ปุจฉา - วิสัชนา ธันวาคม 2560
ถอนความหลงในขณะนั้นเสียได้ จึงเรียกว่าเป็น “ญาณ” ผู้ถาม : 555 เมื่อวานมันไปอยู่ในความคิด เรื่อง ติดต่อไปเรียนต่างประเทศ คุยกับ professor โน่น นั่นนี่ ทุกอย่างในความคิดเป็นจริงเป็นจัง มีตัวเรา จริง ๆ ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นของหลอก แล้วมันเดือด ร้อนเพราะไม่อยากเข้าไปอินไม่อยากเห็นโลกเป็น จริงเป็นจัง เพราะมันกลัวต้องโดนลากไปเกิด มันรู้ว่า “อยู่ในความคิดเป็นทุกข์” แต่มัน ออกจากทุกข์ไม่ได้ ดิ้นรนมีกริยาอาการขลุกขลัก ๆ พยายามมองมันเป็นสังขาร พยายามคิดให้เห็น ทุกข์เห็นโทษ มันพยายามแม้กระทั่งทำสมถะ ไปอยู่ กับลมหายใจ เพราะคิดว่าสมถะอ่อน ปรุงเยอะ เลย ไม่มีกำลังพอที่จะเห็นความจริงออกจากมัน
สุดท้าย พยายามทุกอย่างแล้ว ทำไม่ได้แล้ว เหนื่อยแล้ว ก็นอนไปละกัน พอ พอ ไม่ออกก็ไม่ออก ตื่นเช้ามามันก็พิจารณาเห็นได้เอง ว่ามันมีตัวเรา เรา พยายามเอาตัวเราออกจากความคิด เหมือนกับ พยายามเอาตัวเราแยกออกจากกิเลส ยังงั้ย ยังไง ไม่มีทางทำได้ เพราะในความเป็นจริงมันชอบอยู่ด้วย กัน ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ปล่อยมันไปอยู่ด้วยกัน ละกัน มึงจะพากันไปเกิดที่ไหนก็ไปเลย ไม่เกี่ยวกับกู แล้ว กูจะดูพวกมึงไปเกิดอยู่ตรงนี้ .... ตามสบายเลย 555 อย่างนี้ละ ปล่อยจริง ว่าง หมดกังวล จริง ๆ ตรง นี้มันเป็น 1ใน ญาณ 16 ก่อนการตรัสรู้ ใช่ไหมหลวง ตา เห็นสังขารเป็นทุกข์ เป็นโทษ มีความดิ้นรนจะหา หนทางหนีออกจากความทุกข์นั้น ท้ายที่สุด เมื่อไม่ สามารถออกจากทุกข์ได้ ใจจึงยอมรับความทุกข์ อย่างแท้จริง
หลวงตา : ☺☺☺ ความเฉลียวใจขึ้นมาในปัจจุบัน ขณะ เพราะมีความรู้แจ้งที่ใจขึ้นว่า หลงมีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา เข้าไปมีส่วนได้เสียเสียแล้วในขณะ นั้น และถอนความหลงในขณะนั้นเสียได้ จึงเรียกว่า เป็น “ญาณ” 😢😭😧 ความรู้ที่ถอนตัวตน ถอน ความยึดถือไม่ได้ ไม่เรียกว่าเป็น “ญาณ” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2560
ใจไม่มีอะไรแล้ว ก็ไม่มีผู้ยึดถือใจ ผู้ถาม : มีคำถาม เจ้าค่ะ *โยมได้ถอนคำอธิษฐาน *ถอนคำสาปแช่ง *ขอขมา *ขออโหสิกรรม และให้ อโหสิกรรม *อธิษฐานขอบวชใจ และยกสามีและลูก ถวายให้พระพุทธเจ้า ทำหมดแล้ว ทำทุกวันเจ้าค่ะ จนไป เจอสภาวะที่ใจมันไม่มีอะไร ไม่เหลืออะไร ไม่ต้องไปทำ อะไร มันรู้อยู่อย่างเดียว ขณะนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่เจ้าค่ะ ใจโยมรู้ว่า ได้ถอนขาดแล้ว เป็นปัจจัตตัง แต่เพราะหลวงตาชี้แนะมาข้างต้นให้ทำอีก เลยขอถาม หลวงตาเจ้าค่ะ ว่าสรุปมันขาดรึยัง อย่าดุนะเจ้าคะ อย่า ดุเจ้าค่ะ เพราะตอนไปพบหลวงตา เมื่อ 12 พ.ย. หลวง ตาดุโยมมากกก และจากวันนั้น โยมก็ปฏิบัติตาม ทำการบ้านและฟังธรรมของหลวงตา กัดติดจดจ่อมา ตลอดเจ้าค่ะ ปฏิบัติตามทุกอย่างแล้ว และจะปฏิบัติต่อ ไปเจ้าค่ะ หลวงตา : ใจไม่มีอะไรแล้ว ก็ไม่มีผู้ยึดถือใจไม่มีอะไร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2560
แค่รู้เห็นแล้ววางไป ไม่ยึดถืออะไรทั้งนั้น ผู้ถาม : กราบเท้านมัสการหลวงตาครับ มีวันหนึ่งฟัง เทศน์หลวงตาอยู่ จู่จู่มีธรรมปรากฏขึ้นว่า “จะไปรู้อะไร ทำไม ไม่ต้องรู้อะไรแล้ว” ความรู้สึกตอนนั้นมันถอย ออกมา มีสติเฉยอยู่ ความรู้สึกคือ มันเหมือนอยู่ตรง กลางระหว่าง ความเผลอเพลิน กับ การเข้าไปดูจิต สังขารตัวตนก็ไม่ได้เข้าไปดู เห็นเป็นแต่สังขาร แต่ไม่ ได้รู้ชัด ๆ มีสติไม่ได้เหม่อเผลอเพลิน มันนิ่งอยู่เหมือน เป็นเส้นตรงกลางระหว่างสองฝั่ง สภาพมันนิ่งสงบมาก แต่สติไม่ขาด ขอส่งการบ้านตามนี้ครับ กราบเท้า ขอบพระคุณหลวงตาในความเมตตาครับ หลวงตา : สาธุ ดีแล้ว รู้แล้วก็วางไป เพียรใหม่อีก ให้ สม่ำเสมอ แค่รู้เห็น รู้เห็นแล้วก็วางไป ไม่ยึดถืออะไรทั้ง น้าน ... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2560
ไม่มีอะไรที่ยึดถือไว้ได้ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ ช่วงนี้ work life ไม่ balance เลยค่ะ เครียดจนปวดท้องกระเพาะถึงกับต้อง ฉีดยา งานเยอะจนทำไม่ทัน หรือทำออกมานอกเวลา พยายามฝึกให้จิตรู้ แต่พอรู้ก็แตะคำว่าเครียด ก็ กระเพาะปั่นป่วน อาเจียนบ้าง ท้องเสียบ้าง อยากขอ คำแนะนำค่ะ แยก จิตกับกาย ช่วงทำงาน ทำได้ยาก มาก ในเมื่อประตูทั้ง 6 เปิดรับตลอด กำหนดรู้ยาก มาก ทำได้แค่ตอนนอน ภาวะกำหนดรู้จนถึงเวลาหลับ แล้วสงบ ไม่คิด หลวงตา : มีตัวเราเข้าไปยึด ทั้ง ๆ ที่ตัวตนของเรา ไม่มี ...... ไม่มี ........ ไม่มี ผู้ถาม : พยายามไม่ยึด แต่สัมผัสรู้ กระทบมาเร็วมาก เอาจิตตั้งรับไม่ทัน
หลวงตา : ให้ปล่อยวางทุกกริยาหรืออาการทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นให้รับรู้รับทราบได้ทุกขณะจิตปัจจุบัน และที่ สำคัญที่สุดให้ปล่อยวาง "ผู้รู้" ทุกขณะจิตปัจจุบันด้วย เพราะเขาเป็น “สังขาร" ปรุงแต่งทั้งหมด .... กริยาหรืออาการหรืออารมณ์ที่ถูกรู้ทุกขณะปัจจุบัน เช่น ความคิด อารมณ์ ความเครียด ผู้พยายามไม่ยึด อาการทางกายทั้งหมด อาการทางใจทั้งหมด ผู้รู้เท่า ทัน ผู้พยายามรู้เท่าทัน .....ฯลฯ ....... รวมทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรืออายตนะภายนอกทั้งหมดที่มา กระทบทุกขณะปัจจุบัน รวมทั้ง "ผู้รู้" สรุปแล้ว ไม่มีอะไรที่ยึดถือไว้ได้เลย รวมทั้งผู้ พยายามไม่ยึดถือด้วย .....ให้ปล่อยวางไปทั้งหมด เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ๆ เขาเป็นของ ธรรมชาติ หรือของโลก มาพบและมาสร้างขึ้นในโลก รวมทั้งตัวเรา ทั้งร่างกายและจิตใจเป็นของอาศัย ใช้ เขาชั่วคราวเท่านั้น งานหนักมีแต่ทุกกาย เหนื่อยกาย แต่ถ้ายึดถือ จะเหนื่อยใจ ทุกข์ใจด้วย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2560
นิพพานย่อมรู้นิพพานและ ไม่มีผู้ยึดนิพพาน ผู้ถาม : “หลุด ... แล้วค่อยรู้” ... หลุดจากจิตปรุง แต่งใช่ไหมครับหลวงตา “ถ้ารู้อยู่ ... มันไม่หลุด”... ถ้ารู้อยู่แต่จิตปรุงแต่ง ... แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รู้จิต ของเราที่ปรุงแต่ง เมื่อนั้นก็จะไม่หลุดเป็นหนึ่งเดียว กับธรรมธาตุใช่ไหมครับ หลวงตา : รู้ “สังขาร” จิตปรุงแต่ง แต่ไม่ยึดสังขาร และผู้รู้ จะพบความเงียบ สงบ สงัด ไปทั้งโลกธาตุ เมื่อพบความเงียบ สงบ สงัด แล้ว ก็ไม่ยึด รวมทั้งผู้ รู้ความเงียบสงบก็ไม่ยึด ไม่ยึดแล้วก็ว่างเปล่า ว่าง เปล่าแล้วก็ไม่ยึดความว่างเปล่า และผู้ที่มารู้ความ ว่างเปล่า แล้วก็ว่างไพศาล ว่างไพศาลเท่าไหร่ก็ไม่ ยึด และก็ไม่ยึดผู้ที่มารู้ความว่างไพศาล นิพพาน นิพพานย่อมรู้นิพพานและไม่มีผู้ยึดนิพพาน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560
สักแต่ว่ารู้ ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ พบหลวงตาเมื่อกลาง เดือนพฤศจิกายน เริ่มฟัง, ถามทาง line และปฏิบัติ ตามที่หลวงตาเมตตาชี้แนะทุกอย่าง พบใจที่เบาไม่มี อะไรเหลือให้ทุกข์ เงียบ มานานแล้วเจ้าค่ะ แต่พอ หลวงตาส่งบทความข้างต้นมาให้สักครู่นี้ รู้สึกว่าเริ่ม โง่ เจ้าค่ะ ติดตรงไม่ยึดความเงียบ ไม่ยึดผู้รู้ความ เงียบ ยังฝึกไม่ถึงตรงนี้ ทำอย่างไรเจ้าคะ กราบ กราบ กราบ หลวงตา : เงียบสงบ ก็สักแต่ว่ารู้ ไม่เงียบสงบ ก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้หรือไม่ ก็สักแต่ว่ารู้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560
ไม่ยึดถือแม้จิตผ่องใส ผู้ถาม : สิ่งที่คิดได้คือ คิดว่าเราควรมองทุกอย่าง อย่างเป็นธรรมชาติ คาดหวังได้ มุ่งหวังได้ แต่ต้อง สำรวจจิตใจเราอยู่เสมอโดยการใช้หลักการไม่ยึด ติดและปล่อยวาง มาควบคุมจิตของเราให้ผ่องใส ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมีเวลาเปลี่ยนแปลงของมันเอง เราเพียงแค่ทำให้เต็มที่และเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง นั้นด้วยความอุเบกขา หลวงตา : ไม่ยึดถือแม้จิตผ่องใส ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560
ปล่อยวางทั้งสิ่งที่ถูกรู้และผู้รู้ ผู้ถาม : ธรรมะคือธรรมชาติ ทุกอย่างมันล้วนเป็นของ มันอยู่แล้ว ข้างในมันมีความเงียบสงบของมันอยู่แล้ว เพียงแต่วางความปรุงแต่งแล้วดูทุกอย่างมันตาม ความเป็นจริง แล้วก็วางมันไป โยมก็เริ่มเห็นความคิด ก่อนจะพูด จะกระทำอะไร รู้ตัวไป วางไปตามที่มันเป็น แบบนี้ถูกต้องหรือเปล่าเจ้าคะ ขอน้อมกราบ ขอบพระคุณในความเมตตาขององค์หลวงตาที่เมตตา ให้ส่งการบ้านทางนี้ได้ด้วย โยมซาบซึ้งมากจริง ๆ เจ้าค่ะ สาธุ หลวงตา : ปล่อยวางทุกอย่าง ทุกอาการ หรือทุก อารมณ์ทุกขณะจิตปัจจุบัน หรือ ปล่อยวางทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และผู้รู้ ก็แค่นั้นเอง ....... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560
สุญญตา คืออะไร ผู้ถาม : 1) ภาพวงกลม สีดำ ... ดำเข้มบ้าง ดำน้อย บ้าง และมีช่องเปิดว่างด้านล่าง 2) ภาพภายในวงกลม เป็นสีขาว 3) ภาพหลวงตายืนข้าง ๆ อธิบาย (ให้ตัวเองฟัง) ภาพ 1) @ กิเลส ที่เรามีอยู่ ... มากบ้าง น้อยบ้าง ตาม ฐานจิตเดิมของเรา หรือต่อบางเรื่องที่เราถูกกระทบ (ดำมาก ดำน้อย) @ ช่องว่าง เป็นการบอกว่า เราสามารถก้าว เข้าสู่เขตสีขาวได้ โดยการเพียรศึกษา ปฏิบัติตามคำ สั่งสอนแนะนำของครูบาอาจารย์
ภาพ 2) พื้นที่สีขาว คือความว่าง บริสุทธิ์ หลุดพ้น ภาพ 3) หลวงตา คือ ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เมตตา มาพาเรา ก้าวจากพื้นที่นอกวงกลม ผ่านเส้นวงกลมสี ดำ (กิเลสมากบ้างน้อยบ้าง) และก้าวเข้าสู่พื้นที่สีขาว ผ่านทางช่องว่างนั้น ภาพหลวงตา มองตรงไปข้างหน้ายาวไกล ไม่ เจาะจง ใบหน้ายิ้มเมตตา อธิบาย ... หลวงตา เมตตา (ยิ้ม) หลวงตา สอนธรรมะ แก่ทุกผู้ทุกนาม ไม่เลือกว่าเป็นใคร กลุ่มใด (มองทอด ยาวไกล ไม่มองเจาะจง) หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2560
ไม่มีผู้ยึดถือแม้ตัวเราผู้ไม่ยึดถือ ผู้ถาม : วันนี้ลูกเห็นความตั้งใจ การปักธงตั้งเป้า หมายด้วยตัวเองอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก (ที่เคยเห็น เพราะหลวงตาเมตตาชี้แนะ) และเมื่อวางได้มันก็เบา ให้เห็น เมื่อเห็นว่าเบาก็แค่รับรู้ คำว่าแจ้งแก่ใจมัน เป็นเช่นนี้เอง บทเรียนที่ลูกเข้าใจในวันนี้คือ เราต้อง ทันมัน ต้องเห็นมันให้ทันใช่มั้ยคะ กราบเท้าหลวงตา ที่เมตตากับลูกศิษย์อย่างไม่มีประมาณ หลวงตา : อย่าไปยึดถือตัวเราผู้เห็น ผู้รู้เท่าทันด้วย ไม่มีผู้ยึดถือแม้ตัวเราผู้ไม่ยึดถือ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560
ไม่มีใครยึดถือสังขารและใจ ผู้ถาม : โยมฟังไฟล์ที่หลวงตาส่งมาหลายรอบแล้ว เจ้าค่ะ ความเข้าใจและความรู้สึกเหมือนรูปนี้เจ้าค่ะ โยมฟังแล้วข้างในมันมีความรู้สึกขึ้นมาเจ้าค่ะ ว่าข้าง นอกน่ะว่างอยู่แล้ว ข้างในว่างเสมอกับข้างนอก ก็จะ เป็นหนึ่งเดียวกันเอง เช่นนั้นเองเมื่อสิ้นโลกก็เป็น ธรรม ข้างนอกว่างข้างในว่าง และก็วางทั้งหมด ทุก อย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเองเจ้าค่ะ โยมมีความรู้สึกว่า ชาตินี้เป็นชาติที่ดีที่สุดแล้ว ที่มีโอกาสได้พบหลวงตา เจ้าค่ะ 😢😢😢 หลวงตา : เมื่อพบความว่างแล้ว ก็ให้รับรู้รับทราบแต่ เพียงว่าสังขารทั้งหมดที่เกิดดับทุกขณะปัจจุบัน เกิด ดับอยู่ในความว่างหรือความไม่มีอะไร (ใจ) และไม่มี ใครยึดถือสังขารและใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560
ตัวตนของเราไม่มี มีแต่สังขารที่ไม่เที่ยง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ คำว่า ปล่อย วาง ลูกได้ยินมาเนิ่นนานเป็นสิบ ๆ ปี แต่ไม่รู้วิธีวาง รู้แต่คำว่าปล่อยวางนะ จนมาได้อ่านและฟังธรรมะ หลวงตา ตามความเข้าใจของลูกคือ ไม่ไปเสวยทุกข์ สุข ไม่อยากมี หยุดการค้นหา หยุดอยาก วางรัก วางชัง วางในสังขาร วิสังขาร ไม่มีอะไรต้องไปยึด รู้สึกจิตเบา โล่ง เพราะไม่มีอะไรที่จะมาเกาะเกี่ยวใจ ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ มีชีวิตอยู่กับความระวัง สำรวม กาย วาจา ใจ และรักษาศีล ให้เป็นนิสัย เมื่อ วางได้จะว่าง ๆ ไม่มีอะไรต้องคิด มีแต่คำบริกรรม เวลาว่าง ๆ ก็สวดบริกรรมไปเจ้าค่ะ
หลวงตาคะ อันข้างบนหนูว่า หนู fake ค่ะ จริงๆ แล้วหนูบังคับอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยว เข้าใจ เดี๋ยวกลายเป็นไม่เข้าใจ หนูอยากจะไม่ให้มัน มีตัวตน อยากจะไม่ให้อยาก ก็บังคับอะไรไม่ได้เลย อยากจะวางมันก็ไม่ยอมวาง รู้สึกทุกข์มากค่ะ หลวง ตาอย่าเพิ่งเบื่อหนูนะคะ 😢 หลวงตา : ที่บอกมาทั้งหมดนั้น เป็นเพียงกริยาหรือ อาการของจิตใจ ทั้งน้านนนนน .... อาการทุกอาการ เป็นเพียงสังขารปรุงแต่ง ไม่มีตัวเราเป็นอาการเหล่า นั้น หรือ อาการของจิตใจทั้งหมดไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ เรา ไม่ใช่ของเรา ตัวตนของเราไม่มี มีแต่สังขารที่ไม่ เที่ยง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560
มีแต่สังขารทั้งน้านนน !!! ... “วาง” ผู้ถาม : ลูกฟังไฟล์ “โลกอยู่คู่ธรรม” หลายรอบ ตามที่ หลวงตาเมตตาชี้แนะ เข้าใจว่าทุกอย่างที่รู้ได้เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้เป็นโลกทั้งนั้น ให้วางไป แต่มันก็ดื้อไม่ ยอม บางทียังนำข้อธรรมมาคิดพิจารณาอยู่บ้าง ได้แต่ สอนว่าไม่มีตัวตนจะอยากรู้อยากเห็นไปเพื่ออะไร เหนื่อยแล้วอยากคิดก็คิดไปไม่ยุ่งด้วยแล้ว กราบเท้า หลวงตาด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ หลวงตา : ปล่อยให้สังขาร เปรียบเหมือนนกกับปลาเขา คิดปรุงแต่งไป หรือเคลื่อนไหวไปตามปกติธรรมชาติ ไม่มีใครไปพยายามดับหรือทำลายเขา ผู้พยายามดับหรือทำลายสังขาร ก็ เป็นสังขาร ผู้พยายามไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับสังขาร ก็ เป็น สังขาร ผู้อยากเป็นฟ้ากับน้ำ ก็ เป็นสังขาร สรุปแล้ว มีแต่สังขารทั้งน้านนนน !!! ...... “วาง” ไปเสียให้หมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560
ถ้ามีเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา มันเป็น “อวิชชา” ผู้ถาม : เห็นทุกอย่าง รู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีตัวเราเลยใน ทุกรู้ มันมีความแตกต่างอย่างไรกับ ที่มีตัวเราในทุกรู้ เจ้าคะ ขอกราบเรียนถามหลวงตาค่ะ หลวงตา : ถ้ามีเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา มันเป็น “อวิชชา” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560
ไม่มีใครต้องไปทำอะไรอีก มันก็จบกันเท่านั้นเอง ผู้ถาม : หลวงตาบอกให้เร่งพิจารณาในจิตทั้งวันทั้ง คืน ว่าปล่อยวางจิตที่คิด นึก ตรึกตรอง ปรุงแต่งทุก ขณะจิตปัจจุบันหรือยัง ปัญหา คือ ไม่มีกำลังพอที่จะ กัดติดจดจ่อพิจารณาได้ทุกขณะจิตปัจจุบัน อย่างนี้ควร จะอย่างไรต่อเจ้าคะหลวงตา หลวงตา : ไม่อย่างไร ....... กับอะไร ...... วาง หมด ..... วางความเป็นตัวเราไปด้วยทันที เดี๋ยวนี้ ก็ไม่มีใครต้องแสวงหาความเข้าใจอะไร ไม่มีใครต้องไปทำอะไรอีก มันก็จบกัน ... เท่านี้ ... เอง ...... จริง ๆ นะ ....... ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560
ยังไม่ “วางตัวเราผู้รู้แจ้งถึงใจ”
ผู้ถาม : รู้ รู้แล้วปรุงจึงไม่หลุด (รู้หลอก) รู้ รู้ว่าหลุด เพราะหยุดปรุง (รู้จริง) รู้ รู้ตามความเป็นจริงของธรรมชาติสองสิ่ง วาง วางทั้งสังขารและวิสังขาร หลวงตา : ยังวางไม่หมด คือ ตัวเราผู้รู้แจ้งถึงใจ นั้น ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560
เมื่อสิ้นผู้เสวย จะสิ้นกิเลส และพ้นทุกข์ในปัจจุบัน ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ กำลังนั่งฟังหลวงตา กับอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง .... หลวงตาพูดหลาย ครั้ง ... จะทำอย่างไรให้อาจารย์ “เห็นตัวเอง” อาจารย์ไปเห็นแต่ “อาการของจิต” กราบเรียนถามเจ้าค่ะ เห็นตัวเอง คือ รู้ว่า ... กำลังคิด ... วาง กำลังพยายาม ... วาง กำลังนั่ง ฟัง ... วาง กำลังเบื่อ ... วาง อย่างนี้ คือ เห็นตัวเอง หรือไม่ แล้วอาการของจิตที่ว่า เช่น รู้สึกเบื่อ รู้สึก ชอบ รู้สึกรัก รู้สึกเศร้า ฯลฯ (แล้ว วางเช่นกัน) ใช่ มั้ยเจ้าคะ ขอตัวอย่างสรุปชัด ๆ อีกครั้งเจ้าค่ะ เห็น ตัวเอง เช่น ... เห็นอาการของจิต เช่น ... กราบ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ
หลวงตา : ตัวเองก็คือ “ผู้รู้” อารมณ์ หรืออาการ ที่ บอกมานั้นทั้งหมดทุกขณะปัจจุบัน ให้ปล่อยวางผู้รู้ ทุกข์ขณะปัจจุบัน โดยให้เห็นว่าทั้งความคิด ความ ปรุงแต่ง กริยา อาการ หรืออารมณ์ที่ถูกรู้ และ “ผู้รู้” ทุกขณะจิตปัจจุบัน เป็น “สังขาร” ปรุงแต่ง เป็นของ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา หรือไม่ใช่ ของเรา ให้ปล่อยวางความหลงยึดถือไปเสียให้หมด หรือ สิ้นตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่น หรือสิ้นผู้เสวย เมื่อสิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นยึดมั่นถือมั่น ก็จะไม่มี ตัวตนในปัจจุบัน ไม่มีตัวตนในอนาคต ไม่มีตัวตนใน โลกนี้ ไม่มีตัวตนในโลกหน้า จะสิ้นกิเลส และพ้น ทุกข์ในปัจจุบัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560
เร่งทำประโยชน์ตนและ ประโยชน์ท่าน จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ลูกฝันว่า องค์หลวงปู่ดูลย์ มอบดินสอที่มีเชือกควั่นเส้นน้อยผูก ไว้กลางดินสอและบอกให้ลูกเอาทัดหูไว้ ห้ามเอา ออกเด็ดขาด หลวงปู่ย้ำว่าถ้าเอาออกจักมีอันตราย ลูกกราบขอเมตตาองค์หลวงตา ช่วยลูกแก้ปริศนา ธรรมนี้ด้วยเจ้าค่ะ กราบองค์หลวงตาด้วยใจเคารพ ยิ่งเจ้าค่ะ หลวงตา : ธรรมะเกี่ยวกับ "จิตเห็นจิต" หรือ "จิต คือ พุทธะ" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่ฟังหลวงตาหรือพ่อ แม่ครูอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่นำมาสอนหรือชี้แนะ (หมายถึง หู) นั้น ให้เอามาขบคิดพิจารณาให้ถึงใจ อย่างจดจ่อต่อเนื่องไม่ขาดสาย
อิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา (หมายถึง ดินสอที่มีเชือกควั่นเกี่ยวผูกทัดหูอยู่ คือใช้ สำหรับเขียนให้ถึงใจ) จนกว่าจะบรรลุพระนิพพาน มิ ฉะนั้น จะมีอันตราย คือถึงแก่ความตาย โดยยัง ตีความพระธรรมไม่แตกเข้าถึงใจ จนใจเป็นธรรม หรือ ธรรมเป็นหนึ่งเดียวกับใจ ที่เรียกว่าพระนิพพาน เพราะภัยพิบัตินานับประการ เริ่มรุกเร้ามีความรุนแรง มากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ อย่ามีความเป็นอยู่ด้วยความ ประมาท (ให้เอาทัดหูไว้ อย่าเอาออก) เร่งทำ ประโยชน์ตนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ และทำประโยชน์ ท่าน จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เสียเถิด นี่เป็นพระวาจา มี ในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า ผู้ถาม : สาธุ ๆๆ กราบในเมตตาอันไม่มีประมาณ เจ้าค่ะองค์หลวงตา ลูกจะดำรงตนด้วยความไม่ ประมาทเจ้าค่ะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560
รู้แท้ ๆ ไม่ปรากฏตัวตน ไม่ปรากฏพฤติกรรมจิตใด ๆ ผู้ถาม : กราบนมัสการ เมื่อวันที่ 14 ไปฟังหลวงตา เรียนถามว่า ทำอย่างไรจึงจะแยกออกว่า ที่เรารู้นั้น เป็นการรู้แบบรู้ถึงใจจริง ๆ หรือว่าเป็นการรู้แบบคิด ไปเอง มโนไปเรื่อย จิตมันหลอกเอา รบกวนหลวงตา เจ้าค่ะ หลวงตา : รู้แบบคิดไปเอง หรือรู้ตัวปลอม คือ สังเกตให้ดีดี จะเห็นว่ารู้นั้นคิดปรุงแต่ง มีความอยาก มีความพอใจ มีความไม่พอใจ รำคาญ ไม่ได้อย่างใจ ซึ่งเป็นกิเลสได้ ส่วนรู้แท้ ๆ หรือเป็นธาตุรู้ตาม ธรรมชาติ จะไม่ปรากฏความคิดปรุงแต่งหรืออาการ ใด ๆ ได้เลย จะไม่ปรากฏตัวตน ไม่ปรากฏพฤติกรรม จิตใด ๆ ทั้งสิ้น ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560
รู้เห็นสภาวะใด ก็วางไปทุกขณะปัจจุบัน ผู้ถาม : กราบนมัสการ หลวงตา ด้วยความเคารพ เจ้าค่ะ เมื่อวานลูกได้พบกับสภาวธรรมเกิดขึ้นบาง อย่างเจ้าค่ะ คือขณะที่ลูกนั่งสมาธิ ได้เปิดไฟล์เสียง หลวงตา เรื่องการถอนอธิษฐานฟัง โดยพูดตาม หลวงตาในใจ พอลูกออกจากสมาธิแล้ว ลูกได้นั่งฟัง ไฟล์เสียงของหลวงตาต่อเจ้าค่ะ โดยขณะฟังเพลิน ๆ แบบจิตไม่ได้คิด หรือปรุงแต่งอะไร อยู่ ๆ ก็รู้สึกตัว ว่า มันเหมือนได้ยินเสียงคล้าย ๆ กับหนังสติ๊กที่เค้า ใช้ยิงนกหรืออะไรก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ มันขาดเสียงดัง โครมอยู่ข้างใน
จากนั้นลูกก็ได้ยินไฟล์เสียงของหลวงตาดัง ชัดเจนมากเจ้าค่ะ ดังกังวานไหลก้องเข้ามาในใจแบบ ไม่เคยเป็นมาก่อน พอมาดูใจในขณะนั้น ลูกเห็น ความตื่นเต้นอัศจรรย์และเห็นความสงสัย มันเห็นตัวรู้ มาดูสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เห็นว่าเป็นสังขารทั้งหมด สังขารทั้งนั้นเจ้าค่ะ วางเจ้าค่ะหลวงตา กราบในความ เมตตา หลวงตา : รู้เห็นสภาวะใดแล้ว ก็วางไป .... วาง ไป ....... เรื่อยไปทุกขณะปัจจุบัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560
รู้ธรรมในธรรม .... รู้ธาตุในธาตุ
ผู้ถาม : กราบหลวงตาค่ะ "เอาธรรมมาอบรมธรรม รู้ ธรรมในธรรม เอาธรรมชาติมาปฏิบัติธรรมชาติ ให้รู้ ธรรมชาติในธรรมชาติ" หมายถึง เห็นว่าธรรมในจิต เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นธรรมชาติของเค้าอย่าง นั้น ใช่หรือเปล่าคะ "เอาธาตุปฏิบัติธาตุ ให้รู้ธาตุใน ธาตุ" หมายความว่าอย่างไรคะ รบกวนหลวงตาสอน ด้วยค่ะ หลวงตา : เอาธรรมมาอบรมธรรม รู้ธรรมในธรรม หมายถึงว่า ธรรมชาติของร่างกายจิตใจ หรือขันธ์ 5 ซึ่งเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่ เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีแล้วหายไปเป็นธรรมดา ไม่อาจคงทนอยู่สภาพเดิมได้
เกิดขึ้นมาจากความไม่มีแต่เดิม ก็ต้องเสื่อมสลาย หรือดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีตามเดิม จึงไม่มีตัวมีตน คงที่ เมื่อไม่มีตัวตนคงที่ จึงไม่ใช่ตัวเรา หรือไม่ใช่ตัว ตนของเรา อย่าไปหลงยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเรา เป็นตัว เรา หรือเป็นของเรา ส่วนเอาธาตุปฏิบัติธาตุ ให้รู้ธาตุในธาตุนั้น หมายถึงว่า ให้พิจารณาเห็นว่า ร่างกายจิตใจหรือ ขันธ์ 5 ประกอบไปด้วยธาตุดิน คือสเปิร์มของพ่อ ผสมกับธาตุน้ำ ซึ่งเป็นไข่ของแม่ ตั้งแต่แรก หลังจาก นั้น แม่ก็กินซากพืชซากสัตว์ ซึ่งเป็นธาตุดิน กินน้ำ กิน ลม กินไฟ หยดเลือดจึงโตขึ้น แล้วธาตุรู้ซึ่งมี คุณสมบัติเป็นความว่างเปล่า เป็นหนึ่งเดียวกับ ธรรมชาติหรือจักรวาล แต่มีความรู้อยู่ในตัวมันเอง มาเข้าผสมอีกธาตุหนึ่ง
ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นของใช้สิ้นเปลือง ต้อง กินเติมเข้าไปอยู่ตลอดเวลา มีเพียงธาตุรู้เท่านั้น ที่ ไม่มีการเสื่อม ไม่สิ้นเปลือง ไม่เกิดไม่ดับ ไม่แตก ทำลาย ไม่มีอะไรปรากฏ การปฏิบัติก็คือ ให้เข้าถึง ธาตุรู้ ที่ไม่มีตัวตน ไม่อาจคิดปรุงแต่งหรือแสดง อาการใดใดได้ เป็นเพียงความว่างเปล่า ที่เป็นหนึ่ง เดียวกับธรรมชาติหรือจักรวาล แต่มีความรู้อยู่ในตัว เอง คือรู้ว่า มันไม่สามารถที่จะแสดงกริยาอาการ อะไรได้ ไม่มีตัวตน ไม่ปรากฏอะไรเลย ส่วนที่มีรูป ร่าง ตัวตน มีความคิดปรุงแต่ง หรือมีอารมณ์ต่าง ๆ หรือแสดงกริยาอาการต่าง ๆ ทุกขณะปัจจุบันนั้น ไม่ใช่มัน ดังนั้น ถ้าเข้าถึงธาตุรู้ เมื่อทุกขณะที่มีการ กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกขณะปัจจุบัน ก็จะไม่หลงเอารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ ธรรมารมณ์ ที่มีรูปร่างหรือมีอาการ ให้สัมผัส หรือ รับรู้ได้นั้น มาเป็นธาตุรู้
ธาตุรู้ หรือ ใจ จึงเป็นแต่ ความว่างเปล่าเป็น หนึ่งเดียวกับธรรมชาติหรือจักรวาลที่ไม่มีตัวตนไม่มี รูปร่าง ไม่อาจคิดปรุงแต่งหรือแสดงกริยาอาการ หรือ อารมณ์ต่าง ๆ ได้เลย เมื่อใจหรือธาตุรู้เป็นความว่าง หนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จึงไม่มีความทุกข์เดือดร้อนอะไรอีกต่อไป ภาษาสมมติ เรียกว่า นิพพาน หรือพ้นจากทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560
กายและจิต ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้วยใจเคารพ นอบน้อมเจ้าค่ะ เมื่อวานไปเขาใหญ่เลยถือโอกาส ไปกราบครูบาอาจารย์หลวงปู่อุทัย วัดเขาใหญ่เจริญ ธรรมญานสัมปันโนมาเจ้าค่ะ เมื่อคืนก่อนนอนก็พิจารณาปล่อยวางกายก็เป็น แค่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีส่วนไหนที่เป็นของเรา ปล่อยวางจิต ก็ไม่ใช่ของเรา เค้าก็อยู่ของเค้าอย่าง นั้น ผู้ที่ไปรู้กายรู้จิตก็ไม่ใช่เรา เค้าก็ทำหน้าที่ของเค้า ไป ไม่มีเราอยู่ตรงไหนเลย ให้เลยไป สักพักเกิดอาการเหมือนจิตมันพลิกจากสงบ เป็นสว่างจ้าเป็นสีทองอร่าม และเป็นเม็ด ๆ คล้าย หยดน้ำมากมายเกาะติดกัน ก็ได้แต่คิดว่าไม่มีอะไร เป็นแค่อาการของจิต ไม่ได้ไปให้ค่าอะไรเจ้าค่ะ
เช้านี้ก็เลยมาขบว่าเมื่อคืนธรรมได้มาสอน อะไรหรือไม่ แต่ศิษย์ปัญญาน้อย เลยต้องมารบกวน ธาตุขันธุ์หลวงตาเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาที่ เมตตาสั่งสอนเจ้าค่ะ หลวงตา : แสดงว่าธรรมที่น้อมมาพิจารณานั้น ถูก ต้องแล้ว ให้พิจารณาต่อเนื่องให้มาก ๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560
วางตัวเราก็สิ้นสมมติ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ คราวที่แล้วที่หนู ส่งการบ้านที่สถานธรรมพระราม 5 หลวงตาบอกว่า หนูปฏิบัติแล้วไปติดว่าเราเป็นเทวดา ในตอนนั้นหนู ก็สับสนเพราะไม่เห็นว่าเป็นเทวดาอย่างไร หนูก็เลย ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร เพราะปฏิบัติไปก็กลัวจะไป เป็นเทวดาอีก หนูก็เลยหยุดปฏิบัติอยู่ช่วงหนึ่ง ก็ ทำให้เห็นว่า เมื่อก่อนมีการปฏิบัติตลอดเวลา ทำให้ มี “ตัวเรา” ทำ ๆๆ ตลอด ไม่เคยหยุดจริง ๆ เลย แต่ ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเป็นเทวดาอย่างไร หลังจากนั้น หนูก็ค่อย ๆ มาฟังไฟล์หลวงตา เน้นไปที่ว่าจิตเดิมแท้เป็นความไม่มี ไม่เป็นอะไรเลย มาเรื่อย ๆ จนมาฟังไฟล์เสียงหลวงตาสอนบอกว่า เบื้องหลังของสังขารเป็นความว่างเปล่า เป็นความ ไม่มีอะไรเลย เป็นจักรวาลที่ว่างเปล่า
ในขณะนั้นก็เหมือนจะเข้าใจว่าสัมผัสได้ถึง ความไม่มี ที่อยู่เบื้องหลังของทุกคิด ทุกอาการ และ ไปเห็นเหมือนกับว่าก้อนเมฆที่เคยปกคลุมท้องฟ้าที่ ว่างเปล่า มีรอยแยกเล็ก ๆ แสงสว่างสามารถผ่านมา ตามรอยแยกได้ และต่อมาในขณะที่เป่าผมในห้องนอน หนูมอง ออกมานอกหน้าต่างใหญ่ เนื่องจากวันนั้นนอนอยู่บน คอนโดชั้น 20 มองออกมาด้านหน้าเป็นท้องฟ้าที่ว่าง เปล่า และมองลงล่างเห็นบ้านหลาย ๆ หลัง และมีคน เดินไปเดินมา แวบหนึ่งก็มีความคิดเหมือนการ ปฏิบัติข้างในของเราเลย ที่เราคอยรู้ คอยดู อยู่ในที่ สูง เพื่อให้มีการรู้ ละ ปล่อยวาง สังขารที่อยู่ด้านล่าง พอความคิดนี้เกิดขึ้น ก็เอะใจว่ามีความเป็นเรา ๆ อยู่ ในความคิดนี้ ก็เลยรู้ว่าเป็นสังขาร และก็เลยเอะใจ ว่าเหมือนเป็นเทวดาจริง ๆ แบบที่หลวงตาบอกเลย เลยเข้าใจว่าทำไมหลวงตาบอกถึงให้มาดูตรงจุดนี้
พอเห็นแล้ว ก็เห็นว่าจิตที่แท้จริง ก็ไม่ใช่ผู้คอย กำกับ รู้ ละ ปล่อยวาง (เหมือนเทวดาเฝ้าความว่าง) และไม่ได้เป็นอะไรเลย เป็นแค่ความรู้เฉย ๆ และก็ เหมือนว่าตามหาบ้านที่แท้จริงเจอ แต่ก็เห็นว่าเมื่อพบ แล้ว เห็นแล้ว ก็ไม่ยึดสภาวะ อยากให้มีอยู่ตลอดไป ที่ทำมาหนูทำถูกต้องหรือยังเจ้าคะ กราบขอบพระคุณ ในความเมตตาของหลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ถูกแล้ว วางตัวเราผู้รู้ ผู้เห็น ผู้รู้แจ้ง โดยเห็นว่าเป็น สังขารปรุงแต่ง ก็สิ้นสมมติ สิ้นตัวตน สิ้นเรา ตัวเรา ของเรา ก็สิ้นผู้ยึดถือ สิ้นกิเลส พ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560
ให้เพียรอย่างต่อเนื่อง ผู้ถาม : กราบนมัสการเรียนถามเพิ่มว่า ถ้าคำแผ่ เมตตามันโผล่ขึ้นมาเองในจิตของผม แล้วทำให้จิต มันนุ่ม ๆ เย็น ๆ ผมสมควรทำอย่างไรต่อดีครับ ทุก วันนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นในจิต ผมก็พยายามแค่รู้มัน แล้วก็น้อมเล็ก ๆ ในทำนองว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" และมักจะรู้สึกแผ่ว ๆ เบา ๆ ว่า หากไม่มีตัวเราที่เป็น ประธานหรือหัวขบวนเสียแล้ว มันก็จะเหลือแค่กริยา ของใจเฉย ๆ แล้วมันก็ "แค่นั้นแหละวะ" กราบขอ ความอนุเคราะห์หลวงตาพิจารณาแนะนำด้วยว่าต้อง ปรับปรุงสิ่งใดมั้ยครับ หลวงตา : ดีแล้ว ให้เพียรอย่างต่อเนื่อง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560
สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไป เป็นธรรมดา ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตามันจะปรุงแต่งอะไร มันจะดิ้นรนค้นหาอะไร มันจะอยากโน่นอยากนี่ ก็ ปล่อยให้มันปรุงแต่งไป ปล่อยให้มันดิ้นไป ปล่อยให้ มันอยากไป แบบนี้เค้าเรียกว่า ปล่อยวาง ใช่ไหมครับ ปล่อยวาง คือ การปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นมา และ ก็ปล่อยให้มันสิ่งนั้นดับไป โดยที่เราได้แต่รู้ หรือที่ เรียกว่า สักแต่รู้ สักแต่เห็น (รู้ ว่ามีการเกิดขึ้นของ อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด เป็นต้น และก็ปล่อยให้มัน ดับไป ตามธรรมชาติของมัน) ดังที่พระโกณฑัญญะ อุทานตอนฟังพระพุทธเจ้าเทศนา บทธรรมจักรฯ จบว่า เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
ดังนั้น เราจึงไม่ต้องไปทำอะไร มันก็ดับไปเอง เมื่อไรที่เราไปวุ่นวายกับอาการเหล่านั้น เท่ากับเรา สร้างเหตุขึ้นมาอีก แทนที่มันจะดับ มันก็ไม่ดับ แล้วยัง ลุกโชนมากขึ้นกว่าเดิมอีก ในเมื่อตัวเราไม่มี ไม่มีตัวเรา ไม่ใช่ของเรา และไม่มีตัวตน ดังนั้น มันจะพูด จะคิด จะบ่น จะรู้ จะ ฟุ้งซ่าน จะงง จะเข้าใจรู้แจ้งขึ้นมา จะสงบ จะว่าง จะ สบาย จะเบา เป็นต้น ก็ช่างหัวมันเพราะสิ่งที่กล่าวมา ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นสังขารทั้งนั้น กราบ ขอบพระคุณในความเมตตาขององค์หลวงตาที่ไม่มีที่ สิ้นสุดไม่มีประมาณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ หลวงตา : สาธุ ถูกต้องแล้ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560
ปล่อยวางทุกสภาวธรรม ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ หนูอยู่อเมริกาค่ะ อ่านธรรมะของหลวงตาแล้วเข้าใจมากค่ะ เพราะหนู เข้าใจมาตลอดว่าธรรมะคือธรรมชาติ เริ่มฟังหลวงตา เดือนที่แล้วและได้ไปขอขมาตามที่หลวงตาบอกต่อ หน้าองค์พระในโบสถ์ ขณะที่ขอขมาเจ้ากรรมนายเวร หนูร้องไห้สะอื้นน้ำตาไหลมาก มันรู้สึกสำนึกอย่างใจ จริงกับการขอขมา เหมือนว่าเจ้ากรรมนายเวรมายืน อยู่ตรงหน้า พอขอขมาเสร็จโล่งมากค่ะ หนูสวดมนต์บทธรรมจักรเสร็จก็นั่งสมาธิต่อ เห็นแสงสีเขียวเหมือนแสงเหนือลอยไปมาเต็มห้อง จิตก็เกิดปีติ ปากมันก็ยิ้มเอง มีความสุข แต่หนูก็ไม่ได้ ให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแสงสีเขียวหรือร่างกาย ที่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วลมหายใจก็เบาขึ้นอย่างเห็น ความแตกต่างกับตอนหายใจปกติค่ะ หนูทำถูกไหม คะ อนุโมทนาสาธุค่ะหลวงตา
หลวงตา : สาธุ การที่รู้เห็นอะไร มีสภาวะอย่างไร เข้าใจหรือรู้แจ้งอย่างไร แล้วปล่อยวางไป ไม่ยึดถือ ไม่ปรารถนา ไม่ผูกพัน นั้นถูกต้องแล้ว ถ้ายึดถือไว้ หรือหลงติดไป จะผิดทั้งหมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560