01
MONDAY 133 / MONDAY TOUCH 01 / 14 JULY 2014
TOUCH SCREEN
Feature
THE LIST 10 อาการเจ็บสุดพิสดารในโลกลูกหนัง
SCOOP APPY FOR LIFE
SCOOP LIFE WITH NO AD
COVER STORY เวียน ว่าย ตาย REBORN
MONDAY 133 / MONDAY TOUCH 01 / 14 JULY 2014
TOUCH SCREEN
Column
(วันจันทร์) แด่คนช่างสรร สุนทรียะแห่งการจับคู่
POWER BANK ความรกร้างว่างเปล่า ของแบงก์สหภาพยุโรป
SPOIL อาจเลวเพราะแสนเข็ญ หยาบช้าเพราะขมขื่น
A DAY IN THE LIFE ขอให้เธอเป็นเธอตลอดไป
ขอแค่ใจเราเหมือนกัน
CHARACTER BOOK CONE
ตอนที่ 1 — เริ่มต้นชีวิตใหม่
MONDAY TOUCH
CONTRIBUTORS
อุทิศ เหมะมูล
ตวัน ชวลิตธำ�รง
นั ก เขี ย นคุ ณ ภาพเจ้ า ของผลงานหนั ง สื อ รางวัลซีไรต์อย่าง ลับแลแก่งคอย ทว่านักเขียนหนุม่ คนนี้ไม่เพียงแต่เขียนนิยายเท่านั้น เขายังเขียนถึง ภาพยนตร์ ดนตรี วรรณกรรม ซึ่งรสนิยมในการ เสพรสต่างๆ ของเขาต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ทีมงาน ของเราเป็นปลืม้ และตืน่ เต้นสุดๆ เมือ่ อุทศิ ตกปากรับ คำ�มาร่วมเสิร์ฟเมนูเด็ด ๆ ให้ กั บ MONDAY TOUCH ของเรา
นักร้องหนุ่มที่หลายคนรู้จักผ่านเพลงเศร้า มากมายในนาม ‘ปอย Portrait’ ซึ่งถ้าใครได้รู้จัก ตั ว จริ ง ของนั ก ร้ อ งหนุ่ ม คนนี้ จ ะรู้ เ ลยว่ า เขาเป็ น นักอ่านและนักดูหนังตัวยง และ MONDAY TOUCH เพิ่ ง อิ น ไซด์ ม าอี ก ว่ า เขายั ง ชอบดู ซี รี ส์ อ ย่ า งมาก อี ก ด้ ว ย ประกอบกั บ การที่ นั ก ร้ อ งหนุ่ ม เองก็ มี ฝีไม้ลายมือในการเขียน เราจึงชักชวนเขามาสปอยล์ ซีรีส์ซะเลย!
แบ๊งค์ งามอรุณโชติ
jiranarong
อาจารย์ นั ก เศรษฐศาสตร์ ห นุ่ ม อารมณ์ ดี ฝีปากสนุกและชอบจิบไวน์คนนี้ไม่ได้มีแต่ผลงาน วิชาการเท่านั้น แต่เขายังเคยออกหนังสือเรื่องสั้น เกี่ยวกับความรักมาแล้วด้วย! แบ๊งค์เป็นอาจารย์ รุ่ น ใหม่ ไ ฟแรงที่ ช อบเดิ น ทางและสนุ ก กั บ การ ลองทำ�สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เมื่อเราออกปากชวน ให้เขียนถึงแบงก์ (ธนบัตร) แน่นอนว่ามีหรือทีแ่ บ๊งค์ จะปฏิเสธ!
บรรณาธิ ก ารศิล ปกรรม นิตยสาร a day ผู้ ว าดรู ป เป็ น งานอดิ เรกบ่ อ ยเสี ย จนคล้ า ยเป็ น งานหลัก หากใครเคยติดตามผลงานของชายผู้นี้ ทั้งทางโลกโซเชียลฯ และภาพประกอบตามหน้าสิ่งพิมพ์ (อาทิ ภาพประกอบทั้งหมดในหนังสือ In My Life ของ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์) จะสัมผัส ได้ ถึ ง ความนุ่ ม นวลในลายเส้ น ที่ ส ะท้ อ นความ ช่างคิดในการครีเอตตัวละครอันแสนน่ารัก และ ตอนนี้เขารับปากจะมาสร้างตัวละครให้เราได้ยิ้ม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
editor
MONDAY MORNING
ระบบสัมผัส แม้ไม่ใช่คนช่างสังเกต เราย่อมเห็นได้ชัดว่าอะไรหลายอย่างบนโลกใบนี้ มีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปเป็นระบบสัมผัส โทรศั พ ท์ มื อ ถื อ แทบทุ ก รุ่ น ที่ ไ ม่ ไ ด้ เจาะตลาดผู้ สู ง วั ย ล้ ว นกลายเป็ น หน้าจอทัชกรีนกันทั้งนั้น เด็กเสิร์ฟในร้านอาหารแทนที่จะถือปึกกระดาษ ก็กลายเป็นอุปกรณ์อจั ฉริยะ ทีเ่ พียงสัมผัส ออร์เดอร์กจ็ ะไปปรากฏบนหน้าจอ ในครัว หรือแม้กระทั่งในโลกแห่งการอ่านที่หลายคนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม จากสัมผัสจากหน้ากระดาษ กลายเป็นการสัมผัสหน้าจอ เทคโนโลยีอาจทำ�ให้เราหลงคิดว่า ‘ระบบสัมผัส’ นั้นเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน บนโลกมนุษย์ ทั้งที่แท้ จริงแล้วเราใช้ระบบนี้กันมานานนม ตั้งแต่มนุษย์ คนที่สองเกิดขึ้นบนโลก และได้พบหน้ามนุษย์คนแรก ต่ า งกั น แค่ ใ นวั น วานอุ ป กรณ์ ร องรั บ การสั ม ผั ส ไม่ ใช่ บ านกระจกใส หากแต่เป็นผิวกาย และอวัยวะต่างๆ ไม่วา่ จะเป็นตา หู จมูก ลิน้ ก่อนทีท่ งั้ หมด ทั้งมวลจะไปแสดงผลอยู่ที่สมอง ที่หัวใจ-ไม่ใช่หน้าจอ ในแต่ละวัน เราพบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมายทั้งที่อยากพบเจอและ ไม่คาดคิด ได้พบเจอผู้คนทั้งที่อยากอยู่ด้วยกันไปนานๆ และปล่อยผ่าน เป็นคนแปลกหน้า ได้ยินบทเพลงทั้งที่คุ้นเคยและเพิ่งเคยฟังเป็นครั้งแรก ได้กินอาหารทั้งที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถันและอาหารขยะที่ทำ�หน้าที่เพียงให้ อิ่มท้อง ใช่, เราพบเจอสิ่งต่างๆ ในชีวิตเรามากมายเหลือเกิน แต่มีไม่มากหรอก ที่เมื่อเราสัมผัสมัน แล้วมันจะ ‘สัมผัส’ เรา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นประเภทผ่านมา แล้วผ่านไป ผมจึงชอบคำ�ว่า ‘สัมผัสใจ’ เมื่อความรู้สึกนี้เกิดกับสิ่งใดหรือใครคนหนึ่ง ในยุคสมัยที่ผู้คนกล่าวโทษเทคโนโลยีว่าทำ�ลายสุนทรีย์ในการใช้ชีวิต เราสบตาคนข้างๆ น้อยกว่าสบตาภาพโปรไฟล์คนบนจอ เราฟังเพลงจาก อุปกรณ์เคลือ่ นทีม่ ากกว่าพาตัวไปอยูใ่ นการแสดงสด เรานัดกันทางจอโทรศัพท์ เพื่อมานั่งกดโทรศัพท์นัดใครอีกคนในวันถัดไป หรือที่ใกล้ตัว, เราเริ่มอ่าน หนังสือผ่านหน้าจอแทนการอ่านหนังสือเป็นเล่ม ผมเห็นด้วยกับถ้อยคำ�เหล่านั้นแต่ไม่ทั้งหมด
จริงอยู่การใช้เทคโนโลยีมากเกินไปมันกัดกินชีวิตและจิตวิญญาณเรา ในบางแง่มมุ หากแต่มองด้วยหัวใจกว้างขวาง บางทีมนั อาจไม่ส�ำ คัญว่าระบบ สัมผัสนั้นจะทำ�งานผ่านหน้าจอหรือโลกจริง แต่อยู่ที่เราสามารถสัมผัสถึง บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้จอแก้วนั้นได้หรือไม่ และสิ่งสิ่งนั้นสามารถสัมผัสใจเราได้ หรือเปล่า ถ้าใช้เพียงนิ้วถูไปถูมาบนหน้าจอแล้วไม่มีสิ่งใดตกตะกอนอยู่ในหัวใจ มันคงเป็นระบบสัมผัสที่ล้มเหลวไม่น้อย เขียนถึงบรรทัดนี้ผมก็คิดถึงประโยคหนึ่งจากวรรณกรรมเยาวชนเล่มที่ ผมรักอย่าง เจ้าชายน้อย ที่ว่า “สิ่งสำ�คัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา” เช่นเดียวกัน, สิ่งสำ�คัญไม่อาจสัมผัสได้ด้วยมือ จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์ bell.jiradet@gmail.com twitter.com/jirabell
feature
SCOOP text_พีรพิชญ์ ฉั่วสมบูรณ์
จะเป็นยังไงถ้าโลกนี้ไม่มีโฆษณา? กลายเป็นเรื่องปกติของคนยุคนี้ไปแล้วสำ�หรับวิถีชีวิต ที่ต้องรับโฆษณาปริมาณมหาศาลเข้ามาในชีวิตประจำ�วัน ทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว จะอยู่ในบ้านก็เจอโฆษณากระหน่ำ� มาจากทั้งโทรทัศน์และวิทยุ ออกจากบ้านก็ยังเจอโฆษณา ถาโถมทั้งจากป้ายบิลบอร์ดและหน้าจอต่างๆ และถึงแม้ หนีจากโลกความจริงเข้าไปหมกตัวอยูใ่ นโลกเสมือนแล้ว ก็ยงั มีโฆษณาตามมาระรานไม่เลิก ไม่วา่ จะเป็น Facebook, Youtube หรือแอพพลิเคชั่นที่ไม่น่าทำ�ธุรกิจได้อย่าง Instagram ก็ยังมีแม่ค้ามาฝากร้านด้วยค่ะกันอย่างสม่ำ�เสมอ จนบางที ก็รู้สึกว่าโลกนี้กำ�ลังถูกครอบงำ�โดยระบบทุนนิยมอันชั่วร้าย ไปแล้ว และนานวันไปเราก็ยิ่งเบื่อและเกลียดโฆษณามากขึ้น จนอยากให้หายไปจากโลกนี้... แล้วถ้าโลกนี้ไม่มีโฆษณาจริงๆ ล่ะ? หลายคนคงจะกู่ร้องด้วยความดีใจที่จากนี้จะไม่มีอะไร มาขั ด จั ง หวะระหว่ า งนั่ ง ดู ล ะครหลั ง ข่ า วอี ก ต่ อ ไปแล้ ว หลายๆ คนคงได้อา่ นนิตยสารทีม่ แี ต่เนือ้ หาอัดแน่นเต็มพิกดั ชนิดไม่ต้องพลิกหน้าหนี และอีกหลายคนคงเดินทางด้วย รถไฟฟ้าได้อย่างสบายหู สบายตา และสบายใจมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วหากโลกนี้ไม่มีโฆษณา ชีวิตเรา อาจจะไม่แฮปปี้อย่างที่คิดไว้ก็เป็นได้
page 2/5
TELEVISION เริ่ ม จากสิ่ ง ใกล้ ตั ว ที่ เ ปิ ด ดู กั น แทบทุ ก บ้ า น อย่างละครโทรทัศน์ทหี่ ลายๆ คนอาจจะบอกว่าทีนี้ จะได้ดูอย่างจุใจซะที ไม่ต้องมีใครมาตัดอารมณ์ ตอนทีน่ างร้ายจะตบกัน หรือตอนทีพ่ ระเอกนางเอก จะได้กนั อีกต่อไป แต่แท้จริงแล้วเราอาจจะได้เปลีย่ น ไปดูดว้ ยความขุน่ ใจแทน เพราะช่วงละครหลังข่าวนี้ ถือเป็นช่วงที่สร้างรายได้ให้กับสถานีโทรทัศน์ได้ มากที่ สุ ด ของวั น การลงโฆษณาระหว่ า งละคร หลังข่าวบางช่องอาจมีคา่ ใช้จา่ ยพุง่ ขึน้ ไปแตะระดับ ครึง่ ล้านบาทต่อหนึง่ นาที ถ้าหากไม่มโี ฆษณาเข้ามา ตรงนี้เราอาจจะต้องจ่ายเงินเพื่อกรี๊ดพระเอก บ่น นางเอก และเกลียดตัวร้ายในละครหลังข่าวก็เป็นได้
page 3/5
FILMS บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ก็ยอมหนีออกไปดูหนัง ในโรงแถวบ้านแทนก็ได้วะ อย่างน้อยก็ได้ดูโปรดักชั่นอลังการ เสียงระเบิดตูมตาม และไหนๆ จะต้องจ่ายเงินแล้ว เราก็เอามา จ่ายให้กบั เบาะนุม่ ๆ ในโรงหนังทีเ่ ราจ่ายสตางค์ให้มนั เป็นประจำ� อยู่แล้วดีกว่า ความคิดนี้อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีก็ได้ เพราะโรงหนังก็ถือ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยโฆษณา จากข้อมูลพบว่า หนึ่งในเครือโรงหนังยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยมีรายได้จากการ โฆษณาประมาณ 14% ซึ่งนอกจากโฆษณาบนหน้าจอที่เราได้ดู กันก่อนดูหนังแล้ว รายได้ส่วนนี้ยังรวมไปถึงป้ายโฆษณาทั้ง เล็กใหญ่ และโฆษณาที่ถูกฉายตามจอต่างๆ ในบริเวณโรงหนัง ดูจากตัวเลขแล้วเหมือนจะเป็นรายได้ที่ก้อนไม่ใหญ่นัก แต่ถ้า บอกว่ารายได้ก้อนนี้มีมูลค่าอยู่ในหลักพันล้านก็ดูจะเป็นรายได้ ก้อนโตอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าเราอาจจะดีใจที่ได้ดูหนังกันได้ แบบไม่ต้องรำ�คาญโฆษณาซะที แต่ถ้ารายได้ในส่วนนี้หดหายไป ค่ าตั๋ ว หนั งที่ เราเคยบ่ น กั น ว่ ามั นแพงนักแพงหนาก็จะมีราคา พุ่งกระฉูดขึ้นไปมากกว่าเดิมแน่นอน
ป้ายโฆษณาในเมืองไทยจะมีว ิธีคิดภาษีแตกต่างกันไปตาม ใช้แต่ภาษาไทยล้วนนั้นจะมีเร ภาษาที่ใช้ ป้ายที่ ตการเสียภาษีถูกที่สุด เขยิบ ขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นป้าย ที่ใช้ภาษาไทยและภาษาต่างป ระเทศรวมกันโดยมีภาษาไทย วาง ส่วนป้ายที่เอาภาษาต่างประเ ทศวางไว้เหนือภาษาไทยหรือ ไว้เหนือภาษาต่างประเทศ ไม่มีภาษาไทยเลยนั้น จะเสียภาษีแพงที่สุด
page 4/5
PRINTS ลองข้ามมาฝั่งสื่อสิ่งพิมพ์อย่างนิตยสารที่หลายคนบ่นกันว่าบางเล่ม นี่มันเป็นนิตยสารหรือว่าแคตตาล็อกสินค้า นี่ได้เงินค่าซื้อจากเราไปแล้ว ยังจะได้เงินจากโฆษณาอีก แบบนี้มันจะค้ากำ�ไรเกินควรมากไปรึเปล่า? เรื่องนี้หากพูดมาแล้วหลายคนคงตกใจ เพราะจริงๆ แล้วนิตยสาร ส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่ในบ้านเรานั้นขายราคาต่ำ�กว่าทุนกันทั้งนั้น ต้นทุน นิตยสารในมือของเราหนึ่งเล่มนั้นมีมากกว่าเงินที่เราจ่ายไปเสียอีก โดย บางเล่มนั้นมีต้นทุนสูงถึง 3-4 เท่าของราคาขาย ซึ่งแน่นอนว่าผู้บริโภค ส่วนใหญ่คงจ่ายกันไม่ไหวกับนิตยสารราคามหาโหดเหล่านี้ ทางออกที่ดีที่สุด ก็คือ การหาโฆษณามาลงและนำ�รายได้ส่วนนี้ไปหักลบกับต้นทุนการผลิต ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาก็คือ ราคาหน้าปกนิตยสารที่คนทั่วไปยังสามารถ ซื้อหากันได้อย่างปกติสุข advertorial page
เรตราคาโฆษณาในนิตยสารหนึ่งเล่มนั้น จะมีราคาแตกต่างกันไปในแต่ละหน้า ส่วนที่แพงที่สุดคือปกหลัง เพราะยังไม่ทันเปิดดูข้างในก็สามารถเห็นได้แล้ว รองลงมาคือปกหน้าด้านใน เพราะเป็นส่วนแรกที่เจอ เมื่อเปิดเข้ามาในนิตยสาร
page 5/5
จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้นอาจพูดได้ว่า หากโลกนี้ ไม่ มี โ ฆษณาภาระค่ า ใช้ จ่ า ยของสื่ อ ต่ า งๆ เกื อ บทั้ ง หมดนั้ น จะมาลงอยู่ที่ผู้บริโภคแบบเราๆ นั่นเอง แต่หากคิดว่าสิ่งนี้มัน แย่สุดๆ แล้ว ยังมีสิ่งที่แย่กว่าก็คือการที่ผู้ผลิตสื่อหลายเจ้า อาจจะไม่สามารถดำ�เนินการต่อไปได้จนต้องปิดตัวลง ตัวอย่าง ก็มีให้เราเห็นกันอยู่มากมายโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่โลกนี้ไม่มี โฆษณาจริงๆ อย่างเช่น นิตยสารดนตรี DDT หรือคลื่นวิทยุ ขวัญใจเด็กแนวอย่าง Fat Radio ที่ต้องปิดตัวกันไปด้วยเหตุผล ทางธุรกิจ ซึง่ นัน่ หมายถึงคอนเทนต์ดๆ ี ทีถ่ กู ผลิตออกมาจากสือ่ เหล่านี้ก็ต้องหายไปเช่นกัน ก่อนหน้านีเ้ ราอาจมองว่าโฆษณานัน้ เป็นเพียงตัวสร้างกำ�ไร ของนายทุนเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วโฆษณาก็ยังเป็นส่วนที่ช่วย ขับเคลือ่ นให้ผลงานสร้างสรรค์ยงั คงถูกผลิตออกมา และบางครัง้ ตัวโฆษณาเองนี่แหละที่เป็นหนึ่งในผลงานชั้นเยี่ยมจนสามารถ ขับเคลื่อนสังคมนี้ให้ดีขึ้นได้เช่นกัน อาจจะถึงเวลาที่เราต้องมองโฆษณาในแง่มุมใหม่ๆ ว่า ที่จริงโฆษณาก็ไม่ได้มีแต่ส่วนที่น่ารังเกียจเหมือนอย่างตัวร้าย ในละครหลายๆ เรื่อง บ่ น ได้ พ อหอมปากหอมคอ แต่ อ ย่ า ไปอยากใช้ เ ปลื อ ก ทุเรียนตบตีมันเลย
feature
COVER STORY text_จริงจัง จอมแก่น, พีรพิชญ์ ฉั่วสมบูรณ์
เวียน ว่าย ตาย
คุณเชื่อเรื่องการกลับมา ‘เกิดใหม่’ ไหม การเกิดใหม่ทเี่ รากำ�ลังจะพูดถึงอยูน่ กี้ ม็ หี ลาย ประเด็นที่เข้าข่าย อย่างเช่น เรื่องเกือบจะตาย อยู่แ ล้วแต่ก็รอดมาได้ใ นนาที สุด ท้ าย ส่ ว นใหญ่ คนที่ ร อดตายมาหมาดๆ มั ก จะพู ด ว่ า เหมื อ น เกิดใหม่เลย ถ้าคอบอลเราจะเห็นเหตุการณ์โกง ความตายได้บ่อยๆ จากการยิงประตูช่วงทดเวลา เจ็บ หรือในนาทีสุดท้าย นั่นแหละที่เราหมายถึง การโกงความตาย (ซึ่งจะพบเห็นได้บ่อยๆ ในยุคที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำ�ทีมแมนยูฯ) ส่วนใน แวดวงการธุ ร กิ จ เราจะได้ เ ห็ น การโกงความตาย ในรูปแบบของการรีแบรนด์ หรือการปล่อยสินค้า อะไรออกมาสั ก อย่ า ง แล้ ว สิ น ค้ า ตั ว นั้ น ก็ เ กิ ด ดังเปรีย้ งไปแบบไม่รเู้ รือ่ ง จนจากเดิมทีบ่ ริษทั จะเจ๊ง อยู่แล้วก็พลิกฟื้นกลับคืนมาดังไปเลย (ต้องดังยาว นะ ดังสั้นนั่นอีกเรื่องนึง) หลายๆ เรื่องก็เป็นการ เกิดใหม่เหมือนใส่สูตรไว้แล้ว ซึ่งเรามีเรื่องราวการ ‘Reborn’ หลายเรื่อง มาเล่าให้ฟังกันมันๆ
page 2/14
ในแวดวงธุรกิจแบรนด์ก็คือหัวใจสำ�คัญ จริงๆ แล้วเรื่องแบรนด์ไม่ใช่เรื่องของโลโก้บริษัทแต่เพียง อย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างคือแบรนด์ได้ทั้งนั้น นักกีฬาก็คือ แบรนด์ (คนรู้จัก LA Galaxy เพราะ เบคแฮมไปร่วมทีม) นักแสดง ก็มีแบรนด์ (หนังบางเรื่องดังเพราะชื่อนักแสดง) สินค้าชิ้นที่ โดดเด่นของบ้างบริษัทก็เป็นแบรนด์ขององค์กรนั้นๆ (iPhone ไงล่ะจ๊ะ) หรือบางองค์กร คนก็ยังเด่นกว่าแบรนด์ (อิชิตัน กับ เฮียตัน ใครดังกว่ากันเอ่ย) ฉะนั้นแล้วเราจะตีกรอบว่าแบรนด์ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ โลโก้ คงไม่ใช่ ทุกสิง่ ทุกอย่างคือแบรนด์ทงั้ นัน้ และอยูท่ วี่ า่ แบรนด์ นัน้ จะดังด้วยการสร้างแบรนด์แบบไหน (น้องมันแกว นมคุณธรรม ก็สร้างแบรนด์ดว้ ยนม ชัดไหมถ้ายกตัวอย่างแบบนี)้ แต่ในวันหนึง่ ทีแ่ บรนด์เกิดเสือ่ มมูลค่าขึน้ มา อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยเปลีย่ น, มีแบรนด์ใหม่เข้ามาแทนที,่ โปรดักต์ไม่เป็นทีน่ ยิ ม หรืออยากสร้าง ภาพลักษณ์องค์กรใหม่ ฯลฯ เหตุผลต่างๆ เหล่านี้จึงนำ�มาสู่การ ‘Rebrand’ เพื่อให้ องค์ ก ร หรื อ ตั ว โปรดั ก ต์ (นมน้ อ งมั น แกวก็ คื อ โปรดั ก ต์ น ะ) กลับมา ‘Reborn’ อีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่เราบอกไป การรีแบรนด์เป็นวัฏจักรของแวดวงธุรกิจ ไม่มีแบรนด์ไหน อยูไ่ ด้ยงั่ ยืนในโลกธุรกิจหากไม่มกี ารปรับตัว ชัดเจนทีส่ ดุ ทีเ่ ราเห็น ว่าเสื่อมถอยลงไปเพราะปรับตัวช้าก็คือ Nokia ที่ไม่ยอมรับ Android เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สุดท้ายก็เอาตัวเองไม่รอด จนต้องขายกิจการให้ไมโครซอฟต์ไปนั่นแหละ ซึ่งเมื่อถึงวันที่ แบรนด์ เ สื่ อ มถอย ทุ ก องค์ ก รจะมี วิ ธี คิ ด คร่ า วๆ ในการที่ จ ะ รีแบรนด์ดังนี้
page 3/14
พิจารณาความผิดพลาด การรีแบรนด์ตัวเองเหตุผลหลักมาจากความ ล้มเหลวในเชิงธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ หรือผู้นำ�อาจจะ พิจารณาแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องรีแบรนด์สักทีก่อนที่ องค์กรจะดิ่งเหว เมื่อมองเห็นถึงความผิดพลาด ทีอ่ าจจะเกิด หรือเกิดไปแล้ว จึงเริม่ ต้นเข้าสูก่ ารปรับ โหมดครั้งใหญ่ขององค์กร
ยกเครื่องใหม่หมด การรีแบรนด์คอื การเปลีย่ นวิธคี ดิ หรือเปลีย่ น โปรดักต์ใหม่ เพื่อขยายธุรกิจ ขยายกลุ่มผู้บริโภค ไปจนถึงปรับเปลี่ยนผู้นำ�องค์กร เช่น จากองค์กร ทีย่ ดึ ติดในการขายกาแฟอย่างเดียว อย่างสตาร์บคั ส์ ก็ปรับโลโก้อีกครั้ง โดยบอกโลกว่า สตาร์คบัคส์ วั น นี้ ไ มได้ ข ายแค่ ก าแฟ แต่ มี อ ย่ า งอื่ น ขายด้ ว ย ผ่านโลโก้ที่ตัดคำ�ว่า Coffee ออกไป
เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันด้วยสิ่งใหม่ บางทีการรีแบรนด์ก็ไมได้หมายถึงเอาของเก่าทิ้งไปแล้วใส่ ของใหม่มาให้ในทันที แบบนัน้ อาจมีโอกาสพังสูง ในหลายองค์กร ใช้วิธีการที่เรียกว่าเหล้าเก่าในขวดใหม่ อาจจะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ แต่ยังขายโปรดักต์เดิม รวมไปถึงขยายไลน์โปรดักต์ใหม่ เช่น สบู่หอมนกแก้ว ที่รีแบรนด์มาเป็น Parrot ที่ขยายโปรดักต์ไลน์ ตั้งแต่ระดับธรรมดาไปจนถึงพรีเมี่ยมอย่างสบู่เหลว Parrot Gold น้ำ � อั ด ลมไบเล่ ก็ เ ป็ น อี ก กรณี ศึ ก ษาที่ น่ า สนใจ เพราะ เสี่ยตัน เพิ่งเทคโอเวอร์ไป ก็มั่นใจได้ว่าเราจะได้เห็นน้ำ�อัดลม ของคุณตันที่มาพร้อมแพ็กเกจใหม่ แต่คาดว่าน่าจะยังขายความ คลาสสิกของไบเล่ได้เห็นแน่ๆ
page 4/14
ความทันสมัย ถ้ารีแบรนด์แล้วจะย่�ำ อยูก่ บั ทีก่ ค็ งไม่ท� ำ หลายแบรนด์ปรับตัวเพือ่ ให้เข้า กับยุคสมัย เพือ่ ความอยูร่ อด และปรับภาพลักษณ์ของโปรดักต์ใหม่หมด อาทิ ในแวดวงธนาคารบ้านเราก็มกี ารปรับเปลีย่ นองค์กรเพือ่ ความทันสมัยด้วยการ ปรับลุค ปรับชื่อใหม่ให้ทันสมัย แม้บริการหลักๆ ก็คือการให้บริการฝากเงิน และกู้เงิน แต่สร้างความต่างเข้าไปเช่น ธนาคารกสิกรไทย เปลี่ยนมาเป็นชื่อ KBank (ดูอินเตอร์ทันที) และสร้างจุดแข็งด้วยการเป็นองค์กรแรกที่เข้าถึงกลุ่ม ธุรกิจ SMEs โดยใช้รายการ SME ตีแตก สร้างความต่างของแบรนด์ และยัง เป็นการปรับตัวทีถ่ อื ว่าทันสมัยมากๆ ทีเ่ ลือกใช้รายการทีวสี ร้างแบรนด์ อีกทัง้ ยังเป็นเจ้าแรกๆ ที่มีการธุรกิจผ่าน Application หรือ ธนาคารทหารไทย (TMB) ก็ปรับภาพตัวเองใหม่ให้เป็นธนาคาร ทีท่ นั สมัย ผ่านระบบการบริหารจัดการต่างๆ แม้กระทัง่ โลโก้ และสำ�หรับลูกค้า เงินฝาก TMB ใช้เทคโนโลยีอย่าง TMB ME มาเป็นจุดขาย โดยให้ลูกค้า ทำ�ธุรกรรมทางการเงินด้วยตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ต
เจาะตลาด MASS สินค้าที่ขายดีที่สุดคือทำ�ให้ขยายฐานลูกค้า ให้มากที่สุด นั่นจึงเป็นที่มาของการปรับลุคของ สินค้าให้กระจายไปยังตลาดระดับ Mass Product ได้ กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ AUDI AG ที่แต่เดิม เป็นแบรนด์รถระดับพรีเมีย่ ม มีคแู่ ข่งคือ เมอร์ซเิ ดส เบนซ์ และบี เ อ็ ม ดั บ เบิ้ ล ยู ออดี้ ไ ม่ ไ ด้ รี แ บรนด์ เพราะตัวเองตกต่ำ� แต่รีแบรนด์เพื่อที่จะขยายฐาน ซึ่งในปี 2552 ออดี้ได้ดีไซน์โลโก้ใหม่ด้วยการทำ�ให้ วงแหวนสี่ ว งชั ด ขึ้ น และเล่ น แสงเงา รวมไปถึ ง ชื่ อ ตั ว หนั ง สื อ ให้ บ างเบาลงในทุ ก มิ ติ เ พื่ อ ความ โฉบเฉี่ยวและเตรียมพร้อมที่จะขยายตลาดไปสู่จีน และอเมริ ก าให้ ม ากขึ้ น ขณะที่ ก ารปรั บ องค์ ก ร ออดี้ได้สื่อสารกับ Brand Manager ทั่วโลก ถึงการ รีลอนช์ Corporate Design ใหม่ทั้งหมดในโอกาส ที่ อ อดี้ ค รบรอบ 100 ปี ผ่ า นทั้ ง ทางเวิ ร์ ก ช็ อ ป บุก๊ เล็ต คลิป แอนิเมชัน่ และสือ่ ดิจทิ ลั การรีแบรนด์ ของออดี้ ได้รางวัล Rebrand 100 Awards ประจำ� ปี 2554 การันตีด้วย
นี่คือเหตุผลต่างๆ ที่จะบอกว่าทำ�ไม แบรนด์ทั้งหลายต้อง รีแบรนด์ คุณเชือ่ เรือ่ งการกลับมา ‘เกิดใหม่’ ไหม ก่อนจะตอบคำ�ถามนี้ ลองไล่สายตา อ่านบางตัวอย่างในแวดวงต่างๆ ที่น่าสนใจ ว่าพวกเขากลับมาเกิดใหม่ได้อย่างเท่ๆ ยังไง บ้าง และบางที คุณอาจได้คำ�ตอบใหม่ในใจ
page 5/14
SPORT
การเกิดใหม่ของยอดทีมแห่งลอนดอน ในอดีตสโมสร เชลซี แห่งลอนดอนนั้นมีผลงานลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ได้มีผลงานดีเด่อะไร เป็นเพียงสโมสรระดับกลาง ที่ตั้งแต่ก่อตั้ง สโมสรมาก็ยงั ไม่เคยได้สมั ผัสกับคำ�ว่าหัวตารางและแชมป์ลกี สูงสุด ของอังกฤษ จุดเปลี่ยนสำ�คัญคือการมาถึงของเสี่ยหมี โรมัน อับราโมวิช เศรษฐีจากรัสเซีย ที่เข้ามาฮุบกิจการของเชลซี ไปในปี 2546 ต่อจากเจ้าของเดิม เคน เบตส์ ในราคา 140 ล้านปอนด์ หลั ง จากวั น นั้ น สิ ง ห์ บ ลู ก็ ค ล้ า ยตายแล้ ว เกิ ด ใหม่ มี ก าร เปลี่ยนแปลงขึ้นกับเชลซีในทุกจุด ทั้งในระดับรายละเอียดและ ภาพกว้าง นำ�มาซึง่ ความสำ�เร็จ ซึง่ เป็นสิง่ ทีเ่ ชลซีไม่คนุ้ เคยมีมาก่อน ก้าวขึ้นเป็น Big 4 อย่างเต็มภาคภูมิ ในรายละเอียดของการเกิดใหม่, เชลซีมีการปรับเปลี่ยน โลโก้ทีมกลับไปอิงกับโลโก้ยุคดั้งเดิมในปี 2005 เพื่อบ่งบอกทุกคน ว่านี่คือทีมที่มีประวัติศาสตร์เพื่อก้าวสู่เชลซียุคใหม่อย่างสมบูรณ์ ในแง่การสร้างทีม เสีย่ หมีเลือกมูรญ ิ โญ่มาเป็นโค้ชและประเคนเงิน ให้มหาศาลเพื่อช้อปปิ้งนักเตะที่อยากได้ เพื่อยกระดับทีมใน ระยะเวลาอันสั้น และมีวิธีสร้างการตลาด ขยานฐานแฟนบอล ไปยังประเทศต่างๆ รวมไปถึงออกทัวร์มายังเอเชีย โดยเฉพาะ ประเทศไทยทีม่ ฐี านแฟนบอลมากขึน้ ต่อมาโมเดลนีถ้ กู นำ�มาใช้กบั หลายสโมสรในยุโรปที่มีเศรษฐีมาทุ่มซื้อทีม อาทิ แมนเชสเตอร์ซิตี้, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง สโมสรยักษ์หลับแห่งฝรั่งเศส หรือ สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในบ้านเรา การบริหารงานของเสีย่ หมี เป็นการบริหารงานแบบนักธุรกิจ จริงๆ ที่เข้ามาเพื่อทำ�ธุรกิจ ไม่ใช่ทำ�เพราะรักในฟุตบอล หลายคน ปรามาสว่าการเข้ามาของเสี่ยหมีถูกมองว่าใข้เงินซื้อความสำ�เร็จ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำ�คัญสำ�หรับผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง “ก็ แชมป์ ไ หมล่ ะ แล้ ว ที ม ไหนบ้ า งไม่ ใช้ เ งิ น ” เสี่ ย หมี่ ว่ า อย่างนั้น
page 6/14
FILM
การกลับมาของ Robert Downey Jr. เดิมที โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ก่อนจะมารับบทโทนี่ สตาร์ค ใน IRON MAN ชีวิตแกบัดซบที่สุดเลย เพราะนอกจากจะประสบ ปัญหาเรือ่ งยาเสพติดจนติดคุกแล้ว แกยังโดนเมียและลูกทิง้ วงการ ฮอลลีวู้ดก็ไม่ขอสังฆกรรมใดๆ แต่ เมล กิ๊บสัน เพื่อนต่างวัยที่เล่น เรื่อง Air America มาด้วยกันช่วยเหลือทุกอย่าง ส่วนป๋าเมล กิ๊บสัน ช่วงนั้นเป็นขาขึ้น ทำ�อะไรก็รุ่งเรื่อง และป๋าเมล ก็ลองดันๆ RDJ ให้เล่นหนังของเพื่อนสนิท เชน แบล็ก เรื่อง Kiss Kiss Bang Bang โดยป๋าเมล ยอมเอาชื่อเสียงตัวเองการันตีว่า RDJ เป็นคนดีแล้ว หลังจากวันนั้นชีวิตของ RDJ ก็รุ่งโรจน์เป็นพลุวันปีใหม่ หนังที่แกเล่น RDJ ก็ใส่ไปสุดพลังไซย่า จนคนพากันชมว่าเป็นการ กลับมาเล่นหนังที่เหมือนทำ�ให้ RDJ เกิดใหม่ แล้วแกก็ได้เกิดใหม่ สมใจ เพราะต่อมา Studio Marvel แกก็ใส่พานบท โทนี สตาร์ค มาถวายให้ RDJ ถึงมือ และก็ดังมาจนถึงวันนี้ กราบขอบคุณ ป๋าเมล งามๆ สำ�หรับโอกาส ให้ RDJ ช่วงนี้ป๋าเมล ก็ชีวิตตกต่ำ� และ RDJ ก็เป็นฝ่ายกลับมาช่วยดันป๋าเมลเหมือนเดิมทุกอย่าง นี่แหละคนรู้คุณคนไม่ตกอับแน่นอน
page 7/14
THAI SERIES ตั๊ก-บริบูรณ์ RETURNS
อีกคนทีอ่ ยากพูดถึงคือตั๊ก-บริบรู ณ์ จันทร์เรือง นักแสดงหนุ่มที่โด่งดังมาตั้งแต่เด็กจากการประกวด นายแบบโดมอนแมน ตั๊กดังตั้งแต่เด็กๆ และชีวิตอยู่ ในวงการบันเทิงมาตลอด ด้วยความที่ประสบความ สำ�เร็จเร็วก็เลยเกิดอาการหลงตัวเอง ลืมตัว อินดี้ ถึงขัน้ ไม่มากองถ่ายเพียงเพราะว่า อินดี้ ไม่อยากเล่น (โคตรอินดี้) สุดท้ายผลกรรมที่ตามมาคืออินดี้มากๆ ก็ไม่มีจะแหลก งานไม่เข้า ตั๊กเลยตัดสินใจไปอยู่ อังกฤษและหันหลังให้วงการบันเทิง ตัง้ ใจจะไปใช้ชวี ติ ที่นั่น แต่ จ๊อบ-นิธิ สมุทรโคจร ลงทุนบินไปหาตั๊ก ถึ ง อั ง กฤษ และโน้ ว น้ า วทุ ก อย่ า งจนตั๊ ก กลั บ มา และยังเป็นป๋าดันร่วมกับ นีโน่-เมทนี บุรณศิริ ช่วยหา งานให้ตั๊ก ขณะเดียวกันตั๊ก บริบูรณ์ ก็ค้นพบคาแรกเตอร์ ใหม่ของตัวเอง จากเดิมที่เล่นเป็นคนหล่อธรรมดาๆ และเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นพระเอกได้ ด้วย สรีระ และหน้าตาที่ไม่ใช่สมัยนิยมเท่าไหร่ เขาเลยดึง ความตลกที่ตัวเองมีมาเป็นคาแรกเตอร์หลัก (ไม่ได้ หมายความว่ า ตั๊ ก ไม่ ต ลกนะครั บ ตั๊ ก เป็ น คนตลก ที่เข้าขั้นคนบ้ามานานแล้ว แต่เพิ่งมาแสดงออกใน วันทีร่ เี ทิรน์ ) วันนีเ้ ราเปิดช่องไหนก็เจอแต่ตกั๊ บริบรู ณ์ สามารถบอกได้อย่างเต็มปากเลยว่า มีวันนี้ เพราะ พี่จ๊อบ พี่โน่ ให้ สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า ฝันให้ไกล! ไปให้ถึง นะครับทุกคน
page 8/14
MOTOR
กระทิงเปลี่ยวลัมโบร์กินี กลับชาติมาเกิด
มองเผินๆ ดูแล้วรถสปอร์ตโคตรจะหรูแปะตรากระทิงดุ ราคาหลักล้านบาทนีน้ า่ จะขายได้ และขายได้ดใี นหมูค่ นมีอนั จะกิน แน่ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กระทิงดุตัวนี้เคยเกือบสูญพันธุ์ มาแล้ว โดยแรกเริ่มนั้นลัมโบร์กินี คือบริษัท Lamborghini Trattori S.p.A. ผลิตรถแทร็กเตอร์และรถไถนาขาย และไม่น่าจะใกล้เคียง กับการผลิตรถสปอร์ต (แทร็กเตอร์กับสปอร์ต โคตรจะห่างไกล ความจริง) แต่เจ้าของบริษทั ฟอร์รชุ ชิโอ ลัมโบร์กนิ ี ชอบรถสปอร์ต เลยซื้ อ รถสปอร์ ต ที่ ฮิ ต ๆ ช่ ว งนั้ น มาขี่ ร อบๆ โรงงานแล้ ว เกิ ด ความคิดว่ากูก็ทำ�ได้ ก็เลยผลิตรถสปอร์ตมาแข่ง โดยมีคู่แข่งคือ เฟอร์รารี่ หลังจากปล่อยรถคันแรก Lamborghini 350 GTV ออกมา ก็ได้การตอบรับดีมาก แกได้ใจก็เลยขายโรงงานผลิต รถแทร็กเตอร์และรถไถนาทิ้งเหมือนทุบหม้อข้าว แล้วหันมาผลิต รถสปอร์ตเต็มๆ เพราะใจรักล้วนๆ แต่ในทีส่ ดุ บริษทั ก็ไปไม่รอด (แค่ใจรักอย่างเดียวมันไม่พอไง) แถมเขายังโดนฟ้องล้มละลาย บริษัทลัมโบร์กินี ก็เลยถูกขาย ไปเรื่อยๆ หลายมือ เป็นเวลาร่วมๆ 35 ปีที่ลัมโบร์กินีหายไป จากสารบบ สุดท้ายมาธาดอร์ ขี่วัวมาช่วยลัมโบร์กินีให้ฟื้นจาก สภาพใกล้ตายก็คือ AUDI AG ซึ่งออดี้มาช่วยดูแลและพัฒนา ผลิตภัณฑ์จากวิศวกรและทีมงานจากเยอรมัน พร้อมลงทุนไป มหาศาล (ตัวเลขเท่าไหร่ไม่รู้แต่เขาบอกว่า ‘มากๆ’) จนให้กำ�เนิด สองกระทิงดุที่ทำ�ให้ลัมโบร์กินี เกิดใหม่อีกครั้ง ‘Lamborghini Murcielago’ และ ‘Lamborghini Gallardo’ ถ้าไมได้ ออดี้ และ น้องกระทิงสองตัวนี้ ป่านนี้ ลัมโบร์กินี คงมีแต่ชื่อ
page 9/14
IT
iPhone โทรศัพท์ที่พัฒนามาจากความกาก เรื่องมันเริ่มจาก พี่สตีฟ จ็อบส์ หรือท่านศาสดาของเรา น่ะครับ ได้บอกว่าจะทำ�โทรศัพท์ เพราะแกดันไปเห็นว่ายอดขาย iPod เยอะกว่ายอดขายของสินค้าอื่นๆ ของ Apple (คือแกแข่ง กับตัวเองนี่หว่า) คิดหัวแทบแตกสุดท้ายก็เลยเกิดไอเดียว่าจะทำ� อะไร ระหว่างโทรศัพท์กับแท็บเล็ต ตอนแรก Apple ร่วมมือ กับ MOTOROLA ทำ�มือถือ MOTOROLA ROKR ปรากฎว่า ห่ ว ยแตก ผิ ด คอนเซ็ ป ต์ ทุ ก อย่ า งที่ ตั้ ง ใจไว้ ใ ห้ เ ป็ น โทรศั พ ท์ แห่งอนาคต แต่เอาเข้าจริงๆ มันคือโทรศัพท์ธรรมดาๆ พี่จ็อบส์ ถึงกลับบอกว่านีม่ นั เป็นการดีลทีล่ ม้ เหลวๆ สัสๆ กูไม่นา่ ไปร่วมมือ กับบริษทั ห่วยๆ อย่างโมโตโรล่าเบย เอามันไปกุดหัว!! (อันหลังไม่มี ผมอิน) โปรเจ็กต์โทรศัพท์เหมือนจะล่ม พี่จ็อบส์เตรียมหันไปทำ� แท็บเล็ต แต่ทีมงานเบรกว่าอย่าเลยทำ�โทรศัพท์ดีกว่า พร้อมเอา มือถือเครื่องแรกของ Apple กับ MOTOROLA มาให้ดู พร้อม โน้ ม น้ า วด้ ว ยเหตุ ผ ลสารพั ด สุ ด ท้ า ยแล้ ว พี่ จ็ อ บส์ ก็ เ ดิ น หน้ า ทำ�โทรศัพท์โดยการไม่ยึดติดกับ MOTOROLA ROKR โดย Apple ขอทำ�เองทุกขั้นตอน (ตอนแรกให้โมโตฯ ทำ�ฮาร์ดแวร์ให้) พี่จ็อบส์ เดินหน้าวิจัยโทรศัพท์เครื่องเดียวกว่า 30 เดือนหมดเงินไป 4,500 ล้านบาท สุดท้ายเราก็ได้ iPhone ออกมาสู่สายตาประชาชนใน ปี 2007 และในที่สุด iPhone ก็กลายเป็นโทรศัพท์ที่เปลี่ยนโลก ของการสือ่ สารไปตลอดกาล และเป็นการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ โทรศัพท์ที่ห่วยแตก (พี่จ็อบส์พูดนะ เราป่าว) ให้กลายเป็นโคตร โทรศัพท์ที่เปลี่ยนเทรนด์ทุกสิ่งอย่างในโลก ศาสดาเจ๋งจริงๆ
page 10/14
MANGA
Attack on Titan ดัง Animation แท้ๆ วงการการ์ตูนญี่ปุ่นก็คล้ายๆ กับ The Star และ Academy Fantasia ของไทยที่แต่ละปีก็มีนักร้องหน้าใหม่โผล่ออกมาเยอะ มาก แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมากๆ เช่นเดียวกับวงการการ์ตูน ญี่ ปุ่ น ที่ แ ต่ ล ะปี มี ก าร์ ตู น และนั ก วาดการ์ ตู น เกิ ด ใหม่ ม ากมาย แต่ถ้าไม่แจ่มจริง โอกาสเกิดก็คงยาก โดยเฉพาะการ์ตูนที่ลายเส้น ไม่โดนใจวัย Gen Y โอกาสที่จะดังก็ยาก ยิ่งถ้าเนื้อเรื่องกาก อย่าหวังว่าจะดัง แต่การ์ตูนเรื่อง Attack on Titan นั้นกลับดัง และมีกระแสอย่างมากในญี่ปุ่น แม้ลายเส้นจะดูเพี้ยนๆ เทียบกับ การ์ ตู น เรื่ อ งอื่ น ๆ ถื อ ว่ า โดนแดกขาดแต่ เ นื้ อ เรื่ อ งมั น เข้ า ขั้ น ‘มันฉิบหาย’ (คือชมนะ) แต่ก็ยังไม่ถือว่าดังอะไรมากมาย แต่... วันหนึ่ง Attack on Titan ก็ได้กลายเป็น Animation และ ก็ดังสิครับ พี่น้อง...เนื่องจากจุดแข็งที่ Attack on Titan มีอยู่แล้วคือเนื้อเรื่อง ที่เข้มข้น พอมาเป็นแอนิเมชั่นก็ถูกวาดภาพใหม่จนสวยขึ้นมากๆ ดนตรีก็สนุก เนื้อเรื่องก็มัน แป๊บเดียวเท่านั้นฮิตติดลมจนนักอ่าน คนไทยติดงอมแงม ความฮิตนั้นก็ส่งผลให้หนังสือการ์ตูนขายดี สินค้าที่มีไททัน มาเกี่ยวข้องก็ขายดี (รถยนต์ Subaru ยืมไททัน ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ในญี่ปุ่นเลยล่ะ) นี่ยังไม่รวมนักอ่านประเทศ อื่นๆ อีกนะที่หลงการ์ตูนเรื่องนี้แบบโงหัวไม่ขึ้น
page 11/14
FASHION
เมื่อ UNIQLO แต่งตัวใหม่ ยูนิโคล่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการเป็นร้านเสื้อผ้าผู้ชายชื่อ Men’s Shop OS ในจังหวัดยามากุชิ ก่อนทีจ่ ะเปลีย่ นมาขายเสือ้ ผ้าลำ�ลอง ทั้งหญิงและชายในชื่อ Unique Clothing Warehouse ซึ่งถูกย่อ ลงมาเหลือแค่ UNIQLO ที่เราคุ้นเคยในเวลาต่อมา ในปี 1991 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำ�ลังถดถอย UNIQLO ตัดสินใจ ย้ายการผลิตไปที่จีน ทำ�ให้เสื้อผ้าของ UNIQLO กลายเป็นเสื้อผ้า ที่มีราคาถูกแต่คุณภาพดี ทำ�ให้กลายเป็นที่นิยมในหมู่คนญี่ปุ่น ตอนนั้ น เป็ น อย่ า งมาก จนกระทั่ ง ในปี 2001 UNIQLO ก็ ไ ด้ ก้าวกระโดดออกไปเปิดร้านที่ต่างแดนเป็นครั้งแรกในประเทศ อังกฤษ โดยตั้งสาขามากถึง 21 สาขาทั่วดินแดนผู้ดี แต่ในปี 2003 UNIQLO ก็ต้องปิดสาขาเหล่านั้นลงถึง 16 แห่ง ด้วยความที่ การตลาดแบบทีเ่ คยประสบความสำ�เร็จในญีป่ นุ่ นัน้ ไม่สามารถใช้ได้ ในอังกฤษ ส่งผลให้ UNIQLO เกือบล้มละลายจากการลงทุนครั้งนี้ แต่ในปี 2008 UNIQLO ก็กลับฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งด้วยฝีมือ ของครีเอทีฟนามว่า คาชิวะ ซาโตะ ที่จัดการผ่าตัดแบรนด์เพื่อลบ ภาพลักษณ์เก่าของเสื้อผ้าโรงงานทิ้ง และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ โดยใส่ความป๊อปแบบญีป่ นุ่ ลงไปแทน ผลงานทีเ่ ด่นชัดทีส่ ดุ คือการ ออกแบบโลโก้ ใ หม่ ทั้ ง สองรู ป แบบ (ตั ว อั ก ษรญี่ ปุ่ น และโรมั น ) ที่สามารถสื่อถึงความสวยงามแบบสากลด้วยกราฟฟิกแต่ก็ยังแฝง ความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้ในคราวเดียวกันด้วยความเรียบง่าย และด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เอง UNIQLO จึงกลับฟื้น ขึ้นมาจากวิกฤติได้อีกครั้ง จากแบรนด์ที่บริหารผิดพลาดจนเกือบ ล้ ม ละลายกลายมาเป็ น แบรนด์ เ สื้ อ ผ้ า ที่ ป ระสบความสำ � เร็ จ มากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก และส่งผลให้เจ้าของแบรนด์อย่าง คุณทาดาชิ ยานาอิ กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes เมื่อปี 2012
page 12/14
BRAND
เมื่อ APPLE ไม่ใช่เพียงชื่อผลไม้ ต่งตัวใหม่ เราเชื่อว่าผู้อ่านของเราทุกคนคงรู้จักและคุ้นเคยกับสตีฟ จ็ อ บส์ และแบรนด์ ค อมพิ ว เตอร์ ที่ เ ค้ า ปั้ น ขึ้ น มาอย่ า ง Apple เป็นอย่างดี อย่างน้อยตอนนี้อุปกรณ์ที่ผู้อ่านหลายๆ คนกำ�ลังถือ อยู่ ใ นมื อ ก็ น่ า จะเป็ น ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ที่ เ กิ ด มาจากการสร้ า งสรรค์ ของศาสดาคนนี้ล่ะนะ บริษัท Apple Computer ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1976 โดยบุคคล ชื่ อเดี ยวกั น สองคน นั่ น คื อสตี ฟ จ็ อบส์ และสตีฟ วอซเนีย ก มีผลิตภัณฑ์ประเดิมวงการชิ้นแรกคือเครื่องคอมพิวเตอร์ Apple I หลั ง จากนั้ น ก็ ไ ด้ ทำ � การพั ฒ นาต่ อ ยอดคอมพิ ว เตอร์ รุ่ น ใหม่ ๆ ออกมา จนกระทั่ ง ในปี 1985 จ็ อ บส์ ไ ด้ ถู ก บั ง คั บ ให้ ล าออก จากตำ � แหน่ ง CEO ของบริ ษั ท ตั ว เอง เนื่ อ งจากภาวะวิ ก ฤติ ของบริษัทในขณะนั้นที่ถูกบริษัทคู่แข่งอย่าง IBM มาชิงตลาด ไปจนกำ�ไรลดฮวบ หลังจากจ็อบส์ออกไป Apple ก็ทำ�ท่าว่าจะดูดีอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งปี 1995 บริษัทนี้ก็ต้องเจอกับวิกฤติอีกครั้งเมื่อระบบ ปฏิ บั ติ ก าร Windows 95 ของไมโครซอฟต์ ที่ มี ค วามล้ำ � หน้ า และครบถ้วนที่สุดในสมัยนั้นถูกปล่อยออกมา ลูกค้าของ Apple ก็ เริ่ ม ปั น ใจไปทางฝั่ ง ของคู่ แข่ ง กั น หมด สถานการณ์ ใ นบริ ษั ท ดู เลวร้ ายลงเรื่ อยๆ จนถึ งจุ ด ที่ หลายคนเชื่อ ว่า Apple น่าจะ ล้มละลายภายใน 90 วัน และในช่วงจังหวะวิกฤตินั้นเอง จ็อบส์ ก็ได้กลับมาเป็น CEO ของ Apple อีกครั้ง เมื่อได้กลับมา จ็อบส์ก็ทำ�การปฏิรูป Apple ใหม่ด้วยการลด ขนาดบริษัทลงเพื่อความคล่องตัว ย้ายฐานการผลิตเพื่อลดต้นทุน เปิดร้านค้า online แห่งแรกขึ้นเพื่อสามารถขายสินค้าให้ลูกค้า ได้โดยตรง ลดชนิดของผลิตภัณฑ์ลงเพื่อไม่ให้ลูกค้าสับสน หลาย คนเชื่อว่าไอเดียสำ�คัญที่จ็อบส์เลือกใช้ในการแก้วิกฤติครั้งนั้นคือ เลือกโฟกัสไปทีผ่ ลิตภัณฑ์ส�ำ คัญแค่ตวั เดียวเพือ่ ทำ�ผลิตภัณฑ์ตวั นัน้ ให้ออกมาดีที่สุด จนในปี 1998 เครื่อง iMac ตัวแรกก็ถูกผลิต ออกมา ซึ่ ง ก็ ส ร้ า งความฮื อ ฮาได้ เ ป็ น อย่ า งมากด้ ว ยรู ป ลั ก ษณ์ ที่แปลกใหม่และการทำ�งานที่ล้ำ�กว่าใคร จนสามารถพา Apple ให้กลับขึ้นมามีกำ�ไรอีกครั้งที่ 309 ล้านเหรียญ หลังจากที่เคย ขาดทุน 1,000 ล้านเหรียญในปีก่อนหน้านั้น และหลังจากนั้น Apple ก็มีผลิตภัณฑ์เขย่าโลกออกมาอย่างต่อเนื่องอย่างที่เราเห็น ทุกวันนี้นั่นเอง
page 13/14
MUSIC
ดนตรีเปลี่ยน คนเปลี่ยน หากเราพูดถึงชื่อของ ‘สิงโต นำ�โชค’ ขึ้นมา หลายคนคงคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้ดีด้วยภาพลักษณ์ ของผู้ ช ายอารมณ์ ดี ที่ มี จุ ด ขายอยู่ ที่ อู คู เ ลเล่ แ ละ เสียงเพลงของเขา แต่หากพูดถึงชือ่ ของ ‘โต วง Mono’ ขึ้นมา หลายคนคงงงว่าคือใครวะ ทั้งที่จริงๆ แล้ว สองคนนี้ก็คือคนเดียวกันนั่นแหละ หากยังจำ�กันได้ ในปี 2546 ค่าย RS Promotion ได้ ทำ � การเปิ ด ตั ว วงร็ อ กรุ่ น เล็ ก วงหนึ่ ง ที่ มี ชื่ อ ว่ า วง Mono ออกมาสู่วงการเพลงบ้านเรา ซึ่งสิงโต ในวัย 19 ปี ณ ขณะนั้น ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของ วงนี้ด้วยในฐานะมือกีตาร์ เพลงของวงนี้ที่ฮิตและ เคยผ่านหูกันมาบ้างอย่างเพลง อย่ามาพร้อมกัน แต่มเี พลงฮิตแค่เพลงเดียวคงอยูไ่ ม่ได้ หลังจาก อัลบั้มที่ออกมาได้กระแสการตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร วง Mono ก็ได้เงียบหายไปจากวงการ แต่ละคนในวง จึงแยกย้ายกันไปทำ�อย่างอืน่ ซึง่ ตัวสิงโตเองก็ตดั สินใจลงใต้ไปอยู่ภูเก็ตเพื่อเล่นดนตรีเก็บประสบการณ์ ซึ่งระหว่างนั้นสิงโตได้ดูหนังเรื่อง 50 First Dates ทีม่ ฉี ากอดัม แซนด์เลอร์ นัง่ เล่นอูคเู ลเล่อยูก่ ร็ สู้ กึ สนใจ ขึ้นมา และได้เริ่มต้นฝึกเล่นจนกลายมาเป็นหนึ่งใน อาวุธคู่ใจที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง ระหว่างที่อยู่ภูเก็ต สิงโตก็ยังคงเล่นดนตรีและ แต่งเพลงเก็บเอาไว้เรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ฟ้าก็เป็นใจ ให้ได้เดินเข้าสู่วงการเพลงอีกรอบ เมื่อสิงโตบังเอิญ ไปเจอร้านกาแฟร้านหนึ่งซึ่งมีเจ้าของเป็นพี่สาวของ กิจ-กิจจาศักดิ์ ตริยานนท์ หรือ Kijjaz แห่ง Monotone Group และได้ เ กิ ด การชั ก ชวนให้ ม าทำ � งานเพลง ร่วมกัน ก่อนทีส่ งิ โตจะได้มาทำ�งานเพลงอยูใ่ ต้ชายคา ของ Believe Records และปล่อยเพลง ทิ้ง ออกมา เป็นซิงเกิ้ลแรกที่ทำ�ให้เราได้รู้จักสิงโตในฐานะผู้ชาย เสียงดีที่มีอูคูเลเล่จนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
page 14/14
FOOD
เมื่อ(อาหาร)ขยะเริ่มมี(คุณ)ค่า แมคโดนัลด์ถือเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเจ้าใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีและ มี โ อกาสได้ แวะเวี ย นกั น เข้ า ไปอยู่ บ่ อ ยๆ (โดยเฉพาะตอนเฟรนช์ ฟ รายส์ ลดครึ่งราคา) ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และรสชาติของอาหารที่ถือว่าไม่แย่นัก แต่ถงึ อย่างนัน้ แมคโดนัลด์กย็ งั เป็นแบรนด์ทถี่ กู วางตัวให้เป็นผูร้ า้ ยอยูต่ ลอดเวลา จากข้อกล่าวหาว่าเป็นอาหารขยะ โดยเฉพาะตอนทีห่ นังสารคดีเรือ่ ง Super Size Me ที่มีคนทดลองกินแมคโดนัลด์เซ็ตใหญ่ทุกมื้อตลอด 1 เดือนจนป่วยหนัก ก็ยิ่งทำ�ให้ภาพลักษณ์ของร้านอาหารร้านนี้ดูแย่ลงไปในระดับติดลบ ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ แมคโดนัลด์จึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ครั้งยิ่งใหญ่เพื่อทำ�ให้ตัวเองนั้นดูเป็นมิตรกับผู้บริโภคมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การ เลือกใช้วัตถุดิบออร์แกนิกมาเป็นส่วนประกอบของอาหารมากขึ้น ส่งเมนู เพื่อสุขภาพ อย่างเช่น สลัดและผลิตภั ณฑ์ไ ม่ ขัดสี เพิ่ม เขามาในเมนูทั่วไป ของทางร้าน มีการแสดงตารางทางโภชนาการอย่างชัดเจน และมีการเปลีย่ นแปลง สัดส่วนของอาหารเล็กน้อย อย่างเช่น ในชุดแฮปปีม้ ลี ของคุณหนูๆ แมคโดนัลด์ ก็ได้จัดการลดขนาดของเฟรนช์ฟรายส์ให้เหลือเพียงครึ่งเดียว และทดแทน เข้ามาด้วยผลไม้อย่างแอปเปิล้ ทำ�ให้จ�ำ นวนแคลอรีท่ เี่ คยมีในชุดนีล้ ดลงกว่า 20% แต่ ก ารเปลี่ ย นแปลงแค่ เ มนู อ าหารของตั ว เองคงไม่ พ อที่ จ ะทำ � ให้ ค น มี ทั ศ นคติ ที่ ดี ขึ้ น ต่ อ ร้ า นแน่ แมคโดนั ล ด์ จึ ง จั ด การยกเครื่ อ งตั ว เองใหม่ ใ ห้ กลายเป็นแบรนด์ที่ไม่ได้เป็นมิตรกับแค่ลูกค้าแต่ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกด้วย เริ่มจากปี 2009 ร้านแมคโดนัลด์หลายร้อยสาขาเปลี่ยนตัวเองให้ กลายเป็ น สี เขี ย วจากสี แ ดงที่ เ ราคุ้ น เคยเพื่ อ บอกว่ า ร้ า นแห่ ง นี้ เ ป็ น มิ ต ร ต่อสิ่งแวดล้อมนะ ซึ่งสิ่งที่เปลี่ยนก็ไม่ใช่แค่สี แต่ยังรวมไปถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ ในร้าน อย่างเช่น การเปลีย่ นมาใช้ตเู้ ย็นทีเ่ ป็นมิตรต่อสิง่ แวดล้อม การใช้วตั ถุดบิ ทีม่ ใี นท้องถิน่ มากขึน้ ทีน่ อกจากจะกระจายรายได้ไปสูค่ นในท้องทีแ่ ล้วยังเป็นการ ลดคาร์บ อนจากการขนส่ง หรื อการนำ � น้ำ � มั น ที่ เหลื อทิ้ งจาการปรุ งอาหาร ไปผลิตเป็นพลังงานไบโอดีเซล ซึ่งหลังจากเริ่มต้นในยุโรปแล้วแมคโดนัลด์ ก็เริ่มขยายคอนเซ็ปต์ใหม่นี้ออกไปยังสาขาต่างๆ ทั่วโลก ได้รู้แบบนี้แล้ว เราเชื่อว่าครั้งหน้าผู้อ่านหลายคนคงเคี้ยวเฟรนช์ฟรายส์ ครึ่งราคากันได้อย่างสบายใจมากกว่าเดิม
column
( วั น จั น ท ร์ ) แ ด่ ค น ช่ า ง ส ร ร text & photo_อุทิศ เหมะมูล
สุนทรียะแห่งการจับคู่ “จานนี้จะเรียกว่าอะไรดี” ผมถาม เธอชะงักมีดระหว่างหั่นปลา นิ่งคิดอยู่เป็นนาน นานจนว่านอกจาก จะไม่ได้ชื่อแล้ว ยังส่อท่าจะไม่ได้กินอาหารจานนี้เอาด้วย “ทำ�ต่อเถอะ” ผมบอก เธอลงมือหั่นเนื้อปลาแซลมอนต่อ “ก็เราทำ�กินกันเอง จับนั่นผสมนี่ รวมๆ อะนะ” เธอเอ่ยพลางวางคมมีดไปบนเนื้อปลาอย่างได้จังหวะ
page 2/3
ผมเข้าใจ อาหารแต่ละจานมันไม่มีชื่อเรียกตายตัว เธอไม่ได้ทำ�อาหาร ตามชื่อเรียกที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งจากที่เคยได้กินมาตามร้านอาหารและตาม โรงแรม แต่ได้แรงบันดาลใจจากการดูช่อง Food Network ที่สนุกกับการลอง จับนั่นเข้าคู่กับนี่ อย่างนี้สนุกกว่า ผมในฐานะคนกินเลยอาสาผสมโรงจับ คราฟต์เบียร์เข้าคู่กับอาหารที่เธอทำ�ด้วยเลย ทีนี้เราก็เลยสนุกสนานตื่นเต้น กันใหญ่ ผั ก ต่ า งๆ ถู ก จั ด เตรี ย มไว้ แ ล้ ว รอบๆ จาน ทั้ ง แครอตกั บ แตงกวา ญี่ปุ่นฝาน และผักน้ำ�ญี่ปุ่นหรือมิซูนะ เมื่อหั่นปลาแซลมอนดิบเสร็จ เธอก็ จับม้วนวางไว้กลางจาน ทีนกี้ ถ็ งึ คราวทำ�น้�ำ สลัดราด ซึง่ มีทงั้ วาซาบิ น้�ำ ส้มหมัก และมัสตาร์ด โรยเมล็ดทานตะวันลงด้วย แล้วราดไปในจานสลัดเสีย เป็น อันเสร็จ เรียบง่ายเพียงนี้แหละ กินปลาดิบแกล้มผักสดและกรอบ น้�ำ สลัดเปรีย้ วหวานฉุนวาซาบิออ่ นๆ เสริมกับความมันกรุบกรับจากเมล็ดทานตะวัน อาหารทำ�เลียนญี่ปุ่นเช่นนี้ จะไปเข้าคู่กับคราฟต์เบียร์ชาติอื่นก็กระไรอยู่ เบียร์ดีๆ ของญี่ปุ่นนำ�เข้ามา หลายแบรนด์ เพลาๆ อาซาฮีจืดๆ กิรินอิจิบังปะแล่มๆ ลงบ้าง หันไปหา ‘เบียร์ฮูก’ ขวัญใจนักดื่มรุ่นใหม่ๆ เพราะฉลากเก๋ไก๋น่ารักน่าชัง ทว่า Hitachino Nest Beer หาได้เด่นดีที่ฉลากอย่างเดียว ด้านรสชาติ ก็ตอ้ งว่าน่าชืน่ ชมเหลือหลาย โรงหมักเบียร์ตวั นีอ้ ยูท่ จี่ งั หวัดอิบาระกิของญีป่ นุ่ เขาผลิตทั้ง ‘เอล’ และ ‘ลาเกอร์’ เบียร์ แต่ชาวเรานี้ก็คุ้นลิ้นกับลาเกอร์เบียร์ มานาน แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ใคร่ถูกต้องเสียทีเดียวนัก เพราะที่จริงสไตล์ ลาเกอร์ก็แยกย่อยออกไปอีกพอสมควร
page 3/3
คือที่เราๆ ดื่มกันมานานนี่คือ Pale lager เบียร์สีเหลืองอำ�พัน ยังไม่นับ Märzen ของเยอรมันสีออกทองแดง Dunkel กับ Bock สีน้ำ�ตาลเข้ม และ Schwarzbier สีเข้มดำ� ใน เพลลาเกอร์ นี่ก็ยังแยกย่อยไปอีกหลายแขนง เช่น Dortmunder Export, Vienna lager และ Pilsner และแต่ละสไตล์ล้วนมีบุคลิคภาพต่างกันไป ทั้งสิ้น เบียร์ฮูกที่เลือกเข้าคู่กับสลัดปลาดิบจานนี้คือ ‘Hitachino Nest Ancient Nipponia’ เป็นลาเกอร์เบียร์ สไตล์ Pilsner แต่เป็นอิมพีเรียลพิลส์เนอร์ กล่าวคือ เมื่อเห็นคำ�ว่า ‘อิมพีเรียล’ ข้างหน้าสไตล์นี่ ก็ให้ทบทวีความเข้มข้น และปริมาณแอลกอฮอล์เข้าไปนั่นเอง เหตุที่ชื่อว่า Ancient Nipponia ก็เพราะเป็นเบียร์ที่ใช้มอลต์กับฮ็อป สายพันธุ์ของชาติตัวเองนะครับ คือใช้ข้าวบาร์เล่ย์ Kanego Golden กับฮ็อป ทีช่ อื่ Sorachi Ace ซึง่ ต่างช่วยกันส่งเสริมกลิน่ รส และสัมผัส ให้ระลึกถึงความ เป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ยังไงเหรอ? ก็ Ancient Nipponia มีสีเหลืองทอง รสชาติหนักแน่น แต่สะอาดดี มอลต์นั้นทิ้งรสหอมข้าวสุกอ่อนๆ ที่ปลายลำ�คอด้วย ส่วนกลิ่น และรสที่แทรกซ่อนเข้ามาจากฮ็อปนั้นหอมแบบเปลือกส้ม รสแบบเปรี้ยวชุ่ม หน่อยๆ เปรี้ยวนี้เองเป็นเปรี้ยวหมัก สาบอ่อนๆ เก่าๆ ทำ�ให้ระลึกถึงกลิ่น มิโสะและกลิ่นธูปหอมตามวัดวาในญี่ปุ่น ก็รสสัมผัสที่ได้เหล่านี้แหละ ที่ทำ�ให้ ผมคิดว่า ชื่อ Ancient Nipponia ช่างเก๋ไก๋เสียจริง ทั้งที่มาและรสชาติก็ ตอบโจทย์กับชื่อเรียก ยิ่งไปกว่านั้น การลองแพริ่งอาหารกับเบียร์ในค่ำ�วันจันทร์นี้ก็นับว่า ประสบความสำ � เร็ จ ใช้ ไ ด้ ทีเ ดี ย ว จริ ง เท็ จ อย่ า งไรลองทำ � กิ น ที่บ้า นดู กัน ได้ นะครับ
column
SPOIL text_ตวัน ชวลิตธำ�รง
อาจเลวเพราะแสนเข็ญ หยาบช้าเพราะขมขื่น
column
A DAY IN THE LIFE text_จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์ illustration_Takomaki Chan
ขอให้เธอเป็นเธอตลอดไป
column
ข อ แ ค่ ใ จ เ ร า เ ห มื อ น กั น text_กตัญญู สว่างศรี illustration_C h a l i
ตอนที่ 1 เริ่มต้นชีวิตใหม่
Column
CHARACTER BOOK text & illustration_jiranarong
1 2
3
4
6 5
7
8
editor
MONDAY NIGHT
คนที่แพ้ในวันหนึ่งจะกลายเป็นผู้ชนะ ฟุตบอลโลกรอบรองชนะเลิศระหว่างบราซิลกับเยอรมัน จบลง ด้วยประวัติศาสตร์สองสิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง อย่างแรกคือการยิงประตูที่ 16 ในฟุตบอลโลกของศูนย์หน้าชาวเยอรมัน มิโรสลาฟ โคลเซ่ แซงหน้า โรนัลโด้ ยอดนักเตะบราซิล ทำ�สถิติก้าวขึ้นเป็น ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในฟุตบอลโลก อย่างหลังคือความพ่ายแพ้ยับเยิน ของนักเตะบราซิลที่ไม่เคยแพ้แบบหลุดลุ่ยขนาดนี้มาเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว! หลุ ย ส์ ฟิ ลิ ป เป้ สโคลารี่ โค้ ช ของทั พ เซเลเซาที่ เ คยพาบราซิ ล คว้ า แชมป์โลกเมื่อปี 2002 ถึงกับบอกว่านี่มันเป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตของเขา ส่ ว นโคลเซ่ กั บ ชาวเยอรมั น คงไม่ ต้ อ งพู ด ถึ ง ว่ า พวกเขาชื่ น มื่ น กั บ ชั ย ชนะ อันสวยงามครั้งนี้ขนาดไหน สำ�หรับผมฟุตบอลโลกปีนี้เป็นปีที่สนุกและเข้มข้นที่สุดเท่าที่เคยดูบอล มาเลยล่ะครับ (เสียอย่างเดียวคือมันเตะกันดึ๊กดึก ดูบอลจนจะเป็นซอมบี้ แล้วเนี่ย) เพราะนอกจากการทำ�ประตูที่มีค่าเฉลี่ยสูง ความรวดเร็วของเกม ความดราม่าของนักเตะชื่อดังที่เจออาการบาดเจ็บเล่นงาน ทั้ง เนย์มาร์ ศูนย์หน้าตัวความหวังของบราซิล หรือ อังเคล ดิ มาเรีย ปีกตัวจี๊ดของ อาร์เจนตินา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าการดูฟุตบอลครั้งเป็นมากกว่าการดูบอล คือ การได้เรียนรู้เส้นทางของชีวิตที่มีขึ้นมีลงของเหล่านักกีฬาระดับโลก ที่ต่าง ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเช่นเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายนี่ล่ะครับ ผมติดตามฟุตบอลโลกมาตั้งแต่ปี 1994 ภาพจำ�ปีนั้นคือนักเตะอิตาลี โรแบร์โต บาจโจ ยิงข้ามคานจากการดวลจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศทำ�ให้บราซิล คว้าแชมป์ไปครอง ปี 1998 ฝรั่งเศสนำ�ทัพด้วย ซีเนอดีน ซีดานประกาศความ ยิ่งใหญ่ในบ้านเกิดด้วยการถล่มบราซิล 3-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ต่อมาเมื่อปี 2002 บราซิลคว้าชัยเหนือเยอรมันที่แผ่นดินเอเชียอย่างหมดจด ในปี 2006 อิตาลีกลับมาคว้าแชมป์ดว้ ยการดวลจุดโทษชนะฝรัง่ เศสและดราม่าของซีดาน ทีเ่ อาหัวไปเขกหน้าอกกองหลังอิตาลีจนกลายเป็นตำ�นานไปแล้ว เมือ่ สีป่ กี อ่ น ที่แอฟริกาใต้ สเปนปราบเนเธอร์แลนด์ในช่วงต่อเวลาคว้าแชมป์สมัยแรก ให้ตนเองไปครอง
ฟุตบอลโลกหนนี้ ผมได้เห็นการเป็นทั้งผู้แพ้และผู้ชนะที่สับเปลี่ยน หมุนเวียนไป นักเตะสเปนที่ร้องไห้ดีใจเมื่อสี่ปีที่แล้วกลับมาโดนถล่มยับ จากทีมเนเธอร์แลนด์ที่พวกเขาเคยเอาชนะ สโคลารี่ โค้ชชาวบราซิลที่เคยนำ� ทีมคว้าแชมป์อันยิ่งใหญ่เหนือเยอรมันกลับมาโดนทีมทีมเดียวกันนี้ ทำ�ให้ เขาต้องจดจำ�ความปราชัยไปตลอดชีวิต “คนที่แพ้ในวันหนึ่ง จะกลายเป็นผู้ชนะ” ผมนึกถึงข้อความหนึ่งที่อ่านเจอจากที่ไหนสักแห่งขณะชมการแข่งขัน อันแสนเศร้าของบราซิลที่จะถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไปอีกยาวนาน ผมว่าชีวติ มันกลมกลิง้ อย่างฟุตบอลนีล่ ะ่ ครับ ถ้าใครชนะสักวันก็จะต้อง แพ้ ถ้าใครแพ้ สักวันก็ต้องชนะกับเค้าบ้างแหละนะ
ราตรีสวัสดิ์ครับคุณผู้อ่าน แล้วพบกันใหม่ในวันจันทร์
กตัญญู สว่างศรี katanyu86@gmail.com
MONDAY 133 / MONDAY TOUCH 01 / 14 JULY 2014
Founders
a book Publishing
ภูมิชาย บุญสินสุข วิชัย มาตกุล วิศรุต วิศิทธิ์ อธิต แย้มน้อย นทธัญ แสงไชย
บรรณาธิการบริหาร_ภูมิชาย บุญสินสุข ผู้ช่วยบรรณาธิการ_สุรเกตุ เรืองแสงระวี เลขานุการ_พิมพ์นารา มีฤทธิ์ กราฟิกดีไซเนอร์_เพกา เจริญภักดิ์ กองบรรณาธิการ/พิสูจน์อักษร_เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์ การตลาด_วิไลลักษณ์ โพธิ์ตระกูล ประสานงานการผลิต_อธิษฐาน กาญจนะพงศ์ การตลาดออนไลน์_อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค นักศึกษาฝึกงาน_สมรรัตน์ ธันทะ/คล้ายจันทร์ สินเทพดล
Co-Editors
จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์ กตัญญู สว่างศรี Columnists
อุทิศ เหมะมูล ตวัน ชวลิตธำ�รง jiranarong แบ๊งค์ งามอรุณโชติ พลพงศ์ จันทร์อัมพร จริงจัง จอมแก่น พีรพิชญ์ ฉั่วสมบูรณ์ Art
อาร์ตไดเร็กเตอร์_ บพิตร วิเศษน้อย กราฟิกดีไซเนอร์_ เมธาสิทธิ์ กิตติกุลยุทธ์ ภาพประกอบ/ภาพปก_ วัชรพล แหล่งหล้า
Daypoets Co., Ltd.
ที่ปรึกษา_สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ที่ปรึกษาสำ�นักพิมพ์_นิติพัฒน์ สุขสวย บรรณาธิการที่ปรึกษา_วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ผู้จัดการทั่วไป_จันฑรัศมิ์ เกียรติยศ ผู้ช่วยผู้จัดการ_ณัฐธยาน์ อึ้งตระกูลนิธิศ ธุรการ_ณัฐรดา ตระกูลสม ลูกค้าสัมพันธ์_นริศรา เปยะกัง เว็บมาสเตอร์_จุฬชาติ รักษ์ ใหญ่ facebook.com/mondaytakeshi mondaytakeshi@gmail.com @mondaytakeshi