ปุจฉา - วิสัชนา พฤศจิกายน 2560

Page 1

ปุจฉา - วิสัชนา พฤศจิกายน 2561


ทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มีผู้หลงยึด ผู้ถาม : โดนหลอกไปเป็นสังขาร ตัวที่รู้สังขารเสียนาน เลยเจ้าค่ะ เข้าใจว่าสังขารมันเงียบแล้ว กำลังจะหยุด หมุนแล้ว แต่ไม่เห็นตัวที่มันคิดอยู่ในใจเลย มันเบาบาง มาก มาเห็นอีกที เอ้าถลำไปรู้เสียตั้งนาน มันถลำเพราะ มันมีตัณหา มันอยากได้พระนิพพานอยู่ ลืมตาตื่นก็เห็น ว่า พระนิพพานมีที่ไหนกัน มีแต่จิตที่เป็นสังขารที่มัน เป็นทุกข์ มันหมุนอยู่ต่อหน้านี่เอง หลวงตา : ความพยายามรักษาใจให้นิ่ง ๆ ว่าง ๆ ไม่ให้ สังขารไว้ หรือ ความอยากได้นิพพาน มันหลงเป็น สังขาร หรือ หลงสังขารปรุงแต่ง ความปรุงแต่งใด ๆ ในใจที่จะไม่ให้หลงเป็น สังขาร หรือ จะพยายามให้เป็นวิสังขารไว้ นั้น เป็น “หลงสังขาร” มันจะตกอยู่ในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เป็นทุกข์ทันที


ทุกปัจจุบันขณะ ต้องรู้แก่ใจว่า ไม่ได้หลงเป็น สังขาร หรือ ไม่ได้หลงสังขาร จึงจะไม่มีผู้ทุกข์ หรือ พ้น ทุกข์ หรือ นิพพาน หรือ ขันธ์ห้า หรือ ชีวิตที่ตกอยู่ใต้ กฎไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นความ ทุกข์ประจำขันธ์ (ทุกขสัจจ์) ยังมีอยู่ แต่ไม่มีผู้หลง สังขาร คือ ปรุงแต่งยึดถือขันธ์ห้า ให้เป็นทุกข์ ผู้ถาม : ข้อความของหลวงตารัดกุม แต่ต้องอ่านหลาย ทีแล้วพิจารณาด้วยการสังเกตตนเองเดี๋ยวนั้นเจ้าค่ะ ที่เข้าใจคือ ผลักไสสังขาร ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรืออยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และในขณะ เดียวกันก็ยึด อยากให้วิสังขารอยู่แบบนั้นเลยทุกข์ เ พ ร า ะ แ ท้ จ ริ ง แ ล้ ว สั ง ข า ร มั น เ กิ ด ดั บ ข อ ง มั น ต า ม ธรรมชาติ เราควบคุมไม่ได้ ก็ได้แต่รู้ สรุปแล้วสาเหตุคือ หนูอยากปฏิบัติได้ดี และนี่ คือกิเลส ซึ่งทำให้หนูพยายามไปยุ่งกับสังขารและวิ สังขาร หลวงตา : สาธุ สาธุ .... มีสติ ปัญญาแล้ว ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561


หลงสังขาร ผู้ถาม : กราบแทบเท้าองค์หลวงตาด้วยความเคารพ ยิ่ง โยมฟังไฟล์เสียงธรรมมาตลอด ภาวนาต่อเนื่อง ยกเว้นเดือนตุลาคม หลานปิดเทอมก็จะวุ่นวาย สติ หลุดบ่อยเจ้าค่ะ โยมเข้าใจที่หลวงตาสอน และคิดว่า ปฏิบัติได้ดี ความจริงยังกดข่มบางเรื่องที่ยึดติดค่ะ คือ เรื่องที่สามีเลี้ยงไก่ปล่อยเต็มบ้าน โยมสงสารไม่อยาก เห็น คือเขาไม่ฆ่าไม่ขาย ทำให้เยอะขึ้น ๆ เลยรำคาญ เขียนหนังสือไม่ออก (เป็นนักเขียนค่ะ) บอกให้วางยิ่ง ไม่วางค่ะ โยมเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ไปไหนเลย วน ขอ ความเมตตาชี้ทางให้โยมด้วยค่ะ อ่านธรรมฟังธรรม ใจก็ไม่ลงค่ะ เมื่อคิดว่าถ้าสามีตายแล้วเราต้องเลี้ยงไก่ ไปจนตายหนะค่ะ อยากไปอยู่วัดก็ต้องดูแลแม่และคิด ว่ามันเป็นการหนีปัญหาค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ หลวงตา : หลงไปตามความคิดปรุงแต่ง และ หลง อารมณ์ หลงมีตัว มีตัวเรา มีของเรา สรุปแล้ว หลงสังขาร ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2561


รู้แก่ใจ ผู้ถาม : ขอน้อมนมัสการหลวงตาด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ ลูกกราบขอโอกาสและขอความเมตตาองค์หลวงตา โปรดเมตตาสั่งสอนเจ้าค่ะ ลูกขออนุญาตส่งการบ้าน เจ้าค่ะ … ความไม่มีคือความไม่มีในความรู้ของจิตเจ้าค่ะ เหตุเกิดของกรรมของการเกิดทั้งหลาย เกิดจาก การที่จิตเข้าไปเกาะ เข้าไปยึด เข้าไปมีความรู้ในสิ่งนั้น ๆ การเพียรปฏิบัติในเส้นทางขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าและขององค์หลวงตาไปจนพบจิตเกิด ดับ จิตเปลี่ยนแปลง จิตเข้าไปจับ ไปปล่อย และการ เข้าไปยึดของจิตนั้น นำมาซึ่งการพบการสร้างเหตุและ การหลุดพ้นเจ้าค่ะ การถอนการตั้งในอารมณ์ ในเจตนา ในความ ปรารถนาต่าง ๆ แม้จะเป็นเพียงการได้เข้าไปรู้ การได้ เข้าไปเห็น ไปสัมผัสเพียงชั่วขณะ คือการได้เข้าไปตั้งใน อารมณ์ ในวิญญาณเจ้าค่ะ ซึ่งเป็นเหตุแห่งกรรม แห่งการ ยึดในขันธ์ทั้ง 5 ต่อเนื่อง ๆ ไปไม่จบเจ้าค่ะ


จิตมีอยู่ กายมีอยู่ ธรรมชาติมีอยู่ แต่การไร้ซึ่ง การตั้งของสิ่งทั้งปวง รวมถึงการเข้าไปมีความรู้แห่ง ธรรมะด้วยเช่นกัน ความไม่มีในความรู้ ไม่มีที่ตั้งใน สิ่งใด การไม่เข้าไปเป็นอะไรรู้อะไร สิ่งนั้นจึงไม่มี เจ้าค่ะ ... ขอหลวงตาโปรดเมตตาในความเขลาของ ลูกด้วยเจ้าค่ะ ขอนอบน้อมถวายกุศลจากความเพียร ภาวนานี้แด่องค์หลวงตาด้วยสำนึกในพระคุณและ ความเคารพอย่างที่สุดเจ้าค่ะ หลวงตา : มันเป็น “ปัจจัตตัง” เจ้าตัวจะรู้ได้ด้วยตนเอง คือ ***** อยู่ในความรู้แก่ใจ ***** ว่าทุกปัจจุบัน ขณะ มีเพียงธรรมชาติ ที่เป็น “สังขาร” คือ สิ่งที่มี ที่ ปรากฏ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ..... และ “วิสังขาร” คือ สิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่อยู่ภายใต้กฎ ไตรลักษณ์ .... ซึ่งธรรมชาตินั้น ***** ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น ***** ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561


“ผู้รู้” ไม่คิด ผู้คิด ไม่ใช่ผู้รู้ ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ พี่หมอให้ซีดีหนู 3 แผ่น หนูฟังแล้วละเอียดแก่ใจมากค่ะ โดยเฉพาะการรู้ และ วาง “ผู้รู้” อีกที และการไม่เอาสังขารไปค้นหาวิสังขาร ซึ้งใจมากค่ะ ในระหว่างที่ปฏิบัติ มีอาการแปลก ๆ คือ นั่ง สมาธิไปได้สักพัก รู้ตัวตลอดว่ากายเราค่อย ๆ พับโน้ม ไปข้างหน้าเหมือนพับพนักเก้าอี้ ค่อย ๆ พับไปจนศีรษะ จรดพื้นเลย สติจับตลอด รู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก ก็ดูที่ใจตลอดอยู่นานเลยค่ะ ไม่เข้าไปแทรกแทรง แต่ สุดท้ายเริ่มเจ็บแขนที่ถูกทับ เลยพยุงตัวขึ้นนิดเดียว เท่านั้นเอง ก็เหมือนพนักเก้าอี้เลื่อนขึ้นมา ร่างก็กลับมา ท่านั่งสมาธิลงล็อกเดิมเป๊ะ แล้วก็รู้สึกโล่ง เบาสบาย จากนั้นเพียงอึดใจก็เกิดอาการสั่น ๆ เหมือนตอนนั่ง เครื่องบิน landing แตะพื้นเลยค่ะ เดี๋ยวแรงเดี๋ยวค่อย เดี๋ยวเงียบ ก็ตามรู้ที่ใจเราตลอด (รู้อาการด้วยแต่ดูที่ ใจ) ค่ะ อยากเรียนถามหลวงตาว่า


1. หนูต้องปฏิบัติอย่างไรคะ ตอนตัวพับ ปล่อยไป เรื่อย ๆ ตามรู้ใจเราไปเรื่อย ๆ จนเขาหายเอง ที่พยุงตัว ขึ้นอย่างที่ทำไปผิดไหมคะ เพราะรู้สึกอึดอัดจริง ๆ 2. อาการเหล่านี้ เกิดจากอะไรคะ มีอะไรต้องแก้ไข ไหมคะ 3. เวลานั่งปฏิบัติ จะมีช่วงที่เหมือนสติอ่อนกำลัง (ภวังค์ใช่หรือเปล่าคะ) แล้วพักใหญ่ก็กลับมารู้ตัว เหมือนสติคืนมา หนูดูตัวผู้รู้และปล่อยวางไป ทำอย่างนี้ ถูกไหมคะ มีอะไรต้องแก้ไขไหมคะ 4. สังเกตว่าเวลาในการนั่งประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง จะเจอวงจรเหมือนข้อ 3 ประมาณ 2-3 รอบ ลมหายใจ ละเอียดจนจับไม่เจอ หนูเลยตามดูผู้รู้ ซึ่งรู้บ้างหลุดบ้าง อย่างนี้ต้องทำอย่างไรต่อ มีอะไรต้องแก้ไหมคะ จึงขอกราบเรียนถามหลวงตาโปรดกรุณาช่วย ชี้แนะด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


หลวงตา : เพียรให้มีสติ สัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม ตลอดเวลาว่า ความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง แสดงอาการต่างๆ เกิดดับออกมาจากใจที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่ขาดสติ สัมปชัญญะ หลงคิดปรุงแต่งติดจม ไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในความคิด หรือ อารมณ์ที่ถูกรู้ทุกปัจจุบันขณะ และ เห็นว่าแม้ผู้รู้ทุกปัจจุบันขณะ ก็เป็นเพียง จิตปรุงแต่ง เพียรรู้เท่าทันจิตตสังขาร คือ ความคิด ความ ปรุงแต่งทุกปัจจุบันขณะ โดยเพียรรู้ออกมาจากใจที่ ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร) “ผู้รู้” ไม่คิด ผู้คิด ไม่ใช่ผู้รู้ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561


ปฏิบัติให้ถึงรู้ออกมาจากใจ ที่ไม่สังขาร ผู้ถาม : ฟังไฟล์ของหมอหยงชัดเจนมากเจ้าค่ะ เป็น แบบเดียวกันเลย คือ "ก็รู้นะ แต่ขอคิดก่อน" แล้วก็ไม่ เข้าใจด้วยว่าทำไม มันก็รู้ไปด้วยคิดไปด้วย แต่ก็รู้ว่ารู้ ไปด้วยคิดไปด้วย แต่มันไม่หลุด มันหมุนจี๋ ๆ ตลอดเลย เลยเพิ่งเข้าใจ อ่อ มันจะไปเอาบางอย่างโดยไม่เอา "รู้" นี่เอง มันจะเอาความเข้าใจ ต้องรู้ให้ได้ ว่าเป็นอย่างนี้ ได้อย่างไร ขนาดอยู่กับวิสังขาร เป็นความสงบแล้ว พอมัน มีความคิดว่า อะไรเป็นอะไร สงบได้ยังไง ทำอะไรถึง สงบได้ (เพื่อจะได้รู้เหตุ และทำให้สงบอีกในครั้งต่อไป) แค่นั้นแหละ มันทิ้งรู้ที่เป็นความสงบ ไปหาความรู้ความ เข้าใจเพื่อจะจำเลยเจ้าค่ะ แต่ตอนฟังไฟล์ สังเกตเลยว่า มันสงบของมันเอง พออยู่กับรู้ ไม่ได้อยู่กับความเข้าใจ ธรรม มันก็สงบเอง


มันเริ่มอยู่กับสิ่งนั้นนานขึ้น แต่ขอแค่กระดิกจะไปเอา อะไร มันสิ้นความสงบไปเลยเจ้าค่ะ เหมือนจะรู้เหตุแล้วเจ้าค่ะ เหตุคือ "ไม่หา" นี่เอง เจ้าค่ะ เวลาคิดทางโลกก็เหมือนกัน ตอนแรกคิดแล้วก็ คือ จมไปกับความคิดเลย พอคิดจบจึงรู้ แต่เพิ่งสังเกต ว่า อ้อ มันจะหาคำตอบ จะเอาอะไรให้ได้ มันเลยเป็น แบบนั้น ถ้าคิดโดยไม่เอาอะไรให้ได้ มันจะเป็นอีกแบบ หนึ่ง คือ ก็คิดได้ แต่ก็ยังสงบอยู่ แต่ที่เล่าไป ว่าสงบ ๆ มันก็ยังไม่ใช่ของจริง เพราะเมื่อใดที่ความสงบปรากฏ มันมีผู้รู้ความสงบอยู่ และก็มี "รู้" ที่รู้ผู้รู้นั้นด้วยเจ้าค่ะ จากคลิปเสียง … ต่อ ไปนี้เวลารู้สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง ถ้ารู้แล้วทุกข์ นั้นไม่ใช่รู้ นั่นคือเราไปเป็นสิ่งที่ถูกรู้เจ้าค่ะ แต่สิ่งที่พิมพ์ ไปนั้นเป็นความเข้าใจ แต่รู้ว่าเข้าใจเจ้าค่ะ หลวงตา : เพียรฟังซ้ำ ๆๆๆ … และปฏิบัติให้ถึงรู้ออก มาจากใจที่ไม่สังขาร (วิสังขาร) ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561


หลงเอาตัวเราไปรู้ ผู้ถาม : หลงกลอีกแล้วเจ้าค่ะ มันรู้ไปด้วย ยึดผล ของการรู้ (คือความเบาและว่าง) ไปด้วย ถึงแม้จะรู้ ว่าเบาและว่างนะเจ้าคะ รู้ว่า "รู้" อยู่ แต่ไม่รู้ว่า "ยึด ไปพร้อม ๆ กับที่รู้" มารู้อีกที คือคิดแล้วไม่รู้ ในฝันตื่นมาสภาวะ “รู้" ที่ยึดหายไป จึงเกิดความทุกข์ลึก ๆ ในจิต เจ้าค่ะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมก็รู้อยู่แต่ก็ทุกข์อยู่ลึก ๆ แต่ยอมทุกข์เอง โดยที่ไม่ไปหนีความทุกข์สักพัก หนึ่ง จึงเห็นความจริงในสิ่งที่มันยึดอยู่ และปัญญา เริ่มเห็นแล้วว่า "สิ่งที่ถูกรู้เป็นทุกข์ เพราะตกอยู่ใน ไตรลักษณ์" และ "ผู้รู้ ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เพราะ ถึงจะรู้ละเอียดแค่ไหน หรือแม้แต่รู้โดยไม่คิดแล้วก็ เถอะ มันก็ยังรู้ไปด้วยยึดไปด้วยอยู่ดี" คือ มันเป็นธรรมชาติของผู้รู้ใช่ไหมเจ้าคะ มันต้องรู้ไปด้วย ยึดไปด้วยอยู่แล้ว ไปตามมันก็คือ ทุกข์แน่นอน


ไม่มีทางทำให้มันไม่ทุกข์ได้หรอก มันต้องทุกข์แน่นอน แล้วก็หนีมันไม่ได้ด้วยเจ้าค่ะ ได้แต่ยอมรับมันตาม ความเป็นจริง ก็ความจริงมันเป็นแบบนั้น หลวงตา : ผู้รู้ที่ยึดได้ เป็นทุกข์ เป็นสุข มีความอยาก อย่างใด ๆ ได้ แสดงว่า หลงยึดถือเอาขันธ์ห้าเป็นตัว เรา แล้วเอาตัวเราซึ่งเป็นขันธ์ห้า ไปคิดปรุงแต่งทำเป็น รู้ สรุปแล้ว หลงเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทานขันธ์ ห้า ***** ถ้าเป็นธรรมชาติของธาตุรู้ หรือ จิตเดิม แท้ ๆ หรือ ใจเดิมแท้ ๆ จะได้แต่เพียงสักแต่ว่ารู้ขันธ์ ห้าอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริงเท่านั้น ไม่อาจจะคิดหรือปรุงแต่งยึดถือได้ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561


เพียรปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ผู้ถาม : ขออนุญาตส่งการบ้านครับ พ่อแม่ครูอาจารย์ จากการสังเกต มีสังขารเกิดขึ้นดับลงตลอดเวลา จิตรู้ รู้ว่าเกิดขึ้น และสังขารนั้นก็ดับลง จิตก็รู้ว่าดับลง ศิษย์ พิจารณาเห็นว่า รู้นั้นมันเกิดดับได้ตามสังขาร แสดง ว่าจิตรู้นั้นก็เป็นสังขารเกิดดับอยู่ในธรรมชาติ เมื่อ สังเกตให้กว้างอีกมันจะมีรู้ที่เห็นสองอย่างนั้นเกิดขึ้น ดับไป อีกรู้ก็เกิดขึ้นอีกเป็นรู้เฉย ๆ ไม่แทรกแซงอะไร ธรรมชาตินี้ไม่มีสังขารหรือวิสังขารมาก่อนมันเกิดขึ้น ตอนมีเรา หลวงตา : เพียรปฏิบัติและทำความเข้าใจตามที่สอน อย่างต่อเนื่อง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561


อย่าปฏิบัติแค่ในรูปแบบ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ลูกนั่งสมาธิ ในรูปแบบ แต่พอออกสมาธิลูกจะรู้สึกมึน ๆ ค่ะ และ การนอนหลับปกติบางครั้งจะมีความรู้วืด ๆ ค่ะ กราบถามหลวงตาลูกปฏิบัติอะไรผิดคะ การถือศีล 5 ของลูกยังมีพลั้งเผลอที่จะพูดเล่น (เพ้อเจ้อ) อยู่บ้าง ค่ะ การดูตนเอง พุทโธจะระลึกได้เป็นช่วงสั้น ๆ ใน ระหว่างวันอยู่ค่ะ หลวงตา : กรณีอย่างนั้นสติขาด ให้มีสติตื่นรู้เท่าทัน จิตตสังขารที่เกิดดับออกมาจากใจที่ไม่ปรุงแต่งใน ทุกปัจจุบันขณะ อย่าเน้นการปฏิบัติเฉพาะนั่งสมาธิในรูปแบบ เท่านั้น สติ มันจะไม่ต่อเนื่อง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561


สิ้นผู้ยึดถือ ผู้ถาม : ขอโอกาสเรียนถามหลวงตาว่า ผู้ที่มีกายอัน เป็นทิพย์ละเอียด จิตอยู่กับความใสของธาตุบริสุทธิ์ จนไม่กระเพื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น จะพิจารณา ธรรมอย่างไร จึงจะเห็นวิปัสสนา เพื่อพ้นจากทุกข์ได้ ครับ หลวงตา : มีสติ ปัญญาสังเกตเห็นว่า แม้กายทิพย์ จิตทิพย์ ความรู้ทิพย์ ผู้รู้ทิพย์ จะมีความละเอียด เพียงใด ก็ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่น ถ้าสังเกตให้ดี ๆ จะเห็นความที่ผ่องใส นั้น มีความเศร้าหมองนิด ๆ ได้

และ ยังมีความ

ทุกข์น้อยหนึ่ง นิดหนึ่งกับการที่ต้องสงวนรักษา และ มีสติ ปัญญา สังเกตเห็นว่า แม้จะมีความสงบเพียงใด ก็มีความเคลื่อนไหว ในความว่าง มีความปรากฏในจิตหรือในผู้รู้ ในท่ามกลางสังขาร มี วิสังขาร หรือ ในอัตตา มี อนัตตา


มีสติ ปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่า สังขารทุก ปัจจุบันขณะ ไม่ว่าจะถูกใจ ซึ่งทำให้รู้สึกเป็นสุข หรือ ไม่ถูกใจ ซึ่งทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ ล้วนไม่เที่ยง หากหลง ยึดถือ ย่อมเป็นทุกข์ หากไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ ก็พ้น ทุกข์ จึง ไม่มีตัวตนหรือผู้ยึดถือทั้งความเคลื่อนไหว และ ความสงบ ทั้งความปรากฏ และ ความว่าง ทั้งสังขาร และ วิสังขาร ทั้งอัตตา และ อนัตตา “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ธรรมทั้งปวง ทั้งสังขาร และ มิใช่สังขาร (วิ สังขาร) ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่เรา ตัวเรา ของเรา อย่า หลงยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา หรือ สิ้นความยินดี และ ยินร้าย


*****ใจจึงว่างเปล่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาในใจ หรือ มีแต่ชื่อว่าจิตหรือใจ แต่ไม่มีตัวจิต ตัวใจ นั่นแหละ คือ ที่สุดแห่งทุกข์ หรือ ความสุข ความทุกข์ประจำขันธ์ ซึ่งเป็นทุกขสัจจ์ มีอยู่ แต่เข้าไม่ถึง หรือไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ หรือ ผู้เสวยให้เป็นทุกข์ *****ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ แม้ความไม่ยึดถือ ไม่มีตัวตนยึดถือใจว่าง หรือ นิพพาน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561


ทุกข์เพราะประมาทในกิเลส ประมาทในธรรม ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตาเจ้าค่ะ ที่ผ่านมาคิดว่า เข้าใจจิตตสังขาร การปล่อยวางจิตตสังขาร

มัน

เป็นน้ำไหลนิ่ง ไม่หวั่นไหวให้เป็นทุกข์ เพราะรู้ว่า ทุกอย่างคือสังขารและไม่ติดในสมมติ แต่มาวัน หนึ่งเจอตัวบุคคลที่เคยมีเยื่อใยกันมาก่อน มันมี ความหวั่นไหวดิ้นรนของจิต กลายเป็นไม่อยู่ที่รู้ ซื่อ ๆ มันไม่ซื่อ สุดท้ายก็ทุกข์ มันทนทุกข์เจ้าค่ะ มี น้ำตาของความอยากหยุด แต่หยุดไม่ได้ จนมัน ทนทุกข์ไม่ได้จริง ๆ มันก็วางเอง มันยังเห็นความ อยากที่เกิดจากความคิด แล้วมันก็ดับเองเพราะรู้ ว่าทุกข์ หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนการปฏิบัติธรรม คง เลือกเดินอีกทางที่ทำให้เพิ่มทุกข์มากขึ้น ทุกข์ เพราะห่วงใย คิดถึง อาทร มีเยื่อใยต่อกัน มันทุกข์ ทั้งนั้น กิเลสบังธรรม ขนาดทนฟังคลิปหลวงตาไม่ ได้เลย เพราะยึดทุกข์อยู่ แต่ที่สุดของความทุกข์ มันทนทุกข์ไม่ได้ มันก็วางของมันเองเจ้าค่ะ


จิตมันเคยจำสภาวะน้ำไหลนิ่ง มันก็กลับไปเป็น แบบนั้น ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทั้งความทุกข์ และน้ำไหลนิ่ง ยิ่งตอนทุกข์มันรับไม่ได้ อยากกลับไป เป็นน้ำไหลนิ่ง มันยิ่งทุกข์

ก้าวแรกของการออกจาก

ทุกข์ คือการยอมรับตามความเป็นจริงเจ้าค่ะว่าหลง ไปกับกิเลส และรู้ว่ามันก็แค่นั้น ยึดให้ทุกข์ทำไม วาง ซะ ก็จบที่ใจแล้วเจ้าค่ะ กราบสาธุองค์หลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตา : ที่เป็นเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมามีความประมาท ในกิเลส และประมาทในธรรม จะได้เป็นบทเรียนที่มี คุณค่า พิจารณาความไม่เที่ยงของสังขารกายและ จิตใจให้มาก ๆๆๆ ...... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561


ความไม่มีอะไรเกิดดับ นั่นแหละ พ้นทุกข์ ผู้ถาม : เดินจนหมดแรง พักเดียวเวทนาหายหมด แรงมีแรงมา เดินต่อจนหมดแรง ทำแบบนี้ตาม โอกาส ขณะเดินเห็นเกิดดับของกายขยับ เกิดดับ ของเวทนาและลมหายใจ เห็นอสุภะหนอนขึ้นเต็มตัว โยมอยู่กับรู้ (รู้เด้งขึ้นมาเอง) ได้บ่อยขึ้นนานขึ้น ใจรู้ ว่าไม่มีอะไรเที่ยง บังคับอะไรไม่ได้เลย ไม่เที่ยง เป็น ทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน โยมมาถูกทางไหมเจ้า คะ หลวงตา : รู้เห็นออกมาจากใจที่ไม่ปรุงแต่ง (วิ สังขาร) ว่า “ทุกสรรพสิ่ง (สังขาร) เกิดมาจากความไม่มี อะไร แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มีอะไร ไม่มีตัวตนของเราในสิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีตัวตนของเราในผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ มีแต่สังขาร รวมทั้งผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ เป็น สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับ เอง ..........


หรือ คงมีแต่สังขาร รวมทั้งความคิด ความรู้สึก ว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา เป็นสิ่งที่เกิดเองดับเอง จากความไม่มีอะไรเกิดดับ และ เห็นความจริงว่า สังขาร เป็นสิ่งเกิดดับ ไม่ เที่ยง เป็นทุกข์ ***** ความไม่มีอะไรเกิดดับ นั่นแหละ พ้น ทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561


ไม่มีใครเป็น “รู้” ผู้ถาม : ตอนนี้บางครั้งก็ "ตามรู้" บางครั้งก็ "เท่าทัน" เจ้าค่ะ มันรู้ว่ามีตัวเราไปหมาย แบบที่หลวงปู่เทสก์ ท่านกล่าวไว้ ถ้าตามรู้ก็ไม่มีวันได้พบใช่ไหมเจ้าคะ หลวงตา หลวงตา : ถามใจตัวเองว่า ตามรู้เท่าทัน เพื่ออะไร เพื่อใคร .... นั่นมันอวิชชาไม่ใช่หรือ ผู้ถาม : สาธุ กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาลูก มาตลอดเจ้าค่ะ ถ้าหยุดแค่เป็น "ผู้รู้" มันจะรู้ตามหลัง จิต คือ ตามรอยโคเสมอไป ไม่มีวันเท่าทันจิตได้เลย แต่ สิ่งที่รู้ว่า "ผู้รู้" รอยโค เกิดดับ นั่นจึงสามารถ "รู้ เท่าทันจิตได้" เจ้าค่ะ รู้เกิดพร้อม รู้ดับพร้อม ไม่ขาด ไม่เกิน เจ้าค่ะ อย่างนี้ ก็แยกได้ออกแล้ว จากที่ คลุมเครืออยู่ คือ เมื่อไหร่ "รู้ตามหลัง" นั่นคือ "เป็นผู้ รู้" อยู่นั่นเอง


ที่ผู้รู้ มันรู้ ไม่ใช่ "รู้" แต่ที่มัน รู้ว่า "เป็นผู้รู้" อยู่ นั่น คือ "รู้" จริง ๆ ซึ่งรู้นี้เกิดพร้อมผู้รู้ ดับพร้อมผู้รู้เจ้าค่ะ ตรงนี้ ละเอียดมากเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้คลุมเครือ แยกไม่ออกเลยเจ้าค่ะ มันงง ๆ หลวงตา : ไม่มีใครเป็น “รู้” ได้แต่รู้แก่ใจว่าไม่มีตัว ตนของผู้ยึดถืออีกต่อไป ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561


ไม่หลงยึดสังขาร ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ลูกกราบ ขอโอกาสขอเมตตาองค์หลวงตา ขยายความเข้าใจ ในธรรมบทนี้ให้ลูกด้วยเจ้าค่ะ ลูกกลับไปฟังไฟล์ เสียงถอดรูปปรมาณูวิญญาณขององค์หลวงตาแล้ว แต่อยากขอเมตตาองค์หลวงตาขยายความเข้าใจใน ส่วนนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อธรรมด้วยเจ้าค่ะ .................... "จิตที่น้อยที่สุด คือ ‘ปรมาณูจิต’ คือ รูปมันน้อยที่สุด รูปมันน้อยที่สุดแล้วแยกให้น้อยไปอีก ไม่มีอะไรที่จะแยกต่อไปอีกแล้ว" .............. น้อมกราบขอเมตตาขอความรู้จากองค์หลวง ตาเจ้าค่ะ ลูกอยากรู้ในขั้นตอนของการปฏิบัติเจ้าค่ะ ว่าแยกให้น้อยลงไปอีก ไม่มีอะไรจะแยกต่อไปอีก แล้วเจ้าค่ะ


หลวงตา : ไม่ใช่แยก แต่เห็นว่า สังขารที่กระดุก กระดิกได้ แม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง จนถึงปรมาณูหนึ่งที่ ไม่อาจแยกได้เล็กกว่านี้อีกแล้ว ล้วนเป็นสังขารปรุง แต่ง เป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วดับไป เป็นธรรมดา เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่อาจยึดถือ เอาไว้ได้ หากหลงยึดถือหรือหลงเป็นสังขาร เมื่อ สังขารเปลี่ยนแปลงไป ย่อมเป็นทุกข์ จึงไม่มีผู้หลงยึดถือสังขาร หรือ ไม่หลงเป็น สังขาร ใจก็จะว่างเปล่า และเมื่อไม่หลงเป็นสังขาร หรือไม่หลงยึดถือสังขาร จึงไม่หลงเอาสังขารปรุง แต่งมายึดถือใจที่ว่างเปล่า ใจจึงเป็นความว่างเปล่าที่บริสุทธิ์ หรือ เป็นวิ สังขาร คือ เป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง จึง เหนือหรือพ้นจากการคิด พูด กระทำที่เป็นความปรุง แต่ง ถึงตรงนี้ จึงไม่มีคำพูด ไม่มีคำอธิบายใดอีก เป็นปัจจัตตัง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561


ปล่อยวางด้วยการ ไม่พยายามปล่อยวาง ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ ลูกไม่รู้จะทำให้หายโง่ อย่างไรแล้ว ทำให้มันเลิกเองไม่ได้เจ้าค่ะ จนปัญญา จริง ๆ เจ้าค่ะ ที่สำคัญคือ มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยากพ้น ทุกข์ รู้ได้เฉพาะเวลามันมีความพยายามอะไรขึ้นมา เช่น มันปรุงความน้อยใจวาสนาตัวเองขึ้นมา ซึ่งนั่นมัน ก็คือความอยากจะเอาเจ้าค่ะ ลูกขอกราบขอขมาองค์ หลวงตาอย่างสูงเจ้าค่ะ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนและ ปล่อยวางตามที่องค์หลวงตาชี้ไม่ได้สักทีเจ้าค่ะ หลวงตา : ด้วยการไม่พยายามปล่อยวางให้ได้ มันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นแค่สังขารปรุงแต่ง ไม่ต้องไปพยายามทำอะไรกับสังขาร ปล่อยให้สังขารปรุงแต่งเป็นไปอย่างที่เขาเป็น


ใจหรือจิตเดิมแท้ หรือ วิสังขาร หรือ สุญญตา ก็คง เป็นธรรมชาติที่เงียบ สงบ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่าง เปล่าจากความปรุงแต่งของเขาเอง ไม่มีใครบังอาจ ไปปรุงแต่งให้เขาสงบจากความปรุงแต่งได้ ยิ่งพยายามให้ใจเป็นธรรมชาติที่สงบ ว่าง เปล่าจากตัวตน เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง กลับหลง สังขารปรุงแต่ง

ปล่อยให้สังขารทุกปัจจุบันขณะเขา

จะเป็นอย่างไร ก็คงเป็นธรรมชาติของเขา ไม่เกี่ยวกับ เราหรือตัวเรา เพราะตัวตนของเราไม่มีมาตั้งแต่แรก ที่มีความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา จะต้องพยายาม กระทำอะไร เพื่อช่วยให้ตัวเราถึง ตัวเราได้ ตัวเรา เป็นอะไร มันจะหลงยึดถือสังขาร เป็น อวิชชา เรื่อย ไป ธรรมชาติแท้ ๆ ไม่มีตัวตนของเรา หรือ ไม่มี ตัวจิตตัวใจหรือตัวเราไปอะไร ๆ กับสังขาร และ วิสังขาร


เมื่อสิ้นตัวตน หรือ สิ้นตัวจิตตัวใจไปอะไร ๆ กับอะไรในปัจจุบันขณะ ใจหรือจิตเดิมแท้เขาก็เป็น ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ว่างเปล่า เป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ของเขา ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีปรุงแต่ง เป็นความสงบ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ซึ่ง เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของวิสังขารหรือธาตุรู้หรือ ธรรมธาตุ หรือ สมมติชื่อว่าใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ ความสงบ ความไม่เคลื่อนไหว ความไม่ปรุง แต่งของใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ จึงจะหลุดพ้นจากสังขาร หรือ ความปรุงแต่งเป็นเรา ตัวเรา ของเราได้ ไม่ใช่ หลงเอาสังขารไปพยายามให้หลุดพ้นจากสังขาร หรือ ความทุกข์ ผู้ถาม : น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า โยมรู้ แล้ว เห็นแล้ว สภาวธรรมเองก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวรู้ เดี๋ยว หลงเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561


เพียรพิจารณาสัจธรรมความจริง ให้ต่อเนื่อง ผู้ถาม : มีสิ่งหนึ่ง ที่ลูกไม่เข้าใจ ทำไมเวลาธรรมจาก ภายนอกกระแทกใจ น้ำตาไหล มันถึงต้องเป็น "การ กระแทกจากภายนอก" แต่การรู้ธรรมเห็นธรรมจาก ภายในตัวเอง มันถึงไม่เจื๊อกแบบนี้เจ้าค่ะ สองสิ่งนี้ต่าง กันอย่างเห็นได้ชัดว่า ถ้าโดนกระแทกจากภายนอก มัน จะหยุดนิ่งชั่วขณะหนึ่งได้ แต่พิจารณาเองจากภายใน มันไม่หยุดถึงใจเลยจริง ๆ หลวงตา : ให้มันเห็นความจริงทั้งข้างนอกและข้างใน อย่างต่อเนื่องไม่ขาดวรรคขาดตอน การที่มันเห็นความจริง จนสะเทือนถึงใจอยู่บ่อย ๆ แสดงว่าอวิชชาที่หนาเตอะถูกล้างออกไปมากแล้ว เพียรพิจารณาให้เห็นสัจธรรมความจริง ทั้งภาย นอกและภายในให้ต่อเนื่อง แล้วจะสิ้นสงสัยเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561


ตัวเราไม่มี มีแต่มายา ผู้ถาม : กราบสาธุเจ้าค่ะองค์หลวงตา ตอนนี้ลูก เหมือนคนเป็นโรควัยทองเจ้าค่ะ มันปั่นป่วนไปหมด เหมือนมีสองคนในที่เดียวกัน คนหนึ่งโวยวาย วุ่นวาย หมกมุ่นเป็นทุกข์เหมือนคนบ้า อีกคนหนึ่งก็ดูคนบ้า เล่นละคร แต่มันเป็นคนบ้าทั้งคู่เลยเจ้าค่ะ ไอ้คนที่ดู เขาอยู่มันชงตัวมันเอง ชงเองกินเอง มันเป็นตัว แอ็คชั่นตัวเองเจ้าค่ะ ลูกอธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่ามันเป็น โจรที่มาในคราบผู้ดีเจ้าค่ะ แต่ก็ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ ให้ เค้าทำเค้าเล่นเค้าแสดงของเค้ากันไป ไม่ไปร่วมเล่น กับเค้าก็ไม่เหนื่อยดีเจ้าค่ะ หลวงตา : ปล่อยให้ทั้งสองตัวเขาแสดงละครมายาไป อย่างนั้นแหล่ะ ปล่อยเขาแสดงละครไปทั้งสองตัว ตลอดเวลา เพราะเขาทั้งสองตัวล้วนเป็นมายาตลอด เวลา ไม่ใช่เรา ตัวเรา ของเรา ตัวเราไม่มี มีแต่ตัว มายานั้น ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561


หลงยึดถือเรา ตัวเรา จิตหรือใจ ของเราเป็นอวิชชา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ขอโอกาส กราบเรียนถามเจ้าค่ะ ในกรณีที่นั่งฟังหลวงตาสอน แล้วมีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม ฟังหลวงตา สอนรู้เรื่องและเข้าใจทุกอย่าง แต่ในใจมันว่างไม่ เห็นความคิดเกิดดับทั้ง ๆ ที่มีสติรู้สึกตัวอยู่ แบบนี้ คือ แช่ว่างหรือเปล่าเจ้าคะหลวงตา กราบ กราบ กราบ ขอบพระคุณหลวงตา พ่อ แม่ครูอาจารย์ที่เมตตาสั่งสอนเจ้าค่ะ หลวงตา : รู้สึกว่าง ผู้รู้ความว่าง ผู้เข้าใจ ผู้คิดตรึก ตรองเกี่ยวกับธรรมที่เข้าใจในปัจจุบันขณะ ล้วน เป็นสังขารปรุงแต่ง ผู้รู้สึกว่าเราว่าง ใจของเราว่าง เราเข้าใจมาก เราฟังคราวนี้เข้าใจชัดเจนมาก ... เรา ... ถ้าหลงยึดถือเป็นเรา ตัวเรา จิตหรือใจของ เราจริง ๆ จะเป็น อวิชชา (เพราะไม่มีสติ ปัญญา รู้ เท่าทัน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561


ที่สุด ... สิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นผู้ยึดถือ ผู้ถาม : หลวงตาคะ พอมันเป็นรู้แล้วมันก็รู้อยู่ร่ำไป อะไรเกิดขึ้นก็รู้ รับรู้ทุกอย่างทุกอาการ ทุกอารมณ์ และรู้นี้ก็ยึดถือไม่ได้เลย มิน่าถึงเรียกว่ารู้ชื่อ ๆ สักแต่ ว่ารู้ สังขารเปรียบเหมือนคมมีด รู้จะคอยติดเป็นสัน ไปตลอดในขณะที่สังขารเกิดขึ้น สาธุ พ่อแม่ครู อาจารย์ที่แจกจ่ายรู้นี้ ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นนี้จงก่อ เกิดเป็นบุญ ขอให้พ่อแม่ครูอาจารย์มีธาตุขันธ์แข็ง แรงแจกจ่ายธรรมอันบริสุทธิ์นี้ตลอดไป หลวงตา : สาธุ ที่สุด ....... สิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นผู้ยึดถือทั้งคมมีดและสัน มีด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561


เห็นโทษของความหลงสังขาร ใจจึงปล่อยวาง ผู้ถาม : กราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ หนูขอกราบเรียน ถามเจ้าค่ะว่า เวลาที่หนูเกิดความไม่พอใจ หรือ โกรธ โมโห มันจะมีการเข้าไปพิจารณา วิเคราะห์ ตรึกตรอง แล้วอาการเหล่านั้นเหมือนมันแยกกับใจ หนูเจ้าค่ะ แล้วมันก็ดับเดี๋ยวนี้ มันมีอะไรเกิดขึ้น มัน ต้องเข้าไปพิจารณาตรึกตรองทุกครั้งเจ้าค่ะ หนูขอ ความเมตตาองค์หลวงตาชี้แนะแก่หนูที่ยังด้อย ปัญญาด้วยเจ้าค่ะ ขอน้อมกราบสาธุองค์หลวงตา ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ หลวงตา : ก็ต้องพิจารณาอย่างนั้นแหละ เพื่อให้เห็น สัจธรรมของสังขาร ว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา และมีปัญญาเห็นทุกข์ โทษ ภัย ของความ หลงสังขาร หรือ ยึดถือสังขาร ให้เป็นทุกข์ ใจจึง ปล่อยวาง หรือ สิ้นหลงยึดสังขาร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561


ต้องทำใจยอมรับความจริง หากเลือกยอมอยู่กับทุกข์ ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ ลูกจะกราบเรียนถาม หลวงตาค่ะว่า หากเรามีสามีเจ้าชู้มาก เราควรจะวาง จิตใจอย่างไรคะ ไม่ให้ทุกข์กับเรื่องนี้ค

อะ

หลวงตา : ความรักใคร่ผูกพัน มันเป็นทุกข์ เมื่อยอมที่ จะอยู่กับทุกข์ ก็ต้องทำใจยอมรับความจริงให้ได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561


ผู้รู้ตื่น รู้แจ้ง รู้เบิกบาน ผู้ถาม : กราบถามหลวงตานะคะ เมื่อคืนฝันว่า มีท่าน ท้าวเวสสุวรรณมาถามว่า เห็นผู้รู้ตื่น รู้แจ้ง รู้เบิกบาน ไหม คำถามคือ อะไรคือผู้รู้ตื่น รู้แจ้ง รู้เบิกบานคะ เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเลยค่ะ หลวงตา : คือ ผู้ที่สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่า ได้กลิ่น สักแต่ว่ารู้รส สักแต่ว่ารู้สัมผัส สักแต่ว่ารู้ ธรรมารมณ์หรืออาการทางจิตหรืออาการทางใจ สักแต่ ว่ารู้แจ้ง ไม่ติด ไม่ยึดอะไรซักอย่าง ไม่ยึดถือว่าเราหรือ ตัวเราเป็นผู้รู้ ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง เรียกว่า “พุทโธ หรือ พุทธะ” หมายความว่า เป็นผู้มีสติสมบูรณ์เป็นธรรมชาติ อัตโนมัติ หรือ เป็นผู้รู้ (รู้แจ้งถึงใจในสัจธรรมความ จริง) เป็นผู้ตื่น (ตื่นจากอวิชชา เสมือนกับตื่นจาก ความหลับมายาวนานมาก ๆๆ .....) เป็นผู้เบิกบาน (ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเรา หรือตัว จิตใจไปยึดถือสิ่งใดให้เกิดความทุกข์ เศร้าหมอง) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561


คาคำพูดอยู่ แต่ข้อปฏิบัติพ้นทุกข์บ่คา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ หนูอ่านโอวาทธรรม เมื่อวานนี้เจ้าค่ะ สงสัยตอนท้ายว่า “คาคำพูดอยู่ แต่ข้อ ปฏิบัติพ้นทุกข์บ่คา” หมายถึงพูดอธิบายไม่ได้ แต่ทำได้ หรือ ปฏิบัติอย่างเดียว สงสัยไม่เอาช่างมัน หรือเจ้าคะหลวงตา กราบขอหลวงตาโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา :

คือ ท่านพ้นทุกข์เฉพาะตน แต่นึกหาคำพูดที่จะ

บอก จะสอนให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้

เนื่องจากไม่มีธรรมผุดขึ้น

มาให้รู้ว่าจะพูด จะสอนอย่างไร เขาจึงจะเกิดปัญญารู้แจ้ง เหมือนหงายของคว่ำ เพราะไม่มีอภิญญาญาณ จึงไม่สามารถรู้วาระจิต รู้ กรรมในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ระลึกชาติไม่ได้ ไม่มีตาทิพย์เห็นรังสีจิต และไม่มีหูทิพย์ และไม่มีปฏิ สัมภิทาญาณ ไม่รู้แจ้งแตกฉานในอรรถ และพยัญชนะ สามารถ หยิบยกขึ้นมาใช้ได้ทันที ไม่มีไหวพริบ ปฏิภาณ สามารถหยิบยกสิ่งใกล้ตัว หรือ ตัวอย่างที่ตรงประเด็นขึ้นมาแก้ไข โต้ตอบได้ทันที ทันใด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561


ไม่ยึดถือ ไม่เกิดปฏิสนธิวิญญาณ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ข้อความที่ว่า พระพุทธเจ้าให้วางเสีย ให้ดับวิญญาณเสีย หมายถึง เมื่อรู้อะไรแล้วมีผู้บ่น ผู้พูด ผู้พากษ์ ผู้เข้าใจ แค่รับรู้ รับทราบสิ่งนั้นตามความเป็นจริง ณ ขณะนั้นแค่นั้น เท่านั้น ใช่ไหมครับหลวงตา หลวงตา : สักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือ ไม่เกิดปฏิสนธิ วิญญาณ หรือ ดับวิญญาณที่ก่อภพ เตรียมไปเกิด เสียในปัจจุบัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561


อยากหนีออกจากทุกข์ ยิ่งทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ จะสอบถามว่า ณ ขณะที่เรามีปัญหาที่ต้องแก้ไข ซึ่งเป็นปัญหาในการ ทำงาน เห็นเลยว่าจิตมันมีความวิตกกังวล ความกลัว และจะคิดวกวนซ้ำไปมา ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ยังเห็น จิตจมอยู่กับความทุกข์จากเหตุการณ์นี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เหมือนจะปล่อยวางได้ทุกอย่าง ไม่ทุกข์กับอะไรง่าย ๆ พอเจอเหตุการณ์หนัก ๆ ก็ยังไปไม่ถึงไหน หนูต้องทำ อย่างไรต่อคะ หลวงตา : อย่าจะอยากให้ไม่ทุกข์ หรือ อย่าไปอยาก หนีออกจากทุกข์ มันจะยิ่งเป็นทุกข์ ให้มีสติ สัมปชัญญะอยู่กับคำบริกรรมว่า “พุทโธ ๆๆๆๆๆ.......” ปล่อยให้อาการหรืออารมณ์ทุกอย่างในปัจจุบัน ขณะเป็นไปตามความเป็นจริง ไม่มีใครแทรกแซง ไม่มี ใครยึดมั่นถือมั่น ผู้ถาม : ค่ะ แค่ยอมรับความจริง กราบขอบพระคุณ หลวงตาค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561


เพียรพิจารณาอสุภกรรมฐาน ให้ต่อเนื่อง ผู้ถาม : ส่งการบ้านของเมื่อคืนเจ้าค่ะ กลับจากคลินิก มันง่วงมากเจ้าค่ะ แต่ก็พยายามฝืนกันเวลาเอาไว้ ภาวนาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อน เดินก็ปวดขา นั่ง หลับตาก็ง่วง

เลยเอาสร้อยลูกประคำมานั่งนับแทน

การเดินเคลื่อนไหว รู้สึกสัมผัสมือเลื่อนสร้อยไปเรื่อย ๆ มันสงบ ไม่คิดอะไร สักพักเหมือนมันถูกดูดวูบไป บรรยากาศรอบ ข้างกลายเป็นป่าช้า มีแต่ความมืด หลุมศพ เสียงนก แสกร้อง มีแต่ความตาย ตอนแรกสติหลุดเลยเจ้าค่ะ ความคิดปรุงแต่งเข้าแทรกว่าตัวเราเป็นอะไร ทำไมมา อยู่ตรงนี้ เลยถอนออกมารู้สึกตัวที่นับลูกประคำใหม่ สักพักสงบใหม่ก็เข้าไปพิจารณาในป่าช้า มันเงียบ สงบ

รู้สึกเหมือนเป็นสิ่งที่ตัวเราเองคุ้นเคย

เคยมานั่งกลางป่าช้าแบบนี้

เหมือน

เคยพิจารณาแบบนี้มา

แล้วจริง ๆ สักพักก็มีศพเลื่อนมาให้ดู เป็นศพเน่าโดนหมา ป่ากับกาจิกกินบ้าง ภาพโครงกระดูกโดนคุ้ยเขี่ยบ้าง แต่เห็นแล้วก็ไม่ละเอียดเท่าไหร่


แต่ศพที่ติดตาติดใจมาก คือ ศพผู้หญิงที่โดนเชือก แขวนกลางลำตัวห้อยไว้ แล้วเรามองพิจารณาจาก ด้านล่าง เห็นตรงท้องเนื้อเน่าเฟะ ร่วงหล่น มีลำไส้ สด ๆ อยู่ภายใน ภาพในความรู้สึกมันชัดมาก นิ้ว แตะลำไส้ยังหยุ่น ๆ มัน ๆ อยู่เลย

จึงขยายภาพ

ออก และเดินเข้าไปสำรวจในลำไส้นั้น ผ่านอุจจาระ เดินย้อนขึ้นไปเจอเศษอาหารเก่า อาหารใหม่ อยู่ใน นั้นสักพัก ก็ถอนออกเจ้าค่ะ ถึงตอนนี้ลูกอยากขอคำ แนะนำหลวงตาว่า การที่นิมิตมันมาเป็นแบบนี้

คือ

เราพิจารณาไปตาม flow ของนิมิตนั้นได้เลยไหม เจ้าคะ มันสมจริงมาก แต่มันให้ความรู้สึกเหมือน พิจารณาศพทั่ว ๆ ไป ยังไม่ได้น้อมเห็นเป็นตัวเอง หรือควรจะถอนออกจากนิมิตอันนี้ มาพิจารณาแยก ธาตุของตัวเราเองใหม่ หรือควรจะพิจารณาศพไป ตามนิมิตจนชัดเจน แล้วค่อยน้อมเข้าหาตัวว่าตัวเรา ก็เป็นเช่นนี้


เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ลำไส้ที่เห็นมันสด ใหม่ มันวาว สมจริง เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นสุภะในใจตัว เอง เห็นมันสวย ชอบ มันเลยชัด และสำรวจลึกเข้า ไป ๆ มันยิ่งชัดขึ้น ๆ สว่างขึ้น ๆ ในขณะที่ส่วนอื่นของ ร่างกายดำเน่าไปหมดแล้ว เมื่อจิตรู้ตัว มันย้อน เข้าหาตัวเองว่า ตัวเรายึด ตัวเรายังมีสุภะอยู่ พอมัน รู้ตัว มันจึงถอนออกจากสิ่งนั้น ภาพที่สว่าง เริ่มมืด ลำไส้เริ่มเหี่ยวดำแล้ว ที่แท้ ทุกสิ่งที่เห็น ไม่ว่าจะเป็น รูป นาม คือ ภาพที่สะท้อนออกจากใจเรา นี่เอง มิน่าเล่า รู้ธรรมเห็นธรรมขนาดไหน มันก็ ไปต่อไม่ได้ เพราะจิตตัวเองมีสุภะกับธรรมที่เห็น แล้ว มันไม่รู้ตัว ไม่เห็นตรงนี้เลย จึงต้องมาพิจารณารูป เพื่อให้เข้าถึง “ตัวเราผู้ยึดถือ” ใช่ไหมเจ้าคะ หลวงตา : สาธุ ให้มีสติ น้อมพิจารณาที่เห็นอสุภะ และมรณานุสสติมาให้ละเอียดต่อเนื่องไม่ขาดสาย เห็นแล้วอย่าถอนขึ้นมา เพียร เห็นให้มาก ๆๆๆ… ให้ ต่อเนื่อง จะแจ้งประจักษ์แก่ใจจริง ๆ แล้วจะสิ้นสงสัย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561


ปล่อยวาง “ตัวเรา” ผู้รู้ความเบาโล่ง ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ ตลอด 1 ปีที่โยมเป็นศิษย์หลวงตา โยมฟัง, อ่าน ธรรมะและภาวนาที่บ้านได้ โดยไม่ค่อยปรารถนาที่จะ ออกไปแสวงหานอกบ้านอีก เพราะมีธรรมะของ หลวงตาอยู่ในจิตในใจ และอยู่ในมือถือติดตัวไป ตลอดทุกที่ วันนี้หลังจากเดินจงกรมรอบเช้าและอ่าน และฟังธรรมของหลวงตาแล้ว อยู่ ๆ จิตโยมเปลี่ยน จิตโยมเงียบ สงบ สงัด และรู้ขึ้นมาเองบ่อย ๆ ถี่ ๆ จนถึงขณะนี้เจ้าค่ะ น้อม กราบขอคำชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ ความยึดถือตัวตนก็หาย ไปด้วยเจ้าค่ะ เบา โล่ง โปร่ง สบายเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ปล่อยให้เขาเบา โล่ง โปร่ง สบายไป อย่างนั้น ไม่ให้ยึดถือ ให้พิจารณาปล่อยวางตัวเราผู้ รู้เบา โล่ง..... อย่างเดียว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561


เมื่อไม่ยึดถือ ก็ไม่มีผู้ทุกข์ ผู้ถาม : กราบนมัสการแทบเท้า ขอโอกาสหลวงพ่อ ครับ หลวงพ่อครับ การที่จะกำหนดดูทุกข์หรือ กำหนดเอาทุกข์ (ที่เกิดขึ้นกับตน) เป็นอารมณ์ของจิต ไม่ทราบว่าจะกำหนดอย่างไรหรือทำอย่างไรครับ กราบแทบเท้าหลวงพ่อด้วยเศียรเกล้าครับ หลวงตา : คนและสัตว์ทั้งหลายต้องผัสสะหรือกระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตลอดเวลา ขณะใดกระทบแล้วถูกใจ หรือ ได้อย่างใจ ก็ รู้สึกเป็นสุข (สุขเวทนา) ขณะใดกระทบแล้วไม่ถูกใจ หรือ ไม่ได้อย่าง ใจ ก็รู้สึกเป็นทุกข์ (ทุกขเวทนา) ขณะใดกระทบแล้ว ไม่ถึงกับถูกใจ หรือ ไม่ ถูกใจ รู้สึกไม่ชัดเจนว่าเป็นสุขหรือทุกข์ ก็เป็นอทุกขม สุขเวทนา


ไม่หลงยึดถือว่าเราสุข เราทุกข์ หรือ ความสุข ความทุกข์นั้นเป็นของเรา เขาเป็นธรรมชาติ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ หรือ รู้สึกไม่ชัดเจนว่าเป็นสุขหรือทุกข์ เมื่อไม่ยึดถือ ก็ไม่มีผู้ทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561


อย่าประมาทในกิเลสและธรรม ผู้ถาม : ตื่นมาพิจารณากายตอนเช้า ศพเดิม รอบนี้ เห็นชัดตรงเส้นผมว่ามันแห้งเหี่ยวกรอบมาก

แต่

รอบนี้ มันโน้มเข้าหาตัวเอง เห็นผมตัวเอง ทั้งสด ใหม่ ดำขลับอยู่ มันเห็น ตัวเราผู้ยึดถือ ที่มีราคะ มี มิจฉาทิฏฐิชัดมาก ยิ่งชัดมันก็ยิ่งยึด ยิ่งเห็นมันสวย แต่พอย้อนเข้าหาตัวเอง รู้ตัวว่า ก็ตัวเรายึด แค่รู้ มันก็ปล่อย พอปล่อย จึงเห็นความจริงของสิ่งนั้น คือ ผมมันก็เหี่ยว แห้ง กรอบ ไม่น่ามองเลย เป็นอสุภะ และสุดท้ายก็แห้งขดเป็นม้วน แล้วก็สลายไป รอบนี้มันร้องไห้ ตอนที่เห็นตัวเอง เห็นตัวเราผู้ยึด มันเข้าหาผู้รู้ได้เอง โดยที่ไม่ต้องไปให้หลวงตาชี้ แล้ว มันรู้แล้วว่า จะเห็นตัวเองอย่างไรเจ้าค่ะ โชคดีเหลือเกิน ที่เกิดเป็นคน มีร่างกาย อยู่และมีผู้ชี้ทาง ได้มาศึกษาร่างกาย จนเห็นความ เป็นจริงของตัวเรา ถ้าไม่เห็นตัวเรา ทุกข์ได้จริง ๆ

มันไม่อาจพ้น

กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตา

ลูกมาตลอดเจ้าค่ะ


และหลังจากนั้นไปอาบน้ำเสร็จ เช็ดผมและ เห็นเงาของตัวเองในกระจก แค่เห็นเท่านั้น ความรู้สึก ว่า ผมสวย มันมาเลย ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึก ยิ่งรู้สึกก็ยิ่ง เห็นชัด น้อมรูปผมของศพขึ้นมา เห็นเลยว่า

"ทำไม

ความรู้สึกเห็นผมศพ มันต่างจากผมเราล่ะ"

มันจึง

ย้อนหาตัวเราเองอีกรอบ และมันก็ปล่อยเอง พอปล่อย ภาพผมในกระจก มันก็เก่า เหี่ยวแห้งไปอีก ธรรมมันปรากฏว่า นี่แหละ คืออริยสัจในใจ ตัวเอง นี่คือประตูก้าวข้ามโลกของเจ้า ขอเพียงเดิน ต่อในทางนี้ นิโรธ จะหยั่งลงในใจเจ้า ขอเพียงทำต่อ เนื่อง มันจะเป็นความจริง ไม่ใช่ความจำอีกแล้ว ท่าน จะเดินต่อหรือไม่ ? แต่ถ้าท่านไม่ต้องการก้าวข้ามให้ เป็นปัญญา ท่านไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น

มันจะกลับสู่

เส้นทางของสมุทัยและทุกข์เอง ตามอาสวะของตัวเจ้า มันขึ้นมาแบบนี้เจ้าค่ะ การให้เป็นความจริงที่ใจ ทำได้ทางเดียว คือ เพียรอย่างต่อเนื่อง

ที่จะว่ายทวนกระแสของอาสวะ

ของตนเอง ไม่มีทางอื่น ตรงนี้ไม่มีใครช่วยได้ด้วย ต้องเดินเองเจ้าค่ะ

ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561


หลวงตา : สาธุ อย่าประมาทในกิเลส และ อย่าประมาท ในธรรมเป็นอันขาด เพียรพิจารณาตามที่รู้เห็นอย่างนั้นให้ ต่อเนื่องไม่ขาดสาย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.