ปุจฉา - วิสัชนา สิงหาคม 2560
เมื่อติดตามเป็นแฟนพันธุ์แท้ ก็จะเข้าใจธรรมเอง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ วันนี้หนูมี คำถามค่ะ ว่าเวลาที่ใจเราปล่อยวางทุกอย่างไม่อยาก ที่จะทำอะไรให้เป็นอะไร เหมือนกับเวลาที่เรารู้สึก เหนื่อยกับบางอย่างมาก ๆ จนเราวางลงได้ชั่วคราว และถ้าที่สุดของการปฏิบัติคือตรงนั้น คือการวางลงได้ อย่างถาวร ดังนั้นการที่เรามีความคิดที่จะพยายาม ปฏิบัติธรรมเพื่อไปให้ถึงตรงนั้น ก็ถือว่าเรายังมีความ อยากใช่ไหมคะ การที่เรามีความคิดที่จะอยากปฏิบัติ ถือว่าผิดมั้ยคะ หรือว่ามันเป็นทางเดินคะหลวงตา หนู สงสัยว่าจริง ๆ แล้วเราควรจะปฏิบัติอย่างไรค่ะ หลวงตา : ให้ติดตามเป็นแฟนพันธ์ุแท้ของหลวงตา ทางสื่อทุกชนิดตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ใช้เวลาไม่นานก็จะ เข้าใจธรรม รู้ธรรม เห็นธรรม มีใจเป็นธรรม กินกับ ธรรม นอนกับธรรม ไปไหนก็ไปกับธรรม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560
กิเลสเกิดจากใจ และดับไปที่ใจดวงรู้ ผู้ถาม : ตอนนี้เข้าใจว่า เมื่อผัสสะทั้งหกกระทบสิ่งใด ก็รู้ตามความเป็นจริงแล้วก็กลับมาอยู่ที่ฐาน หรือว่า ถ้าทำสิ่งใดอยู่ก็กลับมาทำสิ่งนั้นต่อไปเจ้าค่ะ และ เมื่อจิตปรุงแต่งต่อก็ให้รู้ตามความเป็นจริงเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ต่อไปให้สติตั้งที่ใจ รู้อยู่ที่ใจ สังเกต อยู่ที่ใจ แค่สักแต่ว่ารู้ซื่อ ๆ ... เพราะกิเลสก็เกิดจาก ใจ และดับไปที่ใจดวงรู้ รู้ รู้ ... นี้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560
ขณะจิตที่ไม่มีเจตนาคิดและเจตนารู้ ธาตุรู้ที่ไม่อาจคิดได้ก็จะรู้ ของมันขึ้นมาเอง ผู้ถาม : สภาวธรรม หรือคำแทนอะไรในปริยัติ หรือ เป็นภาษาพูดอ่านเขียนทั้งหมดมันเป็นสมมติขึ้นมา หมด แค่เพื่อให้ตัวตนอยู่ที่มีความเข้าใจผิดอยู่จน มาเป็นการปรุงแต่ง แค่ปรับความเข้าใจผิดทางให้ เห็นความจริงตามปกติเท่านั้นเอง ถ้าเห็นความจริงตามธรรมชาติเดิม ๆ ก็ไม่มี อะไรจะต้องยึดถือไว้เป็นตัวตนได้เลย เหมือนกับ ว่าที่จริงตัวตนเราที่มารวมกันก็เป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และธาตุรู้ เป็นส่วนประกอบที่มีเหมือน ๆ กับทุก สิ่งอยู่ภายในโลกนี่เอง แล้วทุกธาตุเค้าก็มีหน้าที่ บทบาทของเค้าตามธรรมชาติที่ดำเนินไปตามเหตุ ของเค้าตามธรรมดา ๆ
แต่ความหลงนี่เองเป็นจุดกำเนิดการรวมตัวเป็น ตัวตนว่าเป็นเรา แล้วก็หลงต่อเอาตัวสมมติขึ้นมา พยายามเอาตัวหลงเข้าดัดแปลงจากหน้าที่ตาม ธรรมชาติเดิม ๆ ของเค้ามาตลอด แม้แต่จะพยายาม เอาตัวเราจะมาช่วยตัวเราให้ไม่หลง ทั้งหมดเป็นกระ บวนการให้ตัวหลงที่ยึดหน้าที่จากหลงอยู่ให้เห็นว่า ไอ้ที่ พยายามทำอะไรอยู่นี้มันหลงทั้งนั้น ยิ่งดิ้นมากก็ยิ่งหลง แค่เข้าใจไม่มีอะไรไปทำอะไรได้ รู้เฉย ๆ ปล่อยให้มัน ทำหน้าที่เดิม ๆ ของเค้า ก็จะเห็นว่าการที่เอาตัวเราไป ทำอะไรมากไปกว่ารับรู้เฉย ๆ มันเป็นการหลงไป พยายามดัดแปลงหน้าที่ให้ไม่เป็นไปตามปกติแล้ว แค่ เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามหน้าที่แท้จริงเป็นปกติ ธรรมชาติ ไม่หลงเอาตัวยึดลงไปร่วมเลยแม้แต่ซักนิด แค่รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและดับไปตามหน้าที่ตามเหตุและ ผล อย่างอิสระจริง ๆ ที่ผ่านมาเข้าใจผิดว่าตัวเราทำ อะไรเพื่อให้รู้ แต่ความจริงแค่เข้าใจกลับด้านว่าไม่มีเรา ไปรู้อะไรทั้งนั้น หากมีตัวเราเป็นการยึดเดินกลับไปทาง หลงทั้งสิ้น
เพิ่งรู้สึกทบทวนความเข้าใจแบบนี้ค่ะหลวงตา แต่ไม่รู้มันเป็นสัญญาหรือเปล่าคะหลวงตา หนูเริ่ม เป็นจินตมยปัญญาบ้างแล้วใช่ไหมคะหลวงตา หลวงตา : สาธุ ภาวนามยปัญญา ก็ไปจาก
สุ
ตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ขณะจิตที่ไม่มีเจตนาคิด และเจตนารู้ ธาตุรู้ที่ไม่ อาจคิดได้ มันก็จะรู้ของมันขึ้นมาเอง หยุดคิด จึงจะรู้ แต่ต้องอาศัยคิด (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา เมื่อทราบเหตุความเป็นไป ของการยึดมั่นตัวตน ไม่เหนื่อยกับรู้แล้วเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ผู้ถาม : จะเพียรพิจารณาต่อเนื่องที่สุดค่ะหลวงตา หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2560
เลยสังขารไปเป็นความว่าง ไม่มีผู้ ยึดถือความว่างเป็นมหาสุญญตา ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา จากปัญหาเดิม ที่ผมเองเอาตัวเองไปแนบกลืนอยู่ในความว่างที่ หลวงตาเคยชี้บอกผมนั้น ปัญหาคือผมไม่รู้เห็น สภาวะนั้น จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับปัจจุบันด้วย ตัวเองได้ แม้จะรู้สึกว่าปัจจุบันไม่ได้ลงไปเสวยสุข เวทนาเป็นเวลานาน ๆ เลยก็ตาม กราบหลวงตา เมตตาชี้แนะในประเด็นนี้ให้ผมด้วยครับ หลวงตา : ให้ปล่อยวางทั้งหมดทุกขณะจิตปัจจุบัน แม้แต่ความรู้สึกสงสัยว่าตัวเราติดอะไรอยู่ ตัวเราจะ ทำอย่างไรต่อไป ตัวเรา ... ตัวเรา ๆๆๆๆๆ แม้แต่ ความรู้สึกว่าตัวเราไม่ติดอะไร ก็ต้องปล่อยวาง เพราะไม่มีตัวเรา มีแต่สังขารที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เท่านั้น
ขณะจิตที่ไม่มีเจตนา จงใจ ตั้งใจ หรือ พยายามคิดปรุงแต่งใด ๆ แม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง หรือ สักปรมาณูหนึ่ง (เรียกว่าสิ้นปรุงฝ่ายที่ถูกรู้) และ ไม่มีเจตนา จงใจ ตั้งใจ หรือ พยายามเป็นผู้ดู ผู้รู้ ผู้ เห็น ผู้จ้อง ผู้เพ่ง (เรียกว่าฝ่ายผู้รู้) หรือเลยสังขาร หรือเรียกว่าเลยโลกไป ก็เป็นความว่าง ไม่มีผู้ยึดถือ ความว่าง ก็เป็นมหาสุญญตา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560
ปล่อยวางความรู้สึกที่เป็น “เรา ๆๆๆ” ทั้งหมดทุกขณะจิตปัจจุบัน ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา หลังจากได้ รับคำชี้แนะจากหลวงตาเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานเพื่อความพ้นทุกข์ เมื่อวานก็ได้ปฏิบัติ ตามคำแนะนำจนกระทั่งดึกและเผลอหลับไป ตอน ประมาณ 6 โมงเช้าวันนี้ก็รู้สึกตัวขึ้นมาและได้ปฏิบัติ วิปัสสนาโดยการดูจิตต่อเลย ในขณะที่ยังนอนและ หลับตาอยู่ สักครู่หนึ่งก็เห็นเป็นมโนภาพขึ้นในจิต หรือจะเป็นนิมิตก็ไม่ทราบ แต่ภาพที่เห็นมันชัดเจน มาก เป็นภาพที่เหมือนระเบิดปรมาณูตกลงมาบน พื้นดินในระยะไกลที่เราพอมองเห็นได้ เป็นภาพแบบ สโลว์โมชั่น พอมันตกถึงพื้นก็เกิดการระเบิดขึ้น อย่างรุนแรง เกิดพลังงานแรงอัดแผ่กระจายออก โดยรอบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีฝุ่นคลุ้งตลบ อบอวลไปหมด แล้วพลังงานอันนั้นก็มากระแทกกับ ตัวเรา
แล้วภาพที่เราเห็นก็ค่อย ๆ หายไปเป็นความมืด พร้อม ๆ กับรู้สึกตัวว่า ศีรษะและลำตัวเหมือนมีอะไร มากดทับบีบอัด มากขึ้น ๆ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ หูก็อื้ออึง ไปหมด มีอาการอยู่สักพักหนึ่งแรงที่กดและบีบอัดอยู่ ก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดไปแล้วกลาย เป็นปีติขึ้นมาแทน แล้วก็รู้สึกตัวว่าร่างกายโปร่งโล่ง เบาไปหมด สภาวะคล้าย ๆ กับอากาสานัญจายตนะ ในอารมณ์สมถกรรมฐาน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิด ขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเหตุการณ์ก็กินเวลาประมาณ 30 นาที พอมองย้อนกลับไปก็จะเห็นเลยว่า 1. ธรรมะของพระพุทธเจ้าถ้าปฏิบัติจริงก็จะเห็น จริง ขอให้มีความเพียรอย่างต่อเนื่อง 2. แนวทางการปฏิบัติต้องมีครูบาอาจารย์คอย ชี้แนะ และคำชี้แนะมักจะมาในเวลาที่พอเหมาะพอ เจาะอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลจาก ครูบาอาจารย์ สุดท้ายนี้จะน้อมนำคำชี้แนะของหลวงตาไป ปฏิบัติต่อเนื่องจนถึงที่สุด กราบขอบพระคุณอย่างสูง
หลวงตา : ให้ปล่อยวางทั้งหมดทุกขณะจิตปัจจุบัน แม้แต่ความรู้สึกสงสัยว่าตัวเราติดอะไรอยู่ ตัวเราจะ ทำอย่างไรต่อไป ตัวเรา .. ตัวเรา ๆๆๆๆๆ แม้แต่ ความรู้สึกว่าตัวเราไม่ติดอะไร ก็ต้องปล่อยวาง เพราะไม่มีตัวเรา มีแต่สังขารที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เท่านั้น ขณะจิตที่ไม่มีเจตนา จงใจ ตั้งใจ หรือ พยายามคิดปรุงแต่งใด ๆ แม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง หรือ สักปรมาณูหนึ่ง (เรียกว่าสิ้นปรุงฝ่ายที่ถูกรู้) และ ไม่มีเจตนา จงใจ ตั้งใจ หรือ พยายามเป็นผู้ดู ผู้รู้ ผู้ เห็น ผู้จ้อง ผู้เพ่ง (เรียกว่าฝ่ายผู้รู้) หรือเลยสังขาร หรือเรียกว่าเลยโลกไป ก็เป็นความว่าง ไม่มีผู้ยึดถือ ความว่าง ก็เป็นมหาสุญญตา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560
เพราะเห็นว่าเป็นสังขาร (ปรุงแต่ง) ทั้งนั้น ใจจึงจะยอมปล่อยวาง ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา มีคำถามเรียน ถามหลวงตาหนึ่งคำถามครับ ช่วงนี้ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน รู้สึกเหมือนว่ามีตัวอะไรเคลื่อนไหวอยู่ใน ร่างกาย บางครั้งก็ ยุบ ๆ ยิบ ๆ บางครั้งก็ตุ๊บ ๆ บางครั้งก็เหมือนฟองอากาศผุด ก็ปฏิบัติปล่อยวาง ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าจะยิ่งเกิดชัดเจนขึ้น ถี่ มากขึ้น ก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงตาว่า ไม่ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็วาง แต่อาจจะด้วยจริตของตัว เองที่ถ้าไม่เข้าใจก็จะไม่สามารถวางได้อย่างถึงใจ จึงกราบหลวงตาโปรดชี้แนะด้วยครับ หลวงตา : เห็นว่าเป็นสังขาร (ปรุงแต่ง) ทั้งนั้น ใจจึง จะยอมปล่อยวาง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560
ทุกสรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหว เกิดดับในความไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ผู้ถาม : นมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ขอโอกาสเรียน หลวงตาค่ะว่า มันฟุ้งในธรรมมากเจ้าค่ะ ทราบอยู่ ว่าเป็นสังขารทั้งปวง เพราะยังงง ๆ ในความเห็น ความเข้าใจและความฟุ้งซ่านในธรรมของตน เจ้าค่ะ พอทวนคำของหลวงตาวันนั้นว่า "ปัญญา มันหมุนจี๋ ๆ" ก็พอจะเข้าใจเจ้าค่ะ หลวงตา : ทุกสรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหว เกิดดับใน ความไม่มีอะไรเคลื่อนไหว เงียบ สงบ สันติ ไร้ร่องรอย เหมือนนกที่บิน ผ่านไปในท้องฟ้า ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2560
หลงเพลินในอารมณ์ลดลง ทุกข์ก็ลดน้อยลง ผู้ถาม : การใช้ชีวิตก็ให้อยู่กับปัจจุบันเหมือนนกที่ บินไป มีแรงบิน มีใจที่ตั้งมั่น ไม่คร่ำครวญถึงอดีต ไม่พะวงถึงอนาคต มีแต่ปัจจุบัน แล้วจบลง ๆ ใจ ก็สงบปรกติสุขอยู่ฐานเดิม มีผัสสะมากระทบ ไม่ ปรุงต่อให้นุงนัง มีสติไวต่ออารมณ์ที่มากระทบ ใจ ไม่ไหวตามสิ่งที่มากระทบ ใจที่หนักแน่น ไม่หลง เพลินในอารมณ์กระทบ สักแต่ว่า ความ เผลอก็ลดลงทุกข์เหลือน้อยลง หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2560
สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงปู่ ตั้งแต่วันที่ 10 ที่ ได้รับคำแนะนำจนถึงปัจจุบัน ทำไมจิตเขาไม่ง่วง นอนเลยครับ เวลานอนก็นอนไปอย่างนั้น จิตก็ตื่น ตัวอยู่ตลอดจนรุ่ง เวลากลางวันผมก็ทำงานปกติ มัน ก็ไม่ง่วงนะครับ ก็สังเกตจิตตลอดว่าเป็นอย่างไรอยู่ ครับ กราบพ่อแม่ครูจารย์ครับ หลวงตา : สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าสังเกต สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2560
ให้น้อมพิจารณาให้เห็นความจริงของ สังขาร เร่งปล่อยวางความหลงยึดมั่น ถือมั่นเสีย ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ โยมสามีเริ่มเดือนหน้าให้ เคโมนะเจ้าคะ มะเร็งต่อมลูกหมากมันลามถึงกระดูก แล้วเจ้าค่ะ คุณหมอบอกผ่าตัดไม่ได้แล้วและจะลอง ทำการให้เคมีใส่ในสายยางเข้าเส้นเลือด 6 ครั้ง เท่านั้น ในการรักษา 6 ครั้ง ถ้าหายคือหาย ถ้าไม่คือ รอเวลาเจ้าค่ะ รอรับผลที่จะตามมาแก้ไขเจ้าค่ะ บางครั้งก็ตาม ทันธรรมารมณ์ เจ้าค่ะ บางทีก็ดับไม่ได้ทันที ปรุงแต่ง ต่อเจ้าค่ะ การจากเป็นดีกว่าจากตาย แต่ทุกอย่างต้อง พลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งสิ้นไป โยมเคย เห็นโยมแม่ทรมานสามเดือนสุดท้ายก่อนสิ้นลมมะเร็ง ตับและมดลูก 2 จุด เลยเจ้าค่ะ พอเริ่มให้เคโม 3 เดือนไม่รอด แต่กรณีสามีลามเร็วมากบุหรี่ไม่ดูด แอลกอฮอล์ไม่ดื่ม
หลวงตา : ให้เขานึกน้อมบริกรรม "พุทโธ" ไว้ตลอด เวลาด้วยความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระอริย สงฆ์ ซึ่งเป็นผู้มีสติตื่นรู้อยู่ทุกขณะปัจจุบัน เป็นผู้รู้จริง รู้แจ้งในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นผู้รู้ตื่นจากความหลง คือ อวิชชา เป็นรู้ เบิกบาน คือเป็นผู้ปราศจากกิเลสและความทุกข์ ให้เขาน้อมพิจารณาให้เห็นความจริงของ สังขาร คือ ร่างกายกับจิตใจอย่างต่อเนื่อง สังขาร เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นเรือนแห่งโรค มีความ เสื่อมไปสู่ความแก่และความตาย ความพลัดพรากไม่ ช้าก็เร็ว ซึ่งต้องประสบด้วยกันทุกคน ให้เร่งปล่อย วางความหลงยึดมั่นถือมั่นเสีย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2560
อย่าไปหลงยึดถือผู้รู้ตื่น หรือผู้ตื่นรู้ ผู้ถาม : กราบนมัสการครับ ผมมีภาวะไม่ง่วงคือจิต รู้ ตื่น เบิกบาน เพียง 3 วัน 3 คืน ครับ ตอนนี้เป็น ปกติกับขันธ์ห้าครับ ก็ดูภายในอยู่ครับ หากมีกิเลสตัณหาโผล่มาก็จะได้พิจารณาวางต่อไป ครับ เมื่อคืนช่วงที่เคยนอนก็มีอาการง่วง เหมือนว่าจิตมันถูกโปรแกรมว่าเวลานี้ให้นอน แต่มี สติรู้เท่า ง่วงก็หายครับ แต่เมื่อนอนก็หลับเป็นปกติ แต่หลับนั้นเหมือนรู้ตื่น หากมีอะไรกระทบก็ตื่นเลย ครับ ก็จะพิจารณาวางไปเรื่อย ๆ ครับ ขอเมตตา หลวงตาหากมีสิ่งใดแนะนำได้โปรดแนะนำเลยครับ กราบนมัสการครับ หลวงตา : อย่าไปหลงยึดถือผู้รู้ตื่น หรือผู้ตื่นรู้ ว่า เป็นเรา หรือเป็นตัวเรา หรือเป็นของเรา มันเป็น ธรรมชาติ อย่าไปตู่มาเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา คืนธรรมชาติเขาไปเสีย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560
“ปล่อยวางรู้ที่เป็นธรรมธาตุ" และ "ปล่อยวางใจที่บริสุทธิ์" ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณครับ เข้าใจแล้วครับ วาง หมดและต้องวางพร้อมกัน จึงวางไม่เหลือ กราบพ่อแม่ ครูจารย์ด้วยเศียรเกล้าครับ วันนี้เวลา 13.30 น. ได้ฟัง ซีดีของหลวงตาเรื่องจบซะที เมื่อฟังไปถึงคำพูดหลวง ตาที่พูดว่า "ให้ปล่อยวางรู้ที่เป็นธรรมธาตุ" กับคำว่า "ปล่อยวางใจที่บริสุทธิ์" ทำให้เห็นถึงภาวะที่มีเราไปยึดรู้ที่เป็นธรรมธาตุ หรือยึดใจบริสุทธิ์ เกิดภาวะเหมือนโดนกระตุกที่ใจ อย่างรุนแรงทำให้สะเทือนจากข้างในมารับรู้ที่กาย ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งร่างและน้ำตาก็ไหลออก มา หลวงตาสอนผมเมื่อคืนนี้ว่าให้คืนธรรมชาติเขาไป เสีย กระผมไม่สงสัยคำพูดประโยคนี้แล้วครับ กราบพ่อ แม่ครูจารย์ตลอดกาลนาน กระผมไม่มีคำถามอีกแล้ว ครับ หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560
ความว่างของจิตหนึ่ง ซึ่งเป็นจิตเดิมแท้ ย่อมไม่ติดเนื่องกับสิ่งใด ผู้ถาม : ในโพสต์ “จิตคือพุทธะ” ไม่เข้าใจที่ว่า ... มัน “เปลี่ยนรูป” ตอบสนองต่อ “สิ่ง แวดล้อม” ... มันเปลี่ยนอย่างไรคะ ยกตัวอย่างได้ไหม และ ถ้ามันไม่ “ติดเนื่อง” อยู่กับสิ่งใด ทำไมมันจะเปลี่ยน รูปตอบสนองต่อ “สิ่งแวดล้อม” หละคะ เข้าใจความ ไม่ติดเนื่องกับสิ่งใด แต่ไม่เข้าใจเรื่องการ “เปลี่ยน รูป” ค่ะ
หลวงตา : จิตหนึ่งเป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติ ส่วนอาการของจิตก็แสดงอาการหรือปรากฏขึ้นมา จากความไม่มีอาการหรือความว่าง ซึ่งเปลี่ยนไปตาม ผัสสะที่มากระทบในขณะปัจจุบัน แล้วก็ดับกลับไปสู่ ความไม่มีหรือความว่าง เหมือนต่อมน้ำก็เกิดมาจาก พื้นนำ้แล้วดับกลับไปสู่พื้นน้ำตามเดิม ส่วนความว่าง ของจิตหนึ่ง ซึ่งเป็นจิตเดิมแท้ ย่อมไม่ติดเนื่องกับสิ่ง ใด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560
ให้พิจารณาความจริง จนกว่าจะสิ้นความหลงว่ามีตัวเรา ผู้ถาม : กราบหลวงตาค่ะ ถ้านั่งสมาธิแล้วเห็น ภาพซ้อนภาพตัวเองเน่าเฟะ ควรเพ่งต่อเพื่อ ปล่อยวางสิ่งที่เห็นนั้นว่าไม่เที่ยง หรือวางสิ่งที่ เห็นลงทั้งหมดคะหลวงตา ตามที่หลวงตาสอนให้ วางลงทั้งหมด หลวงตา : ให้พิจารณากัดติดจดจ่อเห็นแต่ความ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนของเราอยู่จริง จนกว่าจะสิ้น ความหลงว่ามีตัวเรา ให้น้อมความเน่านั้นมาเป็น ตัวเราจะต้องตาย เน่า ผุพัง สลายกลับคืนสู่ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุรู้ที่ว่างเปล่า
ผู้ถาม : หนูยังมีฟุ้งค่ะหลวงตา ว่าเราจะกลายเป็น แบบนั้นมั้ย ... กลัว หลวงตา : กลัวความจริงที่ไม่อาจหนีพ้นได้อย่างไร http://www.youtube.com/watch? v=Oo4hXkdLlV4 ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2560
ตัวเราไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีใคร ต้องไปพยายามทำอะไร ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ อยากจะขอความ เมตตาจากหลวงตา การติดขัดการปฏิบัติ คือตอนนี้ ปฏิบัติเห็นใจที่ทำหน้าที่แค่รู้จริง ๆ แล้ว แต่ยังไม่ สามารถวางขาดจากการที่มีเราไปเป็นผู้รู้ได้เด็ดขาด ขอหลวงตาชี้แนะโยมด้วยค่ะ ติดภาวะนี้มาเกือบเดือน แล้วค่ะ รู้เห็นว่ามันไม่ใช่เราจริง ๆ แต่การจะวางผู้มารู้ มาเห็นสิ่งนี้อีกทีนี่สิคะ จะอย่างไรดีคะหลวงตา หลวงตา : ให้เห็นว่าความคิดความรู้สึกที่มีเราเป็นผู้รู้ ผู้ดูก็ไม่มีอยู่จริง ความพยายามจะวางผู้ดู ผู้รู้ ก็เป็น สังขารปรุงแต่ง ก็ไม่มีอยู่จริง ในเมื่อตัวเราก็ไม่มีอยู่ จริง จึงไม่มีใครต้องพยายามทำอะไร เพื่อให้เราเป็น อะไร หรือให้เราถึงอะไร
ปริศนาธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อะไรเอ่ย "มี ไม่มี ไม่มี มี" ใครพบความไม่มี นั่นแหละพบธรรม ใครถึงความไม่มี นั่นแหละมีธรรมที่มั่นคง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2560
สัจธรรมสูงสุดคือความไม่มีอะไร ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตา เมื่อเช้าวานนี้ที่ เมตตาชี้ทางการปฏิบัติฯ ที่ดูเหมือนจะถึงทางตันอยู่ มาหลายปีค่ะ ทำให้เห็นทางไปต่อ หลวงตาสะกิด ให้กระจ่างชัดว่า เมื่อครั้งที่ดิฉันวิ่งไปดูพระธาตุ อรหันต์ถึง 3 วัด เพื่อแสวงสิ่งที่จะยืนยันว่าพระ นิพพานมีจริง แต่กลับพบแต่ความ "ไม่มีอะไร" นั้น เป็นการสอนธรรมระดับสูงสุด ทั้ง 3 ครั้ง ดิฉันจำได้ดีว่า ดิฉันหันมาบอกคน ที่พาไปว่า "ไม่มีอะไรเลยค่ะ" โดยหารู้ไม่ว่ากำลัง กล่าวสัจธรรมระดับสูงที่อรหันต์ท่านกำลังสอน
ใช้เวลาถึง 26 ปีค่ะ กว่าจะกระจ่างเมื่อหลวงตา สะกิดให้คิด ที่หลวงตาถามซ้ำ ๆ ว่า ไม่เฉลียว บ้างหรือนั้น ก็เฉลียวนะคะ ว่าแปลก ... ไม่ ธรรมดา ... แถมยังรู้หวั่น ๆ ว่า "หรือเราจะแย่กว่าคน ปกติทั่วไป" แต่ไม่ได้เฉลียวว่าเป็นการชี้ทางพระ นิพพาน จนกระทั่งได้สนทนากับหลวงตาเมื่อวาน หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2560
เข้าหาผู้รู้ และไม่ยึดผู้รู้ว่าเป็นตัวเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตา ขอโอกาสเรียน ถามหลวงตาสั้น ๆ หนึ่งคำถามครับ ช่วงนี้เป็นอะไรไม่ ทราบครับรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลียมากผิดปกติ แม้ กระทั่งตอนเวลาขับรถ ก็ปฏิบัติสักแต่ว่ารู้และคิดว่าจะ ปฏิบัติสมถะ เพื่อเสริมกำลังของสติ สมาธิ คิดว่าจะ ปฏิบัติโดยวิธีลืมตา แต่ไม่แน่ใจว่าต้องเรียงฌาน เหมือนตอนหลับตาหรือไม่ และเข้าไปพักที่ฌานไหนดี ครับ กราบขอบพระคุณหลวงตาล่วงหน้าครับ หลวงตา : แช่
ผู้ถาม : หลวงตาหมายถึงจิตส่งในไปติดสุข และ เป็นวิปัสสนูปกิเลส หรือเปล่าครับ หลวงตา : ติดแช่อาการที่ถูกรู้ หรือ แช่ตัวเราผู้รู้ คาไว้ ผู้ถาม : ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าแก้โดยเข้าหาผู้รู้ ถูก ต้องไหมครับ หลวงตา : เข้าหาผู้รู้ แล้วไม่ยึดผู้รู้ว่าเป็นตัวเรา หรือตัวเราเป็นผู้รู้ ให้เห็นว่าผู้รู้ก็เป็นสังขารปรุง แต่ง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560
ปล่อยวางทั้งรู้และ ปล่อยวางตัวเราที่อยู่กับรู้ ผู้ถาม : เข้าหาผู้รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ปกติก็จะอยู่กับรู้ ไม่มีเข้า ไม่มีออกเจ้าค่ะ หลวงตา : ถ้าปกติอยู่กับรู้ ก็ให้ปล่อยวางทั้งรู้ และ ปล่อยวางตัวเราที่อยู่กับรู้ คือไม่ยึดรู้ โดยให้เห็นว่าทั้ง รู้และตัวเราที่พยายามอยู่กับรู้ เป็นสังขารปรุงแต่ง เห็นว่าปกติของธรรมชาติมีแต่สังขารเกิดขึ้นมาจาก ความไม่มีอะไร แล้วก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร ตลอดเวลา โดยไม่มีความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ของเราสักน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง หรือสักปรมาณูหนึ่งเลย (เพราะความเป็นจริงก็ไม่มีตัวตนของเรามาแต่เดิม หรือมาจากความว่างเปล่า ก็ต้องกลับคืนสู่ความว่าง เปล่า) ก็สิ้นอวิชชา สิ้นกิเลสตัณหา พ้นทุกข์ (นิพพาน) ในทุกขณะปัจจุบันทันที การ "เข้าหาผู้รู้" มีเทศน์ไว้ หลายตอน ให้ไปหาฟังเอานะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560
ให้อธิษฐานถอนทุกอย่าง ที่ติดค้างอยู่ในใจทั้งหมด ผู้ถาม : รู้ที่นิ่งนุ่มเบาละเอียดอยู่ข้างใน เป็นสังขาร หรือวิสังขารคะ มันมีจากความไม่มี มีแล้วก็ไม่มี เป็น รู้ที่เป็นสังขารใช่ไหมคะ หรือเป็นวิสังขารที่ยังผูกกับ “ฉัน” คะ หลวงตา : เป็นสังขารปรุงแต่งทั้งหมด ให้ปล่อยวาง ไปทั้งหมด ทั้งอารมณ์ที่ถูกรู้ และผู้รู้อารมณ์ เพราะ ตัวตนของเราไม่มี จึงไม่มีตัวเราไปเอาอะไร หรือจะ ไปเป็นอะไรเลย ให้อธิษฐานถอนทุกอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจ ทั้งหมด ไม่ให้เหลืออะไรติดค้างคาใจเลยแม้น้อยห นึ่ง นิดหนึ่ง หรือสักปรมาณูหนึ่ง แม้แต่ความสงสัย ว่าจะล่วงเกินพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หรือ พระพุทธศาสนา แม้แต่พระนิพพาน ให้กราบขอ ขมาด้วยใจ ขอได้โปรดอดโทษที่ล่วงเกินอันนั้น
โยมสามารถที่จะสิ้นกิเลสและพ้นทุกข์ได้ใน ปัจจุบัน ถ้าตัดความอาลัยภพชาติขาดกระเด็น แต่น่า เสียดายความลังเลสงสัย ความรีรอ ๆ เอาไปกินหมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560
ผู้มาก่อนช่วยอธิบายธรรม ให้ผู้มาใหม่ ผู้ถาม : ตั้งแต่หลวงตาไปก็มีเพื่อน ๆ โทรเข้ามาถาม ผมเรื่องภาวนาเรื่อย ๆ ครับ ผมก็จะพยายามช่วย อธิบายตามที่พอเข้าใจ เพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ ครูอาจารย์ และถวายเป็นพุทธบูชา และอาจาริยบูชา ขอหลวงตาได้มีเวลาผ่อนพักธาตุขันธ์ด้วยครับ กราบ กราบ กราบ หลวงตา : สาธุ บัดนี้มีตัวตาย ตัวแทนเกิดขึ้นมารู้ ธรรม ช่วยสอนธรรมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หมด ห่วง หมดกังวล ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560
เหตุฟังคลิปไฟล์เสียงธรรม ทำให้ธรรมซึมเข้าไปในใจ ผู้ถาม : พระพุทธเจ้าที่ใจในคลิป "ธรรมแท้ปรากฏที่ใจ" นั้นชัดแจ้งเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ เห็นแล้วค่ะว่าทำไมต้องลบสัญญาเดิมที่รั้งไว้ให้สิ้น คลิปนั้นทำให้ศิษย์มั่นใจใน ศีล ทาน ภาวนา และศรัทธาในพระรัตนตรัย ว่าจะมีทางออกได้ ถึงแม้จะ อยู่ในจุดที่ติดตัน และเห็นภัยของอหังการ์และวิจิกิจฉา อันเนื่องจากอัตตา ว่าเป็นอุปสรรคที่ต้องปฏิบัติให้หมด สิ้น กราบขอบพระคุณเป็นที่สุดเจ้าค่ะ การฟังคลิปที่ โพสต์ทำให้ธรรมะซึมเข้าไปในใจ ศิษย์จะใช้การ สังเกตสังกาธรรมารมณ์ที่เวียนเกิดเวียนดับ ขัดเกลาให้ หมด หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560
ทุกอย่างเป็นเพียงแค่การทำงาน ของสังขาร ไม่มีตัวตนอยู่จริง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ตั้งแต่ที่ไป กราบหลวงตาที่แดรี่ฮัทรอบที่แล้ว หลวงตาให้ พิจารณาถึงอนัตตา ว่าไม่มีตัวตนของเรา ไม่ว่าจะ เป็นร่างกาย จิต หรือใจ ทุกสิ่งเป็นเพียงธาตุตาม ธรรมชาติ ให้พิจารณาปล่อยวางไปเรื่อย ๆ เมื่อมาที่สถานธรรมลัดดารมย์ หนูก็ติด ปัญหาเรื่องการซับอารมณ์แช่ของคนอื่นมา ทำให้ ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง และพยายามดิ้นรนหาทางออกเพื่อ ให้ตัวเองหลุดพ้นจากสภาวะนั้น หลวงตาเมตตา บอกว่าหนูยังมีความพยายามที่จะใช้ปัญญาเพื่อช่วย ให้ตัวเองหลุดพ้นอยู่ นั่นหมายความว่าหนูโง่ โดนอวิชชาหลอกอีกแล้ว
ในเมื่อไม่มีตัวตนของเรา แล้วจะมีใครมามี อาการอะไรได้ เมื่อไม่มีใครมีอาการอะไร ก็ไม่มี ใครต้องทำอะไรเพื่อให้หลุดจากสภาวะอะไรเลย ที่ ผ่านมาหนูพยายามคิดวนไปวนมา ดิ้นรนหา ทางออกเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงไฟล์ทุกเสียง พยายามทำความเข้าใจ ค้นหาว่าตัวเองยึดอะไรอยู่ ทำยังไงถึงจะวางได้ จะปฏิบัติอย่างไร พิจารณา อะไรดี โดยไม่รู้เลยว่านั่นแหละคือสิ่งที่หลวงตา เมตตาบอกว่าหนูพยายามใช้ปัญญาเพื่อช่วย ตัวเองอยู่ เมื่อวานนี้ขณะที่นั่งดูฟิล์มคนไข้และถือ ปากกาอยู่ในมือ อยู่ดี ๆ ปากกาที่หลุดลงไป เหมือนมือไม่มีแรงถือเฉย ๆ หนูรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะ และเข้าใจคำว่า รู้ และปล่อยวางขึ้นมาทันที ว่าคือ การรู้สึกได้แต่ไม่ยึดถือสภาวะใด ๆ เลย ไม่ว่าจะ เป็นความรู้สึกดี ชั่ว รัก โกรธ หลง ฯลฯ ไม่ยึด ร่างกาย, ความรู้สึกของตัวเองและของคนอื่น ๆ
ตอนนี้หนูเข้าใจแล้วว่าที่หนูเคยส่งการบ้าน หลวงตา และบอกว่าจริง ๆ แล้วไม่มีใครต้องทำ อะไรเลย ทุกอย่างเป็นเพียงแค่การทำงานของ สังขาร มันไม่มีตัวตน ไม่มีอยู่จริง หนูรู้แล้วค่ะว่าจะ ดำเนินชีวิตที่เหลืออย่างไร หนูขอกราบขอบพระคุณ หลวงตาเป็นที่สุดอย่างสูง หลวงตาเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำเพื่อให้ลูกศิษย์ทุกคนพ้นทุกข์ บุญใด ๆ ที่ หนูได้กระทำทางกาย วาจา ใจ ในทุกภพทุกชาติ และที่จะทำต่อ ๆ ไป ขอถวายเป็นอาจริยบูชา ถวาย พระพุทธศาสนา ขอให้ธาตุขันธ์ของหลวงตา สมบูรณ์ แข็งแรงตลอดไปเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560
สิ้นสงสัยแล้ว จบซะที ผู้ถาม : ความว่างเปล่าข้างนอกกายกับความว่าง เปล่าในใจเป็นอันเดียวกัน ส่วนร่างกายกับวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่มองเห็น เป็นอันเดียวกัน อยู่ใผอยู่มัน มีผีตนหนึ่ง เที่ยวหลอกไปนั้น ไปนี้ตลอด ผีตัวนี้ มันเป็นของมันเอง เราไม่มีผีสิงแล้วกะปลอดภัย เป็นอิสระเสรี เราเห็นผี แต่ผีบ่อเห็นเฮา เพราะเฮาบ่อแม่นมันแล้ว
กราบขอบพระคุณหลวงตาหมดใจครับ บ่ สงสัยแล้ว สาธุครับ จบซะที กราบน้อมถวายการ ปฏิบัติธรรมนี้ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆ บูชา บูชาคุณมารดาบิดา บูชาคุณครูพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ผู้มีพระคุณทุกองค์หมดใจครับ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560
สิ้นผู้ยึดถือทั้งสังขารและวิสังขาร ก็สิ้นทุกข์ (นิพพาน) ผู้ถาม : กราบส่งผลการปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะหลวงตา ครั้งสุดท้าย หลวงตาให้ปล่อยวางความตั้งใจ โยม ได้น้อมไปเพียรปฏิบัติจนเห็นว่า เรามีตัวรู้มารู้ตัวเรา เหมือนทำอะไรก็มีสติและปรุงแต่งไม่ยาว สักแต่ว่า เห็น สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าลิ้มรส สักแต่ว่าสัมผัส ความคิดที่เกิดเองก็ปล่อยมันเกิดไป อย่างนั้น ส่วนความคิดที่ตั้งใจคิด หรือเวลาคุยกับผู้ อื่นก็จะสังเกตว่ามีผู้เห็นหรือสติมาดู มารู้เราตลอด เหมือนขบวนรถไฟความเร็วสูงมีตัวเดียว เห็นก็ดับ ไม่ปรุงต่อ อารมณ์ยังไม่มีให้ได้รับรู้ แต่ก็เป็นสติ แบบธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าตั้งใจหรือฝืนเหมือนที่ผ่าน มา ตอนนี้ยังเป็นต่อเนื่องค่ะ กำลัง สังเกตดูใจว่าจะต่อเนื่องหรือมีอะไรมาแทรกได้อยู่ ขอคำชี้แนะหลวงตาค่ะ สังเกตมาแล้วเจ้าค่ะว่ายังไม่ ต่อเนื่องตลอดเวลา แค่คงอยู่ได้นานกว่าตอนที่ขาด สติค่ะ
หลวงตา : ปล่อยวางทั้งหมด แม้แต่ผู้รู้ ไม่ยึดถือว่า เราเป็นผู้รู้ หรือผู้รู้เป็นเรา ผู้ถาม : น้อมรับไปเพียรปฏิบัติต่อไปค่ะ กราบ ขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ ขอถามอีกข้อค่ะหลวง ตา ตอนนี้โยมก็ไม่รู้สึกว่ามีตัวเรา ไม่มีอารมณ์ อยากได้ หรือ อยากทำอะไร รู้แต่ปัจจุบัน หากคิด เรื่อง อดีตหรืออนาคตหรือเรื่องอื่น ๆ มันมาก็ไม่ยึดมันสัก อย่าง รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรให้วางแล้ว ขอหลวงตา ชี้แนะเจ้าค่ะ คือตอนนี้ก็ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีความ อยากได้อะไร ไม่หลงไปกับอารมณ์ มีก็แต่เพียงจิต ตัวที่คิดได้ พูดพากษ์ได้ของมันไปเอง พอถึงจุดนี้ เราจะวางอะไรต่อไปเจ้าคะ ขอหลวงตาชี้แนะค่ะ
หลวงตา : ถ้าสิ้นสงสัย สิ้นผู้เสวย สิ้นกิเลส ก็สิ้นทุกข์ จบ ซะที ผู้ถาม : สาธุ สาธุ สาธุ โยมขอเป็นดอกบัวดอกหนึ่ง ที่มี ส่วนส่งเสริมส่งต่อขยายให้ดอกบัวดอกอื่น ๆ บานต่อไป เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณองค์หลวงตาที่ช่วยสั่งสอนศิษย์ มาจากดอกบัวใต้น้ำมาจนถึงทุกวันนี้เจ้าค่ะ หลวงตา : สังเกตให้ดี ๆ นะว่า สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือ มั่นหรือยัง หรือ พยายามยึดมั่นถือมั่นความเป็นผู้ไม่ยึด มั่นถือมั่น ผู้ถาม : หลวงตาคะ หนูสังเกตตัวเองแล้วค่ะว่ายังไม่ต่อ เนื่องจริง ๆด้วย น้อมรับการบ้านหลวงตาไปปล่อยวางผู้ รู้ต่อไป ไม่ให้ความหมายอะไร ว่าเราถึงไหน เราเป็น อะไร วาง ๆๆๆ ขอบพระคุณหลวงตาที่ชี้แนะเจ้าค่ะ
หลวงตา : สิ่งใดปรากฏให้ถูกรู้ได้ ไม่เที่ยง เกิด ดับได้ เปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (ทุกขสัจ) สิ่งนั้นเป็นความว่างเปล่าจากแก่นสารสาระ ไม่มี ตัวตนคงที่ จึงไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา จริง ๆ เป็นเราหรือตัวเราโดยสมมติเท่านั้น แล้วก็แตกดับไป ให้รู้เห็นเข้าใจอย่างนี้ด้วยใจ รู้จากใจ แต่ไม่มีตัวตนของใจ ไม่มีที่ตั้งของใจ ไม่ปรากฏ กริยาหรืออาการใดให้ถูกรู้ได้ ไม่มีการเกิดดับ เปลี่ยนแปลง "ใจ" เท่านั้นที่รู้ใจ คือ รู้ว่าใจเป็นผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจด้วยใจ รู้ แบบพุทธะ คือ รู้จริง รู้แจ้ง รู้พ้น รู้สิ้นยึด ใจไม่ อาจคิดหรือแสดงกริยาอาการใดได้เลย ไม่มีตัว ตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด จึงไม่อาจยึดถือสิ่ง ใดได้เลย ไม่อาจยึดถือทั้งสิ่งที่ถูกรู้ (สังขาร) และ ไม่อาจยึดถือใจ (วิสังขาร) นั้นเองด้วย
"ใจ" จึงพ้นจากทุกข์ (ทุกขสัจ) หรือ สิ้นหลงสังขาร จึง จะเป็น "ใจ" (วิสังขาร)" และเมื่อสิ้นผู้เสวยหรือสิ้นผู้ยึดถือทั้งสังขารและ ใจซึ่งเป็นวิสังขาร ก็สิ้นทุกข์ใจ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2560
ทุกอาการที่เกิดมันคือสังขาร ให้วางให้หมด ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะหลวงตา กราบขอ โอกาสเรียนถามหลวงตาว่าตอนนี้หนูควรจะปฏิบัติ อย่างไรคะ แม้หนูจะพอเข้าใจว่า จิตนี้ไม่ใช่เรา เพราะส่วนใหญ่จะเห็นว่ามันทำของมันเอง และก็คอย แต่จะพาไปสร้างความมีตัวตน ลึก ๆ ยังต้องการจะไป เอาอะไร แต่ก็ไม่ลงแก่ใจ หนูควรจะกลับไปพิจารณาร่างกายหรืออาการ 32 อีกไหมคะ ตอนนี้เวลาจะพิจารณาเหมือนจิตจะไม่ ยอม หรือหนูควรจะฝืนพิจารณาจนกว่าใจจะยอมปลง ปล่อยวาง หรือหนูควรจะทำอย่างไร เพื่อให้หลงยึด มั่นถือมั่นน้อยลงคะ
เมื่อวานนี้ฟุ้งซ่านมากจากผัสสะที่มากระทบ ซึ่ง จะเป็นแบบนี้เป็นช่วง ๆ ค่ะ เมื่อเช้านี้หลวงตาส่ง โอวาทธรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์มา หนูเลยลอง บริกรรมพุทโธ ซึ่งปกติไม่ได้บริกรรม เหมือนจิตมัน บริกรรมเอง สักพักก็หยุดเปลี่ยนเป็นไหว ๆ แทน เดี๋ยว นี้เวลาฟุ้งซ่านและคิดจะดูลมหายใจ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะ เหมือนเมื่อก่อน เหมือนมันหน่วง ๆ บางครั้งต้องฝืน หายใจและเหมือนจะถูกเอาไปผูกกับจิต ทำให้อึดอัด ขอความเมตตาหลวงตาช่วยชี้แนะด้วยค่ะ กราบ ขอบพระคุณค่ะ หลวงตา : โยมพยายามเอาตัวเราไปปล่อยวางเพื่อให้ ตัวเราได้อะไร ถึงอะไร แต่ไม่ได้ปล่อยวางความคิด ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา ต้องเห็นว่าความคิดความรู้สึก ว่าเป็นตัวเรานั้นเป็นสังขาร
หยุดดิ้นรนค้นหา หยุดหาถูกหาผิด ทิ้งให้หมด ปล่อยวางให้หมด ทุกอาการที่เกิดมันคือสังขารทั้งหมด ให้วางให้หมด ให้มีสติทุกขณะปัจจุบัน .. รู้เท่าทันความคิด การปรุงแต่ง สามารถปรุงแต่งได้ แต่ต้องปรุงแต่งด้วยความมีสติ ในกรอบของความถูกต้องดีงาม เสร็จแล้วก็ปล่อยวาง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตก็จะดีไปเอง ปล่อยวางให้ได้ ไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2560
อยากสิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น หรือพยายาม ยึดมั่นความเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น และพยายามยึดมั่นถือมั่นความเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น เราจะมีข้อสังเกตในความแตกต่างอย่างไรบ้างคะ ? หลวงตา : สังเกตได้ว่ายังมีตัวเราจะไปเอา จะไปได้ จะไปเป็นอะไรอยู่อีก ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ะ ศิษย์จะน้อมไป สังเกตให้ถี่ถ้วนเจ้าค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2560
มีแต่ไม่เอามายึดถือไว้ในใจ ก็ไม่มีกิเลสและความทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ถ้าเราเป็น ฆราวาสและยังต้องปฏิบัติงาน หรือยังต้องดูแล ครอบครัว บิดามารดา ทรัพย์สินโดยชอบ ฯลฯ และ ในมรรคมีองค์ 8 เรื่องสัมมาอาชีวะ ที่เป็นเรื่องศีลที่ พึงปฏิบัติอยู่ เราจะจัดการกับจิต "ผู้เสวย" ที่ยังต้อง *เอา * ได้ * เป็น อย่างไรครับ เช่น เอาสัมมาทิฏฐิ หรือสัมมาสติมากำกับอย่างไร จึงจะพอดี หรือสิ้น การยึดมั่นได้ครับ สาธุครับ คล้าย ๆ กับน้องนิม เคยบอกว่ารักได้แต่ไม่ผูกใช่ไหมครับ หลวงตา : อริยมรรค ให้ประกอบอาชีพชอบได้ (สัมมาอาชีโว) มีได้ รักได้ แต่ไม่ผูกไม่ยึด คือไม่เอา มายึดถือไว้ในใจ ก็ไม่มีกิเลสและความทุกข์ ต้อง เอามายึดถือไว้ในใจ จึงจะเป็นกิเลสและความทุกข์
จะไม่ยึดถือได้ ต้องเห็นว่าทั้งตัวเราและสิ่งที่มี ล้วนแต่เป็นเพียงสิ่งสมมติ คือไม่คงทนอยู่จริง เป็นของ ไม่เที่ยง ไม่อาจจะยึดถือเอาไว้ได้จริง เป็นของยืม ธรรมชาติเขามาใช้ชั่วคราว แล้วธรรมชาติเขาก็ทวงคืน อยู่เรื่อย ๆ โดยแสดงให้เห็นความไม่เที่ยง ไปสู่ความแก่ ความเจ็บป่วย เป็นคนไข้ติดเตียง ความตาย ความ พลัดพราก ต้องคืนธรรมชาติเขาไป ไม่อาจมีใครขัดขืน ได้ เกิดก็เพื่อตาย มีก็เพื่อจาก พบกันก็เพื่อพลัดพราก หากทำใจยอมรับตามความเป็นจริงอย่างนี้ได้ ถึงจะมี ความสามารถในการแสวงหามาได้เท่าใด จะมีมาก เท่าใด ใจก็พร้อมที่จะจากหรือพลัดพรากไป ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2560
ปล่อยวางความว่างไปให้หมด ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ คราวที่หลวงตามา ไม่ได้ส่งการบ้าน กลับมาฟังไฟล์เสียงใน podcast ค่ะ ก่อนจากหลวงตาได้ให้การบ้านให้รู้อย่างเดียว (ตอน เมษายน) กลับมาฝึกก็แยกได้ค่ะ อะไรคือสังขารที่ปรุง แต่ง อะไรคือความว่างที่ปรุงแต่ง อะไรคือตัวรู้ อารมณ์แช่ ที่เปลี่ยนแปลงชัด ๆ มาฟังเสียงใน podcast ทางเดินแห่งธรรมเดอะซีรีส์ ตอนที่น้องนิมระเบิด กระจกได้แล้วจิตกลับคืนสู่ธรรมชาติ มันประจักษ์แก่ ใจ ฟังแล้วมันลงที่ใจค่ะหลวงตา ตัวรู้ในจิตบอกว่า ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน ให้มาอยู่ที่รู้ในตัวเราพอ ใจ มีคำถามว่า ทำไมน้องนิมถึงทำได้รักแต่ไม่ยึด จน โยมมองเห็นอะไรที่โยมยึดไว้ เลยรู้ว่าสิ่งใดที่เรายึด อยู่ พ่อ แม่ น้อง ครอบครัว งานที่ทำ ความล้มเหลวที่ เคยเจอ ความรัก ความหลง คนที่เรารัก เราค่อย ๆ ปล่อยเค้าออกทีละคน ค่อยวางทุกอย่างที่ยึด-รอบ แรกเหมือนไม่หมด
รอบที่สองเรารู้ว่าสุดท้ายที่เหลือคือตัวเรา และ ในคืนนั้นจิตก็ได้เห็นความไม่เที่ยงของตัวเราที่ยึดไว้ ว่าสุดท้ายคือธาตุที่มาประกอบกันแล้วเราจะเอาอะไร พอมันเข้าถึงใจมันปล่อยหมดเลยค่ะ สภาวะในใจ ว่างไปหมด อันนี้แยกออกเลยว่ามันไม่ใช่ ว่างอย่างที่เคยสร้างไว้แต่เป็นว่างที่เกิดขึ้นเองเกิดขึ้น ในวันอาทิตย์ เลยมาอยู่ที่รู้ว่าจิตเรายังว่างอยู่ไหม วันจันทร์-อังคาร-พุธ เราก็มาอยู่ที่รู้ ความหนัก ๆ ใจ มันหายไม่มีอีกเลย ทำงานไม่มีความเหนื่อย ไม่มี ความฟุ้งใจ ในใจเงียบสงัดไปหมดค่ะหลวงตา เหลือแต่รู้หรือแม้แต่สุดท้ายตัวรู้มันไม่มี ว่างสงัดไป หมด ความปรุงแต่งขาดตัวเสวย จิตไม่ซัดส่าย มัน ว่างหมด เราเห็นแค่กริยาอาการทางกายที่ เคลื่อนไหวแต่ไม่มีใจที่ปรุงแต่ง เห็นแค่ขันธ์ทำงาน ไป การรับรู้ทุกอย่างเหมือนแต่ภายในจิตไม่เหมือน ตั้งแต่วันอาทิตย์จนถึงวันพุธก็ยังสงัดค่ะ มันเกิดเอง โดยไม่ได้สร้างขึ้นมาค่ะหลวงตา จิตไม่ได้หมายให้ เป็น แต่เป็นอาการทางจิตที่ปรากฏขึ้นมาค่ะ
หลวงตา : ปล่อยวางความว่างไปหมด (ธาตุรู้) ไม่ใช่ใจเราว่าง ใจของเราว่าง เพราะไม่มีตัวใจ และ มันเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรปรุง แต่ง หรือไม่อาจปรุงแต่งได้ (วิสังขาร หรือ อสังขต ธาตุ) ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาค่ะที่เมตตา อ่านที่หลวงตาตอบน้ำตาก็ไหลเป็นอาการของขันธ์ ธรรมที่หลวงตาตอบหนูน้อมลงในใจค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560
ทุกคนล้วนต้องพบความเจ็บป่วย และความตาย ผู้ถาม : ภาพนี้กิมหงส์วาดเพื่อนำไปเข้าร่วมประมูลเพื่อ ช่วยผู้ป่วยมะเร็งเจ้าค่ะ กิมหงส์บอกว่าได้นำคำสอนที่ ได้ฟังจากหลวงตามาใช้ในการวาดภาพนี้ด้วยค่ะ เปรียบว่าความเจ็บป่วยและความตายก็เปรียบ เหมือนสายน้ำที่ไหลมาแล้วก็ผ่านไป ทุกคนล้วนต้อง เจอ และเมื่อมีชีวิตอยู่ก็รักษาและพยายามอยู่กับมัน เปรียบเป็นเหมือนต้นไม้ที่พยายามสู้เจ้าค่ะ และเมื่อคืน นี้กิมหงส์ก็ได้อ่านคำสอนของหลวงตาและได้คุยกัน ก่อนนอนเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ สาธุ ช่วยบอกอายุน้องกิมหงส์ด้วย ให้ เขาฟังไฟล์เสียงเป็นแฟนพันธุ์แท้นะ ผู้ถาม : ด.ญ.กิมหงส์ อายุ 9 ขวบเจ้าค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560