ล่วงเลยมาถึงเดือนสิงหาคม ตั้งแต่เริ่ม ทำ� UNDO Magazine มาจนถึงวันนี้ พี่ีมีโอกาสได้ พบปะพูดคุยกับผู้คนหลากหลายอาชีพ หลากหลาย แนวคิดได้รู้ถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย รู้ถึงความ ตั้งใจในการทำ�งาน การคิดอย่างเป็นระบบ จนมาเป็นที่มาของ UNDO Magazine ที่ พี่ต้องการนำ�เสนอกลุ่มคนทำ� Magazine ภายใต้ ธีมเล่มว่า “The Making of … Magazine” คน ทำ� Magazine ทั้ง 3 หัวหนังสือ ทั้ง แป้ง ณัฐ จรัส เองมหัสสกุล (Computer Arts Thailand) , ทีมงานหนังสือ ฮิกาซีน และ พี่ก้อง ทรงกลด บาง ขี่ยัน บ.ก. a day magazine แต่ละคนต่างมี แนวคิดและมุมมองการนำ�เสนอเนื้อหา การทำ�งาน Magazine ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีละครเวที “สุข ศาลา” จากน้องๆ วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่พี่เคยไปพูดเรื่องการทำ� Magazine ใครชอบเนื้อหาแนวฆาตกรรมไม่ควร พลาด นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวจากเหล่าคอลัมนิสต์ ของเราอีกมากมายให้ติดตาม
ศักดิ์ชัย ปิยะบูรณ์ Sakchai Piyaboon Editor-In-Chief
พื้นที่สุดท้ายนี้ พี่ขอไว้อาลัยแก่ น้องเนะ สริตา ธำ�รงศรีสกุล รุ่นน้องที่ มศว. ประสานมิตร เราไม่ได้คุยกันนานตั้งแต่เรียนจบ ได้คุยกันเพราะน้อง เนะส่งคอลัมน์ดูแลสุขภาพมาให้พิจารณา ซึ่งครั้งแรก ที่เห็นบทความ บอกตรงๆว่า ชอบมากๆ แต่ไม่เคยคิด ว่า มันจะเป็นสัญญาณของการจากไปของน้องเนะจน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 ได้รับทราบข่าวการเสีย ชีวิต ก็ใจหายเหมือนกัน อยากให้น้องเนะรู้ว่า น้องเนะเป็นคนดีที่ห่วง ใยผู้อื่น งานเขียนของเราจะถูกถ่ายทอดให้แก่ทุกคนที่ ได้อ่าน จะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้แก่ทุกคนแน่นอน พี่ลงคอลัมน์ของเราตามที่พี่สัญญาไว้แล้ว น้องหลับ ให้สบายนะ
free on your style เปิดพื้นที่สำ�หรับนักเขียนหน้าใหม่ที่ต้องการนำ� เสนอเรื่องราวของตัวเอง ผ่านงานเขียนบทความ เรื่องสั้น ภาพถ่าย งานศิลปะ งาน Illustrator , Animation , Motion Graphic และหนังสั้น ฯลฯ ผลงานของน้อง ๆ จะได้เผยแพร่ใน undomag และ undomag+ undomagazine@gmail.com
03 06 08 24 27 36 37 38 55 56
EDITOR TALK MUZIK : ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว STUDENT LIFE : YELLOWSTONE NATURAL PARK : PART I LIFESTYLE : SHALL WE READ? เรื่องสั้น : 8x3 = 24 MOVIE : HOPE SPRINGS / TED WEB : INSPIRE-ONLINE : DIYSTYLIST PHUKET BACKPACKER : VOLUME 3 BOOK : REWORK ยกเครื่องความคิด HEALTHY : TIPS FOR HEALTHY MIND AND HEALTHY BODY
INTERVIEW
ณัฐจรัส เองมหัสสกุล / COMPUTER ARTS THAILAND COOKING : ไข่พะโล้นกกระทา เรื่องสั้น : THE FACE OF THE INVISIBLE แค่โลกมันกลม สกู๊ป : สุขศาลา ละครเวที วารสารฯ ธรรมศาสตร์ GAME : DIABLO III FREE ON YOUR STYLE : INTERVIEW WITH สิตานัน คำ�สิทธ์ เรื่องสั้น : ต้นฉบับของฉัน กับ สนพ. ที่ 18 ธรมมะ : สัพเพเหระกับความตาย ตอนที่ 1 ดูดวง
60 66 76 92 96 103 108 112 114
QUILT ART / หอบผ้ามาห่มใจ
INTERVIEW
พี่ก้อง ทรงกลด บางขี่ยัน
INTERVIEW
web www.undomag.com facebook www.facebook.com/undomagazine twitter undomagazine issuu issuu.com/undomagazine
ฮิกาซีน
Editor in Chief
ติดต่อโฆษณา
Sakchai Piyaboon
UNDOMAGAZINE@ GMAIL.com
Consults
Sombat Piyaboon Surapong Thammabuht Apinantn S.Pruek
Interviewer
Iggy de guy / Atom
FASHION
Graphic Designer
Sakchai Piyaboon
All rights reserved. No part of this publication may be reproduced in whole or in part without permission from publisher. The views expressed in Undo Magazine are those of the respective contributors and are not necessarily shared by the publisher.
design cover : Benjarat font : circular / superstore / coolvetica / kunlasatri / TitilliumText / 2005_ iannnnnSMS / Kruengprung
Kik สาวโฆษณา ด้วยไลฟ์สไตล์ชอบ Hang Out กับกลุ่มเพื่อน ใจรัก การทำ�อาหาร หลากหลายเมนูที่เคย ผ่านสายตา จึงไม่พลาดที่จะชวนมา ถ่ายทอดสูตรอาหารดี ๆ needalittletimeto-wakeup Wissarut Bunmee นักเขียนหน้าใหม่นำ�เสนอมุมมองดนตรีมากมาย วิศรุต บุญมี DayWalker บัณฑิตหนุ่มคณะรัฐศาสตร์ ผู้มีความฝันอยากเป็น ชายหนุ่มผู้ให้ความสำ�คัญกับชีวิต เปิด นักวาดการ์ตูนภาพ และถ่ายทอดประสบการณ์ผ่าน กว้างกับศิลปะทุกรูปแบบ รักเด็กและสุนัข ตัวหนังสือ ตัวเล็ก ๆ
Sasiwimol Sujit
ศศิวิมล สุจิต
Sarita Thamrongsrisakul
สริตา ธำ�รงศรีสกุล
นักเเขียนหน้าใหม่กับเรื่องราวการดูแลสุขภาพ
สาวน้อยกับผลงานจิตรกรรมผ่านงาน ปักผ้า
Sasiwimol Sujit (Pang)
Rawin Cheasagul
ศศิวิมล สุจิต
ภู หนุ่มน้อยที่ไปศึกษาปริญญาโทต่อที่อเมริกา จะมาเล่าเรื่องราวตั้งแต่การใช้ชีวิตของนักศึกษา และการท่องเที่ยวในแง่มุมต่างๆ ปัจจุบันอยู่ที่ Columbia, Missouri
สาวน้อยกับผลงานจิตรกรรมผ่านงาน ปักผ้า
Pitchanut Nueangjamnong
พิชญ์ณัฐ เนื่องจำ�นงค์
นักฝันมืออาชีพ ผู้หลงรักการเดินทาง บันทึกภาพ และถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือ
Piraya Nuchumpunth พิรญาณ์ นุชอำ�พันธุ์ หญิงสาวผู้หลงใหลในศิลปะและบทกวี มีความสุขกับการก้าวตามความฝันให้ เป็นจริง ในปัจจุบันเขากำ�ลังวนเวียน อยู่กับการอ่าน การวาด และการ เขียนอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้
Neng แอร์สาวกับการถ่ายทอด เรื่องราวแนวธรรมมะ
Napussanun Vanahirun Iggy de Guy นักเขียน/ศิลปินอิสระ ในอดีต เคยออกเดินทางฝึกวิชาอยู่ใน ภูเก็ต และหลังจากที่ค้นพบ สัจธรรมของชีวิตแล้ว ในปัจจุบันเขากำ�ลังวนเวียน อยู่กับการอ่าน การวาด และ การเขียนอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งบน โลกใบนี้
นภัสนันท์ วนาหิรัญ
สาวยุคใหม่ หลงใหลไอที เปิดโลกกว้าง แชร์ไอเดีย เพียงแค่คลิก
Suwanit Downing Natgrita Asavamaneekul สาวสวยผู้ยอมเสียสละเวลาอันมีค่า ให้ ณัฎฐ์กฤตา อัศวมณีีกุล kathy เกียรติมาเขียนเรื่องราวการท่องเที่ยวและ Fashion is what you adopt when you don’t knowRjwho you are. ม.บูรพาางๆชอบการแต่ ใช้ชีวิตที่ Australia ปัจจุบันเธออยู่ท่ี แฟชั่นจะบ่งบอกถึงความเป็นตัสาวนิ วคุณเทศฯ lifestyleต่ แฟชั่นไม่งมตัีควำ�ว่แฟชั าผิด่นแต่อาจมีมุมมองที่ Mix &าทีMatch ผ้าใก้เข้าตาม าสไตล์ตัวเอง Melbourne รับงานอิสระกับ บริษัทโฆษณา แตกต่างกันออกไป แล้และการ วแต่ว่าใครกล้ ่จะแสดงตัเสืว้อตนออกมามากกว่ สไตล์ตัวเอง ชื่อดังใน Melbourne และ Sydney
ในยามที่สังคมไทยกำ�ลังป่วยด้วยหลายสาเหตุ ผู้คนล้วนดิ้นรนหาหนทางให้กับตัวเอง การแบ่งปัน ความ มีน้ำ�ใจแก่กันเริ่มหายไปจากสังคม วัตถุกลายเป็นเครื่อง บ่งชี้สถานภาพการมีตัวตนอยู่ในสังคม หาใช่ด้วยความ ดีงามอย่างเช่นเคย ศาสนาซึ่งถือเป็นตัวแทนแห่งความดี งาม และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนมาตั้งแต่โบราณ ถูกละเลย และนั่นเอง คือประตูสู่ยุควิบัติที่กำ�ลังคืบคลาน สู่เราทุกคนอย่างช้าๆ ในวงการดนตรี ศิลปินกลุ่มหนึ่งมองเห็นถึง ความสำ�คัญของหลักธรรมคำ�สอนทางศาสนา และคิดว่า สิ่งนี้สามารถเยียวยาสังคมของเราที่กำ�ลังเจ็บป่วยอย่าง รุนแรง ให้ทุเลาลงได้ กระทั่งผลิตผลงานศิลปะในแบบ ของเสียงดนตรีตามทางถนัด นำ�เสนอทางออกเล็กๆ ให้ กับสังคม บ่มเพาะความคิดจากงานเขียนและสื่อธรรมะ ของพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ (พ.นวลจันทร์) กลั่นกรองกลายเป็นอัลบั้ม ‘ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว’ อัลบั้ม ‘ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว’ ประกอบด้วย 6 เพลงจาก 5 ศิลปินที่จะพาทุกๆ คนเข้าดื่มด่ำ�อีกด้านหนึ่ง ของการสื่อสารธรรมะสู่มวลชน เริ่มเพลงแรกกันด้วย ไตเติลแทร็ค “ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว” ผลงานจากวง “เร้ก เก้” รุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง “ศรีราชา ร็อกเกอร์ (Srirajah Rockers)” ที่เด่นชัดในแนวทางสไตล์ดนตรีของตัวเอง เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวการใช้ชีวิตในอีกด้านมุมหนึ่งซึ่ง หลายคนอาจมองข้ามหรือหลงลืมไปอย่างน่าเสียดาย เสียงร้องของ “วิน” นักร้องนำ�และมือกลองยังคงเป็นจุด เด่นเหมือนเคย เช่นเดียวกับโครงสร้างดนตรีในแบบ “เร้ก เก้ ดั๊บ” พลิ้วไหวสวยงามไปตามไลน์เบส กลอง และเสียง สังเคราะห์จากคีย์บอร์ดอันเป็นเอกลักษณ์ เสียงกีต้าร์ สร้างสีสันพอโยกตามได้แบบเบา-เบา พลิ้วไหวแบบได้สาระ พร้อมแง่คิดที่ดี เหมาะสำ�หรับทุกๆ คนไม่เฉพาะแต่เพียง กลุ่มหนุ่มสาวที่กำ�ลังมองหาอีกหนทางใหม่ๆ ในการเข้าสู่ หลักธรรมคำ�สอนที่ดีงาม เข้าสู่แทร็คที่สอง “ไม่มีของใคร” งานจากวง ดนตรียอดฝีมืออย่าง “เครสเชนโด้” (Crescendo) จริงๆ จะเรียกวงดนตรีวงนี้ว่าเป็น “ซุปเปอร์กรุ๊ป”
ต้อนรับเทศกาล ‘เข้าพรรษา’ ด้วยอัลบั้มธรรมมะ ‘ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว’ เครสเชนโด้ในแบบที่เราคุ้นเคย โครงสร้างดนตรีแทบหา ที่ติไม่เจอ ทีมริธึ่มเซคชั่นต่าง ทำ�หน้าที่ของตัวเองได้อย่าง สุดยอด ไลน์เบสของนรเทพ มาแสงยังคงแพรวพราวอยู่ เสมอ เช่นเดียวกับเสียงกีต้าร์ของแชมป์ (ชินพัฒน์ หงส์ อัมพร) เคลียร์ชัด สะอาดสะอ้านชัดเจนเม็ดต่อเม็ด โดด เด่นและกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับดนตรีโดยรวมไปในเวลา เดียวกัน...อย่างความหมายของคำ�ว่า “ทีมเวิร์ก!” ด้านเนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวความรัก การแบ่ง ปันซึ่งกันและกันของผู้คน อย่างคำ�ร้องของนัท (ชาติชาย มานิตยกุล)ที่ว่า “ร้องเพลงด้วยกัน มาแบ่งปัน ไม่มีของ ฉัน-ไม่มีของเธอ โลกจะเบิกบาน ใจปล่อยวาง ในสิ่งที่คิด ว่าเป็นของเรา” บ่งบอกแนวความคิดที่อยู่บนพื้นฐานแห่ง การก้าวไปข้าวหน้าด้วยกันอย่างแท้จริง เข้าสู่แทร็คที่สามเป็นผลงานของวงดนตรีป็อป ร็อคที่สร้างเซอไพรส์ให้ผมไม่น้อยทีเดียว กับผลงานของ วง “So cool” ในบทเพลง “รักกลายเป็นร้าย” ป็อปร็ อกอกหักฟังติดหูตามสไตล์ถนัด เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราว ความเป็นไปของความรักในทาง “ธรรม” ว่าท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้รักกันมากมายเพียงใด หากวันเวลาเปลี่ยน จิตใจ คนก็เปลี่ยนตามได้ไม่ยาก กลายเป็นความร้ายที่มีให้แก่ กัน เสียงโซโล่อคูสติกกีต้าร์ฟังหวานหูแต่ไม่เลี่ยน น้อย แต่ได้มาก พอเหมาะพอดีกลมกล่อม เป็นอีกหนึ่งรสชาติ ที่ต่างออกไปจากแนวดนตรีโดยรวมกลายเป็นเพลงป็อป ที่สุดในอัลบั้ม หากแต่ความน่าสนใจไม่ได้ลดน้อยถอยลง เลยแม้แต่น้อย
Story by needalittletimeto-wakeup
จากนั้นต่อกันด้วยงานเพลงของ Desktop Error วงดนตรีแห่งความ “ล่องลอย” ในแบบของ “shoegazer” จากค่ายดนตรีอิสระน่าสนใจ So:on Dryflower Desktop Error นำ�เสนอบทเพลง “ปัจจุปัน นา” ตัวดนตรีฟังแล้วชวนให้คิดถึงวงดนตรีอย่าง Happy Monday, The Chalatans, Radiohead และวง ดนตรีอังกฤษอีกหลายๆ วง เสียงร้องของเล็ก (สมโภช กองไพบูลย์) ยังคงล่องลอยตามทางถนัด ไลน์กีต้าร์ สามประสานสอดคล้องกับเสียงสังเคราะห์จากคีย์บอร์ด กลมกลืนสวยงาม-อย่างสายน้ำ�ใสไหลเอื่อยผ่านลำ�ธาร เล็กๆ ที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีโอบรัดมวลหมู่ดอกไม้หลายสี สุดสายตาเป็นแบ็กกราวด์ ท่อนแยกเสียงกีต้าร์โดดเด่น ก่อนซัดกันหนักอย่างคลื่นมหาสมุทรโถมเข้าหาฝั่งในช่วง สุดท้ายของบทเพลง เบส กลอง ให้จังหวะรุกเร้าอารมณ์ พุ่งไปข้างหน้าตลอดเวลา สวยงามอย่างรุนแรงไปในเวลา เดียวกัน เนื้อหาว่าด้วยการใช้ชีวิตให้มีสติตั้งมั่นอยู่ กับปัจจุบัน ละทิ้งเสียซึ่งอดีต ไม่กังวลกับอนาคตที่ ไม่สามารถล่วงรู้ อย่างท่อนร้องที่ว่า “เพราะเวลาที่ หมุนเวียนเปลี่ยนไป ส่วนลึกข้างในจิตใจ มีความว่างเปล่า และแม้ไม่เป็นอย่างฝันไป สุขแท้คือลมหายใจ ที่ฉันมีเธอ...” ก่อนคลื่นและลมกรรโชกของทุกตัวโน๊ตจะสงบ ผมพบว่าจิตใจได้ล่องลอยไปไกลในดินแดนแห่งความฝัน เสียแล้ว.. จบจากงานของ Desktop Error ผ่อนคลาย อารมณ์กระเจิดกระเจิงลงเล็กน้อยด้วยผลงานลำ�ดับ ที่ 5 จากวงดนตรีทรีโอ “Plot” อีกหนึ่งวงดนตรีจาก So:on Dryflower ที่มากับเพลง “มาเถอะมากลับบ้าน” โครงสร้างทางดนตรีน่าสนใจ ไดนามิคของตัวเพลงสลับ ช้า-เร็วสร้างองค์ประกอบสวยงาม อุปมาอย่างอ่านเรื่อง สั้นสนุกๆ โดยที่เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าย่อหน้าถัดไป จะเป็นเช่นไร ซึ่งชั้นเชิงลีลาการทำ�เพลงของพวกเขาน่า ติดตาม-สร้างความต่างให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของเนื้อหาอย่างกับปรัชญาการใช้ชีวิต แบบสูงสุดคืนสู่สามัญ ภายนอกรอบกายหากช่างดูหดหู่ ยากไร้ซึ่งแสงสว่าง บางทีการได้อยู่กับตัวเอง ครุ่นคิด หาหนทางอย่างตกผลึก บางทีการได้อยู่กับตัวเองอาจ กลายเป็นสิ่งสำ�คัญที่สุดในการใช้ชีวิตของคนเรา ...มากกว่าสิ่งเร้ารอบกายที่ไม่ได้ดำ�รงอยู่จีรัง เข้าสู่แทร็คที่ 6 กับผลงานของ Srirajah Rockers อีกครั้งในเพลง “ธุลีดิน” เพลงดั๊บล่องลอยเคลิบเคลิ้มครุ่นคิดการใช้ชีวิตอย่างละเอียดลออ บางทีชีวิตคนเรา ก็แค่เพียงฝุ่นผงที่ล่องลอยไปในอากาศ ไม่ได้ยิ่งใหญ่มี ค่าเกินกว่าธรรมชาติอันเป็นที่สุดของทุกสิ่ง หากแต่คิด ในแง่ดีหากชีวิตคนเราเปรียบดังฝุ่นผงที่ล่องลอย บางที เราอาจพบว่า การได้อยู่กับความเป็นปัจจุบัน ไม่ยึดติดกับ อดีต ไม่กังวลกับอนาคต นั่นแหล่ะคืออิสรภาพที่แท้จริง เข้าสู่แทร็คสุดท้ายเป็นการบันทึกเสียงของ พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ เล่าถึงการวาง แนวความคิด และที่มาของการทำ�อัลบั้มนี้ คล้ายการ บอกบุญให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้เข้าถึงรสแท้ของ พระธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถสนองตอบ อัธยาศัยอันหลากหลายของผู้คนได้เป็นอย่างดี (ส่วน ตัวคิดว่าหากนำ�แทร็คนี้ไปไว้ในลำ�ดับแรกน่าจะสร้างความ เข้มให้กับตัวงานเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย)
อย่างไรก็ตามโปรเจคต์ดีๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไร้ซึ่งผู้จุดประกายไฟอย่างบุรินทร์ ปัณฑุยากร (www.facebook.com/burin.puntuyakorn) ผู้นำ�เสนอแนวคิดพร้อมชักชวนเพื่อนนักดนตรีมา ร่วมสร้างสรรค์สิ่งดีๆ สู่สังคมร่วมกัน ดาวน์โหลดผลงานทั้งหมดแบบฟรี ๆ เพื่ออิ่มบุญ อร่อยหูเป็นธรรมทานกันถ้วนหน้าได้ที่ http:// bit.ly/pXxcsm หมายเหตุ ต้นฉบับนี้ปรับปรุงจากข้อเขียน “(เพราะ) ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว” ใน www.musicexpress. in.th เพื่อต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษาที่กำ�ลังเริ่มขึ้น ในเดือนสิงหาคมนี้
YELLOWSTONE National Park : PART I
สวัสดีเดือนสิงหาคม ชาว Undomagazine ทุกท่านครับ เริ่มเข้าหน้าฝนกันอย่างเต็มตัว แล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพทั้งตัวเอง และคนที่คุณ รักนะครับ ว่างๆก็ส่งแรงใจไปเชียร์นักกีฬาไทย ที่แข่ง Olympic กันอยู่ หวังว่าตอนที่ Undomagazine ฉบับนี้ตีพิมพ์ คนไทยเราจะได้ เหรียญ Olympic มาครอบครองกันให้ชื่นใจ หลายๆ เหรียญเลย แต่ก็อย่ามัวดูกันเพลินจนไป ทำ�งานกันไม่ไหวนะครับ ^^
Story & Photography by
Rawin Cheasagul
ต่อจากฉบับที่แล้วได้อิ่มเอมไปกับ ทัศนียภาพของภูเขาไอซ์ซิ่ง (ภูเขาที่มีหิมะ ปกคลุม), ทะเลสาบสีฟ้าครามและป่าสนแล้ว เรา ก็ออกเดินทางต่อไปยัง Yellowstone National Park ซึ่งระยะห่างระหว่างสองอุทยาน นี้ ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ จะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ขับเรื่อยๆ สบายๆ ครับ จะมีวิวช่วงนึง น่าเบื่อหน่อย เพราะเป็นที่ราบเรียบไปหมด ถนน ก็ตรงดิ่งยาวเลย เป็น 30-40 ไมล์เลย (5070 กิโลเมตรโดยประมาณ) คือ ถ้ามีตำ�รวจ จอดรถจับความเร็วอยู่ก็เห็นแต่ไกลแน่นอนครับ เพราะว่าไม่มีต้นไม้หรือมุมให้หลบเลย เลยได้ขับ รถเร็วที่สุดเท่าที่เคยขับมาในชีวิตเลยครับ คือ ขับไปเกิน 100 miles/h หรือมากกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือ ถ้าเกิดโดนจับนี่ เข้าคุก อย่างเดียวเลย (ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่างอย่างแรง นะครับ) ที่อเมริกา ผมไม่ค่อยแน่ใจ ว่าขับเร็ว กว่า Speed limit ที่เค้าตั้งไว้เท่าไหร่ ถึงจะติด คุก แต่เส้นที่ผมขับ รู้สึกว่า Speed Limit จะ ประมาณ 70-75 ไมล์ต่อชั่วโมง ผมขับไปเกิน 100 นี่ไม่ต้องสืบเลยทีเดียว แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆ ครับ ใจไม่ถึงเหยียบต่อยาวๆ มีอีกสามชีวิต นั่ง หลับอยู่ด้วยในรถ กว่าจะได้ออกจาก Glacier National Park ก็เกือบเที่ยงละครับ เลยถึง Yellowstone ค่อนข้างช้า แถมตอนไปถึงยังโดนพายุ กระหน่ำ�อีกต่างหาก ทั้งลมทั้งฝนทั้งทราย คือ ลองจินตนาการกันดูนะครับว่า ผมเปิดประตูรถ แทบไม่ได้ เพราะลมดัน พอเปิดออกไปได้ก้าวลง จากรถไปได้ขาเดียว ลมตีประตูรถกลับมาหนีบขา ตัวเองอีก เจ็บมากกกก T^T คืนนั้นไฟดับทั้ง คืนเลยครับ ทางอุทยานให้แท่งๆ เรืองแสงที่เรา ต้องหักมันก่อน มาห้องละหนึ่งอัน… ตอนตื่นเช้า มาไปถ่ายรูปเนี่ยหละครับ ถึงจะได้เห็นว่า Yellowstone จริง ๆ หน้าตาเป็นยังไง
สำ�หรับ Yellowstone National Park เป็น National Park แห่งแรกของโลก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1872 อุทยานแห่งชาติมี ขนาด 8,983 ตารางกิโลเมตร ใหญ่ประมาณ 6 เท่าของกรุงเทพมหานครเลยทีเดียว กินเนื้อที่สาม รัฐนั่นก็ คือ Idaho, Montana, และ Wyoming จุดเด่นที่สุดของ Yellowstone น่าจะมา จากสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย และอากาศที่ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถึงขนาดว่า หิมะสามารถตก ได้ตลอดเวลา Yellowatone National Park ถึง แม้ว่า ทางอุทยานแห่งชาติจะเขียนประกาศไว้ ใน Website ว่า เปิดตลอดทั้งปี แต่จริงๆ แล้ว ถนนเปิดเฉพาะถนนเส้นหลักซึ่งผ่านที่เที่ยวอยู่ไม่ กี่ที่เท่านั้น แถมโรงแรมที่พัก รวมไปถึง Campground ส่วนใหญ่ก็ปิด ต้องขออนุญาตและ ด้วย Snow Mobile อย่างเดียว ซึ่งค่าเช่าแพงมากกก เวลาที่จะไปเที่ยวได้ดีที่สุดก คือช่วง Summer คือ ประมาณช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน เป็นอย่างช้า การเตรียมความพร้อมพวกเสื้อผ้า ที่จะใช้ค่อนข้างจะยาก เพราะอากาศในหนึ่งวัน ตอนกลางคืนกับตอนกลางวันต่างกันมาก โดย เฉพาะตอนเช้ามืด เพราะฉะนั้น ของที่ขาดไม่ได้ เลยคือเสื้อกันหนาวครับ ขนาดผมไปหน้าร้อน แต่ ตอนเช้า อากาศก็ยังหนาวมาก ประมาณว่า เลข ตัวเดียวกันเลย ผมโชคไม่ดี เตรียมเสื้อกันหนาว ไว้ก่อนออกจากบ้าน วางเอาไว้พร้อมกับกล่อง Memory Card ของกล้อง ปรากฏว่า ลืมเอา มาทั้งคู่ T^T สุดท้ายเลยต้องเอาเสื้อผ้าที่เตรียม มาทั้งหมดมาใส่บนตัวครับ ถึงจะเอาอยู่ ยืนถ่าย ภาพไปก็สั่นไป แถมยุงเยอะมากด้วย เช้าวันแรก ผมกับเพื่อนอีกคน ไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นกัน ที่ Yellowstone Lake ส่วนสมาชิกอีกสองคน ที่เหลือ ยังไม่ตื่น ฮาาาา เวลาผมไปเที่ยว จะไม่ บังคับทุกคนให้ตื่นเช้าครับ ส่วนใหญ่ใครอยากตื่นก็ ตื่น ถ้าไม่ตื่นก็ไม่ว่ากัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้ตื่น สายนะครับ ยังไงๆ ก่อนแปดโมงเช้า ทุกคนต้อง พร้อมอยู่ดี ^^
หลังจากทนยุงกันได้พักใหญ่ ถ่ายรูปกันเป็นที่ พอใจ ก็ได้เวลากลับไปโรงแรม ระหว่างทางถึงจะได้สังเกต เห็นครับ ว่าทางที่มาผ่านเจ้าควาย Bison ไปตั้งหลาย ฝูง ขากลับกว่าจะถึงโรงแรมเลยนานหน่อย ตื่นเต้นมาก ครับ เห็นครั้งแรกสองสามตัว จอดรถถ่ายใหญ่เลย พอ ขับเลยไปได้นิดนึง… เอ่อ เป็นฝูงใหญ่เลย ลูกเต้าเหล่ากอ มากันครบ ค่อยๆ ข้ามถนนไป เล่นไป รถติดยาวเป็นทาง เลย ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะบีบแตร แต่ก็แน่หละครับ ควาย ตัวใหญ่หนักเป็นตันสองตันขนาดนั้น รถเก๋งธรรมดาๆ นี่ เบากว่ามันแน่ๆ ก็รอกันไปครับ แรกๆ คนก็ลงจากรถไป ถ่ายรูปกันใหญ่ แต่ถ่ายได้ไม่นานฝนก็ตก TT^TT เลย ต้องวิ่งขึ้นรถ อากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ ครับ หลัง จากกลับมาโรงแรมก็นอนรอฝนหยุดเล็กน้อย แล้วก็ออก เดินทางไปเที่ยวภายในอุทยาน ที่แรกที่แวะไปเลย คือ Norris Geyser Basin ซึ่งเป็นบริเวณที่มีพวกบ่อน้ำ�พุร้อน อยู่เยอะมากๆ เป็นจุดที่ร้อนที่สุดในอุทยาน คำ�ว่า Geyser ที่แปลว่า น้ำ�พุร้อน แต่ที่นี่จะพุ่งขึ้นสูงจากพื้นเยอะครับ ไม่ เหมือน Hot Spring ที่เป็นบ่อเฉยๆ คำ�นี้อ่านออกเสียงว่า ไกเซอร์นะครับ ผมไม่รู้ไปเอามาจากไหน อ่านเป็นเกเซอร์อยู่ ตั้งนาน เอาไปถามเจ้าหน้าที่อุทยาน เค้างง! TT^TT
ใช้เวลาอยู่ที่นี่กันอยู่นานเลย ต่างคนต่างเดิน ครับ กลิ่นในอุทยานนี่แรงมากกกก เพราะมีปริมาณของ กำ�มะถันสูงมากๆ บางส่วนก็มีกลิ่นเหม็นจากแก๊สไข่เน่า บางส่วนกลิ่นไม่แรง แต่แสบจมูกมากเลยทีเดียว แถมหลัง พระอาทิตย์ขึ้นนี่ เสื้อผ้าต้องถอดออกทีละชั้นๆ เลยครับ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนร้อนมาก หลังจากที่นี่ เราก็มุ่งหน้าสู่ Midway Geyser Basin กันต่อ เพื่อที่จะดู Grand Prismatic Spring บ่อน้ำ�พุร้อนหลากสี มีขนาดใหญ่ ที่สุดในอเมริกา และใหญ่เป็นอันดับสามของโลก สีสันที่เกิด ขึ้น เกิดจากแบคทีเรียบริเวณขอบบ่อ ที่มีสีตั้งแต่เขียว ส้ม ไปจึงถึงแดง ส่วนตรงกลางๆ บ่อจะปลอดเชื้อเพราะมีความ ร้อนสูง แต่ด้วยความลึกและความบริสุทธิ์ของน้ำ�ที่ใจกลาง บ่อ ทำ�ให้เกิดเป็นสีน้ำ�เงินเข้ม น่ามหัศจรรย์มากๆ ครับ ยิ่งมาเดินอยู่ที่ขอบบ่อด้วยตัวเองแล้ว ยิ่งบรรยายไม่ถูก เลยครับ เคยใฝ่ฝันที่จะมาที่นี่มานานมาก ตั้งแต่เด็ก ได้ดู สารคดีเกี่ยวกับที่นี่แล้วแอบฝันเล็ก ๆ ว่าต้องมาให้ได้ ^^
หลังจากนั้นเราก็ไปกันต่อที่ Upper Geyser Basin เพื่อที่จะดู Old Faithful Geyser ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ Yellowstone National Park ที่ได้ชื่อนี้ เพราะว่าน้ำ�พุร้อนแห่งนี้จะประทุ พ่นน้ำ�ร้อนและ ไอน้ำ�ออกมาตรงเวลามาก คลาดเคลื่อนแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ระหว่างที่ สอบถามข้อมูล เจ้าหน้าที่ได้กระโกนมาบอกว่า กำ�ลังจะมี Geyser อีก อันชื่อว่า Beehive Geyser จะ Active ซึ่งอันนี้ ไม่สามารถทำ�นาย ล่วงหน้าได้ และใหญ่กว่า Old Faithful มาก ๆ ถือว่าโชคดีมากครับ เพราะหลังจากดูทั้งคู่เปรียบเทียบกันแล้ว Beehive ใหญ่กว่ามาก พวก ผมเลือกตำ�แหน่งที่นั่งอยู่ค่อนข้างไกลเลยทีเดียว แต่มีคนอีกกลุ่มนึง ไป รอดูใกล้ๆ… ใกล้มากๆ ประมาณขอบๆ ช่องน้ำ�พุเลยทีเดียว พอถึงเวลา ปรากฎว่า วิ่งกันอลหม่านเลยครับ น้ำ�พุร้อนมันร้อนและไปไกลกว่าที่คิด ฝรั่งที่นั่งรอบ ๆ ผมก็พูดกันว่านักท่องเที่ยวเนี่ยน้า เค้าเตือนแล้วว่าอย่า ไปใกล้ๆ ก็ไม่ฟัง เป็นไงหละคราวนี้ ทั้งร้อน ทั้งเปียกกันถ้วนหน้าเลย
ดูน้ำ�พุร้อนกันเสร็จ ก็ขับรถไปจุดต่อไปครับ เป็นภูเขาที่อยู่ ด้านหลัง Grand Prismatic Spring ผมอ่านหนังสือเจอว่า เรา สามารถเดินขึ้นเขาไปได้ เพื่อที่จะดูบ่อน้ำ�พุร้อนจากมุมสูง แต่ทางขึ้นจะ เป็น Off-Trail นั่นก็คือ ไม่มีทางเดินที่ทางอุทยานทำ�ไว้ให้ครับ ต้อง เดินขึ้นไปเอง ภูเขาค่อนข้างชันบวกกันพื้นที่เป็นทราย เลยคุยกับเพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันว่าจะเอายังไง ได้ข้อสรุปว่า มีหนึ่งคนที่จะไม่ขึ้นเขา แต่จะเดิน เข้าไปใน Trail เพื่อจะดูน้ำ�ตกด้านใน อีกคนรอข้างล่าง เพราะคิดว่าไม่ น่าจะขึ้นไหว ส่วนผมกับเพื่อนอีกคนก็ ปีนโลดดดด ทุลักทุเลมาก ตอน นั้นผมใช้กระเป๋ากล้องสะพายข้าง เลยค่อนข้างลำ�บากทีเดียว กว่าจะขึ้น ไปถึงด้านบนก็ต้องดูรอยเท้ารอยคนเดินไปเรื่อย ๆ แต่วิวที่เห็น ถือว่าคุ้ม ค่าหายเหน่ือยมาก ๆ ครับ เสียอยู่อย่างเดียว ผมรู้สึกลำ�บากมาก กว่า จะปีนถึงข้างบนยอด แต่กลับมีฝรั่งครอบครัวหนึ่ง เดินขึ้นมาสบาย ๆ พ่อแม่ลูก แถมพ่อกับแม่ยังถือแก้วกาแฟมาคนละแก้วอีกต่างหาก ไอ้เรานี่ ใช้ทั้งสองมือทั้งปีนทั้งดึงตัวเองขึ้นเขา - -“ เวลาไปเที่ยวที่นี่ ชอบมีอะไร มา Surprise ตลอด ^^” หลังจากดื่มด่ำ�กับวิวเต็มที่แล้ว ก็ได้เวลาปีน ลงเขาครับ ในเล่มหน้า มีเรื่องหน้าตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกแล้ว ยังไงรบกวน ติดตามกันต่อไปนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ส่วนฉบับนี้ ขอลาแต่เพียงเท่า นี้ สวัสดีครับ _/|\_
interview with pang
computer arts thailand
Interview by iggy
de Guy
ผมเคยอ่านเจอข้อความหนึ่ง ขออภัย ที่จำ�ชื่อผู้เขียนไม่ได้ และจำ�ข้อความนั้นได้แบบ เลือนราง ใจความนั้นมีอยู่ว่า “เวลาที่เราคุยกับ คนทำ�หนังสือ เราจะรู้สึกเหมือนกับว่ากำ�ลังอ่าน หนังสือ”... มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ และกับการ ที่ผมได้พูดคุยกัผู้หญิงคนหนึ่ง มันยิ่งทำ�ให้ผมมั่น ใจยิ่งๆ ขึ้นไปอีกว่า ข้อความที่ผมได้อ้างไปนั้น มัน จริง จริง และจริง... บุคคลที่ผมกำ�ลังจะกล่าวถึง ในครั้งนี้ เธอมีชื่อว่า แป้ง - ณัฐจรัส เองมหัส สกุล บอกชื่อนี้ไปอาจจะสงสัยกันนิดหน่อยว่าเธอ เป็นใคร แต่ถ้าบอกว่าเธอ คือ บรรณาธิการแห่ง นิตยสาร Computer Arts Thailand คิดว่า หลายๆ คนก็คงจะรู้จักกันดี การที่ได้ฟังสิ่งต่างๆ จากผู้หญิงคนนี้ ขณะที่กำ�ลังนั่งฟัง ผมรู้สึก เหมือนกับว่า มีคนหยิบหนังสือที่ชื่อ ณัฐจรัส เอ งมหัสสกุล มาอ่านให้ผมฟัง นอกจากจะมีเนื้อหาที่ ครอบคลุมจนเรียกได้ว่า ผมแทบจะนึกไม่ออกว่าจะ ถามอะไรดี แถมยังมีการใช้คำ� ใช้สำ�นวนที่ผมได้ยิน แล้วต้องอุทานในใจว่า “เฮ้ย เจ๋งอะ!” ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเธอ ผม ขอเล่าเรื่องของ Computer Arts Thailand ก่อนเพื่อให้ทราบกันถึงที่มาที่ไปของนิตยสารเล่มนี้ ด้วยครับ... Computer Arts Thailand เป็น นิตยสารเกี่ยวกับศิลปะประเภทดิจิตอลอาร์ต เช่น กราฟิกดีไซน์ ไทโปกราฟี ภาพประกอบ เป็นต้น จริงๆ แล้วนิตยสารเล่มนี้มีต้นกำ�เนิดมาจาก ประเทศอังกฤษครับ ซึ่งนำ�เสนอเรื่องราวของศิลปะ ที่มีความเป็นสากล บทสัมภาษณ์ของดีไซเนอร์ ชื่อดังระดับโลก และผลงานดีไซน์จากหลากหลาย ประเทศทั่วโลก ซึ่งตอนนี้ นิตยสาร Computer Arts มีทั้งหมด 10 ภาษาทั่วโลกแล้วล่ะครับ แม้ จะมีต้นกำ�เนิดหรือต้นฉบับส่วนใหญ่มาจากประเทศ อังกฤษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องยึดเนื้อหา มาจากอังกฤษทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น Computer Arts Edition โปรตุเกส เขาก็ดีไซน์ปกของ เขาเอง ส่วนของประเทศไทยนั้นเธอเล่าว่า “ทางอังกฤษเองไม่ได้มีกฎเกณฑ์ว่าจะ ต้องเป็นเนื้อหาของทางอังกฤษ 70 หน้า เนื้อหา ไทย 30 หน้า
เราจะมองว่าถ้าเนื้อหาไหนเหมาะกับประเทศเรา เราก็จะเก็บ ไว้ อันไหนที่ไม่เหมาะหรือไม่เข้าก็ตัดทิ้งไป แล้วก็ทำ�เนื้อหา ของเราเพิ่มขึ้นมาเอง ยกตัวอย่างเล่มล่าสุดที่กำ�ลังจะวาง แผง เราทำ�สกู๊ปประจำ�ฉบับเรื่อง ‘แรงบันดาลไทย’ และ ดีไซน์ปกขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาด้านใน ส่วน เนื้อหาการสัมภาษณ์ดีไซเนอร์ระดับโลกหรือความต่างทาง วัฒนธรรมดีไซน์เราก็เก็บไว้บ้าง เพื่อให้คนอ่านได้เรียนรู้ถึง ความแตกต่าง ระหว่างเขากับเราน่ะค่ะ” สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยิน แล้วก็แอบภูมิใจไปด้วยก็ คือ พี่แป้งบอกว่า Computer Arts Thailand ได้รับคำ�ชื่นชมจากการประชุมประจำ�ปี ของ Future Publishing ซึ่งเป็นสำ�นักพิมพ์ของ Computer Arts ทางอังกฤษให้ Computer Arts Thailand เป็นเอดิชั่นที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับอีกหลายๆ ภาษาที่ เคยทำ�มา... น่าภูมิใจนะครับ
แนะนำ�ในส่วนของนิตยสาร Computer Arts Thailand ไปแล้ว คราวนี้ผมก็จะขอเข้า เรื่องของเธอกันเลยนะครับ ก็เชิญติดตามกันได้เลย ครับว่า ผู้หญิงคนนี้สุดยอดยังไงบ้าง... แป้งมาเป็น บรรณาธิการนิตยสาร Computer Arts Thailand เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วครับซึ่งพร้อมกันกับการมาถึง ของ Computer Arts Thailand พอดี แต่ก่อนหน้า นั้น เธอเคยทำ�งานอยู่ที่นิตยสาร a day มาก่อนครับ ทั้งในตำ�แหน่งกองบรรณาธิการและกราฟิกดีไซเนอร์ รวมเวลาแล้วก็ราวๆ 3 ปีครึ่ง “จากตอนที่เราเรียน ในมหาวิทยาลัย เราใช้เวลา 4 ปีในการทำ�ความเข้าใจ ว่า ดีไซน์คืออะไร ส่วนการทำ�งานที่ a day ก็เหมือน ว่าเราใช้เวลาอีก 3 ปีในการเข้ามหาวิทยาลัยแห่งใหม่ เพื่อเรียนรู้ว่า การเขียนที่ดีเป็นยังไง โอเค เราอาจจะไม่ ได้เป็นนักเขียนที่ดีที่สุดในโลก แต่เราก็รู้จักว่ามาตรฐาน ที่ดีมันอยู่ตรงไหน และเมื่อเราผ่านมันมาทั้งหมดนี้ มัน ก็ทำ�ให้เรามีส่วนผสมทั้ง 2 อย่างนี้ในตัวเอง นั่นก็คือ เรื่องดีไซน์กับเรื่องการเขียน” หลังจากนั้น Computer Arts Thailand ก็เปิดตัวพอดี เธอยอมรับว่าตำ�แหน่ง บรรณาธิการ Computer Arts Thailand เป็น ตำ�แหน่งที่ท้าทาย แต่มันก็เป็นอาชีพในอุดมคติมาก เป็น อาชีพที่เหมาะกับเธอมากเลยเพราะมันเป็นอาชีพที่นำ� การดีไซน์กับการเขียนมารวมกัน “เรามักจะบอกว่า
เป็นอาชีพที่ซุปเปอร์อุดมคติ เพราะถ้าเป็นแต่ก่อนให้ ลองนั่งนึกว่า เราจะไปเจออาชีพที่เหมาะกับเราขนาดนี้ ได้ยังไง เราก็คงนึกไม่ออก โดยเฉพาะกับการได้มาทำ� นิตยสารหัวนี้ เพราะเนื้อหามันเป็นเรื่องดีไซน์ ซึ่งเรา เองก็เป็นดีไซเนอร์อยู่แล้ว เลยรู้สึกว่ามันเป็นส่วนผสม ที่พอดีเหลือเกิน เป็นงานที่พอดีกับตัวเรา เหมือนเข้าไป ในร้านตัดเสื้อ แล้วได้ใส่เสื้อที่ถูกตัดมาเฉพาะกับเรา” นี่ เป็นเหตุผลที่ทำ�ให้เธอตัดสินใจเข้ามาทำ�งานในตำ�แหน่งนี้ จากจำ�นวนกองบรรณาธิการเล่มแรกของ Computer Arts Thailand อยู่ที่ 5 คน ตอนนี้พนักงานก็เพิ่ม ขึ้นเป็น 8 คนแล้วซึ่งก็แบ่งเป็นนักเขียน 2 คน กราฟิก ดีไซเนอร์ 2 คน อาร์ตไดเร็กเตอร์ 1 คน พิสูจน์อักษร 1 คน และเลขากองบรรณาธิการ 1 คน ส่วนกระบวนการทำ�งานนั้น ก็จะเริ่มจาก ต้นฉบับที่ทางประเทศอังกฤษส่งมาครับ จากนั้นก็จะ ส่งให้คนแปลแปลเนื้อหา เมื่อแปลเสร็จก็จะส่งให้กับกอง บรรณาธิการเพื่ออีดิตให้ภาษาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นก็ส่งต่อให้พิสูจน์ อักษร แล้วก็ส่งให้ฝ่ายกราฟิกวางเลย์เอาต์ เมื่อวางเลย์ เอาต์เรียบร้อยก็พิสูจน์อักษรอีก 1 รอบ แล้วก็ออกเป็น บรู๊ฟดิจิตอล (งานพรินต์ที่ใกล้เคียงกับของจริง แต่ยัง สามารถแก้ไขความถูกต้องได้อยู่)
และกระบวนการทั้งหมดนี้จะต้องเสร็จก่อนวันที่ 15 ของทุกเดือนเพราะเป็นวันปิดต้นฉบับ จากนั้นจะต้องส่ง งานเข้าโรงพิมพ์ และมีกระบวนการการพิมพ์อีก 10 วัน เพื่อให้ทันกับการวางแผงหนังสือในวันที่ 25 ของ ทุกเดือนโดยประมาณ ผมถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำ�งาน ตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากการการบรู๊ฟ คำ�หรือการบรู๊ฟสี แต่พี่แป้งบอกว่า การที่ทำ�งานปิด เล่มมาแล้ว 6-7 ปี เรื่องความผิดพลาดในด้านนั้น เป็นเรื่องธรรมชาติ เราทำ�ได้เพียงแต่ควบคุมให้มันเกิด ขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ เนื้อหาที่จะต้องใส่ลงไปในเล่ม “ประเด็นที่สำ�คัญ และ ใหญ่กว่านั้นก็คือ ทุกเดือนเราต้องคิดว่าเราจะนำ�เสนอ และวางโครงเล่มยังไง สมมติว่า เราอยากทำ�ฟีเจอร์ อะไร เราก็จะนั่งถกเถียงกันนานว่ามันจะประกอบด้วย เรื่องอะไร และจะนำ�เสนอมันอย่างไร เรื่องนี้ใหม่เหมาะ กับแม็กกาซีนหรือเปล่า เคยมีคนพูดถึงหรือยัง ถ้ามี เราจะเสนอยังไงให้มันแตกต่างกันกับสิ่งที่เขาเคยทำ�มา แล้ว จะให้ความสำ�คัญกับคอนเทนต์ค่อนข้างมาก ว่า อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี เราให้ความสำ�คัญกับขั้นตอนการ ทำ�งานขั้นตอนนี้มากที่สุด”
กองบรรณาธิการนิตยสาร Computer Arts Thailand ล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่อายุ ไล่เลี่ยกัน เป็นข้อดีทำ�ให้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน เรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ก็อปปี้ หน้าปก โทนของ ภาพ จะเขียนแบบไหน เล่าผ่านอะไร เป็นไปแบบเพื่อน ปรึกษาเพื่อน พี่ปรึกษาน้อง “เราทำ�งานให้มีมาตรฐานได้โดยที่ยังรักษา ความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่น้องที่ ดีต่อกันได้ ซึ่งเรื่องนี้เรารู้สึกว่ามันสำ�คัญมากสำ�หรับ การทำ�งานแบบนี้ และมีความเชื่อว่าจะทำ�แบบนี้ไปตลอด งานดีได้โดยไม่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อของคนในทีม” เธอเล่าให้ฟังว่า การทำ�งานนิตยสาร ทีมงานต้องใช้ ชีวิตอยู่ด้วยกันเยอะมาก บางทีก็อาจจะได้อยู่ด้วยกัน เยอะกว่าครอบครัวเสียด้วยซ้ำ� กินข้าวด้วยกันวันหนึ่ง ก็ 2 มื้อแล้ว กลางวันกับเย็น บางครั้งก็มีทำ�งานวัน เสาร์-อาทิตย์ ดังนั้น การรักษาความสัมพันธ์อันดีกับ คนในทีมด้วยความจริงใจจึงเป็นสิ่งสำ�คัญ
“มันเป็นชีวิตไปแล้ว” เธอเอ่ยก่อนที่จะเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในการทำ�งานให้เราฟัง “การทำ�งาน นิตยสาร คือ การเอาชีวิตของเราไปโคจรรอบหนังสือ น้อยครั้งที่เราจะเอาตัวเราเป็นศูนย์กลาง ทุกคนในกอง บรรณาธิการทั้ง 8 คนก็เป็นแบบนี้ ทำ�ให้บางครั้งเวลา กินข้าว เวลานอน ก็ไปโคจรรอบโรงพิมพ์บ้างเป็นครั้ง คราว ไลฟ์สไตล์ของคนที่อยากทำ�จึงต้องทุ่มเท” และอีก สิ่งหนึ่งที่เธอเสริมไว้เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ทำ�งาน หนังสือก็คือ ทำ�งานหนังสือมันไม่รวย “ไม่เคยเห็นใคร รวยมากๆ เลยนะ คนที่อยากทำ�งานหนังสือจึงต้อง รัก ต้องอดทน และอยากทำ�มันจริงๆ เพราะเป็นงาน ที่ละเอียดอ่อน ต้องการการเอาใจใส่มาก โดยไม่ได้มีค่า ตอบแทนให้สูงลิบเหมือนอาชีพอื่น” การทำ�หนังสือหรือนิตยสารเธอจัดหมวดมัน อยู่ในสิ่งพิมพ์ประเภท Editorial design แปลเป็นไทย ว่าการดีไซน์ที่อาศัยความต่อเนื่อง อาจจะต้องใช้พื้นที่ หลายหน้าเพื่อเรียงร้อยความคิด มีเกริ่นนำ� เนื้อเรื่อง หลัก มีตอนจบ ไม่เหมือนงานโฆษณาที่เน้นไปที่ความ ตรงไปตรงมาในการสื่อสาร “คนที่ชอบการบรรยาย ชอบเล่าเรื่อง น่าจะเป็นคนที่ชอบงานแบบนี้” และอีกหนึ่ง สิ่งสำ�คัญที่เราควรคิดไว้เสมอในการทำ�หนังสือนั่นก็คือ เราต้องแยกให้ออกว่าอันไหนคือสิ่งพิมพ์ที่ควรค่าแก่การ เก็บ อันไหนคือขยะ “เราเคยเขียนไว้ในบทบรรณาธิการ ฉบับหนึ่งว่า ทุกครั้งที่เราปิดเล่มเสร็จ วันรุ่งขึ้นเราจะ เก็บกระดาษบนโต๊ะทิ้ง เราแยกกระดาษที่จะไม่ทิ้งไว้ 2 อย่าง นั่นก็คือ มันสวยมาก หรือไม่ก็มีสาระจนเราทิ้งไม่ ลง เช่น อาจจะเป็นหนังสือที่ดีไซน์ธรรมดา แต่ให้ข้อมูล กับเราดี เป็นงานวรรณกรรมที่อ่านแล้วสนุกจังเลย อัน นี้เราไม่ทิ้ง หรือถ้าเป็นงานที่ดีไซน์ดี โอเค ถึงมันอาจจะ ไม่ได้บอกเล่าเนื้อหาอะไรมาก แต่มันสวยมีค่าต่อการมอง อันนี้ก็จะเก็บไว้ เพราะฉะนั้นอะไรที่อยู่นอกเหนือจากนี้เช่น เป็นงานที่มีดีไซน์ไม่สวย แถมยังไม่มีสาระอีกต่างหาก อัน นั้นก็จะเป็นขยะ ซึ่งจริงๆ แล้ว เส้นแบ่งระหว่างสิ่งพิมพ์ ที่ควรเก็บกับขยะมันใกล้กันมาก เช่น เราเดินตามห้าง สรรพสินค้า ได้ใบปลิวมาใบหนึ่ง เราอาจจะรับเพราะ สงสารเขา กระดาษนั่นพรินต์สีพิเศษ เราก็ทิ้งอยู่ดีถ้ามัน ไม่เข้าตาเราในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง สิ่งนี้มันจึงจำ�เป็นใน การทำ�สิ่งพิมพ์ เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรคือขยะ เราจึงต้อง ทำ�ให้สิ่งที่เราทำ�นั้น ห่างไกลจากคำ�ว่าขยะมากที่สุด”
จากการได้พบเห็นตัวอย่างงานดีๆ แนวคิดดีๆ จากนักออกแบบทั้งในประเทศและนอก ประเทศ ถ้าให้แนะนำ�นักออกแบบรุ่นใหม่ คุณจะ แนะนำ�พวกเขาว่าอย่างไร – ผมถาม “ส่วนตัว เราแล้ว เราคิดว่านักออกแบบหรือดีไซเนอร์ทุก คน ไม่ควรมีกรอบ คำ�ว่ากรอบนี้หมายถึง กรอบ ที่เราสร้างขึ้นมาเอง ไม่ว่าเราอาจจะมีชุดความรู้ ที่เคยเรียนตอนมหาวิทยาลัยมา หรือเรามีความ เชื่อแบบนึงมาตลอดชีวิต สิ่งที่เราเชื่อ มันอาจจะ เปลี่ยนแปลงได้หรือมันอาจจะมีมากกว่าที่เราเคย รู้ ถ้ากำ�แพงที่อยู่ในใจของเรายิ่งสูงมากเท่าไหร่ เรา ก็จะยิ่งไม่เห็นว่าข้างนอกนั้นมันเป็นยังไง เราต้อง พร้อมที่จะดูงานใหม่ๆ พร้อมที่จะทำ�ความเข้าใจ ความคิดของคนอื่น” การออกไปทำ�ความเข้าใจความคิดคนอื่น เป็นเรื่องสำ�คัญ เธอเปรียบเปรยก็เหมือนกับการได้ เปิดประตูบ้านของตัวเอง แล้วออกไปทำ�ความรู้จัก กับคนแปลกหน้า “ถ้าเราอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เรา ก็จะรู้จักแค่คนใกล้ๆ ตัว หน้าตาเดิมๆ เปรียบกับ การทำ�งานก็คือ สไตล์หรือความคิดของเราก็จะเห มือนๆ เดิม แต่ถ้าเราลองไปทำ�ความรู้จักกับงาน
รูปแบบอื่น ออกไปดูโน่นดูนี่บ้าง เราก็อาจจะได้ไอ เดียอะไรที่เยอะขึ้นก็ได้” “งานเขียน งานสัมภาษณ์ ก็เช่นกัน การได้ออกไปทำ�ความรู้จักคนอื่นๆ จะทำ�ให้เรามี ตะกอนของคนเหล่านี้ตกอยู่ในตัวเรา นานวันเข้า มันจะทำ�ให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ตะกอนนั้นจะมา งอกเงยที่ตัวเรา และเป็นผลต่อการทัศนคติในการ มองโลกของเรา” นอกจากการทำ�ลายกรอบของตัวเอง แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เธอฝากไว้คือการสร้างสรรค์สิ่ง ใหม่ๆ “ดีไซเนอร์มีหน้าต้อง Create คือการ สร้างสรรค์ หลายคนเข้าใจผิดว่าคือการ Copy เราสามารถก็อปปี้เพื่อการเรียนรู้ได้ แต่ไม่ควร เอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ถ้าเราจะได้แรง บันดาลใจมาจากงานอื่นก็ควรจะเพิ่มเติมแนวคิด ของตัวเองเข้าไป เพื่อให้ใหม่หรือแตกต่างไปจาก เดิมและเป็นงานที่มีความออริจินัลในแบบของตัวเอง การทำ�อะไรใหม่ๆ นั้นก็รวมถึงการทำ�สิ่งที่ตัวเองไม่ เคยทำ�มาก่อน และแค่รู้สึกว่ามันใหม่ที่สุดในความ รู้สึกตอนนั้น”
คำ�ว่า ‘ศิลปะ’ มีความหมายต่อคุณ อย่างไร? “ก่อนอื่นต้องบอกว่าการที่เราเป็นคนแบบ นี้ มีทัศนคติแบบนี้ ใจเย็น เราขอยกความดีความ ชอบทั้งหมดให้กับศิลปะ เพราะฉะนั้นศิลปะสำ�หรับเรา มันคือความสมดุลระหว่างฟังก์ชั่นกับความสวยงาม การใช้ชีวิตแบบมีศิลปะมันสำ�คัญ ไม่ว่าเราจะทำ�อะไร ตัดสินใจอะไร พูดยังไง อยู่กับคนอื่นยังไง เราก็ต้อง ใช้ศิลปะ เราไม่ได้มองว่าคำ�ว่าศิลปะคือคำ�ที่มีรูปธรรม ไม่ได้เป็นภาพที่แขวนอยู่ในแกลเลอรี่ แต่ศิลปะรวมอยู่ ในการใช้ชีวิต คนที่มีศิลปะในหัวใจจะรู้ว่า เฮ้ย! แบบนี้มันมากไป
ให้ได้แรงบันดาลใจไปทำ�งานสักชิ้นนึงหรือวแค่ดูรูปแล้ว พูดว่าสวยดีก็ได้ (หัวเราะ)” “เรารู้สึกว่าดีใจที่ได้ทำ�หน้าที่สื่อสารมวลชน ที่ได้ทำ�อะไรให้กับนักเรียนออกแบบ เพราะเราก็เคย เป็นนักเรียนออกแบบมาก่อน เราก็อ่าน Computer Arts ในแบบราคาแพง เราซื้อไม่ไหว วันนึงเรากลาย มาเป็นคนทำ�เราก็ดีใจมาก หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ใหญ่โต ถึงขนาดที่จะไปบอกใครต่อใครได้ว่ามันจะเปลี่ยนสังคม ดีไซน์ในประเทศไทยไปตลอดกาล เราไม่ได้มีอิทธิพล ขนาดนั้น หนังสือเล่มนี้แค่เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ ผลักดันให้มันมีทิศทางที่อาจจะเห็นการรวมกลุ่มกัน
แบบนี้มันน้อยไป แบบนี้มันกำ�ลังพอดี แล้วถ้าเราจุดที่ มันพอดีได้ เราจะทำ�อาชีพอะไรก็ได้ มันก็ดีทั้งนั้น” สุดท้ายครับ มีอะไรที่พี่แป้งอยากจะฝาก ไปบอกถึงแฟนๆ Computer Arts Thailand บ้าง?... “เราและทีมตั้งใจทำ�Computer Arts Thailand กันมากเลย เราตั้งใจกันทุกเดือน ถึง แม้ว่าเดดไลน์จะกระชั้นชิด หรือว่าเราต้องทำ�หลาย เล่มก็ตาม แต่มันก็ยังทำ�อยู่บนความตั้งใจเดิม ที่ พยายามจะหาอะไรใหม่ๆมาให้คนอ่านอ่าน และเราก็ พยายามหนีจากตัวเองไปเรื่อยๆ จากที่เราเคยทำ�มา เล่มที่ 1 จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 40 ฉบับแล้ว คนที่เป็น แฟน Computer Arts Thailand ก็จะเห็นว่ามันมี พัฒนาการในแต่ละช่วง ซึ่งผู้อ่านก็คงจะเห็นได้ว่ามัน เป็นสิ่งพิมพ์ที่ค่อนข้างมีชีวิต คือมันเคลื่อนไหวไปกับ คนอ่านด้วย คงไม่ฝากอะไรหรอกมั้ง อ่านให้สนุก ให้เพลิดเพลิน
มากขึ้น ได้นำ�เสนองานของคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เพื่อให้เขาได้มีโอกาสเติบโตในวงการดีไซน์มากขึ้น แค่ นี้ก็น่าจะหมดหน้าที่ของเราและ Computer Arts แล้ว” ทาง undomag ต้องขอขอบคุณ คุณแป้งมากเลยนะครับที่มาแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้ชาว undomag ให้ได้อ่านกัน อ่านแล้วรู้สึก อย่างไรกันบ้างครับ เหมือนที่ผมเขียนไว้ในตอนต้น ไหม... บอกแล้วไงว่า ผู้หญิงคนนี้ “เฮ้ย เจ๋งอะ!” ขอบคุณมากครับ
www.undomag.com
Shall we read? Last year UNESCO nominated Bangkok to be the ‘UNESCO World Book Capital 2013’, despite the fact that Thai people actually spend very little time reading books.
On average we only read 5 books a year, or worse, as some research shows, Thais read only an average of seven lines annually. In comparison, our neighbouring country Vietnam reads 60 books and Malaysia 40 books per person a year.
“I strongly believe that if every man, woman, and child in America could read, write, and comprehend, we would be much closer to solving many of our nation’s serious problems.” Barbara Bush (2007)
Reading is not just about memorizing words and numbers (unless you’re preparing to be on a quiz show). Rather, reading is about the ability to learn about new subjects and find helpful information, and is also a key to being creative. The more you read, the more you have access to relevant information and knowledge. Reading gives you the opportunity to flex you critical thinking skills in such areas as problem solving, the concepts of cause and effect, conflict resolution. Reading is also an enjoyable activity; it’s a source of entertaining tales and useful and interesting factual information. Reading not only benefits you in the classroom, but also in your workplace, and your lifestyle; intellectually, socially and emotionally. With this in mind, we should all read, and encourage our friends and family to read more too.
Story by suwanit
downing
Most Thai families prefer to spend their evenings watching soap operas rather than reading books. I consider my self lucky, because when I was young our house didn’t have a television set, so to entertain ourselves my older sister would rent books from the local ‘book rental’ shop. I’m not sure if these types of shops still exist, but basically they worked just like a video rental shop of today. You had to join to become a member, give your name, address and pay a membership fee, then you could borrow a few books at a time and return them within the due date. My sister loves reading much more than I do, growing up I pretty much followed whatever she did. So she has been a great influence on my reading, it’s one of my very few good habits. When I moved to Melbourne – reading English books was new to me. At the start, I didn’t know how to pick a book to read but I used the
same tactic as I did with wine. I started with the bottles that had nice labels or award winning stickers or ones that someone else had recommended. After awhile I learnt to see the differences in each wine – or at least the ones I liked and enjoyed more. I did the
Free Classic e-books www.gutenberg.org/ebooks www.planetebook.com www.openculture.com/freeebooks e-book search site pdfs-free.com
same with books – start with reading those with nice covers, a ‘Best Seller’ sticker, or relied on The Guardian’s recommendation. After a bit of experience and regular reading, we can all learn to become a literary critic! I’m not a bookworm, nor a literary freak, but I do like visiting the library. There are some great public
libraries here in Melbourne and most of the books I read are from these; it’s the best way to try out books. I’m not sure how many libraries there are in Thailand, but if a library isn’t accessible, then generally any bookstore will do. The Internet is also another good source of reading material, and you can often download English literature or classic novels for free online. Being the World Book Capital is an honour for all of us, so get inspired, make it a goal to read more books! I’m optimistic that we can live up to the honour by reading more, improving the culture of not only books, but reading and writing in general. Let the vitality of literary creativity begin and see if we can make a difference in our society. Happy reading.
Hope Springs ใครที่เคยคิดว่าหนังชีวิตคนชรานั้นน่าเบื่อมากจนอยากหลับ
คาเก้าอี้พร้อมกับกรนประชดให้รู้แล้วรู้แรด อย่าเพิ่งเหมารวมหนัง อย่าง Hope Springs เป็นอันขาด แม้นักแสดงนำ�ในเรื่องจะแก่จริงไม่ ใช้แสตนด์อิน แต่ขอบอกว่ายัง เก๋า จนเราเองก็ต้องร่วมลุ้นไปกับการ แก้ปัญหาชีวิตรักจืดชืดของคู่สามีภรรยาอาร์โนลด์ (ทอมมี ลีโจนส์) กับ เคย์ (เมอรีล สตรีป) หลังจากที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานถึง 31 ปี คราวนี้ ทั้งคู่เลยต้องช่วยกันทำ�ให้ความรักกลับมามีรสชาติหวานแหว วเหมือนในอดีตจากคำ�แนะนำ�ของ ดร.เบอร์นีย์ เฟลต์ (สตีฟ คาเรลล์) ผู้ที่จะทำ�ให้ทั้งคู่กลับเข้าสู่วัย 20 อีกครั้ง งานนี้การันตีความสนุกโดย ผู้กำ�กับฝีมือดีจาก The Devil Wears Prada อย่าง เดวิด แฟรง เคล ที่มักสอดแทรกสาระแง่คิดดีของชีวิตๆ ในหนังกลับคืนเป็นกำ�ไรให้ คนดูเหมือนเดิมจ้า
Ted
หนังเรื่องนี้คงทำ�ให้ใครหลายๆ คนนึกถึงน้องเน่าหรือ ตุ๊กตาคู่ใจยามเด็กที่ต้องพกติดตัวไว้ถึงจะนอนหลับกันบ้างแหละ เพราะหนังแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คนกับตุ๊กตาหมีล้วนๆ โดยใครจะไปคาดคิดล่ะว่าเจ้าเท็ด ตุ๊กตาหมีของหนุ่มจอห์น เบนเน็ต (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ดันกลายมามีชีวิตขึ้นจริงตามคำ�อธิษฐานใน วัยเด็กและกลายมาเป็นเพื่อนรักคู่หู คู่รั่ว คู่มั่ว คู่ฮามานับจาก นั้น จนมันทำ�ให้เบนเน็ตเป็นเหมือนผู้ใหญ่ไม่ยอมโตเสียที ขณะที่ แฟนสาวเริ่มละเหี่ยใจกับพฤติกรรมดังกล่าว เจ้าเท็ดเป็นเพื่อนแท้คน เดียวเท่านั้นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของชายหนุ่มได้ในที่สุด ความฮาไม่ต้องพูดถึง เพราะพี่เซ็ธ แม็คฟาร์เลน ผู้สร้างการ์ตูน ตลกชื่อดังอย่าง Family Guyได้ลงทุนพากย์เสียงเจ้าหมีเท็ดเอ งเชียวนะเออ ทำ�ให้ความรักกลับมามีรสชาติหวานแหววเหมือนใน อดีตจากคำ�แนะนำ�ของ ดร.เบอร์นีย์ เฟลต์(สตีฟ คาเรลล์) ผู้ที่จะ ทำ�ให้ทั้งคู่กลับเข้าสู่วัย 20 อีกครั้ง งานนี้การันตีความสนุกโดยผู้ กำ�กับฝีมือดีจาก The Devil Wears Prada อย่างเดวิด แฟรง เคล ที่มักสอดแทรกสาระแง่คิดดีของชีวิตๆ ในหนังกลับคืนเป็นกำ�ไร ให้คนดูเหมือนเดิมจ้า รักษ์, แพทตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา และ นุช นีรนาท วิคทอเรีย โคทส์ ที่จะสร้างสีสันความน่ารัก ในเรื่องให้คุณหัวเราะฮาจนกรามค้างแน่นอน ฟันธง! Story by Wanwisa
Nooyong
แปดชั่วโมงเราต่างทำ�งาน แปดชั่วโมง เราต่างนอน แล้วอีกแปดชั่วโมงเราต่างทำ�อะไร หลายคนบ่นไม่มีเวลา ก็ไม่หามันจะมีได้อย่างไร บางคนตื่นตีสี่เพื่อดูแลคนอื่น แล้วฝืนความง่วง ทำ�งานตัวเองต่อไป ตกเย็นไม่เที่ยวเตร่ ไม่โอ้เอ้ พิรี้พิไร เร่งเรียนแข่งกับเวลาสลัดความเมื่อย ล้าออกจากใจ ทุกวินาทีมีค่า เขาต้องฝ่าไปให้ได้ ทั้งลูก พ่อ แม่ งาน เขาต้องผ่านไปจงได้ คน คอยดูถูกเขาไม่มีวันจะทำ�ได้ เขาไม่เคยยี่หระและ ใส่ใจ กลับปลุกไฟใฝ่วิชา ฝันของเขาที่ตั้งไว้คือ หมายใจได้ปริญญา ฝันทุกฝันเป็นไปได้ เริ่มที่ คำ�ว่าทุ่มเท บางคนฝันอยากมีอิสระ ปลดแอกจาก สภาพมนุษย์เงินเดือน ฝันนั้นช่างลางเลือน แต่ เริ่มชัดขึ้นทุกวัน เขาเริ่มจากถ่ายภาพเฉพาะ ช่วงเช้าก่อนเข้างาน ความคิดเริ่มแตกฉาน เริ่มนอกลู่ออกนอกทาง เขาถ่ายภาพมากขึ้นทั้ง ช่วงเย็นหลังเลิกงาน หยุดหมดทุกการสังสรรค์ มุ่งปลุกปั้นขยันแต่งภาพ กำ�หลาบให้สิ้นซาก ตัวขี้เกียจตัวง่วงนอน เขาค่อยเริ่มไถ่ถอน พันธนาการงานประจำ� ตลอดแรมปีที่เฝ้าทำ� เก็บกอบกำ�งานฝีมือ เขาขายภาพทีละน้อย ได้ ร้อยสองร้อยก็ยังไหว เขาไม่เคยหวั่นใจ ไม่เคย ท้อ ไม่เคยแคร์ วันนี้เขาแน่วแน่เป็นช่างภาพ อิสระอย่างมั่นใจ ฝันทุกฝันเป็นไปได้ เริ่มที่คำ� ว่าทุ่มเท --- หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมงและหนึ่งวัน ของทุกคนมียี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน ทุกคนต่างก็มี ความฝัน และฝันของเราก็ต่างกัน เธอมียี่สิบ ชั่วโมงเหมือนกับฉัน แต่คุณค่าของเวลาของเรา ช่างต่างกัน ฉันบรรจงใช้เวลาค่อยๆ สร้างฝัน แล้วเธอล่ะทำ�อะไรกับมันหลายคนบ่นไม่มีเวลา ก็ ไม่หามันจะมีได้อย่างไร Story by
Pitchanut Nueangjamnong
พิชญ์ณัฐ เนื่องจำ�นงค์
8x3 = 24
interview with
“เฮ้ย สนใจทำ�หนังสือมั๊ย?” ประโยคคำ�ถามง่ายๆที่ทำ�ให้ คน 4 คนมารวมตัวกัน 4 คนที่ว่านั้นก็คือ ท่านโอ๊ต น้าแวะ ชนพ และธวัชชัย คิดอ่าน ด้วยความสนใจและใฝ่ ในการทำ�หนังสือ เมื่อมีคนเสนอมา พวกเขาก็เลยสนอง ตอบ จนในที่สุด ก็ทำ�ให้แมกกาซีนอารมณ์กวนๆ ฉบับ หนึ่งถือกำ�เนิดขึ้นมา และแมกกาซีนนั้นมีชื่อว่า “ฮิฮิ แมกกาซีน”
Interview by iggy
de Guy
บ่ายอ่อนๆ ของวันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2555 ผมกับพี่ชัยได้ออกเดินทางจากหอศิลป วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเพื่อไปยังสถาน ที่แห่งหนึ่งที่น่าค้นหา ที่ต้องค้นหาเพราะมันหา ยากเหลือเกินครับ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของ พวกเรา ในเวลาต่อมา ผมกับพี่ชัยก็เดินมาจนถึง อาคารจอดรถแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ผมไม่คิดว่า จะมีสำ�นักงานนิตยสารซ่อนอยู่ในนั้น แต่เท่าที่ได้ยิน จากเจ้าหน้าที่แถวๆ นั้นมา พวกเขาบอกว่า ที่นี่ แหละ มีแน่ และด้วยความมั่นใจกึ่งหนึ่ง ที่เป็นกึ่ง หนึ่งก็เพราะยังไม่ค่อยจะแน่ใจว่าสถานที่แห่งนั้นมัน จะมีอยู่ แต่ด้วยคำ�บอกกล่าวของพี่ยามรักษาความ ปลอดภัยอีกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นที่ทำ�ให้พวกผม เดินทางกันต่อไป “เดินไปทางนั้นแหละครับ เลี้ยว ขวาเลี้ยวซ้าย เดี๋ยวก็เจอ พอเห็นหน้ากากที่อยู่ หน้าออฟฟิศเดี๋ยวก็รู้เอง” และในที่สุดผมก็เจอครับ บารัค โอบาม่า เอ้ย! ไม่ใช่ครับ บริษัท ฮิฮิห้าห้า หรือแหล่งกำ�เนิดฮิกาซีนในปัจจุบัน ที่มีตุ๊กตาสวม หน้ากากโอบาม่าตั้งอยู่หน้าออฟฟิศ ที่พวกเรามาที่นี่ก็ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดเลย ครับนอกจากจะมาพูดคุยกับ ฮิกาซีน! นะครับ นิตยสารราย 2 เดือนที่มาพร้อมกับลีลากวนๆ ชวนสะกิดต่อมฮา พวกผมไปถึงที่นั่นก็ได้รับการ ต้อนรับอย่างอบอุ่นครับ
ด้วย 2 พนักงานประจำ�บริษัท คนแรก คือ พี่โอ๊ต และ พี่เต้ย นะครับ พี่โอ๊ต หรือท่านโอ๊ตนะครับ ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งฮิกาซีน ส่วนพี่เต้ยก็... เขาบอกว่า เขาเป็น GB เจนเนอรัล เบ๊ หรือ ขี้ข้าทั่วไป แต่ก็ทำ�ทั้ง งานเขียนในเล่ม รวมถึงถ่ายวีดีโอ ตัดต่อวีดีโอด้วยครับ จริงๆแล้วพนักงานของฮิกาซีนมีเยอะกว่านี้ครับ แต่ พอดีว่าช่วงที่พวกเราไปเยี่ยมนั้นเป็นช่วงที่ปิดต้นฉบับ ไปแล้ว ทุกคนก็เลยออกไปพักผ่อนกัน ก็เลยมีคนเฝ้า ออฟฟิศอยู่แค่ 2 คน... อ่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร จะ 2 คน หรือหลายคนก็ไม่ใช่ปัญหา ผมกับพี่ชัยก็เลยจัดแจง เตรียมข้าวของ ตั้งกล้อง ติดไมค์ และเริ่มต้นพูดคุยกับ ทางฮิกาซีนในทันที… แต่อยากจะบอกว่า กล้องที่ตั้งไว้ มันใช้การไม่ได้นะครับ ก็ตั้งไปเฉยๆ อย่างงั้นแหละครับ ก็ต้องขออภัยพี่ๆด้วยที่อุตส่าห์เก๊กหล่อกัน แต่ดันไม่ได้ ออกวิดิโอ ประวัติศาสตร์ฮิกาซีน “จุดเริ่มต้นของฮิกาซีนมันมาจากหลายๆที่ ฮะ” ประโยคเริ่มต้นของพี่โอ๊ต ขณะที่กำ�ลังจะบอกเล่า ประวัติศาสตร์ของฺกาซีนให้ผมฟัง เป็นเรื่องราวที่เต็มไป ด้วยเหตุการณ์น่าสนใจมากมาย... จากจุดเริ่มต้นของ เด็กที่จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
แต่ดันไม่ได้ทำ�งานสายสถาปัตย์ฯ กลับไปทำ�งานใน วงการโทรทัศน์แทน ไปเขียนบท ไปทำ�งานเกี่ยวกับ ละครเวที รับจ๊อบนู่นนี่นั่น จนอยู่มาวันหนึ่ง พี่โอ๊ตก็ ได้ไปทำ�งานกับพี่โน๊ต อุดม แต้พานิช ไปช่วยทำ�เดี่ยว ไมโครโฟน ช่วยทำ�หนังสืออะดม และในเวลานั้น ทีม งานในอนาคตของฮิกาซีนหลายๆ คนก็ได้มารวมตัว กัน ไม่ว่าจะเป็น น้าแวะ ชนพ (2 คนนี้พี่โอ๊ตรู้จักมา ตั้งแต่สมัยเรียนที่จุฬาฯ) เอ วัตร และธวัชชัย คิด อ่าน ส่วนทางฝั่งน้าแวะเอง ก็ได้ไปทำ�งานกับทีมงาน สาระแน ได้ไปรู้จักกับดีเจพล่ากุ้ง ซึ่งในปัจจุบัน ดีเจ พล่ากุ้งก็มาเป็นส่วนหนึ่งของฮิกาซีน หลังจากที่ได้รู้จักกัน ทุกคนก็แยกย้ายกันไป ทำ�งานของตัวเองกันสักพัก จนอยู่มาวันหนึ่ง ก็มีคน เข้ามาถามว่า “เฮ้ย สนใจทำ�หนังสือมั๊ย?” ในเวลา นั้นก็มีพี่โอ๊ต ชนพ น้าแวะ และธวัชชัย 4 คนนี้ก็ เข้ามาคุยกัน พี่โอ๊ตเล่าให้ฟังว่า “ผมก็บอกว่า ผม อยากทำ�มานานแล้ว เหมือนหนังสือเรือนไทยที่เคยทำ� สมัยเรียนสถาปัตย์ฯ จากนั้นก็มาคิดชื่อหนังสือ จะใช้ ชื่ออะไรก็มานั่งคุยกัน... ฮิมั๊ย? ฮิ ฮิมันดูแบบว่า ไม่ ต้องฮา คือ เราไม่อยากออกตัวว่าเราตลกอ่ะ คือ มันแค่ฮิอ่ะ เราก็เลยใช้ฮิกัน” จากนั้น ทางทีมงานก็ เลยดำ�เนินการทำ�หนังสือกัน ไปนำ�เสนอคอนเซ็ปต์
ของหนังสือให้กับต้นสังกัด พอเขาชอบปั๊บ ก็เลยได้ ทำ� ฮิใหญ่ หรือ ฮิฮิ แมกกาซีน เล่ม 1-15... แม้ว่า ผลตอบรับจะดี แต่ก็มีปัญหาเข้ามา นั่นคือ เรื่อง ของราคานิตยสาร ราคาในความเป็นจริงของฮิ ฮิ แมกกาซีนนั้นควรจะอยู่ที่ประมาณ 90 บาท แต่ ด้วยความต้องการอะไรบางอย่างส่วนตัว จึงทำ�ให้ เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นมา “ปกติมันน่าจะขาย ราคาประมาณเก้าสิบกว่าบาท แต่เราดันไปแบบ เอา ฮาไง ชื่อฮิฮิ เราก็ให้ราคา 55 ซึ่งเจ้าของเค้าไม่ฮา กับเราด้วย” และยังคงมีอีกหนึ่งปัญหาที่ตามมา นั่น คือ โฆษณาไม่เข้า ไม่มีสปอนเซอร์ “ที่โฆษณาไม่เข้า เนี่ย ทุกวันนี้เราก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้ว่ามันเพราะอะไร เพราะถ้าดูยอดขาย ยอดขายมันก็โอเคเลย แต่มันก็มี สาเหตุนึงที่เราต้องโทษตัวเองว่า ในบางคอลัมน์มันมี โฆษณาที่เราเอาไปล้ออ่ะ ยาหอมตราห้าดีเจบ้าง เมล็ด ฟักทองตราปืนบ้าง น้ำ�ยาล้างจารย์จัญไลต์... ก็ แบบเอาผลิตภัณฑ์คนอื่นมาล้ออ่ะฮะ” พี่โอ๊ตเล่าให้ฟัง พร้อมๆ กับเสียงของพี่เต้ยที่บอกมาว่า “มันก็สมควร ฮะ” และในที่สุด ฮิฮิ แมกกาซีนก็เลยต้องหยุดยาว
แม้ว่าจะต้องหยุดยาว หรือบางทีก็อาจบอกได้ว่า ฮิฮิ แมกกาซีนต้องปิดตัวลงอย่างสงบ แต่ก็มีคน หลายคนที่อยากให้ความ “ฮิ” มันยังคงมีอยู่ต่อ ไป พี่โอ๊ตเล่าว่า “เล่ม 15 พอเราเลิกทำ�ปุ๊บ ทุก คนที่เคยติดตามเราเค้าก็เสียดาย และเพราะว่ามัน มีกระแสเข้ามาเยอะมาก เราก็เลย อ่ะ ทิ้งทวนละ กัน ก็เลยทำ� สภาวอรส์ ออกมาเป็นฮิกาซีนเล่ม แรก” ที่มาของฮิกาซีน สภาวอรส์ นี้ก็มาจาก พี่โอ๊ตกับน้าแวะครับ มันสืบเนื่องมาจากการที่มี ต้นฉบับ ฮิฮิ แมกกาซีนเล่ม 16 เหลืออยู่ พวก เรามีพี่โอ๊ตกับน้าแวะก็เลยมานั่งคุยกันว่า เอามา รวมเล่มเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คดีมั๊ย? และจากการที่มัน มีกระแสของผู้อ่านเข้ามามาก ก็เลยทำ�ให้พี่โอ๊ตกับ น้าแวะผลิตฮิกาซีนเล่มแรก “สภาวอรส์” ออก มาให้แฟนๆ ได้อ่านกัน และหลังจากที่ได้ผลิตเล่ม สภาวอรส์ออกไปแล้ว พี่โอ๊ตเองก็ไม่ได้คิดที่จะทำ� ฮิกาซีนต่อ แต่พอเวลาผ่านไป 8 เดือน ยอด ขายของสภาวอรส์นั้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจ น้า แวะก็เลยชวนพี่โอ๊ตทำ�ฮิกาซีนเล่ม 2 กันต่อ ซึ่ง เป็นเล่มที่มีชื่อว่า “บารัคซอย 9” และในเวลา ต่อมา คน 4 คน พี่โอ๊ต น้าแวะ พล่ากุ้ง และ วัตร ก็ได้มาลงหุ้นกันทำ�ฮิกาซีนกัน พี่โอ๊ตเล่า เสริมว่า “เล่มแรกกับเล่มที่สองห่างกันประมาณ 8 เดือน เล่มที่สองกับเล่มที่สามห่างกันประมาณ 6 เดือน พอทำ�เล่มที่สาม ปกแพนด้า ไวรัสสาย พันธุ์ใหม่ มันก็เริ่มชัดเจนว่า เออ เฮ้ย เหมือนกับ ว่าเราจะต้องมาทำ�จริงๆ จังๆ แล้วล่ะ” หลังจาก นั้น ฮิกาซีนเล่มอื่นๆก็ทยอยออกตามมา รวมถึง ทีมงานคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่เอ ชนพ หรือพี่เต้ย ก็มารวมตัวกัน และทำ�ฮิกาซีนกันต่อไป “ทุกวัน นี้มันก็เลยเป็นอย่างงี้ฮะ ก็ทำ�ออกมาทุกๆ ราย 2 เดือน” พี่โอ๊ตกล่าวปิดท้าย
นิยามของ “ฮิกาซีน” ฮิกาซีน... ต้องบอกว่า ฮิฮิ แมกกาซีน เพราะ เล่มแรกที่ผมอ่านก็ คือ ฮิฮิ แมกกาซีน ฉบับมีนาคร ครับ... ตอนแรกที่ผมอ่าน ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นนิตยสาร เกี่ยวกับอะไรนะ บอกไม่ถูกอ่ะ แต่ผมรู้สึกว่า เออ มัน ฮา และมันก็แตกต่างจากนิตยสารอื่นๆที่ผมเคยอ่าน ในสมัยนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ทำ�ให้ผมรู้สึกว่า “เฮ้ย คิดได้ไงวะ?” แต่ทางฮิกาซีนเองบอกว่าเขาไม่ได้เน้นฮา ครับ ไม่ได้เน้นฮา แล้วเค้าเน้นอะไร?... จากที่ได้ฟังมา พวกเขาเน้นความกวนครับ แต่ความกวนที่เขานิยามไว้ มันมี 2 แบบ คือ กวนแบบหาเรื่อง กับกวนแบบกัดๆ แล้วไอ้ความกวนแบบกัดๆนี่แหละ มันก็อาจจะแฝงความ ตลกไว้บ้างในบางครั้ง และที่มาของความกวนนั้น มัน ก็มาจากสไตล์ส่วนตัวของพวกเขาเลยครับ แต่จะเป็น สไตล์ไหนเหรอ พี่โอ๊ต เชิญครับ “ถ้าให้พูดจริงๆ ฮิ กาซีนมันเป็นแนว LOOSER ฮะ ลูซเซอร์บ้าบิ่น คือ พวกผมเป็นพวกแอนตี้ฮีโร่ฮะ คือ จะชื่นชมคนห่วย ไม่ ศรัทธาคนหล่อ (หัวเราะ) ไม่เทิดทูนกับคนที่แบบ เจ๋ง อ่ะ... ไม่ชอบ คือ ขวางโลกอ่ะ พูดง่ายๆ... จริงๆ เรา ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเค้านะ แต่ว่าเรา เราอยากกวน CENSOR เค้าอ่ะ อยากกวนชาวบ้าน ก็แบบแอนตี้ นิดๆ แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมาย คือ แซวอ่ะ เออ คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ” ตะลุยงานแบบ “ฮิ” ทางฮิกาซีนเล่าให้ผมฟังว่า ฮิกาซีนแต่ละเล่ม นั้น ทีมงานทุกคนก็จะช่วยกันคิดงานออกมาครับ ก็มี ทั้งคอลัมน์ที่มีอยู่ประจำ�และไม่ประจำ� คอลัมน์ไหนที่คิด ออกก็ใส่ลงไป อันไหนที่คิดไม่ออกก็ไม่ต้องใส่ลงไป เน้น การถอดเนื้อหาเข้าออกได้แบบฟรีสไตล์ ไม่จำ�เป็นต้อง กำ�หนดว่าเล่มไหนต้องมีเนื้อหาอะไรบ้าง แต่การทำ�งาน แบบนี้มันก็จะมีปัญหาในการวางดัมมี่ หรือ ตัวอย่าง หนังสือที่จะถูกนำ�มาวางเลย์เอ้าท์หรือกำ�หนดเนื้อหาของ แต่ละหน้าว่า หน้าไหนต้องมีเนื้อหายังไง มีจำ�นวนหน้า เท่าไหร่ เรียงหน้ากันยังไง ฯลฯ เพราะหนังสือเล่มอื่น เขาจะมีดัมมี่ที่ชัดเจน เช่น หน้าไหนต้องเป็นคอลัมน์อะไร แต่ของฮิกาซีนไม่ใช่แบบนั้น
นอกจากความฟรีสไตล์แล้ว เอกลักษณ์ อีกอย่างของฮิกาซีน ก็คือ การผลิตงานที่อิงกับ กระแสครับ ดังเช่นที่เราจะเห็นได้ในช่วงแรกๆ ของฮิ กาซีน ไม่ว่าจะเป็นเล่มสภาวอรส์ ที่ผลิตออกมาตอน เลือกตั้ง ดิสอิสฮิ ที่ผลิตออกมาหลังจากไมเคิลเสีย ชีวิต เซ็นทรัลเวิลด์คัพ ที่ผลิตออกมาในช่วงฟุตบอล โลกและเหตุการณ์ที่เซ็นทรัลเวิลด์ หรือไม่ก็จะเชื่อม โยงไม่กับกระแสสังคมอื่นๆ เช่น น้องหม่องปาเครื่อง บิน แพนด้า โอบาม่า ไอแผด จ่ายิ้ม หรือลัดสภา แลนด์ แต่ในช่วงหลังๆ มา ทางทีมงานเริ่มผลิตงาน ที่อิงกับกระแสน้อยลง เพื่อให้หนังสือเหล่านั้นอยู่บน แผงหนังสือได้นานขึ้น เช่น คนอวดฮิ ที่พูดถึงผี บร๊ะ เจ้าช่วย ที่พูดถึงเรื่องโลกแตก ฉบับน้องเนย ที่พูดถึง เรื่องความรัก หรือเล่มล่าสุด หวยกินเรา เรากินหวย ที่มาเล่าเรื่องราวของหวยที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน จากที่ได้เล่ามาเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของฮิกาซีน ไม่ว่าจะเป็นความกวน ความฟรีสไตล์ การอิงกระแส หรือไม่อิงกระแส แต่สิ่งที่สำ�คัญที่สุดในการทำ�ฮิกาซีน กลับไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นครับ สิ่งที่สำ�คัญที่สุดในการผลิต ฮิกาซีนออกมา ก็คือ ความรับผิดชอบ “ถ้าพวกผม ไม่รับผิดชอบกันนะ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ตาม งานมันก็ จะไม่เสร็จ และมันก็จะไม่มีหนังสือออก... ทุกงาน ผม ว่ามันต้องรับผิดชอบครับ รับผิดชอบไว้ก่อน” เป็น อีกคำ�พูดที่น่าประทับใจของพี่โอ๊ต
ฮิออฟฟิศ นอกจากจะพบเจอกับหน้ากากโอบาม่าที่ผม ได้เล่าไว้ในตอนต้น บรรยากาศต่างๆในห้องทำ�งาน ของชาวฮิกาซีนนั้นน่าอยู่มากครับ และแฝงไว้ด้วยสิ่ง ต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมุมนั่งเล่นที่ พบเจอได้หลังประตู โต๊ะรับแขกแนวๆ พร้อมกับโซฟา ภาพประกอบต่างๆ ที่มาจากปกของฮิกาซีน รวม ถึงภาพที่มาจากฝีมือของพี่โน้ตและสินเจริญบราเธอ รส์ และอุปกรณ์ช่วยสลายความเครียดของพวกเขา ครับ เครื่องเพลย์สเตชั่น 2 ที่มาพร้อมกับแผ่นวินนิ่ง อุปกรณ์ชิ้นนี้สำ�คัญมาก เพราะพวกเขามักจะต้องมา ใช้บริการในยามที่สมองตัน “บางวันก็ตันตั้งแต่บ่ายๆ ละ (หัวเราะ)” พี่เต้ยเสริม “และช่วงนี้มันก็ตันบ่อย ด้วยฮะ (หัวเราะ)” พี่โอ๊ตเสริมอีก นอกจากความกวนที่เห็นได้จากในหนังสือแล้ว ความฟรีสไตล์ การทำ�งานที่เน้นให้ทุกคนสบายและไม่ เครียดนั้น ก็เป็นอีกเอกลักษณ์ของฮิกาซีน “ออฟฟิศ เนี้ย มันมีกฎเกณฑ์แบบกว้างๆ จนดูเหมือนว่าไม่มีกฎ เกณฑ์ คือ ผมไม่ได้บังคับว่า เฮ้ย คุณต้องมาตอก บัตรนะเว่ย หรืออาจจะไม่ต้องมาเช้ามาก ก่อนเที่ยง ก็พอ หรือถ้าวันไหนมีธุระอะไรก็โทรบอกก่อน อย่าง เช่นการไปรับจ๊อบนอก ถ้าเราปิดเล่มแล้ว อยากไปก็ ไป เพราะมันไม่ต้องทำ�อะไร แต่ถ้ายังไม่ปิดเล่ม แล้ว ดันจะออกไปรับจ๊อบนอก แบบนี้มันก็ไม่ได้ คือ เราอาจ ดูขี้เกียจ เราอาจดูไร้ระบบ แต่เราก็มีความรับผิดชอบ แค่นั้นเอง” พี่โอ๊ตกล่าว
เมื่อพูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์ในการทำ�งาน ผม ก็เลยขอถามเรื่องราวของพนักงานบ้างครับ ก็ถามไป ว่า ถ้าต้องรับพนักงาน ทางฮิกาซีนจะพิจารณาอะไร ก่อน?... จากคำ�ให้การที่ผมได้รับฟังมา สิ่งแรกที่พี่ โอ๊ตตอบมาก็คือ ต้องเป็นคนที่คุยเป็นภาษาเดียวกัน ครับ ต้องอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เข้ามาแล้วต้อง ทำ�ให้บรรยากาศในการทำ�งานมันดีขึ้น ส่วนในเรื่อง ของความสามารถนั้น พี่โอ๊ตบอกว่า “บางที ผมอาจ จะเลือกคนที่เก่งปานกลาง เงินเดือนไม่ต้องสูงมาก แต่ อยากได้คนที่เค้ารู้สึกว่าเป็นเจ้าของฮิกาซีน คนที่มีใจ กับผลิตภัณฑ์ของเรา” และอีกหนึ่งคุณสมบัติสำ�คัญ ก็คือ ความรับผิดชอบครับ “ความรับผิดชอบด้วย อันนึงฮะ รับผิดชอบต้องมาก่อน เรื่องเก่งหรือไม่เก่ง ไว้ค่อยมาดูกันทีหลัง คือ ถ้าเก่ง แต่ไม่รับผิดชอบก็ไม่ เอา แต่ถ้ารับผิดชอบแล้วไม่เก่ง ก็ต้องมาดูกันอีกทีว่า ไม่เก่งแล้วยังจะทำ�ตัวเก่งอีกรึเปล่า ไม่งั้น งานมันก็จะ เละไปกันใหญ่ อะไรประมาณนี้ฮะ”
สร้างเสริมประสบการณ์ฮิ จากการที่ได้อ่านประวัติคร่าวๆของชาวฮิกา ซีนมา จุดเด่นอย่างหนึ่งของพวกเขาคือ การที่ได้ ทำ�งานกับพี่โน้ต อุดม แต้พานิช ที่เป็นไอดอลของใคร หลายๆคน (จริงๆแล้ว ทีมงานฮิกาซีนหลายๆคนก็ได้ ทำ�งานกับบุคคลในวงการบันเทิงดังๆ หลายๆ คนมา ก่อนครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่ตู้ พี่ตั้ว ศรัญยู หรือพี่เปิ้ล นาคร) ผมก็เลยโยนคำ�ถามไปว่า จากการที่ได้ทำ�งาน กับพี่โน๊ตมาเนี่ย มันช่วยอะไรในการทำ�งานบ้าง? พี่ โอ๊ตตอบว่า “จริงๆแล้วกับทุกคนก่อนหน้านี้ที่เคย ทำ�งานร่วมกันมาก็มีส่วนช่วยหมดเลยนะ พอเราไปทำ� เนี่ย เราก็จะรู้มุมมอง รู้ว่าอะไรควรทำ� อะไรไม่ควร ทำ� อะไรเวิร์ก อะไรไม่เวิร์ก เหมือนเค้าเป็นหนูทดลอง ให้เราอ่ะ ก็จะเล่าแค่พี่โน้ตก่อนละกัน คือ เราเห็นพี่โน้ต ขึ้นไปบนเวที ทำ�อันนั้นอันนี้ แล้วก็แบบ เฮ้ย อันนี้มัน ไม่เวิร์ก เฮ้ย อันนี้มันจังหวะไม่ดี มันค่อยๆเห็นว่า เออ อะไรที่เวิร์ก ทางแบบนี้ก็ต้องไปแบบนี้ ยิ่งช่วงออกทัวร์ ช่วงทดลองมุขอ่ะ จะมีแบบว่า ‘พี่ มุขนี้อ่ะ ลองเล่น ดู’ พอเล่นไปปุ๊บนะ มันก็จะมีเสียงแอร์ดังกระหึ่ม แล้ว ก็จะมีเสียงหัวเราะประมาณ 4-5 คนที่อยู่หลังๆตะโกน มาว่า ‘ไอ้ CENSOR กูว่าแล้ว!’ (หัวเราะ) ประจำ�ฮะ”
ช่วงฮิชี้แนะ ก่อนที่จะได้ไปสัมภาษณ์ฮิกาซีน ผมก็อ่านข้อ มูลหลายๆอย่างเกี่ยวกับพวกเขามาก่อนครับ อ่าน ไปอ่านมาจนรู้สึกว่า เฮ้ย มันมีอยู่ 2 คำ�ถามที่ผม ต้องถามอ่ะ ผมว่า เราน่าจะได้คำ�ตอบดีๆ และแปลกๆ ด้วยนะ ออกมาจากพวกเขา คำ�ถามที่ว่าคือ ข้อ แรก ฮิกาซีนมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับสังคมไทย ในปัจจุบันครับ? “ถ้ามองในเรื่องสังคมออนไลน์” พี่ เต้ยตอบก่อน “ผมว่าคนเดี๋ยวนี้เขาดูภาพภาพเดียว แล้วก็ตัดสิน วิจารณ์กันเร็วมาก โดยที่ไม่คิดว่ามัน มีเหตุการณ์อะไรก่อนอะไรหลัง หรือแรงจูงใจอะไรรึ เปล่า พอเห็นภาพแล้วก็วิจารณ์เลย ด่า เอาสะใจ เอามัน คนอื่นก็ เฮ้ย คุณด่า ผมตามด้วย ก็เฮโลกัน เข้าไป มันขาดการวิเคราะห์ฮะ” จากนั้นพี่โอ๊ตก็เสริม ขึ้นมา “สังคมเรามันก็มีทั้งดีและไม่ดีครับ จริงๆนะ พอเราไปเจอเรื่องที่ไม่ดี เราก็หดหู่ พอเราไปเจอเรื่อง ดีๆ เราก็รู้สึกดี แต่สำ�หรับสุขภาพจิตของคนทุกวัน นี้ ผมว่ามันดร็อปลงไปเยอะแหละ เหมือนที่เต้ยบอก พอเจอรูปอะไร ทุกคนก็จะด่า ชอบฟังการด่ากัน มัน ก็เลยหดหู่ ก็ ผมว่า สุดท้ายเราก็ปล่อยไปตามกระแส ของมันแหละฮะ แต่ก็อย่าไปเครียดกับมันมาก แค่นั้น แหละ เจอเรื่องที่น่าหงุดหงิด เราก็หงุดหงิดบ้าง แต่ พอเจอเรื่องที่น่าชื่นชม เราก็ชื่นชม” คำ�ถามข้อที่ 2 คือ ถ้ามีคนให้งบฮิกาซีน มา 1 ก้อน แล้วบอกฮิกาซีนว่า “อยากให้ฮิกาซีน ทำ�อะไรก็ได้ จะเป็นการทำ�อีเว้นท์ หนังสือ หนังสั้น หรืออะไรก็ได้ เพื่อส่งเสริมสังคมทั่วประเทศ!” ฮิกา ซีนจะทำ�อะไร?... พี่โอ๊ตตอบมาว่า “เป็นคำ�ถามที่ ยากมากฮะ ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้มาก่อน” แต่สักพัก หลังจากที่คุยเรื่องอื่นๆ ถามเรื่องอื่นๆ สัพเพเหระ กันไป อยู่ดีๆพี่โอ๊ตก็นึกคำ�ตอบขึ้นมาได้ “นี่ไง! เรา จะไปอยู่นี่ไง เดือนสิงหา เราจะไปช่วยสังคมฮะ โดย มีพล่ากุ้งเป็นแกนนำ�” แล้วพี่เต้ยก็เสริมต่อ “เราจะ ไปจัดกิจกรรมที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอยุธยาฮะ เป็น โรงเรียนที่มีนักเรียนแค่ 30-40 คนเอง คือ ดีเจ พล่ากุ้งเค้าเคยผ่านโรงเรียนนี้มา แล้วก็อยากไปช่วย เด็กๆ เด็กนักเรียนที่นี่ไม่เคยเล่นกีฬาสีเลย ที่นี่ไม่เคย มีกีฬาสี ก็ สิงหานี้เราก็จะไปจัดกีฬาสีให้กับเด็กๆกัน ครับ” พอระลึกชาติขึ้นมาได้บางส่วน คราวนี้พี่โอ๊ตก็
เลยยิงยาวเลยครับ เกี่ยวกับกิจกรรมที่อยากทำ�เพื่อ ส่งเสริมสังคม สิ่งที่พี่โอ๊ตอยากทำ�เพื่อส่งเสริมสังคม ไทยมากที่สุดคือ ยกระดับการศึกษาครับ พี่โอ๊ตบอก ว่า ปัญหาต่างๆที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้ มันมีสาเหตุมา จากการที่คนมีความรู้ไม่เท่ากัน สิ่งที่ควรทำ�คือการ หาวิธีที่ทำ�ให้เด็กที่อยู่ต่างจังหวัดไกลๆเขาได้เปิดโลก ทัศน์ มีตัวอย่างหนึ่งที่พี่โอ๊ตเล่าให้ฟัง ตัวอย่างนี้เกิด ขึ้นที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของพี่โอ๊ตเอง (ชื่อร้าน สำ�ราญ ทอง อยู่สามย่านซอย 50 ครับ) พี่โอ๊ตบอกว่า คน งานที่ร้านของเขามาจากต่างจังหวัดที่ไกลมากๆ พอ พวกเขาไปเจอสยาม ไปเจอมาบุญครอง เจอสิ่งที่ พวกเราเห็นกันจนชินตา แต่สำ�หรับพวกเขา สิ่งที่มัน ธรรมดาสำ�หรับพวกเราคือที่สุดในชีวิตของพวกเขา แล้ว “คือ พยายามกระจายการศึกษา” พี่โอ๊ตกล่า ว และเสริมต่ออีกว่า “การศึกษาที่บอกมันไม่ใช่แค่ใน ตำ�ราเท่านั้น แต่มันต้องเป็นความรู้รอบตัว เราต้อง ไปสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สร้างอาคารเรียน ถ้า เป็นเรื่องการศึกษา ผมว่าดีที่สุดฮะ เค้าจะได้แยกแยะ ได้ว่า อะไรดี อะไรไม่ดี”
จากนั้น ผมก็ถามไปถึงสิ่งที่ฮิกาซีนอยาก จะฝากไปถึงเด็กรุ่นใหม่ คำ�ตอบของเขาก็น่าสนใจมาก ครับ... คือ กับการทำ� undomag ที่ผ่านๆมา เวลา ไปถามแขกรับเชิญคนอื่นๆเกี่ยวกับสิ่งที่จะฝากไปถึง เด็กๆรุ่นใหม่ พวกเขาก็จะตอบมาเป็นข้อแนะนำ�ต่างๆ หลากหลายรูปแบบ ส่วนทางฝั่งฮิกาซีนเอง ก็ตอบมา ได้น่าประทับใจมากเลยครับ พี่โอ๊ตตอบมาเน้นๆเลยว่า “สังคมนี้ ผมว่าเค้าฝากกันไปเยอะแล้วล่ะ เด็กมันรับ ฝากกันเยอะเกินไปแล้ว! ไม่ต้องไปฝากอะไรมันแล้ว!! แค่ ให้มันทำ�ตัวดีๆก็พอแล้ว!!!... เฮ้ย จริงๆนะ เด็กมันรับ เยอะนะ มันรู้แล้วล่ะว่าต้องทำ�ยังไง คราวนี้มันก็อยู่ที่ว่า เด็กมันจะทำ�หรือไม่ทำ�เท่านั้นแหละ ผมว่าไม่ต้องไปฝาก อะไรมันแล้ว เห็นด้วยมั๊ยอ้ะ?” ฝากแฟนฮิ คำ�ถามสุดท้ายครับ มีอะไรจะฝากถึงแฟนๆฮิ กาซีนบ้าง?... หลังจากที่ได้ยินคำ�ถาม พี่โอ๊ตก็ตอบมา ด้วยความจริงใจเลยครับว่า “โอ้ย! ไม่มีอะไรฝากแล้ว! ฝากอะไรกันเยอะแยะ! (หัวเราะ) ก็ขอบคุณนะครับที่ อุตส่าห์เชื่อใจซื้อหนังสือของเรา ถึงแม้บางทีมันจะมีข้อ ผิดพลาดบ้าง ก็ต้องเข้าใจว่า ความผิดพลาดมัน คือ เสน่ห์ของความเป็นมนุษย์ หากมนุษย์ไม่ผิดพลาดเลย เนี่ย มันก็จะไร้ซึ่งเสน่ห์ พวกเราเสน่ห์เยอะ ก็ นั่นแหละ ฮะ ขอโทษที่ทำ�ผิดพลาดไปบ้าง แต่... เรารักนาย” และ พี่เต้ยตามมาปิดท้าย “เฮ้ย เรารักด้วย สวัสดีครับ” ป.ล. ประทับใจฮิ… ส่วนท้ายนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ครับ แค่อยากจะลงข้อความตอนหนึ่งที่ผมหาที่ลงใน บทความด้านบนไม่ได้ (หัวเราะ) แต่มันมีความสำ�คัญ มาก เพราะหลังจากที่ได้ยินคำ�ตอบหนึ่งจากพี่โอ๊ตและ พี่เต้ยแล้ว ผมว่า คำ�ตอบของพี่เขามันโดนใจ ทั้งใจผม และใจพี่ชัยเลยนะ เพราะ กับการที่เราทำ� undomag กันมา เราก็ได้รับสิ่งเหล่านี้มาเหมือนกัน คำ�ถามที่ผม ถามฮิกาซีนไปก็คือ คิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดในการทำ�ฮิกาซีน คืออะไรครับ? และคำ�ตอบก็คือ “ผมว่า มันทำ�ให้เรา ได้รู้จักคนเยอะขึ้น” (คำ�ตอบจากพี่โอ๊ต) และ “ของผม เอง ที่ได้มากที่สุดก็ ความสนุกอ่ะฮะ และได้ทำ�งานกับ คนที่เหมือนๆกัน” (คำ�ตอบจากพี่เต้ย)... หลังจากที่ สัมภาษณ์กันเสร็จแล้ว พี่ชัยก็หันมาบอกผมเลยครับว่า
“เออ มันจริงนะ” เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่า ทำ�ไม หลังจากที่ได้สัมภาษณ์กลุ่มคนที่ทำ�งานนิตยสาร เหมือนกัน แล้วพี่ชัยก็ไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊คว่า “UNDO Magazine ฉบับหน้า เป็นเล่มที่พี่โคตรอินสุดๆ เพราะ เป็นเรื่องราวของคนทำ� Magazine สัมภาษณ์ไป ก็ประทับใจทุกอย่างที่ได้คุยกัน เหมือนคนคุยถูกคอ ทัศนคติ ความคิดเดียวกัน” เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ครับ... ขอบคุณทุกคนที่พวกเราได้ไปสัมภาษณ์ ทั้งใน เล่มนี้และเล่มก่อนๆ และขอบคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยครับ ขอบคุณทุกคนเลย ขอบคุณมากครับ จบแล้ว
free on your style UNDO MAGAZINE เปิดพื้นที่ปล่อยของสำ�หรับน้องๆ ที่ต้องการส่ง ผลงาน บทความ เรื่องสั้น ศิลปะ งานภาพ ประกอบ หนังสั้น Motion Graphics ฯลฯ undomagazine@gmail.com
InsPire-OnLine DIY ตอนนี้ใครๆก็พูดถึงและชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการทำ� เป็นของขวัญ ทำ�ไว้ใช้ตกแต่งบ้าน ทำ�เป็นเครื่องประดับ การใช้ของที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นสิ่งของที่เกิด ขึ้นใหม่ที่มีความสวยงาม เก๋ไก๋ ไม่เหมือนใคร แต่หากคุณ ยังไม่รู้จะทำ�อะไร ไม่มีไอเดียที่จะทำ�สิ่งของเหล่านั้น ลองดู ของ DIY ที่มีไอเดียดีดีในเว็บไซต์์นี้กันเลย มีไอเดียต่างๆ มากมายเกี่ยวกับการ DIY ง่ายๆ ที่ดูแล้วสวยงาม ไม่แพ้ ของซื้อของขายเลยทีเดียว Link --> diystylist.wordpress.com
Inspire online เป็นคอลัมน์แนะนำ� เว็บไซต์สำ�หรับน้องที่ชอบงาน art ไม่ ว่าจะเป็น graphic design ภาพถ่าย ภาพวาดประกอบ ซีเนมากราฟ แล้วก็ อื่นๆอีกมากมาย ใครมีเว็บแนะนำ�ส่งมาได้ที่ undomagazine@gmail.com
Review by
Napussanun Vanahirun
นภัสนันท์ วนาหิรัญ
Review by Kajui
Kajai
Story and Photo by iggy
de Guy
REWORK ยกเครือ่ งความคิด ในยุคนี้ สมัยนี้ มองไปทางไหนใครๆ ก็ต่าง ทำ�ธุรกิจกันทั้งนั้น ทั้งทำ�เป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริม ซึ่งไม่เว้นแม้แต่นิสิตนักศึกษาก็หารายได้กันตั้งแต่ยังเ รียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แล้วคุณล่ะ อยากมีธุรกิจ อะไรกับเขาบ้างหรือเปล่า? ยกเครื่องความคิด เป็นหนังแปลที่เขียนโดย Jason Fried & David Heinnemeier Hansson ซึ่งเปลี่ยนมุมมองธุรกิจที่แสนน่าเบื่อ ให้เป็นเรื่องที่ ใครๆ ก็อ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้ที่สนใจจะ เริ่มต้นธุรกิจหรือแม้แต่ผู้ที่ไม่สนใจก็ตาม ยกเครื่องความคิด ได้เสนอไอเดียในการทำ� ธุรกิจในแบบที่แตกต่างจากที่แปลกแหวกแนวและหลุด กรอบ “ปล่อยพนักงานก่อนเวลา,อย่าขยายธุรกิจอย่า เพิ่มจำ�นวนพนักงาน,จงตามหลังคู่แข่ง …” แต่วิธีการต่างๆ เหล่านี้กลับทำ�ให้บริษัทของผู้เขียนและ บริษัทอื่นๆ อีกนับร้อยประสบความสำ�เร็จมาแล้ว ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจของคุณประสบความสำ�เร็จ แบบพวกเขาบ้าง ยกเครื่องความคิด จะช่วยคุณรื้อวิธีคิด ในการทำ�งานแบบเดิมๆ และเปลี่ยนวิธีทำ�ธุรกิจของคุณไป ตลอดกาล
“ปล่อยพนักงานก่อนเวลา,อย่าขยายธุรกิจ อย่าเพิ่มจำ�นวนพนักงาน,จงตามหลังคู่แข่ง ” Story by
Piraya Nuchumpunth
พิรญาณ์ นุชอำ�พันธุ์
Healthy tips for healthy mind and healthy body
1
ตื่นนอนตอนเช้าฝึกหายใจ 10 ครั้ง หายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออกท้องยุบ ทำ� 10 ครั้ง ตอน ตื่นจะได้รับอากาศบริสุทธิ์
2
4 6 7 10
3
5
กินอาหารเช้าเบาๆ ที่มีคุณค่าสบายท้อง อย่ากินข้าวเหนียวหมูปิ้งบ่อยเพราะข้าว เหนียวย่อยยาก เลือกหมูปิ้งหรือไก่ปิ้งที่ แห้ง ตอนจะกินดึงส่วนที่ไหม้ดำ�ออกก่อนเพราะมี สารก่อมะเร็ง
ชงน้ำ�แดงไว้ดื่มจะได้กระชุ่มกระชวย แต่ถ้าใคร อยากกินกาแฟ ชาร้อน โกโก้ก้อชงใส่กระบอก ส่วนตัวของตัวเอง จะได้ช่วยให้ตาสว่างตอนขับ รถ อย่าทานกาแฟดำ�ก่อนออกตลาดหละเดี๋ยวปวดอึ ถ่าย รูดปรื้ด เพราะกาแฟดำ�มันช่วย detox ลำ�ไส้
วันนี้มีเรื่องของสุขภาพมาแชร์แบ่งปันให้กับ ทุกคนค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ที่ดีให้ทุก คนนะคะ
อย่าเอาขวดน้ำ� ตากแดดใน รถคุณ หมอบอกว่ามันมีสาร ก่อมะเร็ง
ไปถึงที่ทำ�งาน ทักทายเจ้านาย เพื่อนร่วมงานด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส
13
สริตา ธำ�รงศรีสกุล
ขับรถไปทำ�งานอย่างมีสติ ขับชิลๆ เปิด เพลงฟัง รถติดก็ค่อยแต่งหน้า จะได้ไม่ เสียเวลา
ตื่นเช้ามาดื่มน้ำ� ก่อนแปรงฟันจะได้ขับถ่าย อย่าถ่ายหลังเก้าโมงครึ่ง เพราะลำ�ไส้จะหนืด ถ่ายยาก
สวมใส่รองเท้าแตะหรือ รองเท้าที่สบายตอนขับรถ
Story by
Sarita Thamrongsrisakul
เคยได้ยินคำ�นี้มั๊ย โครงการช่างหัวมันใน พระราชดำ�ริอ่ะ ลองช่างมันอย่าได้แครบ้าง จะสบายใจดี
8
อย่าเริ่มเช้าด้วยความหงุดหงิด ไม่เบิกบานยิ้มไว้ อย่านั่งถอน ใจเฮือกๆเสียบรรยากาศในการ ทำ�งาน นั่งบ่นกะตัวเองเบาๆ อย่าไป รบกวนเพื่อนฝูง
9
ถ้าอาชีพเป็น sales outside ต้องออกไปข้าง นอกทุกวัน ต้องขับรถอย่างมีสติ อย่าขับรถ เร็ว อย่าเร่งเครื่องแรง เพราะเปลืองน้ำ�มันช่วย บริษัทประหยัดกันบ้าง อย่าขับเร็วบนทางด่วน เพราะ ถ้ารถเบา รถจะเหินทำ�ให้การทรงตัวยากเราะอาจเกิด อุบัติเหตุได้
11 12
วางแผนงานให้ดีว่า วันนี้จะไปพบ ลูกค้าคนไหน ต้องทำ�อะไรบ้าง เคลียร์สเป็คงานหรือส่งของ วาง บิล รับเช็ค จงตั้งรับเตรียมพร้อมกับ สถานการณ์รายวัน ลูกค้า เหวี่ยง วีน เราก็ทำ�หูทวนลม อย่าไปสนใจมาก เราไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์ ของใคร
14 16 18 20 21 22 24 25
15 17 19 23
คุยเล่นกะเพื่อนร่วมงานบ้าง เพื่อผ่อนคลาย อย่าเม๊าท์เสียงดัง เกรงใจเจ้านายและเพื่อน ร่วมงานต่างแผนกบ้าง
ทำ�งานชิลๆ อย่า เครียด สนุกกะงาน พร้อมกับรอยยิ้ม
นวดบีบหัวไหล่ช่วยผ่อนคลาย ลุกเดินยืด เส้นยืดสายสักห้านาที เดินไปเม๊าท์กะเพื่อน ร่วมงานบ้าง
อย่าสวาปามอาหารกลางวันเยอะ เดี๋ยวหนัง ท้องตึง หนังตาหย่อน เดี๋ยวจะทำ�งานช่วง บ่ายไม่ไหว หลับกันพอดี ยืดเส้นยืดสาย ออกไปห้องน้ำ� แปรงฟัน แต่งหน้า เบาๆ ก็พอ สักสิบนาที
เวลาทำ�งานอย่าจ้องจับผิดคนอื่น อย่า นินทาคนอื่น ทุกคนมีศักยภาพในการ ทำ�งาน ไม่งั้นเจ้านายจะรับมาทำ�ไม อย่า ดูถูกคนอื่น เคารพในการตัดสินใจของกันและกัน เชื่อ ใจกันบ้าง
อย่าเอาเรื่องชาวบ้าน มาพูดกันเยอะ เม๊าท์กัน ให้น้อยลง
ถ้าจะกลับดึกก็หาไรรองท้องก่อน พี่รู้ว่าน้องๆ หลายคนชอบกินส้มตำ�ปลาร้าตอนเย็น ถ้าอยาก กินต้องปลาร้าต้มนะ แต่ไม่รู้ว่า ร้านหน้าออฟฟิศ เค้าเป็นปลาร้าต้มป่าว เพราะปลาร้าต้มไม่สุกมันเป็นสารก่อ มะเร็งท่อน้ำ�ดีและมะเร็งตับ ทางสาธารณสุขกำ�ลังรณรงค์กันอยู่ ตามข่าวทั่วภาคอีสานเลย ถ้าอยากกินไก่ปิ้ง หมูปิ้งร่วมด้วยก็ เลือกแต่เนื้อที่แห้งๆลอกอันที่ไหม้เกรียมออกก่อนกินนะ น้ำ�มันที่ เค้าปิ้งหมูไก่ มันมีตะกรันดำ�ทำ�ให้ลำ�ไส้หนืดไปสองอาทิตย์ ก่อน กินให้ซับตัวเนื้อหมูไก่ด้วยกระดาษทิชชูก่อนกินแค่นี้ก็โอแล้ว กิน อย่างปลอดภัย
ถ้าบ่ายสองครึ่งหรือสามโมงง่วง ก้อชงชาร้อน โกโก้ กาแฟอุ่นๆจิบ จะได้กระชุ่มกระชวย อย่าใส่หวาน เยอะมากเดี๋ยวเลี่ยนกินไม่ได้ ถ้าเลิกห้าโมงจะรีบกลับ บ้าน ก็เตรียมตัวกลับ เลย
อย่ากลับบ้านเกินสี่ทุ่มมันอันตราย ถ้าเดินทางคนเดียวให้หาเพื่อนกลับ ด้วย หรือขอติดรถพี่ๆหรือเพื่อนๆ กลับด้วย จะได้ไม่อันตราย กลับถึงบ้านนั่งพักให้หาย เหนื่อยยี่สิบนาที แล้ว ค่อยอาบน้ำ�
27
26
คุยกะพ่อ แม่ พี่น้องก่อนนอน แฟน เพื่อน เพื่อปรับทุกข์ สร้างความสัมพันธ์ อันดี กอด พ่อแม่บ้าง อย่าเขิน กอดบำ�บัด เคยเห็น มั๊ย HUG FOR FREE ดูแล้วอบอุ่นดี แบ่งปันกอด มอบ ความรักให้คนรอบข้างดูแล้วมีความสุขของใคร
ถ้าต้องคุณทำ�งานกลับดึก ให้หาผูกแท็กซี่ที่ไว้ใจได้ จ้างไว้เลย คนขับ แท็กซี่สมัยนี้ค่อนข้างอันตราย หรือไม่ก็ผูกกะศูนย์ จ่ายค่าเรียก 50 บาท มีคนจดเลขทะเบียนรถด้วยปลอดภัยชัวร์
28 30 32
ดูละครหรือรายการวาไรตี้ ก่อนนอนเพื่อผ่อนคลาย
29 31
อย่านอนดึกเกินเที่ยงคืน พยายามนอน ให้ครบ 6 ชั่วโมง หากนอนน้อยตื่นมาจะ ความดันต่ำ� เดี๋ยวหน้ามืด
ก่อนนอนจิบน้ำ�หนึ่ง แก้ว อย่ากระดกซด
สวดมนต์ก่อนนอน บทสวดสั้นหรือ ยาวตามที่เราถนัด สวดแล้วก็แผ่ เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ให้เชื้อโรค ที่เราเป็นอยู่ รวมถึงเชื้อมะเร็งด้วย สรรพสัตว์ใหญ่ น้อย รวมทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย รวมถึงสัมภเวสี เปรต ยมทูต รวมถึงบุคคลรอบข้างที่เคยทำ�ไม่ดีกะ ท่านไว้ ให้ไปขอกราบอโหสิกรรมท่าน
35 37
จิบน้ำ�วันละแปดแก้วเพื่อสุขภาพ
34
เงินเป็นปัจจัยสำ�คัญ ควรใช้จ่าย อย่างประหยัดอดออม เงินมันสำ�คัญ ถ้ามันไม่มากพอ หมายความว่า ถ้า มีเงินอยู่ในมือแล้วใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็เปล่าประโยชน์
รู้จักเก็บหอมรอมริบบ้าง
คุณผู้หญิงอาจจะเครียดเหนื่อยจากการ ทำ�งานก็อาจจะอยากช็อปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำ�อาง แบรนด์เนม บ้างไรบ้าง เสริมสวย ทำ�ผม ทำ�เล็บ อยากเข้าสปา ไป นวดผ่อนคลาย ถ้ามีตังค์เหลือในกระเป๋าเยอะ ไม่เดือดร้อน ใครก้อช็อปไปเลย อย่าได้แคร์สื่อ
39
33
เข้านอนฝันดี
36 38
คำ�นวณค่าใช้จ่ายและ วางแผนการใช้เงินใน แต่ละวัน
สำ�หรับคุณผู้หญิงที่มีสามี และ ลูกแล้ว ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมของ สามี และลูกให้สะอาดสอ้าน แต่ง ตัวน่ารักดูดีกันทั้งบ้าน จะได้ลั้นลาสดชื่น อย่า ลืมดูแลตัวคุณเองด้วยล่ะ
อาหารการกินของคุณ สามีและลูก ครอบครัว ของ คุณต้องสะอาด ถูกสุขลักษณะ ถ้าออกมาตามห้าง สรรพสินค้าก็ต้องเลือกร้านที่ดี สะอาดอาหารต้องสด ใหม่ จะได้ไม่ท้องเสีย
40 42
ถ้าจะทานไอศรีม หรือของหวานๆ อย่าเลือก อันที่หวานมากๆ เดี๋ยวจะเลี่ยน ลองมาทานเค้กส้ม เค้กช็อคโกแลต พร้อม จิบชาเขียวร้อน หรือ ชา Earl grey อร่อยสดชื่นเชียว ปล่อยให้หน้าสดบ้างไรบ้าง หน้า สดหมายความว่าหน้าตาที่ไม่มี เครื่องสำ�อางเช็ดทำ�ความสะอาด หน้าให้สะอาด แค่ล้างน้ำ�สะอาดก้อพอ จะช่วย พักหน้าทำ�ให้สภาพผิวหน้าดี
44 46
อย่าให้ลูกดูทีวีบ่อยเดี๋ยวสายตาสั้น
อย่าได้ย่างกรายไปสมัครสมาชิกฟิตเนส เชียว ถ้าหากไม่มีเวลาไปเล่น เสียดาย เงินเปล่า เล่นโยคะอยู่บ้านดีกว่า แอโรบิก เองที่บ้านดีกว่า ชวนญาติ ลูกเด็กเล็กแดงที่บ้านมาเต้น ด้วยกัน สนุกดีออก ได้เหงื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกะ ที่บ้านได้ด้วย
47
อย่าไปดัด สระไดร์ หรือ เข้าร้าน เสริมสวย บ่อย ทำ�สี ดัดผม ทำ�ให้ผม แห้ง บาง หรือแพ้ บางคนผมหงอก เร็วเกินควรพักผมบ้าง การเข้าร้านทำ�ผมบ่อยจะได้ กลิ่นสารเคมี ซึ่งคุณหมอบอกว่ามีในร้านทำ�ผมมีสาร ก่อมะเร็งปอด ช่างผมมักเป็นเพราะสูดน้ำ�ยาดัดยอม เค้าไป
48
อย่าพยายามทาสีเล็บบ่อย ให้ทาเฉพาะ ตอนมีอีเว้นท์หรือไปออกงานต่างๆ เพราะยาทาเล็บมีสารเคมีก่อมะเร็งตับ ตามสารที่เคลือบเล็บพักเล็บบ้าง หาครีมมาบำ�รุงเล็บจะ ได้แข็งแรง
41
เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย เสาร์ อาทิตย์ พัก หน้าบ้างไรบ้าง ซื้อสมุนไพรมาพอกหน้าบ้าง แนะนำ� ผงหอมศรีจันทร์ ซื้อที่ 7-11 ถูก มาก ขัดแล้วตัวนุ่ม หน้านุ่ม แค่นวด 15 นาที คุณ ผู้ชายก็นวดได้นะ ตัวจะนิ่มเชียว
43
สอนการบ้านลูกบ้าง เล่น กะลูกบ้าง จะได้อบอุ่นกัน ทั้งครอบครัว
45
ซื้อของก้ออย่าไปรูดบัตรเครดิต เยอะ จ่ายเงินสดดีกว่า จะไป ผ่อนไปเสียดอกเบี้ยร้อยละยี่สิบ ทำ�ไมใช่เรื่อง เก็บค่าดอกเบี้ยไปซื้อขนมให้ลูกดี กว่า
สรุปนะคะที่เขียนมาทั้งนี้ไม่เพียงแต่แบ่งปันเรื่องสุขภาพ แต่เป็นการแบ่งปันการใช้ชีวิตในบางข้อ แค่ปรับชีวิต นิดหน่อย ก้อเป็นสุขแล้ว อย่าลืมใช้ชีวิตพอเพียงตามพระราชดำ�รัสของ ในหลวงนะคะ ลองนำ�ไปทำ�ดูแค่นี้ ก้อทำ�ให้สุขภาพดีแล้ว ค่อยๆทำ�ข้อ ที่เราสามารถทำ�ได้ก่อน แค่ปรับสมดุลให้กะชีวิต เชื่อว่า สุขภาพดีอย่างแน่นอนค่ะ ลองเริ่มไปพร้อมๆกันนะคะ
ไข่พะโล้นกกระทา
รากผักชี / กระเทียม / พริกไทยดำ�เม็ด
Story & Photography by Kik
ไข่นกกระทา
ฟองเต้าหู้ เต้าหู้พวง
กระดูกหมู
1 เต้าหู้ก้อน
เตรียมไข่นกกระทาที่ต้มสุก แกะเปลือกไว้เรียบร้อยแล้ว พักไว้ ก่อน พร้อมกับเตรียมเต้าหู้ชนิดต่าง ๆ ที่ชอบไว้ เช่น เต้าหู้ก้อน เต้าหู้พวง หรือ ฟองเต้าหู้
2
โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทยดำ�เม็ด ให้ละเอียด แล้วนำ�ลงผัดกับน้ำ�มันเล็กน้อย
3
เมื่อเริ่มมีกลิ่นหอม ให้นำ�กระดูกอ่อนใส่ลงไป พร้อมกับน้ำ�ตาลมะพร้าว และ น้ำ�เปล่าเล็ก น้อย
4 พอเร่ิมงวดให้เติมน้ำ�เปล่าจนเต็มหม้อ พร้อมใส่ ไข่นกกระทา เต้าหู้ต่าง ๆ ที่เตรียมไว้
5และนำ�เครื่องพะโล้ที่ใส่ถุงผ้าขาวบางไว้แล้ว
ใส่ลงในหม้อ ปรุงรสด้วยน้ำ�มันหอย ซีอิ้วขาว น้ำ�ปลา พริกไทย และเพิ่มสีสันด้วยซีอิ้วดำ� เล็กน้อย
interview with
ทรงกลด บางยี่ขัน a DAY mAGAZINE
ในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้บรรดาสื่อ ต่าง ก็ให้ความสนใจและนำ�เรื่องราวของจักรยานมาพูด ถึงในแง่มุมต่างๆ ปัจจุบันจักรยานไม่ได้เป็นเพียงแค่ กระแส แต่มันได้กลายเป็นวิถีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ น่าสนใจ ความนิยมของจักรยานที่เติบโตขึ้น ไม่ได้ เป็นเพราะแฟชั่นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคน เริ่มมองเห็นประโยชน์ของมันและอยากขี่กันอย่าง จริงจังมากขึ้น มองซ้ายมองขวาก็เริ่มเห็นคนปั่น เจ้าสองล้อชนิดนี้กันทั่วเมือง แถมยังเพิ่มจำ�นวน ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนทั่วไปที่ใช้จักรยานกัน มานานแล้ว เด็กๆวัยรุ่นทั้งหลาย หรือแม้แต่เหล่า ศิลปินและดาราชื่อดังอีกมากมายก็ยังมาร่วมแจม แน่นอนว่านิตยสารวัยรุ่นชื่อดังอย่าง a day ก็คงไม่พลาดที่จะให้ความสนใจเรื่อง จักรยานด้วยเช่นกัน แต่จะทำ�อย่างไรที่จะนำ�เสนอ ในรูปแบบที่ไม่ซ้ำ�ใคร เพราะแน่นอนว่านิตยสาร ฉบับอื่นๆก็คงนำ�เสนอเรื่องเหล่านี้ด้วยเช่นกัน นับ ว่าโจทย์หลักที่ท้า a day ให้ต้องแก้ปัญหา เพื่อที่ จะนำ�เสนอเรื่องราวในมุมที่ต่างออกไป a day อยากเล่าเรื่องราวของคนขี่ จักรยานเพื่อชวนให้คนมาขี่จักรยาน แต่ก่อนที่จะ ชวนคนอื่นออกไปปั่น a day เริ่มต้นจากการจูง จักรยานของตัวเองออกมาปั่นก่อน เพื่อไปตาม หาคนขี่จักรยานและพูดคุยกับคนเหล่านั้นที่อยู่ทั่ว ประเทศไทยในระยะทั้งหมด 45 วัน เพื่อพิสูจน์ให้ เห็นว่า เมื่อมือใหม่หัดขับอย่างพวกเขาสามารถปั่น ได้ ผู้อ่านก็ออกมาปั่นได้เช่นกัน
“มาปั่นจักรยานด้วยกันเถอะ” นั่นคือสิ่ง ที่ a day อยากจะบอกกับเรา
Story by
Wissarut Bunmee
วิศรุต บุญมี
พี่ก้อง ทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการ นิตยสาร a day ได้เล่าถึงที่มาของ a day ฉบับนี้ให้ ฟังว่า จากการที่จักรยานกลายเป็นกระแสที่มาแรงและ ในระดับโลกนั้นได้พูดถึงการใช้จักรยานเอาไว้ว่าเมืองใน อนาคตควรจะเป็นเมืองที่เหมาะกับจักรยาน ในเมืองใหญ่ ทั่วโลกอยากจะให้คนหันมาใช้จักรยานมากขึ้น เพราะแก้ ปัญหาทั้งสิ่งแวดล้อม แล้วยังทำ�ให้เมืองน่าอยู่อีกด้วยและ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น “พี่ก็สนใจแต่คิดว่ามันก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก พอกลับมามองเมืองไทยเราก็จะมีข้อจำ�กัดที่ทำ�ให้คนไม่ อยากขี่จักรยานเยอะ เลยรู้สึกว่าเรื่องการขี่จักรยานใน เมืองนอกมันเป็นเรื่อง่ายเพราะอากาศมันดี แต่พอกลับ มาเมืองไทยแล้วเป็นเรื่องที่ยากมาก พี่เลยไม่คิดจะขี่ ติด กับข้อจำ�กัดนี่ล่ะครับ ว่าจะขี่ยังไง ร้อนก็ร้อน ถนนก็ ลำ�บาก แค่สนใจเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เริ่มขี่”
กันว่าจะทำ�เรื่องจักรยานกัน ให้ทุกคนกลับไปคิดว่าจะมี เรื่องอะไรบ้าง แล้วก็กลับมานั่งประชุมกัน ในวันที่เรานั่ง ประชุม ก็มีคนถือนิตยสาร “สารคดี” เล่มใหม่มาด้วย (หน้าปกเรื่องจักรยาน) พี่ก็คิดว่า คงไม่ซ้ำ�หรอก ก็เปิด สารคดีดู ปรากฏว่าทุกอย่างที่พูดกันมาอยู่ในสารคดี หมดแล้ว และที่สำ�คัญคือ เขาทำ�ดีกว่าเราเยอะเลย สิ่ง ที่เค้าหามามันเยอะกว่าที่เราคิดได้เยอะมาก ก็คิดว่า เรา คงแพ้พ่ายแน่ๆ ก็หยุดการทำ�เล่มนั้นแบบเบรกเอี๊ยดเลย ก็เลยไปทำ�เล่มวิดีโอเกมแทน แต่ก็ยังอยากทำ�อยู่ ก็คิดว่า เอาล่ะ วันหนึ่งที่เราพร้อมกว่านี้ เมื่อเราคิดออกว่าจะทำ� อะไรค่อยกลับมาทำ�ใหม่” เวลาผ่านไป นิตยสารหลายเล่มต่างทยอยนำ� เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับจักรยานในรูปแบบต่างๆ จึงมา ถึงโจทย์ที่ว่า ทำ�อย่างไรจะไม่ให้ซ้ำ�กับคนอื่นๆ และจาก สาเหตุดังกล่าว จึงเกิดเป็นสิ่งที่ทำ�ให้ a day ต้องกลับ มาทบทวนถึงจุดมุ่งหมายหลักอีกครั้ง ว่าอยากสื่อสาร แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีคนหันมาสนใจปั่น อะไรกับผู้อ่านจากการทำ�เรื่องจักรยาน ทำ�ให้พบว่า จักรยานเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่การออกกำ�ลังกาย สุดท้ายปลายทางของการทำ�นิตยสารฉบับนี้ก็คือ อยาก แฟชั่น และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมาของ Fixgear ให้คนขี่จักรยาน ได้ทำ�ให้วัยรุ่นสนใจและเป็นแฟชั่นมากขึ้นจนกลายเป็นไลฟ์ “ปลายทางของเรา คือ ทำ�ให้คนอ่านจบปั๊บ สไตล์อีกแบบหนึ่ง ด้วยสาเหตุนี้เอง ทำ�ให้บรรณาธิการ ไปหาจักรยานมาขี่ ดังนั้นเราคิดว่าจะต้องทำ�อย่างไรล่ะ ของเราเปลี่ยนมุมมองไปจากเดิม ให้คนรู้สึกว่า เค้าอยากขี่จักรยาน ก่อนจะตอบคำ�ถาม “คือตอนแรกสุดมองไปที่ประเทศต่างๆ เห็นว่า นี้ ก็กลับไปที่คำ�ถามว่า ทำ�ไมคนถึงไม่ขี่ล่ะ อ๋อ! คนกลัว จักรยานมันเกิดขึ้นได้เพราะว่ามีระบบในเมืองมันเกิดขึ้น คนขี่ไม่เป็น หรือปัญหาต่างๆว่า จะจอดรถที่ไหน จะขี่ ก่อน ของฝรั่งมีระบบกฎหมายทำ�ให้จักรยานมันเกิดขึ้น กับใคร เส้นทางไหน เป็นปัญหาเยอะมาก เราก็เลยคิดว่า ได้ ซึ่งในเมืองไทยไม่มีก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเวิร์ค จนกระทั่ง โอเคนี่คือปัญหาที่พวกเค้าเจอ ดังนั้นทางง่ายที่สุดก็คือ เจอเคสในเมืองไทยซึ่งคนขี่ก่อน คนสนใจขี่แล้วพยายาม บอกเค้าว่าปัญหาเหล่านั้นแก้ยังไง แต่ก็คิดอีกทีว่า มัน ผลักดันให้เกิดนโยบายเกี่ยวกับจักรยานในเมืองมากขึ้น คงจะดีกว่าถ้าเกิดว่าพวกเราทำ�ตัวเป็นหนูทดลองยา ใน พอเห็นคนขี่เยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าเออ น่าสนใจนะว่า การไปลองหัดขี่กันดู ถ้าพวกเราขี่กันรอด พวกเค้าก็เอา ทำ�ไมคนถึงขี่จักรยานกัน ทั้งๆที่เราก็มองว่าเมืองไทยมี เป็นตัวอย่างได้” ข้อจำ�กัดมากมาย ก็เลยอยากรู้ตรงนี้” ซึ่งในขณะเดียวกัน มีสมาชิกคนหนึ่งของ a เมื่อ a day จะทำ�ฉบับจักรยาน แต่ถ้าจะให้ day ซึ่งขี่จักรยานมาทำ�งานเป็นประจำ� คือ โต สม พูดเรื่องเชิงนโยบาย ว่าทั่วโลกมีนโยบายอะไร แล้วเมือง พฤกษ์ ผูกพานิช (กราฟิกดีไซเนอร์) จึงเป็นไอเดียให้พี่ ไทยควรจะเป็นแบบไหน ก็คงเป็นเรื่องใหญ่เกินไป อีกทั้ง ก้องอยากลองเดินทางด้วยจักรยานเพื่อเก็บข้อมูลมา ยังมีคนพูดไปแล้วก็เยอะ a day จึงพยายามมองหา บอกเล่าเรื่องราว เรื่องราวในแง่มุมอื่นที่แตกต่าง แต่ก็พบว่ายังมีอุปสรรค “ก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นเนื้อหาของ a day เล่ม ขนาดใหญ่ที่ต้องเผชิญ นี้ ก็เป็นเนื้อหาที่คล้ายที่นิตยสารสารคดีทำ� คือ เรื่อง “เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อปีกว่าๆ วันที่เรานั่งคุย คนกับจักรยานต่างๆ แต่เราจะไม่ไปด้วยการนั่งรถไปหรือ
ขึ้นเครื่องบินไป แต่ว่าเราไปหาคนเหล่านั้นด้วยการ ปั่นจักรยานไปหาพวกเขา นั่นทำ�ให้เราทั้งหมดมีเวลา ประมาณเดือนครึ่ง ในการเลือกซื้อจักรยาน หัดขี่ ซ้อม ฟิตร่างกาย เตรียมตัวเพื่อปั่นจักรยานทั่วประเทศไทย ไป หาคนเหล่านั้น ก็คิดว่า ลองกับตัวเองก็ดีเหมือนกัน จาก คนที่ไม่เคยขี่มาก่อนเลยเนี่ย ไปลองให้ดู แล้วก็ขั้นสูงสุด ของการขี่จักรยานในเมืองไทย ก็คือ การขี่รอบประเทศ ถ้าคิดดูว่าคนที่เพิ่งหัดขี่จักรยานสามารถขี่รอบประเทศ ได้ คือ เตรียมตัวเดือนครึ่งแล้วสามารถขี่รอบประเทศได้ ได้ คนอ่านก็ต้องขี่ได้สิ ขี่จากบ้านมาปากซอยก็ต้องขี่ได้สิ ก็เลยเกิดเป็นความคิดเรื่องจักรยาน เลยสนใจจักรยานนับ ตั้งแต่นั้นมา” นี่อาจจะเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นครั้งหนึ่ง แต่ความรู้สึกในการขี่ครั้งแรกบนถนนใหญ่ใจกลางเมือง กรุงกลับทำ�ให้บก.คนดังเกิดอาการกลัว “กลัวครับ เพราะว่าตอนเด็กๆพี่ก็ขี่จักรยาน อยู่ในกรุงเทพนั่นแหล่ะ ขี่ปกติแถวบ้านแต่จะถูกปลูกฝัง ว่ากลางคืนมันอันตราย อย่าไปขี่จักรยานกลางคืนมันน่า กลัว พอเรามาขี่กลางคืนครั้งแรกก็รู้สึกกลัวว่าอุบัติเหตุ มันจะเกิดขึ้นรึป่าว เพราะว่าทุกคนพูดกรอกหูเรามาตลอด ว่าขี่ในกรุงเทพแล้วมันอันตราย รถจะเฉี่ยว รถจะสอย ถนนก็ไม่เรียบ ถนนมันมีท่อ ก็เลยกลัว ก็ขี่แบบเกร็งมาก ใช้สมาธิสูงมากในการขี่ครั้งแรก” แต่เมื่อลองขี่ดูแล้ว พี่ก้องก็ได้พบว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่าง ที่คิด แล้วก็เริ่มรู้สึกว่ามุมที่มีมองสองข้างทางเปลี่ยนไป และที่สำ�คัญ การปั่นจักรยานเป็นเหมือนเครื่องย้อนเวลา ให้กลับไปรู้สึกเป็นเด็กอีกครั้ง “การปั่นจักรยานมันมีความพิเศษตรงที่ ทุก คนเคยปั่นตอนเด็กๆ แต่โตมาก็เลิกหมดทุกคน ดังนั้นมัน ก็เลยเป็นกิจกรรมที่เหมือนแค่เป็นสิ่งที่เด็กๆทำ� พอกลับไป ทำ�อีกครั้งหนึ่งมันก็อดนึกถึงตอนเด็กๆไม่ได้ ตอนเด็กเรา มีเสรีภาพในการเดินทางไกลที่สุดจากบ้านไปด้วยจักรยาน และกำ�ลังขาของเรา เหมือนเราได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง หนึ่ง”
และถ้ายิ่งเด็กๆหลายคนมารวมกัน ความสนุกก็ เพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว “ที่สำ�คัญคือ ไปกับเพื่อนครับ พี่เริ่มต้นกับการ ปั่นกับเพื่อนก่อนตอนกลางคืน นึกภาพเด็กๆผู้ชาย 5-6 คน ไปปั่นจักรยานด้วยกันตอนกลางคืน เหมือนแก๊งค์ แฟนฉันมาก เมื่อไรก็ตามที่ถนนโล่งๆ ทุกคนอัดกันไม่ ยั้ง พอจะเห็นภาพออกนะ แล้วก็ตะโกนกันตลอดทาง นึก ภาพว่าพอติดไฟแดงอยู่ แล้วกลางคืนมันไม่มีรถเลย พอ ไฟเขียวปั๊บ ทุกคนก็จะตะโกน ไปโว้ยๆๆๆ มันส์มากๆ พอ ขี่กับเพื่อนแล้วมันสนุก ไม่เหนื่อยเลย สนุกมาก การปั่น จักรยานทำ�ให้นึกถึงตอนเด็กมากๆ” จักรยานเป็นพาหนะที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความ คิด พี่ก้องบอกกับเราแบบนั้น เพราะเป็นการเดินทางที่อยู่ กับตัวเองสูงมาก และแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับใครเลย เมื่อ ได้คิดและได้คุยกับตัวเองเยอะและยิ่งได้เห็นบรรยากาศต่างๆ ระหว่างทาง ก็ย่อมเกิดความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามา “พอคิดได้มันก็คิดอะไรดีๆได้ระหว่างทาง แต่ว่า โชคร้ายตรงที่อยู่บนจักรยานแล้วมันจดไม่ได้ มันได้แค่จำ� ไว้ พอจำ�เอาไว้แล้วระยะทางพักทีครึ่งชั่วโมง ถ้ามันมีเรื่อง เดียวก็ดีไปแต่ถ้าคิดได้สี่ห้าเรื่องมันก็หายไปหมด พอถึงจุด พักปั๊บ เหนื่อยมากก็ขอพักก่อน พักเสร็จคุยกับเพื่อน ทำ� นู่น ทำ�นี่ กินน้ำ�เสร็จลืมหมด อุตส่าห์ท่องมาตลอดทาง มันก็โหดร้ายเหมือนกัน แต่ก็โชคดีที่อย่างน้อยพี่ก็จดไว้บน มือถือเก็บไว้ได้บ้าง จดลงสมุดเก็บไว้ได้บ้าง พี่ก็เลยคิดว่า จักรยานก็เป็นพาหนะพิเศษบางอย่างที่ทำ�ให้เรามีความคิด เยอะมาก แต่เก็บไม่ค่อยได้ครับ” และยิ่งเหนื่อยมากเท่าไร การเดินทางก็ยิ่งมีความหมาย มากเท่านั้น “พี่ชอบตอนเหนื่อยครับ ตอนที่เหนื่อยมากๆ ปั่นจนเหนื่อยที่สุดแล้วก็ค่อยผ่อน แล้วจุดพักแต่ละจุดจะ โคตรมีความหมายเลย เป็นการพักที่แทบจะทิ้งจักรยานลง ไปนั่งกินน้ำ� บางคนลงไปนอนเลย วันไหนก็ตามที่เราปั่น
ไปถึงที่หมายแบบเหนื่อยมากๆ คือไม่จำ�เป็นว่าจะ ต้องปั่นกี่กิโลเมตร แต่คือว่าสะบักสะบอมแบบเหนื่อยมากๆ เนี่ย ยิ่งมีความสุข ก็เลยรู้สึกว่า เส้นชัยที่มีความหมาย มันไม่ควรได้มาง่ายเกินไปครับ เส้นชัยที่มีความหมายมัน ต้องมาด้วยความเหนื่อยยาก แล้วมันจะมีความหมาย มาก พวกเราก็เลยมีความสามารถพิเศษ แม้ว่าระยะทาง จะแค่ 20 หรือ 40 กิโลเมตร เราก็สามารถทำ�เส้นชัยให้ มีความหมายได้”
จักยานเก่าบางคันซื้อขายกันในราคาเพียง 300-500 เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วของเหล่านี้ กลับมีคุณค่ามากกว่าที่เรามองเห็นด้วยซ้ำ� บางทีเรื่อง ราวที่แฝงอยู่ในตัวจักรยานอาจไม่สามารถวัดราคาได้ด้วย จำ�นวนเงิน “จะบอกว่ายิ่งใหญ่เท่าชีวิตก็ได้ แต่คนนอกมอง เห็นมันเป็นเพียงวัตถุ เป็นจักรยานเก่าๆคันหนึ่ง ก็จะให้ค่า มันแค่วัตถุที่มันมีอยู่ แต่ว่าจริงๆแล้วจักรยานมันมีคุณค่า มือใหม่หัดปั่นคงหนีไม่พ้นกับการหลงทางแน่ๆ เชิงจิตใจ มันมีคุณค่าเชิงจิตวิญญาณ อย่างที่อาจารย์ และพวกเขาก็เจอเรื่องราวให้ต้องหลงทางอยู่บ่อยๆ และนั่น จุลพรเคยบอกไว้ครับว่า ของอะไรก็ตามจะมีจิตวิญญาณ ก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้และมันก็กลาย บางอย่างอยู่ ซึ่งจิตวิญญาณพวกนี้เงินเท่าไรมันก็ไม่ เป็นเรื่องประจำ�ที่พวกเขาคุ้นชิน สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ และสิ่งเหล่านี้มันมีค่ามาก ก็ “หลงนี่มีตลอด หลงทางแทบทุกวัน มากบ้าง ควรจะเก็บรักษาเอาไว้ พี่ก็รู้สึกว่าจักรยานมันเป็นของ น้อยบ้าง ปั่นทางไกลเส้นทางอะไรก็ไม่ได้แม่นยำ�มากนัก ประเภทหนึ่ง ซึ่งเอื้อให้มีจิตวิญญาณอยู่ในจักรยานสูงมาก ก็ต้องไปเดาๆกันตลอดทาง ปั่นกันไป ถามกันไป แล้ว เพราะเรื่องราวกับการใช้งานของมันจะมีของพวกนี้เยอะ ยิ่งปั่นกันแค่ 6คน พอ 6 คนแล้วระยะห่างมันจะเยอะ ครับ” มาก บางทีคนที่รู้ทางมันไม่ได้อยู่คนแรกนี่ครับ เป็นคนรู้ ทางแล้วดันมาอยู่คนสุดท้ายเนี่ยแหล่ะ แล้วยิ่งปั่นกันเร็วๆ เรื่องราวต่างๆยังมีอีกเยอะ แต่ถ้าจะให้เล่า มากๆ ไอ้คนรู้ทางตามไปบอกไม่ทัน ว่า เฮ้ย! มันจะเลย ทั้งหมดคงจะต้องใช้เวลาอีกยาวแน่ๆ คิดว่าหลายคนคง แล้ว จอดก่อน ก็จะมีเหตุการณ์ปั่นไส้แตกแบบ 10 กิโล ได้อ่าน a day ฉบับจักรยานกันมาแล้ว ถึงการเดินทาง ก็มีครับ ปั่นเลยไป 10 กิโล ไป-กลับ 20 กิโลก็มีเหมือน ของพวกเขาได้จบลงไป แต่การปั่นจักรยานของพวกเขา กัน ซึ่งการปั่นหลงพี่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่เป็นเรื่องโจ๊กกับทุก ยังคงดำ�เนินต่อไปในชีวิตประจำ�วันอย่างไม่สิ้นสุด สำ�หรับ คนตลอดเวลา จะมีพวกกลุ่มแรงๆ เนี่ย ซึ่งอยู่ข้างหน้า ผู้รักการปั่นจักรยานเป็นชีวิตจิตใจนั้น คงต้องเรียกได้ว่า โอกาสหลงมันก็จะสูงมาก พวกนี้จะปั่นกันหลงประจำ� เลย แม้ขาหลุดก็คงไม่หยุดปั่นเลยทีเดียว สำ�หรับใครที่สนใจ ประจำ� ก็จะพูดในหมู่พวกเรากันครับ คือ ไม่รู้อย่านำ� คือ แต่ยังไม่มีจักรยานไว้ใช้ ก็น่าจะหาไว้สักคัน เพราะประสบ ไม่รู้ทางอย่าไปนำ� เดี๋ยวหลงเปล่าๆ นี่ก็เป็นเรื่องสนุกๆที่ได้ การณ์มันส์ๆแบบนี้ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้น จากการหลงทาง” เรื่องราวต่างๆผ่านทริปนี้ยังมีอีกมากมาย ซึ่งพี่ก้องเอง ได้บอกว่า คงจะมีพ็อคเก็ตบุ๊คตามมาอีกประมาณ 2 เล่ม และการเดินทางก็ได้ทำ�ให้ได้พบเจออะไรหลาย ซึ่งแฟนๆหนังสือของพี่ก้องก็เตรียมตัวรอไว้ได้เลย อย่าง ผู้คนมากมาย และที่สำ�คัญมันเป็นเรื่องบังเอิญที่ แสนประทับใจ “อย่างที่ไปลำ�พูนเจอคุณยายคนหนึ่งมีจักรยาน Raleigh อายุ 50 ปีคันหนึ่งซึ่งมันสมบูรณ์มาก เค้าก็ บอกว่ามีคนมาขอซื้อตลอดเวลานั่นแหล่ะ ถ้าจะขายก็ได้ หลายพัน แต่บอกว่าไม่ขาย เพราะว่าคันนี้แฟนเค้าซื้อให้ เมื่อ 50 ปีก่อนเป็นของขวัญ ตอนนี้แฟนยายตายไปแล้ว ก็เหมือนเป็นของดูต่างหน้าชิ้นหนึ่งที่แฟนซื้อให้ แล้วก็รู้สึก ว่ามันดีที่ได้เจอเรื่องพวกนี้ระหว่างทาง”
Story & Illustration by
Pissacha Hemvachiravarakorn
สวัสดีคะเพื่อนๆ วันนี้ประเดิมคอลัมน์ แฟชั่น เมจิกจะพามารู้จักกับแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ อย่างแบรนด์ “NATGRITA BY MAGIC”กัน นะคะ ก่อนอื่นเลยเมจิกก็ต้องขออนุญาตแนะนำ� ตัวสั้นๆ ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกันก่อน เมจิกนะคะ นางสาว ณัฏฐ์กฤตา อัศวมณีกุล อายุ19 ปี กำ�ลังจะขึ้นปี 2 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณาเชิง สร้างสรรค์ ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพคะ จุดเริ่มของการทำ�แบรนด์เสื้อผ้าของเมจิก เกิดจากโดยส่วนตัวแล้วเมจิกเป็นคนที่ชอบคิด อยาก ทำ�นู่นทำ�นี่แล้วก็มักจะลงมือทำ�มันซะทุกอย่าง ก็ผิด พลาด ผิดหวัง บ่อยเหมือนกันคะ แต่ก็ไม่ค่อยจะเข็ด เท่าไหร่ 555 วันหนึ่งเมจิกก็คิดอยากมีแบรนด์เป็น ของตัวเอง ที่สำ�คัญอยากลบคำ�สบประมาทของใคร หลายๆ คนด้วยคะ เมจิกลองรวบรวมประสบการณ์ทั้งหมดที่ เราเคยผ่านมา ลงมือทำ� แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ ตั้งใจ มีท้อแท้กันบ้าง เพราะเมจิกทำ�เองคนเดียว ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่หาข้อมูล ออกแบบชุดไปจนถึงการ ถ่ายเซ็ตแฟชั่นของแบรนด์ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า เมจิก ไม่ได้เรียนด้านแฟชั่นออกแบบมา วาดรูปก็ไม่เคย เรียน อาศัยการวาดตามจินตนาการ แล้วก็ใส่เชื่อ ตามแบบของเราลงไป
ผลก็ออกมาพอดูได้เป็นรูปเป็นร่าง อยากรู้ อะไรก็จะใช้วิธีเปิดอินเตอร์เน็ต หาข้อมูลไปเรื่อยๆ ทั้ง เรื่อง การตัดเย็บ เรื่องการวาดหุ่นเสื้อ เรื่องแบบผ้า ต่างๆ เรียกได้ว่า ช่วงนั้นเป็นเพื่อนซี้กับคอมพิวเตอร์ เลยก็ว่าได้ เพราะเมจิกอยู่หน้าคอมทั้งวัน เมจิกทุ่มเท กับมันมากๆ พอชุดออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เมจิก ก็จะเริ่มลงมือถ่ายแบบ แต่งหน้า ทำ�ผมนางแบบเอง ด้วยคะ โดยเมจิกจะเน้นในเรื่องของภาพแฟชั่นสวย และดูแปลกตาน่าสนใจมากกว่าคะ ยังไงก็ติดตาม “NATGRITA BY MAGIC” ติชม คอมเม้นกันได้นะคะ ^^ ขอบคุณคะะ
Story and Photography by
Natgrita Asavamaneekul
ณัฎฐิกฤตา อัศวมณีกุล
collection แรกเป็น “raindeer collection” แรงบันดาลใจของ collection พอดีอยู่ในช่วง คริสต์มาสพอดี เป็นคริสต์มาสปีแรก ที่เมจิกอยู่บ้านคนเดียว เบื่อๆ ว่างๆ ตอนนั้นกำ�ลังคิด Concept อยู่พอดี ว่า จะเริ่มยังไงเลยลองหยิบกระดาษาวาดรูป เล่น วาดไปวาดมา ก็กลายเป็น raindeer collectionขึ้นมา collection นี้ได้รับการตอบ รับดีมาก ดีกว่าที่เมจิกคิดไว้ซะอีกคะ ตอนนั้น เมจิกภูมิใจมากๆ ถึงมันจะเป็นแค่การเริ่มต้น
collection 2 “flower collection” ใครจะรู้ว่า collection นี้ได้แรงบันดาลใจมา จากสวนหลังบ้านของเมจิกเอง
”butterfly collection” ซึ่งทั้ง 3 collection นี้ ก็เป็นสิ่งที่เมจิกทำ�แล้วมี ความสุขมาก ถึงมันจะไม่ได้ สมบุรณ์แบบไปซะทีเดียว
send mail to เพื่อนๆ คนไหนมี idea เจ๋งๆ อยากแบ่งปันส่ง ผ่าน idea นั้นมาที่ undomagazine@gmail.com ได้นะค่ะ เราพร้อมน้อมรับ idea จากทุก ๆ คนเสมอค่ะ
“หอบภาพ..มาห่มใจ” ร่วมแสดงใน ศิลปกรรมช้างเผือก หัวข้อ “ในหลวงของปวงชนชาวไทย” ขนาดสำ�เร็จ ประมาณ 3 เมตร 20 เซนติเมตร x 2 เมตร 80 เซนติเมตร
Story and Photography by
Sasiwimol Sujit
ศศิวิมล สุจิต
)
O วิธีทำ� (HOW T
1. ผ้าสำ�หรับงานนี้ สีโมโนโทนค่ะ เลือกจากกล่องโทนสี ขาว ครีม น้ำ�ตาล ซึ่งแยกเฉดสีเป็นกล่องๆไว้แล้วเลยทำ�ให้การเลือกผ้าง่ายขึ้น
2. หลังจากนั้น แยกเฉดสีไล่ระดับ จากสี อ่อน ไปหาสีเข้ม
3. วัสดุอุปกรณ์ ภาพสเก็ตงาน(ทำ�ในโฟโตช็อปค่ะ) และวางแผนการทำ�งานลงบนสมุดบันทึกค่ะ
4 เตรียมพื้นที่สำ�หรับทำ�งานค่ะ การเย็บบนโต๊ะญี่ปุ่น เพื่อง่ายต่อการหยิบผ้าในแต่ละตะกร้าได้ง่ายค่ะ และถ้าหากต่อผ้าได้ชิ้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผ้าจะไม่หนัก และรั้งเหมือนการทำ�บนโต๊ะค่ะ
6. ต่อแล้วก็นำ�ไปรีด
5. เริ่มต่อจากชิ้น ช่องด้านซ้ายมือ ปรากฏว่า เวลาที่ต่อกัน ทีละแถวยาวๆ มันยากมากที่จะทำ�ให้มันตรง เลยเปลี่ยนมา เริ่มจากด้านล่าง คล้ายการปักครอชติสแทนค่ะ
7. เย็บต่อกันไปเรื่อยๆค่ะ
9. ต่อชิ้นใหญ่จนไม่ไหว วางพักไว้ แล้วเริ่มต่อตามแถว ตามแนวจากที่วางแผนไว้ค่ะ
8. ชิ้นงานเริ่มใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นค่ะ
10. หลังจากที่ต่อผ้าเรียบร้อยแล้ว เข้าสู่ขั้นตอนการเนา ค่ะ วางบนใยแล้วเนาค่ะ
11. จากนั้นนำ�ไป quilt ค่ะ
12. ก่อน quilt ต้องวางผ้าที่ต่อกันเสร็จแล้ว บนราวระเบียง เพื่อเช็คดู ว่าตรงไหน สีโดด ตรงไหนเพี้ยน จะได้รีบแก้ ก่อนที่จะ Quilt
13 ซูมใกล้ๆรีบแก้ ก่อนที่จะ Quilt
Lakorn Varasarn
Story by
Daywalker
สวัสดีครับเพื่อนๆชาว UNDO Mag. ทุกท่าน หลังจากฉบับที่แล้วได้แนะนำ�เกม Actopn RPG กลิ่นอายฝรั่งรสชาติญี่ปุ่นอย่างเกม Dragon’s dogma ไป แล้ว ฉบับนี้ยังขอเกาะติดแนวเกมแบบ Hack & Slash ที่มีกลิ่นอายตะวันตกต่อ อีกหน่อยครับ แต่มาเปลี่ยนแพลตฟอร์มเป็นเกมคอมพิวเตอร์กันบ้าง แน่นอนครับ ณ เวลานี้คงไม่มีใครที่ชื่นชอบการเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์ ไม่รู้จักเกม Diablo 3 แน่นอนครับ
เกม Diablo 3 นี้ ได้ยินมาว่า ทิ้งระยะเวลาห่างจากภาคก่อนถึง 10 ปีเลยกว่าผู้สร้างจะ พัฒนาภาคนี้ออกมาได้ ทำ�ให้ตอนประกาศจะเปิดตัวถึงกับมีแฟนๆติดตามและรอคอยสร้าง กระแสความสนใจได้มากทีเดียวครับ ซึ่งตัวผมเองบอกตามตรงไม่เคยคิดสนใจจะเล่นเกม ผ่านคอมพิวเตอร์เลย เพราะชื่นชอบการเล่นผ่านเครื่องคอนโซลต่างๆมากกว่า การจับ การบังคับและการมองถนัดกว่าเยอะ แต่ด้วยความที่ยังติดใจกลิ่นอายของมอนส์เตอร์และ แนวทางการเล่นแบบ WRPG ของ Dragon’s Dogma จึงทำ�ให้ผมหันมามองเกมนี้ และ ตัดสินใจสั่งซื้อ online จากทางเมืองนอกเค้าเลยทีเดียว (แอบบ่น ตอนอยากจะซื้อ ตามหา คนขายร้านขายในบ้านเราไม่มี จะซื้อมือ2 ก็ไม่มีใครขาย พอสั่งซื้อไปเองโดนค่าแผ่นไป 1686 บาท บวกค่าขนส่งด่วนพิเศษของ FEDEX ไปอีก 314 บาทเพราะใจร้อนอยากได้เร็วๆ พอมา ถึงไทยโดนภาษีไปอีก 491 บาทเลยทีเดียว T_T FEDEX ทำ�พิษ ใครสั่งให้ส่งของจากเมือง นอกเข้ามา เลี่ยงได้พยายามเลี่ยง FEDEX นะครับ โอกาสโดนภาษีเกือบ 100% เลยครับ) ต้องบอกเลยว่าแพ๊คเกจของ Diablo 3 ทำ�ให้ผมประทับใจมาก ในราคาที่พอๆกับเกมของ เครื่อง Console แต่กลับดูดีมีคุณค่าน่าสะสมกว่าเยอะ ^^
หลังจากได้มาแล้วก็จับ install แล้วก็เริ่มลองระบบกันดูครับ เกมส์ Diablo 3 นี้จำ�เป็นต้องใช้ id ที่สมัครกับ Blizzard ใช้ในการเล่นเกมนะครับ แนะนำ� ให้เพื่อนๆใช้โปรแกรมเข้ารหัสก่อนการเข้าเกมทุกครั้งด้วยนะครับ เพราะเห็น ว่ามีคนโดนแฮ๊คค์ขโมยไอเท็มไปกันเยอะแยะแล้วเหมือนกันครับ
ในโลกของ Diablo 3 นี้ เราจะสามารถเลือกอาชีพได้ 5 อาชีพหลัก คนเถื่อน นักล่าปีศาจ นักบวช หมอผี และนักเวทย์ ซึ่งแต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่น ที่แตกต่างหลากหลาย สามารถเลือกเล่นได้ตามแนวถนัดของแต่ละคนเลยครับ เพราะระบบความสามารถของ Diablo 3 นี้จะอยุ่ที่การสวมใส่สิ่งของมากกว่า ส่วนอาชีพที่ผมเลือกเล่นในตอนนี้คือ Demon Hunter ครับ แน่นอนเราสามารถเลือกเพศได้ แต่ไม่สามารถปรับแต่งหน้าตาทรงผมรูปร่าง อะไรของตัวละครได้เลยครับ ต้องไปอาศัยการแต่งตัวด้วยของเพื่อสร้างจุดเด่น และความแตกต่างของเราเองครับ
ในเกมจะแบ่งเป็นด่านต่างๆเรียกเป็น Act ครับ ตอนนี้ผมเล่นมาถึงด่านที่ II ในเลเวล 18 ครับ ระบบของเกมนี้จะใช้การสุ่มดร๊อปของจากมอนส์เตอร์ให้เราครับ และเรา สามารถซื้อได้จากพ่อค้าภายในเมือง รวมถึงตีอาวุธใหม่ๆขึ้นมาจากช่างตีเหล็กด้วย เช่นเดียวกัน แต่ระบบ Auction House ก็ช่วยให้การเล่นเกมของเราง่ายขึ้น เพียง แค่เราเข้าไปประมูลไอเท็มในเกมด้วยการใช้ gold ที่ได้มาจากเกมประมูลครับ เราก็ สามารถจะได้ไอเท็มดีๆ มาช่วยทำ�ให้การเล่นของเราผ่านด่านต่างๆง่ายขึ้นครับ (ระบบ มีการใช้เงินจริงในการประมูลด้วยนะครับ รวมถึงการซื้อขายไอเท็มด้วย แต่ผมคิดว่า มันไม่น่าใช่สิ่งที่ควรลงทุนเท่าไหร่ เลยไม่นำ�มาพูดถึงนะครับ) ระดับชั้นของไอเท็มจะใช้สีเป็นสัญลักษณ์นะครับ เริ่มต้นจากไม่มีสี มาเป็นสีม่วง และสี เหลืองเท่าที่ผมเจอในตอนนี้นะครับ เท่าที่อ่านข้อมูลเจอมีสีอื่นๆตามความ rare ของ ไอเท็มอีกครับ แน่นอนประสิทธิภาพและราคาของมันก็จะแรงตามไปด้วยเช่นกัน
เราสามารถเซต skills ของเราได้คอ่ นข้างหลากหลายครับ และสามารถเซตปุม่ shortcut ได้ตามความถนัดเลยครับ ลูกแก้วสีแดงซ้ายมือสุดนั่นเป็นพลังชีวิตของเราครับ ถัดมาเป็น skills ที่เราตั้งไว้ครับ การโจมตีศัตรูจะใช้การคลิกเมาส์ซ้ายและขวาครับ ซื้อจะสิ้นเปลืองค่าใช้ งานตามลูกแก้วฝั่งซ้ายมือสุดที่แบ่งเป็นสีแดงกับน้ำ�เงินนะครับ (ตรงนี้อาชีพต่างกันจะมีความ สามารถที่ต่างกันครับ ตอนที่เราเลือกตัวละครจะมีการอธิบายตรงนัี้ให้เราทราบก่อนครับ) เมื่อเราเปิดหน้าต่าง Inventory ขึ้นมาก็จะเจอกับรายการชิ้นส่วนต่างๆที่เราสามารถ สวมใส่ได้ครับ รวมถึงค่า status โดยรวมต่างๆของเราครับ ด้านล่างเป็นคลังในกระเป๋าของเรา ครับ การเก็บไอเท๊มที่ดร๊อปมาจะคิดตามพื้นที่ที่ว่างในกระเป๋าครับ ถ้าเต็มแล้วก็จะไม่สามารถเก็บ เพิ่มได้อีก แต่เราสามารถฝากไว้ที่หีบในเมืองได้ครับ ซึ่งมีพื้นที่จำ�กัดเช่นกัน แม้ว่าจะซื้อเพิ่มเติม ได้ภายหลังก็ตามที ทำ�ให้เราต้องวางแผนดีๆครับ ไอเท็มไหนจะเก็บไว้ ไอเท็มไหนจะนำ�ติดตัวไป
พูดถึงความรุ้สึกทั่ว ๆ ไปนะครับ Diablo 3 เป็นเกมแนว WRPG ที่ไม่มีความแตกต่างอะไรจาก เกมทั่วๆไป บรรยากาศในเกมเป็นการลุยไปในดันเจี้ยนต่างๆ ตีมอนส์เตอร์ เก็บของ อัพสเตตัสแล้วก็ไป ลุยต่อ แต่จุดที่น่าประทับใจก็เนื้อเรื่องของเกมมีเรื่องราวประเด็นให้ชวนติดตาม ระบบการเล่นที่ไม่ยาก มากจนเกินไป ความลื่นไหลสวยงามของกราฟฟิคในเกม และ play back value ของเกมนี้สูงมาก เรา สามารถเปลี่ยนไปเล่นอาชีพอื่นๆได้อีก 4 อาชีพที่เหลือและเลือกระดับความยากที่ท้าทายเพิ่มขึ้นได้อีก หลายระดับ ถ้าใครกำ� ลังมองหาเกมคอมพิวเตอร์ที่กราฟฟิคสวยงาม ระบบการเล่นที่คุ้นเคยได้ง่าย และ อยากเล่นได้นานๆก็แนะนำ�เกมนี้เลยครับ แหม ถ้ามันไม่จำ�เป็นต้อง online เล่นตลอดเวลาก็จะเป็นอะไรที่ ผมประทับใจมากเลย แต่ผมสามารถใช้เนทที่แชร์จากมือถือเล่นได้ลื่นไหลดีไม่มีติดขัดอะไรนะครับ ก็เลย หยวนๆไป 555 แนะนำ�พอหอมปากหอมคอเท่านี้ก่อนครับ อยากให้เพื่อนๆได้ลองเองมากกว่าจะได้รู้ว่าจะชอบ หรือไม่ชอบ ฉบับหน้าอาจจะได้มีเกมคอมพิวเตอร์มาแนะนำ�อีกครับ ตอนนี้กำ�ลังติดตามข่าวอยู่ แล้วยัง ไงคอยติดตามกันนะครับ
ประเดิมคอลัมน์ครั้งแรก ขอทักทายคุณ ผู้อ่านด้วยถ้อยคำ�สำ�เนียงไทยว่า “สวัสดี” อย่าง จริงใจนะคะ แนะนำ�ตัวสั้นๆว่าผู้เขียนคอลัมน์นี้ มีชื่อ นามปากกาว่า “เมนุ่น” ค่ะ คอลัมน์ Inspire…อินสปายร์ ใจดลใจ ไม่มี อะไรจะให้มากไปกว่า ข้อคิดดี ไอเดียดีๆ ที่ได้บุคคลที่ คิดดี ทำ�ดี มีแรงเยอะมากพอ ที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และกำ�ลังใจ...ให้คุณได้เดินตามฝันต่อไปค่ะ แขกรับเชิญนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่นุ่นรู้จัก (แต่คุณอาจไม่รู้จัก) เชื่อว่าหลังจากอ่านจบ คุณผู้อ่าน ต้องรู้จักแขกรับเชิญของนุ่นแน่นอนค่ะ ดีไม่ดีอาจจะ อยากรู้จักเขาและเธอมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ สาวน้อยหน้าหมวยสวยหวานคนนี้ เป็น นักศึกษาชั้นปีที่1 คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สำ�คัญ คือติดรอบสอบตรงที่รับเพียง 45 คนด้วย ว้าวๆ *-* นอกจากนั้น เธอยังเป็นอดีตนักเรียนแลกเปลี่ยน ไปประเทศสหรัฐอเมริกา ในโครงการ AFS ด้วยค่ะ แต่เอาเป็นว่า ผลงานและความสำ�เร็จของเธอนั้น เรา ถือว่าเป็นผลค่ะ ต้นเหตุทั้งหมดต่างหาก ที่จุดประกาย ให้เธอทำ�ตามความฝันที่เธอฝันไว้เหล่านี้ เราไปพูดคุยกับสาวน้อยชื่อขนมอบหวานกรุบกรอบ “คุกกี้ สิตานัน คำ�สิทธิ์” กันเลยค่ะ...
Story by Noonniin
Puttaraporn
จุดเปลี่ยนสู่ทางฝัน ตอนแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เหมือนตอน ม.ต้น คุกกี้ไม่ค่อยตั้งใจเรียน เลยรู้สึกว่า ฮึ้ย...มันเป็นไปได้ เหรอที่จะเรียนอะไรแบบนี้ พอซัก ม.3 เริ่มแน่ใจ ก็เลย พยายามตั้งใจเรียนขึ้นมาว่า เราต้องหา สิ่งที่เราชอบ จริงๆแล้วนะ จนแน่ใจจริงๆก็คงตอนที่ไปแลกเปลี่ยน คือ แน่ใจว่าเรียนด้านนี้ ชอบที่จะเจอคนหลากหลาย หลายๆ ชาติ ที่เขามีความต่างวัฒนธรรมจากเรามากๆ
คน สายชั้นหนึ่งประมาณเจ็ดร้อย รู้สึกว่าถ้าเราได้ไป มัน ได้โอกาสที่ดีขึ้น หนึ่งคือภาษา แน่นอนอยู่แล้วต้องได้ ไม่ ว่าจะไปประเทศไหนก็ตาม อีกอย่างที่ได้คือ เราโตขึ้นมา อีกระดับหนึ่ง เราได้อยู่ในอีกสังคมที่เราไม่คุ้นเคย ไป อยู่กับคนที่เราไม่เคยรู้จักเลย คิดว่าทุกๆตำ�แหน่ง ทุกๆ หน้าที่ในชีวิตมันทำ�ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าเรามีโอกาสที่จะลอง ทำ� ก็อยากที่จะลองทำ�ดู
สอบติดปั๊บ ไปปุ๊บ ตอนแรกคิดว่าเวลาที่นี่ (เมืองไทย) จะหายไปปี หนึ่งเลยนะ แต่มันได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เลือกไปอเมริกา แผ่นดินแห่งเสรีภาพ คือตอนที่เลือก เลือกอเมริกาอันดับหนึ่ง อิตาลี แล้วแคนาดา ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้อเมริกา คิด ว่าโอ๊ย...ไม่ได้หรอก ไม่คิดว่าจะได้ซักอันดับด้วยซ้ำ�ไป พอได้มาก็ดีใจ ถ้าถามว่าทำ�ไมถึงเลือกอเมริกา เป็นเพราะ อเมริกามีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมาก อย่าง เราไปยุโรป หรือญี่ปุ่น วัฒนธรรมมันจะชัดเจนมาก เป็น เอกลักษณ์มากๆ แต่อเมริกานี่ ทุกๆอย่างทั้งคนจากยุโรป จากแอฟริกา หรือเป็นคนจากเอเชีย หรือจากที่ไหน คือที่บ้านสนับสนุนมาทางด้านนี้ ก็ตาม นี่คือสิ่งที่เรียกว่าอเมริกา เหมือนกับเราไปประเทศ ใช่ คือที่บ้านขอให้เป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นคน เดียว แต่ได้เรียนรู้ทุกๆประเทศในครั้งเดียว อยู่ที่นั่นก็ไป ดีก็พอ (ฮิ้ววว ^^ -- คนสัมภาษณ์ฮิ้วเองค่ะ ฮ่าๆ) อยู่โรงเรียนรัฐบาล ชื่อ Bay High School ต่างจาก โรงเรียนสุรนารีมาก (โรงเรียนในชั้น ม.ปลายของคุกกี้) ไอดอลของสาวขนมหวานกรุบกรอบ แต่ที่นี่เป็นสหศึกษา ที่ไทยมีนักเรียนห้าพันคน ที่นั่นมีเจ็ด จริงๆก็มีนะ เป็นดอกเตอร์ สุรินทร์ พิศ ร้อย สังคมในโรงเรียนก็แตกต่างจากเมืองไทยมากๆ (เน้น สุวรรณ คือ เวลาที่เราพูดถึงการทูต เรามักจะมอง เสียง) ที่อเมริกา คนที่มีเพื่อนเยอะ คือคนที่ทำ�กิจกรรม คนที่มาจากสังคมแบบลูกท่านหลานเธอ คุกกี้เลยคิดว่า เยอะ คือคนที่เล่นกีฬาหรือเข้าชมรมอะไรอย่างนี้ แต่ที่ไทย เอ๊ย...แล้วคนธรรมดาอย่างเราๆล่ะ จะเป็นได้หรือเปล่า ก็ คือเราอยู่กันเป็นห้องเรียน เราจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เลยไปเสิร์ชหาดูเลย ว่ามันเป็นไปได้มั้ย ก็เลยมาเจอคน ว่า เราจะหาเพื่อนยากหรือเปล่า เพราะเพื่อนที่เมืองไทย นึง เค้าคือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เค้าอธิบายตัวเอง หาง่ายมาก เรานั่งเรียนในห้องเรียนเดียวกันทุกๆวัน แต่ แค่ว่าเค้าเป็นลูกชาวนา เราเลยคิดว่าเอ๊...เค้ายังทำ�ได้เลย ที่นู่นคือ ทุกๆคลาสเรามีเพื่อนไม่ซ้ำ�หน้า คือถ้าเราคิดที่จะ นะ เค้ายังไม่มีโอกาสมากมายแบบเรา เช่น เราได้เรียน ไม่ทำ�กิจกรรมอะไรเลย เราก็จะไม่สนิทกับใครเลย ตอนได้ โรงเรียนดีๆ ในขณะที่เค้าต้องพยายามสอบเข้า เลยคิดว่า ไปเรียนที่อเมริกาแล้ว ก็ลงวิชาแปลกๆเช่นจิตวิทยา ไม่มี เรามีโอกาสมากกว่าเค้า แล้วทำ�ไมเราไม่พยายามล่ะ สอนในโรงเรียนที่เมืองไทย เลยรู้สึกว่าทำ�ไมการศึกษาไทย ไม่มีแบบนี้บ้าง เหมือนการศึกษาแบบของเราจะบีบว่า ตัดสินใจไปแลกเปลี่ยน ต้องค้นตัวเองให้เจอว่าเราอยากเป็นอะไร ต้องการเรียน ก็คิดว่าโอกาสมันอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเราอยู่ อะไร แต่ไม่เคยมีบอกเลยว่ามันมีอะไร เราต้องค้นหาด้วย เมืองไทยเนี่ย ถามจริงๆว่าโรงเรียนหนึ่งมีนักเรียนห้าพัน ตัวเอง เราไม่มีวิชาจิตวิทยา
ตั้งใจเรียนเพราะอยากรู้ตัวตน เริ่มรู้สึกว่าทำ�ไมคนอื่นเค้าแบบ เอ๊ย...อยากเป็น หมอ อยากเป็นวิศวะอะไรอย่างนี้ เลยอึ๊ย...แล้วเราล่ะ เริ่ม รู้สึกว่า ทำ�ไมคนอื่นเขามีวิชาที่ชอบวะ แล้วทำ�ไมเราแบบ ไม่ชอบซักวิชาเลย (หัวเราะ) อารมณ์ประมาณนั้น เลย แบบ เฮ้ย...บางทีถ้าเราแบบลองเรียนๆแบบเรียนจริงๆ เราอาจจะชอบอะไรซักอย่างขึ้นมาก็ได้นะ ก็เลยชอบภาษา ก่อน ชอบที่จะเจอคนหลากหลาย เจอคนต่างวัฒนธรรม กับเรามากๆ อยากได้ทำ�งานตรงนั้น เลยคิดว่าถ้าได้มา ทำ�งานด้านการเมืองด้วยการต่างประเทศด้วย ก็เป็นอะไร ที่น่าสนใจแล้วก็ชอบด้วย
ปั้น หรือโบราณคดี หรือวิศวกรรม ในโรงเรียนไม่มีสอน มันไม่มีเฉพาะเจาะจงอย่างนั้น แต่เรากลับต้องเลือกตอน สอบเข้าว่าจะเรียนอะไร แตกต่างจากที่นู่นที่เค้ามีวิชาพวก นี้หมดเลย อารมณ์เหมือนเราถูกบีบคั้นให้เลือกทั้งๆที่ก็ ไม่รู้ว่าเราชอบอะไร แต่คนที่นู่นที่เค้าเลือกเรียน คงคงแน่ ใจมากๆแล้ว เหมือนระบบการศึกษาไทยไม่ support ให้ เด็กรู้ตัวเอง เหมือนเรียนแบบหยิบโหย่ง เรียนทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่เราชอบจริง แตกต่างจากที่นู่นที่เรียนอะไร ก็ได้ แล้วก็ขอให้เก่งในสิ่งๆนั้น รู้สึกว่ามันเหมือนจุดอ่อนข องการศึกษาไทย แล้วก็ลงวิชาเรียนศาสนา คือศาสนา อาจเกิดจากการเมือง ตรงที่เกิดจากชนชั้นปกครองใช้ ศาสนาเพื่อให้ประชาชนเชื่อฟัง
ภาษา ต้องทำ�อย่างนู้น ต้องทำ�อย่างนี้ ต้องหาเพื่อน ต้องฝึกภาษา ต้องอ่านหนังสือ ไม่งั้นก็เรียนไม่รู้เรื่อง บางทีก็ต้องปลอบใจตัวเองว่ามันไม่ใช่ภาษาแม่เรา แล้ว ทุกๆอย่างมันจะค่อยๆปรับของมันไปเอง ไม่มีใครคาดหวัง กับเราเท่ากับตัวเราเอง
แนะนำ�น้องอยากไปแลกเปลี่ยน (แบบพี่) ข้อแรกก็อยากจะแนะนำ�ว่า การได้ไปแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ต้องไปประเทศดีๆชื่อดังๆ หรือประเทศที่เจริญแล้ว อย่าไปคิดว่าฉันต้องได้ไปอเมริกา ได้ไปฝรั่งเศสนะ เหมือน คำ�ที่มีคนพูดว่า Don’t just a book by cover อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก ทุกประเทศมีดีเป็นของ ตัวเอง บางคนเลือกที่จะไปอาร์เจนติน่า ประเทศที่เรา ปรับตัวกว่าจะเข้าที่ แต่ไม่มีที่ทำ�ไม่ได้ แบบ เฮ้ย...มันอยู่ตรงไหนของโลกวะ อย่างปานามาอย่าง พวกภาษานี่เรียนรู้เรื่องในห้องเรียน ก็ประมาณ เนี้ย เฮ้ย...มันอยู่ตรงไหนวะ คือบางทีเราไปที่ๆไม่มีใครเคย ซักสามเดือน แรกๆพอครูพูดมาก็ โอ้โห..ครูพูดเร็วจังวะ ไป เราจะอาจจะได้อะไรมากกว่าที่ๆเราคิดว่าดีก็ได้ อย่า วันนี้สอนเรื่องอะไรวะ สั่งให้อ่านกี่หน้า ไม่รู้เรื่อง งง อะไร คิดว่าอุปสรรคของมันคือภาษา คุกกี้คิดว่าอุปสรรคของ อย่างเนี้ย ดีที่เขาเข้าใจว่าเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เขา การแลกเปลี่ยน คือการไม่มีประสบการณ์ของเรามากกว่า ก็จะแบบช่วยเราเยอะ ภาษามันเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ประสบการณ์คือการที่ต้อง สั่งสม พอไปถึงตรงนั้นไม่ว่าภาษาคุณจะเก่งแค่ไหน แต่สิ่ง กิจกรรมที่ทำ�ในต่างแดน หนึ่งที่คุณมีเท่ากันคือประสบการณ์ ก็เล่นกีฬา เล่นเทนนิส เล่นซอฟท์บอล เล่นสกี แล้วก็อยู่ชมรมออกแนววัฒนธรรม ชื่อ Culture Club ได้เวลากลับเมืองไทย คิดว่ากลับมาเมืองไทยตอนกรกฎาแล้ว เพื่อน สังคมการเรียนแดนเสรี ที่ไม่แข่งกันเรียน เปิดเทอมไปสองเดือนกว่าๆ ก็แบบ...ฮึ้ย เราจะทำ�งาน เด็กที่นั่นไม่ค่อยแข่งกันเรียนเท่าไหร่ เพราะว่า ส่งทันหรือเปล่า ม.6แล้ว เกรดก็ต้องใช้ สอบเกรดจะถึง ระบบการศึกษาเขาช่วยนักเรียนเยอะมาก เขาไม่ได้สนใจ มั้ย แต่ครูก็ช่วยด้วย คือตอนนั้นเราไม่มีเวลาโฟกัสเรื่อง ว่าคุณจะต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งนะ หรือว่าคุณจะต้องสอบได้ อื่นแล้ว ทั้งเครียดเรื่องมหา’ลัย ทั้งเครียดเรื่องตามงาน คะแนนเยอะนะ เขาสนใจว่า หลังจากเรียนแล้ว คุณได้อะไร สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ติดตัวคุณไปบ้าง มีวิชาหนึ่งที่ชอบเป็นวิชาศิลปะ สอบ แบบให้สอบกี่รอบก็ได้ ให้ได้คะแนนเยอะที่สุดเท่าที่เราอยาก อุปสรรคต้องฟันฝ่า กว่าจะมาเป็นลูกแม่โดม ได้ ครูบอกว่า ทุกครั้งที่เราสอบ เราก็จะจดจำ�สิ่งที่เรา คิดว่าคงเป็นตอนที่ คนอื่นเค้าเตรียมตัวกันแล้ว ตอบลงไปได้มากขึ้นเพราะมันเป็นข้อสอบแบบเขียนหมด เรายังอยู่ที่อเมริกาอยู่เลย กว่าเราจะกลับมาก็ตั้งเดือน เลย ยิ่งเราทำ�มากครั้งเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจำ�ได้มากขึ้นเท่านั้น กรกฎา อย่างพวกข่าวอย่างเนี่ย ข่าวในประเทศเราก็ไม่รู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการนักเรียนที่จำ�สิ่งที่เขา เรื่องเลย เรารู้แค่ว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่การที่เราจะสอบ สอน ไม่ใช่นักเรียนที่ได้คะแนนเยอะ รัฐศาสตร์ มันคือการที่เราต้องตามข่าวเยอะมาก เลย รู้สึกว่า ฮึ้ย...เราจะทำ�ยังไงดี เลยเริ่มนั่งอ่านมติชนย้อน ระบบการศึกษาที่ต่าง ความพยายามในปรับตัวให้เข้ากับ หลังไปจนถึงวันเลือกตั้ง เป็นสิบๆฉบับ คือแบบ นั่งอ่าน บ้านใหม่ นั่งอ่าน นั่งอ่าน พยายามตามข่าวให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด เคยมีช่วงที่ท้อนะ รู้สึกแบบเฮ้ย เหนื่อยน่ะ ทั้ง เพราะรู้สึกว่า ถึงเราไม่มีโอกาสได้อยู่ในเมืองไทย
ตอนนั้น ตอนที่คนอื่นเค้าอยู่กัน แต่เราก็พยายามอ่าน ตาบอด ไปอ่านหนังสือ เป็นอีกอย่างหนึ่งที่อยากทำ�แต่ ได้ ส่วนอุปสรรคอีกอย่างก็คือ คุกกี้ไม่ได้อยู่กรุงเทพ ตอนนี้กย็ ังไม่มีโอกาสได้ทำ� เราอยู่ต่างจังหวัด (โคราช) แต่เราต้องไปพักในกรุงเทพ ไปอยู่กับเพื่อน ไปอยู่กันเอง ก็เป็นอีกอารมณ์นึง แผนสำ�รองถ้าสมมติสอบตรงและแอดไม่ติด อาจจะไปต่ออเมริกาหรือไปเอแบค ถ้าเราไป และแล้วก็ต้องเตรียมสอบเข้า อเมริกา สิ่งที่ได้คือเราต้องโตขึ้นแน่ๆ เราต้องอยู่ด้วย จะบอกว่าตอนที่คุกกี้สอบ อ่านหนังสือเยอะ ตัวเอง เราต้องทำ�งาน แล้วเราต้องเรียนไปด้วยทำ�งาน มาก ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำ�ได้ขนาดนี้ ท้อมาก...ตอน ไปด้วย แต่มันก็คงลำ�บากด้วยแหละ ถ้าไปเอแบคก็ไม่มี นั้นก็ท้อ แต่ว่าการสอบตรงธรรมศาสตร์มันสอบได้แค่ คณะที่อยากเรียน แต่มีนิติศาสตร์ที่อาจจะเป็นอีกทาง ครั้งเดียว ถ้าพลาดครั้งนี้ก็คือต้องแอดมิชชั่น ก็ไม่คิด เลือกหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นปีว่างๆซักปี ลองไปเที่ยว ไปทำ� ว่าเราจะแอดมิชชั่นได้ที่นี่หรือเปล่าเพราะคะแนนแอดมัน อะไร ไปดูโลก ไปดูว่าเราชอบอะไรจริงๆ บางทีเราอาจ สูงมาก เราเลยแบบถ้าอย่างนั้นเราอยู่กับตรงนี้แล้วทำ� จะเปลี่ยนใจก็ได้ มันให้ดีที่สุดดีกว่า ก็ทำ�ทุกอย่างเท่าที่จะทำ�ได้ภายใน เวลาที่เหลือแค่นั้น ก็อ่านมติชน อ่านหนังสือทุกเล่มที่พี่ สมมติว่าชีวิตรันทดมาก พ่อแม่เลิกกัน แม่เป็นหนี้ แต่ เค้าแนะนำ� อ่านหนังสือที่เรียน ทำ�ข้อสอบที่เรียน เอา ต้องเตรียมตัวสอบด้วย จะรับมือยังไง มาทบทวนทุกเย็น อ่านจนจำ�ให้ได้ทุกข้อ แต่ตอนแรกก็ อย่าเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของ ท้อนะ ตอนที่ทำ�ข้อสอบก่อนเรียนน่ะได้32เต็ม 60 คือ เรา ไม่ใช่พ่อแม่เลิกกันแล้วต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหา รู้สึกแบบ ฮึ้ย...เรามาผิดทางรึเปล่าวะ มันใช่อะไรที่เรา ถ้าแม่เป็นหนี้เราก็ช่วยได้ ต้องพยายามทำ�งานเก็บเงิน ชอบเหรอ ทำ�ไมเราได้คะแนนแค่นี้ เคยคิดนะว่าจะเรียน คิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นโอกาสที่จะเรียนพิเศษคงน้อย แต่ อะไรอย่างอื่นดีมั้ย แต่คิดว่าลองดูมันซักตั้งแล้วกัน ถ้า เชื่อว่าหลายๆคนไม่ต้องเรียนพิเศษ อ่านหนังสือด้วย เชื่อว่าเราตั้งใจ เราก็ทำ�ได้ ตัวเอง ก็ทำ�ได้ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ความพยายามของ แต่ละคน มันไม่เกี่ยวว่าคุณจะมีเงินมากแค่ไหน มันอยู่ การอ่านหนังสือของสิตานัน ที่ว่าคุณหาโอกาสให้กับตัวเองแค่ไหนมากกว่า อย่าง ตอนสอบเหรอ อืม คือคิดว่าเป็นคนไม่ชอบ หนังสือพิมพ์ เราเลือกที่อ่านได้ หนังสือเยอะแยะ เราหา อ่านหนังสือเท่าไหร่ คือชอบอ่านนิยายอะไรอย่างนี้ แต่ มันได้ถ้าเราพยายาม พอต้องมาอ่านจริงๆ คือมันเป็นเรื่องการเมือง หลายๆ คนบอกการเมืองน่าเบื่อ เราก็พยายามอ่านแบบ...คือ วางแผนหลังเรียนจบ เป็นคนไม่มีสมาธิที่จะอ่านตอนหัวค่ำ� ต้องอ่านตั้งแต่ แต่ก่อนคิดว่าจะเป็นนักการทูต แต่พอคิดๆ สี่ทุ่มขึ้นไป แล้วก็จะอ่านตั้งแต่แบบสี่ทุ่มถึงตีสอง แล้ว ไปแล้วกว่าจะไปถึงตรงนั้นก็อาจจะยาก คือก็ยังคิดไว้นะ ก็นอน ตื่นมาสายๆสิบโมงกินข้าว ซักบ่ายๆก็จะเอา แต่ตอนนี้ก็คือมีช้อยส์อย่างอื่นไว้แล้ว คืออยากทำ�งาน ข้อสอบมานั่งอ่าน ตอนนั้นจะไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ จะ พวกองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UN อ่านอะไรที่เป็นเนื้อหาไม่ได้ ต้องอ่านข้อสอบ จากนั้นก็ จะไปนั่งเล่น เฟซบุ๊ค นั่งเล่นคอม รอซักสี่ทุ่มค่อยมา หากต้องฉีกสายงานที่จบมา สาวสิตานันจะทำ�อะไร อ่านหนังสือใหม่อีกสี่ชั่วโมง อยากเปิดร้านเบเกอรี่ อยากชิลล์ๆ แบบเป็น ร้านอยู่ข้างล่าง แล้วบ้านอยู่ข้างบน เป็นบ้านไม้น่ารักๆ สิ่งที่อยากทำ�ต่อหลังสอบติด ที่ข้างล่างบ้านเป็นร้านอาหาร เป็นเบเกอรี่ร้านเล็กๆ ก็ตอนช่วงที่ว่าง คิดว่าอยากจะลงเรียน (หัวเราะ) ตอนนี้ก็คิดอยากทำ�อยู่นะ ถ้าเบื่อจากทำ�งาน ภาษาที่สาม เพราะว่าพอเข้าไปเรียนแล้ว ภาษาที่สาม อย่างนั้นก็อาจจะมาเปิดร้านของตัวเอง แต่ก็กลัวไม่มี ของสาขาคุกกี้เป็นตัวบังคับ แล้วก็อยากไปเที่ยว แล้ว ตังค์ใช้เหมือนกัน (หัวเราะเล็กๆ) ก็อยากไปทำ�อะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง อยากไปบ้านคน
หน้าหมวยๆโดนใจแมวมอง มีแอบคิดก้าวสู่สายงาน บันเทิงไหม คิดว่าคงไม่ มันไม่น่าจะเป็นอะไรที่เราชอบ ไม่ได้ คิดว่าตัวเองหน้าตาดีอะไรขนาดนั้น อ้วน (หัวเราะ)
ได้ คนอื่นที่สอบเข้าไปได้มันก็คนเดินดินเหมือนกันแหละวะ แต่เค้าแค่มีความพยายามแค่นั้นเอง ถ้าเราพยายาม ทุก อย่างมันทำ�ได้หมดแหละ
ฝากกำ�ลังใจถึงคนมีฝันทุกคน การเรียนกับความรัก เชื่อในเรื่องกฎแห่งการกระทำ� ถ้าเราพยายาม ก็คิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดน่ะ มันก็คงเป็นวัยของ ตั้งใจที่จะทำ�มัน เชื่อว่าถึงเราจะล้มเหลว99ครั้ง แต่ครั้ง มัน ถ้าไม่มีก็แปลกอ่ะ ไม่มีสิแปลก อารมณ์น่ารักกุ๊กกิ๊ก ที่ร้อยมันก็ต้องสำ�เร็จบ้างแหละ ไม่มีใครที่จะล้มเหลวไป แค่แบบกรี๊ดกร๊าด แต่ก็อย่าไปซีเรียสกับมันมาก อายุเรา ตลอดชีวิต คนที่ล้มเหลวก็คือคนที่ไม่เคยคิดจะลองเลย ยังแค่นี้ ชีวิตมันยังอีกเยอะ อย่าไปคิดที่จะฝากชีวิตหรือ เราต้องลอง ถ้าไม่ลองเราก็ไม่รู้หรอก เราจะผ่านมันได้ ยกชีวิตเราให้กับใคร คนที่เรารู้จักแค่ไม่กี่ปีหรือไม่กี่เดือน ด้วยการที่ลองหรือทำ�มันลงไปแล้ว. หากเดินผ่านเธอเพียงผิวเผิน เชื่อว่าทุกคนคงคิดว่าเธอ การเมืองแนวใหม่สไตล์คุกกี้ เป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง แต่พอได้นั่งลงคุยแบบสบายๆ อยากจะบอกว่า ยิ่งถ้าเราเกลียดอะไร เรายิ่ง แต่เอาจริงเอาจังในการเล่า ก็พบว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้ อยากจะเปลี่ยนมัน ยิ่งถ้าเราอยากจะเห็นอะไรเปลี่ยน เรา มีดีแค่ความสวย ความน่ารัก หรือชื่ออันน่าหยิก แต่มี ก็ยิ่งต้องมีส่วนร่วมในการที่จะทำ�ให้มันเปลี่ยน ไม่อยากให้ ดีเข้าไปถึง “กึ๋น” ที่คนเขียนเชื่อว่า หากอ่านอย่างช้าๆ คิดว่า แค่หนึ่งเสียงน่ะ กาลงไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร พร้อมทำ�ความเข้าใจ คุณจะได้อะไรมากมายจากวาทะ หรอก อยากให้คิดว่าหนึ่งเสียงของเราถ้าหลายๆเสียง สบายๆใสๆที่มากด้วยความคิดที่ตกผลึกดีๆของสาวน้อย รวมกัน มันก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังได้ ถึงมันจะเป็นการ คนนี้แน่นอน ออกเสียงมาว่าไม่ลงคะแนน แต่อย่างน้อยเราต้องรักษา อย่าไปมองว่าเธอสำ�เร็จอะไรมาบ้าง แต่มองว่ากว่าเธอจะ สิทธิ์ของตัวเอง การเลือกตั้งไม่ใช่แค่สิทธิอีกต่อไป การ สำ�เร็จ เธอผ่านอะไรมาบ้างที่เรียกว่าขวากหนาม เลือกตั้งตอนนี้เป็นหน้าที่ มันคือสิ่งที่พลเมืองควรจะทำ� เพราะนั่นเป็นสิ่งที่คนมีฝันทุกคนต้องฝันฝ่าค่ะ! เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในสังคม เหมือนที่มหาตมะ คานธี เคย เป็นกำ�ลังใจให้ จากหัวใจเสมอ...เมนุ่น ภัทร์ปณต กล่าวว่า Be the change you wish to see in CONTACT ME: Inspire-idea.blogspot.com, the world เป็นความเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากจะเห็นใน maynoon_putpanote@hotmail.com โลกนี้ เมื่อคุณไม่ชอบอะไร จงเปลี่ยนสิ่งนั้น หัวสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงแล้วนะ แต่ก่อนน่ะอาจจะ เชื่อ ตั้งแต่สอบติดรัฐศาสตร์มารู้สึกไม่เชื่อเรื่องดวงเลย คือก่อนไปสอบรัฐศาสตร์เคยไปดูดวงมา ตอนนั้นก็เชื่อ เรื่องดวงเยอะ เค้าก็บอกเราจะสอบไม่ติดหรอก เราก็แบบ คอยดูละกัน สุดท้ายผลออกมาสอบติดก็เลยเลิกเชื่อเลย เพราะรู้สึกแบบทำ�ไมเราต้องเชื่อคนอื่นพูดทั้งๆที่เราก็ไม่รู้ ด้วยซ้ำ�ว่าเค้าเป็นใครมากกว่าเราเอง เค้าจะรู้เราดีกว่าเรา เองเหรอ ทำ�ไมไม่เชื่อตัวเราเอง ให้กำ�ลังใจคนมีฝันรัฐศาสตร์ อย่าไปคิดว่ายากเกินไป อย่าไปคิดว่า ฮึ้ย... ธรรมศาสตร์เหรอ จะทำ�ได้เหรอ ให้คิดว่าทำ�ไมเราจะทำ�ไม่
ต้นฉบับของฉัน กับ สนพ.ที่ 18 Story by
- จะเป็นการดีมากแค่ไหน หากต้นฉบับของเราที่ใช้เวลาเขียนนานร่วมแรมปีได้รับการตีพิมพ์?! สำ�หรับคนที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเขียนและอยากจะมีหนังสือ เป็นของตัวเองสักเล่ม ความรู้สึกดังกล่าวคงไม่สามารถที่จะเขียน บรรยายเป็นตัวหนังสือได้ ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่เกิดขึ้นในเสี้ยว เวลาดังกล่าว เสี้ยวเวลาที่ฝันได้กลายเป็นจริง มันคงทำ�ให้พวกเขา ซาบซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ถูกเหมือนดั่งที่ชายคนหนึ่งที่เพิ่งจะเคยสัมผัส ความรู้สึกนั้นได้ในขณะนี้!! กล่าวคือ เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ชายคน ดังกล่าวเพิ่งจะได้ยินในสิ่งที่เขาเฝ้าโหยหามาตลอดชีวิต ‘งานเขียนของคุณจะได้รับการตีพิมพ์อย่างเร็วที่สุด!! ’ ด้วยที่อยู่ตรงเบื้องหน้า หัวหน้าบรรณาธิการของสำ�นักพิมพ์ แห่งหนึ่งเพิ่งจะตอบรับงานเขียนของเขาด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นและสั่น สะท้าน!! ..สำ�หรับชายคนนั้นแล้ว เขามี ‘เทคนิคลับ!! ‘ บางอย่างและเขา รู้ว่ามันใช้ได้ผล บทพิสูจน์ในครั้งนี้ทำ�ให้เขารู้ได้ว่า ทั้งหมดมันก็แค่ เรื่อง ‘เส้นผมบังภูเขา!! ’ เท่านั้นเอง ไม่ว่าใครก็สามารถมีหนังสือ เป็นของตัวเองได้แต่เพื่อความมั่นใจ เขาจึงไม่ลืมที่จะถามย้ำ�ใน เรื่องดังกล่าวด้วยน้ำ�เสียงอันดังอีกครั้ง.. ‘ต้นฉบับของผมจะได้ตีพิมพ์จริง ๆ หรือ?! ’ แล้วคำ�ตอบเดิมของบรรณาธิการคนดังกล่าวก็ดังขึ้น..!!! - ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จงอย่าละทิ้งความหวัง ย้อนเวลากลับไปก่อนที่ชายคนนั้นจะนำ�เสนอผลงานเขียนต่อ บรรณาธิการสำ�นักพิมพ์.. เขาผู้ซึ่งเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่งมีความฝันว่าสักวัน หนึ่งเขาจะต้องกลายเป็นนักเขียน และมีผลงานรวมเล่มตีพิมพ์สักเล่มหนึ่งให้จงได้.. เท่าที่เขาจำ�ได้ ความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่เขา ได้หลง เข้าไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจนเขาเกิดความประทับใจในตัวผู้เขียน
Nipan Thareemuk
นิพันธ์ ทารีมุกข์
ความชื่นชมดังกล่าวทำ�ให้เขาเกิดพฤติกรรมลอก เลียนแบบโดยไม่รู้ตัว และทำ�ให้เขา เกิดความรู้สึกที่ ‘อยากจะเป็นนักเขียนกับเขาบ้าง!! หากแต่งานเขียนที่ดีไม่ใช่ใคร ๆ ก็เขียนได้.. ที่ผ่านมา เขาใช้พยายามทุกอย่างที่จะเข้าไปให้ถึง แก่นแท้ของงานเขียน.. ทั้งจากการอ่านหนังสือ แนะนำ�วิธีเขียนต่าง ๆ ที่เขารู้จัก หรือแม้แต่ กระทั่งสอบถามจากเพื่อนเก่าที่ปัจจุบันมีผลงาน เขียนเป็นของตัวเอง.. หลากหลายความคิด หลากหลายแนวทางที่เขา ศึกษา จนในที่สุดความรู้เหล่านั้น เขาก็ตกผลึกมัน ออกมาเป็น 4 แนวทางอย่างคร่าว ๆ สู่ความเป็น มืออาชีพ ได้ดังนี้ 1. เริ่มต้นการเขียนจากสิ่งที่ตนเองชอบหรือถนัด 2. รู้จักการวางโครงเรื่องที่จะเขียน 3. รู้จักวิธีการเล่าเรื่อง 4. ลงมือเขียน ในขณะเดียวกัน เขาก็หาใครสักคนที่จะเป็นที่ ปรึกษาและคอยให้คำ�แนะนำ�กับเขาด้วย.. จากการเขียนในสิ่งต่าง ๆ อยู่นานประมาณหนึ่ง สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในลำ�ดับต่อมานั่นก็คือ ‘หากเรามีประสบการณ์เขียนที่มากพอ เราก็จะ สามารถค้นพบแนวเขียนของเราได้เองอัตโนมัติ!! ’ และมันก็เป็น ‘ธรรมชาติ ’ อย่างหนึ่งของนักเขียน ด้วย
ในที่สุด - การเขียนหักมุม - ก็คือบท พิสูจน์ที่จับต้องได้ จากประสบการณ์อัน มากมายของเขา.. เขามารู้ตัวเองในภายหลังว่าเขาชอบที่จะ เขียนเรื่องสั้นหักมุมมาพักใหญ่แล้วเพราะ รู้สึกหลงใหลไปกับการได้เห็นสีหน้าของ คนอ่านที่ตกตะลึงเมื่อได้อ่านไปถึงตอนจบ และด้วยบทความต่าง ๆ ที่มากพอ เขา จึงรวบรวมผลงานที่คัดสรรแล้วนำ�เสนอ สำ�นักพิมพ์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาพิจารณาตี พิมพ์ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันบางอย่างก็เกิดขึ้น กับเขา.. เมื่อการส่งต้นฉบับไปยังสำ�นักพิมพ์แห่ง แรกกลับได้รับการปฏิเสธ!! ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเหลือล้นในผลงาน เขียนที่คล้ายกับเป็นกบในกะลา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เนื้อหาต่าง ๆ ที่คิดว่าจะโดนใจใครหลาย ๆ คนนั้น กลับจะได้รับการปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อ ใย!!
‘งานของคุณน่าสนใจดีนะครับ หากแต่ยังไม่เหมาะ กับสำ�นักพิมพ์เรา อย่างไรทางเราก็ขอปฏิเสธ.. ฯลฯ ’ ในทีแรก เขานึกให้กำ�ลังใจตัวเอง.. ‘กำ�แพงเมืองจีน นั้นไม่ได้สร้างในวันเดียว! ’ และบอกกับตัวเองว่า ‘เราเพียงแค่จะต้องค้นหาคนที่ ชอบงานของเราให้พบ!! ’ เพราะสำ�หรับเขา ‘การนำ�เสนองานต่อสำ�นักพิมพ์ก็ เปรียบเสมือนกับการแต่งงาน มันคือการเลือกคู่ ที่แค่นักเขียนจะต้องหาคนที่ชอบงานของตนให้พบก็ เท่านั้น!! ’ ‘..เพลงเพราะ ๆ เพลงหนึ่ง ยังมีทั้งที่คนชอบและไม่ ชอบเลย ประสาอะไรกับงานของเรา!! ’ เมื่อคิดได้ดังนั้น การนำ�เสนอต้นฉบับของเขาจึงเป็น ไปอย่างบ้าระห่ำ�ในเวลาต่อมา.. ‘17 สำ�นักพิมพ์!! ’ คือตัวเลขสุดท้ายที่เขานับได้ถึง การปฏิเสธ จนกระทั่งที่เขามาถึงสำ�นักพิมพ์ล่าสุดแห่งนี้ ‘สำ�นัก พิมพ์ที่ 18 !! ’ ประสบการณ์ส่วนหนึ่งบอกให้เขารู้ว่า.. ‘การนำ�ต้นฉบับมาส่งด้วยตัวเองเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ แสดงออกได้ถึงความตั้งใจ และจะช่วย ทำ�ให้งานเขียนของเราดูดี.. ’ เขาจึงไม่รอช้าที่จะทำ�การนัดพบบรรณาธิการของ สำ�นักพิมพ์ดังกล่าวเพื่อที่จะทำ�การส่งมอบ รวมถึงการใช้ ‘เทคนิคลับ! ’ อีกอย่างที่เขาเชื่อว่า หากได้ลองแล้ว จะทำ�ให้การนำ�เสนอเพื่อ พิจารณางานของเขาจะเป็นไปได้ง่ายขึ้น..
‘..ต้นฉบับของผมจะได้ตีพิมพ์จริง ๆ หรือ?! ’ แม้ว่าเขาจะรับรู้ไปถึงคำ�ตอบของมันไปแล้วในครั้งหนึ่ง แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เขาจึงตัดสินใจ ถามคำ�ถามเดิมกับบรรณาธิการคนนั้นอีกครั้ง.. ด้วยดวงตาที่แน่วแน่และเต็มไปด้วยความหวัง พร้อม กับเทคนิคลับที่ชายคนนั้นได้ใช้มันออกมา ความรู้สึกชวนขนลุกบางอย่างได้บอกกับ บรรณาธิการที่ยังคงตื่นเต้นอยู่นั้นว่าชายคนดังกล่าว จริงจังกับคำ�ถามนี้มากมายเพียงใด?! และแทบจะในทันที เสียงทุ้มใหญ่อันสั่นเครือของ บรรณาธิการท่านนั้นก็ดังขึ้น.. ‘งานเขียนของคุณจะได้รับการตีพิมพ์อย่างเร็วที่สุด!! ..ผมเข้าใจแล้ว อย่าทำ�อะไรผมเลย ผมสัญญา?! ’ แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นในชั่วขณะ....!!! ‘การเจรจาทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์! ‘ ชายคนนั้นนึก และภายหลังจากที่ชายคนดังกล่าวได้ยินถึงคำ�ตอบ เดิมซึ่งเป็นที่น่าพอใจนั้นอีกครั้ง นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เขาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ดูใสซื่อ บริสุทธิ์ท่ามกลางบรรยากาศที่กำ�ลังตึงเครียด.. ‘ในที่สุด ความฝันของเราจะได้เป็นจริงเสียที!! ‘ ด้วยความรู้สึกที่เริ่มผ่อนคลาย.. ไม่นาน เขาจึงตัดสินใจยอมที่จะลดปืนคู่ใจขนาด 9 มม. ของตัวเองลง ท่ามกลางสายตาของพนักงานคนอื่น ๆ ในบริษัทที่ยัง คงตื่นตระหนกและยังคงขวัญกระเจิงไปกับเหตุการณ์ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ..?!!!
หมายเหตุ - เรื่องราวหลังจากนั้น 1.ทันทีที่ชายคนดังกล่าวเดินออกจากสำ�นักพิมพ์ เขา ก็ถูกตำ�รวจที่ทราบข่าวจากการโทรแจ้งของ พนักงานในบริษัทจับ ในข้อหา ‘ข่มขู่และพยายามฆ่า!! ’ และต้องนอนคุกอยู่นานนับจากนั้น 2.สาเหตุของการกระทำ�ดังกล่าวที่สืบทราบในภายห ลัง คือ เป็นเพราะชายคนนั้นเกิดความเครียด จากการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า บวกกับการที่เขา มีปัญหาเกี่ยวกับสภาพของจิตใจอยู่นิด ๆ จนทำ�ให้เขาเผลอกระทำ�ไปโดยขาดสติสัมปชัญญะและ การยับยั้งชั่งใจอย่างที่ควรจะเป็น 3.ภายหลังจากที่เขาได้รับบทลงโทษเป็นที่สมควรแล้ว เขาก็กลับตัวกลับใจกลายเป็นคนดี และไม่กระทำ�ในสิ่งที่เลวร้ายอย่างนี้อีกเลย สิ่งที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ - สาเหตุที่ต้องเป็นเลข 18 คือ ผมชอบความหมายของเลขนี้ครับ 1 แปลว่าเกิด 8 แปลว่ารวย ‘เกิดมารวย ’ นับเป็น เลขที่ดีมาก ๆ (และก็ดูเยอะดีด้วย) 555+ ^ ^ - บทความเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ตัวละครและ สถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่ในเรื่องเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้น และไม่มีอยู่จริงแต่ประการใด -
สัพเพเหระกับความตาย ตอนที่ 1
คนที่นั่งตรงข้ามฉันหน้าซีดลงพลันทันทีที่เห็นไพ่ที่น่า รังเกียจที่สุดของสำ�รับโผล่จุ๊กกรูขึ้นมา... หน้าที่ของฉันเปรียบดั่งพี่เลี้ยงที่ต้องประคองนักมวย ที่หน้ามืด เจอหมัดฮุกเข้ามุมปฐมพยาบาล ให้ยาดม โบกปัดพัดวีโดยด่วน พร้อมกับอธิบาย ความหมายสารพันของไพ่ Death... ที่ทำ�ให้ เจ้าตัวพอจะรับได้โดยไม่ตื่นตระหนกมากไปนัก ฉันจะพูดว่าอย่างไรก็ช่างเถิดเจ้าค่ะ เพราะวันนี้ฉันไม่ได้มาสอนการตีความไพ่ยิปซี แต่ที่ แน่ๆ ไพ่แห่งความตายสีดำ�ปี๋ใบนั้น... มันกำ�ลังจะเล่า เรื่องราวที่โยงอะไรบางอย่างจนจุดประเด็นให้ฉัน ผลิตงานเขียนได้อีกชิ้นนึงก็แล้วกัน :) ใครๆ ก็กลัวความตาย... นี่คือความสัจจริงของ มนุษย์ผู้มีอวิชชาหรือความไม่รู้ปกคลุม!!! น่าประหลาดว่า ทุกคนกลัวตาย... แต่คนอีกจำ�นวน มากมายที่ใช้ชีวิตอย่าง “ลืมตาย” ที่พูดมาไม่ผิดหรอกเพราะแม้แต่ตัวฉันเอง... บาง ครั้งก็ใช้ชีวิตราวกับความตายจะไม่มีวันคืบคลานมา ถึงได้ด้วยซ้ำ� !! เรามัวแต่คิดว่า เราจะไม่ได้กินอยู่ดีๆ มีบ้านสวยๆ มี ของแต่งตัวโก้ๆ ไว้โชว์อวดกัน ทำ�ยังไงถึงจะได้มา ซึ่งชีวิตที่พรั่งพร้อมเยี่ยงนั้น... เราทำ�ทุกอย่างแม้จะ
ต้องแก่งแย่ง แข่งขันเพื่อให้ได้มาครอบครอง... เพียง เพื่อจะใช้ชีวิตประเดี๋ยวประด๋าวบนโลกใบนี้ก่อนที่จะจาก ไป... ก็ยอมงั้นหรือ? เรา”ลืมตาย” ได้ขนาดเห็นข่าวสยองบนหน้า หนังสือพิมพ์ ได้แต่ปลง... อนาถ... สงสาร... สมเพช กับเรื่องของคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเรา พี่น้องเรา คนรู้จักของเรา... เราอาจจะ “อิน” กับข่าวที่เสพนั้น เพียงแป๊บเดียว... แล้วก็หันความสนใจไปคิดเรื่องอื่น... ที่เป็นของเราจริงๆ แต่ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้น “ของเขา” มันกลับเป็นเรื่อง “ของเรา” บ้างล่ะ ?? คุณเริ่มรู้สึกอะไรใกล้ขึ้นมาอีกสักนิดหรือยัง? จริงๆ แล้ว... ความตายมันร่ายรำ�อยู่รอบตัวเราเสมอ แม้แต่ยามนอน... เราต้องนอนราบเหยียดยาว ให้สังขารที่ถ่อสู้งานมาทั้งวันได้พักผ่อน สภาพนั้น... เป็นสภาพเดียวกับศพที่ต้องบรรจุโลงหรือ ไม่? นี่คือปริศนาธรรม...ที่ความตายสอนให้เตรียมพร้อมไว้ แต่เนิ่นๆ ในทุกค่ำ�คืน! ฉันเคยจมน้ำ�ตอนอายุ 12 นาทีที่ร่างตัวเองดิ่งไปก้น สระแล้วหายใจไม่ออกมันอึดอัด ทรมาน นั่นเป็นครั้งแรกที่ความตายใกล้ฉันแค่เอื้อม โชคดีที่มีคนมาช่วยไว้ได้ทัน... ฉันเลยรอด
ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว แม้แต่ฉันก็เคยหวาด กลัวมันมากๆ สารภาพให้ก็ได้ว่าเคยนอนเครียด อยู่ หลายคืนเมื่อนึกถึงว่า ตัวเองหรือคนในครอบครัว จะต้องจากพรากไป มันก็ช่างยากเกินจะทานทน บางทีแค่รู้ว่าคนที่รู้จักป่วยหนัก ใกล้จะตาย... เรา ก็เศร้ากันมากพอแล้ว บางทีฉันก็เคยคิดเล่นๆ ไปว่า การเกิดนี่มันยาก แล้ว ตอนตรูข้าจะตายก็ยังต้องทรมาน ทรกรรมอีก ฉันเห็นความตายวิ่งไปหาทุกชนชั้น ใช่ว่ารวยจะไม่ตาย... และมันวิ่งไปหาคนทุกวัย... ใช่ว่า คนแก่จะต้องตายก่อนหรือก็เปล่า ความตายไม่เคยบอกเราในยามแข็งแรง มีสุข ว่า เราจะตายแบบไหน ป่วยตาย... แก่ตาย... โดนฆ่า ตายหรืออุบัติเหตุตาย มันเป็นปริศนาตอนท้าย ของชีวิตทุกคนโดยแท้ !! นอกจากนี้ ความตายเป็นงานเดียวที่บัตรเชิญจะ มาทีหลังต่อเมื่อเจ้าตัวกลายเป็นเจ้าภาพในร่างที่ ไร้วิญญาณ นอกนั้น งานแต่ง งานบวช งาน ปาร์ตี้เฉลิมฉลองสุดสวิงริงโก้แค่ไหน บัตรเชิญจะ ต้องมาถึงก่อนทั้งนั้น
Story by neng
คิดไปก็สร้างความกลุ้มจิต... และเป็นที่มาของการ ใช้ชีวิตอย่างลืมตายหรือแกล้งไม่รับไม่รู้เสียงั้น แต่คุณคิดว่าเราจะหลอกตัวเองไปได้นานแค่ไหน ? สู้เรามาทำ�ความรู้จักมักคุ้นและเตรียมพร้อมรับ กับเรื่องนี้ดีกว่า สิ่งที่ฉันไปเรียนรู้มา... นอกจากฉันจะมองความ ตายได้อย่างเป็นมิตรมากขึ้น ก็มีเรื่องมหัศจรรย์ เกี่ยวเนื่องกันมาอีกหลายยก... เพราะชีวิต ไม่ได้สิ้นสุดที่ความตายอย่างที่เราเข้าใจ และใบ้อีก นิด ความตายยังเป็นกุญแจสู่ชาติภพใหม่...ที่ เรา”เลือก”ที่จะไปด้วยตัวเอง !! ...บอกได้คำ�เดียวว่า Amazing จิงกะเบล โปรด ติดตามตอนต่อไปค่ะ
p e S Aug 2012 Aries
Tauras
Gemini
ราศีเมษ 13 เม.ย.-14 พ.ค. ด้านการงาน คุณอาจจะไม่พอใจผู้มีอำ�นาจ จะใจร้อนกับผู้ร่วมงาน มีปัญหาด้านการ ควบคุมอารมณ์ คุณไม่ควร จริงจังไปซะทุกอย่าง คุณไม่ควรทำ�ให้สถานการณ์เลว ร้ายขึ้นโดยการเผชิญหน้าโดยไม่ตั้งรับให้ดี ด้านการเงิน คุณยังมีโชคด้านการเงินอยู่ มาก อย่างน้อยก็รับรองได้ว่า เงินไม่ได้เป็นปัญหากับอารมณ์ของคุณค่ะ ด้านความรัก ต้องระวังพฤติกรรมของคนรอบ ๆ ตัวเขาหรือเธอ นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่คุณ ได้ใช้สติ พิจารณาสิ่งต่างๆว่าเป็นไปในทิศทางที่ถูกครรลองหรือไม่ ราศีพฤษภ 15 พ.ค.-14 มิ.ย. ด้านการงาน เป็นระยะที่จิตใจคุณแจ่มใสอีกทั้งสมองก็ปลอดโปร่ง คุณมีโอกาสเริ่มต้น ใหม่กับคนรอบ ๆ ข้างคุณ นอกจากนี้ยัง มีการสร้างสรรค์การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่ง คุณอาจจะได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนหรือสังคมเก่า ด้านการเงิน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับค่าจ้างที่ยุติธรรมและได้รับความเป็นธรรม จากการทำ�งานของคุณ ด้านความรัก สิ่งที่คุณต้องทำ�ตอนนี้คือหาทางเลือกที่เหมาะ สมกับตัวเอง ฟังเสียงหัวใจของคุณ และอย่าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ใช้เสน่ห์ดึงดูดใจทาง เพศของคุณเพราะโอกาสยังมีอยู่ ราศีเมถุน 15 มิ.ย.-15 ก.ค. ด้านการงาน ระยะนี้คุณมีความสามารถในการดึงดูดสิ่งที่คุณต้องการหรือความ สัมพันธ์กับคนอื่น ๆ อันเนื่องมาจากดาวศุกร์ย้ายเข้าเจ้าเรือนของคุณ ถ้ามองในแง่ ดีแล้ว คุณจะมีความสุขได้ง่ายและ ได้รับความนิยม คุณจะเป็นศูนย์กลางของความ สนใจในสถานการณ์ที่หลากหลาย ทำ�ให้คุณคลายเหงาไปได้นานทีเดียวค่ะ ด้านการเงิน คุณมีแนวโน้มที่จะได้รับเงินเดือน หรือโบนัส มากขึ้น แต่อย่าสับสน ทั้งหมดนี้คือรางวัลสำ�หรับความทุ่มเทของคุณค่ะ ด้านความรัก ความสัมพันธ์ และ ทัศนคติกับคู่ของคุณ ยังไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร การตัดสินใจที่สำ�คัญใดๆให้ทบทวนและ คิดให้รอบคอบ ขอเป็นกำ�ลังใจให้อีกครั้งนะคะ
ดวงชะตาไม่ใช่การลิขิตชีวิตให้เป็นไป ตามดวง แต่ดวงชะตาเป็นเพียง แนวทางชีวิตว่าอาจจะเป็นไปในรูปแบบใด เพื่อให้เราได้พัฒนาและฝีกฝน ข้อด้อยของเรา หรือให้เราได้มีโอกาสตั้งรับกับโชคชะตาไม่ให้เป็นไปตาม ดวง จึงเรียกว่าฝืนดวง หรือคนเหนือดวง นั่นเอง Horoscope by Sunisa
Cancer
Leo
Virgo
ราศีกรกฎ 16 ก.ค.-16 ส.ค. ด้านการงาน คุณจะพบความตึงเครียดอีกครั้ง ในการ สร้างความนับถือต่อตนเอง คุณจะได้รับการท้าทาย จากสังคมรอบๆตัวคุณ หากมองในแง่ดีแล้ว บทเรียนในครั้ง นี้จะพิสูจน์ ตัวตนของคุณ ซึ่งถ้าคุณอดทนได้และประสบความสำ�เร็จ คุณจะได้รับการ ยอมรับไปอีกนานค่ะ ด้านการเงิน มีรายรับเข้ามาเยอะค่ะ แต่ให้คิดสักนิดคุณจะต้อง หมดเงินไปกับการซื้อของฟุ่มเฟือยอยู่เสมอ ด้านความรัก เกิดความผิดหวัง ฝันค้าง คนที่คุณคิดว่าใช่ เขาหรือเธอคนนั้นคิดไม่เหมือนคุณค่ะ ราศีสิงห์ 17 ส.ค.-16ก.ย. ด้านการงาน ดีทุกมุมมอง ความคิดสุดบรรเจิด สมองแล่นอย่างเหลือเชื่อ งานของ คุณกำ�ลังก้าวหน้าไปไกล คุณได้รับการสนับสนุนจากทีมของคุณ ขอให้มั่นใจและรักษา มาตรฐานของคุณอย่าให้ตก ความสำ�เร็จอยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ ด้านการเงิน มีโอกาสได้ รับเงินก้อนใหญ่ อดทนกับสิ่งเย้ายวนหรือของมีแบรนด์ งานปาร์ตี้ทั้งหลาย ลดลง หน่อยก็ดีค่ะ คุณจะได้มีเงินเหลือไว้เก็บบ้าง ด้านความรัก ใจเย็นซักนิดผ่อนคลาย ความสัมพันธ์ไว้บ้าง หรือคุณอาจจะขี้หึงเกินไป คนรักของคุณต้องการความไว้ วางใจจากคุณ ให้เขาหรือเธอได้มีอิสระบ้าง
ราศีกันย์ 17 ก.ย.-16 ต.ค. ด้านการงาน ความสนใจใดๆในขณะนี้ จะเพิ่มโอกาสให้คุณได้รับงานท้าทายใหม่ๆ เพื่อนหรือทีมของคุณจะสนับสนุนให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ อย่ากลัวที่จะแก้ไข ปัญหาเรื่องที่ยาก เพราะมันมีแต่จะทำ�ให้คุณเก่งขึ้น หรือไม่ก็งานอดิเรกของคุณจะ สำ�คัญจนกลายเป็นงานหลักเลยทีเดียว ด้านการเงิน ยังคงอยู่ในสถานที่ที่ดี แต่มี เกณฑ์ว่าต้องจับจ่ายใช้เงินเพื่อออกงานสังคมกับเพื่อนๆบ้าง ด้านความรัก ดูเหมือน จะไปได้ดี แม้จะมีความอึดอัดอยู่เล็กน้อย ใช้หัวใจของคุณค่ะ ก่อนที่จะตัดสินใจในเรื่อง สำ�คัญนะคะ
p e S Aug 2012 Libra
Scorpio
Sagittarius
ราศีตุลย์ 17 ต.ค.-15 พ.ย. ด้านการงาน งานเข้ามาเยอะ คุณจะต้องจัดลำ�ดับความสำ�คัญและงานที่ได้รับมอบ หมายให้ดี และมันอาจยากที่จะต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ขอให้คุณตั้งสติและ ระวังอารมณ์อย่าให้เกิดความเครียดนะคะ ด้านการเงิน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่มักจะมีเหตุให้ต้องใช้เงินตลอดเวลา อาจหมดไป กับค่ารักษาพยาบาล แนะนำ�ให้ดูแลสุขภาพให้ดีค่ะ ด้านความรัก พอไปได้ค่ะ ไม่ได้หวานชื่นอะไรมากนัก ราศีพิจิก 16 พ.ย.-15 ธ.ค. ด้านการงาน การทำ�งานร่วมกับผู้อื่น ให้ระมัดระวังคำ�พูดและการแสดงออก คุณ อาจคิดว่ามันคือไหวพริบและฉลาด แต่คนอื่นอาจจะมองว่ามันก้าวร้าวเกินไป พยายาม อย่าสร้างศัตรูในที่ทำ�งานนะคะ โดยเฉพาะคนที่อาวุโสกว่า ด้านการเงิน คุณอาจต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้าน เช่น ตกแต่งหรือซ่อมแซมค่ะ ด้านความรัก มีโอกาสที่จะเดินทางไกลใช้เวลาร่วมกัน นอกจากนี้คุณยังอาจใช้เวลาพัก ผ่อนนี้ทบทวนประสบการณ์ และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะคะ
ราศีธนู 16 ธ.ค.-14 ม.ค. ด้านการงาน มีภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำ�หรับคุณ สถานที่ทำ�งานจะคุณทำ�ให้ คุณเหมือนเข้าสู่สนามรบ คุณจะต้องนำ�ทักษะและความรู้ใหม่ๆมาปรับปรุงการทำ�งาน ทักษะทางการทูตระดับสูงหรือคำ�พูดดีๆ จะทำ�ให้เกิดความร่วมมือ แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ทำ�ให้บรรลุผลสำ�เร็จค่ะ ด้านการเงิน การเงินจะดีขึ้นในเดือนกันยายนค่ะ ด้านความรัก ทั้งหมดที่ต้องทำ�คือรอยยิ้ม และลดความเอาแต่ใจในตัวคุณจะทำ�ให้ทุก อย่างดีขึ้น
Capricorn
Aquarius
Pisces
ราศีมังกร 15 ม.ค.-12 ก.พ. ด้านการงาน ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด สิ่งที่คุณต้องทำ�ก็คือ การถามและควรยินดีที่จะ ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น มันไม่จำ�เป็นเสมอไปที่คุณจะเย่อหยิ่งในที่ทำ�งาน ถ้า คุณเป็นหัวหน้าทีม แสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณเป็นผู้นำ�ที่ดีโดยการแสดงออกที่เหมาะสม คุณอาจต้องปรับทัศนคติใหม่ทั้งหมด หาพลังงานบวกในที่ทำ�งานซึ่งจะเป็นผลดีกับ คุณค่ะ ด้านการเงิน มีรายจ่ายมาก คุณอาจรู้สึกต้องรับผิดชอบอยู่ตามลำ�พังกับ ปัญหาทางการเงิน อีกไม่นานก็จะดีขึ้นเอง ขอเป็นกำ�ลังใจให้ค่ะ ด้านความรัก ไม่ใช่ ช่วงเวลาที่ง่ายเลย ครอบครัวยังมีแต่เรื่องวุ่นๆ รอไปอีกซักระยะแล้วค่อยพิจารณา เรื่องนี้กันใหม่นะคะ ราศีกุมภ์ 13 ก.พ.-14 มี.ค. ด้านการงาน คุณอาจทำ�งานเพื่อให้คนอื่นเห็นว่า คุณทำ�งานหนักกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีกับองค์กร และคุณจะรู้สึกกับคนในที่ทำ�งานของคุณว่าทุกคน จะทุ่มเททำ�งานในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งทำ�ให้คุณหมดความอดทนที่จะติดต่อกับ ผู้คนในแบบที่คุณไม่ต้องการ และจะความพยายามบังคับให้เขาเป็นอย่างคุณ ขอ ให้คุณลดความคาดหวังนี้และยอมรับให้ได้ว่าคนเราเก่งไม่เท่ากันค่ะ คุณจะได้ไม่ เครียดเกินไปนะคะ ด้านการเงิน เงินตึงตัวแต่ก็ยังใช้จ่ายเก่งอยู่ดี ระวังเครดิตของ คุณให้มากๆนะคะ ด้านความรัก รักสนุกและเจ้าชู้ จะได้พบกับคนที่น่าสนใจและมีเสน่ห์ ราศีมีน 15 มี.ค.-12 เม.ย. ด้านการงาน ช่วงนี้คุณจะสับสนไม่เป็นตัวของตัวเอง เพื่อให้คุณความระมัดระวัง มากขึ้นในช่วงเวลานี้ คุณมีแนวโน้มที่จะมีความผิดพลาดในการทำ�งานเนื่องจากความ ประมาท ตรวจทานงานให้ดีนะคะ ด้านการเงิน การเงินของคุณฝืดทีเดียว ยังต้องมี การวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ การแก้ปัญหาด้วยการวิ่งหาหยิบยืม ยังเป็น เรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอในระยะนี้ นะคะ ด้านความรัก มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์โรแมนติกเหลือเฟือ ให้ระมัดระวังเวลาพูดคุย หรือสื่อสารกับคนอื่น จะทำ�ให้ เกิดความเข้าใจผิดกับที่คุณรักได้ค่ะ