ปุจฉา - วิสัชนา ตุลาคม 2560

Page 1

ปุจฉา - วิสัชนา ตุลาคม 2560


สิ้นยึดถือ สิ้นตัวตน สิ้นกังวล ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ โยมกราบ เรียนถามหลวงตาเรื่องจิตสุดท้ายเจ้าค่ะ คือ 2 วัน ก่อนเกิดภาวะฉุกเฉินกับโยม คือ ช็อคจากการเสีย น้ำมากจากร่างกาย ขณะที่วูบไปนั้นความรู้สึกตัวก็ วูบไปเห็นแต่ความว่างไม่มีอะไรเลยแม้แต่กาย มีคน เรียกให้ตื่นมาดื่มน้ำไปเล็กน้อยแล้ววูบลงไปอีก ตอนนั้นเห็นแต่จิตที่มันจะดับแล้ว จะดับแล้ว อยู่ ๆ มันรู้ขึ้นมาว่าใครเป็นคนรู้ว่าจะดับ แล้วเข้าหา ผู้รู้ กำลังจะปล่อยวางผู้รู้ มันก็ตื่นขึ้นมาช้า ๆ แต่ก็ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที มีคนเอาน้ำ ลูกอมมาให้ ชาวบ้านเขาคิดว่าโยมไม่เป็นอะไรมากก็เลยไม่ ตกใจ มันอยู่ในป่าเจ้าค่ะ ถ้ามันไม่ตื่นก็คงจบไป แล้ว


โยมสงสัยว่าถ้าเป็นเช่นนี้วางจิตแบบนี้หรือไม่ แต่ ณ ขณะนั้นเหมือนมันเป็นเอง กราบขอความ เมตตาหลวงตาชี้แนะเจ้าค่ะ วันนี้อาการเริ่มปกติแล้ว มีหวิว ๆ คลื่นไส้บ้าง ก็แค่รู้มัน โยมดูแลตัวเองไม่ไป พบแพทย์พอดีเป็นพยาบาลเจ้าค่ะ หลวงตา : แค่สักแต่ว่ารู้ ไม่เอาอะไร ไม่ยึดถืออะไร เลย ปล่อยให้ความคิด ความรู้สึกดับไป ปล่อยวาง ผู้รู้ ผู้รู้ไม่คิด ไม่กังวล ไม่มีความรู้สึกใด เป็น ธรรมชาติที่ได้แต่แค่รู้ ไม่ยึดผู้รู้ว่าเป็นเรา เป็นตัว เรา หรือเป็นของเรา หรือไม่หลงยึดว่าตัวเราเป็นผู้รู้ สิ้นยึดถือ สิ้นตัวตน สิ้นกังวล ปล่อยวางพร้อมหมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560


ใจต้องเข้มแข็ง จึงจะพ้นทุกข์ในปัจจุบัน ผู้ถาม : กราบแทบเท้าขอขมาหลวงตาด้วยความ สำนึกผิดที่เคยค้างคาเยื่อใยบางสิ่งไว้ในใจ ผม พร้อมและยินยอมตัดทุกอย่างออกจากใจ สละ ถวายต่อพระพุทธองค์ ต่อพระธรรม และต่อพระ สงฆ์ รวมทั้งน้อมถวายแด่องค์หลวงตาที่เคารพ อย่างสูง ใจผมพร้อมแล้วที่จะไม่มีเยื่อใยต่อสิ่งใด ๆ จากนี้เป็นต้นไปครับ น้อมกราบเท้าหลวงตาด้วย ความเคารพอย่างสูงด้วยสำนึกในบุญคุณที่หลวง ตาเมตตาสอนสั่งเสมอมา ไม่มีอะไรที่ใจจะอาลัยอีก นับจากนี้เป็นต้นไปครับ หลวงตา : สาธุ นิพพานปัจโย โหนตุ ใจต้องเข้ม แข็งถึงขนาดนี้ จึงจะข้ามพ้นจากทุกข์ได้ในปัจจุบัน นี้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560


เมื่อสิ้นหลงว่ามีตัวตน ก็ไม่มีผู้ยึดถือ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ตามที่หลวงตา ได้แนะนำสั่งสอนให้มีสติเฝ้าสังเกตประตูใจเมื่อรู้สึก ว่าจิตตสังขารทำงาน (มีความคิดเกิดขึ้น) ให้เราตัด ทิ้งเลย (ไม่สนใจมัน) หรือว่าปล่อยให้เขาคิดไปไม่ ปัดทิ้ง แต่เราสังเกตเฉย ๆ เพื่อจะได้เป็นการสั่งสอน อบรมจิตให้เกิดสติปัญญา (ไม่รู้ - รู้ -ไม่มีอะไรกับ อะไร) กราบขอบคุณครับ หลวงตา : เพียรสังเกต รู้ ละ ปล่อยวางไปทั้งหมดทุก ขณะปัจจุบัน ไม่เอาอะไร ไม่คาดหวังว่าจะได้อะไร จะ เป็นอะไร เพราะไม่มีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเราอยู่ จริงเลย อดีตก็อย่าเอามาค้างอยู่ในใจ ปัจจุบันก็ ไม่มีอะไรค้างอยู่ในใจ สิ่งใดที่รู้แล้ว เห็นแล้ว สัมผัส แล้วก็ละ ปล่อยวางไปเสียทั้งหมดทุกขณะปัจจุบัน สิ่ง ใดที่ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ ไม่เป็นก็ปล่อยวางไปเสีย ทั้งหมดในปัจจุบัน


ธรรมชาติของใจหรือธาตุรู้เขาก็ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่อาจคิดปรุงแต่งหรือ แสดงอาการใดได้ ไม่อาจจะรับรู้เขาได้ทางอายตนะ ใด เขาจึงเหมือนกับความว่างของธรรมชาติหรือ จักรวาล (ไม่ใช่ความรู้สึกว่างภายในใจ ซึ่งเป็น เวทนาขันธ์) ดังนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว จึงไม่อาจเอา สิ่งใด คนใด หรือเรื่องราวใดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตมาติดค้างอยู่ในใจได้ ที่รู้สึกว่ามีอะไรมา อยู่ในใจนั้น แท้ที่จริงเป็นเพียงเอาสัญญาความจำ ได้หมายรู้มาคิดปรุงแต่งซ้ำ ๆ ตามความพอใจ ติดใจ ยินดี หรือไม่พอใจ จึงหลงเล่น หลงยึดถืออยู่ กับความจำและความคิดปรุงแต่ง


เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้ จึงปล่อยวางสังขาร คือ ความปรุงแต่งทั้งหมด เมื่อไม่มีตัวเราเข้าไปหลง ยึดถือสังขารทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สังขารคือ ความจำกับความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไป ของเขาเอง เขาเกิดเอง เขาก็ดับเอง ........... ส่วนใจก็มีแต่ชื่อ แต่ไม่มีตัวใจ หรือ เมื่อหลุด พ้นจากสังขาร ก็ว่างจากตัวใจหรือว่างเปล่าจากตัว ตน เมื่อสิ้นหลงว่ามีตัวตน ก็ไม่มีผู้ยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือ ก็สิ้นกิเลส พ้นทุกข์ นิพพาน แล้วก็จะรู้เอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560


ไม่มีความรู้สึกว่ามีเรา หรือตัวเราไปยึดถือ ผู้ถาม : ทำอย่างไรจึงจะมีวินัยและพลังในการเอาจริง คะ ความไม่ประมาทใช่ไหมคะหลวงตา หลวงตา : สาธุ สังขาร คือ ร่างกายและจิตใจ เรา สามี ลูก ๆ พ่อ แม่ มีความเสื่อม ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ธาตุแตก ขันธ์ดับกลับคืนสู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ที่ว่างเปล่า) ตลอดเวลา เวลาที่ผ่านมา ถึงปัจจุบัน และที่จะผ่านไป ได้พิจารณา ให้เห็นสัจธรรมความจริงเช่นนี้ จนถึงใจที่สิ้นความ หลงยึดมั่นถือมั่นหรือยัง และได้ละบาป คิดดี พูดดี ทำ ดีจนถึงที่สุด ในที่สุดได้ปล่อยวางที่ใจได้ทุกอย่าง มี อยู่แต่ใจไม่ยึดถือ สิ่งใดรู้แล้วเห็นแล้วก็ได้วางไปจาก ใจหมดแล้ว


สิ่งที่มีอยู่ หามาได้มากเท่าใดก็วางไปจากใจ ตลอดเวลาแล้ว สิ่งใดที่อยากได้ อยากเป็นก็วางไป จากใจหมดสิ้นแล้ว ทุกขณะจิตปัจจุบันรู้แก่ใจว่าสิ้น ความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเราเข้าไป เสวยหรือยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด หรืออารมณ์ใด ๆ ตลอด เวลา นี่เป็นพร ผู้ถาม : ชาตินี้ชาติสุดท้ายจริงหรือเปล่าคะหลวงตา อยากจบแล้ว เบื่อแล้ว หลวงตา : เอาจริงมั้ยย .... ล่ะ ! คนจริง ทำจริง ย่อมรู้ จริง เห็นจริง เป็นจริง .... อยู่ที่ใจเจ้าของ ... จะจบหรือ ไม่ล่ะ .... ถ้าจบ ... มันก็จบจริง ๆ วางทั้งอดีต วางทั้ง ปัจจุบัน วางทั้งอนาคต วางทั้งหมดที่รู้ที่เห็นแล้ว วาง ทั้งหมดที่รู้ที่เห็นในทุกขณะปัจจุบัน วางทุกอย่างที่ อยากได้ อยากเอา อยากเป็น อยากบรรลุในอนาคต


อยู่กับรู้แก่ใจทุกขณะปัจจุบันว่า ไม่มีความรู้สึก ว่ามีตัวเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดทั้งภายนอกและ ภายใน (ทุกคิด ทุกอาการ หรือทุกอารมณ์) แม้กระทั่ง ไม่มีความรู้สึกว่ามีเราหรือตัวเราไปยึดถือใจที่ว่าง เปล่าหรือใจที่ไม่ยึดถือ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560


ไม่ได้ยึดถือใจที่ไม่ยึดถือ ผู้ถาม : หลวงตาคะ ดิฉันก็เคยเห็นตัวเองเน่าเปื่อย ค่ะ นานแล้ว แต่ฟังไฟล์ เหนือสังขารแล้ว ก็ไม่ควร กลับไปพิจารณากายอีกเลยใช่ไหมคะ ดูที่จิตแต่ อย่างเดียวไปเลยใช่ไหมคะ เอากายเป็นแค่ฐานสติ เวลาจิตหลง ใช่ไหมคะ หลวงตา : ผู้ที่น้อมเห็นร่างกายตนเองเน่าเปื่อยผุพัง ในเบื้องต้นนั้นเป็นขั้นสัญญา เมื่อน้อมจนเห็นลงแก่ ใจ เห็นร่างกายของตัวเองเน่าเปื่อยผุพังหรือรู้สึกที่ใจ จริง ๆ เป็นการเห็นที่เป็นปัญญาที่รู้แจ้งขึ้นมาที่ใจ ถ้า เห็นอย่างนี้จะต้องกัดติดจดจ่ออย่างต่อเนื่องไม่ขาด สาย ไม่ให้เว้นวรรคจากการพิจารณาเลย ก็จะปลง ปล่อยวางร่างกายตนเองจนเกิดปัญญาญาณ (รู้แจ้ง) แล้วเป็นปัญญารู้พ้น (วิมุตติญาณทัสสนะ)


*** ข้อห้าม ผู้ที่เห็นอย่างนี้แล้วไม่ควรไปยุ่ง วุ่นวายกับจิต เช่นหลุดไปอยู่กับความว่าง ความ โปร่งโล่งเบาสบาย ว่าง ๆ หรือหลงไปเห็นแสงเห็นสี เห็นนิมิตต่าง ๆ หรือไปฝึกจิตเห็นจิต ไม่พิจารณากาย ต่อเนื่อง หรือหลงไปในทางโลก ๆ เช่น ดูหนังฟังเพ ลงฯ กรณีของโยมนี้ ได้เคยเกิดปัญญารู้แจ้งขึ้นมา ที่ใจครั้งหนึ่งแล้วว่า "เห็นน้ำตกไหลแรงแต่ใจสงบ นิ่ง" ถ้าเอาอาการของใจที่คิดปรุงแต่งเกิดดับไหลไป ไม่หยุดมาเทียบเคียงกับน้ำตกที่ไหลแรง แต่ใจสงบ นิ่ง แล้วมีปัญญารู้แจ้งที่ใจอยู่อย่างนั้น แล้วสิ้นหลง สังขารคือสิ้นหลงคิดปรุงแต่ง (สังขาร) และสิ้นใจ ยึดถือใจที่สงบนิ่ง (วิสังขาร)


โดยเห็นว่าทุกคิด ทุกกริยา ทุกอาการที่เกิดขึ้น ที่ใจทุกขณะจิตปัจจุบันล้วนเป็นสังขารปรุงแต่งทั้งนั้น ปล่อยวางทิ้งไปเสียให้หมด สิ่งใดในอดีตที่คิดขึ้น มาในปัจจุบันก็ปล่อยวางไปเสียให้หมด สิ่งใดที่ยัง อยากได้ หวังไว้ ปรารถนาไว้แม้แต่ความสุขสงบหรือ นิพพาน ก็ปล่อยวางไปเสียให้หมด หรือสิ่งใดที่รู้แล้ว เห็นแล้ว ก็ปล่อยวาง ปล่อยวางสิ่งที่รู้อยู่ เห็นอยู่ทุก ขณะปัจจุบัน สิ่งใดยังไม่รู้ ไม่เห็น ยังไม่ได้ ยังไม่เป็น ก็ปล่อยวาง อยู่กับ "รู้" ด้วยใจของเจ้าตัวเองว่า ไม่ ได้เข้าไปปรุงแต่งยึดถือสิ่งใด ทั้งไม่ได้ยึดถือใจที่ไม่ ยึดถือหรือผู้รู้แจ้งนั้นด้วย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560


พ้นทุกข์ทุกขณะปัจจุบัน ผู้ถาม : ถ้าจะตาย การปฏิบัติฯ ถึงจุดนี้ จิตดิฉันจะ พร้อมที่จะทิ้งกายหรือพร้อมที่จะทิ้งสังขารไหมคะ หรือ ต้องถึงจุดไหนถึงจะพร้อมคะ หลวงตา : ถ้าสักแต่ว่ารับรู้รับทราบทุกขณะปัจจุบัน ทางประตูใจอย่างเป็นปกติธรรมชาติ ไม่หลงติดไปกับ ความคิด ไม่หนีอาการ ไม่จับยึดความรู้สึกว่างโล่ง โปร่งเบาสบาย และไม่ปักธงคือยึดถือจะเอาอะไรใน อนาคต ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ คือไม่ต้องไปคิด ล่วงหน้าว่าจะปล่อยได้หรือไม่ได้ตอนตาย ใช่ไหมคะ แค่ปัจจุบัน ไม่ต้องเตรียมตัวตาย หลวงตา : ถ้าทุกขณะจิตปัจจุบัน สิ้นผู้เสวย หรือสิ้นผู้ ยึดถือธรรมารมณ์ ก็จะสิ้นผู้เสวยทางประตูอื่น ๆ ด้วย เมื่อสิ้นผู้เสวย ก็สิ้นตัวตน สิ้นกิเลส พ้นทุกข์ตั้งแต่ทุก ขณะปัจจุบัน ต่อจากนั้น อนาคตจะตายอย่างไร ไม่ ต้องห่วงกังวลอีกแล้ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2560


มีแต่เห็น แต่ผู้เห็นไม่มี ผู้ถาม : กราบหลวงตาค่ะ หลังจากที่ไปพบหลวงตา ก็ได้นั่งฟังไฟล์เสียงตามที่หลวงตาแนะนำและเดิน จงกรมตามที่เวลาอำนวยเพื่อให้มีสติ ในระหว่างวัน ก็พยายามฝึกสติ เมื่อคืนก็พยายามฝึกสติ ปรากฏว่า นอนไม่หลับ เห็นความคิดต่าง ๆ เกิดดับตลอดเวลา จนรู้สึกขึ้นมาในใจว่าความคิดมันเกิดดับ เกิดดับไป เรื่อย ๆ เกิดความรู้สึกมั่นคงในใจว่าต่อแต่นี้จะเชื่อ ฟังที่หลวงตาสอน จะทำตามที่หลวงตาสอน สักพัก จึงหลับได้ ระหว่างหลับฝันว่าได้ไปกราบหลวงตา หลวงตายื่นแก้วใส่น้ำที่มีลักษณะเหมือนแก้วรอง กรวดน้ำให้ และยื่นพระให้องค์หนึ่ง จากนั้นก็ตื่น กราบขอคำแนะนำจากหลวงตาค่ะว่า ความคิดที่เห็น เกิดดับข้างต้นคือสังขารปรุงแต่งหรือรู้คะ และควร ปฏิบัติอย่างไรต่อคะ และที่เห็นหลวงตาในความฝัน คืออะไรคะ


หลวงตา : สาธุ เห็นอย่างนั้นถูกแล้ว จนถึงขั้นมีแต่ เห็น แต่ผู้เห็นไม่มี ฝันนั้น เป็นนิมิตหมายว่าปฏิบัติ ถูกต้องดีงามแล้ว ให้เพียรเข้านะ ขอเป็นกำลังใจ ให้พ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2560


วางหมดแล้วก็สิ้น อวิชชา ผู้ถาม : กราบขอขมาหลวงตาอีกครั้งเจ้าค่ะ ศิษย์ หลุดจากตรงนั้น ก็มาติดตรงนี้อีก จะเพียรให้มาก ขึ้นอีกค่ะ หลวงตา : ยิ่งดิ้นก็ยิ่งติด ยิ่งเพียรยิ่งหวังก็ยิ่งติด หยุดดิ้น ก็จบ ผู้ถาม : หนูจะเลิกปฏิบัติอะไรแล้วค่ะ เลิกคิด เลิก หวัง รู้สึกว่าทำอะไรก็ผิดหมดเลย เอาแค่รู้ตามจริง ก็เพียงพอ หลวงตา : อย่าทำ อย่าเลิก ผู้ถาม : คำนี้ ... เลย ...โดนใจมากค่ะ ... อย่าทำ อย่าเลิก ที่ผ่านมามีแต่ทำ กับ เลิกทำ กราบ ขอบพระคุณหลวงตาอย่างสูงเจ้าค่ะ


ผู้ถาม 2 : กราบนมัสการครับหลวงตา "หยุดทำ หยุดเลิก" จริง ๆ แล้วก็คือ ไม่พัก ไม่เพียร นั่นเอง หรือ (… วาง ...) นั่นเอง กราบสาธุครับหลวงตา หลวงตา : สาธุเช่นนั้นเอง สิ้นยึดถือสิ่งใดหรือคนใดในอดีต สิ้นยึดถือสิ่งใดหรือคนใดในขณะปัจจุบัน สิ้นยึดถือสิ่งใดที่คาดหมายไว้ในอนาคต แม้แต่ ความสงบ ความสุข นิพพาน ถึงแม้สิ่งนั้นหรือคนนั้นมีอยู่ แต่ไม่หลงปรุงแต่ง เอามาหลงยึดถือไว้ในใจ เพียงแค่รับรู้รับทราบตาม ความเป็นจริงทุกขณะปัจจุบัน มีแต่การรู้ การเห็น แต่ ไม่มีผู้รู้ ผู้เห็น เรียกว่า "วาง ... วาง .... วาง ..." วาง หมดแล้วก็สิ้น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ... ชาติ .... พ้นทุกข์ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2560


ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ตลอดเวลา ผู้ถาม : ที่ผ่านมาพอชีวิตดีมีสุขก็หลง พอมีอะไรไม่ได้ อย่างใจจึงทุกข์มาก พอว่างก็นั่งเล่นอินเตอร์เน็ตไป เรื่อย แต่ตอนนี้ได้สติแล้วค่ะ เลยเอารูปหลวงตาตั้ง เป็นหน้าจอ พอหยิบโทรศัพท์มาเปิดหน้าจอเห็นหลวง ตาจะได้ระลึกถึงความเมตตาของครูบาอาจารย์ ที่ เหนื่อยยากสั่งสอน และศิษย์ก็ควรเร่งปฏิบัติให้ถึงที่ สุด ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ครูบาอาจารย์มอบให้ก็เปล่า ประโยชน์ ขอกราบในความเมตตาของหลวงตาค่ะ หลวงตา : ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทตลอดเวลา จึงจะได้ชื่อว่า อยู่ใกล้พระพุทธ พระธรรม พระอริย สงฆ์ ถึงแม้จะอยู่ในประเทศที่มีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แต่ไม่สนใจน้อมนำพระธรรมอันบริสุทธ์ ที่ออกจากใจอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ออกจากใจ อันบริสุทธิ์ของพระอริยสงฆ์และพ่อแม่ครูอาจารย์ ผู้ ถึงพร้อมด้วยความเมตตาอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ มาประพฤติปฏิบัติให้สิ้นกิเลส พ้นทุกข์ในทุกขณะ ปัจจุบัน ก็ได้ชื่อว่า "เป็นผู้ประมาทมาก ๆๆๆ ..."


ซึ่งโอกาสจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ พบพระ พุทธศาสนาในขณะที่ยังมีพระอริยสงฆ์อยู่ครบ และมี ผู้รู้จริงช่วยแนะนำการปฏิบัติให้พ้นทุกข์ในปัจจุบันได้ นั้น เป็นการยากที่สุดในโลก เราจะได้กลับมามี โอกาสเช่นนี้อีกหรือไม่เล่า พิจารณาดูให้ดี ๆ ... ช่าง น่ากลัวยิ่งนัก ... พลาดแล้วพลาดเลย ... โอ ! .... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2560


หักธงที่ปักหรือที่หมายไว้ อย่างใดไว้ในใจ ผู้ถาม : มีหนึ่งคำถามเรียนถามครับ จิตอรหันต์มี ลักษณะเป็นอย่างไรครับ มันคล้ายกับว่ามันเป็น ความว่าง เหมือนใจที่ว่างเปล่า หรือมันก็ยังมีอยู่รู้สึก ได้ แต่เป็นอิสระไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด หลวงตา : การที่ถามหาจิตของพระอรหันต์ แสดง ให้เห็นได้ชัดเจนถึงอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน คือ ยังมีตัวเราที่มีความอยากถึง อยากได้ อยากเป็น อยากบรรลุผลที่คาดหมายหรือแอบปักธงอย่างใด ไว้ในใจ ซึ่งถ้าไม่ปล่อยวางความหวัง ความ ปรารถนา แม้แต่ปรารถนานิพพาน หรือความสุข ความสงบ ความว่าง ที่สุดถึงกับไม่มีอะไร อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทานก็ไม่ดับ


ต้องหักธงที่หมายไว้ หรือดับความหวัง ความ ปรารถนาเสียทั้งหมดในปัจจุบัน หรือปล่อยวางอดีต ปล่อยวางความอยากในปัจจุบัน และปล่อยวางความ อยากได้ อยากเอา อยากเป็น อยากบรรลุ อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ อยากรู้แจ้งทั้งในปัจจุบันและ ในอนาคตไปเสียทั้งหมด ... เดี๋ยวนี้ ๆๆๆๆๆ ....... หรือหักธงที่ปักหรือที่หมายไว้อย่างใดไว้ในใจ เช่น จิตของพระอรหันต์เป็นอย่างไรหนอ ? หมดสิ้นไป จากใจในปัจจุบัน (ไม่ใช่วางแล้ว ... แต่มีแอบรอผล หรือหวัง ...... อย่างนี้เท่ากับไม่วาง) เมื่อวางหมดไป จากใจจริง ๆ แล้ว ก็จะมีแต่จิตที่คิดหรือแสดงอาการ ทุกขณะจิตปัจจุบัน ก็ได้แต่รู้อยู่ เห็นอยู่ แต่ไม่มีตัวตน ของผู้รู้ ผู้เห็น เมื่อมีแต่การรู้ การเห็น แต่ไม่มีตัวตน ของผู้รู้ ผู้เห็น ก็จะไม่มีผู้ยึดถือ ไม่มีผู้เสวยจิตที่คิดที่ แสดงอาการทุกขณะจิตปัจจุบัน ก็จะไม่มีตัวตน สิ้น กิเลส พ้นทุกข์ (นิพพาน)


"นิพพาน" จึงไม่ใช่สภาวะใด ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ความสงัด ไม่ใช่ความว่าง ไม่ใช่ความรู้สึกไม่มี อะไร เป็นแต่เพียงรู้แก่ใจว่าทั้งอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ขันธ์ห้า และใจ ไม่มีใครเสวย ไม่มี ใครยึดมั่นถือมั่นทุกขณะจิตปัจจุบันเท่านั้น และไม่ใช่ หลงยึดปัจจุบัน แต่ทุกขณะจิตที่คิดหรือแสดงอาการ ในปัจจุบัน ไม่มีผู้เสวย หรือไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น เพียงเท่านี้จริง ๆ ......... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2560


รู้แล้วไม่เอา รู้แล้ววาง รู้แล้วละ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา โยมปัญญาน้อย คิด ๆๆ อยู่นาน พระธรรมคำสอนของหลวงปู่ชา เดินไปก็ ไม่ใช่ กลับมาก็ไม่ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ ความหมายว่า อย่างไรคะหลวงตา โยมพี่ขอความกระจ่างจากหลวง ตาค่ะ กราบนมัสการสาธุค่ะ หลวงตา : ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวตนของเรา มาตั้งแต่แรก เพราะไอ้ที่มีล้วนตายแตกดับทุกชาติ จึง ไม่มีใครจะต้องไปไหน ไปได้อะไร ไปเป็นอะไร และ ไม่มีใครหลงกลับไปในอดีต และไม่มีใครต้อง พยายามทำใจให้หยุดนิ่ง ๆ ว่าง ๆ หรือไปพยายาม ยึดอะไรไว้เพื่อไม่ให้ไหลไป คงมีแต่ความคิดและ อารมณ์หรืออาการของจิตเกิดดับทุกขณะปัจจุบัน เมื่อ ไม่มีตัวเรา จึงได้แต่รับรู้รับทราบเท่านั้น แต่ไม่มีใคร ยึดถือ หรือวางหมด ใจก็ว่างเปล่า แล้วไม่มีผู้ยึดถือใจ ที่ว่างเปล่า ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2560


วางหมดใจก็ว่างเปล่า ผู้ถาม : ตอนนี้ติดชอบฟังคำสอนหลวงตาทุกวัน (แต่ ก่อนเป็นคนไม่ค่อยฟัง ไม่ค่อยอ่านเลยเจ้าค่ะ) ไม่ ค่อยได้ปฏิบัติด้วยเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้มันสนใจใส่ใจ อย่างประหลาด เอามาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ลองรู้ไปเรื่อย ๆ (ซึ่งบางทีก็ไม่แน่ใจว่ารู้แบบเป็น สังขารหรือรู้แบบไม่เป็นสังขาร) แต่ก็อาศัยฟังเทศน์ หลวงตาไปด้วยให้ชี้นำแนวทางและให้ความเข้าใจที่ ถูกต้อง หลวงตา : ติดตามเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหลวงตา เพียรรู้ไปอย่างนั้นนั่นแหละ แค่สักแต่ว่ารู้ด้วยความ ปล่อยวาง ไม่ยึดถืออะไร ไม่หวังหรือปรารถนาจะไป ได้ ไปเอา ไปเป็น หรือไปถึงอะไร ไม่ยึดถือทั้งอาการ ที่ถูกรู้ และไม่ยึดถือทั้งผู้รู้ตลอดเวลา วางหมด ใจก็ ว่างเปล่า แล้วไม่มีผู้ยึดถือใจที่ว่างเปล่า ต่อจาก นั้น .... จะรู้เอง ! ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560


ปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยว่าง ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะ หนูนั่งเคยเห็นแสงสว่างที่ หน้าผากวูบหนึ่ง ก็ตามดูว่าแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ นิ่งตัวเบา กลัวเหมือนกันว่าถ้าลืมตาขึ้นแล้วจะนั่ง ปฏิบัติต่ออีกจะนิ่งอย่างนี้มั้ย จะตามรู้เห็นตามสังขาร ความเจ็บ ความชา เวลานั่งหนูตัวจะโยกไปมา มี อาการอย่างนี้เกือบทุกครั้งค่ะ เราแค่ตามดูอาการนั้น ที่เกิดขึ้นว่าจะชาไปถึงไหน เจ็บถึงไหน พอตามรู้แล้ว ว่ามันก็แค่ชา มันก็แค่นั้นไม่มีอาการใดต่อ แล้วเราก็ ปล่อยวาง หนูเข้าใจถูกต้องมั้ยคะ หลวงตา : ปล่อยวางสิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น สิ่งที่เป็น ไป ทั้งหมดทุกขณะจิตปัจจุบัน ...... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560


อยู่กับว่าง ... เท่ากับยึด ... ไม่ปล่อยวาง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา พอดีหนูกวาดบ้านก็ นึกถึงคำที่หลวงตาแนะนำ คำว่าปล่อยวาง ... ไม่ใช่ ปล่อยว่าง ก็เหมือนกับว่าในขณะนั้นเราก็ทำหน้าที่ ของเราไป อะไรเกิดตามรู้ รู้แล้วก็วาง ไม่ใช่ตามดู ตามรู้อย่างเดียว แต่ไม่ทำหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ ว่าง แต่ไม่ว่าง อธิบายเป็นคำพูดยากจัง ขอคำแนะนำจาก หลวงตาว่าหนูเข้าใจแบบนี้ถูกมั้ยเจ้าคะ ทบทวนไป มาหลาย ๆ รอบในแต่ละวันเจ้าค่ะ เพื่อจะได้มีปัญญา รู้และเข้าใจกับเขาบ้างเจ้าค่ะ หลวงตา : ให้อยู่กับรู้ ... แต่ไม่ยึด ... เท่ากับวาง ถ้าอยู่กับว่าง ... เท่ากับยึด ... ไม่ปล่อยวาง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560


วางไปเล้ยยย !!! .... ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ ภาวะที่ตื่นแต่ขยับตัวไม่ได้ เพราะร่างกายมันหลับอยู่คืออะไรคะ (มันจะหลับก็ไม่ หลับ ตื่นก็ไม่ตื่น เหนื่อยมาก ๆ เลยค่ะ) ระหว่างเป็น อย่างนั้นจิตมันหลอน ๆ เหมือนเห็นภาพกับได้ยิน เสียงที่ไม่จริงด้วยค่ะ เมื่อเช้าเป็นแล้วฮึดสู้พยายาม ขยับตัวตื่นให้ได้ ตอนนั้นนึกถึงพลังบารมีของหลวง ตาฮึดจนตื่นจนได้ แต่เหนื่อยมากค่ะ วันนี้รู้สึกเพลีย เหมือนพักผ่อนไม่เต็มที่เลยค่ะ หลวงตา : ทำอย่างนี้ ... พยายามรักษาความรู้สึก ตัวไว้ แต่ปล่อยวางอย่างอื่น ... เท่ากับยึดถือตัว เอง .... จะเป็นอย่างไร ... ก็ให้วางไปทั้งหมดทั้งตัว เราผู้อารมณ์ และอารมณ์ที่ถูกรู้ ผู้ถาม : 555 ... โอเคเจ้าค่ะหลวงตา จะวางเลยค่ะ ไม่ต้องคิดมาก ทำเล้ย .... วางเล้ย!! หลวงตาจะให้ ปล่อยทุ่นเลยตั้งแต่เริ่มนะคะนี่ น่าหวาดกลัวมาก แต่จะลองสำลักดูค่ะ จะได้ว่ายน้ำเป็นเร็ว ๆ


หลวงตา : วางไปเล้ย ! ... วางไปเล้ย ! ... วางไป เล้ย ! ... เมื่อตัวเราไม่มีมาตั้งแต่แรก แล้วจะมีใคร สำลัก และจะมีใครตาย เมื่อกลัวตาย ก็มีตัวตน ใน ปัจจุบัน และในชาติต่อ ๆ ไป วางไปเล้ยย !!! .... วาง ไปเล้ยยย !!! ...... วางไปเล้ยยย !!!...... เด็กน้อย ยย !!! .... 555 !!! ...... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560


อยู่กับรู้ ... อย่าอยู่กับว่าง ผู้ถาม : นมัสการขอความเมตตาค่ะ โยมเพิ่งเริ่มค่ะ ยังไม่ลึก คือ โยมเริ่มฝึกวางใจให้ว่างเหมือนฟ้า ถ้ามี ความคิด (สังขาร) ก็มองว่ามีนกบินผ่านมาแล้วก็ไป เราก็กลับไปว่างเหมือนฟ้าอีก นกตัวใหม่บินมาก็ เหมือนเดิม คือเราก็มองให้รู้ว่ามีนกบินผ่าน ฝึกแบบ นี้จะได้ไหมคะ หลวงตา : ธรรมชาติของใจจะมีหน้าที่เพียงแค่รู้ได้ อย่างเดียว ส่วนความคิดนึกปรุงแต่งเป็นเพียงสังขาร เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ให้สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น หรือรู้ซื่อ ๆ ... ความคิดหรืออาการของจิตที่ไหว ๆ ... ตลอดเวลา เปรียบจิตที่คิดและแสดงอาการไหว ๆ เหมือนนกที่บินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป โดยต้องมีสติ ปัญญารู้เท่าทันตลอดเวลา ไม่หลงเข้าไปเป็นนก อยู่ กับรู้ที่ไม่อาจคิดหรือปรุงแต่งได้ เพราะเป็นวิสังขาร ไม่มีตัวตนของผู้รู้ หรือไม่มีตัวใจ อย่าไปอยู่กับว่าง เพราะความว่างไม่ใช่ "ใจ"


"ใจ" คือ ธรรมชาติที่ได้แค่รู้ ไม่ใช่ความว่าง ที่ บอกว่าใจเปรียบเหมือนท้องฟ้า คือ แค่รู้แต่ไม่มีตัวตน ไม่อาจมีอาการใด จึงเหมือนท้องฟ้าที่มีความรู้อยู่ใน ตัวโดยไม่ต้องอาศัยสังขาร ผู้ถาม : สาธุธรรมค่ะหลวงตา กราบขอบพระคุณค่ะ โยมเข้าใจและจะเพียรให้เยอะค่ะ ถวายแด่พระพุทธ องค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ โดยเฉพาะหลวงตา ค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2560


พบ "ใจ" พบธรรม ถึง "ใจ" ถึงนิพพาน ผู้ถาม : หลวงตาคะ เพิ่งพบและได้คุยกับอาจารย์ทาง วิปัสสนา ท่านบอกว่า ผู้ที่จะเข้ากระแสนั้น ต้องได้เห็น จิตเกิดดับ เข้าใจว่าท่านพูดตามลำดับญาณ ดิฉันเคย เห็นการเกิดดับของกาย การแยกของขันธ์ แต่ไม่เคย เห็นการเกิดดับของจิต หลวงตาช่วยอธิบายได้ไหมคะ จำได้ว่า เคยสัมผัสจิตนิ่งในขณะที่สังขาร เคลื่อนไหว เหมือนป่าสูงที่นิ่งสงัดเงียบในธรรมชาติ เดียวกับที่น้ำตกที่ไหลเฉี่ยวไหลเชี่ยว เป็นโจนฟาด ก้อนหินในสายธาร อันนี้มันเกี่ยวอย่างไรกับสภาวะที่ เห็นการเกิดดับของจิต (ที่ดิฉันคิดว่ายังไม่เคยเห็น) ดิฉันเคยเห็นการขาดเป็นท่อน ๆ ของเสียงขณะฟัง เทศน์ แต่นั่นก็ไม่ใช่การเกิดดับของจิต ใช่ไหมคะ


หลวงตา : ที่ว่าต้องเห็นสังขารเกิดดับนั้น คือผู้ พิจารณากาย (กายสังขาร) เห็นความไม่เที่ยง จนปลง ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในกายหมดสิ้น ระเบิด อวิชชาขาดกระเด็นก่อนครั้งแรก ตกกระแสธรรมครั้ง แรก หลังจากนั้น เห็นจิตเกิดดับ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ให้ยึดมั่นถือมั่นได้ แล้วปล่อยวางจิตปรุงแต่ง (จิตต สังขาร) ระหว่างนั้นกิเลสจะเบาบางไปมาก จนขณะ จิตหนึ่งหยุดปรุงแต่งได้ในจิตเดียวด้วยจิตที่รู้แจ้ง ถึงใจของเขาเอง ระเบิดอวิชชาขาดกระเด็นจนหมด คือไม่กลับไปหลงอีกเลย ก็พ้นทุกข์ (นิพพาน) แต่ถ้า เหลืออีกหนึ่งส่วน ใจเขาจะปล่อยวางตัวเขาเอง คือ ไม่หลงยึดถือใจ อวิชชาจึงจะขาดหมดสิ้น นี่พูดตาม ประสบการณ์ของการปฏิบัติ


แต่กรณี ผู้ที่เคยพบน้ำไหลนิ่ง จนสะเทือน ถึงใจ คือ จิตคิดปรุงแต่งเคลื่อนไหวเกิดดับ แต่ใจ (วิ สังขาร) ได้แต่รู้ ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว ไม่ปรากฏ อาการใด ไม่ปรากฏอาการของผู้รู้ ไม่ปรากฏตัวใจ พบเห็น "ใจ" ได้ชัดเจนถึงใจ สามารถเป็นใจที่ได้แต่รู้ ได้เรื่อย ๆ คือ ไม่หลงไปเป็นผู้คิด ผู้ปรุงแต่ง หรือ ไม่ หลงยึดถือสังขารได้เรื่อย ๆ ทั้งวัน สามารถเป็น "ใจ" (วิสังขาร) ได้ถึงหนึ่งในสาม หรือ 25% (เป็น ตัวเลขสมมติ) ซึ่งเจ้าตัวก็รู้ได้ด้วยตัวเอง ก็น่าจะเรียก ว่าตกกระแสแล้ว เพราะต่อจากนั้น ก็จะมีสติปัญญา ที่จะไม่หลง ไปเป็นสังขาร คือ เป็น "ใจ" มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเคยพบ "ใจ" มาแล้ว จนกระทั้งสิ้นหลง สังขารก็เป็นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เรียกว่าบรรลุธรรม หรือ พ้นทุกข์ (นิพพาน)


ที่ว่าตกกระแสธรรม เพราะเคยพบใจที่นิ่งใน ความไหล เพราะ "ใจ (วิสังขาร)" นั่นแหละ คือ อสังขต ธรรม เป็นธรรมที่ไม่อาจปรุงแต่งได้ จึงพ้นจากทุกข์ ส่วนสังขารธรรม เป็นธรรมที่ปรุงแต่ง ย่อมตกอยู่ใต้ กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงไม่พ้นทุกข์ ท่านจึงกล่าว ว่า "พบ ‘ใจ’ พบธรรม ถึง ‘ใจ’ ถึงนิพพาน" ถ้ายังพยายามคิดดิ้นรนค้นหา ... พยายามจะ ทำอะไร เพื่อจะให้ได้ ให้ถึง ให้เป็นอะไร ... สงสัย !! ... สงสัย !! ... เป็นต้น ก็จะหลงคิดหลงปรุง แต่ง ไม่อาจเป็น "ใจ" ให้รู้เท่าทันสังขารและปล่อยวางสังขารตลอด เวลา ก็จะพบ "ใจ" ปฏิบัติด้วยการ "ปล่อยวาง" ให้ หมดตลอดเวลาทั้งสังขารและวิสังขาร ก็จะสิ้นสงสัย เอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2560


เห็นจิตคิดปรุงแต่งเคลื่อนไหว แต่ใจสงบนิ่ง ผู้ถาม : หลวงตาคะ งานเข้ามากมาย งาน “ประโยชน์ ท่าน” ที่ตัวเองก็เต็มใจทำ แต่มันทำให้หลุดน่ะค่ะ เมื่อ เช้าประชุม 2 ชั่วโมง หลงตลอดด้วยความ “อิน” กับ เรื่องราว และการใช้สมองคิดงาน หลวงตาให้อยู่กับ โลก ไม่หนีภาระ จะ balance ยังไงคะ โดยเฉพาะ อย่างกับการ “วาง” หลวงตา : ตอนเข้าห้องน้ำ ห้องส้วม อยู่คนเดียว เห็น จิตคิดปรุงแต่ง เกิดดับตามธรรมชาติของเขา ไม่มี ใครเสวย ไม่มีใครไปรองรับ หรือเห็นจิตคิดปรุงแต่ง เคลื่อนไหวเหมือนกับน้ำตกที่ไหลแรงตลอดเวลา แต่ ใจสงบนิ่ง (น้ำไหลนิ่ง) เห็นอย่างนี้บ่อย ๆๆๆๆๆ ... แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆๆๆๆ ... จิตเขาก็จะจดจำได้เอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2560


เห็นจิตเกิดดับตามธรรมชาติ แต่ไม่มีผู้เสวย ผู้ถาม : เมื่อคืนกลางดึกตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ พอกลับ มานอนจิตก็นิ่งเรียบกระจ่าง “รู้” อยู่เองนานเลยค่ะ ก็ รู้ตัวว่าบางระยะระหว่างนั้นก็เข้าไปแทรกแซงเพื่อประ คับประคองให้มันอยู่อย่างนั้นแล้วก็หลับไป เมื่อไม่กี่คืนมานี้ก็ตื่นกลางดึกด้วยสมาธิที่เกิด เองกับลมหายใจค่ะ ต่างกับที่เกิดเมื่อคืนนะคะ ที่เป็น “รู้” ไม่ทราบทำไมเป็นตอนตื่นนอนกลางดึกทั้ง 2 ครั้ง คะ ครั้งที่เห็นการเกิดดับของกายก็ตื่นขึ้นมา “เห็น” นะคะ ไม่ใช่กำลังปฏิบัติฯ อยู่ แต่เป็นตอนที่กำลัง หลับอยู่


หลวงตา : ตอนตื่นนอนใหม่ ๆ ร่างกายได้พักผ่อน ผ่อนคลายเต็มที่แล้ว จึง “เห็น” จิตคิดปรุงแต่งเกิดดับ ตามธรรมชาติของเขา โดยไม่มีใครเข้าไปตั้งใจเห็น ไม่มีใครเข้าไปแทรกแซง ไม่มีใครเสวย ไม่มีใครไป รองรับ ไม่มีผู้ยึดถือ จะเห็นจิตคิดปรุงแต่งเคลื่อนไหว เหมือนกับน้ำตกที่ไหลแรงตลอดเวลา แต่ใจไม่ปรากฏ ตัวใจ มีแต่ความสงบ ว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไร้การกระ เพื่อม ไร้การปรุงแต่งใด ๆ มีความสงบสันติสุข (น้ำ ไหลนิ่ง) หรือ เห็นความสงบ ในท่ามกลางความเคลื่อนไหว เห็นความไม่เกิดดับ ในท่ามกลางความเกิดดับ เห็นความว่างเปล่า ในท่ามกลางความมี เห็นวิสังขาร ในท่ามกลางสังขาร เห็นความสงบได้ ในท่ามกลางความสุขและ ความทุกข์ เห็นความสงบได้ ในท่ามกลางความผ่องใส และเศร้าหมอง


แล้ว ... เป็นใจที่ไร้ตัวตน ไร้ตัวใจ ไร้ความคิดหรือ การปรุงแต่งใด ๆ ไม่มีสุขทุกข์ในนั้น ไม่มีผ่องใส เศร้าหมองในนั้น ไม่มีมืดสว่างในนั้น ไม่มีกุศลอกุศล ในนั้น ไม่มีบุญบาปในนั้น ไม่มีโลกธรรมในนั้น ไม่มี อะไรเลย ... แม้แต่ความรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอาจ ยึดถือเขาได้ จะเอาตัวเราไปยึดถือเขาก็ไม่ได้ ... แต่ ... “เป็นสิ่งนั้น” เอง เห็นอย่างนี้บ่อย ๆๆๆๆๆ ... แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆๆๆๆ ... แล้วปล่อยหมดทุกสิ่ง ทั้งสังขารและวิสังขาร .... แล้วจะเป็น “ใจ” นั้นเสีย เอง โดยไม่เอา “ใจ” ไปฝากหรือไปอยู่กับอะไรหรือ สิ่งใดอีกต่อไป ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560


วางไปเสียทุกปัจจุบันขณะ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา เมื่อวานหนูได้เดิน จงกรมแบบ "ไม่ทำอะไรเลย" ดูค่ะ พบว่ามีทั้งยาก และง่าย ... ที่ยากคือ เราเคยชินกับการแทรกแซงกับ การคิดและดูความคิดตน ที่ง่าย คือ ตอนที่ไม่ทำ อะไรเลย มันไม่มีภาระใด ไม่มีอะไรต้องทำจริง ๆ นะคะ หนูสังเกตว่าช่วงที่ไม่ทำอะไรเลย เราจะได้ยิน เสียงสิ่งแวดล้อมทุกรายละเอียด เช่น เสียงรถ เสียง เครื่องบิน เสียงนกร้อง และเดินแบบไม่รู้สึกว่ามีห้วง เวลา (อันนี้ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร) ไม่ทราบว่า หนูมาถูกทางหรือไม่เจ้าคะ ขอหลวงตาชี้แนะเจ้าค่ะ หลวงตา : อาการแทรกแซง การคิด การมีผู้ดูความ คิด หรือแม้แต่มีอาการอื่น ๆ นอกจากนี้ทุกขณะ ปัจจุบัน เห็นว่าเป็นสังขารที่ไม่เที่ยงทั้งนั้น เขาเกิด ขึ้นเองเป็นธรรมดา เขาก็ดับไปของเขาเองเป็น ธรรมดา ไม่ต้องไปทำอะไรกับเขา จะเป็นอย่างไร ก็ตามทุกขณะปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสังขาร และวิ สังขาร ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น


ถ้าขณะจิตปัจจุบันนั้นมีผู้เสวย มีผู้ยึดมั่นถือมั่น ก็แสดงว่าเขาเป็นสังขารปรุงแต่ง จึงแสดงอาการให้ รับรู้รับทราบได้ ก็ให้วางไปเสียทั้งหมดทุกขณะ ปัจจุบัน ถึงแม้จะมีความรู้สึกว่ายังวางไม่ได้ ความ รู้สึกนั้นก็เป็นสังขาร จึงสามารถรับรู้รับทราบได้ ก็ให้ วางไป วางงงงง .... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560


ไม่มีตัวตน ผู้ถาม : วันนี้เดินจงกรม เห็นการทำงานของเจตสิก มี “รู้” เหมือนฉากหลังที่ว่างเปล่า เห็นความคิดเกิด แล้วก็หลุดร่วงไปเองเกือบจะทันทีที่เกิด บางครั้งก็ นานกว่านั้นหน่อย ไม่ได้ตั้งใจ “วาง” แต่มันเกิดแล้ว ร่วง เกิดแล้วร่วง ไม่ใช่แค่เห็นอาการนะคะ รู้เรื่องมัน นิดก่อนร่วงหายนะคะ ไม่มียางยึด หลวงตากรุณา บอกด้วยว่าต้องแก้ไขการปฏิบัติอย่างไรไหมคะ หลวงตา : ให้เพียรเห็นอย่างนี้อย่างต่อเนื่องไม่ขาด สาย จะชัด ไม่ชัดอย่างไร ก็เพียรเห็นไปเรื่อย ๆ ผู้ถาม : ถอยกลับไปเรื่อง “รู้” ที่เหมือนเป็นฉากหลัง ที่ว่างเปล่าของความคิดที่เกิดแล้วร่วงหาย เกิดแล้ว ร่วงหาย ตอนเดินจงกรมนะคะ นั่นจะจำแนกอย่างไร คะ ว่าเป็นวิญญาณขันธ์หรือไม่ มันก็ไม่ทำอะไร มันก็ อยู่อย่างนั้นหนะค่ะ ไม่มีความพยายามอะไร ไม่ขยับ อะไร


หลวงตา : ไม่ต้องแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ต้อง รู้ชื่อสมมติบัญญัติ ไม่ต้องรู้ว่าอะไรเป็นวิญญาณขันธ์ อะไรเป็นวิญญาณธาตุ ปล่อยให้ทุกอย่าง ทุกคิด ทุก อาการที่ได้รู้เห็น หรือได้รับรู้รับทราบในทุกขณะ ปัจจุบัน ผ่านไป จากไป พลัดพรากไป ดับไป ดับไป ดับไป ๆๆๆ .... เป็นธรรมดา ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ยึด มั่นถือมั่น ก็ไม่มีตัวตนในปัจจุบัน ไม่มีตัวตนใน อนาคต ไม่มีตัวตนในโลกใหม่ ไม่มีกิเลส พ้นทุกข์ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.