อันนูร 2

Page 1

1


บ้านหลังเดิม บรรณาธิการ | ปรัชญา หวันหมาด และ Nu’nee บรรณาธิการบริหาร | นายเดือนสิบ และนินา ออกแบบปก | Nu’nee ศิลปกรรม | นินา จัดรูปเล่ม | นายเดือนสิบ พิสูจน์อักษร | ทีมงานวารสาร

“ที่ชุมนุมถนนนักเขียน เพราะความคิดไม่ถูกจ�ำกัดไว้ เพียงคนสองคน”


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปราณียิ่งเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ค�ำสดุดีและการอ�ำนวยพรจงมีแต่ท่านนบีมุหัมมัด บรรดาภรรยาของท่าน เหล่าเศาะหาบะฮฺ ตลอดจนผู้ด�ำเนินตามแนวทางของท่านเหล่านี้ตราบจนวันกี ยามะฮฺ อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะห์มาตุลลอฮิวาบารอกาตุฮฺขอทักทายพี่น้องที่เคารพรักทุกท่านด้วยกับ ค�ำทักทายที่สวยงามที่สุด ด้วยค�ำทักทายที่เราใช้ทักทายกันในสวรรค์อันสถาพรของพระองค์อัลลอฮฺซุบ ฮานาฮูวะตะอาลา ครับพี่น้องผู้รักการอ่านทุกท่าน ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนน่ะครับ ขอมาอัฟทุกท่านที่ อันนูรเล่มนี้ออกล่าช้าไปนิดขัดติดไปหน่อย เนื่องจากข้าพเจ้าและทีมงานเองต่างก็มีงานเยอะพอควร ไหนทั้งงานตัวเอง งานสังคม บารานาเลยครับ แต่ถึงยังไงความหวังยังคงมีตัวตน หวังว่าอันนูรเล่มสอง จะออกฉายถ่ายทอดสู่สายตาพี่น้องทุกท่าน และณบัดนี้ก็ได้ตามหวังแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีงานต่างๆมารุม เร้าซารานัว แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ เอิ่มขอวกเข้าสู่เนื้อหาเลยน่ะครับ ส�ำหรับอันนูรเล่มนี้ ถือเป็นอาหารชั้นดีเลยส�ำหรับผู้รักการ อ่านทุกท่าน พี่น้องจะได้ท่องไปตามท้องทะเลแห่งความรู้สึกของเหล่าบรรดานักเขียนและนักอยาก เขียนที่คัดสรรกันมาอย่างดิบดี ในคอนเซปที่ว่า “บ้านหลังเดิม” ซึ่งอาจจะท�ำให้บางท่านอินไปกับ บทความนั่งอ่านไปคิดถึงบ้านไปหรือนั่งอ่านไปทบทวนตัวเองไป ซึ่งส�ำหรับข้าพเจ้าแล้วบ้านหลังเดิมคือ บ้านของผู้ศรัทธาทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ เป็นบ้านที่เราเหล่าบรรดาผู้ศรัทธาใฝ่ฝันถวิลหา อยากจะกลับไป พ�ำนักพักพิง ณ บ้านแห่งนั้น จากที่ได้เหนื่อยล้าในบ้านเช่า(ดุนยา)ที่สังคมอุดมไปด้วยความอยุติธรรม บ้านที่มีแต่ความสงบมีแต่ความสุขสบายเหนือค�ำบรรยายจิตนา บ้านเกิดที่เราจากมาตั้งแต่มนุษย์คน แรก บ้านหลังนั้นคือ “สวรรค์” นั่นเอง พอพูดถึงความอยุติธรรมก็อดนึกถึงพี่น้องร่วมชาฮาดะห์ของเราเป็นไม่ได้ ก็ขอแทรกนิดนึงเลย หล่ะกัน หวังว่าพี่น้องที่อ่านทุกท่านยังคงไม่ลืมเรื่องราวพี่น้องมุสลิมของเราทั่วโลกที่ถูกอธรรม ไม่ว่าจะ เป็นที่ซีเรีย ปาเลสไตน์ โรฮิงยา และอีกหลายแห่ง และล่าสุดที่สถานการณ์ก�ำลังระอุเดือดเลือดพล่าน ร้อนแรงอยู่ ณ ตอนนี้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมที่แอฟริกากลาง โดยการกระท�ำที่ต�่ำช้ายิ่งกว่า สัตว์เดรัจฉาน ขออภัยหากใช้ค�ำพูดไม่สุภาพหยาบไปหน่อย แต่พอพูดถึงเรื่องนี้มันซาลาปรี๊ดเลยครับ พี่น้องบางท่านอาจสงสัยว่า พูดถึงเรื่องบ้านหลังเดิมอยู่ดีๆ เอ๊ะมาเรื่องนี้ซ่ะงั้น คือข้าพเจ้า ต้องการมัดความทรงจ�ำพี่น้องทุกท่านไม่ให้หลุดไม่ให้ลืมไม่ให้เป็นแค่กระแส เวลาเขารณรงค์กันก็เอา บ้าง พอเวลาพ้นไปสักนิด ก็ลอยหายลายละลิ่วไปกับกระแส อยากให้พี่น้องที่อ่านทุกท่านมีพี่น้องร่วมชา ฮาดะห์อยู่ในดุอาอฺเสมอ แน่แท้เมื่อเราดุอาอฺแก่เขาก็เท่ากับว่าเรารักเขา เมื่อเรารักเขาก็เป็นสัญญาณ หนึ่งของอีหม่านที่สมบูรณ์ และอีหม่านที่สมบูรณ์ ก็คือคุณลักษณะของชาวสวรรค์ ดังฮาดิษที่ว่า


ِ ‫َح ُد ُك ْم‬ َ ‫ «ال يـُْؤم ُن أ‬:‫عن أنس بن مالك رضي هللا عنه عن النيب(صلى هللا عليه وسل) قال‬ ِ َ َ‫َخي ِـه ـ أَو ق‬ ِ َّ ‫ح َّت ي ِـح‬ ‫ متفق عليه‬.»‫ب لِنـَْف ِس ِه‬ ُّ ‫ـجا ِرِه ـ َما يُ ِـح‬ َ ‫ال ل‬ ْ ْ ‫ب أل‬ ُ َ จากอนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “คนหนึ่งคนใดในกลุ่มพวกท่านการศรัทธาของเขายังไม่สมบูรณ์ จนกว่าเขาจะรักให้ได้แก่พี่น้อง ของเขา – หรือเพื่อนบ้านของเขา - เสมือนที่เขารักให้ได้แก่ตัวของเขาเอง” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 13 ส�ำนวนหะดีษเป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 15) และนี่ก็คือหนทางหนึ่งที่จะท�ำให้เราได้เข้าสวรรค์ได้กลับสู่บ้านหลังเดิมที่พวกเราใฝ่ฝัน เรื่องราวของแต่ละบทความจะเป็นอย่างไรจะสะกดจิตสะกิดใจท่านผู้อ่านได้มากน้อยเพียงใด ขอ เชิญพี่น้องทุกท่านเตรียมกราดสายตาระดมตัวอักษรกันเลยครับ สุดท้ายนี้หากอันนูรเล่มนี้ผิดพลาดประการใดก็ขอมาอัฟ ณ ที่นี้ด้วยน่ะครับ

ปรัชญา หวันหมาด (บรรณาธิการวารสารอันนูร) 19/2/2014


ค�ำน�ำ

บ้านหลังเดิม 1

| -Harry-

6

คิดถึงบ้าน

| พี่ลิงจ๋อโกโก้

8

ถึง…บางช่วงของชีวิตที่สายลมพัดผ่าน | Remember. Zn

12

บ้านหลังเดิม 2

| มูฮัมมัดยาซีนเหล็มหมาน

13

ความเรียบง่ายสู่ความสุข

| ไร้ตัวตน

16

สู่การใคร่ครวญ

| เยาวชนแห่งความหวัง

18

นิทาน

| รุ้งกินน�้ำ

22

ฮิญาบ : สัญลักษณ์ของการกดขี่ ?

| อาฟนาน พิชิตแสนยากร

24

การ์ตูนอันนูร

| Nu’nee

26


6

บ้านหลังเดิม 1 เรื่อง | -Harryภาพประกอบ | นินา


7

ผมเป็นมุสลิมคนหนึ่งที่ได้เดินเข้ามาในบ้านแห่งนี้ บ้านซึ่งมีความหลากหลายทางศาสนา ความ หลากหลายทางวัฒนธรรม บ้านหลังนี้ของผมมีชื่อว่า “มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์” ตั้งแต่ผมได้เข้า มาอยู่ในหลังคาบ้านหลังนี้ ผมก็ได้รับความอบอุ่นจากรุ่นพี่เป็นอย่างมาก พี่ๆคอยน�ำไปในทางที่ดีๆ ดูแล เหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ ตอนนี้ผมอยู่ปีสามแล้วครับ ผมยังจ�ำได้ว่า ตอนที่ผมอยู่ปี1 ผมไม่รู้จักใครเลย เพราะผมมาเรียนที่นี่โดยไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนหรือคนที่รู้จักมาเรียนด้วยเลย ส่วนห้องที่ผมพักก็มีแต่ เพื่อนต่างศาสนาท�ำให้เวลาผมจะท�ำละหมาดนั้นไม่กล้าท�ำ แต่พี่ๆก็เปิดโอกาสให้ผมและเพื่อนๆมุสลิม อีกหลายคน โดยพี่ๆจะมาปลุกถึงหน้าห้องเพื่อไปละหมาดที่ห้องละหมาดรวม ซึ่งผมไม่เคยรู้เลย ณ ตอน นั้นว่ามีห้องละหมาด หลังจากละหมาดเสร็จ พี่ๆก็ดูแลให้เราท�ำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย โดยจะ แนะน�ำว่ากิจกรรมไหนท�ำได้หรือท�ำไม่ได้เหมาะแก่ศาสนาของเราหรือเปล่า และที่ผมประทับใจมากๆ ในบ้านหลังนี้คือ การอยู่ร่วมกันของนักศึกษาที่นับถือศาสนาต่างๆแต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เข้าใจซึ่งกันและกัน บ้านแห่งนี้มีอะไรมากมาย มีการเรียนการสอนที่ครบวงจร มีชุมนุม ชมรมดีๆ มากมายให้เราได้เลือก และมีกิจกรรมต่างๆอีกเพื่อที่พัฒนาเราให้เป็นคนดีมีประสิทธิภาพออกสู่สังคม ที่ ส�ำคัญคือกิจกรรมทางศาสนาของทุกๆศาสนาที่มีการให้ความส�ำคัญและใส่ใจหมดทุกศาสนา และ กิจกรรมที่ผมไม่เคยลืมและจ�ำได้ถึงปัจจุบันนี้คือ กิจกรรมบ�ำเพ็ญประโยชน์ตอนปี 1 ซึ่งพวกเรามุสลิมได้ ออกไปบ�ำเพ็ญประโยชน์กันภายนอกมหาวิทยาลัย โดยการไปท�ำความสะอาด ตกแต่งสุสานให้ดู เรียบร้อย ไม่เต็มไปด้วยหญ้าหรือกิ่งไม้ต่างๆ เมื่อเราท�ำเสร็จก็ได้ไปร่วมรับประทานอาหารกันและได้ ละหมาดร่วมกันกับพี่ๆในบ้านแห่งนี้ มันท�ำให้ผมรู้สึกว่าเราได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งๆที่ผมไม่รู้จัก ใครเลย นิสัยผมนั้นเป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าท�ำให้เหมือนผมดูเข้ากับเพื่อนได้ยาก แต่ในใจจริงๆของผม ผมอยากที่จะรู้จักกับทุกๆคนมาก ที่ได้เล่าไปนั้นเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่ผมได้อยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์แห่งนี้ให้อะไรกับผมมากมาย หากผมได้ศึกษาจบไปจากที่นี่แล้ว ผมก็ จะไม่ลืมบ้านหลังเดิมหลังนี้แน่นอนครับ ผมเป็นมุสลิมคนหนึ่งที่ได้เดินเข้ามาในบ้านแห่งนี้ บ้านซึ่ง มีความหลากหลายทางศาสนา ความหลากหลายทางวัฒนธรรม บ้านหลังนี้ของผมมีชื่อว่า

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


คิดถึงบ้าน

8

โดย พี่ลิงจ๋อโกโก้

หลายปีมาแล้วที่ฉันตัดสินใจ เดินออกมาจากบ้าน . . หลังนั้น ประโยคสุดท้ายที่พอจะจ�ำได้ คือ ค�ำบอกลาของพี่คนโตผู้ที่ดูแลฉันมาตลอด “พี่เชื่อว่าเธอมีเหตุผล พี่จะไม่รั้งเธออีกแล้ว มีอะไรก็ติดต่อมาได้เสมอเลยนะ อย่าลืมส่งข่าวกลับ มาบ้าง หลายคนที่นี่ยังรอเธออยู่” สายตาที่พี่ส่งมา เชื่อได้ว่าพี่ไว้ใจฉันมากเหลือกิน หายใจเข้าเฮือกสุดท้าย รับอากาศของบ้าน กลิ่นของบ้าน บรรยากาศของบ้าน ไว้เต็มที่ฉันระดม พลังสู่สายตา มุ่งไปยังประตูรั้วอย่างแน่วแน่ ไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่เห็น ดวงตาหลายดวงที่เจือด้วยด้วยความไม่เข้าใจออกมาจางๆ ที่ตรงนั้น หน้าต่างนั้น ที่ห้องของฉัน ห้อง นอน . . ของเรา ในช่วงแรกๆ ฉันอดคิดถึงบ้านนั่น ไม่ได้เลย ทุกย่างก้าว ทุกค�ำพูดของใครก็ตามที่เดินผ่าน มักมีความเหมือน คล้ายกับคนในบ้านแทบจะทั้งสิ้นฉันต้องจ�ำใจ วางทุกคนข้างไว้ข้างหลัง หากใครที่มา เจอกันข้างหน้า ฉันก็จะยิ้มทักทาย เพื่อเริ่มท�ำความรู้จักกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง . . ตามปรกติแล้วก็มักจะออกมารับลมเย็นๆข้างนอก ตอนหัวรุ่งซื้อข้าวย�ำ ไข่ต้ม และน�้ำชาร้อน ๆ พอเป็นพิธีเหมือนทุกวันที่ร้านเจ้าเก่าแค่เมื่อฉันนั่งลง เจ้าของร้านก็จะยกมาเสิร์ฟ . . โดยที่ไม่ต้องสั่งเลย แต่วันนี้ไม่ใช่หรอกนะ ฉันอาจจะท�ำให้เจ้าของร้านผิดหวัง หรืองงเล็กน้อย เพราะวันนี้ฉันอยากกิน ข้าวต้ม ไข่ลวก และนมเย็นสักแก้วมากกว่า ไม่ทันได้เอ่ยขอโทษ เจ้าของร้านก็ขอโทษฉันเสียยกใหญ่ เขาพูดว่า “ฉันไม่น่าท�ำอย่างนี้เลยบางทีฉันอาจจะคิดไปเอง ว่าเธอชอบในสิ่งนั้นสิ่งนี้ เอาเสียเอง อยู่เรื่อย” ฉันตอบ “อ้อ ไม่เป็นไร ที่ไม่ได้สั่งเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะฉันไม่ชอบมันแล้วนะ ชอบน่ะ ชอบอยู่เหมือน เดิมแหละ แต่วันนี้ขอเปลี่ยนนิดหน่อย อยากกินอย่างอื่นบ้าง ของในร้านมีตั้งมากมาย ผ่านไป หลาย เดือน ฉันเคยกินแค่เมนูเดียวเอง ขอชิมอย่างอื่นบ้าง น่าอร่อยดีนะ เฒ่าแก่”

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหนูนี่จริงๆเลย...” ฉันยิ้มตอบไป

อาหารเช้าในวันนี้ท�ำให้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีไม่น้อย ฮ่า ๆ ฉันก็ชอบคิดเล็กให้ใหญ่ คิดใหญ่ ให้เล็กแบบนี้แหละ แต่ทว่าฉันรู้สึกเหมือนได้ยิน เสียงของใครบางคนไม่ถนัดหูนัก แต่ก็ท�ำให้ฉันหลุด


9

ออกจากความคิดตลกๆ ของตัวเองออกมา ฮืม . . เหมือนเขาจะเรียกชื่อฉัน “...” เพียงแค่สายตาที่สบกัน ฉันไม่กล้าพูดอะไรออกมา “เธอ..” เธอคนนั้นยิ้มตอบกลับมา และเราก็ได้คุยกัน ฉันไม่พูดชื่อเธอเลยสักครั้ง ไม่ได้กลัวว่าจะจ�ำผิด หรอกนะ ฉันจ�ำได้มาตลอด ตลอดเวลาที่เราห่างไกลและฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ไม่รู้สิ ฉันไม่อยากเรียกชื่อ เธอเลยจริง ๆ คุยกันยกใหญ่ เธอคงเห็นการเปลี่ยนแปลงของฉันไปมากเลยกระมัง นั่นไม่ท�ำให้เธอแปลกใจ หรอกนะ เพราะฉันก็ยังมีมุมเดิมๆที่เธอคุ้นชินอีกแยะ นั่นไม่ท�ำให้การสนทนาของเราดูอืดขรึมไปเท่า ไหร่นักหรอก และเธอได้เล่าเรื่องราวภายในบ้าน หลังที่ฉันออกมา ฉันเชื่อว่ามันคงจะครบทุกฉากทุกตอนจริงๆ อาจจะข้ามไปบ้าง เพราะเธอชอบเล่าฉากที่เธอชอบ และข้ามฉากที่เธอเจ็บปวดเกินไป เธออยากจะลืม มัน . . เธอเคยบอกฉัน เรื่องราวจบลงที่เธอเลือกจะออกมาจากบ้าน ตามหาฉัน แต่ฉันแย้งไปเสียก่อน เธอคงตามฝันของตัวเองมากกว่า ไม่ใช่ตามหากันหรอก เธอยิ้ม ขอโทษทางแววตา แบบนี้ฉันจ�ำได้ ฉัน ไม่โกรธเธอหรอก เล่ามาต่อเถอะ หลังจากที่เราคุยกันจบ ยังไม่ทันได้ขอเบอร์โทรศัพท์ เธอก็ตะโกนจากฟากถนนว่า ยังใช้เบอร์เดิม และทุกคนก็เหมือนกัน ฉันเริ่มไม่เข้าใจว่าเธอก�ำลังสื่อถึงอะไร ทุกคน ก็เหมือนกัน ก็เหมือนเดิม ? ฮืมมม เพียงแค่นี้ก็ท�ำให้กิจวัตรของฉันจากนั้นดูวุ่น ๆ กับค�ำสองสามค�ำนั้นไม่น้อย . . เหมือนเดิม ?อย่างนั้นเห รอ? หลังจากที่ฉันได้พบกับเธอ จากนั้น ฉันก็ได้เจอกับ ค น ใ น บ้ า น มากมาย มากมายจริงๆ เกือบ จะครบทุกคนละมั้ง เว้นแม้แต่ คนที่ฉันอยากเจอที่สุด . . . พี่คนโต ช่วงหัวค�่ำที่ฉันเรียก อาจจะหมายถึงเวลา ดึกค�่ำของใครบางคน ก็ฉันเพิ่งเสร็จกิจวัตรประจ�ำวันนี้ ฉัน ก็ยังอยากมีหัวค�่ำเหมือนคนอื่น ตอนนี้เวลา สี่ทุ่มตรง เหมือนนิ้วชี้กับนิ้งกลาง เวลากางออก ฉันชอบ บอกเพื่อนๆ ของฉันแบบนี้เสมอ ฉันก็กลับที่พักตามปรกติ อ้อ ฉันไม่ใช้ค�ำว่าบ้านมานานพอสมควร ก็ตัง แต่วันนั้นน่ะแหละ ไม่มีที่ใด ให้ค�ำว่าบ้านมีชีวิตชีวาได้อีก ฉันเลยไม่ใช้ค�ำว่าบ้าน ที่พักก็ดูดี อาจจะสบาย กว่าที่บ้าน อาจจะสะดวกกว่าที่บ้าน อาจจะเหงากว่าที่บ้าน อาจจะหนาวกว่าที่บ้าน แต่มันก็ท�ำให้ชีวิต ฉันได้ตามฝันของตัวเองต่อไป ไม่เหมือนที่บ้าน ที่ไม่มีที่ว่างส�ำหรับฉัน ไม่มีที่ยืนส�ำหรับฉัน ไม่มีความ อบอุ่นที่ต้องการ แต่ที่นี่ ก็ไม่มีเหมือนกัน แล้วฉันหาอะไรอยู่ ? ป้ายรถเมล์เป็นอีกที่ที่ท�ำให้ฉันได้ระลึกถึงสิ่งรอบข้าง หากว่าฉันนั่งคนเดียว และไม่มีคนลงจาก รถ คนขับรถก็ไม่หยุดให้ฉันหรอกนะ เขารู้ ว่าฉันไม่ขึ้น และฉันก็ไม่เคยขึ้นไปไหนเลย ครั้งที่สุดท้ายที่จ�ำ


10

ได้ ก็ตอนลงจากรถที่มาจากบ้าน และลงมาที่นี่ บางทีเธอรู้สึกเหมือนกันมั้ย ว่าฉัน . . คิดถึงบ้าน วันเวลาผ่านไปสักพัก นานพอที่จะท�ำให้ฉันคลายความคิดถึงลงไปบ้าง ไม่มาก . . ก็น้อย มือและแขนที่โอบฉันมาจากข้างหลัง ไม่มีเสียงเรียกชื่อฉันไม่มีเสียงทักทายกัน มีแต่เสียงลมหายใจแผ่วๆในจังหวะที่คุ้นยิ่งนัก และเสียงของน�้ำไหล . . น�้ำที่ไหลออกมาจากตาจน ความชื้นบนบ่าฉันมันมากขึ้น เรียกว่าเปียกได้เลยล่ะ ฉันตกใจแต่รู้สึกเหมือนไม่มีแรงปัดแขนคู่นั้นออก จนที่เธอคนนั้นรียกชื่อฉันออกมาฉันจ�ำเสียงนี้ได้ “พี่ คนโต” ต่างจากที่ฉันเจอกับเธอคนแรกอย่างสิ้นเชิง . . ไม่มีค�ำพูดใด ๆ ออกมา มีแต่รอยยิ้ม และแววตา แห่งความคิดถึง ล้นปรี่ “พี่เป็นไงมั่ง...” ฉันเอ่ยค�ำถามแรก และเป็นค�ำถามเดียวที่ฉันถาม นอกนั้นพี่ก็เล่าเองทั้งหมด ค�ำถามจากพี่มากมาย ไม่ทันที่จะตอบได้หมด เราก็ง่วงมากจริงๆ ฉันเลยชวนพี่มานอนด้วยกัน เราคุย ด้วยกันทั้งคืน รู้สึกดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ก็คงไม่ต้องนอนกันแล้วล่ะ แหน่ะ เธอคงไม่คิดหรอกนะ ว่าฉันจะกลับบ้าน หรือฉันจะอยู่กับพี่ หรือฉันจะ . . .บลา ๆ อย่าเพิ่งเดาไปเลย เธอยังไม่รุ้จักฉันดี หรือการที่รู้จักกันดี ท�ำให้เธอสามารถคิดไปเองแทนกันได้ หรอ ? ไม่หรอก เธอก็คงไม่อยากให้คนอื่นคิดและตัดสินใจแทนเธอเองหรอกใช่มั้ย :) เป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยากจริงๆ ที่รู้ว่าพี่คนโต จะย้ายมาอยู่ที่พักข้างกัน โดยไม่ได้นัดหมาย

เป็นก�ำหนดการของพระเจ้าล้วนแล้วทังสิ้น อัลฮัมดูลิลาฮอัลลอฮุอักบัร ! และชีวิตของฉันยังเดินก้าวไป ความคิดถึงกันยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ เมื่อมีเวลาว่าง ฉันมักจะติดต่อหา ค น ที่ บ้ า น เสมอ

และได้รู้วันนี้ค�ำว่าบ้าน อาจจะไม่ใช่สิ่งก่อสร้างเสมอไป บางทีมันก็หมายถึง ความผูกพันธ์ภายใน นั้นต่างหาก ภายในหัวใจของเรา อีกไม่นานจะมีการนัดพบกัน ไม่มีโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ ไม่มีการก ระจายข่าวตามหนังสือพิมพ์หรือวิทยุ เป็นการกระจายข่าวตามความคิดถึง ส่งต่อกันเป็นระลอกๆ อาจ จะติดขัดกันบ้างพอเป็นพิธี ก็รู้สึกดีใจไม่น้อย ที่จะได้เจอกันอีกครั้ง มองออกไปนอกหน้าต่าง ทางที่ฉันไม่ค่อยไปเจอนัก ต้นไม้ดอกไม้ข้างนอกกดูสวยงามกว่าปกติ


11

มากนัก ก็ไม่รุ้สิ ฉันรุ้สึกว่ามันสวยงามขึ้นมากจริงๆ สายตาละเมอล่องลอยไปไกลในอดีต หยาดน�้ำไหลออกจากเบ้าตา โดยมิได้ตั้งใจ และไม่ต้องใช้ ความพยายาม “นี่หนู . . คิดถึงบ้านหรอ นั่งเหม่ออยู่นานละนะ ป้าดูอยู่” คุณป้าที่นั่งข้างๆพร้อมหลานอีกสอง คน จ้องมองฉันและยิ้มปากกว้าง

“แหะๆ คงงั้นมั้งคะ หนู คงคิดถึงบ้านจริงๆ”

“...” และเราก็คุยกันต่อจนหลานตัวเล็กง่วงนอนเราเลยหยุดคุยกันให้แกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

ถึงตอนนี้ ฉันไม่สามารถปฏิเสธความจริงนั้นได้แล้วล่ะ . . ใช่ ฉันคงคิดถึงบ้าน . . คิดถึง คนที่บ้าน


12

ถึง…บางช่วงของชีวิตที่สายลมพัดผ่าน Remember. Zn

ในทุกๆลมหายใจ ทุกๆย่างก้าว ทุกๆการกระทำ� ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นใน ชีวิต ล้วนถูกเฝ้ามองจากพระองค์ทั้งสิ้น. บ่อยครั้งที่พลั้งเผลอไปกับการกระทำ�ที่ไร้ประโยชน์….ลืมไปว่ายังมีใครเฝ้ามองเราอยู่ บ่อยครั้งที่ควบคุมหัวใจและความรู้สึกไม่ได้….ลืมไปว่ายังมีใครเฝ้ามองเราอยู่ บ่อยครั้งที่หลงลืมและมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆไป….ลืมไปว่ายังมีใครเฝ้ามองเราอยู่ ศึกษาอ่านคัมภีร์ของพระองค์น้อยลง จิตใจไม่ได้นึกถึงพระองค์เสมอ…ทั้งที่พระองค์ทรง ประทานสิ่งที่ดีที่สุดและไม่เคยทอดทิ้งบ่าวของพระองค์เลยอย่าเป็นอย่างนั้น อย่ากระทำ�เช่นนั้น จงตระหนักให้มากกว่านี้ จงหมั่นตรวจสอบอีหม่านให้มาก อย่าให้ต้องเจอสภาวะ ”อีหม่านอ่อนแอ” จะปล่อยให้ชีวิตดำ�เนินเช่นนี้ไปกี่ช่วงของอายุถึงจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น สายตา ริมฝีปาก ลิ้น มือและเท้าให้เต็มไปด้วยกับการรำ�ลึกถึงพระองค์เถิด ก่อนจะลงมือทำ�อะไรสักอย่าง และที่สำ�คัญก้อน เนื้อก้อนหนึ่งในร่างกายนั้นก็คือ “หัวใจ”อย่าได้หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าที่อยู่รอบตัวที่จะนำ�พาไปสู่สิ่งชั่วร้าย ไม่ดีไม่งามต่างๆและขอให้หัวใจดวงนี้มั่นคงอยู่กับการรำ�ลึกถึงพระองค์และอยู่ในหนทางของศาสนาอัน เที่ยงตรงของพระองค์ ขอให้ความรักของฉันและท่าน ชีวิตของฉันและท่าน วันคืนในชีวิตของฉันและ ท่าน การละหมาดของฉันและท่าน และทุกๆการงานของฉันและท่านดำ�เนินไปเพื่อพระองค์ด้วยความอิ คลาสอย่างแท้จริงด้วยเถิด … พระองค์ผู้ทรงอภัยโทษเสมอ

“อย่าลุ่มหลงกับสิ่งที่ตอบแทนเราแค่ชั่วคราว จงใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานด้วยความระมัดระวัง และอยู่บนพื้นฐานของอัลอิสลาม…เตือนฉันเตือนเธอเราต่างเตือนกันและกัน”


บ้านหลังเดิม 2

13

โดย มูฮัมมัดยาซีนเหล็มหมาน @ ปัตตานี ธ.ค.2556

เรา...ล้วนทราบถึงที่มาของบ้านหลังเดิม

บ้านหลังเดิม ที่ได้เติมโตตั้งแต่วัยเด็ก

บ้านหลังเดิม ที่อบอุ่นเหนือคำ�บรรยาย

บ้านหลังเดิม ของบรรดานักศึกษา

บ้านหลังเดิม ของบรรดาผู้ลี้ภัย

บ้านหลังเดิม ที่พังทลายไปตามกาลเวลา

แล้วบ้านหลังเดิม ที่แท้จริงคือ สถานที่ใดกัน..

หากนึกถึง บ้านหลังเดิม เราก็จะนึกถึง......กาลเวลา เหตุการณ์ สิ่งประทับใจ และความทรงจำ�ที่ ไม่อยากจดจำ�

บางครั้งก็ต้องการกลับไปสู่ บ้านหลังเดิมหลังนั้น

แต่บางครั้งก็ไม่อยากกลับไปสู่บ้านหลังเดิมเลย

เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น??????

แล้วบ้านหลังเดิม ที่แท้จริงของผู้ศรัทธาคือ สถานที่ใดกัน............................................................. ..............................

สถานที่นั้น คือ « สวรรค์ »

เพราะอะไร....


14

เพราะบ้านหลังเดิม ชั่งสวยงาม หอมหวาน น่าอยู่ ได้ทุกอย่างที่ต้องการ มีแม่น้ำ�หลายสายไหล ผ่าน มีแต่บรรดาคนดี ได้เจอกับบุคคลที่รักที่สุด ได้อยู่พร้อมกับบุคคลที่เรารู้จักเขาผ่านผลงานอันยอด เยี่ยม “และเราได้กล่าวว่า โอ้อาดัม เจ้าและคู่ครองของเจ้าจงพำ�นักอยู่ในสวนสวรรค์นั้นเถิด และเจ้าทั้ง สองจงบริโภคจากสวนนั้นอย่างกว้างขวาง ณ ที่ที่เจ้าทั้งสองปรารถนา และอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้น นั้น (มิเช่นนั้นแล้ว) เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้อธรรมแก่ตนเอง” ซูเราะฮฺอัล บากอเราะหฺ:35 แต่แล้วหลังจากนั้น ชัยฏอนได้ทำ�ให้ทั้งสองได้พลั้งพลาดไป จึงทำ�ให้ทั้งสองได้ออกจากสวน สวรรค์ที่พำ�นักอยู่......

บ้านหลังเดิม ที่ไม่มีอะไรเท่าเทียม หากเราได้กลับสู่บ้านหลังเดิม เราก็จะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ “นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้นวมร่มเงาของสวรรค์จะปกคลุมเขา ผลไม้ถูกโน้มต่ำ�ลงมาใกล้ได้ใช้ภาชนะที่ทำ�ด้วยเงิน แก้วน้ำ�ทำ�ด้วยแก้วใสถูกเวียนรอบๆดื่มเครื่องดื่มจากแก้ว ที่ผสมด้วยขิงมีตาน้ำ�พุ มีเด็กวัยรุ่นวนเวียนอยู่รอบๆ มีแต่ความสุขและอาณาจักรกว้างไพศาล อาภรณ์สีเขียวทำ�ด้วยผ้าไหมละเอียดและหยาบ” ซูเราะหฺอัลอินสาน

“จะได้รับความอิ่มเอิบสดชื่น อยู่บนเตียงที่ประดับด้วยทองคำ�นอนผินหน้าเข้าหากันด้วย ความปิติยินดี ดื่มสุรา ที่ไม่มึนศรีษะและไม่หมดสติมีเนื้อนกที่น่ารับประทานหญิงสาวที่มีนัยน์ตาคมสวยงาม ประหนึ่งไขมุกที่ถูกรักษา ไม่ได้ยินคำ�พุดที่ไร้สาระและเป็นบาป” ซูเราะหฺอัลวากีอะฮฺ

รู้กันเช่นนี้...เชื่อว่ายิ่งต้องการที่จะเข้าสู่สวรรค์มากขึ้น

นี้เป็นแค่บางส่วนที่อัลลอฮฺทรงบอกเราไว้ในอัลกุรอาน เท่านั้น

สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนแด่ บ่าวผู้ที่ยำ�เกรง อดทน และบากบั่นเพื่อความ พอใจของอัลลอฮฺเท่านั้น


15

บ้านหลังเดิมของเราคือ สวรรค์

บ้านเดิมที่บรรพบุรุษของเราเคยใช้ชีวิตอยู่

บ้านเดิมที่ทุกคนต่างต้องการจับจอง

บ้านเดิมที่มีให้เฉพาะแด่ผู้ศรัทธา

บ้านเดิมที่ผู้ปฏิเสธไม่มีสิทธิใดๆ

ดังนั้นขอให้เราได้ทบทวนเป้าหมายและภารกิจอันแท้จริง ในทุกวินาทีของชีวิต..เพื่อเราจะได้รับ ความปีติยินดีร่วมกับเหล่าผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย

จงหวนกลับสู่ การกลับเนื้อกลับตัว

จงหวนกลับสู่ การใส่ใจในอาคีเราะฮฺ

จงหวนกลับสู่ การเป็นบ่าวที่น่ารัก อัลลอฮฺ ทรงตรัสในซูเราะหฺอัลฟัจญฺร:27-30 ไว้ว่า “โอ้ชีวิตที่สงบเอ๋ยจงกลับมายังพระเจ้าของเจ้า ด้วยความยินดี และเป็นที่ปีติเถิดแล้วจงเข้ามาอยู่ในหมู่ปวงบ่าวของข้าเถิด และเจ้าจงเข้ามาอยู่ในสวนสวรรค์ของข้าเถิด.......”

หวังว่าเรา จะได้อยู่ร่วมกัน ณ บ้านหลังเดิม

เพราะเราจากมา จากบ้านหลังเดิม

และเราก็ต้องกลับไปสู่บ้านหลังเดิมอีกครั้ง...อย่างนิรันดร

อัลลอฮฺ ทรงตรัสในซูเราะหฺอัลฟัจญฺร:27-30 ไว้ว่า

“โอ้ชีวิตที่สงบเอ๋ยจงกลับมายังพระเจ้าของเจ้า ด้วยความยินดีและเป็นที่ปีติเถิด

แล้วจงเข้ามาอยู่ในหมู่ปวงบ่าวของข้าเถิดและเจ้าจงเข้ามาอยู่ในสวนสวรรค์ของข้าเถิด.......”


16

ความเรียบง่ายสู่ความสุข

เคยมั้ย ? กับความรู้สึก รีบร้น สับสน เคยมั้ย?กับความรู้สึก ที่จะต้องแบกรับภารกิจ มากมาย ก่ายกอง เคยมั้ย?ที่จะต้องเปล่งค�ำพูดที่ว่า “ฉันไม่มีเวลาพอ”


17

ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้ จะเข้ามามีบทบาทกับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันเหลือเกิน จนดูเหมือนว่า คน เรามักยุ่งจนเกินไป หรือพยายามท�ำกิจกรรมให้มากขึ้น ภายในเวลาที่จ�ำกัด ผลที่ตามมาคือ เราไม่ สามารถที่จะลึกซึ้งไปกับสิ่งต่างๆรอบตัวที่อาจจะให้ความสุขกับเราได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น การเรียน การ ท�ำงาน หรือแม้แต่การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวก็ตาม บางที ความวุ่นวายในชีวิตคนๆหนึ่ง เกิดจากความ ต้องการที่จะให้เป็นไปตามที่สังคมเรียกร้องจะให้เป็น ทั้งๆที่หัวใจของเรานั้นไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย ฉะนั้น เพื่อเปลี่ยนแปลงความยุ่งยากในชีวิตลง และเปิดรับความสุขให้กว้างมากขึ้น เราจึงจ�ำเป็นที่จะ ต้องท�ำให้ชีวิตของเราเรียบง่ายขึ้น ดังค�ำกล่าวของ เฮนรี เดวิด ทอโร ที่เตือนสติคนในศตวรรคที่ 19 ว่า “ความเรียบง่าย ความเรียบง่ายและความเรียบง่าย” ในขณะเดียวกันอิสลามเรา ก็มีแบบอย่างของท่าน นบีมูฮ�ำหมัด(ซ.ล)ที่แสดงถึงความเรียบง่ายของตัวท่าน คือ ท่านไม่ชอบชีวิตที่สับสนวุ่นวาย ชีวิตภายใน ครอบครัวของท่านเป็นไปอย่างเรียบง่าย เช่น นบีจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ดูสุภาพ และที่บ้านท่านก็จะมีเพียงเตียงนอนกับถุงหนังสัตว์ส�ำหรับใส่น�้ำ จนกระทั่งท่านเสียชีวิต ก็มีเพียง ข้าวสาร 2-3 ก�ำมือเท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้แสดงถึงความเรียบง่ายของท่านให้เป็นที่ประจักษ์ “ความเรียบง่าย ความเรียบง่ายและความเรียบง่าย” เฮนรี เดวิด ทอโร จนขนาด มหาตะมะ คานธี ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาว่า “ข้าพเจ้าต้องการที่จะรู้จักคนที่ดี ที่สุด ที่ก�ำหัวใจของมนุษย์นับล้านๆ คน ในปัจจุบัน โดยไม่อาจมีใครโต้แย้งได้ ข้าพเจ้ายิ่งกว่าเชื่อมั่นว่า มิใช่ดาบแต่ประการใด ที่ท�ำให้อิสลามได้ชัยชนะ ในอดีต หากแต่เป็นความเรียบง่าย การไม่ยึดติดอยู่กับ ตัวตนของมูฮ�ำหมัด การรักษาสัญญาของเขาอย่างเคร่งครัด การอุทิศตนให้แก่เพื่อน และบรรดาสาวก ความกล้าหาญทรหด ความไม่เกรงกลัวใคร ความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างหมดใจ และในการปฏิบัติ ภารกิจของเขาเอง สิ่งเหล่านี้ต่างหาก มิใช่ดาบที่น�ำทุกสิ่งมาวางไว้ต่อหน้าพวกเขา และท�ำลายอุปสรรค ทุกอย่าง” จากสิ่งเหล่านี้ได้แสดงถึงพลังของความเรียบง่ายแล้วว่า ความเรียบง่ายไม่เพียงที่จะท�ำให้ ชีวิตมีความสุขมากขึ้น แต่ยังรวมถึงได้เพิ่มศักยภาพในตัวของผู้น�ำ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ เมื่อมอง กลับมาที่ วิธีที่จะท�ำให้ชีวิตของเรานั้น เรียบง่ายขึ้น บางทีเราก็ต้องรู้จักพูดค�ำว่า ไม่ให้บ่อยขึ้นและรู้จัก ปล่อยวางจากกิจกรรมที่ไม่จ�ำเป็นออก เพราะการที่เราได้ท�ำอะไรน้อยลง ไม่ได้บ่งบอกกว่าเราจะ ประสบความส�ำเร็จน้อยลงซะหน่อย


18

:: สู่การใคร่ครวญ ~* #เยาวชนแห่งความหวัง

หลังจากช่วงเวลาของการพักเบรกช่วงเที่ยงได้เสร็จสิ้นไป บรรดานักศึกษารวมถึงผู้เขียน ต่างรีบ เร่งกันไปยังห้องเรียน ห้องเรียนบ่ายของวันนี้ตื่นเต้นและพิเศษกว่าทุกๆวัน เนื่องเป็นวันที่จะได้เห็นถึง ขั้นตอนของการผ่าชันสูตรพลิกศพในบรรยากาศสดๆ ที่ต่างกับบรรยากาศการเรียนกับศพ(อาจารย์ ใหญ่)เมื่อตอนปี 2ที่ร่างกายจะผ่านการดองมาช่วงหนึ่งแล้ว..

ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่นักศึกษาจะได้เห็นการผ่าชันสูตรศพที่พึ่งเสียชีวิตใหม่ๆ ที่นึกแล้วก็แอบน่า กลัวและตื่นเต้น.. หลังจากที่ บรรดานักศึกษาได้เตรียมพร้อมส�ำหรับเครื่องแต่งกายในวันนี้ ด้วยเสื้อกาวน์ยาวสีขาวและ ผ้าปิดจมูก(mask)อันบางๆ ที่คิดว่าน่าจะช่วยระงับกลิ่นบางอย่างได้บ้าง และมานั่งรอกันบริเวณหน้า ห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่กว้างนัก ณ ป้ายด้านหน้ามีชื่อใหญ่ๆว่า“ห้องชันสูตรพลิกศพ” ที่อ่านแล้วก็ชวนตื่น เต้นกันทีเดียว.. เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าห้องจริงแล้ว...... ในระหว่างทางผ่านที่เดินเข้าไป สายตาที่หันไปข้างๆ ได้เห็นร่างที่ไร้วิญญาณ ตั้งวางเรียงรายกัน บางคนหน้าตารุ่นราวเดียวกัน ผิวพรรณยังสดใส ราวกับว่าวิญญาณพึ่งออกจากร่างไปไม่กี่ชั่วโมง ดูแล้ว ก็ต้องกลับมาตอกย�้ำตัวเองว่า “บางที พรุ่งนี้ ร่างที่ไร้วิญญาณนั้น อาจเป็นเราก็ได้” ไม่มีอะไรที่แน่นอน และจีรังส�ำหรับดุนยานี้เลย เพราะมันเป็นเพียงแค่ทางผ่าน ที่จะพิสูจน์ความศรัทธาของทุกดวงใจ เท่านั้น สุดท้ายทุกๆคนก็ต้องกลับไป ณ ที่เดิม นั่นคือ ณ ผู้ทรงสร้าง พร้อมๆกับการงานที่แต่ละคนได้เตรียมไว้

“แต่ละชีวิตนั้น จะได้ลิ้มรสแห่งความตาย” อาลิอิมรอน 185 “เมื่อความตายมาถึงเขาไม่สามารถที่จะขอเลื่อนออกไปได้ หรือว่าเลื่อนให้เร็วขึ้นมาได้ พระ ด�ำรัสของอัลลอฮฺ ได้กล่าวว่าเมื่อก�ำหนดวาระแห่งความตายของพวกเขาได้มาถึง พวกเขาไม่ สามารถเลื่อนเวลาออกไปให้ช้าแม้เพียงสักชั่วโมงเดียว หรือจะรีบเร่งให้ถึงก่อนก็ไม่ได้” (ยูนุส 49) ……………………………………………. เมื่อแต่ละคนก้าวมาถึงหน้าประตู..ทุกคนต่างหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวและเตรียมใจที่จะ


19

เข้าไปเรียนรู้สิ่งใหม่ภายในห้องนั้น..ทันใดที่เพื่อนได้ผลักประตูเข้าไป กลิ่นฟอร์มาลิน(น�้ำยาดองศพ) ส่ง ผ่านผ้าปิดจมูกของพวกเราได้แรงมาก ราวกับว่าผ้าปิดจมูกชั้นเดียวของพวกเราทนรับกลิ่นมันไม่ไหว ต้องสูดยาดม และใส่ผ้าจมูกกันอีกชั้น เพื่อตั้งรับกับกลิ่นที่แรงนี้กันทีเดียว เมื่อตั้งสติได้สักพัก..หันไปมองร่างที่ไร้วิญญาณที่อยู่ด้านหน้า เป็นร่างผู้ชาย ราวๆวัยเดียวกัน ร่างกายอ้วนท้วม ผิวซีดเซียว ล�ำตัวพอง และมีเลือดอาบทั่วบริเวณศีรษะ ร่างชายผู้นี้รอการผ่าชันสูตร พลิกศพ เนื่องด้วย ชายผู้นี้ ได้เสียชีวิตไปด้วยจมน�้ำทะเล ประมาณ 10 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่รู้สาเหตู ของการตายที่แท้จริง ว่ามีการฆาตกรรมก่อนการเสียชีวิตร่วมด้วยหรือไม่ การชันสูตรครั้งนี้ เพื่อยืนยัน ข้อเท็จจริงดังกล่าว .. เมื่อขั้นตอน การผ่าชันสูตรได้เริ่มขึ้น กลิ่นฟอร์มาลีนส่งกลิ่นฉุนยิ่งแรงขึ้น ชวนให้คลื่นไส้อยาก อาเจียน การผ่าในครั้งนี้อาจารย์หมอ ได้เริ่มการผ่าอวัยวะแต่ละส่วน เริ่มจากการผ่ากะโหลกศีรษะ เอา เนื้อสมองมาหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อส่งตรวจพิสูจน์ขั้นตอนต่อไป บรรยากาศของการผ่านั้น เต็มไปด้วยเลือด อาบกระเด็น เป็นเหตุการณ์ที่ช่างหวาดเสียว ส�ำหรับผู้เขียนเองรู้สึกเหมือนจะเริ่มทนไม่ไหวขึ้นมากทุกที ไม่ว่ากลิ่นที่แรงมากขึ้น เลือด ความ หวั่นๆ หัวใจที่นึกถึงความสงสารร่างของชายผู้นี้ ดวงวิญญาณของเขาเป็นเช่นไรบ้าง... แล้วหากวันนั้น เป็นวันของเรา ดวงวิญญาณของเราจะจากไปในสภาพใด สภาพของโลกบัรซัค วันอาคีรัต ค�ำถามเหล่านี้ ยังคงวนเวียนไปมาในความคิด ณ ตอนนั้น เพื่อให้ตัวเองตระหนักถึง เสบียงที่ ได้เก็บเกี่ยว ยิ่งใคร่ครวญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย�้ำตัวเองมากเท่านั้น….หัวใจรู้สึกหวั่นไหว เต้นแรงมาก ขึ้น เหงื่อเริ่มซึม หายใจไม่ค่อยออก มือเย็น....จนคนรอบข้างสังเกตแปลกๆ จึงหันมาถามว่า “ไหว ไหม??? ไหวหรือเปล่า ?? เสร็จจากการผ่ากะโหลก และเนื้อสมอง ก็เริ่มผ่าอวัยวะช่องอก และช่องท้องตามล�ำดับ แต่ผู้ เขียนไม่ได้ดูการผ่าจนจบ เนื่องจากรู้สึกไม่ไหวด้วยอาการและความรู้สึกข้างต้น จนต้องขออนุญาตออก มาพักข้างนอก

{

แล้วหากวันนั้น เป็นวันของเรา ดวงวิญญาณของเรา จะจากไปในสภาพใด สภาพของโลกบัรซัค วันอาคีรัต

}


20

เหตุการณ์ในวันนั้น ฉันยังจ�ำมันได้ดี....มันเป็นเหตุการณ์ที่ตอกย�้ำหัวใจอยู่ทุกเมื่อ

สิ่งแรกที่ได้ท�ำหลังจากออกจากห้องนั้น คือ การปลดปล่อยน�้ำตาที่ได้อัดอั้นไว้ น�้ำตาที่ไหลออก มาเนื่องด้วยละอายใจกับตัวเอง ละอายใจต่ออัลลอฮฺกับเสบียงที่ได้เก็บเกี่ยว มันช่างเล็กน้อยเหลือเกิน หากว่าวันนี้เราต้องจากไป ไหนล่ะความดีงามที่เราจะยื่นต่อพระองค์ ละอายใจต่อบาป ทั้งที่รู้ตัวและ ไม่รู้ตัว มันคงมากมาย ที่เราต้องเร่งรีบเตาบัตตัว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป.... ....โอ้ พี่น้องของฉัน...เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกขีดเขียนจากประสบการณ์ เพื่ออยากตอกย�้ำหัวใจ ของฉันและท่านว่า ดุนยามันเพียงแค่ทางผ่านที่แสนสั้นจริงๆ สุดท้ายเราทุกคน ต้องกลับไปสู่หนทางอีกยาวไกล หนทางอา คีรัต หนทางที่ไม่มีใครจะช่วยเหลือเราได้นอกจากความดีงามที่เราได้เก็บเกี่ยวไว้.... โปรดใคร่ครวญ ใคร่ครวญ และใคร่ครวญว่า หากพรุ่งนี้ไม่มีเรา ณ ดุนยา ..เราพร้อมจะเดินทาง ไกลนั้นหรือไม่ จงใคร่ครวญกับมันให้มาก และฉันเชื่อว่า น�้ำตาแห่งความเกรงกลัวของท่าน จะค่อยๆไหลอาบ แก้มของท่านเช่นกัน

-จงเร่งรีบกลับมาหาอัลลอฮฺอย่างหัวใจที่บริสุทธิ์เถิด...

ตราบใดที่ลมหายใจยังคงอยู่ ยังไม่สายที่เราจะเตาบัตตัว และเปลี่ยนแปลงเข้าหาพระองค์ เพราะเมื่อถึงวันนั้นแล้วทุกอย่างก็สายเกินไป ดังที่อัลลอฮฺ ได้แจ้งกับท่าน นบี ว่า “เจ้าจะได้เห็นบรรดาผู้ที่ท�ำความผิดก้มศีรษะลงไปยังพระเจ้าของพวกเขาพลางกล่าวว่า โอ้ พระเจ้าของเรา เราเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว โปรดให้เรากลับไปมีชีวิตใหม่ได้ไหม เพื่อเราจะได้กระท�ำในสิ่งที่ ดีๆ แท้จริงเราศรัทธาแล้ว เราแน่ใจในสิ่งนั้นแล้วว่าถูกต้องแต่ก็หมดโอกาสที่จะแก้ตัวได้ เพราะหมด โอกาสที่จะแก้ไขได้” โอ้อัรเราะฮฺมาน ด้วยความหวังของทุกดวงใจที่มีต่อพระองค์นั้น.. .ขอพระองค์ ทรงให้พวกเราได้รับข่าวดี ณ วันที่ลมหายใจเราได้สิ้นสุดลงด้วยเถิด ดังที่พระองค์ ได้ทรงสัญญาไว้แล้วว่า ...


21

“แท้จริงบรรดาผู้ที่มลาอีกะฮฺได้รับชีวิตเขาไปในฐานะที่เขาเป็นคนดีนั้นบรรดามลาอีกะฮฺจะกล่าว กับเขาว่า ขอความปลอดภัยจงมีแด่ท่านเถิด จงเข้าสวรรค์เนื่องมาจากความดีของพวกท่านที่แล้วมา” (ซูเราะฮฺอันนะฮฺลุอายะฮฺที่ 32)

“บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีนั้นความสุขย่อมเป็นของเขาและเป็นการกลับไปหา อัลลอฮฺที่ดียิ่ง” ซูเราะฮฺอัรรออฺดุอายะฮฺที่ 29

“โอ้ชีวิตที่สงบมั่นคงในศรัทธาเอ๋ยจงกลับไปหาพระเจ้าของเจ้าในฐานะของผู้ที่มีความยินดี เป็น ที่ปิติยินดีเถิด และจงเข้าไปอยู่ในบรรดาปวงบ่าวที่มีความศรัทธาของข้า และจงเข้าไปอยู่ในบรรดาสวนสวรรค์ของข้า เถิด” และขอพระองค์ทรงมอบทางน�ำแก่พวกเรา และคุ้มครองให้ห่างไกลจากการปฏิเสธศรัทธาในลม หายใจสุดท้ายของเราด้วยเถิด.. เพราะแท้จริงแล้ว การตายในสภาพเหล่านี้ มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก “หากพวกเจ้าจะได้เห็นขณะที่ผู้อธรรมจะสิ้นใจและมลาอีกะฮฺยื่นมือพวกเขาออกมาแล้วก็ได้ พูดว่าจงเอาชีวิตของพวกเจ้าออกมาซิ วันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทนด้วยการลงโทษอัน ต�่ำช้า” (ซูเราะฮฺอัลอันอามอายะฮฺที่ 93) -ขอบคุณอัลลอฮฺ อัลฮัมดุลลิลาฮฺ ส�ำหรับทุกการเรียนรู้ และทรงให้มีการใคร่ครวญในครั้งนี้ แท้จริงแล้ว ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นความเมตตาจากพระองค์ยิ่ง ….ให้ทุกการเรียนรู้ในชีวิต น�ำมาซึ่งการใคร่ครวญ เพราะทุกการใคร่ครวญจะน�ำมาซึ่งการ ขอบคุณ....

โปรดชี้น�ำเราสู่แนวทางอันเที่ยงตรงด้วยเถิด [1:6] <กาลครั้งหนึ่ง ประสบการณ์การเรียนรู้ ณ ภาควิชา นิติเวช>


22

นิทาน #รุ้งกินน�้ำ เมื่อถูกถามถึงความฝันในวัยเด็ก ความฝันของฉัน ก็เหมือนเด็กทั่วๆไป ไม่ใช่ หมอ คุณครู หรือ นักบิน แต่สิ่งที่เด็กๆมักจะตอบตรงกัน นั่นก็คือ ...ฉันอยากเป็นนางฟ้า... เพราะนางฟ้าได้อยู่บนสวรรค์ เป็นคนที่สวยงาม น่าหลงใหล และบนนั้นก็มีทุกอย่าง สุขสบาย อยากได้อะไรก็สามารถเสกมาได้ นั่นคือสิ่งที่เด็กๆอย่างฉันคิดไว้

เมื่อฉันโตขึ้น ฉันพบว่า นางฟ้าไม่มีอยู่จริง แต่ที่ฉันรู้อีกอย่างหนึ่ง


23

นั่นคือ บรรพบุรุษของฉันมาจากสวรรค์ แต่ด้วยความผิดพลาดอย่างหนึ่ง เขาจึงถูกส่งลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อเจอบททดสอบที่มากมาย เพื่อพิสูจน์ถึงความจริงใจและความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า ผู้ซึ่งสร้างเขาขึ้นมา

ฉันอยากกลับไปที่แห่งนั้น ที่ที่บรรพบุรุษของฉันเคยอาศัยอยู่ ฉันต้องท�ำยังไงนะ? ฉันต้องพิสูจน์ถึงความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า ฉันต้องยืนหยัด แม้จะเจอบททดสอบที่มากมาย ฉันต้องรักพี่น้องของฉัน และฉันจะพาพี่น้องของฉันกลับไปที่แห่งนั้นด้วยกัน

ที่แห่งนั้น ที่ที่เราจะกลับไป “สวนสวรรค์” บ้านหลังเดิมของเรา(อินชาอัลลอฮฺ)


24

ฮิญาบ : สัญลักษณ์ของการกดขี่ ? เรื่อง | อาฟนาน พิชิตแสนยากร

ภาพประกอบ | โลกอินเทอร์เน็ต

ในช่วงเวลาที่โลกเกือบทั้งใบยังคงความเข้าใจที่ตื้นเขินต่อสิทธิสตรีในอิสลาม ได้บังเกิดข้อวิจารณ์ มากมายว่าอิสลามนั้นกดขี่สตรีในเกือบจะทุกๆด้าน ทั้งด้านการศึกษา การแต่งกาย ชีวิตความเป็นอยู่ โดยอาศัยการตัดสินเพียงจากการกระท�ำที่ไม่ถูกต้องและไม่ดีนักจากมุสลิมบางกลุ่ม แต่คนทั่วไปกลับน�ำ การกระท�ำที่ไม่ดีเหล่านั้นมาตัดสินบัญญัติของอิสลามทั่วโลก มีเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ถูกน�ำมา ตัดสินอิสลาม อย่างกรณีการพยายามสังหารมาลาลา ยูซุฟไซ ยุวสตรีชาวปากีสถานที่พยายามเรียกร้อง ให้สตรีได้รับสิทธิทางการศึกษาที่ทัดเทียมกับบุรุษ กรณีอาอิชะฮฺ เด็กสาววัย 18 ปีที่พยายามหลบหนี การกระท�ำทารุณจากสามีและครอบครัวของเธอ จนท�ำให้ต้องถูกตัดจมูกและตัดหู หรือกรณีคลาสสิค ที่สุดที่ถูกน�ำมาต�ำหนิอิสลาม “ฮิญาบ” ในศาสนาอิสลาม สตรีจะมีบทบาทเฉพาะที่เหมาะสมกับตัวเธอ นั่นคือเรื่องราวภายในครอบครัว อิสลามถือว่าบ้านคืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของสตรี เธอคือราชินีและเป็นเสาหลักที่ใช้ค�้ำจุนบ้านหลังนี้ ภารกิจหลักของเธอคือการดูแลบ้านเรือนและการอบรมเลี้ยงดูลูก อิสลามจึงต่อต้านระบบทุกระบบที่ ท�ำให้อาณาจักรนี้ล้มครืน “อิสลามถือว่าบ้านคืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของสตรี”


25

อิสลามอนุญาตการท�ำงานนอกบ้านของสตรี แต่ต้องเป็นงานที่เหมาะสมกับธรรมชาติของเธอ ใน สมัยศาสนทูตก็มีสตรีหลายนางที่ได้ท�ำหน้าที่ต่างๆในสังคม ท่านหญิงอาอิชะฮฺเคยท�ำหน้าที่เป็นครูสอน บรรดามุสลิม อุมมูอาตียะฮฺ เคยท�ำหน้าที่เป็นพยาบาลของกองทัพในช่วงเวลาที่มีสงคราม ในด้านของ การศึกษา สตรีมุสลิมมีสิทธิเท่าเทียมกับบุรุษในการได้รับการศึกษาเช่นเดียวกัน ต่างกันตรงที่สตรีจะได้ รับเงื่อนไขเพิ่มเติม คือ ฮิญาบและการวางตัว แม้ในบางยุคบางสมัยสตรีมุสลิมจะถูกกีดกันไม่ให้ได้รับ ความรู้ และเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งก็ตาม ฮิญาบที่ถูกต้องตามหลักการอิสลามนั้น จะต้องปกปิดส่วนของร่างกายในส่วนที่เป็นข้อบัญญติให้ ปกปิด เครื่องแต่งกายต้องหลวม ไม่รัดรูป ไม่ใช่เครื่องประดับโดยตัวของมัน ที่ส�ำคัญคือจะต้องไม่ดึงดูด ให้ชายใดมาให้ความสนใจหรือเมียงมอง นั่นแหละ คือหน้าที่ของฮิญาบที่อัลลอฮฺทรงประทานให้บรรดา สตรี เป็นเสมือนเกราะที่เธอใช้ในการป้องกันตัว ถ้าหากว่าการสวมกระโปรงสั้นๆสามารถส่งสัญญานแก่ ผู้คนทั่วไปว่า ‘ผู้สวมใส่ยังมีที่ว่างส�ำหรับผู้ชาย’ การสวมฮิญาบของสตรีมุสลิมก็เหมือนกับการป่าวร้อง ออกไปดังๆและชัดเจนว่า “ฉันเป็นสิ่งต้องห้ามส�ำหรับคุณ” เราอาจจะสังเกตการสวมใส่ฮิญาบที่แตกต่างกัน บ้างสวมผ้าคลุมในลักษณะแฟชั่นที่มีการ ประดับประดาดอกไม้ไว้บนศรีษะ บ้างสวมฮิญาบในลักษณะธรรมดาทั่วไปหรืออาจเห็นบางคนที่สวม ฮิญาบถึงขนาดมีการใช้ผ้านิกอบหรือผ้าปกปิดใบหน้า ในเรื่องนี้ บรรดาผู้รู้ศาสนาได้น�ำเสนอชุดความ คิ ด ที่ ห ลากหลายเพื่ อ เปิ ด โอกาสให้ ส ตรี ไ ด้ ยึ ด ปฏิ บั ติ ต ามแต่ ค วามสามารถของบุ ค คลและบริ บ ท สถานการณ์ ผู้รู้ที่มีความสามารถในการอธิบายหลักการศาสนาได้อธิบายไว้ บางท่านกล่าวว่า การปกปิด ใบหน้าคือสิ่งที่จ�ำต้องกระท�ำ บางส่วนก็แค่สนับสนุนการปกปิดใบหน้า แต่หากว่าไม่มีความสามารถ เพียงพอที่จะปกปิดก็จะไม่ถูกต�ำหนิ แต่ทุกๆท่านก็ไม่ได้พยายามก่อให้เกิดการขัดแย้ง เพียงแต่น�ำเสนอ ทัศนะทางความคิดที่ต่างกันบนพื้นที่ที่อิสลามอนุญาตให้คิดเห็นต่างได้ สิ่งที่ผู้รู้กระท�ำลงไปนั้น ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของความดีและสิทธิเสรีภาพในการเลือกยึดถือ ปฏิบัติ บรรดาผู้รู้จะไม่กระท�ำการที่ถือว่าเป็นการบังคับให้ผู้เห็นต่างต้องหันมายึดถือเฉพาะแต่สิ่งที่ตน คิด และทุกๆคนจะพยายามต�ำหนิผู้ที่บังคับการยึดถือเฉพาะทัศนะของตัวเอง ผู้รู้ทุกคนที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พยายามอย่างยิ่งในการที่จะช่วยเหลือสตรีให้คงไว้ซึ่งความ บริสุทธิ์สะอาด ต้องการที่จะยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ผู้หญิงในมุมมองของอิสลามไม่ใช่ Sex object ที่ ใครจะท�ำอะไรตามใจชอบก็ได้ ต่อให้มี Propaganda มากมายที่เป็นเสมือนศัตรูคู่ต่อกรอย่างความคิด แบบเฟมินิสต์หรือเสรีนิยมที่บอกว่านี่คือการกดขี่สตรีก็เถอะ เท่าที่ผมลองสืบค้นข้อมูล พบว่า บรรดาเฟมินิสม์และเสรีนิยมจะกล่าวก็แต่ การแต่งกายของสตรี มุสลิมคือหนึ่งในรูปแบบของการกดขี่สตรีที่อิสลามได้กระท�ำต่อนาง ได้มีการแสดงออกถึงการไม่เห็น ด้วยในฮิญาบทั้งโดยการกระท�ำที่นุ่มนวลอย่างการแสดงความเห็นต่าง ไปจนถึงการต่อต้านที่หนักข้อขึ้น


26

เรื่อยๆอย่างการแสดงท่าทีเหยียดหยาม การต�ำหนิอย่างรุนแรงในที่สาธารณะ หรือถึงขั้นบังคับและออก กฎหมาย ก่อนจะไปฟังเรื่องราวร้ายๆ ไปฟังข่าวดีกันสักหน่อยดีกว่า ก่อนหน้านี้ที่ประเทศอาร์เจนตินา ยัง ไม่เคยมีการอนุญาตให้สวมฮิญาบถ่ายรูปติดบัตรประชาชน แต่หลังจากมีการท�ำความเข้าใจ ทางรัฐบาล จึงได้อนุญาตให้สวมฮิญาบได้ แม้ว่าประชากรมุสลิมจะมีเพียงแค่ 2% ก็ตาม ที่สเปนก็ได้มีการยกเลิก กฎหมายห้ามคลุมฮิญาบแล้ว ทางการได้ให้เหตุผลว่าเป็นการละเมิดสิทธิการนับถือศาสนาของ ประชาชน เช่นเดียวกับประเทศตุรกีที่ได้ยกเลิกกฎหมายการห้ามคลุมฮิญาบโดยให้เหตุผลเช่นเดียวกับ ประเทศสเปน ส่วนข่าวที่ไม่สู้ดีนัก คือ รัฐบาลของประเทศฝรั่งเศสในขณะนั้น ได้ออกกฎหมายการห้ามสวมนิ กอบในที่สาธารณะ ถือเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นการกดดันกลุ่มชนที่เปราะบางมากที่สุดใน สังคมเพื่อเอาใจคนส่วนใหญ่ อีกทั้งเหมือนเป็นการพยายามผลักให้ผู้ที่ยึดมั่นกับการสวมนิกอบต้อง กลายเป็นเพียงแค่พลเมืองชั้นสอง ที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวต่อสังคมได้อย่างเท่าเทียม ตามหลักความเป็นจริงแล้ว การกดขี่สตรีได้เกิดขึ้นในแทบจะทุกๆประเทศทั่วโลก การค้า ประเวณีที่เป็นการบังคับก็ถือเป็นการกดขี่สตรี ท�ำให้สตรีกลายเป็นเมียเช่าของชายผู้ไม่มีความรับผิด ชอบ การใช้สตรีในสื่อโฆษณาในรูแบบต่างๆ เหมือนกับการลดเกียรติสตรีที่อาศัยเรือนร่างของนางเพื่อ ผลประโยชน์ในระบบทุน การฉุดกระชากสตรีเพื่อน�ำมาบ�ำเรอความสุขส่วนตัวก็เป็นการกดขี่สตรีเช่น เดียวกัน ท�ำเหมือนสตรีเป็นเพียงแค่ของเล่นที่ใครสามารถจะท�ำอะไรก็ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเธอก็ เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน เธอควรที่จะได้รับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีที่มากกว่านี้ แต่ท�ำไมเราไม่พูดถึง มันบ้างหล่ะ ? ไม่ใช่เพราะทัศนคติของเราที่เกี่ยวข้องกับสตรีหรอกหรือ ? หรือเป็นเพราะชุดความคิด บางอย่างที่ยังคงดึงดันไม่ยอมเข้าใจในความเชื่อและศรัทธาต่อฮิญาบต่อไป ในประเทศไทยเองใช่ว่าจะมีสิทธิเสรีภาพในการสวมฮิญาบไปซะทุกที่ ก่อนหน้านี้สัก 2-3 ปี(ถ้า ผมจ�ำไม่ผิดอ่านะ) มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการสวมฮิญาบเข้าไปเรียนในโรงเรียนวัดแห่งหนึ่ง (ชื่อ โรงเรียนวัด แต่ไม่ได้อยู่ในวัดนะ) เธอใช้สิทธิในการเป็นคนไทยคนหนึ่งเพื่อร้องขอที่จะแต่งกายที่ถูกต้อง ตามหลักความเชื่อของเธอต่อบรรดาคุณครู แต่กลับถูกคุณครู(ใจร้าย)บางคน ไม่ยอมให้เธอได้ท�ำตาม กฎหมาย โดยอ้างว่า ที่นี่เป็นโรงเรียนวัด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎของสงฆ์ มีการกดดันจากครู อาจารย์ที่ถือว่าเป็นแม่แบบของคนในชาติ เนื่องด้วยฮิญาบเพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น กดดันเธอจนท�ำให้ เธอไม่สามารถเข้าห้องเรียนได้ “She covered her hair, not her brain” สิทธิที่เธอก�ำลังจะบอก คือ สิทธิของการได้ท�ำตามความเชื่อของเธอ ได้ท�ำในสิ่งที่คิดว่าดีตามการ ศรัทธาของเธอ หากว่านี่คือการเป็นคนดีที่สงบเสงี่ยม เหตุใดอาจารย์ถึงไม่อนุญาต ? ขณะที่ในช่วงเวลา เดียวกันนั้น มีข่าวอีกข่าวหนึ่งที่ถูกเบียดให้เป็นเพียงเรื่องราวเล็กๆของหน้าหนังสือพิมพ์ คือ ข่าวที่มี


27

นักเรียนหญิงมัธยมต้นจากโรงเรียนแห่งหนึ่ง ถอดเสื้อผ้าเต้นโชว์ในห้อง เหลือเพียงแค่ชั้นในเพียงอย่าง เดียว แต่ก็ไม่มีใครท�ำอะไรที่สื่อไปได้ว่า ก�ำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางของการแก้ปัญหาเลย เชดโด้ !! กูงงครับ ท�ำไมมุงไม่ท�ำแมวอะไรเลยหล่ะครับ ? หากจะพูดว่าพื้นที่ของวัดคืออาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องท�ำตามกฎของสงฆ์ ค�ำถามที่เกิดขึ้นใน ความคิดของมุสลิมหลายๆคน คือ โคโยตี้ในเขตวัดหมายความว่าอย่างไร ? มุสลิมอย่างผมมองว่า ไม่ว่า จะอยู่ในเขตวัด เขตของมัสยิดหรือโบสถ์คริสต์ ก็ไม่ควรมีโคโยตี้ หากคิดว่าการมีโคโยตี้คือเสรีภาพที่ สามารถแสดงออกได้ ก็ขอให้มันไปอยู่ในที่เฉพาะของมัน เพราะมันเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของการล่ม สลายทางศีลธรรมของมนุษย์ ศีลธรรมที่สงบเสงี่ยม ที่ไม่ก่อให้เกิดอามรมณ์ตัณหาหรือไปกระตุ้นความ ต้องการทางเพศ จนหาทางออกไม่ได้ อีกค�ำถามที่เพิ่มเติม ถามว่า นิยามค�ำว่าศีลธรรมของรัฐไทยคืออะไร ? สามารถยอมรับความ แตกต่างทางความคิดของคนในสังคมที่เป็นไปตามหลักกฎหมายโดยไม่ก่อให้เกิดโทษหรือเรื่องเดือด ร้อนระหว่างกันได้หรือไม่ ? หากรัฐไทยพยายามที่จะใช้ค่านิยม “เมืองไทยคือเมืองทุทธ” เป็นค่านิยม หลักแล้ว คนพุทธจะยอมรับสิทธิและความเชื่อของศาสนาอื่นหรือไม่ ? หรือพยายามผลักชุดความคิด อื่นๆให้กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดจนสุดท้ายก็ตกขอบไป ? หากรัฐไทยต้องการจะใช้ค�ำนี้จริงๆ คงต้องหันมาทบทวนการขายเหล้า บุหรี่ สถานบันเทิงเริง รมย์ รวมทั้งการกดขี่สตรีในรูปแบบเมียเช่าซะใหม่แล้วหล่ะ ผู้ที่ไม่ค่อยถูกใจกับฮิญาบมักจะใช้เพียงความคิดของตนเองมองมายังฮิญาบแล้วก็สบประมาทว่า ฮิญาบหมายถึงการกดขี่ ทั้งๆที่ไม่เคยถามสตรีมุสลิมเลยว่า พวกเธอมีความภาคภูมิใจมากแค่ไหนกับ ฮิญาบของเธอ ถ้าแน่จริงก็ลองถามดูสิ การยืนยันที่จะปกป้องเรือนร่าง ในสังคมที่มีค่านิยมเปิดโชว์ ใช่หรือไม่ว่านั่นคือหนึ่งในสัญลักษณ์ ของอารยะขัดขืนที่เป็นรูปธรรม และอาจพัฒนาไปสู่การละเมิด ‘วัฒนธรรมแบบไทยๆ’ อย่างหนักข้อ ขึ้น จนในที่สุดก็อาจกระเทือนโครงสร้างอ�ำนาจที่วัฒนธรรมแบบไทยๆหมักหมมเอาไว้จนพังครืนลงมา

เธอปกปิดเส้นผมของเธอ มิใช่ปัญญาของเธอ

ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น FB : Afnan Abdulkodir Pichitseanyakorn


28


29


30


31

หนังสือน่าอ่าน

เล่มนึงราคาเพียง 50 บาท กับอีกเล่มนึงแจกฟรี แต่ต่างกันเพียงเล่มนึงมีสีสีนมากกว่าด้วยการเข้าโรงพิมพ์อย่างดี และสิ่งที่มีเหมือนกันคือ เนื้อหาที่อัดแน่นไปด้วยสาระความรู้ ตามหาได้แล้ววันนี้


32


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.