การทํางานวิจัยสําหรับชั้นเรียนขนาดใหญ่: การพัฒนาทักษะการเขียนของนักศึกษาแบบร่วมมือกัน (A Peer-Reviewed Research Assignment for Large Classes: Honing Students’ Writing Skills in a Collaborative Endeavor) LaRhee Henderson, Associate Professor of Chemistry, and Charisse Buising, Associate Professor of Biology, Drake University การเขียนเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง การเขียนต้องเกิดจากความเข้าใจหรือการมีส่วนร่วมในเรื่องนั้นๆ เป็น อย่างดี หรือเกิดจากได้เรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมถึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการเขียนที่ดี นอกจากนี้ ผู้เรียนจะต้องได้รับ พัฒนาทักษะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น วิธีการค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การอ่านงานวิจัย การประเมินคุณค่าของเอกสาร การสร้างความ เชื่อมโยงระหว่างข้อมูลแต่ละชิ้นที่ได้รับเพื่อสร้างเนื้อหาที่กว้างขวางขึ้น และมีความสอดคล้องกันมากขึ้น อย่า งไรก็ดี การเขียนรายงานของนั กศึก ษาในชั้นเรียนขนาดใหญ่ก่อให้ เกิด ปัญหาขึ้น เนื่ องจากอาจารย์ที่ สอนวิช า วิทยาศาสตร์ในชั้นเรียนขนาดใหญ่ต้องรับภาระหนักในการตรวจให้คะแนนการบ้าน และข้อสอบของนักศึกษา จึงไม่มีเวลาสําหรับ การช่วยเหลือนักศึกษาและการให้คะแนนสําหรับการเขียนรายงานประเภทรายงานการวิจัย เราแก้ปัญหานี้โดยพัฒนาแบบฝึกหัด (exercise) สําหรับการเขียนซึ่งนักศึกษาต้องทํางานร่วมกันเป็นกลุ่ม และถูกประเมินโดยกลุ่มเพื่อนซึ่งเป็นการทํางานในลักษณะ เดียวกับงานของนักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ การทํางานร่วมกัน และการวิจารณ์รายงานของเพื่อน การปฏิบัติแบบนักวิทยาศาสตร์ โดยปกติเราจะเขียนข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนวิจัย เขียนบทความ และนําเสนอ ผลงานในลักษณะที่เป็นการทํางานร่วมกันเป็นกลุ่ม เมื่อเราต้องเขียนงานร่วมกัน เรามักจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ และแยกกัน ทํา ซึ่งผลงานเหล่านี้จะถูกนํามารวมกันเป็นผลงานในขั้นสุดท้าย ในวิชานี้เราจึงให้นักศึกษาทําเช่นเดียวกันกับกระบวนการที่ นักวิทยาศาสตร์ทํา ในการเริ่มกระบวนการ เราแบ่งนักศึกษาวิชาชีวเคมี ซึ่งมีจํานวน 150 คนในชั้นเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 3-5 คน จากนั้นให้แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้องานวิจัย 1 หัวข้อจากที่มีอยู่ทั้งหมด 13 หัวข้อ โดยจะมี 2-3 กลุ่มที่เลือกหัวข้อเดียวกัน หัวข้อ ดังกล่าวเป็น กรณีศึกษา (Case Study) ซึ่งประกอบด้วย molecular of fructose intolerance, hyperlipidemia type I, myocardial infarction, cholera, Ehlers-Danlos syndrome, rheumatoid arthritis, และ hypothyroidism หลังจากที่เลือกหัวข้อแล้ว แต่ละกลุ่มแบ่งงานระหว่างสมาชิกกลุ่ม ตัวอย่างเช่น นักศึกษาอาจจะแบ่งรายงานเกี่ยวกับ Parkinson’s disease ออกเป็น (1) dopamine and its role in neurotransmission (2) current theories on the causes of the disease (3) current treatments of the disease and their molecular basis และ (4) interviews with local health professionals, friends, or family with personal experiences with the disease 1
ภาพที 1 เกณฑ์การประเมินรายงานวิจ ัยโดยกลุม ่ เพือน จงให ้คะแนนตามเกณฑ์ทอธิ ี บายไว ้ด ้านล่าง คะแนนทีกําหนดไว ้เป็ นแนวทางเท่านัน ท่านอาจจะได ้คะแนน แต่ละหมวดทีต่างจากนีได ้ ในการให ้ประเมินครังสุดท ้ายโปรดให ้คะแนนทีสอดคล ้องกับเกณฑ์ตอ ่ ไปนี: F: รายงานวิจัยไม่ผา่ นเกณฑ์คณ ุ ภาพขันตํา D: รายงานวิจัยตรงกับเกณฑ์บางส่วนแต่ยังไม่ถงึ ระดับทีคาดหวัง C: รายงานวิจัยมีคุณภาพเพียงพอตามเกณฑ์ ประกอบด ้วยส่วนทีต ้องการทังหมด มีการนํ าเสนออย่าง ชัดเจน การจั ดระเบียบดี และเขียนได ้ดี B: เนือหารายงานเป็ นไปตามเกณฑ์ และมีคุณภาพในด ้าน ความคิดสร ้างสรรค์ การวิจัยเพิมเติม หรือการปรับปรุงอืนๆ ผู ้วิจัยนํ าเสนอข ้อมูลต่างๆ ทีได ้รวบรวมไว ้ให ้ เห็นความเชือมโยงได ้อย่างชัดเจน และแสดงให ้เห็นถึงความเข ้าใจในข ้อมูลทีได ้รวบรวมมา A: รายงาน การวิจัยมีคณ ุ ภาพตามเกณฑ์และเกินกว่าทีคาดหวัง โดยแสดงให ้เห็นถึงความคิดริเริม ความคิดสร ้างสรรค์ ความลึกของการศึก ษาวิจั ย และความคิด ของผู ้วิจั ย ทีเติบ โตขึนอย่างชัด เจนในระหว่างทีทํ าการศึก ษา งานวิจัยนี (กล่าวคือ ผู ้วิจัยก ้าวไปไกลกว่า การนํ าข ้อมูลทีรวบรวมได ้มาเรียบเรียงขึนใหม่อย่างง่ายๆ) เกณฑ์
F (050%)
การค ้นคว ้ามาอย่างดี (20 คะแนน) การอ ้างอิงทีมค ี ณ ุ ภาพ (อ ้างอิงวารสารที ได ้รับการยอมรับ และเป็ นปั จจุบน ั ) ่ แสดงให ้เห็นถึงความหลากหลาย (เชน วารสาร ตํารา การติดต่อบุคคล) ยืนยันประเด็นของผู ้วิจัย การเขียนทีดี (30 คะแนน) ใช ้ไวยากรณ์ถก ู ต ้อง อ่านง่าย เข ้าใจง่าย และมีการจัดลําดับทีดี ภาพประกอบชว่ ยสง่ เสริมเนือหา มีการอ ้างอิงอย่างเหมาะสม ไม่ได ้ทําการคัดลอกเนือหาของผู ้อืน (ลีลา ั ท์เป็ นไปตามระดับของ การเขียนและคําศพ ึ ษา นักศก ความเป็ นวิทยาศาสตร์ (40 คะแนน) มีการกล่าวถึงปั ญหาทางวิทยาศาสตร์อย่าง ชัดเจน รายงานวิจัยเน ้นที molecular ึ ษาเกียวกับ molecular ในเชงิ (ทําการศก ลึกอย่างน ้อย 1 หัวข ้อ) เรืองกระบวนการทํางานของอวัยวะ วิทยาศาสตร์ถก ู ต ้อง (ยืนยันโดยการอ ้างอิง ทีเหมาะสม) อืนๆ (10 คะแนน) มีปรับปรุงให ้ดีขนอย่ ั างสร ้างสรรค์ (เช่น การแสดงตัวอย่าง การสัมภาษณ์ รูปภาพ testimonial) คะแนนรวม การให ้เหตุผลของการประเมินโดยย่อ
2
D (65%)
C (75%)
B (85%)
A (95%)
Points
ในแต่ละกลุ่ม นักศึกษาจะร่วมมือกันในการทําร่างรายงานการวิจัย ดังนั้น นักศึกษาแต่ละคนจะต้องทํางานในส่วนของ ตนเอง และกลุ่มจะมีส่วนร่วมกันในผลงานสุดท้าย ในตอนกลางเทอมนักศึกษาทุกกลุ่มจะต้องทําร่างรายงานการวิจัยให้เสร็จ และ แลกกับกลุ่มอื่นที่เลือกศึกษาในหัวข้อเดียวกัน เพื่อให้เพื่อนกลุ่มนั้นเป็นผู้ประเมินผล สมาชิกแต่ละคนของกลุ่มจะทําการประเมิน รายงานดังกล่าวให้เสร็จเรียบร้อย อาจารย์จะทําหน้าที่ประเมินร่างรายงานวิจัยนี้ด้วย ถึงแม้ว่า นักศึกษาจะมีอิสระในการทํารายงาน แต่เราได้เตรียมเกณฑ์การให้คะแนนสําหรับการกระทําตามที่คาดหวังไว้ แล้ว (ภาพที่ 1) ทั้งนักศึกษาและอาจารย์จะต้องใช้เกณฑ์ดังกล่าวนี้ในการประเมินรายงานการวิจัย เกณฑ์จะถูกตีความแตกต่างกัน ไปตามประสบการณ์และตําแหน่งของกลุ่มเพื่อนและอาจารย์ ดังนั้น เกณฑ์การให้คะแนนจึงมีความยืดหยุ่น แต่มีกรอบเพื่อเป็นการ ให้แนวทางแก่นักศึกษาในการทําร่างรายงานการวิจัยและในการประเมินซึ่งกันและกัน นักศึกษามีเวลา 1 สัปดาห์ในการประเมินร่างรายงานของกันและกัน พร้อมทั้งเขียนความคิด เห็น และข้อเสนอแนะ หลังจากนั้น นักศึกษาแต่ละกลุ่มมีเวลา 2 สัปดาห์ในการแก้ไขร่างตามข้อเสนอแนะที่ได้รับ และส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ของกลุ่ม ให้ นักศึกษากลุ่ มที่ ศึ กษาหั วข้อเดียวกั นแลกรายงานฉบับสมบูรณ์ และทํา การประเมิน ตามเกณฑ์ ที่ใ ห้ไว้ (ภาพที่ 1) เนื่องจากนักศึกษาได้ทําการศึกษาวิจัยในหัวข้อเดียวกัน แต่ละกลุ่มจึงควรได้รับการยอมรับว่ามีคุณสมบัติในการที่จะประเมิน รายงานวิจัยที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองได้ศึกษามา ในท้ายที่สุด รายงานวิจัยแต่ละฉบับจะได้รับการประเมินโดยเพื่อน 2 ครั้ง นักศึกษามีเวลาสําหรับการประเมินรายงานฉบับสมบูรณ์ 1 สัปดาห์ กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ นักศึกษาแต่ละกลุ่มโพสท์รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ขึ้นกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ผู้ที่เข้ามา อ่านรายงานการวิจัยดังกล่าวสามารถแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งจะทําให้นักศึกษาทั้งชั้นเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับทุก หัวข้อ และทําให้นักศึกษาได้รับความเห็นที่มีคุณค่า ให้คําแนะนําที่ปราศจากอคติ ก่อนที่จะเริ่มนําเสนอด้วยโปสเตอร์ ผู้ที่เข้ามาอ่าน รายงานการวิจัยจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อทั้งหมดที่ทั้งชั้นกําลังวิจัยอยู่ รวมทั้งได้อ่านเนื้อหาในเชิงลึก นอกจากนั้น นักศึกษา อาจจะแขวนรายงานการวิจัยดังกล่าวไว้บนกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ชั้นเรียนต่อไปได้เข้ามาอ่านเป็นตัวอย่างของการ ทํางานที่ผ่านมา การแสดงโปสเตอร์ เมื่อนั กศึก ษาทุ กกลุ่ มทํารายงานฉบับสมบู รณ์เ สร็จแล้ว นักศึ กษาที่ทํา วิจัย หัวข้ อเดี ยวกัน จะต้องร่วมกันนํ าเสนอต่ อ สาธารณะในรูปแบบอื่นอีกด้วย คือ การแสดงโปสเตอร์ กิจกรรมนี้ทําให้เกิดความสมดุลระหว่างการแข่งขันและความร่วมมือในการ ทําแบบฝึกหัด นักศึกษาสามารถอภิปรายเพื่อแก้ไขและปรับปรุงรายงานของตนเองเพื่อช่วยในการตรวจสอบผลงานที่จะนําเสนอใน ขั้นตอนสุดท้าย
3
โปสเตอร์จะถูกจัดตั้งไว้ที่ห้องทดลองปฏิบัติการและเปิดให้สาธารณะเข้าชม 2-3 วัน นักศึกษาที่เป็นผู้นําเสนอจะประจํา อยู่ข้างโปสเตอร์ของตนตามเวลาเพื่อตอบคําถาม นักศึกษาทั้งหมดในชั้นเรียนจะต้องเข้าดูการแสดงโปสเตอร์ดังกล่าวและทําการ ประเมินผลโปสเตอร์ของแต่ละกลุ่มโดยใช้เกณฑ์ที่เราได้แจกให้ล่วงหน้าแล้ว (ภาพที่ 2) ด้วยวิธีการดังกล่าว นักศึกษาทุกคนในชั้น จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อวิจัยที่ทุกกลุ่มได้ทําการศึกษา การให้คะแนน การให้คะแนนครั้งสุดท้ายของนักศึกษาสะท้อนองค์ประกอบ 3 ประการคือ รายงานวิจัย โปสเตอร์ (งานทั้งสองอย่าง ขึ้น อยู่กับคะแนนของอาจารย์ และคะแนนที่ประเมินโดยเพื่อน) และคะแนนที่อาจารย์ให้กับการประเมินเพื่อนของนักศึกษา (นักศึกษาสามารถประเมินรายงานการวิจัยของเพื่อนกลุ่มอื่นได้ดีเพียงไร) การประเมินโดยเพื่อน บ่อยครั้งที่นักศึกษาไม่สบายใจที่ต้องประเมินเพื่อน และมักจะขออนุญาตที่จะให้คะแนนต่ํากว่า นอกจากนี้ นักศึกษามัก ไม่เต็มใจที่จะยอมรับการวิจารณ์จากเพื่อนและมาบ่นกับอาจารย์เกี่ยวกับการประเมินโดยเพื่อน โดยทั่วไป นักศึกษาหวังว่าจะได้รับ คะแนนที่ดีเยี่ยมในการทํารายงานตามที่อาจารย์สั่ง แต่เมื่อได้รับการตัดสินในทางลบจากเพื่อน ก็จะรู้สึกว่า เป็นเรื่องยากที่จะ ยอมรับได้ ด้วยเหตุดังกล่าว เราจึงใช้ตารางเกณฑ์การให้คะแนน เพื่อประโยชน์ในการลดสิ่งที่เป็นอัตวิสัย (subjectivity) ออกจาก กระบวนการ และให้คะแนนคุณภาพของการประเมินเพื่อนของนักศึกษาแต่ละคน นักศึกษาจะระมัดระวังมากขึ้นเมื่อรู้ว่า ความ คิดเห็นของตนเองจะมีผลต่อคะแนนของคนอื่น และความเป็นเหตุเป็นผลของการแสดงความคิดเห็นต่องานของคนอื่นจะมีผลต่อ คะแนนของตนเอง การประเมินภายในกลุ่ม เราไม่ต้องการมีส่วนในการกําหนดการทํางานภายในกลุ่ม แต่ต้องการความชัดเจนว่า สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมีส่วนร่วม ในการทํางานตามที่เราคาดหวัง เราทําเช่นนี้ผ่านการสอนในชั้นเรียน รวมทั้งผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานของเพื่อนภายใน กลุ่มโดยดําเนินการเป็นระยะๆ ตลอดภาคการศึกษา และใช้เครื่องมือการประเมินที่ระบุลักษณะของการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับ ช่วงคะแนน 1 ถึง 8 นักศึกษาประเมินสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มของตนเองโดยให้คะแนนที่เป็นตัวเลข และโดยการเขียนความคิดเห็น (ภาพที่ 3) อาจารย์ใช้ผลการประเมินภายในกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาเมื่อจะประเมินองค์ประกอบของผลการเรียนของ นักศึกษา เราเก็บการประเมินผลของแต่ละคนไว้เป็นความลับ แต่ให้บทสรุปของการประเมินกับนักศึกษา และเนื่องจากสมาชิกกลุ่ม ประเมินผลการปฏิบัติงานของแต่ละคนในกลุ่มจากการทําแบบฝึกหัดร่วมกัน เราจึงสามารถทราบได้ว่า นักศึกษาคนใดมีบทบาท
4
เป็นผู้นํากลุ่ม (และคนใดที่ไม่ได้ทํางานในส่วนของตนเอง) นอกจากนี้ จากการที่นักศึกษารู้ว่าตนเองถูกประเมินโดยเพื่อนในกลุ่มทํา ให้นักศึกษารู้ว่า จะต้องมีความรับผิดชอบต่อกันและกัน ภาพที 2: เกณฑ์การประเมินโดยเพือนในการนํ าเสนอโปสเตอร์ โปรดประเมินการแสดงโปสเตอร์ของกลุม ่ อืนๆ ตามเกณฑ์การประเมินต่อไปนี: 1. ภาพลักษณ์โดยรวมและ รูปแบบ เกณฑ์: อ่านง่าย, มีระเบียบแบบแผน, เข ้าถึงข ้อมูลได ้ง่าย ดึงดูดใจ การให ้คะแนน: สูงกว่าเกณฑ์ทงหมดอย่ ั างมีความคิดสร ้างสรรค์และเป็ นต ้นแบบ = 15 points; เป็ นไปตามเกณฑ์ทงหมด ั = 10 คะแนน มีบางสว่ นทีไม่เป็ นไปตามเกณฑ์ = 5-8 คะแนน ความคิดเห็น: 2. เนือหา
ึ ษา: นํ าเสนอกรณีตวั อย่างในรูปแบบที เกณฑ์: บทคัดย่อ: สรุปสว่ นสาํ คัญของรายงานโดยย่อ กรณีศก ทําให ้ผู ้อ่านทราบถึงปั ญหาและทีมาของปั ญหาได ้อย่างรวดเร็ว ภูมห ิ ลัง: อธิบายหลักการของโมเลกุล ทีเกียวกับปั ญหานันโดยย่อ การวิจัย: จัดทําเค ้าโครงแสดงความคิดปั จจุบน ั บนพืนฐานของปั ญหาและ ั เจน ขอบเขตและจุดเน ้น: concept พืนฐานของชวี เคมีถก อาการทีเกียวข ้องระดับโมเลกุลทีชด ู นํ าเสนอ ื ตลอดรายงานเพือเชอมโยงกั บสาเหตุของโรค อาการ และการรักษา ขอบเขตของรายงานการวิจัยมี ั ความเหมาะสมและระบุชดเจน การให ้คะแนน: สูงกว่าเกณฑ์ทงหมดอย่ ั างมีความคิดสร ้างสรรค์และเป็ นต ้นแบบ = 60-70 points; เป็ นไปตามเกณฑ์ทงหมด ั = 50-60 คะแนน มีบางส่วนทีไม่เป็ นไปตามเกณฑ์ = 40-50 คะแนน สว่ นใหญ่ไม่เป็ นไปตามเกณฑ์ = 30-40 คะแนน ความคิดเห็น: ึ ษา 3. การนํ าเสนอของนักศก ี มีความกระตือรือร ้น มีความรู ้ดี และสามารถสอสารโครงการและ ื เกณฑ์: นํ าเสนออย่างมืออาชพ ั เจน ผลงานได ้อย่างชด การให ้คะแนน: สูงกว่าเกณฑ์ทงหมดอย่ ั างมีความคิดสร ้างสรรค์และเป็ นต ้นแบบ = 15 points; เป็ นไปตามเกณฑ์ทงหมด ั = 10 คะแนน มีบางส่วนทีไม่เป็ นไปตามเกณฑ์ = 5-8 คะแนน ความคิดเห็น:
5
ภาพที 3 เกณฑ์การประเมินการปฏิบต ั งิ านของเพือนภายในกลุม ่
โปรดประเมิน สมาชิกแต่ละคนในกลุม ่ ของท่านในด ้านการมีสว่ นร่วมในการทํางานทีได ้รับ มอบหมายตามสเกลต่อไปนี ผลการประเมินของแต่ละคนจะถูกเก็บเป็ นความลับ แต่ผลสรุปของ การประเมินของกลุม ่ เกียวกับการมีสว่ นร่วมของแต่ละคนจะถูกส่งให ้กับบุคคลนัน การประเมิน ของนักศึกษาแต่ละคนจะถูกนํ ามาพิจารณาในกระบวนการให ้คะแนน ดังนัน จึงควรระมัดระวังใน การเสนอความคิดเห็น และควรให ้เหตุผลสนับสนุนการประเมินของตนเอง 8 มีสว่ นร่วมอย่างเต็มที (ขยายขอบเขตการเรียนรู ้สําหรับตนเองและคนอืน) : ทํางานในส่วนที ได ้รับมอบหมายและประสบความสําเร็จอย่างดี มีความคิดริเริมทีทําให ้การทําโครงการมีคณ ุ ภาพ ั ิ อย่างมีนัยสําคัญ มีบทบาทในการเป็ นผู ้นํ าโครงการ ช่วยทําให ้ทุกคนเกิดความเข ้าใจและปฏิบต ได ้เป็ นอย่างดี 7 มีสว่ นร่วมอย่างเต็มที (ขยายขอบเขตการเรียนรู ้สําหรับตนเอง) : ทํางานในส่วนทีได ้รับ มอบหมายและประสบความสําเร็จอย่างดี มีความคิดริเริมทีทําให ้การทําโครงการมีคณ ุ ภาพอย่าง มีนัยสําคัญ 6 มีสว่ นร่วมอย่างเต็มที (เข ้าใจแนวคิด ( concept) พืนฐาน): ทํางานในส่วนทีได ้รับมอบหมาย อย่างอิสระ เชือถือได ้และทําอย่างมีความรับผิดชอบ ทําผลงานทีมีคณ ุ ค่าให ้กับโครงการใน ฐานะทีเป็ นสมาชิกคนหนึงของทีมวิจัยโดยไม่ต ้องมีการกระตุ ้นเตือนจากเพือนสมาชิก 5 มีสว่ นร่วมอย่างเต็มที (ขาดความเข ้าใจในบางเรือง และขาดการติดต่อ) : ทํางานในส่วนที ได ้รับมอบหมายอย่างมีความรับผิดชอบ ทําผลงานทีมีคณ ุ ค่าให ้กับโครงการในฐานะทีเป็ น สมาชิกคนหนึงของทีมวิจัยเมือได ้รับคําแนะนํ าจากกลุม ่ 4 มีสว่ นร่วมเป็ นครังคราว (ขาดความเข ้าใจในบางเรือง และขาดการติดต่อ) : ทํางานบางส่วน ของโครงการ ทําผลงานในขอบเขตทีจํากัดโดยได ้รับคําแนะนํ าและการดูแลจากสมาชิกทีเหลือ 3 มีสว่ นร่วมเมือถูกเรียกร ้องเท่านัน (ขาดความกระตือรือร ้น) : ทํางานบางส่วนของโครงการ ทํา ผลงานเมือถูกร ้องขอจากสมาชิกทีเหลือ 2 มีสว่ นร่วมตามภาคบังคับเท่านัน มีสว่ นร่วมในส่วนทีมองเห็นได ้ (เป็ นสาธารณะ) ของโครงการ (การนํ าเสนอปากเปล่า การแสดงโปสเตอร์ ฯลฯ) แต่ไม่ได ้มีสว่ นร่วมในการทํางานของโครงการ 1 เข ้าร่วมแต่ไม่มส ี ว่ นร่วมในการทํางาน : มักจะปรากฏตัวในช่วงของการปฏิบต ั ก ิ าร แต่ไม่มส ี ว่ น ่ ี วนร่วมในความพยายามเพือวางแผนการจัดทําโครงการ หรือส่งมอง ร่วมในโครงการ ไม่มส โครงการ 0 ไม่เข ้าร่วมเลย ความคิดเห็น: (อธิบายการให ้คะแนนแก่เพือน)
6
ผลที่ได้รับ การดําเนินการตามกระบวนการที่ได้กล่าวมาในข้างต้นทําให้ภาระการตรวจงานให้คะแนนของอาจารย์ลดน้อยลงใน ขณะที่โอกาสในการเรียนรู้ของนักศึกษาเพิ่มมากขึ้น นักศึกษาได้รับประสบการณ์ในการเขียนรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และ การเตรียมการสําหรับการแสดงโปสเตอร์ ทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งจําเป็นสําหรับนักศึกษาในการเป็นนักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ นี่เป็น ตัวอย่างของการเรียนรู้ด้วยการฝึกปฏิบัติ หรือเรียนรู้โดยการลงมือทํา นอกจากนี้ นักศึกษายังได้รับประสบการณ์การทํางานกลุ่มร่วมกับผู้อื่น และการประเมินการทํางานของเพื่อน ผลงาน ตีพิมพ์เมื่อเร็วๆ นี้ ได้กล่าวถึงคุณค่าของการเรียนรู้ที่ได้จากการทํางานร่วมกันเป็นกลุ่ม และการลดภาวะการแข่งขันอย่างเอาเป็น เอาตายระหว่างนักศึกษาลง การให้นักศึกษาทํารายงานการวิจัยและแสดงโปสเตอร์ก่อให้เกิดคุณค่าทั้งสองประการดังกล่าว ในการสอนตามแบบปกติ อํานาจขึ้นอยู่กับอาจารย์ นักศึกษาทํางานตามลําพัง นานๆ ครั้งจึงอาจจะได้ดูผลงานของผู้อื่น และแน่นอนว่า ไม่เคยประเมินผลงานของนักศึกษาคนอื่นๆ เลย คะแนนที่นักศึกษาได้รับขึ้นอยู่กับการประเมินของอาจารย์เท่านั้น ซึ่งทําให้การประเมินนั้นค่อนข้างเป็นอัตวิสัย แต่เนื่องจากโครงการเขียนรายงานการวิจัยนี้เป็นการทํางานเป็นกลุ่ม และมีการ ตรวจทานโดยเพื่อน จึงเป็นการสนับสนุนนักศึกษาให้เคารพต่อความคิดเห็นของเพื่อน นอกจากนี้ กิจกรรมแบบนี้จะให้มุมมองแก่ นักศึกษาในด้านการเปรียบเทียบความคิดเห็นของเพื่อนกับความคิดเห็นของตนเอง รวมทั้งสอนนักศึกษาให้อ่านอย่างมีวิจารณญาณ และใช้วิจารณญาณอย่างสร้างสรรค์ในระหว่างการปรับปรุงร่างรายงานการวิจัย การประเมินรายวิชานี้พบว่า สิ่งที่นักศึกษาเป็นกังวลมากที่สุดคือ การประเมินและการถูกประเมินงานโดยกลุ่มเพื่อน แต่ อย่างไรก็ดี นักศึกษาพบว่า การทํารายงานการวิจัยและโปสเตอร์เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากที่สุดของหลักสูตร เพราะมี โอกาสศึกษาเชิงลึกในหัวข้อที่ตนเองเลือกศึกษา และได้แสดงออกถึงความรู้ที่ได้ศึกษามาในรูปแบบที่แตกต่างจากการสอบ และการ แก้ชุดปัญหา รวมถึงทักษะอื่นๆ ที่นักศึกษาได้รับการพัฒนาจากการเรียนรายวิชานี้
7