SPIN!

Page 1



หนังสือในชุด Life & Inspiration ลำ�ดับที่ 008 เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ 978-616-327-018-4 พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2556 ราคา 205 บาท

ข้อมูลบรรณานุกรมของสำ�นักหอสมุดแห่งชาติ SPIN!. ภูภู่ฯ. -- กรุงเทพฯ : อะบุ๊ก, 2556. 224 หน้า. 1. จักรยาน. I. ชื่อเรื่อง. 629.2272 ISBN 978-616-327-018-4

ในกรณีที่หนังสือมีตำ�หนิจากการพิมพ์หรือเข้าเล่มสลับหน้า กรุณาส่งหนังสือเล่มนั้นกลับมาตามที่อยู่สำ�นักพิมพ์ ทางเรายินดีเปลี่ยนให้ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

สั่งซื้อหนังสือราคาพิเศษ 0-2726-9996 ต่อ 49 E-mail member@daypoets.com


บรรณาธิการที่ปรึกษา วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการบริหาร ภูมิชาย บุญสินสุข ผู้ช่วยบรรณาธิการ สุรเกตุ เรืองแสงระวี อาร์ตไดเร็กเตอร์ บพิตร วิเศษน้อย กราฟิกดีไซเนอร์ เพกา เจริญภักดิ์ กราฟิกดีไซเนอร์ เมธาสิทธิ์ กิตติกุลยุทธ์ ภาพปก วิชณีย์ เสถียรุจิกานนท์ เลขานุการ/เรียงพิมพ์ พิมพ์นารา มีฤทธิ์ กองบรรณาธิการ นทธัญ แสงไชย พิสูจน์อักษร เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์ การตลาด/ประสานงานการผลิต วิไลลักษณ์ โพธิ์ตระกูล ดิจิทัลคอนเท็นต์มาสเตอร์ วิศรุต วิสิทธิ์ ผู้จัดการทั่วไป จัณฑรัศมิ์ เกียรติยศ ผู้ช่วยผู้จัดการ ณัฐธยาน์ อึ้งตระกูลนิธิศ ธุรการ ณัฐรดา ตระกูลสม ลูกค้าสัมพันธ์ นริศรา เปยะกัง เว็บมาสเตอร์ จุฬชาติ รักษ์ใหญ่

สำ�นักพิมพ์ บริษัท เดย์ โพเอทส์ จำ�กัด

เลขที่ 3 ซอยเจริญมิตร ถนนสุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 0-2726-9996 ต่อ 22 โทรสาร 0-2714-4252 E-mail abook9@gmail.com Official Page facebook.com/abookpublishing แยกสี/พิมพ์ บริษัท ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้นท์ จำ�กัด โทรศัพท์ 0-2899-5429-35 จัดจำ�หน่าย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำ�กัด (มหาชน) อาคารทีซีไอเอฟ ทาวเวอร์ ชั้นที่ 19 เลขที่ 1858/87-90 ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทรศัพท์ 0-2739-8000 โทรสาร 0-2739-8609


สารบัญ

15 25 34 55 68 77 85 93 111 119

าแล้ว ม น ่ ั ป ... ึ ง ่ กาลครั้งหน ลังงก ยพ ัขบเคลื่อนด้ว กคันที่ชอบ ่ เลือ ช ใ ่ ี ท บ บ แ ก เลือ NEY O M E H T SHOW ME VE TEST DRI ึก ทำ�ศ ป ไ ว ั ต ม ย ี ร เต ิ์ เปิดบริสุทธ Y LINES NEM E D N I H E B าด บ ะ ร ค ร โ ์ ณ ปรากฏการ แดง รม ิมตรภาพไร้พ


125 135 141 151 157 165 171 179 187 195

มบท ฐ ป : ต ิ ว ี ช ์ การณ บ ส ะ ร ป ม ิ ร ฉิมบท จ ั ป : ต ิ ซ่อมเส ว ี ช ์ ารณ ก บ ส ะ ร ป ม ิ ซ่อมเสร จุดเปลี่ยน ... วัน ับนทึกประจำ� เหี่ยวๆ ้งๆ ห แ ๆ ง ้ ล แ องล้อ ม ลมๆ า ่ ย อ า ้ น ห งข้าง อ ม II) อ T ค R น A ง P ( แห Y E E MON H T E M SHOW เสือติดปั่น SPIN!


พ ม ิ พ ก ั น � ำ ส คำ�นำ� หลังจากหนังสือ เรียกผมว่า Rookie! ออกวางแผงเมื่อ 3 ปีก่อน ภูภู่ฯ ก็ยัง ไม่มีผลงานเดี่ยวออกมาอีกเลย ช่วงเวลาจากวันนั้นถึงวันนี้ เขาทำ�หน้าที่เป็น นักเขียน และนักวาดการ์ตูนของ MONDAY นิตยสารดิจิทัลรายสัปดาห์ของอะบุ๊ก และเป็นดิจิทัลคอนเท็นต์มาสเตอร์ ที่ดูแลเรื่องสื่อออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์ก ของสำ�นักพิมพ์ แม้จะมีการพูดคุยระหว่างตัวเขากับบรรณาธิการเรือ่ ยๆ ถึงหนังสือเล่มใหม่ แต่อย่างที่พวกเรารู้ดี... ฝรั่งเขาก็ว่า “You can’t rush art.” ศิลปะเป็นเรื่องที่เร่ง ไม่ได้ แน่ น อนว่ า เราไม่ ไ ด้ คิ ด ว่ า เรากำ � ลั ง จะทำ � อะไรที่ สู ง ส่ ง ในระดั บ ปิ กั ส โซ มิเกลันเจโล ขนาดนั้น แต่กฎข้อนี้ก็ใช้กับงานเขียนได้ ไม่ต่างกัน จนมาวันหนึ่ง ภูภู่ฯ เดินเข้ามาหา แล้วบอกเราว่า “รู้แล้วว่าอยากเขียนเรื่องอะไร” ประกายตามุง่ มัน่ เสียงไม่สนั่ ประหม่า ไม่มที า่ ทีเงือ่ งหงอย ต่างจากทุกครัง้ ที่ถูกทวงต้นฉบับ ทั้งหมดนี้บอกเราว่า นี่ล่ะ ของจริงมาแล้ว


ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ ไม่ถึงครึ่งปี หนังสือก็เสร็จเรียบร้อย ถ้าไม่นบั เรือ่ งการช่วยเกลา เรียบเรียง และพิสจู น์อกั ษรตามปกติมาตรฐาน อย่ า งที่ ห นั ง สื อ ทุ ก เล่ ม ได้ รั บ การดู แ ลโดยสำ � นั ก พิ ม พ์ แ ล้ ว ต้ น ฉบั บ ของภู ภู่ ฯ แทบไม่ถูกแก้ไขเลย เพราะเขาชัดเจนในเรื่องที่เขาอยากเล่า และมันก็สมบูรณ์ อย่างที่ควรจะเป็น ด้วยตัวมันเองมาแล้วจริงๆ ก่อนจะถึงมือของบรรณาธิการ เสียอีก นี่เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า การเขียนหนังสือจนจบออกมาเป็นเล่ม ไม่ใช่สิ่งยาก ตราบใดที่นักเขียนพบสิ่งที่เขาต้องการเล่าด้วยความรู้สึกที่ร้อนแรง เต็มไปด้วยความรัก ความหลงใหล (passion) ไม่ใช่ต้องการเล่าเพียงเพราะ อยากจะมีหนังสือสักเล่ม โดยเฉพาะเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้อง ส่งผล และเปลี่ยนชีวิตเขาจริงๆ สำ�นักพิมพ์อะบุ๊ก กรกฎาคม 2556


คำ�นิยม ผมจำ�ไม่ได้ว่าตัวเองจักรยานล้มครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่จำ�การล้มครั้งล่าสุด ได้ดี วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมขนจักรยานใส่รถ มุ่งหน้าไปสนามบินสุวรรณภูมิ บริเวณถนนข้างรันเวย์เป็นทางเรียบ ไหล่ทางกว้าง ระยะทางไป-กลับประมาณ 14 กิโลเมตร ทำ�ให้ที่นี่มีนักปั่นจักรยานหลายคนนิยมมาปั่น วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมลองใส่รองเท้าและบันไดปั่นจักรยานแบบ clipless ซึ่งตัวพื้นรองเท้าจะติดล็อกกับบันได ทำ�ให้ปั่นได้ดีขึ้น เคล็ดลับในการใส่รองเท้า แบบนี้ คือต้องมีสติปลดบันไดให้ทันก่อนเอาเท้าลงพื้น ปั่นได้ไม่กี่นาที ผลก็คือผมถอดบันไดฝั่งขวาไม่ทัน รถจักรยานค่อยๆ เซ แบบสโลว์โมชั่น และล้มกลิ้งไม่เป็นท่ากลางลานจอดรถ ตั้งแต่ปั่นจักรยานเป็น ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้แผลเพราะจักรยานอีก และยุคนั้นถ้าใครมาบอกว่าอนาคตจะมีรองเท้าที่ติดกับบันไดจักรยาน เพื่อให้เรา ส่งแรงปั่นได้ดีกว่าเดิม ผมคงไม่เชื่อ โลกของจักรยานมีอะไรให้เรียนรู้เยอะกว่าที่คิด


ไม่ใช่แค่เรื่องอุปกรณ์ นับตั้งแต่ชาวอะเดย์ เริ่มทำ�ฉบับจักรยาน โดยใช้ชื่อ ว่า Human Ride เรามีเรือ่ งใหม่ๆ ให้เรียนรูอ้ กี มากมาย แถมยังมองสถานทีท่ ค่ี นุ้ เคย ในสายตาที่เปลี่ยนไป เอาง่ า ยๆ อย่ า งสนามบิ น สุ ว รรณภู มิ จากเดิ ม ที่ ม าสนามบิ น เพื่ อ การ เดินทาง ตอนนี้ผมมองสนามบินในความรู้สึกใหม่ กลายเป็นที่ออกกำ�ลังกาย และสังสรรค์สำ�หรับคนรักจักรยานโดยเฉพาะ อีกที่หนึ่งคือ ออฟฟิศอะเดย์ย่านเอกมัย ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดที่สุด คือมีจักรยานจำ�นวนมากจอดเต็มที่เก็บ เจ้าของจักรยานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของ ชาวอะเดย์ และชาวออฟฟิศในเครือที่ชอบปั่นจักรยานเหมือนกัน รวมถึงจักรยานสีเงินของภูภู่ฯ ที่แทรกตัวมาจอดอย่างสงบ ผมรู้มาก่อนว่า เรามีเพื่อนร่วมงานคนใหม่เป็นนักวาดภาพประกอบคนดัง จากเชียงใหม่ ‘ภูภฯู่ ’ หรือ พีภ่ ู่ ย้ายมาอยูท่ กี่ รุงเทพฯ เช่าหออยูไ่ ม่ไกลจากออฟฟิศ และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มขี่จักรยานมาทำ�งาน ด้วยชีวิตที่ต้องขับรถจากบ้านไกลๆ นั่งนิ่งอยู่บนรถเกือบชั่วโมง เทียบกัน แล้วชีวิตของภูภู่ฯ ก็นับว่าน่าอิจฉา ตอนที่เห็นภูภู่ฯ ขี่จักรยาน เขาถ่ายรูปและ อัพเดตชีวิตคู่บนหลังอานผ่านโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ ผมดูแล้วก็ลุ้นว่าให้ภูภู่ฯ รวมเรื่องแบบนี้เป็นหนังสือซะที พอได้อ่านจริงๆ ผมพบว่ากว่าครึ่งในเล่มพูดถึงการล้มบ่อยกว่าการขี่ เป็นการล้มทั้งในแง่กายภาพ และการล้มทางจิตใจ ภูภู่ฯ ต้องพบอุปสรรค ต่างๆ นานาที่คนใช้จักรยานในเมืองต้องเจอ คนเคยขี่ จั ก รยานในเมื อ งจะเข้ า ใจดี ว่ า การปั่ น จากเอกมั ย ไปกิ น ข้ า ว ที่ทองหล่อไม่ใช่เรื่องง่าย นักปั่นต้องเบียดชิงพื้นที่กับมอเตอร์ไซค์ ต้องเบี่ยง หลบหลุมหรือท่อกะทันหัน โดยไม่รู้ว่าจะมีรถเข้าข้างหลังเรามั้ย ถึงปลายทาง ก็เล่นเอาเราตื่นเต้นเหงื่อกาฬธาตุไฟแตกได้ไม่ยาก แม้แต่ตัวจักรยานเอง ก็มีประวัติศาสตร์ล้มลุกคลุกคลานไม่ต่างกัน ก่อนจะเป็นจักรยานอย่างที่เราเห็น มันเคยถูกมองว่าเป็นตัวอันตราย บนถนนในประเทศฝรัง่ เศส เพราะจักรยานยุคนัน้ ยังปัน่ ยาก คนปัน่ ไม่คล่องจึงเอา


ไปเฉี่ยวชนตามที่ต่างๆ อยู่เสมอ ในอิตาลี จักรยานเคยถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่อาจสร้างความร้าวฉาน ทางการเมื อ ง จั ก รยานยั ง เคยถู ก มองว่ า เป็ น ตั ว อั น ตรายต่ อ สุ ข ภาพ เพราะ เทคโนโลยีของเบาะและการนั่งที่ยังไม่ดีพอ เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ เมื่อได้อ่านต้นฉบับของภูภู่ฯ แบบเต็มๆ นอกจากจะสนุกเหมือนที่คิด สำ�นวนจิกกัดแกมหยอกที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ยังเข้ากันดีกับเรื่องของการ ใช้จักรยานในเมือง ที่เต็มไปด้วยปัญหาแต่ก็แฝงเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ หลังอ่าน Spin! ของภูภู่ฯ จบ นอกจากจะอยากปั่นจักรยาน ยังทำ�ให้ผม รู้สึกว่า การล้มไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ก่อนที่เราจะขี่จักรยานเป็น ก็ต้องผ่านการล้มมาก่อน ที่สำ�คัญคือ เราต้องรู้จักวิธีลุกขึ้น จะว่าไปก็เหมือนกับวิธีการที่ผู้ใหญ่ สอนเด็กๆ อย่างเราปั่นจักรยาน แหงนคอ อย่าก้มมองล้อ ออกแรงปั่น และมองไปข้างหน้า ศิวะภาค เจียรวนาลี



ำค�นำ�ภู่ฯ เขีย

จริงๆ แล้ว อายุอานามของผมในตอนนี้นั้น เรียกว่ากำ�ลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ตอนปลายอย่างเต็มภาคภูมิแล้วก็ว่าได้ แต่โชคร้ายที่หนังหน้านั้นอาจจะถือว่า ล้�ำ ยุคมากไปหน่อย ไม่ได้ดไู ฮเทคอะไร แต่ดเู ป็นชายวัยกลางคนไปแล้ว โดยเฉพาะ ในยามที่ไม่ได้โกนหนวดโกนเครา ที่มันก็ขยันงอกกันจัง โกนไม่ถึงวันก็งอกใหม่ อย่างกับสนามหญ้าใส่ปุ๋ยยูเรีย ในขณะที่ไอ้ผมบนหัวก็ร่วงเอ๊าร่วงเอาอย่างกับ เข้าสูฤ่ ดูใบไม้รว่ ง จนเด็กแถวคอนโดยังเคยออกเสียงเรียกหนึง่ พยางค์เด็ดๆ เน้นๆ ว่า ‘ลุง’ ซึ่งการบังอาจมาเรียกคนอายุยังไม่ 30 ว่าลุงเนี่ย ได้ยินแล้วแทบสะกดใจ ตัวเองไว้ไม่อยู่ อยากเอาหลังมือไปสัมผัสกระหม่อมบางๆ ของเด็กน้อย ด้วยแรง ละมุนแห่งรักอย่างสุดสวิงวงแขนซักครั้งจริงๆ ดังนั้น ไอ้คำ�ว่า ‘เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก’ นี่คงไม่ใช่เรื่องอำ�กันแล้วล่ะ เพราะรูส้ กึ เหมือนวันเวลาทีเ่ พิง่ หัดปัน่ จักรยานจนเป็นนัน้ มันเพิง่ ผ่านมาไม่นานนี้ เอง แล้วตอนนั้นก็ปั่นมันทุกวัน และใช้ชีวิตร่วมกับจักรยานจนเรียกได้ว่าเป็น เพื่อนซี้กัน แต่แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อย่างก้าวเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยรุ่น ผมก็เริ่มไปคบหากับเพื่อนใหม่ชื่อมอเตอร์ไซค์ ที่สะดวกสบาย และไวว่องกว่า ไม่ ต้ อ งออกแรงปั่ น ให้ ป วดเมื่ อ ยเหนื่ อ ยล้ า แค่ จ่ า ยตั ง ค์ เ ติ ม น้ำ � มั น ก็ แ ล่ น ฉิ ว เป็นเพื่อนใหม่ที่ทำ�ให้ชีวิตง่ายขึ้นอีกเยอะ จนผมลืมจักรยานไปเลยจากหัวสมอง แล้วก็ไม่คิดว่าจะชายหางตากลับมามองมันอีก เหมือนเฉดหัวเพื่อนรักสมัยเด็กทิ้งไปอย่างไม่ไยดี!


แต่แล้วจูๆ ่ ชีวติ ก็ตอ้ งพลิกกลับ เพราะไม่นกึ ฝันว่าตัวเองในวัยรุน่ ตอนปลาย อย่างตอนนี้ จะต้องกลับมาขี่จักรยานอีกครั้ง (ด้วยสาเหตุบางประการที่ท่าน สามารถอ่านได้จากหนังสือเล่มนี้) ซึ่งงานนี้จะเรียกว่าเป็นการกลับมางอนง้อ ขอคืนดีกับเพื่อนสมัยเด็กที่เคยทอดทิ้งกันไปอย่างหน้าด้านๆ เลยก็ว่าได้ และที่ยิ่งคาดไม่ถึงเข้าไปอีกคือ เมื่อกลับมาคบกับเพื่อนเก่าคันนี้ กลับพบ ว่ามันสามารถนำ�พาชีวติ ผมให้ไปพบเจอกับเรือ่ งราวแปลกใหม่มากมายหลายแหล่ จนสามารถเล่าออกมาเป็นหนังสือได้หนึ่งเล่ม! พอมาคิดดูดีๆ ในช่วงที่ขี่มอเตอร์ไซค์ ชีวิตผมเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ทุ ก อย่ า งรอบกายมั น เกิ ด ขึ้ น เร็ ว มาก ฟึ่ บ ฟึ่ บ ฟึ่ บ ไวจนตามองตามไม่ ทั น หลายเรื่องผ่านเข้ามาและผ่านเลยออกไปโดยผมไม่ทันสังเกตเห็น สมองไม่ทัน ได้คิดด้วยซ้ำ� ว่าเรื่องราวตามรายทางชีวิตพวกนั้นมันสำ�คัญพอที่จะจดจำ�ไว้ แต่กับจักรยาน มันไม่ใช่แบบนั้น พอได้กลับมาใช้ชีวิตช้าๆ เนิบๆ ไปกับเพื่อนเก่าอย่างจักรยานอีกครั้ง มันก็ทำ�ให้ผมมีเวลามากพอที่จะทันได้สังเกตเห็นรายละเอียดบางอย่างที่เคย ตกหล่นไปมากมายรายทางนับไม่ถ้วน ...และก็เก็บเอากลับมาคิดอะไรได้อีกเยอะ แม้ว่าการกลับไปคบกับเพื่อนเก่าครั้งนี้ จะเป็นเหมือนการดาวน์เกรดจาก รวดเร็ว เป็นเชือ่ งช้า แต่กไ็ ด้พบว่า การได้ใช้ชวี ติ ช้าๆ ด้วยการปัน่ นัน้ มันก็ให้อะไร กับเราหลายอย่าง อย่างที่การบิดที่ทั้งเร็วและสบาย ให้เราไม่ได้เช่นกัน ภูภู่ฯ



... ง ่ ึ น ห ง ้ ั ร ค กาล ปั่นมาแล้ว

ถ้าพูดถึงจักรยานในตอนนี้... สิ่งที่คนทั่วไปจะนึกถึง ก็คงเป็นยานพาหนะบอบบางที่ดูขี้ก้างๆ ชนิดหนึ่ง ทีถ่ า้ ให้ไปเทียบความเร็วในการเดินทางกับยานพาหนะชนิดอืน่ แล้ว ก็คงอยูร่ งั้ ท้าย เกือบโหล่สุด จะรวดเร็วกว่าก็เพียงวัวเทียมเกวียนขนฟางเท่านั้น ว่าแต่แถวนี้ยังมีคนใช้วัวกันอยู่มั้ย? เพราะต่อให้ภูธรขนาดไหน เกษตรกร เค้าก็ใช้คูโบต้ากันเกือบหมดแล้วมั้ง ในยุคที่รถยนต์พัฒนาไปจนสามารถเสียบปลั๊กใช้พลังงานไฟฟ้ากันแล้ว จักรยานยังถือเป็นสิง่ ทีโ่ บราณและล้าสมัยมาก แถมนอกจากจะช้าแล้ว ยังเหนือ่ ย อีกด้วย เพราะจักรยานเป็นยานพาหนะที่ใช้พลังงานขับเคลื่อน 1 แรงมนุษย์ถ้วน (ซึ่งน้อยกว่า 1 แรงม้าแบบเทียบชั้นกันไม่ได้) เรียกว่าไอ้การจะเดินทางได้เร็ว หรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับตัวมนุษย์ผู้ปั่นนั่นเองว่า ฟิตจนทำ�ความเร็วได้แค่ไหน แต่ถึงจะโบราณเก่ากาลยังไง ก็ยังมีคนใช้จักรยานกันอยู่เสมอ โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างรูส้ กึ ภูมใิ จทีต่ วั เองขีจ่ กั รยานเป็น เด็กหลายคน สมัยนี้ขี่จักรยานไม่เป็นกันนะ... จริงๆ ไม่อยากใช้ว่า ‘สมัยนี้’ เลย เพราะพูดคำ�นี้ ทีไร จะทำ�ให้ตวั เองชราภาพเกินวัยไปทุกที ทัง้ ๆ ทีต่ อนนีเ้ พิง่ จะอายุยสี่ บิ ตอนปลาย เท่านั้น 15


แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่า เด็กๆ ส่วนหนึ่งขี่จักรยานไม่เป็นจนโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กในเมืองใหญ่ ทีก่ ารขีจ่ กั รยานออกไปบนถนนเส้นหลัก อาจกลายเป็น หายนะหรือฝันร้ายของคนเป็นพ่อเป็นแม่ได้ ทางบ้านก็เลยเลือกที่จะตัดปัญหา โดยการไม่ให้ขี่จักรยานซะเลย เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เด็กส่วนหนึ่งก็เลยขี่จักรยานไม่เป็น พอโตมาค่อยหัดขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ก็ ขับรถยนต์ไปเลย นี่เป็นผลของการอัพเกรดระบบขับเคลื่อน จึงทำ�ให้เกิดการ ข้ามขั้นตอนของประสบการณ์หัดขี่จักรยานในวัยเด็กไป ... อยู่ดีๆ ก็อยากเล่าย้อนกลับไปซักเกือบยี่สิบปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งหัด ขี่จักรยานเป็นครั้งแรก ราวๆ ปีพุทธศักราช 2536 เป็นช่วงที่ผมได้สัมผัสกับยานพาหนะของ ตัวเองเป็นคันแรกในชีวิต ในนามของ ‘จักรยาน BMX’ ที่ทางบ้านซื้อให้ ซึ่งผมเอง ก็ จำ � ไม่ ไ ด้ แ ล้ ว ว่ า มั น เป็ น ของขวั ญ เนื่ อ งในโอกาสพิ เ ศษอะไร? คื อ อยู่ ดี ๆ ก็ ครึ้มอกครึ้มใจซื้อให้เฉยๆ หรือว่าตอนนั้นสอบได้เกรด 2 ก็ไม่ทราบ? (คือผมเนี่ย เป็นเด็กที่ฉลาดและเรียนเก่งเว่อร์ ถ้าสอบได้เกรด 0 หรือเกรด 1 ก็ถือเป็น เกรดธรรมดา ได้เป็นประจำ�ขำ�ๆ ถ้าเกรด 2 จะถือว่าเป็นเกรดที่ดี เกรด 3 นี่คือ เทพ อาจารย์และผู้ปกครองจะเริ่มรู้สึกสงสัยว่ามึงฟลุกหรือไม่ก็โกงข้อสอบชัวร์ ส่วนไอ้การจะได้เกรด 4 มาครอบครองนัน้ อันนีจ้ ะเรียกว่าเป็นเรือ่ งเหนือธรรมชาติ เพ้อฝัน อินเซ็ปชั่นสุดๆ) จะด้วยสาเหตุใดทีไ่ ด้จกั รยานมาใช้กไ็ ม่รแู้ หละ แต่ทพี่ อจะเดาได้อย่างหนึง่ ก็อาจเป็นเพราะว่า ในสมัยนัน้ บ้านผมมันอาจตัง้ อยูใ่ นพืน้ ทีช่ นบทอันแสนจะภูธร สุดกู่ก็เป็นได้ พื้นที่บางส่วนของอำ�เภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ในสมัยนั้น ไฟฟ้าเพิ่งจะเข้าถึง (ไม่ได้อำ�นะครับ อันนี้เรื่องจริง) รถราแทบไม่มีวิ่ง จะมีก็แต่วัว ควายเดินผ่านไปมาหน้าบ้านบ้างเป็นบางครั้ง ทางบ้านคงคิดว่า การซื้อจักรยาน มาให้ปั่นเล่นแถวบ้านนั้น ไม่อันตรายอะไร และจะได้ออกกำ�ลังกายไปด้วย ผมดีใจมาก! ดีใจโคตรๆ กระโดดเหยงๆ เลยแหละ เพราะตั้งแต่หัดคลาน จนเดินได้นี่ก็ใช้แต่ ‘สองเท้า’ ของตัวเองมาโดยตลอด การได้มี ‘สองล้อ’ เป็นของ ตัวเองครั้งแรกในชีวิต จึงเป็นอะไรที่แปลกใหม่สุดๆ 16


แต่ประเด็นคือเจ้าบีเอ็มเอ็กซ์รนุ่ ทีไ่ ด้มานีม้ นั ไม่มลี อ้ เสริม (สองล้อเล็กๆ ทีต่ ดิ ข้างๆ ล้อหลังสำ�หรับให้เด็กหัดขี่) นั่นก็หมายความว่ามันมาถึงก็เป็นยานพาหนะสองล้อ เลย แถมเป็นรุ่น Extreme Type หรือเป็นรุ่นที่เค้าเอาไว้ขี่กระโดดข้ามเนินเหิน ตีลงั กาผาดโผนกลางอากาศนัน่ แหละ ทำ�ให้ในช่วงระยะแรกทีผ่ มหัดขี่ ก็เป็นความ วอดวายวินาศอเนจอนาถโดยแท้ เพราะแค่ขนึ้ คร่อม พอยกขาขึน้ จะปัน่ ไปข้างหน้า ก็ล้มอ้าซ่าทันที เรียกว่า แค่จะทรงตัวให้ได้ยังไม่มีปัญญา หลังจากนั้นก็ล้มแล้วล้มอีก ได้แผลสดใหม่เลือดไหลประจำ�วัน ซึ่งทั้งถี่ ทั้งเจ็บกว่าการมีประจำ�เดือน (รู้ได้ไงเนี่ย เคยมีรึก็เปล่า) จำ�ได้ว่าตอนนั้นแทบจะ กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาเย็นเตร๊กซ์ได้เลย เพราะเนื้อตัวนี่มีแต่แผลถลอก และรอยทายาเต็มไปหมด... จุดนี้กรุณานึกถึงเด็กในโฆษณาเย็นเตร๊กซ์ ที่พอถึง ช่วงประโยค “แผลสด แผลเปื่อย” แล้วก็มีเด็ก (ที่เหมือนจะโดนทีมถ่ายทำ�โฆษณา ถีบ) คะมำ�ออกมาหกล้มที่หน้ากล้อง นั่นแหละครับ วนฉากนี้ซ้ำ�วันหนึ่งหลายๆ รอบก็จะได้อารมณ์ผมในตอนนั้นเปี๊ยบเลย แต่ด้วยความที่ผมเป็นเด็กที่ซนและถึกมาก ก็อย่าหวังว่าจะเข็ด เรียกว่า สัญชาตญาณมาโซคิสม์ (พวกชอบความเจ็บปวด รู้สึกดีกับการโดนลงแส้ น้ำ�ตา เทียนสาด ส้นสูงเหยียบหลัง) ของตัวเองอาจถูกปลุกกระตุ้นขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็เป็นได้ จะเจ็ บ ยั ง ไง เด็ ก ชายภู ก็ ไ ม่ เข็ ด มี แ ต่ จ ะร้ อ งซี้ ด ซ้ า ดด้ ว ยเสี ย งกระเส่ า แล้วก็ลุกขึ้นมาปลุกปล้ำ�กับจักรยานต่ออย่างเมามัน แต่ถึงจะพยายามแค่ไหน ผมก็ยงั ปัน่ ไม่ได้ซกั ที จนผูเ้ ป็นอาได้เล็งเห็นแล้วว่าถ้ายังปล่อยให้เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง จนล้มคว่ำ�ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ อาจได้หัวน็อกพื้นกลายเป็นเด็กเอ๋อปัญญาอ่อน ไปซะก่อนที่จะปั่นจักรยานเป็น เสด็จอาจึงได้แนะนำ�เคล็ดลับในการปั่นสองล้อมาสองประการดังนี้ 1) แหงนคอ มองข้างหน้า อย่าก้มมองล้อ 2) ออกแรงปั่นที่ขา แฮนด์ตรง อย่าส่ายไปมา พอได้เคล็ดวิชามาดังนี้ ผมก็ลองทำ�ตาม 17


และเพียงข้อแรกข้อเดียวเท่านั้น ผมก็ปั่นจักรยานเป็นทันที! อะไรมันจะ เป็ น เคล็ ด ลั บ ที่ สุ โ ค่ ย สุ ด ยอดขนาดนั้ น เหมื อ นคนฝึ ก วิ ท ยายุ ท ธมาแรมชาติ แต่ไม่สำ�เร็จเสียที แต่อยู่ดีๆ ก็มีผู้อาวุโสปรากฏกายมาชี้แนะแค่เคล็ดวิชาเล็กๆ จนเราสามารถสำ�เร็จวิชาขั้นสุดยอดภายในพริบตา เดาว่าคงเป็นเพราะการมัวแต่จดจ้องอยูก่ บั ล้อหน้า ทำ�ให้ผมกลัวและพะวง จนไม่อาจเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ สุดท้ายมันก็ล้ม เมื่อรถเคลื่อนที่ได้ ก็ทำ�ให้เกิดความฮึกเหิมลำ�พองใจ ผสมกับดีใจไฮเปอร์ อย่างแรง ก็เลยซอยขาไม่ยงั้ พุง่ ทะยานเร็วขึน้ เรือ่ ยๆ แต่ทนั ใดนัน้ ก็นกึ ขึน้ มาได้วา่ “อ้าว แล้วจะหยุดยังไง?” เสด็จอาบอกแค่วิธีเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ลืมสอนเคล็ดวิชาหยุดมาให้ มองปราดไปมาก็มาพบว่า ไอ้ติ่งที่ยื่นมาสองอันติดอยู่ข้างๆ แฮนด์ ที่เค้า เรียกว่า ดิส อิส อะ ‘เบรก’ นั้น ผมยังไม่เคยได้ลองใช้งานมันเลย เพราะรถไม่เคย เคลือ่ นทีก่ เ็ ลยไม่เคยใช้ ซึง่ คุณสมบัตขิ องเบรกเนีย่ ตามทีบ่ รรพบุรษุ เล่าขานกันมา ก็คือ เมื่อเราบีบมัน รถที่กำ�ล้งเคลื่อนไหวก็จะหยุดได้ดังใจปรารถนา อุ๊ย วิเศษ ยิ่งนัก... ไหนๆ ตอนนี้ก็ปั่นได้แล้ว ลองใช้ซะหน่อยละกัน ว่าแล้วก็...เบรก (บีบสุดมือ) ดุจโฆษณาทีวีที่ฉายเป็นภาพสโลว์ ร่างของเด็กชายลอยละล่องจากจักรยานขึ้นสู่กลางอากาศ พร้อมเพลง ประกอบ “I believe I can fly I believe I can touch the sky” และพอถึงตรงนี้ กรุณาเปลี่ยนจากคำ�ว่า ‘sky’ ในบรรทัดสุดท้ายเป็น ‘street’ เบรกดี ล้อไม่ฟรี หยุดนิ่งสนิท แต่ร่างของผู้ขี่นั้น ลอยละลิ่วแบบฟรีดอม กันไปเลย คำ�ว่า ‘เบรกหน้าทิม่ ’ จึงเป็นคำ�ทีเ่ หมาะสมกับสถานการณ์นที้ สี่ ดุ เพราะ มันหน้าทิ่มจริงๆ ตัดภาพมาจะเห็นได้ว่าใบหน้าได้ทิ่มลงที่พื้นปูนซีเมนต์จังๆ จนเลือดกบปากกันเลยทีเดียว ซึ่งผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็คือการโดนที่บ้าน 18


สั่งงดขี่จักรยานเป็นเวลาร่วมสัปดาห์ ติดโทษแบนใบแดง 7 นัดซ้อน ในข้อหาขับขี่ โดยประมาทอันเป็นผลให้ตัวมันเองนั่นแหละเกือบถึงแก่ความตาย ภายหลังได้มีการเพิ่มเคล็ดลับการขับขี่ที่ถูกวิธีมาอีกข้อคือ 3) เบรกเบาๆ ไม่ใช่เอาซะสุดมือ หลังจากวันนั้น ชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งก็ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะ จักรยานได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเถลไถลได้ไกลขึ้นราว 500% จากที่เคย ได้แค่เดินเที่ยวเล่นใกล้ๆ ในละแวกบ้าน ก็ขยายขอบเขตการเดินทางไปไกลถึงขั้น ข้ามหมู่บ้าน และข้ามตำ�บลกันในเวลาต่อมา ถึงแม้ว่าการปั่นจักรยานมันจะเหนื่อยอยู่บ้าง แต่สายลมเย็นๆ ที่ปะทะ ใบหน้า ก็ทำ�ให้รู้สึกสนุกสดชื่นจนลืมความเหนื่อยล้าไปหมด มันเป็นการเดินทาง ที่อิสระและรวดเร็วที่สุด เท่าที่ชีวิตของเด็กคนหนึ่งจะสัมผัสได้ ช่วงเวลานั้นจึงเป็น ยุคทองของการปั่นออกไปเปิดหูเปิดตา และทำ�ให้ได้เห็นสิ่งแปลกใหม่มากมาย จริงๆ เด็กหลายคนในหมูบ่ า้ นเดียวกันล้วนมีจกั รยานเป็นของตัวเอง โดยจักรยาน บีเอ็มเอ็กซ์นั่นเป็นพาหนะประจำ�กายเด็กผู้ชาย และจักรยานแม่บ้านแบบมี ตะกร้าหน้าก็เป็นยานพาหนะสำ�หรับเด็กผู้หญิง (ซึ่งตอนนั้นคันมันใหญ่มาก ถ้าเทียบกับขนาดตัวผู้ขี่ ก็ไม่รู้ว่าพวกเด็กผู้หญิงขี่กันไปได้ไง) กลุ่มเด็กในหมู่บ้านนัดกันออกเที่ยวเตร่เป็นประจำ� ถ้าเป็นปัจจุบันก็คง เรียกอย่างกิ๊บเก๋ว่า ‘ออกทริป’ กันทุกเสาร์-อาทิตย์ ทริปทีน่ า่ จดจำ�ทีส่ ดุ ครัง้ หนึง่ ของผม เป็นการปัน่ จักรยานคูก่ ายไปกับเพือ่ นๆ รวมห้ า คน เรี ย กว่ า ทั้ ง ห้ า คนนี้ เ ป็ น จั ก รยานเรนเจอร์ มี ย ศเป็ น ถึ ง ตี น ผี นั ก ปั่ น ตัวท็อปไฟว์ของหมู่บ้านกันเลยทีเดียว เพราะฝีเท้าและจังหวะการซอยขาของ พวกเรานั้นเร็วและแรงที่สุดในย่านนั้นแล้ว (โดยเฉพาะการขี่ล่อหมาหน้าบ้าน คนอื่นเนี่ยโคตรจะถนัด) วันหนึ่ง พวกเราทั้งห้ากำ�ลังจะขี่ข้ามสะพานไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง เมื่อปั่น ข้ามสะพานไปปุ๊บ ก็พบกับฝูงควายกำ�ลังยืนปักหลักชุมนุมกันอยู่กลางเส้นทาง มีแต่ควายๆๆๆๆ เยอะแยะเต็มไปหมด พอพวกเราเห็นดังนั้นก็ตกใจ เบรกกัน ฝุ่นตลบ 19


ภาพถอยออกมาเป็นมุมกล้องแบบมหาสงครามตอนเริม่ เรือ่ งของ The Lord of The Rings เป็นภาพกลุ่มเด็กตัวแทนของเผ่าฮอบบิตที่ตัวเท่าลูกหมา จำ�นวน ห้าคน ยืนคร่อมจักรยานจังก้า สบตากับฝูงควายประมาณสิบตัว โดยต่างฝ่าย ต่างจ้องหน้ากันด้วยอารมณ์เซอร์ไพรส์ ก็ไม่รู้ว่าควายมันจะรู้รึเปล่านะ ไอ้เด็กกลุ่มนั้นน่ะกำ�ลังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า กลัวจนหน้าเศร้า เยี่ยวเยิ่วจะราดเป้ากันอยู่แล้ว เหงื่อกาฬเริ่มซึมไหลไปทั่วทั้งตัว หยดไล่จากหน้าผากลงมา แล้วในเสี้ยววินาทีที่เหงื่อไหลเข้าจนต้องกะพริบตา เท่านั้นแหละ... หนึ่งในกลุ่มควายก็ออกสตาร์ท พุ่งเข้าชาร์จทันที! ไม่มีการเตือน ไม่มีเลื่อนแสดง ไม่มีแจ้งกำ�หนดการ งานนี้เป้าหมายของ ควายคือพุ่งชน! พอตัวนึงเปิด ด้วยความสมัครสมานสามัคคี เพื่อนๆ ชาวควาย และคณะคาราบาวก็พร้อมใจกันซอยกีบเท้า พุ่งตามกันมาทั้งโขยง! “ซิมบ้าาาาาา!!” ฉากประทับใจจาก The Lion King ที่สิงโตน้อยติดอยู่กลางม่อนดอย ท่ามกลางฝูงควายป่า ปรากฏซ้ำ�เป็นแฟลชแบ็กขึ้นมาในหัวทันที ในตอนนั้นชะตากรรมอีซิมบ้ามันจะเป็นยังไงนี่จำ�ไม่ได้แล้ว ช่างหัวซิมบ้า ก่อน แต่ตอนนี้เด็กชายทั้งห้ารีบหักคอรถกลับไปในทางที่เพิ่งผ่านมาแทบจะทันที และทำ � พร้ อ มกั น เลยโดยไม่ ต้ อ งมี ก ารนั ด หมายใดๆ จากนั้ น ก็ ซ อยขากั น ยิกๆๆๆๆๆ ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เรียกว่านี่เป็นการ ‘หนีตาย’ ครั้งแรกในชีวิตของพวกเราทั้งห้าเลยก็ว่าได้ ในระหว่างนั้นฝูงควายก็วิ่งไล่หลังมาติดๆ แบบชนิดที่ว่าถ้าเกิดจักรยาน ล้มลงกลางทางก็ไม่ตอ้ งมาถงถามถึงสุขภาพกันเลยนะ เพราะในหัวนีจ่ นิ้ ไปแล้วว่า จะเจอทั้งขวิด ทั้งเหยียบ เขาเสียบ กีบเท้ากระทืบ โดนตื้บจนแบนเป็นกล้วยทับ ได้ออกเป็นข่าวสลดในเช้าวันรุ่งขึ้นกันอย่างแน่นอนครับ แต่ถึงจะปั่นกันสุดชีวิตด้วยจิตวิญญานจักรยานเรนเจอร์ยังไง เราก็หนี ความจริงไม่พ้นกันอยู่ดี ว่าแรงของเด็กตัวเล็กๆ จำ�นวน 1 แรงมนุษย์ เมื่อเอาไป เทียบกับควายที่ตัวใหญ่เท่าควาย (คือไม่รู้จะเปรียบยังไง ก็ตัวมันใหญ่เท่าควาย จริงๆ) มันก็เปรียบกันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะพวกพี่ๆ เขาวิ่งกันเร็วม้ากกก 20


ทีนี้ เนือ่ งจากถนนตรงนัน้ เป็นเนิน ก่อนทีจ่ ะขึน้ ไปเป็นสะพาน ด้านล่างเนิน จะเป็นนา เนิน down to นาน่ะ you understand? คือถ้าจะออกจากเส้นทางก็ตอ้ ง เหินลงมา แล้วทางลงไปในนาก็ลึกลงไปก็ราวประมาณ 3-4 เมตร คือไม่ได้เป็น หุบเหวลงไปดิ่งๆ ก็จริง แต่ก็ลาดชันมากๆ เรียกว่าถ้าเป็นสุภาษิตก็คือ ‘หนีเสือปะจระเข้’ แต่ถ้าจะหนีควายก็ต้อง เหาะลงเนินแล้วครับเพ่ ในจังหวะทีค่ วายใกล้จะถึงตัวอยูร่ อมร่อ ถึงตอนนัน้ เราทัง้ ห้าก็ไม่สนห่าอะไร แล้วล่ะครับ จักรยานเรนเจอร์ ค่อยๆ หายจากถนนไปทีละคนสองคน โดยเริม่ จาก กลุ่มที่รั้งท้ายก่อน ที่ ห ายไปนี่ คื อ ไม่ ใช่ เ พราะโดนเหยี ย บแผละนะ แต่ เ พราะหั ก แฮนด์ ร ถ แล้วพุ่งลงข้างทางอย่างไม่คิดชีวิต! (ขออนุญาตเปิดเพลงนี้ประกอบฉากอีกซักครั้ง) “I believe I can fly I believe I can touch the sky” แต่อันนี้เรียกได้ว่า fly จน I can touch the sky จริงๆ คือแม่งบินแบบ ลอยละลิว่ ปลิวออกจากผิวถนนไปเลย ถ้าเป็นการแข่งขันบีเอ็มเอ็กซ์แบบโมโตครอส กระโดดข้ามเนินดินผาดโผน คะแนนลีลาคงเต็ม 10! 10! 10! แต่ไอ้การแข่ง โมโตครอสนัน้ ยังนับว่าเด็กๆ เพราะมีเครือ่ งป้องกันกายทัง้ หัวไหล่ตดู แถมใส่กระจับ แต่นี่ไม่มีเครื่องป้องกันอะไรซักอย่าง มีแต่ตัว หัวใจ และหยดฉี่ที่เล็ดออกจากไข่ เท่านั้นจริงๆ เรนเจอร์ลอยละลิ่วปลิวลงไปทีละคัน ทีละคัน จนสุดท้ายพวกเราทั้งห้า ลงมากองแอ้งแม้งอยู่ในคันนาทั้งหมดในสภาพสะบักสะบอม อมดินกินโคลน กันเข้าไปกันคนละนิดละหน่อย แต่รถยังไม่พัง เรียกว่าผลิตมาดี อันนี้ก็ขอชื่นชม ทางโรงงานผู้ผลิต กดไลค์ให้เลย และที่โชคดียิ่งกว่าคือฝูงควายมันไม่โง่วิ่งตามลงมา (มันไม่โง่จริงๆ ด้วยวุ้ย ใครว่าควายโง่เนี่ย ผมขอเถียงเลย) สรุปคือรอดจากเงื้อมเขามัจจุราชคาราบาวกัน มาได้ทั้งยวง แต่ก็ทำ�ให้กลัวไอ้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าควายกันไปอีกนานแสนนาน 21


ทั้งหมดที่เล่ามานี้ก็คือประสบการณ์ทางจักรยานเมื่อนานแสนนานมาแล้ว แล้วไอ้ประสบการณ์เฉียดตายสไตล์นี้เนี่ย ตัวผมก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เจออีกแล้ว ในชาติภพนี้อะนะ แต่ก็ไม่วาย ได้เจออยู่ดีแหละครับ ซึ่งก็แค่เปลี่ยนจากควาย กลายเป็น ‘อย่างอื่น’ แถมไอ้อย่างอื่นที่ว่า ก็ทั้งแรงและเร็วกว่าควายหลายเท่านัก ตั้ ง แต่ บ ทนี้ เ ป็ น ต้ น ไป ก็ ข อเชิ ญ ทุ ก ท่ า นได้ ล องอ่ า นประสบการณ์ ชี วิ ต และเรือ่ งราวของชายวัยรุน่ ตอนปลายคนหนึง่ กับจักรยานคูข่ าคูใ่ จ ทีไ่ ม่รไู้ ปไงมาไง ถึงได้มาร่วมกันผจญภัยในเมืองที่ได้รับตำ�แหน่งจากผลการสำ�รวจของสำ�นักข่าว BBC ประเทศอังกฤษ จนได้รับผลโหวตจากผู้อ่านทั่วโลกยกให้ติด ‘อันดับ 1 ของ เมืองที่รถติดและวุ่นวายที่สุดในโลกประจำ�ปี 2012’

22




ก ง ง ั ล พ ย ว ้ ัขบเคลื่อนด

อันกรุงเทพฯ นี้นั้นมียานพาหนะที่คลานยั้วเยี้ยไปมาอยู่บนท้องถนน เยอะแยะมากมาย (ขออนุญาตใช้คำ�ว่า ‘คลาน’ เพราะถ้าใช้คำ�ว่า ‘วิ่ง’ ก็จะดู คล่องตัวเกินไป เฟคมาก ไม่อยากทีจ่ ะหลอกลวงผูบ้ ริโภคทุกท่านเลยจริงๆ) มีตงั้ แต่ มอเตอร์ไซค์-รับจ้าง รถเมล์ รถกะป๊อ แท็กซี่ รถตู้ อันนี้ยังไม่นับรวมยานพาหนะ ส่วนตัวอย่าง มอเตอร์ไซค์ รถกระบะ หรือรถเก๋งอีก สรุป ถนนทุกเส้นจะอุดมไปด้วยรถพวกนี้อัดยัดแน่นอยู่เต็มไปหมด ซึ่ง ตัวผมเองเวลาจะไปทำ�งาน ก็จะใช้บริการมอเตอร์ไซค์รบั จ้างหรือรถเมล์อยูเ่ ป็นประจำ� ที่ที่ตัวผมซุกหัวอาศัยอยู่คือเอกมัยซอย 30 ส่วนที่ทำ�งานของผมซึ่งคือ สำ�นักพิมพ์อะบุ๊ก ตั้งอยู่ที่เอกมัยซอย 10 ทีนี้ ซอยเอกมัย (หรือที่เรียกกันอย่าง เป็นทางการว่า ‘สุขมุ วิท 63’) ก็ไม่ตา่ งจากถนนทัว่ ไปนัน่ แหละครับ คือมีพนื้ ผิวถนน อยู่สี่เลน มีหลุมมีบ่อบ้าง มีเนินลูกระนาดบ้าง มีทางเท้าสองข้างทาง และมีอะไร ต่อมิอะไรตั้งเกะกะอยู่บนทางเท้าทั้งสองฝั่งตลอดเวลา 25


ถนนเพชรบุรี

แผนที่อาณาจักรเอกมัย (สุขุมวิท 63)

ตัดใหม่

ที่ซุกหัวนอนของภูภู่ฯ : คอนโดสภาพโบราณ แต่ทาสีตกแต่งใหม่สีชมพู แลดูเป็นคอนโดแต๋วแตกมาก

ระยะทางทั้งสิ้น ไปทองหล่อ

ถนนสุขุมวิท

(

(

สี่แยกที่รถติด ฉิบหายวายวอด ทุกเช้า-เย็น

ที่ทำ�งาน: สำ�นักพิมพ์อะบุ๊ก ชาวบ้านแถวนี้เรียกว่า ‘เวิ้งโบราณ’ ทั้งๆ ที่มีแต่ของกิ๊บเก๋ไฮโซขาย ...มันโบราณตรงไหนฟะ


ที่ต้นซอยเอกมัยจะเชื่อมต่อกับถนนสุขุมวิท และท้ายซอยเอกมัยเชื่อมติด กับถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถนนสองเส้นดังกล่าวเป็นถนนสายหลัก รถราจึงติด หนึบหนับมหาศาล ทีพ่ กั ของผมห่างไปจากทีท่ �ำ งานเพียงไม่กกี่ โิ ลเมตรเท่านัน้ อัตราค่าโดยสาร รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากท้ายซอยไปกลางซอยนั้น อยู่ที่ 30 บาทถ้วน แอบแพงนะ... ระยะทางนิดเดียว ตั้ง 30 บาทแน่ะ นี่ถ้ายังอยู่เชียงใหม่ 30 บาทนี่ก็สามารถซัมมอนก๋วยเตี๋ยวมาได้หนึ่งชามเลยทีเดียว อันที่จริงผมก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าอะไรคือหลักเกณฑ์ในการคิด ค่าบริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างของบ้านนี้เมืองนี้ เพราะไม่เคยเห็นเรตมันจะ ตรงกันซักที่ มอเตอร์ไซค์รับจ้างในทองหล่อ (ซอยข้างๆ กัน) ก็ราคาไม่เท่ากับ ที่เอกมัย ระยะทางไกลเท่ากันแต่พื้นที่นึงคิด 15 บาท อีกที่คิด 20... เลยไปอีก สองสามซอยมันคิด 25! สรุปว่าคิดราคาตามอะไร? ค่าครองชีพหรือ GDP ของ คนในย่านนั้นเรอะ? หรือคิดตามความพอใจของแต่ละวิน? ใครอยากสร้างสรรค์ อัตราอย่างไรเท่าไหร่ก็จัดกันไปตามใจได้เลย? ควรมีมอเตอร์ไซค์มิเตอร์นะ เพราะงืดมาก (คำ�เหนือ: ‘งืด’ แปลว่า ‘งง’) แล้วไม่ใช่แค่แต่ละวินคิดราคาไม่เท่ากัน คนขี่แต่ละคนในแต่ละวินนี่ก็คิด ราคาไม่เท่ากันอีก! คือในขณะที่คนอื่นเขาคิดตามราคามาตรฐาน บางคนจะเอา เพิ่มอีก 5 บาทโดยบอกว่า โอ๊ย น้อง น้ำ�มันแพง แพงพ่อง! น้ำ�มันปั๊มที่พี่เติมมันแพงกว่าน้ำ�มันปั๊มที่คนอื่นเติมรึยังไง? แถมมีบางคนเรียกราคาถูกกว่าที่เคยขึ้นตามปกติ เพราะพี่เค้าบอกว่า ก็วิ่งราคานี้มาตลอด ก็เลยไม่อยากจะเปลี่ยนแปลง อันนี้นี่ก็ไม่รู้จะยึดหลักวิถีชีวิต พอเพียงไปไหน แต่ก็ดีนะ ขอบคุณครับ สรุปแล้วคือ มาตรฐานของพวกพีอ่ ยูท่ ตี่ รงไหนคร้าบ? รัฐบาลและกรมการ ขนส่งควรลงมาดูแลจัดระเบียบโดยด่วนเลยนะเนี่ย อันนี้ืถือเป็นเรื่องสำ�คัญมาก 27


เพือ่ ความเป็นเอกภาพของวินมอเตอร์ไซค์ไทย ให้กา้ วไกลสูว่ นิ มอเตอร์ไซค์อาเซียน ว่าแต่...ประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เค้ามีวินมอเตอร์ไซค์เหมือนเรามั้ยอะ? ทีเ่ ด็ดทีส่ ดุ ก็คอื พีว่ นิ มอเตอร์ไซค์ทนี่ ขี่ บั ขีแ่ บบไม่คอ่ ยจะรักชีวติ กันเลยจริงๆ สำ � หรั บ ตั ว แทนของบริ ษั ท ประกั น ที่ ไ หนก็ ต าม ถ้ า คุ ณ ได้ อ่ า นหนั ง สื อ เล่ ม นี้ ผมขอแนะนำ�ให้ขึ้นแบล็กลิสต์ได้เลย ว่าใครก็ตามถ้ามีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ในซอยเอกมัย พี่ไม่ต้องรับทำ�กรมธรรม์ประกันภัยให้ รับรองว่าจะไม่คุ้มแน่นอน เพราะคนแถวนี้เขาขี่กันแบบปลอกแฮนด์มีเท่าไหร่ก็บิดสุดมือตลอด แล้วเกิด วันไหนซวยสุดๆ พีว่ นิ เพิง่ ทะเลาะกับเมียหรือแม่ยายมานีย่ งิ่ หนัก ขีก่ นั แบบประชด ชีวิตกันเลยทีเดียว นี่ถ้าไม่ใส่เสื้อวินสีส้ม แต่ผูกผ้าสีขาวมีจุดแดงแล้วใส่แว่นกันลม ผมจะนึก ว่าพี่เป็นเครื่องบินกามิกาเซ่นะ อันนี้ก็ปล่อยให้ผู้โดยสารเสพความเสียวกันไปดิ หมวกเหมิกอะไรมีให้ใส่ ซะที่ไหน พี่วินน่ะใส่ แต่คนซ้อนน่ะกะโหลกเพียวๆ เกิดอุบัติเหตุประสานงาที ก็ไม่ต้องถามหาความปลอดภัยในชีวีกันเลยนะ เรียกว่าชีวิตนี้ตั้งอยู่บนความเสี่ยง มากมายทั้งเช้าไปและเย็นกลับ นี่ เ ป็ น อี ก สาเหตุ ที่ ผ มรู้ สึ ก กระอั ก กระอ่ ว นกั บ การเดิ น ทางในแต่ ล ะวั น เหลือเกิน เพราะราคาไป-กลับโดยมอเตอร์ไซค์เป็นเงิน 60 บาทต่อวัน พร้อมด้วย แพ็กเกจความปลอดภัยในชีวติ แบบติดลบ นีถ่ อื ว่าเป็นเรือ่ งทีน่ า่ เศร้าอยูเ่ หมือนกัน วันละ 60 บาทนี่ 30 วัน ก็ปาเข้าไป 1,800 บาทแล้วนะครับ …ถึงตรงนี้บางคนคงอุทานว่า “อิ้วว กระจอก ค่าน้ำ�มันดั๊นเดือนละเป็นหมื่นยังไม่บ่น” อันนี้ก็โปรดอย่าลืมว่าพื้นฐานทางฐานะ และค่าความงกของคนเรานั้น ไม่เท่ากัน การจะมาเปรียบเทียบด้วยมาตรฐานเดียวกันแบบนี้มันไม่ได้หรอก สำ�หรับมนุษย์เงินเดือนกระจิริดกระจ้อยร่อยตัวหน้อยๆ อย่างข้าเจ้า เงินเกือบสองพัน...มันก็เยอะอยู่นาเจ้า ถึงตรงนี้ ก็มีอีกหลายคนที่คงสงสัยว่า แล้วทำ�ไมไม่ขึ้นรถเมล์เอา แค่ 6.50 บาทตลอดสาย แถมบางทีมีรถเมล์ฟรีด้วย 28


ประทานโทษครั บ อยากเรี ย นให้ ท ราบไว้ เอกมั ย นี้ เ ป็ น ซอยที่ ร ถติ ด ชนิดที่ว่าโคตรบิดรมารดามหากาฬที่สุดแห่งหนึ่ง คือถ้ามีจัดอันดับ Top Traffic Epic Jamming ของถนนทุกเส้นในกรุงเทพมหานคร เอกมัยน่าจะเข้ารอบสุดท้าย สบายๆ ติดอันดับ 1 ใน 10 ได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยสภาพถนนที่แคบศอกหมา สี่เลนสลิมอัพ และมีรถที่ตัดเข้าตัดออกจากซอยยิบย่อยตลอดเวลา แถมยัง จอดทับเส้นเหลืองกันเป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่พื้นที่เส้นเหลืองนั้นเค้าห้ามหยุด เพราะเป็นทางที่ต้องมีรถเลี้ยวเข้า-ออก ก็ยังเล่นจอดทับกันหน้าตาเฉยอย่างกับ ว่าตรงนัน้ เค้าตีเส้นให้เป็นลานจอดรถ ไม่รพู้ วกพีส่ อบใบขับขีผ่ า่ นมาได้ไง แต่ทแี่ น่ๆ มันทำ�ให้รถติดมหาศาลบานตะไทมาก บางทีแค่ขึ้นรถเมล์จากท้ายซอยคลานมา กลางซอยนี่ก็ปาไป 20 นาทีก็ยังมี โดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ถ้ารถได้กระดิก ซั ก 30 เซนติ เ มตรนี่ ก็ แ ทบจะขนธู ป เที ย นดอกไม้ ม ากราบไหว้ ข อบพระคุ ณ เสาสัญญาณไฟจราจรกันเลยทีเดียว ด้วยความงกเงิน 1,800 บาท และด้วยความไม่อยากจะทนกับรถติด อีกต่อไป ผมจึงเกิดความคิดริเริ่มที่จะหาการเดินทางในรูปแบบใหม่ที่ประหยัด และรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ พอดิบพอดีกับที่ช่วงนั้น ผมเริ่มสังเกตเห็นเพื่อนบ้านที่ออฟฟิศอยู่ติดกัน อย่างกองบรรณาธิการนิตยสารอะเดย์ กำ�ลังง่วนกับการนิยมชมชื่นใน ‘จักรยาน’ กันอย่างเข้าเส้นเลือด เรียกว่าหายใจเข้าก็เป็นเสียงลมผ่านไส้ไก่ หายใจออกก็เป็น เสียงลมที่พ่นออกจากยางในกันเลยทีเดียว นี่ถ้าเจาะเลือดออกมาคงมีน้ำ�มัน หล่อลื่นไหลผสมปนกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงออกมาด้วยเลยมั้ง แล้วอาการนี้ก็ไม่ใช่เป็นกันแค่คนสองคน แต่จักรยานลิซึมกันทั้งกอง! นัน่ คือพนักงานในกองบรรณาธิการอะเดย์เกือบทุกคนล้วนมีจกั รยานเป็นของตัวเอง ทัง้ สิน้ และหน้าห้องทำ�งานก็จะมีจกั รยานจอดเรียงกันเป็นแผง นับรวมแล้วประมาณ สิบกว่าคัน ใครมาเห็นคงนึกว่านี่เป็นร้านขายจักรยานชื่อ a day Bicycle ดั ง นั้ น ถ้ า จะบอกว่ า พวกเค้ า แค่ เ ป็ น ‘คนที่ ชื่ น ชอบจั ก รยาน’ ก็ ค งดู ไม่สมเกียรตินัก ผมเลยต้องขอยกระดับความเมทัลให้พวกเค้า ไปถึงขั้นที่เรียกว่า ‘ผู้เสพจักรยาน’ กันไปเลยน่าจะเหมาะกว่า และนั่นทำ�ให้ผมรู้สึกว่ากองอะเดย์ 29


เป็นกลุ่มคนที่นิยมชมชอบจักรยานที่สุดกลุ่มหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตนี้เลย เพราะเช้ามาทำ�งานผมก็เห็นพวกเค้าดูแลจักรยาน เย็นมาก็เห็นเช็กลมยาง เอ๊ะ ที่นี่เป็นอู่จักรยานเรอะ!? แล้วจู่ๆ พวกพี่แกก็นัดกันออกไปปั่นจักรยานกันรอบประเทศเฉยเลย ทั้งทริปเป็นเวลา 45 วันรวม 1,850 กิโลเมตร ปั่นกันเป็นบ้าเป็นหลัง จนกลายมาเป็นอะเดย์ฉบับจักรยาน ‘HUMAN RIDE’ (ฉบับที่ 142) มั น ก็ ต้ อ งอย่ า งนี้ แ หละนะ การจะทำ � นิ ต ยสารให้ มี เ นื้ อ หาเกี่ ย วกั บ คน ขีจ่ กั รยานทีต่ อ้ งการข้อมูลถูกต้องและครบถ้วนนัน้ การจะมานัง่ มโนแล้วจิน้ เอาเอง โดยที่ตัวเองไม่เคยขี่จักรยานเลยก็ดูจะไม่เหมาะไม่ควร คิดได้ดังนั้นชาวอะเดย์ ก็เลยออกไปปั่นกันจริงจัง ทั้งเพื่อเก็บข้อมูล และเพื่อซึมซับจิตวิญญาณของ จักรยานจริงๆ การลงทุนลงใจกันขนาดนี้ บอกตรงๆ ว่านอกจากจะทำ�ให้ผมรู้สึกทึ่งแล้ว ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าเกิดวันไหนอะเดย์อยากทำ�ฉบับ ‘รถขุดดิน’ หรือฉบับ ‘ระบบบำ�บัดน้�ำ เสีย’ ขึน้ มานี่ พวกเค้าไม่ตอ้ งไปซือ้ รถแบ็กโฮมาลองขุดดินกันจริงๆ หรือไม่ก็ยกกองไปมุดท่อระบายน้ำ� เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องกันเลย เรอะ!? จิตวิญญาณมากๆ อะ จนถึงทุกวันนี้ พลังแห่งความรักจักรยานยังคงเบิกบาน everywhere ก็คง เหมือนการลองค่อยๆ คบหาดูใจกันก่อนเพื่อศึกษานิสัยใจคอ แรกๆ ก็กะจะคบ กันเล่นๆ แหละ แต่พอนานๆ ไปก็หลงรักกันจริงๆ จนหมั้นหมายและได้แต่งงาน สร้างครอบครัวกันอย่างจริงจัง แล้วยิ่งพักหลัง เหมือนความรักที่มีจะพองโตมากขึ้นไปอีก เพราะลงทุน แบกจักรยานขึน้ เครือ่ งบินไปปัน่ กันไกลถึงประเทศญีป่ นุ่ และล่าสุด พีก่ อ้ ง-ทรงกลด บ.ก. อะเดย์ บินไปปั่นกันสุดไกลถึงประเทศเนเธอร์แลนด์! ม...แม่เจ้า...นี่เค้าไม่เรียกว่าไปออกทริปปั่นจักรยานแล้วเพ่ นี่เค้าเรียกว่าไปฮันนีมูนกันกับจักรยานแล้วคร้าบ!!! ไอ้ผมน่ะ ได้แต่นั่งสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ไม่เข้าใจอารมณ์หรอกครับ จะมี ก็แต่ความรู้สึกทึ่ง เพราะตัวเองไม่ได้ปั่นจักรยานมานานมากๆ แล้ว นานตั้งแต่ สมัย ม.ปลาย (ปวช.) นู่นนน 30


แต่ที่เห็นได้ชัดเจน และเข้าใจได้ทันที ก็มีอยู่อย่างหนึ่ง... นัน่ คือผมได้เห็นว่า เพือ่ นๆ ชาวอะเดย์เขาสามารถปัน่ จักรยานในกรุงเทพฯ กันได้อย่างปลอดภัยดี ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร จนกระทั่งออกไปปั่นทั่วไทย แถมยัง เดินทางในเมืองกันได้สะดวกรวดเร็วกว่าการเดินทางชนิดอื่น เพราะรถติดจะทำ� อะไรพวกเค้าไม่ได้เลย ผมเคยกลัวอยู่ในใจมาตลอดว่า การลงไปขี่จักรยานบนท้องถนนกรุงเทพฯ นัน้ คงเหมือนลงไปขับขีใ่ นนรก คือเหมือนเอาชีวติ เข้าไปเสีย่ งตาย ขาข้างนึงเหยียบ เข้าไปนอนรอในรถร่วมกตัญญูแล้ว แต่ตอนนี้ความคิดที่ว่าเริ่มเปลี่ยนไป เพราะ มีชาวอะเดย์ท�ำ ให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วว่า ปัน่ จักรยานไม่อนั ตรายก็ท�ำ ได้...ง่ายจัง ปั่นจักรยานอาจไม่หายนะอย่างที่คิดก็ได้ และจากการประเมินทัง้ หมดทัง้ มวล มันทำ�ให้ผมพบว่า... จักรยานนีแ่ หละ น่าจะตอบโจทย์การเดินทางผมได้! ถึงเราจะไม่ได้ปั่นเพราะรักและหลงใหลจากใจ หรือไม่ได้อยากปั่นเพราะ จะไปออกทริป ออกต่างจังหวัด หรือปั่นไปไหนไกลๆ แบบใครเขา แต่เป็นการปั่น ที่ เ กิ ด จากแรงขั บ ดั น แห่ ง ความขี้ ง กของตั ว เองล้ ว นๆ คื อ สมงสมองตอนนี้ มันไปหมดแล้วครับ ในหัวมีแต่เรื่องอยากจะประหยัดสตางค์ครับ แถมนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายรายเดือน ยังไม่ต้องเสียตังค์ไปฟิตเนส แต่ได้ ออกกำ�ลังกายทุกวันอีกต่างหาก

พอคิดได้ดังนี้ ปะ เราไปสอยจักรยานมาขี่ซักคันเลยละกัน

31





ขอบคุณ

t i d e r C End นักแสดงนำ�: ซิลเวอร์ & ไจแอนท์

อ่านแล้วคงรูส้ กึ แปลกๆ สินะ คนบ้าอะไรเขียนขอบคุณจักรยาน เอาเป็นว่า ถ้าไม่มีจักรยานสองคันนี้ ผมก็คงไม่มีหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นต้องให้ เครดิตสำ�คัญกันหน่อย และขอบคุณที่ตรากตรำ�ทำ�งานหนัก เป็นยานพาหนะ ที่นำ�พาผมไปในที่ต่างๆ โดยที่ไม่เคยงอแงอะไร

ทีมงานครอบครัว:

ขอบคุณพ่อและแม่ทใ่ี ห้ก�ำ เนิดมา โดยเฉพาะแม่ทค่ี อยส่งข้อความให้ก�ำ ลังใจ และเตือนสติกันผ่านโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา | ขอบคุณเตี่ยและย่าที่ทำ�ให้ผม มีโอกาสได้ขี่จักรยานเป็น | ขอบคุณอากุ้ง พิงค์ เพลง ภัค ที่เป็นครอบครัวที่น่ารัก เสมอมา

ทีมงานโปรดักชั่น: สำ�นักพิมพ์อะบุ๊ก

ขอบคุณพี่บิ๊กที่คอยกำ�กับดูแลต้นฉบับจนปิดเล่ม อีกทั้งยังให้ยืมกล้อง ในการถ่ายทำ�รูปประกอบ | ขอบคุณพีโ่ บลด์ทค่ี อยตามต้นฉบับตลอดมาและสายตา กระชากวิญญาณ | ขอบคุณตาลที่ช่วยเคาะ-ปรู๊ฟให้ในหลายจุดและผัดกะเพรา อร่อยสุดๆ ให้กิน | ขอบคุณทรายที่ช่วยส่งเสริมการตลาดให้และไม่ทำ�อะไร ให้เครือ่ งคอมและข้อมูลต้นฉบับเราหายนะ | ขอบคุณเบนซ์ทใี่ ห้ค�ำ แนะนำ�เรือ่ งการ วางมุมภาพปกและเปิดเพลงขับกล่อมให้ฟงั | ขอบคุณน้องแป้งทีส่ ง่ เสียงบ่นว่าหิวๆ อยูข่ า้ งหลังตลอดเวลาจนพีห่ ายง่วง | ขอบคุณเบสทีช่ ว่ ยวางอาร์ตเวิรก์ และอดทน


รอภาพประกอบจากพี่ที่วาดช้ามาก แล้วเอาไปจัดรูปเล่มให้ | ขอบคุณจอมที่ พิสูจน์อักษรให้อย่างเงียบงันและตั้งใจ จนพี่กังวลใจหายว่าหนังสือตูจะขายได้มั้ย ...เพราะพีไ่ ม่เห็นเอ็งหัวเราะซักกะแอะ | ขอบคุณพีจ่ ฬุ ทีไ่ ด้พดู คุยกันเรือ่ งการจราจร เป็นประจำ� และอัพเดตเรื่องราวทุกเช้าวันใหม่ | ขอบคุณน้องฝึกงาน ฟ้า น้ำ� วิก ทีข่ ยันไปเซเว่น แล้วให้พไี่ ด้ฝากซือ้ ของกินตลอดเวลา | และขอบคุณพีอ่ อ้ ม แม่บา้ น บริ ษั ท ที่ เ ป็ น ห่ ว งและตั ก เตื อ นคนในห้ อ งไม่ ใ ห้ ส่ ง เสี ย งรบกวนการทำ � ต้ น ฉบั บ ของผม...ซึ่งตัวพี่อ้อมนั่นแหละดันหัวเราะตลอดเวลา และหัวเราะเสียงดังที่สุด

ทีมงานซับโปรดักชั่น: กอง MONDAY

ขอบคุณโจ้ทร่ี ว่ มกอดคอกันหวิวว่าต้นฉบับเราจะเสร็จทันมัย้ และให้ก�ำ ลังใจ กันเสมอมา | ขอบคุณพีว่ ชิ ยั ทีเ่ สนอไอเดียบางอันให้มาเขียนกันในเล่มนี้ และเสนอ ให้วาดแมวตัวเองลงไปด้วย (อยูต่ รงไหนไปหาดูกนั เอาเองนะครับ) | ขอบคุณบัฟโฟ่ ที่ช่วยเสนอไอเดียหลายอันในตอนร่างต้นฉบับช่วงตั้งต้น

ทีมงานถ่ายทำ�:

ขอบคุณพี่โอห์มที่เสี่ยงชีวิตและสละเวลามาถ่ายรูปให้ผมหลายรูปมาก เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงขนมนะ

ทีมงานข้อมูล:

ขอบคุณเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กที่คอยสนับสนุนและให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ จักรยานมากมาย ทั้งตอนที่เป็นริดสีดวง ตอนจักรยานหาย ตอนจะซื้อของแต่งรถ และอีกหลายเรื่องเหลือเกินที่เสนอคอมเมนต์กันเข้ามา | ขอบคุณคนในเว็บบอร์ด จักรยานทัง้ หลายทีเ่ วลาผมมีปญ ั หาอะไรก็จะเข้าไปหาข้อมูลจากทีพ่ วกคุณได้เขียน ประสบการณ์แบ่งปันเอาไว้

ทีมงานแรงบันดาลใจ: a day Magazine

ขอบคุ ณ ที่ ส ร้ า งแรงบั น ดาลใจทำ � ให้ ผ มกล้ า ปั่ น จั ก รยานไปไหนมาไหน ขอบคุณที่จัดงาน a day BIKE FEST | ขอบคุณเอี่ยวที่สละเวลาในช่วงที่กำ�ลังปิด


เล่มหฤโหดมาเขียนคำ�นิยมให้ครับ | และขอบคุณโตที่ช่วยแนะนำ�ตอนปะยาง จักรยานให้นะ ถ้าโตไม่บอกเคล็ดให้ ผมคงหารูรั่วกันชาติเศษกว่าจะเจอ

นักแสดงรับเชิญ:

ขอบคุณเฮีย ส.สมบัติ ที่ขายจักรยานให้ และขอบคุณพนักงานในร้าน ทุกคนที่บริการอย่างมีระดับ ประทับใจ | ขอบคุณคนขับรถทุกคันที่ปรากฏตัว ในหนังสือเล่มนี้ไม่ว่าจะมาในบทตัวร้ายหรือตัวดี พวกพี่ก็ถือเป็นหนึ่งในนักแสดง ที่ควรค่าแก่การจดจำ� ...และ | ขอบคุณคนปั่นจักรยานทุกคนที่ผมพบเจอใน เส้นทางเดียวกัน ที่ทำ�ให้ผมมีรอยยิ้ม มีกำ�ลังใจ และมีความสุขกับมิตรภาพบน ท้องถนน ขอขอขอบคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้จริงๆ (กิจกรรมร่วมสนุก: ลองนับซิว่าตอนนี้ผมใช้คำ�ว่า ‘ขอบคุณ’ ไปทั้งหมดกี่ครั้ง?)



น ย ี ข เ ฯ ่ ู ภ ิ ต ั ว ประ

ชื่อเล่นจริงๆ ชื่อภู ส่วน ‘ภูภู่ฯ’ คือนามปากกา แม่ไม่ได้ตั้งชื่อน่ารัก แอ๊บแบ๊วแบบนี้ให้แต่แรก เป็นคนเชียงใหม่โดยกำ�เนิด เกิดที่โรงพยาบาลมหาราช เวลาตกฟาก ไม่ทราบแน่ชดั กรุป๊ เลือด A สัดส่วนไม่ทราบแน่ชดั ส่วนสูง 178 เซนติเมตร น้ำ�หนักขอไม่บอก และเป็นคนเลียข้อศอกตัวเองไม่ถึง เริ่มขี่จักรยานตั้งแต่แบเบาะ จำ�นวนที่ล้มนับครั้งไม่ถ้วน จำ�นวนที่ลุก ก็คงมีเท่าๆ กันมั้ง อาชีพหลักคือเป็นนักวาดลูกครึ่งนักเขียน สามารถทำ�ได้ทั้งสองอย่าง ฟังดูเหมือนจะเก่งเทพ แต่ส่งต้นฉบับช้าแทบไม่ทันเดดไลน์ทั้งสองอย่าง เคยมีผลงานในฐานะนักวาดภาพประกอบและนักวาดการ์ตูนในหนังสือ หลายเล่ม หนังสือของตัวเองเต็มตัวเล่มแรกจริงๆ คือ เรียกผมว่า...Rookie! ปัจจุบัน หาซื้อยากมาก ทราบว่ามีการประมูลในตลาดมืดเล่มละกว่า 15,000 ดอง ปัจจุบันทำ�งานอยู่กับ MONDAY ที่เป็นดิจิทัลแมกกาซีนรายสัปดาห์ของ อะบุ๊ก ใครมีแท็บเล็ตลองไปโหลดอ่านกันได้ ราคาแค่ 25 บาทเอง ถูกกว่า ข้าวแกงจานนึงซะอีก


Instagram @phuphuphuphuphu มีแต่รปู ไร้สาระและชีวติ พรรคกระยาจก วนเวียนอยู่กับภาพมาม่า ปลากระป๋อง และจักรยาน ใครชอบดูภาพซูชิ ฟัวกราส์ หรือว่าขวดไวน์ เชิญข้ามไปได้เลย Twitter @phuphu ไม่ค่อยได้โพสต์คำ�คมอะไร เลยโชคดีที่ไม่โดนแฟนเพจ กากๆ ก๊อปไปแล้วอัพใหม่ Facebook /phuphuphuphuphu บ่นเวิ่นเว้อไปเรื่อยตามประสาคนโสด บางทีก็ดราม่าบ้าบอ โพสต์กันตามใจฉัน Fanpage /PHU2PAGE พักนี้ไม่ค่อยได้อัพอะไรเลย กราบขออภัย Website phuphuphuphuphu.com ...ดองมานานมาก ถ้าว่างๆ แวะเข้าไป ดูฆ่าเวลาได้นะครับ ผลงานอื่นๆ เข้ากูเกิ้ลแล้วพิมพ์คำ�ว่า ‘ภูภู่ฯ’ หรือ ‘ภูภู่’ หรือ ‘phuphu’ ไอ้ที่ปรากฏมานั่นแหละคือผลงานทั้งหมดครับ ลองหาดูได้ (ดีไม่ดีอาจจะ เจอภาพหลุดโป๊ๆ ก็เป็นได้) ชีวิตนี้ไม่เคยมี hi5 ...ถ้ามีแสดงว่าเป็นตัวปลอม





Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.