โม่เซียงถงซิว ่ เขียน
แปล • อลิส ภาพ • ฉางหยาง RIN
A
ปรมาจารย์ลัทธิมาร เล่ม 1 魔道祖师 第一
โม่เซีียงถงซิ่ว 墨香铜臭 เขียน อลิส แปล Copyright © Beijing Jinjiang Original Network Technology Co.Ltd. Thai Language Edition © 2019 by Bakerybook Publishing สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ 978-616-7477-48-0 พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2562 ราคา 370 บาท บรรณาธิการ : the-chairs และ ซือชง ภาพปก : ฉางหยาง RIN ศิลปกรรม : Pancat รูปเล่ม : BOOKCREATION จัดพิมพ์และจัดจำ�หน่ายโดย ห้างหุ้นส่วนสามัญ เบเกอรี่บุ๊ค 77/12 ซอยประชาอุทิศ 75 แยก 10 ถนนประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 ฝ่ายขาย : 086-534-0240 ฝ่ายบรรณาธิการ : 082-796-6696 http://www.bakerypublishing.com bakerybook@hotmail.com http://www.facebook.com/Bakerypublishing ขอขอบคุณฟอนท์สวยๆ จาก www.f0nt.com
บทที่ 1 คืนชีพ
โม่เซียงถงซิว่
“เว่ยอู๋เซี่ยนตายแล้ว ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!” การล้อมปราบครัง้ ใหญ่ทเี่ นินป่าช้าเพิง่ จบสิน้ ยังไม่ทนั ข้ามวัน ข่าวนี้ ก็สะพัดไปทั่วโลกผู้บ�ำเพ็ญเพียรราวกับติดปีก เมื่อเปรียบกับไฟสงคราม ครั้งนั้น ข่าวการล้อมปราบครั้งนี้ลุกลามไวกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด เพียงไม่นาน บรรดาผูค้ นในตระกูลใหญ่มชี อื่ ไม่เว้นแม้แต่ผปู้ ลีกวิเวก บ�ำเพ็ญตบะกลางป่าเขาก็ยังรู้ข่าว ชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ ผูน้ �ำสีต่ ระกูลใหญ่ลทั ธิเสวียนเหมิน1พาก�ำลังคนนับร้อยตระกูลร่วมล้อมปราบ ในครั้งนี้ “ยอดเยีย่ ม วิเศษจริงๆ ช่างสะใจยิง่ ! ผูก้ ล้าท่านใดกันทีล่ งมือสังหาร ปรมาจารย์อี๋หลิง” “จะเป็นใครไปได้อีกเล่า ก็ประมุขน้อยเจียงเฉิง ศิษย์น้องของ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นน่ะสิ สกุลเจียงแห่งอวิน๋ เมิง่ สกุลจินแห่งหลานหลิง สกุลหลานแห่ง กูซู สกุลเนี่ยแห่งชิงเหอ สี่ตระกูลใหญ่ร่วมมือกันเป็นทัพหน้า ยอมสังหาร พี่น้องเพื่อผดุงคุณธรรม ก่อการกวาดล้าง ‘เนินป่าช้า’ อันเป็นรังเก่าของ เว่ยอู๋เซี่ยนให้สิ้นซากชนิดขุดรากถอนโคน” “ข้าขอพูดอย่างเป็นธรรมว่า ฆ่าได้ดี” มีคนตบมือขานรับทันควัน “มิผิด ฆ่าได้ดี! หากมันไม่ได้สกุลเจียง แห่งอวิ๋นเมิ่งรับมาเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ชาตินี้เว่ยอิงก็เป็นได้แค่ชาวบ้าน บ้านนอกคอกนากระจอกงอกง่อย ไม่มีทางได้ผงาดเช่นนี้หรอก อดีตประมุข อีกชื่อหนึ่งของลัทธิเต๋า
1
2
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
สกุลเจียงสู้อุตส่าห์ฟูมฟักมันราวกับลูกในไส้ แต่มันสิกลับทรยศแล้วหนี เตลิดไป กลายเป็นศัตรูกบั ผูค้ นทัว่ หล้า สร้างความเสือ่ มเสียแก่สกุลเจียงแห่ง อวิ๋นเมิ่งให้ต้องอับอายขายหน้า มิหน�ำซ�้ำยังท�ำให้สกุลเจียงเกือบตายอนาถ ยกตระกูล สิ่งใดที่เรียกว่าหมาป่าตาขาวจอมอกตัญญู ก็นี่อย่างไรเล่า!” “เจียงเฉิงกลับปล่อยให้มนั ก�ำเริบเสิบสานมานานขนาดนี้ ถ้าเป็นข้า ตอนเจ้าคนแซ่เว่ยทรยศหลบหนีจะไม่แทงมันแค่ดาบเดียว แต่จะก�ำจัดมัน ให้สนิ้ ซาก จะได้ไม่มโี อกาสก่อเรือ่ งวิปริตผิดมนุษย์ในภายหลัง กับคนพรรค์นี้ จะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องศิษย์ร่วมส�ำนักที่เติบโตมาด้วยกันไปไย” “แต่ทขี่ า้ ได้ยนิ มาหาใช่เช่นนีไ้ ม่ เป็นเพราะเว่ยอิงฝึกวิชามารแล้วของ เข้าตัว ถูกบริวารทหารผีรุมทึ้งกัดกินจนตายไม่ใช่รึ ข้าได้ยินมาว่ามันถูก กัดกินทั้งเป็นจนร่างแหลกเละกระดูกป่นเป็นผุยผงเลยนา” “ฮ่าๆๆๆ! นีล่ ะเรียกว่ากรรมตามสนอง ข้าอยากพูดมาตัง้ นานแล้วว่า พวกทหารผีที่มันเลี้ยงไว้เป็นเหมือนฝูงหมาบ้าไม่รู้จักล่ามไว้ให้ดี จนเที่ยว ไล่กัดคนไปทั่ว สุดท้ายก็ถูกพวกมันแว้งกัดจนตาย สมน�้ำหน้า!” “ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่การล้อมปราบที่เนินป่าช้าครานี้ หากไม่ใช่ เพราะประมุขน้อยสกุลเจียงวางแผนโจมตีจุดอ่อนของปรมาจารย์อี๋หลิง จะ ส�ำเร็จหรือไม่ก็ยังพูดยาก พวกเจ้าอย่าลืมสิว่า เว่ยอู๋เซี่ยนมีสิ่งใดอยู่ในก�ำมือ ตอนนั้นนักพรตเลื่องชื่อกว่าสามพันคนถูกสังหารเรียบไม่มีเหลือภายใน คืนเดียวเชียวนะ” “ห้าพันไม่ใช่รึ” “จะสามพันหรือห้าพันก็ไม่ต่างกันนักหรอก แต่ข้าว่าห้าพันดูน่า เชื่อถือกว่า” “อ�ำมหิตวิปริตสิ้นดี...” 3
โม่เซียงถงซิว่
“ยังดีว่าก่อนมันตายได้ท�ำลายตราพยัคฆ์ทมิฬ ก็ถือเป็นการสร้าง บุญกุศลให้ตวั เองบ้างเล็กน้อย ไม่เช่นนัน้ หากของพรรค์นนั้ ยังอยู่ ย่อมเท่ากับ ทิ้งภัยพิบัติไว้บนโลกมนุษย์ ยิ่งสร้างเวรสร้างกรรมให้พอกพูน” ทันทีที่ได้ยินค�ำว่า ‘ตราพยัคฆ์ทมิฬ’ สามค�ำนี้ สรรพสิ่งพลันเงียบ สงัดราวกับก�ำลังพรัน่ พรึงบางสิง่ ผ่านไปสักพัก จึงมีคนผูห้ นึง่ ทอดถอนใจแล้ว พูดขึ้น “เฮ้อ...หากจะพูดถึงเว่ยอู๋เซี่ยนผู้นี้ สมัยนั้นมันเป็นหนึ่งในคุณชาย ตระกูลเซียนชือ่ ก้อง มีความสามารถโดดเด่นเป็นทีเ่ ลือ่ งลือตัง้ แต่อายุยงั น้อย มีทั้งเกียรติและสง่าราศี...ไม่รู้ว่าไปท�ำอีท่าไหน จึงก้าวมาจุดนี้ได้...” ประเด็นสนทนาเปลี่ยน เสียงวิจารณ์จึงดังเอ็ดอึง “นี่แสดงให้เห็นว่า การฝึกวิชาต้องเดินตามมรรคาอันเที่ยงธรรม วิถีมารนอกรีตอาจท�ำให้ยิ่งใหญ่คับฟ้าในชั่วพริบตาประหนึ่งวิเศษวิโสเสีย เต็มประดา ฮึ สุดท้ายจุดจบเป็นเยี่ยงไรเล่า” ถ้อยค�ำสะท้อนก้อง “ตายอย่างศพไม่สมประกอบ!” “แต่จะโทษว่าเป็นเพราะวิชาทีฝ่ กึ ไปเสียทัง้ หมดก็คงไม่ได้ ว่ากันตาม จริง เว่ยอูเ๋ ซีย่ นผูน้ นี้ สิ ยั แย่มาก สวรรค์พโิ รธมนุษย์ชงิ ชัง ไม่วา่ กรรมดีกรรมชัว่ ล้วนแต่ต้องรับผล เป็นไปตามครรลองสวรรค์...” ... ยามคนเรามอดม้วยลงโลง คุณงามความเลวทรามค่อยเป็นที่ ประจักษ์ โดยตัดสินจากความประพฤติส่วนมากเป็นหลัก ส่วนน้อยนั้นย่อม ถูกปัดทิ้งไม่พูดถึง ทว่าในใจทุกคนคล้ายยังมีเงามืดอึมครึมติดค้างมิยอมจางหาย แม้จะพูดว่าปรมาจารย์อี๋หลิง เว่ยอู๋เซี่ยน สิ้นชีพ ณ เนินป่าช้า แต่ หลังจบเรื่อง กลับอัญเชิญวิญญาณเขามาไม่ได้ 4
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
บางทีจิตวิญญาณเขาอาจถูกหมื่นผีร้ายกลืนกิน หรือไม่ก็หนีเตลิด ไปแล้ว หากเป็นประการแรก ผู้คนทั่วหล้าย่อมร่วมเฉลิมฉลองยินดี แต่ ปรมาจารย์อหี๋ ลิงเก่งกาจถึงขัน้ พลิกฟ้าถล่มปฐพีเคลือ่ นภูผาคว�ำ่ สมุทร อย่าง น้อยในค�ำเล่าลือก็กล่าวกันมาเช่นนี้ ถ้าเขาต้องการต่อต้านการเรียกวิญญาณ ย่อมมิใช่เรื่องยากอันใด แต่หากวันหน้าจิตดั้งเดิมของเขาฟื้นคืน หาร่าง สวมวิญญาณคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น ผู้คนนับร้อยตระกูลแห่ง ลัทธิเสวียนเหมิน รวมถึงผู้คนทั่วหล้า จะต้องเผชิญกับการแก้แค้นและค�ำ สาปแช่งอันแสนบ้าคลั่ง ตกอยู่ในกลียุคมืดมนไร้ดาวไร้ตะวัน มีคาวเลือด คละคลุ้งดุจพายุโลหิต ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงน�ำสัตว์ศิลาสะกดภูผาหนึ่งร้อยยี่สิบตัวมา สะกดไว้ด้านบนเนินป่าช้า ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลเริ่มท�ำพิธีอัญเชิญ วิญญาณอยู่เนืองๆ ในขณะเดียวกันก็ตรวจสอบเรื่องยึดร่างสวมวิญญาณ รวบรวมข่าวอาเพศที่เกิดขึ้นทุกแห่งหนอย่างเข้มงวด เพื่อเตรียมการป้องกัน อย่างสุดก�ำลัง ปีแรก ลมสงบคลื่นสงัด ปีที่สอง ลมสงบคลื่นสงัด ปีที่สาม ลมสงบคลื่นสงัด ... ปีที่สิบสาม ยังคงลมสงบคลื่นสงัด บัดนี้ นับวันยิ่งมีผู้คนเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เว่ยอู๋เซี่ยนอาจไม่ได้ เก่งกาจปานนั้น บางทีดวงวิญญาณเขาอาจดับสูญไปแล้วจริงๆ แม้จะเคยเรียกลมเรียกฝนได้เพียงพลิกฝ่ามือ แต่สดุ ท้ายกลับกลาย 5
โม่เซียงถงซิว่
เป็นฝ่ายถูกพลิกคว�่ำล้มลงเสียได้ ไม่มใี ครอยูค่ ำ�้ ฟ้าบนหิง้ บูชาไปได้ตลอด ต�ำนานก็เป็นแค่ต�ำนานอยู่ วันยังค�่ำ
6
บทที่ 2 อาละวาด
โม่เซียงถงซิว่
เว่ยอู๋เซี่ยนเพิ่งลืมตา ก็ถูกใครบางคนประเคนฝ่าเท้าให้ทีหนึ่ง แล้วเสียงตวาดก็ดังลั่นข้างหู “เจ้าจะแกล้งตายหาอะไร!” เขาถูกฝ่าเท้าถีบเข้าที่หน้าอกจนแทบกระอักเลือด หัวกระแทกพื้น นอนหงายเก๋ง ความคิดหนึง่ ก็ผดุ ขึน้ ขณะมึนงง ‘กล้าบังอาจถีบข้า ช่างก�ำแหง ยิ่งนัก’ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นไม่รวู้ า่ กีป่ แี ล้วทีไ่ ม่ได้ยนิ เสียงคนเป็นๆ พูดด้วย ยิง่ ไม่ตอ้ ง พูดถึงเสียงด่าเอ็ดตะโรเช่นนี้ เขาเกิดอาการหน้ามืดตาลาย ยามเสียงแหบ เป็นเป็ดของเด็กหนุ่มดังวิ้งๆ สะท้อนก้องในหู “เจ้าไม่คิดบ้างรึว่า ตอนนี้เจ้า อยู่บ้านใคร กินข้าวบ้านใคร ใช้เงินทองของใคร! ข้าเอาของเจ้าไปแค่ไม่กี่ชิ้น จะเป็นไรไป เดิมทีของพวกนี้ควรเป็นของข้าด้วยซ�้ำ!” จากนัน้ รอบด้านก็เต็มไปด้วยเสียงรือ้ ตูค้ น้ หีบ และเสียงขว้างปาทุบ ท�ำลายข้าวของจนแตกหักเสียหายดังสนั่น ผ่านไปสักพัก ดวงตาทั้งสองข้าง ของเว่ยอู๋เซี่ยนก็เริ่มเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดขึ้น ในคลองจักษุปรากฏภาพหลังคา ขมุกขมัว และใบหน้าบึง้ ตึงคิว้ ขมวดตาถลนก่นด่าอย่างเกรีย้ วกราดจนน�ำ้ ลาย แตกกระเซ็นอยู่เหนือศีรษะเขา “เจ้ายังกล้าไปฟ้อง! นึกว่าข้าจะกลัวเรอะ เจ้าคิดว่าในบ้านนี้จะมีคนออกหน้าจัดการให้เจ้าจริงรึไง” บ่าวชายร่างก�ำย�ำสองคนเดินเข้ามารายงาน “คุณชาย ทุบทิ้งหมด แล้วขอรับ!” เด็กหนุ่มเสียงเป็ดร้องถาม “เหตุใดจึงเร็วนัก” ผู้เป็นบ่าวตอบ “เรือนซอมซ่อหลังนี้ เดิมทีก็มีส่ิงของไม่กี่มากน้อย 8
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
อยู่แล้วขอรับ” เด็กหนุม่ เสียงเป็ดพึงพอใจมาก เขาหันมาทางเว่ยอูเ๋ ซีย่ น แล้วใช้นวิ้ จิ้มจมูกแรงๆ จนแทบยุบหายเข้าไปในกะโหลก “ในเมื่อกล้าไปฟ้อง แล้ว ตอนนีม้ าท�ำเป็นแกล้งตายให้ใครดู ท�ำอย่างกับมีใครพิศวาสอยากได้เศษขยะ สับปะรังเคพวกนี้ของเจ้าอย่างนั้นแหละ ข้าช่วยทุบให้เจ้าหมดเกลี้ยงแล้ว ดูซิว่านับจากนี้ เจ้าจะเอาอะไรไปฟ้องได้อีก! เคยไปอยู่ตระกูลเซียนใหญ่แค่ ไม่กปี่ ี คิดว่าตัวเองวิเศษนักรึ สุดท้ายก็ถกู ไล่ตะเพิดกลับมาเหมือนหมาจรจัด ไม่มีผิด!” เว่ยอูเ๋ ซีย่ นครุน่ คิดด้วยสติไม่เต็มร้อย ‘ตัวข้าตายมาหลายปีแล้วจริงๆ ไม่ใช่แกล้งตาย’ แล้วนี่ใคร ที่นี่ที่ไหน เขาเคยท�ำเรื่องยึดร่างผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน เด็กหนุ่มเสียงแหบเป็นเป็ดผู้นี้ถีบก็ถีบแล้ว เรือนก็ทุบเละเทะแล้ว ครัน้ ได้ระบายอารมณ์จนหน�ำใจ จึงพาบ่าวทัง้ สองเดินอาดๆ ออกไป ปิดประตู ดังโครม แล้วสั่งเสียงดังลั่น “เฝ้ามันไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้มันออกมาก่อเรื่อง ขายขี้หน้าได้อีก!” บ่าวหน้าประตูขานรับ กระทัง่ คนพวกนัน้ เดินจากไปไกล ในห้องและ รอบด้านจึงเงียบสงบลง เว่ยอูเ๋ ซีย่ นอยากลุกขึน้ นัง่ ทว่าแขนขาไม่ยอมฟังค�ำสัง่ กลับหงายหลังนอนลงไปอีกรอบ เขาได้แต่พลิกตัว มองส�ำรวจสภาพแวดล้อม แปลกตาโดยรอบกับข้าวของระเนระนาดบนพื้น เห็นแล้วก็วิงเวียนหน้ามืด ขึ้นมาอีกครา พื้นข้างกายมีคันฉ่องทองแดงอันหนึ่งถูกขว้างทิ้งไว้ เว่ยอู๋เซี่ยน 9
โม่เซียงถงซิว่
เอื้อมมือไปหยิบมาส่อง ใบหน้าขาววอกจนดูประหลาดปรากฏขึ้นในคันฉ่อง บนแก้มยังมีรอยแดงเป็นปื้นทั้งข้างซ้ายและข้างขวา เพียงแลบลิ้นสีแดงสด ยาวเฟื้อยออกมา ก็จะมีสภาพประหนึ่งผีผูกคอตายทั้งที่ยังเป็นอยู่นี่เอง เว่ยอู๋เซี่ยนรับไม่ได้ รีบโยนคันฉ่องทิ้ง เขายกมือถูหน้า คราบแป้ง สีขาวก็ติดเต็มฝ่ามือ โชคดีที่โดยเนื้อแท้ร่างนี้มิได้มีรูปโฉมพิลึกพิลั่นมาแต่ก�ำเนิด แค่มี รสนิยมพิสดารเท่านัน้ เกิดเป็นบุรษุ แต่กลับผัดแป้งชาดประทินโฉม ทีส่ �ำคัญ ยังละเลงเต็มหน้าจนอัปลักษณ์เช่นนี้ ความตกใจท�ำให้เรี่ยวแรงของเว่ยอู๋เซี่ยนฟื้นคืนมาบ้างเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นนั่งได้ และตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตว่า ใต้ร่างมีข่ายอาคม วงแหวนค�ำสาปอยู่วงหนึ่ง ข่ายอาคมวงแหวนสีแดงเข้มนีม้ เี ส้นวงกลมไม่สมบูรณ์ คล้ายใช้โลหิต แทนหมึก วาดเส้นด้วยมือ ทัง้ ยังดูชนื้ ๆ และส่งกลิน่ คาวคละคลุง้ มนตร์คาถา โย้เย้บิดเบี้ยวที่วาดอยู่ในข่ายอาคมถูกร่างของเขาเช็ดออกไปบางส่วน แต่ วงอาคมและอักขระที่เหลืออยู่ก็ยังส่อถึงพลังชั่วร้ายกลิ่นอายมืดมนอึมครึม ถึงอย่างไรเว่ยอู๋เซี่ยนก็ถูกเรียกด้วยสมญานามอู๋ซ่างเสียจุน1เอย ปรมาจารย์ลัทธิมารเอยมานานหลายปี เจ้าสิ่งนี้แค่มองปราดเดียวก็รู้อย่าง ทะลุปรุโปร่งว่า ต้องไม่ใช่ข่ายอาคมดีงามอันใดแน่ เขามิได้ช่วงชิงร่างผู้อื่น แต่ผู้อื่นอุทิศร่างให้เขาเอง! ‘อุทศิ ร่าง’ เป็นอาคมค�ำสาปชนิดหนึง่ ผูร้ า่ ยอาคมต้องใช้อาวุธท�ำร้าย ตัวเองอย่างเหีย้ มโหด ด้วยการเฉือนร่างให้เป็นแผล แล้วใช้โลหิตวาดข่ายอาคม และมนตร์คาถา จากนัน้ นัง่ อยูก่ ลางวงอาคม อุทศิ กายเนือ้ ให้แก่วญ ิ ญาณร้าย อู๋ซ่างเสีย (无上邪) ในฉายา ‘อู๋ซ่างเสียจุน’ แปลว่า ชั่วช้าหาใดเปรียบ
1
10
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ส่วนจิตวิญญาณตนต้องคืนสูป่ รโลกโดยถือเป็นค่าตอบแทนในการร่ายอาคม อัญเชิญเทพมารวิญญาณร้าย เพื่อวิงวอนวิญญาณร้ายที่เรียกมาให้ช่วยตน สมปรารถนา นี่คือข้อแตกต่างระหว่าง ‘ยึดร่าง’ กับ ‘อุทิศร่าง’ แม้ทั้งคู่จะเป็น เคล็ดวิชาต้องห้ามชือ่ เสียงฉาวโฉ่ แต่การใช้อาคม ‘อุทศิ ร่าง’ ได้รบั ความนิยม และน�ำมาใช้จริงน้อยกว่าอาคม ‘ยึดร่าง’ เพราะต้องมีความปรารถนาแรงกล้า จนคนเป็นยอมสมัครใจสละทุกสิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีคนใช้คาถานี้น้อยเสียยิ่ง กว่าน้อย กระทัง่ หายสาบสูญไปเกือบร้อยปี จากตัวอย่างทีบ่ นั ทึกไว้ในคัมภีร์ โบราณ นับร้อยนับพันปีที่ผ่านมามีคนใช้คาถานี้เพียงสามสี่คนเท่านั้น และ สามสี่คนนี้ต่างปรารถนาเพียงการแก้แค้น ผีร้ายที่อัญเชิญมาจึงล้วนแต่ใช้ วิธีการอันแสนโหดเหี้ยมอ�ำมหิตท�ำความปรารถนาของพวกเขาให้เป็นจริง แต่ในใจเว่ยอู๋เซี่ยนกลับไม่ยอมรับ เหตุใดเขาจึงถูกจัดอยู่ในจ�ำพวก ‘เทพมารวิญญาณร้าย’ เสียได้ แม้ชื่อเสียงเขาจะฉาวโฉ่ ตอนตายก็ตายอย่างอนาถ แต่ตั้งใจไว้ว่า หนึง่ ไม่หลอกหลอนใคร สอง ไม่ลา้ งแค้น เขากล้าสาบานเลยว่า ไม่วา่ ในนรก หรือสวรรค์ ล้วนแต่หาผีพเนจรวิญญาณเร่ร่อนที่สงบเสงี่ยมดีงามไปกว่าเขา เป็นไม่มี! ทว่าทีน่ า่ ปวดหัวก็คอื การอุทศิ ร่างจะต้องยึดถือความปรารถนาของ ผู้ร่ายอาคมเป็นหลัก ต่อให้เขาไม่เต็มใจ...ในเมื่อสิงร่างไปแล้ว ย่อมถือว่า ทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อตกลงโดยปริยาย เขาจึงต้องท�ำให้ความปรารถนาของ ผูร้ า่ ยอาคมเป็นจริง ไม่เช่นนัน้ ค�ำสาปจะสะท้อนเข้าตัว และกลืนกินจิตดัง้ เดิม ของผู้สิงร่างจนแตกดับ ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกชั่วกัปชั่วกัลป์ เว่ยอู๋เซี่ยนแก้เชือกผูกเสื้อออก แล้วยกมือขึ้นตรวจดู จริงดังคาด 11
โม่เซียงถงซิว่
ข้อมือทั้งสองข้างของเขามีแผลฉกรรจ์จากอาวุธมีคมปรากฏอยู่หลายรอย แม้เลือดตรงปากแผลจะหยุดไหลแล้ว แต่เว่ยอู๋เซี่ยนประจักษ์แจ้งดีว่า รอย พวกนี้หาใช่แผลธรรมดาไม่ หากไม่ท�ำให้เจ้าของร่างสมประสงค์ บาดแผล พวกนี้ก็ไม่มีทางสมานกัน มิหน�ำซ�้ำยิ่งปล่อยไว้นาน อาการจะยิ่งทรุดหนัก เมื่อเลยก�ำหนด ผู้มารับช่วงต่อร่างนี้อย่างเขาย่อมต้องถูกฉีกทึ้งร่างและ วิญญาณทั้งเป็น หลังจากตรวจดูหลายครัง้ ให้แน่ใจว่าไม่ใช่เรือ่ งเข้าใจผิด เว่ยอูเ๋ ซีย่ น ก็อุทานในใจซ�้ำสิบรอบว่า ‘แบบนี้ก็ได้หรือ!’ และฝืนเกาะผนังลุกขึ้นยืนได้ ในที่สุด เรือนหลังนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่อยู่หรอก แต่กลับว่างเปล่าและเก่า ซอมซ่อ ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ที่หลับที่นอน ไม่รู้ว่าไม่ได้เปลี่ยนไปซักล้างมานาน แค่ไหนแล้ว จึงได้ส่งกลิ่นอับของเชื้อราถึงเพียงนี้ ตรงมุมผนังมีกระบุงไม้ไผ่ ใบหนึ่ง เดิมทีคงไว้ใส่ขยะ แต่เมื่อครู่ถูกเตะล้ม ทั้งขยะและเศษกระดาษ กระจายเกลือ่ น เว่ยอูเ๋ ซีย่ นเห็นก้อนกระดาษถูกขย�ำคล้ายมีคราบหมึก จึงเก็บ มาคลี่ดู พบตัวอักษรยุ่บยั่บเต็มหน้ากระดาษ ก็รีบรวบรวมก้อนกระดาษ ทั้งหมดขึ้นมาจากพื้น อักษรบนกระดาษน่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าของร่างนี้เขียนระบายในยาม กลัดกลุ้ม ถ้อยความสับสนไม่ต่อเนื่องถ่ายทอดความวิตกกังวลผ่านลายมือ โย้เย้เหล่านัน้ จนแทบทะลุออกจากกระดาษ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นทนข่มกลัน้ คลีอ่ อกมา อ่านทีละแผ่น ทว่ายิ่งอ่านยิ่งรู้สึกผิดปกติ เมื่อเรียงร้อยเรื่องราวบวกกับคาดเดาแล้ว เขาก็พอสรุปความได้ คร่าวๆ เรื่องแรกคือ เจ้าของร่างนี้มีนามว่า โม่เสวียนอวี่ ส่วนสถานที่แห่งนี้ มีชื่อว่า หมู่บ้านสกุลโม่ 12
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ท่านตาของโม่เสวียนอวี่เป็นประมุขตระกูลผู้มีอิทธิพลในแถบนี้ แต่ ลูกหลานในตระกูลมีน้อย ชะตากรรมถูกก�ำหนดให้ไร้บุตรชาย หลังอุตสาหะ มาหลายปีก็มีบุตรสาวเพียงสองคน บุตรสาวคนรองถูกละเลยไม่ได้รับการ ใส่ใจ ตรงข้ามกับบุตรสาวคนโตซึ่งถือก�ำเนิดจากภรรยาเอก ได้แต่งสามีเข้า เรือน บุตรสาวคนรองแม้จะมีรูปโฉมงดงาม แต่ถือก�ำเนิดจากเมียบ่าว ด้วย เหตุนี้เดิมทีสกุลโม่จึงวางแผนจะจัดการให้นางตบแต่งออกเรือนไปเสีย แต่ ใครเล่าจะรู้ว่าชะตากรรมนางจะพลิกผัน ตอนนางอายุสิบหกปีมีประมุข ตระกูลใหญ่ทา่ นหนึง่ เดินทางผ่านมาแถวนี้ และเกิดต้องใจนางตัง้ แต่แรกเห็น ทั้งสองใช้หมู่บ้านสกุลโม่เป็นสถานที่ลักลอบพลอดรัก หนึ่งปีให้หลัง คุณหนู รองสกุลโม่ให้ก�ำเนิดบุตรชายหนึ่งคน ซึ่งก็คือโม่เสวียนอวี่นั่นเอง เดิมทีคนในสกุลโม่ดูแคลนเรื่องประเภทนี้ แต่คนยุคนั้นนับถือเซียน ตระกูลผูบ้ �ำเพ็ญเซียนแห่งลัทธิเสวียนเหมินในสายตาคนทัว่ ไปเป็นผูไ้ ด้รบั การ คุม้ ครองจากสวรรค์ ทัง้ ลึกลับและสูงส่ง เมือ่ ได้รบั การสนับสนุนช่วยเหลือจาก ประมุขตระกูลใหญ่ทา่ นนัน้ เป็นเนืองนิตย์ ลมเปลีย่ นทิศสรรพสิง่ จึงเปลีย่ นไป นอกจากสกุลโม่จะรูส้ ึกเป็นเกียรติมหี น้ามีตาแล้ว ผูค้ นก็ล้วนแต่พากันอิจฉา ทว่าเรื่องดีมักอยู่ได้ไม่นาน ประมุขตระกูลท่านนั้นเป็นคนละโมบ ชอบกินของสดใหม่ กินได้ไม่ถงึ สองปีกแ็ หนงหน่าย ความถีใ่ นการมาหมูบ่ า้ น สกุลโม่ยิ่งนับวันยิ่งลดน้อยถอยลง พอโม่เสวียนอวี่อายุสี่ขวบ บิดาเขาก็ ไม่ย่างกรายมาอีกเลย ช่ ว งสองสามปี นี้ ลมปากคนสกุ ล โม่ เ ปลี่ ย นทิ ศ อี ก ครั้ ง ถ้ อ ยค�ำ ดูหมิ่นเยาะหยันหวนคืน มิหน�ำซ�้ำยังเพิ่มเติมความสมเพชระคนรังเกียจ ทว่าคุณหนูรองสกุลโม่ไม่ยอมรับ นางเชื่อมั่นว่าประมุขตระกูลใหญ่ท่านนั้น จะไม่ทอดทิง้ บุตรชายแท้ๆ และก็เป็นจริงดังคาด เมือ่ โม่เสวียนอวีอ่ ายุสบิ สีป่ ี 13
โม่เซียงถงซิว่
ประมุขตระกูลใหญ่ท่านนั้นก็ส่งคนมากมายมารับเด็กหนุ่มกลับไปอย่าง เอิกเกริก คุณหนูรองสกุลโม่ได้เชิดหน้าชูตาอีกครั้ง แม้นางตามไปด้วยไม่ได้ แต่อย่างน้อยความอัดอั้นตันใจเมื่อกาลก่อนก็ได้ถูกขจัดปัดเป่า เจอใครก็ สามารถป่าวประกาศอย่างภูมใิ จว่า ภายภาคหน้าบุตรชายนางจะต้องได้เป็น ผู้น�ำเซียนลัทธิเสวียนเหมิน มีอนาคตรุ่งโรจน์โชติช่วง และน�ำเกียรติภูมิมาสู่ วงศ์ตระกูลเป็นแน่ ดังนัน้ ผูค้ นในสกุลโม่จงึ กลับมาวิพากษ์วจิ ารณ์เรือ่ งนีแ้ ละ เปลี่ยนท่าทีใหม่เป็นครั้งที่สาม ทว่าโม่เสวียนอวีย่ งั ไม่ทนั ส�ำเร็จเป็นเซียน หรือสืบทอดต�ำแหน่งจาก บิดา ก็ถูกขับไล่กลับมาเสียก่อน มิหน�ำซำ�้ เขายังถูกขับไล่กลับมาในสภาพน่าสมเพชทีส่ ดุ เหตุเพราะ โม่เสวียนอวี่เป็นผู้มีรสนิยมตัดแขนเสื้อ2 ชมชอบบุรุษด้วยกัน มิหน�ำซ�้ำยัง อาจหาญตามตอแยศิษย์ร่วมส�ำนัก เมื่อเรื่องฉาวโฉ่ครั้งนี้ถูกเปิดโปงสู่ ธารก�ำนัล ผนวกกับเขามีความสามารถปานกลาง ไร้ซงึ่ ผลงาน จึงไม่มเี หตุผล ที่จะปล่อยให้เขาอยู่ในตระกูลต่อไป แต่ เ หมื อ นผี ซ�้ ำ ด�้ ำ พลอย ไม่ รู ้ ว ่ า โม่ เ สวี ย นอวี่ โ ดนอะไรกระทบ กระเทือนจิตใจเข้า หลังจากกลับมาก็มีสภาพไม่เต็มเต็ง อาการคุ้มดีคุ้มร้าย ราวกับถูกท�ำให้ตกใจจนสติฟั่นเฟือน เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เว่ยอู๋เซี่ยนก็คิ้วกระตุกสองที แค่มีรสนิยมตัดแขนเสื้อก็แย่พอแล้ว นี่ยังจะเป็นบ้าอีก มิน่าเล่า ผู้ชายที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกัน มาจากเรื่องราวของจักรพรรดิฮั่นอายตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก กับมหาดเล็กคนโปรดนามต่งเสียน มีอยู่ครั้งหนึ่ง จักรพรรดิฮั่นอายตี้นอนร่วมเตียงกับต่งเสียน เมื่อตื่นมาพบว่าต่งเสียงนอนทับแขนเสื้อตนอยู่ พระองค์เกรงว่าหากดึงแขนเสื้อออกจะท�ำให้ คนรักตื่นตกใจ จึงใช้มีดตัดแขนเสื้อตน
2
14
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ถึงได้ละเลงชาดเต็มหน้าอย่างกับผีผูกคอตาย และมิน่าเล่า ขนาดบนพื้นมี ข่ายอาคมโลหิตวงใหญ่ แต่เมื่อครู่กลับไม่มีใครรู้สึกว่าผิดปกติ เกรงว่าต่อให้ โม่เสวียนอวีท่ าเลือดสดๆ ทัว่ พืน้ ผนัง จนถึงหลังคา คนอืน่ เห็นก็คงไม่แปลกใจ เพราะชาวบ้านต่างรู้ดีว่าสมองเขามีปัญหา! หลังจากโม่เสวียนอวีก่ ลับบ้านเกิด ก็มเี สียงเยาะเย้ยถากถางตามมา แบบมืดฟ้ามัวดิน ครั้งนี้ราวกับไม่เหลือกระทั่งที่จะยืนในสังคม คุณหนูรอง ผูเ้ ป็นมารดาท�ำใจยอมรับความสะเทือนใจประเภทนีไ้ ม่ไหว รูส้ กึ อัดอัน้ ตันใจ ไร้หนทางปลดปล่อยจนเกิดลมสว้านจุกอกขาดใจตาย เวลานีท้ า่ นตาของโม่เสวียนอวีล่ ว่ งลับไปแล้ว คุณหนูใหญ่สกุลโม่จงึ รับช่วงดูแลตระกูลต่อจากบิดา โม่ฮูหยินผู้นี้ไม่อาจทนเห็นน้องสาวได้ดี มาตั้งแต่เด็ก ยิ่งกับบุตรนอกสมรสของน้องสาว ยิ่งจงเกลียดจงชังจนแทบ ไม่อยากชายตาแล ตัวนางเองมีทายาทสืบสกุลอยู่หนึ่งคน ซึ่งก็คือผู้เพิ่ง เข้ามาปล้นโม่เสวียนอวี่แบบซึ่งๆ หน้าเมื่อครู่นั่นเอง บุตรของนางมีนามว่า โม่จื่อเยวียน ตอนที่คนรับมารับตัวโม่เสวียนอวี่ไปอย่างออกหน้าออกตา โม่ฮูหยินคิดว่าถึงอย่างไรตนก็นับว่ามีความเกี่ยวดองกับส�ำนักเซียนอยู่บ้าง นางหวังว่าทูตจากส�ำนักเซียนจะพาโม่จื่อเยวียนไปบ�ำเพ็ญเซียนด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่านางถูกปฏิเสธ หรือพูดอีกอย่างก็คือถูกเมิน เหลวไหล นี่มิใช่การซื้อผักกาดขาวสักหน่อย ถึงจะได้มาต่อราคา ซื้อหนึ่งหัวแถมหนึ่งหัวอะไรท�ำนองนั้น! และก็ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้มีความ คิ ด พิ ส ดาร มั่ น ใจเต็ ม เปี ่ ย มว่ า โม่ จื่ อ เยวี ย นมี ก ระดู ก เซี ย น 3และเป็ น ผู ้ มี พรสวรรค์ หากตอนนัน้ คนไปคือโม่จอื่ เยวียน จะต้องได้รบั ค�ำชืน่ ชมสรรเสริญ นรลักษณ์ของผู้มีคุณสมบัติเป็นเซียน
3
15
โม่เซียงถงซิว่
จากเหล่าเซียน ไม่มีทางท�ำตัวเหยาะแหยะก่อเรื่องขายหน้าอย่างญาติผู้พี่ เด็ดขาด ตอนที่โม่เสวียนอวี่จากไป แม้โม่จื่อเยวียนจะอายุยังน้อย แต่ถูก กรอกหูดว้ ยค�ำพูดไร้เหตุผลพวกนีม้ าตัง้ แต่เด็กจนจ�ำฝังหัว ทัง้ ยังเชือ่ มัน่ อย่าง ไร้ข้อกังขา เจ้าตัวจึงมาราวีข่มเหงโม่เสวียนอวี่ไม่เว้นแต่ละวัน ตราหน้าว่า โม่ เ สวี ย นอวี่ ช ่ ว งชิ ง หนทางการเป็ น เซี ย นของตน ทั้ ง ยั ง ยึ ด ยั น ต์ คุ ้ ม ภั ย ยาลูกกลอน และเครื่องรางของวิเศษทั้งหลายที่โม่เสวียนอวี่ได้มาจากส�ำนัก เซียนเอาไปเป็นของตนทั้งหมด อยากได้ก็หยิบฉวยไป อยากฉีกท�ำลายก็ ท�ำตามอ�ำเภอใจ แม้อาการทางสมองของโม่เสวียนอวี่จะก�ำเริบอยู่เนืองๆ ถึงกระนั้น ก็รวู้ า่ ตนก�ำลังถูกผูอ้ นื่ ดูหมิน่ รังแก เขาพยายามอดทนอดกลัน้ ครัง้ แล้วครัง้ เล่า ทว่าโม่จื่อเยวียนกลับก�ำเริบเสิบสานหนักข้อ ข้าวของในเรือนเขาแทบจะถูก ยกเค้าจนโล่งเตียน ในที่สุดโม่เสวียนอวี่ก็สุดจะทนจนไปละล�่ำละลักฟ้อง ต่อหน้าท่านลุงท่านป้า วันนี้โม่จื่อเยวียนจึงได้บุกมาเล่นงานเขาถึงเรือน อักษรบนกระดาษทั้งตัวเล็กและถี่ยิบ เว่ยอู๋เซี่ยนอ่านจนปวดตา ถึงกับสบถในใจว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาใช้ชีวิตบัดซบกระไรเยี่ยงนี้ ไม่แปลกที่ โม่เสวียนอวีย่ อมพลีกายอุทศิ ร่าง อัญเชิญเทพมารวิญญาณร้ายมาเข้าสิงเพือ่ ให้แก้แค้นแทนตน ปวดลูกตาเสร็จก็เริม่ ปวดหัวต่อ ตามหลักแล้ว ตอนผูร้ า่ ยอาคมสร้าง ข่ายอาคมต้องท่องสิง่ ทีต่ นปรารถนาในใจ ในฐานะทีเ่ ป็นวิญญาณร้ายซึง่ ถูก เรียกมา เว่ยอู๋เซี่ยนควรได้ฟังค�ำวิงวอนของเขาอย่างละเอียดชัดเจน แต่เกรง ว่าอาคมต้องห้ามบทนี้ โม่เสวียนอวีค่ งแอบไปคัดลอกฉบับไม่สมบูรณ์มาจาก ที่ไหนสักแห่ง จึงได้ไม่ครบถ้วนจนขั้นตอนนี้ตกหล่น แม้เว่ยอู๋เซี่ยนพอจะเดา ออกว่าเขาคงต้องการแก้แค้นคนสกุลโม่ แต่ควรเอาคืนอย่างไรดี เล่นงาน 16
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
รุนแรงระดับใด ชิงของที่ถูกแย่งไปคืนมาหรือ หรือว่าให้ทุบตีคนสกุลโม่ หรือว่า...ฆ่าล้างตระกูล มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการฆ่าล้างตระกูล! ขอเพียงใครเคย คลุกคลีอยู่ในแวดวงผู้บ�ำเพ็ญเพียร ย่อมพึงรู้ว่าค�ำใดใช้กล่าวถึงเว่ยอู๋เซี่ยน มากที่สุด นั่นคือ ทรพีไร้คุณธรรม เสียสติคลุ้มคลั่ง เช่นนั้นแล้ว ยังจะมี ‘เทพมารวิญญาณร้าย’ ตนใดเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมไปกว่าเขาอีกหรือ ในเมื่อกล้าอัญเชิญเขามา ย่อมไม่มีทางขออะไรง่ายๆ แน่นอน เว่ยอู๋เซี่ยนพูดอย่างระอา “เจ้าเรียกมาผิดคนแล้ว...” เดิมทีเขาอยากล้างหน้าเพือ่ ยลโฉมเจ้าของร่างนีใ้ ห้ชดั ๆ ทว่าในเรือน นี้กลับไม่มีน�้ำ ไม่ว่าน�้ำดื่มหรือน�้ำใช้ล้วนแต่หามีไม่ วัตถุคล้ายอ่างเพียงหนึ่งเดียวในเรือนนี้ เว่ยอู๋เซี่ยนเดาว่าน่าจะมีไว้ ใช้ขับถ่าย มิใช่ภาชนะส�ำหรับใช้ล้างหน้า เขาผลักประตู แต่กลับพบว่าถูกลงดาลจากด้านนอก คงเกรงว่าเขา จะออกไปเพ่นพ่าน ไม่มีเรื่องใดท�ำให้เขายินดีที่ได้คืนชีพแม้แต่นิดเดียว! เขาจึงนั่งสมาธิมันเสียเลย เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับร่างใหม่ นั่งไป นัง่ มา เผลอแวบเดียวก็นงั่ ไปหนึง่ วันเต็มๆ ครัน้ ลืมตาก็เห็นแสงแดดลอดผ่าน ร่องประตูหน้าต่างเข้ามา แม้จะลุกขึ้นเดินเหินได้แล้ว แต่กลับยังวิงเวียน ตาลายไม่หายสักที เว่ยอู๋เซี่ยนรู้สึกแปลกใจ “พลังปราณที่โม่เสวียนอวี่ผู้นี้ บ�ำเพ็ญเพียรส�ำเร็จ มีนอ้ ยนิดจนจะมองข้ามเสมือนว่าไม่มกี ย็ งั ได้ ไม่มเี หตุผล ที่ข้าจะควบคุมกายเนื้อของร่างนี้ไม่ได้นี่นา ไฉนถึงใช้การไม่ได้ดั่งใจเลย” จังหวะนีเ้ อง ท้องก็สง่ เสียงร้องจ๊อกๆ เขาจึงเพิง่ เข้าใจว่า แท้ทจี่ ริงหา ได้เกี่ยวข้องกับพลังปราณจากการฝึกฝนบ�ำเพ็ญเพียรไม่ เพียงแค่กายเนื้อ 17
โม่เซียงถงซิว่
ของร่างนี้ไม่มีอาหารตกถึงท้องเท่านั้น ถ้าขืนเขายังไม่ไปหาอาหารใส่ปาก อีกละก็ ไม่แน่อาจกลายเป็นผีร้ายตนแรกในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งถูกอัญเชิญ มาสิงร่างก็หิวตายทั้งเป็นทันทีก็ได้ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นเงือ้ เท้าเตรียมถีบบานประตู ทว่าจูๆ่ ก็มเี สียงฝีเท้าเดินเข้า มาใกล้ มีคนเตะประตูพร้อมเอ่ยด้วยน�้ำเสียงหงุดหงิด “กินข้าวได้แล้ว!” เจ้าตัวตะโกนเช่นนัน้ แต่กลับไม่เปิดประตู เว่ยอูเ๋ ซีย่ นก้มมอง ด้านล่าง ประตูมีประตูบานเล็กๆ บานหนึ่ง เห็นชามข้าวใบหนึ่งถูกส่งลอดเข้ามาวาง ไว้พอดี เสียงบ่าวด้านนอกร้องสั่ง “เร็วเข้าสิ! มัวงุ่มง่ามอันใดอยู่ กินๆ เสีย ให้เสร็จ แล้วส่งชามมา!” ประตูบานนี้เล็กกว่าช่องสุนัขลอดเสียอีก คนจึงมิอาจลอดเข้าออก แต่สามารถส่งชามข้าวเข้ามาได้ ข้าวหนึง่ ชาม กับสองอย่าง หน้าตาไม่นา่ กิน เอาเสียเลย เว่ยอู๋เซี่ยนหยิบตะเกียบที่ปักอยู่ในชามมาคลุกข้าวด้วยความ รันทดใจ ปรมาจารย์อหี๋ ลิงเพิง่ กลับสูแ่ ดนมนุษย์ไม่ทนั ไร ก็ทงั้ ถูกถีบถูกก่นด่า อาหารมื้อแรกต้อนรับการมาของเขา กลับเป็นอาหารเหลือเดนเย็นชืด แล้ว ไหนเล่ากลียุค ไหนเล่าหมาแมวไม่มีเหลือ ไหนเล่าฆ่าล้างตระกูล พูดไปใคร จะเชื่อ พยัคฆ์พลัดถิ่นถูกฝูงสุนัขรังแก มังกรเกยตื้นถูกกุ้งเย้ยหยัน หงส์ถูก ถอนขนยังเทียบไก่ไม่ได้ ช่างตรงกับชีวิตเขาตอนนี้ดีแท้ เสียงบ่าวข้างนอกดังขึ้นอีกครั้ง หนนี้กลับเป็นเสียงหัวเราะระรื่น ราวกับเป็นคนละคน “อาติง! เจ้ามานี่สิ” เสียงนุ่มนวลกังวานใสของสตรีขานรับมาจากไกลๆ “อาถง มาส่ง ข้าวให้คนข้างในอีกแล้วหรือ” 18
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
อาถงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เช่นนัน้ ข้าจะมาเรือนทีม่ กี ลิน่ อาย อัปมงคลหลังนี้ท�ำไมกัน!” เสียงอาติงเข้ามาใกล้ขึ้น คล้ายมาถึงหน้าประตูแล้ว “เจ้ามาส่งข้าว ให้เขาแค่วันละหน บางครั้งแอบอู้ก็ยังไม่เห็นมีใครว่าอะไรเจ้า งานสบาย ขนาดนี้ ยังจะติวา่ มีกลิน่ อายอัปมงคลอีกหรือ เจ้าดูขา้ สิ มีงานต้องท�ำมากมาย แม้แต่จะออกไปเที่ยวเล่นก็ยังไม่ได้” อาถงบ่นกระปอดกระแปด “ข้ามิได้มีหน้าที่เพียงส่งข้าวให้มันนะ! ว่าแต่ระยะนี้เจ้ายังกล้าออกไปเที่ยวเล่นอยู่อีกรึ ศพเดินมีอยู่พลุกพล่าน เต็มไปหมด บ้านไหนๆ เขาก็ปิดประตูกันแน่นหนามิดชิด” เว่ยอู๋เซี่ยนนั่งยองพิงประตู มือหนึ่งถือชามข้าว ใช้ตะเกียบสั้นข้าง ยาวข้างพุ้ยข้าวเข้าปากพลางเงี่ยหูฟัง ดูท่าระยะนี้หมู่บ้านสกุลโม่จะไม่ค่อยสงบสุขนัก ‘ศพเดิน’ มีความ หมายตรงตัวตามชื่อของมัน นั่นคือ ศพเดินได้ จัดเป็นศพกลายร่าง4ชั้นต�่ำ ชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด โดยทั่วไปพวกมันมีแววตาเลื่อนลอย เดินช้า พลังพิฆาตไม่รุนแรง แต่พอจะสร้างความสะพรึงกลัวแก่ผู้คนทั่วไปได้ ล�ำพัง กลิ่นเน่าของมันก็ชวนคลื่นเหียนจะแย่ แต่ส�ำหรับเว่ยอู๋เซี่ยน พวกมันบงการได้ง่ายที่สุด และเป็นหุ่นเชิดที่ อยู่ในโอวาทที่สุด พอได้ยินชื่อแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยดี อาถงส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ย “หากเจ้าอยากออกไปข้างนอก คง ต้องพาข้าไปด้วย แล้วข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง...” อาติงเย้า “เจ้าน่ะหรือจะคุ้มครองข้า ช่างคุยโวเสียจริง อย่าบอกนะ แบ่งเป็นสิบแปดชนิด คือ ศพแข็ง ศพเลือด ศพเงา ศพเนือ้ ศพหนัง ศพหยก ศพเคลือ่ นที่ ศพหลอก ศพเหงื่อ ศพขน ศพเดิน ศพตื่น ศพเกราะ ศพหิน ศพยุทธ์ ศพอาหาร ศพแพรไหม และศพไม้
4
19
โม่เซียงถงซิว่
ว่าเจ้ามีวิธีขับไล่พวกมัน” อาถงพูดอย่างขัดเคือง “ข้าไล่ไม่ได้ ผู้อื่นก็ไล่ไม่ได้เช่นกัน” อาติงหัวเราะเยาะ “เจ้ารูไ้ ด้อย่างไรว่าผูอ้ นื่ ไล่ไม่ได้ ข้าจะบอกเจ้าให้ แล้วกัน วันนี้มีทูตจากส�ำนักเซียนมาเยือนหมู่บ้านสกุลโม่ของพวกเรา ข้าได้ ข่าวว่าเป็นสุดยอดตระกูลใหญ่เลือ่ งชือ่ ! ฮูหยินก�ำลังต้อนรับอยูท่ หี่ อ้ งโถง ผูค้ น จึงพากันไปมุงดูเรือ่ งมหัศจรรย์หาชมได้ยากด้วยความใคร่รู้ เจ้าฟังสิ เสียงดัง จอแจใช่หรือไม่ ถึงได้ไม่มใี ครว่างมาสนใจเจ้าอย่างไรเล่า ไม่แน่วา่ เดีย๋ วอาจ มีเรื่องต้องเรียกใช้ข้าอีกก็เป็นได้” เว่ยอู๋เซี่ยนตั้งใจเงี่ยหูฟัง จึงได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันเอ็ดอึงแว่วมา จากด้านตะวันออก เขาครุน่ คิดสักพัก ก็ลกุ ขึน้ ถีบประตู ดาลประตูหกั ดัง กร๊อบ อาถงและอาติ ง สองบ่ า วรั บ ใช้ ท�ำชม้ อ ยชะม้ า ยชายตาพู ด จา หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน จูๆ่ บานประตูเปิดผางออกมา จึงแหกปาก ร้องลัน่ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นโยนชามและตะเกียบทิง้ เขาก้าวอาดๆ ออกมา แต่แสงอาทิตย์ แยงตาจนลืมไม่ขึ้นไปชั่วขณะ อีกทั้งผิวยังแสบยุบยิบ เขายกมือขึ้นป้อง เหนือคิ้ว แล้วหลับตาสักพัก อาถงที่เมื่อครู่กรีดร้องเสียงแหลมกว่าอาติง ตั้งสติเขม้นมอง ครั้น เห็นว่าเป็นโม่เสวียนอวี่เจ้าบ้าน่าข่มเหง ความฮึกเหิมก็กลับมาทันที เขา ต้ อ งการกู ้ ห น้ า ตั ว เองจากเรื่ อ งน่ า อายเมื่ อ ครู ่ จึ ง กระโดดเข้ า ไปโบกมื อ ตวาดลั่นดุจไล่สุนัข “ชิ่วๆ! กลับไปซะ! เจ้าออกมาท�ำไม!” ต่อให้ปฏิบัติกับขอทานหรือแมลงวัน ก็ยังไม่น่าเกลียดถึงเพียงนี้ บ่าวไพร่สกุลโม่สว่ นใหญ่ตา่ งท�ำเช่นนีก้ บั โม่เสวียนอวี่ ซึง่ ตลอดเวลาทีผ่ า่ นมา เจ้าตัวไม่เคยต่อต้าน ปล่อยให้พวกบ่าวก�ำเริบเสิบสาน แต่เว่ยอูเ๋ ซีย่ นกลับถีบ อาถงเบาๆ จนล้มตีลงั กาไปทีหนึง่ แล้วพูดกลัว้ หัวเราะ “เจ้าคิดว่าตัวเองก�ำลัง 20
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ลูบคมใครอยู่ หือ” ถีบเสร็จ เขาก็เดินไปทางตะวันออกตามต้นตอเสียงทีก่ �ำลังเซ็งแซ่อยู่ ในขณะนี้ ทัง้ ในและนอกลานโถงตะวันออกมีผคู้ นแน่นขนัด ทันทีทเี่ ว่ยอูเ๋ ซีย่ น ย่างเท้าเข้าไป ก็พลันได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งดังกลบเสียงผู้อื่นจนหมดสิ้น “...อนุชนตระกูลเราก็เคยมีวาสนาเกี่ยวดองกับตระกูลเซียน...” ผู้พูดต้องเป็นโม่ฮูหยินที่ก�ำลังคิดหาวิธีผูกสัมพันธ์กับตระกูลเซียน อีกแน่ๆ เว่ยอู๋เซี่ยนไม่รอให้นางพูดจบ ก็รีบเบียดฝูงชนมุดเข้าไปในห้องโถง พร้อมฉีกยิ้มกว้างโบกไม้โบกมือ “มาแล้วๆ ข้าอยู่นี่ไงๆ!” สตรีวยั กลางคนนางหนึง่ นัง่ อยูใ่ นห้องโถง ผิวพรรณผุดผ่องผ่านการ บ�ำรุงดูแลอย่างพิถีพิถัน ทั้งยังสวมอาภรณ์แพรพรรณเนื้อดีหรูหราราคาแพง นางก็คือโม่ฮูหยิน ส่วนผู้นั่งอยู่ต�่ำกว่าคือสามีนาง ฝั่งตรงข้ามมีเด็กหนุ่มสวม ชุดขาวสะพายกระบี่นั่งเรียงรายอยู่หลายคน จู่ๆ มีเจ้าตัวประหลาดผมเผ้า รุงรังโผล่พรวดพราดเข้ามาท่ามกลางฝูงชน เสียงรอบกายจึงพลันเงียบกริบ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นมิได้สะทกสะท้านต่อสถานการณ์ทผี่ คู้ นรอบข้างชะงักงัน มิหน�ำซำ�้ ยังท�ำหน้าเหลอหลา ร้องถามว่า “เมื่อครู่ใครเรียกข้า มีวาสนาเกี่ยวดองกับ ตระกูลเซียน ก็ข้านี่ไง!” ด้วยความที่โบกแป้งผัดหน้าหนาเตอะเกินไป พอยิ้มก็พลันเกิดรอย แตกลายงา ผงแป้งร่วงกราว เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกลั้นหัวเราะไม่ไหว หลุดข�ำดัง “พรืด” จนถูกเด็กหนุ่มผู้เหมือนจะเป็นหัวหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ขึงตา ต�ำหนิ จึงรีบท�ำหน้าเคร่งขรึมจริงจังทันควัน เว่ยอูเ๋ ซีย่ นกวาดตาไปรอบๆ แล้วพลันตกใจเล็กน้อย เดิมทีเขานึกว่า เป็นแค่ค�ำคุยโตโอ้อวดของบ่าวที่ไม่รู้ประสา แต่ใครจะรู้ว่าผู้มาเยือนเป็น ลูกหลานเซียนจาก ‘ตระกูลใหญ่เลื่องชื่อ’ จริงๆ เสียด้วย 21
โม่เซียงถงซิว่
เด็กหนุ่มพวกนี้มีกิริยาอ่อนน้อม สุขุมเยือกเย็น พลังเซียนแก่กล้า กระทัง่ รูปโฉมยังองอาจสง่างาม เครือ่ งแบบบนตัวพวกเขามองปราดเดียวก็รู้ ว่ามาจากสกุลหลานแห่งกูซู มิหน�ำซ�้ำยังเป็นทายาทสายเลือดสกุลหลาน เพราะบนหน้าผากคาดสายคาดสีขาวลายเมฆขดขนาดกว้างหนึ่งนิ้วไว้ หนึ่งเส้น สกุลหลานแห่งกูซยู ดึ หลัก ‘สง่างามเทีย่ งธรรม’ โดยสายคาดหน้าผากนี้ แฝงนัย ‘ผูกมัดตนไว้ด้วยกฎเกณฑ์’ ส่วนลายเมฆขดเป็นลายประจ�ำตระกูล ของสกุลหลาน สายคาดของสาวกและลูกศิษย์ทเี่ ป็นผูบ้ �ำเพ็ญเพียรนอกตระกูล จะไม่มีลายประจ�ำตระกูล เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นคนสกุลหลานแล้วรู้สึกปวดฟัน ขึน้ มาครามครัน เมือ่ ชาติทแี่ ล้ว เขามักถากถางเครือ่ งแบบสกุลหลานอยูบ่ อ่ ยๆ ว่าเป็น ‘ชุดผ้ากระสอบไว้ทุกข์’ ด้วยเหตุนี้ย่อมไม่มีทางจ�ำผิดเด็ดขาด โม่ฮูหยินไม่ได้พบหลานชายคนนี้มานานแล้ว จึงใช้เวลาสักพักกว่า จะหายตกใจกลับเป็นปกติ ครั้นนึกออกว่าคนแต่งหน้าหนาเตอะผู้นี้เป็นใคร ก็พลันเกิดเพลิงโทสะขึ้นในใจ แต่จะระเบิดอารมณ์ตอนนี้ก็เกรงจะเสียกิริยา จึงต้องฝืนระงับโทสะพลางกระซิบสัง่ สามี “ใครปล่อยมันออกมา รีบเอาตัวมัน กลับไปเดี๋ยวนี้!” สามีนางยิม้ รับจืดเจือ่ น แล้วขยับกายลุกขึน้ ไปคว้าตัวเว่ยอูเ๋ ซีย่ นด้วย สีหน้าถมึงทึง เว่ยอู๋เซี่ยนกลับหงายหลังนอนแผ่บนพื้น กางแขนกางขาเกาะ หนึบ นายท่านโม่ทงั้ ดึงทัง้ ดันอย่างไรก็ไม่ขยับเขยือ้ น กระทัง่ เรียกบ่าวไพร่มา ช่วยอีกหลายคนก็ไม่เป็นผล ถ้าไม่ตดิ ว่ามีคนนอกอยูด่ ว้ ย คงกระทืบไปนานแล้ว สีหน้าโม่ฮูหยินบึ้งตึงด�ำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ นายท่านโม่จึงเหงื่อกาฬแตกพลั่ก พลางก่นด่าอย่างเดือดดาล “เจ้าบ้า ขืนยังไม่รีบกลับไปอีกละก็ คอยดูเถอะ ว่าข้าจะจัดการเจ้าเยี่ยงไร!” 22
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
แม้คนในหมูบ่ า้ นสกุลโม่จะรูด้ วี า่ สกุลโม่มคี ณ ุ ชายสติไม่สมประกอบ แต่หลายปีมานี้ โม่เสวียนอวี่เก็บตัวอยู่ในห้องมืดๆ ไม่กล้าออกมาเจอหน้า ใคร ผูค้ นเห็นเขาแต่งหน้าแต่งตาราวกับภูตผีปศี าจก็เริม่ ซุบซิบนินทา เกรงว่า จะไม่มีเรื่องสนุกให้ได้ชม เว่ยอู๋เซี่ยนพูดขึ้น “จะให้ข้ากลับไปก็ได้อยู่” เขาชี้ไปที่โม่จื่อเยวียน “แต่ท่านต้องให้เขาคืนของที่ขโมยข้าไปเสียก่อน” โม่จื่อเยวียนไม่คาดคิดมาก่อนว่า เจ้าบ้านี่จะอาจหาญถึงเพียงนี้ เมื่อวานเพิ่งถูกเขาสั่งสอนไปหยกๆ วันนี้ยังกล้าโผล่หน้ามาถึงนี่ จึงรีบโพล่ง ขัดด้วยใบหน้าประเดี๋ยวขาวซีดประเดี๋ยวแดงก�่ำ “เจ้าพูดซี้ซั้ว ข้าไปขโมย ของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้า...อย่างข้าต้องขโมยของเจ้าด้วยรึ!” เว่ยอู๋เซี่ยนกล่าว “ใช่ๆๆ! เจ้าไม่ได้ขโมย แต่เจ้าแย่งไป!” ตอนนี้เอง โม่ฮูหยินถึงมองออกว่า โม่เสวียนอวี่เตรียมการมาชัดๆ มิหน�ำซ�้ำยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เจตนาจะให้พวกนางอับอายต่อหน้า ผูค้ น นางจึงทัง้ ตระหนกและเจ็บใจจนทนอดกลัน้ ต่อไปไม่ไหว “วันนีเ้ จ้าจงใจ มาก่อกวนที่นี่ ใช่หรือไม่!” เว่ยอู๋เซี่ยนตอบ “เขาขโมยของข้า แย่งของข้าไป ข้ามาทวงของของ ข้าคืน เช่นนี้เรียกว่าก่อกวนด้วยรึ” โม่ฮูหยินยังไม่ทันตอบ โม่จื่อเยวียนกลับร้อนตัว รีบเงื้อเท้าเตรียม กระโดดถีบเขา เด็กหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่คนหนึ่งขยับนิ้วเล็กน้อย ฝ่าเท้า โม่จื่อเยวียนก็ยืนไม่มั่นคง เสียหลักจนถีบวืดไม่ถูกตัว และล้มคะม�ำเสียเอง ทว่าเว่ยอู๋เซี่ยนกลับกลิ้งหลุนๆ ราวกับโดนถีบจริงๆ ทั้งยังดึงเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เผยให้เห็นรอยฝ่าเท้าที่โม่จื่อเยวียนประทับบนหน้าอกเขาเมื่อวานนี้ ผู้คนในหมู่บ้านสกุลโม่ชมละครอย่างสนุกสนานออกรสออกชาติ 23
โม่เซียงถงซิว่
รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจเป็นที่สุด ทุกคนต่างคิดในใจว่า รอยฝ่าเท้านี้ โม่เสวียนอวี่ ไม่มีทางประทับเองได้แน่ จะดีจะชั่ว เขาก็เป็นสายเลือดสกุลโม่ สกุลโม่ โหดร้ายต่อโม่เสวียนอวีเ่ กินไปแล้ว ช่วงทีเ่ ขาเพิง่ กลับมาใหม่ๆ ยังไม่ฟน่ั เฟือน หนักถึงเพียงนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าคนในตระกูลนี้บีบคั้นกดขี่เขาจน เสียสติหนักขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนขอเพียงมีเรื่องสนุกให้ดูเป็นพอ ถึง อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อพวกเขา และละครฉากนี้ก็สนุกกว่า ดูทูตจากส�ำนักเซียนเสียอีก! ด้วยมีสายตาหลายคู่จับตาดู อีกทั้งโม่เสวียนอวี่ตีไม่ได้ ไล่ก็ไม่ไป โม่ฮูหยินจึงมีเพลิงโทสะจุกแน่นอยู่ในล�ำคอ จ�ำใจถามด้วยน�้ำเสียงราบเรียบ “ขโมยอะไร แย่งอะไร พูดจาเช่นนี้ไม่น่าฟังเอาเสียเลย ก็แค่คนในครอบครัว เดียวกันยืมไปดูเฉยๆ เท่านั้น แล้วในเมื่ออาเยวียนเป็นน้องชายเจ้า หยิบ ของเจ้ามาไม่กี่ชิ้นจะเป็นไรไป อีกอย่างเจ้าเป็นพี่เขา ไฉนจึงใจแคบปานนี้ โวยวายเรือ่ งหยุมหยิมอย่างกับเป็นเด็กเล็กๆ ช่างน่าขายหน้ายิง่ นัก ใช่วา่ เขา จะไม่คืนเจ้าเสียเมื่อไร” เด็กหนุ่มชุดขาวพวกนั้นหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก�ำลังดื่มชาถึงกับส�ำลัก ทายาทสกุลหลานแห่งกูซูเติบโตมาท่ามกลางสิ่ง ดีงามดุจหิมะจันทราวายุบุปผา แทบไม่เคยพบเจอเรื่องเหลวไหลประเภทนี้ ยิ่งไม่เคยได้ยินความคิดเห็นแก่ตัวเช่นนี้มาก่อน วันนี้เกรงว่าพวกเขาจะได้ เปิดหูเปิดตาเสียแล้ว เว่ยอูเ๋ ซีย่ นหัวเราะอย่างบ้าคลัง่ ในใจ แล้วแบมือทวงของ “เช่นนั้นเจ้าก็คืนมาสิ” แน่นอนว่าโม่จื่อเยวียนน�ำของมาคืนให้ไม่ได้ เพราะโยนทิ้งไปนาน แล้ว บ้างก็ฉีกทิ้งไปเรียบร้อย หรือต่อให้ยังอยู่ก็ไม่เต็มใจคืนให้อยู่ดี คนถูก ทวงจึงหน้าเขียวคล�้ำหันไปหาตัวช่วย “ท่านแม่” เขาส่งสายตาเร่งเร้ามารดา 24
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
‘ท่านจะปล่อยให้มันหยามหน้าข้าอยู่อย่างนี้หรือ’ โม่ฮูหยินถลึงตาใส่บุตรชาย บอกเป็นนัยว่าอย่าท�ำให้สถานการณ์ ยำ�่ แย่เกินงามไปกว่านี้ ใครเล่าจะรูว้ า่ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นกลับพูดขึน้ อีก “จะว่าไป เขา ไม่ใช่แค่ไม่ควรขโมยของข้า แต่ยงิ่ ไม่ควรมาขโมยตอนกลางดึกกลางดืน่ ใคร บ้างไม่รวู้ า่ ข้าชอบบุรษุ ถึงเขาไม่รจู้ กั อาย แต่ขา้ ยังรูจ้ กั หลีกเลีย่ งค�ำครหานะ” โม่ฮูหยินสูดอากาศเย็นเข้าปอดเฮือกหนึ่ง แล้วตวาดลั่น “ต่อหน้า ผู้อาวุโสทั้งหลาย เจ้าพูดอะไรของเจ้า! ช่างไร้ยางอายสิ้นดี อาเยวียนเป็น ญาติผู้น้องของเจ้านะ!” หากจะพูดถึงเรื่องท�ำตัวก่อกวน เว่ยอู๋เซี่ยนถนัดนักแล สมัยก่อน เวลาก่อกวนยังต้องค�ำนึงถึงหน้าตาวงศ์ตระกูล จะให้ใครมาว่าบิดามารดา ไม่สั่งสอนไม่ได้เด็ดขาด แต่ตอนนี้ไหนๆ เขาก็เป็นเจ้าบ้าคนหนึ่ง ยังต้องห่วง เรื่องชื่อเสียงหน้าตาไปไย อาละวาดให้สาแก่ใจไปเลยดีกว่า เขาจึงพูด เสียงดังฟังชัด “ทัง้ ทีเ่ ขารูอ้ ยูแ่ ก่ใจว่าเป็นญาติผนู้ อ้ งของข้า แต่ยงั ไม่รจู้ กั เลีย่ ง ค�ำครหา ตกลงว่าใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย! เจ้าไร้ยางอายก็เรื่องของเจ้าสิ แต่ อย่ามาท�ำให้ความบริสุทธิ์ของข้าต้องมัวหมอง! ข้ายังต้องหาบุรุษดีๆ สักคน ให้ได้อยู่นะ!!!” โม่ จื่ อ เยวี ย นร้ อ งลั่ น ฉวยเก้ า อี้ ไ ด้ ก็ ฟ าดโครม เว่ ย อู ๋ เ ซี่ ย นเห็ น ฝ่ายตรงข้ามระเบิดอารมณ์ในทีส่ ดุ ก็รบี ลุกขึน้ หลบอย่างว่องไว เก้าอีถ้ กู ฟาด หักระเนระนาด พวกคนว่างงานที่เดิมทีออกันอยู่เต็มโถงตะวันออกเพื่อรอดู ความบันเทิงจากเรื่องขายหน้าครั้งใหญ่ของสกุลโม่ เวลานี้พากันแตกฮือ ราวกั บ นกแตกรั ง กลั ว ว่ า หากไม่ ร ะวั ง ประเดี๋ ย วจะโดนลู ก หลงเอาได้ เว่ยอู๋เซี่ยนวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังพวกเด็กหนุ่มสกุลหลานที่ก�ำลังตะลึงงัน แล้วรีบร้องแรกแหกกระเชอ “เห็นไหมๆ ขโมยของแล้วยังจะลงไม้ลงมืออีก 25
โม่เซียงถงซิว่
ช่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเอาเสียเลย!” โม่จื่อเยวียนหมายจะตามเข้าไปขย�้ำ แต่หัวหน้าเด็กหนุ่มรีบปราด มาขวางไว้ “คุณชายท่านนี้...มีอะไรก็พูดจากันดีๆ เถิด” โม่ฮูหยินเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้มีเจตนาต้องการปกป้องเจ้าบ้า พลันรู้สึก หวัน่ ใจ จึงฝืนฉีกยิม้ ชีแ้ จง “คนผูน้ เี้ ป็นบุตรชายของน้องสาวข้าเอง สมองเขา... ไม่ค่อยปกตินัก คนในหมู่บ้านสกุลโม่ต่างรู้กันทั่วว่าเขาเป็นคนสติฟั่นเฟือน ชอบพูดจาพิลึกพิลั่น ยึดถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้หรอก ท่านเซียนอย่า...” พูดยังไม่ทันขาดค�ำ เว่ยอู๋เซี่ยนก็ชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลัง เด็กหนุ่ม “ใครบอกว่าค�ำพูดข้ายึดถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ ต่อแต่นี้ ไม่ว่าใคร หน้าไหนลองมาขโมยของข้าดูสิ ขโมยหนึ่งครั้ง ข้าก็จะตัดมือมันหนึ่งข้าง!” เดิมทีโม่จื่อเยวียนถูกบิดาจับตัวไว้ พอได้ยินถ้อยค�ำดังกล่าวก็จะ กระโจนใส่อีกครา เว่ยอู๋เซี่ยนวิ่งปรู๊ดออกมา เด็กหนุ่มคนเดิมรีบขวางเขาไว้ที่ ประตู แล้วกล่าวเปลีย่ นประเด็น โดยท�ำหน้าเคร่งขรึมพูดอย่างเป็นการเป็นงาน “เช่นนัน้ ...คืนนีค้ งต้องขอยืมลานด้านตะวันตกของเรือนท่านแล้ว โปรดจ�ำค�ำ ทีข่ า้ พูดไว้กอ่ นหน้านีใ้ ห้ดี หลังตะวันตกดิน โปรดปิดประตูให้มดิ ชิด ห้ามออก มาเดินเพ่นพ่าน ที่ส�ำคัญคือห้ามเข้าใกล้ลานนี้เด็ดขาด” โม่ฮูหยินตัวสั่นเทิ้มด้วยความโมโห นางถูกเด็กหนุ่มขวางไว้ ทั้งยัง ไม่อาจผลักเขาออก จึงได้แต่กล่าวว่า “ได้ๆ รบกวนแล้วๆ...” โม่จื่อเยวียนครางลั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านแม่! เจ้าบ้านั่นใส่ ความข้าต่อหน้าผูค้ นเยีย่ งนี้ แล้วจะปล่อยไปเช่นนีน้ ะ่ หรือ! ไหนท่านเคยบอก ว่ามันก็แค่...” โม่ฮูหยินตะคอกเสียงดัง “หุบปาก มีอะไรไว้ค่อยคุยกัน!” โม่จอื่ เยวียนไม่เคยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียหน้า อีกทัง้ ไม่เคย 26
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ถูกมารดาต�ำหนิเช่นนีม้ าก่อน ในใจจึงอัดอัน้ ด้วยความแค้น ได้แต่แผดเสียงลัน่ “เจ้าบ้า คืนนี้เจ้าตายแน่!” เว่ยอู๋เซี่ยนท�ำตัวบ้าเสร็จก็เดินออกจากประตูใหญ่ไปปรากฏโฉม ทัว่ หมูบ่ า้ นสกุลโม่หนึง่ รอบ สร้างความแตกตืน่ ตกใจให้แก่ผคู้ นทีส่ ญ ั จรไปมา แต่เขากลับยิง่ สนุกและเริม่ สัมผัสได้ถงึ ความหรรษาของการเป็นคนบ้า กระทัง่ เริ่มพอใจในการแต่งหน้าเหมือนผีผูกคอตายถึงขั้นตัดใจล้างหน้าไม่ลง เขาคิดในใจ ‘ในเมื่อไม่มีน�้ำ งั้นก็ไม่ต้องล้างมันเสียเลย’ เขายกมือขึ้นจัด ผมเผ้า พลันเหลือบไปเห็นรอยแผลบนข้อมือว่าไม่มีวี่แววจะดีขึ้นสักนิด แสดงว่าการแก้แค้นให้โม่เสวียนอวี่แบบเบาะๆ เช่นนี้ ยังห่างไกลจากความ ปรารถนาของเจ้าของร่าง ต้องการให้เขาฆ่าล้างตระกูลสกุลโม่จริงหรือ ...พูดตามจริง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เว่ยอู๋เซี่ยนครุ่นคิดขณะเดินกลับคฤหาสน์สกุลโม่ ตอนเดินต๊อกๆ ผ่านลานตะวันตก เขาเห็นพวกทายาทสกุลหลานยืนอยูบ่ นหลังคาและก�ำแพง คล้ายก�ำลังหารือกันอย่างครำ�่ เคร่ง เขาจึงเดินต๊อกๆ วกกลับมาพลางเงยหน้า มองเด็กหนุ่มพวกนั้น แม้สกุลหลานแห่งกูซูจะเป็นหัวหอกในบรรดาตระกูลที่ล้อมปราบ เขา แต่ตอนนั้นอนุชนพวกนี้ยังไม่เกิด หรือไม่ก็เพิ่งอายุแค่ไม่กี่ขวบ เรื่องราว คราวนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา เว่ยอู๋เซี่ยนจึงหยุดดูอยู่ห่างๆ อยากรู้ว่า พวกเขาจะจัดการเช่นไร ดูไปดูมา จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เหตุใดธงสีด�ำที่โบกสะบัดตามแรงลมบนหลังคาและก�ำแพง จึงได้ ดูคุ้นตานักเล่า ธงชนิดนีม้ ชี อื่ ว่า ‘ธงเรียกวิญญาณ’ หากปักธงไว้บนตัวคนเป็น ก็จะ 27
โม่เซียงถงซิว่
ดึงดูดวิญญาณหยิน5 วิญญาณอาฆาต ศพอ�ำมหิต และวิญญาณร้ายใน ละแวกใกล้เคียงทั้งหมดให้เข้ามาโจมตีคนผู้นั้น เนื่องจากคนที่ถูกปักธงจะ กลายเป็นเหมือนเป้ามีชีวิต ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘ธงชี้เป้า’ ธงนี้ สามารถปักไว้ตามบ้านได้ แต่ในบ้านต้องมีคนเป็นอยู่ด้วย โดยจะมีขอบเขต การโจมตีครอบคลุมไปถึงทุกคนในบ้าน และเนื่องจากละแวกที่ปักธงจะมี พลังหยินปกคลุมเสมือนมีสายลมสีด�ำลอยวน จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ธงวายุด�ำ’ เด็กหนุ่มพวกนี้ก�ำลังจัดค่ายกลธงอยู่ที่ลานตะวันตก และห้าม ผูไ้ ม่เกีย่ วข้องเฉียดกรายเข้าใกล้ เห็นทีคงคิดจะเรียกศพเดินให้มารวมกันทีน่ ี่ แล้วจัดการให้ราบคาบในคราเดียว ส่วนที่ว่าเหตุใดจึงดูคุ้นตานัก...ก็จะไม่คุ้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อ ผู้สร้างธงเรียกวิญญาณคือปรมาจารย์อี๋หลิงนี่เอง! เห็นได้ชัดว่า แม้เหล่าผู้ฝึกวิชาเซียนลัทธิเสวียนเหมินทั้งหลายจะ ท�ำร้ายเข่นฆ่าเขา แต่กลับน�ำข้าวของที่เขาสร้างขึ้นมาใช้งานโดยไม่รู้สึก กระดากใจสักนิด ศิษย์สกุลหลานคนหนึง่ ยืนอยูบ่ นหลังคา พอเห็นเขายืนมองก็เอ่ยขึน้ “กลับไปเถิด ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา” แม้จะเป็นการไล่ แต่ท�ำไปด้วยความหวังดี น�้ำเสียงที่ใช้ก็ต่างกัน ลิบลับกับพวกบ่าวไพร่สกุลโม่ เว่ยอู๋เซี่ยนฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว กระโดดขึ้นไปฉวยธงมาผืนหนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นตกใจ กระโดดลงจากก�ำแพงมาไล่กวดเขา “อย่าซนสิ นี่ไม่ใช่ของที่เจ้าจะหยิบไปเล่นได้นะ!” เว่ยอู๋เซี่ยนวิ่งหนีไปร้องตะโกนไป ผมเผ้ากระเซิง กระโดดโลดเต้น วิญญาณผู้ตายที่ยังมีห่วง จึงวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่ยอมไปสู่สุคติ
5
28
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ท�ำท่าท�ำทางเป็นคนบ้าได้อย่างสมจริง “ไม่คืน! ไม่คืนหรอก! ข้าจะเอาอันนี้! ข้าจะเอา!” ศิษย์ผู้นั้นสืบเท้าสองก้าวก็ตามเขาทัน เจ้าตัวคว้าแขนเขาแล้วพูด อย่างเอาเรื่อง “จะคืนไม่คืน ถ้าไม่คืน ข้าจะตีเจ้า!” เว่ยอูเ๋ ซีย่ นกอดธงแน่นไม่ยอมปล่อย เด็กหนุม่ ผูเ้ ป็นหัวหน้าก�ำลังจัด ธงตั้งค่ายกลอยู่ เผอิญหันมาเห็นเหตุการณ์ทางด้านนี้ จึงพลิ้วกายกระโดด ลงจากหลังคาพลางร้องห้าม “จิ่งอี๋ ช่างเถอะ หยิบคืนมาเฉยๆ ก็พอ ไยต้อง ถือสาหาความเขาด้วย” หลานจิง่ อีโ๋ อด “ซือจุย ข้าก็ไม่ได้จะตีเขาจริงๆ สักหน่อย! เจ้าดูสิ เขา ท�ำให้ค่ายกลธงเรียกวิญญาณพังเละเทะไปหมดแล้ว!” ระหว่างยื้อยุดกันอยู่ เว่ยอู๋เซี่ยนตรวจดูธงเรียกวิญญาณในมือเสร็จ พอดี ลวดลายถูกต้อง คาถาครบถ้วนไม่ตกหล่น ไม่มีส่วนใดบกพร่อง น�ำไป ใช้งานได้อย่างไร้ข้อผิดพลาด เพียงแต่คนวาดธงผืนนี้มีประสบการณ์ไม่พอ คาถาที่วาดขึ้นสามารถเรียกวิญญาณร้ายกับศพเดินมาได้อย่างมากแค่ใน รัศมีห้าลี้เท่านั้น ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หลานซือจุยกล่าวกับเขาด้วยรอยยิม้ “คุณชายโม่ ใกล้คำ�่ แล้ว ตรงนี้ อีกประเดีย๋ วจะมีการจับศพเดิน กลางค�ำ่ กลางคืนอันตราย ท่านรีบกลับเรือน ไปเถอะ” เว่ยอู๋เซี่ยนประเมินเด็กหนุ่มผู้นี้ครู่หนึ่ง เห็นอีกฝ่ายสุภาพองอาจ รูปลักษณ์งามสง่า มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ถือเป็นคนหนุ่มหน่วยก้านดี ควรค่าแก่การสนับสนุน ก็นึกชมเด็กหนุ่มในใจ ‘อายุยังน้อย แต่สามารถ จัดค่ายกลธงเรียกวิญญาณได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สกุลหลานอบรม ลูกหลานได้ไม่เลว ไม่รู้ว่าเป็นใครในสกุลหลานแห่งกูซูอันแสนคร�่ำครึที่ 29
โม่เซียงถงซิว่
สามารถปลูกฝังอนุชนรุ่นหลังแสนดีงามเช่นนี้ออกมาได้’ หลานซือจุยพูดต่อ “ธงผืนนี้...” ไม่รอให้เขาพูดจบ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นก็โยนธงเรียกวิญญาณลงพืน้ แล้วแค่น เสียง “เฮอะ ก็แค่ธงขาดๆ ผืนเดียว ไม่เห็นจะมีอะไรวิเศษวิโส! ข้าวาดสวย กว่าพวกเจ้าตั้งแยะ!” เขาโยนทิ้งเสร็จก็ชักเท้าวิ่งออกไป เด็กหนุ่มสองสามคนที่ยืนดู เหตุการณ์วุ่นวายอยู่บนหลังคา ได้ยินเขาคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย ก็พา กันหัวร่อจนเกือบตกลงมา หลานจิ่งอี๋เองโมโหจนหลุดข�ำ เขาเก็บธงเรียก วิญญาณผืนนั้นขึ้นมาปัดฝุ่นพลางบ่น “เป็นเจ้าบ้าจริงๆ ด้วย!” หลานซือจุยปราม “อย่าพูดเช่นนี้ รีบมาช่วยกันเร็วเข้า” เว่ยอูเ๋ ซีย่ นเดินโต๋เต๋ตอ่ อีกสองรอบ ตะวันลาลับขอบฟ้าแล้วค่อยกลับ เรือนหลังน้อยของโม่เสวียนอวี่ ดาลประตูหัก บนพื้นเละเทะระเนระนาดไม่มี ใครเก็บกวาด เขาท�ำเพิกเฉย แล้วหาที่สะอาดหน่อยหย่อนก้นนั่งสมาธิ ใครจะรูว้ า่ นัง่ สมาธิคราวนีย้ งั ไม่ทนั ฟ้าสาง โลกภายนอกก็มเี สียงดัง เอ็ดตะโร พลอยดึงเขาหลุดจากกรรมฐาน เสี ย งฝี เ ท้ า พลุ ก พล่ า นปะปนกั บ เสี ย งสะอื้ น และหวี ด ร้ อ งอย่ า ง ตื่นตระหนกก�ำลังเข้ามาใกล้ในเวลาอันรวดเร็ว เว่ยอู๋เซี่ยนได้ยินค�ำพูดซ�้ำๆ ไม่กปี่ ระโยคอย่าง “...บุกเข้าไปลากมันออกมา!” “แจ้งทางการ!” “แจ้งทางการ ไปไย คลุมหัวแล้วตีมันให้ตายเลย!” เขาลืมตาขึน้ บ่าวหลายคนบุกเข้ามา ท�ำให้ทงั้ เรือนสว่างไสวไปด้วย แสงไฟ แล้วก็มีคนตะโกนเสียงดัง “ลากตัวเจ้าบ้าฆ่าคนตายไปที่โถงใหญ่ มันจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” เว่ยอู๋เซี่ยนคิดในแวบแรก ‘หรือว่าค่ายกลธงเรียกวิญญาณของ 30
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
เด็กหนุ่มพวกนั้นเกิดข้อผิดพลาด’ สิ่งที่เขาสร้าง หากใช้ไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียว อาจน�ำมาซึ่งหายนะ อันใหญ่หลวง นีค่ อื สาเหตุทเี่ ขาจงใจเข้าไปตรวจตราว่า การวาดธงเรียกวิญญาณ มีข้อผิดพลาดหรือไม่ ตอนที่มือใหญ่หลายคู่หิ้วตัวเขาออกไป เว่ยอู๋เซี่ยน จึงปล่อยให้คนพวกนั้นลากไปแต่โดยดี ดีเสียอีก เขาจะได้ไม่ต้องเดินเอง ให้เปลืองแรง ครั้นไปถึงโถงตะวันออก บรรยากาศก็คึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนใน หมูบ่ า้ นแห่กนั มามุงดูไม่นอ้ ยกว่าตอนกลางวันเลย บ่าวรับใช้และพวกญาติๆ ต่างออกมากันหมด บางคนสวมเพียงชุดตัวใน ผมเผ้าไม่ทันได้หวี แต่ละคน มีสีหน้าหวาดกลัว โม่ฮูหยินนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนที่นั่งราวกับเพิ่งฟื้นจาก การสลบไสล สองข้างแก้มคล้ายมีคราบน�้ำตา ขอบตายังคงมีหยาดน�้ำ แต่ ทันทีที่เว่ยอู๋เซี่ยนถูกลากตัวเข้ามา ประกายน�้ำตาของนางพลันแปรเปลี่ยน เป็นเย็นเยียบและเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท บนพื้ น มี วั ต ถุ ค ล้ า ยร่ า งคนคลุ ม ด้ ว ยผ้ า ขาว โผล่ ม าเพี ย งศี ร ษะ หลานซือจุยกับเด็กหนุม่ พวกนัน้ มีสหี น้าหนักใจ ขณะก้มลงไปตรวจสอบ และ หารือกันเบาๆ แต่ค�ำพูดพวกนั้นกลับดังเข้าหูเว่ยอู๋เซี่ยน “...ตอนพบยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปงั้นรึ” “เพิง่ สยบพวกศพเดินได้ พวกเรารีบไล่ตามจากลานตะวันตกไปทาง ลานตะวันออก ก็พบศพปรากฏอยู่บนระเบียงทางเดินแล้ว” ร่างร่างนี้ก็คือโม่จื่อเยวียนนั่นเอง เว่ยอู๋เซี่ยนกวาดตาแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองซ�้ำอีกรอบ ศพนีค้ ล้ายโม่จอื่ เยวียน แต่ในขณะเดียวกันก็ดไู ม่เหมือนโม่จอื่ เยวียน แม้เครือ่ งหน้าจะชีช้ ดั ว่าเป็นญาติผนู้ อ้ งแสนน่ารังเกียจของเขา ทว่าแก้มกลับ 31
โม่เซียงถงซิว่
ซูบตอบ ตาโปนจนถลน ผิวหนังยับย่น เมื่อเทียบกับโม่จื่อเยวียนที่ยังเป็น เด็ ก หนุ ่ ม ก่ อ นหน้ า นี้ ก็ ดู แ ก่ ขึ้ น ร่ ว มยี่ สิ บ ปี ประหนึ่ ง ถู ก สู บ เลื อ ดเนื้ อ จน แห้งเหือด กลายสภาพเป็นโครงกระดูกหุ้มหนังบางเฉียบ ถ้าบอกว่าหน้าตา ดั้งเดิมของโม่จื่อเยวียนอัปลักษณ์แล้ว เช่นนั้นศพของเขาในเวลานี้ก็ทั้งแก่ และอัปลักษณ์ยิ่งกว่า เว่ยอู๋เซี่ยนก�ำลังเพ่งพิศอย่างละเอียด จู่ๆ โม่ฮูหยินก็กระโจนเข้ามา วัตถุในมือนางสะท้อนแสงวาววับ นางก�ำมีดสั้นเล่มหนึ่ง หลานซือจุยตาไว รีบปัดมันตกพื้น แต่ยังไม่ทันอ้าปาก โม่ฮูหยินก็หันมาตวาดแหว “ลูกชายข้า ตายอย่างน่าอนาถ ข้าจะล้างแค้นให้เขา! เจ้ามาขวางข้าท�ำไม” เว่ยอู๋เซี่ยนหลบไปอยู่ข้างหลังหลานซือจุยอีกครั้ง เขานั่งยองๆ แล้ว เอ่ยขึ้น “ลูกชายเจ้าตายอย่างน่าอนาถ แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า” ตอนกลางวันหลานซือจุยเห็นเว่ยอู๋เซี่ยนก่อเรื่องไปแล้วครั้งหนึ่งใน โถงตะวันออก จากนั้นยังได้ฟังค�ำใส่สีตีไข่เกี่ยวกับบุตรนอกสมรสคนนี้จาก ผู้คนรอบข้าง จึงสงสารคนบ้าผู้นี้จับใจ ทนไม่ไหวจนต้องออกหน้าช่วยพูด แก้ต่างแทนเขา “โม่ฮูหยิน จากสภาพศพของบุตรชายท่าน เลือดเนื้อและ พลังชีวิตล้วนแต่ถูกสูบกินจนหมดสิ้น บ่งบอกว่าวิญญาณร้ายต่างหากที่ สังหารเขา คงไม่ใช่ฝีมือคุณชายโม่หรอกขอรับ” หน้าอกโม่ฮูหยินกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง “พวกเจ้าจะไปรู้อะไร! บิดา ของเจ้าบ้าผู้นี้เป็นผู้ฝึกวิชาเซียน มันต้องเรียนวิชามารมาไม่น้อยแน่ๆ!” หลานซือจุยหันไปมองเว๋ยอูเ๋ ซีย่ นทีแ่ สร้งท�ำเหมือนคนสติไม่สมประกอบ แล้วย้อนอีกฝ่าย “เรื่องนี้ ฮูหยินไม่มีหลักฐาน ท่านจะ...” “หลักฐานก็อยู่บนตัวลูกชายข้าอย่างไรเล่า!” โม่ฮูหยินชี้ศพบนพื้น “พวกเจ้าดูสิ ศพอาเยวียนบอกข้าแล้วว่า คนฆ่าเขาเป็นใคร!” 32
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ไม่ตอ้ งรอให้คนอืน่ ลงมือ เว่ยอูเ๋ ซีย่ นก็ชงิ เปิดผ้าคลุมสีขาวออกตัง้ แต่ หัวจดเท้า ศพของโม่จื่อเยวียนมีบางอย่างหายไป แขนซ้ายของเขาตั้งแต่หัวไหล่ลงไป ไม่รู้ว่าขาดหายไปไหนแล้ว! โม่ฮูหยินพูดต่อ “เห็นหรือยัง วันนี้ ที่นี่ พวกเจ้าต่างก็ได้ยินกันไม่ใช่ หรือว่าเจ้าบ้ามันพูดอะไรไว้ มันบอกว่าถ้าอาเยวียนแตะของมันอีก มันจะตัด มืออาเยวียน!” หลังจากสติแตกเสร็จ นางก็ยกมือปิดหน้าสะอื้นไห้ “...อาเยวียน ลูกชายผูน้ า่ สงสารของข้าไม่ได้แตะต้องสิง่ ใดของเจ้าบ้านีด่ ว้ ยซ�ำ้ ไม่เพียงถูก มันปรักปร�ำ ยังถูกไอ้คนสติวิปลาสท�ำร้ายจนถึงแก่ชีวิต...” สติวิปลาส! หลายปีแล้วที่ไม่ได้ยินคนใช้ค�ำนี้มาวิจารณ์ตน ช่างรู้สึกคุ้นเคย เหลือเกิน เว่ยอู๋เซี่ยนชี้หน้าตัวเอง แต่กลับไร้ค�ำจะโต้ตอบ และไม่รู้ว่าตกลง เป็นเขาหรือโม่ฮหู ยินกันแน่ทเี่ สียสติ ค�ำพูดอันธพาลท�ำนองว่าจะฆ่าล้างตระกูล เอาให้ศพกองท่วมหัว เลือดไหลนองดัง่ สายธารา เมือ่ ตอนเยาว์วยั เขาเคยพูด มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ส่วนมากก็แค่พูดเฉยๆ เพราะหากพูดแล้วท�ำได้จริง ป่านนี้เขาคงได้ชื่อว่าเป็นคนโฉดแห่งปฐพีไปแล้ว อันที่จริงโม่ฮูหยินไม่ได้ ต้องการล้างแค้นให้ลูก นางแค่ต้องการหาคนมาเป็นที่รองรับโทสะก็เท่านั้น เว่ยอู๋เซี่ยนเลิกสนใจนาง เขาครุ่นคิดพลางยื่นมือไปค้นในอกเสื้อ โม่จื่อเยวียน คล�ำหาอยู่สักพักก็ล้วงของบางอย่างออกมากางดู พบว่าเป็น ธงเรียกวิญญาณหนึ่งผืน พริบตานั้น ในใจเขาพลันกระจ่างแจ้ง “หาเรื่องใส่ตัว กรรมเลย ตามสนอง หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น!” พวกหลานซือจุยเห็นสิง่ ทีล่ ว้ งออกมาจากอกเสือ้ โม่จอื่ เยวียนก็เข้าใจ 33
โม่เซียงถงซิว่
แจ่มแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น พอนึกกระหวัดไปถึงละครฉากนั้นเมื่อตอนกลางวัน ก็เดาต้นสายปลายเหตุได้ไม่ยาก ตอนกลางวันโม่จื่อเยวียนถูกโม่เสวียนอวี่ โวยวายใส่จนเสียหน้า จึงแค้นใจเป็นที่สุด และมีจิตคิดอยากเอาคืน แต่คน ก่อเรื่องกลับมัวแต่ไปเดินเตร่เถลไถลอยู่ข้างนอก ผ่านไปนานสองนานก็ยัง ไม่เห็นแม้แต่เงา โม่จื่อเยวียนจึงกะจะฉวยโอกาสตอนโม่เสวียนอวี่กลับมา กลางดึกค่อยลงมือสั่งสอนให้หนัก ทว่าพอตกกลางคืน โม่จื่อเยวียนแอบย่องออกไปข้างนอก แล้วเห็น ธงเรียกวิญญาณปักอยูบ่ นก�ำแพงตอนเดินผ่านลานตะวันตก แม้จะถูกก�ำชับ ย�้ำแล้วย�้ำอีกว่าดึกดื่นค�่ำมืดห้ามออกไปเพ่นพ่านข้างนอก ห้ามไปลาน ตะวันตก ที่ส�ำคัญคือ ห้ามแตะต้องธงสีด�ำพวกนี้ โม่จื่อเยวียนกลับนึกว่า พวกคนสกุลหลานคงกลัวจะถูกคนอืน่ ขโมยของวิเศษล�ำ้ ค่า จึงจงใจขูใ่ ห้กลัว โดยไม่รู้สักนิดว่าแท้จริงแล้วธงเรียกวิญญาณมีสรรพคุณอัปมงคลเพียงใด ทันทีทนี่ �ำมาซุกไว้ในอกเสือ้ คนผูน้ นั้ ก็จะกลายเป็นเป้ามีชวี ติ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ คนใจซื่อมือสะอาด ขโมยยันต์คุ้มภัยและของวิเศษของญาติผู้พี่สติฟั่นเฟือน จนติดเป็นนิสัย เมื่อเห็นของแปลกตาเช่นนี้เข้าหน่อย ย่อมเกิดอาการคันไม้ คั น มื อ ยากจะทานทน อยากได้ ม าไว้ ใ นครอบครอง จึ ง ฉวยจั ง หวะที่ พวกเจ้าของธงมัวแต่ปราบศพเดินอยู่ในลานตะวันตก แอบหยิบมาผืนหนึ่ง ค่ายกลธงเรียกวิญญาณต้องใช้ธงทั้งหมดหกผืน ห้าผืนปักไว้ใน ลานตะวันตกโดยมีเหล่าเด็กหนุ่มสกุลหลานเป็นเหยื่อล่อ แต่พวกเขาทุกคน พกของวิเศษจากส�ำนักเซียนติดตัวตัง้ ไม่รเู้ ท่าไรต่อเท่าไร ส่วนโม่จอื่ เยวียนแม้ ขโมยธงไปเพียงผืนเดียว แต่ไม่มขี องวิเศษสักชิน้ ไว้คมุ้ ครองตัว วิญญาณร้าย ย่อม ‘เลือกบีบลูกพลับนิ่ม6’ โดยเข้าหาโม่จื่อเยวียนซึ่งเล่นงานได้ง่ายกว่า เลือกรังแกคนอ่อนแอ ซึ่งเล่นงานง่ายกว่าคนเข้มแข็งพลังแก่กล้า
6
34
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
เด็กหนุม่ สกุลหลาน หากเป็นเพียงศพเดินยังพอท�ำเนา ต่อให้ถกู กัดหลายครัง้ ก็ไม่ถึงกับตาย ยังพอจะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่โชคร้ายที่ธงเรียกวิญญาณผืนนี้ ไปดึงดูดสิ่งน่ากลัวกว่าศพเดินเข้า เจ้าวิญญาณร้ายซึ่งไม่รู้ตัวตนแน่ชัดนี้เอง ที่ได้สังหารโม่จื่อเยวียนแล้วยังชิงแขนไปหนึ่งข้าง! เว่ยอู๋เซี่ยนยกข้อมือตนขึ้นมาดู เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด รอยแผล บนข้อมือซ้ายสมานแล้วหนึ่งรอย ดูท่าสัญญาอุทิศร่างจะถือว่าการตายของ โม่จอื่ เยวียนเป็นความดีความชอบของเขา เพราะอย่างไรเสียธงเรียกวิญญาณ ก็เป็นผลงานทีเ่ ว่ยอูเ๋ ซีย่ นสร้างขึน้ แล้วแพร่หลายสืบต่อกันมา ถ้าเช่นนัน้ ถือว่า จับพลัดจับผลูส้มหล่นก็แล้วกัน โม่ฮหู ยินเองรูแ้ ก่ใจดีวา่ บุตรชายนางมีขอ้ เสียพวกนี้ แต่นางไม่มที าง ยอมรับเด็ดขาดว่า โม่จอื่ เยวียนตายเพราะรนหาทีเ่ อง นางทัง้ กังวลและร้อนรน เพลิงเผาผลาญใจ พลันคว้าถ้วยชาปาใส่หน้าเว่ยอู๋เซี่ยน “หากไม่ใช่เพราะ เจ้าปรักปร�ำและฉีกหน้าเขาเมื่อวาน มีหรือที่เขาจะออกไปข้างนอกกลางดึก ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะเจ้า ไอ้ลูกไม่มีพ่อ!” เว่ยอู๋เซี่ยนเตรียมรับมือไว้แล้วจึงหลบได้ทัน โม่ฮูหยินปรี่เข้าไป กรีดร้องใส่หลานซือจุยอีกครัง้ “เจ้าก็อกี คน! พวกเจ้ามันไม่เอาไหนกันทัง้ โขยง ฝึกวิชาเซียนปราบผีประสาอะไร แม้แต่เด็กคนเดียวก็ยังคุ้มครองไม่ได้! อาเยวียนเพิ่งสิบกว่าขวบเองนะ!” เด็กหนุม่ พวกนีอ้ ายุยงั น้อย เพิง่ ออกมาหาประสบการณ์แค่ไม่กคี่ รัง้ ไฉนเลยจะคาดการณ์ได้ว่าที่แห่งนี้มีสิ่งผิดปกติ มิหน�ำซ�้ำยังคิดไม่ถึงว่าจะมี วิญญาณร้ายทีร่ า้ ยกาจถึงเพียงนีอ้ ยูด่ ว้ ย เดิมทีพวกเขานึกว่าเป็นเพราะตนเอง ประมาทเลินเล่อ จึงรู้สึกผิดมิใช่น้อย แต่พอถูกโม่ฮูหยินด่ากราดอย่าง ไม่แยกแยะผิดถูก แต่ละคนจึงหน้าเปลีย่ นสี ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นทายาท 35
โม่เซียงถงซิว่
ตระกูลใหญ่เลื่องชื่อ ไม่เคยมีใครกล้าปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้มาก่อน อีกทั้ง สกุลหลานแห่งกูซูอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดกวดขัน ห้ามลงไม้ลงมือกับคน ธรรมดาสามัญที่ไร้ทางสู้ ห้ามท�ำกระทั่งเรื่องเสียมารยาท ดังนั้นแม้พวกเขา จะไม่พอใจอย่างมาก แต่กต็ อ้ งทนฝืนข่มอารมณ์ พยายามอดกลัน้ จนหน้าตา ดูย�่ำแย่ เว่ ย อู ๋ เ ซี่ ย นกลั บ ทนดู ไ ม่ ไ ด้ เขาคิ ด ในใจ ‘ผ่ า นมาหลายปี ดี ดั ก สกุลหลานกลับยังยึดมั่นในคุณธรรมถึงเพียงนี้ จะท�ำอะไรก็ต้องคอยข่มใจ ให้ตัวเองอึดอัดทรมาน คอยดูข้านี่!’ เขาถ่มน�้ำลายอย่างแรงดัง ถุย แล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดว่าตัวเองก�ำลัง ด่าใคร เห็นพวกเขาเป็นบ่าวไพร่ในเรือนเจ้าหรือ คนเขาอุตส่าห์เดินทางไกล นับพันลี้มาช่วยก�ำจัดปีศาจให้โดยไม่คิดเงินสักแดง หรือพวกเขาติดหนี้เจ้า ลูกชายเจ้าอายุเท่าไร ปีนสี้ บิ เจ็ดแล้วกระมัง ยังจะเรียกว่า ‘เด็ก’ อยูอ่ กี รึ นีเ่ ป็น เด็กกีข่ วบกันถึงยังฟังภาษาคนไม่รเู้ รือ่ ง เมือ่ วานพวกเขาก็ก�ำชับย�ำ้ แล้วย�ำ้ อีก ไม่ใช่หรือว่า อย่าเข้าใกล้ลานตะวันตก ห้ามแตะต้องสิ่งของใดๆ ในค่ายกล แต่ลูกชายเจ้ากลับแอบออกมาท�ำลับๆ ล่อๆ กลางดึก ควรโทษข้าหรือ ลูกชายเจ้ากันแน่” หลานจิ่งอี๋และคนอื่นๆ พ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ต้อง อัดอั้นจนหน้าเขียวแล้ว โม่ฮูหยินโศกเศร้าและแค้นเคืองเป็นที่สุด ในใจนางคิดเพียงค�ำว่า ‘ตาย’ มิใช่วา่ นางคิดจะตายตามบุตรชาย แต่ตอ้ งการให้ทกุ คนบนโลกตายตก ต่างหาก โดยเฉพาะพวกที่อยู่เบื้องหน้านางฝูงนี้ และด้วยมีอะไร นางก็มัก จิกใช้แต่สามี นางจึงหันไปผลักสามีและร้องสั่ง “ไปตามคนมา! เรียกมา ให้หมดทุกคน!” 36
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
สามีนางกลับแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ไม่รู้ว่าการตายของบุตรชาย เพียงคนเดียวสร้างความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงหรืออย่างไร ถึงได้ ผลักนางคืนหนึง่ ที โม่ฮหู ยินไม่ทนั ตัง้ ตัวจึงล้มก้นจ�ำ้ เบ้า รูส้ กึ ตกใจจนตะลึงค้าง ทีผ่ า่ นมา ไม่ตอ้ งให้โม่ฮหู ยินผลัก แค่นางขึน้ เสียงเพียงนิดเดียว สามี ก็ลนลานท�ำตามค�ำสั่งทันที แต่วันนี้กลับกล้าผลักนางกลับ! บ่าวไพร่ทกุ คนต่างเสียขวัญเพราะสีหน้านาง อาติงรีบเข้าไปประคอง นางด้วยอาการตัวสั่นงันงก โม่ฮูหยินยกมือทาบอกพร้อมพูดเสียงสั่น “เจ้า... เจ้า...เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” สามีนางท�ำเสมือนไม่ได้ยิน อาติงส่งสายตาให้อาถงหลายที อาถง จึงรีบพานายท่านเดินออกไป ทัง้ ภายนอกและภายในโถงตะวันออกโกลาหล สุดจะทน เว่ยอู๋เซี่ยนเห็นว่าในที่สุดคนบ้านนี้ก็สงบลงเสียที จึงเตรียมตรวจดู ศพต่อ แต่ไม่ทันไร เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังมาจากลานบ้าน คนในห้องโถงรีบกรูกันออกไป พบสองร่างกระตุกเกร็งอยู่บนพื้น ลานตะวันออก คนหนึ่งคือ อาถงที่นั่งตัวแข็งทื่อ แต่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนอีกคน ล้มอยู่บนพื้น เลือดเนื้อราวกับถูกสูบจนกลวงโบ๋เหลือเพียงหนังเหี่ยวย่น แขนซ้ายหายไป ทว่าปากแผลกลับไม่มีเลือดไหลสักหยด สภาพศพเหมือน โม่จื่อเยวียนทุกประการ โม่ฮหู ยินเพิง่ สลัดหลุดจากฝ่ามือทีช่ ว่ ยประคองของอาติง ทันทีทเี่ ห็น ศพบนพื้น ลูกตานางก็เบิกค้าง ไร้เรี่ยวแรงจะอาละวาดได้อีก ถึงกับเป็นลม ล้มพับไป บังเอิญเว่ยอู๋เซี่ยนยืนอยู่ใกล้ จึงรับร่างนางไว้ได้ทัน แล้วรีบส่งต่อ ให้อาติงที่วิ่งเข้ามาหา เขามองมือขวาตัวเอง พบว่ารอยแผลเลือนหายไป อีกรอยแล้ว เพิง่ ก้าวพ้นธรณีประตูหอ้ งโถง ยังไม่ทนั เดินออกนอกลานตะวันออก 37
โม่เซียงถงซิว่
สามีโม่ฮหู ยินก็ดบั อนาถอยูต่ รงนัน้ ทุกสิง่ เกิดขึน้ ภายในชัว่ พริบตา หลานซือจุย และหลานจิง่ อีต๋ า่ งหน้าถอดสี หลานซือจุยตัง้ สติได้เร็วทีส่ ดุ จึงรีบซักถามอาถง ที่นั่งตัวแข็งทื่อ “เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามันคือสิ่งใด” อาถงตกใจเสียขวัญจนขากรรไกรอ้าไม่ขึ้น พูดอะไรไม่ออก เอาแต่ ส่ายหน้าระรัว หลานซือจุยร้อนใจดัง่ ถูกไฟลน จึงให้ศษิ ย์รว่ มส�ำนักพยุงอาถง เข้าไปในบ้าน แล้วหันไปถามหลานจิ่งอี๋ “ส่งสัญญาณหรือยัง” หลานจิ่งอี๋ตอบ “เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าละแวกนี้ไม่มีผู้อาวุโสตามมา ช่วยได้ เกรงว่ากว่าคนของเราจะตามมาถึง อย่างเร็วที่สุดก็ครึ่งชั่วยาม ตอนนี้ควรท�ำเช่นไรดี พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ�้ำว่ามันเป็นตัวอะไร” พวกเขาย่อมไปไหนไม่ได้ หากทายาทตระกูลใดเจอวิญญาณร้าย แล้วเผ่นหนีเอาตัวรอด ไม่เพียงท�ำให้วงศ์ตระกูลเสือ่ มเสีย ตัวเองก็จะอับอาย ไม่มีหน้าไปพบผู้คน คนสกุลโม่ที่ก�ำลังเสียขวัญก็ไม่อาจหนี เพราะวิญญาณ ร้ายน่าจะปะปนอยู่ในหมู่พวกเขา ถึงหนีไปก็ไร้ประโยชน์ หลานซือจุยจึง ขบกรามแน่น “เฝ้าอยู่ที่นี่...รอจนกว่าจะมีใครมา!” พวกเขาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว อีกไม่นานก็จะมี ผู้บ�ำเพ็ญเพียรคนอื่นตามมาช่วย เว่ยอู๋เซี่ยนย่อมต้องหลีกเร้นเพื่อเลี่ยงเรื่อง วุ่นวาย หากคนมาไม่รู้จักเขาก็โชคดีไป แต่ถ้าคนมาเป็นคนที่เคยคบหาหรือ ประมือกัน ผลจะเป็นเช่นไรก็คงพูดยาก แต่เขามีค�ำสาปติดตัว เวลานีค้ งไปจากหมูบ่ า้ นสกุลโม่ไม่ได้ อีกอย่าง เจ้าสิง่ ทีอ่ ญ ั เชิญมาได้คร่าชีวติ คนไปถึงสองคนภายในเวลาอันสัน้ นับว่าระดับ ความอ�ำมหิตไม่ธรรมดาโดยแท้ หากเว่ยอู๋เซี่ยนเลิกล้มแล้วจากไปตอนนี้ กว่าก�ำลังเสริมจะตามมาทัน หมู่บ้านสกุลโม่อาจมีซากศพแขนซ้ายด้วน เกลื่อนถนน และในบรรดาศพพวกนั้นต้องมีลูกหลานของสกุลหลานแห่งกูซู 38
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
รวมอยู่ด้วยแน่ๆ ตรึกตรองสักพัก เว่ยอู๋เซี่ยนก็คิดว่า ‘ต้องเปิดศึกให้เร็ว จบให้ไว’ เด็กหนุม่ พวกนัน้ เพิง่ ออกมาเผชิญโลก แต่ละคนมีสหี น้าเคร่งเครียด ทว่ายังคงเลือกยืนหยัดคุม้ ครองคฤหาสน์สกุลโม่ และปิดยันต์คมุ้ ภัยข้างนอก ข้างในห้องโถงจนทั่ว อาถงบ่าวรับใช้สกุลโม่ถูกคนหามเข้ามาในห้องโถง หลานซือจุยใช้มือซ้ายจับชีพจรเขา มือขวาผลักเข้ากลางหลังโม่ฮูหยิน เร่ง รักษาทั้งสอง ในขณะที่วุ่นวายอยู่นั่นเอง จู่ๆ อาถงก็ตะกายขึ้นมาจากพื้น อาติงอุทาน “อ๊ะ อาถง เจ้าฟื้นแล้ว!” นางยังไม่ทันได้แสดงสีหน้ายินดี ก็เห็นอาถงยกมือซ้ายขึ้นมาบีบ คอตัวเอง หลานซื อ จุ ย เห็ น สถานการณ์ นี้ เ ข้ า ก็ รี บ เข้ า ไปจี้ จุ ด ชี พ จรอาถง สามจุดรวด เว่ยอูเ๋ ซีย่ นรูด้ วี า่ แม้คนสกุลหลานจะดูสภุ าพนุม่ นวล แต่พลังแขน กลับมิได้อ่อนด้อย วิธีสกัดจุดเช่นนี้ ไม่ว่าใครโดนย่อมตัวแข็งทื่อทันที แต่ อาถงกลับไม่สะทกสะท้าน มือซ้ายยังคงบีบคอตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้า แลดูเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส หลานจิ่งอี๋เข้าไปแกะมือซ้ายของเขา ออก ทว่ามันกลับรัดแน่นยิง่ กว่าหลอมด้วยเหล็กไหล ไม่มวี แี่ ววว่าจะง้างออก สักนิด เพียงไม่นานก็ได้ยนิ เสียงดัง กร๊อบ ศีรษะอาถงห้อยเอียง มือจึงคลายออก แต่กระดูกคอหักแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะบีบคอตัวเองตายท่ามกลางสายตาทุกคน! เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ อาติงก็ร้องเสียงสั่น “...ผี! มีผีร้ายที่มอง ไม่เห็นอยู่ที่นี่ ท�ำให้อาถงบีบคอตัวเองตาย!” เสี ย งหวี ด แหลมของอาติ ง ฟั ง ดู โ หยหวนยิ่ ง นั ก คนได้ ยิ น พากั น ขนลุ ก เกรี ย วและปั ก ใจเชื่ อ ทั น ที แต่ เ ว่ ย อู ๋ เ ซี่ ย นกลั บ วิ เ คราะห์ อ อกมา 39
โม่เซียงถงซิว่
ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ‘นี่ไม่ใช่ผีร้าย’ เขาเห็นยันต์ที่พวกเด็กหนุ่มเลือกมาใช้ ยันต์ไล่วิญญาณติดทั่ว โถงตะวันออกอย่างแน่นหนาจนแทบไม่เหลือที่ว่าง หากผีร้ายเข้ามาใน โถงตะวันออก แผ่นยันต์จะเกิดไฟสีเขียวลุกไหม้เองทันที ไม่ใช่สงบนิ่ง ปราศจากการเคลื่อนไหวอย่างในเวลานี้ ใช่วา่ เด็กหนุม่ กลุม่ นีม้ ปี ฏิกริ ยิ าตอบสนองช้า แต่เป็นเพราะวิญญาณ ที่ถูกเรียกมาร้ายกาจมากจริงๆ ลัทธิเสวียนเหมินได้ก�ำหนดมาตรฐานการใช้ ค�ำว่า ‘ผีร้าย’ ไว้อย่างชัดเจน ทุกเดือนสังหารหนึ่งคน ออกอาละวาดต่อเนื่อง สามเดือน จึงจะเข้าข่ายผีรา้ ย หลักเกณฑ์นเี้ ว่ยอูเ๋ ซีย่ นเป็นผูบ้ ญ ั ญัติ และดูทา่ ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ เขาถนัดรับมือวิญญาณจ�ำพวกนี้ที่สุด เท่าที่เขาเห็น เจ็ดวัน สังหารหนึง่ คนก็ถอื เป็นผีรา้ ยทีร่ งั ควานถีม่ ากแล้ว แต่เจ้าสิง่ นีก้ ลับสังหารติดๆ กันสามคนภายในเวลาอันสั้น ต่อให้เป็นผู้บ�ำเพ็ญเพียรเลื่องชื่อก็ยากจะคิด หาวิธีรับมือได้ทัน นับประสาอะไรกับอนุชนกลุ่มนี้ที่เพิ่งออกมาเผชิญโลก ขณะทีเ่ ขาคิดเช่นนี้ เปลวไฟก็ไหววูบ ลมหยิน7พัดโหมมาระลอกหนึง่ โคมไฟและแสงเทียนทัว่ ลานและในโถงตะวันออกดับพรึบ่ อย่างพร้อมเพรียง ชัว่ ขณะทีต่ ะเกียงดับลง เสียงกรีดร้องก็ดงั เอ็ดอึงเป็นทอดๆ บุรษุ สตรี ทัง้ ผลักทัง้ ดันกัน ล้มลุกคลุกคลานหาทางหนี หลานจิง่ อีจ๋ งึ ตะโกนลัน่ “ทุกคน ยืนอยู่กับที่ ห้ามวิ่งหนีส่งเดช! ใครหนีคนนั้นจะถูกจับ!” นี่มิใช่การขู่ขวัญแต่อย่างใด โดยธรรมชาติวิญญาณร้ายชอบฉวย โอกาสจับปลาตอนน�้ำขุ่น8 ก่อความวุ่นวายในความมืด ยิ่งร้องไห้หนีเตลิดก็ ยิ่งชักน�ำเภทภัยมาสู่ตนโดยไม่รู้ตัว การแยกตัวล�ำพังหรือวิ่งสะเปะสะปะ ลมที่เกิดจากพลังวิญญาณ หรือภูตผีปีศาจ ฉวยโอกาสขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุน
7 8
40
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ในเวลาเช่นนีน้ บั ว่าอันตรายทีส่ ดุ ทว่าพวกเขาแต่ละคนตกใจจนขวัญหนีดฝี อ่ กันหมดแล้ว จะฟังชัดเข้าหูได้อย่างไร เวลาผ่านไปสักพัก โถงตะวันออกก็ เงียบกริบ นอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ก็เหลือเพียงเสียงสะอื้นแผ่วๆ คาด ว่าน่าจะเหลือคนแค่ไม่กี่คนแล้ว ท่ามกลางความมืด เปลวไฟดวงหนึง่ พลันสว่างวาบ หลานซือจุยเป็น ผู้จุดยันต์อัคคีแผ่นหนึ่งขึ้นมา ไฟจากยันต์อัคคีนี้ไม่อาจดับด้วยลมหยินซึ่งแฝงพลังชั่วร้าย เขาคีบ ยันต์แผ่นนี้ไปจุดเทียนในห้องโถงขึ้นมาใหม่ เด็กหนุ่มที่เหลือแยกย้ายไป ปลอบขวัญผูค้ น เมือ่ มีแสงสว่าง เว่ยอูเ๋ ซีย่ นก็มองข้อมือตัวเองโดยไม่ได้ตงั้ ใจ รอยแผลสมานกันอีกรอยแล้ว เว่ยอูเ๋ ซีย่ นเห็นเช่นนีก้ ต็ ระหนักได้ทนั ควันว่า แผลบนข้อมือมีจ�ำนวน ไม่ถูกต้อง เดิมทีเขามีรอยแผลทีข่ อ้ มือซ้ายขวาข้างละสองรอย โม่จอื่ เยวียนตาย ก็สมานกันหนึ่งรอย บิดาของโม่จื่อเยวียนตาย ก็สมานกันหนึ่งรอย อาถง บ่าวสกุลโม่ตาย ก็สมานกันอีกหนึ่งรอย ดังนั้นเมื่อนับดู แผลที่สมานกันควร มี ส ามรอย เหลื อ รอยสุ ด ท้ า ยซึ่ ง เป็ น แผลบาดลึ ก ที่ สุ ด และก็ ห มายถึ ง ความแค้นลึกล�้ำที่สุดของโม่เสวียนอวี่ด้วย ทว่ายามนี้บนข้อมือเขากลับว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่รอยเดียว เว่ยอู๋เซี่ยนเชื่อว่า ในบรรดาศัตรูคู่อาฆาตของโม่เสวียนอวี่ จะขาด โม่ฮูหยินไปไม่ได้ แผลรอยสุดท้ายที่ยาวและลึกที่สุดย่อมเก็บไว้เพื่อนาง แต่ ตอนนี้แผลนั้นกลับหายไปแล้ว เป็นเพราะโม่เสวียนอวี่คิดตก ปล่อยวางความแค้นได้แล้วอย่างนั้น หรือ เป็นไปไม่ได้ โม่เสวียนอวี่ใช้จิตวิญญาณตัวเองเป็นเครื่องเซ่นสังเวย 41
โม่เซียงถงซิว่
ในการอัญเชิญวิญญาณเว่ยอูเ๋ ซีย่ นไปตัง้ แต่แรกแล้ว ฉะนัน้ หากแผลจะสมาน กันได้ มีเพียงโม่ฮูหยินตายสถานเดียวเท่านั้น เขาค่อยๆ เลือ่ นสายตามองโม่ฮหู ยินทีเ่ พิง่ ฟืน้ ขึน้ ได้ไม่นาน นางโดน ผู้คนห้อมล้อมไว้ตรงกลาง และมีใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ นอกเสียจากว่านางจะตายไปแล้ว เว่ยอู๋เซี่ยนมั่นใจว่ามีบางอย่างสิงร่างโม่ฮูหยิน หากเจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ วิญญาณ เช่นนั้นมันเป็นอะไรกันแน่ ทันใดนั้น อาติงก็ร้องโฮ “แขน...แขน...แขนซ้ายของอาถง!” หลานซือจุยเคลื่อนยันต์อัคคีไปเหนือศพอาถง เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่มีผิด แขนซ้ายอาถงหายไปแล้ว แขนซ้าย! ทันใดนัน้ ทุกสิง่ เบือ้ งหน้าเว่ยอูเ๋ ซีย่ นพลันกระจ่าง สิง่ ทีอ่ อกอาละวาด และแขนซ้ายที่หายไปล้วนแต่เชื่อมโยงกัน เขาหลุดข�ำพรืด “ฮ่าๆ” หลานจิง่ อีห๋ นั มาดุดว้ ยความโมโห “เจ้าตัวโง่งมนี่ ในเวลาเช่นนีย้ งั จะ หัวเราะได้อกี !” แต่พอมาคิดอีกที ในเมือ่ เดิมทีคนผูน้ กี้ ไ็ ม่เต็มเต็ง แล้วจะถือสา หาความไปไย เว่ยอู๋เซี่ยนกลับคว้าแขนเสื้อหลานจิ่งอี๋ แล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่ๆ!” หลานจิ่งอี๋ท�ำท่าจะดึงแขนเสื้อกลับด้วยความหงุดหงิด “ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ตวั โง่งมอย่างนัน้ รึ เจ้าอย่ามาก่อกวนสิ! ไม่มใี ครว่างมาสนใจเจ้าหรอกนะ” เว่ยอู๋เซี่ยนชี้ศพนายท่านโม่และอาถงที่อยู่บนพื้น “นี่ไม่ใช่พวกเขา” หลานซือจุยปรามหลานจิ่งอี๋ที่ก�ำลังโกรธเกรี้ยว แล้วหันไปถาม เว่ยอู๋เซี่ยน “ที่ท่านบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่พวกเขา’ หมายความเช่นไร” เว่ยอู๋เซี่ยนพูดอย่างเคร่งขรึม “นี่ไม่ใช่บิดาของโม่จื่อเยวียน และนั่น 42
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ก็ไม่ใช่อาถงด้วย” ในสายตาเขา คนทีล่ ะเลงแป้งจนหน้าขาววอก ยิง่ วางมาดเคร่งขรึม ยิ่งท�ำให้รู้สึกว่าเป็นคนบ้าอย่างแท้จริง แต่พอฟังประโยคนี้ภายใต้แสงเทียน สลัววูบไหว กลับชวนให้รู้สึกพรั่นพรึงจนขนลุกชัน หลานซือจุยตะลึงงัน โพล่งถามโดยไม่รู้ตัว “เพราะเหตุใด” เว่ยอู๋เซี่ยนกล่าวอย่างภูมิใจ “ก็มือน่ะสิ พวกเขาสองคนต่างไม่ใช่ คนถนัดซ้าย ที่ผ่านมาล้วนแต่ใช้มือขวาตีข้า ฉะนั้นข้าจึงรู้ว่าไม่ใช่พวกเขา อย่างไรเล่า” หลานจิ่งอี๋พูดเสียงกระด้างอย่างสุดจะทน “เจ้าจะภูมิใจหาอะไร! ดูท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเจ้าสิ!” หลานซือจุยกลับตกใจจนเหงื่อกาฬผุดพราย พอนึกย้อนกลับไป ตอนอาถงบีบคอตัวเองจนตายก็ใช้มือซ้าย ตอนสามีโม่ฮูหยินผลักภรรยา ตัวเองล้มก็ใช้มือซ้ายเช่นกัน ทว่าเมื่อกลางวัน ตอนโม่เสวียนอวี่อาละวาดในโถงตะวันออก แล้ว สองคนนี้พยายามจับตัวโม่เสวียนอวี่ออกไปกันอุตลุด ต่างก็ใช้มือขวาทั้งคู่ คงไม่ใช่วา่ สองคนนีก้ อ่ นตายกลายเป็นคนถนัดซ้ายไปอย่างกะทันหันหรอกนะ แม้ไม่รมู้ ลู เหตุ แต่ถา้ คิดจะหาสืบให้แน่ชดั ว่า ความจริงแล้วสิง่ ทีอ่ อก อาละวาดคือสิง่ ใดกันแน่ ย่อมต้องเริม่ ที่ ‘มือซ้าย’ หลังจากหลานซือจุยคิดได้ เช่นนี้ ก็นกึ ตกใจสงสัยอยูค่ รามครัน เขาหันไปมองเว่ยอูเ๋ ซีย่ นแวบหนึง่ อดคิด ไม่ได้ว่า ‘จู่ๆ เขาก็พูดเช่นนี้ มันช่าง...ดูไม่เหมือนเรื่องบังเอิญเอาเสียเลย’ เว่ยอู๋เซี่ยนเอาแต่ยิ้มเผล่ รู้ว่าค�ำบอกใบ้นี้ดูจงใจเกินไปหน่อย แต่ เขาเองก็ไม่มีทางเลือก เคราะห์ดที หี่ ลานซือจุยไม่ซกั ไซ้ เพียงคิดในใจว่า ‘ในเมือ่ คุณชายโม่ 43
โม่เซียงถงซิว่
ผู้นี้อุตส่าห์เตือนข้าทั้งที คงไม่มีเจตนาร้ายหรอก’ เขาจึงละสายตาจากร่าง เว่ยอู๋เซี่ยน ตวัดมองไปยังอาติงที่เพิ่งร�่ำไห้เป็นลมหมดสติ ล้มคว�่ำทับร่าง โม่ฮูหยิน เขาไล่สายตาจากใบหน้านางลงไปยังมือทีห่ อ้ ยลงมาสองข้าง โดยมี ชายแขนเสื้อบังเกือบมิด โผล่พ้นเพียงปลายนิ้วเท่านั้น นิ้วมือขวาของนาง ขาวผ่องราวกับหิมะ เรียวเล็กดุจล�ำเทียน สมเป็นมือของสตรีผู้ใช้ชีวิตอย่าง สุขสบาย ไม่เคยต้องตรากตร�ำท�ำงานหนักโดยแท้ แต่นวิ้ มือซ้ายของนางกลับดูยาวกว่าข้างขวาและหยาบกร้านไปบ้าง มิหน�ำซ�้ำข้อนิ้วยังใหญ่แข็งแรงเปี่ยมพลัง มือเช่นนี้ใช่มือสตรีที่ไหนกัน นี่มันมือบุรุษชัดๆ! หลานซือจุยร้องสั่ง “จับนางไว้!” เด็กหนุม่ สองสามคนกดตัวโม่ฮหู ยิน หลานซือจุยแจ้งขึน้ ประโยคหนึง่ “ขออภัยทีล่ ว่ งเกิน” แล้วพลิกฝ่ามือเตรียมแปะยันต์ ทว่ามือซ้ายของโม่ฮหู ยิน กลับบิดงอหักมุมฝืนธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ และยื่นมาหมายจะบีบคอเขา ถ้าแขนคนที่ยังมีชีวิตอยู่บิดงอเช่นนี้ กระดูกต้องหักไปแล้ว แต่นาง กลับเคลื่อนไหวรวดเร็ว เห็นอีกทีก็เกือบจะคว้าคอเขาแล้ว ตอนนี้เองที่ หลานจิ่งอี๋ตะโกนลั่น ถลันเข้าไปขวางหน้าหลานซือจุย ช่วยบังเขาให้รอดพ้น จากฝ่ามือนาง เพียงเห็นแสงไฟลุกพึบ่ แขนข้างนัน้ เพิง่ คว้าไหล่หลานจิง่ อี๋ เปลวไฟ สีเขียวก็พลันท่วมแขน จนต้องคลายนิ้วมือทั้งห้า หลานซือจุยรีบกระโดดหนี ขณะจะบอกขอบใจหลานจิ่งอี๋ที่เสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยตน ก็เห็นเครื่องแบบ บนตัวหลานจิ่งอี๋ถูกไฟไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไปกว่าครึ่งจนอยู่ในสภาพ สุดอนาถ หลานจิง่ อีร๋ บี ถอดเสือ้ ทีเ่ หลือเพียงครึง่ เดียวออก แล้วหันไปด่าอย่าง 44
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
โกรธเกรี้ยว “เจ้าบ้า ถีบข้าท�ำไม คิดจะฆ่าข้าเรอะ!” เว่ยอู๋เซี่ยนกุมศีรษะหนีหัวซุกหัวซุน “ข้าไม่ได้ถีบเจ้า!” เขานี่แหละถีบ ด้านในของเสื้อคลุมสกุลหลานใช้ไหมสีเดียวกับ ตัวเสือ้ ปักอักขระอาคมไว้ถยี่ บิ มีอานุภาพช่วยปกป้องคุม้ ภัยผูส้ วมใส่ แต่เมือ่ เผชิญกับสถานการณ์ร้ายแรงเยี่ยงนี้ ใช้เพียงครั้งเดียวก็หมดฤทธิ์ ภายใต้ สถานการณ์ฉกุ เฉิน เว่ยอูเ๋ ซีย่ นจ�ำต้องยกเท้ายันหลานจิง่ อี๋ เพือ่ ใช้รา่ งอีกฝ่าย ปกป้องล�ำคอของหลานซือจุย หลานจิ่งอี๋ยังอยากด่าต่อ แต่โม่ฮูหยินล้มตึง ลงบนพื้นเสียแล้ว เลือดเนื้อบนใบหน้านางถูกสูบจนเหือดแห้ง เหลือเพียง หนังหุ้มกะโหลกแค่ชั้นเดียว แขนซ้ายที่เห็นชัดว่าไม่ใช่แขนนาง แต่เป็นแขน บุรุษหลุดผัวะจากหัวไหล่ นิ้วมือทั้งห้ายังยืดขยับเองราวกับก�ำลังบริหาร กระดูก เส้นเลือดเส้นเอ็นเต้นตุบๆ ให้เห็นอย่างเด่นชัด เจ้าสิ่งนี้ก็คือ สิ่งอัปมงคลที่ธงเรียกวิญญาณเรียกมานั่นเอง เมื่อเทียบกับสภาพการตายของเว่ยอู๋เซี่ยน นับว่าศพถูกช�ำแหละ แยกร่างตายอย่างอนาถยังดูดกี ว่าหน่อย แต่กไ็ ม่ได้ดดู มี ากนัก ทัง้ ยังแตกต่าง กับสภาพแหลกละเอียดเป็นผุยผง ตรงที่ชิ้นส่วนศพถูกช�ำแหละแยกร่างจะ ซึมซับจิตอาฆาตส่วนหนึ่งของผู้ตาย และเพราะมันปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้กลับคืนสู่ร่าง ตายอย่างศพครบสามสิบสอง มันจึงคิดสารพัดวิธีในการ ตามหาชิ้นส่วนต่างๆ กลับคืน เมื่อหาเจอแล้ว บางทีมันอาจยอมไปสู่สุคติดัง ปรารถนา หรือไม่ก็อาละวาดหนักขึ้น แต่ถ้าหาร่างไม่พบ เจ้าชิ้นส่วนชิ้นนี้ก็ ท�ำได้เพียงยอมล่าถอยและหาหนทางอื่น ยอมล่าถอยและหาหนทางอื่นคือวิธีใดน่ะหรือ ก็คือหาร่างคนเป็น มาสิงแทนร่างแท้จริงของตนไปก่อนอย่างไรเล่า เช่นเดียวกับที่เจ้ามือซ้ายข้างนี้ท�ำ มันกินแขนซ้ายคนเป็นแล้ว 45
โม่เซียงถงซิว่
เข้าสิงแทน หลังจากสูบเลือดเนื้อพลังชีวิตของคนเป็นจนหมดสิ้น ก็จะทิ้ง ร่างนั้น แล้วเสาะหาร่างใหม่ไว้สิงและเกาะกินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหา ชิ้นส่วนอื่นๆ ของร่างมันได้ครบ หากแขนข้างนี้ยึดร่างเมื่อใด คนที่ถูกมันเกาะกินจะสิ้นใจตายทันที ก่ อ นเลื อ ดเนื้ อ จะถู ก สู บ กิ น จนหมด แต่ ยั ง สามารถเดิ น เหิ น ได้ ต ามปกติ โดยถูกมันควบคุม หลังจากมันถูกธงเรียกมา ร่างแรกที่เจอคือโม่จื่อเยวียน ร่างที่สองคือบิดาของโม่จื่อเยวียน ตอนโม่ฮูหยินไล่ตะเพิดสามีนาง สามี ผลักนางคืนอย่างผิดวิสัย ตอนแรกเว่ยอู๋เซี่ยนนึกว่าเป็นเพราะนายท่านโม่ ก�ำลังปวดใจที่ต้องสูญเสียบุตรชาย และเหนื่อยหน่ายเต็มทนกับความ ป่าเถื่อนของภรรยา แต่มาตอนนี้พอลองคิดดู นั่นหาใช่พฤติกรรมของบิดาที่ เพิง่ เสียบุตรชายไม่ ทัง้ ยังมิใช่อาการซึมเศร้าจนแข็งทือ่ ราวกับท่อนไม้ แต่เป็น เพราะเขาตายไปแล้ว เป็นอาการแข็งทื่อของศพคนตายต่างหาก! ร่างที่สามคืออาถง ร่างที่สี่ก็คือโม่ฮูหยิน เจ้ามือผีฉวยจังหวะชุลมุน ช่วงไฟดับ รีบย้ายมาสิงร่างนาง และตอนโม่ฮูหยินสิ้นใจ รอยแผลสุดท้าย บนข้อมือเว่ยอู๋เซี่ยนก็เลือนหายไปด้วย พวกเด็กหนุ่มสกุลหลานเห็นว่ายันต์ใช้ไม่ได้ผล แต่เครื่องแบบ ประจ�ำตระกูลกลับได้ผล จึงถอดเสือ้ คลุมเหวีย่ งออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เสื้อคลุมคลุมแขนซ้ายผีสิงข้างนั้นไว้ และห่อซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ราวกับ รังไหมหนาหนัก ผ่านไปครู่หนึ่ง กองเสื้อคลุมขาวก็เกิดเสียงดัง พึ่บ เปลวไฟ สีเขียวลุกโชนเต็มไปด้วยกลิน่ อายอัปมงคล แม้สกัดได้ชวั่ ขณะ แต่เพียงไม่นาน เมือ่ ชุดเครือ่ งแบบมอดไหม้ มือผีกจ็ ะพุง่ ออกมาจากกองไฟอีกครา เว่ยอูเ๋ ซีย่ น ฉวยโอกาสตอนไม่มีใครสนใจ มุ่งตรงไปยังลานตะวันตก ศพเดินที่เด็กหนุ่มพวกนั้นจับไว้มีอยู่ประมาณสิบกว่าตน แต่ละตน 46
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
ต่ า งยื น สงบนิ่ ง อยู ่ ใ นลาน ซึ่ ง บนพื้ น วาดข่ า ยอาคมปิ ด ผนึ ก พวกมั น ไว้ เว่ยอู๋เซี่ยนเหยียบอักขระคาถาตัวหนึ่งกลางข่ายอาคม ข่ายอาคมพลันถูก ท�ำลายสิ้น พอเขาตบมือสองแปะ เหล่าศพเดินก็ตัวสั่นระริก ตาเหลือกขาว พลิกกลับ ราวกับถูกปลุกให้ตกใจตื่นด้วยเสียงอสนีบาตก็มิปาน เว่ยอู๋เซี่ยนสั่ง “ตื่น ไปท�ำงานได้แล้ว!” แต่ไหนแต่ไรมา เขาก็บงการศพหุ่นเชิดพวกนี้โดยไม่จ�ำเป็นต้องใช้ มนตร์คาถาหรือท�ำพิธีปลุกเสกให้ยุ่งยาก เพียงออกค�ำสั่งด้วยค�ำพูดธรรมดา อย่างตรงไปตรงมาที่สุดก็ใช้ได้แล้ว ศพเดินตนที่อยู่ข้างหน้าเขาสั่นเทิ้ม พยายามย่างเท้าสองสามก้าว ทว่าพอเข้ามาใกล้เว่ยอู๋เซี่ยน กลับตกใจกลัว จนขาอ่อนยวบเหมือนคนเป็นๆ ไม่มีผิด ก่อนจะล้มคว�่ำกับพื้น เว่ยอู๋เซี่ยนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาตบมืออีกสองที แต่ คราวนี้เบามือลงมาก เห็นได้ชัดว่า ศพเดินฝูงนี้คงเกิดและตายอยู่ในหมู่บ้าน สกุลโม่ ไม่เคยได้เห็นโลกภายนอกมาก่อน ย่อมเชื่อฟังค�ำสั่งของผู้เรียก พวกมันมาโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับเกิดอาการหวาดกลัวผู้ออกค�ำสั่ง เอาแต่ก้มหน้าหมอบร้องไห้ “ฮือๆ” อยู่กับพื้นไม่กล้าลุกขึ้น อสูรร้ายยิง่ โหดเหีย้ ม เว่ยอูเ๋ ซีย่ นยิง่ ใช้งานได้ดงั ใจหมาย ทว่าศพเดิน เหล่านี้ไม่เคยได้รับการฝึกฝนจากเขามาก่อน พอรับค�ำสั่งโดยตรงจึงทน ไม่ไหว อีกทั้งเวลานี้ในมือเขาไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ จะสร้างอุปกรณ์ช่วย บรรเทาก็ไม่ได้ ท�ำสิ่งใดแก้ขัดก็ยังไม่ได้ด้วยซ�้ำ ครั้นเห็นไฟสีเขียวที่ลุกไหม้ โถงตะวันออกสงบลงบ้างแล้ว เว่ยอู๋เซี่ยนก็พลันบรรลุ หากจะหาคนตายที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้นรุนแรง จิตใจชั่วช้า สามานย์แสนอ�ำมหิต ไม่จ�ำเป็นต้องไปหาที่ไหน! ในโถงตะวันออกก็มี มิหน�ำซ�้ำไม่ได้มีแค่ร่างเดียวด้วย! 47
โม่เซียงถงซิว่
เขารีบแวบกลับไปลานตะวันออก ด้านหลานซือจุย เมือ่ แผนการแรก คว้านำ�้ เหลว ก็ปฏิบตั กิ ารแผนต่อไป เขาสัง่ ให้ทกุ คนชักกระบีป่ กั ลงพืน้ กัน้ เป็น รัว้ เจ้ามือผีพงุ่ ชนวงล้อมรัว้ กระบีอ่ ย่างสะเปะสะปะไร้ทศิ ทาง แค่พวกเขาต้อง กดด้ามกระบี่ไม่ให้มันทลายวงล้อมออกมาก็เต็มก�ำลังแล้ว จึงไม่มีเวลามา สนใจว่า มีใครเข้าออกบริเวณนีบ้ า้ ง เว่ยอูเ๋ ซีย่ นย่างเท้าเข้ามาในโถงตะวันออก เหลียวซ้ายแลขวา แล้วหิว้ ศพโม่ฮหู ยินกับโม่จอื่ เยวียนขึน้ มา กระซิบสัง่ เสียงห้วน “ยังไม่ยอมตื่นอีกเรอะ!” ทันทีที่สิ้นเสียงเขา วิญญาณก็กลับเข้าร่าง! พริบตานั้น โม่ฮูหยินและโม่จื่อเยวียนก็ตาขาวพลิกกลับ กรีดร้อง เสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกผีร้าย ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เสียงหนึ่งสูงเสียงหนึ่งต�่ำ อีกศพหนึ่งก็ ตะกายขึน้ จากพืน้ ด้วยตัวสัน่ ระริก มาร้องตามด้วยเสียงทุม้ ต�ำ่ เบาหวิวจนแทบ ไม่ได้ยิน ซึ่งก็คือสามีของโม่ฮูหยินนั่นเอง เสียงกรีดร้องดังพอแล้ว แรงอาฆาตก็มากพอ เว่ยอู๋เซี่ยนจึงพอใจ มาก เขาคลี่ยิ้มบางและถามขึ้น “จ�ำมือที่อยู่ข้างนอกนั่นได้หรือไม่” เขาออกค�ำสั่ง “ไปฉีกมันซะ” สมาชิกสกุลโม่ทั้งสามหายวับดุจวายุด�ำภายในชั่วพริบตา แขนซ้ายข้างนั้นพุ่งชนจนกระบี่ล้มลงไปหนึ่งเล่ม ก�ำลังทลายรั้ว กระบี่ออกมา ทว่ามันเพิ่งหลุดออกมาได้ไม่ทันไร ก็ถูกศพอ�ำมหิตแขนซ้าย ด้วนทั้งสามตนกระโจนใส่อย่างพร้อมเพรียงกัน นอกจากไม่กล้าขัดขืนค�ำสั่งของเว่ยอู๋เซี่ยนแล้ว สมาชิกครอบครัว ทั้ ง สามต่ า งอาฆาตเคี ย ดแค้ น เจ้ า สิ่ ง ชั่ ว ร้ า ยที่ สั ง หารพวกตน จึ ง ระบาย เพลิงโทสะและความแค้นทั้งมวลใส่มือผี ผู้น�ำการเข่นฆ่าในครั้งนี้ย่อมเป็น 48
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
โม่ฮูหยินอย่างมิต้องสงสัย ศพสตรีหลังกลายร่างมักดุร้ายเป็นพิเศษ นาง ปล่อยผมแผ่สยาย ตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงกำ�่ เล็บทัง้ ห้างอกยาวเฟือ้ ย ขึน้ หลายเท่า มุมปากมีนำ�้ ลายสีขาวเป็นฟองฟอด เสียงกรีดร้องโหยหวนแทบ พังหลังคาให้ถล่มลงมา ฟังดูคลุ้มคลั่งเป็นที่สุด โม่จื่อเยวียนตามมารดามาติดๆ และร่วมแยกเขี้ยวทึ้งร่างศัตรูช่วย นางอีกแรง ส่วนบิดาเขาตามหลังมาอีกที คอยเป็นก�ำลังเสริมช่วยโจมตียาม ศพอ�ำมหิตสองแม่ลูกเว้นช่วง พวกเด็กหนุ่มที่พยายามค�้ำยันกระบี่อย่าง ยากล�ำบากพลอยตกตะลึงตาค้าง ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่เคยได้ยินค�ำเล่าลือและอ่านเจอจากหนังสือ ปกิณกะถึงเหตุการณ์ศพอ�ำมหิตสู้กันเอง เพิ่งได้มาเห็นฉากนองเลือดเช่นนี้ กับตาเป็นครั้งแรก จึงได้แต่ยืนดูด้วยอาการตกตะลึงตาค้างอ้าปากหวอ มิอาจละสายตาได้เลย รู้สึกเพียงว่า...ยอดเยี่ยม! สามศพกับหนึ่งมือผีปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ทันใดนั้น โม่จื่อเยวียนก็หวีดร้องเสียงแหลมพร้อมกับผละหนี ช่องท้องของเขาถูกมือผี ควักไส้ทะลักออกมาหลายขด โม่ฮูหยินเห็นเหตุการณ์ก็ค�ำรามลั่น นางให้ บุตรชายมาหลบอยูข่ า้ งหลัง แล้วตวัดมือดุดนั กว่าเก่า ปลายเล็บตะกุยอากาศ อวดศักดาดุจกระบี่เหล็กแหลมคม แต่เว่ยอู๋เซี่ยนดูออกว่านางเริ่มต้านไม่อยู่ แล้ว สามศพอ�ำมหิตที่เพิ่งตายไม่นานผนึกก�ำลังกัน กลับไม่อาจสะกด แขนซ้ายข้างเดียว! เว่ยอู๋เซี่ยนชมการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ เขาห่อปลายลิ้นเล็กน้อย เตรียมผิวปาก แต่ลังเลว่าจะผิวปากดีหรือไม่ แม้การที่เขาผิวปากสามารถ กระตุน้ พลังศพอ�ำมหิตให้ทวีความดุรา้ ย จนบางทีอาจช่วยพลิกสถานการณ์ได้ 49
โม่เซียงถงซิว่
แต่ก็ยากจะรับประกันว่า จะไม่มีใครจับได้ว่าเขายื่นมือเข้าไปแทรกแซง เพียงชั่วพริบตา เจ้าแขนนั่นก็เคลื่อนไหวราวกับฟ้าแลบ มันโผล่ไปบีบคอ โม่ฮูหยิน แล้วหักคอนางอย่างโหดเหี้ยม เมื่อเห็นว่าพ่อแม่ลูกสกุลโม่ค่อยๆ ถอยร่น เว่ยอู๋เซี่ยนจึงจะส่งเสียง ผิวปากดังยาวอย่างที่ตั้งท่ารอไว้แต่ทีแรก ทว่าในจังหวะนี้เอง ก็มีเสียง ติงๆ ของเครื่องสายสองเสียงดังแว่วมาจากที่ไกลๆ สองเสียงนีฟ้ งั คล้ายคนใช้มอื ดีดสายบางอย่างเล่น ช่างกระจ่างและ กังวานใส พาสายลมเย็นยะเยือกมาด้วย เมือ่ ภูตผีปศี าจทีก่ �ำลังต่อสูก้ นั อย่าง ดุเดือดอยู่กลางลานบ้านได้ยินก็พลันแข็งค้าง พริบตานัน้ พวกเด็กหนุม่ สกุลหลานแห่งกูซพู ลันมีสหี น้าสดใสราวกับ มีชีวิตใหม่ หลานซือจุยยกมือเช็ดคราบเลือดบนหน้า แหงนหน้าพึ่บ แล้ว ร้องเรียกอย่างดีอกดีใจ “หานกวงจวิน!” พอได้ยินเสียงพิณสองเสียงนี้ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เว่ยอู๋เซี่ยนก็หัน หลังขวับ เผ่นหนีทันที เสียงพิณดังขึ้นอีกหนึ่งเสียง ครานี้เสียงสูงเสียดทะลุเมฆาแหวกฝ่า อากาศ แฝงรังสีเย็นยะเยือกสองส่วน ศพอ�ำมหิตทัง้ สามถอยร่น พร้อมยกมือ ขวาขึ้นมาอุดหู แต่ไฉนเลยจะสกัดกั้นเสียงทลายโสตของสกุลหลานแห่งกูซู ได้ เพิง่ ถอยไปได้เพียงไม่กกี่ า้ ว ก็มเี สียงระเบิดเบาๆ ดังขึน้ ในกะโหลกพวกมัน ส่วนเจ้าแขนซ้ายที่เพิ่งผ่านการต่อสู้อันแสนดุเดือดมาหมาดๆ ครั้น ได้ยินเสียงพิณ ก็ร่วงหล่นลงพื้นทันใด แม้นิ้วมือยังคงเหยียดงอได้ แต่ ท่อนแขนกลับสงบนิ่งไม่ไหวติง หลังจากตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะหนึ่ง เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ก็พากัน โห่ร้องด้วยความดีใจ สุ้มเสียงเต็มไปด้วยความปลื้มปีติที่รอดชีวิตมาได้ 50
ปรมาจารย์ ลัทธิมาร
หลังจากอกสัน่ ขวัญแขวนมาตลอดคืน ในทีส่ ดุ ก�ำลังเสริมจากคนในตระกูลที่ พวกเขารอคอยก็มาถึง ต่อให้ภายหลังต้องถูกต�ำหนิและลงทัณฑ์อย่างหนัก โทษฐาน ‘เอะอะมะเทิ่งเสียกิริยา สร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล’ พวกเขาก็ไม่สนใจแล้ว ขณะทุกคนดีใจโบกมือโบกไม้ไปทางดวงจันทร์อยูน่ นั้ หลานซือจุยก็ พลั น สั ง เกตเห็ น ว่ า มี ค นผู ้ ห นึ่ ง หายไป เขาจึ ง คว้ า ตั ว หลานจิ่ ง อี๋ ม าถาม “คนล่ะ” หลานจิ่งอี๋มัวแต่ดีใจ “ใคร คนไหนรึ” หลานซือจุยบอก “ก็คุณชายโม่ผู้นั้นอย่างไรเล่า” หลานจิ่งอี๋ว่า “หา? เจ้าถามหาเจ้าบ้านั่นท�ำไม ใครจะไปรู้ บางทีมัน อาจกลัวถูกข้าตีจนหนีเตลิดไปแล้วกระมัง” “...” หลานซือจุยรู้ว่าหลานจิ่งอี๋มีนิสัยโผงผาง ขาดความละเอียด รอบคอบ มิหน�ำซ�้ำยังไม่ค่อยรู้จักเอะใจ จึงคิดในใจ ‘ไว้รอให้หานกวงจวินมา ก่อน ค่อยเล่าเรื่องคนผู้นี้ให้เขาฟังแล้วกัน’ ผู้คนในหมู่บ้านสกุลโม่ยังคงหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว เพียงแต่ไม่รู้ว่า หลับจริงหรือแกล้งหลับกันแน่ แม้ในลานตะวันตกและลานตะวันออกของ คฤหาสน์สกุลโม่จะต่อสู้กับศพจนเลือดสาดกระจาย ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมามุงดู กลางดึกกลางดื่นอย่างแน่นอน เพราะต่อให้อยากมุงดูเรื่องสนุกก็ต้องรู้จัก เลือกเวลาบ้าง เรื่องสนุกที่เสียงกรีดร้องแหลมเสียดฟ้าขนาดนั้น ไม่ดูจะดี เสียกว่า เว่ยอู๋เซี่ยนรีบร้อนท�ำลายร่องรอยข่ายอาคมของคาถาอุทิศร่างใน เรือนโม่เสวียนอวี่จนเกลี้ยง แล้วพุ่งตัวออกจากประตู บังเอิญเหลือเกิน คนที่มาเป็นคนสกุลหลานพอดี ที่สมควรตาย 51
โม่เซียงถงซิว่
ยิ่งกว่าก็คือ คนที่มาดันเป็นหลานวั่งจี! คนผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรดาคนที่เขาเคยคบหาและประมือด้วยในชาติ ก่อน จึงต้องรีบไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เขารีบร้อนหาพาหนะส�ำหรับเผ่นหนี ตอนผ่านสวน ในนัน้ มีโม่หนิ ขนาดใหญ่เทียมลาทีก่ �ำลังยืนเคีย้ วหยับๆ ตัวหนึง่ มันเห็นเขาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ก็ท�ำท่าคล้ายประหลาดใจเล็กน้อย และชายตามองเขาดุจมนุษย์ ทันทีที่เว่ยอู๋เซี่ยนสบตามัน ก็ประทับใจแวว หยามเหยียดในดวงตาคู่นั้นเข้าให้ เขาเข้าไปคว้าเชือกที่ล่ามมัน แล้วจูงมันออกมา เจ้าลาส่งเสียง ประท้วงดังลัน่ ด้วยความโกรธเกรีย้ ว เว่ยอูเ๋ ซีย่ นต้องเกลีย้ กล่อมไปลากมันไป ชักแม่น�้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมจนหลอกมันเข้าสู่ถนนได้ มันออกวิ่งกุบกับบน ถนนสายกว้าง ท่ามกลางล�ำแสงสีขาวของวันใหม่ที่เริ่มฉายฉาบขอบฟ้า
52