TYM
MAGIC
FAMILY
issue 02
MAGIC ROOKIES
MUZIK : Bryan Adams GOERGIA AQUARIUM MEET THE LOCAL: HARVARD WANG INTERVIEW : TYM Magician COLONIAL WILLIAMSBERG
editor's talk ขอบคุณสำ�หรับหลากหลายความคิดเห็นและแรงใจใน UNDO MAGAZINE ฉบับแรก ต้องขออภัยที่โหลด ช้าไปหน่อย จุดประสงค์ที่อยากให้ดูออนไลน์บนเว็บ เพราะได้คัดคลิปสัมภาษณ์ดีๆ ของแต่ละคน ที่พวกพี่ได้ สัมภาษณ์ไว้ เป็นแรงบันดาลใจดีๆ ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ครับ แต่ทุกความเห็นจะเอาไปปรับปรุงและแก้ไขให้ดี นอก จากพี่ๆ น้องๆ จะได้อ่านเรื่องราวสนุกสนานแล้ว ยังถือเป็นแนวทางให้น้องๆ ได้ศึกษาและเรียนรู้วิธีการ ทำ�งานของ Emagazine ด้วย ฉบับนี้ได้โอกาสสัมภาษณ์กลุ่มนักมายากล TYM Magic Family กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งรักและชอบการ เล่นมายากลเป็นชีวิตจิตใจ จากความฝึกฝนและความอดทน จนวันหนึ่งน้องๆกลุ่มนี้ได้พิสูจน์ตัวเองในเวที ประกวดมากมาย ผมเลยหยิบเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจของน้องๆมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เพื่อเป็นแนวทางให้ น้องๆที่อยากฝึกและเล่นมายากลเพราะด้วยความสำ�เร็จไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย ต้องอยู่ด้วยความพยายามและ ตั้งใจ น้องๆ กลุ่มนี้จะเป็น IDOL ให้แก่น้องๆ แน่นอน ส่วนใครอยากมีส่วนร่วมกับ UNDO MAGAZINE สามารถเขียนบทความ เรื่องสั้น ภาพถ่าย งานภาพ ประกอบ หนังสั้น ส่งมาได้ที่ undomagazine@gmail.com เรื่องใครดีจะเอามาลงในเล่มต่อๆ ไปนะครับ มอบความรักให้แก่ พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน แฟน และสัตว์โลกในเดือนแห่งความรักกันนะครับ Sakchai Piyaboon Editor-In-Chief http://facebook.com/chai.sakchai
free on your style
เปิ ด พื้ น ที่ สำ � หรั บ นั ก เขี ย นหน้ า ใหม่ ที่ ต้ อ งการนำ � เสนอเรื่องราวของตัวเอง ผ่านงานเขียนบทความ เรื่องสั้น ภาพถ่าย งานศิลปะ งาน Illustrator, Animation, Motion Graphic และหนังสั้น ฯลฯ ส่งได้ไม่จำ�กัดแนว ผลงานของน้องๆ จะได้เผยแพร่ และลงบน
undo magazine
HOME AWAY FROM HOME
03 05 06 07 08 15 18 38 43 44 49 53 60 62 66 69
INTERVIEW
TYM Magic Family
70
EDITOR TALK CONTRIBUTORS CALENDAR MUZIK : Bryan Adams GOERGIA AQUARIUM MEET THE LOCAL: HARVARD WANG INTERVIEW : TYM Magician COLONIAL WILLIAMSBERG COOKING BY KIK : ดอกไม้จีนสดผัดกระเทียม
กระเทยอินเดีย
ITADAKIMASU
ถึงคราวต้องโดน “กระชับพื้นที่” D.I.Y : MEMORY OF LOVE
สัมภาษณ์งานอย่างไรถึงได้งาน ตอนที่ 1
GAME : MAJIN AND THE FORSAKEN KINGDOM FREE ON YOUR STYLE : พลังแห่ง
ความเพ้อไร้ขีดจำ�กัด เก็บเล็กผสมน้อยเรื่องน้องหมา
Williamsburg VA
Consults
Sombat Piyaboon Surapong Thammabuht
Editor in Chief Sakchai Piyaboon
Deputy Editor Apinantn S.Pruek
Interviewer
Contributors
Tomomi Hamada Suwanit Downing Kik Rawin Cheasagul Golfie Suthanun Ryan Golff Pan Phone Moobrador
Charlee Plengindie Daywalker iza iggy de guy tum
นางสาว วินดี้
Supansa Tubsakool All rights reserved. No part of this publication may be reproduced in whole or in part without permission from publisher. The views expressed in Undo Magazine are those of the respective contributors and are not necessarily shared by the publisher.
WHERE TO FIND US web www.undomag.com facebook www.facebook.com/undomagazine
twitter undomagazine advertising enquiries can be directed to UNDOMAGAZINE@GMAIL.com
Tomomi Hamada
I met her at Osaka. Nice girl has more good view in lifestyle. I finally persuaded her to write topics about her hometown. ได้พบสาวญี่ปุ่นใจดีเมื่อ ครั้งไปโอซาก้า มุมมองและแนวคิดดีๆ เลยชวนมาถ่ า ยทอดเรื่ อ งราวต่ า งๆ เกี่ยวกับญี่ปุ่น
Suwanit Downing
สาวสวยผู้ยอมเสียสละเวลาอันมีค่า ให้ เกียรติมาเขียนเรื่องราวการท่องเที่ยว และใช้ชีวิตที่ Australia ปัจจุบันเธอ อยู่ที่ Melbourne ทำ�งานอยู่บริษัท โฆษณาชื่อดัง DDB Melbourne
Kik
สาวโฆษณา ด้วยไลฟ์สไตล์ชอบ Hang Out กับกลุ่มเพื่อน ใจ รักการทำ�อาหาร หลากหลาย เมนูที่เคยผ่านสายตา จึงไม่พลาด ที่จะชวนมาถ่ายทอดสูตรอาหารดีๆ
Moobrador
Creative Group Head จากบริษัท โฆษณาชื่อดัง ได้ให้เกียรติมาเขียนเกี่ยว กับการดูแลสุนัขที่แสนรักด้วยการเขียน ในสไตล์ที่เข้าใจง่าย สามารถดูแลน้องหมา เบื้องต้นได้ด้วยตัวท่านเอง
Golfie Suthanun
สาวสวยที่ อ าศั ย และทำ � ธุ ร กิ จ ส่วนตัวที่อเมริกา จะมาเล่าเรื่อง ราวของการอยู่ แ ละการท่ อ ง เที่ยวที่ Verginia Beach VA อีกทั้งยังมีสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ หา ดูได้จากที่นี่
contributors at Phone
Ryan Golff
สาวกปี ศ าจแดงผู้ ห ลงเสน่ ห์ ดนตรี britpop และคิดว่า ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในยุค 90’s ตลอดเวลา
iza
บทกลอนเหมือนกาลเวลาที่ผ่าน ไป จะจดจำ�ได้ก็ต่อเมื่อเราได้อ่าน
การวาดการ์ตูนน่าจะเหมาะกับ สาวน้อยช่างฝันคนนี้ ทุกภาพที่ วาดออกมาแสดงถึงเรื่องราวได้ มากกว่าคำ�อธิบาย
Rawin Cheasagul
ภู หนุ่มน้อยที่ไปศึกษาปริญญาโทต่อที่ อเมริกา จะมาเล่าเรื่องราวตั้งแต่การใช้ ชีวิตของนักศึกษา และการท่องเที่ยวใน แง่มุมต่างๆ ปัจจุบันอยู่ที่ Columbia, Missouri
Charlee
หนุ่ ม นั ก วาดภาพประกอบที่ สื่ อ ถึงความเป็นตัวตน ความอิสระ ในความคิด จากคณะศิลปกรรม มหาวิยาลัยกรุงเทพ
undo magazine DayWalker tum
ผู้หลงใหลเพลงอินดี้จากต่างประเทศ และจะหลงใหลมันตลอดไป ตราบที่ โลกนี้ยังมีดนตรีดีๆ ให้เสพ
ชายหนุ่ ม ผู้ ใ ห้ ค วามสำ � คั ญ กั บ ชีวิต เปิดกว้างกับศิลปะทุกรูปแบบ รักเด็กและสุนัขตัวเล็กๆ
iggy de guy นางสาว วินดี้
สาวน้อยบ้า Fashion รัก การแต่งตัว หลงใหลการ Mix & Match เป็นชีวิต จิตใจ
เป็นนักออกแบบสิ่งพิมพ์ที่เคยทำ�งาน เกี่ ย วกั บ วิ ท ยาศาสตร์ สิ่ ง แวดล้ อ ม เลยจะลองหั น มานำ � เสนอข้ อ มู ล ทาง วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมให้อา่ นได้ง่าย ขึ้นและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
THANK YOU
calendar Blithe Spirit ละครเวทีภาษาอังกฤษ วันที่ 15, 17, 18, 19 ก.พ. 2554 ณ หอประชุมใหญ่ มศว.ประสานมิตร
นิทรรศการ “จังหวะก้าว...อาเซียน – 10 + 1 ยุทธศาสตร์ ศิลปะวิธี”
เทศกาลปล่อยแสง 100 : ร้อยต้นคิด 100 ผลผลิตสร้างสรรค์
วันที่ 21 ม.ค. - 13 มี.ค. 54 @ ห้องนิทรรศการชั้น 7 หอศิลป วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร www.bacc.or.th
วันที่ 2 ก.พ. ถึง 13 มี.ค. 54 @ ห้องนิทรรศการ TCDC www.tcdc.or.th
นิทรรศการ 67 ปี กมล ทัศนาญชลี ศิลปินสองซีกโลก
วันที่ 5 ก.พ. - 29 มี.ค. 2554 ณ หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
นิทรรศการ
วันแห่งความรัก : ภาพยนตร์ / ปิกนิกใต้แสงจันทร์ วันที่ 14 ก.พ.. 54 @ ลานอัฒจันทร์กลางแจ้ง มิวเซียมสยาม www.useumsiam.com
นิทรรศการภาพถ่าย เพราะชีวิตไม่ได้เป็นเส้นตรง
วันที่ 1 ม.ค. - 31 มี.ค. 2554 @ Graph Cafe’ สังขละบุรี กาญจนบุรี
Photoshop Workshop Mood and Tone # 17
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554
Photoshop Workshop
Advance Photoshop # 3 วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554
muzik
Bryan Adams เริ่มต้นถ่ายภาพด้วยความ ชอบ ความรัก และอยากลองทำ�สิ่งใหม่ๆ ภาพ ถ่ายสวยๆของเขาได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสาร มากมาย เช่น Vogue, Harper’s Bazaar, Zoo Magazine ทั้งใน อังกฤษ เยอรมัน และ ยุโรป รวมถึงผลงานภาพถ่ายการกุศล เพื่อช่วยเหลือศูนย์วิจัยโรคมะเร็งใน USA และ CANADA
Story by Pleng Indie
ระหว่างที่เบื่อๆและกำ�ลังหาสิ่งใหม่ๆเติม เต็มความรู้เข้ามาในสมอง เล่น internet ไปเจอบางเรื่องบางมุมที่น่าสนใจของนัก ร้องชาวแคนนาดา Bryan Adams นักร้องซึ่งมีผลงานมากว่า 30 ปี แต่วัน นี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องเพลง อยากพูดอีก แง่มุมหนึ่งในฐานะการเป็นช่างภาพของเขา
Hear the World Bryan Adams
“ฝัน และ หาสิ่งที่ตัวเองชอบ หาได้ง่ายเพียงแค่คิดและอยากให้มันเป็นไป แต่การคิด ลงมือทำ�สิ่งที่ตัวเองชอบและสนุกกับมัน สำ�คัญกว่า”
Photography & Story by
l2aven
สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งในเดือนแห่งความรัก สำ�หรับ คนที่มีคู่ หนาวนี้คงไม่หนาวสักเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไร ก็ยังมีไอรักอุ่นๆ ช่วยหล่อเลี้ยง ส่วนคนที่ไม่มีคู่ ก็คง ต้องทนหนาวแถมด้วยความเหงากันต่อไป อย่างที่เขาว่า “ลำ�ปางที่ว่าหนาว แต่ ลำ�พัง หนาวกว่าจริงๆ” T^T
Goergia
Aquarium
ฉบับที่แล้ว ผมเดินทางถึงเมือง Atlanta โดย สวัสดิภาพ พร้อมกับเรื่องมึนๆ ที่ทำ�ให้เหนื่อย กันตั้งแต่ย่างเท้าเหยียบอเมริกากันเลยทีเดียว อากาศนอกสนามบินร้อนแห้งสุดจะแสบผิว จน สงสัยว่า นี่มัน Atlanta หรือว่า Sahara กัน แน่เนี่ย > <” ถามญาติว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ เขา ตอบกลับมาว่า “ประมาณ 90 กว่าๆ นะ วัน นี้ค่อนข้างร้อนเลย” งงเลยครับ ไอ้ 90 ฝ่าๆ เนี่ย มันเท่าไหร่ละนั่น ไม่ชินกับหน่วยวัดของ ที่อเมริกาเลยครับ ทุกอย่างใช้คนละระบบกับ เมืองไทยหมด สรุปว่า 90 องศาฟาเรนไฮต์นี่ก็ ประมาณ 32 องศาเซลเซียส คู่คี่สูสีกับอากาศ เมืองไทยเลยทีเดียว พอขึ้นรถก็อุ่นใจครับ หลังจากการเดิน ทางกว่า 20 ชั่วโมง ออกจากเมือง ไทยมา แล้วก็มาถึงอเมริกา วันเดียวกัน ซะอย่างงั้น > <” (ที่ Atlanta เวลา จะช้ากว่าเมืองไทยสิบสามชั่วโมง) แอร์ เย็นๆ มันช่างสบายจริงๆ แต่ก็เย็นใจอยู่ ได้แค่เสี้ยววินาที พอรถออกก็ต้องตกใจ สุดขีด ตัวเกร็ง เท้าเกร็งกันเลยทีเดียว (เคยเป็นไหมครับ เวลานั่งรถคนอื่นแล้ว เราคิดว่ามันน่าจะเบรกได้แล้ว แต่คน ที่ขับรถอยู่ไม่เบรก ขาขวาเราจะเกร็ง แล้วเหยียบลงไปโดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ เราไม่ได้ขับรถอยู่ - -“) เพราะพอรถ เลี้ยวออกไป มีรถคันหนึ่งขับตรงมาใน ถนนฝั่งซ้ายมือของเรา ตกใจมาก จน ญาติสังเกตได้ เค้าเลยหันมาบอกว่า
“
รถที่นี่พวงมาลัยอยู่ทางซ้ายนะ เพราะ ฉะนั้ น ทุ ก อย่ า งจะกลั บ ข้ า งกั บ เมื อ งไทย เดี๋ยวก็ชิน… เดินทางมาเหนื่อย นอนพัก ไปก่อนก็ได้นะ
”
โล่งอกครับ ครั้งแรกในชีวิตที่เดินทางออกนอกประเทศ (ถ้าไม่นับประเทศเพื่อน บ้าน) ตื่นเต้นมากจริงๆ ครับ ตื่นเต้นไปกับทุกๆ อย่าง ใช้เวลาจากสนามบิน ประมาณสามสิบนาทีก็ถึงบ้าน หลังจากนั้นก็พักผ่อน ปรับตัว ปรับเวลา แต่ก่อน เปิดเทอมไม่กี่วัน โรงเรียนจัดทริป พาไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวในเมือง Atlanta หลักๆ ก็มี Centennial Olympic Park, CNN Headquarter (สำ�นักงาน ใหญ่สำ�นักช่าวซีเอ็นเอ็น), แล้วก็ Georgia Aquarium (พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ�) เริ่มต้นด้วย การแวะทานอาหาร ที่ฟู้ดคอร์ทของ CNN Headquarter (มีอยู่ใน list เที่ยว แต่จริง ๆ แค่แวะกินข้าวซะงั้น > <”) ครั้งแรกที่สั่งอาหารก็ที่นี่เอง… เอาละสิภาษาอังกฤษก็ยังไม่ทันจะได้เรียน เดินๆ ดูๆ ตัดสินใจกินเบอร์เกอร์ละกัน ง่ายดี ไม่น่ายาก…
เดินไปบอกหมายเลขเอาอย่างเดียว ว่าแล้วก็เดินเข้าร้านไป พนักงานเป็นคนผิวสี (ที่ Atlanta นี่คนผิวสีหรือจะเรียกให้ เท่ห์ก็แอฟริกัน-อเมริกันเยอะมากครับ หลายๆ คนบอกว่าน่า กลัว เพราะหน้าตาท่าทาง แต่จริงๆ พวกเขาใจดีมากครับ อย่า ตัดสินคนที่สีผิวกันเลยนะครับ) สำ�หรับการพูดการจา พวกเขา จะพูดค่อนข้างเร็ว สำ�เนียงจะมีเอกลักษณ์ เขาถามว่า “Just a sandwich or meal?” ตกใจครับ ได้ยินแต่ Sandwich คำ� เดียว เลยงง นึกในใจว่า เมื่อกี้สั่งเบอร์เกอร์นี่หว่า ไหงเป็นแซนวิช ไปแล้ว… เลยตอบกลับไปว่า No no, I want hamburger.
"Just a
s an dwich o" r meal?
สำ�เนียงไทยแท้เลย เขางงหนักเลย แล้วถามอะไรกลับมาสักอย่าง ไอ้เราตอนนั้นก็ยิ่งตกใจมากเข้าไปอีก เลยบอก Yes Yes อย่าง เดียว ถามอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ เขาก็กด Order แล้วหันมาถามอีก “For here or to go?” เอาอีกแล้ว งงเข้าไปอีก จับความไม่ ได้เลยตอนนั้น ทำ�หน้าตางง ได้แต่ เอ่อ…เอิ่ม…อ่า… สุดท้ายเขา คงปลง เลยคิดเงิน แล้วก็ยื่นถาดมาให้ มีเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟ รายส์ แล้วก็แก้วเปล่ามา ให้ไปกดน้ำ�เอง มารู้ทีหลังว่า คำ�ถาม แรกเขาถามว่า จะเอาแค่เบอร์เกอร์อย่างเดียวหรือว่าเอาเป็นชุด ส่วนอันหลัง เขาถามว่า จะทานที่ร้าน หรือว่าจะเอากลับบ้าน… เบ็ดเสร็จ รวมเวลาสั่งเบอร์เกอร์ไปสิบนาที T T แถมกินไม่หมด อีก…= = อาหารที่นี่ ปริมาณเยอะมากจริงๆ ครับ ราคาจึงแพง แต่สองสามเดือนแรก กินไม่เคยหมดเลย ต้องใส่กล่องกลับบ้าน
พอทานข้าวเสร็จ เดินเล่นใน CNN Headquarter ได้แป๊ปเดียว ก็ถึงเวลารวมตัวเพื่อเดินไป Aquarium ระหว่างทางจะผ่าน Centennial Olympic Park ตื่นตาตื่นใจมากครับ โดยเฉพาะที่น้ำ�พุ มันจะพุ่งขึ้น มาตามจังหวะเสียงเพลง หยุดยืนดูอยู่นานจนจบไป สองเพลง หันมาอีกที คนหายหมดเลย ทั้งเพื่อนๆ ทั้งอาจารย์… งานเข้าครับ ภาษาปะกิต ก็ไม่แข็งแรง ซะด้วย ทำ�ไงดี… หมุนไปหมุนมาอยู่สิบห้านาที โล่ง อก…โชคดีครับที่เพื่อนอีกกลุ่ม เพิ่งเดินตามมาเลย เดินตามพวกเขาไปถึง Aquarium จนได้
Georgia Aquarium เป็น Aquarium ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก (เค้าว่ากันอย่างนั้น!) ใหญ่จริง ๆ ครับ ต้องใช้เวลากันหลายชั่วโมงเลยกว่าจะเดินหมด ข้างในมีแบ่งเป็นโซนๆ มีทั้งเขตทะเลลึก ชายฝั่ง ปะการัง รวมไปถึงปลาน้ำ�จืด และสัตว์ต่างๆ ทั้ง นาก กบ จระเข้ หรือแม้แต่เต่า แต่ที่พิเศษก็คือ วาฬเบลูก้าครับ (Beluga Whale) ตัวใหญ่ มาก ได้ยินมาว่าเดิมมีอยู่สามตัว แต่ตายไปตัวนึง (T^T) หลังจากดูทั่วแล้ว ก็ไปซื้อของที่ระทึก เอ๊ยยย ระลึก แล้วก็เดินทางกลับบ้านครับ
หลังจากทริปได้ไม่กี่วันก็ถึงเวลาเปิดเรียนครับ วันแรกตลก มาก ไม่รู้ว่าประหม่าหรือยังไงทำ�ให้ หลุดภาษาไทยออกมา ตลอด… - -“คุยกับเพื่อนคนเกาหลี (ที่โรงเรียน เกาหลีเยอะ มากจริง ๆ รองลงมาน่าจะเป็นคนจากตะวันออกกลาง) จะมี หลุดคำ�ว่า “ไม่” “คือ” “แบบ” เป็นประจำ� แต่ยังดีที่เป็น นักเรียนไทย คนเดียวในห้องเรียน ได้พูดภาษาอังกฤษตลอด เวลา แถมหลุดภาษาไทยไปก็ไม่มีใครรู้เรื่อง
เพื่อนต่างชาติ ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ของแต่ละประเทศ แถมยังได้เรียนรู้ว่า คนแต่ละประเทศ มีนิสัยต่างๆ กัน โดย เฉพาะพวกที่มาจากตะวันออกกลาง ไม่ ได้เหมารวมทุกคนนะครับ แต่คนที่ โรงเรียน 80% ขี้โม้มากๆ หลายๆ ครั้ง จับได้อย่างชัดเจนมาก มีอยู่ครั้งนึง คุย เรื่องที่เที่ยวในอเมริกา… ผมบอกว่า อยากไป Grand Canyon มาก เขา บอกว่าไปมาแล้ว ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ เที่ยวด้วย Grand Canyon มันอยู่ที่ New Mexico นะ ตอนนั้นไม่ได้เอะใจ ครับ ก็ตื่นเต้นไปด้วย แต่พอกลับบ้าน ลอง search ดู เอ่อ…
"Call me boss" พี่แกบอกผิดไปห้าร้อยกว่าไมล์ (800 กว่ากิโลเมตร) คือจะบอกว่าไปภูเขาไฟฟูจิ ที่อยู่ที่เกาหลีว่างั้น - “คนละเรื่องเลยครับพี่น้อง Grand Canyon มันอยู่ที่ Arizona ต่างหาก ! แถมพวกนี้จะชอบทำ�ตัวป๋า จู่ ๆ มา บอกว่า “Call me boss” ชื่อ มูฮัมหมัดแท้ๆ แหม่… จะให้เรียกบอส จากเพื่อนกลายเป็นเบ๊ซะอย่างงั้น แต่ก็ สนุกดีครับ เรียนสนุก เจอเพื่อนใหม่ๆ เยอะมาก ยัง มีเรื่องอีกเยอะมากมายเลยครับ ทั้งที่เรียนภาษา และ เวลาไปซื้อของ หรือว่าทานข้าว ยังไง เอาไว้ต่อกันอีก ทีเล่มหน้านะครับ
MEETING THE LOCAL
HARVARD WANG A young talent from a small town in Malaysia. After 9 years in Melbourne, he is now an Art Director in a boutique communications agency. He is sharing some of his experience living and working in a foreign country. And how he got there. countries. Compared to Sydney, London, or Tokyo, I don’t think Melbourne is really ‘cosmopolitan’. Melbourne can be quite exclusive sometimes. It creates its own bubble of trend and you either get left behind or get stuck in it. I guess it’s a good thing if you can find a place you belong in the city.
Why did you choose Melbourne?
hw: When I was applying for university I was accepted in both University of Melbourne and Sydney. This is going to sound stupid, I chose Melbourne because Melbourne looked better in the university pamphlets. I guess brochure design is pretty important after all. I didn’t have the luxury of ‘test driving’ Melbourne. I just boarded the plane and hoped for the best..
How did you find studying and living in Melbourne like? Was it like what you expected? Some suggested that Melbourne is a cosmopolitan city, do you agree?
hw: When I was in university, I stayed in a residential college of the University of Melbourne. So in a way my student life was pretty sheltered. I didn’t have to make a lot of effort to make friends and meet different people from different
How do you maintain yourself not to go too much ‘into fashion’ and concentrate on your study and work?
hw: I assume by ‘going too much into fashion, you mean partying’. To be honest, I’m not a very sociable person. I was simply fortunate enough to study/work on something I enjoy. So when people were out partying, I was being a nerd at home, reading books or watching movies. Not much has changed, really. Harvard, it didn’t
Harvard, it didn’t take you long after finishing University to get a job at DDB Melbourne as an Junior Art Director, can you share the experience with us?
hw: Luck played a major part. I was one of the organizers for my final year exhibition, and DDB/Rapp Collins was one of our sponsors and that’s how I met Paula Keamy, my first Creative Director. I wrote her an email before heading off to Sydney for a month. I showed my book to some agencies and actually had an internship lined up. I returned to Melbourne to pack and Paula returned my email expressing interest to meet up. She later offered me a job. And that’s my story of almost ‘not’ staying in Melbourne.
You spent two years at DDB, and now you are an Art Director at CUBED Communications – can you tell us about your achievements as an overseas student? What’s your secret?
hw: I guess the secret is to make yourself stand out. And the easiest way (but not the only way is to enter student awards competitions. Again, I was fortunate enough to receive a commendation in the D&AD Global Student Awards and I’m pretty sure that’s the only reason Paula agreed to meet up in the first place.
“There’s always something for everyone, but you’re still able to have your own space... What do you think of working and living in Melbourne? Do you miss home? hw: Melbourne is a ‘living’ city. It’s not really exciting for a tourist, but as a resident in Melbourne is pretty awesome. There’s always something for everyone, but you’re still able to have your own space. I’m still young in the industry so I don’t think I can speak on behalf of all working people in Melbourne. I think it’s the same everywhere, people like to drink, people like to have a good time. I don’t miss home that much, to be honest.
What do you do day-to-day?
hw: A typical day would involve me cycling to work in the morning. My current workplace is a small agency in Southbank, so we get some of the best coffees in town. If I’m lucky I’d get home before 6pm and cook dinner. I discovered cooking since 2 years ago and it’s something I enjoy doing nowadays. My girlfriend runs a language school, so sometimes I’d help her out.
You do photography as an hobby, and I think you are a very talented photographer. Can you tell us more about how you got into that and what is inspiring you at the moment?
hw: I don’t really remember how I got into photography. But I had a lot of practice in college because I was the house photographer. I took a photography subject in uni so that helped in some way. I think travelling encouraged my photography since when I travel I tend to take photographs. I travelled a lot in my final year of university. I was watching this TV series ‘Generation Kill’ recently, so war photography is something that interests me. Stanley Greene is pretty cool.
Which artist do you admire?
hw: Too many. Design: Pentagram, James Victore, Erik Spiekermann, Naoto Fukasawa, Ji Lee, Groovisions Photographers: Annie Leibovitz, Philip Jones Griffiths, Dan’O Day, Jonas Peterson Art: Yoshitomo Nara, Shepard Fairey, Kozyndan, Mark Ryden
What is your dream job? Is it in advertising? hw: It used to be in advertising. Somewhere cool like W+K or one of those big agencies in Europe. But now not so much. If I can run my own small design/photography studio, doing stuff I’m interested in, being able to manage my own time, that’s my dream job.
In your opinion, what is good design?
hw: Good design is communication that gets the job done.
What do you do in your free time, and what do you enjoy doing while you are living in Melbourne?
hw: It changes from time to time. I use to be obsessed with taking photos. And then there’s a phase where I’d do my own personal design projects. Last month I was looking for documentaries on modern art. Sometimes I download really old games on my PS3, but most of the time I enjoy wasting my time, because I know there’s time to waste. The food in Melbourne is the main reason I’m still here.
Tell us one thing most people don’t know about you is? hw: I guess most people don’t know that I’m a really lucky person.
Where can we see your work?
hw: I’m always ashamed of my advertising work because there’s no artistic value to them. But I do have a site for my photographs, Please check out harvardwang.com
Story by Suwanit Downing
WORK IT OUT
ครั้งนี้ UNDO Magazine มีโอกาสได้พูดคุยกับกลุ่มนัก มายากลวัยรุ่น ที่รักและชอบ การเล่นกลเป็นชีวิตจิตใจ เรา มาเริ่มทำ� ความรู้จักกับพวก เค้ากันเลยดีกว่า
TYM Magician Interview
ช่วยแนะนำ�ตัวให้เรารู้จักกันหน่อย เจแปน: ชื่อเจแปน ครับ ชื่อจริงชื่อ ธนาวุฒิ ป้องกัน ครับ เรียน คณะวิศวกรรมศาตร์คอมพิวเตอร์ ปี1 ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ /// แบงค์: ชื่อแบงค์ ครับ ชื่อจริงชื่อ วรทัต ใจพิทักษ์เจริญ เรียนคณะวิศวกรรมศาตร์์ ปี1 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ /// ชาลี: ชื่อชาลี ครับ ชื่อจริงชื่อ สร้างสรรค์ สมกุศล เรียนคณะศิลปกรรม ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพครับ
ชื่อที่ใช้ในการแสดงใช่ชื่อว่าอะไร TYM: ถ้าเป็นวงเราใช้ชื่อว่า TYM ย่อมาจาก Thailand Young Magician แต่ถ้าแยกแต่ละ คนเราก็จะมีชื่อเรียกแยกกันอีกครับ /// เจแปน: ของผมใช้ชื่อ Tickano มาจากชื่อเล่นของ อาจารย์ ประมาณว่ามาจากเพลงละตินที่มันร้อง ว่า Tickanoๆ อะครับ /// แบงค์: ของผม ใช้ชื่อ Dynamic ครับอาจารย์ที่สอนมายากลเป็น คนตั้งให้ครับ /// ชาลี: แองเจโล มาจากไมเคิล แองเจโลเป็นนักศิลปะครับ
มารวมตัวกันได้อย่างไร แบงค์: พวกผมสามคนเรียนมายกลที่เดียวกันครับ แล้วช่วงปิดเทอมตอนนั้นเรามาซ้อมมายากลด้วย กันครับ แล้วเวลามาซ้อมเราก็จะนอนบ้านอาจารย์ กั น ครั บ ก็ เ ลยทำ � ให้ พ วกเราสนิ ท กั น มากขึ้ น ครั บ /// เจแปน: มันก็เลยทำ�ให้พวกเรารวมตัวกัน เล่น คนเดียวมันเหงาครับเล่นหลายๆ คนสนุกดีแต่ที่จริง เราไม่ได้มีกันแค่สามคนนะครับพวกเรามีกันเยอะ กว่านี้ครับ
แล้วแต่ละคนมีใครเป็นแรงบันดาลใจในการเล่นมายากลบ้างใหม แบงค์: David Copperfield ครับดูเค้าเล่นตอนเด็กเค้าเล่นกลทะลุกำ�แพงเมืองจีน เลยคิดว่าสักวันต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง /// เจแปน: คงจะเป็นเหมือนแบงค์ /// ชาลี: ของผมก็เหมือนกันครับ
มีทักษะหรือคำ�แนะนำ�อะไรที่จะบอกกับคนที่กำ�ลังจะเริ่มหัดเล่นมายากลบ้าง แบงค์: จริงๆมันไม่ได้ยากครับ เราต้องสร้างความสนใจ ผมว่าที่จริงดนตรียังยากซะกว่าอีก นะครับขนาดคอร์ด F ผมยังจับไม่ได้เลย คือมายากลมันไม่ได้ยากครับแต่ต้องอาศัยการ ฝึกฝนครับ /// เจแปน: ใช่ครับมันอยู่ที่การฝึกฝนครับ /// ชาลี: ผมก็ว่าการจะเริ่ม หัดเล่นมันก็ต้องหมั่นฝึกฝนครับ
ถ้าเราอยากจะลองเริ่มเล่นมายากลเราจะสามารถฝึกฝนได้จากที่ไหนได้ บ้างถ้าหากเรามีความสนใจ ชาลี: หาดูในเว็ปไซต์ก็ได้ครับตามพวก Youtube ก้อได้ครับ /// แบงค์: หรือว่า จะหาดูในเว็ปไซต์ต่างประเทศที่มีทั้งฟรีดาวน์โหลดและก็แบบเสียเงินแล้วก็ดูว่าเราชอบจริง หรือเปล่าดูให้แน่ใจก่อนที่เราจะลงทุนลงแรงไปกับมันครับ /// เจแปน: ถ้าเราชอบจริง ก็ลองหาดูก่อนครับ
การเล่นมายากลได้ให้อะไรกับเราบ้าง เจแปน: ทำ�ให้เราได้รู้จักการแบ่งเวลาอย่างเวลา เรียนกับเวลาซ้อมมายากลเราก็ต้องแบ่งเวลาครับ /// แบงค์: สำ�หรับผมมายากลมันเป็น ทักษะหรือวิชาชีพติดตัวเลยนะครับสามารถทำ�เป็นอาชีพเสริมของเราได้เลยนะครับ /// ชาลี: การเล่นมายากลทำ�ให้ได้ในเรื่องของสมาธิครับคือมายากลทำ�ให้ผมมีสมาธิมากขึ้นเวลาทำ�งาน อย่างอื่นมันก็ทำ�ให้มีสมาธิมากขึ้นครับ # แต่ละคนใช่เวลาฝึกซ้อมนานแค่ไหน ชาลี: วันละ 4 ชม. ครับนี้คือถ้าเป็นช่วงเวลาที่จะมีการแข่งขันนะครับแต่ถ้าเป็นปกติก็ิจะฝึกประมาณ วันละ 1 ชม.ครับ /// แบงค์: ฟังดูเหมือนการซ้อมของเราจะเยอะนะครับแต่ที่จริงแล้วมัน น้อยมากครับเพราะเราสามารถฝึกได้ตลอดเวลาเลยครับอย่างเช่นเรานั่งอยู่เฉยเราก็สามารถ นั่งซ้อมไปได้ในตัวครับ รวมๆ แล้วก็หลาย ชม. /// เจแปน: แล้วนอกจากนั้นเวลาเราเดินเรา ก็ยังฝึกได้เลยนะครับอย่างละนิดอย่างละหน่อยครับ
THAILAND YOUNG Magician ขอขอบคุณสถานที่ Starbuck ทองหล่อ
ในการ ฝึ ก เล่ น มายากลถ้ า เป็ น การเล่นมายากลสักกลหนึ่งใช่เวลานานใหม เจแปน: มันก็ขึ้นอยู่กับควายากง่ายครับแล้วก็การฝึกฝนของ เราด้วย /// แบงค์: คือมันมีหลาย Level บางอันง่ายบางอัน ยากครับมันก็เหมือนเพลงแหละครับบางเพลงเล่น 4 คอร์ดก็เล่นได้แล้้ว 1 เพลงก็ไม่ต่างกับการเล่นกล บางกลฝึกนิดเดียวก็ได้บางกลก็ต้องใช้เวลาทักษะ และการฝึกฝนครับมีตั้งแต่รู้เคล็ดลับแล้วก็สามารถเล่นได้เลยอันนี้เค้าเรียกว่ากล กึ่งอุปกรณ์ครับและก็มีกลแบบที่ต้องใช้เวลาฝึกกันเป็นปีเลยครับ
เล่นกลอะไรก จับไม่ได้
เรามีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไรในการเล่นมายากลเวลาที่เกิดการพลาด ชาลี: ก็เวลาทีเ่ ราเล่นพลาดก็ควรทีจ่ ะปล่อยให้มนั ผ่านไปครับอย่าไปคิดถึงตรงนัน้ เพราะ ว่ามันจะทำ�ให้กลที่จะเล่นต่อไปเสียไปด้วยครับ /// แบงค์: สำ�หรับผมถ้าสมมุติว่า เล่นมายากลที่เป็นกลระยะใกล้ Close Up แล้วพลาดเราก็อาจจะแกล้งว่าเป็นมุขไป ทำ�ให้คนดูขำ�ๆแล้วก็เล่นกลชุดต่อไปเลยครับ /// เจแปน: ทำ�ให้ดูเป็นมุขเบ่ียงเบน กลบ เกลื่อนไปครับให้คนดูคิดว่าเราตั้งใจทำ�ให้มันเป็นแบบนั้นครับ
กันดีให้พวกพี่ๆ
ช่วยพูดเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆที่รู้สึกท้อในการที่จะเล่นมายากล เจแปน: ก็อยากจะให้น้องๆ รู้สึกสนุกกับมายากลเพราะการเล่นมายากลไม่ได้ยากเกินความ สามารถของเรา /// แบงค์: ก็อยากจะบอกว่าอย่าท้อครับให้เรานึกถึงผลลัพธ์ที่มันจะตาม มาครับว่าถ้าเรา ทำ�สำ�เร็จแล้วผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร /// ชาลี: บางคนที่ท้อเวลาที่ทำ�ไม่ได้ ให้ลองหยุดแล้วลองกลับมาเล่นใหม่่แบบใช้สมาธิดูเรามันจะทำ�ได้เองครับ
Do
สบายๆ
ไพ่บิน
IT
เก๊กหล่อตอนจบ
เล่นกับกล้องก่อนถ่าย กว่าจะได้ท่านี้
อยากจะฝากบอกอะไรกับคนที่มองว่ามายากลคือการหลอกลวง เจแปน: นี้คือ ปัญหาเลยครับคนส่วนหนึ่งชอบมองว่ามายากลเป็นการหลอกลวงครับก็อยากจะฝากบอก ว่าการเล่นมายากลก็เป็นการแสดงซึ่งมายากลก็คือศิลปะแขนงหนึ่งครับ /// แบงค์: ส่วน ผมอยากให้มองว่ามายากลไม่ใช่การหลอกลวงครับแต่มันเป็นการสร้างความบันเทิงมากกว่า แต่ผมมักจะเจอคำ�ถามว่าดูมายากลแล้วได้อะไร ผมก็คิดในใจนะครับว่าได้บ้านพร้อมที่ดินมัั้ง ครับ (หัวเราะ) เราดูมายากลเราก็ต้องได้ความสุขความสนุกสิครับผมว่านะคนไทยไม่รู้เป็นอะไร เวลาทำ�อะไรหรือจะดูอะไรจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนและผมก็ว่านิสัยคนไทยชอบจับผิดครับต้องการ เอาชนะครับ ผมว่าจริงๆควรดูมายากลให้เป็นศิลปะมากกว่าครับเพราะการเล่นมายากลมันก็ คือการทำ�สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้บนพื้นฐานของมายากลครับ /// ชาลี: คนชอบมาพูด ว่าการเล่นมายากลเป็นการหลอกลวง มายากลก็คือการแสดงโชว์ถ้าเป็นต่างชาติเวลาเราแสดง มายากลเค้าจะให้เกียรติเราครับไม่มาคอยจ้องที่จะจับผิดเลยครับ
Grand Canyon Photography by l2aven
in Winter
Colonial
Williamsburg
Be Present in the Past
Williamsburg is the heart of Colonial Virginia, a city of about 12,000 people that was the capital of the British colony of Virginia from 1699 to 1780. At the time Virginia was Englandâ&#x20AC;&#x2122;s oldest and richest colony, particularly thanks to the tobacco plantations that had sprung up. Williamsburg itself is a pretty town set among in rolling verdant terrain and its downtown core features the Colonial Williamsburg Historic Area which recreates 18th century Williamsburg.
Williamsburg is the heart of Colonial Virginia, a city of about 12,000 people that was the capital of the British colony of Virginia from 1699 to 1780. At the time Virginia was Englandâ&#x20AC;&#x2122;s oldest and richest colony, particularly thanks to the tobacco plantations that had sprung up. Williamsburg itself is a pretty town set among in rolling verdant terrain and its downtown core features the Colonial Williamsburg Historic Area which recreates 18th century Williamsburg. The idea for this area originated with Reverend Dr. Goodwin of Williamsburgs Bruton Parish Church who was concerned about the survival of Colonial-era buildings and approached billionaire John Dr. Rockefeller Jr. in 1924 to initiate the recreation and restoration of Colonial Williamsburg. Many of the colonial structures that had been torn down earlier were recreated, including the Governors Palace and the Capitol Building. Other important historic buildings include the Bruton Parish Church and the Raleigh Tavern.
Photography & Story by Golfie
Historic Area
The Historic Area of Colonial Williamsburg stretches over 301 acres, and includes 88 original 18th-century structures. Hundreds of houses, shops and public outbuildings are reconstructed on their original foundations. Some buildings are open to the public, while others are private residences and administrative offices. A flag at a building’s entrance indicates that the site is open.
Colonial
Williamsburg R. Charlton’s Coffeehouse
In November 2009, R. Charlton’s Coffeehouse became the newest reconstructed building on Duke of Gloucester Street in 50 years. An authentic 18th-century coffeehouse, this exhibition building is now open to ticketed guests. R. Charlton’s Coffeehouse is located just across from the Capitol.
Homes and public buildings
Nose through the homes of the elite gentry class and everyday middling sort. Period furnishings and knowledgeable costumed interpreters let history surround you in three dimensions. See where Virginia’s first signer of the Declaration of Independence, George Wythe, slept. Experience the connection between life and land at Great Hopes Plantation.
Political sites
Mere brick and mortar contained the combustion of ideas that were catalyst to the American Revolution. The opulent Governor’s Palace was the embodiment of British order in the colonies. The Capitol was witness to the vote for America’s move to independence. The Raleigh Tavern’s neutral setting encouraged free debate. The Magazine held the colony’s guns and ammunition, standing as a literal symbol of self-reliance.
Great Hopes Plantation
Experience 18th-century rural farming on a Virginia plantation. See African American slave life interpreted through interactive programs and demonstrations.
Gardens
Plants and blooms authentic to Virginia in the 18th century unfurl with the seasons in Historic Area gardens. Take a walking tour of gardens both decorative and functional.
Dining
In the 18th century, Williamsburg’s taverns provided comfortable lodgings for travelers as well as serving as places to gather for meals, conversation, and entertainment. Proprietors prided themselves on serving filling meals using the freshest ingredients. Today, Colonial Williamsburg’s historic dining taverns carry on these traditions by providing a relaxed and comfortable setting for diners to experience some of the flavor of the 18th century—through atmosphere, entertainments, and food.
Nation Builders
Don’t just walk the same streets as Thomas Jefferson, George Washington, and Patrick Henry— walk alongside them. Costumed interpreters undertake years of study to render the founding fathers in first person every day. See them in Revolutionary City’s streettheater scenes, or ask your questions during “Conversation With a Founding Father” programs. Alongside these giants of American history, meet people whose faces you won’t find on coins or bills. The everyday people you’ll encounter in the Historic Area made contributions as momentous as the founding fathers’. Without money, title, property or power, many remarkable individuals influenced the course of America’s experiment in self-governance. Meet these preachers, servants, farmers, and craftsmen and hear their stories.
Historic Trades Shops
Practicing tradesmen make Colonial Williamsburg a living town, ringing with clanging hammers and tinged with the smoke of industry. Visit the blacksmith, see what the saddler is working on, smell what’s cooking in the kitchens, and more. Twenty trades are practiced with 18th-century methods and tools.
Rare Breeds
Hoofs and horns have as large a role in making the Historic Area authentic as human hands. The rare breeds program populates Williamsburg’s pastures and pens with animals that would have been here 200 years ago: the sheep, cows, horses, oxen, chickens and fowls that scratched the dirt and loped the lanes. See them throughout the town.
วันนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศ พามาเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์ของ รัฐเวอร์จิเนียกันดูบ้าง Colonial Williamsburg เป็นเมืองเก่าที่ เต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ เป็นแหล่งท่องเที่ยวจุดสำ�คัญ ของชาวอเมริกัน ที่สนใจประวัติความเป็นมาของประเทศอเมริกา ในยุค ค.ศ.ต้นๆ ที่นี่ยังเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิตผู้คนท้อง ถิ่นในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวของเหล่าชนชั้น ข้าราชการ ขุนนาง แม่บ้าน พ่อบ้านในสมัยก่อน ตึกรามบ้านช่อง การทำ� เกษตรกรรม ปศุสัตว์ รวมถึงตึกรัฐสภาซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใน ยุคสมัยโบราณ ซึ่งมีการจำ�ลองแบบจากอดีต แบ่งเป็นโซนๆมาไว้ ให้เราได้ศึกษา ดังนั้นในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาถ่ายรูป ถ่ายทำ�โฆษณาเพื่อย้อนรอยอดีตกันเสมอ ถ้าจะให้เปรียบกับเมืองไทย น่าจะคล้ายๆกับจังหวัดอยุธยา พอ วกกลับมาพูดถึงเมืองไทยของเรา ทำ�ให้นึกขึ้นมาได้ว่า เพิ่งจะมี ร้านอาหารไทยมาเปิดสาขาใหม่แถวๆนี้ เลยอยากจะขอแนะนำ�ร้าน อาหารไทยที่ขึ้นชื่อเป็นอันดับต้นๆของทางรัฐเวอร์จิเนียตอนใต้ชื่อ ร้านบางกอกการ์เดนท์ ถือเป็นความภูมิใจอีกอย่างที่ชาวต่างชาติ ชื่นชอบอาหารไทยของเรามาก ร้านนี้เปิดสาขาแรกเมื่อราวๆยี่สิบปี ก่อน จนปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นห้าสาขา ครอบคลุมเมืองหลักๆของรัฐ เวอร์จิเนียตอนใต้ ในฐานะที่ผู้เขียนก็เป็นคนไทยในต่างแดน เลยแอบ ภูมิใจแทนในความสำ�เร็จของร้านบางกอกการ์เดนค่ะ เพื่อนๆ เห็นไหมคะ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนๆในโลกใบนี้ เราก็สามารถ ประสบความสำ�เร็จกันได้ ถ้าเราขยัน มุ่งมั่น ตั้งใจจริง และกล้าที่จะ ลงมือทำ� อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ ลงมือทำ�อะไรสักอย่าง ทำ� ในสิ่งที่เรารักและเราถนัด เชื่อได้เลยว่า ความสำ�เร็จไม่น่าจะไกลเกิน เอื้อม อย่าลืมนะคะเวลามีค่าเสมอ ใช้เวลาทุกนาทีให้มีประโยชน์ พบ กันใหม่ฉบับหน้า จะพาไปเที่ยวเมืองหลวงของรัฐเวอร์จิเนียค่ะ
ดอกไม้จีนสด ผัดกระเทียม
1. 2. 3. 4.
เริ่มจากผัดกระเทียม จำ�นวนเล็กน้อยให้พอ เหลือง แค่พอให้มีกลิ่น หอม แล้วใส่ดอกไม้จีนสด วางลงบนกระทะ ที่แนะนำ� ให้วาง เพราะเมนูนี้ ไม่ ควรผัด เพราะจะทำ�ให้เส้น ดอกไม้จีนสดไม่สวยงาม เตรียมกระเทียม ปริมาณ ตามใจชอบ ซึ่งจะหั่น แบบขวาง หรือ หั่นแบบ เหลี่ยมก็แล้วแต่ความชอบ ของแต่ละคน
5.
นำ�ดอกไม้จีนสดมาล้าง แล้วเอาเส้นข้างในออก โดยวิธีดึงจุกที่ด้านท้าย ของดอกออก เตรียมกระเทียม ปริมาณ ตามใจชอบ ซึ่งจะหั่น แบบขวาง หรือ หั่นแบบ เหลี่ยมก็แล้วแต่ความชอบ ของแต่ละคน
เติมน้ำ�ปลา น้ำ�มันหอย น้ำ�ตาลเล็กน้อย และพริก ไทยดำ� เพิ่มความเผ็ด ร้อน และความหอม
6.
ใส่กระเทียมลงไปผัดเพิ่ม เติม ให้พอเหลือง จาก นั้นนำ�มาจัดเรียงใส่จาน ให้สวยงาม พร้อมรับ ประทาน
Photography & Story by Kik
Photography by Dedarkside
ต้องขอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเลยว่าไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประเทศอินเดียอะไรมากมายนัก เพราะตัวฉันเองก็เรียนจบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่เมื่อต้นปีที่แล้ว ฉันต้องเดินทางมาทำ�งานที่ ประเทศอินเดีย และการทำ�งานของฉันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาความรู้หรือประสบการณ์การทำ�งาน ของฉันในอดีตที่มีมาเลย ระยะเวลาที่ มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ถึงปี แต่กลับมีเรื่องสนุกๆ ตื่นเต้น เข้ามากมาย ในชีวิต จึงไม่อยากจะเก็บไว้คน เดียว ก็เลยอยากจะมาบอก เล่าเหตุการณ์ที่ได้พบเจอในแง่มุม ของตัวเอง แล้วทำ�ไมต้องเป็น Hijras กะเทย อินเดียนะหรอคะ ก็เพราะ ก่อนที่ฉันจะเดินมาที่อินเดีย ฉันได้ รับ ทราบข้อ มู ล เกี่ ย วกับ ที่ นี่ มาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อาหาร อากาศ กลิ่นตัว ที่อยู่อาศัย การจราจร ระบบสาธารณูปโภค นิสัยใจคอของผู้คนที่นี่ และ ฉั น ต้ อ งระมั ด ระวั ง ตั ว อย่ า งไร บ้าง และเรื่องขอทาน กะเทย อินเดีย ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ฉันได้รับการเตือนมา แต่ก็จะออกมาในแนวตลกซะมากกว่า แต่เมื่อถึงเวลา ที่ต้องมาเจอของจริงเท่านั้น ในหัวสมองของฉันกลับมีข้อสงสัยและมีคำ�ถามผุดขึ้นในใจ... ทำ�ไมเค้า ต้องมาทำ�อาชีพนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รูปร่าง ของพวกเค้าไม่น่าจะมาใส่ชุดส่าหรีเดินขอทาน น่าจะไป ทำ�อาชีพอื่นๆได้เหมือนกับกะเทยในประเทศอื่นๆ มันทำ�ให้ฉันต้องแสวงหาคำ�ตอบด้วยการถามจากคน ไทยที่อยู่ที่นี่หลายปีแล้วหรือคนอินเดียที่ใจดี และคุ้นเคยกับคนไทย
กะเทย อินเดีย
Photography & Story by iza
Hijra เป็นชื่อเรียกของกะเทยอินเดีย Hijra เป็น ภาษาอูรดู (คือภาษาเปอร์เซียผสมภาษาฮินดี) ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับ ซึ่งถ้าแปล เป็นภาษาอังกฤษก็คือ ขันที หรือ กะเทยนั่นเอง ส่วนความหมายของ Hijra กะเทยอินเดีย ก็จะ หมายถึง ผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง แต่งกาย ด้วยเสื้อผ้าผู้หญิง ถึงแม้ว่าสมัยนี้จะสามารถ ผ่าตัดแปลงเพศได้แล้วนั้น แต่Hijra บางคนก็ไม่ คิดจะทำ� เพราะพวกเค้าเชื่อกันว่าHijra ของแท้ จะต้องไม่แปลงเพศ แค่เพียงตัดอวัยวะเพศชาย ทิ้งเท่านั้น ซึ่งจากเรื่องที่ได้รับฟังมาถ้าเด็กชาย คนไหนได้รับการเลือกให้มาเป็น Hijra นั้น พวก เค้าจะมีพิธีกรรมในการตัดอวัยวะเพศของเด็ก ชายคนนั้นอย่างสดๆเลย ซึ่งมันเป็นความเชื่อ ของพวกHijraเค้า ฟังดูน่าสยดสยองมาก
ชาว Hijra เชื่อว่าการที่เค้าเป็นอย่างนี้ก็ เพราะพระเจ้าประทานมาให้ ชาว Hijra
จะพักอาศัยอยู่ด้วยกัน อยู่รวมกันเพื่อทำ�กิจกรรม ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมร้องเพลง หรือ เต้นรำ� เพื่อไปร่วมงานพิธี โดยจะมีผู้นำ�กลุ่ม เป็นผู้ฝึกสอน แต่ในอินเดียกะเทยยังไม่เป็นที่ ยอมรับในครอบครัวและสังคม ถ้าพ่อแม่จับได้ก็ จะโดนทุบตี จนต้องหนีออกจากบ้าน หรือโดนไล่ ออกจากบ้าน ซึ่งถ้าเป็นที่ไทยก็คงจะไม่โดนขนาด นี้ พวกนี้ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีคนรับ สาเหตุ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เรียนหนังสือ หรือ ว่าเป็น ที่รังเกียจ และเป็นที่น่าอับอายในสังคมก็เป็นไปได้
ดังนั้นพวก นี้จึงต้องยังชีพด้วยการเดินขอ เงิน หรือว่าขายบริการทางเพศ ซึ่งกะเทยพวกนี้จะถูก ล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งในที่สาธารณะ สถานีตำ�รวจ ในคุก หรือแม้ กระทั่งที่อยู่อาศัยของเค้า เราสามารถพบเจอ Hijra ได้ตามทางเดินบนถนน หนทาง ร้านค้า บนรถไฟ หรือ แยกไฟแดง ซึ่งฉันจะเห็นพวกเค้าบ่อย แถวแยกไฟ แดง พอรถติดไฟแดงปุ๊บพวกเค้าก็จะกระจายกำ�ลังเดินไปหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายทันที ส่วน มากก็จะเป็นผู้ชายที่ขี่มอเตอร์ไซด์มา ซึ่งฉันไม่เคยเห็นกะเทยอินเดียไปขอผู้หญิงอินเดียเลย แต่ ถ้าเป็นผู้หญิงต่างชาติต่างสีผิว เค้าจะมุ่งตรงมาเลย พ่วงทั้งขอทานเด็ก ขอทานแม่ลูกอ่อน มา ล้อมรถไว้เลย ถ้านั่งรถยนต์มาเรายังไขกระจกปิดทัน แต่ถ้านั่งรถออโต้ (คล้ายรถสามล้อเครื่องบ้าน เรา แต่มีมิเตอร์ติดในการคิดค่าโดยสาร) ก็เตรียมควักตังค์จ่ายให้ไปเลย เพราะไม่คุ้มกับการโดนแอบ หยิก ถ้าผมยาวอาจโดนดึงผม หรือ แกล้งตบแบบเฉี่ยวๆ อันนี้ในกรณีที่เค้าเข้ามาขอแล้วเราไม่ให้ แต่ ถ้ากะเทยพวกนี้ไปขอเงินผู้ชายแล้วไม่ได้เงิน พวกเค้าก็จะเข้าไปจับโน่นจับนี่ออกอาการลวนลาม ทำ�ให้ เราอับอาย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและไม่อยากเสี่ยงกับการโดนHijra กะเทยอินเดียด่า ซึ่งที่นี่ถ้า ใครโดนด่าจะถือว่าซวยมาก เมื่อเราให้ตังค์เค้าแล้ว เค้าก็จะอวยพรให้เรา มีคนอินเดียแนะนำ�ว่า เมื่อเราให้เงินพวก Hijra กะเทยอินเดียไปแล้วนั้น ให้ลองยื่นมือไปขอคืนบ้าง พวกHijra เค้า จะค้นหาเศษตังค์ หยิบออกมาแล้วท่องคาถาใส่เหรียญ เอามือมาวางบนหัวเราพร้อมพูด อวยพรประมาณว่า God’s blessing แล้วให้เหรียญเรามา ให้เราเก็บเหรียญ นั้นไว้ให้ดีเหมือนเป็นเหรียญขวัญถุง หรือนำ�โชคประมาณนั้น เพราะที่ อินเดียบางคนยังมีความเชื่อว่ากะเทยพวกนี้สามารถติดต่อกับ พระเจ้าได้ มีอำ�นาจในการให้ศีลให้พร หรือ แม้ กระทั่งสาปแช่ง
และนี่ก็ เป็ น การหารายได้ อี ก ทางของชาว Hijra ก็คือ การได้รับ เชิญไปงานมงคลไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน หรือ งานวันเกิด เพื่อไปร่วมอวยพร ร้องเพลง เต้นรำ� ส่วนเรื่องความรักของพวกเค้าก็ช่างน่าสงสาร ยังไง เค้าก็ต้องยึดประเพณีดั้งเดิม คือผู้หญิงต้องไปขอผู้ชาย ชาวHijra ก็ต้องทำ�อย่างนั้นเหมือนกัน ทำ�งานเก็บเงิน เพื่อไปขอผู้ชาย แต่Hijra บางคนกลับถูกหลอก ให้เสียค่าสินสอด แล้วผู้ชายก็หอบเงินหนีไป น้อยคนนักที่จะสมหวังเจอชายที่รัก พวกเค้าจริง ซึ่งมัน เป็นเรือ่ งทีแ่ ปลกประหลาด มาก แล้วก็ขัดแย้งกันมาก จนน่าประหลาดใจ ว่าสถานะทางสังคมของชาวHijra กะเทยอินเดียอยู่ ต่ำ�มาก คำ�ว่า Hijra บางครั้งถูกนำ�มาใช้ในลักษณะที่เสื่อม เสียเหมือนเป็นคำ�ด่า แต่คนในสังคมอินเดียเดียวกันนั้นเอง กลับ ยินดีเชื้อเชิญให้ Hijras มาร่วมอวยพรในงานมงคล ทั้งๆที่กะเทย ไม่เป็นที่ยอมรับ น่ารังเกียจในครอบครัวและสังคม และนี่คือความขัด แย้งกันเอง ทางความคิด สังคม และวัฒนธรรมของชาวอินเดียเค้า ล่ะ มันเลยทำ�ให้ฉงน สงสัย และอยากรู้ว่า คนอินเดียเค้าคิดอะไร กันอยู่อย่างนี้ละมั้งที่เค้าเรียกว่า เสน่ห์อินเดีย
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก Wikipedia
Story by Pan
Itadakimasu ! It has been cold here in Japan and February is usually much colder than January sometime which sounds terrible for me! Inside of supermarket, shops or houses have each air conditioner but if you go outside, again it is cold. As for me, to make myself warm in a winter time, I love to take hot spring which is quite close from my house. They have outside bath and inside bath as well as sauna and steam bath. It really does work to keep you warm from inside of your body. After taking a bath, I usually drink cold milk or juice and sometimes have Ice cream!
Photography & Story by Tomomi Hamada
Japanese pancake called "Okonomiyaki" and Octopus ball called "Takoyaki" Another way to make myself warm is always FOOD! This time I would love to introduce some of “hot meals in Japan” such as Osaka foods and noodles. All are my favorites but let me start from Japanese pancake called “Okonomiyaki” and Octopus ball called “Takoyaki” which are famous especially in Osaka. Both are made from flour, fish stock and egg stuffs. “Okonomiyaki” is kind of Pancake and we put ingredients such as cabbages, pork, ginger, spring onion, squid or personally mochi (rice cake) and cheese are needed! If you go out to Osaka, you will find “Okonomiyaki” restraint anywhere and there are many branches in Nara where I live or another Kansai area as well. There are 2 types of that restraint. One of them, if you order what you would like to have and they serve dishes which are already cooked by chef in the restraint. On the other hand, the other one if you order the menu, they serve you a ball which has every ingredients prepared and a spoon beside. That means you can cook all by yourself and you have your own grill on a table so the dishes won’t get cold.
“Takoyaki” is round shape and usually octopus in it. For each of dishes, it has original sweet sauce (which is so yummy!) and mayonnaise on it as well as dried bonito on the top.
My second recommendations are “Ramen” and “Udon”, most popular noodles in Japan. Although I was not a big fan of “Ramen”, now I just realized how tasty they are. Each shop has their original noodle or soup stock and ingredients as well. Even you can find some “Ramen” book/magazine written about the best “Ramen” shops recommended by a writer who is a big fan of Ramen and walks around many places for finding the best ones in Japan and you will see how this “Ramen” is loved by local people. There are some different tastes of soup such as pork, salt, soy sauce and miso (bean paste) are quite major types. Japanese people are quite famous by slurping up their “Ramen”. This could be rude way of having food in some other countries so tourist might be surprised when they see a man having “Ramen” with a bit noisy sound.
Compared to “Ramen”, “Udon” is much healthier and also has many kinds of Udon in each area of Japan. Especially Kagawa prefecture is just down side of Kansai district is very famous for “Udon” called “Sanuki Udon” and they have famous brand shops at there. Lots of Japanese people come to Kagawa just for having the best “Udon” not just one a day, somepeople eat more than 5 different “Udon” at different places in a day because they are very cheap even they are all handmade at most of their shops!
"What's your lunch today?" and he said "Of course we eat Udon at every lunch time!" I visited there twice and I had to take taxi to get to one of the recommended one on a magazine. I asked the taxi driver, “What’s your lunch today?” and he said “Of course we eat Udon at every lunch time!” and the reason are the price is very cheap and there are thousands of “Udon” shops in Kagawa so it is very easy to find and some eat Udon within 10 minutes! “Sanuki” Udon’s texture is special and much harder than usual one. Of course I bought some packs of Udon as souvenirs to my family and friends. Even outside is very cold in here, those foods make us warm and feel cheerful. Before you have dishes, let’s say “Itadakimasu” which means “let’s eat” and after the meal “Gochisou samadeshita” which means “Thank you for your meal.”! Not only Sushi but there is more tasty foods in Japan. Let me be your guide in this magazine!
Photo by FusionPixels / Model : Gee
Story by Ryan
Golff
ถ้าถึงคราวต้องโดน
“กระชับพื้นที่”
หลายท่านเกิดทันยุค “เทปคาสเซ็ท” ไม๊ครับ?... ผมเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาในช่วงเทปคาสเซ็ทกำ�ลัง เฟื่องฟู จะฟังเพลงก็ไปหาซื้อเทปม้วนละ 55 บาท มาฟังอย่างฉ่ำ�ใจ อยากอัดเพลงให้สาวก็ไปซื้อเทป เปล่าม้วนละ 20 บาทมาอัดเพลงที่เราชอบส่ง ให้เธอไปอย่างกรุ้มกริ่ม หนักข้อเข้า ถ้าเพลงที่ อยากได้ยังไม่มีขายตามแผงเทป ก็แค่ลงทุนยกหู โทรศัพท์โทรไปตามรายการวิทยุ แล้วบอกดีเจว่า
“ผมขออัดนะครับ ซึ่ง ถ้าดีเจบางคลื่นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เราก็จะได้เพลงนั้นมาครองอย่างง่ายดาย สมัยนั้น ผมจึงมีเพลงเจ๋งๆอยู่ในเทปเปล่าอยู่หลายม้วน แต่ทว่า นอกจากการฟังเพลงจากเทปที่ไปอัดมา จากรายการวิทยุแล้ว ผมว่าความสุขที่ได้จากการ ฟังเพลง มันไม่ได้อยู่ที่ศิลปิน เนื้อร้องและทำ�นอง เพียงอย่างเดียวนะครับ นอกเหนือจากปัจจัยที่ว่า นี้ ผมว่าการเปิดปกเทปมาอ่านว่า อัลบั้มชุดนี้มี คนเบื้องหลังเป็นใครบ้าง ใครแต่ง ใครโปรดิวซ์ แม้ กระทั่งใครเล่นดนตรีในแต่ละชิ้น และ บันทึกเสียง กันที่ไหน มันก็เป็นความเพลิดเพลินที่ได้อรรถรสดี เลยทีดียว
อย่าพูดแทรก”.... “ชาตรี คงสุวรรณ, สมชาย ขำ�เลิศ กุล, จาตุรนต์ เอมซ์บุตร, อนุวัตร สืบสุวรรณ, กฤษณ์ โชคทิย์พัฒนา หรือ ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ฯลฯ”....จะ เป็นชื่อแรกๆที่สามารถเห็นได้ในปกเทป ทุกๆตลับที่ผมซื้อมา รวมทั้ง ศรีสยาม สตูดิโอ และ บัตเตอร์ฟลาย สตูดิโอ ที่เป็นสถานที่อัดและมิกซ์ดาวน์
ปัจจุบัน ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการเสพดนตรีของคนยุคนี้ว่า พวกเค้าพอใจ กับการเสพย์แค่ตัวศิลปิน เนื้อร้อง-ทำ�นอง แค่นั้นพอแล้วใช่ไม๊ คนยุคนี้จึงพอใจที่จะ ดาวน์โหลดเฉพาะแค่ไฟล์ MP3 เพื่อบำ�บัดความใคร่ทางดนตรี และ แฟชั่น ที่มันจอม ปลอมและกำ�ลังเฟ้ออยู่ในยุคดิจิตอลยุคนี้....
และ ถ้าหากข้อสงสัยของผมเป็นจริง งานเพลงที่ถือเป็นศาสตร์ และ ศิลป์ ที่ ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลระดับเซียนข้างต้น มันก็คงค่อยๆหายไป บุคคลชั้นเซียน เหล่านั้นก็จะค่อยๆหมดลมหายใจไปจาก ความทรงจำ�และงานเพลงระดับ เซียน ของบ้านเรา อย่างข่าวการขัดแย้งของ พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค หรือ ข่าวการ เกษียณตัวเองจากแกรมมี่ ของอนุวัตน์ (ธนวัตน์) สืบสุวรรณ... คนยุคดิจิตอล คงไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่คนยุค เทปคาสเซ็ทอย่างผมกลับสะดุ้งโหยงไป สามหลา และหวั่นๆว่า ภัยพิบัติของ วงการเพลงบ้านเรามันจะค่อยๆเข้ามา กระชับพื้นที่ความสุนทรีย์ของ การเสพย์ ดนตรีของพวกเราไปซะแล้ว
และถ้าหากเหตุการณ์เหล่านี้ มัน ลามปามและกระชั บ พื้ น ที่ ม าถึ ง บุ ค คล ระดับเซียนรุ่นถัดมาอย่าง รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ,เจตมนต์ มละโยธา, เชาวเลข สร่างทุกข์, ชีวิน โกสิยพงษ์, นภ พรชำ�นิ, วาสิต มุกดาวิจิตร, อภิ ไชย ตระกูลเผด็จไกร (พี่เล็ก Greasy Cafe), ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์, ภควัฒน์ ไวยวิทยะ ฯลฯ นั่นอาจจะก่อให้เกิดความ ล่มสลายของระบอบ จนอาจจะทำ�ให้ พี่ ตู่ และทนาย โรเบิร์ต อัมส์เตอร์ดัม ต้อง เดื อ ดร้ อ นไปฟ้ อ งศาลโลกเอาก็ เ ป็ น ได้ ...เย้ย!....
อนาถแท้ประเทศไทย!
D.I.Y. by นางสาววินดี้ Photography by Think Plus
D. I. Y.
Step 1
เรามาเริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์กันเลย 1. เฟรมผ้าใบวาดภาพขนาด 35 x 45 cm. 2. ของเล่นเก่า ๆขนาดเล็กเอามาเยอะๆเลยนะ 3. สีน้ำ�พลาสติกสีขาวหรือจะเป็นสีสเปรย์สีขาวก็ได้นะ 4. กระดาษหนังสือพิมพิ์เก่าหรือกระดาษอะไรก็ได้ 5. แปรงทาสี 6. ปืนกาว
Step 2 นำ�กระดาษหนังสือพิมพิ์ที่เราเตรียมไว้มาปูพื้นก่อนการ ทาสีนะ จะได้ไม่เลอะเทอะเมื่อเราเตรียมสถานที่เรียบร้อย แล้วเราก็มาเริ่มทาสีให้กับเจ้าของเล่นเก่าๆได้เลยทาให้ทั่ว เลยนะ
MEMORY OF LOVE พบกันอีกครั้งกับ D.I.Y ง่ายๆ ที่ใครก็ทำ�ได้ ใน UNDO MAGAZINE ครั้งนี้เรามา ตอนรับเทศกาลแห่งความรักกันด้วยการทำ� D.I.Y ที่ใช้ชื่อว่า MEMORY OF LOVE เพื่อเป็นการสร้างไอเดียให้กับคนที่กำ�ลังมอง หาของขวัญที่รวบรวมความทรงจำ�และเรื่อง ราวดี ๆ ที่ถ่ายทอดไปกับการทำ� D.I.Y เพื่อ ที่จะส่งต่อให้กับคนที่เรารัก รับรองว่าเมื่อคน รักของคุณได้รับของขวัญชิ้นนี้จะต้องอมยิ้ม อย่างแน่นอน
Step 3
หลั ง จากที่ เ ราทาสี เ สร็ จ แล้ ว ก็ นำ � ไปตากแดดทิ้ ง ไว้ ร อ จนกว่าสีจะแห้งสนิท
Step 4 นำ�เฟรมผ้าใบที่เตรียมไว้มาทำ� เป็ น กรอบรู ป โดยเราจะใช้ ง าน ด้านหลัง ในส่วนที่เป็นไม้หลัง จากนั้ น เราก็ ล องเอาของเล่ น ที่ เราทาสีไว้และแห้งแล้วมา ลอง วางเรียงให้ทั่วๆ กรอบไม้เลย นะ จัดวางให้สวยงามตามความ ต้องการของแต่ละคน
FINISH
Step 5 เมื่ อ ได้ ตำ � แหน่ ง ที่ ต้ อ งการแล้ ว เราก็มาเริ่มติดกาวกันได้เลยใน ขั้นตอนนี้ให้ทากาวในส่วนที่ตัว ของเล่นสัมผัสกับกรอบไม้ก็พอ
Step 7 นำ�รูปหรือโปรกาดร์ที่แทนความทรงจำ�ดีๆมาติดลงไปหรือ
ใครจะเขียนข้อความ ในใจก็ดูดีไปอีกแบบ เพียงเท่านี้ผล งาน D.I.Y MEMORY OF LOVE ของเราก็พร้อม ที่จะส่งต่อถึงคนที่เรารักแล้ว เป็นไงกันบ้างถึงขั้นตอนนี้แล้ว ไม่ยากเลย
Step 6 ขั้นตอนนี้เป็นการเก็บรายละเอียดของงานหาจุดที่ยังติด กาวไม่แน่ให้ย้ำ�กาวลงไปอีกคร้งเพื่อเวลานำ�ไปแขวนจะ ได้ไม่หลุดนะ
send mail to
เพื่อนๆ คนไหน มี idea เจ๋งๆ อยากแบ่งปัน ส่งผ่าน idea นั้นมา ที่ undomagazine@gmail.com ได้นะค่ะ เราพร้อมน้อมรับ idea จากทุกๆ คนเสมอค่ะ
ช่ ว งนี้ ค นรอบข้ า งผมหลายคน วางแผนว่ า จะเปลี่ ย นงานครั บ เข้าใจว่าคงมีอีกหลายๆ คนที่วาง แผนอยากเปลี่ ย นงานที่ ทำ � อยู่ เหมือนกัน แต่ละคนคงมีเหตุผล แตกต่างกันไป ไม่ว่าอยากจะ เติบโตในหน้าที่การงานมากขึ้น อยากค้นพบความท้าทายใหม่ๆ หรือแม้แต่ เหตุผลง่ายๆ แบบ ก็เบื่องานเก่าแล้ว และได้โบนัส จากปีที่แล้วไปเรียบร้อย เลย ถือโอกาสช๊อปปิ้งงานใหม่ซะเลย ผมหวังว่า รายละเอียดเนื้อหาใน บทความสั้นๆ ของผมอาจจะเป็น ประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ที่กำ�ลังหา งานอยู่ตอนนี้ไม่มากก็น้อยน่ะครับ เรือ่ งนีเ้ ป็นเรือ่ งจริง ประสบการณ์ จริงของผมเอง เพราะผมก็เคย ผ่านมาทั้งในฐานะคนถูกสัมภาษณ์ งานมาก็มาก และเป็นคนทีส่ มั ภาษณ์ พนักงานใหม่มาก็ไม่น้อยเหมือนกัน
สั ม ภ า ษ ณ์ งานอย่ า งไร ถึ ง จะได้ ง าน (ตอนที่ หนึ่ง) ก่อนอื่นต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยน่ะครับ ว่า สิ่งที่ผมจะแนะนำ� ไม่ได้เป็นเทคนิคแพรวพราว อะไรมากมาย ไม่ได้เป็นวิธีหรือคำ�พูดอะไรที่ พูดออกไปตอนสัมภาษณ์งานแล้วจะได้งาน อะไรอย่างนั้นเลยน่ะครับ น่าจะเป็นข้อคิด เล็กๆ น้อยๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการเตรียม ตัวก่อนสัมภาษณ์งานมากกว่าครับ เอาล่ะครับ อย่างแรกเลยเวลาที่คุณอยากจะ หางานใหม่ คุณจะต้องตอบคำ�ถามที่สำ�คัญ มากๆให้ได้ก่อนสองข้อคือ หนึ่ง คุณอยาก ทำ�งานอะไร และ สอง คุณคิดว่าคุณทำ�งาน งานนั้นได้ดีหรือไม่
Story by tum
ส่วนตัวผมเอง ผมใช้หลักการสองข้อนี้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจสมัครงานมาตลอดเลยครับ เพราะ มันเป็นคำ�ถามที่ตอบสนองทั้งเหตุผลและอารมณ์ของเราเอง คิดดูสิครับ ก่อนอื่นคุณต้องตอบตัวเอง ให้ได้ก่อนว่า บนพื้นฐานของศักยภาพ และประสบการณ์ที่คุณมีนั้น คุณใฝ่ฝันว่าคุณอยากจะทำ�งาน อะไร หรือที่ไหน และหลังจากนั้นคุณก็กลับมาประเมินตัวเองว่า คุณมีความสามารถพอที่จะทำ�งานที่ คุณต้องการได้ดีรึเปล่า ถ้ามัน เกิดความสมดุลระหว่าง ความ ใฝ่ฝันที่อยากจะได้งานนั้นๆ กับ ศักยภาพที่คุณมีแล้วล่ะก็ อย่า รอช้าเลยครับที่จะตัดสินใจสมัคร งานที่นั่นไปเลยของตัวเอง ส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่าปัจจุบัน นี้ การสมัครงานออนไลน์ นั้ น เป็ น ช่ อ งทางที่ ง่ า ยและมี ประสิทธิภาพที่สุดครับ เพราะ มันสามารถช่วยให้คุณสามารถ “หว่าน” ประวัติและใบสมัคร งานของคุ ณ ออกไปได้ เ ยอะและ เร็วที่สุดครับ ฝ่ายบุคคลเอ งก็ช๊อปปิ้งผู้สมัครงานผ่านทาง อิ น เตอร์ เ นทเยอะมากๆเหมื อ นกันน่ะครับ ผมแนะนำ�ว่า ถ้า งานไหนสามารถตอบคำ � ถาม สองข้อด้านบนได้ คุณอย่าไปคิด มากน่ะครับ ลองสมัครไปเลย สมัครไปให้เยอะที่สุด เหตุผล เพราะว่า ยิ่งสมัครไปมากเท่า ไหร่ คุณยิ่งมีโอกาสในการถูกสัมภาษณ์มากขึ้นเท่านั้น และถ้าคุณถูกเรียกสัมภาษณ์งานแล้วล่ะก็ ถึง แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่โดนหรือคุณต้องการสุดๆแล้วน่ะครับ ผมแนะนำ�ว่าให้คุณลองไปสัมภาษณ์ดูเถอะ ครับ อยากให้คุณถือซ่ะว่าเป็นการอุ่นเครื่องไงล่ะครับ คุณไปสัมภาษณ์งานบ่อยๆ คุณจะได้เจอกับ ฝ่ายบุคคล หรือคนที่จะมาเป็นหัวหน้างานของคุณ คำ�ถามของคนพวกนี้มันก็ซ้ำ�ไปซ้ำ�มาแหละครับ คุณถูกสัมภาษณ์บ่อยๆ คุณจะเริ่มชินและจับทางได้ วางตัวถูก ไม่ตื่นเต้น และเริ่มนึกได้ว่า ถ้าเราเจอ คำ�ถามแบบนี้ เราน่าจะตอบแบบนี้ถึงจะดีที่สุดสำ�หรับเรา (เป็นกันเยอะครับ ผมเองก็เหมือนกันที่ พอ สัมภาษณ์เสร็จทีไร เดินออกมาและหายตื่นเต้นแล้ว มานึกเสียดายว่า ตอนนั้นน่าจะพูดอย่างนี้น่า จะดีกว่า)
การ สมั ค ร งาน
ออนไลน์
สำ�หรับผมเอง ช่วงที่ผมหางาน ผมสมัครงานทางออนไลน์เป็นหลักครับ เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับ การหางานมีอยู่มากมาย บริษัทดีๆที่ประกาศรับคนมีอยู่เต็มไปหมด ผมสมัครไปเยอะมากๆ บางบริษัทผมก็ไม่รู้จักครับ แต่ก็ลองกดสมัครไปดู เพราะคิดว่าเป็นตำ�แหน่งที่ดี ที่อยากได้ และคิดว่าตัวเองสามารถทำ�ได้ ตอนนั้นผมพูดกับตัวเองไว้ว่า ผมจะต้องสมัครให้ได้เยอะที่สุด เท่าที่จะทำ�ได้ ผมเลยตั้งกฎขึ้นมาว่า ในแต่ล่ะวัน ผมจะต้องสมัครงานให้ได้อย่างน้อย ยี่สิบ บริษัทต่อวัน ผมทำ�อยู่อย่างนี้ไปเป็นเดือนๆติดต่อกันทุกวันครับ มันใช้เวลาต่อวันไม่เยอะ มากเกินไปหรอกครับ แค่ทำ�ให้มันสม่ำ�เสมอหน่อย ถ้าวันไหนผมไม่มีเวลา ผมทำ�แม้กระทั่ง โทรวานให้เพื่อนสนิท ช่วยเปิดเว็บสมัครงานแล้ว คลิกส่งใบประวัติให้ผมหน่อย คิดดูสิ ครับว่าผมสมัครงานไปเยอะขนาดไหน และแล้ว สิ่งที่ผมทำ�ไปมันก็ออกดอกออกผลครับ มี บริษัทโทรมาเรียกผมไปสัมภาษณ์งานเยอะมากๆ ผมเองไม่ใช่คนที่มีโพรไฟล์เลิศหรูอะไร การ ศึกษาก็ไม่ได้จบจากสถาบันดังๆ หรือจบจากเมืองนอก หรือมีเกรดเฉลี่ยสวยหรูอะไรมากมาย ทุกอย่างมาจากค่าเฉลี่ยในการสมัครงานจริงๆ ครับ อย่างที่บอกครับ บางบริษัทที่ผมสมัครงานไป ผมไม่รู้จักเค้าด้วยซ้ำ� แต่เค้าก็โทรมาขอ สัมภาษณ์งานผม บางทีผมก็ไม่ได้ปิ๊งอะไรมากมายหรอกครับ แต่ผมก็ตัดสินใจว่าจะไป สัมภาษณ์งานกับเค้าดู เพราะว่า ผมอยากมีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์งานครับ อยากรู้ ว่าบรรยากาศมันเป็นยังไง อยากรู้ว่าเค้าถามอะไร อยากรู้ว่าความกดดัน ความตื่นเต้นตอน สัมภาษณ์มันเป็นแบบไหน อยากรู้ว่าคนที่จะมาเป็นเจ้านายเราเค้ามีลักษณะแบบไหน บางที่เค้าก็ตอบรับผมครับ แต่บางที่เค้าก็ปฏิเสธไป แต่สิ่งที่ผมได้มาคือ ความนิ่งครับ ผม เริ่มรู้สึกแล้วครับว่า ถ้าผมมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทที่ผมอยากทำ�งานด้วยจริงๆ ผมจะมั่นใจมากขึ้น ผมจะตอบคำ�ถามได้ฉะฉานมากขึ้น ผมหายตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์งาน ไปได้มากเลยครับ (แต่ให้ตายเถอะครับ ถึงตอนนี้ ถ้าต้องเปลี่ยนงานและไปสัมภาษณ์งาน ในงานที่อยากได้จริงๆ ผมก็ยังแอบตื่นเต้นนิดๆอยู่ดีครับ ทำ�ไงได้ครับ อารมณ์ก็คืออารมณ์ ครับ ...) เชื่อเถอะครับ ว่าถ้าคุณสม่ำ�เสมอกับการทำ�อะไรสักอย่างนึงมากพอ คุณจะซึมซับ และเรียนรู้มันไปได้อย่างอัตโนมัติครับ สุดท้ายคุณจะมั่นใจและตื่นเต้นน้อยลง
นั่นคือส่วน หนึ่งที่ผมพอแนะนำ�ได้และต่อไป นี้คือสื่งที่สำ�คัญที่สุดครับ.... คุณต้องเต็มที่กับงานปัจจุบันและซื่อสัตย์ กับมันให้มากที่สุด ครับ สิ่งที่ผมพยายามจะบอกคือ คุณต้องทำ�ปัจจุบันของคุณให้ดี ที่สุดก่อน คุณถึงจะมีสิทธ์ในการไขว่คว้าอนาคตที่ดีที่คุณต้องการได้ คำ�ถาม ที่ผู้สัมภาษณ์งานทุกคนจะต้องถามคุณคือ หน้าที่ของคุณ หรือ งานที่คุณทำ�อยู่ ตอนนี้คุณต้องทำ�อะไรบ้าง แน่นอนครับถ้าที่ผ่านมาคุณตั้งใจทำ�งานปัจจุบันอย่างเต็ม ที่ คุณย่อมมีรายละเอียดมากมายที่จะสามารถเล่าหรือถ่ายทอดให้เค้าฟัง แต่ถ้างานที่คุณ ทำ�อยู่มีแต่ปัญหา และในใจลึกๆแล้วคุณก็หมดอารมณ์ที่จะทำ� คุณก็จะเริ่มตอบผู้สัมภาษณ์ คุณแบบตอบๆให้มันจบๆไป ซึ่งเชื่อเถอะครับ ฝ่ายบุคคล หรือคนที่จะมาเป็นนายคุณเค้า รู้สึกถึงตรงนี้ได้แน่ๆ การที่คุณตั้งใจทำ�งานประจำ�ให้ดีเป็นพื้นฐานแล้ว สิ่งที่คุณจะได้มา คือ “ความแน่น” ของการทำ�งานครับ พูดง่ายๆก็คือความเป็นมืออาชีพครับ มันเป็น พลังงานที่สามารถถ่ายทอดออกมาอย่างอัตโนมัติระหว่างการสัมภาษณ์ได้ครับ ผู้ คุ ณ สัมภาษณ์ที่มีประสบการณ์เยอะๆจะสามารถรับรู้ตรงนี้ได้ดี จะอยาก หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจจะตั้งคำ�ถามว่า ผมกำ�ลังแนะนำ�ให้ตั้งใจ เปลี่ยนงานหรือ ทำ�งานปัจจุบันให้ดี แล้วถ้าทำ�งานปัจจุบันได้ดีแล้ว จะต้องหางาน ไม่ คุณเท่านั้นที่ตัดสิน ใหม่ทำ�ไม อันนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ล่ะ ใจได้ ผมแค่จะบอกว่า สาเหตุ ที่คนๆ นึงอยากเปลี่ยนงาน ควร คนน่ะครับ จะมาจาก ความต้ อ งการที่ มี พื้ น ฐานเป็ น ด้ า นบวกเช่ น คุ ณ รู้ ว่ า ศั ก ยภาพและ ประสบการณ์คุณมีระดับนึงแล้ว คุณพร้อมที่จะหาความท้า ทายใหม่ๆ ที่ได้ผลตอบแทนมากกว่านี้ สาเหตุที่คุณอยากหางานใหม่ควรจะมาจากพื้นฐานความรู้สึกประมาณนี้ครับ มากกว่าที่จะมาจากเหตุผลว่า คุณเบื่อเจ้านายตัวเอง คุณทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน เพราะถ้าผู้สัมภาษณ์ถาม คุณว่าทำ�ไมคุณถึงอยากเปลี่ยนงาน คุณก็จะตอบเค้าไม่ได้อย่างเต็มที่ไงครับ สรุปง่ายๆ น่ะครับ ถ้าคุณตัดสินใจ แล้วว่าอยากจะหางานใหม่ ผมแนะนำ�กว้างๆว่าคุณควรทำ�สองอย่างนี้ครับ หนึ่ง สมัครงานไปให้เยอะที่สุดเท่า ที่คุณจะทำ�ได้ ค่าเฉลี่ยจะเป็นประตูสู่โอกาสที่คุณจะได้งานในฝันน่ะครับ แต่คุณจะต้องอดทน และสม่ำ�เสมอ จนกว่าจะเห็นว่าค่าเฉลี่ยมันเริ่มทำ�งาน สอง ให้เกียรติกับความเป็นมืออาชีพของตัวเองโดยการทุ่มเท และซื่อสัตย์กับงานปัจจุบันที่ทำ�อยู่ให้มากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว งานปัจจุบันที่ทำ�อยู่ก็จะเป็นส่วน หนึ่งของศักยภาพที่คุณสามารถพัฒนาได้ไปในวันข้างหน้า ฉบับหน้า ผมจะลงรายละเอียดมากขึ้นอีกนิดน่ะครับ ถึงเทคนิคการทำ� Resume และการตอบคำ�ถามระหว่างการสมัครงานครับ หวังว่าทุกคนจะโชคดีและ ประสบความสำ�เร็จในการสมัครงานน่ะครับ...
Free on your style: student contest at facebook.com/cubicstudio
Ravel
Majin and the Forsaken Kingdom
ตะลุยอาณาจักรต้องห้ามกับเพื่อนใหม่ใจสีเขียว
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกแล้วกับชาว UNDO Magazine ทุกท่าน หลังจากฉบับแรก ผมได้ แนะนำ�เกมส์ FSP แนวสงครามเพื่อเพิ่มอะดินาลีน กันไปแล้ว มาฉบับที่ 2 นี้ ขอเปลี่ยนแนวมาแนวใสๆ เบาๆ เล่นไปอมยิ้มไปละกันครับ กับเกมส์แนวแอคชั่น ตะลุยด่าน ผสมกับการแก้ปริศนาแบบพอหอมปาก หอมคอ รับรองว่าเพื่อนๆที่ได้เล่นเกมส์นี้ จะต้องเล่น ไปอมยิ้มไปแบบผมแน่ๆเลยครับ
ที่มาของภาพ www.oldskoolnl.nl/n6551-majin-and-the-forsaken-kingdom-demo
สำ�หรับเกมส์ Majin and the Forsaken Kingdom นี้ (ขอเรียกสั้นๆว่า Majin แล้วกันครับ) แว่บ แรกที่ผมเปิดเกมส์มาเล่น รู้สึกได้เลยว่า เนื้อเรื่อง น้ำ�เน่ามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (กรุณาใส่อารมณ์ลากเสียงยาวๆ จะได้รู้ว่าเน่าแค่ไหน 55555) เราจะรับบทเป็นโจรป่า (เว่อร์ไปมั๊ยเนี้ย ไม่ ใช่จันทโครพนะ 555) ซึ่งเห็นว่าอาณาจักรที่เคยสวยงามและสงบสุข ได้ถูกความชั่วร้ายครอบงำ�นานกว่า 1000 ปี ผู้คุ้มครองที่เคยปกปักษ์รักษาอาณาจักรแห่งนี้ก็หายสาบสูญไป เราจึงบุกเข้าปราสาทไปเพื่อ แสวงหาหนทางที่จะกำ�จัดความชั่วร้ายให้หมดสิ้นไป ระหว่างเดินทางอยู่ในปราสาทก็พลัดตกลงไปยังชั้นใต้ดิน ของปราสาท จะกระทั่งได้พบ Majin หรือผู้ที่เคยเป็นผู้คุ้มครองของอาณาจักรแห่งนี้ ถูกคุมขังอยู่ใต้ดิน
Majin and the Forsaken Kingdom
หลังจากที่เราช่วย Majin ออกจากที่คุม ขัง เราก็จะพากันหนีออกมานอกปราสาท และแล้วการผจญภัยครั้งใหญ่ของเราและ เพื่อนใหม่ตัวใหญ่ๆก็เริ่มต้นขึ้นมา ในส่วนของเรื่องราว หลังจากที่เราหลบ หนีออกมาจากปราสาท เราจะต้องเดิน ทางไปฟื้นฟูพลังของ Majin ที่สูญหายไป โดยการเก็บผลไม้แห่งพลังหลากหลายรูป แบบตามจุดต่างในแผนที่ และปราบบอส ย่อยทั้ง 4 ตัวก่อนจะบุกเข้าปราสาทใหม่ อีกครั้ง เพื่อปราบบอสใหญ่ ในระหว่าง การเดินทาง เราก็จะได้รู้เรื่องราวที่มา ของ Majin ไปพร้อมๆกับรวบรวมความ สามารถต่างๆของ Majin กลับคืนมาดัง
เดิมด้วย สำ�หรับเรื่องระบบการเล่นนั้น ถือได้ว่าเกมนี้ มีระบบ การเล่นที่ง่าย ไม่ซับซ้อน ตัวเราจะได้อาวุธที่มีพลังของ Majin ใช้ในการฟาดฟันศัตรู ระบบมีให้เราทั้งกลิ้งตัวหลบ กระโดด ตาม มาตรฐานเกมแอคชั่นตะลุยด่านโดยทั่วไป แต่เพิ่มเติมการลอบ เร้นเข้าไปข้างหลังศัตรูโดนไม่ให้รู้้ตัว ซึ่งถ้าทำ�สำ�เร็จ จะสามารถ จัดการศัตรูได้ภายในทีเดียว ทำ�ให้เรารู้สึกสะใจอย่างมาก
ในส่วนของ Majin นั้น เราก็สามารถบังคับได้ ว่าจะให้ทำ�ตามคำ�สั่งอะไร โจมตี วิ่งตาม หมอบเพื่อให้เราไต่ ขึ้นที่สูง หรือใช้ความสามารถพิเศษทั้งพ่นลม พ่นไฟ ปล่อยสายฟ้า หรือพ่นน้ำ�แข็ง ซึ่งความสามารถตรงนี้ จะได้มาภายหลังตามเนื้อเรื่อง การต่อสู้กับศัตรู จำ�เป็นจะต้องพลิกแพลงประยุกต์ใช้ความสามารถหลายๆด้าน ของ Majin ในการจัดการ รวมถึงการแก้ไขปริศนาต่างๆในการผ่านด่าน ก็จะต้องใช้การประสานงานและร่วม มือกันระหว่างเรากับ Majin ซึ่งในระหว่างการเล่นๆไป เราจะรู้สึกอินไปกับความผูกพันและร่วมมือซึ่งกันและ กันระหว่างเรากับ Majin ไปทีละน้อยๆ
GA ME Story by
DayWalker
ภาพที่ได้สัมผัสจากเกมนี้ ถือว่าอยู่ใน เกณฑ์ดีตามมาตรฐานเลยทีเดียว แสงสี สวยงาม ยิ่งฉากวิวกว้างๆ รู้สึกเหมือน พวกภาพวาดแนวกราฟฟิ ค แฟนตาซี ดี ๆ เลยทีเดียว ศัตรูตามด่านต่างๆก็มีลักษณะ การออกแบบที่ดูกลมกลืนดีครับ บอสทั้ง 4 ก็ยิ่งใหญ่อลังการ แล้วก็มียุทธวิธีในการ จัดการที่แตกต่างกันไปครับ ตรงนี้เป็นจุดที่ สนุกและสร้างความท้าทายให้กับเราได้เยี่ม เลย ปริศนาระหว่างทางมีให้มาแบบพอได้ ใช้สมอง ไม่ได้จริงจังมากเสียจนหงุดหงิด เสียอารมณ์ที่ไม่สามารถผ่านด่านไปได้
เนื้อเรื่องและการเล่าเหตุการณ์ต่างๆภายใน เกมก็ทำ�ได้ดีสามารถสร้างความรู้สึกอยาก เล่นต่อไปเรื่อยๆเพื่อซึมซับเรื่องราวต่างๆ จนกระทั่งทำ�ให้เราเล่นจนจบเกมส์ได้อย่าง ไม่ทันรู้ตัวเลยทีเดียว เรียกได้ว่า เกม Majin and the Forsaken Kingdom เป็นเกมส์ม้ามืดแห่ง ปีได้เลยทีเดียว ควรค่าและคุ้มค่าอย่างยิ่ง ในการเสาะหามาลองเล่นกันครับ
แนะนำ�เลยครับ!!!
Story by
IGGY’ De Guy
ชื่อโครงการ : พลั ง แห่ ง ความ เพ้อไร้ขีดขำ�กัด (พพรจ.)
หลักการและเหตุผล : เพ้อจัด บวกว่างมาก เลยต้องสร้างผล งานเพ้อๆ ออกมา ผลที่คาดว่าจะได้รับ : เป็นงาน ศิลปะเชิงแนวคิด ที่คาดว่าจะได้ รับรอยยิ้มกลับมา
ผลงานแรกครับ ปิศาจเพลิงดำ� อัน นี้ เ กิ ด จากถุ ง ขยะที่ มั น มั ด จุ ก รวมกั น ตรงกลางไม่ได้ ผมก็เลยมันเป็นจุกไว้ สองข้าง ไปๆมาๆ ก็มามองเห็นเป็น เขา จากนั้นก็เลยใส่ตาให้มัน เติมปาก ให้มัน... ถ้าไม่เอาไปทิ้งก่อนมันคงจะมี แขนมีขาแหละครับ ผลงานที่สองครับ USB Hang-Man อันนี้เพ้อจัด ครับ พอดีใช้แฟลชไดรฟ์ที่มี ปลอกใส่เป็นรูปตัวคน แต่ไม่รู้ ว่าตอนใช้จะเก็บปลอกไว้ไหนดี ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้ ผลงานที่สาม BULBHEAD อันนี้ไอเดียเกิด จากหลอดไฟที่ ข าดแล้ ว ครับ นำ�มาต่อแขนต่อขา ดู แล้วก็ใส่สีเติมลายไปให้ มันหน่อย ก่อนจะจับมานั่ง โพสต์ท่า
ผ ล ง า น ที่ ห้ า SHOCK อัน นี้ ไ อเดี ย มาจาก คุณ DOMO แหกปากแหละ ครับ พอเห็นมัน ปั๊บ ไอเดียก็มา เลย ก็ประมาณนี้แหละ ครับ พพรจ ผล งานก็ ค งจะไม่ ไ ด้ ออกมาเป็ น เวลา เพราะจะเพ้อตอน ไหนก็ไม่รู้
ผลงานที่สี่ Metro Man: WAY? อันนี้ เป็นกึ่งๆ เปเปอร์มาเช่ ครับ ลองเอากระดาษทิช ชู่มาปั้นเป็นคน แล้วจัด ฉากเล็กๆให้
บทคัดย่อ ก็อย่างที่บอกไว้แหละครับ เป็นโครงการเพ้อๆ ที่นำ�เสนอพลังแห่งความเพ้อที่มี ก็เป็นโครงการทดลองครับ มองหาไอเดียจากสิ่งต่างๆ รอบตัว แล้วนำ�มาทำ�เป็นผลงานศิลปะดู
เก็บเล็กผสมน้อย เรื่องน้องหมา เผลอแว๊บเดียว กลิ่นอายปีใหม่ก็จะหมดแล้ว เป็นไงบ้าง ครับ UNDO MAGAZINE ฉบับแรก คอลัมน์เก็บเล็ก ผสมน้อยเรื่องน้องหมา ชอบไม่ชอบยังไงเมล์คุยกันได้ นะครับ ฉบับนี้เลยว่าจะคุยเรื่องน้องหมาที่มาใช้บริการ ที่สระว่ายน้ำ�ของผมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนับว่าเป็นน้อง หมากลุ่มใหญ่ที่มาใช้บริการ ซึ่งกลุ่มนี้จะมากายภาพ บำ�บัดเกีย่ วกับกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็นจากสาเหตุต่างๆ มากมายหนึ่งในนั้น คือกลุ่มที่เป็นโรคข้อสะโพกอักเสบ (Hip Dysplasia) เป็นโรคกระดูกที่พบได้มากในสุนัข พันธุ์ใหญ่ (Giant and large breed) โดยโรคนี้จะ มีพัฒนาการในช่วงที่มีการเจริญเติบโตของกระดูก จึง อาจพบได้ตั้งแต่อายุ 4-12 เดือน
Story by Moobrador
สาเหตุและปัจจัยโน้มนำ� 1. กรรมพันธุ์ มั ก เป็ น สาเหตุ เ ริ่ ม แรกของโรคและมั ก จะเกิ ด ร่ ว มกั บ ปัจจัยอื่นๆ ทำ�ให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น จากที่สังเกต เห็นและศึกษามา พบว่าลูกสุนัขที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ แสดงอาการของโรคอาจป่วยด้วยโรคนี้ได้ ส่วนลูกสุนัข ที่เกิดจากพ่อแม่ที่ป่วยด้วยโรคนี้ โดยมากแล้ว เป็น แทบทุกตัวนะครับ ฉะนั้นเลือกน้องหมาเป็นเพื่อนซักตัว ต้องดูย้อนหลังถึงพ่อกับแม่มันนะครับ
2. อาหาร การให้อาหารเต็มที่ตลอดเวลา ตามความ น่ารักของน้องหมา จะทำ�ให้มีโอกาสเกิด โรคสูงขึ้น ควรให้ปริมาณอาหารเพียง 60-70% ของปริมาณอาหารที่สุนัขกิน ได้ 3. อัตราการเจริญเติบโตและขนาดตัวของ สุนัข ลูกสุนัขที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว และ มีน้ำ�หนักตัวมาก จะมีแนวโน้มเกิดปัญหา ได้มากกว่า
4. สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู ปัจจัยนี้ดูจะเป็นปัจจัยที่เอื้ออำ�นวยต่อการเป็นโรคนี้ได้มาก โดยเฉพาะน้องหมาที่เลี้ยงใน บ้านที่มีพื้นเรียบ ลื่นจะทำ�ให้อาการที่มีอยู่แสดงออกมาได้เร็วและรุนแรงขึ้น ส่วนน้อง หมาที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคข้อสะโพกหากมีการออกกำ�ลังกายมากอาการก็จะแสดงออก มาอย่างรวดเร็วเช่นกัน อาการที่สังเกตุได้ง่าย
1. ความสามารถในการออกกำ�ลังกายลดลง 2. การลุกยืนหรือนั่ง ทำ�ได้ช้าหรือลำ�บากมากกว่าปกติ 3. สุนัขไม่พยายามหรือไม่สามารถกระโดด ก้าวขึ้นหรือลงบันไดหรือรถยนต์ได้ 4. บางครั้งอาจได้ยินเสียงคลิกที่บริเวณสะโพก เวลาสุนัขเดิน 5. ลักษณะการวิ่งจะใช้ 2 ขาหลังก้าวไปพร้อมๆ กัน 6. มีอาการเจ็บขาเด่นชัดมากขึ้นหลังจากการออกกำ�ลังกาย อาจแสดงอาการของขาช้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง 7. สุนัขจะยืนลักษณะหลังงอ กล้ามเนื้อบริเวณขาหลังและสะโพกลีบเล็กลง บางครั้งจะยืนลักษณะขาชิด แต่ปลายเท้าแบะออก โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์หรือเนื่องจากการเลี้ยงดูที่ให้สารอาหารไม่ถูกสัดส่วน กับการเจริญเติบโตของน้องหมา โดยเฉพาะน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ที่ผู้เลี้ยงยังมีความ เข้าใจว่าต้องให้แคลเซียมมากๆ เพื่อสร้างกระดูก แต่แคลเซียมที่ให้มักเกินความพอดี ทำ�ให้เกิดปัญหาโรคข้อสะโพกอักเสบ ตามมา ฉะนั้น ไม่จำ�เป็นอย่าพยายามหาแคลเซียม มาเสริมให้น้องหมาโดยคิดเองว่า จะช่วยให้น้องหมาแข็งแรงมากขึ้น
โรคนี้ เป็นอาการเสื่อมหรือผิดรูปของข้อสะโพก หรือเนื่องจากการเคลื่อนของข้อสะโพกซึ่งจะมีทั้งข้อสะโพก เคลื่อนมากหรือ เคลื่อนน้อย ในรายที่เป็นมานาน เมื่อฉายภาพรังสีจะพบว่ามีแคลเซียมมาเกาะที่บริเวณข้อ สะโพกมากทำ�ให้ข้อสะโพก และบริเวณรอบๆข้อสะโพกเสื่อม โรคนี้จะพบในสุนัขพันธุ์ใหญ่มากกว่าพันธุ์เล็ก เช่น เยอมันเชพเพอร์ด โกลเด้นทรีทรีฟเวอร์ ร๊อตไวเลอร์ เซนต์เบอร์นาร์ด ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ เป็นต้น โดยอาการจะแสดงออกตั้งแต่ยังเล็ก
น้องหมาที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการเจ็บปวดเวลาเดิน ลุกขึ้น หรือนั่งลง มักไม่ค่อยยอมเดินหรือวิ่งเนื่องจาก เจ็บ เมื่อเอ็กซเรย์ในระยะแรก จะพบว่ามีการเคลื่อนหรือผิดรูปของ สะโพก เช่น หัวกระดูกขาที่ต่อกับสะโพก ไม่กลมเหมือนน้องหมาทั่วไป อาจแบน ป้าน หรือหัวกระดูกเป็นเหลี่ยมบางรายกระดูกไม่อยู่ในเบ้า เบ้ากระดูก ตื้น เป็นต้น อาการเจ็บเกิดเนื่องจากกระดูกที่ผิดไปจากปกติ ทำ�ให้เกิดการเสียดสีเวลาเดินมากกว่าปกติ จึง มีอาการอักเสบและเจ็บ น้องหมาบางตัวจะลดอาการเจ็บโดยการกระโดดแทนการเดินหรือวิ่ง ถ้าเดินหรือวิ่ง มากเกินไปเค้าจะเจ็บปวดมากและไม่ยอมลุกขึ้นหรือเดินในวัน ต่อมา ในรายที่เป็นมานานกระดูกอ่อนและข้อจะ เกิดอาการเสื่อมอย่างรุนแรง และมีแคลเซียมมาเกาะที่บริเวณกระดูกและข้อ น่าสงสารครับเวลาขยับทีก็เจ็บ ในรายที่เป็นมานามอาจถึงขั้น ไม่ยอมลุกไปขับถ่าย… ทางรักษามีครับแต่ขอไปทำ�การบ้านหารายละเอียด เพิ่มเติมเกี่ยวกับยาที่จะพอช่วยรักษาในขั้นต้นได้ เอาเป็นติดไว้ก่อนครั้งหน้าจะลงลึกกว่านี้ครับ เข้ามาพูดคุยในคลับ facebook ได้ที่ www.facebook.com/moobrador แต่ถ้าอยากให้น้องหมาได้ออก กำ�ลังกายหรือรับการบำ�บัดอาการข้อสะโพกอักเสบ เข้าไปที่ www.allaboutdoghomespa.com ขอบคุณแหล่งข้อมูล โรงพยาบาลสัตว์ เอ็น พี ถนนแฮปปี้แลนด์ Home