Fette vol.05

Page 1

Vol. 5



ามเดือนที่ผ่านมานะ สวัสดีค่ะ งส ว ช่ ใน น ้ ขึ ด ิ ก เ ่ ี ท าย ม าก ม ธ์ ฉบับนี้มีข่าวสารของสมาพัน ยพระยุคลบาท” ข่าว รอ าม ต ย ท ไ ี ถ ิ ว ้ รู น ย รี “เ าร ก งโครง คะ มีทั้งข่าวที่สนุกสนานขอ จากไปของพี่ปุ๊ สุมิตรา าร ก ใน ฯ ธ์ น ั าพ ม ส าว าช เร งพวก รรมการบริหาร คณะ การสูญเสียครั้งหยิ่งใหญ่ขอ ะก ณ ค ่ ี ท ย โด ไป อ ่ วต า ้ งก ค ง ั เราก็ย ซัลส์มันน์ แต่อย่างไรก็ตาม มาชิกผู้สนใจหลายท่านได้เดินทางไปประชุมจัด ละส อนุกรรมการด้านวิชาการ แ ปีหน้า ซึ่งสำ�เร็จลุล่วงไปอย่างเรียบร้อยเกินคาด ชุมใน เตรียมวางแผนการจัดประ ละเอียดได้ในฉบับค่ะ ย รา น า ่ อ าม ต ด ิ ต ถ าร าม ่างแดน” จึง ส ต น ใน น อ ่ ื เพ ท่านผู้อ่า น า ้ บ ก ั “พ ์ น ม ั อล มากมาย ค เนื่องจากในฉบับนี้มีข่าวสาร ที่พักเข้าร่วมโครงการจำ�นวนพอสมควร ะมีผู้เสนอ ต้องระงับไว้ก่อน จนกว่าเราจ สัน ศรีจันทร์ ศรีจรูญ แอนเดอร์ ธ์ บรรณาธิการ/ประชาสัมพัน กันยายน 2012

i

ติดต่อสมาพันธ์ฯได้ที่ www.fottethaieuro.com ail.com fettesecretariat@googlem

อ ศรีจันทร์ ศรีจรูญ แ

นเดอร์สัน

จารีย์ เคลเล่อร์ (พิสูจน์อักษร)

3


น า ธ ะ ร ป ก า จ สาร สวัสดีค่ะสมาชิกสมาพันธ์ครูฯและท่านผู้อ่านทุกท่าน

เผลอแป๊บๆจะปีใหม่ จะมีการประชุมสามัญประจำ�ปี ๒๕๕๖ อีกแล้ว เวลาชั่งผ่านไปได้รวดเร็ว จริงๆ ทำ�ให้คนเราแก่เร็ว และก็ตายเร็วด้วยซิ และอย่างหนังสือ E-BOOK ของ FETTE ที่ออกทุก ๓ เดือน ก็ออกมาเป็นเล่มที่ ๕ แล้ว สมาชิกสมาพันธ์ฯที่ติดตามข่าวสารก็จะทราบความก้าวหน้าจาก หนังสือนี้ ถ้าอ่านติดต่ออย่างต่อเนื่อง สมาชิกสมาพันธ์ฯคงพอจะทราบข่าวที่พวกเราต่างเศร้าใจ และเสียใจจากการจากไปของพี่ปุ๊ สุมิตรา อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา ขณะนี้คุณศรีจันทร์หรือแม่วาด กำ�ลังรวบรวมคำ�ไว้อาลัยที่พวกเรา ชาวสมาพันธ์ฯต่างเขียนส่งมาด้วยความอาลัย รักพี่ปุ๊ของพวกเรา พี่ปุ๊ เป็นตัวอย่างและแม่แบบแก่ พวกเราชาวสมาพันธ์ฯอย่างแท้จริง ทำ�งานเพื่อสังคมไทยในต่างแดนอย่างเสียสละ ขณะที่ตัวพี่ปุ๊เอง ยังไม่ค่อยสบายแต่ก็ไม่ละเลยที่ตอบคำ�ถามน้องๆที่โทรมาปรึกษาทางโทรศัพท์ตลอดเวลาทำ�หน้าที่ ที่ รับผิดชอบอย่างดีมาก จนดิฉันต้องขอชื่นชมอย่างจริงใจและตั้งใจที่จะสานงานของสมาพันธ์ฯต่อไป เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายต่อไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความดีงามที่พวกเราต่างระลึกถึงพี่ปุ๊ตลอดไป สำ�หรับเดือนกรกฎาคมทีผ่ า่ นมา กรรมการหลายท่านทัง้ กรรมการบริหารฯ คณะอนุกรรมการฝ่าย วิชาการที่ ได้เดินทางไปเมืองไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆมากมาย ซึ่งดิฉันเองก็ได้เขียนรายงานให้ ทราบไปแล้ว วันที่ ๘ กันยายนที่ผ่านมาเรามีการประชุมเพื่อเตรียมงานการประชุมสามัญประจำ�ปี ๒๕๕๖ ที่ จะมีขึ้นที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กในเดือนพฤษภาคม ทางคณะกรรมการฯต่างสรรหาและ เลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้บรรดาสมาชิกที่มาร่วมการประชุมสามัญประจำ�ปี ๒๕๕๖ ที่โคเปนเฮเกน ให้ได้รับความรู้เนื้อหาสาระ สิ่งที่เป็นประโยชน์และความสนุกสนานที่จะได้พบปะสังสรรค์ในเวลา เดียวกัน ซึ่งเนื้อหาและรายละเอียด สมาชิกสมาพันธ์ฯสามารถอ่านได้จากผลสรุปการประชุมเตรียม งานที่แจ้งให้ทราบใน FETTE Vol 5 เล่มนี้นะคะ

4

ด้วยความปรารถนาดี สุพรรณี บุญถูก ประธานสมาพันธ์ครูภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในยุโรป


ในการประชุมคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2012 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการเพิ่มเติม ดังนี้

ดร.อรอนงค์ แพตเตอร์สัน

ประกาศ

คุณมัธทิฬา พิลแมน

และที่ประชุมได้กำ�หนดหน้าที่ต่าง ๆ ของคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการดังนี้ คุณทัศนา จันทรศร ประธาน คุณชนกกมล โพธิ์ศรี ยอร์ท รองประธาน คุณพนิตา บุษปภาชน์ เลขานุการ คุณกษมา ยมทานนท์ เอียริคสัน ฝ่ายทะเบียนและการเบิกจ่ายสื่อการสอน คุณอรอนงค์ แพตเตอร์สัน ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ คุณขนิษฐารัตน์ บุตตะวงศ์ ฝ่ายประเมินและวัดผล คุณปิยะนันท์ เทพนรินทร์ กรรมการกลาง คุณมัธทิฬา พิลแมน กรรมการกลาง

5


ข่าวเตรียมการประชุม เมื่อวันที่ 7-9 กันยายน 2012 คณะกรรมการบริหารและคณะอนุกรรมการฝ่าย วิชาการและสมาชิกที่สนใจหลายท่านได้เดินทางไปประชุมร่วมกัน เพื่อวางแผนการ เตรียมงานประชุมสามัญประจำ�ปี 2013 ซึง่ จะจัดขึน้ ทีเ่ มืองโคเปนฮาเกน ประเทศเดนมาร์ก ในคืนวันที่ 7 ทางสถานทูตไทยประจำ�กรุงโคเปนฮาเกนได้เป็นเจ้าภาพเชิญคณะ กรรมการสมาพันธ์ฯไปร่วมรับประทานอาหารเย็น ท่านทูตปิยวัชร นิยมฤกษ์ ได้กรุณาให้ ความสนใจและสนับสนุนการทำ�งานของสมาพันธ์ฯเต็มที่ และได้ส่งท่านกงสุลชัชชัย ชูชม มาเข้าร่วมประชุมกับพวกเราในวันรุ่งขึ้น เพื่อพิจารณาการให้เงินสนับสนุนในการจัดงาน การประชุมจัดขึ้นที่โรงเรียนรักษ์ไทย ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น คณะเจ้าภาพได้ จัดเตรียมเรื่องต่างๆที่เจ้าภาพมีหน้าที่รับผิดชอบไว้เสนอในการประชุมอย่างไม่ขาดตก บกพร่อง ประกอบกับการเสนอโครงการต่างๆจากคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ ซึ่งหลัก ใหญ่จะมีการจัดเวิร์คชอปเกี่ยวกับการเรียนการสอนให้สมาชิกที่มาได้เวียนกันรับฟังเป็น กลุ่มๆ คาดว่าสมาชิกที่จะมาร่วมประชุมสามัญฯในปีหน้าจะได้ประโยชน์อย่างมากมาย ในโอกาสที่ทางฝ่ายอนุกรรมการด้านวิชาการเกือบทั้งคณะได้มาพร้อมกัน จึงได้ถือ โอกาสแยกไปจัดการประชุมเฉพาะกลุ่มเพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆในด้านวิชาการ และแบ่ง แยกหน้าที่กันได้เรียบร้อย 6


กลุ่มสมาชิกชาวเดนมาร์กได้ให้การต้อนรับคณะผู้มาประชุมอย่างอบอุ่น สะดวก สบาย อิ่มหนำ�สำ�ราญจากอาหารฝีมือคุณหนู (วนิดา) เจ้าแม่เมืองโคเปนฯ เจ้าของร้าน Denjai Market ร้านดังในหมู่คนไทยในเดนมาร์ก ตกเย็นหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการประชุมมาทั้งวัน คุณชุมศรี อาร์โนลด์ เป็นโต้โผ เชิญชวนกันไปนั่ง “ดริ๊งค์” กันที่ลอบบี้ของโรงแรมคุยกันเฮฮาจนลอบบี้ที่มีฝรั่งนั่งกันคับคั่ง อยู่ค่อยๆหลวมตัวลง ทำ�ให้พี่ไทยเราฮากันดังขึ้น รุง่ ขึน้ ต่างแยกย้ายกันไปชมเมืองโคเปนฯตามแต่ใครจะสนใจอะไร และไปรวมกันอีก ทีที่โรงเรียนรักษ์ไทย รับประทานอาหารกลางวันรสอร่อยฝืมือคุณหนูอีกครั้ง และประจวบ กันเป็นวันอาทิตย์ที่ทางโรงเรียนรักษ์ไทยเปิดสอน เราจึงได้มีโอกาสชมกิจกรรมต่างๆของ นักเรียนเชื้อสายไทยในโคเปนฯ ซึ่งเป็นที่ประทับใจอย่างมาก จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ ประเทศของตนเอง

7


“เรียนรู้วิถีไทย ตามรอยพระยุคลบาท”

โดย ชนกกมล โพธิศรี ยอร์ท

8

โครงการ “เรียนรู้วิถีไทย ตามรอยพระยุคลบาท” เป็นการจัดร่วม กันระหว่าง สมาพันธ์ครูภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในยุโรป(FETTE) สำ � นั ก งานปลั ด สำ � นั ก นายกรั ฐ มนตรี และร.ร.สาธิ ต มหาวิ ท ยาลั ย ศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ระหว่างวันที่ 24 - 29 กรกฏาคม 2012 โดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆสำ�หรับเยาวชนระหว่างอายุ 10 - 17 ปี ผู้ที่ไม่ใช่ เยาวชนเสียค่าใช้จ่าย (ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารทุกมื้อ ตลอด โครงการ) เพียงท่านละ 15,000 บาท โดยปีนี้โครงการกำ�หนดสถานที่ เยี่ยมชมแถบจังหวัดเพชรบุรี สุพรรณบุรี ผู้เข้าร่วมจากประเทศในยุโรป มีทั้งนักเรียน ครู และ ผู้ปกครอง รวม 11 ประเทศ คือ นอร์เวย์ สวีเดน อิตาลี เบลเยียม เดนมาร์ก ลักเซมเบิรก์ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ฝรัง่ เศส อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์


วั น แรกเราพบกั น เพื่ อ รายงานตั ว ที่ โ รงแรม อิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค “โอโฮ!” สิ่งแรกที่คิดอยู่ในใจ เมื่อรถแท็กซี่ขับเข้าไปจอดที่หน้าโรงแรม ,,,อะไรจะ ใหญ่โตปานนัน้ ,,,นีห่ า้ ดาวหรือหกดาว อดทีจ่ ะสงสัย ไม่ได้ เมื่อพนักงานของโรงแรมแต่งกายด้วยชุดไทย ราชปะแตนเดินตรงมาเปิดประตูรถให้ และรีบนำ� กระเป๋าของเราลงจากแท็กซี่ คิดเองว่า ...นี่คงจะเริ่ม ให้นักเรียน “เรียนรู้วิถีไทย” จากการแต่งกายของ พนักงานของโรงแรมด้วยกระมัง ฮือ! น่าสนใจ พอก้าวเข้าไปภายในโรงแรม แหม! มองไกลจน จะสุดสายตา เห็นเสือสีชมพู อุ้ยไม่ใช่! เสื้อสีชมพู ยืน อยูร่ วมกันมากมาย กำ�ลังรอรับแจกกุญแจห้องว่าใคร จะพักกับใคร และใครที่มาถึงแล้วหรือใครที่ยังไม่มา นานๆได้พบกันที เสียงดังสนั่นหวั่นไหว มีแต่คนคุย จนไม่มีใครจะฟังใคร ตามประสาสาวไทยกริ๊ดกร๊าด ใส่กัน ส่วนเด็กๆก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะพูดภาษา ไทยได้ไม่มากนัก และบางคนก็ชินกับการพูดภาษา ของประเทศที่ตนอยู่ เรารับประทานอาหารกลางวัน ที่โรงแรมซึ่งมีอาหารหลากหลายไว้คอยต้อนรับ ทั้ง ก๋วยเตี๋ยว แกงจืด แกงเผ็ด สารพัดผัด สลัด ผัก ผล ไม้ น้�ำ พริกต่างๆ ขนมหวานไทยๆ ขนมเค้กชิน้ เล็ก ชิน้ น้อย ชา กาแฟ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายขบวนไปยัง โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒปทุมวัน

ทีโ่ รงเรียนสาธิตฯมีนกั เรียนจัดแถวเรียงกันสอง ฝั่งเพื่อต้อนรับขบวนของพวกเรา มีวงโยธวาทิตของ โรงเรี ย นนำ � ขบวนนั ก เรี ย นที่ แ ต่ ง กายชุ ด ไทยจาก หลายสมัย โปรยดอกไม้มอบพวงมาลัยให้กบั พวกเรา เป็นการต้อนรับที่อบอุ่นและประทับใจมาก

9


ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงาน แถลงถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เพื่อให้เยาวชน เชื้อสายไทยที่อาศัยอยู่ในยุโรปได้เรียนรู้วิถีไทยและ รับทราบพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างจิตสำ�นึกความเป็นไทย

“....กรุ ง เทพเมื อ งฟ้ า อมร สมเป็ น นครมหาธานี สวยงามหนักหนายามราตรี......” ในขณะที่บนเรือมี เพลงไพเราะ ทั้งเพลงไทยและสากล อาหารอร่อย เป็นอันว่าวันนี้เราหลุดโลกไปเลย เช้าวันที่ 25 กรกฎาคม เราพบรถบัสสองชั้นสี สดใสชวนนั่งจอดเรียงกันอยู่ 3 คันที่หน้าโรงแรม

ให้ แ ก่ เ ยาวชนเชื้ อ สายไทย และยั ง เปิ ด โอกาสให้ นักเรียนและอาจารย์โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ศรี น คริ น ทรวิ โ รฒปทุ ม วั น ได้ แ ลกเปลี่ ย นเรี ย นรู้ วั ฒ นธรรมกั บ เหล่ า นั ก เรี ย นจากประเทศต่ า งๆใน ยุโรป จากนั้นมีการแสดงโขน การสีไวโอลิน การร้อง เพลงประสานเสียง และรายการต่างๆของอาจารย์ และนักเรียนโรงเรียนสาธิตฯ ขณะที่ฟังและชมการ แสดงด้วยความทึ่งในความสามารถของผู้แสดงเรา ก็ ไ ด้ รั บ ประทานอาหารว่ า งฝี มื อ ของนั ก เรี ย นและ อาจารย์อีกเช่นกัน ข้าวเกรียบปากหม้อดูจะทำ�แทบ ไม่ทันเพราะอร่อยมากและหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ประชุม รายการสุดท้ายของวันนี้เราล่องเรือชมกรุงเทพ มหานคร สองฝั่งแม่น้ำ�เจ้าพระยายามราตรีงามหาที่ ติมิได้ อากาศก็เป็นใจ จิตก็คิดไปถึงเพลงตอนหนึ่ง

พร้อมที่จะนำ�คณะเดินทางท่องเที่ยว เริ่มด้วยการไป สำ�นักงาน กทม เพื่อเข้าพบท่านนายกรัฐมนตรีหญิง คนแรกของประเทศไทย หากแต่ทา่ นนายกฯติดภาระ กิจจึงได้เข้าพบประธานสภากรุงเทพมหานครแทน จากนั้นเราจึงเดินทางไปยังตลาดสามชุก สนุกสนาน กับการซื้ออาหาร เสื้อผ้าไทยๆ อาธิเช่น ผ้าซิ่น โสร่ง ผ้าลายไทย ฯลฯ แล้วจึงเดินทางต่อไปยัง โรงเรียน บ้านควายจังหวัดสุพรรณบุรี ร่วมฟังการสาธิตการ ปลูกข้าวและสอนควายทำ�งาน จำ�ได้ว่าควายจะต้อง เริ่มทำ�งานตั้งแต่ 05.30 -10.00 น. เพราะถ้าทำ�ตอน บ่ายควายจะร้อนมากทำ�งานไม่ได้ประสิทธิภาพ ก่อน ทีจ่ ะนำ�ควายไปใช้งานได้นนั้ ต้องเจาะทีร่ ะหว่างรูจมูก โดยใช้ไม้ไผ่เจาะเพื่อที่จะนำ�เชือกเข้าไปร้อยและผูก ติดกับคันไถ นักเรียนคนหนึ่งฟังแล้วคงจะสงสาร ควายมาก จึงถามว่า “เจาะจมูกแล้วดึงควายอย่างนัน้ ควายจะไม่เจ็บหรือ?” คำ�ตอบที่ได้รับ คือ “ไม่เจ็บ!”

10


การปลู ก ข้ า วในแต่ ล ะครั้ ง มี ขั้ น ตอนต่ า งๆ มากมายตัง้ แต่การไถเตรียมดิน ซึง่ มีทัง้ นาดำ�และนา หว่าน การปลูกข้าวโดยใช้การปักดำ�นั้นจะใช้ต้นกล้า ประมาณ 3-5 ต้น จับรวมกัน เรียก “หนึ่งจับ” จากนั้น จึงปักลงไปในดินที่ชุ่มด้วยน้ำ�ที่เตรียมไว้ โดยใช้นิ้ว หัวแม่มือกดต้นกล้าให้รากจมลงไปในดิน มีผู้กล้า หาญของเราในวันนัน้ ทีล่ งไปปลูกข้าวและไถนา สนุก กันเต็มที่ทั้งผู้สอนและผู้เรียน รวมทั้งกองเชียร์และผู้ สังเกตุการณ์อยู่ด้านบนรอบๆคันนา พวกเราได้มี โอกาสขึน้ ไปนัง่ บนหลังควาย ซึง่ คงเป็นประสบการณ์

ครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของพวกเราหลายๆคน ได้ เ รี ย นภาษาควายด้ ว ย ถ้ า ให้ เ ลี้ ย วขวาบอกว่ า “ต่าน” เพราะตามปกติควายจะถนัดไปทางซ้าย ถ้า จะให้หยุดพูดว่า “ยอ” ฮือ...ความรู้ใหม่ สิ้นสุดวันที่อ่อนล้ากันที่คุ้มหม่อมไฉไล จังหวัด นครปฐม รับประทานอาหารเย็นทีน่ ัน่ เช้าวันรุง่ ขึน้ ทุก คนสดชื่ น กระปรี้ ก ระเปร่ า ตื่ น กั น ตั้ ง แต่ ยั ง ไม่สว่าง อากาศยามเช้าสดชื่น บรรยากาศไทยๆ ริมแม่น้ำ�ท่า จีน เป็นธรรมชาติที่น่าสัมผัสจนอยากจะมีเวลาอยู่ที่ นั่นนานกว่านั้นแต่ก็ต้องลาจาก เส้นทางผ่านได้แวะ ฟาร์มกล้วยไม้แอร์ออคิดส์ได้รบั ฟังการบรรยาย เกีย่ ว กับการเพาะพันธ์กล้วยไม้และวิธีการดูแล ได้เห็น กล้วยไม้สายพันธ์ใหม่ “โสมสวลี” ที่รับพระราชทาน นามจากพระองค์เอง น้องๆ พี่ๆ ต่างวิ่งซื้อกล้วยไม้ ต้นเล็กต้นใหญ่ รวมทัง้ ต้นไม้ทีอ่ ยูใ่ นขวด เพือ่ ทีจ่ ะนำ� ไปปลูกในประเทศของตน 11


จากนั้นเราก็มาถึงที่พระราชวังสนามจันทร์ ซึ่ง เคยเป็นที่ประทับของในหลวงรัชกาลที่หกขณะดำ�รง พระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ภายใน พระราชวังมีพระที่นั่งพิมานปฐม ก่อสร้างแบบตะวัน ตกทำ�ด้วยอิฐมีชอ่ งระบายลมและลูกกรงฉลุสลักเป็น ลวดลายแบบศิลปไทย พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี พระที่นั่ง วัชรีรมยา ภายในพระที่นั่งมีห้องพระซึ่งพวกเราได้มี โอกาสเข้าไปกราบ ปัจจุบันพระราชวังสนามจันทร์ บางส่วนใช้เป็นที่ทำ�การศาลากลางจังหวัดนครปฐม และบางส่วนเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร ฯ เดินทางต่อเพื่อเข้าชมโครงการศึกษาวิจัยและ พัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระ ราชดำ � ริ จั ง หวั ด เพชรบุ รี ซึ่ ง เป็ น วิ ธี ก ารโดยใช้ หลัก”ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ” พิธีกรนำ�เราเข้าสู่ห้อง ประชุมและอธิบายถึงวิธกี ารบำ�บัดน้�ำ เสียด้วยวิธกี าร สังเคราะห์แสง ระบบพืชและหญ้ากรองน้�ำ เสีย ระบบ พื้นที่ชุ่มน้ำ�เทียม ระบบแปลงพืชป่าชายเลน ผลที่ได้ รับจากโครงการนี้คือทำ�ให้แม่น้ำ�เพชรบุรีมีคุณภาพ ดีขึ้น บ่อน้ำ�ที่บำ�บัดน้ำ�เสียแล้ว สามารถเลี้ยงปลาได้ โดยไม่ต้องให้อาหาร น้ำ�นี้ยังสามารถนำ�ไปใช้ใน การเกษตร ส่วนพืชทีเ่ ก็บเกีย่ วจากแปลงพืชบำ�บัดน้�ำ เสียยังนำ�ไปทำ�เครื่องจักรสานผลิตสินค้าหัตถกรรม และทำ�เยื่อกระดาษได้อีกด้วย เย็ น วั น นี้ ร ถบั ส นำ � เรามาที่ โ รงเรี ย นภั ท ราวดี มัธยมศึกษา หัวหิน คุณครูเล็ก (คุณภัทราวดี มีชูธน) เดินเข้ามาต้อนรับคณะของพวกเราด้วยสีหน้าแจ่มใส และเป็นกันเอง นักเรียนที่นั่นมาต้อนรับพวกเราน่า รักมาก ยกมือสวัสดีแขกที่มาเยี่ยมเยือนและกล่าว คำ�ทักทาย แม้กระทั่งเราเดินสวนกับเขาในบริเวณ โรงเรียนเขาก็สวัสดี นี่คือความเป็นเด็กไทยที่บอกให้ 12

ทราบถึงการถูกฝึกสอนมาอย่างดี อาหารไทยอร่อยๆ รอคอยต้ อ นรั บ พวกเราอยู่ หลั ง จากรั บ ประทาน อาหารแล้วทัง้ เด็กและผูใ้ หญ่ตา่ งก็ไปยืนเข้าแถวล้าง จาน ช้อน ส้อมของตัวเอง กลางคืนมีกิจกรรมเรียนการนุ่งโจงกระเบนซึ่ง ดูจะไม่งา่ ยเลยกับการม้วนๆพันๆกับผ้าผืนใหญ่ๆ แต่ สุดท้ายคุณครูผู้สอนก็มีความสามารถทำ�ให้นักเรียน ประสบความสำ�เร็จ ได้นุ่งโจงกันทุกคน เหนื่อยล้ากัน พอสมควร นักเรียนนอนค้างที่โรงเรียนฯ ขณะที่พวก เราผู้ใหญ่ไปนอนที่สวนสนประดิพัทธ์ เนื่องจากไม่มี ที่พักสำ�หรับผู้ใหญ่ อีกทั้งนักเรียนจะได้มีโอกาสได้ เรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างเต็มที่และเป็นตัวของตัวเอง เช้าวันใหม่ศกุ ร์ที่ 27 กรกฏาคม หลังจากทีพ่ วก ผู้ใหญ่มาสมทบกับเด็กนักเรียนที่โรงเรียนภัทราวดีฯ ได้ชมเหล่านักเรียนจากยุโรป ซึ่งได้รับการสอนให้ยืน ตรงเคารพธงชาติ ไหว้พระสวดมนต์นำ�โดยคุณครูเล็ก


ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากๆสำ�หรับนักเรียนหลายๆคน วันนั้นรถบัสทั้งสามคันได้นำ�เราเข้าสู่โรงเรียนบ้าน ดอนขุ น ห้ ว ยจั ง หวั ด เพชรบุ รี ซึ่ ง เป็ น โรงเรี ย นใน โครงการพระราชดำ�ริ จากผืนป่าที่ได้รับพระราชทาน ที่ดิน พัฒนาเป็นโรงเรียน สหกรณ์ และอนามัย ด้วย ปรัชญาเศรษฐกิ จพอเพียง ผู้อำ �นวยการโรงเรี ย น

คณะอาจารย์ และ อ.สาลี่ ศิลปสธรรม ผู้ที่คุ้นเคยกับ พวกเราเป็ น อย่ า งดี เพราะเป็ น ผู้ ที่ แ ต่ ง หนั ง สื อ ชุด”สวัสดี”ให้พวกเด็กเชือ้ สายไทยได้เรียนภาษาไทย กัน พร้อมทั้งนักเรียนร.ร.บ้านดอนขุนห้วยเดินเข้ามา ต้อนรับพวกเราขณะที่ฝนตกโปรยปราย แต่ดูเหมือน อะไรๆก็จะไม่เป็นอุปสรรคสำ�หรับพวกเรา ที่รักการ เรียนรู้และอยากได้ประสบการณ์ กลิน่ อาหารลอยมาแตะจมูกตัง้ แต่กา้ วแรกทีล่ ง จากรถบั ส กล้ ว ยทอด กล้ ว ยกวน ขนมปากหม้ อ ขนมครก ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ ฯลฯ พวกเราต่างอิ่ม หนำ�สำ�ราญ ได้ชมการแสดงรำ�นานาชาติและการ แสดงต่างๆจากนักเรียนบ้านดอนขุนห้วย และมอบ ของที่ระลึกให้กับทางโรงเรียน ก่อนจะขอลาเพื่อเดิน ทางต่อ โครงการอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เป็ น โครงการส่ ง เสริ ม การท่ อ งเที่ ย วเชิ ง นิ เ วศ เชิ ง ประวัติศาสตร์ และพระราชนิเวศน์มฤคทายวันซึ่ง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่พวกเรามาเยี่ยมชมใน วันนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ นับเป็นบุญของ พวกเราที่ได้เห็น เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว หลังคาทรง ปั้ น หยา มุ ง กระเบื้ อ งสี่ เ หลี่ ย ม ใต้ ถุ น สู ง เทพื้ น คอนกรีตตลอด ตัวอาคารโปร่งและเชื่อมต่อถึงกัน เพื่อสะดวกในการไปมาหากัน ในรถบัสของครูและผู้ ปกครอง อ.จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ทำ�หน้าที่มัค คุเทศน์ ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถานที่ๆเราไปเยี่ยม เยือน ทำ�ให้เราได้เข้าใจมากขึ้นและทราบถึงประวัติ ความเป็ น มาของประเทศไทย ตั้ ง แต่ ส มั ย พ่ อ ขุ น รามคำ�แหงจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ได้เกร็ดความรู้ เล็กๆน้อยๆเช่นคนสมัยก่อนมักจะรับประทานอาหาร ด้วยช้อนเงิน เพราะถ้ามีพิษอยู่ในอาหารสีของช้อน 13


เงินก็จะเปลี่ยนสี สิ้ น สุ ด วั น นี้ ที่ โ รงเรี ย นภั ท ราวดี ฯ เพื่ อ สั ม ผั ส ศิลปการรับประทานอาหาร “ The art of eating” เป็น ความพอดีกับการที่ไปได้ความรู้จากการไปเยี่ยมชม พระราชนิเวศน์มฤคทายวันว่า หากไม่มแี ขกบ้านแขก เมืองมาร่วมเสวยด้วย ร.6 และชาววังจะรับประทาน อาหารโดยใช้มือ คือใช้สามนิ้วจับอาหาร นิ้วหัวแม่ มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง เราจึงมีโอกาสได้ทำ�บ้าง รับ ประทานอาหารไทยน้ำ�พริกกะปิเลิศรส ปลาทูทอด มะเขือยาวชุบไข่ทอด แกงจืดปลาหมึกยัดไส้ ไส้กรอก อีสาน ฯลฯ ใช้กระด้งเล็กๆน่ารักแทนจาน รอบกลาง คื น มี ก ารสอนทำ � บายศรี ใ ห้ กั บ นั ก เรี ย นและครู ผู้ ปกครองที่ ส นใจ เด็ ก ๆตื่ น เต้ น กั บ ผลงานการทำ � บายศรีของแต่ละกลุ่ม ซึ่งสำ�เร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วย การรู้จักทำ�งานร่วมกันเป็นกลุ่ม สุดท้ายเราแยกย้าย กันอีก โดยผู้ใหญ่ไปพักที่สวนสนประดิพัทธ์ และ นักเรียนยังคงนอนค้างที่นี่ เช้าวันเสาร์ที่ 28 กรกฏาคม หลังจากยืนตรง เคารพธงชาติและสวดมนต์เรียบร้อยแล้ว มอบของที่ ระลึกพร้อมทั้งขอบพระคุณคุณครูเล็กและอาจารย์ ทุกท่านก่อนจะลาจากมา เราเดินทางขึ้นไปทำ�บุญที่ 14

วัดเขาสนามชัย เดินลากขาหรือให้ขาลากเราขึ้นไป บนเขา ที่นี่มีพระธาตุให้เราได้กราบ พระท่านเมตตา สอนธรรมะกับนักเรียน ได้เรียนรู้วิธีการกราบพระที่ ถูกต้อง เมื่อมองลงมาด้านล่างจะเห็นทัศนียภาพอัน สวยงามของเมืองหัวหิน ลมพัดเย็นสบาย หายเหนือ่ ย เป็นปลิดทิ้ง แวะรับประทานอาหารที่ ร้านพรทะเล ผูอ้ �ำ นวย การและคณะอาจารย์จากโรงเรียนสาธิตฯมาร่วม สมทบด้วย เด็กๆพอเห็นทะเลก็วิ่งลงไปทันที บางคน เตรียมพร้อมอยู่แล้ว คือมีชุดอาบน้ำ�อยู่ข้างในพร้อม ถอด อ.สาลี่ มาพร้อมของฝากจากเพชรบุรี จากนั้น จึงไปตลาดน้ำ�หัวหิน ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ดูจะมีแต่ อาหารและของอร่อย ทั้งก๋วยเตี๋ยวเรือ สารพัดลูกชิ้น ทัง้ หมู ปลาและเนือ้ มีให้เลือก จะปิง้ หรือจะทอดเลือก ซื้อตามอัธยาศัย คืนนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่พักที่สวน สนประดิพัทธ์ เล่นน้ำ�ทะเลกันตามอัธยาศัย ตอนค่ำ�เราพบกันที่ห้องอาหาร คืนนี้เป็นคืน สุดท้ายที่เราเลี้ยงอำ�ลากันโดยท่าน รศ.นราพร จันทร์ โอชา เป็นเจ้าภาพจัดเลีย้ งพวกเราทัง้ หมด มีการมอบ เกียรติบัตรให้แก่เด็กที่เข้าร่วมโครงการ “เรียนรู้วิถี ไทย ตามรอยพระยุคลบาท” ด้วย


เช้าวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฏาคม ก่อนที่จะเดิน ทางกลับกรุงเทพฯ เราแวะเยี่ยมโครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำ�ริ อำ�เภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมี เนื้อที่ 250 ไร่ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจ และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรแก่เกษตรกร ให้ ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำ�แปลงหรือมาช่วย งานในโครงการของพระองค์ มีกังหังลมผลิตกระแส ไฟฟ้ า เพื่ อ เป็ น พลั ง งานทดแทน มี ก ารผลิ ต พื ช ปลอดภัยจากสารพิษ มีการปลูกข้าวสายพันธ์ต่างๆ การทำ�ปุย๋ หมักและอืน่ ๆ คาดว่าอนาคตโครงการนีจ้ ะ

เป็นแหล่งท่องเที่ยวและให้ความรู้แก่ประชาชนโดย ทั่วไป รับประทานอาหารกลางวันที่เพชรบุรี ระหว่าง ทางเราแวะซื้ อ ของฝาก ของที่ ร ะลึ ก ก่ อ นกลั บ สู่ กรุงเทพมหานคร ตลอดเส้นทางของการเดินทางเรา มี ร ถตำ� รวจทางหลวงนำ� ทางคอยให้ ค วามสะดวก รถบั ส ทั้ ง สามคั น นำ � เรามาส่ ง ที่ โ รงเรี ย นสาธิ ต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ตรงตาม กำ�หนดเวลาด้วยความปลอดภัย 15


แด่ กัลยาณมิตร ผู้จากไป

คุณสุมต ิ รา ซัลส์มน ั น์ (พีป ่ )ุ๊ พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำ�คัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

ขอสารภาพว่าไม่เคยนึกถึงโคลงบทนี้ตั้งแต่เรียนมัธยม แต่ทันทีที่ ทราบข่าวการเสียชีวิตของพี่ปุ๊ของพวกเราเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากความรู้สึกใจหายและเสียดายด้วยความอาลัยรัก โคลงบทนี้ก็ ผุดขึ้นมาที่กลางหัวใจ เพราะพี่ปุ๊เป็นบุคคลที่เราชาวสมาพันธ์ฯ ทุกคน เห็นพ้องต้องกันว่าเป็น” ปูชนียบุคคล” ของพวกเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็น ผลของการกระทำ�ของพีป่ ุเ๊ อง ไม่วา่ จะเป็นการแสดงออกของพีป่ ุท๊ างกาย และ วาจาทีร่ นิ ไหลออกมาจากใจทีง่ ดงามด้วยความรักความเมตตา และ กรุณาที่พีปุ๊พร้อมที่จะหยิบยื่นให้กับทุกคนอย่างไม่เลือกปฏิบัติและใน ทุกๆ โอกาส ปูชนียบุคคล คือผลของความมีคุณสมบัติของ กัลยาณมิตร หรือ มิตรที่ดีงามอย่างครบถ้วนทุกประการของพี่ปุ๊ คือ ความน่ารัก น่าเข้า 16


ไปหา ใครเข้าใกล้ก็รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย น่าเคารพ น่าเอาเป็นแบบอย่าง รู้จักพูด หรืออธิบายและให้ เหตุผลให้เข้าใจง่าย คือ สามารถอธิบายเรื่องยากให้ เป็นเรื่องง่าย และนอกจากความเมตตาปรารถนาดี ที่พี่ปุ๊มีให้ทุกคน พี่ปุ๊ก็ยังมีความอดทนในการตอบ คำ�ถามจากพวกเรา เชื่อว่าคงคงไม่มีใครเคยเห็นพี่ปุ๊ แสดงอาการรำ�คาญหรือเบื่อหน่ายเมื่อถูกซักถาม หรือ ซักไซ้ ไล่เรียงไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆ ทุกคนคงทราบดีว่าพี่ปุ๊เป็นแกนนำ�สำ�คัญของ สมาพันธ์ฯ พี่ปุ๊เป็นผู้ที่มีสติปัญญาและวิสัยทัศน์ที่ กว้างไกลในด้านการศึกษาของเยาวชนไทยในยุโรป มาเป็นเวลาหลายสิบปี และ ตลอดเวลาหลายๆ ปีที่ ผ่านมาพีป่ พุ๊ ยายามทัง้ เชิญชวนและชีแ้ นะให้พวกเรา ทุกคนเห็นทางและเดินตามในขณะที่พวกเราหลาย คนยังมืดแปดด้าน แต่ดว้ ยคุณสมบัตขิ องมิตรทีด่ งี าม ทั้งหมดทั้งมวลสมกับชื่อของพี่ปุ๊คือ “สุมิตรา” ทำ�ให้ พวกเราค่ อ ยๆ เข้ า ใจและเริ่ ม เห็ น ในสิ่ ง ที่ พี่ ปุ๊ เ ห็ น เพราะ พี่ปุ๊ เราชาวสมาพันธ์ฯ จึงได้มารวมกันกว่า ๑๐ ประเทศ อย่าง “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก” เพราะ เราต่างเคารพพี่ปุ๊และเคารพหัวใจของกันและกัน บางคนอาจจะมองการจากไปของพี่ปุ๊ว่าเป็น วิกฤต หากเราจะมองว่าสมาพันธ์ฯเป็นเรือที่ขาดหาง เสือคือ พี่ปุ๊ แต่ในวิกฤตนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราทุก คนทีจ่ ะพลิกให้เป็นโอกาสให้ได้ นัน่ คือสมาพันธ์ฯ จะ ต้องเข้มแข็งมากขึ้นด้วยความ รู้ รัก สามัคคีเพื่อร่วม กันสืบสานปณิธานและรากฐานที่พี่ปุ๊ได้วางไว้ให้ พวกเรากว่า ๒ ปีที่ผ่านมาร่วมกับคณะกรรมการ บริหารสมาพันธ์ฯ ครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ใจดี ทุกท่าน พี่ปุ๊เป็น “ครู” ของพวกเราทั้งในเรื่องของชีวิต

และความตาย ชีวิตของพี่ปุ๊สอนให้เรารู้ว่าความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากในชีวิตหนึ่งที่น้อยนักนี้เราได้ สะสมคุณงามความดีไว้มากพอ แต่การตายทั้งเป็น คือตายจากคุณงามความดีขณะที่ยังมีชีวิตต่างหาก ที่น่ากลัว และความตายของพี่ปุ๊ก็เป็นการเตือนสติ พวกเราทุกคนว่าชีวิตทุกชีวิตมีความตายเป็นที่สุด รอบและเราไม่รู้เลยว่าใครจะตายตามพี่ปุ๊ไปเมื่อไร เพราะความตายไม่มีเครื่องหมาย เพราะฉะนั้นเป็น สิ่งที่เราต้องมาทบทวนกันว่าเราจะใช้เวลาของชีวิตที่ เหลือน้อยแสนน้อยนี้กัน เพื่ออะไรและอย่างไร ท้ายที่สุดนี้หากพวกเราได้เคยล่วงเกินพี่ปุ๊ด้วย กาย วาจา ใจ โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม พวกเราขอ ขมาและอโหสิกรรมต่อพี่ปุ๊มา ณ ที่นี้ และด้วยความ กตัญญูอย่างลึกซึ้งต่อ พี่ปุ๊ผู้เป็นที่รักและมีบุญคุณ พวกเราขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล โลกและความดีงามที่พี่ปุ๊ได้สั่งสมไว้ดีแล้ว อีกทั้ง กุศลกรรมทัง้ หมดทัง้ มวลทีพ่ วกเราได้บ�ำ เพ็ญร่วมกัน มา ซึง่ เราขอน้อมอุทศิ ให้พีป่ ุ๊ จงเป็นพลวปัจจัยให้ดวง วิญญาณของพี่ปุ๊ไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญ

เพียงใจ เจริญศิลป์ ในนามของคณะกรรมการบริหารและสมาชิก สมาพันธ์ครูภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในยุโรป

17


ทับทิมกรอบ โดย ชุมศรี อาร์โนลด์

18

เขียนเรื่องอาหารมาสองอย่างแล้ว มากินของหวานล้างปากกัน หน่อยดีไหม ปรกติฉันเป็นคนไม่กินขนมหวานเพราะใครๆก็หาว่าฉันดุ กินหวานๆเข้าไปอีก เดี๋ยวก็กัดคนไม่เลือกหน้า ก็ฉันแค่เป็นคนพูดเสียง ดังฟังชัด ทำ�ไมถึงกลายเป็นดุไปได้ เมื่อตอนที่สามีฉันเดินทางมาเมืองไทยเพื่อที่จะมาแต่งงานกับฉัน เป็นครั้งที่สอง (เราทำ�พิธีสมรสครั้งแรกทางศาสนาพุทธที่วัดพุทธปทีปที่ ลอนดอน ก่อนที่จะกลับมาจัดงานแต่งงานที่กรุงเทพฯในเดือนถัดไป) เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พาเขาไปบ้านห้องแถวเล็กๆของครอบครัวฉันที่แถว ตรอกจันทร์ วัดไผ่เงิน พวกเราพี่น้องห้าคน รวมทั้งเตี่ยและแม่ของฉันก็ คุยกันอย่างสนุกสนานตะโกนกันโหวกเหวกแบบไม่มีใครยอมกัน ซักพัก ฉันก็นึกได้ว่าฉันพาสามีต่างชาติมาด้วย หันไปเห็นเขานั่งซุกตัวเงียบๆ อยู่ข้างมุมห้อง ก็เลยเข้าไปถามเขาว่าคุณเป็นอะไรหรือเปล่า เขาก็ถาม กลับมาเบาๆว่าพวกคุณทะเลาะกันเรือ่ งอะไร ฉันก็งงๆว่าทะเลาะกันเรือ่ ง อะไร นี่เราแค่คุยกันเฉยๆนะ!!! ตายจริงถ้าสามีเห็นฉันทะเลาะกับพี่น้อง จริงๆ เขาคงบอกศาลาแทบไม่ทัน..... จริงๆแล้วฉันทำ�ขนมได้ไม่กี่อย่าง นับกันจริงๆ ก็แค่สี่อย่างคือ apple tart tatin, apple crumble สองอย่างนี้ลูกและสามีชอบ แล้วก็


cup cake อันนีห้ ลานชายชอบ และทับทิมกรอบ อันนีใ้ ครๆก็ชอบ ก็อย่าง ที่บอกว่าฉันเป็นคนไม่กินขนม แต่ชอบกินอาหารรสจัดแต่นานน๊านก็นึก อยากกินของหวานขึ้นมาเป็นบางครั้ง ฉันชอบขนมไทยจำ�พวกน้ำ�แข็งใส หรืออะไรก็ได้ที่ใส่น้ำ�แข็ง ตอนอยู่ลอนดอนถ้านึกอยากกินอะไร ก็ต้อง หัดลงมือทำ�เอง เมื่อตอนลูกอายุได้สามขวบ สามีต้องย้ายประเทศไปทำ �งานที่ สิงค์โปร์ทัง้ ๆทีต่ ามจริงแล้วเขาต้องไปเปลีย่ นตำ�แหน่งกับคนทีฮ่ อ่ งกง แต่ มันตรงกับปีที่อังกฤษต้องคืนฮ่องกงให้กับจีนในปี 1997 ซึ่งเขาเลือกที่จะ ให้เรามาอยู่ที่สิงคโปร์โดยไม่ให้ฉันไปดูฮ่องกงเลย เขาให้เหตุผลว่า เมื่อ ฮ่องกงกลับไปเป็นของจีน คนจีนในแผ่นดินใหญ่จะแห่กันมาอยู่เยอะ มาก อาจจะทำ�ให้มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ฉันและลูกก็เลยต้องไปอยู่สิงคโปร์ เพราะดูจะปลอดภัยกว่า พอไปถึงสิงคโปร์ก็เห็นป้ายติดเป็นระยะๆว่า “LOW CRIME DOESN’T MEAN NO CRIME” อ้าวอย่างงี้มันจะปลอดภัยจริงหรือเนี่ย!! ที่จริงบุคลิกอย่างฉันมัน น่าจะอยู่ฮ่องกงมากกว่า เพราะฉันมันล้งเล้ง ช้งเช้งอยู่แล้ว เมื่อย้ายไปอยู่ที่โน่นแล้วก็ต้องเริ่มทำ�ใจและปรับตัวให้เข้ากับสิ่ง แวดล้อม ได้พบเพือ่ นคนไทยใหม่ๆหลายคน เริม่ สังสรรค์กนั ตามบ้าน ทำ� กับข้าวแต่ละอย่างไปแชร์กัน วันหนึ่งฉันอาสาทำ�ขนม ก็เลยคิดจะทำ� ทับทิมกรอบไปอวดซักหน่อย สิ่งของที่ต้องเตรียมก็คือ แห้วกระป๋อง น้ำ� หวานสีแดงของเฮลบลูบอย แป้งมัน น้ำ�ตาลทรายสำ�หรับทำ�น้ำ�เชื่อม กะทิกระป๋องหรือกล่อง น้ำ�เชื่อมนั้นควรทำ�ล่วงหน้าและทิ้งไว้ให้เย็นเพราะถ้าต้มทับทิม กรอบในน้ำ�ร้อนแล้วตักขึ้นมาใส่ในน้ำ�เชื่อมร้อนแป้งจะหลุด

19


เอาแห้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใหญ่หรือเล็กตามใจชอบ ของฉันชอบ ใหญ่ๆประมาณ ๗-๘ กะรัต เพราะเคีย้ วได้เต็มปากเต็มคำ�หน่อย เอาแห้ว ที่หั่นแล้วไปแช่ในน้ำ�หวานแดง ทิ้งไว้นานหน่อยแห้วจะได้แดงสวย เหมือนทับทิม ที่ฉันใช้น้ำ�หวานเพราะจะได้กลิ่นหอมของน้ำ�หวานด้วย ดี กว่าใช้สีทำ�อาหาร เมื่อแห้วแดงสวยได้ใจแล้ว ก็เทใส่กระชอนสะเด็ดน้ำ� เอาแป้งมัน เทใส่ถาดเยอะๆหน่อย เทแห้วสีแดงลงไปบนถาด เอามือคลุกแป้งและ แห้วให้เข้ากัน เอาน้ำ�ใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด เอาแห้วที่คลุกแป้งแล้ว มา ใส่กระชอนที่แห้ง แล้วเคาะๆให้เศษแป้งที่ไม่เกาะแห้วหลุด แล้วเทใส่ลง ไปในน้ำ�ในหม้อที่กำ�ลังเดือด แบ่งทำ�ให้พอดี ไม่ต้องทำ�แบบม้วนเดียว จบ เดี๋ยวมันจะล้นหม้อ เมื่อแห้วลอยตัวขึ้นมาและแป้งมันดูใสไม่ขุ่น ก็ เป็นอันว่าแห้วได้อัพเกรดกลายเป็นทับทิมแล้ว ช้อนทับทิมขึ้นไปเทใส่หม้อน้ำ�เชื่อมที่เตรียมไว้ล่วงหน้า บางท่าน ทีท่ นสีแดงไม่ได้ เพราะอินกับการเมืองมากไปนิดก็เปลีย่ นน้�ำ แดงมาเป็น น้ำ�เขียวก็ได้ จะได้เปลี่ยนชื่อเป็นมรกตกรอบแทน (อ่านดีๆนะ มอระกด กรอบ ไม่ใช่มะ รก ตก รอบ นะ) เอากะทิมาเทใส่หม้อตั้งไฟให้ร้อน แต่อย่าให้เดือด ถ้ามีเทียนหอม ก็จดุ เทียนใส่ชามเล็กๆแล้วเอาไปใส่ในหม้อกะทิ ดับเทียนให้ควันขึน้ แล้ว ปิดฝาหม้อปิดเตาไฟ ก็จะได้กะทิอบเทียน สมัยนี้ในเมืองไทยมีขาย สำ�เร็จรูปอยู่ในกล่องแล้วจ้า นี่เป็นวิธีทำ�ตอนอยู่ลอนดอน พอมาอยู่สิงคโปร์ก็ต้องออกไปหาซื้อ ของที่ซุปเปอร์ ฉันเดินวนไปวนมาอยู่แถวเครื่องกระป๋อง มองหาแห้ว กระป๋อง หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พอดีมีคนจัดชั้นวางของเดินผ่านมาฉันก็ เลยถามเขาว่า ยูมแี ห้วกระป๋องไหม เจ๊เขาก็มองหน้าฉันแปลกๆแล้วพยัก หน้าให้ฉันเดินตามเธอไป เธอพาฉันไปตรงแผนกผักสดผลไม้ แล้วชี้ไป ตรงกองดำ�ๆตรงหน้า แล้วถามฉันว่า “ แห้วสดใช้ได้ป่ะ?” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันต้องใช้แห้วสดๆ ตานี้ทำ�ไงล่ะก็ต้องมาต้ม มาปอกเองมือไม้ดำ�ไปหมด บอกแล้วสู้แห้วกระป๋องไม่ได้หรอก

20


วิธีไม่ให้แยมติดขวด

สำ�หรับพวกเราคนไทยที่อาศัยอยู่ในยุโรปนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่เรามักจะนำ�ผลไม้ในฤดูร้อนมาทำ� แยมตุนเอาไว้กนิ ได้นานๆ วิธกี ารทำ�แยมทุกคนก็คงรูแ้ ละทำ�กันชำ�นาญแล้ว แต่เรือ่ งทีร่ �ำ คาญคือ ทำ�อย่างไร แยมจึงจะไม่ติดที่เหยือกที่เราแบ่งแยมที่เสร็จแล้วมาเทลงขวด ทำ�ให้เราต้องใช้ช้อนหรือทัพพีเข้าไปกวาด ให้เกลี้ยงหรือเขย่าแล้วเขย่าอีก วิธีที่จะหลีกเลี่ยงปัญหานี้คือ นำ�เหยือกไปอบในไมโครเวฟให้ร้อนก่อนจึง นำ�มาใส่แยม รับรองแยมจะไม่ติดเหยือกให้น่ารำ�คาญอีกเลย

ขอขอบคุณ

คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำ�กัด (มหาชน) ที่กรุณาบริจาคเงินสมทบค่าใช้จ่ายในการจัดทำ�นิตยสารอิเล็คโทรนิคของ สมาพันธ์ครูสอนภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในยุโรป (Federation of Thai language and culture Teachers in Europe – FETTE) 21


การผ่าตัด ริมฝีปากให้งาม โดย ศ.นพ.ศรีประสิทธิ์ บุญวิสุทธิ์

ตามตำ�ราฝรั่งการผ่าตัดสำ�หรับริมฝีปากให้สวยงามนั้น เป็นการ เสริมริมฝีปากและการแก้รอยย่นรอบปาก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะฝรั่งพอ อายุมากริมฝีปากจะบางจนมองเกือบไม่เห็น ทำ�ให้ความอิ่มเอิบที่เคยมี หายไป การเสริมริมฝีปากให้อิ่ม สามารถทำ �โดยการใช้เนื้อเยื่อของ ตนเองสอดเข้ า ไปบริ เ วณกล้ า มเนื้ อ หู รู ด รอบปากนี่ แ หละครั บ แล้ ว เนื้อเยื่อของตนเองเอามาจากไหนล่ะครับ ส่วนใหญ่ก็จะขโมยมาจาก ตำ�แหน่งอื่นเช่น การผ่าตัดเสริมริมฝีปากร่วมกับการดึงหน้า ก็จะขโมย เนื้อเยื่อบริเวณพังผืดที่ขมับ เอามาเป็นเส้นเหมือนกับก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก แล้วก็เจาะรูบริเวณมุมปากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง แล้วค่อยๆร้อยสอด เจ้าก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กนี้ผ่านเข้าไป วิธีนี้เป็นการปลูกเนื้อเยื่อให้เกิดริม ฝีปากที่เต็มอิ่มนั่นเองครับ ส่วนริมฝีปากล่างก็ทำ�เช่นเดียวกัน บางครั้ง อุโมงค์ทีจ่ ะสอดเนือ้ เยือ่ เข้าไปมันยาวเกินไป ผ่าตัดยากก็อาจจะโผล่เสีย ที่หนึ่งบริเวณกึ่งกลาง โดยเพิ่มรอยผ่าตัดเล็กๆ 22


สำ�หรับรอยย่นรอบริมฝีปากนั้น ไม่ใช่แก้ด้วย การดึงหน้านะครับ เพราะส่วนใหญ่การดึงหน้าจะไม่ ทำ�ให้เกิดผลมาถึงบริเวณรอบปากนี้ เพราะเราดึงกัน ตัง้ แต่ในไรผม กว่าจะมาถึงริมฝีปากก็หมดแรงดึงเสีย แล้วละครับ ส่วนมากจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า Chemical Peel คือใช้เคมีช่วยขัดหรือกัดผิวนั่นเอง วิธีนี้อาจ จะไม่ค่อยดีสำ�หรับพวกที่อยู่ในประเทศที่มีแสงแดด จัดอาจทำ�ให้เกิดฝ้าได้ง่าย แต่ปัญหาความงามที่ริมฝีปากชาวไทยค่อน ข้างต่างกับฝรั่ง ก็คือปัญหาริมฝีปากหนาครับ หนา อย่างเดียวกับพวกนิโกรผิวดำ� เรียกว่าปากหนาตา เล่อเหมือนเจ้าเงาะในเรื่องสังข์ทองทีเดียว ปัญหาก็ เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดรอบปากนั่นแหละครับตัวการ เจ้าเก่า ดังนั้นการที่จะแก้ไขให้ริมฝีปากที่หนากลาย เป็นเรียวปากที่บางจิ้มลิ้ม ไม่ใช่เป็นการไปตัดบุด้าน ในริมฝีปากอย่างเดียวนะครับ เพราะเนือ้ เยือ่ บุนัน้ มัน ยืดได้ แต่จ�ำ เป็นทีจ่ ะต้องเข้าไปตัดเอากล้ามเนือ้ หูรดู นี้โดยฝานออกเสียบ้าง ให้มันหายไปสักประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ การฝานนี้เป็นการฝานตามแนวยาว ของกล้ามเนื้อ การทำ�งานของกล้ามเนื้อหูรูดก็ยัง ทำ�งานได้อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ตัวกล้ามเนื้อบาง ลงไป การลงแนวผ่าตัดจะทำ�ด้านในของริมฝีปาก ซึง่ คะเนว่าเมือ่ เย็บเข้าหากันแล้ว รอยทัง้ หมดจะซ่อนอยู่ ด้านหลังของริมฝีปาก ไม่ใช่เย็บเสร็จแล้วมาโชว์รอย แผลเป็นอยู่ด้านหน้าริมฝีปาก ซึ่งแสดงว่าการวาง แผนผ่าตัดไม่ดี ถึงจะเอาลิปสติกทาเพือ่ พรางอย่างไร ก็ตาม ตัวลิปสติกยิง่ ตกลึกลงไปในร่องแผลเป็นทำ�ให้ ยิง่ เห็นชัด เมือ่ ลงรอยผ่าตัดแล้วก็ตดั เอาเยือ่ บุรวมทัง้

กล้ามเนื้อออก เป็นลักษณะเหมือนลิ่มตลอดแนว ขวางของริมฝีปากบนและล่าง จากนั้นก็จับจุดเลือด ออกให้หมดแล้วเย็บปิดด้วยไหมละลายด้านใน การดูแลหลังผ่าตัดก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก ใน 24 ชั่วโมงแรกคงรับประทานแต่น้ำ�ๆ ถัดมาอีกสอง วันก็รับประทานพวกนม พวกเครื่องดื่มที่มีไขมันได้ ถัดจากนั้นก็เป็นอาหารอ่อนจนครบ 7 วัน เมื่อแผล หายดีแล้วค่อยรับประทานอาหารได้ตามปกติ อาการ บวมอาจจะมีบ้างในระยะแรกๆ เพราะเป็นการผ่าตัด เกือบจะรอบวงของช่องปาก จึงทำ�ให้มีโอกาสบวม ได้

เท่านี้เองก็จะได้รูปปากที่เรียวงามสมใจ แต่ อย่าลืมว่าปากจะสวยอย่างไร แต่ถา้ ปากเจ็บ ปากจัด ปากตลาด ปากมาก ก็จะทำ�ให้ปากที่สวยหมดค่าไป จริงไหมครับ

23


ชราภาพโดยไม่ฟั่นเฟือน นำ�เสนอในการประชุมเพื่อสืบสานปณิธานของท่านพุทธทาสภิกขุ ณ. องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

โดย ศรีจันทร์ ศรีจรูญ แอนเดอร์สัน

24

ท่านพุทธทาสภิกขุได้เคยบรรยายเปรียบเทียบ วงจรของชี วิ ต มนุ ษ ย์ ไ ว้ ว่ า มนุ ษ ย์ มี ชี วิ ต ประมาณ 20 ปี ทีห่ นักอึง้ เพราะต้องรับผิดชอบครอบครัว เปรียบ เหมือนวัวทีจ่ ะต้องพยายามลากเกวียนไปให้ถงึ ที่ เมือ่ ผ่านวัยนี้ไปจะกลายเป็นสุนัขไม่สามารถจะนอนตา หลับให้สบายได้ ต้องลุกขึ้นเห่าหอนเพราะความห่วง ความหวง เปรียบเหมือนมนุษย์ในช่วงที่มีลูกหลาน เต็มบ้าน มีสมบัตทิ สี่ ะสมไว้ท�ำ ให้นอนตาไม่หลับ ห่วง ลู ก ห่ ว งหลาน ห่ ว งสมบั ติ และเมื่ อ มาถึ ง ในบั้ น สุดท้ายมนุษย์เปรียบเหมือนลิง กลายเป็นตัวตลกให้ ลู ก หลานหั ว เราะ เพราะเลอะเลื อ นฟั่ น เฟื อ น มี สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ คนไทยจำ � นวนไม่ น้ อ ยที่ แ ต่ ง งานกั บ คนต่ า ง ชาติ ไปตั้ ง ครอบครั ว อยู่ ใ นถิ่ น ที่ อ ยู่ ข องคู่ ค รอง มี ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูด ตลอดจนวิธีการ


คิด ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่คนไทยก็สามารถ ที่จะปรับตัวเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่เป็นแบบ ใหม่ได้โดยไม่เป็นปัญหาใหญ่ บางคนสามารถปรับ เปลี่ ย นได้ แ ม้ แ ต่ วิ ธี คิ ด ให้ เ หมื อ นประชาชนชาว ประเทศที่ไปตั้งหลักปักฐานอยู่ แน่นอนเรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อสมองได้รับอิทธิพลจากคนรอบ ด้านที่ดำ�เนินชีวิตอยู่ด้วยตลอดเวลา เรียกว่าตั้งแต่ ลืมตาตื่นก็ต้องพูดด้วยภาษาอื่น หัวสมองต้องคิดถึง ภาระประจำ�วันที่ต้องทำ�ให้สอดคล้องกับการดำ�เนิน ชีวิตที่เป็นอยู่ ห่างไกลจากขนบธรรมเนียมประเพณี ไทยออกไปทุ ก วั นๆ ถ้ามีลูกต้องเลี้ยงลูกให้ อ ยู่ ใ น สังคมของเขาได้ ดังนัน้ ตัวเองจึงคล้อยตามลูกไปด้วย ความสมัครใจในที่สุด หากธรรมชาติ ข องมนุ ษ ย์ นั้ น ถึ ง แม้ ชี วิ ต จะ เปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงไร หากเมื่อถึงเวลา ชราภาพความทรงจำ�ต่างๆจะหวนกลับมา ความจำ� สมัยแต่ดั้งเดิมจะค่อยๆกลับมาแจ่มชัดอยู่ในสมอง อีกครั้ง ส่วนเรื่องที่ถ่ายทอดเข้ามาทุกวันจากชีวิต ประจำ � วั น ที่ จ ะต้ อ งจดจำ � กลั บ ไหลริ น ออกไปจาก สมองโดยง่าย จนในที่สุดลืมหมดแม้แต่ภาษาที่เคย ใช้อยู่ในปัจจุบัน หวนกลับมาเข้าใจแต่ภาษาดั้งเดิม ของตัวเอง คิดว่าตนเองยังเป็นเด็กสมัยที่เคยเป็นลูก ของพ่อแม่ จำ�ได้แต่ชื่อของพี่น้องที่คลานตามกันมา เท่านั้น คิดว่าคนที่มาดูแลปรนนิบัตในขณะนั้นเป็น มารดา เรียกหาว่า ”แม่!” แม้ว่าคนนั้นแท้จริงแล้ว อาจเป็นลูกเป็นหลานของตนเอง ในโลกของมนุษย์ ในขณะที่ชราภาพและฟั่นเฟือนกลับจำ �ครอบครัว ของตัวเองไม่ได้ แม้วา่ จะเคยเป็นสิง่ รักสิง่ สำ�คัญทีส่ ดุ ในชีวิตมาก่อน เมื่อรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ว่าในที่สุดสภาพอย่างไรจะ

เกิดขึ้นกับตัวของเรา ควรหรือไม่ที่เราจะเตรียมตัวที่ จะเผชิ ญ บั้ น ปลายแห่ ง ชี วิ ต ให้ ดี ที่ สุ ด โดยเฉพาะ บรรดาคนไทยที่ ไ ด้ อ อกมาตั้ ง หลั ก แหล่ ง อยู่ น อก ถิ่นฐานของตัวเอง ย่อมต้องมีปัญหามากกว่าคนไทย ทั่ ว ไปที่ อ ยู่ ใ นประเทศของตั ว เอง เพราะในยามที่ ชราภาพ ยามที่อ่อนแอทั้งร่างกาย จิตใจ และความ คิด ในยามที่กลับไปเป็นตัวเองแต่ดั้งแต่เดิม แต่กลับ ต้องไปอยูใ่ นสังคมอืน่ ท่ามกลางภาษาอืน่ มีลกู หลาน ที่ท่านจำ�เขาไม่ได้ ไม่รู้จักเขา ไม่เข้าใจความเอื้อ อาทรของเขา และพวกเขาก็ไม่เข้าใจความต้องการ ของท่าน ลูกหลานบางคนอาจไม่เข้าใจแม้แต่ภาษา ดั้งเดิมของท่านที่กำ�ลังใช้อยู่ พวกเขาจึงไม่สามารถ ที่จะช่วยท่านได้ นอกจากต้องดูแลท่านเหมือนดูแล ของเก่าที่ทิ้งไม่ได้ จำ�ต้องวางแอบไว้มุมหนึ่งในบ้าน หรืออาจจะไปเสียค่าฝากท่านไว้ที่อื่น ท่านพุทธทาสภิกขุได้เคยแสดงธรรมไว้ว่า เรื่อง เช่นนี้มีวิธีป้องกันได้ เมื่อมีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่า ปล่ อ ยเวลาผ่ า นไปโดยปล่ อ ยให้ กิ เ ลสตั ณ หาเข้ า ครอบงำ�ทุกวันๆ ไม่นานย่อมจะถึงเวลาหลงเลือนฟั่น เฟือนไร้สติสัมปชัญญะ ควรที่จะสละความวุ่นวาย ทางโลกให้มาก งานการต่างๆทำ�มาพอแล้ว ควรหา เวลาที่จะฝึกสติให้ถูกวิธี เช่นการฝึกอานาปานสติอยู่ เป็นประจำ� คือการปฏิบัติด้วยการใช้ลมหายใจเป็น เครื่ อ งมื อ ฝึ ก ให้ ส ติ ไ ปจั บ อยู่ ที่ ล มหายใจเข้ า ออก หายใจสั้นก็รู้ตัว หายใจยาวก็รู้ตัว หายใจแรงหายใจ ค่อยรู้ตัวตลอดเวลา หัวสมองต้องไม่คิดสิ่งใดเลย นอกจากจังหวะการเข้าออกของลมหายใจ การรักษา จิตให้แข็งแรงนัน้ จะต้องทำ�ให้จติ อยูน่ งิ่ ไม่เคลือ่ นไหว ไปตามอารมณ์ ต่ า งๆ ซึ่ ง ตรงข้ า มกั บ การรั ก ษา ร่างกายให้แข็งแรง จำ�เป็นต้องเคลือ่ นไหวร่างกายอยู่ 25


เสมอ เมื่อสติจับอยู่ที่ลมหายใจได้นานเท่าใด ความ มั่นคงภายในย่อมเกิดได้มากขึ้นเพียงนั้น ทำ�ให้จิต สงบ พร้อมอยู่ด้วยสติปัญญาและสัมปชัญญะ คือ การรู้ ตั ว อยู่ ทุ ก ขณะ ทำ � ให้ เ รามี ส ติ อ ยู่ กั บ ปั จ จุ บั น ตลอดเวลา สติจะไม่ไปอยู่กับอดีตหรือไม่ฟุ้งเฟ้อล่อง ลอยเลอะเลือนไป การฝึกอานาปานสตินั้นสามารถฝึกได้ทันที ไม่ จำ�กัดเวลาและสถานที่ เพราะเครือ่ งมือคือลมหายใจ เข้าออกมีอยู่กับตัวแล้วทุกคน ในวัฒนธรรมอื่นๆ หรือหลักศาสนาอื่นๆก็มีวิธี ฝึกจิตให้สงบเช่นกัน อย่างเช่นการร่ายรำ�ของจีนที่ เรียกว่า “ชี่กง” เป็นการออกกำ�ลังโดยการเคลื่อนไหว ส่วนต่างๆของร่างกายช้าๆ ในขณะที่จิตจับอยู่ที่ลม หายใจเข้าลมหายใจออกตลอดเวลา ถ้าทำ�ประมาณ หนึง่ ชัว่ โมงทุกวัน นอกจากสามารถควบคุมจิตได้แล้ว ร่างกายยังแข็งแรงจากการเคลื่อนไหวอยู่เสมอด้วย การ”ละหมาด”หรื อ การสวดมนต์ ใ นศาสนา 26

อิสลาม เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถฝึกให้จิตสงบได้ อย่างดี เพราะในระหว่างที่ปฏิบัตินั้นต้องทำ�จิตให้ สงบนิ่งไม่คิดถึงสิ่งใด นอกจากข้อความที่กำ�ลังสวด อยู่ซึ่งส่วนมากเป็นการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ใน ขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวในท่าต่างๆ ยืน ก้ม เงย คุกเข่า ตลอดไปจนถึงหมอบลงกับพืน้ เมือ่ ปฏิบตั เิ ช่น นี้ตามหลักศาสนา 5 ครั้งต่อวัน เช้า สาย บ่าย เย็น และก่อนนอน ครั้งละประมาณ 10 ถึง 15 นาที เมื่อ รวมกันแล้วใช้เวลาทั้งหมดประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อ วัน แน่นอนถ้าปฏิบัติทุกวันก็เหมือนกับได้ฝึกจิตให้ เป็นระเบียบอยู่ตลอดทั้งวัน ทั้งร่างกายยังสามารถ เคลื่อนไหวได้สะดวกแม้ว่าจะอยู่ในวัยชรามากแล้ว เพราะเคลื่อนไหวลุกนั่งอยู่เสมอ เมื่อสามารถฝึกจิตให้สงบได้ด้วยวิธีใดก็ตาม ถึ ง จะมี อ ายุ ม ากสั ก เพี ย งใดย่ อ มจะรู้ ตั ว อยู่ เ สมอ เนื่องจากจิตถูกฝึกให้เป็นระเบียบอยู่ทุกวันๆ ย่อม ไม่มีทางที่จะหลงไปทางไหนได้ ในที่สุดท่านก็จะ กลายเป็นคนชราทีไ่ ม่หลงลืมฟัน่ เฟือน หากกลายเป็น สิ่ ง ประเสริ ฐ ของครอบครั ว ดั ง ที่ ท่ า นพุ ท ธทาสได้ กล่าวว่า “คนแก่ชนิดนี้มีประโยชน์มาก ที่จะตอบปัญหา ของเด็กได้ทุกอย่างทุกประการ มีไว้ในบ้านเรือนก็ เหมือนมีพระเจ้าองค์หนึ่งสำ�หรับให้แสงสว่าง”


+++++++

กฏหมายน่ารู้สำ�หรับคนไทยในต่างแดน

มรดกของบิดาที่มีทรัพย์อยู่ในประเทศไทย

ตัวอย่างคำ�ถาม

1. หากว่าพ่อตาย แต่ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร ลูกของแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับพ่อ แต่ใช้นามสกุล ของพ่อ จะมีสิทธิ์รับมรดกหรือไม่? คำ�ตอบ ลูกที่เป็นลูกของแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับพ่อ ถือว่าเป็นลูกนอกกฏหมายไม่มีสิทธิ์รับมรดก ยกเว้นแต่ว่าผู้เป็นพ่อได้ปฏิบัติดังนี้ 1. พาทั้งลูกและแม่ที่เป็นเมียที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไปที่อำ�เภอเพื่อจดทะเบียนรับรองบุตร โดยที่ แม่ของเด็กจะต้องยินยอม 2. ถึงพ่อจะไม่ได้พาไปจดทะเบียนรับรองบุตรที่อ�ำ เภอ แต่หากพ่อมีการกระทำ�ในลักษณะที่รับผิดชอบ ต่อลูก คือ ให้ใช้นามสกุลของตัวเอง ให้การศึกษาและให้ที่อยู่อาศัย มีการจัดงานเลี้ยงต่างๆ พ่อแสดงตัวว่า เป็นพ่อเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ถือว่าพ่อได้รับรองลูกนอกกฏหมายผู้นั้นแล้ว กลายเป็นผู้สืบสันดานมีสิทธิ์เหมือน ลูกที่ชอบด้วยกฏหมาย 2. หากภรรยาที่ชอบด้วยกฏหมายของพ่อ หรือลูกที่ถูกกฏหมายของพ่อ โยกย้ายทรัพย์สมบัติโดยที่เรา ไม่รู้จะมีผลดังนี้ 1. ผู้ที่มีสิทธิ์รับมรดกได้ยักย้ายหรือปิดบังมรดกเท่ากับจำ�นวนที่ตนจะได้ หรือปิดบังไว้มากกว่าส่วนที่ ตนควรจะได้ ทั้งๆที่รู้ว่าต้องแบ่งให้ผู้อื่นด้วย คนนั้นจะต้องถูกกำ�จัดไม่ให้ได้รับมรดกเลย 2. ถ้าผู้มีสิทธิ์จะได้ปกปิดทรัพย์มรดกไว้น้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ คนนั้นจะโดนจำ�กัดไม่ให้ได้รับในส่วน ที่ยักย้ายหรือส่วนที่ปิดบังเอาไว้ หากคุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดก และผู้มีสิทธิ์คนอื่นได้ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก คุณสามารถยื่น คำ�ร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำ�สั่งกำ�จัดผู้มีสิทธิ์ที่ยักย้ายทรัพย์มรดกไม่ให้รับมรดก ต้องยื่นคำ�ร้องต่อศาล ในถิ่นที่ทรัพย์มรดกตั้งอยู่ หรือศาลในเขตที่ผู้กระทำ�ผิดอยู่ แปลงจาก กฏหมายควรรู้สำ�หรับคนไทยในต่างแดน สำ�นักงานอัยการสูงสุด 27


พิมพ์วดีสื่อวิญญาณ ตอนที่ 5 เรื่องจริง...จากปากของนายแพทย์อาจินต์ บุญญเกตุ

เห็นจะเป็นเพราะว่าวันนั้นไม่ได้พักผ่อนและ สนทนาพาที กั น มาก พอค่ำ �อาการปวดก็ม าเยื อ น คราวนี้ปวดบริเวณเหนือคิ้วข้างขวามากที่สุด แล้ว เลยลามไปปวดตั้งแต่ขมับไปกึ่งกลางกระหม่อม มัน ทั้งแสบทั้งปวดเหมือนเอาไฟมาอัง ปวดอยู่นาน ผม นึกไปถึงหนูพิมพ์พยายามเข้าสมาธิไปมันก็ไม่ทุเลา หนูพิมพ์มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาผมก็พูด ว่า “มาแล้วหรือลูก” สองคนนั่งเฝ้าฟังอย่างเคย แต่ คราวนี้พยาบาลที่ตึกมาฟังด้วย ผมถามว่า “เมื่อไหร่จะหาย หรือหมดเวรกรรมเสียที มันทร มานจริงๆ” หนูพิมพ์ตอบว่า “อี ก สี่ ปี ถึ ง จะพบหมอที่ รั ก ษาให้ ห ายขาดได้ เมื่อนั้นก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอดไป” ผม 28

ถามต่อไปว่า “แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ในตอนนี้ เพราะตอนนี้ปวดมาก” เธอตอบว่า “พรุ่งนี้ พ่อจะต้องถูกผ่าตัดอีก คราวนี้จะเป็น ครั้งสุดท้ายสำ�หรับงวดนี้ และจะเป็นการผ่าตัดที่ ทารุณที่สุดในชีวิตของพ่อ” ผมก็ทวนคำ�พูดของเธออีกว่า “พรุง่ นีพ้ อ่ จะต้อง ถูกผ่าตัดอีกหรือ แล้วจะทารุณที่สุดด้วยหรือ” ทุกคนในห้องเงียบมีแต่ความเวทนาสงสารผม ภรรยาผมเชื่อสนิทถึงกับน้ำ�ตาไหล ด้วยความรันทด ใจ ผมนั่งเอาศีรษะกดไว้ที่ขอบเตียง บางทีก็อยากจะ เอากระแทกลงไปที่เหล็กหัวเตียงเพราะความเจ็บ ปวด จิตใจตอนนี้แทบจะอดทนไม่ได้ พยาบาลมา ฉีดยาให้หลับตามที่หมอเวรสั่งก็หลับไป พอตื่นขึ้นก็


ปวดอีกแทบตลอดคืน ผมนึกเบื่อตัวเองแทนอาจารย์ ที่ท่านตั้งใจรักษา อยากจะตายๆเสียให้มันรู้แล้วรู้ รอดไป จะได้ไม่ทรมาน แต่มันยังไม่หมดกรรมก็ต้อง ทนอยู่ต่อไป รุ่งเช้าเจ็ดนาฬิกาอาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมตาม เคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล ท่านก็ยืนนิ่งอยู่ ครู่หนึ่ง แล้วก็หันมาพูดกับผมว่า “เดี๋ยวแปดโมงเช้าเอาไปผ่าอีกที ทีนี้จะเลาะ ประสาทฝอยออกหมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมา ปวดอีกแล้ว” ทุกคนนิ่ง นิ่งด้วยความเวทนา นิ่งด้วยความ ประหลาดใจ และเชื่อว่าทุกครั้งที่หนูพิมพ์วดีมาบอก ต้องไม่ผิด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ ข่าวก็ออกจากปากนี้ไป ปากโน้นไปปากนั้น ว่าวิญญาณของหนูพิมพ์มาบอก ล่วงหน้าทุกทีที่จะมีการผ่าตัด แล้วก็จริงทุกทีไป พอราวๆแปดนาฬิ ก ารถเข็ น คั น นั้ น ก็ ม าอี ก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด ผมจึงถาม พยาบาลว่าทำ�ไมไม่ฉีดยา ก็ได้คำ�ตอบว่า “คราวนี้อาจารย์จะผ่าสดๆ ไม่ใช้ยาฉีด ไม่ใช้ ยาชาใดๆทั้งสิ้น” ผมก็ขึ้นนอนเปลไปกับเขา พอถึง ห้องผ่าตัด อาจารย์ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้ประสาทฝอยเส้นไหนมันเสีย มันถึงปวด ถ้าใช้ยาสลบยาชาแล้วมันก็เหมือนถอนฟัน เลยไม่รู้ ว่าซีกไหนปวด เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงจะผ่าตัดโดย ไม่ต้องใช้ยาชาเลย ขอให้ทนเอาหน่อย” ผมก็นึกว่า กรรม กรรมแน่แท้ เพราะแม้แต่ สั ต วแพทย์ เ ขาจะทำ� การผ่ าตั ด เขายั งใช้ ย าระงั บ ความรู้สึก ระงับความปวด นี่ผมเป็นคนแท้ๆยังโดน แบบนี้ ว่าแล้วท่านก็เอามีดกรีดลงบนคิ้วขวาเรื่อยไป ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บปวดร้องครวญคราง

ออกมา ท่านอาจารย์ก็บอกว่า เจ็บก็ร้องไปตำ�รวจไม่ จับหรอก แล้วท่านก็ผ่าไป เอาคีมจับเส้นประสาทที ละเส้ น พอเส้ น ประสาทถู ก คี ม คี บ มั น ก็ ป วดไปถึ ง หัวใจ ผมร้องออกมาดังกว่าวัวกว่าควายที่กำ�ลังถูก เฉือด เพราะการผ่าตัดแบบนี้เวลาดึงเส้นประสาทที ไรก็จะสะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดหัว ไว้ทั้งที่พันธนาการไว้อย่างเหนียวแน่น ผมถูกผ่าไป ดึงประสาทไป ร้องจนสุดเสียงเพราะความเจ็บและ ความปวดทนทุ ก ข์ ท รมานอยู่ อ ย่ า งนั้ น กว่ า ชั่ ว โมง อาจารย์ท่านพยายามดึงประสาทออกให้มากที่สุด แต่ทำ�ได้ยากเพราะมันติดกันนุงนังเหมือนกับวุ้นเส้น ที่เราเอามายำ�กิน ผมร้องโอดโอยดังที่สุดในชีวิต เจ็บ ที่สุดในชีวิต ปวดที่สุดในชีวิต และทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับที่หนูพิมพ์บอกไว้ไม่มีผิด และสุดท้ายผม ก็สลบไปเองเพราะความเจ็บปวด มารูส้ กึ ตัวอีกทีเมือ่ พบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนมีสายน้ำ�เกลือรุงรัง มี สายยางอยู่ที่จมูกที่ปาก ความปวดนั้นยังไม่หายแม้ จะหยุดผ่าตัดแล้ว แต่ความเจ็บปวดก็ยังมีอยู่ มันสุด ที่จะทนทานจนต้องร้องและครางออกมาดังๆ... ค่ำ� นั้ น ก็ ยิ่ ง ปวดแผล ปวดระบบประสาท ปวดระบบ สมอง เมื่อยไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยได้เป็นมาก่อน ผม ถูกฉีดยาระงับปวด ยานอนหลับ และหลับไปทั้งสาย ยางต่างๆ จนมาตื่นอีกทีก็ดึกโข เห็นจะราวๆสองยาม หรือกว่า จำ�ได้ว่าวันที่ถูกผ่าตัดชดใช้วิบากกรรมนั้น เป็นวันพุธ ที่จำ�ได้เพราะท่านอาจารย์ได้บอกว่า วัน พฤหัสพรุ่งนี้ไม่ว่าง ท่านติดประชุมเช้าผ่าเสียวันพุธ นี่แหละ พอตื่ น ขึ้ น มาดั ง กล่ า วได้ พ บภรรยาและ พยาบาลที่นั่งเฝ้าอยู่ ผมถามทั้งสองคนว่า ผมยังไม่ ตายอีกหรือ มันทารุณที่สุดแล้ว... สองคนนั้นน้ำ�ตา 29


ไหลเพราะความสงสารแล้ ว ผมก็ ห ลั บ ตาภาวนา พุทโธๆ ระงับเวทนา พอหลับตาสักครู่หนูพิมพ์ก็เอา มือมากุมตรงที่แผลผ่าตัดและที่ปวดอยู่ ผมก็ถาม เธอว่า “พ่อหมดเวรหรือยัง” เธอตอบว่า “พ่อชดใช้ กรรมตามที่เขาอาฆาตไว้มากแล้ว ต่อไปนี้จะดีขึ้นๆ” ผมถามต่ออีกว่า “พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม” เธอตอบว่า “ไม่มีอีก แล้ว” “แล้วจะปวดโรคประสาทนี้อีกไหม?” เธอตอบ ว่า “ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก จะมีอีกสี่ปี” “แล้วจะให้พ่อทำ�อย่างไรต่อไป?” “ทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อยๆ ขออโหสิ เขาเสีย ภาวนาแล้วส่งใจไปแผ่ส่วนกุศลให้เขาเส มอๆน่ะพ่อนะ” หนูพิมพ์ตอบ “พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่” “วันอาทิตย์นี้แหละจ้ะ พ่อ” “ถ้ายังไม่หายจะกลับไปได้อย่างไร” เธอตอบว่า “ก็ยังมีกรรมเบาๆหลงเหลืออยู่อีก ถึงจะเป็นก็ ไม่รุนแรงเหมือนคราวนี้จ้ะ” “เวลาพ่อกลับบ้านแล้วจะเรียกให้หนูไปหาจะ ได้ไหม” เธอตอบ “หนูจำ�ต้องลาไปเกิดแล้ว และเป็นผู้ชายจ้ะ... แล้วลูกเข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่เจ้าทางเขาห้ามจ้ะ” ภรรยาผมและนางพยาบาลนั่งฟังและจดตาม อย่างเคย “หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้จะไม่มาอีกแล้วจ้ะ พ่อ พ่ออย่าลืมทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา และเจ้า กรรมนายเวรทั้งหลายนะพ่อนะ” เสียงหนูพิมพ์แว่วๆ แต่ชัดเจนติดมาจนบัดนี้ 30

แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ว่า หนูพิมพ์ไม่ปรากฏกายให้ เห็นอีกเลย อาการปวดของผมก็บรรเทาเบาบางลงๆ แม้จะไม่หายขาดก็ยังดีกว่าเก่า... ผมนอนอยู่อีกสาม วัน พอถึงวันเสาร์ตอนเช้าอาจารย์อุดมมาเยี่ยม ท่าน ไม่เคยหยุดงานเลย แม้วันหยุดราชการ ผมรายงาน ว่าอาการปวดเบาไปแยะ แต่ก็ยังมีอยู่อีกไม่หายขาด อาจารย์ก็บอกว่า “เรายังเข้าไปทำ�ลายศูนย์ประสาทของมันไม่ได้ เมื่อไหร่ทำ�ลายได้หมดเมื่อนั้นก็หายขาด พรุ่งนี้วัน อาทิตย์จะกลับบ้านก่อนก็ได้ พักฟืน้ ต่อไป เผือ่ มีอะไร ค่อยว่ากันใหม่” ผมลุกขึ้นนั่งกราบในความกรุณาแล้วท่านก็ไป ผมดีใจที่จะได้กลับบ้านในวันพรุ่งนี้เช้า ทั้งๆที่แผล ผ่าตัดต่างๆยังไม่หาย ท่านบอกว่า “ทำ�แผลเอง เอา ไหมออกเองก็แล้วกัน เป็นหมอนี่” คื น นั้ น ผมนอนหลั บ ได้ ดี ม าก อาการปวด ประสาทมีรบกวนนิดหน่อย ตอนที่หลับก็หลับสนิท ไม่ มี อ ะไรมาแผ้ ว พาน ในใจผมก็ เ ข้ า สมาธิ ต่ อ ไป เรื่อยๆ เมื่อรู้สึกตัวเช้าวันอาทิตย์ ผมถวายบังคมลา สมเด็จพระราชบิดา ลาพยาบาล ลาแพทย์ที่ช่วย เหลือ ก่อนกลับบ้านผมถือรูปหนูพิมพ์วดีไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่วัดมกุฎกษัตริยารามก่อน เพื่อ ไปดูศาลาพิมพ์วดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ ผมลงจากรถเดินไปที่ศาลาพิมพ์วดี... แต่ขณะ นัน้ มีประตูเหล็กปิดอยู่ ผมได้แต่ยนื ข้างนอก ตาก็จอ้ ง ดูรูปหนูพิมพ์ที่ผนังศาลา โดยมีภรรยาผมคอยดูอยู่ ใกล้ๆด้วย ผมยกมือขึน้ อุทศิ ส่วนกุศลให้เธอ และบอก เธอว่าจะทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อสวดมนต์ก็ จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวันจนกว่าผมจะตายไป และขอให้พบกันเป็นพ่อลูกทุกๆชาติ...


ผมขอจบเรื่ อ งนี้ ด้ ว ยความเชื่ อ ว่ า จิ ต และ วิญญาณนั้นมีจริง เพราะผมได้ประสบกับตัวมาแล้ว ดังที่เล่าให้ท่านฟังนี้... ทุกคนในรถทัวร์นั้นเงียบกริบ เมื่อผมเล่าเรื่องจบลง คุณเสนาะ นิลกำ�แหง สมาชิก ผู้หนึ่งในคณะที่เราไปเที่ยวเล่นกอล์ฟกัน ได้ยืนขึ้น พูดว่า “ผม เสนาะ นิลกำ�แหง ...คุณหมออาจินต์ อาจ จะยังไม่รู้จักผมละเอียดนัก เพราะเพิ่งเดินทางมา เที่ยวกันเป็นครั้งแรก ผมขอเรียนว่าเด็กหญิงที่เป็น โรคอ้วนแล้วเสียชีวิต ที่ตึกวิบูลลักษณ์นั้นเป็นเรื่อง จริง เพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของผม เธอ เสียชีวิตที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคอ้วน เนื่องจาก ฮอร์โมนผิดปกติ ไม่มีทางรักษาให้หายได้เมื่อ พ.ศ. 2502 และจำ�นวนพี่น้องที่เธอบอกกับคุณหมอเป็น ความจริงทุกประการครับ ... ผมขอยืนยันและไม่ตอ้ ง ไปถามที่ไหนอีกแล้ว” ผมก็ยกมือไหว้ท่าน เพราะท่านแก่กว่าผมแล้ว เรียนท่านว่า “ผมเพิ่งรู้ว่า คุณเสนาะเป็นบิดาของหนู โรคอ้วนตาย วันนี้และเดี๋ยวนี้เอง” เรื่องนี้อาจจะมีอคติอยู่บ้างพอสมควร... ขอ ท่านผู้อ่านทุกคนจงได้รับกุศลผลบุญนี้ทุกท่าน และ หากข้อเขียนนี้เกิดประโยชน์ในทางการบุญการกุศล แก่ท่านแม้แต่น้อยนิดก็ตามโดยทั่วกัน และหวังว่า ท่านผู้อ่านทุกคนคงมีใจเมตตาอุทิศส่วนกุศลของ ท่านที่บำ�เพ็ญกุศลแล้วแก่หนูพิมพ์วดี โหสกุล เพื่อที่ เธอจะได้ประสบสุขต่อไปทุกชาติทุกภพ ...ในฐานะที่ เธอเป็นผู้ให้ความสว่างว่า“บาปบุญมีจริง กรรมและ ผลแห่งกรรมมีจริง” แก่ผมและทุกท่าน พอผมเล่าเรื่องจบลง ทุกคนในรถทัวร์คันนั้น เงียบสนิทกันทุกคน หันหน้ามามองหน้าผมและคุณ

เสนาะ นิลกำ�แหง ซึ่งท่านเดินมาที่ผม ตรงที่ผมยืน พูด แล้วพูดว่า “แม้ผมจะเชื่ออะไรยาก แต่เรื่องนี้ ทำ�ให้ได้คิดและได้อะไรอีกแยะ คุณหมอน่าจะพิมพ์ เรื่องนี้ไว้ให้ได้อ่านกันหลายๆคน เพราะประจักษ์ พยานหลายๆคน ยังมีชีวิตอยู่รวมทั้งคุณหมอด้วย ที่ จากไปก็มีเพียงสองท่านคือ คุณทวี บุณยเกตุ และ คุณชิต สุวรรณปัทม์ แต่ผู้อื่นยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ คุณ เสรี โหสกุล กับภรรยา ท่านศาสตราจารย์หมออุดม และตัวผมเอง ถ้าทิ้งไว้ไม่เผยแพร่ให้ทราบทั่วๆกันไว้ อีกหน่อยเรื่องก็จะเงียบหายไป แล้วจะเกิดเรื่องใหม่ ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงมาแทน แบบเรื่อง นางนาคพระโขนง ก็เป็นไปได้” ต่อคำ�ถามที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้ ผมขอตอบว่า ผมน่ะเชื่อเรื่องวิญญาณมีจริง จิตมีจริง และกรรมดี กรรมชั่ ว มี จ ริ ง และผลแห่ ง กรรมดี ก รรมชั่ ว ก็ ต อบ สนองกับเราจริงด้วยครับ “ชั่วแต่ว่าจะช้าหรือจะเร็วเท่านั้นครับ”

31


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.