ปุจฉา - วิสัชนา กันยายน 2561
พิจารณาเอาแต่ความจริง ของสังขารไม่เที่ยง ผู้ถาม : หน่วงภาพงานศพของตัวเองขึ้นมาซ้ำ ๆ พิจารณาหลาย ๆ แง่มุม จนความตายมันติดในจิต แล้วเจ้าค่ะ ภาพศพที่เอาเข้าเตาเผา ตอนแรกยัง หยาบ ๆ พอพิจารณาซ้ำ ๆ ไป ยิ่งเห็นรายละเอียด ชัดเจนว่า โดนเผาไหม้เกรียมอย่างไร หักงอ อย่างไร แตกสลายกลายเป็นขี้เถ้าอย่างไร ยิ่งมา ยิ่งชัดเจน ไปอาบน้ำก็นิมิตเห็นแม่อาบน้ำให้ศพ ตัวเอง เราเกิดหลังเขาแต่ตายก่อนเขา ภพชาติ โหดร้ายจริง ๆ ได้ยินเสียงนกร้อง มันนิมิตเป็นนก แสก เสียงรอบข้างเงียบไป มันนิมิตเป็นความเงียบ และเหว่ว้า ในหลุมศพหลังความตาย เหมือน ได้ยินเสียงและกลิ่นของความตายอยู่ทุกที่ ทุกขณะ เลยเจ้าค่ะ ที่ตายน่ะ มีแน่ ที่ไม่ตายน่ะ ไม่มี
มันสลดและมีอารมณ์ของความเศร้าโศก แทรกบ้าง เลยรู้ว่าที่บอกว่าตัวเองไม่ยึดแล้วน่ะ มัน หลอก แท้จริงก็ยังยึดอยู่ ยังเสียใจกับความตายอยู่ ไม่กล้าประมาทเลยเจ้าค่ะ แต่มันยังไม่ชำนาญเจ้าค่ะ พอไปอยู่กับ ญาติพี่น้อง เดี๋ยวคนโน้นชวนคุย คนนี้ชวนคุย มันหลุด เลยเจ้าค่ะ น้อมใหม่ มันไม่อินเหมือนเดิมแล้ว ได้แค่ ทรง ๆ อารมณ์ปลงปล่อยวางไว้ แต่ไม่เจื๊อกวาบถึงใจ อีก หลวงตา :
อย่าทรงอารมณ์ปลงปล่อยวาง มันจะหลงเล่นอยู่กับสัญญา ความจำ
อารมณ์ ให้เพียรพิจารณาเอาแต่ความจริงของ สังขารไม่เที่ยง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2561
“ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ” เปลี่ยนไป แต่ “ใจ” ไม่เคยเกิดดับ เปลี่ยนแปลง ผู้ถาม : มันพิจารณาอีก อีก อีก จนเห็นว่า สุดท้าย เกิดมา สร้างทุกสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้นมา แต่สุดท้าย ก็ ต้องทิ้งสังขารร่างกายนี้ไว้ ท่ามกลางสิ่งที่ตัวเองสร้าง มันไปลงล็อกปล่อยหมด เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง มันเบา ว่าง จนไม่อยากพิจารณาอะไรเลย แต่เริ่มรู้ทันแล้วว่า มีตัวเราติดว่าง เลยไม่ยอมไหล ตามมัน น้อมใหม่ น้อมใหม่ น้อมใหม่ สุดท้ายก็ยัง น้อมเรื่องความตาย ดับ ตาย ดับ ขึ้นมาได้อีก เรียนรู้ว่าที่น้อมไม่ได้ น้อมยากเพราะจิตมัน ยึดอารมณ์ไว้เจ้าค่ะ ถ้าน้อมผ่านม่านของอารมณ์นี่ อย่างไรก็ไม่ชัด เหมือนเบลอ ๆ ไปเลย
หลวงตา : สาธุ ให้อโหสิกรรมทั้งหมด พุทธานุ ภาเวนะ ธรรมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ และ บุญ บารมีที่ท่านได้กระทำมาแล้วทั้งหมด ขอให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา เป็นสัมมาทิฏฐิ ดับมิจฉาทิฏฐิ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทั้งหมดโดยสิ้นเชิงใน ปัจจุบันด้วยเทอญ ปรากฏการณ์ของธรรมชาติทุกปัจจุบัน ขณะเปลี่ยนไป เหมือนกับอาการของใจ ส่วนความ ว่างเปล่าของธรรมชาติ เปรียบเหมือน “ใจ” หรือ “จิตเดิมแท้” ย่อมไม่มีการเกิดดับเปลี่ยนแปลง อยู่ กับการรู้เห็นสัจธรรมความจริงอย่างนี้ ไม่หลงไป เป็นสังขาร หรือ ปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2561
อวิชชาเหมือนข้าวเปลือก ผู้ถาม : กราบขอโอกาสค่ะหลวงตา ข้าวเปลือกก็ เปรียบเสมือนขันธ์ห้าใช่ไหมเจ้าคะ ถ้าสิ้นความ ยึดถือในขันธ์ห้าก็เหมือนกันข้าวที่ถูกสีเปลือก ออกไปแล้ว หลวงตา : เม็ดข้าวสารที่อยู่ในเปลือก เปรียบ เหมือนขันธ์ห้าหรือกระบวนการทำงานของขันธ์ห้า ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตลอดเวลา หากมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ในขันธ์ห้า คือ หลงยึดมั่นถือมั่น ขันธ์ห้า หรืออาการต่าง ๆ ของขันธ์ห้า ว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ก็จะเกิดรูปปรมาณูวิญญาณ หรือ กายทิพย์ สร้างรูปทิพย์เป็นตัวตนของเราไว้ ในความรู้สึก เป็นเสมือนสำนักงาน หรือ เปลือก หุ้มเม็ดข้าว ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานของขันธ์ห้า ได้อาศัยทำงานเกิดดับอยู่ภายใน และเป็นผู้พา ไปเกิดตามกรรม
ตราบใดที่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ไม่ดับไป อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และความทุกข์ทั้งมวลก็ไม่ดับ ซึ่งการสร้างรูปกายทิพย์เป็นตัวตนของเราไว้ ในความรู้สึก แล้วหลงยึดถือเป็นจริงเป็นจัง จะ เหมือนกับเวลาไปในที่เปลี่ยวในเวลากลางคืน แล้ว สร้างรูปผีในความรู้สึก แล้วหลงยึดถือว่าเป็นจริงเป็น จัง จึงเกิดการกลัวผีขึ้นมา ตราบใดหลงยึดถือว่ามีผี อยู่ในความรู้สึก ความกลัวผีก็ไม่หายไปหรือไม่ดับ ไป ต่อเมื่อ สิ้นหลงยึดถือขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ กายสังขารและจิตต สังขาร ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ก็จะ สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวล แต่เมื่อไม่ยึดถือกายสังขาร เพราะเห็นว่าไม่ เที่ยง มีความแก่ เจ็บ ตาย เน่า เปื่อย ผุพังสลายกลับ คืนสู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
แต่ถ้าหลงยึดถือจิตตสังขาร หรือ วิญญาณ ว่าเป็น ตัวตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ก็จะไม่สิ้น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวล เปรียบเหมือนเปลือกหุ้มเม็ดข้าว ยังไม่ดับไป หรือ ยังเป็นข้าวเปลือกอยู่ ย่อมงอกขึ้น ใหม่ได้อีก ต่อเมื่อสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นขันธ์ห้า ทั้งกาย สังขาร จิตตสังขาร หรือ วิญญาณ ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา เพราะรู้เห็นความจริงประจักษ์แก่ใจว่า เขาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เป็นตัวตนคงที่หรือเที่ยงแท้ ไม่อยู่ในบังคับ ของเรา ที่จะไม่ให้เกิดดับ หรือ ไม่อาจบังคับให้ไม่ แก่ เจ็บ ตาย เน่าเปื่อยผุพังกลับคืนสู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟได้
เมื่อความรู้สัจธรรมความจริง หรือ เกิดสัมมาทิฏฐิ ประจักษ์แก่ใจ ความหลงยึดมั่นถือมั่นผิด ๆ ซึ่งเป็นมิจฉา ทิฏฐิ ก็จะดับไป อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ความทุกข์ทั้งมวล จึงจะดับพร้อมไปหมด หรือ วงจรปฏิจจสมุปบาท หักสะบั้น เปรียบเหมือนข้าวเปลือก ไม่มีเปลือกหุ้ม แล้ว เพราะเป็นข้าวสารขาว หรือ เป็นข้าวสุกแล้ว ย่อมปลูกไม่ขึ้นอีกต่อไป หรือ สิ้นหลงยึดถือว่ามีผีเป็นตัวตนอยู่ใน ความรู้สึก เช่น ไปดูให้รู้แน่ว่า ผีมาทำอะไรให้มี เสียงดังกุกกัก กุกกัก ... หรือ เสียงร้องถึดทือ ถึดทือ .... ครั้นพบความจริงว่า ที่แท้มีสัตว์มาร้อง อยู่ในความมืด ความกลัวผีก็หายไป ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561
เพียรพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของขันธ์ห้าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ผู้ถาม : กราบขอโอกาสค่ะ เป็นเพราะที่ผ่านมาเวลาที่ เกิดความรู้สึกว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา สติมันไม่เคย ทันว่าแท้จริงเป็นแค่ความปรุงแต่ง ตัวตนไม่ได้มีอยู่ จริง แต่ไปหลงดิ้นรนหาทางปล่อยวางความรู้สึกเป็น ตัวเป็นตน ก็เลยเหมือนยังคิดว่ามีผีอยู่ร่ำไป และคิด หาทางให้เลิกกลัวผี ต้องเพียรสังเกตให้สติมันทันเห รอคะหลวงตา แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าเราคิดว่า เรามีตัวตนจริง ๆ เลยคิดว่าต้องให้สติไล่ให้ทัน จับ ให้อยู่หรือเปล่าคะ เพราะจริง ๆ เราก็ไม่เคยมีอยู่แล้ว ตั้งแต่แรก เหมือนกับทำอะไรก็ผิด ถ้าไม่ทำก็หลงอีก ค่ะ จะปล่อยวางมันยังไงหละคะหลวงตา ในเมื่อก็ เข้าใจแล้ว แต่จิตมันไม่ยอมปล่อยวางสักที มันก็ยัง หลงโน่น ยึดนี่อยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ หนูก็เบื่อมันเต็มที แล้วค่ะ จะตัดหางปล่อยวัดไปมันก็เวียนวนกลับมาอีก อยู่ดี
หลวงตา : นี่แหละ จึงว่าเวียนวน วนเวียน ผู้ถาม : แล้วมันจะวนถึงเมื่อไรล่ะคะหลวงตา หลวงตา : สิ้นหลง “สังขาร” ผู้ถาม : หนูเพิ่งรู้สึกตัวว่าหลงไปเป็นสังขาร หาทาง ดิ้นรนอีกแล้วเจ้าค่ะหลวงตา สติมา ปัญญาเกิด แล้ว เจ้าค่ะ หลวงตา : สังขาร จึง วนเวียน สิ้นหลงสังขาร ความ เวียนวนจึงดับ ผู้ถาม : พอเลิกดิ้นรน ก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เข้าใจแล้วค่ะว่าพอหมดความพยายามอยากได้ อยากเป็นอะไรสักอย่าง ความทุกข์ที่ดูทับถมก็หายไป อย่างทันตาเห็นเลย แถมยิ้มออกในความโง่เมื่อกี้ด้วย เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตามาก ๆๆๆๆ เจ้าค่ะ
หลวงตา : ขันธ์ห้า เป็น สังขารทั้งหมด ความดิ้นรนทะยานอยาก (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) ก็เป็น สังขาร สิ้นหลงสังขาร ก็เท่ากับสิ้นหลงยึดถือขันธ์ห้า หรือ สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และความทุกข์ทั้งมวล หรือ วงจรปฏิจจสมุปบาทหักหรือขาดสะบั้นทันที ผู้ถาม : เจ้าค่ะ หนูรู้ว่าลึก ๆ มันยังมีตัวที่กลัวต้องเกิด อีก กลัวไม่พ้นทุกข์แอบซ่อนอยู่ตลอดเวลาเลย เพียง แต่มันจะแสดงพฤติกรรมออกมาแตกต่างกันในแต่ละ ครั้ง แต่รากลึกของมันคือ อยากพ้นทุกข์มาก ๆๆๆๆ เจ้าค่ะ ซึ่งทีแรก หนูก็มีคำถามว่า แล้วทำอย่างไรถึง จะสิ้นยึดสิ้นอยากได้ แต่หนูก็ทำอะไรกับความอยาก มันไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะความอยาก ความยึดมัน เป็นสังขารปรุงแต่ง นอกจาก let it be มันไม่ได้อยาก ไม่ได้ยึด ตลอดเวลาเจ้าค่ะ มันมีเป็นพัก ๆ
อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ ว่าหนูไปตั้งเป้าหมาย ยึดเป้าหมายไว้ว่าต้องพ้นทุกข์ให้ได้ ต้องไม่เกิด อีกให้ได้ มันเลยเป็นความอยากขึ้นมา ก็เลยมี ความพยายามทำโน่นทำนี่ตลอดเวลาเลย จริง ๆ แล้ว ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย ไม่มีใครพ้นทุกข์ ซะหน่อย มีแต่ขันธ์ห้าที่มันเกิด มันตาย อวิชชาตัว ใหญ่จริง ๆ เพราะมันไปยึดว่าขันธ์ห้านี่เป็นเรา เลยอยากให้ขันธ์ห้าพ้นทุกข์ ไม่อยากให้ขันธ์ห้า ต้องมาเกิดอีก โดนหลอกเต็ม ๆ เลยเจ้าค่ะงานนี้ หลวงตา : พิจารณาดูให้ดี ๆ มันยังมี “อวิชชา” คือ มีตัวตนของเราอยู่ในความรู้สึก เหมือนกับ มันยังหลงว่ามีผีเป็นตัวตนอยู่ ในความรู้สึก ความทุกข์ หรือ ความกลัวผีจึงยังไม่หาย ไปจริง เพียงแค่สงบไว้ได้ชั่วคราว
ต้องมี สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความ เพียร พิจารณาให้เห็นสัจธรรม ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของขันธ์ห้าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนใจรู้เห็นและยอมรับในสัจธรรมตามความเป็น จริงของขันธ์ห้า หรือ รู้เท่าทัน “สังขาร” จนไม่หลง สังขารอีกเลย เมื่อไม่หลงสังขาร ก็จะไม่หลงเอาสังขาร มาคิดปรุงแต่งยึดถือสังขาร หรือ ขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ให้เป็นทุกข์ หรือ เมื่อไม่หลงสังขาร คือ หลงคิดปรุงแต่งว่ามีผีเป็นตัว ตนในความรู้สึก ความกลัวผีให้เป็นทุกข์ก็หมดไป หรือ พ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561
เพียรรู้เห็นความจริงของขันธ์ห้า ผู้ถาม : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะหลวงตา หนูเห็นแล้วว่าทุก การกระทำ ความคิดของหนูล้วนมี "ตัวหนู" แอบแฝง เป็นผู้รับผลประโยชน์ทั้งนั้นเลย จริง ๆ แล้ว ทุกขณะ จิตของการกระทบมีแต่การทำงานของสังขารที่เกิด ขึ้นและดับไปตามผัสสะที่กระทบทั้งนั้น ไม่มี ตัวหนู อยู่เลย มีแต่ธรรมชาติมันทำงานเองเจ้าค่ะ จะเพียร มีสติ สมาธิ ปัญญา รู้เห็นการทำงานของขันธ์ห้าต่อ ไปเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ให้มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ ในการรู้เห็นความจริงของขันธ์ห้า และรู้เท่าทันเมื่อหลงเอาสังขาร คือ ความคิดปรุง แต่งของขันธ์ห้า มาคิดปรุงแต่งยึดถือเป็นตัวตนของ เราในความรู้สึก เหมือนกับปรุงว่าผีมีตัวตนในความ รู้สึก ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561
รู้แก่ใจว่าไม่มีผู้ยึดถือทั้ง “ผู้รู้” และ สิ่งที่ถูกรู้ ในขณะจิตเดียวกัน ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ จากธรรมหลวงปู่หล้า ท่านบอกว่า ไม่หนัก ในอานาปานสติ เจตสิก ผู้รู้ ในขณะเดียวกันแล้ว จะเห็นจริงได้ยาก จากที่หลวงตาสอน ว่าแค่รู้ กับที่หลวงปู่ หล้าท่านกล่าวไว้ ต่างกันอย่างไรเจ้าคะ ขอหลวงตา โปรดเมตตาแจกแจงให้เข้าใจหน่อยเจ้าค่ะ หลวงตา : มีสติสักแต่ว่ารู้ “กาย” คือ ลมหายใจเข้า ออก พร้อมกับ “จิตหรือวิญญาณขันธ์ที่มีเจตสิกเข้า ประกอบทุกดวงในปัจจุบันขณะ ซึ่งเป็นอาการของ จิตหรืออาการของใจ” โดยไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือทั้งกายและจิต หรืออาการของจิต ซึ่งเป็น “สังขาร”
และรู้แก่ใจว่าไม่มีผู้ยึดถือทั้ง “ผู้รู้” และ สิ่ง ที่ถูกรู้ คือ ลมหายใจ ซึ่งเป็นกาย และ จิต ซึ่งเป็น อาการของจิต *****ในขณะจิตเดียวกัน จึงจะเป็นนิพพานธาตุเป็นขณะจิตปัจจุบัน ให้ดูที่โพสต์มาแล้วนี้ (ประวัติพระพาหิย ทารุจิรยะคัดมาบางส่วนพาหิยะสูตร) เอามา พิจารณาประกอบด้วย ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา แต่ที่หนูสงสัยคือต้องดูลม หายใจด้วยหรือเจ้าคะ มันเหมือนมีตัวเราไปทำ จงใจตั้งใจเจ้าค่ะ หลวงตา : การเพียรฝึกสติสักแต่ว่ารู้ ลมหายใจ (กาย) พร้อมกับ จิตหรืออาการของจิต ก็เพื่อ 1. เป็นการคานอำนาจไม่ให้หลงไปจับยึด กาย กับ จิต เหมือนกับให้มีตาชั่งที่มีคานสองจาน เพื่อความสม
2. เมื่อไม่หลงจับไปจับยึดกาย และ จิต พร้อม กันในขณะจิตเดียว โดยสักแต่ว่ารู้ได้ทั้งกายและจิต (ไม่หลงยึดถือผู้รู้ด้วย) ก็จะเป็นนิพพานธาตุเป็นขณะจิตไป แต่สำหรับผู้ที่อยู่กับ “รู้” ที่เป็น “พุทธะ” คือ รู้ จริง รู้แจ้ง รู้สิ้นหลง รู้สิ้นยึด รู้ตื่น รู้เบิกบาน รู้พ้น แล้ว ท่านก็อยู่กับ “รู้” โดยไม่ต้องเพียรฝึกสักแต่ว่ารู้ลม หายใจ (กาย) และจิต อีก ผู้ถาม : แล้วการฝึกสติรู้ลมหายใจ ต้องรู้ละเอียดไหม เจ้าคะ ว่าเข้าหรือออก หรือแค่รู้ว่ามีลม หลวงตา : “ลมหายใจ” ก็สักแต่ว่ารู้ลมหายใจเข้า และ ลมหายใจออก ทั้งลมหยาบ ลมละเอียดปานกลาง ลม ละเอียดมาก ๆๆ ... ยิ่งขึ้นไป บางขณะอาจละเอียดจน เหมือนกับไม่มีลมหายใจเข้าออกเลย โดยสักแต่ว่ารู้ แต่ถึงแม้ลมหายใจจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร จนถึงกับไม่มีลมเข้าออก ก็ “สักแต่ว่ารู้ทุกปัจจุบันขณะ”
ในขณะจิตเดียวกัน ก็สักแต่ว่ารู้ “จิตหรือ อาการของจิต” ตั้งแต่หยาบ ปานกลาง ละเอียด ละเอียดมาก ๆๆ … จนถึงขั้นสงบ ในทุกปัจจุบัน ขณะ จะไม่ปรากฏอาการหรือตัวตนของผู้รู้ จึงไม่มีผู้ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก และ ไม่มีผู้ตามรู้จิต เคลื่อนไหว ถ้าปรากฏอาการหรือตัวตนของผู้รู้ นั่น คือ จิตตสังขารหรือ สิ่งปรุงแต่ง ที่ต้องถูกปล่อยวาง ผู้ถาม : ถ้าต้องรู้ว่าขณะจิตนี้ลมเข้า ขณะจิตนี้ลมออก ก็จะดูเหมือนกัดติด จดจ่อดี แต่ยิ่งทำให้มีตัวเราไป ทำทุกขณะจิต กราบขอบพระคุณหลวงตาที่ได้ เมตตาแจกแจงให้เข้าใจยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ (หนูว่าการมีครบทั้ง 3 อานาปานสติ เจตสิกและผู้รู้ ตามที่หลวงปู่หล้ากล่าวไว้นั้นช่วยให้ไม่หลงไปเหมอ เผลอเพลินได้เป็นอย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ) เจ้าค่ะหลวงตา ที่สำคัญคือ ต้องสักแต่ว่ารู้จริง ๆ
หลวงตา : สาธุ ไม่ต้องกลัวว่า “มันเหมือนมีตัวเรา ไปทำ จงใจตั้งใจทำทุกขณะจิต” ขอให้รู้แก่ใจว่า อาการมีตัวเราไปจงใจ เจตนา พยายาม ตั้งใจเป็น ผู้กระทำ หรือ เป็นผู้รู้ทุกขณะจิตนั้น เป็น “จิตต สังขาร” คือ ความปรุงแต่ง รวมทั้งความกลัวนั้นด้วย เมื่อเห็นว่าเขาเป็นสังขาร ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจก็จะไม่หลงยึดถือเขา เอง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561
จิตส่งออกนอก ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้วยความเคารพอย่าง สูง ฟังธรรมที่หลวงตาส่งเข้ามาทางไลน์ทุก ๆ วัน ชัดเจนถึงแก่น เป็นธรรมแท้ ธรรมจริง วันนี้จะ สอบถามหลวงตา ดังนี้ค่ะ ณ ขณะที่เห็นความรู้สึกที่มันเกิดขึ้น เห็นความ คิดมันไหลไป รู้ว่ามันรู้สึกแบบนี้ คิดแบบนี้ รู้ว่ามันไป อีกแล้ว ขณะนั้น เรียกว่าจิตส่งออกนอก หรือ เรียกว่า อยู่กับผู้รู้ กราบนมัสการหลวงตาแทบเท้าในความ เมตตาต่อเหล่าเวไนยสัตว์เจ้าค่ะ หลวงตา : จิตส่งออกนอก หรือ ส่งจิตออกนอก หมาย ถึง ขณะจิตปัจจุบัน หลงส่งจิตออกไปมีความรักหรือ ความชัง หรือ จมติดอยู่ต่ออายตนะภายนอกที่มา กระทบ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือ ธรรมารมณ์ คือ อาการของจิตที่ถูกรู้ หรือ หลงเหม่อ เผลอเพลินจมไปกับความคิดหรืออารมณ์
ถ้าไม่ขาดสติหลงส่งจิตออกนอกไปจมอยู่กับ อายตนะภายนอก และรู้ตัวอยู่ว่าไม่ขาดสติหลงส่ง จิตออกนอก เรียกว่า “มีสติตื่นรู้อยู่ในปัจจุบันขณะ” ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561
“สติ” อันเดียว อย่าหลาย ผู้ถาม : แต่ถ้าหลงส่งจิตออกนอกแป๊บ แล้วมีสติรู้ ตามไปทีหลัง หมายถึงหลงก่อนแล้วค่อยรู้ใช่ไหม เจ้าคะ หลวงตา : ใช่แล้ว เป็นเพราะ สติขาด สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ รู้อยู่ที่ใจ สังเกตอยู่ที่ ใจ ละที่ใจ ปล่อยวางที่ใจ สติขาด สมาธิขาด ปัญญาขาด ธรรมขาด เป็นทุกข์ สติมี สมาธิมี ปัญญามี ธรรมมี ไม่ทุกข์ สติเป็นมหาสติ เป็นมหาสมาธิ เป็นมหา ปัญญา เป็นนิพพาน พ้นทุกข์ สติอยู่ที่ไหน ความรู้อยู่ที่นั่น ความรู้อยู่ที่ไหน สติอยู่ที่นั่น สติ กับ ความรู้มันอยู่ด้วยกัน
ต้องฝึกให้มีสติต่อเนื่อง ความรู้ก็จะต่อเนื่อง หรือ ความรู้ต่อเนื่อง สติก็จะต่อเนื่อง อย่าทิ้งสติ หรือ อย่าทิ้งความรู้ แต่ไม่หลงยึดถือสติและความรู้ อาศัยเป็น เรือข้ามฟากจากทะเลทุกข์เท่านั้น ไม่มีใครเขาแบก เรือ “สติ” อันเดียว อย่าหลายกรณี จะรู้อย่างไร ว่า “สติ สมาธิ ปัญญา และ ธรรม” ไม่ขาด 1. จิตหรือวิญญาณของเธอไม่ส่งออก และ 2. จิตหรือวิญญาณของเธอไม่สยบติดอยู่ ภายใน ติดอยู่ในความรู้สึกโปร่ง โล่ง เบา สบาย ว่าง หรือ อารมณ์ฌานและ 3. ไม่กังวลเพราะความยึดมั่นถือมั่น คือ ไม่ หลงยึดถือขันธ์ห้า หรือ ไม่หลงหมกมุ่นครุ่นคิด หรือ จมอยู่ในความคิดและอารมณ์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561
หลงพยายามให้ตัวเราเป็นวิสังขาร ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตา บางครั้งหนู สังเกตเห็นว่าในความเคลื่อนไหวของสังขารมีความนิ่ง เงียบที่ไม่เคลื่อนไหวอยู่ด้วย ซึ่งเดาว่ามันคือวิสังขาร แต่สงสัยว่าเราเลือกได้ด้วยเหรอเจ้าคะ ว่าจะอยู่กับวิ สังขาร เป็นวิสังขารหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ รู้ว่าถ้ามีสติอยู่ จะเห็นว่าขันธ์ห้ามันทำงานเอง โดยหนูยังไม่ได้บอกให้ มันทำเลย เช่น ได้ยินเสียง หนูยังไม่ได้บอกมันเลยว่า เสียงอะไร ชอบไหม แต่มันก็เกิดการแปลเอง เกิด เวทนาชอบไม่ชอบของมันเอง มีความรู้สึกคันตา มือ มันก็ยกมาขยี้เอง โดยไม่มีใครสั่ง เลยเห็นว่า … เออ มันทำงานของมันเองจริง ๆ เจ้าค่ะ ไม่ต้องอาศัยเราเลย ส่วนจิต มันอยากจะคิดมันก็คิดเอง มันอยากจะ ปรุงมันก็ปรุงเอง แล้วมันก็ดับของมันไปเอง ขนาดนั่ง สมาธิแล้วหนูตั้งใจว่าจะไม่คิดอะไรให้มันท่องแต่ พุ ทโธ ๆ มันก็คิดโน่นคิดนี่เอง แล้วมันก็กลับมาพุทโธเอง บังคับอะไรไม่ได้ ไม่อยากให้มันหลงไปกับความคิด มันก็หลงอีก พอรู้ว่าอ้าว … หลงไปแล้ว มันก็หายหลง
อีกคำถามหนึ่งเจ้าค่ะหลวงตา หนูสังเกต ว่าบางครั้งมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิดแบบรุนแรงขึ้น กว่าเดิม ทำให้หนูพูดหรือกระทำอะไรออกไป (ที่ เมื่อก่อนไม่เคยทำ) อันนี้เพราะเรากลายไปเป็น สังขารหรือเปล่าคะ แต่ที่แปลกใจคือหนูรู้ว่าตอน นั้นหนูมีสติ ไม่ได้ขาดสติ เพราะหนูรู้ว่าเกิดอะไร ขึ้น และเห็นอารมณ์ที่เกิด เห็นร่างกายกับคำพูด มันทำของมัน แต่ห้ามมันไม่ได้ แล้วก็เห็นอารมณ์ มันค่อย ๆ ดับของมันไป เลยไม่แน่ใจว่าเป็น เพราะติดแช่ ติดสบายหรือเปล่าเลยมีอารมณ์ รุนแรงขึ้นเจ้าค่ะ กราบขอความเมตตาหลวงตาช่วย ชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา : เพราะพยายามเลือกจะเป็นวิสังขาร จึง ทำให้หลงสังขาร หรือ หลงยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัว เรา มีตัวตนของเรา แล้วคิดปรุงพยายามให้ตัวเรา เป็นวิสังขาร เมื่อไม่ได้อย่างใจอยากเสียที ก็เกิด ความหงุดหงิดขัดเคืองใจสะสมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
เมื่อถูกกระทบ หรือถูกขัดใจ หรือ ไม่ได้อย่างใจ อยากในสิ่งใด ก็จะระเบิดอารมณ์ที่เก็บสะสมไว้ ออกมา จึงมีอารมณ์แรงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า ปกติธรรมดา ผู้ถาม : เข้าใจแล้วค่ะหลวงตา ความหลงยึดถือนี่ มันช่างฝังรากลึกจริง ๆ เจ้าค่ะ มันเป็นตัวการ สำคัญที่ทำให้เราทำโน่นทำนี่ตลอดเวลาเลย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่ความเข้าใจผิด คิดว่าเรามีตัวตน เหมือนผีมีตัวตนแท้ ๆ เลยเจ้าค่ะ ปรุงแต่งทั้งนั้น ๆๆ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561
มีสติสักแต่ว่ารู้ “กาย” และ “จิต” ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ หนูทบทวนที่หลวงตา เคยตอบลูกศิษย์มา … แต่ก็ยังงง ๆ อยู่เจ้าค่ะ หลวงตา : มีสติสักแต่ว่ารู้ “กาย” คือ ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับ “จิตหรือวิญญาณขันธ์ที่มีเจตสิกเข้าประกอบ ทุกดวงในปัจจุบันขณะ ซึ่งเป็นอาการของจิตหรือ อาการของใจ” โดยไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือทั้งกายและจิต หรืออาการของจิต ซึ่งเป็น “สังขาร” และรู้แก่ใจว่าไม่มีผู้ยึดถือทั้ง “ผู้รู้” และ สิ่งที่ ถูกรู้ คือ ลมหายใจ ซึ่งเป็นกาย และ จิต ซึ่งเป็น อาการของจิต ***** ในขณะจิตเดียวกัน จึงจะเป็นนิพพานธาตุเป็นขณะจิตปัจจุบัน
ผู้ถาม : หนูมักจะตามไม่ทันเวลาพูดถึงศัพท์เทคนิค ของเจตสิกทุกทีเลยเจ้าค่ะหลวงตา หลวงตา : จิตหรือวิญญาณที่เกิดมารู้อายตนะ ภายนอก ต้องมีเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร เข้าผสมทุกขณะจิตปัจจุบัน เมื่อรวมกันแล้ว ก็เป็นอาการต่าง ๆ ของจิต เช่น ความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง อารมณ์ ต่าง ๆ สรุปแล้ว ทั้งจิตหรือวิญญาณและเจตสิก ก็ เป็นจิตตสังขารที่เกิดดับเป็นขณะ ๆๆ .. ผู้ถาม : อ๋อ ... งั้นเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ สรุปว่าหลวงปู่ หล้าหมายถึงให้รู้ลมหายใจเข้าออก แทนการรู้กาย ทั้งตัว และรู้การเปลี่ยนแปลงของจิตตสังขารว่ามัน เกิดดับ เกิดดับ ทุกขณะโดยไม่มีผู้ยึดถือทั้งยวง เลยใช่ไหมคะ หลวงตา : สาธุ
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา ก็คืออัน เดียวกับ รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน และที่หลวงปู่ทา บอกว่า สติตั้งอยู่ที่ใจ รู้อยู่ที่ใจ ละอยู่ที่ใจ เพียง แต่ของหลวงปู่หล้า ถ้าเข้าใจแล้วก็เหมือนเข้าใจ แนวทางการปฏิบัติด้วยว่ารู้ทั้งหมด ละทั้งหมด เหมือนกับมีหลักอยู่คือลมหายใจเป็นพื้น แล้วเห็น จิตที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาง่ายขึ้น ชัดขึ้นกว่า แต่ก็ ต้องรู้อยู่ว่าไม่ยึดทั้งยวง เข้าใจชัดเลยเจ้าค่ะ ผู้ถาม : ฝึกแบบนี้เห็นจิตปรุงแต่งชัดและง่ายมาก เจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ เช่นเดียวกัน แต่ของหลวงปู่หล้า ให้รู้กายคือ ลมหายใจเข้าออกที่เคลื่อนไหว พร้อม กับรู้จิตตสังขารเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กันใน ปัจจุบันขณะ ทั้งหยาบ ปานกลาง ละเอียดขึ้น ไป ...ๆๆๆๆ โดยเพียงแค่สักแต่ว่ารู้ เพื่อเป็นการ คานอำนาจไม่ให้หลงไปเป็นจิตตสังขาร คือ หลง จมอยู่ในความคิดและอารมณ์ และจะได้ไม่หลงไป ยุ่งวุ่นวายกับลมหายใจเข้าออก
***** ที่สำคัญ จะได้ไม่หลงไปจับยึดเวทนาต่าง ๆ เช่น อาการโปร่ง โล่ง เบา สบาย ว่าง นิ่ง เฉย สงบ สรุป - ทั้งลมหายใจ และ จิตตสังขาร ทุก ปัจจุบันขณะ รวมทั้งผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง มันจะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่รู้ หรือ ปล่อย วาง .......let it be..... ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา หลวงตา : https://youtu.be/LqhxGqDNkfo ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561
คนจริง เพียรจริง ย่อมรู้จริง เห็นจริง เป็นจริง ผู้ถาม : เห็นทุกสิ่ง เป็นสังขาร แม้ส่วนที่ละเอียด คือ ความคิดที่ตัวเราเอาไปคิดพิจารณา เพื่อปล่อย วางสิ่งอื่น ๆ ตรงนี้เห็นเป็นสังขาร ลงแก่ใจแล้ว ใจ มันปล่อยสังขารตัวนี้ลงได้ แต่มันเหลือ ตัวความว่างที่ปล่อยวางผู้อื่น คาไว้เจ้าค่ะ ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย เหลือคา คงที่อยู่ จะพิจารณาให้มันคืนธรรมชาติ มันก็ไม่คืน พิจารณาเกิดดับก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีรูปร่าง มัน คงอยู่เป็นความว่างตลอดเวลา ไม่เกิดไม่ดับ ตัว ความคิดที่เอามาพิจารณา เจ้าตัวนี้ มันเห็นเป็น สังขารไปหมด ไม่อาจลงแก่ใจได้ มันเลยเหลือว่าง ๆ เปล่า ๆ คงที่ คาอยู่ แถมมันรู้สึกว่า เป็นตัวเรา ชัด ๆ เลย ลูกหมดปัญญาจะพลิกแล้วเจ้าค่ะ หลวงตา : มันมีตัวเราอยากให้กลืนเป็นหนึ่งเดียว กับธรรมชาติ
ผู้ถาม : รู้แล้วเจ้าค่ะ ตัวที่ยึดความว่าง เป็นสังขาร อันละเอียด แต่มันไม่อาจถูกเห็นได้ เพราะมันกลืน เป็นหนึ่งเดียวกันกับความว่างของจักรวาล มันไม่มี รูปร่าง ไม่อาจเอาสิ่งใดไปเห็นมันเหมือนเห็น สังขารอื่นได้ วิธีเดียวที่อวิชชาจะถูกเห็น คือ "ปัญญา" ที่ ย้อนทวนกลับมา "รู้" ว่ามีสิ่งหนึ่งยึดความว่างอยู่ เมื่อ "รู้" จนชัดเจน มันจะเปลี่ยนจาก "รู้" เป็น "รู้แก่ ใจ" แล้วมันก็ปล่อยตัวมันเอง วิสังขารไม่ใช่ตัวมัน มันเป็นสังขาร ที่แท้ มันใช้สังขารเพื่อปล่อยวางสังขารหรอกหรือเจ้าคะ แม้แต่การปฏิบัติ การเดินความเพียรทั้งหมด ก็เป็น สังขารทั้งหมดเลยใช่ไหมเจ้าคะ รวมทั้งความรู้สึกว่าตัวเรายึดถือ หรือ ตัว เราปล่อยวาง ตัวเรากำลังจะรู้ความจริงบาง อย่าง ... สิ่งนี้ก็หลอกใช่ไหมเจ้าคะ มันโง่จริง ๆ ทำไมถึงได้โง่แบบนี้ ของอยู่ตรงหน้าเป็นเส้นผมบัง ภูเขาแท้ ๆ มองไม่เห็นเลย ความไม่ปรุงแต่ง มันมี ที่ไหน มีแต่ความปรุงแต่งเท่านั้นที่ปรากฏได้ เห็น การไม่ส่งออกนอก และ ไม่สยบติดภายใน ไม่ยึด ปัจจุบัน ในขณะจิตหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ
ที่แท้ที่ผ่านมามันสยบติดภายในอยู่ แล้ว ไม่รู้นี่เอง แต่แป๊บเดียวกลับไปสยบติดภายในอีก แล้ว มันยึดนิพพานใช่ไหมเจ้าคะ ร้ายจริง ๆ เป็น ตาม step ที่หลวงตาบอกเลย ความโง่ ความยึดถือ กับ สติปัญญา ปล่อยวาง มันชิงไหวชิงพริบกันอยู่ เจ้าค่ะ ไวมากจริง ๆ กิเลสก็ละเอียดเข้า ๆ สติ ปัญญามันก็แรงกล้าอยู่ ไม่ยอมอ่อนกำลัง ไม่มีใคร ยอมใคร นี่จะยืดเยื้อไปอีกนานไหมเจ้าคะ ไม่ต้อง หลับต้องนอนกันแล้ว หลวงตา : สาธุ สมกับเป็นลูกของตถาคต เพียรให้จริง คนจริง เพียรจริง ย่อมรู้จริง เห็นจริง เป็นจริง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561
หลงยึดถือ “ผู้รู้” ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ธรรมหลวงปู่ หล้าวันนี้เรื่อง "ปัจจุบันมิใช่เป็นพระนิพพาน" หลวงปู่ท่านบอกว่าเป็นการเดินถูกทาง แต่ ไม่ใช่ปลายทาง … หลวงตาบอกว่าให้อยู่กับปัจจุบัน คือ รู้แล้วปล่อยวางทุกขณะจิตปัจจุบัน ไม่หลงยึดถือ … อย่างนี้ยังไม่ใช่ปลายทางหรือเจ้าคะ แล้วปลาย ทางเป็นอย่างไรเจ้าคะหลวงตา และที่หลวงปู่บอกว่า "ไม่สำคัญตนเป็นปัจจุบัน" หมายถึงอย่างไรเจ้าคะ อยู่กับปัจจุบันแล้วยึดปัจจุบันเป็นเราหรือเปล่าเจ้าคะ ถ้าไม่ยึดก็ไม่ใช่สำคัญตนใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา ขอ หลวงตาโปรดเมตตาแจกแจงธรรมให้เข้าใจด้วย เจ้าค่ะ
หลวงตา : ไม่ยึดอดีต ไม่ยึดอนาคต มีแต่เพียรรู้ ละ ทุกปัจจุบันขณะ แล้ว แต่ในใจลึก ๆๆๆ .... มี ความรู้สึกแอบไว้ว่ามีตัวเราเพียรรู้ละปล่อยวางทุก ปัจจุบันขณะ เพื่อ ผลประโยชน์ของตัวเราจะได้ จะ ถึง จะบรรลุ ..... ตามที่มีความอยาก หรือ ความ ปรารถนาแอบแฝงไว้ในใจ สรุปแล้ว - เป็นเพราะยังมีสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา ใน “ผู้รู้” หรือ ***** ยังหลงยึดถือ “ผู้รู้” ว่า ตัวเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา ให้ตั้งใจฟังไฟล์นี้ที่เคยส่งมาประกอบ 180901B-6 สิ้นสุดความยึดถือ https://drive.google.com/open? id=1tBGmsqSxzyk40wfwyKgmzIYT5V0TE_e ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561
ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม ยังมิใช่นิพพาน ผู้ถาม : คำว่า ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม ยังมิใช่ นิพพาน เพราะยังมีการปรุงแต่ง อดีต ปัจจุบัน อนาคตอยู่ มีเราเป็นผู้มีส่วนได้เสียในธรรมชาติ ดัง นั้นจึงต้องพ้นไปจากปัจจุบันเจ้าค่ะ หลวงตาคะ มี ความไม่ชัดแจ้ง ไม่เข้าใจตรงย่อหน้าที่ 7 บอกว่า “สำคัญว่าผู้อื่นเป็นปัจจุบัน สำคัญกว่าปัจจุบันเป็นผู้ อื่นเจ้าค่ะ” และย่อหน้า 8 “เมื่อสำคัญว่าตนมีอยู่ใน ปัจจุบัน สำคัญว่าปัจจุบันมีอยู่ในตน แล้วจะไม่หลง ไปยึดถืออดีต อนาคตว่าเป็นตัวตนเรา” หมายความ ว่า อย่างไรเจ้าคะ หลวงตา : หมายความว่า ในปัจจุบัน มีความรู้สึก ว่า เราถึง … เราได้ … เราเป็น .... เรารู้แจ้ง .... เราบรรลุ .... เราสำเร็จ .... เราเสร็จกิจแล้ว กิจอื่น นอกจากนี้ไม่มีแล้ว
เมื่อมีเราในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็ต้องมีผู้ อื่นในปัจจุบัน ว่าผู้อื่น ยังไม่ถึง ไม่ได้ ไม่เป็น ไม่ บรรลุ ไม่สำเร็จ ยังไม่เสร็จกิจ ยังมีการเปรียบเทียบความรู้ ความเห็น มี ทิฏฐิในใจ ว่าเราสูงกว่าเขา หรือ เขาต่ำกว่าเรา หรือ เสมอกันหรือเท่ากัน มีความดิ้นรนทะยานอยาก มีผู้เสวย หรือ ผู้ ยึดถือ ซึ่งเป็นตัณหาอันละเอียดมาก ๆ จนเจ้าตัวก็ยัง ไม่รู้ตัว เช่น หลงยึดถือความว่าง หลงยึดถือวิสังขาร หลงยึดถือพระนิพพาน เป็นต้น จึงยังมีสังโยชน์อันละเอียด ๆๆๆ … ตัวท้าย ๆ หลงเหลืออยู่ คือ ทิฏฐิมานะ ฟุ้งช่าน และอวิชชา เมื่อมี “อวิชชา” คือ สำคัญว่ามีตนอยู่ใน ปัจจุบัน หรือ สำคัญว่าปัจจุบันมีอยู่ในตน ดังกล่าว แล้ว
อดีตก็ไปจากปัจจุบัน อนาคตก็มาเป็น ปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันยังมีอวิชชาอยู่ อตีตและ อนาคต ก็ย่อมมีอวิชชา ถ้าปัจจุบันสิ้นสังโยชน์ หรือ สิ้นอวิชชา แล้ว อดีตที่ผ่านไปก็จะสิ้นสังโยชน์ และ อวิชชา อนาคตก็จะสิ้นสังโยชน์และอวิชชา ด้วย ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561
สักแต่ว่ารู้ “กาย” พร้อมกับรู้ “จิต” ผู้ถาม : พระอาจารย์ครับขอโอกาสสรุปเรื่องอยู่กับ รู้กายรู้จิต รู้เท่าทันจิตที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ว่าคิดอะไร แต่ไม่สนใจว่าคิดปรุงแต่งเรื่องอะไร อยู่ หลวงตา : ไม่ใช่คิดอะไรแต่ไม่สนใจ .... “รู้” คือ รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ตามปกติเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป นั่นแหละ มีความรู้สึกนึกคิด อารมณ์อย่างใดก็รู้เขา ตามปกติธรรมดา เพียงแต่ว่ารู้ทุกสิ่ง ทั้งความคิด และ อารมณ์ ด้วยความรู้สึกตัว หรือ มีสติ สัมปชัญญะ คือ ไม่หลงมีตัวเอง หรือ หลงเอาตัวเองจมติดไป กับสิ่งใดด้วยความรัก ความเพลินใจติดใจยินดี หรือความชัง ทุกปัจจุบันขณะที่มีการกระทบ
จะคิดอะไรก็ต้องตั้งใจคิดด้วยความรู้สึก ตัว ไม่ขาดสติหลงหมกมุ่นจมอยู่ในความคิดที่เป็น กิเลส เป็นความทุกข์ เป็นความกังวล ส่วนที่สามารถรู้เห็นจิตละเอียดยิ่งขึ้นไป เรื่อย ๆๆๆ … จนถึงกับเห็นอาการของจิตมีความ ไหว ๆๆๆ … ในความไม่เคลื่อนไหว ได้นั้น ต้อง ผ่านการฝึกรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังกล่าว ด้วยความมีสติ สัมปชัญญะ มาอย่างหนักอย่างต่อ เนื่องไม่ขาดสาย โดยเฉพาะการรู้ธรรมารมณ์ หรือ อาการ ของจิตทางประตูใจ โดยเฉพาะการรู้อาการของจิต คิด จิตเคลื่อนไหว จนถึงขั้นได้แต่แค่รู้ หรือ สักแต่ ว่ารู้ โดยไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือนั้น ต้องผ่านการฝึก มีสติ สัมปชัญญะ สักแต่ว่า รู้กาย คือ ลมหายใจ เคลื่อนไหว พร้อมกับ รู้จิตเคลื่อนไหว มาอย่างหนัก อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
จนถึงขั้นมีความสงบใจในสภาวะจิตตื่น แล้วสักแต่ว่ารู้ “กาย” คือ ลมหายใจเคลื่อนไหว พร้อม กับรู้ “จิต หรือ อาการของจิตคิด หรือเคลื่อนไหว” ตั้งแต่ทั้งกาย คือ ลมหายใจเข้าออก และ จิตเคลื่อนไหวหยาบ ปานกลาง ละเอียด ๆๆๆ .. ขึ้นไปเรื่อย ๆๆๆ … โดยไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่น ถือมั่น ก็จะเห็นจิตเคลื่อนไหว ในความไม่ เคลื่อนไหว เมื่อสิ้นตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่มีผู้ ทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561
แค่หายโง่เท่านั้น ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ หากไม่ ได้องค์หลวงตาเมตตาชี้ให้เห็น ก็คงไม่เห็นสิ่งที่ ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนติดจิตชนิดไม่เห็นเงากัน เลยทีเดียวเจ้าค่ะ พอองค์หลวงตาเมตตาชี้นี่ มัน ผางออกมาให้เห็นเลยเจ้าค่ะ ออกมาเต้นเร่า ๆ ดีดดิ้นเป็นทุกข์ให้เห็นชัด ๆ กันทีเดียว เป็นวาสนาโดยแท้ที่ลูกมีโอกาสได้มี พ่อแม่ครูอาจารย์ที่รู้รอบ และเป็นเลิศและมีเมตตา ไม่มีประมาณจริง ๆ เจ้าค่ะ ลูกไม่เสียชาติเกิดแล้ว แม้ปัญญายังไม่แจ้งไม่รอบ แต่ใจลูกจะไม่ห่าง ธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์เลยเจ้าค่ะ ลูกขอตั้ง สัจจะอธิษฐานจะไม่หนีจากธรรมที่องค์หลวงตา ชี้แนะ และขอวางชีวิตและบุญบารมีทั้งหมดที่ทำมา ขอให้มีปัญญาเข้าใจในสิ่งที่องค์หลวงตาเมตตาชี้ สั่งสอนในทุกคำสั่งสอนเจ้าค่ะ น้อมกราบองค์หลวง ตาด้วยเศียรเกล้าด้วยเคารพรักอย่างที่สุดเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ โยมเป็นผู้มีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร มีปัญญาละเอียด รู้เห็นได้ชัดเจน มาก ๆ หากได้กัดติดจดจ่ออย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะ ทำลายความหลง คือ อวิชชา ลงได้ แต่คงเป็นเพราะแอบมีความรักใคร่ ผูกพันห่วงใยครอบครัวไว้ในจิต จึงยังติดอยู่แค่ สัญญา ไม่เกิดปัญญารู้แจ้งขึ้นที่ใจ ***** ความจริง สิ้นอวิชชา เพียงแต่มัน หายโง่เท่านั้น เพราะหลงยึดถือผิด ๆ สร้างความเป็น ตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา ขึ้นมาในความ รู้สึก แล้วเกิดความหลงยึดถือเป็นจริงเป็นจัง จน เกิดเป็นความทุกข์ ความกังวลจริง ๆ เหมือนกับ ในสถานที่นั้น เขาอยู่กันมา นาน ไม่เคยมีใครเห็นผี แต่เราโง่ หลงคิดปรุง แต่งว่ามีผีในที่นั้น แล้วหลงยึดถือเป็นจริงเป็นจัง ขึ้นมา ก็เกิดการกลัวผีจนเป็นความทุกข์ ความ กังวล ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561
การฝืนความจริงของธรรมชาติ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ผู้ถาม : มันเริ่มเห็นความเบื่อหน่ายไร้แก่นสารของ การเกิด การยึดถือทั้งของตนเองและผู้อื่น เกิดทีไร เป็นทุกข์ทุกทีเจ้าค่ะ น้อมกราบ น้อมรับคำสั่งสอน เจ้าค่ะองค์หลวงตา หลวงตา : สาธุ ไม่มีใครเป็นเจ้าของกายสังขาร และ จิตตสังขาร ได้ เพราะเขาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาไม่หลงยึดถือเรา มีแต่เราหลงยึดถือเขา แล้วเอาตัวเราไปยึดถือคนอื่น สิ่งอื่นอีก ทั้ง ๆ ที่ไม่ อาจจะยึดถือเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ เมื่อฝืนความจริง ของธรรมชาติ จึงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ส่วน “ใจ” หรือ วิสังขาร เขาไม่มีตัวตน ไม่ ปรุงแต่ง ไม่ปรากฏอะไรเกิดดับเลย ไม่มีสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายใดให้จับต้องยึดถือเอาได้ เมื่อผู้ ใดหลงยึดถือในสิ่งที่ไม่มีอะไรให้ยึดถือได้ เขาจึง เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ผู้ถาม : สาธุเจ้าค่ะองค์หลวงตา ไม่มีใครฝืนธรรมชาติ ได้ ไม่มีใครครอบครองธรรมชาติได้ ทบทวนเท่านั้น เจ้าค่ะ ทบทวนให้ถึงใจ น้อมกราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ หลวงตา : ความจริงแล้ว ทุกคนก็รู้แก่ใจว่า ธรรมชาติของความเป็นจริง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องแก่ เจ็บ ตาย ทอดทิ้งร่างถมทับลงบนแผ่น ดิน ไม่มีอะไรที่จะยึดถือเอาไว้ได้เลย แต่แทบทุกคนก็ยังฝืนธรรมชาติของความเป็น จริง ยึดถือทั้งตนเอง คนอื่น และสิ่งอื่น จึงแบก ความทุกข์หนัก ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561
“ตัวเราผู้พ้นทุกข์” ไม่มี ผู้ถาม : ลูกเข้าใจผิดเสียแล้ว มันมีแต่ทุกข์ สิ่งไม่ทุกข์มันไม่มีเลย เมื่อไหร่เห็นสังขารเป็นทุกข์ นั่นคือเห็นความ จริงอยู่ เมื่อไหร่รู้สึกว่า ไม่มีความทุกข์ในปัจจุบัน อีกแล้ว กลับเป็นของหลอกลวง คือ มีตัวเราเป็นผู้พ้น ทุกข์อยู่ มันจับยึดสภาวะของความพ้นทุกข์ไว้ หลวงตา : ตัวเราผู้พ้นทุกข์ไม่มี เพราะตัวเราทั้งกาย สังขาร และจิตตสังขาร ล้วนเป็นทุกข์ ถ้ารู้สึกว่าเราเป็นสุข เราว่าง เราพ้นทุกข์ มันเป็นความพ้นทุกข์ปลอม เพราะมันมีตัว เราที่เป็นตัวทุกข์ไปจับสภาวะของความพ้นทุกข์ไว้ ต้องรู้เห็นด้วยใจว่า ความคิดปรุงแต่งมีตัว ตนของเราอยู่ในความรู้สึก นั้น เป็นสังขารปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มันจึงไม่หลงยึดถือความเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ที่หลงคิดปรุงแต่งขึ้นมาในความ รู้สึกนั้น เมื่อไม่หลงยึดถือสังขารที่คิดปรุงแต่งเป็นเรา ตัวเรา หรือของเราในความรู้สึกแล้ว ก็จะไม่มีตัวเรา หลงยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวตนของเรา และจะไม่มีตัว เราไปหลงยึดถือคนใดและสิ่งใดให้เป็นทุกข์อีกต่อ ไป ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561
let it be ทุกปัจจุบันขณะ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ ตอนนี้หนูอยู่ ฟินแลนด์ หนูสนใจศึกษาเกี่ยวกับธรรมะ ศึกษามา พักหนึ่งแล้วก็มีโอกาสได้เข้าไปบวชชีนุ่งขาว ถือศีล 8 อยู่ที่วัดที่ฟินแลนด์ค่ะ ช่วงเวลา 3 วัน 2 คืนที่ไปบวชนั้น ในคืนสุดท้ายที่ได้ฟังเทปเสียง หลวงตาที่พระอาจารย์ที่วัดท่านเปิดให้ฟังขณะที่ นั่งสมาธิ ก็เกิดมีความคิดเห็นคล้อยตามหลวงตา ไปจนเกิดความอยากลองปฏิบัติตามอย่างที่หลวง ตาเทศนาให้ปฏิบัติตาม วันนั้นที่นั่งสมาธิไม่เจ็บ ขา เข้าใจว่าการนั่งที่ถูกท่าเลยไม่เจ็บปวดทรมาน เหมือนที่ผ่านมา หลังสึกออกมาก็เพียรถือศีล 5 และปฏิบัติแต่พอตัว ขี้เกียจเป็นที่หนึ่งค่ะ แต่ก็ ถีบตัวเองเอา ถีบมันทุกวัน
ช่วงหลัง ๆ มานี้ก็ฟังหลวงตาบ้างและลอง ปฏิบัติตาม แรก ๆ ก็คิดว่าเข้าใจ เอ ทำไมมันง่าย แท้ แค่รู้เท่านั้นก็พอหรือ เกิดสงสัยอยู่เป็นระยะ ๆ ค่ะ จิตมันปรุงอยู่ทุกวันจนหนูเหนื่อยจะฟังมันบ่น บ่นพึมพำ ตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน นอนแล้วยังไป ปรุงต่อในฝันอีกค่ะ เลยเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ อยากได้ไม่อยากมีอะไร ๆ ขึ้นมามากขึ้นกว่าแต่ ก่อนอีกค่ะ หนูกลัวว่าจะไปชอบไปหลงความรู้สึกนี้ เพราะมันดีค่ะ มันเบาเพราะยึดน้อยลงทุกวัน ๆ หนู เข้าใจว่าฮู้ซื่อ ๆ นี่ก็ฮู้ซื่อ ๆ แต่มันยังรู้โง่ ๆ ค่ะ หลวงตา โปรแกรมสมองสั่งคงสั่งออกมาเรื่อย ๆ เพื่อกันตายอยู่อย่างนั้น มีดบาด รู้ สมองสั่งการ เจ็บ หาทางรักษา แบบนั้นเรื่อยไป ขอความกรุณา หลวงตาด้วยค่ะ หนูมาถูกทางหรือเปล่าคะ
หลวงตา : สาธุ ถูกแล้ว ให้ปล่อยวาง let it be ทุก ปัจจุบันขณะที่รู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย และ อารมณ์สัมผัสใจ ไม่จมติดไปไม่ยึด ไม่หงุดหงิด รำคาญดิ้นรนผลักไส ฮู่ซือ ๆๆ .... ให้ติดตามเป็นแฟนพันธุ์แท้ ทั้งอ่าน ฟัง ดู ทาง line Youtube Facebook และทางสื่ออื่น ๆ และเพียรปฏิบัติตามนั้น แล้วจะสิ้นสงสัย คอยส่ง การบ้านทาง line ส่วนตัวนี้บ่อย ๆ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561
เพียรปล่อยวาง ... ปล่อยวาง … ปล่อยวาง ผู้ถาม : โยมเปิดดูไฟล์ feel the flow และฟัง เพลง let it be ความปีติซาบซ่านเกิดทั่วตัวและ ใบหน้าเลยเจ้าค่ะ สาธุ ๆๆ เคยฟังมาก่อนหน้า นี้ ไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลยค่ะ หลวงตา : สาธุ เพียรปล่อยวาง ... ปล่อยวาง … ปล่อยวาง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561
มีแต่ความทุกข์ของขันธ์ห้าเท่านั้น ที่เกิดดับตามเหตุปัจจัย ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ หนูเดินไปเดิน มา เพียรมีสติอยู่กับลมหายใจ เห็นความคิดที่มันขึ้น มาเป็นช่วงไป แล้วมันก็ดับของมันไป มีทั้งช่วงหลงไป คิดตามแล้วมีสติขึ้นมาใหม่ มีทั้งสติตื่นรู้ว่ามีอะไรเกิด ขึ้น อะไรดับไป เห็นการทำงานและเกิดดับของผัสสะ กับอายตนะทั้งหมดว่า มันเป็นอัตโนมัติของมันเอง สังเกตได้ถึงความแตกต่างของการมีสติกับขาดสติ เลยเกิดปัญญาขึ้นว่า ... แค่มีสติรู้ว่าร่างกายนี้ ความ คิดนี้ และธาตุรู้ ไม่ใช่ของหนู หนูไม่เคยเกิดมา มีแต่ สังขารที่มันต้องเกิดมาเพื่อใช้กรรมที่เคยทำมา ถ้าหนู ไม่ยึดว่าขันธ์ห้านี้เป็นหนู พอหมดกรรมแล้วขันธ์ห้าก็ สลายไปตามธรรมชาติ ส่วนวิสังขารก็กลับคืนสู่ จักรวาลของธาตุรู้ไป เพราะความโง่ที่คิดว่าขันธ์นี้ ใจ นี้เป็นของเรา เลยดิ้นรนหาทางให้มันพ้นทุกข์
จริง ๆ แล้วขันธ์ห้ามันเกิดมาก็ต้องมีทุกข์ ของมันอยู่แล้ว แต่เมื่อหนูไม่ยึด ก็ไม่มีผู้ทุกข์ มี แต่ความทุกข์ของขันธ์ห้าเท่านั้นที่เกิด ๆ ดับ ๆ ของมันไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกรรมของมัน กราบขอความเมตตาจากหลวงตา ช่วย ชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ สาธุ มันเป็นเช่นนั้นเอง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561
เพียรให้ต่อเนื่อง ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาด้วยความ เคารพอย่างสูง จิตยึดอะไร ถ้าหลงตามนี้เป็นทุกข์ จริง ๆ ครับ ทันทีทันใด กระผมนึกพุทโธเอา จะ เห็นอารมณ์ต่าง ๆ อยู่นอกใจ เวลาใจรวมอยู่กับ พุทโธ อาการเหล่านั้นเหมือนขยะเปลี่ยนรูปแบบ ตลอดเร็วมาก พอหยุดพุทโธ ลองไปยึดพุทโธ หายไป เหมือนถูกดูดเข้าไป ต่อมาผมก็อยู่กับวง ล้อของพุทโธดีกว่าปลอดภัยกว่า ทำได้ทุก อิริยาบถ ยกเว้นตอนใช้ความคิดเรื่องงาน และ ตอนสนทนากับคนอื่น พอว่างจากภาระภายนอกก็ นึกพุทโธ แต่บางครั้งพอว่างสนทนากัน เขาจะนึก พุทโธเอง กายใจจะเบาเหมือนลอยแต่ก็รู้อาการ ต่าง ๆ เพราะเขาไม่ใช่ของจริง ทุกวันนี้เราอยู่กับ ของปลอม
จริง ๆ แล้วมีธรรมะขึ้นมาสอนใจบ่อย เปรียบเทียบโลกเรา จักรวาลเราเป็นมโนภาพ ก็ดู เขาแสดงไปไม่ไปแทรก และย้อนมาที่ร่างกายเรา คนอื่น โลกนี้เป็นป่าช้าจริง ๆ ครับ ใจอิ่มเอิบตาม ธรรมต่าง ๆ เรานั้น ก็รู้ว่าเข้าใจก็วางไป ตอนนี้ก็ เห็นผู้นึกพุทโธนั้นไปตลอดครับ กราบขออนุญาต องค์หลวงต่อช่วยเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดให้ผมด้วยครับ ไฟล์ธรรมะก็ได้ครับ และขอถามว่าเวลาฟังธรรมะของหลวงตา ทุกครั้ง และตอนพิมพ์ส่งนี้ก็ดี ตอนสวดมนต์ดี รู้สึก ได้ว่า ในร่างนี้เหมือนมีแสงสว่างจ้าออกมาจนกาย เบา ใจเบา ปวดเมื่อยก็หายถ้าเป็นอยู่ แปลกดี หลวงตา : สาธุ ดีแล้ว เพียรให้ต่อเนื่อง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2561
ดับความหลงว่า “เป็นตัวเรา หรือ ตัวเราเป็น” คือ ดับ “อวิชชา” ผู้ถาม : กราบหลวงตาครับ ข้อธรรมนี้ของหลวงปู่ ชาที่ดับไส้ตะเกียงนี้ คือ ดับที่คัทเอาท์ใหญ่ ... "ตัว เรา" ทุกอย่าง "จบ" เลยนะครับ กราบในธรรมและ ความเมตตาของพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างสูงสุดครับ หลวงตา : ดับความหลงว่า “.... เป็นตัวเรา หรือ ตัวเราเป็น …” คือ ดับ “อวิชชา” ซึ่งเป็นหัวขบวน ของปฏิจจสมุปบาท เมื่อ “อวิชชา” ดับ สังขารกรรมดับ วิญญาณกรรม หรือ ปฏิสนธิวิญญาณดับ .......... ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ … และความทุกข์ทั้งมวลดับพร้อม ผู้ถาม : เข้าใจ ... ถึงใจเลยครับ กราบหลวงตา อย่างสูงสุดครับ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2561
ตัวตนของเรา เป็นเพียงความคิดปรุง แต่งหลอกลวงให้หลง ผู้ถาม : กราบเรียนถามองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ความ หลงของคนเรานี่น่ากลัวที่สุด เวลาหลงแล้วจะเป็น ภูตผีปีศาจ เป็นยักษ์ เปรต อสูรกาย หรือจะเป็น สัตว์ร้ายก็ได้ และร้ายกว่านั้นหลงว่ามีตัวเรา ของ เรามาหลอกตัวเองทุกวัน ผีที่แท้จริงก็คือตัวเราเอง เป็นอวิชชาที่ทำให้วงจรปฏิจจสมุปบาทหมุนวน การสิ้นตัวตนทั้งกายสังขาร จิตสังขารและใจนี้ อย่างสิ้นเชิงจึงไม่เวียนเกิดเวียนตาย แต่ก็ยังเห็น ว่าเรามีตัวอยู่ในจิตใต้สำนึก ขอองค์หลวงตาชี้แนะเจ้าค่ะ หรือว่าถูก หลอกในจิตใต้สำนึกคะ หลวงตา : ถูกผี คือ หลงปรุงแต่งว่ามีตัวตนของเรา เหมือนหลงปรุงแต่งว่ามีตัวตนของผีอยู่ใน จิตใต้สำนึก มาเป็นมายาคอยหลอกหลอน หลอก ลวงตัวเราให้หลงรัก หลงชัง หลงยินดี หลงยินร้าย หลงกลัว
ต้องมีสติ ปัญญารู้เท่าทัน “ความหลง” ไปกับความคิดปรุงแต่งเป็นตัวตนในจิตใต้สำนึก รู้เห็นเขาจากใจว่าเขาเป็นเพียงความคิดปรุงแต่ง ขึ้นมาในจิตใต้สำนึก อย่าปล่อยให้ความคิด ความปรุงแต่งเป็นมายาหลอกลวงให้หลงแล้ว หลงอีก ทำไมปล่อยให้เขาหลอกอยู่ได้ ผู้ถาม : “ตัวกูไม่มีอยู่จริง” สำหรับหนูมันยังเป็น แค่สัญญา มันยังไม่เป็นจริง แบบนี้ต้องเพียร พิจารณากายและรู้ละปล่อยวางไปเรื่อย ๆใช่ไหม เจ้าคะ เอ๊ะ … หรือว่า เมื่อตัวกูไม่มีอยู่จริง ก็ไม่ ต้องไปทำอะไร แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตาม ธรรมชาติอย่างที่มันเป็นค่ะ … เริ่มงง ... ขอหลวง ตาโปรดเมตตาชี้แนะ หลวงตา : ถามเอง ก็ตอบเองแล้ว ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2561
แยกรูปถอดเพื่อให้ถึงความว่าง แยกความว่างเพื่อให้ถึงสุญญตา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ คำว่าแยกรูป ถอดคือจิตปรุงแต่งเพื่อให้ถึงความว่าง แยกความ ว่างเพื่อให้ถึงสุญญตา ที่หลวงปู่ดูลย์กล่าวถึงคือ อะไรเจ้าคะ หลวงตา : แยกรูปถอดจิตปรุงแต่ง คือ รู้เห็นด้วย ใจว่า ความรู้สึกว่าตัวเราเป็นผู้รู้ ไม่ไปรวมกับจิต ปรุงแต่ง แล้วจะมีความรู้สึกว่าเราเบา สบาย ว่าง เปล่า เพราะไม่ติดจมอยู่ในจิตปรุงแต่ง ซึ่งเป็นความ คิดและอารมณ์ ให้เป็นทุกข์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความรู้สึกว่า “เราหรือตัวเราหรือจิตใจของเราว่างเปล่า” รู้เห็น ด้วยใจจริง ๆ ว่า ความคิดหรือความรู้สึกว่า “เรา หรือตัวเราหรือจิตใจของเราว่างเปล่า” นั้น เป็น เพียงสังขาร คือ ความปรุงแต่ง เป็นสมมติ เป็นมายา เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่หลงยึดถือสังขาร หรือ ความคิดปรุงแต่ง นั้น จึงเป็นความรู้ที่ออกมาจากใจที่ว่างเปล่าหรือ สุญญตา ไม่ได้เป็นผู้รู้หรือความรู้ที่ออกมาจากอัตตา ตัวตนของเรา หรือ มีตัวเราเป็นศูนย์กลางอีกต่อไป แต่ผู้รู้หรือความรู้ออกมาจากใจที่ว่างเปล่า ซึ่งไม่ หลงไปปรุงแต่งยึดถือได้อีกต่อไป เมื่อใจถึงความว่าง และความรู้ก็ออกมา จากใจที่ว่างเปล่า จึงเป็นความรู้ที่สิ้นผู้เสวย หรือสิ้น ผู้หลงยึดมั่นถือมั่น ไม่มีผู้เสวยหรือผู้หลงยึดมั่น แม้แต่น้อยหนึ่ง นิดหนึ่งหรือ สักปรมาณูหนึ่ง เมื่อสิ้นผู้หลงยึดถือ ก็สิ้น “อวิชชา” ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ คือ ปฏิสนธิวิญญาณที่จะก่อภพ ชาติขึ้นมาห่อหุ้มกระบวนการทำงานของขันธ์ห้า ก็ ดับสนิท พร้อมกับความทุกข์ทั้งมวลก็ดับพร้อม
นี่แหละเป็นการถอดรูปปรมาณูวิญญาณ ที่ห่อหุ้มใจหรือจิตเดิมแท้ ไปเกิดมาหลายภพ ชาติ ก็ดับสนิทลง คงเหลือแต่ใจหรือจิตเดิมแท้ หรือธรรมธาตุ หรือ ธาตุรู้ที่มีความรู้พุทธะ คือ รู้ จริง รู้แจ้ง รู้สิ้นหลง รู้สิ้นยึด รู้พ้น รู้ตื่น รู้เบิกบาน ไปรวมกับความว่างของจักรวาลเดิม “อวิชชา” เปรียบเหมือนกับเปลือกของ ข้าวเปลือก เมื่อได้ถูกขัดสีเปลือกออกหมด จน เหลือแต่ข้าวสารขาว เปรียบเหมือนใจหรือจิต เดิมแท้ ย่อมปลูกไม่ขึ้นอีกต่อไป ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2561
กำลังใจบนเส้นทาง แห่งความเพียรปล่อยวาง ผู้ถาม : เมื่อคืนอยู่บนทางจงกรมที่คุ้นเคยจากเมื่อ ประมาณ 26 ปีมาแล้ว สมัยอยู่วัดดอยประมาณ 3 เดือนเจ้าค่ะ จากประมาณ 6 โมงเย็นถึงตีหนึ่ง 7 ชั่วโมง ไม่ทราบว่าจะผิดไหมที่จะพูดว่า รู้กับใจนะคะ ไม่ใช่เห็น ว่ามีเทพมาช่วยเยอะมาก จะเยอะที่จำนวน หรือไม่ไม่ทราบ แต่พลังหนุนและโอบอุ้มมากมาย ที่ จริง ถ้าจะอยู่บนทางจงกรมนั้นถึงเช้าเลยก็น่าจะได้ แต่สังขารไปปรุงเกรงว่าต้องออกจากวัดไปขึ้นเครื่อง 8 โมงเช้า ก่อนนั้นก็ใส่บาตร เก็บกระเป๋า ฯลฯ เสียดายค่ะเพราะ 7 โมงผ่านเร็ว แม้จิตแต่ละวันจะ แปรผันกันไปเป็นธรรมดา แต่รู้สึกว่าจิตวันนี้กับเมื่อ วาน แตกต่างเหมือนเปลี่ยนแปลงไปชัดกว่าธรรมดาที่ เคยโดยทั่วไปที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสภาวธรรมใด ๆ เจ้าค่ะ นอนไม่เกิน 4 ชั่วโมง แต่สดชื่นเหมือน 8 ชั่วโมงเลยค่ะ เสียดายที่ไม่ได้อยู่ทั้งคืน
หลวงตา : อนุโมทนาสาธุ สาธุ .... บนเส้นทางแห่งความเพียรปล่อยวาง ตามพระธรรมคำสอนที่ออกมาจากใจหรือ ธาตุอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า นั้น มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และ เทพเทวดา คอยให้กำลังใจ คอยเชียร์ คอยลุ้น ร่วมอนุโมทนาด้วยตลอดเวลา บนเส้นทางนี้ ไม่ได้เพียรอย่างเดียวดาย ตามลำพัง ขออย่าละทิ้งความเพียรเท่านั้นแหล่ะ พระพุทธเจ้ารอให้รางวัลไม่ได้ว่างเว้นเลย สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561
ปล่อยวางผู้รู้ตัวปลอมในใจตลอดเวลา ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ วันนี้โยมกลับมาถึงบ้านได้รับ ฟังเรื่องราวในบ้าน รู้สึกว่าจิตมันพลุ่งพล่าน ดิ้นรน อยากร้องกรี๊ด ๆ ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนะคะ เป็นเรื่องปกติของที่บ้านที่เคยเกิดขึ้นบ่อย ๆ และแก้ ไม่ได้ เพราะคนในบ้านไม่ร่วมมือกันแก้ที่แต่ละคน ต่างคนก็ต่างยึดความคิดตัวเอง โยมเห็นใจตัวเอง ตะโกน โอ๊ย ๆๆๆ เบื่อโว้ย (ขอขมาเจ้าค่ะ) และก็เต้น ตุบ ๆๆๆ แรงมาก ๆ เหมือนบอกว่าอีกแล้ว ๆ แบบนี้ อีกแล้ว จะจัดการอย่างไรดีมันน่าเบื่อที่จะได้ยินเรื่อง เก่าเกิดซ้ำ ๆๆๆ โยมนั่งลงดูอาการเต้น อาการตะโกน ในใจ อยู่พักใหญ่จนมันเหนื่อย แล้วใจมันก็บอกว่า เล่าให้หลวงตาฟังดูสิ โมโหไปก็เท่านั้นเจ้าค่ะ มันจบ ง่าย ๆ แบบนี้เลยเจ้าค่ะ
ช่วงนี้เห็นอารมณ์ชัดและแรงมากเจ้าค่ะ โดย เฉพาะความโกรธ ไม่พอใจ พูดด่าในใจ พาลเกเร มัน ร้ายมากเจ้าค่ะ ไม่กล้าอยู่ใกล้ใครเลย กลัวตัวเอง บาง วันขอตัวขึ้นไปอยู่คนเดียว บอกคนในบ้านว่าระยะนี้ กลัวใจตัวเอง ความคิดมันขึ้นมาตรงกลางกระหม่อม ดันจนปวดหัวตลอดวันเลยเจ้าค่ะ เหมือนคนโมโห ตลอดเวลาตรงกลางลิ้นปี่ หลวงตาเจ้าคะ โยมอยากขอสารภาพความใน ใจเจ้าค่ะ โยมเห็นความไม่ยินดีในใจที่เกิดขึ้นเวลา เห็นคนอื่นมีความสุข มันน่าอายมาก ๆ เลยใช่ไหมเจ้า คะ โยมตกใจมากด้วยเมื่อพิจารณาเห็นว่ามันเป็น ความอิจฉา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมี ความรู้สึกนี้หรือมันอยู่ลึก ๆ ที่เราไม่เคยยอมรับตัวเอง และคอยหาเหตุผลมาปิดบังอารมณ์นี้เจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตา : ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จบไปแล้ว อย่า หลงยึดถือตัวเรา ว่าตัวเราเป็นคนดี หรือ ตัวเรา เป็นคนไม่ดี หรือ จิตใจของเราดี หรือ จิตใจของ เราไม่ดี เราไม่น่าจะเป็นคนอย่างนี้ อย่างนั้น ล้วนแต่หลงมีตัวตน มีเรา ตัวเรา หรือ ของ เราขึ้นมาในความรู้สึก แล้วเอาตัวเราที่หลงปรุง แต่งเป็นตัวเป็นตนในความรู้สึกนั้น ไปหลงยึดถือ เป็นเรา เป็นเขา เป็นของเรา เมื่อมีเรา มีเขา มีของเรา ก็มีความอยาก เป็นเพราะความหลงยึดถือ อยากให้ตัวเรา หรือ จิตใจของเรา หรือ เขา เป็นไปอย่างที่ใจเราอยาก เมื่อไม่ได้อย่างใจ อยาก ก็เลยเป็นความทุกข์ อยากตะโกนร้องกรี๊ด ๆๆๆ ....
อีกประการหนึ่ง มีตัวเราแอบหลงยึดถือใจ ที่ว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ไว้ ไม่ได้ปล่อยวาง “ผู้ รู้” ผู้พูด ผู้พากษ์ในใจตลอดเวลา ครั้นมีสิ่งใดที่ไม่ ถูกใจมากระทบ จึงระเบิดอารมณ์แรง ถ้าไม่ปล่อยวางผู้รู้ตัวปลอม ที่พูด พากษ์ อยู่ในใจตลอดเวลา ต่อไปอาจจะเกิดความเสีย หายทั้งทางร่างกายและจิตใจ อาจต้องไปพบ จิตแพทย์ ให้รีบแก้ไข โดยปล่อยวางผู้รู้ ผู้พูด ผู้ พากษ์ ซึ่งเป็นผู้รู้ตัวปลอมในใจตลอดเวลา ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561
หลงยึดถือความคิดปรุงแต่ง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้วยความนอบน้อม เจ้าค่ะ ลูกเพียรนำธรรมที่หลวงตาสอนมาพิจารณา และเข้าใจ คำว่า 18 มงกุฎ และเห็นมันชัดมาก ๆ เพราะ 18 มงกุฎตัวนี้เอง ที่นำพาความทุกข์มาให้ ถ้าหลงเชื่อมัน ณ ปัจจุบัน เห็นมัน รู้ว่ามันอยู่ ยอมรับว่ามันมี แต่ … มันก็รู้ทันบ้าง และเอนเอียง นิดเดียว แต่ก็รู้ทันเป็นอยู่อย่างนี้ ขอบพระคุณใน แนวทางการสอนขององค์หลวงตา ที่ชี้ให้ลูกรู้เห็น ความจริงเจ้าค่ะ สำหรับคำถามวันนี้ เป็นเรื่องที่ลูกรู้ว่า ตนเองสัมผัสกับกระแสบางอย่างที่มันเย็นยะเยือก เหมือนคลื่น มันเป็นความเย็นที่หาไม่ได้ในโลก มนุษย์นี้ โดยเฉพาะเวลาสวดธรรมจักร หรือ แผ่ เมตตา และอีกด้านหนึ่ง ลูกจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง บางสถานที่ ที่เมื่อกระทบแล้ว จะปวดหัวมาก เหมือน คนเป็นไมเกรน ปวดลงเบ้าตา และจะมีอาการ อาเจียน โดยเฉพาะเวลาไปงานศพ
ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะนำคำสอน หลวงตามาปฏิบัติ นั่นคือ แค่รู้ แต่มาเหตุการณ์ ตอนหลังมันทำให้กายสังขารทรมานหลายวัน ลูก จึงขอสอบถามว่าลูกจะต้องทำอย่างไร ? ปฏิบัติ อย่างไร เพื่อลดการกระทบกับพลังงานเหล่านั้น ขอ ขอบพระคุณในความเมตตาเจ้าค่ะ หลวงตา : ถ้าไม่หลงยึดถือความคิดปรุงแต่งที่สร้าง ความเป็นตัวตนเหมือนกับสร้างผีของเราในความ รู้สึก ก็จะไม่หลงมีตัวเรา หรือ ตัวตนของเรา ออก ไปเสวย หรือ ยึดถือ หรือ ไปรับการกระทบ หรือ ไปอะไรอะไรต่อสิ่งที่มากระทบในปัจจุบันขณะทั้ง ภายนอก และภายในร่างกาย หรือ ในจิตใจ ให้ เป็นความทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561
อย่ามีความประมาทในกิเลสและธรรม ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ ร่างกายจิตใจเรา มันเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ อย่างที่มิเรียมว่าจริง ๆ ทุก ๆ กริยาอาการของจิต ไม่ว่าจะสว่างเจิดจ้า หมอง มืด เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวหลง เดี๋ยวปล่อยได้ เดี๋ยวปรับ ๆ แต่ง ๆ มันเหมือนกับแสงแดด เหมือนดวงอาทิตย์ บางทีมันก็เจิดจ้า บางทีมันก็มีเมฆมาบัง บางทีมันก็ หายไปจากกลางวันเป็นกลางคืน บางทีก็เหมือนมีอยู่ บางทีก็เหมือนไม่มี จิตปรุงแต่งแม้ในส่วนที่ยิบย่อยที่สุด มันคือ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่อาจบังคับได้ มันเป็นไป ตามธรรมชาติแบบนั้น รวมถึงผู้รู้ด้วย ความคับแค้น ใจว่าทำไมมันข้ามผู้รู้ไม่ได้ รู้แบบเป็นธรรมชาติไม่ ได้ มีอะไรก็ไม่รู้มาปรับ ๆ แต่ง ๆ ตลอด
ความทุกข์มันหายไปหมดแล้ว หาย ไปพร้อมกับการคืนใจให้กับธรรมชาติไป มัน เป็นอย่างไรมันก็เป็นของมันแบบนั้นแหละ ทน โง่อยู่ตั้งนาน หลบ ๆ หลีก ๆ หลอกตัวเองว่า "ฉันรู้แล้ว" "ฉันรู้แล้ว" อยู่นั่นแหละ ถ้าหัดขับ รถพิจารณาความจริงตั้งแต่แรก ก็ขับเป็นเสีย ตั้งนานแล้ว หลวงตา : สาธุ อย่ามีความประมาทในกิเลส และธรรม นะ เพียรให้หนัก ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561
เห็นตัวเราเป็นสังขารตลอดเวลา ผู้ถาม : คือเมื่อเห็นตัวที่พูดพากษ์ ก็เพียงแค่เห็นว่า เขาพูดเขาพากษ์ ไม่เอาใจไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ พูดนั้นใช่ไหมเจ้าคะ มันเหมือนมีตัวบอกว่าไม่ใส่ใจ สิ่งที่พูดไม่ได้หรอกเพราะมันคือเรา ไม่ฟังเราแล้วจะ ฟังใคร หลวงตา : ให้เห็นตัวเราผู้รู้ ผู้เห็น ผู้พูด ผู้พากษ์ในใจ ตลอดเวลาเป็นเพียงสังขารหรือจิตปรุงแต่ง เกิดดับ เกิดดับ … ตลอดเวลา ไม่ใช่เรา ตัวเรา ของเรา อย่า ไปหลงยึดมั่นว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561
ฟังธรรมให้ถึงใจ ผู้ถาม : ทุกวันนี้รอไฟล์เสียงใหม่ของหลวงตาทุกวัน พอมาโพสต์ก็ดีใจ พอฟังไปไม่โดนใจก็ซึม แต่ถ้า ไฟล์ไหนโดนก็ดีใจ โดนใจกระแทกจิตน้ำตาไหล ความจริงความรู้สึกทั้ง 2 แบบนี้มันมีค่าเท่ากันเลย คือ ความเป็นสังขารของมัน มีตัวตนแบบไม่รู้ตัวเลย เจ้าค่ะ รู้แล้วก็วางซะ ไม่ว่าโดนใจไม่โดนใจ มันก็ สอนธรรมที่สุดท้ายก็ว่างเปล่าเช่นเดียวกัน ทุกครั้งฟัง ไฟล์เสียงที่ชอบแล้วความรู้สึกชอบลดลงไปเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะเราใช้ความคิดนึกตรึกตรองเพื่อความ เข้าใจ ไม่ได้ใช้ใจฟังหรือเปล่าเจ้าค่ะ หลวงตา : ฟังธรรมให้ถึงใจ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2561
ถอนอธิษฐานและ น้อมเอาพระธรรมเข้าสู่ใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ อยากเรียนถาม ว่า วิญญาณที่เป็นส่วนหนึ่งในขันธ์ 5 ไม่ทราบว่า วิญญาณกับจิตก็ตัวเดียวกันไหมคะ ถ้าไม่ใช่ อะไร คือวิญญาณ อะไรคือจิตคะ เราจะจำแนกหรือรู้ได้ อย่างไรบ้าง กราบขอบพระคุณค่ะ สงสัยเรื่องกฎอิ ทัปปจยตา กับ ไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องบังเอิญ (มีกรรม เป็นแดนเกิด) ขอหลวงตาอธิบายด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา : ถาม ต้องตอบเยอะ ให้มาถามเองดีกว่า ผู้ถาม : โยมอาศัยอยู่ออสเตรเลียค่ะ ถ้ามีโอกาส ได้กลับไทย จะเรียนถามสถานที่เพื่อไปสนทนา ธรรมค่ะ
หลวงตา : ขออภัย นึกว่าอยู่ประเทศไทย ถ้าอย่าง นั้น ให้ถอนอธิษฐาน (ดูจากในอัลบั้ม) แล้วน้อมเอา พระธรรม ที่ออกจากพระทัยอันบริสุทธิ์ของ พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ หลวงตา เข้าสู่ใจ แล้ว ตั้งใจฟัง อ่าน ดู ปฏิบัติ ใน line กลุ่มลูกศิษย์หลวง ตา เป็นแฟนพันธุ์แท้จริงประมาณหนึ่งถึงสองเดือน ก็จะสิ้นสงสัยเอง ผู้ถาม : กราบหลวงตาค่ะ เรียนถามหลวงตาว่า ถอนคำอธิษฐานต้องกล่าวบ่อยขนาดไหนคะ หลวงตา : เมื่อใจสงบละเอียดยิ่งขึ้นไปแต่ละครั้ง ให้เอามาอธิษฐานอีก ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2561
ไม่มีสิ่งใดยึดติดเรา มีแต่หลงมีตัวตน ของเราไปยึดติดเขา ผู้ถาม : มันเพียรมีสติ รู้ความปรุงแต่ง ภพของผู้รู้ที่ เกิดขึ้น รู้ว่านี่คือภพ เป็นแค่ผลอันเกิดแต่เหตุ มัน ต้องมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ ยังไม่เจอตัว มองไม่เห็นตัว ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ คือ ภพ หาเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น "ผู้สร้างภพ" นั้นเลย ธรรมมันขึ้นมาสอนว่า "ตัณหา หาไปก็ตัน มันไม่มีวันหาพบหรอก พบแต่เพียงความโง่" มันโง่จริง ๆ เจ้าค่ะ โง่มาจากส่วนที่ลึก ที่สุดของใจ โง่ที่เข้าใจว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ที่ต้องหาให้เจอและทำลายเสีย มันมีอยู่ แท้จริง แล้วมันไม่มีอะไรเลยที่มีอยู่ เพราะผู้ที่โง่ มันไม่มี แล้ว มันจึงไม่ต้องไปหากรรมวิธีการใด ๆ มา ทำให้หายโง่อีก ก็แค่นั้นเอง
สังขารมันมีอยู่ สิ่งที่หายไป คือ ความโง่ และ ผู้ที่โง่ แม้แต่ผู้ที่หายโง่ก็ไม่ได้ปรากฏ มีแต่สังขารปรุง แต่งไปมา แต่ไม่ได้มีผู้ที่ไปเชื่อสังขารนั้น มันรู้แก่ใจ ว่าก็แค่ความปรุงแต่งเท่านั้นเอง หลวงตา : ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้ไปหาว่าจุดหรือแหล่ง กำเนิดของอวิชชา ตัณหา อุปาทานให้พบเพื่อจะ ทำลายมันให้หมดไป แท้ที่จริงอวิชชา ตัณหา อุปาทาน มันอยู่ที่ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้หา ..... นั่นแหละ มันเป็นเพียงสังขารที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ เท่านั้น เมื่อรู้เห็นว่ามันเป็นเพียงสังขาร ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไม่มีใครไปยึดถือ และไม่มีใครต้อง ไปทำลายมัน มันอยู่เป็นของมันเช่นนั้นเอง มันไม่ได้ ยึดติดเรา แต่มีตัวเราไปยึดติดมัน พยายามหา จะ ทำลายมัน ไม่มีสิ่งใดยึดติดเราจริงให้เป็นทุกข์ คงมีแต่ หลงมีตัวตนของเราไปยึดติดเขา ให้เป็นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2561
ความหลงปรุงแต่งขวางความบริสุทธิ์ ผู้ถาม : สังขารทุกอย่าง ก็ต้องดับสนิทลงใช่ไหมเจ้าคะ จิตทุกดวงที่เกิดขึ้น มันยังอาลัยจิตอยู่ ร้องไห้ได้อยู่ ไม่รู้ว่ามันอาลัยอะไรของมัน แต่มันก็สงบลึกซึ้งของมัน เอง หลวงตา : มันเหลือแต่จิตเดิมแท้ที่ว่างเปล่า บริสุทธิ์ เพราะสิ้นความหลงว่ามีตัวตนของเรา (อวิชชา) อยู่ใน ความรู้สึก มันไม่เป็นจิตเดิมแท้ ที่ว่างเปล่า บริสุทธิ์ ก็ เพราะความหลงปรุงแต่งว่ามีตัวตนของเราในความรู้สึก (อวิชชา) นี้เอง มันจึงขวางความว่างเปล่า ความบริสุทธิ์ ไม่ใช่กลัวว่าปล่อยวางหมดแล้ว จะสูญหายไป หมด เลยอาลัยอาวรณ์ร้องไห้ ความจริงมันสูญเฉพาะอวิชชาเท่านั้น คือ ความ หลงว่ามีตัวตนของเราในความรู้สึก เมื่อสิ้นอวิชชาแล้ว มันจึงมีแต่จิตเดิมแท้ ที่เป็นความว่าง ความบริสุทธิ์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2561
ปล่อยวาง “สังขาร” ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ เมื่อ เช้าโยมนั่งทำความเพียร ก็ดูกาย ดูจิต น้อม พิจารณาธรรม เห็นตามความเป็นจริงไปทุกขณะ ธรรมก็มาปรากฏว่า ก่อนเกิดมาก็ไม่เคยมีเรามา ก่อน พอเราเกิดมา ก็จึงมีร่างกายนี้ขึ้นมา จากเด็ก ก็โตขึ้นมา เจอกับอะไรมากมายหลายอย่าง สุข บ้างทุกข์บ้าง ตามสภาพในแต่ละช่วงของชีวิต และวันนึงก็ต้องแก่และตายไป กายนี้เห็นอยู่จับ ต้องได้อยู่ชัดเจน ก็ยังต้องเผาทิ้ง แล้วจิตยิ่งมอง ไม่เห็น เป็นสิ่งว่างเปล่า เราจะเอาอะไรมายึดมั่น ถือมั่นว่ามันเป็นของเราได้ ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ เจ้าค่ะหลวงตา
มาจากไม่มีอะไร ก็กลับคืนสู่ความไม่มี อะไร มันสะเทือนและเหมือนอ่อนแรง สั่นอยู่ข้าง ใน จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่เจ้าค่ะ ไม่ทราบเหมือน กันว่า เกิดอาการนี้จากอะไร แต่ก็ปล่อยมัน เมื่อ มันมีเหตุเป็นก็เป็นไป เดี๋ยวหมดเหตุมันก็ดับของ มันเองแหละ ขอความเมตตาหลวงตาช่วยชี้แนะ ด้วยเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ หลวงตา : สิ่งใดเกิดได้ ดับได้ กระเพื่อม ไหว สั่น ๆ ได้ สิ่งนั้นเป็น “สังขาร” ทั้งหมด ให้ปล่อย วางไปเสีย เลยหรือพ้นสังขารไปจนไม่มีที่หมาย นั่นแหละวิสังขาร พ้นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ พ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2561
เพียรสังเกตเห็นอวิชชา จนละความหลงจนหมดสิ้น ผู้ถาม : กลับมาบ้านครั้งนี้ ผมไม่ทิ้งสติที่อยู่กับ กายเลย ส่วนมากคือพยายามอยุ่กับลมหายใจ วันแรก ๆ มันยังอยู่กับความคิดอยุ่แต่ก็มีลม หายใจด้วย ไม่ทิ้งลมไปไหนแม้แต่เวลาทำงาน วันนี้มันเริ่มเห็นเลยครับว่า ที่ผ่านมาทั้งหมดเรา ใช้ความคิดในการจะเอาชนะอารมณ์และความ คิดตลอด เลยติดอยู่ในความคิดอารมณ์ตลอด เวลา แม้ว่าที่ผ่านมาจะคิดว่าตัวเองพยายาม ปฏิบัติแล้วตลอดเวลา แท้จิงเรามีแต่กิเลส มี ความอยากเพิ่มขึ้นมาอีกตลอดเวลาเลย เพราะ เรามัวแต่ใช้ความคิดพิจารณาธรรมให้ตัวเรา หายจากความทุกข์ จากความกังวล
ที่เข้าใจตอนนี้คือว่า มันไม่ต้องใช้ความ คิดอะไร เพราะยิ่งคิดยิ่งพิจารณา มันคือยิ่งอยาก ยิ่งใช้ความคิดเข้าไปใหญ่ การปฏิบัติธรรมคือ ไม่หลงไปใช้ความคิด ให้อยู่กับธรรมชาติ แล้ว เดี๋ยวทุกอย่างมันก็เป็นอย่างงั้นเอง มันค่อย ๆ คลี่คลายออก แต่ถึงขั้นตอนนี้ผมก็รู้ว่ายังมีตัวตน อยู่ระดับนึง แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทุกข์ เครียด มากมายแล้ว ครั้งนี้โดนมาหนักเลยตั้งใจมาก ๆ ที่จะไม่ยอมปล่อยสติตรงนี้เลยครับ หลวงตา : เพียรอย่างที่เข้าในนั่นแหละ เดี๋ยวมัน จะเห็นอวิชชา คือ ตัวเราหลงคิด หรือ หลงปรุง แต่งตลอดเวลา แล้วจะมีสติรู้เท่าทันทีหลัง หาก ไม่ทิ้งความเพียรที่จะสังเกตเห็นอวิชชา คือ หลงมี ตัวเราหรือ หลงมีจิตใจของเราเข้าไปอะไรกับ อะไร ตลอดเวลา .... จนความหลง คือ อวิชชา น้อยหรือบางลงไปเรื่อย ๆ จนหมดสิ้น ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561
เมื่อไม่มีเรา ตัวเรา ของเรา ก็ไม่มีเขา ตัวเขา ของเขา ผู้ถาม : เมื่อเราไม่มีอะไร ใจก็เป็นสุข ผมเข้าใจ ถูกไหมครับ หลวงตา หลวงตา : เมื่อไม่มีเรา ตัวเรา ของเรา ก็ไม่มี เขา ตัวเขา ของเขา มากีดขวางใจที่ว่างเปล่า ให้เป็นความทุกข์ ความเครียด ความกังวล ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2561
พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง ของร่างกายและจิตใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ โยมมีคำถาม ค่ะ อย่างตอนช่วงที่นั่งสมาธิ ก็จะพิจารณาความ ตาย เช่นตัวเรามีหนอนขึ้น โดนเผา อะไรประมาณ นี้ค่ะ แล้วตอนนั้นก็รู้สึกปลงปล่อยวางนะคะ แล้ว อยู่ดี ๆ ก็งงขึ้นมาว่า แบบนี้แปลว่าเราก็ปรุงอยู่ หรือเปล่าคะหลวงตา เพราะจริง ๆ แล้วเรายังไม่ ตาย หรือโยมอาจจะพิจารณายังไม่เป็นคะ หลวง ตา เพราะโยมรู้ว่าธาตุขันธ์จะแตกดับมันจะ ทรมาน แต่ยังไม่รู้ว่ามันทรมานยังไงค่ะ
หลวงตา : พิจารณาอย่างนั้นถูกแล้ว เป็นการ พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงของร่างกาย และจิตใจ ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ต้องแก่ เจ็บ ตาย เน่าเปื่อยผุพัง กลับคืนไปเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ธาตุรู้ที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้ ยึดมั่นถือมั่นได้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนคงที่ ไม่ ได้เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา ต้องพิจารณาอย่างต่อเนื่อง อย่าขาด วรรค ขาดตอน มันจะเสียแรงกาย เสียกำลังใจ เปล่า ๆ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561
เพียรให้เห็นจริงจากใจตามที่เข้าใจ ผู้ถาม : “หลง” .. ทุกข์เพราะ “หลง” เรามักจะหลงในสังขารในความคิด หลงใน การ อยากรู้ อยากดู อยากเห็น หลงอยากพูด อยาก คุย หลงรัก หลงโกธร หลงเกลียด หลงชัง หลงใน ความคิด ที่มโนเอาเอง ว่า … โน้นผิด นี้ถูก ว่าเป็น เขาเป็นเรา เป็นหญิง เป็นชาย เป็นคนรัก เป็นคนที่เรา เกลียด ทั้งที่ในความเป็นจริงที่ไม่มีเขา ไม่มีเรา … ไม่มีสัตว์ตัวตน บุลคล สิ่งของ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีสูง ไม่มีต่ำ ไม่มีดำ ไม่มีขาว ทุกอย่างเป็น ธรรมชาติ ที่เกิดดับ ของมันเอง ที่ตัวเราไปยึดเอาเอง ว่าตัวกู ของกู คนที่กูรัก คนที่กูเกลียด แล้วก็ทุกข์แบบไม่ลืมหูลืมตา
ทุกข์ข้ามภพข้ามชาติ สุดท้ายก็เป็น เพียงแค่ ขันธ์ห้า ธาตุสี่ จิต เจตสิก ที่ไม่มีตัวกู ของกู จบลงด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือ ธรรมที่เข้าใจค่ะ หลวงตา : สาธุ เข้าใจถูกแล้ว เหลือแต่เพียร ให้เห็นจริงจากใจตามนั้น ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561
ให้อโหสิกรรมทั้งหมด ผู้ถาม : ก่อนหน้านี้โยมพยายามจะไปกราบหลวงตา แต่ก็ไม่ได้ไปสักที แล้วมีจิตอกุศลต่อหลวงตาด้วยค่ะ ทั้งที่ ไม่เคยรู้จักหลวงตาเป็นการส่วนตัว พอจิตเริ่ม เข้าใจหลงสังขาร ก็ได้มีโอกาสฟังธรรมหลวงตา จิต น้อมรับในธรรมของหลวงตาค่ะ เมื่อเช้าจึงตั้งจิต อธิษฐานขอขมาต่อหลวงตา หากโยมเคยล่วงเกิน หลวงตาในอดีตชาติหรือชาตินี้จะด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ ตั้งใจก็ดี ขอหลวงตางดโทษให้โยมด้วยนะคะ ขณะที่พิมพ์เห็นจิตหนึ่งมันแข็ง ๆ ไม่ยอมลด ราวาศอก อีกจิตหนึ่งก็รู้ว่า กำลังหลงสังขาร อีกจิต หนึ่งพอรู้ว่าหลงสังขาร จิตที่แข็ง ๆ ก็เบาลงค่ะ หลวง ตาโปรดงดโทษให้โยมด้วยนะคะ สาธุกราบขอขมา หากล่วงเกินด้วยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาค่ะ หลวงตา : สาธุ ให้อโหสิกรรมทั้งหมด ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561
เห็นต้นทางของการ "หลง" สังขาร ผู้ถาม : ปุจฉาค่ะหลวงตา การที่จิตเริ่มเห็นต้นทาง ของการ "หลง" สังขาร อยู่เนือง ๆ สิ่งนี้จะทำให้จิต เข้าสู่สภาวะความเป็นกลางได้เร็วขึ้น ตรงนี้เห็นถูก ไหมคะ หลวงตา : ถูกต้อง ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561
โอกาสทอง อย่าประมาท ผู้ถาม :
กราบหลวงตาค่ะ หนูสังเกตอยู่เงียบ ๆ
ตามที่หลวงตาสอน แล้วเห็นว่าที่หนูรับรู้ทุกสิ่งทุก อย่างทั้งหมด โดยที่หนูคิดมาตลอดว่าหนูเป็นผู้รับรู้ ที่จริงหนูถูกหลอก พอสังเกตจริง ๆ มันรับรู้ได้เอง ตามธรรมชาติ รู้สึก นึกคิดเอง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจริง ๆ หนูตกใจมาก ว่าตัวที่หนูคิดว่าเป็น หนูมาตลอด มันไม่ใช่หนู แสดงว่าตัวหนูไม่ได้มีอยู่ จริง หนูไม่อยากจะเชื่อค่ะ มันน่าตกใจเกินไป หนู เห็นอย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ หลวงตาโปรดชี้แนะด้วย ค่ะ หลวงตา : สาธุ สาธุ โอกาสทอง โอกาสทอง!!! ให้กัดติดจดจ่อ พิจารณาตามที่รู้เห็นนี้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่ ขาดวรรค ขาดตอน อย่าประมาท อย่าประมาท!!!
ผู้ถาม :
หนูต้องอยู่เงียบ ๆ ไม่ทำอะไรเลย จึงจะ
เห็นได้แบบนี้ค่ะ หลวงตา : ใช่ ๆๆๆ..... ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561
เพียรรู้เท่าทันอวิชชา ผู้ถาม : เดินความเพียรถึงที่สุด พบวิสังขารแล้ว เจ้าค่ะ รอบนี้สังเกตอย่างละเอียดพบว่า ในวิ สังขาร มันมีเพียงสังขารในขันธ์ 5 ที่เกิดดับ ไม่มี ตัวเรา มันรู้ว่าทุกสิ่งเป็นสังขาร จึงไม่ส่งจิตซ่าน ออกไปภายนอก และมันรู้ว่าในวิสังขารไม่มีตัวเรา จึงไม่ สยบติดภายในมาดูจิต ซึ่งเป็นพฤติแห่งจิตของ อวิชชา มันละเอียดขึ้นกว่าทุกครั้ง ทุกครั้งที่ เคลื่อนออกไปทำอะไร มันจะมีตัวเรากระดิก เมื่อรู้ เท่าทันสิ่งนั้นก็ดับไปเอง เมื่อมีสิ่งกระทบภายนอก มีธรรมารมณ์ เกิดในใจในทุกขณะจิตและดับไปเช่นกันเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ เพียรมีสติ ปัญญา รู้เห็น รู้เท่าทัน “อวิชชา” อย่างนี้อย่างต่อเนื่องไม่ ขาดสาย มันจะรู้เท่าทันอวิชชาที่ซ่อนเร้นอย่าง ละเอียดสุด ๆ ซ่อนตัวอยู่กับความว่าง และท้าย ที่สุดซ่อนอยู่กับผู้รู้นั่นแหละ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2561
สัพเพ ธัมมา อนัตตา ผู้ถาม : ธรรมมันเดินของมันเองต่อเนื่องไม่หยุด เจ้าค่ะ ละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ เห็นตัณหาในผู้รู้ และมีผู้รู้ในตัณหา และมีผู้ที่รู้ว่าตัณหาเป็นทุกข์ จึงพยายามทำให้ มันสิ้นตัณหา ตัณหามันเลยไม่สิ้น เมื่อข้ามคนผู้ นั้นไป มันดับหมดสิ้น เป็นสภาวะปล่อยหมด ไม่มี ใครไปทำอะไรกับอะไรทั้งนั้น ทุกสิ่งที่รับรู้มาเกิด ดับ ปึง ปัง ปึง ปัง อยู่ที่ประตูใจ แต่ถ้ามีขณะจิต ส่งออกไปทางตา ทางหู มันก็ไม่รู้ประตูใจ แต่ไป รู้ว่า "เห็น" " ได้ยิน" แทน บางครั้งมีตัวเราเคลือบ แฝง บางครั้งก็ไม่มี มันมีความสำคัญตนอยู่ สำคัญว่าตนเป็นสิ่งนั้น และสิ่งนั้นสำคัญสำหรับ ตน ทิ้งมันไปนั่นแหละ หมดภาระเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ เหลือแต่ธรรมชาติสังขารเกิดเอง ดับเอง ในท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่มีความเกิดดับ (วิสังขาร) ไม่มีผู้หลงยึดถือทั้งสังขารและวิสังขาร “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ธรรมทั้งสังขารและวิสังขาร เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ตัวเรา ของเรา อย่า ไปหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561
รู้ เห็น เข้าใจ ปล่อยวางอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ผู้ถาม : ตื่นมาวันนี้ ได้ธรรมของหลวงปู่ลี เรื่อง เก่าจบไปเรื่องใหม่ก็มาเหมือนหมู่พวก ไม่สนใจ เขาเดี๋ยวเขาก็ไปเอง มันทำแบบนั้นเลยเจ้าค่ะ เออ ความคิดที่ ฟุ้งซ่านเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต สังขารทั้งหลาย มันเป็นหมู่พวกจริง ๆ ปล่อยไปไม่สนใจมัน ทุก อย่างเกิดเองดับเอง ได้ยินเสียงเงียบลึก มันเงียบกว่าเดิม ลูก รู้แล้วว่าจะหาความเงียบเจอได้อย่างไร มันเงียบ จากใจตัวเอง เมื่อไม่มีใครไปอะไร ๆ กับใจ มัน ก็เงียบของมันเอง การรับรู้อายตนะภายนอก มันบริสุทธิ์ไป แล้วเจ้าค่ะ มีความเหลือยึดถืออายตนะภายใน ที่ มันยังทำลายความเงียบอยู่ อ่อ มีตัวผู้รู้ความเงียบ ด้วย ที่ทำให้มันไม่เงียบ อีกรอบ
มันเหมือน ตัวดูดแปะกระจก ยาวเหนียวมัน กำลังลอกออก มันลอกมันหลุดไปมากกว่าเดิมทุกวัน ลอกจนใกล้หมดแล้วเจ้าค่ะ หลุดแล้ว กลับไปแปะใหม่ มันมีต่อมผู้รู้ มันถึงมีขันธ์อื่น ๆ มาประกอบ ส่ง ต่อกันไม่จบสิ้น เมื่อไหร่ไม่มีต่อมผู้รู้ (สิ้นยึดสิ่งที่ถูกรู้ และสิ้นยึดในการรู้) มันจะคืนธรรมชาติทั้งหมด รู้ตาม ธรรมชาติ ใช้ชีวิตตามธรรมชาติแบบไม่มีอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย มันมีสติอยู่ ไม่มีจิตเลย ไม่มีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะไม่มีผู้เห็น หลวงตา : ให้รู้ เห็น เข้าใจ ปล่อยวางอย่างนั้นแหละ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561
เพียรปฏิบัติ บวชใจ และถอนอธิษฐานจากใจจริง ๆ ผู้ถาม : ธรรมะของหลวงตาเหมือนเปลี่ยนชีวิตค่ะ จากเป็นคนคิดเยอะแยะไปหมด แถมบางครั้งพูด ก่อนคิด ขี้โมโห จนปัจจุบันขณะนี้ สมองโล่งมาก สามารถบรรจุสิ่งดี ๆ เข้าไปได้อีก โมโหน้อยลง มาก คิดก่อนพูด ด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ดีแล้ว ถือว่ารู้เร็ว ให้เพียรอ่าน ฟัง ปฏิบัติตามที่สอน เดี๋ยวรู้แจ้ง สิ้นสงสัยเอง ให้ บวชใจและถอนอธิษฐานจากใจจริง ๆ จะเป็นทาง ลัดให้รู้แจ้งได้ไว ผู้ถาม : หนูอธิษฐานบวชใจและถอนอธิษฐานก่อน สวดมนต์ทุกวันค่ะ ขอบพระคุณหลวงตามากเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561
สังเกต และสักแต่ว่ารู้ ที่ผู้เห็น ผู้ได้ยิน ผู้รู้ ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ โยมขอความ เมตตาในการตอบปัญหาดังนี้ครับ สติ ที่เราใช้อยู่ เป็นประจำในการปฏิบัติธรรมนั้นมันมีมิจฉาสติหรือ ไม่ครับ เช่น โจรต้องใช้สติในการวางแผนปล้นทรัพย์ผู้ อื่นก็ต้องใช้สติใช่ไหมครับ ผิดกับคนวิกลจริตที่ ทำตัวสกปรกหาเศษอาหารในขยะมาประทังชีวิต ซึ่ง โยมคิดว่าคนเช่นนี้มันไม่เบียดเบียนชาวบ้านมันน่า จะดีกว่าโจรใช่ไหมครับ ขอถามว่าการใช้สติทั้งสอง พวก คือโจรมีกิเลสโลภอยู่แล้ว ถือว่าเขาใช้สติหรือ ไม่ คนจรจัดไม่โลภแต่ทำไปเพื่อยังชีพและถือว่า ขาดสัมปชัญญะหรืออย่างไรครับ กราบขอบพระคุณ ครับ
หลวงตา : สติ สัมปชัญญะ หรือ สติ ปัญญา เพื่อ ความปล่อยวาง เป็นสัมมาสติ ในอริยมรรค ส่วน สติ ที่นำมาใช้ในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ให้เป็นความทุกข์ เดือดร้อน เป็น มิจฉาทิฏฐิ และ เป็นมิจฉาสติ คือ เป็นมิจฉาทั้งหมดในมรรคแปด ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณครับหลวงตาครับ ข้อต่อ ไป โยมมีประสบการณ์หนึ่งคือเคยชอบฟังดนตรี เบา ๆ แล้วมาวันหนึ่งขณะนั่งผ่อนคลายอยู่ ฝึกสติ รู้ ๆ ก็ได้ยินเสียงดนตรีดังกล่าวแต่ได้แต่ได้ยิน เสียงโดยไม่อินและไม่ปรุงแต่งชอบ เพราะหรือไม่ เพราะ แต่กลับรู้สึกรู้ซื่อ ๆ ขึ้นมาได้ อันนี้ไม่ทราบ โยมเข้าใจถูกไหมและควรทำอีกหรือไม่เพราะ เสียงดนตรีเป็นนันทิ
หลวงตา : สังเกต และสักแต่ว่ารู้ที่ผู้เห็น ผู้ได้ยิน ผู้รู้ ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง อย่าไปสักแต่ว่ารู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพียงแค่สำรวมเท่านั้น แล้วให้สังเกต และสักแต่ว่ารู้ ที่ประตูใจ จะเห็น “ผู้รู้” ที่รู้อารมณ์ทุกปัจจุบันขณะ แล้วผู้รู้ ซึ่งเป็นจิตหรือวิญญาณขันธ์ จะมี เจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร เข้าประกอบด้วยทุก ดวง แล้วกลายเป็นอารมณ์ที่ถูกรู้ อย่างนี้เรื่อยไป ให้รู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า “ผู้รู้” ที่มีเจตสิกเข้า ประกอบทุกดวงในปัจจุบันขณะ เป็น “สังขาร” ปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกดวง ใจก็จะไม่หลงยึดถือว่าผู้รู้เป็นตัว เป็นตน เป็น เรา ตัวเรา ของเรา จึงจะพ้นทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561