The siam magazine

Page 1

THESIAM MAGAZINE

THE THIRD ISSUE T H A I L I F E S T Y L E AND CULT URE AT IT S BES T


2  thesiammagazine


thesiammagazine  3


4  thesiammagazine


WELCOME TO

THE SIAM MAGAZINE THE THIRD ISSUE

thesiammagazine  5


LOI KATONG ลอยกระทง 4 ภาค สําหรับประเทศไทยประเพณีลอย กระทงได้กําหนดจัดข้ึนในทุกพื้นที่ทั่ว ประเทศ โดยเฉพาะ อย่างย่ิงบริเวณ ที่ติดกับแม่น้ํา ลําคลอง หรือ แหล่ง น้ําต่าง ๆ

HOW DO YOU USE INCENSE? ธูปใช้อย่างไร? การจุดธูปบูชา เสริมดวงชะตาหรือขอ พรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเร่ืองของความ เช่ือท่ีสืบทอดต่อๆ กันมา

SURGICAL MASKS หน้ากากป้องกันโรค การป้องกันโรคท่ีควรพึงตระหนักเพื่อ ป้องกันตัวเองและผู้อื่น ทำ�ได้ง่ายโดยการ ใส่หน้ากากป้องกันโรค

contents 12

LOIKATONG ลอยกระทง ๔ ภาค โดย เอก โคราช

22

HOW DO YOU USE INCENSE? ธูปใช้อย่างไร?

28

SURGICAL MASKS หน้ากากป้องกันโรค 6  thesiammagazine


A PORTABLE FOOTBALL ฟุตบอลแบบพกพา ฟุตบอลถือเป็นกีฬาท่ียอมรับกัน อย่างแพร่หลายและได้รับความ นิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งรวม ถึงใน ประเทศไทยด้วย

KHANOM KROK ขนมครก ขนมไทยโบราณ

HEADACHE โรคปวดศีรษะ

ขนมครกเวลาจะทานต้องแคะออกมา เป็นแผ่นวงกลม มักวางประกบกัน ตอนรับประทาน

ปวดศรีษะแบ่งได้ คือ ปวดศีรษะแบบ ตึงตัว ปวดศีรษะไมเกรน ปวดศีรษะแบ บกลุ่ม ปวดศีรษะแบบเร้ือรังทุกวัน

BANGKOK THE SILENT CITY กรุงเทพเมืองร้าง ในระหว่างวันท่ี 27 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม คุณจะต้องประหลาดใจกับการ จราจรในเมืองกรุงเทพเป็นอย่างมาก

34

A PORTABLE FOOTBALL ฟุตบอลแบบพกพา

40

KHANOM KROK ขนมครก ขนมไทยโบราณ

46 HEADACHE โรคปวดศีรษะ

52 BANGKOK THE SILENT CITY กรุงเทพเมืองร้าง

thesiammagazine  7


8  thesiammagazine


A smooth sea never made a skilled sailor. English Proverb

thesiammagazine  9


10  thesiammagazine


THE SIAM

MAGAZINE

ADVERTISING SALES Luxe International Media marketing@luxeintermedia.com THE TEAM Dr. Sopon Mekthon Dr.Bancha Seamhan Rattanawadee Pungkam Christopher Oates Wanwilai Punnern MANAGING DIRECTOR Suebsakul Supsin PUBLISHER Siam I Am Co., Ltd.

thesiammagazine  11


12  thesiammagazine


LOIKATONG IN THE FOUR REGIONS OF THAILAND Loikatong occurs every year in November as winter begins. The weather is cool and pleasant and in this season of flooding the water fills the stream bank, revealing the river’s shape clearly. No clear evidence exists of when Loikatong first began though it is believed that the tradition has been passed down since long ago since the Sukhothai period when, in the reign of King Ramkhamhaeng, Loikatong was called pitijong prian or ganloy prabratip. Evidence from stone inscriptions mention a festival of burning candles as the largest and most festive of its kind in the city of Sukhothai, a festival assuredly equivalent to Loikatong. Later, the famous “Lady Noppamas” or “Thao Sukhothai” the king’s favorite concubine, was the first person to invent the katong, a buoyant basket made from lotuses, to replace the sky lanterns (small paper Chinese lanterns that when lit float up into

the sky like hot air ballons). The katong remains popular to this day. During that period, Loikatong was a festival of sky lanterns and as King Rama V (a nineteenth century king of Thailand) recorded, Loikatong was originally a Brahmanic ceremony for worshiping three gods: Shiva, Vishnu, and Brahma. Yet after Buddhism entered Thailand to join with these former beliefs, the lanterns were released into the sky to worship the relics of the Buddha and in reverence for the Buddha’s sacred footsteps.

thesiammagazine  13


The traditions of Loikatong have been passed down continuously ever since the first three reigns of the Rattanokosin period when the royalty and nobility enjoyed competing to make enormous katong at great cost of wealth and manpower. King Rama IV saw this as wasteful and so abolished the practice of constructing large katong and in its place, having the royalty build lanterned barges to respect the spirits instead of the gigantic katong. These were called “lamp boats,” and in the 5th and 6th reigns of the dynasty this royal ceremony was revived again. In modern times whether or not to float the king’s royal lanterns depends on the temperament of each king. The traditions of Loikatong, according to Thai beliefs, serve certain functions: 1. To ask for forgiveness from the Goddess of Waters because people both need the waters for eating and for daily use and because humans so often discard trash and pour sewage into her waters. 2. To pay homage to the Buddha’s footprints which he pressed into the sandy beach on the banks of the river Ganges in India. 3. In order to float away, sorrow, disease, and other misfortunes as in Brahmanic ceremonies for floating away sin. 4. To revere Shin Upagutta whom the Northern Thai people worship the most. According to legend, he was a great arahant (Buddhist saint) with supernatural powers who was able to conquer Mara the king of demons. Loikatong is celebrated in every part of Thailand especially in areas adjacent to rivers, canals or other spaces of water. Each area has its own fascinating ways of celebrating: The North: Sky lanterns, popularly called loi kom, wow kom, or wow kwan, are made from various bits of cloth or paper and then filled with smoke so that they float upwards like hot air balloons. This tradition of the Northern people is called yi peng. - Chiang Mai province has its own yi peng tradition each year, a huge and dazzling event where the released sky lanterns literally fill the sky. - The Tak province has a custom of floating katong in a line, each one diminishing in size—a phenomenon aptly named by the locals, katongsai, or “the line of katong.” - The Sukhotai province arranges a majestic parade of suspended lanterns with fireworks and sparklers.

14  thesiammagazine


thesiammagazine  15


The Northeast (Isaan): In the past, there was a Loikatong event in Isaan called “The Twelve Peng”: - In the Roi Et province, the occasion is called sommanamkeunpeng sengbratip, which in the local language means the “asking of forgiveness from the Mother Goddess.” There is a competition for the most beautiful lantern and katong, and a parade of models of all the eleven cities in the province.

16  thesiammagazine

- Sakhon Nakhon province in the past had an event of floating banana leaf katong in the shape of traditional palaces, a festivity called the “Festival of Royal Boats.” The Central Region: All provinces celebrate the tradition of Loikatong: - In Bangkok, there is the festival of the Golden Mountain, a temple activity celebrating the 7-10 days before Loikatong and ending the day after


Loikatong. - The Phra Nakhon Si Ayutthaya Province, at the old capital, there is an enormous event in the Ayutthaya Historical Park with a spectacular light show. The South: In the Hat Yai District of the Songkhla Province, there is a particularly large celebration, though in the other provinces people celebrate Loikatong as well.

Other than the floating of the katong, the most recognized symbol of Loikatong is the beauty pageants of woman dressed as Lady Noppamas, the woman who, as mentioned before, first invented the katong. Also, depending on the place, there are katong competitions, parades, and many other forms of celebrations and entertainment, with some places showing fireworks or great displays of flowers as well.

thesiammagazine  17


18  thesiammagazine


ลอยกระทง 4 ภาค วันลอยกระทงจะถูกจัดขึ้นเป็นประจำ�ทุกปีในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำ�หลาก มีน้ำ�ขึ้นเต็มฝั่ง ทำ�ให้เห็นสายน้ำ�อย่างชัดเจน ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้ สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำ�แหง เรียกประเพณีลอย กระทงนี้ว่า “พิธีจองเปรียญ” หรือ “การลอยพระประทีป” และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลัก ที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำ�ให้เชื่อกัน ว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน ต่อมานางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬา ลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจึงคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวที่ลอยบนน้ำ�ขึ้นเป็นคนแรก แทนการลอยโคม และได้รับความนิยมสืบต่อกันมา ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อ บูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม เมื่อนำ�พระพุทธศาสนา เข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอย พระบาทของพระพุทธเจ้า ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวด ประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำ�นวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำ�เรือลอยประทีปถวายองค์ละลำ�แทนกระทงใหญ่ และ เรียกชื่อว่า “เรือลอยประทีป” ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธี นี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำ� เป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย

thesiammagazine  19


ประเภณีลอยกระทงของไทยมีเหตุผล ความเชื่อ คือ 1. เพื่อขอขมาแม่คงคา เพราะได้อาศัยนำ�ท่านกินและใช้ และอีกประการหนึ่งมนุษย์มักจะทิ้ง และถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในนำ�ด้วย 2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที ซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิา ฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำ�นัมมทานที ในประเทศอินเดีย 3. เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์ 4. เพื่อบูชาพระอุปคุต ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแกพระอุปคุตอย่างสูง ซึ่งตาม ตำ�นานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญามารได้ สำ�หรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำ�หนดจัดขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ� ลำ�คลอง หรือ แหล่งน้ำ�ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป เช่น

ภาคกลาง มีการจัดประเพณีลอยกระทงขึ้นทั่วทุกจังหวัด - กรุงเทพมหานคร จะมีงานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อน งานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง - จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานประเพณีลอยกระทงกรุงเก่าขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายในงานมีการจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างงดงามตระการตา ภาคใต้ อย่างที่อำ�เภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัด อื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน

ภาคเหนือตอนบน นิยมทำ�โคมลอย เรียกว่า “ลอยโคม” หรือ “ว่าวฮม” หรือ “ว่าวควัน” ทำ�จากผ้าบางๆ แล้วสุม ควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบัลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า ยี่เป็ง

การลอยกระทงไม่มีรูปแบบที่ตายตัว กระทงจะทำ�ด้วยอะไรก็ได้ เช่น ใบตอง การกล้วย กาบ พลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ หรือโฟมก็ได้ เพียงแค่ตกแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน แล้วจึงจุดธูปเทียนปักที่กระทง คนส่วนใหญ่นิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลง ไปในกระทง พร้อมกับอธิษฐานสิ่งที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่นำ�ลำ�คลอง

- จังหวัดเชียงใหม่ มีประเพณี”ยี่เป็ง”เชียงใหม่ ในทุกๆปีจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ตระการตา และมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า - จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า “กระทงสาย” - จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง

นอกจากการลอยกระทงแล้ว มักมีกิจกรรมประกวดนางนพมาศอันเป็นสัญลักษณ์หนึ่ง ของประเพณีลอยกระทง และตามสถานที่จัดงานจะมีการประกวดกระทง ขบวนแห่ มหรสพ สมโภชต่าง ๆ บางแห่งอาจมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองด้วย

ภาคอีสาน ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า สิบสองเพ็ง เช่น - จังหวัดร้อยเอ็ด มีชื่องานประเพณีว่า “สมมาน้ำ�คืนเพ็ง เส็งประทีป” ตามภาษาถิ่นมีความ หมายถึงการขอขมาพระแม่คงคา การประกวดประทีปโคมไฟและกระทงอันสวยงาม มีการ จำ�ลองแห่หัวเมืองสาเกตุนครทั้ง11 หัวเมือง - จังหวัดสกลนคร ในอดีตจะมีการลอยกระทงจากกาบกล้วย ลักษณะคล้ายกับการทำ� ปราสาทผึ้งโบราณ เรียกงานนี้ว่าเทศกาลลอยพระประทีปพระราชทาน สิบสองเพ็งไทสกล - จังหวัดนครพนม จะตกแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า “ไหลเรือไฟ” ซึ่งมี ความงดงามและอลังการที่สุดในภาคอีสาน 20  thesiammagazine


thesiammagazine  21


HOW DO YOU USE INCENSE? For the Buddhists who wish to make offerings regularly, one essential and sacrosanct item in the act of paying homage is the incense. Incense sticks, or joss stick, have been instruments for worship since long ago. In the past, the incense was made from many varieties of aromatic wood such as sandalwood, nutmeg, gum benzoin (a resin of one species of aromatic wood), agar wood, tembusu, wood, from the bong tree or from the goabua tree (mixed with water to make the powder of the incense sticky enough to be spun into a stick). They ground the wood into a finely granulated powder to make the raw material for making incense sticks. People burn sacred incense to bring good luck or to request divine favor, a belief that has been passed down for generations. In the past, Thai incense made from fragrant woods was quite similar to old fashioned Chinese incense. This was because the culture and production of incense in Thailand had been passed down since times of Thailand’s cultural exchange and trade with China. Since the incense was composed of fragrant woods, its smoke was quite delicate and didn’t irritate the nose or eyes. Due to economic conditions changing, producing incense with these raw materials has become expensive, and nowadays the fragrant woods which were used to produce incense are now quite costly. Most producers have thus switched to using sawdust from the rubber tree instead since it is cheaper. It is also pale in color similar to sandalwood and because it is finely powdered, easy to mold. And so this sawdust after being mixed with perfumes is called “Fragrant Incense,” and when lit it, gives off an aromatic smoke.

22  thesiammagazine


thesiammagazine  23


24  thesiammagazine


Sacred incense sticks are usually around 13 inches long, with their stems dipped in red coloring and with the incense itself colored a pale white. They burn for 40-45 minutes. Additionally, some incense is colored according to the 7 days of the week with 8 different colors according to Brahmanic custom: Sunday – Red Monday – Yellow Tuesday – Pink Wednesday (daytime) – Green Wednesday (evening) – Black Thursday – Orange Friday – Blue Saturday – Purple The purposes for lighting incense: 1 stick: Lit for the spirits of a household or small area of land. 2 sticks: For matters concerning spirits and for lighting incense over food. 3 sticks: For worshipping the Three Jewels: The Buddha, the Dharma (the teachings of the Buddha), and the Sangha (the Buddha’s retinue of enlightened followers). 4 sticks: For the four elements or for extra prayers involving the zodiac. 5 sticks: For the Three Jewels (see above), as well as one’s parents and teachers. 6 sticks: Used in prayers to harness the power of the sun and for those born on Sunday. 7 sticks: For worship at an ancestral shrine for relatives and teachers who have passed away. 8 sticks: For additional prayers using the power of Mars and the eight planets. 9 sticks: For one’s benefactors, the guardian spirits of one’s land, the gods, the spirits of the forest and mountains, tree nymphs, and at spirit houses. 10 sticks: For the fire element, to harness the 10 powers of Saturn for use in additional prayers. 11 sticks: To revere the gods in the high levels of the heavens. 12 sticks: For Pra Rahu, a figure in Buddhist cosmology and for special prayers for those born on Wednesday evenings. 13 sticks: Thirteen is considered inauspicious so it is not often used. 14 sticks: For the worship of the image of the Buddha (a ritual performed by monks). 15 sticks: In the worship involving the elements using the power of the moon. 16 sticks: For revering the gods in the highest heavens, the master level gods, or for outdoor ceremonies which invoke the important gods of the 16 levels of heaven. 17 sticks: For additional prayers. 18 sticks: Not often lit. 19 sticks: For reverence to the gods of the 10 compass directions (which includes above and below). 21 sticks: For thanking one’s father and for worshiping the earth. 32 sticks: For a group prayer to the gods of the four directions, to bow to the 16 levels of heaven, the 15 levels of the earth and the world of humankind. 39 sticks: For worshipping the goddess of rice. 56 sticks: For ceremonies for the Buddha. 108 sticks: To worship the highest thing in the whole world and in all the levels of heaven. When we know how to light an incense stick in homage, we should persevere in performing goodness, discard our bad habits, and purify our hearts, so as to lead ourselves into lives of prosperity and happiness.

thesiammagazine  25


รูปได้ง่าย แล้วจึงนำ�มาผสมน้ำ�หอม เรียกว่า “ธูปหอม” เมื่อนำ�มาจุดจะให้ควันและกลิ่นหอม ลักษณะของธูปบูชาพระ ปกติมีความยาวโดยประมาณ 13 นิ้ว ก้านธูปชุบสีแดง ตัวธูปสีขาวนวล เวลาจุด ประมาณ 40 - 45 นาที นอกจากนี้ยังมีธูปหอม ที่เป็นสีประจำ�วัน มี 7 วัน 8 สี ตามความเชื่อของ พราหม์ คือ วันอาทิตย์ - สีแดง วันจันทร์ - สีเหลือง วันอังคาร - สีชมพู วันพุธ(กลางวัน) - สีเขียว วันพุธ(กลางคืน) - สีดำ� (ราหู) วันพฤหัสบดี - สีส้ม วันศุกร์ - สีฟ้า วันเสาร์ - สีม่วง

ธูปใช้อย่างไร? สำ�หรับชาวพุทธที่ต้องทำ�บุญไหว้พระเป็นประจำ� สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการสักการะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ คือ “ธูป” ธูป เป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องสักการบูชามาช้านาน ในอดีตธูปทำ�จากเนื้อไม้หอม (Aromatic wood) หลายชนิด เช่น ไม้จันทน์ขาว (Sandalwood) จันทน์เทศ (Nutmeg) กำ�ยาน (Gum Benzoin เป็นยางไม้หอมชนิดหนึ่ง) ไม้กฤษณา (Agar wood) กันเกรา (Tembusu) หรือต้นบง หรือโกวบั๊วะ (นำ�มาผสมน้ำ�เพื่อให้เนื้อผงธูปเหนียว พอที่จะฟั่น เป็นธูปได้) บดเนื้อไม้ให้เป็นผงละเอียด นำ�มาเป็นวัตถุดิบในการทำ�ธูป การจุดธูปบูชา เสริมดวงชะตาหรือขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของความเชื่อที่สืบทอดต่อๆ กันมา ธูปไทยในอดีตที่ผลิตจากไม้หอม มีลักษณะคล้ายธูปจีนโบราณเพราะวัฒนธรรม และการทำ�ธูปในไทยได้สืบทอดมาจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการค้าในอดีต และ เนื่องจากตัววัตถุดิบเป็นไม้หอม ควันธูปค่อนข้างละเอียดจึงไม่ระคายเคืองจมูกและตา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ประกอบกับวัตถุดิบที่แพงขึ้น ปัจจุบันไม้หอมต่างๆที่ นำ�มาผลิตธูปเริ่มมีราคาแพง ผู้ผลิตส่วนใหญ่ จึงเปลี่ยนมาใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราแทน เนื่องจากมีราคาถูกกว่า และมีสีขาวนวลเหมือนไม้จันทน์ขาว มีลักษณะเป็นผงละเอียด ขึ้น

26  thesiammagazine

การจุดธูปเพื่อใช้งาน 1 ดอก : เป็นการจุดไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน วิญญาณภาคพื้นดิน 2 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณและการจุด ธูปบนอาหาร 3 ดอก : เป็นการจุดธูปบูชาพระรัตนตรัย บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 4 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวกับธาตุสี่ ใช้ในการสวดเสริม ดวงชะตาราศี 5 ดอก : เป็นการจุดธูปบูชาพระพุทธ พระธรรม พระ สงฆ์ พ่อแม่และครูบาอาจารย์ 6 ดอก : เป็นการ จุดธูปเสริมดวงชะตาตามกำ�ลังไฟ ของอาทิตย์ ของคนที่เกิดวันอาทิตย์ 7 ดอก : เป็นการจุดบูชาจิตวิญญาณตามศาลเจ้าพ่อ เจ้าแม่ และครูบาอาจารย์ที่เสียชีวิตแล้ว 8 ดอก : เป็นการเสริมดวงชะตา ตามกำ�ลังพระอังคาร และตามจำ�นวนอัฎฐเคราะห์ 9 ดอก : เป็นการจุดธูปบูชาผู้มีพระคุณ พระภูมิเจ้าที่ เทพ เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวดา ศาลพระภูมิ ศาลเทพ 10 ดอก : เกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ตามกำ�ลังของพระ เสาร์ มีกำ�ลัง 10 เพื่อใช้ในการสวดเสริม ดวงชะตา 11 ดอก : ใช้บูชาเทวดาชั้นสูง 12 ดอก : ในการบูชาตามกำ�ลังพระราหู ใช้ในการ สวดเสริมดวงชะตา คนที่เกิดวันพุธกลางคืน 13 ดอก : เป็นเลขไม่เป็นมงคล จึงไม่นิยมจุดบูชา 14 ดอก : ใช้จดุ ธูปบูชารูปปัน้ พระสงฆ์ (เป็นการบูชาคุณพระสงฆ์) 15 ดอก : ใช้สวดบูชาดวงชะตา เกี่ยวข้องกับธาตุ ตามกำ�ลังของดาวจันทร์ 16 ดอก : เป็นการจุดธูปบูชาเทพชั้นสูง บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญ เทวดา ที่สำ�คัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น 17 ดอก : เป็นการเสริมดวงชะตา สวดเสริมดวงชะตา 18 ดอก : ไม่นิยมจุด 19 ดอก : บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ 21 ดอก : บูชาพระคุณของพ่อ การบูชาพระแม่ธรณี 32 ดอก : ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ การไหว้ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินครับและ 1 โลกมนุษย์ 39 ดอก : การบูชาพระแม่โพสพ 56 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบูชาคุณพระพุทธเจ้า 108 ดอก : บูชาสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า เมื่อเราทราบถึงวิธีการจุดธูปสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างถูกต้องแล้ว ก็ควรหมั่นทำ�ความดี ละทิ้งความชั่ว ทำ�จิตใจให้บริสุทธิ์ จะส่งเสริมให้ตัวคุณเจิรญรุ่งเรื่องยิ่งขึ้นไป


thesiammagazine  27


SURGICAL

MASKS 28  thesiammagazine


The Department of Disease Control of the Ministry of Public Health recognizes the importance of preventing and controlling the infectious disease, the flu. In Thailand, influenza occurs all year round, but during the rainy season cases are more common. In the last ten years, there have been around 30,000 – 50,000 cases reported each year with no less than 10 reported deaths, according to the epidemiological studies by the Bureau of Epidemiology. The report found that in the years 2012 and 2013, total cases numbered 54,580 with 2 deaths and 43,047 cases with zero deaths respectively.

thesiammagazine  29


30  thesiammagazine


However, in 2014, between Jan 1. and Oct. 26, reports cited 60,108 cases of influenza and a total of 60 deaths. This outbreak is believed to be faster and more virulent than in any other year, perhaps because without a major outbreak for some time, sick persons have become careless, thinking their flu is just a common cold and not expecting to become so sick. They delay visiting the doctor and their symptoms worsen, preventing prompt treatment. The flu outbreaks occur in crowded public places and especially in the rainy season, you’ll find an increase in infections. Nowadays, surgical masks aren’t very popular since many people still cling to the old attitudes that those wearing masks are sick. They look frightful, unapproachable, contagious, and worth avoiding, even though in truth, those wearing masks are the ones who prevent disease. One could actually see them as public health caretakers because the face masks serve two benefits, that is to say, to both prevent spreading disease as well as catching it. All of the research by the World Health Organization has found that the wearing of facial masks can protect against, and reduce the spread of, up to nearly 80% of contaminated particulates. Not washing one’s hands before touching other objects (such as after a sneeze, pressing the elevator buttons, stair railings, handrails on the subway, or the hanging handles on buses) is one way of spreading illness unawares. Or, even if we aren’t sick ourselves, but come into contact with those contaminated respiratory fluids, when we rub our eyes, nose, or handle food, we can unwittingly catch the cold. For example if someone with a cold sneezes into their hands on a bus, and then touches the railings, if we then get on next, without knowing the spot is contaminated, we’ll touch the same place where the person left their germs. Being more conscious of wearing surgical masks is an easy way to prevent disease and keeps both ourselves and those around us safe, taking care of society as a whole.

thesiammagazine  31


หน้ากากป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค ได้ตระหนักถึงความสำ�คัญ การควบคุมป้องกัน การเกิดโรคระบาดคือโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในประเทศไทย โรคไข้หวัดใหญ่เกิดขึ้นตลอดทั้ง ปี แต่ในช่วงฤดูฝนมักจะมีผู้ป่วยมากกว่าฤดูอื่น ในช่วงระยะเวลา10 ปีที่ผ่านมา มีรายงาน ผู้ป่วยปีละประมาณ 30,000 – 50,000 ราย มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัด ใหญ่ ปีละไม่น้อยกว่า 10 ราย จากข้อมูลการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา สำ�นักระบาด วิทยา รายงานผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่พ.ศ. 2555 และ พ.ศ. 2556 พบว่า มีผู้ป่วยทั้งสิ้น 54,580 ราย ผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ป่วยทั้งสิ้น 43,047 ราย ไม่พบรายงานผู้เสีย ชีวิต ตามลำ�ดับ และในปีนี้ พ.ศ. 2557 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -26 ตุลาคม 2557 พบว่า มีผู้ป่วยจำ�นวน 60,108 ราย มีผู้เสียชีวิต 60 ราย ถือเป็นการระบาดที่มาเร็วและรุนแรงกว่าทุกปี อาจ เป็นเพราะโรคไข้หวัดใหญ่ไม่มีการระบาดหนักมานาน ผู้ป่วยจึงชะล่าใจคิดว่าตัวเองเป็นแค่ ไข้หวัดธรรมดาไม่คิดว่าจะป่วยหนัก จึงไปพบแพทย์ช้า กว่าจะไปพบแพทย์อาการก็ทรุดหนัก ทำ�ให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อีกทั้งการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่เป็นลักษณะ กลุ่มก้อนในที่สาธารณะที่มีคนอยู่รวมตัวกันเป็นจำ�นวนมาก โดยเฉพาะในฤดูฝน อาจจะพบ จำ�นวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน ค่านิยมการใส่หน้ากากป้องกันโรคยังมีผู้ใช้หน้ากากป้องกันโรคเป็นจำ�นวนน้อย เนื่องจากยังคงยึดติดกับทัศนคติเก่าๆ ที่ผู้สวมหน้ากากป้องกันโรคมักถูกมองว่าเป็นผู้ป่วยที่ น่ารังเกียจ ไม่น่าเข้าใกล้ จะนำ�โรคมาแพร่และควรหลีกเลี่ยง ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ที่สวม ใส่หน้ากากป้องกันโรคนั้น ถือได้ว่าเป็นเป็นผู้ที่รู้จักการดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะหน้ากาก ป้องกันโรคนั้นมีประโยชน์ 2 ทาง กล่าวคือ สามารป้องกันการแพร่โรคจากตัวเราไปสู่ผู้อื่น และป้องกันการรับเชื้อโรคและมลภาวะอื่นๆ สู่ตัวเรา ทั้งนี้งานวิจัยขององค์การอนามัยโลก ค้นพบว่า การใส่หน้ากากป้องกันโรคสามารถป้องกันและลดการแพร่กระจายของอณูเล็กๆ ที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนได้ถึงร้อยละ 80 ทั้งนี้ การจามหนึ่งครั้งละอองฝอยสามารถกระจาย ได้ถึง 2 เมตรถ้าไม่มีการป้องกัน การที่จามแล้วเอามือปิดปาก โดยไม่มีการล้างมือก่อนไป สัมผัสอย่างอื่นที่ใช้ร่วมกันนั้น อาทิ จามแล้วไปกดลิฟท์ ราวบันได เสาบนรถไฟฟ้า ที่ห้อย โหนบนรถเมล์ เป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคอย่างหนึ่งโดยที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเราไม่ ได้ป่วยแต่ไปสัมผัสสารคัดหลั่งที่เป็นเชื้อโรคเหล่านั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามีคนป่วยเป็นไข้ หวัดจามบนรถเมล์ใช้มือปิดปากเวลาจาม จามเสร็จสัมผัสราวบนรถเมล์ ถ้าเราเป็นคนที่ขึ้น คนต่อไปไม่รู้ว่ามีเชื้อโรคอยู่ก็ไปจับที่ที่คนป่วยได้ทิ้งเชื้อโรคไว้ เมื่อเราไปโหนราวรถเมล์แล้วนำ� มือไปขยี้ตา จมูก จับอาหารเข้าปาก ก้เป็นการรับเชื้อทางหนึ่งโดยไม่รู้ตัว การป้องกันโรคที่ควรพึงตระหนักเพื่อป้องกันตัวเองและผู้อื่นที่ง่ายโดยการใส่หน้ากาก ป้องกันโรค ปลอดภัยกับตัวเองและคนรอบข้างช่วยรับผิดชอบสังคม

32  thesiammagazine


Charmzone’s dermatologic science in Charmzone Skin Town Bangkok Premium place for your skin Bangkok(CST) is new type of premium & private acsthetic center where Charmzone’s prestigious brand CHARMIN CELL which made of proprietary ingredients and nutrients,accumulation of the decades of experience in skincare,and professional touch and devotion meets

A Charm in cell deep cleasing - Decollete & Back Circulation of lymph massage - Charm in cell control Detox massage Hot stone, cold stone Therapy - Charm in cell Skin Repair Mask (Charm in cell Essence 30ml) Cooling pack(contraction of pores) Abdomen Hot stone - Arm, leg, foot oil massage - Relaxing Cream - Charm in cell Cream, essence, suncream, BB

B Charmzone Deage deep Cleasing - Decollet & Back Circulation of lymph Massage - Charmzone Deage Control Detox Massge Hot stone, cold stone Therapy -Charm in cell Skin Repair Mask ( Charm in cell Essence 30ml) - Abdomen Hot stone Arm, leg, foot massage - Relaxing Cream - Charm in cell cream, essence, suncream, BB

B-1

Acne Charmzone Deage Deep Cleasing-Charmzone Deage Control Detox Massage-Hot tone Terapy-Treatment of Acne Mask for Soothes and moisturizes-Arm,leg massage-Relaxing cream- Charm in cell cream,essence,suncream,BB

C Charmzone Deage deep Cleasing - Decollet & Back Circulation of lymph Massage - Charmzone Deage Control Detox Massge Hot stone, cold stone Therapy - Cooling pack (contraction of pores) - Abdomen Hot stone - Arm, massage Relaxing Cream Charm in cell cream, essence, suncream, BB

D E

246 Time Square Bldg., 4th FL., Room 401-402 Sukhumvit soi 12-14 Road, Klongtoey, Bangkok 10110 . Tel : (02) 254-2291, (02) 254-2290 www.chamzone.co.kr Mobile :(087) 1091332 Email : daeyoung0728@hotmail.com

thesiammagazine  33


34  thesiammagazine


A PORTABLE

FOOTBALL Football is the most widely accepted and most popular sport throughout the world—including in Thailand. Football began in Thailand in 1897 when Chao Phraya Dharmakirti introduced football for the first time and from there its fame spread widely throughout Thailand. Regulation sized football fields are rectangular in shape and surfaced with grass. In length they measure between 90-120 meters and in width between 45-90 meters. The goal rises 2.44 meters (8 feet) high off the ground with goal posts 7.3 meters apart (8 yards). While each field can vary, a length of 105 meters and a width of 68 meters are the most popularly used dimensions, as seen at the Camp Nou field in Barcelona or the Old Trafford field of Manchester United. The other instrument required in the playing of football is the ball itself. The football can be divided into two types: one where the composite leather of the outer layer is sealed with glue; the other where the stitched leather has been bound with thread.

thesiammagazine  35


However, around 20 to 30 years ago, the Thai children didn’t like to play with footballs made from leather. Perhaps no more than 10% of them enjoyed playing with a leather ball and those 10% were the children who played football at school. So of course you might wonder what kind of ball the did the rest like? The football most popular at the time was made from plastic and was only 1/3 the size of a regulation football. It probably seemed like something a 4 or 5 year olds might play with yet in Thailand this sort of ball was used by children from kindergarten through college, especially by high schoolers. They carried it around in their backpacks as if it were made of gold, taking especially good care of it because it was such a source of enjoyment for them and their friends. Among its prominent features were its portability, its light weight, its short range, and, importantly, the magical curve it made when you kicked it just right. As for kicking the plastic football, the students had a special technique. They used a pen to pierce a hole letting air out from the ball to relieve its pressure, and then they rubbed the ball in the dirt to seal the perforation. Another larger problem in playing with plastic footballs was the seams. It was believed that the seams caused the football to split when kicked forcefully. So they had a method of fixing it using tape to bind the seams or rubbing the seams with earth so they would be tighter.

36  thesiammagazine


The plastic balls become very popular perhaps due to the fact that at that time schools didn’t allot a budget for sports and for buying leather footballs because they were rather expensive. Some schools didn’t have grass field for football, only basketball courts which had mere cement surfaces. Kicking a leather ball on a cement surface was certainly not as fun. Yet for those who played with plastic footballs they chose it perhaps because they could play indoors or wherever, they didn’t need to fuss with having a goal; they could merely put down some shoes to make a goal and they could play. They could kick the plastic ball with school shoes or without shoes at all, and they didn’t need any equipment like studded shoes or shin guards. The plastic ball was perfect for the cement surfaced basketball courts because you could use the poles of the basketball hoops for goal posts. Also the ball wasn’t too formidable when knocked into other things. Things like classroom windows, cars, or even people wouldn’t be damaged so much in comparison to being hit by leather. Nowadays its hard to believe that at that time the country had numerous competitions using plastic footballs for high school students at the nation-wide level with 3-5 players, depending on the format. As for the fields used in the competition, they used basketball courts, and whether it was indoors or outdoors was likewise up to the organizers. Nowadays plastic balls aren’t very popular as they used to be as they have been replaced by latex and leather. But it’s undeniable that the skills and abilities gained from playing with plastic has played an important part in encouraging the development of football—to an impressive extent. The international football team of Thailand has proceeded into the top ten teams of Southeast Asia, an unexpected result from a team that grew up practicing with just plastic! thesiammagazine  37


ฟุตบอลแบบพกพา ฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายและได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งรวม ถึงในประเทศไทยด้วย ฟุตบอลในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2440 เมื่อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นผู้ริเริ่มนำ�กีฬาฟุตบอลเข้ามาเล่นในไทยเป็นครั้งแรก จนกระทั่ง เกิดความนิยมแผ่ขยาย กว้างขวางไปทั่วประเทศ สนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีพื้นสนามเป็นหญ้า มี ความยาวระหว่าง 90-120 เมตร และความกว้างระหว่าง 45-90 เมตร โดยประตูจะมีความ สูง 2.44 เมตร (8 ฟุต) เหนือจากพื้นดิน และเสาประตูจะห่างกัน 7.3 เมตร (8 หลา) ซึ่ง ขนาดแต่ละสนามอาจมีขนาดไม่เท่ากัน แต่ขนาดความยาว 105 เมตร และความกว้าง 68 เมตร เป็นขนาดที่นิยมใช้กันมากที่สุด อย่างเช่น สนามคัมป์นูของสโมสรบาเซโลนา หรือ สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อีกหนึ่งอุปกรณ์ในการเล่นฟุตบอลซึ่งจะขาดไม่ได้เลยก็คือลูกฟุตบอล ลูกฟุตบอลสามารถ แบ่งได้สองแบบ คือ แบบหนังอัด ซึ่งชั้นนอกทำ�ด้วยหนังแล้วผนึกด้วยกาว และอีกแบบคือ หนังเย็บ ซึ่งจะผนึกด้วยการเย็บ แต่เมื่อประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว เด็กไทยสมัยนั้น ไม่นิยมเล่นลูกฟุตบอลที่ทำ�จากหนัง ซึ่งมี เด็กเพียงไม่ถึง10% ที่ชอบเตะลูกฟุตบอลที่ทำ�มาจากหนัง และ10% ที่ว่านั้นก็คือพวกเด็กที่เป็น นักกีฬาของโรงเรียน แน่นอน คุณอาจจะสงสัยว่าพวกที่เหลือเขาชอบเตะลูกฟุตบอลแบบไหนกัน ลูกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้นคือลูกฟุตบอลที่ทำ�มาจากพลาสติก ซึ่งมีขนาด 1/3 ของลูกฟุตบอลหนังขนาดมาตรฐาน มันอาจจะดูเหมือนลูกบอลสำ�หรับให้เด็กอายุประมาณ 4-5ขวบเล่นมากกว่า แต่สำ�หรับในประเทศไทยแล้วลูกฟุตบอลแบบนี้ใช้เล่นกันตั้งแต่ นักเรียนชั้นอนุบาล ถึง นักศึกษามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะนักเรียนมัธยม ลูกบอลพลาสติก เปรียบเสมือนทองคำ�เลยก็ว่าได้ พวกเขาต้องพกใส่กระเป๋าไว้และดูแลรักษามันอย่างดี เพราะ มันจะสามารถสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับกลุ่มเพื่อนได้ตลอดเวลา จุดเด่นของลูกฟุตบอลพลาสติก คือ สามารถพกพาได้สะดวก มีน้ำ�หนักเบา บอลลอยไม่ไกล และที่สำ�คัญสามารถเตะไซด์โค้งได้อย่างเหนือธรรมชาติ 38  thesiammagazine

ในการเตะบอลพลาสติก พวกเขาจะมีเคล็ดลับในการเล่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้บอลพลาสติก สองลูกประกบกัน โดยการผ่าบอลอีกลูกหนึ่งแล้วนำ�มาครอบใส่ลูกที่ยังไม่ผ่าเพื่อเพิ่มน้ำ� หนักและความทนทาน บางกลุ่มใช้ปากกาเจาะลมออกจากลูกบอล เพื่อไม่ให้บอลมีลมมาก เกินไป แล้วนำ�ลูกฟุตบอลไปถูกับพื้นเพื่อเป็นการปิดรูที่พวกเขาเจาะลงไป อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ในการเล่นบอลพลาสติกคือตรงลอยต่อของลูกฟุตบอล นักฟุตบอลพลาสติกเชื่อว่า ตรง ลอยต่อเป็นสาเหตุของการทำ�ให้ลูกฟุตบอลแตกเวลาที่พวกเขาเตะด้วยความแรง จึงมีวิธีแก้ไข โดยใช้เทปพันรอบรอยต่อ หรือบางคนนำ�รอยต่อมาถูกับพื้นเพื่อให้รอยมันบางลง สาเหตุที่ทำ�ให้บอลพลาสติกได้รับความนิยมอย่างมาก อาจจะมาจากสาเหตุที่ว่า ในสมัยนั้น ทางโรงเรียนไม่มีงบประมาณจัดสรรเพื่อการกีฬาในการซื้อลูกฟุตบอลหนังเพราะค่อนข้างมี ราคาแพง หรือบางโรงเรียนไม่มีสนามหญ้าสำ�หรับฟุตบอล มีแต่สนามบาสเก็ตบอลที่มีพื้น เป็นปูนเท่านั้น ซึ่งการเตะบอลหนังบนพื้นปูนมันไม่สนุกแน่ๆ แต่สำ�หรับนักฟุตบอลพลาสติก แล้วสาเหตุที่ทำ�ให้พวกเขาเลือกเตะบอลพลาสติกน่าจะมาจากเขาสามารถเล่นในร่มหรือที่ ไหนๆก็ได้ ไม่ต้องหาประตูให้วุ่นวาย เพียงใช้รองเท้ามาวางทำ�เป็นประตูก็สามารถเล่นได้แล้ว บอลพลาสติกสามารถถอดรองเท้าเตะหรือใช้รองเท้านักเรียนเตะได้ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อย่าง รองเท้าสตั๊ดหรือสนับแข้ง บอลพลาสติกเหมาะกับสนามปูนมาก(สนามบาสเก็ตบอล) เพราะสามารถใช้เสาของแป้นบาส เป็นประตูอีกทั้งบอลไม่มีน้ำ�หนักเวลาเตะไปโดนสิ่งของต่างๆ อย่างกระจกห้องเรียน รถ หรือ แม้กระทั่งคน จะได้รับความเสียหายน้อยมากๆเมื่อเทียบกับบอลที่ทำ�จากหนัง คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าในสมัยนั้นได้มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลพลาสติกสำ�หรับนักเรียน มัธยม ระดับประเทศขึ้นมากมาย โดยใช้ผู้เล่น3-5 คน แล้วแต่รายการที่จัด ส่วนสนามที่ใช้ ในการแข่งขันจะใช้สนามบาสเก็ตบอล จะในร่มหรือกลางแจ้งก็แล้วแต่ผู้จัดงานอีกเช่นกัน ปัจจุบันบอลพลาสติกไม่ได้รับความนิยมเหมือนก่อน เนื่องจากฟุตซอลเข้ามาแทนที่ แต่ปฎิ เสธไม่ได้เลยว่าทักษะ ความสามารถที่ได้จากการเล่นฟุตบอลพลาสติกมีส่วนสำ�คัญเป็นอย่าง มากในการส่งเสริม พัฒนาการเล่นฟุตซอล จนแทบไม่น่าเชื่อว่า ทีมชาติฟุตซอลไทย เคย ก้าวไปติดอันดับ1ใน10ของโลก ซึ่งผิดจากผลงานของทีมฟุตบอลชาติไทยที่เตะและฝึกซ้อม โดยใช้บอลที่ทำ�จากหนัง


thesiammagazine  39


KHANOM KROK An old fashioned Thai dessert

“Khanom Krok”: this fragrant, sweet and rich food is one kind of old fashioned Thai dessert made from rice flour, sugar and coconut milk and then poured onto a special stove with small divots in it. When ready to eat, the circular pancakes must be picked out then arranged in a line ready for eating. It is a dessert which is easy to buy in the marketplace or beside the road. Initially khanom krok is made from white rice. They soak the rice in water then grind it with thin coconut milk., cooked rice, and overripe, scraped out coconut shavings. It’s then mixed with salt little by little until it forms a cake. When finished the khanom krok is topped with concentrated coconut milk. The royal cooks modified the toppings of the khanom krok so as to make it a little unusual, such as by using shrimp (also used as a topping for sticy rice), egg, pork (of the same kind as in Thai puff pastry), taro, corn, scallions, or a squash/taro mixture. Nowadays there is a ready-made powdered version of khanom krok. Just mix it with sugar and thin coconut milk and you have all the ingredients you need for the cake. Evidence exists that khanom krok has been widely popular since the Ayuthaya period. Khanom krok stoves have been sold since that period. Additionally, you can still find khanom krok in Burma (Myanmar), Laos, Indonesia, and Vietnam. The Indonesian people call it serabi, and as in Vietnam, bahn khot.

40  thesiammagazine


thesiammagazine  41


42  thesiammagazine


The deep fried khanom krok comes from the Cambodian people. However the Vietnamese people modify the dessert to be a main dish by frying the khanom krok until the entire skin is crispy, then eating it with fresh vegetables and Vietnamese style sauce. But you can only find it in Vietnan. You’ll never see it anywhere else. One khanom krok activity in Thailand which would astonish you is the tradition of offering it to monks organized regularly at the Gan Jun temple in the Bang Prom sub-district, in the Bang Kongtee district, in the Samut Songkhram province. In the celebration you can encounter numerous khanom krok related activities such as demonstrations of the old fashioned methods of milling flour and competitions for the local kinds of sports such as the obstacle course made entirely out of khanom krok, coconut shavings, lila desserts and other such things. If interested, you can ask for extra details at the Service Organization for the Bang Prom subdistrict at 0 3473 0516, the Gan Junjerern Temple at 0 3476 1510, or the Tourism Authority of Thailand office for the Samut Songkhram province at 0 3475 2847-8.

thesiammagazine  43


ขนมครก ขนมไทยโบราณ “ขนมครก” กลิ่นหอมหวล รสชาติหวานมัน คือขนมหวาน ไทยโบราณชนิดหนึ่ง ทำ�จากแป้งข้าวเจ้า น้ำ�ตาลและกะทิ แล้วเทลงบนเตาหลุม เวลาจะทานต้องแคะออกมา เป็นแผ่น วงกลม แล้วมักวางประกบกันตอนรับประทาน เป็นขนมที่หา ซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด และข้างถนน แต่เดิมขนมครกจะใช้ข้าวเจ้า นำ�มาแช่น้ำ�โม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอยผสมเกลือเล็กน้อยใช้ เป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกเป็นหัวกะทิ ขนมครก ชาววังจะมีการดัดแปลงหน้าขนมครกให้แปลกไปอีก เช่น หน้ากุ้ง (แบบเดียวกับข้าวเหนียวหน้ากุ้ง) หน้าไข่ หน้าหมู (แบบเดียวกับไส้ปั้นสิบ) หน้าเผือก หน้าข้าวโพด หน้าต้น หอม ฟักทอง เผือก

44  thesiammagazine

ปัจจุบันมีแป้งขนมครกสำ�เร็จรูป เพียงนำ�มาผสมกับ น้ำ�ตาลและหางกะทิก็จะได้ส่วนผสมของตัวขนม มีหลักฐาน ว่าขนมครกเป็นที่นิยมแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มี การทำ�เตาขนมครกขายตั้งแต่ยุคนั้น นอกจากนี้ยังพบ ขนมครกในพม่า ลาว อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยชาว อินโดนีเซียเรียกว่า ”เซอราบี” (serabi) ส่วนเวียดนาม เรียก ขนมครก ว่า ”บั๋น คห่อ” (Bahn Khot) ซึ่ง ขนมครกก็เป็นอาหารที่ตกทอดมาจากชาวกัมพูชาแต่ชาว เวียดนามได้ดัดแปลงไปจากของหวานเป็นของคาว โดย ขนมครกจะทอดจนผิวกรอบทั้งหมด กินกับผักสดและน้ำ� จิ้มแบบเวียดนาม แต่จะพบมันได้ที่เวียดนามใต้เท่านั้น ทาง ภาคอื่นๆจะไม่มีให้เห็น

และอีกมีอีกหนึ่งกิจกรรมเกี่ยวกับขนมครกในประเทศไทย ที่ ทำ�ให้คุณต้องประหลาดใจ คือ ประเภณีทำ�บุญตักบาตร ขนมครก ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำ� ณ วัดแก่นจันทร์เจริญ ต.บาง พรม อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม โดยภายในงานจะได้พบ กับกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ การสาธิตวิธีการโม่แป้งแบบ โบราณ การแข่งขันกีฬาแบบพื้นบ้าน เช่น วิ่งวิบากขนมครก ขูด มะพร้าว ขนมครกลีลา เป็นต้น หากสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วน ตำ�บลบางพรม โทร. 0 3473 0516 หรือ วัดแก่นจันทร์เจริญ โทร. 0 3476 1510 หรือ ททท. สำ�นักงานสมุทรสงคราม โทร. 0 3475 2847-8


thesiammagazine  45


46  thesiammagazine


HEADACHE HEADACHE HEADACHE By Dr.Bancha Seamhan Neurologist Phyathai 2 International Hospital Headache is one of the most common and important illnesses that can effect to the quality of life. Normally, headache is not from dangerous condition but need to be diagnosed and treated by specialist because headache symptom can be the sign of severe illness. Most headaches are caused by - Tension type headache - Migraine headache - Cluster headache - Chronic daily headache Tension type headache Tension type headache is the most common type of headaches that occur with those who get stressed, tired and work hard. Signs and symptoms of a tension headache include the sensation of tightness or pressure across your forehead, Tenderness on your neck. headache is usually described as mild to moderately intense and might include tenderness on your scalp, neck and shoulder muscles. Tension headache often not associate with neuro and vomiting Migraine headaches is the common type of headache that always get the mislead diagnosis. Migraine headache always occur with women of working age. The headache is usually described as moderately to severe intense. Symptom might get worst from triggers such as light, sound or odor. Some patients might

experience nausea and vomiting symptom. Migraine headaches typically last from 4 hours to 3 days. Cluster headache is rare and the most painful type of headache. Cluster headaches are Headache is one of the most common and important illnesses that can effect to the quality of life. Normally, headache is not from dangerous condition but need to be diagnosed and treated by specialist because headache symptom can be the sign of severe illness. Most headaches are caused by - Tension type headache - Migraine headache - Cluster headache - Chronic daily headache Tension type headache Tension type headache is the most common type of headaches that occur with those who get stressed, tired and work hard. Signs and symptoms of a tension headache include the sensation of tightness or pressure across your forehead, Tenderness on your neck. headache is usually described as mild to moderately intense and might include tenderness on your scalp, neck and shoulder muscles. Tension headache often not associate with neuro and vomiting

thesiammagazine  47


48  thesiammagazine


Migraine headaches is the common type of headache that always get the mislead diagnosis. Migraine headache always occur with women of working age. The headache is usually described as moderately to severe intense. Symptom might get worst from triggers such as light, sound or odor. Some patients might experience nausea and vomiting symptom. Migraine headaches typically last from 4 hours to 3 days. Cluster headache is rare and the most painful type of headache. Cluster headaches are more common in men than women. The duration from 15 minutes to 3 hours. The onset of an attack is rapid, and most often without the preliminary signs. Cluster headaches include fidget, excruciating pain (generally located around the eye) or one-sided pain. Patient will also have parasympathetic symptom such as redness of the conjunctiva, tearing, runny nose, sweating around face area on side of the headaches. Chronic daily headache Chronic daily headaches must occur 15 days or more a month, for at least three months. Patients might have more chronic symptom of tension headache or Migraine. This might occur in some headache patient that often over-use pain relief medication cause from get wrong diagnosis and use medicine by themselves that lead to more chronic headaches. By the way headache can occur by others cause such as sinusitis, cerebrovascular disease, intracerebral hemorrhage, cancer. For screening dangerous disease from headaches, medical record, thorough check-up include additional diagnosis such as MRI are needed. Headache danger signs Even if common headache does not indicate a serious medical problem but headache with condition below must see doctor immediately. Because this may occur from serious health problem such as Cerebral Hemorrhage or Nervous System Infections. Signs of a dangerous headache include: 1. A headache that starts suddenly, especially if it’s of a severe degree. 2. Headache with fever and stiff neck. 3. Headache with neurological symptoms such as Arm and leg weakness, confusion, personality change 4. Headaches in patient with cancer or HIV infected. 5. Progressive Headache that failure to treatment If patient have any of the above symptoms, they should see doctor for the most effective and fastest diagnosis. Summary: Headache is common symptom that requires medical history and consultation including additional diagnosis in some patient for the most effective diagnosis and treatment.

thesiammagazine  49


โรคปวดศีรษะ

โรคปวดศีรษะ เป็นโรคที่สำ�คัญและพบได้บ่อยซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยได้มาก โดยส่วนใหญ่แล้วโรคปวดศีรษะ ไม่ได้เกิดจากภาวะร้ายแรง แต่ทั้งนี้อาการปวดศีรษะจำ�เป็น ต้องวินิจฉัยและรักษาโดยผู้เชื่ยวชาญเพราะอาการปวดศีรษะ อาจเป็นอาการนำ�ของ โรคที่มี อันตรายร้ายแรงได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยมักปวดศีรษะจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1.ปวดศีรษะแบบตึงตัว(tension type headache) 2.ปวดศีรษะไมเกรน(migraine headache) 3.ปวดศีรษะแบบกลุ่ม(cluster headache) 4 ปวดศีรษะแบบเรื้อรังทุกวัน (chronic daily headache) ปวดศีรษะแบบตึงตัว(tension type headache) ปวดศีรษะแบบตึงตัว เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุดมักเกิดกับบุคคลซึ่งมีความเครียด เหนื่อย ทำ�งานหนัก ลักษณะการปวดมักเป็นแบบแน่นแน่น หรือ รัดรัดทั้งสองข้างของศีรษะ และต้นคอ โดยอาการปวดมักมีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง ซึ่งอาจมีการปวดของกล้าม เนื้อบริเวณศีรษะ คอ ไหล่ ร่วมด้วยได้ อาการปวดชนิดนี้ไม่แย่ลงจากกิจวัตรประจำ�วัน และ มักไม่มีอาการคลื่นใส้อาเจียนร่วมด้วย ปวดศีรษะไมเกรน(migraine headache) เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อย และมักได้รับการวินิจฉัยที่ผิดพลาด โดยโรคปวดศีรษะ ไมเกรนนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำ�งาน ลักษณะการปวดมักทำ�ให้เกิดอาการปวดศีรษะ รุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ซึ่งอาการปวดดังกล่าวจะแย่ลงได้จากสิ่งกระตุ้นภายนอก ทั้ง แสง เสียง หรือกลิ่น ผู้ป่วยบางรายมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ไมเกรนส่วนใหญ่มักจะปวด นานตั้งแต่ 4 ชั่วโมงขึ้นไป ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดนานถึง 3 วัน ปวดศีรษะแบบกลุ่ม(cluster headache) เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้ไม่บ่อยแต่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานได้หากไม่ได้รักการวินิจฉัย และรักษาที่ถูกต้อง อาการปวดศีรษะชนิดนี้มักเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยอาการปวด ศีรษะมักมีอาการปวดที่รุนแรงจนทำ�ให้ผู้ป่วยกระสับกระส่าย มักเกิดทันที ระยะเวลาที่ปวด ประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ตำ�แหน่งที่ปวดมักปวดรอบดวงตาหรือบริเวณขมับมักเป็น ข้างเดียว ผู้ป่วยจะมีอาการของระบบประสาท parasympathetic ร่วมด้วย เช่น มีตาแดง มีน้ำ�ตาไหล มีน้ำ�มูก มีเหงื่อออก บริเวณใบหน้าด้านที่มีอาการปวดศีรษะ ปวดศีรษะแบบเรื้อรังทุกวัน (chronic daily headache) 50  thesiammagazine

ผู้ป่วยชนิดนี้มักมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังมากกว่า 15 วันต่อเดือน อย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งผู้ ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะแบบ tension หรือแบบไมเกรนก็ได้ แต่ผู้ป่วยจะมีอาการเรื้อรัง มากกว่า ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นโรคปวดศีรษะจากการใช้ยาเกิน(medication overuse headache) ซึ่งเกิดจากการวินิจฉัยที่ผิดพลาด การซื้อยากินเอง การใช้ยาแก้ ปวดบ่อยบ่อย ซึ่งทำ�ให้มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังมากขึ้นเรื่อยเรื่อย นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุ อื่นที่สามารถทำ�ให้เกิดอาการปวดศีรษะได้อีก เช่น ภาวะไซนัสอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง โรคมะเร็งเป็นต้น ทั้งนี้การวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจเพิ่มเติมเช่น การทำ� MRI เป็นต้น เพื่อช่วยวินิ ฉัยแยกโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายออกไป สัญญาณอันตรายของภาวะปวดศีรษะ ถึงแม้อาการปวดศีรษะส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยที่มี ภาวะปวดศีรษะที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรมาพบแพทย์โดยเร่งด่วน เพราะอาจเกิดจากสาเหตุ ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น อาจเกิดจากภาวะเลือดออกในสมอง หรือมีอาการติดเชื้อใน ระบบประสาทเป็นต้น สัญญาณอันตรายของภาวะปวดศีรษะมีดังต่อไปนี้ 1 อาการปวดศีรษะขึ้นรุนแรงทันทีทันใด 2 อาการปวดศีรษะร่วมกับมีไข้และคอแข็ง 3 อาการศีรษะร่วมกับอาการทางระบบประสาทมี่ผิดปรกติ เช่น แขนขาอ่อนแรง สับสน บุคลิกภาพที่เปลื่ยนแปลง เป็นต้น 4 อาการปวดศีรษะในผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV 5 ภาวะปวดศีรษะที่เป็นมากขึ้นเรื่อยเรื่อยและไม่ตอบสนองต่อการรักษา หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวจำ�เป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างเร็วที่สุด ซึ่งจะนำ�ไปสู่การ รักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วต่อไป สรุป อาการปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อย จำ�เป็นต้องอาศัยประวัติ การตรวจร่างกาย อย่างละเอียดรวมถึงการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมในผู้ป่วยบางราย เพื่อนำ�มาสู่การวินิจฉัยโรค ที่ถูกต้องแม่นยำ� นำ�ไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพต่อไป นพ. บัญชา เสียมหาญ อายุรแพทย์ระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 2


thesiammagazine  51


BANGKOK The Silent City 52  thesiammagazine


Bangkok, the capital of Thailand, has been named the most tourist friendly city in the world according to a 2013 survey by MasterCard Worldwide Global Destination Cities Index. Accounting for both the number of foreign tourists crossing international borders in the year 2013 and the costs of sightseeing in those destination countries (the price of the plane ticket excluded), the survey found that Bangkok was the hottest destination capital in the world, winning out over London of the UK, Paris of France, Singapore, and the USA’s New York City. You may have also heard that Thailand’s capital, Bangkok, with its congestion of cars now ranks top among cities with traffic problems. To give you a better idea, imagine what it’s like to take 1-2 hours to travel just one kilometer or that some people can arrive at work up to 4 hours late because of traffic problems.

On the 30th of September of 2012, BBC news reported that Bangkok was the capital city with the most congested traffic in the world. Using data from government car taxes, results showed that more than 5 million cars were running on the road, although Bangkok’s road had only enough space to support 2 million and on the September 30th, 2013, the Department of Land Transport cited 8,216,859 cars in Bangkok. But if you live in Bangkok during the time of the New Year festival, between December 27th and January 2nd, you’d be astonished with Bangkok traffic—for you’d find 80% of the cars on the road have disappeared. The state of the traffic would have backtracked 20 years, a rare sight indeed.

thesiammagazine  53


54  thesiammagazine


So where do the car go? As for Bangkok’s traffic problems, aside from the fact that cars naturally increase in number every year, another further hastening factor exists that exacerbates the problems, namely that many people from other provinces have come to live in the city. Each time a festival occurs, many people return to their hometowns, a situation similar to Beijing. This period is considered a happy one for the local people of Bangkok because they can travel to and fro quickly without being troubled by traffic or pollution. They can pleasantly visit various sightseeing spots or department stores, have extra time in their day, and can accomplish so much more, rejuvenating their spirits. Some enjoy a joyride around the city so go ahead and do the same because an opportunity like this doesn’t occur often in a year!

thesiammagazine  55


และคุณอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า เมืองหลวงของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานคร มีการ จราจรที่หนาแน่นและเป็นเมืองที่มีปัญหารถติดเป็นอันดับต้นๆของโลก หากคุณนึกภาพไม่​่ออก ให้ลองคิดว่าคุณจะต้องใช้เวลาถึง 1-2 ชั่วโมงสำ�หรับการเดินทางเพียงแค่ 1 กิโลเมตร และเคยมี บางคนมาทำ�งานสายถึง4 ชั่วโมงเนื่องจากปัญหารถติด เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 สำ�นักข่าวบีบีซีรายงานว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง ที่มีการจราจรทางถนนหนาแน่นที่สุดของโลก จากนโยบายคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาล เป็น ผลให้มีรถยนต์แล่นบนท้องถนนกว่า 5 ล้านคัน ทั้งที่พื้นที่ของถนนของกรุงเทพมหานคร รองรับรถยนต์ได้เพียง 2 ล้านคันเท่านั้น ด้านกรมขนส่งทางบกระบุจำ�นวนตัวเลขรถยนต์ใน กรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 อยู่ที่ 8,216,859 คัน แต่หากคุณอาศัยอยุ่กรุงเทพในช่วงเทศกาลปีใหม่ คือในระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม คุณจะต้องประหลาดใจกับการจราจรในเมืองกรุงเทพเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่คุณ จะพบคือ รถยนต์บนท้องถนนจะหายไปประมาณ 80% สภาพการจราจรบนถนนคล้ายกับย้อน เวลาไป 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะหาดูได้ยากมากๆ

กรุงเทพเมืองร้าง กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่น่า ท่องเที่ยวที่สุดในโลก จากการสำ�รวจของ MasterCard Worldwide Global Destination Cities Index 2013 โดยผลสำ�รวจจากจำ�นวน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางข้ามพรมแดนเข้าไปยังเมืองต่างๆ ใน ปี 2556 รวมถึงอัตราค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวในเมืองจุด หมายปลายทาง ทั่วโลก ซึ่งไม่นับรวมค่าตั๋วเครื่องบินที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว โดยกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่น่าท่องเที่ยวที่สุดใน โลก เอาชนะกรุงลอนดอนของอังกฤษ กรุงปารีสของฝรั่งเศส สิงค์โปร์ และมหานครนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา 56  thesiammagazine

รถเหล่านั้นหายไปไหน ? ปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร นอกจากจะมีสาเหตุจากจำ�นวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นทุก ปีแล้ว ยังมีปัจจัยเร่งให้ปัญหาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คือ มีประชาชนจากต่างจังหวัดเข้ามาอาศัย เป็นจำ�นวนมาก ทุกครั้งเมื่อถึงช่วงเทศกาลมักพบว่ามีผู้เดินทางกลับภูมิลำ�เนาเป็นจำ�นวนมาก ซึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้แตกต่างจากกรุงปักกิ่ง ของประเทศจีนเลย ช่วงเวลาดังกล่าวนับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของชาวกรุงเทพโดยแท้จริง เพราะสามารถเดิน ทางไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว ไม่เจอปัญหารถติดและปัญหามลพิษ สามารถไปเที่ยวตาม สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆหรือห้างสรรพสินค้าได้อย่างเพลิดเพลิน มีเวลาเพิ่มขึ้น สามารถทำ�อย่าง อื่นได้มากขึ้น ส่งผลทำ�ให้สุขภาพจิตดีขึ้น บางคนถึงขนาดกับขับรถเล่นรอบเมืองกันเลยทีเดียว คุณอาจจะลองทำ�แบบพวกเขาบ้างก็น่าจะดี เพราะโอกาสแบบนี้ในหนึ่งปีมีไม่กี่ครั้ง


SIAMSANCTUARY

KEEP CALM AND HAVE A PAMPER HAMPER BY SPA INTERCONTINENTAL Spa InterContinental at InterContinental Bangkok presents a collection of soothing THÉMAÉ skin care products now available in luxurious hampers. Each hamper contains five premium gifts, four for a delightful home spa experience: - Baume de Quarte Thes – Body Massage Cream 200 ml - Gommage The au Nepal – Body Scrub 200 ml - Huile des 4 Thes Brume d’Or – Shimmering Dry Oil 30 ml - Themae gift box - Plus one gift voucher for an equally wonderful day of indulgence at Spa InterContinental comprising bodymassage, body scrub and facial treatment valued at Baht 10,000 net. A Pamper Hamper by Spa InterContinental is sure to delight ladies! Available from 1 November until 31 December at Baht 15,000 net only. For more information please contact Spa InterContinental, Level 36 or call: 02 656 0444 ext. 6288-9 For press and media inquiries, please contact: Tippawan Charoenwong Assistant Marketing Communications Manager InterContinental Bangkok and Holiday Inn Bangkok Email: tippawan@ihgbangkok.com T: +66 2 656 0444 ext 6907 thesiammagazine  57


Where to FIND us

- 250 Travel Agents in Thailand & Overseas (UK, Australia, USA, Singapore, Hong Kong, Japan, India, the Middle East, Scandinavia) - TAT Overseas Offices (USA, Japan, Hong Kong, Singapore, Dubai, Europe, Scandinavia, Switzerland) - 38 Airline Ticket Offices in Thailand - 12 Car Rental Companies - 128 Hotels in Thailand (4-5 stars) 58  thesiammagazine


thesiammagazine  59


SIAMDINING

Egg-citing time by the river! at Royal Orchid Sheraton Hotel & Towers Enjoy the flavors of egg benedict for a perfect indulgent breakfast. Eggs Benedict is one of the most popular breakfast menus which combine tasty soft eggs with creativity applied to this simplest and most basic cuisine of breakfast. Made of English muffin, topped with ham or bacon, poached eggs, and Hollandaise sauce - this American breakfast is sure to suit all tastes. Variety of eggs benedict menus are carefully designed and prepared for you by our skilful chefs with price starting from THB 190. Highlights include: • Eggs benedict with smoked salmon, spinach and béarnaise sauce on whole wheat toast • Eggs benedict with English back bacon and hollandaise sauce on English muffin

On Every last saturday of the month Enjoy scrumptious World Buffet Dinner. From 6.30 pm. to 10.00 pm.

M

enu Highlights:

* Fresh French oysters * Pan-fried foie gras * Australian wagyu beef * Wide selection of cheeses and many more… THB 1,300 nett per person includes a glass of welcome drink, free flow of soft drinks, fruit juices and coffee or selection of fine tea.

THB 2,000 nett per person includes a glass of welcome drink, free flow of selected wines, soft drinks, and coffee or selection of fine tea. Enjoy our house wine at only

House wine at THB 220 nett per glass.* *Available during World Buffet only. For more information and reservation, please call 053 872 890-1, 084 177 6599 or E-mail: info@lecrystalrestaurant.com, www.lecrystalrestaurant.com

60  thesiammagazine

• Eggs benedict prosciutto with chive hollandaise sauce on croissant served with rocket salad • Eggs benedict with ham, spinach, mushroom, tomato and hollandaise sauce on waffle • Come and enjoy the flavors of eggs benedict for a perfect indulgent breakfast on Saturday from 8 a.m. to 12 p.m. at Sambal Bar and Grill Restaurant. Experience this relaxing, refreshing & breathtaking atmosphere you need in the morning alongside fantastic breakfast here at the Royal Orchid Sheraton Hotel & Towers. Diners can choose airconditioned comfort or alfresco on the riverfront terrace overlooking the magnificent Chao Phraya River.

For more information or reservations, please call Tel: 02 266 9214 or email: events.rosh@sheraton.com Complimentary shuttle boat service is available from Saphan Taksin BTS Station to the hotel every half-hour.


thesiammagazine  61


62  thesiammagazine


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.