที่พูดตลอด นี้ คือตัวสังขารปรุงแต่งทุกเรื่องที่วิญญาณขันธ์รับรู้ ดังนั้นการละตัวพูดนี้ คือการวางอุปาทาน ส่วนการละผู้รู้ที่รู้ตัวพากษ์คือการวางผู้รู้ ผมเข้าใจ ถูกหรือผิดครับ กรุณาชี้แนะด้วยครับ หลวงตา : ถูกแล้ว วางหมดรวมทั้งผู้ปล่อยวาง วางแล้วก็ว่าง ว่างก็ว่างไปซะ ไม่มีผู้ยึดถือความว่าง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2560


ความว่าง คือ ว่างเปล่าจากความรู้สึก แม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง ว่ามีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา ผู้ถาม : การวางผู้ปล่อยวางเป็นอย่างไรครับ ณ ตอนนี้ พอผมเห็นผู้รู้อารมณ์หรือตัวพากษ์ จะเกิดสภาพว่าง ชั่วขณะจิต ก่อนที่ผู้รู้จะกลายเป็นอุปาทาน หลวงตา : มันหลงว่ามีตัวเราเป็นผู้รู้ ผู้รู้แจ้ง ผู้ปล่อย วาง จึงมีตัวเราไปเสพหรือไปเสวยผลจากการ พยายามรู้ พยายามละ พยายามปล่อยวาง เช่น จะ สังเกตเห็นได้ว่า เมื่อเกิดความรู้สึกว่างชั่วขณะจิต (ซึ่ง เป็นสุขเวทนา) ก็จะกลายเป็นอุปาทาน คือมีตัวเราไป ยึดความรู้สึกว่าง


ที่จริงความว่าง คือ ว่างเปล่าจากความรู้สึกแม้ น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง ว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเรา ไม่ใช่ความรู้สึกว่างที่มีตัวเราไปหมายไว้ แล้วมีตัว เราไปไปเสพ ไปเสวยความรู้สึกว่าง ต้องหักธงที่ หมายไว้ในใจ คือ ความว่างที่อยากได้ อยากถึง อยากเป็นเสีย มีแต่ธรรมที่เป็นสังขาร และวิสังขาร ที่ปรากฏ ตามความเป็นจริงทุกขณะปัจจุบัน โดยไม่มีความรู้สึก แม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่งว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเราเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2560


กัดติดจดจ่อจนสิ้นหลงยึดถือว่ามีเรา มีตัวเรา หรือมีตัวตนของเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา เช้านี้ผมตื่นขึ้น มาพร้อมกับความรู้ที่ว่า อวิชชาคือความรู้สึกว่ามีตัว เราที่จะเข้าไปเสวยอาการของสังขารและวิสังขาร เมื่อปล่อยวางความรู้สึกที่มีตัวเราลงได้ (ส่วนเกิน) ก็ จะเหลือแต่ธรรมชาติที่แท้จริง คือสังขารและวิสังขาร หลังจากนั้นเราก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็ปล่อยให้มัน เป็นของมันไปตามปกติ ขอโอกาสหลวงตาเมตตา พิจารณาครับ กราบสาธุครับ สรุปงานของเราคือ ปล่อยวางอวิชชา หลวงตา : สาธุ กัดติดจดจ่อ กัดติดจดจ่อให้ถึงใจ จริง ๆ อย่างที่เข้าใจนะ จนสิ้นหลงยึดถือว่ามีเรา มี ตัวเรา หรือมีตัวตนของเรา อย่างถาวรตลอดกาล สาธุ สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2560


เมตตาทุกคนเท่ากับ เมตตาตัวเราเอง ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะ หลวงตาเจ้าคะ ใน ระหว่างวัน การคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชา มีบ้างที่เกิด ขัดแย้งความเห็นไม่ตรงกันกับพนักงาน บางท่าน เขามักทำงานตามใจเขาและเถียงก้าวร้าวพูดไม่ดี สิ่งที่ทำในขณะที่คุยกับพนักงานท่านนี้ คือ หนูพูด อธิบายงานแล้วก็จบและนิ่ง แต่เขาดูเหมือนจะไม่ ค่อยยอมคน ชอบเอาชนะบ่อยครั้ง การเจรจากับ พนักงานท่านนี้ควรใช้วิธีใดเจ้าคะ หลวงตา : พูดเหตุผลที่เป็นเหตุผลวิชาการแท้ ๆ ไม่ ใส่อารมณ์ เราโทษว่าเขาเอาแต่ใจตนเอง เถียงด้วย อารมณ์ เราก็จะต้องไม่ทำอย่างนั้น ต้องมีความ อดทน หนักแน่น และเมตตาเขา เมตตาทุกคน เท่ากับเมตตาตัวเราเอง เพราะจะทำให้จิตใจของ เราไม่ทุกข์ ไม่เครียด ผู้ถาม : กราบสาธุเจ้าค่ะ น้อมรับปฏิบัติตามค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2560


ทั้งอาการและผู้รู้อาการ เป็นสังขารปรุงแต่ง ผู้ถาม : ขอความกรุณาหลวงตาเมตตาอธิบายคำว่า "จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาการที่ถูกรู้" แล้วหลังจากนี้ ศิษย์ควรปฏิบัติอย่างไรต่อดีครับ หลวงตา : ให้ปล่อยวางอาการที่จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว กับอาการ พร้อมกับปล่อยวางผู้รู้ หรือ สักแต่ว่ารู้ ไม่ ยึดถือว่าอาการที่ถูกรู้ และผู้รู้ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นตัวตนของเรา ให้เห็นว่าทั้งอาการจิตรวม และผู้รู้เป็นเพียงอาการ หรือสังขารปรุงแต่งเหมือนกัน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนคงที่ ไม่มีแก่นสารสาระ ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ ในบังคับของเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2560


สิ้นความมีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ไปยึดถือสิ่งใด ๆ ทั้งหมด ก็สิ้นกิเลสและความทุกข์ ผู้ถาม : เรา และ เขา ต่างก็มีพื้นฐานธรรมชาติ เดียวกัน คือ ไม่ใช่ตัวใช่ตน เราก็คือเขา เขาก็คือเรา เราและเขา ต่างว่างจากตัวจากตนเสมอกัน จะมีใครไปเทียบเคียงกับใครที่ไหนได้ นั่งพิจารณาจนเห็นว่า ถ้าผมละสังโยชน์นี้ไม่ ได้ ก็หลงฟุ้งซ่านปรุงแต่งอย่างละเอียด มีอารมณ์ ความขัดเคืองรำคาญใจไม่พ้นทุกข์ไปได้ เพราะ อวิชชาความยึดถือนั่นนี่แหละครอบงำปัญญาอยู่ ให้หลงใหลยึดถือปัญญาที่สะสมมา และยึดถือทุก ๆ สถานะ ซึ่งล้วนสมมติชั่วคราว แค่ปล่อยสมมติให้ เป็นสมมติอยู่อย่างนั้น ก็เป็นวิมุตติแล้ว


ทุก ๆ ด่าน มีอวิชชาบงการทั้งสิ้น กราบแทบ เท้าหลวงตาที่เมตตาจัดชุดใหญ่ให้ครับ หลวงตา : สาธุ สิ้นความมีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ไปยึดถือสิ่งใด ๆ ทั้งหมด ก็สิ้นกิเลสและความทุกข์ แล้ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560


ปล่อยวางทุกอาการ ในทุกขณะปัจจุบัน ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะหลวงตา กราบขอโอกาส ส่งการบ้านและขอคำแนะนำดังนี้ค่ะ จากที่หลวงตาให้รู้ทุกอาการอย่างที่มันเป็น ไม่ว่าจะเป็นอาการอะไรก็ตาม หนูเห็นว่ามีตัวเราที่จะ พยายามไปเอาอะไร จะพาตัวเองให้ไปถึงอะไร พยายามจะทำให้เป็นตัวเป็นตนค่ะ ถ้าหนูใช้วิธีรู้สังขารทั้งหมดแบบเหมารวมเป็น ก้อนสังขาร แล้วรู้มันทั้งก้อน เหมารวมทั้งกายและ จิต โดยโยนิโสว่ามันเป็นสังขาร ไม่ใช่เรา ตัวเรา ไม่มี หรือบางครั้งก็รู้สึกลงไปตรง ๆ ได้เอง เหมือน ว่าทั้งก้อนนี้มันเป็นของมันเอง ไม่ใช่เรา เพราะเรา ไม่มี เพียงแต่มันยังไม่ลงแก่ใจ ไม่แน่ใจว่าหนู เข้าใจถูกหรือไม่ค่ะ (แม้หลวงตาจะเคยบอกว่า ถ้ายัง หาถูกหาผิด ก็ยังคิดจะไปเอาอะไรอีก แต่ก็กราบขอ โอกาสถามค่ะ)


หนูรู้ว่าตัวเองยังมีอาการแช่อยู่ในว่างหรือ ยึดว่างอยู่ หลวงตาเคยสอนให้เข้าหาผู้รู้ แต่ก็ยังยึด ว่างอยู่ จะต้องแก้ไขอย่างไร หรือก็แค่รู้อย่างที่มันเป็น คะ ยังมีอาการแทรกแซง มีการดูด กด หรือตั้งรับ เวลามี ผัสสะมากระทบ บางทีก็เห็นว่ามันจะเข้าไปกดหรือตั้ง รับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ทัน จะต้องมีสติรู้ทันทุกครั้งไปใช่ ไหมคะ กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ะ หลวงตา : จะมีอาการอย่างไร แม้แต่ความพยายาม หรือแทรกแซง ก็ให้ปล่อยวางทั้งหมดทุกขณะปัจจุบัน ผู้ถาม : ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560


อยากพ้นทุกข์ หรือ ยังไม่อยากพ้นทุกข์ ก็ให้ปล่อยวาง ผู้ถาม : เรียนถามหลวงตาค่ะ หนูไม่ได้มีความสนใจ จะนิพพาน ชีวิตก็อยู่กับสุขกับทุกข์ไปได้เรื่อย ๆ เลย ไม่มีจุดประสงค์ในการจะปฏิบัติค่ะ อยากถามหลวง ตาว่า แนวคิดที่ถูกแล้วเราควรปฏิบัติเพื่ออะไรคะ ถ้าชีวิตไม่ได้ทุกข์มาก ๆ ใจเราจะคิดว่าอยากพ้น ทุกข์ได้อย่างไร ? หนูถามจากใจจริง ๆ รบกวนตอบ ด้วยค่ะ หลวงตา : จะอยากพ้นทุกข์ หรือ ยังไม่อยากพ้นทุกข์ ก็ให้ปล่อยวางทุกคิดทุกอาการที่เกิดดับอยู่ในใจทุก ขณะปัจจุบัน เดี๋ยวก็รู้เอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560


สิ้นสังขาร ก็มีธรรมที่มั่นคง นี่แหละ คือ องค์ธรรมเอกวิเวกจริง ผู้ถาม : น้อมกราบนมัสการหลวงตา ทบทวนข้อ ธรรมที่หลวงตาสอน จิตหนึ่ง จิตหนึ่งเดียวกับ ธรรมชาติ เพียงแค่รู้ จิตเกิดดับเป็นเพียงธาตุ ธรรมชาติ เป็นเพียงธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทำหน้าที่ ไม่ใช่ เรา ไม่มีเรา เพียงแค่รู้แค่นั้นเอง ไม่หลงติดตามไป ให้ค่ากับธรรมารมณ์ใด ๆ จิตปล่อยวางธาตุ ๔ ที่ สลายเน่าเปื่อยผุพังแตกดับสลายไปทุกขณะ เป็นเช่น นี้ตลอดมา ยอมรับความเป็นจริงเป็นธรรมดา เป็น สัจธรรม ไม่ควรหลงไปยึดมั่นถือมั่น วางจากความ หลงยึดมั่นทั้งธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทุกสิ่งล้วนมีสังขารปรุง แต่งตามหน้าที่ จิตเพียงแค่รู้ ไม่หลงว่าเป็นเรา


หลวงตา : สาธุ ปล่อยวางสังขาร และวิสังขาร ไม่มีผู้ยึดถือ ทั้งสังขารและวิสังขาร เห็นสมมติ จึงปล่อยวางสมมติ เข้าถึงวิมุตติ ไม่มีผู้หลงยึดถือทั้งสมมติและวิมุตติ สังขาร เขาก็คงทำหน้าที่ของสังขาร จนกว่า จะถึงเวลาแตกดับ วิสังขาร ก็คงทำหน้าที่ของวิสังขาร คือเป็นที่ เกิดดับของสังขาร ส่วนวิสังขาร ไม่มีอาการเกิดดับ สิ้นสังขาร ก็มีธรรมที่มั่นคง นี่แหละ คือ องค์ ธรรมเอกวิเวกจริง (โอวาทธรรมของพ่อแม่ครู อาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2560


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.