บานตะไท เยอะแยะ มากมาย บานตะไท
1
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน กับการเลี้ยงแมลงในสวนหลังบ้าน, 20 สุดยอดคาแร็คเตอร์การ์ตูนไทย, เส้นทางชีวิตของเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์, ซัน ธัญลักษณ์ เตชศรีสุธี และ LET’S, นั่งคุยกับฮิกาซีน Bannn-ta-thai magazine V.1
60฿
“เราไม่ควรไปหักหลังคนดูของเรา อยากให้คนดูสนุกทุกครั้งที่เขาเข้ามา” โรซี่ ihere.tv
“ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ถ้าเรายังใช้เส้นทางเดิมๆ เราก็จะอยู่ในวัฏจักรนี้ไปไม่รู้จบ” สุทธิชาติ ศราภัยวานิช
“เราโดนแบนครั้งแรกว่า ‘ห้ามกระเทยออกทีวี’ เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กและเยาวชน ผู้ใหญ่ไทยคิดได้แต่แบบนี้” ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์
“โลกไม่ร้ายหรอก มันไม่ได้เส็งเคร็งขนาดนั้น ทุกอย่างมันมีเหตุผลหมด คนที่เลวที่สุดมันต้องมีเหตุอะไรสักอย่าง ในช่วงนึงของชีวิตที่เขาไปเจอมา” เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์
open!
PLEASE
TURN ON MY
DREAM! “ขอบคุณค่ะ”
ถ้อยคำ�ข้างบนเป็นหนึ่งในความในใจที่อยากจะฝากบอกถึงนักอ่านทุกท่านที่ได้หยิบหนังสือนี้ ขึ้นมาอ่าน เนื่องด้วยฉบับที่ท่านกำ�ลังถืออยู่ในมือนั้นเป็น ฉบับแรก ขอบคุณสำ�หรับเวลาที่มีคุณค่า ของท่านที่มอบให้ “บานตะไท” ได้เติมเต็ม หนังสือเล่มนี้สร้างนี้จากความฝัน หลายคนมีความฝัน อยากเป็นหมอ นักกฎหมาย อยาก เที่ยวรอบโลก อยากกระโดดร่มดิ่งเวหา อยากทำ�สิ่งใดก็ตามสักครั้งในชีวิต “บานตะไท” ก็เป็นส่วน หนึ่งในความฝันเหมือนกัน แต่เป็นผลผลิตจากความฝันดูจะเหมาะกว่า เพราะว่าความฝันของเรา คือ การมีความสุขกับการทำ�มันแล้วมีคนอ่าน ขอให้สนุกกับ “บานตะไท” ขอให้สนุกกับความฝันของเรา “ช่วยปลุกที นี่คือความฝัน หรือความจริงกันแน่”
จุฑารัตน์ หัสจุมพล @dangnoi4 บรรณาธิการ
facebook.com/pages/bannn-ta-thai-Magazine
@Bannn_ta_thai_
บานตะไท เยอะแยะ มากมาย บานตะไท
Product by Jutharat Hasjumphol Email : Dangnoi_yc@hotmail.com Twitter : @dangnoi4 Tel : 087-086-6951 Address : 50/1 M.6 Phuttamonthon sai 7 Homkred Sampran Nakornpathom 73110
Highlights
5
60
20
44 บานเบอะ
บานเทิง 12 +1UP
ไอ้แป้นการ์ตูนตัวดำ�ใจดี
6 ปฏิทินศิลปะ
14
จิ๊กซอว์ชิ้นที่หายไปของการ์ตูนไทย
8 เป็นข่าว
32 คนต้นแบบ ต่ายขายหัวเราะ ลายเส้นอารมณ์ดี
10 ห้องสมุด 29 แกะกล่อง
46 เปิดบ้าน
ฉันอยู่ที่นี่ ihere.tv
67 เบิกโรง
ละครเวทีหน้ากากเปลือย
86 Scoop II K-Pop บวกหรือลบ 89 ซอกแซก อยากให้การ์ตูนตัวไหนเป็นนายกฯ
พิเศษ 20 20 ซูเปอร์คาแร็คเตอร์สตาร์
ในวงการการ์ตูนไทย
57 76
33 บานเทา 32 Youtube
เชฟหมี เชฟที่กากที่สุดในประเทศไทย
39 ท่องเว็ป
FAIL หรือ WIN
บานตะเกียง
54 นักอยากเขียน ต่ายขายหัวเราะ ลายเส้นอารมณ์ดี
33 ก่อเรื่อง เอกสิทธิ์ทัวร์
56 twitter
What’s happening?
44 ยิ่งใหญ่ กอล์ฟ ธัญญ์วาริน ผู้เลี้ยงแมลงในสวน
66 ก่อดราม่า
บอลลูนชีวิต
57 ดักฟัง
นภสร แย้มอุทัย นายหัวแห่ง house RCA
70 ชั้นหนังสือคนดัง วิภว์ บูรพาเดชะ
60 Person Let’s talk about LET’S
74 เรื่องสั้นดันยาว โลกของแดงน้อย
76 เป็นเรื่อง กำ�เนิด “ฮิ”
ปฏิทินศิลปะ “นาม - ไร้รูป”
14 กรกฎาคม - 18 กันยายน 2554
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
นิทรรศการนี้มีพื้นฐานมาจากกรณีศึกษาประติมากรรมนามธรรมของประติมากรสมัย ใหม่ไทย จากผลงานวิจัยของ ผศ.ทักษิณา พิพิธกุล ผู้ศึกษาผลงานและแนวความคิดของ ศิลปินอาวุโสทั้ง 4 โดยมี ชำ�เรือง วิเชียรเขตต์, อินสนธิ์ วงศ์สาม, นนทิวรรธน์ จันทนะผะ ลิน และ เข็มรัตน์ กองสุข นิทรรศการฯ จัดแสดงภายใต้วิถีแนวคิดของประติมากรไทย ในเรื่องของการสร้างผลงาน ศิลปะอันเกิดจากรากฐานทางทัศนคติและวัฒนธรรมเฉพาะ กลายเป็นแนวทางสร้างวิวัฒนาการ เชื่อมโยง และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรับรู้ของศิลปะนามธรรมในประเทศไทย จากยุค หนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มทางประวัติศาสตร์ศิลป์ในแนวทางศิลปะแบบนามธรรมกลายเป็นหนึ่งใน ที่มาของศิลปะร่วมสมัยไทยในปัจจุบัน "ชีวิต - ชีวา"
26 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2554
หอศิลป์ร่วมสมัยอาร์เดล
วัฏจักรแห่งการดำ�รงชีวิตในธรรมชาติมีการเกิดและดับวนเวียนต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน เสมอ บางชีวิตกำ�เนิดจากการแตกดับของอีกชีวิต บางชีวิตอาศัยในร่างที่เสื่อมสลายของ อีกชีวิต ความก้ำ�กึ่งที่ลึกซึ้งนี้เป็นที่มาของแนวความคิดในนิทรรศการ “ชีวิต - ชีวา” ซึ่งจะ นำ�เสนอผลงาน วาดเส้น ประติมากรรม สื่อผสม ศิลปะจัดวาง และวิดีโออาร์ต
6 ตรรกะสังสรรค์ : ศิลปะแห่งการสนทนา
21 กรกฎาคม - 25 กันยายน 2554
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครขอเชิญชมนิทรรศการชวนคิด ชวนสนทนา ชวนหาความหมายด้วยประเด็นพื้นฐานของการดำ�รงชีวิต เฉกเช่น “เกิด แก่ เจ็บ ตาย กิน ขี้ ปี้ นอน” ผ่านบทสนทนา ความคิดเห็น และการแลกเปลี่ยนทั้งในพื้นที่ส่วนตัว และ สาธารณะ หากแปลตามตัวอักษร ตรรกะสังสรรค์ คือการพบกันระหว่างความนึกคิด ซึ่งก่อให้เกิด พื้นที่สนทนาให้กับหมวดหมู่ความรู้ผ่านศิลปะในหลากหลายสาขา เป็นส่วนเติมเต็มและ เป็นเครือ่ งยืนยันถึง คุณค่าของ ‘ความเป็นไปได้’ ผลักดันให้ เกิดความเปลีย่ นแปลงทางปัญญา เป็นการสร้างกลไกในการส่งต่อทางความรู้ที่เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคต Burqa – 2010
6 มิถุนายน – 25 กันยายน 2554
Kathmandu Photo Gallery
เดือนเมษายนปีที่แล้วรัฐบาลฝรั่งเศสประกาศใช้กฎหมายห้ามผู้หญิงสวมผ้า คลุมหนา้ และศีรษะในทีส่ าธารณะ อำ�พรรณ ี สะเตาะนักศึกษาภาพถ่ายชาวไทย ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว เธอจึงสั่งตัดชุดบุรก้า (Burqa) หลากสีจาก บ้านเกิดยะรัง ปัตตานี เพื่อนำ�มาสวมใส่ถ่ายภาพตรงหน้าหอคอยไอฟ์เฟล หน้าประตูชัย Arc de Triomphe และอีกหลายแห่ง เพื่อสะท้อนให้เห็นสิทธิ และเสรีภาพที่หญิงมุสลิมบางส่วน เช่นเธอถูกลิดรอนไป เราคงไม่อาจปฏิเสธ ได้ว่าภาพถ่ายชุด “อิสรภาพที่ถูกขโมย” (Burqa 2010) โดดเด่น ปะทะสายตา ให้เราต้องหยุดมองและครุ่นคิดต่อประเด็นนี้อกี ครั้งในไทย
SEE - FOOD
4 สิงหาคม – 16 กันยายน 2554
creative house BANGKOK
นิทรรศการศิลปะโดย วีรพงษ์ ศรีตระกูลกิจการ (อายิโน๊ะ) และสุวิทย์ มาประจวบ (ราฮวม) หนึ่ง ศิล ปิน ภาพพิ ม พ์ ฝี มื อเยี่ ย มและหนึ่ งศิ ลปิ น ผู้ สร้ า งงานประติ ม ากรรมรวมกั นเป็นสอง ศิลปินบ้าพลังในการสร้างงานศิลปะ วีรพงษ์มองเรื่องราวรอบตัวที่ถูกเสนอผ่านสื่อต่างๆ ซึ่ง เราเสพอยู่ทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนำ�มาสร้างงานภาพพิมพ์แกะไม้ที่เล่าลือกันว่า เนียนเท่าอิงค์เจ็ท สุวิทย์ตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับการระบบศึกษาผ่านงานอินสตอลเลชั่นและภาพสี น้ำ�มันแสนสดใส แต่ประเด็นกลับหนักหน่วง ศิลปินทั้งสองไม่ได้วิจารณ์ ปฏิเสธ หรือตั้งตนเป็น ปฏิปักษ์กับใคร ตรงกันข้ามกลับค่อนข้างยอมรับและพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคมบริโภค นิยมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน SEE FOOD จึงเป็นอาหารแห่งสังคมที่ศิลปินได้สมมติตนเป็นพ่อครัว ได้หยิบฉวยและนำ�มาผ่านกระบวนการปรุงสุกๆ ดิบๆ พร้อมเสิร์ฟให้สังคมได้ชิมกัน “กาย + ภาพ/Picsique”
30 มิถุนายน - 28 สิงหาคม 2554
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
นิทรรศการ “กาย + ภาพ/Picsique” เป็นการทำ�งานร่วมกันระหว่าง นำ�ทอง แกลลอรี่ และช่างภาพรุ่นใหม่ทั้งสามคน ไม่ว่าจะเป็น ศิริโชค เลิศยะโส ช่างภาพสารคดีที่มีทั้งงานเขียน และภาพถ่ายตีพิมพ์ให้กับ National Geographic (Thai Edition), ธาดา เฮงทรัพย์กูล ช่างภาพ ผู้ดำ�ดิ่งกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีผลงานไปไกลถึงประเทศฝรั่งเศส และศุภโชค พิเชษฐ์กุล ช่างภาพอิสระที่เคยคว้ารางวัลชนะเลิศจากเวที World Photo Contest For University 2010 ซึ่งผลงานของพวกเขาในฐานะช่างภาพที่หมกมุ่นอยู่กับเรือนร่างของมนุษย์ นอกจากจะเผย ให้เห็นแง่มุมต่างๆ ในชีวิตของผู้คนแล้ว ชีวิตของภาพถ่ายที่พวกเขาได้สร้างสรรค์ขึ้นก็ยังได้ แสดงบทบาทในฐานะสื่อที่ใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างแนบสนิทเช่นกัน ภาพเหมือนของอุปกรณ์สมมติ
12 กรกฎาคม - 13 สิงหาคม 2554
Galerie N ถนน วิทยุ
ภาพพวกนี้คล้ายๆ อุปกรณ์เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องจักรที่ถูกออกแบบขึ้นมา โดยปราบดา หยุน่ มันไม่ได้เป็นตัวแทนเครือ่ งอะไรเลย เขาออกแบบขึน้ มาโดยการคิดถึงรูปทรง สี พื้นผิวต่างๆ มากกว่าที่จะพยายามคิดว่ามันคือเครื่องอะไร มันไม่มีความหมายอะไรมาก ใน อนาตคถ้ามีโอกาสเขาอยากสร้างงานชุดนี้ขึ้นมาให้เป็นงานประติมากรรรม concept ของปราบดา หยุ่น ในการนำ�เสนองานศิลปะที่เขาใช้ชื่อว่า “ภาพเหมือนของ อุปกรณ์สมมติ” Kiss My Reers
4 - 31 สิงหาคม 2554
H Gallery 201
ศิลปินนำ�เสนอทรรศนะเรื่องความหลากหลายทางเพศ และการกดขี่ทางเพศในสังคม ปัจจุบันผ่านผลงานซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, ภาพถ่ายและ หนังสือที่จัดทำ�สำ�หรับนิทรรศการโดยเฉพาะ โดยศิลปินได้สร้างตัวละคร The Reer ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง lesbian deer - กวางเลส เบี้ยน และ gay rabbit - กระต่ายเกย์ไว้เป็นสัญลักษณ์แทนของกลุ่มคนที่เป็นชาวรักร่วมเพศ โดยจะมีการแสดงโชว์ประกอบนิทรรศการในวันเสาร์ที่ 7 และ 21 สิงหาคม 2554 เวลา 13:00 น. และในวันที่ 6, 13, 20 และ วันที่ 27 สิงหาคม 2554 เวลา 13:00 น. ศิลปินจะอ่าน The Beginnings of a Reer หนังสือที่แต่งให้ผู้เข้าชมนิทรรศการฟังด้วย
7
เป็นข่าว happening Book Party เทพ @ Scala by มหาวิทยาลัยกรุง
8
ฉายหนังสั้น "ป่วน" หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เมื่อไม่มีเธอ (Emptiness) ณ หอศิลป์ วังท่าพระ คณะจิตรกรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
9
DOODLE Cafe' : Coffee Shop Art Exhibition Art Gorrillas Art Gallery
ห้องสมุด โตเกียว ...เดี๋ยวก็รู้ เป็นคู่มือการเรียนรู้ญี่ปุ่นชั้นเยี่ยมในสายตาผู้หลงใหลในลาย เส้นมากกว่าตัวหนังสือ ซึ่งเล่าโดยชาวต่างชาติที่เรียกได้ว่าเป็นฝรั่งอย่างแท้จริงที่มี โอกาสได้เข้าไปทำ�งานในประเทศที่มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่และแข็งแกร่งอย่างโตเกียว สมุดภาพของเบ็ตตี้ดูสนุกอ่านง่ายในทุกเพศทุกวัย แถมให้ทั้งความเพลิดเพลิน และความรู้ไปพร้อมๆ กันอีกด้วย เบื้องหน้าความทันสมัยของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ฉาบไว้นั้น เบื้องหลังเต็มไปด้วย วัฒนธรรมที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์แบบที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้ ยิ่งมุมมองของผู้เล่านั้น เป็นต่างชาติด้วยแล้ว ยิ่งทำ�ให้ให้ผู้อ่านเหมือนกับว่ากำ�ลังเรียนรู้ไปด้วยกัน พร้อม ภาพการ์ตูนสีน้ำ�สีสันสดใส ราวกับว่าเดินอยู่ในโตเกียวซะเอง ใครจะไปรู้ว่าเมืองที่วุ่นวาย จะมีมุมวัฒนธรรมน่ารักๆ ที่อ่านเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อ โตเกียว ...เดี๋ยวก็รู้ (Cluelees in Tokyo) เบตตี้มักจะหยิบเอาอารมณ์แบบที่ทำ�ให้คนอ่านคิดว่า ผู้เขียน : Betty Reynolds (เบ็ตตี้ เรโนลด์ส) เยอะแยะมากมายขนาดนี้ “อื้ม...จริงด้วย” “คนญี่ปุ่นนี่น่ารักดีจังเลย” หรือแม้แต่ “โอ้โห...สุดยอดไปเลยล่ะ” ผู้แปล : เพลงดาบแม่น้ำ�ร้อยสาย นอกจากจะเรียนรู้วัฒนธรรมแล้ว เบตตี้ยังสอนเกี่ยวกับคำ�ศัพท์ภาษาญี่ปุ่นไว้ ตลอดทั้งเล่ม หากเมื่อไหร่ที่ได้มีโอกาสไปโตเกียว ก็อย่าลืมหยิบ “โตเกียว ...เดี๋ยวก็รู้” ติดมือไปด้วยล่ะ 10
ติดเกาะ ผู้เขียน : ภาณุมาศ ทองธนากุล ใบพัดเจ้าของผลงานหนังสือท่อง เที่ยวแฝงแง่คิดอย่าง “ฟินแลนด์ไม่มีแขน” “เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน” วันนี้เขา กลับมาอีกครั้งกับหนังสือท่องเที่ยวเล่ม ใหม่ “ติดเกาะ” ติดเกาะเป็นหนังสือนำ�เที่ยวในมุม
มองของใบพัด แต่ถ้าคุณจะคิดว่าเรื่องนี้จะคล้ายกับเล่มก่อนๆ อย่าง “เสียดายคน อินเดียไม่ได้อ่าน” หรือว่า “ฟินแลนด์ไม่มีแขน” คุณคิดผิดอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ใบพัด สลัดความเป็นเด็กติ๋มไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาเป็นคนหนุ่มที่มีมุมมอง ชอบเรียนรู้ และใช้ชีวิตเป็น หนังสือเล่มนี้นอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกแล้ว ภาพประกอบที่บรรจงถ่ายโดยใบพัด ก็สวยมากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ดูผิดจากที่เคยคาดคิดไว้หน่อย ตรงที่ว่าหนังสือเล่มนี้อยู่ใน หมวดหมู่ท่องเที่ยว แต่ในขณะที่หนังสือท่องเที่ยวเล่มอื่นๆ ของใบพัดมักจะอยู่ในชั้น ของพ็อคเก็ตบุ๊ค หนังสือเล่มนี้พาเที่ยวเกาะสามเกาะที่สวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย อย่าง เกาะสมุย เกาะพงัน และเกาะเต่า ผ่านมุมมองของใบพัด ตั้งแต่วิธีการเดินทาง ที่นั่น มีดีอะไร ทำ�ไมเราอยากไป แล้วเราจะไปทำ�อะไร ใบพัดทำ�กิจกรรมหลายอย่างมาก มายที่นั่น อย่างช่วยค่ายมวยแจกใบปลิว นั่งคุยกับคนขายโคมที่ต้องวิ่งหนีอริ ทั้งสนุก ทั้งตื่นเต้น ครบทุกอารมณ์ หนังสือเล่มนี้เหมาะสำ�หรับทุกคน ไม่ว่าจะเคยไปหรือไม่เคยไป สำ�หรับคนที่เคย ไป “ติดเกาะ” เป็นกุญแจดอกสำ�คัญเลยที่จะคอยไขความทรงจำ�ในสถานที่เหล่านั้น จนเกิดความคิดว่าอยากจะกลับไปอีก ส่วนคนที่ยังไม่เคยไปก็คงจะได้ความรู้ว่าที่นั่น มีดีอะไร? ที่สำ�คัญเขาไม่ได้พาเที่ยวอย่างเดียว แต่เขาเที่ยวพร้อมกับสอนการใช้ชีวิตด้วย เราจะใช้ชีวิตอย่างไรบนสังคมเช่นนี้ ในตัวหนังสืออันเพลิดเพลินเหล่านั้นแฝงคติ ความคิดไว้มากมาย สนุกจนแทบอยากจะลองติดเกาะดูบ้างสักครั้ง
สมุดวาดเขียน ผู้เขียน : ไตรรงค์ ประสิทธิผล
จะมีกี่คนที่ เก่งทั้งบู๊ และ บุ๋น ไตรรงค์ ประสิทธิผล หรือ โต้ง หรือ หจก. เขาเป็น นักเขียนที่มีครบทั้งสองสิ่งนี้ หนังสือเล่มนี้เป็นการ์ตูนสลับกับบทความ ที่รับรองว่าถ้า คุณได้หยิบอ่านแล้วจะไม่อยากวาง เพราะว่าสนุกทุกเรื่อง มุขในสมุดวาดเขียนเป็นมุขจิกกัดสังคมแบบแสบสันต์เหมือนเอาทิงเจอร์มาราด ซ้ำ�ยังกระตุ้นให้เกิดภาวะฉุกคิดอยู่หลายตอน บางตอนยังกระตุ้นให้เราอยากจะออก ไปทำ�อะไรเพื่อคนอื่นบ้างอีกด้วย ในส่วนของบทความก็เพลินไม่แพ้กนั เขาหยิบเอากระแสสังคมหรือแม้แต่ประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าได้สนุกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดวง เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง แนวคิดของคนในสังคม ความวัตถุนิยม ไปจนถึงเรื่องแมลงสาบ เรื่องการ์ตูนคงไม่ต้องแนะนำ�มาก เพราะเชื่อว่าหลายคนก็คงจะติดใจคอลัมน์ที่ ไตรรงค์ ประสิทธิผล เขียนลงมติชนสุดสัปดาห์ในชื่อ หจก.อยู่แล้ว ในสมุดวาดเขียนก็ ยังคงลายเส้นอ่านง่าย เข้าใจง่าย แถมจะดูช่างเปรียบเปรย อุปมาอุปไมยได้แสบสุด ๆ
ไม่เคยอ่านพลอยแกมเพชรคงคิดว่าเป็นคอลัมน์แบบไหนกันแน่ ทำ�ไมชื่อแปลกจังความ หมายของมันคืออะไรกันแน่? จักรวาล 1x1 เมตร เป็นคอลัมน์ที่เปรียบเปรยว่าจักรวาลที่เราแต่ละคนอาศัยอยู่ แห่งนี้มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม ถ้าหากพื้นที่เหล่านี้กลายเป็นภาพมันก็คงจะดี นั่นเองคือ ที่มาของ 25 อาชีพ ที่มีพื้นที่ 1x1 เมตร ในเล่มนี้ ผู้เขียนเล่าถึงอาชีพในซอยทองหล่อ ซอย ที่การทำ�มาค้าขายเพื่องฟู ซอยที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่เป็นสังคมคนทำ�งานออฟฟิศอย่าง เห็นภาพชัดเจนมาก ดูจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ผู้เขียนสื่อออกมาได้อย่างน่ารัก หลายอาชีพแม้เราจะคุ้นเคย จักรวาล 1x1 เมตร มากอย่าง วินมอเตอร์ไซค์ คนขายกล้วยทอด คนเก็บเงินค่าจอดรถ คนขายโอเลี้ยง เรา ผู้เขียน : ม.ย.ร.มะลิ เจอพวกเขาบ่อยมาก แต่มั่นใจว่าเราไม่ได้รู้จักเขาเลย ไม่มีใครเคยอยากไปสัมภาษณ์ ไปนั่งพูดคุยกับเขา หนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้น นอกจากถ่ายทอดความเป็นตัวตนของคนๆ นั้น ม.ย.ร.มะลิ ยังดึงเอาความคิด จุด หนั ง สื อ เล่ ม นี้ เ ป็ น หนั ง สื อ รวม คอลัมน์ “จักรวาล 1x1 เมตร” ในนิตยสาร เด่นของคนที่ถูกสัมภาษณ์ออกมาเป็นถ้อยคำ�ที่น่าฟังเหมือนฟังนิทาน แล้วคุณจะรู้ว่า พลอยแกมเพชร เห็นชื่อแล้วหากคนที่ 1x1 เมตร ของใครหลายคนระหว่างทางมันน่าสนใจไม่แพ้ชีวิตคนดังเลยทีเดียว
ประวัติย่อการ์ตูนไทย ผู้เขียน : นิรวาณ คุระทอง
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมประวัติทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวงการการ์ตูนไทยได้ ชัดเจนที่สุดในขณะนี้เลยก็ว่าได้ เพราะว่ารวบรวมตั้งแต่การเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาของการ์ตูนไทย แม้จะยังไม่มีนิยามชัดเจนว่าการ์ตูนไทยคืออะไร แต่เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ก็ทำ�ให้เราเข้า ใกล้ความหมายของมันได้ไม่มากก็น้อย บางเรื่องในหนังสือนี้ อย่างจุดกำ�เนิดของการ์ตูน ไทย ก็เขียนได้สนุก ถึงแม้ชื่อหนังสือจะดูเครียดเหมือนหนังสือเรียนไปหน่อย แต่ข้างในนั้น มีการใช้สำ�นวนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย พร้อมทั้งมีภาพประกอบเยอะมาก หลายภาพหาดู ยากมากอีกด้วย
1UP
ทำ�ความรู้จักการ์ตูนตัวดำ� “ใจดี” ี
12
วันหนึ่งขณะที่กำ�ลังท่องอินเตอร์เน็ตก็ไปเรื่อยๆ ก็บังเอิญเจอบล็อกน่ารักอยู่บล็อกหนึ่ง ชื่อว่า บล็อกไอ้แป้น เป็นบล็อกการ์ตูนเรื่องราวน่ารักๆ ย้ำ�อีกทีว่า “น่ารัก” มากๆ จนกลายเป็นแฟนติดหนึบที่บล็อกนี้ไปแบบไม่รู้ตัว เผลอตัวอีกทีภาพการ์ตูนเหล่านั้นที่เคยอ่านก็ได้มีโอกาสรวมเล่ม จนถึงตอนนี้ก็มีจนถึงเล่ม 3 เข้าไปแล้ว นี่คง จำ�กัดความได้ดีว่า มีคนหลงรักการ์ตูนตัวดำ�นี่เยอะจริงๆ มารู้จัก “ไอ้แป้น” กันให้มากขึ้นดีกว่า... เจ้าของลายเส้นไอ้แป้น? เหมียวค่ะ หรือจะเรียกตามบัตรประชาชนก็ นางสาว จิราภรณ์ โคตรมิตร เรียนจบท่องเที่ยว มีอาชีพขายตุ๊กตา วาดการ์ตูนเล่น เวลาอู้ วาดไปวาดมารู้สึกตัวอีกทีก็มีคนทักว่าเป็น “นักเขียน การ์ตูน” งงไหมล่ะ? แสดงว่าไม่ได้เรียนด้านศิลปะมาโดยตรง? ไม่ได้เรียนวาดมาโดยตรงค่ะ แต่ชอบทางนี้เลยศึกษาเองจาก หนังสือ ดูคนอื่นวาดแล้วลองวาดมั่ง เริ่มต้นการวาดมาจากที่ร้าน
ก่อนเพราะขายงานแฮนด์เมดอยู่แล้ว นึกอยากลองทำ�โปสการ์ด ขายแต่ว่าตัวเองถ่ายรูปไม่สวย เลยใช้วิธีวาดเป็นการ์ตูนลายเส้น ง่ายๆ แทน ทำ�ไมต้อง ไอ้แป้น ไอ้แป้นมาจาก “ส้มแป้น” ค่ะ เป็นชื่อหมาของเพื่อนสมัย เรียน เราเห็นว่าชื่อมันน่ารักดีเลยอิ๊บมาเป็นชื่อที่สองของตัวเอง เวลาไปไหนไม่อยากบอกชื่อเล่นจริงๆ ก็จะบอก “ส้มแป้น” พอเริ่ม วาดการ์ตูนแทนตัวเอง เลยเอาชื่อนี้มาตั้งให้ตัวการ์ตูนค่ะ พอเรียก
กันจนสนิทก็กลายเป็น “ไอ้แป้น” อย่างที่รู้จักค่ะ เคยฝันมาก่อนไหมว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน เคยคิดสมัยเริ่มอ่านการ์ตูนขายหัวเราะแรกๆ อยากเป็นนัก เขียนการ์ตูนจัง แต่ก็คิดตามประสาเด็กๆ ไม่ได้ลงมือทำ�อะไรจริงจัง แต่พอโตขึ้นอยากลองทำ�ดูสักครั้ง คิดแค่ว่าได้ทำ�ก็โอเคและจะ เป็นนักเขียนการ์ตูนไหมคงอีกเรื่อง ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นนักเขียน การ์ตูนนะ ฮ่าๆ แค่วาดการ์ตูนบ่อยขึ้นเท่านั้นเอง :) เสน่ห์ของการ์ตูนตัวดำ� คืออะไร เสน่ห์น่าจะเป็นความเรียบง่ายทั้งเรื่องลายเส้นและเนื้อเรื่อง จบในตอน ใช้เวลาอ่านไม่นานคนก็เลยชอบ ทำ�ไมการ์ตูนต้องตัวดำ�? เหตุผลที่ไม่น่าจะเป็นเหตุผลคือ อยากวาดการ์ตูนตัวขาวแต่ ด้วยความที่ตัวเองไม่ถนัดเรื่องสี เลือกสีเนื้อไม่เหมือนกันสักครั้งก็ เลยตัดสินใจถมดำ�ให้ตัวการ์ตูนไปเลย ง่ายดี เลือกสีตอนไหนจะได้ เหมือนกัน ฮา... ส่วนอีกเหตุผลที่พอจะฟังดูเข้าท่าคงเป็น บ้านเราไม่ค่อยมี ใครวาดการ์ตูนตัวดำ� เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชอบให้ตัวเองเป็น การ์ตูนสีดำ� ดูไม่น่ารักมั้ง แต่เราเห็นว่ามันแตกต่างดี เลยเลือกใช้ สีดำ�ค่ะ “ตัวการ์ตูนสีดำ�สะท้อนโลกสีเทา” คิดอย่างไรกับประโยคนี้ เห็นด้วยส่วนหนึ่ง สังเกตจากนักวาดหลายคนที่ใช้โทนดำ� เสนอแนวเศร้า ดราม่า แต่เราว่าอยู่ที่เนื้อเรื่องของคนวาดที่จะนำ� เสนอมากกว่า สีดำ� อยากวาดให้ขำ�ก็ทำ�ได้นะ คาดหวังอะไรจากผู้อ่านการ์ตูนตัวดำ� หลายคนบอกว่า ไอ้แป้นเหมือนไปสะกิดในจุดเล็กๆ ที่หลาย คนไม่ค่อยให้ความสำ�คัญ แรกๆ ไม่ได้ตั้งใจวาดเพื่อสะกิดใจคน อ่าน เพียงแค่อยากเสนอมุมมองของตัวเองว่าเราคิดแบบนี้นะ คน อื่นคิดแบบเราหรือเปล่า แต่หลังๆ ก็มีบ้างเวลาเห็นอะไร เฮ้ย! มัน ไม่ใช่นะก็จะวาดเป็นการ์ตูน ส่วนคนอ่านจะเข้าใจแบบไหนแล้วแต่ เขาค่ะ เพราะหลายเรื่องตอนจบเขาคิดได้มากกว่าที่เรานำ�เสนอ เออ...ดีแฮะ ต่อยอดได้ นอกจากเขียนการ์ตูนลงบล็อกแล้วตอนนี้กำ�ลังทำ�อะไรอยู่? งานประจำ�ก็ทำ�ตุ๊กตาขายที่ร้านดิบดีเชียงราย เวลาว่างก็รับ จ๊อบวาดการ์ตูนบ้างนิดหน่อย ร้านดิบดีเกิดขึ้นหลังจากที่ลาออก จากการทำ�งานประจำ� เป็นคนชอบงานแฮนด์เมด คิดว่าน่าจะทำ� เป็นอาชีพได้เลยลองทำ�ดูค่ะ
แรกๆ ทำ�ไม่เป็นรับของคนอื่นมาขาย ตอนนี้ทำ�เป็นแล้ว เริ่ม พัฒนาสินค้าไปเรื่อยๆ ช่วงนี้ 2 - 3 ปี เศรษฐกิจไม่คงที่ ยอดขาย ก็มีขึ้นๆ ลงๆ บ้าง ทำ�ไมต้อง ดิบ - ดี? ก่อนหน้านี้ชื่อร้าน ฮาวดู เพราะมีลูกค้าชอบทัก ทำ�ได้ยังไง เนี่ย คิดได้ไง พอหลังๆ ขายดี มีแม่ค้าแซว “ขายดิบขายดีจังเลย” ทักบ่อยเข้า เอามาตั้งเป็นชื่อร้านซะเลย ชื่อเต็ม “ขายดิบขายดี” ชื่อย่อก็เป็น “ดิบดี” แปลได้อีกว่า สินค้าดูดิบแต่มันดูดี สร้างแรงบันดาลใจอย่างไร บอกไม่ถูกเหมือนกันมีวิธีคิดยังไง อย่างตุ๊กตาเราก็ทำ�ขึ้นมา ก่อนที่จะตั้งชื่อ พอทำ�ไปแล้วใครเห็นก็บอกว่ามันน่ากลัว เราก็เลย ปิ๊งไอเดียตั้งชื่อให้เกี่ยวกับความรัก เพราะตุ๊กตาจะมีหัวใจทุกตัว ปรากฏว่ามันโดนใจลูกค้า พอทำ�ตัวใหม่ๆ ก็จะตั้งชื่อให้เลย บางตัว ชื่อมาก่อนค่อยทำ�ตุ๊กตาทีหลัง ไอเดียน่าจะมาจากความบังเอิญ และเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่ทำ�ให้เราคิดได้มากกว่าค่ะ ส่วนการ์ตูนอยากวาดก็วาด อยากเสนอมุมมองอะไรก็ใส่ไป เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องใกล้ตัวด้วย หลายคนเคยผ่านประสบ การณ์นี้มาแล้ว เออ...มันใช่ มันโดน บางทีตอนวาดไม่ได้คิดหรอก ค่ะว่ามันจะมาถึงขนาดนี้ คิดแค่ว่าวาดยังไงให้คนอ่านเข้าใจสิ่งที่ เราอยากบอกก็พอ ทั้งตัวการ์ตูนและตุ๊กตาที่มันขายตัวเองได้คง เกิดหลังจากลงมือทำ�ไปแล้วจากนั้นค่อยพัฒนาและต่อยอดให้ดี ขึ้นอีกทีมากกว่าค่ะ ถ้าไอ้แป้นมีชีวิตนี่ อายุกี่ขวบแล้ว ซนไหม ไอ้แป้นตอนนี้ 2 ขวบกว่าๆ ค่ะ เหมือนการ์ตูนไม่รู้จักโต ไม่ ยอมโตมากกว่า ซนไหม? ไม่นะ ไอ้แป้นเรียบร้อยจะตาย ฮ่า ๆ ความแตกต่างระหว่างไอ้แป้น กับพีเหมียวคืออะไร อย่างไร แรกๆ ไอ้แป้น จะเป็นตัวแทนความคิดของเหมียวมากกว่า ซึ่งบางอย่างในชีวิตจริง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ� แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกว่าไอ้แป้นเขามีความคิดเป็นของเขาเอง เหมียวกลายเป็นตัวแทนในการวาดให้เขาพูดได้ สลับกัน สุดท้ายอยากบอกอะไรถึงแฟนๆ “ไอ้แป้น” อยากขอบคุณทุกคน ทุกกำ�ลังใจ ทุกคำ�ติชม และคอยติดตาม ผลงานมาโดยตลอดขอบคุณที่รักการ์ตูนไอ้แป้น จากใจคนวาด จะ พัฒนาฝีมือต่อไปนะ :)
13
14
จิ๊กซอว์ชิ้นที่หายไปของ
การ์ตูนไทย...
“นักสืบโจหัวปลาหมึก ถั่วงอกกับหัวไฟ หัวแตงโม” ชื่อที่ผ่าน มาคงหลายคนจะพอคุ้นๆ กันมาบ้าง เพราะชื่อแต่ละชื่อต่างก็เป็น ชื่อของตัวการ์ตูนที่อยู่ในยุคที่คาบเกี่ยวระหว่างยุคบุกเบิก และ ยุคกำ�ลังจะรุ่งเรือง ตัวละครทั้งหมดถูกสรรค์สร้างโดยหัวปากกา ของนักเขียนชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนเด็ก การ์ตูนแนว ยิ่งช่วง นี้ แวดวงการ์ตูนก็ดูจะกระเตื้องเฟื่องฟูจากสมัยก่อนมาก เห็นได้ จากมีนักเขียนหน้าใหม่ เข้ามาโลดแล่นในวงการมากมาย ตลอด จนการแทรกซึมของงานกราฟฟิก แอนนิเมชั่นต่างๆ ทำ�ให้วงการ การ์ตูนเริ่มที่จะเข้าสู่ยุคกำ�ลังจะเจริญรุ่งเรืองก็ว่าได้ นักสืบโจหัวปลาหมึก ถือเป็นแม่ทพั ของศึกครัง้ นีก้ ว็ า่ ได้ นักสืบโจ หัวปลาหมึก หรือ Joe the Sea-cret Agent ถูกเขียนขึ้นโดย
สุทธิชาติ ศราภัยวานิช (โจ เดอะซี-เครท เอเจนท์)
ไตรภัค สุภวัฒนา (นายสมองกับหนูหัวใจ)
นักเขียนระดับต้นๆ ของวงการการ์ตูนไทยอย่าง สุทธิชาติ ศราภัย วานิช เป็นการ์ตูนแนวลึกลับแฟนตาซี หลังจากออกมาไม่นาน ก็มี การ์ตูนในสายที่เรียกกันว่าการ์ตูนแนว หรือการ์ตูนวัยรุ่น เริ่มจะ ก่อเกิดขึ้นมามากมาย อีกเรื่องหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ตกเป็นของการ์ตูนชุด hesheit ของวิศุทธิ์ พรนิมิตร ซึ่งช่วงแรกตีพิมพ์ลงในนิตยสาร katch ก่อนที่ จะมีการรวมเล่มดังในปัจจุบนั he she it เป็นการ์ตนู ลายเส้นธรรมดา เนื้ อ หาไม่ ซั บ ซ้ อ นแต่ มี โ ครงเรื่ อ งที่ โ ดดเด่ น กระแทกใจวั ย รุ่ น จนต่อมาได้รว่ มงานอะเดย์ หลังจากนัน้ ก็เรียกว่า การ์ตนู แนวเริม่ ผุด ขึ้นมากมายหลายเล่มอาทิ ถั่วงอกกับหัวไฟ (ทรงศีล ทิวสมบุญ), หัวแตงโม (องอาจ ชัยชาญชีพ), โลกของเรา (ทรงวิทย์ สี่กิติกุล) เป็นต้น วงการการ์ ตู น ไทยก็ มี แ นวโน้ ม รุ่ ง เรื อ งขึ้ น เรื่ อ ยมาจนถึ ง ปัจจุบันก็มีนักเขียนสร้างชื่อที่ยังอยู่ในวัยรุ่นอยู่หลายคน อย่าง เดอะดวง (วีระชัย ดวงพลา) ก็มีพ็อคเก็ตบุ๊คการ์ตูนหลายเล่ม มุนินฺ นักเขียนสาวที่สร้างชื่อกับการ์ตูนบล็อกที่ถูกฟอเวิร์ดเมลส่งต่อ มากที่สุดชุด “ราตรีสวัสดิ์” ซึ่งภายหลังก็มีพ๊อคเก็ตบุ๊คเป็นของตัว เองในชือ่ “พฤหัสบายดี” หรือ จะเป็น “ ไอ้แป้น” การ์ตนู ตัวดำ�ใจดี จาก สาวเหมียว ที่ต่างคนก็ทยอยกันออกมา ทำ�ให้แผงหนังสือเต็มไป ด้วยการ์ตูนแนวเต็มไปหมด พร้อมกันนั้น การ์ตูนเด็กก็เริ่มจะมีการพัฒนามากขึ้น ด้วย ตลาดที่เริ่มกว้าง ทำ�ให้หลายสำ�นักพิมพ์์เริ่มจะเข้ามาหาที่จับจอง
ในประเภทหนังสือที่แตกต่างกันออกไป อย่างทางด้านขายหัวเราะ ซึ่ ง ปู ท างมาตั้ ง แต่ ไ หนแต่ ไรก็ เริ่ ม หั น มาจั บ ทำ � รวมเล่ ม ของนั ก เขียนท่านโน้นท่านนี้ ลองลงมือทำ�การ์ตูนแนวก็มี อย่างเช่นเล่ม “อะไรๆ ก็ฮา” ส่วนทางสยามอินเตอร์คอมมิคส์ก็ไม่แพ้กัน ดึงเอา นักเขียนหน้าใหม่ลูกไม้นักเขียนชื่อดัง เดอะดวง (วีระชัย ดวงพลา) ออกมารวมเล่ม IAM และอีกหลายเล่ม นอกจากสำ�นักพิมพ์แล้ว ทางมูลนิธิเด็ก ก็เริ่มเข้ามาให้ความสนใจกับการทำ�การ์ตูน ในนาม สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก ซึ่งก็ปัจจุบันก็มีออกมาหลายเล่ม อาทิ การเดินทางของจุด (เดอะดวง) อุดมสุข (อิทธิวัฐก์ สุริยมาตย์) ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน แม้แต่สำ�นักพิมพ์หน้าใหม่อย่าง ฟุล สต๊อบ ก็เริ่มจะหันมาจับ
ทรงศีล ทิวสมบุญ (ถั่วงอกกับหัวไฟ,ไนน์ไลฟ์)
ธัญลักษณ์ เตชศรีสุธี (เจ้าของสำ�นักพิมพ์ LET’S)
ทางการ์ตูนแนวโดยการดึงนักเขียนมือฉมังเข้าไปรวมหลายท่านเพื่อ เข้ามาปันส่วนแบ่งของตลาด ทำ�ให้เกิดสำ�นักพิมพ์ใหม่ๆ ขึ้นมาก มาย แต่ที่โดดเด่นเข้าตากรรมการก็คงตกเป็นของ LET’S คอมมิค ที่ ออกมาหลายเล่มและติดตลาด แต่ที่น่าแปลกใจคือทุกเล่มมาใน รูปแบบพ๊อคเก็ตบุ๊คแทบทั้งสิ้น แล้วทำ�ไม การ์ตูนไทยต้องไปตีตลาด พ๊อคเก็ตบุ๊ค? เส่ง ทรงวิทย์ สี่กิติกุล นักเขียนการ์ตูนชื่อดัง ได้ให้ความเห็น ไว้ว่า “การ์ตูนไทยเพิ่งจะเริ่ม มันมีล้มแล้วก็นิ่งไปนานเพิ่งจะลุก ก็ล้มไปอีก การ์ตูนไทยเคยอ่านตั้งแต่เด็ก ไอ้พวกการ์ตูนที่อยู่ใน หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่เป็นพวกการ์ตูนประกวด พอจะมีคนปั้นขึ้น มาปุ๊บก็มีการเปลี่ยนแปลงภายในสำ�นักพิมพ์ ตอนสุดท้ายที่เพิ่งมา บูมในลักษณะพอกเก็ตบุ๊คสัก 2 - 3 ปีนี้ มันก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มๆ อีก อยู่ดีๆ จะบอกให้มันไปบูมเท่าการ์ตูนญี่ปุ่นน่าจะแยกกัน อย่าง การ์ตนู ไทยทีข่ ายไม่คอ่ ยดี แต่กย็ งั มีทดี่ กี ว่าการ์ตนู ญีป่ นุ่ บางเล่ม เช่น อัพ (ทรงศีล ทิวสมบุญ) ที่ตีพิมพ์ซ้ำ�ๆ เมื่อเทียบกับการ์ตูนญี่ปุ่น บางเรื่องอัพก็ดีกว่า แต่จะไปเทียบกับพวกนารุโตะคงไม่ได้เพราะ การตลาดเขาพร้อม เมืองไทยนี้ยังขาดคนที่ดูแลเรื่องการตลาด แต่ถ้ามองในแง่ที่มันเพิ่งเริ่มก็ถือว่าโอเคยังอยู่ในภาพที่ดี แต่จะขึ้น จะลงเราก็คงยังเดาอะไรไม่ได้” ธัญลักษณ์ เตชศรีสธุ ี หรือ ซัน เจ้าของสำ�นักพิมพ์ LET’S คอมมิค กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งที่ต้องไปตีตลาดพอ็คเก็ตบุ๊คเป็นเพราะมีคนริเริ่ม มาทางนี้ด้วย แต่อีกส่วนก็เป็นเพราะกลไกการตลาดของการ์ตูน
15
ไทย ที่ไม่สามารถสู้กับการ์ตูนญี่ปุ่นได้ ตัวอย่างเช่น สำ�นักพิมพ์ หนึ่งหากเขาพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่น 100 เล่ม เขาจะกล้าพิมพ์การ์ตูน ไทยเพียง 7 หรือ 8 เล่มเท่านั้น เพราะว่าการลงทุนมันค่อน ข้างเสี่ยง เราไม่ได้กล่าวหาว่าการ์ตูนไทยเราสู้ไม่ได้เรื่องคุณภาพ การ์ตูนไทยหลายเล่มก็เจ๋งพอที่จะสู้การ์ตูนญี่ปุ่นได้สบายๆ แต่ถ้า ไปลงทุนแล้วมันได้ไม่คุ้ม เพราะว่าคนนิยมอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นมากกว่า ใครจะกล้าลงทุน เพราะแต่ละเล่มถ้าวางบนแผงต้องตีพิมพ์เป็น หมื่นเล่ม แต่ถ้าหันมาพิมพ์แข่งกับพ็อคเก็ตบุ๊ค อาจจะลดได้เป็น พิมพ์ครั้งละ 4 พัน หรือ 6 พันเล่ม ขายหมดก็พิมพ์ใหม่ ซึ่งก็ น่าจะได้มีลุ้นมากกว่า แถมช่วงนี้ตลาดพ๊อคเก็ตบุ๊คกำ�ลังเฟื่องฟู อันได้อานิสงส์มาจากสำ�นักพิมพ์หัววัยรุ่นอย่างอะเดย์ จึงไม่แปลก ที่หลายสำ�นักพิมพ์จะเข้ามาลงทุนในชั้นหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คมากกว่า วางลงบนแผงสู้กับการ์ตูนญี่ปุ่น” เป็นเพราะการ์ตูนไทยสู้การ์ตูนญี่ปุ่นไม่ได้ใช่ไหม? คำ�ตอบก็ คือสู้ได้ แต่เรายังขาดหลายอย่าง หากเปรียบวงการการ์ตูนไทย เป็นจิ๊กซอว์ เรายังขาดชิ้นที่เป็นส่วนประกอบสำ�คัญของภาพอยู่ หลายชิ้นเลย แต่เมื่อใดที่จิ๊กซอว์เหล่านั้นครบก็จะเป็นภาพที่สวย งามและมีคุณค่าได้ไม่ยาก จิ๊กซอว์ชิ้นแรกคือๆ คนไทยไม่ค่อยให้ความสำ�คัญกับการ อ่านมากนัก นี่เป็นอีกหนึ่งตัวแปลระดับบิ๊กที่ทำ�ให้การ์ตูนไทย ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ผู้ใหญ่หลายคนมองว่าการ์ตูนเป็น เพียงสื่อไร้สาระ เด็กคนไหนอ่านการ์ตูนให้เห็นเผลอๆ อาจจะ 16 โดนดุเสียด้วย ต่างกับชาติที่นิยมการอ่านอย่างญี่ปุ่น เขาอ่าน หนังสือทุกแบบไม่ว่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน หนังสือประวัติศาสตร์ ลามไปจนถึงหนังสือเรียนเลยด้วยซ้ำ� แถมเขายังอ่านทุกเวลาที่ ว่าง ลองสังเกตในหนังญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง ฉากในรถไฟ จะต้อง เห็นคนในฉากสักคนสองคนหรือเยอะกว่านั้นหยิบหนังสือขึ้นมา อ่าน ถ้าเป็นบ้านเราคงมีคนนั่งหลับหรือไม่ก็เล่นเกมในไอโฟน เสียมากกว่า ด้วยความที่คนไทยไม่นิยมการอ่านหนังสือทำ�ให้ จำ�นวนคนอ่านหนังสือมีนอ้ ย เมือ่ คนมีนอ้ ย คอการ์ตนู ทีค่ รอบคลุม ตั้ ง แต่ เ ด็ ก ไปจนถึ ง วั ย ผู้ ใ หญ่ ถึ ง แม้ จ ะดู เ หมื อ นมี จำ � นวนมาก แต่กย็ งั ดูนอ้ ยมาก ถ้าเทียบสัดส่วนกับญีป่ นุ่ ก็เลยกลายเป็นนักเขียน การ์ตูนไทยมีโอกาสเติบโตยากเพราะว่าวงการมันแคบ ชิ้นต่อๆ มาคือ ไม่มีคนสนับสนุนอย่างจริงจัง ประเทศไทย ยังไม่มีการเปิดสอนวิชาการวาดการ์ตูนแบบจริงจัง ที่เห็นอยู่ก็จะมี ศิลปากรที่เดียวที่มีวิชาการวาดการ์ตูน ที่เหลือก็เน้นหนักไปที่ด้าน กราฟฟิกเสียมากกว่า ทางเดียวที่จะทำ�ให้กระแสการ์ตูนไทยไหล ขึ้น คงเป็นการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้เพิ่มมาก ขึ้น ตลอดจนต้องคงคุณภาพด้วย อย่างหลายๆ ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นเขาก็มีการเปิดสอนหลักสูตรการเขียนการ์ตูนกันอยู่หลาย สถาบัน นอกจากด้านการสร้างบุคลากรแล้ว คำ�ว่า “การ์ตูน” ใน สังคมไทย ผู้ใหญ่ยังมองว่ามันเป็นสื่อทางลบอยู่ เป็นเพียงหนังสือ การ์ตูนไร้สาระ นั่นเองทำ�ให้ภาครัฐ หรือว่า องค์กรของรัฐไม่ได้เข้า มาสนับสนุนอย่างเต็มที่ ที่เห็นๆ กันก็จะมีแค่มูลนิธิเด็กที่เข้ามา ช่วยปูทางทางด้านการ์ตูนเป็นองค์กรแรก
“รายได้” ก็เป็นจิ๊กซอว์สำ�คัญอีกหนึ่งชิ้นที่ทำ�ให้วงการการ์ตูน ไทยไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร เพราะว่าค่อนข้างน้อย เรียกว่าถ้าไม่ ได้เป็นลายเส้นจากนักเขียนดังๆ ก็ไส้กิ่วไส้แห้งกันเลยทีเดียว ส่วน เหตุที่ได้น้อยก็สาเหตุเดิมๆ คนไม่ค่อยอ่านทำ�แล้วคนไม่ค่อยซื้อ พิมพ์ไปสำ�นักพิมพ์ก็เสี่ยง ก็เลยทำ�ให้รายได้ของนักเขียนต้อยต่ำ� ไปด้วย อย่างการเขียนการ์ตูนหนึ่งหน้า นักเขียนทั่วไปก็จะได้ราคา ประมาณหน้าละ 250 - 400 บาท ซึ่งแต่ละหน้าก็ไม่ได้วาดออก มาง่ายๆ เรียกว่าใช้เวลาเป็นวันๆ ก็ไม่น่าจะคุ้มเท่าไหร่ ถ้าจะทำ� เป็นอาชีพหลัก เหตุผลต่อไปก็คล้ายกันคือ “ไม่กล้า” นายทุนต่างก็ไม่กล้าที่ จะมาลงทุนในตลาดการ์ตูนไทยมากนักเพราะว่าคนไม่นิยม และ ค่อนข้างเสี่ยงที่จะเจ๊ง สู้เอาเงินไปลงทุนกับอย่างอื่นดีกว่า การ์ตูนแนวหลายๆ เรื่องที่ดัง อาทิ ถั่วงอกกับหัวไฟ หรือ ซีร่ีส์ hesheit ต่างก็เอาความกล้ามาขายทั้งสิ้น ถ้ากล้าออกมายืนในที่ๆ ต่างจากคนอื่น คุณก็จะโดดเด่นโดยปริยาย นักเขียนเหล่านี้ นำ� ความแปลกและแตกต่างเข้ามาสู่ในวงการการ์ตูนไทยในสมัยนั้น ซีรี่ส์ hesheit ก็โดนวิจารณ์อย่างหนักว่าลายเส้นไก่เขี่ยเกินจะทำ� เป็นคอมมิค เสียแบบแผนการ์ตูน แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ hesheit ดังเป็นพลุแตก ส่วนถั่วงอกกับหัวไฟ ที่เริ่มออกเล่มหนึ่งในตอน นั้นก็มีเนื้อเรื่องและภาพแปลกหูแปลกตาโดนใจวัยรุ่น ทำ�ให้ได้แจ้ง เกิดอย่างสง่างามบนแผงหนังสือ
ทรงศีล ทิวสมบุญ จัดเป็นนักเขียนการ์ตูนแนวคนแรกที่ประสบ ความสำ�เร็จอย่างมากในประเทศไทย ทรงศีลเติบโตมาจากสาย นิตยสารเด็กแนวอย่าง a day ซึ่งตอนนั้นก็กำ�ลังจะหันมาจับทาง การ์ตูนในยุคที่ยังไม่มีใครกล้าทำ�ในตลาดพ๊อกเก็ตบุ๊ค เพราะว่า ลงทุนเยอะและเสี่ยง แต่ก็คงจะเสี่ยงน้อยกว่าที่จะไปสู้กับตลาด การ์ตูนเล่มญี่ปุ่นโดยตรง เริ่มแรก a day ทดลองออกเป็นพ๊อคเก็ต บุ๊คภายใต้คอนเซ็ปต์คอมมิคโดยมีนักเขียนการ์ตูนหลายท่านมา ช่วยเขียน ซึ่งก็ออกมาหลายเล่ม เช่น ซีรี่ส์ ABC โดยจะแบ่งเป็น เล่มละหนึ่งธีมหลัก อย่างเล่มแรก เซเว่น ธีมว่าด้วยความอยาก ของนักเขียนแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนก็ใส่กันมาเต็มที่ หลังจากนั้น ก็มีอีกหลายเล่ม super ธีมซูเปอร์ฮีโร่ delicious ธีมอาหาร colors ธีมสี และล่าสุด strips ซึ่งเป็นการ์ตูนช่อง ซึ่งหนึ่งในนั้น นักเขียนตัวตั้งตัวตีก็ตกเป็นของทรงศีล ทิวสมบุญ แต่ก็ยังไม่พอ a day ยังดึงเอามือดีมาอีกหลายท่านอย่าง สุทธิชาติ ศราภัยวานิช, เดอะดวง วีระชัย ดวงพลา, เส่ง ทรงวิทย์ สี่กิติกุล, ไตรภัค สุภวัฒนา เป็นต้น หลังจากออก ABC ได้ไม่นานทรงศีลก็มีผลงานเป็นของตัว เองอย่าง Improvise, NINE LIVES, Once Upon Sometimes และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือซีรี่ส์ชุด ถั่วงอกกับหัวไฟ การ์ตูนซีรี่ส์ รนี้ เหมือนจะเป็นตัวนำ�ที่ทำ�ให้หลายๆ ค่ายเริ่มมองเห็นว่า ตลาด การ์ตูนแนวกำ�ลังจะมา และอยากจะทดลองมาทำ�การ์ตูนแนว
ดูบ้าง ทรงศีล ไม่เพียงแต่จะประสบความสำ�เร็จในประเทศไทย เพียงประเทศเดียว เขายังได้รับการยอมรับจากต่างชาติตีพิมพ์ที่ ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย พูดถึงญี่ปุ่นแล้วจะลืมคนนี้ไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ วิศุทธิ์ พรนิมิต ที่ไปได้ดิบได้ดีถึงขนาดได้้ตีพิมพ์ผลงานตัวเองลงในนิตยสาร ของญี่ปุ่นชื่อ IKKI อีกด้วย อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่า ลายเส้น ของ วิศุทธิ์ พรนิมิต นั้นค่อนข้างจะแปลกในวงการการ์ตูนไทย คนไทยชอบลายเส้นที่เป็นระบบระเบียบเรียบร้อย แต่วิศุทธิ์ แหก กฎนั้น ลายเส้นของเขาโดนนักวิจารณ์หลายต่อหลายท่านกล่าว ถึงว่ามันเหมือนลายไก่เขี่ยมากกว่า แต่เหมือนว่ากลายเป็นการ สร้างความหลากหลาย ถึงลายเส้นจะมีคนติติงมากมาย แต่สำ�นัก พิมพ์ญี่ปุ่นกลับชื่นชอบและได้ตีพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย อีกหนึ่งความภูมิใจของวงการการ์ตูนไทยก็คือรางวัลระดับ โลกที่มีนักเขียนไทยไปได้รับรางวัลมา นั่นคือรางวัลชนะเลิศจาก การประกวด “รางวัลการ์ตูนนานาชาติ” ครั้งที่ 3 (3rd International MANGA Award) จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ใน เรื่อง สตรีทบอลสะท้านฟ้า โดย “ต้น” จักรพันธ์ ห้วยเพชร โดย เป็นนักวาดการ์ตูนชาวไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ นอกจากนี้นัก วาดการ์ตูนชาวไทยยังได้รับรางวัลอีกท่านนั่นคือคือ “พงษ์พัฒน์ เพชรรัตน์” ได้รับรางวัลชมเชยจากเรื่อง “กองอาทมาตประกาศ ศึก” ยิ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าการ์ตูนไทยได้รับการพัฒนาขึ้นและได้รับ การยอมรับจากต่างชาติแล้ว หนึ่งจุดเปลี่ยนสำ�คัญคือการเกิดขึ้นของสำ�นักพิมพ์ LET’S คอมมิค สำ�นักพิมพ์การ์ตูนที่จัดว่าเป็นเจ้าแรกเลยก็ว่าได้ในวงการ การ์ตูนขณะนี้ LET’S เริ่มจับตลาดได้ว่าคนอ่านต้องการอะไร แล้ว ก็ตัดสินใจลงทุนในความเสี่ยง ซึ่งในตอนนั้นก็คาดเดาไม่ได้ว่าจะ เป็นอย่างไร แต่สุดท้ายก็เป็นก้าวที่กล้าของวงการการ์ตูนไทย เมื่อไหร่ที่นักเขียนกล้าทำ�อะไรที่มันแตกต่าง คุณก็จะมีโอกาส มากขึ้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพและเวลาด้วย เกิดแตกต่าง จนคนธรรมดาไม่เข้าใจซึมซับไม่ได้ก็ป่วยการที่จะเด่น แต่คนไทย นิสัยเสียอย่างหนึ่งคือ ใครทำ�อะไรแล้วดีแล้วดังก็ไปทำ�ตามเขา ไป ก๊อบปี้เขา บางครั้งก็ก่อให้เกิดผลเสียต่อการพัฒนา จิ๊กซอว์ชิ้นที่สำ�คัญอยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะรัก และสนับสนุน การ์ตูนไทย ตึกจะแข็งแรงต้องมาจากรากฐานที่แข็งแกร่ง วงการ การ์ตูนก็เช่นกัน เขากำ�ลังต้องการคนที่จะมาช่วยปูพื้นฐานเพื่อให้ การ์ตูนไทยได้มีโอกาสเติบโตเทียบเท่าการ์ตูนจากต่างชาติ หาก เราไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วย ถ้าหากเราเติมเต็มจิ๊กซอว์เหล่านั้นได้ไม่แน่ อีก 10 ปีข้างหน้า ไม่แน่เราอาจจะมีนักเขียนไทย แบบ ฟุจิโกะ ฟุจิโอะ ก็เป็นได้ต้อง คอยดูกัน
คราวหลังถ้าอ่านการ์ตูนแล้วพ่อแม่บ่น ก็อย่าลืมบอกว่า “หนูกำ�ลังสนับสนุนการ์ตูนไทยอยู่”
17
2554 ปีที่การ์ตูนไทยเริ่มออกวิ่ง (บันทึกสังเกตการณ์การ์ตูนไทย 14 ก. ค. 2554) การ์ตูนไทยมีมานานแค่ไหน? อาจย้อนไปได้หลายสิบปี ตั้งแต่สมัยที่การ์ตูนฝรั่งแนวฮีโร่เริ่มตีพิมพ์ในไทย หรือไม่ก็นานกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะย้อนกลับไปนานเท่าไหร่ การ์ตูนไทยก็ไม่เคยหนีออกจากร่มเงาของการ์ตูนต่างชาติได้เลย ที่ผ่านมาเราคลาน เราเดิน เราล้ม เราลุกขึ้นใหม่ เราเดินอีกครั้ง เพื่อที่จะล้มลงไปคลาน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ถ้าเรายังใช้เส้นทางเดิมๆ เราก็จะอยู่ในวัฏจักรนี้ไปไม่รู้จบ แต่พอถึงปี 2554 ผมคิดว่าเราได้ค้นพบเส้นทางใหม่ของการ์ตูนไทยในที่สุด เส้นทางที่ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ ที่หลายคนเรียกไปต่างๆ นานาว่า การ์ตูนแนว การ์ตูนอาร์ต การ์ตูนนิเทศฯ (?!?) หรืออื่นๆ อีกมากมาย โดยลืมมองไปว่า... 18
นี่เป็นครั้งแรกๆ ในวงการที่การ์ตูนไทยมีผู้อ่านและติดตามอย่างแท้จริง!!! แล้วที่ผ่านมาการ์ตูนไทยไม่มีคนอ่านหรือ? หลายคนอาจสงสัย ใช่ครับ ที่ผ่านมามีคนอ่านการ์ตูนไทย แต่ส่วนมากจะอ่านเพราะมันคล้ายกับ การ์ตูนต่างชาติที่ชอบ และใช้มาตรฐานนั้นตัดสิน หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นตัวสำ�รอง ยามที่ตัวจริงยังไม่ลงสนามนั่นเอง แต่ปัจจุบันการ์ตูนไทยที่หลายคนเรียกว่าแนว กลับมีผู้อ่านที่หลากหลาย บางคนไม่อ่านแม้การ์ตูนญี่ปุ่น แต่ตามอ่านผลงานของนักเขียนการ์ตูนไทยกลุ่มนี้ ตั้งแต่เด็กเล็กๆ จนถึงคนที่จบปริญญาเอก ในหลายวงการที่ไม่เฉียดใกล้การ์ตูนเลยด้วยซ้ำ� นี่ไม่ใช่หรือคือสิ่งที่งานเขียนซักเรื่องควรจะทำ�ได้ การบอกเล่าเรื่องราว แนวคิด ทัศนคติ โดยไม่จำ�กัดว่าผู้รับต้องเคยอ่านผลงานอื่นใดมาก่อน อ่านเพราะชอบที่ได้แลกเปลี่ยนกัน ทั้งสองฝ่ายและอ่านโดยไม่มีข้อแม้ หรือถ้าย้อนกลับมาที่คำ�ว่า แนว ซึ่งจริงๆ มันน่าจะย่อมาจากมีแนวทางของตัวเอง ดังนั้นเราพอจะสรุปได้หรือไม่ว่า ในที่สุดการ์ตูนไทยก็ค้นพบเส้นทางที่เป็นของตัวเองแล้ว และน่าแปลกที่ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางนี้จะนำ�ไปสู่อะไร สวนสวรรค์ ลำ�ธารใส หรือกระทั่งหุบเหวดำ�มืด แต่ทุกคนที่ร่วมเส้นทางนี้ ต่างพร้อมใจกันออกวิ่งอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย
สุทธิชาติ ศราภัยวานิช ( SS ) *ตัดมาจากบทความในบล็อกคุณสุทธิชาติ ศราภัยวานิช เจ้าของตำ�นานนักสืบโจ หัวปลาหมึก http://yerrman.exteen.com
20 ซูเปอร์คาแร็คเตอร์สตาร์ ในวงการการ์ตูนไทย
19
ชื่อ : หัวแตงโม ผู้วาด : องอาจ ชัยชาญชีพ ผลงานที่ผ่านมา : หัวแตงโม 1 - 5 เล่มพิเศษ ปรากฏการณ์ธรรมดาภาคฤดูร้อน
หัวแตงโม
คุณเคยอ่านการ์ตูนหัวแตงโมไหม? ถ้าไม่รู้จักคงต้อง อยากจะบอกว่าเชยมากๆ เลย ผู้ชายตัวอ้วนกลมหัวแตงโม จัดว่าเป็นตัวการ์ตนู ทีด่ งั มากๆ ในแวดวงลายพูก่ นั เลยทีเดียว ด้วยความที่เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมคนเมือง เป็นเรื่องใกล้ตัว ทำ�ให้จุดนี้เองกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำ�ให้หลาย คนติดตามงานของหัวแตงโมอยู่เสมอ จนถึงขนาดมีให้อ่าน ต่อเนื่องจนถึงเล่มห้าเลยทีเดียว หัวแตงโมมักเป็นตัวที่จะ เข้ามาคลี่คลายปมของเรื่องนั้นๆ อย่างตอนที่การ์ตูนผิดหวัง มากที่สุด หัวแตงโมก็จะเข้ามาช่วยพูดประโยคเด็ดสักประโยค หนึ่งที่ทำ�ให้ทุกอย่างของตัวละครนั้นเปลี่ยนไปตลอดชีวิต และเขามักจะชอบทิ้งประโยคที่สร้างความสงสัยให้กับคน อ่านว่า “อยากรู้ไหมล่ะ ว่าทำ�ไมเขาถึงมีหัวเป็นแตงโม” ใคร อยากรู้ก็ลองไปตามอ่านกันดู ว่าทำ�ไมถึงเป็นหัวแตงโม?
20 ชื่อ : แชมพู, พี่หมี ผู้วาด : สุทธิชาติ ศราภัยวนิช ผลงานที่ผ่านมา : โจ เดอะ ซีเครท เอเจ้นท์ แชมพูเป็นเด็กหญิงผมยาวหน้าตาน่ารัก เอาแต่ใจเล็กๆ เธอ เกิดมาโดยมีตุ๊กตาหมีติดอยู่ข้างหลังแกะเท่าไหร่ก็ไม่ออก ส่วนพี่ หมีเป็นตุ๊กตาที่จะมีชีวิตหลังจากที่เด็กหญิงแชมพูหลับลง มีนิสัย เอาแต่ใจ โมโหร้าย แต่มีพลังพิเศษจากสิ่งที่เรียกกันว่า “ทอยส์” โดยจะเป็นเรื่องราวของโลกที่มีเหล่าตุ๊กตาของเล่นถูกมอบ ชีวิตและความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ให้ ทั้งยังมีการจัดอันดับ ความสามารถเป็นหมายเลขต่างๆ กัน ด้วยจุดประสงค์ที่จะอ่าน ได้ในเนื้อหาภาคแรก เมื่อใดที่แชมพูปิดเปลือกตาลง เหตุการณ์น่าตื่นเต้นต่างๆ ก็กำ�ลังจะเริ่มขึ้น นำ�โดยพี่หมี ที่จะกลับกลายจากตุ๊กตาตัวเล็ก ขึ้นมาเป็นหมีตัวใหญ่ที่มีชีวิต และกำ�ลังตามหาความหมาย และ การหลุดพ้นการเป็น “ทอยส์” ตามมาด้วยเรื่องราวสนุกๆ ให้ลุ้น มากมาย โดยทุกอย่างถูกกำ�กับโดยการตื่นของเด็กหญิงแชมพู ผู้ไร้เดียงสา โดยที่เด็กหญิงไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกอันน่าพรั่นพรึง ของสิ่งประดิษฐ์ลึกลับเหล่านี้เลย
หจก. แชมพู และพี่หมี
ชื่อ : ไม่มีชื่อ ผู้วาด : เดอะดวง ผลงานที่ผ่านมา : เรื่องมีอยู่ว่า, INNOCENT หากใครเคยอ่าน INNOCENT ก็คงจะรู้จักเด็ก ชายคนนี้ เขาอายุประมาณ 5 ขวบและคลั่งไคล้ ในเหล่าฮีโร่ TOOLOOBOOTOO เป็นเด็กขี้สงสัย หาก มองเผินๆ เด็กตัวเล็กๆ คนนี้ก็คงเป็นแค่เด็กผู้ชาย ตั ว เล็ ก ที่ ค ลั่ ง ไคล้ ใ นแก๊ ง ค์ ก าร์ ตู น ฮี โร่ อ ย่ า งบ้ า คลั่ ง แต่หลายครั้งความบ้าคลั่งนั่นเองก็ทำ�ให้เขาต้องไป เผชิญกับสถานการณ์สุดตื่นเต้นหลายครั้ง และทุกครั้ง เด็กผู้ชายคนนี้ก็รอดทุกครั้งและด้วยความใสซื่อของ เด็กนัน่ เอง กลายเป็นเรือ่ งทีค่ นอ่านต้องลุน้ ว่า จะรอดไหม และรอดอย่างไรเดอะดวงสร้างคาแร็คเตอร์นี้ออกมา ให้มีความเป็นเด็กค่อนข้างสูงมาก แม้ว่าจะอยู่ใน สถานการณ์ตึงเครียดมากแค่ไหน เด็กก็ยังจะคงเป็น เด็กอยู่วันยังค่ำ� เมื่อ TOOLOOBOOTOO ผ่านมา เขาก็ยังเป็นเด็กคนเดิมที่จะวิ่งไปขอลายเซ็นพวกเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะมีเกิดอะไรเกิดขึ้น
21 ชื่อ: หัวไฟ, เลดี้ชุดดำ� ผู้วาด : ทรงศีล ทิวสมบุญ ผลงานที่ผ่านมา : ถั่วงอกกับหัวไฟ
เลดี้ชุดดำ�
หัวไฟ
หัวไฟเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ กล้าคิดกล้าทำ� กล้าตัดสินใจ และชอบความท้าทาย เขาบอกว่าทุกคนมีความคิดแบบหัวไฟนี่แหละ แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะแสดงออกมา หัวไฟเป็นตัวแทนความกล้าและบ้า บิ่นที่มีอยู่ในตัวของทุกคน โดยมีถั่วงอกทำ�หน้าที่ลิ่วล้อแบบไม่ได้ตั้งใจ ดู คล้ายๆ กับทรงศีลจะบอกกับเราว่า ถั่วงอก นั่นแหละคือเด็กไทย และหัว ไฟ คือคนที่กล้าที่จะหลุดกรอบ ด้วยโครงเรื่องลึกลับตามสไตล์ทรงศีล ทำ�ให้ทุกตัวละครแฝงเสน่ห์ได้ออกมากอย่างตื่นเต้นน่าติดตาม ซึ่งการ เดินทางของพวกเขาก็มีเหตุการณ์ตื่นเต้นมากมายที่ตัวละครทั้งหมดจะ ต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ ส่วนเลดี้ชุดดำ�มักจะใส่หมวกปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ เธอมากับชุด ฟูฟ่องสไตล์ยุโรป เธอเป็นหญิงสาวที่ถูกการตามล่าโดยองค์กรลึกลับ เหตุ ด้วยเธอไปรู้เรื่องความลับบางอย่าง การตามล่าหลายๆ ครั้งจึงมีหัวไฟ มาร่วมด้วย กลายเป็นเรื่องราวสนุกๆ ที่น่าลุ้นว่าเธอจะหนีรอดการตาม ล่าไหม
ชื่อ : ไม่มีชื่อ ผู้วาด : GPEN
การ์ตูนหนุ่มน้อยผมปาดแถมยังเป็นเส้นแหลมชี้ฟ้า เขาเป็น การ์ตูนลายเส้นเบาๆ ดูเป็นคนสนุกสนานร่าเริง แถมยังดูจะเป็น คนมองโลกในแง่ดีอีกเสียด้วย การ์ตูนตัวนี้ถูกสรรสร้างขึ้นจาก ชายหนุ่มที่มีนามปากกา ว่า Gpen การ์ตูนพ่อหนุ่มผมปาดคน นี้มักจะหยิบเอาเรื่องอะไรใกล้ๆ ตัวที่ทั้ง Gpen และสังคมกำ�ลัง สนใจ วาดโดยให้การ์ตูนเส้นบางๆ ตัวนั้นเป็นคนเล่าเรื่อง ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่หลายๆคนจะมีความรู้สึก “อิน” หลังจากที่ อ่านจบ เพราะว่าเรื่องบางเรื่องที่หยิบยกมาเล่า ก็เป็นเรื่องที่ใกล้ ตัวเราอย่างคิดไม่ถึง หลายตอนถูกเขียนขึ้นจากการฟังเพลงแล้ว จินตนาการขึ้นมาเป็นภาพวาด อ่านแล้วก็เพลินอย่าบอกใคร Gpen เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะหนังสือต่าง ประเทศ และเขาก็มักจะเล่ามันผ่านภาพวาดลายเส้นเข้าใจง่ายให้ ผู้อ่านฟังอยู่เสมอ
แชมพูและพี่หมี
22
ชื่อ : เฉาก๊วย ผู้วาด : chaogouy ผลงานที่ผ่านมา : I Like, การ์ตูนรวมเล่มเฉาก๊วย
เฉาก๊วยเป็นการ์ตูนลายเส้นกุ๊กกิ๊กน่ารัก สีสันสดใส เฉาก๊วยเป็นหมาน้อยตัวเล็กๆ เป็นสุนัขพันธุ์ทางตัวเล็ก เชื้อสายอิสาน ซึ่งตามเจ้านายมาอยู่ในกรุงเทพฯ ต้องมาผจญ กับเรื่องต่างในเมืองกรุงมากมาย เฉาก๊วยเป็นหมาขี้เล่น สดใสร่าเริง หลายครั้งก็มักจะทำ�อะไรเปิ่นๆ ฮาๆ เป็น ประจำ� เราสามารถพบเฉาก๊วยเป็นประจำ�ได้ที่ปกหลัง I Like ทุกฉบับ และในแต่ละปีเฉาก๊วยและผองเพื่อนน้องหมาจากนัก เขียนหลายท่านก็จะรวมเล่มอีกด้วย แถมเป็นลิมิเต็ดอีดิชั่น ในแต่ละปีเท่านั้น
เฉาก๊วย
ชื่อ : ต้องการและแมวชื่อว่ามะลิ ผู้วาด : ต้องการ ผลงานที่ผ่านมา : ความสุขของมะลิ 1 - 2
หัต้วอแตงโม งการ
ใครๆ ก็ชอบพูดว่าแมวเป็นสัตว์เลีย้ งทีเ่ อาแต่ใจ “ต้องการ” ก็เชื่ออย่างนั้น และเธอก็ใช้ความเอาแต่ใจของเจ้ามะลินั่น แหละเป็นจุดขายของหนังสือที่มีชื่อว่า “ความสุขของมะลิ” ด้วยความที่มะลินั้นเป็นแมวแสนซน มักจะไปสร้างวีรกรรม เด็ดๆ ไว้อย่างมากมายเหลือล้น จนถึงกับต้องมาเขียนต่อ ใน “ความสุขของมะลิเล่มที่สอง” นอกจากเป็นบันทึก เหตุการณ์ที่น่าประทับใจแล้ว ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยว กับการดูแลแมวสุดที่รัก รับรองใครได้สัมผัสแล้วจะหลงรัก “เจ้าแมวมะลิ” อย่างแน่นอน เรื่องราวทั้งหมดนำ�เสนอผ่านมุมมองของต้องการ บาง ตอนน้อยใจแมวบ้าง โกรธแมวบ้าง เป็นเรื่องน่ารักๆ รับรอง ว่าใครอ่านแล้วต้องหลงรักทั้งคนทั้งแมวแน่นอน 23
ชื่อ : พี่เหลิม ผู้วาด : ปอ ไบโอสโคป
นายเหลิ ม ชายหนุ่ ม รู ป ร่ า งอ้ ว นกลมที่ ห ลงใหลการดู ห นั ง เป็นชีวิตจิตใจ ชายที่หนุ่มเต็มไปด้วยความซ่า ความกล้า อยาก ลองนั่นนี่นู่นตลอดเวลา และมักจะขี้สงสัยอะไรอยู่บ่อยๆ และ แน่นอน นำ�มาซึ่งบทสรุปที่เปิ่นๆ ฮาๆ ไปทุกครั้ง แต่บางทีก็แอบ มีความรู้ด้านภาพยนตร์อย่างเหลือเชื่อ ใครจะเชื่อล่ะก็พี่เหลิมเขา ออกจะดูเอาตลกไปวันๆ นอกจากนั้นพี่เหลิมเขายังชอบฟังเพลง ฮิปฮ็อปเป็นชีวิตจิตใจ จุดเด่นหลายคนตกหลุมรักพี่เหลิมคงป็น เพราะการอุทิศชีวิตให้กับสิ่งที่เขารักนั่นคือหนังอย่างเต็มตัว
พี่เหลิม
ชื่อ: แก๊งค์การ์ตูน Ice - T ผู้วาด : เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์
กลุ่มการ์ตูนที่เรียกตัวเองว่า แก๊งค์ Ice - T ประกอบ ด้วยการ์ตูนหัวกลม หัวปุ่ม เรื่องราวเป็นเรื่องเกี่ยวกับ คอมพิ ว เตอร์ เ ป็ น ส่ ว นใหญ่ มี เรื่ อ งที่ เ ป็ น ที่ ถ กเถี ย งกั น ใน สังคมบ้าง ส่วนใหญ่เรื่องราวจะเริ่มต้นด้วยชาวแก๊งค์ต่าง สรรหากันมาสงสัยโน่นนี่โน่นอยู่ตลอด เสน่ห์ของการ์ตูน แก๊งค์นี้คงอยู่ที่มุกตลกที่ฮาบ้างไม่ฮาบ้าง แต่ก็ทำ�ให้คน ติดตามอยากอ่านตอนต่อไป แถมนอกจากได้ความฮาแล้ว ยังแฝงถึงความรู้อีกด้วย
แก๊งค์ ไอซ์-ที ชื่อ : ไม่มีชื่อ ผู้วาด : เต่านา 24 การ์ตูนเด็กผู้ชายหัวโตหน้าตาจิ้มลิ้มมากับนิสัยที่มองโลก ในแง่ดี น่ารักสดใส การ์ตูนหัวโตตัวนี้มักจะเป็นตัวเล่าเรื่องผ่าน เหตุการณ์ต่างที่เป็นที่สนใจในขณะนั้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใส น่ารัก ทำ�ให้หลายคนเริ่มจะหลงรักเจ้าหัวโตตัวนี้ การ์ตูนตัวนี้ ดูใจดี ซื่อสัตย์และเป็นมิตรกับทุกคน และกลายครั้งเขาก็เข้าไป อยู่ในเหตุการณ์ที่ชวนตื่นเต้นอยู่เสมอ
ชื่อ : จอห์นนี่ ผู้วาด : ฟอมาลิน
จอห์นนี่
จอห์นนี่ ชายหนุ่มผู้ตกอยู่ภายใต้เงามืดของความชั่วร้าย แต่ภายใน เงานั้น เขายังมีอีกซีกที่มีหัวใจอยู่ เงามืดเหล่านั้นมันเริ่มคลืบคลานเข้าสู้ ชีวิตเขาตั้งแต่ในวัยเด็ก เขาถูกทำ�ร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจจนไปพบ กับผู้มีพระคุณที่เข้ามาช่วยเหลือไว้แต่ก็ต้องแลกด้วยการช่วยทำ�งานให้ กับองค์กรด้านมืดเพื่อตอบแทนบุญคุณ จนมาพบจูเลียลูกสาวของเหยื่อ คนหนึ่งจอห์นนี่จึงได้เรียนรู้คำ�ว่า “ดีงาม” และ “มืดมน” ความสนุกของ เรื่องนี้คงต้องยกให้เรื่องราวที่เข้มข้นสะเทือนใจ และลายเส้นที่เป็นแบบ เท่ๆ
ชื่อ : บ๊อบบี้ สวิงเกอร์ ผู้วาด : ทรงศีล ทิวสมบุญ ผลงานที่ผ่านมา : ABC commic
บ๊อบบี้ถูกวาดโดยนักวาดการ์ตูนและ Illustrator ระดับเทพของหนังสือเครือ a day ทรงศีล ทิว สมบุญ หรือพี่อัพ บ๊อบบี้มักจะมาควบคู่กับดูมมี่ ภรรยาสุดที่รัก บ๊อบบี้เป็นคนพูดไม่เยอะ นิ่งๆ สุขุม เลือดเย็น เดาใจเขาคนนี้ไม่ค่อยถูก แต่หลายครั้ง เขาก็เป็นคนคลี่คลายปมปัญหาของเรื่องราวลึกลับที่ เกิดขึ้นทั้งหมด บ๊อบบี้ชอบฟังเพลงร็อค และชอบแต่งตัวออก แนวจะพังค์เล็กน้อย แต่บางครั้งก็มีแอบกุ๊กกิ๊กหวาน แหววกับศรีภรรยาอย่างดูมมี่บ้าง
บ๊อบบี้ สวิงเกอร์ ชื่อ: เด็กหญิงมะม่วง ผู้วาด : วิศุทธิ์ พรนิมิตร ผลงานที่ผ่านมา : everybodyeverything
เด็กหญิงมะม่วง
หากใครเคยเปิดอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า everybodyeverything ของวิศุทธิ์ คงจะเกือบทุกคนที่หลงรักการ์ตูนเด็กผู้หญิงตัวน้อย ผมฟู ที่ชื่อว่าน้องมะม่วง เด็กผู้หญิงตัวน้อยทำ�ให้เราหลงรักด้วยฉากที่เธอไปทุบกระปุกเพื่อเอาเงินมาซื้อ น้องหมา ตัวที่เธอทำ�มันหลุดหายไป การ์ตูนช่องเพียงไม่กี่ช่องทำ�ให้ภาพเด็ก หญิงมะม่วงเข้าไปอยู่ในหัวใจหลายๆ คน คงจะการันตีได้จาก การที่ได้พิมพ์ เป็นภาษาญี่ปุ่นเล่มแรกของประเทศไทยอีกด้วย
ชื่อ: แก๊งค์ TOOLOOTOOBOO ผู้วาด : เดอะดวง วีระชัย ดวงพลา การ์ตูนขวัญใจเด็กทางฟรีทีวี TOOLOOTOOBOO จากเรื่อง INNOCENT แก๊งค์การ์ตูนที่เป็นขวัญใจของเหล่าเด็กๆ แต่เบื้องหลัง พวกเขากลับกลายเป็นแก๊งค์โจรเสียเอง เรื่องราวดูยุ่งเหยิงขึ้นเมื่อมี เด็กชายตัวเล็กที่คลั่งไคล้ใน TOOLOOTOOBOO วิ่งตามขอลายเซ็น จนไปเจอว่า แท้จริงฮีโร่ของเขา คือโจรเสียเอง
แก๊งค์ TOOLOOTOOBOO
25
ชื่อ : ไอ้แป้น ผู้วาด : จิราภรณ์ โคตรมิตร ผลงานที่ผ่านมา : การ์ตูนไอ้แป้น 1, 2 หากใครเป็นสาวก exteen คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับ การ์ตูนหญิง สาวตัวดำ� นามว่า “ไอ้แป้น” ซึ่งมักจะติดฮ็อตโพสต์อยู่เป็นประจำ� ไอ้แป้นเป็นการ์ตูนที่มองโลกในแง่ดี และใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการใช้ชีวิต ด้วยการที่ไอ้แป้นนำ�เสนอเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ทีค่ นต่างหลงลืมไปนีเ่ อง กลับกลายเป็นเสน่หข์ องตัวการ์ตนู ตัวดำ� จนไปเตะตาสำ�นักพิมพ์หัวใหม่เอี่ยมอ่องอย่าง จ้ำ�อ้าว เข้า จนได้อยู่บนแผงหนังสือ ส่วนในบล็อกก็ยังเขียนอยู่อย่างต่อเนื่อง ใครสนใจก็เข้าไปอ่านได้ที่ บล็อกไอ้แป้น
ไอ้แป้น 26
ชื่อ : หัวแจกัน, หจก. ผู้วาด : โต้ง ผลงานที่ผ่านมา : มติชนสุดสัปดาห์, best of หัวแจกัน หั ว แจกั น เป็ น การ์ ตู น ลายเส้ น ที่ ส ร้ า งขึ้ น โดยปากกาเมจิ ก ลายเส้นเรียบง่าย สะอาดตา หัวแจกันหรือ หจก. เป็นคนร่าเริง ทันเหตุการณ์ ช่างสังเกตและขี้สงสัย ชอบสนใจสังคม ชอบอ่าน ข่าวการเมือง ข่าวอาชญากรรม เป็นคนทันต่อข่าวสาร ภาพ ลักษณ์ทางกายภาพเป็นคนที่มีหัวเป็นแจกันมีดอกไม้อยู่ในแจกัน ด้วย บางครั้งจะมีหัวกาน้ำ� เพื่อนสนิทเข้ามาร่วมซีนอยู่บ่อยๆ ตัวหัวแจกันมีดอกไม้อยู่บนหัวสองดอก ส่วนหัวกาน้ำ� มีควันบ้าง เป็นครั้งคราว ทั้งสองเป็นเพื่อนซี้กัน เรื่องราวส่วนใหญ่มีเนื้อหา เกี่ยวกับภาพลักษณ์สังคมโดยรวม เรื่องการเมือง ข่าวเด็ดข่าว ดัง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เป็นที่ฮ็อตฮิตในช่วงนั้นๆ อย่างตอน ที่พูดถึงการสอบโอเน็ต รวมไปถึงเรื่องเหล่าเสื้อสีต่างๆ ซึ่งก็กัด แกมหยอกได้อย่างน่ารักน่าชังติดตลกร้าย จนบางครั้งก็เจ็บแสบ จิ๊ดเหมือนมีใครเอามีดมากรีด จนปัจจุบันได้มีการรวมเล่มโดย สำ�นักพิมพ์ชื่อดัง อย่างอะบุ๊ค ใน ชื่อ best of หัวแจกัน พร้อมกับ คอลัมน์รายเดือนในนิตยสาร a day เช่นเดียวกัน
หจก.
ชื่อ : ไม่มีชื่อ ผู้วาด : มุนินฺ ผลงานที่ผ่านมา : รวมเล่มมุนินฺ, พฤหัสบายดี 1 - 2 การ์ตูนของมุนินฺจะเป็นการตูนที่เน้นไปที่การแสดง อารมณ์อยู่แล้ว ดังนั้นลายเส้นก็ค่อนข้างจะพลิ้วไหว สื่อ อารมณ์ออกมาจากจากใบหน้าอย่างแท้จริง หลายคนอ่าน การ์ตูนเด็กผู้หญิงคนนี้น้ำ�ตาซึมมาแล้วก็มี การ์ตูนของมุนินฺเด่นที่การผูกปมเรื่องที่เกี่ยวพันกับ อารมณ์เป็นหลักและหลายครั้งก็เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นใน ชีวิตของเรามาแล้วทั้งสิ้น อาจจะเป็นมุมที่เราไม่เคยให้ ความสำ�คัญ หรือเป็นปมอดีตที่มันยังค้างคาในใจอยู่ การ์ตูนเด็กผู้หญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ขี้สงสัย พูด เก่ง แต่หลายครั้งก็ตกไปอยู่ในเนื้อเรื่องที่แสนเศร้า อย่าง การลาจาก การพลัดพราก แต่เช่นเดียวกันบางทีก็ซึ้งจน น้ำ�ตาซึม
หจก. ชื่อ : อุดมสุข ผู้วาด : อิทธิวัฐก์ สุริยมาตย์ ผลงานที่ผ่านมา : อุดมสุข 1 - 5
อุดมสุข
การ์ตนู หัวโตผูร้ กั ในธรรมชาติและความถูกต้อง อุดมสุข ผูใ้ หญ่ หนุ่มบ้านนอกนิสัยติดดินเป็นกันเองกับทุกคน เรื่องราวของอุดมสุข ถูกดำ�เนินไปพร้อมกับชุมชนที่เราอยากจะเรียกมันว่า ชุมชนใน ฝัน ยังเป็นชุมชนแบบที่ยังมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และกลิ่นไอแบบ ไทยๆ อยู่เต็มเปี่ยม ต้องแต่วิถีชีวิต อาหารการกิน ตลอดจนนิสัย ของตัวละคร ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวแบบบ้านๆ แต่ก็กลับกลาย เป็นเสน่ห์ให้กับการ์ตูนอุดมสุขอย่างไม่น่าเชื่อ จนกำ�ลังจะคลอด เล่มที่ 5 เร็วๆ นี้ อุดมสุขมักจะชอบหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอโดยเฉพาะเรื่องที่ ส่งผลดีทั้งต่อตัวเองและชุมชน ทำ�ให้บางครั้งต้องไปผจญภัยหลาย ต่อหลายครั้งกว่าจะได้เคล็ดวิชาอันเป็นประโยชน์ และที่สำ�คัญ นอกจากผู้อ่านจะได้ความเพลิดเพลินแล้วอุดมสุขยังให้ความรู้เรา เกี่ยวกับการรักษาธรรมชาติ และการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอีกด้วย
27
ชื่อ : สุดเขต ผู้วาด : ไตรภัค สุภวัฒนา ผลงาน : ดาวถึงดาว
สุดเขต
28
เรื่องราวการผจญภัยของสุดเขต ในเรื่องดาวถึงดาว ที่เขาต้องขับยานอวกาศออกนอกโลกไปเพื่อทำ�สี่งที่เขา คลั่งไคล้มากที่สุดในชีวิต นั่นคือการนับดาว จากที่เขา เคยนั่งนับดาวอยู่บนดาดฟ้าของบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มี มนุษย์ต่างดาวเข้ามาขอแลกตัวกับเขาชั่วคราว ทำ�ให้สุด เขตได้ไปท่องในอวกาศเพื่อนับดาวอย่างที่เขาชอบ แต่ก็ ต้องมีเรื่องราวผจญภัยมากมายให้คนอ่านได้ลุ้น ความ สนุกของเรื่องดาวถึงดาวก็คงเป็นการนั่งดูจินตนาการใน ภาพอวกาศของไตรภัค และลุ้นไปกับสุดเขตว่าเขาจะหา ทางกลับมายังบ้านบนโลกมนุษย์ได้หรือไม่ แท้จริงแล้ว ชีวิตเขาต้องการอะไร และอะไรคือสิ่งที่เขาต้องทำ�และ ยอมรับมัน
ชื่อ : นายสมองกับหนูหัวใจ ผู้วาด : ไตรภัค สุภวัฒนา ผลงานที่ผ่านมา : นายสมองกับหนูหัวใจ 1 - 2
ระหว่างหัวใจกับสมอง คุณให้ความสำ�คัญกับ อะไร? การ์ตูนเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักวาดการ์ตูน ฝีมือ ไม่ธรรมดาอย่าง ไตรภัค แห่งรั้ว LET’S คอมมิคเนื้อเรื่อง เป็ น เรื่ อ งราวการผจญภัยระหว่างนายสมองผู้มีส มอง ใหญ่ยักษ์กว่าคนทั้งเมืองแต่ไร้ซึ่งหัวใจ และหนูหัวใจ ผู้ มีหัวใจดวงใหญ่สีชมพูแช่อยู่ในโหลแก้ว ที่จับพลัดจับผลู ได้มาดำ�เนินชีวิตร่วมกัน ซึ่งแต่ละคนนำ�ทางชีวิตด้วยสิ่ง ที่ต่างกันคนละขั้ว หัวใจหรือสมอง? คุณให้ความสำ�คัญ กับอะไรมากกว่า การ์ตูนเรื่องนี้สนุกไม่สนุกก็คงดูได้จาก 2 เล่มที่ผ่านมา แถมอีกไม่นานคาดว่า เล่มใหม่ก็คงจะ มาให้เราได้อ่านว่าการเดินทางของทั้งคู่จะจบลงอย่างไร จุดเด่นของการ์ตูนเรื่องนี้คงเป็นการปล่อยให้จินตนาการ เราไหลไปพร้อมกับปากกาของไตรภัค เรื่องและภาพอ่าน แล้วสนุกจนไม่อยากจะวางเลยทีเดียว
นายสมองกั บหนูหัวใจ หจก.
แกะกล่อง
Google+ คืออะไร? โลกแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กตอนนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนที่ เล่นอินเตอร์เน็ตอย่างมากไล่มาตั้งแต่รุ่นเก๋าอย่าง มายสเปซ (my space), ไฮไฟว์ (Hi5) และมาถึงยุคเฟื่องฟูอย่าง เฟซบุ๊ค (Facebook), ทวิตเตอร์ (twitter) และที่จะไม่พูดหนึ่งไม่ได้คือ กูเก้ิล พลัส (Google+) น้องใหม่เฟรชชี่แห่งวงการโซเชียลที่แรงไม่ใช่ย่อย ทำ�เอา บัลลังก์อันดับหนึ่งอย่างเฟซบุ๊คถึงขั้นสั่นคลอนจนต้องเพิ่มไอเท็ม เสริมกันเลยทีเดียว จากสถิติของเฟซบุ๊คพบว่ามีคนเข้าใช้บริการถึง 500 ล้าน คน นั่นคงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ Google รับรู้ได้ว่ากระแสโซเชียล เน็ตเวิร์กกำ�ลังอยู่ในขาขึ้นอย่างแท้จริง กูเกิ้ล (Google) จึงออก ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีรูปแบบของการใช้งานในลักษณะแบบเดียวกับสื่อ สังคมออนไลน์ (Social network) โดย สามารถเชื่อมโยงกับเพื่อนๆ ได้หลากหลายรูปแบบทั้งข้อความ และวิดีโอ ตลอดจนการแชร์ข่าว สารที่น่าสนใจ ซึ่งแน่นอนว่า เป้าหมายของการเปิดให้บริการใหม่นี้ก็ คือ การช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้จากเฟซบุ๊ค โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง Google+ จะถูกสร้างขึ้นมาจากคุณสมบัติการใช้งานต่างๆ ที่ แยกกันอยู่ 4 บริการด้วยกันได้แก่ Ciricles, Sparks, Hangout และ Huddle ทั้งนี้ Google พยายามย้ำ�ว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ของทาง บริษัทไม่ได้เป็นแค่การสร้างเครือข่ายโซเซียลเน็ตเวิร์กขึ้นมาใหม่อีก ตัวหนึ่งเพื่อต่อกรกับเฟซบุ๊ค แต่มันเป็นความพยายามที่จะรวมเอา องค์ประกอบของการใช้งานสังคมออนไลน์เข้าไปในผลิตภัณฑ์ของ Google ต่างหาก แน่นอนว่า Google+ จะสามารถเชื่อมต่อได้ในทุกบริการ Google ไม่ว่าจะเป็น Google search engine (บริการค้นหา), Google map (บริการค้นหาแผนที่), Google doc (บริการด้านเอกสาร ออนไลน์), Google translate (บริการแปลภาษา), และ Gmail เรียก ว่ากระดิกนิ้วคลิกเดียวก็เข้าถึงทุกบริการอย่างง่ายดาย บริการหนึ่งที่ทำ�ให้ Google+ ดูจะโดดเด่นก็คือ Circles คือการจัด กลุ่มการสื่อสารเฉพาะกลุ่มได้ตามใจต้องการ จุดนี้ กูเกิ้ลยกตัวอย่าง ว่าหากผู้ใช้ต้องการนัดเพื่อนไปเที่ยวคืนวันเสาร์ ก็สามารถเลือกใคร
ก็ได้ที่ไม่ใช่ผู้ปกครอง ให้มาเข้ากลุ่มเพื่อนัดหมายโดยที่ไม่ต้องให้ ใครรู้ โดยผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะแบ่งปันข้อมูลแก่แวดวงใด บ้างได้ตามชอบ จุดนี้ทำ�ให้กูเก้ิลพลัสมีความแตกต่างจากเครือข่าย สังคมอื่นชัดเจนขึ้น นั่นคือเน้นการแบ่งปันข้อมูลเฉพาะกลุ่มเพื่อน ผิดจากทวิตเตอร์ซึ่งเน้นแบ่งปันข้อมูลแบบสาธารณะ และเฟซบุ๊ค ที่เน้นการส่งข้อความให้เพื่อนทุกคน เว้นแต่จะเลือกให้ใครเห็นข้อ ความบ้าง และอี ก จุ ด เด่ น ที่ ไ ด้ เ กริ่ น ไว้ ข้ า งต้ น ว่ า ไปสั่ น คลอนตำ � แหน่ ง 29 อันดับหนึ่งอย่าง เฟซบุ๊ค ก็คือการวีดิโอ คอล (video call) ที่เรียก ว่า Hangouts เป็นห้องสนทนาวิดีโอแชตในกลุ่มเพื่อน ซึ่งสามารถ สนทนาพร้อมกันได้สูงสุด 10 คน ออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถค้นหา เพื่อนที่ออนไลน์แล้วว่างงาน ให้สามารถคุยฆ่าเวลาได้ใน Google+ คาดว่าเป็นการดึงเทคโนโลยีในบริการ Google Talk มาปัดฝุ่นอีกครั้ง จนทำ�ให้เจ้าบัลลังก์อย่างเฟซบุ๊คต้องมาเพิ่มไอเท็ม วีดิโอ คอล (video call ) โดยการจับมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญอย่าง Skype (สไกป์) ซึ่งตอนนี้ก็กำ�ลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นยังคงเป็นระบบการคุยแบบ 1 : 1 อยู่ คงต้องรอการพัฒนาอีกสักพักคาดว่าน่าจะต่อสู้กับกูเกิ้ล พลัสได้ไม่ ยาก อีกหนึ่งจุดเด่นของ Google+ ก็คือ Huddles ซึ่งเปรียบเหมือน บริการแชตด้วยข้อความลักษณะเดียวกับระบบ BBM ในแบล็กเบอร์รี่ ผู้ใช้จะสามารถสนทนาแบบกลุ่มได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ Google+ เปิดตัวมาได้เดือนกว่าตอนนี้ก็มีผู้ใช้ 10 ล้านคน เข้าไปแล้ว และก็มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มเรื่อยๆ อีกด้วย แอบกระซิบ บอกก่อนว่า Google+ ไม่ใช่โซเชียล เน็ตเวิร์ก ตัวแรกที่ค่าย Google เคยสร้าง เพราะก่อนหน้านั้นเคยมีกูเก้ิล เวฟ (Google wave) และ กูเก้ิล บัซ (google buzz) มาแล้วแต่ก็ล้มเหลว ด้วยช่วงนั้นกระแส โซเชียลเน็ตเวิร์กยังไม่อยู่ในยุคเฟื่องฟูแบบนี้ แต่ในอนาคตจะเป็น อย่างไรเราก็ยังคาดเดาไม่ได้ ส่วนใครที่อยากจะลงสัมผัสคุณสมบัติ ใหม่ๆ ของโซเชียลเนตเวิร์กใหม่เอี่ยมอ่องอย่าง Google+ ตอนนี้ก็ สามารถสมัครได้แล้วโดยไม่ต้องมี invite (คำ�เชิญ) จากเพื่อน สมัคร แล้วมา +1 ไปด้วยกัน!
คนต้นแบบ
ต่ า ย ขายหัวเร ลายเส้นอารมณ์ดี
“ไม่มีอะไรที่ไม่ตลก ทุกอย่า ทุกเรื่องมีความฮาของม แค่เราพลิกกลับก็กลายเป็น 30
คุณเคยอ่านขายหัวเราะไหม? คุณเคยเห็นลายเซ็นริมการ์ตูนช่องที่เป็นรูปหัวกระต่ายบ้าง ไหม? รับรองว่าคุณจะต้องเคยเห็นแน่นอน แม้อาจจะไม่ชัดเจนแต่ ก็ต้องมีคลับคล้ายคลับคลาบ้าง เพราะตัวการ์ตูนเหล่านี้โลดแล่น ด้วยน้ำ�หมึกของ ต่าย ขายหัวเราะ มากว่า 30 ปีแล้ว บนเส้นทางนักเขียนการ์ตูนที่ยาวนานของต่าย ขายหัวเราะ หรือ ภักดี แสนทวีสุข เส้นทางเหล่านั้นสามารถพิสูจน์ได้อย่างดี ถึงความสามารถเฉพาะตัวของชายผู้นี้ เขาไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจ ของผู้อ่าน แต่ยังเป็นที่ชื่นชมและเคารพนับถือของบุคลากรใน แวดวงการ์ตูนด้วยกัน เรียกว่า ถ้าเรียกชื่อ ต่าย ปุ๊บ ก็สามารถยก ให้เป็นอาจารย์ได้เลย ต่ายเป็นนักเขียนการ์ตูนที่สร้างสรรค์ผลงานที่นอกจากจะ สร้างเสียงหัวเราะ แล้วยังมีข้อคิดแอบแฝงไว้อยู่ในมุขหรือในเนื้อ เรื่องต่างๆ เหล่านั้นด้วย ซึ่งถ้ามองลงไปในผลงานการ์ตูนเหล่า นั้นแล้วจะพบว่าการ์ตูนก็เป็นสื่ออย่างหนึ่งที่สะท้อนสภาพสังคม สะท้อนปัญหาในสังคม รวมถึงสามารถให้ข้อคิดดีๆ ต่างๆ ได้ มากมาย เพราะนักเขียนการ์ตูนก็ได้แรงบันดาลใจ ได้ไอเดียมา จากสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัว ปังปอนด์ คือหนึ่งในตัวการ์ตูนที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ต่าย ขายหัวเราะ มาแล้ว 20 กว่าปี ตราบจนปัจจุบัน การ์ตูนไอ้ตัว เล็กถูกฝังอยู่ในความทรงจำ�ของเด็กเกือบทุกคน เด็กตัวเล็กมีผม สามเส้น ตาโต กับน้องอีกคนมีผมสองเส้น และเนื้อหาการ์ตูน ที่เกี่ยวกับครอบครัวเป็นหลัก ทำ�ให้ไม่ยากนักที่เด็กทุกคนจะหลง รัก การ์ตูนชุด “ไอ้ตัวเล็ก”
ราะ
างอยู่ที่มุมมอง มันอยู่ นเรื่องตลกได้” การจะเล่าอะไรให้ใครฟัง เขาว่ากันว่าเราจะต้องเล่าสิ่งที่ เรารู้ดีที่สุด ต่าย ขายหัวเราะก็คงคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน ทุก เรื่องราวที่เราได้อ่านผ่านการ์ตูนช่อง ต่างจับต้องได้ ใกล้ตัว แล้วหลายครั้งก็ทำ�ให้เราฉุกคิดได้เสมอ นอกจากนั้นหลาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการ์ตูน ก็เกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วย ตอนนี้ปังปอนด์เด็กตัวเล็กของนักอ่านการ์ตูนทุกคนโต เป็นหนุ่มแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า คาแร็กเตอร์ในการ์ตูนนั้น ต่าย ก็ได้ แรงบันดาลใจมาจากลูกชายคนแรกนี่แหละ รวมทั้งภรรยาที่มัก รับบทโหดในการ์ตูนอยู่เสมอ “ผมมองว่าเขียนการ์ตูน ก็เหมือนกับการทำ�โฆษณาขึ้นมา ชิ้นหนึ่ง ต้องทันสมัย ต้องอิมแพ็คกระทบใจคน” ต่าย กล่าวไว้ ใน หนังสือ All about ต่าย ขายหัวเราะ เอกลักษณ์เด่นนอกจากลายเส้นที่อ่านง่าย เข้าใจง่ายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งคงหนีไม่พ้นแก๊ก หรือมุข ที่จะมีอัพเดตอยู่ตลอด เวลา เรียกว่า หยิบขายหัวเราะยุคไหนปีไหนขึ้นมาอ่าน ก็จะ รู้ทันทีว่าช่วงนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ตราบจนทุกวันนี้ ต่าย ขายหัวเราะก็ยังเขียนการ์ตูนอยู่ไม่มี วันหยุด มันกลายเป็นกิจกรรมหนึ่งในชีวิตด้วยที่สำ�คัญนอกจาก การ์ตูนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความภูมิใจของต่ายขายหัวเราะ นั่นคือ “ปังปอนด์” แอนนิเมชั่น ที่ไปโด่งดังในหลายประเทศ นับว่าเป็น อีกหนึ่งแรงผลักดันให้ต่าย ขายหัวเราะยังอยากที่จะเขียนต่อไป เรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหยุด
31
ขอบคุณภาพจาก หนังสือ all about ต่าย ขายหัวเราะ
You (can) to be (a famous)
เชฟหมี เชฟที่กากที่สุดในประเทศไทย
32 “มีเ-้ยอะไรก็ใส่เข้าไปฮะ... ถ้วงตวงถ้วยเตืองเ-้ยอะไรไม่ต้องไป ตวงฮะ... มันจะยากเ-้ยอะไรล่ะครับทำ�กับข้าวเนี่ย” ประโยคข้างบนอาจจะดูไม่สุภาพเล็กน้อย และยิ่งแปลกมาก ขึ้นเพราะว่าเป็นประโยคที่พูดโดยเชฟ? แต่พร้อมกันก็รู้สึกฮา และ ครองใจคนดูได้อย่างง่ายๆ เลย เพราะนอกจากความฮาแล้ว ยังเต็ม ไปด้วยสาระ เคล็ดลับในการทำ�อาหารอีกเพียบ ใช่แล้ว เรากำ�ลังพูด ถึง “ครัวกากๆ โดย เชฟหมี” รายการทำ�อาหารผ่าน YouTube ที่ กำ�ลังฮอตที่สุดในตอนนี้ 729,300 views คือจำ�นวนผู้ชมล่าสุด ของ ครัวกากๆ ตอน ที่ 1 ไม่น่าเชื่อว่ารายการทำ�อาหารแบบขุดของเหลือๆ มาทำ�จะได้ รับความนิยมจากคนดูอย่างไม่น่าเชื่อ จนได้ไปออกสื่อทีวีก็หลาย รายการ ตลอดจนตอนนี้ได้มี fan page เป็นของตัวเองในชื่อ “ครัว กาก ๆ โดย เชฟหมี” ซึ่งมีสมาชิกกว่าหนึ่งแสนคน ครัวกากๆ นั้นดำ�เนินรายการ โดย เชฟหมี หรือ ตุลย์ - คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง โดยเป็นรายการทำ�อาหารแบบพอมีพอกิน (เรียกว่า กิน ของที่พอมีหรือว่าของเหลือจะเหมาะกว่า) และดำ�เนินรายการแบบ ที่ไม่มีรายการไหนในโลกกล้าทำ� ทั้งคำ�หยาบ มุขตลก แต่ก็สนุกจน แทบจะอดทนรอตอนต่อไปไม่ไหว เชฟหมีของเรานั้นก็ไม่ใช่คนกากๆ แต่อย่างใด เขาเป็นถึง อาจารย์ประจำ�ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร แถม ยังเป็น แฟนออฟเดอะเยียร์ ตอน เทพเจ้า ในรายการแฟนพันธุ์แท้
ด้วย ไม่กากเลยสักนิด เมนูแทบจะทุกเมนูของเชฟหมีสร้างขึ้นจากความเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ใครจะไปคิดว่า เราสามารถทำ�ข้าวผัดอเมริกันแบบน่ากิ๊น... น่ากิน จากของที่เหลือในตู้เย็นได้ เนยเก่าๆ แครอทเหี่ยวๆ เบคอน ตัง้ แต่อาทิตย์ทแี่ ล้ว บวกกับพรสวรรค์ดา้ นการทำ�อาหาร (จริงๆ อยาก จะเรียกว่าสเน่ห์ปลายจวัก ฮ่า) แท่นแท๊นน กลายเป็น ข้าวผัด อเมริกันน่าทานอย่างที่คนดูคลิปนี้จะต้องแอบคิดว่า พรุ่งนี้เราลอง ทำ�มั่งดีไหม นอกจากเมนูข้าวผัดอเมริกันแล้วยังมี เมนูขนมเข่งต้อนรับ วาเลนไทน์ น้ำ�พริกสตรอเบอร์รี่ และอีกมากมายหลายเมนู เห็น แล้วมันช่างสะกิดทั้งต่อมน้ำ�ลาย และต่อมความอยากลองให้กลับ ไปค้นตู้เย็นของตัวเองว่ามีอะไรทำ�กินได้มั่งไหม “การทำ�อาหารไม่ใช่เรื่องยาก เมนูบางอย่างไม่ได้เลิศหรูหรือใช้ วัตถุดิบที่ไม่รู้ว่าจะหาซื้อได้ที่ไหน น่าจะเหมาะกับคนเมืองที่ใช้ชีวิต อยู่หอพักหรือคอนโดที่มีของกินคาตู้เย็นเยอะซึ่งเราจะไม่ทิ้งขว้าง” เชฟหมีกล่าว (จากนิตยสารสุดสัปดาห์) เป็นการใช้เวลาว่าง และของ ที่เกือบจะไร้ประโยชน์ กลับมาทำ�ให้มีคุณค่า ใครอยากลองทำ�ดูบ้าง ก็ลองไปเปิดตู้เย็นของคุณดู ไม่แน่ อาจจะเจอของที่ทำ�เป็นอาหาร ได้น่ากิน ไม่แพ้ เชฟหมี แห่ง ครัวกากๆ ก็เป็นได้
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ ...
“เอกสิทธิ์ทัวร์” 33
ก่อเรื่อง มือ
“ศักดิ์สิทธิ์”
ของ
“เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์”
แสงแดดวันนี้ร้อนแรงพอๆ กับบุคคลที่เราจะคุยด้วยวันนี้เลย เขาคือคนที่เมื่อไป ลงมือทำ�อะไรต่อมิอะไรแล้วมักจะมีประโยคต่อท้าย “มือทอง” พร้อมกับป้ายแถบเมจิก สีชมพูแปร๊ดให้ดูโดดเด่น แล้วขีดเส้นใต้อีกสองเส้น เน้นว่า “มือทอง” จริงๆ เขาคนนี้ทำ�มาแล้วหลายอย่างตั้งแต่เขียนการ์ตูน นักคิดโฆษณา และล่าสุดกับบทบาทนักเขียนบท เริ่มเดาๆ กันแล้วใช่ไหมว่าใคร เขาคนนั้นคือ “เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์” หรือ พี่เอก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงปลายสายเป็นพี่เอก “พี่รออยู่ที่ฟู๊ด 34 คอร์ทนะครับ” ส่วนเจ้าของเสียงต้นสายนั้นกำ�ลังอยู่บนรถแท๊กซี่ และรีบวิ่งไปอย่างีบร้อนเพื่อไปหาบุคคลปลายสาย ซึ่งภายหลัง ทราบสาเหตุที่พี่เอกโทรหาแบบกระชั้นชิดเพราะว่า พี่เอกมีนัดถ่าย วีทีอาร์โปรโมทภาพยนตร์นั่นเอง หลังจากได้ฟังดังนั้นก็ทำ�ให้รู้สึก เกรงใจอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมารบกวนเวลาทำ�งานแบบนี้ อากาศยังคงร้อนอยู่แต่ลดลงเล็กน้อยเนื่องจากแอร์จากรถยนต์ของเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ กำ�ลังปะทะหน้าอยู่ ใช่แล้ว เรากำ�ลัง นั่งอยู่บนรถพี่เอก เนื่องด้วยพี่เอกบอกว่า “ถ้าน้องสะดวกเราจะนั่ง คุยกันในรถก็ได้นะครับ” ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เราสัมผัสได้ถึงความ อารมณ์ดีของนักเขียนบทมือทองท่านนี้ที่แผ่กระจายออกมาไม่ขาด “ตามสบายเลยนะครับ” พี่เอกหยิบเข็มขัดมาคาด และแล้วบท สนทนาของเราก็เริ่มต้นขึ้น และเคลื่อนที่ไปพร้อมๆ กัน บรื้นน... “ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยคิดอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูนเลยครับ” นักเขียนการ์ตูนระดับมือต้นๆ ของประเทศไทยที่มีแฟนคลับ เหนียวแน่น อย่างซีรีส์ชุด เรื่องสั้นจิตหลุด เล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กนั้น ไม่เคยมีความคิดอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูนเลยสักนิด เขาคิดว่า มันดูไม่โก้เลย ซึ่งตอนที่พูดนั้นถือการ์ตูนเล่มละบาทอยู่ แถมเล่าต่อ อีกว่า ตอนเด็กๆ ชอบวาดรูปมาก ใครเห็นก็มักจะมาชมว่าวาดรูป เก่งจนถึงขั้นบอกว่าให้ไปเป็นนักเขียนการ์ตูน “จนกระทั่งผมมาเจอความฝันหนึ่ง นั่นคืออยากทำ�หนังอยาก เป็นผู้กำ�กับ แล้วก็อ่านเจอในนิตยสารเอนเตอร์เทนว่า ทิมเบอร์-
สันที่ทำ�แบทแมนยุคนู้นเลยเขามาจากนักเขียนการ์ตูน ก็เลยคิดว่า คนเขียนการ์ตูนก็ทำ�หนังได้ คือดูว่าแนวทางสู่การทำ�หนังมันมีไร บ้าง เข้าใจว่าตอนนั้นมีช่องทางอยู่สองสามเส้นทางที่ไปสู่การทำ� หนังได้ นักเขียนการ์ตูน โฆษณา มิวสิควิดีโอ ก็เลยตัดสินใจเรียน ด้านนี้ เกี่ยวกับนิเทศศิลป์เอกโฆษณาและพบจบออกมาก็มาทำ�งาน โฆษณา” ความชัดเจนของความฝันของเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ก็ดูจะคล้าย การ Drawing ภาพๆ หนึ่ง ตอนนี้มันดูมีโครงร่าง ดูมีเส้นลางๆ เริ่ม วางสัดส่วนลำ�ดับและขั้นตอนตามการตัดสินใจของพี่เอก พี่เอกเล่าโฆษณาหลายชิ้นที่เคยทำ�ให้ฟังแล้วก็พบว่าแต่ละ ชิ้นนั้น เรียกว่าติดตาแทบทุกชิ้น เรียกว่าค่อนข้างจะประสบความ สำ�เร็จกับบทบาทนักคิดโฆษณาเลยก็ว่าได้ใครก็น่าจะพอรู้เรื่องเกี่ยว กับคนในวงการโฆษณามาบ้างว่าเป็นวงการที่ยุ่งเหยิงและกินเวลา ในการใช้ชีวิตมาก เพราะต้องคิดงานทำ�งานแทบจะตลอดเวลา เลย เริ่มสงสัยว่า แล้วเริ่มเขียนการ์ตูนตอนไหน? พี่บอยด์ผู้ตอกย้ำ�จุดยืนของ “คนจิตหลุด” “เรื่องสั้นจิตหลุด มันเริ่มมากจาก ตอนอยู่ปีสอง ตอนเรียน ราชภัฏธนบุรี พอดีบ้านเพื่อนอยู่ติดกับวิบูลย์กิจ มันเห็นเราวาด การ์ตูน มันก็อาสาพาไปส่งที่ร้าน หลังจากนั้นก็เริ่มได้ลงผลงานครั้ง แรกที่วิบูลย์กิจเรื่อยมา เขียนเรื่องสั้นไปได้สองตอนส่วนใหญ่ก็แนว สยองขวัญเพราะว่าเราชอบ แต่ก็เขียนหลายแนวสะเปะสะปะมาก เขียนไปก็ไม่เคยรู้ฟีดแบ็คตัวเอง จนวันนึงหยุดเขียน แล้วพี่บอยด์ โกสิยพงษ์ก็เพจมาหา (ฮ่าๆ) รู้อายุเนอะ พี่เขาคือคนที่สร้างตัวตน ความเป็นเอกลักษณ์ของเราให้ชัดเจนมากขึ้น พี่เขาบอกเราว่า ตัว เขาเองก็ไม่ได้ชอบเพลงโรแมนติก แนวร็อคเขาก็ชอบ แต่คนจำ�เขา
35
ไปแล้วว่าเขามาแนวโรแมนติก เขาอยากให้ผมนำ�เสนอในจุดที่ผม ชอบจริงๆ และทำ�แนวนั้นแนวเดียวจนประสบความสำ�เร็จ ผมช็อก มาก ที่ช็อกเพราะว่าไม่คิดว่าพี่บอยด์จะอ่านเรื่องสั้นจิตหลุด และ กระแสจะดีขนาดนี้ หลังจากนั้นผมก็เขียนแต่แนวสยองขวัญมา ตลอด เพราะว่าผมคิดว่าเขียนแบบนี้แล้วสนุก มีความสุข ได้แกล้ง คนอ่านให้ลุ้นไปกับเรา”
หมดแหละ ผมเชื่อว่าทุกคนมีพ่อมีแม่ มีครอบครัว คนที่เลวที่สุดมัน ต้องมีเหตุอะไรสักอย่างในช่วงนึงของชีวิตที่เขาไปเจอมา ซึ่งเราอาจ จะเป็นต้นเหตุก็ได้ ถามว่ามองโลกในแง่ร้ายไหม ก็มองไม่ได้สดใส สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เลวร้ายมาก รู้สึกว่าโลกนี้ยังสวยงาม” หลากหลายอาชีพที่ชายผู้นี้เคยทำ�มาต่างเรียกได้ว่าประสบ ความสำ�เร็จแทบทั้งสิ้น แต่หากถามว่าอาชีพไหนยากที่สุดล่ะ? “ถ้ายังไม่รวมกำ�กับภาพยนตร์ เขียนบทหนังยากสุด เพราะว่า จุดเริ่มต้นของยันต์สั่งตาย และ 13 เกมสยอง เราไม่ค่อยคุ้นเคย อยู่ๆ เราโดดมาในที่ที่เราไม่ได้เรียนมา เราไม่มี พื้นฐาน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราแค่เหมือนคนที่ดูจากวงนอก เหมือน หลังจากเขียนเป็นตอนๆ ไปก็ได้มีโอกาสรวมเล่ม เป็นเรื่องสั้น คนที่ดูหนังแล้วไม่ได้ศึกษาโครงสร้างของมัน แต่แล้วก็ต้องมาทำ�
“ผมว่าเรามองได้หลายแง่นะ โลกไม่ร้ายหรอก จริงๆ แล้วเวลาดูข่าว พี่จะชอบคิดอีกด้านหนึ่งว่า เรื่องจริงมันเป็นไงกันแน่ ชอบคิดแบบนี้มากว่า ไม่ได้คิดว่าโลกมันเส็งเคร็ง ไม่ขนาดนั้น มันมีเหตุผลหมด” จิตหลุด เป็นการรวมเอาตอนที่ชอบๆ ทั้งหมด มารวมเล่มไว้ในเล่ม นี้ รวมถึงยันต์สั่งตาย ตอนหนึ่งในหนังผีเงินเฉียดร้อยล้านสี่แพร่ง และ 13 เกมสยอง หนังดังที่เด็กวัยรุ่นทุกคนต้องได้ดู พี่เอกเล่าว่า 36 ด้วยความชอบจึงเขียนคอมเมนต์ไว้หลังตอนจบว่า หากได้เป็นหนัง ก็คงจะดี หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมาขอซื้อไปเป็นหนังอย่างที่เจ้า ตัวต้องการจริงๆ “พี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) ก็ชวนร่วมเขียนบท ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าคือ อะไร เมื่อก่อนเข้าใจว่า เขียนบทคือเขียนคำ�พูด แต่จริงๆ แล้วเขียน บทก็คือการเล่าเรื่องทั้งหมด บรรยายภาพเป็นตัวหนังสือ โชคดีว่า เหมือนมีพี่เลี้ยงดี ช่วงระหว่างที่เขียนบทเรื่อง 13 เกมสยองก็มีพี่ เดี่ยว (มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล) โทรมาถามว่าจะเขียนบทบอดี้ ศพ - 19 ไหม เขามีบทเรื่องนี้อยู่ ช่วงนั้นก็เลยทำ�ควบ พอเขียนบท 13 เกมสยองเสร็จ ก็มาทำ�บอดี้ศพ - 19 ก็ทำ�ร่วมๆ กัน กลายเป็น สองเรื่องควบตอนนั้น ส่วนรักแห่งสยามแค่เข้ามาเขียนสตอรี่บอร์ด ให้เขาเฉยๆ เขียนบอร์ด ดูมุมมอง มุมกล้องให้ บทไม่ได้เข้าไป ทำ�เลยเพราะจริงๆ บทเขาเสร็จแล้ว พอพิสูจน์ตัวเองจาก 13 เกม สยอง ก็เลยไว้ใจทำ�รักแห่งสยามต่อได้เลย” นอกจากรักแห่งสยามแล้ว ดูเหมือนทุกเรื่องที่เคยผ่านมือมา จะเป็น หนังแนวสยองขวัญหมดเลย หลายๆ คนก็คงเกิดคำ�ถามขึ้น ในใจว่า แล้วตัวจริงของเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ เป็นอย่างไร? โลกยังมีมุมน่ามองอีกเยอะ คนที่เลวที่สุดมันต้องมีเหตุอะไรสัก อย่างในช่วงนึงของชีวิตที่เขาไปเจอมา
โครงสร้างมันเลยครับ พี่รู้สึกว่าพี่เขียนบทมวยวัดมาก มันไม่มีระบบ ใช้เซนส์อย่างเดียวเลย บางทีเขาคอมเมนต์มาแล้วเราแก้ไม่ถูก เพราะเราไม่รู้จะรื้อตรงไหน ถ้ารื้อต้องรื้อทั้งหมดเลย รื้อหมดเลย แล้วต้องประกอบขึ้นมาใหม่ คือให้เขียนใหม่ง่ายกว่า เลยมองว่า งานเขียนบทมันยากเพราะว่าไม่เห็นเป็นภาพ ใช้จินตนาการสุดตัว เลย แต่โดยรวมก็ยังสนุกอยู่ดีนะ” ถ้าสมมติว่าให้เลือกทำ�ได้แค่อย่างเดียว? “ขอเป็นนักเขียนการ์ตูนแล้วกันในเวลานี้นะ อาชีพคนเขียน การ์ตูนไม่ค่อยโหดร้าย พูดกันตรงๆ มันชมกันง่าย ชมกันเยอะ อันอื่นก็ปากจัดกันทั้งนั้นเลย หนังมันค่อนข้างโหดนะ ไปฟังคนอื่น ถูกด่ารู้สึกบั่นทอน เลยคิดว่าไม่ทำ�ดีกว่า” พี่เอกตอบไปยิ้มไปแอบ เหน็บคอหนังเล็กน้อย พูดถึงคอหนัง หรือว่ากระแสของแฟนๆ ที่ได้ดูหนังที่เขียนบท โดย เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ก็จะมีอยู่เรื่องนึงที่โดนติติงผ่านกระทู้ตาม เว็บบอร์ดจนสายแลนด์แทบไหม้ และเป็นที่กล่าวขานกันว่า “Who are you? กอลั่มนั่นคือใคร จากภาพยนตร์เรื่อง who are you ใคร ในห้องที่มีฉากกอลั่มโผล่ออกมา แถมถึงขั้นแตกหักกันระหว่าง ผู้ กำ�กับกับโปรดิวเซอร์ เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไร? เขียนบทหนังได้บทเรียน
“เป็นสิ่งหนึ่งที่เราไม่คาดคิด เราเขียนบท ตอนนั้นเรารู้สึกว่า อยากทดลองอะไรใหม่ๆ เรามีความเชื่อว่าเราไม่อยากให้คนเดาเรา ได้ ปรากฏว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันได้ผลสองด้าน ได้ผลสองแบบ พูด “ผมว่าเรามองได้หลายแง่นะ โลกไม่ร้ายหรอก จริงๆ แล้วเวลา กันตรงๆ ก็คือ บทกับหนังมันไม่ตรงกันเสียทีเดียว ในความรู้สึก ดูข่าว พี่จะชอบคิดอีกด้านหนึ่งว่า เรื่องจริงมันเป็นไงกันแน่ ชอบคิด ที่ถ่ายทอดออกมา ตอนที่เห็นหนังออกมาแล้วก็มึนแล้ว มันเป็น แบบนี้มากว่า ไม่ได้คิดว่าโลกมันเส็งเคร็ง ไม่ขนาดนั้น มันมีเหตุผล ทางขนานกัน เป็นคนละแบบกับที่เราคิด ในส่วนของผมมันออก
มาได้ขนาดนั้นก็ถือว่าดีที่สุดเท่าที่ทำ�ได้ ก็เป็นบทเรียนอันนึงเขียน บทหนังได้บทเรียน ในส่วนของบทพี่คิดว่ามันเป็นการ์ตูนไปนิดนึง การ์ตูนไม่ได้ต้องการเหตุผลมากมาย แต่หนังมันต้อง Commercial มากกว่านั้น มันต้องลึกซึ้งกว่านั้น เลยได้บทเรียนว่าเวลาเป็นหนัง มันต้องเหตุผลเยอะๆ คนดูต้องเชื่อมากกว่านี้ คือเราจะโม้อะไรก็ได้ แต่เราต้องลากไปให้ถึงก็เป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมา เขียนเรื่องธรรมดานะ ยังจะเขียนเรื่องแปลกประหลาดต่อไป แต่มัน ต้องทำ�ให้คนดูเชื่อให้ได้ ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาก็ด่าเราเท่านั้นเอง” และกับผลงานล่าสุด หลุด 4 หลุด ซึ่ง เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ได้ นั่งเก้าอี้ผู้กำ�กับดั่งใจอยากแล้ว กับตอน เกรียนล้างโลก แล้วยังพ่วง ด้วยเขียนบทด้วยแต่ทำ�ไมต้อง “เกรียนล้างโลก” “พี่คิดว่ามันเป็นโปรเจ็คต์แก้มือของเรา คืออันนี้มึงด่ามาเลย งานกู เข้าใจปะ คืองานนั้นจะให้ด่า จะชม คือมันอยู่ข้างหลังเรา อัน นี้คือแบบเป็นได้ทุกอย่าง เรียกว่าเป็นโปรเจ็คต์ล้างตาหรือทำ�ให้ตัว เองหนักข้อไปอีกก็ไม่รู้นะ มันจะหนักหนาสาหัสหรือดีขึ้นก็ไม่รู้ แต่ อย่างน้อยจะบอกว่าตัวตนของเราเป็นแบบนี้ แล้วชอบก็เอาเลย ไม่ อ้อมแอ้ม ที่นี้ก็เลยเกิดโปรเจ็คต์สุดท้าย เป็นการรวมฉบับหนังไป เลย เราก็เขียนหนังสือไม่ทัน หมายถึงว่าไม่มีเวลางานเยอะมาก มัน มีเรื่องสั้นในหัวเต็มไปหมด มีเรื่องที่อยากจะเขียน แต่พอช้าไปนิด นึง เมืองนอกก็มาอีกและ ทีนี้ก็เลยต้องเป็นหนังตลก เป็น who are กง ไปเลย มันก็เป็นการส่งสัญญาณจากพี่นี่แหละสู่คนดู จาก who are you เป็น who are กง เลยแล้วกัน คือแบบไม่ต้องคิดมากนะ คนเราพลาดพลั้งกันได้ มาขำ�ๆ กันดีกว่า ส่วนทำ�ไมต้องต้อง เกรียน ล้างโลก คือจริงๆ แล้วพี่ชอบทำ�งานวิพากษ์วิจารณ์ เรียกว่าสังคม ร่วมสมัย พี่มองว่ายุคนี้เป็นยุคของอินเตอร์เน็ต ยุคซึ่งเราไม่รู้ว่า ใครเป็นใครในเน็ตพูดกันได้เต็มที่ไม่สน ก็เป็นที่มาของคำ�ว่าเกรียน นั่นแหละ เกรียนก็คือ เหมือนเด็กเมื่อวานซืน ทำ�ไมต้องเกรียนล้าง
โลกหรอ มันเป็นความคิดส่วนตัว ชอบสิ่งที่เขาคิดมาว่า คำ�ว่าเกรียน เขาคิดมาได้ไง จากรูปธรรมความเกรียน ตอนนี้มันกลายเป็นระบบ ความคิดไปแล้ว เหมือนว่าความเกรียนมันอยู่ในตัว ไม่ว่าจะอายุ มากหรือน้อย” พี่เอกอธิบายความหมายของความเกรียนเพิ่มเติมว่า “ความ เกรียนก็คือ คนที่โผงผาง โป้งๆ ออกมา ไม่รู้กาลเทศะอะไรแบบ นี้ ทีนี้จะเกิดไรขึ้น อย่างเด็กทุกวันนี้เราประมาทเขาเกินไปหรือป่าว เรามองว่าเขาเกรียน ในทางกลับกัน ถ้าเราประมาทเขา สิ่งที่เขา ทำ�มันน่ากลัว มันล้างโลกได้เลย เพราะต้องยอมรับว่าโลกหมุนไป ในความเกรียน social media เฟซบุ๊คอย่างเนี้ย พี่ว่ามันก็เกรียน นะ มันก็เหมือนเด็กแนว ทำ�ให้คนกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา อัน นี้ก็ดีเพราะเขาทำ�ด้านดี แต่ถ้ามันทำ�ด้านเลวล่ะจะเกิดไรขึ้น ก็เลย เป็นปัญหาสะท้อนว่า ถ้ามีเวลาก็ดูแลลูกหลานคนรอบข้างหน่อยดี ไหม?” รถของพี่เอกขับออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับปากพี่เอกก็คุยจ้อไป อย่างอารมณ์ดี แต่อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องเกิดขึ้น พี่เอกเอ่ยประโยคที่ทำ�ให้ ทุกคนนิ่งไปทั้งรถว่า “พี่หลงทาง!” ถึงแม้จะหลงทางไปด้วย เวลานัดหมายก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่พี่ เอกก็ดูจะจ้อไม่หยุด แถมคุยกันจนเพลิน เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ลอยอยู่เต็มรถไม่ขาด ประโยคข้างบนมักจะถูกเน้นเสมอเมื่อพูดถึง เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ 37 แล้วตัวพี่เอกเองคิดอย่างไร? มือทอง “ปล่อยวางละ คือรู้สึกว่าไม่มีอะไรหรอก มันก็เป็นแค่การเรียก
ขอบคุณภาพจาก สหมงคลฟิล์ม
ว่าอะไรเหมือนเป็นมูลค่าทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นมา ทีมงานอ่ะ อาจแค่ต้องการคนมาพยักหน้า คนมาฟันธงให้ก็แค่นั้นเอง แค่ทำ� หน้าที่คนนั้นเฉยๆ ซึ่งตัวหนังดีไม่ดีมันอยู่ที่ทีมงานทั้งหมดแต่ก็คือ เหมือนผู้กำ�กับก็คือคนที่มารับผิดชอบ รับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้น รับ ผิดชอบมาตัดสินใจ คือตัดสินใจและรับผิดชอบ ฟังดูคล้ายๆ ส.ส. นะ เหมือนนักการเมือง รัฐมนตรี คือแบบตัดสินใจและมีคนทำ�ให้ เต็มเลย” จากความฝันตอนเด็กที่อยากจะเป็นผู้กำ�กับภาพยนตร์ จนมา ถึงตอนนี้ได้กำ�กับแล้ว แล้วอนาคตคิดว่าจะหันมาทำ�ผู้กำ�กับเต็มตัว ไหม เป็นคนมองอะไรสูงๆ “คิดอยู่ครับ เพราะว่าอยากทำ�หนัง ตอนนี้คือดู คือพอจะเริ่ม ทำ�หนังก็ต้องหาแบบความคิดของคนน่ะครับ ศึกษาตลาดของคน ดูด้วยว่า ว่าเขาชอบแบบไหนกันหรือเป็นยังไง คือเราไม่อยากทำ� หนังที่ติสมากแล้วขายไม่ได้ไรอย่างเนี้ย คือเราอยากทำ�หนังแบบยิ่ง
“อยากเปิดพิพิธภัณฑ์มั้ง แบบงานทั้งหมดของเราอ่ะ แล้วชั้น ล่างเปิดเป็นร้านขายของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียดอย่างเนี้ีย แล้วมี ห้องสุดสยอง เป็มเกมเป็นนู่นเป็นนี่อะไรอย่างเนี้ย คือจะแบบ อันนั้นเป็นความบันเทิง ไม่รู้บันเทิงของเราหรือเปล่านะ ฝันไว้ อยากทำ�เป็นพิพิธภัณฑ์ อนาคตยังไม่รู้ครับ แต่ก็คิดว่าอยากเปิด พิพิธภัณฑ์แล้วก็อยากเปิดโรงเรียนสอนเขียนการ์ตูนอะไรแบบนี้ อยากทำ�อาณาจักรอะไรสักอย่าง ซึ่งมีคนโรคจิตอย่างเรามาเยอะๆ ให้เต็มโลกเลย แพร่ออกมาเหมือนไวรัสอ่ะ น่ากลัวปะ (ฮา)” สิบปีข้างหน้า คิดว่าตัวเองทำ�ไรอยู่? “ไม่รู้อ่ะ จริงๆ เดินมาถึงตรงเนี้ยไม่ได้คาดคิดเลยมันไหลมา เรื่อยๆ มันไหลมาจากงานที่เราทำ� ก็เลยไม่ได้คาดหวังว่าสิบปีจะ เป็นอะไร แต่ว่าอืม ขึ้นไปรับรางวัลออสการ์มั้ง ไม่รู้อ่ะ แต่ว่าอยาก ให้มีคนชอบหนังเรา คืออยากถึงวันที่พอหนังเราขึ้นมาปุ๊บแล้วคน ก็ไปดู ไม่ใช่จากผู้เขียนบทคือยังไปอ้างเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่อ่ะ ให้มัน ถึงขนาดว่าขึ้นโปสเตอร์แล้วขึ้นชื่อเราแล้วคนเข้าไปดูอ่ะ อันนี้คิดว่า เป็นเป้าหมายสูงสุดที่อยากทำ�ประมาณนี้” และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดหมาย ทั้งเราแล้วก็พี่เอก เส้น
38
ใหญ่อ่ะ เราหวังสูงนะ แบบมีคนชอบมากๆ เลย คือเราคิดใหญ่ไม่ คิดเล็กใช่มะ เคยมีคนบอกว่าเหมือนเล็งสูงๆ ไว้ก่อนน่าจะเวิร์ค ถ้า เราเล็งต่ำ�มันก็จะยิ่งต่ำ�กว่าอยู่แล้ว เราก็มองสปิลเบิร์ก เจมส์ คาเม รอน มองความฮ็อตที่สนุกอ่ะ หนังสนุกมาก คืออยากทำ�หนังที่สนุก มากๆ อย่างนั้นน่ะ สักเรื่องหนึ่งนะก็คุ้มค่าแล้ว” พี่เอกย้ำ�ว่า เราต้องมองอะไรที่สูงๆ เอาไว้ ถ้าเราทำ�ได้ ก็ได้ กำ�ไร แต่แม้เราจะทำ�ไม่ได้ มันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ลองทำ�มาก็หลายอย่าง ความฝันก็ได้ทำ�มาแล้ว ตอนนี้ความ ฝันใหม่คืออะไร
ทางที่ผ่านมามันก็มีรถติดบ้าง หลงทางบ้าง เลี้ยวผิดบ้าง บางครั้ง แดดก็ยังร้อนอีก มันก็คล้ายๆ กับว่า เป็นอุปสรรคในชีวิตที่ผู้ชาย คนนี้เดินผ่านมา เส้นชีวิตของคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ตราบใดที่ชีวิตคนเรามีแรงขับเคลื่อนที่เรียกว่า “ความฝัน” เชื่อว่า มันจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมมือของเราแน่นอน
ท่องเว็บ
FAIL หรือ WIN
ใครไม่เคยเข้าเว็ปไซต์ FAIL.in.th ยกมือขึ้น!! อย่าบอกนะว่ามีคนแอบยก แสดงว่าคุณน่ะเชยมาก ส่วน สำ�หรับคนที่ไม่ได้ยก (และยก) เราจะพาคุณมารู้จัก FAIL.in.th กับ เป็ดตัวเหลืองๆ กันให้มากยิ่งขึ้น แบบที่ไม่สามารถไปหาได้ที่ไหน รับรอง WIN! ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจความ WIN และ FAIL ให้ขึ้นใจก่อน ซึ่ง อาจจะสงสัยอีกว่าจะรู้ได้อย่างไร หลักการนั้นไม่มีแน่ชัดส่วนใหญ่ มาจาก common sense ล้วนๆ คำ�แนะนำ�ที่ดีที่สุดในการชมคือ อย่าเกร็ง หลาย FAIL ขำ�จนแทบตกเก้าอี้ ทางที่ดีระหว่างเปิดเว็บนี้ อนุญาตให้เตรียมเอามือปิดปากกันเสียงหัวเราะลอดออกไปได้เลย FAIL.in.th เป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีสาระเว็บหนึ่ง แต่ก็นั่นเองทำ�ให้ เว็บไซต์นี้ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ก็เรื่องไร้สาระมันสนุกกว่า นี่นา... FAIL.in.th รวบรวมรูป คลิปวิดีโอ สิ่งใดก็ตามที่คุณเห็นแล้ว คุณรู้สึกว่ามัน WIN และ FAIL มาไว้รวมกัน อาทิเช่น ตัวอย่างข้าง บน เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่า FAIL.in.th เกิดขึ้นได้อย่างไร และเว็ปมาสเตอร์ที่ขนานนามตัวเองว่า เฟลาธิการ คือใคร? ไอ้แอนนนนน (ปรัชญา สิงห์โต) หรือ iannnnn คุ้นๆ กันบ้าง หรือยัง เขาคือผู้เริ่มก่อตั้งเว็ปไซต์กราฟฟิกอย่าง www.f0nt.com เขาเริ่มทำ� เพราะว่าอยากจะลองทำ� แบบ FAILBlog.org ซึ่งเป็น เว็ปรวมเรื่องตลกขำ�ขันให้เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย FAIL.in.th ก็เลย ถือกำ�เนิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประกอบกับเป็นช่วงที่คนไทยโหย หาความบันเทิง เรื่องจากเหตุการณ์ไม่สงบ FAIL.in.th จึงเป็นทาง
เลือกหนึ่งที่จะผ่อนคลาย เรียกว่าดังเป็นพลุแตก WIN! “เราจริงจังกับการเล่น” หนึ่งประโยคเด็ดที่คงเป็นจุดเริ่มต้น ของเว็บ FAIL.in.th และคาบรวมไปถึง f0nt.com อีกด้วย จะเล่น ทั้งทีก็ต้องเล่นให้เต็มที่สิถึงจะ WIN! ตอนนี้ Social Network มันกำ�ลังมา และเราอยู่ในกลุ่มต้นน้ำ� ของไทยพอดี เวลาทำ�อะไรที่เห็นแล้ว “เออ น่าส่งต่อว่ะ” มันก็จะได้ ผล ทำ�ให้สามารถเชื่อมต่อหลากหลายเว็บได้อย่างอิสระ ฉันชอบ FAIL นี้อยากแชร์ลงใน เฟซบุ๊ค ก็กดปุ๊บแชร์ได้ทันที หรืออยากจะ ทวีต ผ่าน twitter ก็สามารถทำ�ได้ทันที แต่ก็ควรให้เครดิตที่มา ซึ่ง FAIL ใช้สัญญาอนุญาต “Creative Commons 3.0 ประเทศไทย” ที่ระบุว่าโอเค คุณสามารถเอาไปใช้ได้ เอาไปรวมเล่มลงนิตยสาร ก็ได้ ไม่ต้องจ่ายเงินเรานะ เราไม่เอาหรอก แต่จำ�เป็นต้องให้เครดิต ขอบคุณแหล่งที่มา ก็คือเจ้าของเรื่อง อยากปลูกฝังแนวคิดการให้ เกียรติเจ้าของผลงานนี้ให้ลงไปถึงคนไทยทุกคน “ผมชอบเห็นคนยิ้ม คนอารมณ์ดีนะครับ (ส่วนตัวแล้วไม่ใช่คน ตลก ออกจะซีเรียสด้วยซ้ำ� แต่ไม่มีใครเชื่อ!!) คือไม่ได้หวังจะให้คน ไทยรักกันทุกคนหรืออะไรอุดมคติแบบนี้หรอก ในโลกแห่งความจริง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ขอแค่เรามีวุติภาวะทางอารมณ์ไม่ว่าจะเรื่องไหน เวลาเถียงกับใครก็จะได้ไม่ลุกขึ้นมาต่อยกันครับ” ไอ้แอนนนนน เด็กหลายคนกำ�ลังเล่นอย่างจริงจัง หันมาจริงจังกับการเล่นได้ แล้ว คุณจะได้ไม่ FAIL
39
เปิดบ้าน
Ihere.tv team
ณัฐพงศ์ เทียนดี โรซี่ วงศ์สุรวัฒน์ แพร แจ่มสมบูรณ์
40
ฉันอยู่ที่นี่ ihere.tv
หลังจากโด่งดังกลับคลิปวิดิโอล้อเลียนระบบการสอบโอเน็ต และศอฉ. สถานีโทรทัศน์ ออนไลน์แห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง มากขึ้น ihere.tv เป็นทีวีออนไลน์ที่ทำ�กันโดยกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่ อยากจะทำ�สถานีโทรทัศน์แบบไม่ต้องมีกฎ ไม่ต้องมีโฆษณาแฝง จุดเริ่มต้นสถานีโทรทัศน์ทางอินเตอร์เน็ตแห่งนี้ เริ่มขึ้นจาก ความอยากจะฉีกกฎของการทำ�ฟรีทีวี นำ�โดย ซี่ ( โรซี่ วงศ์สุรวัฒน์) และ แพร (แพร แจ่มสมบูรณ์) แถมยังได้ พี่ฟัก (ณัฐพงศ์ เทียน ดี) แห่งบล็อกโรคจิต FUXSUXLUX มาสมทบทีมด้านการตลาดอีก คน ซึ่งทุกคนต่างเคยพบกับกรอบของการทำ�ฟรีทีวี ทั้งป้ายโฆษณา ดารา กรอบเวลา การเซ็นเซอร์ ถึงเวลาแล้วที่จะปลดปล่อยของใน ตัว “ตอนแรกเราก็ยังกลัวว่าเฮ้ย... เน็ตมันยังช้าอยู่เลย จะทำ�ดี หรือเปล่า ถ้าทำ�แล้วใครจะมานั่งโหลดดู แต่ปรากฏว่า มีคนที่มั่นใจ มากก็คือ นาย จอห์น (วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ ) มั่นใจมากบอกเลยว่า ทำ�เลย ต้องทำ� ต้องทำ�เดี๋ยวนี้ ถ้าเราไปทำ�ทีหลังจะก็กลายเป็น follower ไปทำ�ตอนที่เขามีกระแสแล้ว เราก็เพิ่งจะมาทำ�เลยไม่รู้ ป้าแก่ สองคนก็เลยโดนเด็กผู้ชายคนนั้นคอยแบบว่าทั้งผลักทั้งดันจะเอา ให้ได้ ถ้าอย่างนั้นต้องมาทำ�ด้วยกัน” แพรเล่าถึงที่มา หลังจากนั้น คนดูก็ได้รู้จักกับ นายจอห์น วิญญู นะฮ้าฟฟ์... เป็นต้นมา “ฟรีทีวี มันก็มีอยู่เท่าที่เห็น เวลาก็แย่งกันสนั่น แล้วไอเดีย บางทีมันคิดมาเยอะๆแล้วไม่ได้ทำ�มันก็จะเน่า ก็เลยคิดว่าไหนๆ แล้วเราก็มีสตูดิโอ (cotton bud studio ) ของเรา มีทั้งห้องเสียง ห้อง ภาพ อุปกรณ์ถ่ายทำ�ทุกอย่าง แล้วทำ�ไมเราไม่เอางานของเราไปใส่ ไว้ในอินเตอร์เน็ตล่ะ” ถ้าเมื่อเราทำ�งานเราก็ต้องได้เงิน และ ถ้างานชิ้นนี้ไม่มีเงินล่ะ? 400 กว่าคลิปที่ ihere.tv ทำ�มา ไม่ได้มีรายได้จากการโฆษณา แล้ว พวกเขา อยู่กันอย่างไร กินอะไรกัน? แพรเล่าให้ฟังว่า “เราก็มีห้องเสียง มีห้องภาพ เราก็รับงานถ่าย โน่นนี่ โฆษณา ทุกอย่าง ก็พอจะมีค่าขนมที่อาจจะเหลือจากค่าข้าวกลางวันบ้าง เราก็ค่อยๆ มาแปะลงที่โปรเจ็คต์ ihere.tv นี่แหละ เรานำ�ส่วนหนี่ง จากออฟฟิศมาใช้ แล้วพอเรื่อยๆ มาจนถึงปีที่ 2 เนี่ย เราได้ลูกค้า รายหนึ่งเข้ามาสนับสนุน เพราะเราเชื่อว่า ทีวีออนไลน์มัน unlimited time unlimited show อยู่แล้วเราบอกเขาไปอย่างนั้น ซึ่งเขาก็
เชื่อใจเรา นั่นคือรายได้ทางหนึ่ง นอกจากลูกค้าแล้วคนที่ทำ�ด้วยกัน ทั้งหมดก็ทำ�ด้วยกันแบบใช้ใจทำ� อย่างพล่ากุ้ง จอห์นแบบนี้ถ้าเขา ไปออกงานอีเวนท์หรือว่าไปออกรายการทีวี ค่าตัวเขาแบบเราไม่ สามารถจะจ่ายเป็นธนบัตรได้ ทุกคนมาทำ�กันด้วยใจรักจริงๆ” ในเมื่อใช้ “ความรัก” ขับเคลื่อนแทนเงิน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด คง เป็นการ “ให้และใส่ใจ” คล้ายกับการเรียนราม ต้องมีวินัยกับตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ลำ�บากที่สุด คือการตัดสินใจที่เราจะทำ�ต่อไป “เราก็เคยคุยกันนะว่า ตกลงเราทำ�อะไรให้เขาดู แล้วก็แบบหา คำ�ตอบกันไม่ได้ แล้วไม่นานมานี้ก็ได้คำ�ตอบว่า คนเข้ามาดู ihere. tv ก็เพราะความไม่รู้ไง ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น คือแบบทุกครั้งที่ เข้ามาเขาก็ตื่นเต้นว่าเราจะทำ�อะไรให้เขาดู คล้ายๆ ว่า เราก็อยาก 41 ทำ�ให้มันมีความสดไปเรื่อย ไม่เหมือนรายการทีวีที่จำ�เป็นต้อง ฟอร์แม็ตเดิม เราอยากจะให้คนดูได้อะไรในคลิปนั้นในทุกๆ วินาที ที่เขาดู เพราะว่าคนดูสำ�คัญกับเรามาก ทุกๆ คนที่อยากเข้ามา เป็นพันธมิตร คือทุกวันนี้จะไม่มีใครอยากเข้ามาคุยกับเราเลย ถ้า เราไม่มีตัวเลข 4 ล้านคนตรงนั้น รู้สึกว่าเราไม่ควรไปหักหลังคนดู ของเรา อยากให้คนดูสนุกทุกครั้งที่เขาเข้ามา เราเลยไม่อยากไปลด ระดับความแรงของตัวรายการ เพื่อจะได้อยู่ในฟรีทีวี” โรซี่เสริม ที่นี่ดูเป็นสตูดิโอเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคนที่อยากจะทำ� โรซี่เล่า ว่า ทุกคนที่มาช่วยทำ� ตั้งแต่ช่างภาพ ช่างไฟ ไปจนถึงพิธีกรในแต่ละ รายการ เต็มใจที่จะมาทำ�โดยไม่หวังอะไร ทุกคนมีสัญญาใจต่อกัน ว่าด้วย “ความอยากลอง อยากรู้ และอยากทำ�” “หลังจากพอเข้าในช่วงปี 2 เราได้โฆษณามาจากแบรนด์ๆ หนึ่ง ซึ่งจะเรียกได้ว่า เขาเลี้ยงชาว ihere.tv มาตลอดทั้งปี เป็น อันว่า พร็อพจะเพิ่มขึ้น ฉากจะดีขึ้น ในปีต่อไป เราก็อยากจะได้ โฆษณาทิศทางของเราก็จะเริ่มมั่นคงขึ้น เราเริ่มรับโฆษณา ส่วนหนึ่ง ก็มาช่วยเพิ่ม ช่วยพัฒนาในบางด้านให้ดียิ่งขึ้น เราไม่เคยเหนื่อย ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด มันคือการที่เราต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่ว่า เรา ไม่มีตารางงาน ไม่มีลูกค้า และก็ไม่มีอะไรเลย มันเหมือนคนเรียน ราม เราต้องมีวินัยกับตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ลำ�บากที่สุด คือการตัดสิน ใจที่เราจะทำ�ต่อไป” แพรทิ้งท้าย
เมื่อทุกคนต่างก็เป็นแค่ 42
“แมลงในสวนหลังบ้าน”
43
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน
ผู้บ่มเพาะแมลงในสวนหลังบ้าน
44
แม้ว่าสังคมไทยจะพยายามให้ความเท่าเทียมกันของเพศทุก เพศที่มีอยู่ แต่มันก็ดูจะเป็นเรื่องที่เลื่อนลอยเหมือนแมลงตัวเล็ก น่ารักที่บินอยู่ในสวนหลังบ้าน วันดีคืนดีทุกคนก็เอ่ยปากว่ามัน สวยดีนะ ฉันชอบมัน แต่พอมาวันหนึ่งพอรู้ว่าแมลงแอบไปกินน้ำ� หวานจากเกสรดอกไม้ คนก็พากันเฮโลหึงหวงในสิ่งเหล่านั้นดื้อๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่า แมลงตัวนั้นเองที่คอยช่วยผสมเกสรให้ต้นไม้เหล่า นั้นได้ขยายพันธุ์สืบไป เพศที่สาม จะถูกตั้งแง่โดยสังคมเสมอ เมื่อทำ�อะไรผิดแปลก จากความคิดหลักในสังคมทำ�ไมถึงเป็นเช่นนั้น? กอล์ฟ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ เป็นหนึ่งในแมลงในสวนเหล่า นั้น เขาพยายามที่จะทำ�ในสิ่งที่เขารักและเป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่เขากลับถูกยาปราบศัตรูพืชซะจนแทบแย่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่ จะท้อใจ “ความรัก” คือสิ่งเดียวที่ผลักดันให้ “กอล์ฟ” สามารถดำ�เนิน ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข คุณพร้อมที่จะไปรู้จักแมลงในสวนหลังบ้านตัวนี้หรือยัง เข้า มานั่งคุยกันในสวนสิคะ... เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่ตอนไหน ประมาณปี 47 ตอนนั้น ลาออกจากครู แต่ว่าตอนนั้นทำ�หนัง สั้นได้รับรางวัลแล้ว สองเรื่องสามเรื่องแล้ว ก็ลาออกแล้วก็ไปเดิน สมัครงานที่ต่างๆ เริ่มเขียนโปรเจ็คต์เสนอเพื่อจะทำ�หนัง ก็เริ่มไป ที่คุยบาแรมยู แต่ตอนนั้นโปรเจ็คต์ของตัวเองไม่ได้ทำ�แต่ว่าได้ไป เล่นภาพยนตร์เรื่องอสุจ๊ากเป็นเรื่องแรก และก็เป็นแอ๊คติ้งโค้ชให้ กับภาพยนตร์เรื่องเขาชนไก่ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันด้วย นี่แหละก็เริ่ม เข้ามาสู่วงการภาพยนตร์ จากครูมาเป็นผู้กำ�กับภาพยนตร์ ดูแตกต่างกันค่อนข้างมาก คือพี่ไม่ได้อยากเป็นครู แต่ว่าจับพลัดจับผลูได้เป็นครูก็เลย เป็นครูไป แต่ว่าถามว่าต่างกันไหม? จริงๆ แล้วตอนมัธยมพี่ก็เขียน บท กำ�กับ แล้วก็ชอบแสดงออกอยู่แล้วในละครเวที ตอนนั้นยัง
ไม่มีใครรู้จักหนังสั้นหรอก พอมาอยู่มหาวิทยาลัยก็ทำ�ละครน้อง ใหม่ ละครคณะ ก็เลยทำ�มาตลอด เพราะฉะนั้นถามว่ามันต่างกัน ไหม? อย่างตอนที่พี่มาเป็นครู พี่ใช้วิธีการกำ�กับมาสอนหนังสือ นะ มากำ�กับเด็กนักเรียน มันก็เหมือนกับการกำ�กับคน กำ�กับ ละครเวที เรากำ�กับคนทั้งเวทีได้การกำ�กับในห้องมันก็ไม่ต่างกัน มันใช้จิตวิทยาในการอธิบายให้เขาเข้าใจในสิ่งท่ีเราจะสื่อสาร เป็น ผู้กำ�กับก็ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าในในสิ่งที่เราจะสื่อสาร เป็น อาจารย์สอนภาษาอังกฤษก็ต้องอธิบายให้นักเรียนเข้าใจสิ่งที่เรา จะสื่อสาร เพราะฉะนั้นการเป็นครูของพี่กับการเป็นผู้กำ�กับของพี่ ไม่ต่างกันเลย เพราะทุกวันนี้พี่ก็ยังสอนหนังสืออยู่ แสดงว่าอยากเป็นผู้กำ�กับมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ใช่ค่ะ แต่ตอนนั้นอาจจะยังไม่รู้ว่าชอบ ด้วยความที่เรา หลงเสน่ห์ของมัน ตอนนั้นเราทำ�ละครเวทีมันยังไม่ใช่หนัง เรา ก็สามารถใช้ละครเวทีนั้นมาเป็นทำ �ให้ผู้ชมรับรู้สิ่งที่เราอยากจะ สื่อสารได้ นั่นแหละมันคือเสน่ห์ทำ�ให้เราติดใจ และทำ�ให้เราอยาก ทำ�มาตลอด เพราะว่าละครที่เราได้ทำ�เนี่ย มันเล่าสิ่งที่เราอยาก เล่าได้โดยที่เราไม่ต้องเดินไปเล่าเอง เริ่มทำ�หนังสั้นตั้งแต่ตอนไหน ก็พอเรียนจบก็ไม่ค่อยได้ทำ�มาเป็นครูก่อน ช่วงนั้นก็พาเด็ก นักเรียนทำ�ละครสั้นเป็นโครงการของจังหวัด เอานักเรียนมาทำ� ละครแล้วก็ออกทัวร์ให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ อย่างนี้เราก็จะมี ความสุข พอเรามาสอนอยู่เทคนิคฯ เราก็จะเอานักเรียนมาทำ� ละครสั้นงานวันโน้นวันนี้อะไรแบบนี้ ตอนนั้นก็พอมีความสุขไป แต่ช่วงก่อนจะทำ�หนังเนี่ย พี่เริ่มเข้าไปทำ�ละครโทรทัศน์ก่อน พอ เรียนจบปีสี่ปั๊บเนี่ยพี่ลองไปแคสติ้งละครเวที เพราะตอนนั้นมัน ยังติดใจละครเวทีมาก ตอนนั้นมาแคสเรื่องวิมานเมืองซึ่งตอน นั้นละครเวทีเพิ่งเป็นยุคเริ่มต้น ยังไม่บูมเลย ปรากฏว่าได้เข้ารอบ แต่ว่าไม่ได้เล่นเพราะว่าพี่ร้องเพลงกับเปียโนไม่เป็น และก็ผ่าน ไปหนึ่งปี เขาก็เรียกไปเล่นละครโทรทัศน์เรื่องชายไม่จริงหญิงแท้
เรื่องนี้ก็เริ่มเป็นการเปิดโลกทัศน์การเข้ามาในวงการละครอย่าง แท้จริง ตอนนั้นละครดังมากแต่ก็โดนแบน (ฮา) จริงๆ แล้วเราโดน แบนมาตั้งแต่แรกนะ (หัวเราะ) ไม่ใช่เพิ่งโดนแบนนะ โดนแบน ว่า “ห้ามกระเทยออกทีวี” เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กและ เยาวชน แทนที่มีจะมีอนาคตในการทำ�ละครโทรทัศน์ก็ดับวูบ เล่น ละครได้ ส องสามเรื่ อ งก็ โ ดนแบนไปแล้ ว ก็ เ ลยกลั บ มาเป็ น ครู เหมือนเดิม แต่ในระหว่างนั้นก็เป็นครูไปด้วยนะตอนที่ทำ�ละคร พี่ก็เทียวไปเทียวมาสอนไปด้วยถ่ายละครไปด้วย ตอนนั้นที่กลับ เป็นครูมันก็ห่อเหี่ยว ชีวิตช่างหมดอะไรตายอยากเหลือเกินก็ บังเอิญไปเจอหนังสือชื่อ MOVIE TIME รับสมัครประกวดหนังสั้น ประเทศไทย เราก็เอ๊ะ หนังสั้นมันคืออะไรวะ? ไม่รู้จัก เราถามใคร ในจังหวัดเราก็ไม่มีใครรู้จัก เราก็เลยเริ่มทำ�หนังด้วยตัวเอง คิดว่ามันไม่น่าจะต่างกับ ละครเวทีที่เราเรียน และก็ไม่น่าจะต่างกับละครโทรทัศน์ที่เคยเข้า ไปแสดง เพราะฉะนั้นก็เลยเริ่มเขียนบทหนังสั้น เริ่มยืมกล้องมา ถ่าย โดยที่ไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่มีความรู้เลยว่าหนังทำ�ยังไง แต่พี่คิดว่ามันไม่น่าจะต่างกันมันใช้เซนส์์อ่ะ ตอนนั้นรู้แค่ว่าว่า เซนส์์มันบอกว่าถ้าเราอยากเล่าให้ทุกคนเห็นว่าเหตุการณ์มันเกิด ที่ไหนเราก็ต้องถ่ายกว้างๆ ให้เห็นโลเคชั่นทั้งหมด แต่ถ้าเราอยาก ให้เห็นตัวละครเราก็ไปถ่ายภาพมีเดียมช็อต อยากให้เห็นความ รู้สึกมันก็ต้องถ่ายหน้าสิ อะไรแบบนี้ ตัดต่อพี่ก็ทำ�ไม่เป็น เขียน บทภาพยนตร์พี่ก็ทำ�ไม่เป็นพี่ก็ใช้เซนส์หมดเลย เพราะหนังของพี่
ประกวดก็เยอะนะ และเราก็หนึ่งในคนที่ได้รางวัล ซึ่งก็มีไม่กี่เรื่อง ถึงแม้ว่าจะเป็นรางวัลชมเชยก็ตาม เราก็ดีใจแล้ว แล้วตอนนั้นได้ทำ�ให้เกิดจุดหักเหชีวิตมาที่หนังสั้นหรือยัง? ยังเลย แต่ก็มีความรู้สึกว่า เอาวะ! มันสนุกดีลองทำ�อีกสัก เรื่องก่อน ก็ลองทำ�เรื่องที่ 2 ตอนนี้ก็สนุกขึ้นและ ก็เริ่มมีคนรู้ว่าเรา ทำ�อะไร ตอนแรกเนี่ยปัญหาก็คือ เขาไม่รู้ว่าเราทำ�อะไร เห้ย! ทำ� หนังสั้นคืออะไร? พอมาตอนหลังก็มาลงแขกกันมาช่วยกัน หุง ข้าวกันริมถนนบ้างอะไรแบบนี้ เพราะภาพที่ได้จากหนังเรื่องแรก มันเหมือนเรื่องจริงผ่านจอ แตกๆ อะไรอย่างนี้ ก็ผ่านไปอีกหนึ่ง เรื่องได้รางวัล เรื่องที่ 2 เรื่อง “เปลือก” ตอนนี้เริ่มมีคนมาช่วยเรา มากขึ้นและ มีคนอาสาว่าถ้าทำ�เสร็จแล้วจะพาไปหาที่ตัดต่อให้ เพราะรู้ว่าเราตัดต่อไม่เป็น ส่วนเราก็ตอนนั้นใช้บัตรอิออนตอนที่เป็นครูเราก็ยังมีบัตร เครดิตบ้าง ตอนนั้นก็ไปถอยกล้องมาเลย เดินถือกล้องใหม่มาเลย เสร็จล่ะ! ตอนนั้นชั้นจะต้องมีกล้องเป็นของตัวเอง ตอนนั้นจำ�ได้ เลยว่าราคาสองหมื่นสี่พันบาท โห... ตอนนั้นมันเป็นเงินเยอะ มากนะ ในสมัยพี่ที่มีเงินเดือน 6 พันบาท พอถอยมาก็เอามาถ่าย ตอนนั้นมันก็ดูทันสมัยนะ ก็ถ่ายหนังเรื่องเปลือกเสร็จก็มีคนพาไป ตัดต่อ ปรากฏว่าเรื่องนี้ได้รองชนะเลิศ ส่วนอันดับหนึ่งเป็นของ ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) แต่เทศกาลหนังสั้นที่ฝรั่งเศสไม่ได้เลือก ด.เด็ก ช.ช้าง ของย้งแต่เลือก “เปลือก” ไปเป็นตัวแทนไปประกวด ในระดับโลกแล้วตัวเราก็ได้ไปด้วย ตอนนั้นก็เลยพลิกชีวิตไปเลย
“จริงๆ เราโดนแบนมาตั้งแต่แรกนะ ไม่ใช่เพิ่งโดนแบน ครั้งแรกโดนแบนว่า ‘ห้ามกะเทยออกทีวี’ เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กและเยาวชน” เรื่องแรกพี่ก็ตัดต่อด้วยมือด้วยเครื่องวิดีโอนะ หนูเกิดมาทันเครื่อง วิดีโอกันไหม? เป็นวิดีโอม้วนใหญ่ๆ ตอนนั้นพี่ต้องเอากล้องเสียบ เข้ากับวิดีโอต่อเข้ากับทีวี แล้วก็กด play ให้มันเกิดภาพในทีวี กด play ที่วิดีโอ แล้วก็กด pause แล้วก็กด record นั่นคือวิธีการตัด ต่อที่พี่เรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะพี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องตัดต่อด้วยอะไร? ใช้เวลาตัดต่อเป็นเดือน แต่ที่สุดก็ได้หนังสั้นเรื่องแรกออกมา ชื่อ เรื่องว่า แหวน ส่งประกวดไปแล้วก็ได้รางวัล เรื่องแรกเลยก็ได้ รางวัลเลย ในขณะนั้นเรื่องอื่นเขาตัดต่อแบบนี้หรือเปล่า? ไม่หรอกเขาก็มีความรู้กันมีแต่เราเป็นกระเทยบ้านนอกอยู่ คนเดียว วิธีตัดต่อก็ไม่รู้ คอมพิวเตอร์ก็ใช้ไม่เป็น ตอนนั้นได้รางวัล ชมเชยมาจากมูลนิธิหนังไทย ตอนนั้นตื่นเต้นดีใจมากเพราะว่าไม่ น่าเชื่อว่าวิธีการทำ�แบบบ้านๆ ที่สุด ทำ�เองทั้งหมดอ่ะ เขาก็ชื่นชม กันนะ นักวิจารณ์เขาก็บอกว่ามันเป็นอะไรที่สดใหม่ ตอนนั้นคน
แล้วก็กลับมาแต่ก็ไม่ได้ได้รางวัลหรอกด้วยความโง่ของพี่ เพราะว่า เขารับเฉพาะฟิล์มเท่านั้น! เขาต้องการเป็นฟิล์มที่ฉายในโรงหนัง แต่ของพี่เป็นวิดีโอไง ด้วยความโง่ พี่ก็ไม่รู้ พี่ก็เลยพูด “ ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำ�เป็นฟิล์มได้ค่ะ” อยากไปประกวดไง แล้วเราก็ไปถามว่ากระบวนการทำ�เป็นฟิล์ม ทำ�ยังไงคะ อ๋อ... น้องก็ต้องไปเข้าห้องแล็ปค่ะ หนัง 23 นาที ใช้ เงิน 1 ล้านบาท! พี่ก็แย่ละ 1 ล้าน วิ่งตระเวนขอเงินสปอนเซอร์ ขอสำ�นักนายกฯ ขอการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขอทุกที่ที่เรา คิดว่ามันส่งเสริมเราได้เพราะนี่คือตัวแทนประเทศไทย สุดท้ายไม่ ได้เลยสักบาททุกคนอ้างว่า ไม่เห็นประโยชน์ของการที่มีคนไทยได้ ไปแบบนี้ ซึ่งเราก็น้อยใจนะ เราก็เลยสารภาพเขาไป แล้วเขาก็บอก ว่าไม่ได้ยูจะมาสละสิทธิ์ไม่ได้ เราก็ยืนยันว่าเราผิดกติกาเราไม่ส่ง เขายังยืนยันว่าไม่ได้เพราะว่าหนังถูกลงแคตตาล็อกไปแล้วว่าเป็น Official selection จะถอนตัวไม่ได้ เราก็ “เอ้า... ก็กูไม่มีเงิน” (ฮา) เขาก็เลยบอกให้เราทำ�เป็นไฟล์วิดิโออีกฟอร์แม็ตนึง เดี๋ยวเอาไป
45
46 ฉายที่โน่น ในขณะที่เราไปเราก็ได้ค่าตั๋วเครื่องบินอะไรแบบนี้จาก แอร์ฟรานซ์กับสมาคมฝรั่งเศส ดูสิไม่ใช่คนไทยเลยเนอะ พี่ คิ ด ว่ า การประกวดแบบนี้ มั น คื อ การยอมรั บ มั น สมอง ของคนในชาติจากนานาชาติ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่การประกวด นางงาม มันคือการที่เราดูหนังแล้วเห็นความคิดของคนในชาติ มันคือการที่เขาได้ไปแลกเปลี่ยนความคิดในระดับโลกแต่ปรากฏ ว่าคนไทยไม่ค่อยเห็นคุณค่าของงานศิลปะ อาจจะเป็นเพราะช่วงนั้นหนังสั้นยังไม่ค่อยได้รับความแพร่หลาย เท่าสมัยนี้ ไม่ใช่หรอกมันคือคนที่เขาอยู่ตรงนั้นเขายังไม่มีวิสัยทัศน์ งาน ศิลปะมันคือการนำ�เสนอความคิดและมันสมองของคนในชาติ ทุก วันนี้เขาก็ยังไม่สนับสนุนนะเขาจะเห็นประโยชน์จากมันมากกว่า ว่าเขาจะได้หน้าอะไรจากมันบ้าง และการไปประกวดครั้งนั้นก็ ไปพลิก อาจจะเป็นเพราะพี่หรือเปล่าพี่ไม่แน่ใจ ช่วงนั้นเป็นช่วง ของกระแสดิจิตอลกำ�ลังมาแรงหรือเปล่าพี่ไม่รู้ พอไปถึงปั๊บการ ประกวดครั้งนั้นพี่เป็นหนังเรื่องเดียวที่ไม่ใช่ฟิล์มเพราะฉะนั้นก็จะ ผิดกติกา ก็จะมีพิธีกรส่วนตัวออกมาประกาศทุกครั้งว่า หนังเรื่อง นี้ผิดกติกาไม่มีสิทธิ์ได้รับรางวัล คนก็จะงง เอ๊ะทำ�ไมอ่ะ? ก็ฉายก็ ดูได้ปกติสื่อมวลชนก็จะเข้ามารุมถามโน่นนั่นนี่ ตอนนั้นก็หนังมัน ก็มีเรื่องนี้เรื่องเดียวตั้งแต่ทำ�เทศกาลมา 20 กว่าปี ปี ถั ด มาคานส์ ก็ เ ลยยกเลิ ก กฎที่ ว่ า จะต้ อ งเป็ น ฟิ ล์ ม หมด เลย กลายเป็นว่าดิจิตอลอะไรใครก็ประกวดได้หมด ขอให้
เป็นภาพยนตร์ที่มาฉายได้ ซึ่งมันก็อาจจะไม่ใช่เพราะเราหรอก มันเป็นกระแส แต่มันก็เป็นจุดที่พลิกว่า เฮ้ย! ทำ�ไมหนังก็ฉาย โรงเหมื อ นกั น มั น จะเป็ น ฟอร์ แ มตฟิ ล์ ม หรื อ วิ ดี โ อมั น คื อ ภาพ เคลื่อนไหวเหมือนกัน ภาพยนตร์แปลว่าอะไร? ก็กลายเป็นว่าแก้ กฎอันนั้นไปก็กลับมาไทย ปรากฏว่าหนังเรื่องแรกเรื่อง “แหวน” ก็ได้รับการประกาศว่าเป็นหนังใน 100 เรื่องที่คนไทยควรดู และมี หนังสั้นอยู่ในนั้นแค่ 15 เรื่อง สองเรื่องนี้ก็เลยทำ�ให้พี่รู้สึกว่าเรา มาถูกทางแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าลาออกจากครูดีกว่า ตอนนั้นทางบ้านสนับสนุนไหม? ตอนนั้นเนี่ยเงินเดือน 6 พันสมัยนั้น แล้วก็จะมีเงินพิเศษ สอนรอบบ่ายรอบค่ำ� จะได้เงินเพิ่มรวมแล้วก็เป็นหมื่นต่อเดือน ซึ่งสมัยนั้นก็ถือว่าเยอะนะแต่เราก็คิด เอ๊ะ... ไม่ได้ เราจะลาออก เราอยากจะทำ�สิ่งที่เราฝัน ทำ�สิ่งที่เรารัก ทำ�สิ่งที่เราทำ�แล้วมีความ สุข เครียดค่ะตอนนั้น เพราะว่าทุกคนห้าม พอดีว่าได้ฟังคำ�คุณแม่ ท่านบอกว่า “ออกมาเถอะลูก ไปทำ�สิ่งที่หนูอยากทำ� ถ้ามันไม่กิน ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง ไปทำ�สิ่งที่ตัวเองรัก” ตอนนั้นเราก็เลย ตัดสินใจ แม่บอกเราเสมอว่า ถ้าเราทำ�สิ่งที่เรารัก เราก็จะมีความ สุขและที่สำ�คัญเราก็จะทำ�มันได้ดี จริงๆ แล้วตอนที่เราทำ�หนังเรื่องแรกเรื่องที่สองเนี่ย แม่ไป งานประกาศผลรางวัลกับเราตลอด แล้วแม่ก็จะรู้ตลอดว่าเรารัก อะไรชอบอะไร แล้วมีความสุขกับอะไรถึงขนาดว่าตอนที่เรื่อง “เปลือก” เราไม่ว่างที่จะไปงานประกาศรางวัลแม่บอกเดี๋ยวฉันไป
แทนก็ได้นะ แม่ก็จะอินกับสิ่งที่เราทำ� แม่เขาบอกว่ามันเป็น passion ที่เราทำ�แล้วเห็นเรามีความสุขแล้ว เขาเห็นเรามีความสุข เขา ก็มีความสุข เห็นเราเป็นอาจารย์แล้วมีความทุกข์เขาก็มีความทุกข์ นะ พี่ก็ตัดสินใจลาออกแล้วมาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่มันก็ผิด คาด มันก็จะมีช่วงหลังจากที่เราทำ�หนังเราก็ขอมาฝึกงานเป็น ผู้ช่วยผู้กำ�กับอยู่ที่เอ็กซ์แซ็กท์เรื่องรักในรอยแค้น ตอนนั้นก็ซัฟ เฟอร์มากเพราะว่ามันไม่ได้เหมือนที่เราคิด ตอนที่เราทำ�ละครเวที เราคิดว่ามันเป็นสื่อที่พอจะสื่อสารระหว่างเรากับผู้ชมได้ กับหนัง สั้นมันก็เป็นเหมือนอวัยวะหนึ่งในร่างกายที่สามารถจะสื่อสารกับ คนภายนอกได้โดยที่เราไม่ต้องเดินไปพูดเอง แต่ละครมันตอบ โจทย์สิ่งนั้นของเราไม่ได้ ละครโทรทัศน์มันไม่เหมาะกับพี่เลย มัน ไม่สามารถครีเอทอะไรได้ใหม่มันต้องเอาเรื่องที่มีอยู่แล้วนั่งเล่าซ้ำ� ไปซ้ำ�มา แล้วถ้าดูตั้งแต่ต้นเรื่องก็จะรู้ว่าจบแบบไหน มันเป็นแบบ ฉบับที่ซ้ำ�ไปซ้ำ�มา ไม่มีจินตนาการในสิ่งที่เราอยากจะพูดได้ พี่ก็ เลยหนีไปบวชที่เชียงใหม่ไปวิปัสสนาเป็นเดือนๆ ก็อยากจะมาทำ� หนังแต่เราได้เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่ง่าย การที่เราได้รางวัลมา 2 เรื่อง ที่ ไปต่างประเทศมันไม่ได้ช่วยเราเลย เพราะตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่า หนังสั้นคืออะไรกันแน่ ตอนนั้นก็ตกงานไปเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ลานเบียร์เวิลด์เทรดฯ ตอนนั้นไม่มีตังค์ก็เลยไปอาศัยเพื่อนอยู่ แต่เรายังมีความอยากทำ� หนังอยู่ เพื่อนกับน้องก็บอกว่าให้โอกาส 3 ปีนะ ถ้าทำ�ไม่ได้ต้อง กลับไปเป็นครูกลับไปทำ�อาชีพที่มันได้ตังค์ เราจะมาลำ�บากแบบ นี้ไม่ได้ แล้วพี่ก็พยายามต่อสู้เรื่อยมาพยายามเสนอนั่นเสนอนี่หา โอกาสต่างๆ ก็เลยได้เริ่มเข้ามาทำ�อสุจ๊าก เขาชนไก่เนี่ยแหละหลัง จากนั้นก็ทำ�มันทุกอาชีพ ช่างแต่งหน้า เสื้อผ้า แอ๊คติ้งโค้ช เขียน บท ผู้ช่วยผู้กำ�กับ นักแสดง พี่ทำ�ทุกอย่าง เพราะพี่ถือว่าเป็นการ เรียนรู้
ได้เรียน การเข้ามาทำ�ตรงนี้ทำ�ให้มุมมองในการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม มุมมองของพี่เปลี่ยนไปตลอดเวลาพี่ก็ไม่ยึดติดว่าถ้าคิดแบบ นี้แล้วจะคิดแบบอื่นไม่ได้ ทุกวันที่เราเติบโตขึ้น พี่ก็จะลองสิ่ง ใหม่ๆ แล้วก็จะลองเราจะเชื่อสิ่งใหม่ไหมหรือว่าเราจะเชื่อสิ่งเดิม หรือว่าเราจะปรับ พี่ปล่อยให้ตัวเองเติบโตขึ้นทุกวันโดยไม่เคยคิด ว่าตัวเองเก่งแล้วหรือรู้แล้ว พี่จะเรียนรู้ทุกครั้งที่ออกไปทำ�งานพี่ ถึงทำ�ทุกหน้าที่ในกองถ่าย เพราะพี่ไม่เชื่อว่าคนที่เป็นผู้กำ�กับไป แล้วจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เวลาเห็นพี่เดินเข้าไปก็จะ ถามว่า วันนี้เจ้มาเป็นอะไร เพราะบางทีพี่ก็เป็นช่างแต่งหน้า เป็น นักแสดงอะไรแบบนี้ พี่รู้สึกว่าถ้าเราเป็นผู้กำ�กับแล้วเราจะไปเอา ความรู้สึกแบบนั้นมาจากไหน พี่ว่ามันรู้สึกยังไม่เต็มอ่ะ ทุกวันนี้พี่สอนเด็กทำ�หนังสั้นตามมหาวิทยาลัยต่างๆ พี่ไม่ เคยคิดว่าพี่ไปสอน พี่คิดว่าเราไปแลกเปลี่ยนความคิดมันไม่มีอะไร ที่ถูกอะไรที่ผิด มันคือการแชร์ประสบการณ์ พี่จะบอกกับเด็กๆ เสมอว่าอย่าไปเต็มถ้าเมื่อไหร่เราเต็มแล้วแปลว่าเราเป็นคนโง่ ถ้า เราคิดว่าเรารู้แล้วแปลว่าเรายังไม่รู้ ทุกวันนี้เวลาที่พี่ไปสอนเด็กๆ ทำ�หนัง ทั้งเด็กมุสลิม เด็กภาคใต้ เด็กภาคเหนือ ทุกครั้งจะได้อะไร กลับมาเยอะมาก พี่ก็จะไปแลกเปลี่ยนอะไรเกี่ยวกับน้องๆ เหล่า นั้น มันคือชีวิตมันต้องเรียนรู้ไม่มีวันหยุด พี่ต้องโตไปเรื่อยๆ ถึงพี่ จะแก่ขนาดนี้แต่พี่ก็ต้องโตไปเรื่อยๆ พี่จะไม่ยอมปล่อยให้อายุกับ สมองมันเท่าเดิมอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเนี่ย ถ้าถามว่ามาอยู่ตรงนี้ แล้วความคิดพี่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า พี่ก็อยากจะบอกว่าไม่ว่า พี่อยู่ที่ไหนความคิดพี่ก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มี จุดยืน เรามีจุดยืนในสิ่งที่เราคิด แต่สิ่งที่เราได้มาระหว่างทางมันก็ ช่วยให้เรามองโลกได้กลมขึ้นและมีมิติมากขึ้น
“มุมมองของพี่เปลี่ยนไปตลอดเวลาพี่ก็ไม่ยึดติดว่าถ้าคิดแบบนี้แล้ว จะคิดแบบอื่นไม่ได้ ทุกวันที่เราเติบโตขึ้น พี่ก็จะลองสิ่งใหม่ๆ แล้วก็จะลอง เราจะเชื่อสิ่งใหม่ไหม หรือว่าเราจะเชื่อสิ่งเดิมหรือว่าเราจะปรับ ปล่อยให้ตัวเองเติบโตขึ้นทุกวันโดยไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง” จากครูมาทำ�งานในวงการภาพยนตร์ได้เปรียบคนอื่นไหม? จริงๆ ตอนที่จบม.ปลายพี่ไม่ได้อยากเรียนภาษาฝรั่งเศสต่อ นะ พี่อยากเรียนนิเทศฯ แต่ว่าตอนนั้นสอบโควตาติด แล้วคุณ แม่เอย อาจารย์เอยก็บอกว่า เราสอบติดแล้วเราไปกันสิทธิ์คน อื่นทำ�ไม ก็ต้องไปเรียนอันนี้สิ นิเทศศาสตร์เราก็ไม่เคยรู้ว่ามันคือ อะไร จะไปเริ่มต้นใหม่ทำ�ไมเราเรียนอันนี้เก่งก็คงจะเรียนอันนี้ต่อ ไป เราก็เลยเรียนตามที่ผู้ใหญ่แนะนำ� สิ่งที่เราอยากเรียนก็เลยไม่
ในหนังเรื่องหนึ่งในฐานะคนทำ�หนังเราได้อะไร ไม่ใช่เงินแน่ๆ เพราะหนังพี่ไม่ได้ทำ�เพื่อเงิน ไม่งั้นพี่คงไม่ทำ� Insects in the backyard แน่ๆ แม้แต่ฮักนะสารคามก็ตามพี่ทำ� เพราะว่าพี่มีสิ่งที่อยากจะเล่า หนังเรื่องหนึ่งจะได้รับความบันเทิง ได้รับประสบการณ์ชีวิตที่พี่ใส่เข้าไปในหนัง แต่ถามว่าสิ่งที่พี่ได้คือ อะไร พี่ได้แชร์ประสบการณ์จากสิ่งที่พี่รู้สึก แชร์มุมมองของโลกใบ นี้ที่พี่มองผ่านพี่ ทำ�ให้คนที่มาดูหนังได้แชร์ประสบการณ์นั้นแล้ว
47
48
แต่ว่าจะชอบ ไม่ชอบ ใช่ ไม่ใช่ อิน ไม่อิน เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้ แต่ความบันเทิงแน่ๆ เขาได้การแชร์ความคิดจากพี่ หนังเรื่องหนึ่งมันคือการทำ�ความรู้จักคนๆ นึง ถ้าเราไปยึดติด ว่าหนังที่เราจะไปดูจะต้องเป็นแบบที่เราคิด แสดงว่าเราปิดตัวเอง หนังเรื่องนั้นจะไม่สนุก แต่ถ้าเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนั้นมันเป็นคนๆ นึง การที่เราจะรู้จักคนๆ หนึ่งเราก็ต้องเข้าไปทำ�ความรู้จักถูกไหม แต่ถ้าเราคิดว่าคนๆ นี้ต้องเป็นแบบนี้ ต้องเป็นแบบที่เหมือนเรา คิดแล้วพอไม่เหมือน เอ้า! ไม่ใช่แล้ว มันไม่ใช่แบบที่เราคิดซึ่งมัน ผิด เพราะฉะนั้นหนังเรื่องหนึ่งมันก็เป็นชีวิตของคนๆ หนึ่ง หนัง เหี้ยที่สุดสมมติเราเข้าไปดูแล้วเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เหี้ยมากเขาก็ เป็นคนๆ หนึ่งเราก็ต้องทำ�ความรู้จักว่าทำ�ไมเขาถึงเป็นแบบนั้น ถึงบอกว่าหนังที่แย่ที่สุดมันก็ยังให้อะไรกับเราเพราะมันคือความ คิด มันไม่มีหนังเรื่องไหนหรอกที่เหี้ย ไม่มีหนังเรื่องไหนหรอกที่ดี ไม่ดี มันมีแค่ชอบกับไม่ชอบ หนังที่เราไม่ชอบเราก็ว่ามันเหี้ย มัน ไม่ดี หนังที่เราชอบเราก็บอกว่าหนังมันดี
ในชีวิตจริงมันไม่ได้ง่าย นั่งถามตัวเองแบบนี้ทุกวันว่าเรามาถูก ทางจริงหรอ ถามแล้วถามอีก ถามแล้วถามอีก น้องสาวยังบอกว่า ถ้ามันไม่ใช่ก็ลองเปลี่ยนอย่างอื่นทำ�ไหม ตอนนั้นเราก็ถามตัวเอง บ่อยนะ เรารู้แล้วว่าทำ�อะไรแล้วเรามีความสุขแล้วเราจะกลับไป ทำ�สิ่งที่เราไม่ความสุขจริงหรอ แล้วเราก็สู้ สู้เพื่อที่เราจะได้ทำ�สิ่ง ที่เรามีความสุข หลังจากนั้นทำ�ให้คิดได้ว่า เมื่อก่อนเรานั่งรอโอกาสเราเต็ม เราดันไปนั่งภาคภูมิใจกับรางวัลในกะลาของเราเหลือเกินว่าชั้น ได้อันดับสองของประเทศไทยแล้วได้ไปประกวดระดับโลก แล้วก็ ทำ�ตัวน้ำ�เต็มแก้วแล้วเราก็นั่งรอทุกคนมาเห็น ไม่มีใครเห็นหรอก เราไปเสนอเขาก็มองว่านี่รางวัลอะไรของมึง หนังเหี้ยอะไรเนี่ย.. ไม่เห็นค่าอะไรเลยเราก็เลยเชื่อว่าเราต้องทำ�ให้เขาเห็นว่าเรากำ�ลัง ทำ�อะไรอยู่แล้วสักวันเขาจะหันกลับมามองเรา พี่ก็สู้หาเงินด้วยวิธี ต่างๆ เงินทุกบาทพี่ก็เอามาทำ�หนัง ทำ�หนัง ทำ�หนัง ทำ�หนัง จน วันหนึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขาอยู่ในวงการเขาก็เห็นเราว่าเราทำ�อะไรได้ ไม่ใช่ว่านั่งรอเดี๋ยวเขาก็เห็นเราเองแหละ มันเป็นไปไม่ได้
ส่วนตัวเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไหม หนังพี่ทุกเรื่องไม่เคยมองโลกในแง่ร้าย พี่สะท้อนสิ่งที่มันเป็น ให้สังคมเข้าใจสิ่งที่พี่กำ�ลังเล่าอยู่ แปลว่าพี่น่ะมองโลกในแง่ดี ให้ คนในสังคมเข้าใจอีกคนหนึ่ง สิ่งที่ต้องการคืออยากให้มนุษย์เข้าใจ ซึ่งกันและกันว่าทุกคนเป็นมนุษย์เท่ากันนะ เขาอาจจะมีความคิด ต่างจากเรา สถานะต่างจากเรา รสนิยมทางเพศแตกต่างจากเรา แต่เขายังเป็นมนุษย์และมีชีวิตเหมือนกับเรา นี่คือสิ่งที่พี่บอกทุก ครั้งในหนังของพี่
วงการภาพยนตร์ไทยยังขาดอะไร เขาเรียกว่าขาดโอกาสในการจินตนาการ ด้วยระบบความ เชื่ อ ในประเทศไทยไม่ ไ ด้ เ อื้ อ ให้ ค นทำ � งานศิ ล ปะมี จิ น ตนาการ ความคิดใหม่ๆ จะถูกตัดทอนตลอดเวลา ทำ�ให้งานที่ออกมามัน ถึงเป็นการผลิตซ้ำ� ไม่ได้สร้างสิ่งใหม่เขาจะคิดแค่ว่า เราต้องสร้าง บนพื้นฐานของคนดูแบบนี้ คนดูแบบนี้ต้องชอบแบบนี้ แต่เขา 49 ไม่ได้คิดว่า เราเองไปสั่งสอนให้เขาต้องดูแต่แบบนี้ให้เชื่อแบบนี้ และโดยเฉพาะระบบการศึกษาของไทยยิ่งบอกให้ปฏิบัติตามไม่ได้ สอนให้คิดเอง เพราะฉะนั้นสังคมไทยมันก็เลยไม่ได้เอื้อต่อการ คิดจินตนาการในสิ่งที่พัฒนาขึ้นหรือสิ่งที่ใหม่กว่า พี่ก็เลยคิดว่าทุกคนในวงการนี้ ใครที่มันจะคิดอะไรใหม่ หรือ คิดอะไรที่จะสามารถกระตุ้นสมองและจินตนาการขึ้นมาได้ก็จะ โดนแบนแบบพี่ และพอมันโดนกันมาเรื่อยมันก็จะเกิดอาการป้อง กันตนเอง นายทุนก็ไม่กล้าจะสนับสนุนให้คนที่คิดอะไรที่มันสร้าง สรรค์ ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงานที่เรียกว่า creative economy แต่ใน ชีวิตจริงแล้วมันไม่ได้มีจริง เขาไม่ได้ส่งเสริมความคิดอย่างจริงจัง เขามาผลิตซ้ำ�แล้วก็เอากลับไปขาย อย่างนี้ไม่ใช่ creative economy เพราะฉะนั้นความเชื่อ วิสัยทัศน์ต่างๆ ในสังคมเรานั่นแหละ มั น เป็ น ตั ว ที่ ทำ � ให้ ง านศิ ล ปะของบ้ า นเรามั น ยั ง ไม่ เจริ ญ อย่ า ง ประเทศอื่น อย่างการที่หนังของพี่โดนแบนคนที่สนับสนุนพี่มีเป็นจำ�นวน น้อยนะ ไม่ใช่เยอะ และมันก็จะมีคนที โอ๊ย... แบนไปเถอะ ช่วย แบนให้ชั้นที หนังอะไรก็ไม่รู้หนังอุบาทว์ หนังอนาจารแต่ในขณะ ที่ทุกคนดูหนังโป๊ได้อย่างอิสระเสรี แต่หนังเรื่องนี้มาทำ�ให้รู้สึกว่า ตายแล้ว! ชั้นมาเป็นคนดีขึ้นมาทันทีเลยเพราะว่ามันมีคนที่เลว กว่า นี่ไงคนเลว... รีบแบนพวกคนเลวเพื่อที่จะให้ตัวเองดูดี โดยที่ ตัวเองไม่รู้เลยว่ากำ�ลังเสียสิทธิเสรีภาพในการที่จะไม่ชม คือพี่ไม่ มองสิทธิเสรีภาพของคนที่นำ�เสนอ ไม่ได้มองสิทธิเสรีภาพของคน
ถ้าตอนนั้นไม่ได้เกิดจุดเปลี่ยนที่อยากจะทำ�หนัง คิดว่าตัวเอง กำ�ลังทำ�อะไรอยู่ ไม่รู้สิ พี่อาจจะไม่มีชีวิตแล้วก็ได้นะ คือช่วงที่พี่เป็นครูนี่ไม่ใช่ ว่าพี่ไม่ภาคภูมิใจที่เป็นครูนะ การถ่ายทอดวิธีสอนอะไรต่างๆ นานา นี่เราเต็มที่ แต่เราไม่เคยเห็นอนาคตตัวเองในการเป็นครูเลย อัน นี้พี่ก็อยากจะแนะนำ�ไว้เลยว่าการที่เราทำ�งานอะไรอย่างหนึ่งเนี่ย เราต้องมองถึงอนาคตว่า เอ๊ะ... ตอนที่เราแก่ เราจะยังทำ�อันนี้ อยู่หรือเปล่า? เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ�อยู่ตรงนี้จนกระทั่งเรา มีอายุ 60 หรือเปล่า เราจะพร้อมแก่ไปด้วยการเป็นแบบนี้หรือไม่ เพราะฉะนั้นตอนที่พี่เป็นครูนี่ กูจะแก่ไปแล้วกูจะอันนี้อยู่ได้ ยังไง ชีวิตตอนนั้นมันสิ้นหวังมาก มันมองไม่เห็นอนาคต เงินเป็น ครูหาได้เท่าไหร่เย็นมาก็กินเหล้าลงขวด เที่ยวเช้ามาก็ไปสอน เย็น มาก็กินเหล้าอีกวนเวียน ไม่เคยคิดที่จะเก็บตังแล้วก็ไม่เคยคิดที่จะ บรรจุเลย ไม่เคยคิดว่าเราจะก้าวหน้าได้ในอาชีพนี้เลย ช่วงที่ไปบวช แสดงว่าตอนนั้นไม่ได้เสียดายเรื่องงานเลย ตอนนั้นสับสนเยอะมากเรามาถูกทางหรอ ไม่เห็นมีใครให้ งานเราทำ�เลยเราไม่สามารถทำ�อย่างที่เราคิดได้จริงๆ นี่หว่า นี่เรา ตัดสินใจออกมาเนี่ยเราผิดใช่ไหม โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้ เหมือนกับที่เราฝันเลยนะ การที่เราทำ�หนังได้รางวัลมาทุกอย่าง
50
ที่อยากดู แต่คนที่สั่งให้แบนทั้งที่ยังไม่ได้ดูแปลว่าเราส่งเสริมให้ คนอื่นคิดแทนเรา แล้วบอกสังคมว่าเราคิดเองไม่เป็น และที่สำ�คัญ ก็คือเรากำ�ลังถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะว่า แม้แต่สิทธิ์ในการไม่ไปดูยังไม่มี เพราะโดนแบนไปแล้ว ไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์ไม่ชอบนะ เพราะถ้าชอบไม่ชอบนี่หมายถึง ต้องดูก่อน เพราะว่าเขาโดนแบนไปแล้วนี่แหละการโดนลิดรอน สิทธิ์ทำ�ให้ประเทศไทยไม่เจริญ โดนข่มขืนอยู่เรายังไม่รู้ตัว ทุกวัน นี้กฎหมายข่มขืนเราอยู่เรายังไม่รู้เลยและก็ชอบในสิ่งนั้นและก็ยัง พยายามเรียกร้องให้เขามาข่มขืนซ้ำ� อย่างเช่นกรณีเรยา ก็แบบ ปล่อยหนังแบบนี้มาฉายกันได้ยังไง โอย... ตายแล้วชีวิตจริงมัน ยิ่งกว่าเรยาอีก คนที่พูดว่าละครเรื่องนี้ตัวจริงอาจจะด่าแม่ทุกวันก็ เป็นได้ คือเหมือนว่าเขาพยายามหาแพะมารับเพื่อที่จะทำ�ให้เขาดู เป็นคนดี แต่ก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพี่อยากได้คนกลุ่มนี้มาดู insects in the backyard มาก พี่ว่าเรยาน่ะโชคดีมากกว่าพี่เพราะว่าคนได้ ดูแล้วแล้วถึงมาวิพากษ์วิจารณ์กันว่ามันดีไม่ดีแต่ insects in the backyard ไม่มีสิทธ์ิแม้แต่จะให้คนไปดูก่อน ชอบมากที่มีคนกลุ่ม หนึ่งออกมาบอกว่าฉันดูเองฉันคิดเองเป็น ฉันดูได้มีคนออกมา ตอบโต้ ดูแรงกว่านี้ก็ได้อย่ามาทำ�ดัดจริตน่ะ... อะไรคือมาตรฐานของสังคม ถ้าสังคมบอกว่าเรยาแรงก็ไปฉายหลัง 4 ทุ่มไหม แต่ก็ไม่มี สิทธิ์ไปแบนเขานะ เราก็ไปหาเวลาที่เหมาะสมดีกว่าไหม หรือแก้ ปัญหาทางอื่นที่เหมาะสมที่ไม่ใช่การแบน หนังโป๊ก็มีสิทธิ์ฉาย มัน
ควรจะมีที่ทางของมัน เพราะมันคือวัคซีนทางสมองอ่ะ ไม่มีใคร หรอกดูหนังแล้วออกไปข่มขืนดูหนังแล้วถือปืนออกไปยิงคนอื่น ถ้ า มี พ่ อ แม่ บ อกว่ า เด็ ก ดู ห นั ง แบบนี้ แ หละเลยออกไปทำ � รุนแรงในสังคม นี่ไง มึงโทษอีกแล้ว ไม่มองตัวเองว่ามึงเป็นพ่อ เป็นแม่ให้ลูกมานั่งดูหนังแล้วออกไปทำ�แบบนี้ แปลว่าตัวเองน่ะ นั่งด่าตัวเองอยู่ว่ากูไม่มีเวลาดูลูก กูปล่อยให้ทีวีเป็นคนสอนลูก นี่แหละมันสะท้อนถึงวุฒิภาวะของสังคมไทยอย่างชัดเจน มาก พี่อยากได้อะไร พี่อยากให้คนไทยกล้าคิด แล้วก็คิดให้เป็น ทำ�ไมหนังหลายเรื่องต้องรอการยอมรับจากต่างประเทศก่อนที่คน ไทยจะยอมรับพวกเดียวกันเอง เราปฏิเสธไม่ได้หรอกเพราะว่าโลกใบนี้มันเป็นโลกแห่งการ ชี้นำ� คือถ้ามีอะไรมาชี้นำ�ว่ามันดี คนอื่นๆ ก็จะมองว่ามันดีตามไป ด้วย แต่พี่ก็มักจะชอบบอกน้องๆ ที่ทำ�หนังอยู่เสมอว่า กรรมการ เขาเป็นคนแค่ 3 คน เขาไม่สามารถมาตัดสินพลิกชีวิตเราได้หรอก พี่เคยเป็นกรรมการมาก่อน กรรมการ 3 คนบอกว่าหนังเรื่องนี้ที่ 1 ก็แค่รสนิยมของคน 3 คน เท่านั้น มันไม่ได้แปลว่าคนทั้งโลก จะต้องมาเชื่อ 3 คนนี้ พี่เคยได้รางวัลจากกรรมการเหล่านี้และก็ อย่างที่บอกคือเมื่อพี่เข้ามาอยู่ในโลกไม่ได้แปลว่าทุกคนจะบอกว่า หนังของพี่ดี เพราะว่ามันถูกรับรองว่าได้รางวัลจากแค่ 3 คนนี้ ไม่ ได้ได้รางวัลจากทุกคนในโลก แม่แต่ออสการ์ก็ตาม มันก็แค่ความ คิดของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อย่างที่พี่บอกแหละ หนังมันไม่มีดี ไม่มีไม่ดี มันมีแค่ชอบ
กับไม่ชอบ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติดกับรางวงรางวัลอะไรต่างๆ นานา เราทำ�มันเพราะว่าเรารักมันจริงหรือเปล่า เรื่องที่ต้องได้ รางวัลจากต่างประเทศมันก็เลยต้องปล่อยให้เป็นไป เราก็ทำ�ส่ง ไปลองดูเผื่อเขาจะยอมรับ ดูแล้วอาจจะไม่ชอบแต่ก่อให้เกิดการ ถกเถียง มันอยู่ที่วัตถุประสงค์ของเราว่าเราทำ�หนังออกไปเพราะ อะไรเพื่ออะไร อยากได้อะไร
ว่ า เจตนาเขาต้ องการทำ � ให้ คนที่ มี ร สนิ ยมดู หนั งโป๊ แ ล้วเขาฉาย ตอนตี 3 - ตี 4 ก็แปลว่าทีวีช่องนี้ก็รับผิดชอบต่อสังคม พี่ว่าแบบนี้ แหละคือการรับผิดชอบต่อสังคม ทุกคนปฏิเสธไม่ได้หรอก ก็ดูหนังโป๊กันทั้งสังคมนี่แหละ คือ เราไม่ได้ชี้นำ� แต่อย่าไปมองเรื่องเพศในทางที่ผิด เราถูกสอนให้มอง เรื่องเพศในทางที่ผิดมาตลอด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมาทบทวน คำ�ว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ถ้าถามพี่ พี่ก็ว่าทุกคนต้องมี
“มันไม่มีหนังเรื่องไหนหรอกที่เหี้ย ไม่มีหนังเรื่องไหนหรอกที่ดีไม่ดี มันมี แค่ชอบกับไม่ชอบ หนังที่เราไม่ชอบเราก็ว่ามันเหี้ย มันไม่ดี หนังที่เราชอบเราก็บอกว่าหนังมันดี” คุ้มทุนไหมกับการลงทุนทำ�หนังสักเรื่อง ถ้าคิดเป็นเงินไม่มีอะไรคุ้มเลย แต่ถ้าคิดเป็นโอกาสในชีวิต นะ เงินซื้อไม่ได้ พี่ลงทุนทำ�หนัง 3,000 บาท แต่พี่ได้ไปฝรั่งเศสได้ ไปโน่นไปนี่ ได้ไปเห็นโลกเยอะแยะ ถ้าถามว่าอยู่ดีๆ พี่มีเงินแสน นึง พี่ก็อาจที่จะไปแบบนี้่ได้ แต่หนังพี่ได้ official ได้ไปประกวด ในสายหลักในคานส์เทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก สมมติว่าพี่มีเงิน ที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินไป ไปได้ไหมไปได้ แต่ถ้าคนที่เอาเงินแสน นึงเดินเข้าไปกับหนังพี่ที่ประกวด เงินเท่าไหร่ถึงจะซื้อได้ เพราะ ฉะนั้นในแง่การลงทุนบางครั้งมันไม่คุ้ม แต่ในแง่ของการลงทุนชีวิ ตอ่ะ มันคุ้ม อย่างตอนนี้นายทุน Insects in the backyard ลงทุน ไปล้านกว่าบาท ไม่ได้คืนมาสักบาท สิ่งที่ได้กลับมาจากสังคม คือ ทำ�ให้สังคมหันกลับมามองสิ่งที่เราทำ� เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ยังมี คนแกล้งพูดกับพี่เลยว่า อีกอล์ฟมึงใช้เงินจ้างเขาแบนเท่าไหร่เนี่ย ถึงได้ดังขนาดนี้เป็นที่สนใจขนาดนี้ มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ พี่ทำ� อย่างอื่นเพื่อหาเงินได้และพอเราทำ�สิ่งที่เรารักจริงที่เราอยากจะ สื่อให้สังคมรู้จริงๆ ผลที่ได้กลับมามันเยอะกว่าที่จะใช้เงินซื้อ คิดอย่างไรกับประโยคที่ว่า สื่อต้องรับผิดชอบต่อสังคม ต้องถามกลับไปว่าสื่อที่รับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างไร การ มีภาพอนาจาร คือการไม่รับผิดชอบต่อสังคมหรอ หนังที่กระตุ้น เตือนให้คนเห็นถึงปัญหาแบบนี้เรียกไม่รับผิดชอบต่อสังคมหรอ เพราะฉะนั้นเราต้องมองกันใหม่ว่า อะไรที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม คือเราทุกคนพูดกันด้วยคำ�พูดที่สวยงามว่าเราต้องมีจรรยาบรรณ และรับผิดชอบต่อสังคม ถามว่าโดยเนื้อแท้และหน้าที่แล้วเนี่ย ทุก คนต้องรับผิดชอบต่อสังคมหมด แต่คำ�ว่ารับผิดชอบต่อสังคมมัน เหมือนกับคำ�ว่า ศีลธรรมอันดี มันกว้างมาก มันคืออะไร เราดูที่ เจตนาหรือเปล่า ถ้าคนทำ�หนังโป๊แล้วเอามาฉายทีวี อันนี้เราเรียก ว่าทีวีไม่รับผิดชอบต่อสังคมเอาหนังโป๊มาฉายได้ไง แต่ถ้าเขาบอก
ความรับผิดชอบต่อสังคมแน่ๆ แต่พอมันกว้างเนี่ย ใครบอกได้ ว่าการรับผิดชอบต่อสังคมคืออะไร อย่างตอนที่ทำ� insects in the backyard พี่มีฉากเห็นอวัยวะ เพศ พี่มีฉากร่วมเพศ มีฉากกินเหล้า สูบบุหรี่ พี่มีฉากต่างๆ นานา ที่คนอื่นมองว่าผิดปกติ แต่พี่ว่ามนุษย์ทุกคนก็มีความเป็นปัจเจก และมีสิทธิ์ที่จะชอบในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบ แล้วพี่ก็บอกแล้วว่าหนัง เรื่องนี้พี่ฉายเฉพาะคนอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ตรวจบัตรประชาชน และฉายโรงเดียววันละรอบสองอาทิตย์ พี่รับผิดชอบต่อสังคมหรือ เปล่าพี่ก็มีจรรยาบรรณของพี่แล้วพี่ก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่พี่รับ ผิดชอบต่อสังคม และมีภาพรุนแรงไหมก็มี เพราะพี่บอกว่าเรื่องนี้ ผู้ใหญ่ต้องดู ดูแล้วคิดว่าสังคมมันเป็นแบบนี้แล้วเราจะแก้ไขปัญหา สิ่งที่เห็นอย่างไร เราอย่าไปตกหลุมพรางกับคำ�เหล่านี้ สังคมไทยสอนเรื่องเพศในทางที่ผิด การที่เราไปปกปิดทำ�ให้ คนยิ่งอยากรู้ คือเกิดมาคนเรามีอวัยวะเพศไหม มี คนอื่นก็มี คือ ทุกคนอย่างน้อยสุดเกิดมาก็ต้องเห็นอวัยวะเพศตัวเอง แล้วพอ เริ่มมีแฟนก็เห็นของคนอื่นซึ่งพี่ว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ แล้วก็ถ้าเรา ให้ความสำ�คัญมันเหมือนหูเหมือนตาจมูกปาก มันก็มีหน้าที่ของ มัน ปากมีหน้าที่กินมีหน้าที่พูด ส่วนอวัยวะเพศมันก็มีเอาไว้ สืบพันธุ์ ปัสสาวะ อุจจาระก็ว่าไป ถ้าเราตัดสินอวัยวะบางส่วน ให้มีคุณค่าเท่ากันทุกอย่างเนี่ย มันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่เราถูกสอนให้เป็นแบบนี้แล้วเห็นว่ามันเป็นเรื่องสำ�คัญเกินไป คนเราเกิดมามีอวัยวะเพศนี้ปั๊บเอามาเป็นตัวชี้นำ�สังคม บอกว่า คนเกิดมามีจู๋ต้องเป็นพ่อ คนมีจิ๋มต้องเป็นแม่แล้วก็เอาบทบาท หน้าที่สังคมมาใส่เยอะแยะ แล้วคนเกิดมามีจู๋แต่อยากเป็นแม่ได้ ไหม นี่แหละมันถึงเกิดคำ�ถามในสังคมแล้วก็มีปัญหา เช่น พอหนู มีครอบครัว หนูจะถูกยัดเยียดความเป็นเมียและแม่ให้ มึงมีลูก มึง ต้องมีลูก ส่วนผู้ชายก็ถูกยัดเยียดความเป็นพ่อให้ ปัญหาสังคม มันก็เกิดเพราะคนที่ไม่พร้อมจะเป็นพ่อก็ต้องไปเป็นพ่อ กูไม่ได้
51
52
พร้อมจะไปเป็นแม่ก็ต้องไปเป็นแม่และพอลูกล่ะ ลูกต้องไปเกิดใน ครอบครัวที่เขาไม่ได้พร้อมที่จะเป็นพ่อและแม่มันก็เกิดปัญหาอีก นี่แหละการให้ความสำ�คัญกับจู๋จิ๋มมากเกินไป และมันก็จะเกิดปัญหาต่อเนื่องกันมาว่า การรับผิดชอบต่อ สังคมคืออะไร ศีลธรรมอันดีคืออะไร อย่าลืมว่าหนังเรื่องนเรศวร เขาได้เรท “ส ส่งเสริม” ทั้งที่มีการฆ่าคนตาย อย่างนี้พี่มองว่าไม่ รับผิดชอบต่อสังคมเพราะกำ�ลังจะบอกว่าการฆ่าพม่าเป็นการฆ่า เพื่อปกป้องประเทศแล้วเป็นสิ่งที่ถูก เพราะว่าคำ�ว่า “สิ่งที่ถูก” มัน เป็นคำ�ที่กว้าง ถ้าเกิดเราถือปืนอยู่แล้วยิง ปัง ! แล้วบอกว่าหนูป้อง กันบ้านหนู แต่หนูยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเข้ามาทำ�อะไรยังไม่ได้คุย
นี้มันไม่มี เราก็พยายามไปบอกในที่เสวนาว่า ทำ�หนังยังไงให้ได้ รางวัลไม่มีหลักสูตรค่ะ เพราะว่ากรรมการใครก็ไม่รู้ เปลี่ยนไปทุก ปี แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าหนังแบบนี้จะได้รางวัล หนังไม่มีดี ไม่ดีค่ะ มีแค่ชอบกับไม่ชอบ พี่ว่าการทำ�หนังที่มุ่งถึงรางวัลเนี่ย แปลว่าเราไม่ได้กำ�ลังทำ� หนังอยู่ คุณมุ่งถึงรางวัลอยู่ ถ้าพี่จะทำ�หนังสักเรื่องเนี่ย พี่ทำ� เพราะว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องนี้ เล่าแบบที่มันเป็น ตัดต่อแบบ ที่มันเป็น ตามสภาพของมันจะได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัลพี่ไม่สนใจ หรอก จริงๆนะ ตั้งแต่พี่เกิดไม่เคยคิดเลยว่าหนังเรื่องนี้พี่จะทำ�ให้ ได้รางวัล มีแต่แบบว่าฉันอยากทำ�หนังแบบนี้เลย อยากเล่าเรื่อง
“เราถูกสอนให้เห็นว่าเรื่องเพศมันเป็นเรื่องสำ�คัญเกินไป คนเกิดมามีจู๋ต้องเป็นพ่อ คนมีจิ๋มต้องเป็นแม่แล้วก็เอาบทบาทมาใส่มากมาย แล้วคนเกิดมามีจู๋แต่อยากเป็นแม่ได้ไหม?” กัน มันไม่ได้ทำ�ให้มนุษย์เข้าใจประเทศเพื่อนบ้าน สมมติเด็กดูแล้ว เด็กดันคิดว่า ทำ�เพื่อป้องกันฆ่าคนไม่ผิดอย่างนี้พี่เรียกว่าไม่รับผิด ชอบต่อสังคม เพราะมันควรเป็นผู้ใหญ่ดูไหม แล้วหนังแบบนี้จะ มาส่งเสริมได้ยังไงสอนให้คนฆ่ากัน แต่โลกเราเนี่ยมันกลมใช่ไหม ประเทศไหนก็เป็นคนเหมือนกัน เราต้องสอนให้เป็นมนุษย์เหมือน กัน ประเทศเราต้องเข้าใจประเทศเขาไม่ใช่ชาติเราต้องรักษาโดย การไปฆ่าชาติอื่น ถ้ากลับไปแก้ไขอดีตได้อยากจะเปลี่ยนอะไร ไม่ตัดค่ะ ไม่เปลี่ยนค่ะ เพราะพี่คิดว่าตอนที่พี่ตัดสินใจทำ�ทุก อย่าง ณ เวลานั้น แปลว่าพี่คิดดีแล้ว มันอาจจะเกิดข้อผิดพลาด มันอาจจะเกิดอะไรที่ล้มเหลว แต่นั่นแหละมันก็ทำ�ให้เรากลับไป มองได้ว่าวันนั้นทำ�ไมเราคิดแบบนั้น ทำ�ไมเราตัดสินใจแบบนั้น ถามว่าจะแก้ไขไหมเราไม่อยากแก้ เพราะว่าถ้าไม่มีวันนั้นมันก็จะ ไม่มีวันนี้ ทุกอย่างมันคือประสบการณ์ที่เราต้องเอามาเรียนรู้ พี่ เป็นคนจะไม่ยึดติดกับอดีตนะว่า โห... ไม่น่าทำ�อย่างนั้นเลย พี่จะ เป็นแบบว่า อ้อ... ตอนนั้นกูคิดแบบนั้นเพราะว่าแบบนี้ๆ กูจะได้ ไม่ทำ�ให้มันเป็นแบบนั้นอีกอะไรแบบนี้ ความฝันตอนนี้ เคยคิดไหมว่า จะได้รางวัลใหญ่จากเมืองคานส์สัก ครั้ง อะไรแบบนี้ พี่ก็คงทำ�ตอนนี้ ทำ�ไปเรื่อยๆ เพราะพี่คิดว่ามันสนุกทุกวัน พี่ มีความสุข พี่เคยได้ไปเป็นวิทยากรในงานๆ หนึ่ง ชื่องาน “ทำ�หนัง อย่างไรให้ได้รางวัล” อ้าว... แล้วกูจะรู้ไหมเนี่ย (ฮา) ไม่ได้แบบ
แบบนี้มาก ไม่ได้ ต้องใช้วิธีนี้ ถ่ายวิธีนี้ตัดต่อวิธีนี้แสดงแบบนี้ เพื่อ 53 ให้เล่าออกมาเป็นสิ่งที่ฉันคิดให้ได้ ตอนนี้พี่ไม่มีความฝันอันสูงสุด เพราะพี่ว่าพี่กำ�ลังอยู่ในระหว่าง โลกความจริงและโลกความฝันอยู่ พี่มีความสุขแล้ว พี่ไม่ได้มีมาก ไปกว่านี้ ได้มีความสุขกับการทำ�หนังด้วยกันพี่ๆ น้องๆ ได้ฉาย หนัง มีคนดู มีคนชอบ มีคนเกลียด พี่ก็มีความสุข ยิ่งมีคำ�วิจารณ์ พี่ยิ่งมีความสุขนะ ความฝันคือ อยากเป็นอย่างนี้ให้นานที่สุดก็ พอแล้ว หากขาดแมลงพืชก็คงขยายพันธุ์ไปไม่ได้ ห่วงโซ่อาหารต้อง ถูกทำ�ลาย ความไม่สมดุลย่อมเกิดขึ้น เมื่อนั้นล่ะพวกเราก็คง ลำ�บากกันไปตามๆ กัน โปรดจงมองให้ลึก อย่าเออออกับสิ่งที่คนอื่นป้อนให้ไปซะ ทุกอย่าง ให้มองถึงเจตนาความตั้งที่เขาทำ�สิ่งนั้นไปทำ�ไมและเพื่อ อะไร ตอนนี้แมลงตัวนี้เข้มแข็ง และพร้อมจะผสมเกสรให้กับต้นไม้ หลากหลายสายพันธุ์ต่อไป แล้วพวกคุณจะยังกล้าทำ�ลายเขาอีก หรอ?
นักอยากเขียน คุณยังจำ�โฆษณาเหล่านี้ได้ไหม?
54
ตลาดการโฆษณาของไทยนั้นมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หากเรา นึกไปถึงตอนเด็กๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าโฆษณามันสามารถบอกอายุ เราได้นะเนี่ย ถ้าเป็นสมัยก่อนจะเจอโฆษณาแบบ... ขอเรียกว่า แบบบ้านๆ และกัน คือมันเอามาขายตรงๆ ไม่มีการหลอกคนดูให้ เดาอย่างในปัจจุบัน เชื่อสิตอนนี้เวลาเรานั่งดูทีวีเวลาโฆษณา โดย เฉพาะของใหม่ๆ มันจะเริ่มต้องเดาแล้ว เอ๊ะ.. .นี่มันโฆษณาอะไร กันแน่ จะว่าไปคนไทยนี่เก่งใช่เล่นนะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และ มีการสร้างกลไกทางโฆษณาที่เรียกว่า “แบรนด์อิมแพ็ค” ดีมากๆ คือเป็นประมาณ เอายี่ห้อมาให้คนจำ�ได้ติดตาไว้ก่อน หรือไม่ก็หา คำ�ที่มาสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้คุณจดจำ� แต่ก็มีอีกแบบหนึ่ง จำ�โฆษณาได้นะติดตา เพลงประกอบก็ติดหูมากเลยแต่ดันนึกชื่อ สินค้าไม่ออกเลยก็มี เรามาดูกัน ว่าโฆษณาสุดฮิตติดหูในสมัยก่อน มีโฆษณาอะไรบ้าง “มาดองอาจ มาดโคบาล คุณคือโคบาล” ทุกคนต้องเคยได้ยิน แน่นอน โคบาลนี่มันโฆษณาอะไร? แต่ที่แน่ๆ ตายไปเกิดใหม่ภพ หน้ายังจำ�สโลแกนได้เลย “ตำ�ส้มตำ�ทั้งที ต้องตำ�ให้ดี ต้องมีฝีมือ ไทยชูรส!! ตำ�ส้มตำ�
ทั้งที ผู้คนจะอิ่มหมีตำ�ดีให้ได้ดี ไทยชูรส!! ตำ�ส้มตำ�ต้องตำ�ให้ดี ดีไม่ ดี จะถูกตำ�!! คุณแม่ขา... ปูน่อย หนีบมื๊อออออออออ...” มั่นใจว่า ทุกคนร้องเพลงนี้ตามได้ โฆษณาผงชูรสที่ติดปากเด็กๆ ไม่ใช่ผงชูรส ติดปากนะ เพลงติดปากต่างหาก “ทำ�ไมคุณถึงไม่ยอมนั่ง!! ... ก็ลมมันเย็น” โฆษณายาแก้ริดสีดวง ทวารหนักตราปลามังกร ที่เป็นบรรยากาศในสภา ตอนเด็กๆ ได้ดู บ่อยมากโดยเฉพาะเมื่อเปิดรายการศึกเจ้ามวยไทย “ถามสาวยาคูลท์สิคะ” บางทีเราก็อยากรู้ว่าทำ�ไมต้องไปถาม สาวยาคูลท์ เธอฉลาดกว่าเราหรอ และถ้าเกิดมีใครทะลึ่งไปถาม จริงๆ เจ้แกจะงงไหมจะตอบได้ไหม นอกจากนั้นโฆษณาชิ้นนี้ก็ดัน ไปคล้ายกับโฆษณาแบรนด์เครื่องสำ�อางดังอย่าง “มิสทีนมาแล้ว ค่ะ” กำ�ลังนึกภาพเซลล์ขายเครื่องสำ�อางสาวสวยกดออดที่ประตู อยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ เดามั่วๆ ว่าคนคิดคำ�โฆษณาสองชิ้นนี้อาจ จะรู้จักกัน (ฮา) “ยาดมโป๊ยเซียน ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน” เป็นเสียง สาวมีอายุนิดหนึ่ง ซึ่งโฆษณาชิ้นนี้ปัจจุบันก็ยังใช้อยู่และกลายเป็น สโลแกนสุดคลาสสิคไปแล้ว ส่วนชิ้นนี้ไม่พูดถึงไม่ได้เลย
“ผู้หญิง 1 : ต้นๆ รถเป็นอะไรน่ะ โจ้ : รถเสีย สตาร์ทไม่ติด ผู้หญิง 2 : ทำ�ไมไม่ใช้ไดเกียวล่ะ เดี๋ยวนี้เขาใช้ไดเกียวกันทั้งนั้น แหละ ผู้หญิง 1 : เพราะใช้แล้ว... ( พูดพร้อมๆ กันยืนเรียงหน้ากระดาน ตามองกล้อง ทำ�เสียงเหมือนอ่านอาขยาน) เครือ่ งฟิตสตาร์ทติดง่าย” นี่เป็นโฆษณาในดวงใจเลยชิ้นนี้ เพราะดูกี่ทีก็ฮา แต่ตอนเด็กที่ดู ก็ไม่รู้สึกว่าฮานะ (ยังใสซื่ออยู่) พอโตมาถึงรู้ว่ามันเป็นโฆษณาที่ไม่ เป็นธรรมชาติเอามากๆ (ฮา) ดูจะมากเกินไป... ในบางโฆษณาก็มาเป็นเพลง... “ยุงเยอะ ทั้งตบ ทั้งเกา ทำ�ร้าย ตัวเรา เป็นจ้ำ�เป็นผื่น แมลงสาบ น่าเกลี๊ยด น่าเกลียด ไต่กันยั้วะ เยี้ยะ ทำ�ลายข้าวของ วันนี้มาใช้อัศวินแมลงร้ายดาวดิ้น ทั้งยุุงไม่มี เหลือ ถูกใจ ถูกใจจริงๆ สองรางวัล สองรางวัลเป็นประกัน อัศวิน!!” ใครร้องเพลงนี้ไม่ได้นี่เชยมากนะ (กำ�ลังรำ�ลึกถึงตอนที่เคยร้องเพลง นี้กับเพื่อนตอนประถมฯ) ที่สำ�คัญคือ อย่าลืมเน้นเสียงคำ�ว่า “น่า เกลี๊ยด น่าเกลียด” ให้เสียงสูงๆ ด้วยนะ (ฮา) แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมี สเปรย์ฉีดกันยุงยี่ห้อนี้อยู่ไหม ส่ ว นชิ้ น นี้ เ ป็ น เพลงเหมื อ นกั น โดยส่ ว นตั ว แล้ ว ชอบมากๆ “มาๆ น้องแนนคนดี ดื่ืมยูเอชที คันทรี่เฟรชรึยัง เราด้วยสาวน้อย ร้อยชั่งต้องให้แม่สอนสั่งจำ�จี้จ้ำ�ไชได้ทุกวัน โอ้แม่นงเยาว์ว่าแต่เขา อิเหนามาเป็นเอง” “เคียวเซอร่ามิต้า เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ�” โฆษณานี้บ้านๆ เหมือนใช้โปรแกรมพวกเวอร์พอยท์ทำ� ภาพบ้านๆ ซูมเข้าออกสลับ ไปมา ส่วนหากใครฟังวิทยุ คงคุ้นๆ “ยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อแก้ร้อน ในกระหายน้ำ� ยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อเป็นยาระบายอ่อนๆ ยาขม ชนิดเม็ดตราใบห่อแก้ไข้ตัวร้อน ยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อเจ้าของ เดียวกับยาเขียวชนิดเม็ดตราใบห่อ” จริงๆ ซ้ำ�สักสองรอบก็จำ�ได้นะ พี่เขาคงอยากจะแบรนด์อิมแพ็คจริงๆ โฆษณานี้จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะว่าคลาสสิคมากๆ ใน ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ แต่ก็เปลี่ยนรูปแบบไปนำ�เสนอในรูปแบบที่ทัน สมัยขึ้น แต่แน่นอนว่าสโลแกนคำ�โฆษณายังเป็นคำ�เดิม “ฮ่องกงฟุต นํ้ากัดเท้า คันตามนิ้วมือนิ้วเท้า คันในร่มผ้า กลากเกลื้อน เชื้อราบน หนังศีรษะ ใช้ โทนาฟ!! แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ นํ้าร้อนลวก แผลพุพอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง ใช้เย็นเตร็ก เจ้าของเดียวกับ โทนาฟ!!” อันนี้ก็เด็ดไม่แพ้กัน (ตกลงเด็ดทุกอันใช่ไหม) "คุ้มจริงๆ ... ยิ่งกว่าคุ้มๆ ทุกสิ่ง... คุ้มที่แฟลตปลาทอง... จอง เพียงแค่ 5,000 อยู่อย่างสุขสันต์ สบาย สบาย... ดาวน์ก็น้อยผ่อนนิด โอนสิทธิ์โฉนด เอาไปเลยง่ายดาย ย๊า...ยา...ยา....ยา....ยา.... จะมา จะไปใกล้หมด สะดวกดีมีรถเมล์ผ่าน มีสระว่ายน้ำ� และมีส่วนหย่อม ปลาทองมีพร้อมทุกสิ่ง... วันที่เก้าเดือนเก้า เร็วเข้าอย่าช้ารอรี จองแฟลตปลาทองรังสิตวันนี้ จองแค่วันเดียว... " “ยาผงยาแผ่นดองเหล้า ตราเสือ 11 ตัว...ว...ว..” ปัจจุบันนี้ก็ ยังมีอยู่นะตามคลื่นวิทยุ ในตอนที่ยังเด็กตอนนั้นโครงการหารสองกำ�ลังดังมาก แล้วก็
มีโฆษณาออกมาหลายเวอร์ชั่นมาก ซึ่งตอนนั้นจัดว่าเป็นโฆษณา ที่คนให้ความสนใจกันมาก เพราะว่าค่อนข้างแปลกใหม่ สนุกน่า ติดตามต่อ “ป. ปลานั้นหายาก ต้องลำ�บากออกเรือไป ขนส่งจาก แดนไกล ใช้น้ำ�แข็งเปลืองน้ำ�มัน แช่เย็นก็เสียไฟ หุงต้องใช้แก๊สทั้ง นั้น พลังงานก็หมดกันโอ้ลูกหลาน จำ�จงดี " "คนละคัน คนละคัน คนละคัน ถ้าคนละคันน้ำ�มันมันก็เปลือง ถ้าไปด้วยกัน ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน ถ้าไปด้วยกัน น้ำ�มันก็ไม่เปลือง ห้าคนหนึ่งคันเยอะไป... ถ้าห้าคน หนึ่งคันได้ไหม... ถ้าใครทำ�ได้ ฉัน จะไหว้ขอบคุณ..." "คนอะไร คนอะไร คนอะไร แหมน่าภูมิใจล่ะเธอใช้ปิ่นโต (ผู้ หญิงถือปิ่นโตเข้าลิฟท์) คนอะไร คนอะไร คนอะไร ไม่นานเท่าไร ก็ให้ขยะกองโต (เป็นผู้หญิงถือกล่องข้าวที่ทำ�จากโฟมเดินเข้าลิฟท์ และไม่นานเธอก็จมกองโฟมในลิฟท์) เลิกทำ�พฤติกรรมสิ้นเปลือง พลังงานล่ะเป็นเรื่องสำ�คัญ รักลูก รักหลานล่ะก็ต้องหารสอง หาร สอง หารสอง หารสอง" “ห่านดินกินหญ้า ห่านฟ้ากินยุง...” แต่เชื่อไหมที่บ้านจุดแต่ ยุงมันก็ยังบิน เต้นบัลเลต์กันเฉิดฉาย ไม่ได้เกรงอิทธิฤทธิ์ของห่าน แต่อย่างใด... ไม่ได้ดิสเครดิตนะ แต่สงสัยยุงบ้านเรามันคงจะพัฒนา สายพันธุ์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น “วิกวาโปรับ ทาอกหลังคอจมูก สูดดม เป็นหวัดครั้งใดทา วิกวาโปรับ” โฆษณานี้สร้างปรากฏการณ์ในหมู่โรงเรียนประถมฯ นะ เพราะว่าช่วงนั้นใครพกไปนี่จะถือว่าเท่มาก... “คึกคัก คึกคักกับปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์เดียวกัน หวาน 55 มันเหลือเฟือ เอ๊า... เชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อยเหลือเฟือ ปักกิ่ง!!” แต่พอร้องจริงๆ แล้วแล้วจะเกิดปฏิกิริยา ไม่รู้จบ แบบตัวอย่างนี้ “คึกคัก คึกคักกับปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์เดียวกัน หวาน มันเหลือเฟือ เอ๊าเชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อย เหลือเฟือ ปักกิ่งคึกคัก คึกคักกับปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์ เดียวกัน หวานมันเหลือเฟือ เอ๊าเชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อยเหลือเฟือ ปักกิ่งคึกคัก คึกคักกับปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์เดียวกัน หวานมัน เหลือเฟือเอ๊าเชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่ เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อยเหลือเฟือ ปักกิ่ง………..” สรุปหา ตอนจบไม่ได้จริงๆ นึกไม่ออกแล้ว ตอนจบขอรัวเลยแล้วกัน “อนาคตสดใสวางแผนให้ถูกมีลูกเมื่อพร้อม ไบรวู๊ดมาร์กาเร็ต” “พ่ออออ... ลูกตัวร้อนนนน!” “ไอ้ฤทธิ์กินแบล็ค” “ทาถู ทาถู หน้ามืด ตาลาย ทาขมับและจมูก สูดดมด้วยยา หม่องตราถ้วยทอง” “ขนาดแมลงสาบยังตาย แล้วยุงจะไปเหลืออะร๊ายยยยย” “หอมที่ไหน หอมของคุณ หอม ประทับใจ แป้งเย็นฝุ่นหอม ฮอลลีวู๊ด” “คุณหลอกดาว!!” “ป๊อปเลือก ฮิตาชิ” “ลอรีออล คุณค่าที่ดิฉันคู่ควร”
“โฟร์เอสสร้างสรรค์ เพลงดีมีคุณภาพอีกแล้วครับท่าน!”
@wongthanong ไม่ต้องมีตัวตนตลอดเวลาก็ได้ บางทีลองทำ�ตัวเป็นบุคคลสูญหายก็สบายใจดี
@mkmicky การมองข้าม (บ้าง) อาจทำ�ให้มีความสุขมากกว่ามองในทุกรายละเอียด
@RoundPoetry 56
บางเรื่องไม่ได้เข้าใจยาก, แค่เรา, ไม่อยากเข้าใจ
@bayfridoy สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความรัก อาจจะไม่ใช่ความเกลียด แต่เป็นการที่ไม่รู้สึกอะไรเลย
@cuttOliptA บางทีก็แปลกได้คุยกับคนที่ก็ไม่รู้จักเขา เขาก็ไม่รู้จักเรา กลับคุยกันได้เปิดใจกว่า สบายใจกว่า แปลกจริงๆ
@gim_suan สิ่งที่เราอยากได้มักเป็นสิ่งที่เกินความจำ�เป็นของชีวิต เพราะสิ่งที่เป็นความจำ�เป็นของชีวิตเรามักมีแล้ว
@aston_ed คนเข้มแข็ง คือคนที่ผ่านปัญหาและเรื่องร้ายๆ ได้ โดยไม่สูญเสียความรู้สึกดีๆ กับตัวเอง
@na_nake ความทรงจำ�ดีๆ มีใว้ให้ชื่นใจ ความทรงจำ�ร้ายๆ มีไว้เป็นบทเรียน
ดักฟัง
57
“นภสร แย้มอุทัย” นายหัวใหญ่แห่ง house RCA ถ้ า จะพู ด ว่ า ภาพยนตร์ เ ป็ น สื่ อ บั น เทิ ง หลั ก ที่ ค นไทยต่ า งให้ ความสนใจ และติดตามการไหลเวียนของคลื่นแต่ละลูกในวงการ นี้อยู่ตลอด แถมยังเป็นวงการที่มีเงินหมุนเวียนมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะว่าหนังเรื่องหนึ่งอย่างรายได้ถูๆ ไถๆ ก็น่าจะ 30 ล้านเข้าไป แล้ว ส่วนบางเรื่องที่โดดเด้งเข้าตากรรมการชาวไทย ก็ทะลุร้อยล้าน กันไปตามระเบียบ เราจึงมักจะเรียกหนังเหล่านั้นว่าหนังกระแส หลัก พูดง่ายๆ ก็คือ หนังที่ชาวบ้านเขาแห่กันไปดูเยอะๆ นายทุน เจ้าที่มีชื่อเสียงหน่อย และแน่นอนว่ามี กระแสหลัก มันก็ต้องมีหนัง ที่อยู่นอกกระแส นั่นหมายถึงหนังที่คนทั่วไปเขาไม่นิยมกัน มันไม่อู้ ฟู่ ทั้งดารา ทุน และสาเหตุมากมายที่คนพอจะนึกได้ โชคดีที่มันยัง มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังให้ ความสำ�คัญกับหนังเล็กๆ ที่อยู่ปลายหางตา 58 ของมวลชนเหล่านี้ซึ่งบางเรื่องก็ดีจนได้รางวัลก็มี
เฮ้าส์ รามา เป็นหนึ่งโรงหนังที่ให้ความสำ�คัญกับหนังเล็กๆ เหล่านี้ นำ�โดย นภสร แย้มอุทัย หรือ ป้อง ผู้จัดการโรงหนัง เฮ้าส์ รามา แห่งย่านบันเทิงอาร์ซีเอ. โรงหนังเฮาส์อยู่ในพื้นที่ เดียวกับโรง ภาพยนตร์ ยูเอ็มจี อาร์ซีเอ บนอาคารชั้น 3 เปิดให้ บริการ 2 โรง ซึ่ง โรงใหญ่จุประมาณ 200 ที่นั่ง ส่วนโรงเล็กมี เก้าอี้ประมาณ 140 ตัว และเก้าอี้ทุกตัวเป็นเก้าอี้หนังอย่างดีที่ มีที่นี่ที่เดียวในประเทศไทย “มันเริ่มจากความเสียดาย” ป้องบอก เวลาที่ค่ายภาพยนตร์ จะซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉาย จะมีการซื้อยกแพ็ค นั่น หมายถึง อาจจะมีหนังดังหนังไม่ดังแถมมาด้วยภายในแพ็คนั้น แล้ว ทางค่ายหนังเล็งเห็นว่า ยังจะพอมีลู่ทางที่จะฉายหนังพวกนี้ ก็เลย เริ่มวนฉายตามโรงต่างๆ ก่อน จนมาถึงหนังเรื่อง AMELIE ซึ่งเป็น หนังที่มีก๊อปปี้เดียว หมายถึงทั้งประเทศมีฟิล์มอยู่ม้วนเดียว
“AMELIE มันคือหนังเรื่องแรกที่ทำ�ให้ที่ตรงนี้มีความชัดเจน ขึ้น เพราะคนดูเยอะมาก หลังจากนั้นเป็นต้นมา ค่ายหนังเลยเห็น ความสำ�คัญของหนังเหล่านี้มากขึ้น ค่ายสหมงคลฟิล์มก็เลยคิดว่า เรามาทำ�โรงหนังฉายแบบนี้เฉพาะเลยไหม ประกอบกับช่วงนั้นลิโด ก็กำ�ลังเริ่ม ทางสหมงคลกับนนทนันท์ก็จะป้อนหนังฉายที่ลิโด เรื่อยๆ แล้วมันเหมือนกลุ่มลูกค้าก็เริ่มติด หลังจาก นั้นเกือบ 2 ปี ก็ เลยมีโรงหนังเฮ้าส์เกิดขึ้น” ป้องเล่าให้ฟังถึงที่มา ตัวตั้งตัวตีของเฮ้าส์ในยุคบุกเบิกนำ�โดย อุ๋ย (ชมศจี เตชะรัตน ประเสริฐ) ลูกสาวเสี่ยเจียง และทางคลื่น FAT RADIO โดย ป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) จ๋อง (พงษ์นรินทร์ อุลิศ) นรา (พรชัย วิริยะ ประภานนท์) ซึ่งก็จัดรายการหนังหน้าไมค์ในตอนนั้น ประมาณ
กัน ก็ว่ากันตรงๆ โปรดักชั่นมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ อะไร พี่ว่าบางครั้งถึง เวลาพอเขาอยากจะทำ�ให้มันยาวขึ้น พี่ไม่ใช้คำ�ว่าเลียนแบบ แต่เขา พยายามเดินตามรอยที่มันมีอยู่ แต่พอมันทำ�ไม่ถึงมันก็จะไม่ถึงอ่ะ เช่นไปเลียนแบบกลุ่มจีทีเอชที่เขาประสบความสำ�เร็จ แต่อันนั้นเขา ทำ�ได้ คุณไม่ต้องไปทำ�ตาม ไปทำ�ตามปุ๊บมันเกิดภาวะที่เรียกว่าเฟ้อ มันเหมือนยุคนึงที่เราได้ดูหนังแต่พวกกระโปรงบานขาสั้น แล้วมัน กลายเป็นว่าจากเรื่องนึงเป็นร้อยเรื่อง แล้วคนมันก็จะเอียน ขี้เกียจ ดูหนังแบบนี้แล้ว” ล่าสุดหนังเรื่องต่อไปที่รอจ่อคิวฉายเป็นหนังสารคดีวงดนตรี มุสลิม "เบบี้ อาราเบีย" ซึ่งถ้าใครพลาดดูจากงานเทศกาล ภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 14 ของมูลนิธิหนังไทย ก็สามารถมาดูได้ที่นี่
“การไปเลียนแบบคนที่ประสบความสำ�เร็จ เขาทำ�ได้ คุณไม่ต้องไปทำ�ตาม ไปทำ�ตามปุ๊บมันเกิดภาวะที่เรียกว่า เฟ้อ มันเหมือนยุคนึงที่เราได้ ดูหนังแต่พวกกระโปรงบานขาสั้นแล้วมันกลายเป็นว่า จากเรื่องนึงเป็นร้อยเรื่อง แล้วคนมันก็จะเอียน” กลางปี 2547 โรงหนังเฮ้าส์ก็เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ เฮ้ า ส์ จั ด เป็ น โรงหนั ง สุ ด เก๋ ใ นสายตาคนเสพหนั ง เลยก็ ว่ า ได้ เพราะว่าหนังแต่ละเรื่องที่มาฉายที่โรงนี้ การันตีมาแล้วว่าต้องเป็น หนังดี หรือไม่ก็ต้องเป็นหนังดูสนุกเท่านั้นที่จะฉายได้ อาทิ Aftershock หนังซึ้งตราตรึงน้ำ�ตาท่วมจอ หรือ Air doll ความรักระหว่าง คนกับตุ๊กตายางมีจริงหรือ Hanamizuki หนังรักที่ครองหัวใจใคร หลายคนในช่วงปีใหม่ นอกจากคอหนังต่างประเทศที่เฮ้าส์จัดมาลงจอกันเป็นประจำ� แล้ว หนังไทยหลายเรื่องก็เคยฉายที่โรงหนังสุดเก๋แห่ง นี้ด้วยเช่น กัน อาทิเช่น “รักแห่งสยาม Director’s cut” ซึ่งป้อง คอนเฟิร์มมา ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตั้งแต่เปิดบริการมา นอกจากนั้นที่เพิ่งจะลาจอไปไม่นานก็มี เรื่อง "ชั่วฟ้าดินสลาย Director's cut" ที่ว่ากันว่าเต็มแทบจะทุกรอบ บัตรหายากสุดๆ โรงหนังเฮ้าส์ยังเป็นโรงหนังในไม่กี่โรง ที่เปิดโอกาสให้กับ หนัง อินดี้ไทยได้มีโอกาสฉายด้วย ป้องเล่าว่า มีคนส่งหนังมาให้ พิจารณา ฉายอยู่หลายเรื่อง อย่างเรื่องที่ฉายไปล่าสุดก็คือเรื่อง “สามมิติ” หนังอินดี้เล็กๆ ของผู้กำ�กับเด็กหน้าใหม่ในรั้วจีทีเอช ซึ่งก็มีผลตอบ รับค่อนข้างดี “พี่คิดว่ากลุ่มเด็กที่มันเริ่มทำ�หนังแบบนี้ มันก็เริ่มคิดนะ ว่าเรา เริ่มมีที่มีทางที่จะเผยแพร่ สำ�หรับเฮ้าส์ปีหน้า เราก็จะสนับสนุนหนัง แบบนี้ให้มากขึ้น ถ้ามีใครมาเสนอ แต่เราก็จะดู ก่อนนะ ถ้าดีจริงๆ เราก็ให้โอกาสเขาแน่นอน” ป้องย้ำ� แถมยังให้ความเห็นต่ออีกว่า “หนังนอกกระแสสำ�หรับใน เมืองไทย พี่มองว่ามันยังอีกไกล คือหนังแบบนี้มันเหมือนเริ่ม จากทำ�หนังสั้น
สิ่งที่อยู่ในความสงสัยของใครหลายคนที่เคยเข้ามาใช้บริการ โรงหนังเฮาส์ ก็คือคุ้มทุนไหม เพราะเฮ้าส์จัดเป็นโรงหนังที่ค่อนข้าง มีสไตล์ถ้าเทียบกับโรงอื่น และราคาตั๋วก็เป็นราคาปกติ แถมเบาะนั่ง ยังหรูหรากว่าโรงหนังอื่นๆ อีก “เราไม่เคยมีกำ�ไร คือเราตั้งต้นจากการที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันจะ เป็นแบบนี้ เราก็พยายามทำ�ทุกอย่างให้เหมือนว่าเรามีค่าใช้จ่าย น้อย ถ้าเรามีต้นทุนน้อยเราก็พยายามทำ�ให้มันเสมอตัว ให้มันอยู่ ได้ก็พอ ส่วนเรื่องคนดูก็มีคนมาดูกันเรื่อยๆ มีคนดูหน้าใหม่มาทุก ครั้งทุกวัน มันเหมือนกับหนังมันเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าไปในตัวด้วย สมมุติว่าฉายหนังเรื่องนี้ น้องไม่ได้สนใจหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้มาดู แต่ มันมีอีกกลุ่มหนึ่งที่สนใจมันก็มา คือมันจะเป็นอย่างนี้อยู่ตลอด แต่ มันก็จะมีอยู่กลุ่มนึงที่จะมาดูทุกเรื่องที่เรา ฉาย” ป้องไขข้อสงสัย ลางเนื้อชอบลางยา ต่างคนต่างมีสิทธิ์ที่จะชอบต่างกัน เมื่อ ไหร่ ที่คุณเบื่อรสชาติกระแสหลัก ก็หันมาลองชิมของนอกกระแส บ้าง เฮ้าส์เป็นทางเลือกหนึ่ง บางทีของเหล่านี้อาจจะให้อะไรมากกว่าที่ คุณเคยได้มาจากหนังร้อยล้านก็ได้ “เราประสบความสำ�เร็จแล้ว สิ่งแรกคืออย่างน้อยเราก็ ทำ�ให้ มันมีอย่างนี้ในไทยได้ สองก็คือทำ�ให้คนที่ไม่เคยดูหนัง แบบนี้ได้ดู มากขึ้น ถ้าเขาอยากดูเขาก็มาเขาไม่อยากดูเขาก็ยังไม่มาแค่นั้นเอง”
59
person
Let’s talk about ตอนนี้ถ้าจะบอกว่าสำ�นักพิมพ์ LET’S คอมมิค กำ�ลังอยู่ใน ช่วงขาขึ้นก็ไม่น่าจะผิด ท่ามกลางกระแสการ์ตูนไทยที่กำ�ลังเข้าสู่ยุค รุ่งเรือง LET’S คอมมิค เป็นหนึ่งตัวขับเคลื่อนที่สำ�คัญของตลาด ครั้งนี้ สำ�นักพิมพ์แรกที่เกิดจากความรักและความฝัน ของบก.อายุ น้อยอย่าง ธัญลักษณ์ เตชศรีสุธี หรือ บก.ซัน ที่เราคุ้นเคย ก้าวที่กล้าของ LET’S คอมมิค ต้องผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กัน...
“LET’S”
เป็นไซส์เล่มใหญ่ของ LET’S ร่วมงานกับ a day ได้อย่างไร ตอนนั้นก็ทำ�กับเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย จุดเริ่มต้นมันมาก จากช่วงที่ผมทำ� LET’S แมกกาซีน (สมัยเล่มใหญ่) แล้วผมจะขอ สัมภาษณ์พี่โหน่งวงศ์ทนง เราก็เลยส่งหนังสือพร้อมจดหมายอะไร ไป ซึ่งพี่เขาก็ไม่ได้ตอบเราก็คิดว่าไม่ได้แล้วแหละ แล้ววันดีคืนดีพี่ เขาก็โทรกลับมาว่าอยากให้ทำ�การ์ตูน เราก็เข้าไปคุยแล้วก็เลยได้ ทำ�โปรเจ็คต์นี้ แล้วเขาก็ให้อิสระเราจัดทีมทำ�อะไรเองไปเลย ก็จัดว่า เป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะว่าเล่มนี้เราทำ�กัน 2 ปี เพราะว่าหนา 400 หน้าได้ ตอนนั้นเราก็ลองผิดลองถูกด้วยเพราะว่าพวกเราเองก็ ยังไม่เคยทำ�งานที่เป็นงานจริงๆ มาก่อน ไม่เคยทำ�กับทีมที่เป็นทีม ใหญ่จริงๆ แบบนั้นมาก่อน
เรียนจบมาทางด้านนี้เลยไหม เรียนจบนิเทศศิลป์มาจากเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จะว่าโดยตรงไหมมันก็ไม่เชิงจะทีเดียว ก็เรียน พวกกราฟฟิก การจัดเลเอาท์ เรียนเกี่ยวกับการออกแบบกราฟฟิก เป็นหลัก ส่วนพวกงานการ์ตูนส่วนใหญ่ก็จะไม่มีที่ไหนเปิดสอน 60 เห็นที่มีใกล้เคียงสุดก็จะมีที่มหาวิทยาลัยศิลปากรที่จะมีวิชาวาด การ์ตูน ส่วนมากก็จะเรียนกันเองหมด อย่างมากที่สุดในรายวิชาที่ แล้วที่มาของสำ�นักพิมพ์ LET’S เป็นอย่างไร เรียนก็จะเป็นการออกแบบคาร์แร็คเตอร์ แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนที่สำ�คัญอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ช่วงจบการ ศึกษาชั้นปริญญาตรี ทีม LET’S Gang บางส่วนก็กระจัดกระจายไป เริ่มเข้ามาสู่วงการการ์ตูนตอนไหน ตามทางเดินของแต่ละคน เหลืออยู่แค่ผม และน้ำ� (ปฏิบัติ ปรียาวงศา ความจริงผมเริ่มตั้งแต่เล่มแรก คือ “บ่นคอมมิค” ถ้าเริ่มทำ� กุล) เป็นผู้สานต่อ ชื่อ เล็ด Gang และฟอร์มทีมนักเขียนและทีมงาน จริงจังน่าจะประมาณ ม.3 - ม.4 ช่วงนั้นก็เขียนส่ง “คิดคิด” แล้วก็ ขึ้นมาใหม่ ในนิตยสารที่ใช้ชื่อใหม่ คล้ายๆ เดิมว่า LET’S ซึ่งมีนัก เขียนทั่วไป แล้วเขาก็จะคัดเลือกว่าจะได้ตีพิมพ์ไหม ซึ่งก็ไม่เคยได้ เขียนมืออาชีพรวมไปถึงทีมงานผู้ก่อตั้ง ที่สำ�คัญๆ อย่าง สุทธิชาติ (ฮา) แต่ก็รู้สึกดีที่ได้มีโอกาสส่งงานไปร่วมสนุก พอมาถึงเล่ม “บ่น ศราภัยวานิช (SS), ชญานิน อ่อนมา (Badang), ไตรภัค สุภวัฒนา คอมมิค” น่าจะเป็นช่วง ม .4 เทอม 2 และก็ช่วงขึ้น ม.5 ก็รวมตัว (Puck), วีระชัย ดวงพลา (The Duang), สกาล ศรีสุวรรณ (Skan), กับเพื่อนแล้วก็ทำ�ออกมาแล้วพอดีว่าคุณพ่อมาเห็น พ่อก็เลยถาม ศศิ ธนาดิโรจน์กุล (Meisan), ลลิตา นิมมานเหมินท์ (Moondog) เราว่าลองพิมพ์ดูไหมล่ะ เหมือนว่าพ่อก็สนับสนุนให้เราลองทำ�ด ูให้ และ ธีรายุ เศรษฐภักดี (nummon) ซึ่งในครั้งนี้ได้จัดทำ�เป็นรูปแบบ มันเป็นชิ้นเป็นอันก็เลยออกมาเป็นบ่นคอมมิคฉบับนี้ แต่มันก็ดูไม่ นิตยสารรายเดือนอย่างจริงจังโดยออกวางแผงฉบับแรกในเดือน ค่อยเป็นการ์ตูนเท่าไหร่ เป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากจะทำ�ตอนนั้น ตุลาคม ค.ศ.2007 หลังจากมีหนังสือ LET’S ออกวางจำ�หน่ายแล้วก็ได้เริ่มมี หลังจากออกมาแล้วผลตอบรับเป็นอย่างไร การจัดทำ�เว็บไซต์ www.letcomic.com ควบคู่ไปด้วยเพื่อเป็นช่อง ผมว่าโดยทั่วๆ ไปสำ�หรับคนทำ�งานหนังสือ เล่มแรกมันจะ ทางการโปรโมทและสร้างคอมมิวนิตี้สำ�หรับคนรักการวาดรูปและ ขายดีกว่าที่คิด เพราะว่าคนยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็เป็นหนังสือทำ� สนใจการ์ตูนไทยไปพร้อมๆ กันพอมาจนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. มือที่มีระบบการพิมพ์จริง ก็ได้ทางบ้านช่วยพิมพ์ให้แต่ว่าจำ�นวน 2008 สำ�นักพิมพ์ LET’S Comic ก็ได้เริ่มมีผลงาน การ์ตูนพ๊อคเก็ต พิมพ์มันก็ไม่ได้เยอะมากมาย ก็เยอะพอที่ขั้นต่ำ�ของแท่นพิมพ์ที่จะ บุ๊ค 2 เล่มแรกออกวางจำ�หน่าย คือผลงานเรื่อง “สูญ” ของคุณ SS ตั้งได้นั่นก็ประมาณ 500 กว่าเล่ม ตอนนั้นก็มีวางขายด้วยซึ่งสมัย และ ผลงานเรื่อง “นายสมองกับหนูหัวใจ” ของคุณ Puck นั้นผมเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ คุณป้าที่ขายเขาก็บอกว่ามาเชียร์ พอถึงเดือนมกราคม 2009 ในที่สุดนิตยสาร LET’S ก็ได้ปรับ หน่อยเร็วมีคนสนใจ เราก็อายวิ่งหนีกลับบ้าน สำ�หรับบ่นคอมมิค 3 เปลี่ยนรูปแบบอีกครั้ง โดยเปลี่ยนขนาดหนังสือมาเป็นไซส์พ๊อคเก็ต เล่ม จะทำ�ในช่วงมัธยมและพอมาเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ก็จะกลาย บุ๊ค เปลี่ยนรูปแบบการตลาดเป็นแบบอ่านจบในฉบับ และเปลี่ยน
61
ระยะเวลาการวางจำ�หน่ายเป็นทุกๆ 2 เดือนแทน ซึ่งรูปแบบนี้ก็ ยังคงอยู่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโดยได้ปรับเพิ่มให้มีหนังสือออก อย่ า งต่ อ เนื่ อ งทุ ก เดื อ นโดยในช่ ว งระหว่ า งเดื อ นที่ เว้ น ว่ า งก็ จ ะมี พ๊อคเก็ตบุ๊คจากสำ�นักพิมพ์ออกมาวางจำ�หน่ายคั่นไปด้วย สำ � หรั บ ในอนาคตต่ อ ไปนั้ น ผมก็ ห วั ง ว่ า จะสามารถผลั ก ดั น วงการการ์ตูนของคนไทยให้สามารถก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง และ มีผลงานที่ดีให้คนอ่านชาวไทยได้จดจำ�และภาคภูมิใจ จนกระทั่ง สามารถพู ด ได้ ว่ า นั ก วาดการ์ ตู น ไทยนั้ น สามารถเป็ น อาชี พ ที่ มี เกียรติ ไม่แพ้ของต่างชาติอย่างญี่ปุ่นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ�เสียที เข้าไปอ่านในเว็บไซต์พันทิปมาเขาบอกว่า การ์ตูนไทยตอนนี้ต้อง เรียกว่านิยายภาพมากกว่า ความจริงคำ�ว่าการ์ตูนนิยายภาพเขาก็ใช้เรียกการ์ตูนไทยมา นานแล้วนะตั้งแต่สมัยหลายสิบปีที่แล้ว เขาก็เรียกการ์ตูนไทยว่า นิยายภาพ ซึ่งความจริงการ์ตูนญี่ปุ่นโดยคำ�พูดจริงๆ แล้วเรียก ว่า มังงะ อย่างฝรั่งเขาก็เรียกว่า คอมมิค เขาไม่เรียกมันแบ่งแยก ย่อยไปอีก ถ้าถามว่ามันแตกต่างกันมั้ย อย่าง LET’S เราพูดได้เต็ม ปากเลยเล่าแบบมังงะเลย เพราะด้วยพื้นฐานการเติบโตของสำ�นัก พิมพ์เรา นักวาดก็เติบโตมาทางนั้น ถ้าจะเหมารวมมันก็ไม่ถูกนะว่า การ์ตูนไทยเป็นนิยายภาพก็ไม่ถูกนะ มันเป็นเรื่องๆ ไป 62
ตอนนี้กระแสการ์ตูนไทยเป็นอย่างไร กระแสก็ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นอยู่แหล่ะก็ยังขึ้นเรื่อยๆ
ยังไม่ตก
หน้าผาตาย แต่อาจไม่ขึ้นเร็วเหมือนธุรกิจอื่นๆ คนต่อแถวเหมือน คริสปี้ ครีมไรแบบนี้ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ข้อดีของการทำ�การ์ตูน ที่ผมเห็นนะ กลุ่มแฟนๆ อาจจะไม่ได้เยอะ แต่เขาจะไม่หายไปมี ความเหนียวแน่น อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าจับต้องได้เป็นคนใน ประเทศเดียวกัน กินข้าวเหมือนกับเขา เวลาเขาอ่านจะมีความ ภูมิใจอยู่ ซึ่งมันอาจจะสูงกว่าการ์ตูนญี่ป่น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าไอ้นี่มัน เป็นใครก็ไม่รู้ ในขณะที่เออผมรู้ว่าไอ้ดวงมันอยู่แถวรัตนาธิเบศน์ คุยในบล็อกเขาเขาก็ตอบเราได้ มันเป็นความภูมิใจมากกว่า ตอนนี้พี่ซันชอบนักเขียนท่านใดเป็นพิเศษ อันนี้พูดยากเหมือนกันนะ อย่างญี่ปุ่นก็ชอบหลายคน เติบโต มาก็คนวาดโดเรมอน ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ โตมาก็ขึ้นมาหน่อยก็ดู อีวาน เกเลียน มหาสงครามวันพิพากษา พอมาถึงตอนนี้ก็พวก อิโนะอุเอะ โอริฮิเมะ จอมยุทธบารามอน วันพีซ จริงๆ แล้วของญี่ปุ่นอ่ะคน วาดนี่เก่งนะ เพราะการทำ�งานระบบใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย มีคนถาม ว่าทำ�ไมคนไทยไม่ทำ�ระบบใหญ่ คนไทยไม่ทำ�ระบบใหญ่บ้าง ตอบ ได้คำ�เดียวว่าเงินไม่พอครับ ไม่มีเงิน อยากให้ทำ�เอาเงินมาดิ เดี๋ยว ทำ�ให้ อย่างการ์ตูนไทยที่ผมนับถือจริงเลยคือ พี่เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ เพราะพี่เขาเป็นคนที่ทำ�งานได้กว้าง ทำ�การ์ตูนก็ได้ เขียนบทหนัง ก็ได้เขามีความเป็นกันเองสูงมาก ถ้าได้ไปสัมภาษณ์เขา ผมเคยได้ ไปสัมภาษณ์เขาตอนเรียนอยู่เขาก็คุยดี อย่างการ์ตูนเขาเท่าที่ผม อ่านมา เขาไม่เคยเขียนการ์ตูนแล้วพลาดเลยนะ ทุกเรื่องจะมีอะไร ไม่เคยอ่านแล้วเฮ้ยมันแป้กว่ะ อย่างนักเขียนในสังกัดผมพวกเดอะ
ดวง พวกหมู ผมชื่นชอบเขาตรงที่ว่า เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอ่านดี มาก เขาเข้าถึงง่ายมากไม่เหมือนอาร์ติสต์ที่เขาถึงยาก เขาก็เหมือน เราแหล่ะ แบบว่านั่งคุยกันได้ มันทำ�ให้เวลาแบบว่าผมทำ�เว็บบอร์ด กิจกรรมมันก็สร้างกลุ่มคนอ่านได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือเราไม่เคยเสีย กลุ่มคนอ่านไป
แฮปปี้แล้ว แต่อย่าให้มันขาดทุนนะขาดทุนนี่ไม่ดี ในจุดนี้ทำ�ให้ผม ไม่กลัวที่จะทำ�พ๊อคเก็ตบุ๊ค คือแบบอย่างบางเล่มเราก็รู้สึกว่าเขาก็ ไม่ได้ดังนี่หว่า แต่ผมกลับรู้สึกว่า เออเรามีสิทธิ์ที่จะเสี่ยง ความเสี่ยง นี่มันสนุกนะ ไม่ใช่ว่าเรารออะไรที่มันดังอยู่แล้ว มันจะน่าเบื่ออย่าง ที่ว่าแหล่ะ มันก็ไม่ได้สร้างอะไรใหม่เท่าไหร่ อย่างสำ�นักพิมพ์นึงมี นักเขียนดังๆ ให้ได้อย่างเดอะดวงสักสี่คนนี่ถือว่าหรูแล้วนะ แต่นะ ตอนนี้มันก็ยังไม่ได้มีอะไรเยอะขนาดนั้น
แนวโน้ม LET’S ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็มองไว้หลายอย่าง ความจริงอยากจะออกพ๊อคเก็ตบุ๊ค ให้กว้างขวางขึ้น เราก็จะได้ที่เห็นนักเขียนที่ยังไม่เคยได้รวมเล่มได้ ช่วงนี้ดูเหมือนคนจะให้ความสนใจกับการ์ตูนมากขึ้น มีการไปเรียน
“ศิลปะมันอยู่ในทุกอย่างได้อยู่แล้วเพียง แต่ว่าเราจะเอาไปใช้ยังไงแค่นั้นเอง” ออก เช่น นายสะอาด พี่ประสิทธิ์นี่เขาจะออกต้นปีก็ออกรวมเล่ม แล้วก็มีมูนด็อก (moondog) อย่างส่วนตัวผมรู้สึกว่าการทำ�งานการ คิดของวงการการ์ตูน ณ ตอนนี้มันต้องคิดว่าคนทั่วไปวาดรูปเยอะ ขึ้น อยากจะแสดงผลงานมากขึ้น ถ้าเราคิดแค่ว่าทำ�ให้คนที่ดังอยู่ แล้วดังขึ้นอันนี้ผมเฉยๆ เพราะเดี๋ยวมันก็มีคนแย่งกันออกเองแหล่ะ พอเดอะดวงดังขึ้น สำ�นักพิมพ์ไหนก็บุกมาหาเดอะดวงเต็มเลย ผม คิดว่ายังมีคนเก่งๆ ที่คนยังไม่รู้จักอยู่การจะทำ�ให้วงการเจริญเติบโต ได้ต้องมีคนใหม่ๆ ขึ้นมา มาทำ�ให้ภาพรวมมันโอเค ไม่ใช่เอาคนที่ ขายได้อยู่แล้วมาขาย ก็แผนงานที่คิดไว้อาจจะมีเวิร์คช็อปมั่ง งาน แสดงดีไซน์แล้วก็พวกอาร์ตบุ๊ค ผมอยากจะออกให้ได้ขั้นต่ำ�ปีละเล่ม อย่างปีที่แล้วก็ของเดอะดวง ปีนี้ก็จะเป็นของหมู แล้วก็วงการทรี ดีผมก็อยากช่วยผลักดัน เพราะผมมองว่าวงการวาดรูปในไทยมัน ก็เติบโตแล้วคุณภาพก็ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าอาจยัง ไม่มีคนที่เข้าใจจริงจังมาทำ�เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเห็นใครดังก็หยิบมา ขาย มันก็ดีนะผมก็ทำ� เพราะมันก็เซฟๆ ดีได้ตังค์ชัวร์ๆ แน่นอน มีแนวโน้มว่าจะทำ�แอนนิเมชั่นบ้างไหม ยากเหมือนกัน เพราะเอาจริงๆ ผมไม่เก่งแอนนิเมชั่น ผม เคยทำ�ตอนเรียนอยู่เคยวาดโต๊ะไฟแอนนิเมท ไฟแฟรมอะไร ก็ยาก ทีเดียว ถ้าจะทำ�ต้องหาคนมาช่วยก็มีพี่ชายผมที่จบแอนนิเมชั่น โดยตรงมาจากแคนนาดา แต่ตอนนี้เขาไม่ว่าง เขาบอกว่าปีหน้าเขา จะเริ่มทำ�อะไรบางอย่างก็ต้องรอลุ้นกัน
วาดการ์ตูน เรียนกราฟิกมากขึ้น คิดอย่างไร มันง่ายขึ้นเยอะอ่ะ เรื่องการทำ�งาน เรื่องดิจิตอลเพ้นท์ เรื่อง อุปกรณ์เอย เรื่องเทคนิคเอย เราว่ามันสนุกนะมันป็นอาชีพที่มี ความสุขอ่ะ แล้วความจริงมันประยุกต์ได้ ต่อให้น้องไม่ได้วาดรูปจบ ไปไปขายหมูปิ้ง ขายลูกชิ้นไร มันก็ติดตัวไปได้เอาไปทำ�เพ็คเกจ คือ แบบว่าเอาไปทำ�ร้านได้ ศิลปะมันอยู่ในทุกอย่างได้อยู่แล้วเพียงแต่ 63 ว่าเราจะเอาไปใช้ยังไงแค่นั้นเอง ถ้าอย่างนั้น ความลำ�บากของนักเขียนทุกคนที่ต้องเจอคืออะไร ความลำ�บากอ่ะหรอ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความกดดัน คน เราส่วนใหญ่จะชอบมองแบบนี้ มันมีคนที่ได้ตังค์เยอะกว่าเรารึ เปล่า อย่างการวาดการ์ตูนหน้านึงผมให้ 350 บาทต่อหน้า วาด ยังไม่ถึงหน้านึงเหนื่อยแล้วถามว่าคุ้มมั้ย มันก็ไม่ค่อยจะคุ้ม ถ้า เทียบกับงานคนออกแบบโฆษณา ภาพภาพเดียว คิดทีเดียว ได้เป็นหมื่นเป็นพันไร ถ้าเทียบกันแล้วการวาดการ์ตูนจะได้ทุน ต่ำ�มาก เพียงแต่ต้องคิดต่อไปว่ามันเป็นงานของเขา คนจะจำ� ชื่อคนวาดอย่างเดอะดวงไร ถ้าคุณทำ�โฆษณาไม่ได้ดังแบบคว้า รางวัลบ่อยๆ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นใคร แล้วก็อย่างถ้าคุณ ได้พิมพ์ห้าครั้ง เงินที่เคยได้แค่ 350 มันก็จะคูณไปเรื่อยๆ ให้ ทุกครั้งที่มีการพิมพ์ อย่างครั้งที่สองผมก็จะให้ 10% จากราคา ปกไปเรื่อยๆ มันทำ�ให้เหมือนว่าถ้าคุณสร้างแบรนด์ดิ้งของคุณ ได้แข็งแรงคุณก็จะดังไปพร้อมกับเรา ไม่ใช่แค่ดังเฉพาะสำ�นัก พิมพ์เราก็จะไปด้วยกัน ความลำ�บากก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ถ้าเรามานั่งเทียบต่อชิ้นงานเลยอ่ะคุณเหนื่อยกว่าแต่ได้เงินน้อย กว่า คุณก็ต้องทำ�ใจยอมรับให้ได้ตั้งแต่แรก ยกเว้นว่ามันจะไปอีกยุค นึง ยุคที่การ์ตูนต้องอยู่ด้วยยอดขายที่สูงมากๆ ก็จะเป็นอีกแบบนึง
เลือกนักเขียนแต่ละท่านมารวมเล่มอย่างไร ความจริงผมคิดง่ายๆ อย่างนี้นะ ผมเป็นนักลงทุนแบบ แปลกๆ อย่างบางคนเขาจะมองว่าลงทุนต้องเอากำ�ไร แต่ผมมอง ว่าหนังสือการ์ตูนถ้ามันไม่ขาดทุนก็ได้กำ�ไรแล้ว คืออย่างน้อยที่สุด ทำ�ได้ทำ�ผลงานให้มันหลากหลายขึ้น ให้นักเขียนมีกำ�ลังใจขึ้น มีผล คิดอย่างไรที่มีนักวาดไทยอย่างคุณวิศุทธิ์ พรนิมิตร ที่ได้ไปออกเล่ม งานรวมเล่ม ทำ�ให้องค์กรเราใหญ่ขึ้น ต่อให้ไม่ได้กำ�ไรมากเลยผมก็ ทีญ ่ ี่ปุ่น
64
อย่างเล่มนั้นก็มีข้อถกเถียงอยู่เหมือนกันว่าแบบว่ามันเวิร์ค ไม่เวิร์ค เขาได้เยอะแค่ไหน ผมเคยไปคุยกับคนที่พยามยามจะเอา การ์ตูนไทยไปขายที่ญี่ปุ่น เขาบอกว่าไปถามเล่มนึงที่พี่ตั้มเนี่ยได้ ออกที่ญี่ปุ่นมันเวิร์คมั้ย คนญี่ปุ่นก็ไม่รู้จักนะ จริงๆ ถามผมก็มอง ว่ามันคงไม่ได้กำ�ไรอะไรมากมายนะ แต่พี่เขาคงมีความสุขแฮปปี้มัน เป็นเครดิต อย่างพวกเราได้ยินก็จะรู้สึกดีแบบนี้มากกว่า ก็ถ้าถาม ผมว่ามันประสบความสำ�เร็จมั้ย มันก็ประสบความสำ�เร็จแล้ว แต่ มันอาจไม่ได้มากแบบที่เราจะมองว่าเป็นโมเดลทำ�ให้การ์ตูนไทยโก อินเตอร์รึเปล่าก็ไม่ขนาดนั้น อีกอย่างพี่เขาไปด้วยตัวเขาเองด้วย แหล่ะ เราก็ต้องมองว่าเขาเป็นอาร์ตติสมันก็คือตัวเขา แต่ถ้ามองว่า ภาพรวมของการ์ตูนไทยมันจะดีขึ้นมั้ย มันก็คงจะดีขึ้นคืออย่างน้อย ก็พูดว่าคุณได้ไป
กว่านี้ห้าเท่า เดอะดวงได้เงินทุกครั้งที่มีการพิมพ์ อย่างเด็กคนนั้น เขียนการ์ตูนขึ้นมาเดอะดวงบอกว่าได้เงินเยอะมากเลยเพราะว่า พิมพ์ห้าครั้ง แต่ของเด็กได้พิมพ์ครั้งเดียวมันก็จะกลายเป็นว่าสิ่งที่ เดอะดวงบอกมาไม่ใช่อีก มันก็เหมือนเสี่ยงดวงนิดๆ แหล่ะ เพียง แต่ว่ามันก็เป็นงานของเราอ่ะแหล่ะ ถ้าเราทำ�งานอื่นมันอาจจะจบ ไปเลย อย่างคุณทำ�งานโฆษณา ขายแอดตัวเดียวสองหมื่นก็จบไป เลย แต่อย่างนี้คุณก็อาจจะวางมันไปทั้งปี แบบว่ามีคนมาเห็นมัน ก็อาจจะติดต่อคุณเข้ามา หรือมันจะมีภาคต่อมั้ย มันเป็นการสร้าง แบรนดิ้งของคุณเอง คือมันก็สนุกอ่ะนะถ้าคิดอย่างนั้น
ตอนนี้ก็มีนักเขียนที่มาเขียนให้ LET’s เยอะมาก ก็เกิดเขียนประจำ�ก็ไม่เยอะนะไม่เกิน หกคนเจ็ดคนหมุนเวียน กันอยู่ แต่ถ้าเกิดเป็นคนที่หมุนเวียนแวะๆ กันมาเขียนก็เยอะ ก็มีนักเขียนอีกคนนึงที่ไปได้รางวัลจากต่างประเทศด้วยพี่ซันคิด เหมือนกัน พี่น้ำ�มนต์ก็ตอนนี้ทำ�งานพวกสถาปัตฯ อยู่ อย่างไรกับรางวัลระดับโลกครั้งนี้ ความจริงอันนั้นก็มีข้อถกเถียงอยู่เหมือนกัน เขาบอกว่ารางวัล ดูจะเป็นเด็กสถาปัตฯ เยอะมากในวงการการ์ตูน ในประเทศญี่ปุ่นมันมีเยอะมาก มีหลายสิบหลายร้อยรางวัลซึ่ง ก็มีอยู่แค่สามคณะนี่แหล่ะ นิเทศ สถาปัตฯ จิตรกรรม ถ้าเกิด รางวัลที่พี่เขาได้มาอาจจะไม่ใช่รางวัลใหญ่อะไรมาก แต่ได้ที่หนึ่งก็ นอกเหนือจากสามคณะนี้ถือว่าแปลกแล้ว แต่ถ้าคนที่ได้เปรียบ น่าภูมิใจแหล่ะเพราะว่าผมดูที่สองที่สามนี่โคตรเก่งเลยนะ แต่เรา ที่สุดน่าจะเป็นคนเรียนนิเทศฯ เพราะว่านิเทศใช้คอมอะไรคล่อง ได้ที่หนึ่งมาพวกนี้มันเป็นเหมือนกำ�ลังใจ แต่ถ้าถามว่าเป็นสิ่งที่ พวกนั้น ลองลงมาก็เป็นสถาปัตฯ เพราะสถาปัตฯ จะกว้างได้เจอ ทำ�ให้เราได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ คือการที่เราทำ�ระบบที่สามารถ คนเยอะหลากหลายแบบ ทำ�ให้แง่มุมในการเล่าเรื่องเขามีพลัง ส่วน ไปเจาะตลาดเขาได้จริงๆ ซึ่งก็ยาก เพราะตลาดเราเองตอนนี้ยัง จิตรกรรมนี่จะอาร์ตไปเลยจะได้เปรียบเรื่องลายเส้น พี่หมูก็นิเทศ เจาะไม่ได้ เหมือนกัน จิตรกรรมเคยมีพี่บาร์แดง แต่ตอนนี้เหลือไม่ค่อยเยอะ 65 แล้ว เพราะจิตรกรรมส่วนใหญ่จะเป็นสายทรีดี เพราะเขาวาดเก่ง พี่ซันมองว่าจุดเด่นอะไรที่เรามีอยู่ที่พอจะสู้เขาได้ สไตล์ล่ะมั้ง ความจริงสไตล์ เราก็ถามว่าสไตล์เราเด่นมั้ยใน แล้วค่าตัวนักเขียนเหมือนดารามั้ยที่ว่ายิ่งดังยิ่งได้เยอะ สายตาคนต่างประเทศอาจจะมองว่าคล้ายฝรั่งบางคน คล้ายคน อันนี้เป็นทุกอาชีพแหละ ถ้าคุณดังก็มีสิทธิ์จะต่อรองสูง เพราะ สิงคโปร์ มันเป็นสไตล์ที่ทำ�งานด้วยตัวเองมันก็เท่ห์ดีนะ ถ้าจะมี เขาก็จะง้อคุณแต่มันก็ขึ้นอยู่กับความกล้าด้วยนะ อย่างแบบมัน รวมเล่มไปขายฝรั่งถามว่ามันการ์ตูนของประเทศอะไร ถ้าบอกของ จะมีเรื่องน่าเบื่อในวงการศิลปะ เวลาเราไปทำ�งานเขาก็จะถามคุณ ประเทศไทยฝรั่งมันไม่รู้จักหรอก รู้จักแต่ไต้หวัน ถ้าจะไปสู้สิงคโปร์ อยากได้เงินตรงนี้เท่าไหร่ คุณตั้งไว้เท่าไหร่ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ คงยากเพราะสิงคโปร์ประสบความสำ�เร็จสูงมากขนาดพวกบริษัท ถ้าคุณกล้าเรียกก็จะสามารถต่อรองได้ ฝรั่งใหญ่ๆ ยังมาเปิดเลย จุดเด่นของการ์ตูนไทยก็คือ คุณภาพมั้ง คุณภาพการพิมพ์ ซึ่ง แล้วอย่างนักเขียนหน้าใหม่ได้ค่าตัวอย่างไร ความจริงแล้วคุณภาพการพิมพ์ในไทยถ้าเทียบญี่ปุ่นแล้วก็ยังไม่ไหว นักเขียนหน้าใหม่จะไม่มีโอกาสต่อรอง ก็ต้องแสดงผลงานก่อน อยู่ดี ถ้าเทียบหนังสือพิมพ์ในไทยกับพิมพ์ในญี่ปุ่น เพียงแต่ว่าการ พยายามทำ�ผลงานแล้วอาจจะต้องรับเรตขั้นต่ำ�ไว้ก่อน ซึ่งบางทีมัน ออกแบบเอยอะไรเอย เรามีอาร์ตติสเหลือใช้จนมันหลุดเข้ามาใน ก็เร็วนะอย่างมุนินฺเนี่ย เป็นนักเขียนหน้าใหม่อยู่แต่แป๊บเดียวก็ดัง วงการการ์ตูนเยอะ แล้วแบบว่าพวกกราฟฟิกดีไซน์เก่งๆ ออกแบบ แล้ว บางคนก็แบบเขียนมานานแล้วแต่ยังไม่ดังก็มี แต่ส่วนใหญ่ก็ นู่นออกแบบนี่เยอะ ทำ�ให้แบบว่าเราทำ�งานได้ใกล้เขา แล้วอีกอย่าง ขึ้นอยู่กับนี่ด้วยแหล่ะ แง่มุมความกว้างขวาง การติดต่องานก็สำ�คัญ มีความรู้เรื่องคอมที่แน่นมาก ก็ต้องรอดูต่อไปครับว่าเราจะไปไกล การคุยงาน ยิ่งคุยเก่งยิ่งทำ�ให้คุณไปได้ไกลขึ้น ได้ขนาดไหน แต่ถ้าถามว่าคุณภาพงานเทียบกัน ณ ตอนนี้เรื่องการ ออกแบบ เรื่องการคิดอะไร เราพอสูสีทีเดียว แต่พวกเรื่องระบบการ ผลิต เรื่องต้นทุนเราสู้เขาไม่ได้ยังห่างกันอีกไกลเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าจากเด็กหนุ่มที่รักในการ์ตูนวันหนึ่งจะเป็นเจ้าของ สำ�นักพิมพ์การ์ตูนที่ดังที่สุดในประเทศไทย ทุกอย่างต่างขับเคลื่อน เขาว่าเด็กสมัยนี้อยากวาดการ์ตูนแล้วก็มาถามว่าได้ตังค์เท่าไหร่ ไปด้วยความรักและความฝัน แล้วคุณล่ะพร้อมจะขับเคลื่อนความ มันตอบยากในสายตานักเขียน ก็อย่างที่บอกแหล่ะ อย่าง ฝันของตัวเองแล้วหรือยัง? เดอะดวงถ้าอินโนเซ็นท์พิมพ์แค่ครั้งเดียว เดอะดวงจะได้ตังค์น้อย
ก่อดราม่า
66
ช่วงหลายปีที่ผ่านมากระแสวัฒนธรรมเกาหลีไหลบ่าเข้าสู่ ประเทศไทย ทั้งทางด้านสื่อบันเทิงและกำ�ลังหลอมรวมไปกับ วัฒนธรรม ซึ่งก็มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ หลายคนติดใจถึงขนาด เดินทางไปเที่ยวกันจนถึงแดนกิมจิกันเลยทีเดียว แต่หนึ่งในนั้น ข่าวที่เรารับรู้กันมาโดยตลอดก็คงเป็นเรื่องการฆ่าตัวตายของ คนเกาหลี “คนเกาหลีฆ่าตัวตาย ติดอันดับ 4 ของโลก อัตราการ ฆ่าตัวตายในเกาหลี สูงที่สุดในบรรดาสมาชิกองค์การความ ร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD จากการที่ ตัวเลขทำ� สถิติที่ 21.5 คน ต่อ 1 แสนคน เจ้าหน้าที่กระทรวง สาธารณสุข ระบุว่า ดูเหมือนการลอกเลียน แบบการฆ่าตัว ตายจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่การฆ่าตัวตายของคนดัง และการรวมกลุ่มกันวางแผนฆ่าตัวตาย มีการเลียนแบบไป ไม่รู้จบ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้มีคนดังของเกาหลีถึง 7 คน แล้ว ที่ปลิดชีพตัวเอง รวมทั้งคนล่าสุด คือ ปาร์ค ยองฮา ที่ถูก พบกลายเป็นศพอยู่ที่บ้าน เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปาร์ค ยอง ฮา ดาราเกาหลีคนล่าสุดตัดสินใจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาโดย การแขวนคอกับสายไฟที่ชาร์ตแบตเตอร์รีโทรศัพท์มือถือ นักเขียนซีไรท์ท่านหนึ่ง มีประโยคหนึ่งบอกว่า.. "ความ จริงจังของชาว เกาหลี ถ้า เทียบกับมาตรฐานไทยๆ แล้ว เรา ยังไม่มีศัพท์บัญญัติใช้สำ�หรับคำ�นั้น ด้วยซ้ำ�... " คนเกาหลีได้ ชื่อว่ามีนิสัยทำ�อะไรรวดเร็วและจริงจัง เด็กเกาหลีส่วนใหญ่ จะมุ่งมั่นกับการเรียนและกวดวิชาจนถึงดึก ทำ�ให้หลายคนหา ทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย
บอลลูนชีวิต
ประเทศเกาหลีค่อนข้างเจริญในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านบันเทิงตลอดจนส่งผลไปถึงเศรษฐกิจด้วย รัฐบาลของเกาหลี มีนโยบายที่จะเผยแพร่ความเป็นเกาหลีแทรกและส่งออกไปใน สื่อทุกอย่าง ทำ�ให้ไม่แปลกที่คนไทยอย่างเราจะรู้จักกิมจิ พอๆ กับที่คนเกาหลีรู้จัก และแน่นอนว่า เมื่อเศรษฐกิจเฟื่องฟู “เงิน” ถูกยกขึ้นมาเป็นตัวแปลอีกตัวหนึ่งที่สำ�คัญ ในเมื่อ มีวัตถุใหม่ๆ ล่อตาล่อใจ ทางหนึ่งที่จะได้มา จึง ต้องมี “เงิน” งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข พ่อแม่ชาว เกาหลีต่างจริงจังกับการทำ�งาน จริงจังกับการใช้ชีวิต ก็คงเพราะ ต้องการไขว่คว้าหาชีวิตที่ดีที่สุดสำ�หรับตัวเอง และลูกๆ จึงไม่ แปลกเลยที่จะเห็นข่าว เด็กเกาหลีเครียดและพยายามฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ยังมีการการสำ�รวจความเห็นของวัยรุ่นอายุ 18 ปีขึ้นไป จำ�นวน 6,510 คน โดยมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล และ โรงพยาบาล โซล ซัม ซุง พบว่า มีอยู่ 3.2 เปอร์เซ็นต์ ที่ยอมรับว่า พยายามฆ่า ตัวตายในจำ�นวนนี้ มีอยู่ 2 เปอร์เซ็นต์ วางแผนไป แล้ว และ อีก 1.2 เปอร์เซ็นต์ กำ�ลังมีแรงกระตุ้นให้คิดฆ่าตัวตาย และพบว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ถ้าเป็นลูกโป่ง คนเกาหลี คงเป็นลูกโป่งที่มีแรงอัดเยอะ ชีวิตมีความเครียดสูง ก็เหมือนลมที่อัดเข้าลูกโป่งสูงมาก เทียบ กับบ้านเรา คงเป็นแค่ลูกดโป่งใบเล็กๆ เท่านั้นเอง ถ้าลูกโป่งมัน โดนอัดจนแตก ใครล่ะจะยั้งได้ คงต้องค่อยๆ แก้กันที่อะไรคือ แรงอัดเหล่านั้น มากกว่าแก้ตรงที่ทำ�ไมมันถึงแตก
เบิกโรง
ละครเวทีหน้ากากเปลือยกับ การสร้างชุมชนโดยละคร
67
วันนี้มีโอกาสได้นั่งคุยกับเจ้าของความฝันคนหนึ่ง ซึ่งความ ฝันของเขาได้สร้างพลังอันยิ่งใหญ่และต่อเนื่องไปอีกไม่รู้จบ เรา จะมารู้จักกับเครือข่ายละครหน้ากากเปลือย ละครที่สร้างสรรค์ สังคมด้วยวิธีแบบละคร หากนึกถึงละครเราก็มักจะนึกไปถึงพวกละครตบตี นางร้าย ร้องกรี๊ดๆ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่เห็นกันเช่นนั้น นั่นเองทำ�ให้ เราเริ่มแยกไม่ออก ว่าละคร กับละครเวที มันมีเป้าหมายที่ต่างกัน พอสมควร อาจจะด้วยเราอยู่ในสังคมไทย ที่การพัฒนาทางด้าน ละครเวที จะเรียกว่า สู้เด็กต่างชาติเขาไม่ได้ เด็กต่างชาติมักจะ เติบโตมาพร้อมกับแกลลอรี่และละครเวที ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ ครอบครัวของเขาจะไม่ว่าอะไร ถ้าบอกว่า ไปเล่นละคร หรือไปดู ละคร นินาท บุญโพธิ์ทอง หรือว่าพี่จุ๊บ ผู้ดูแลเครือข่ายหน้ากาก เปลือย จะมาขยายความให้เราเข้าใจยิ่งขึ้นว่า ละครเวที คืออะไร และดีอย่างไร ก่อนอื่นมารู้กันก่อน ว่าเครือข่ายละครเวทีหน้ากาก เปลือยคืออะไร และกำ�ลังทำ�อะไร “เริ่มมาตั้งแต่ประมาณปี 2001 ตอนนั้นเริ่มทำ�ตอนนั้นทำ� ละครเรื่องแรกว่า DREAM MASHS GROUP และก็โครงการ แรกที่เราเริ่มทำ�เราใช้ชื่อว่า Neked Masks Project ละครเรื่อง
นั้นพัฒนาบทนั้นมาจากผมเป็นคนเขียนเป็นเรื่องของนักศึกษาที่ ต้องทำ�กิจกรรมแล้วต้องเรียนรู้ว่า การเผชิญโลกกับความเป็นจริง ในการใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยซึ่งต้องทำ�อะไรบ้างอย่างนี้ ก็มีเพื่อน ที่จบมาใหม่ด้วยกัน ตอนนั้นผมก็มีโอกาสก็เริ่มขึ้นเป็นโครงการนี้ เป็นกลุ่มของตัวเอง ก็เลยเป็นละครเรื่องแรกที่ได้เกิดขึ้น ในตอน แรกเราตั้งใจว่าจะทำ�ละครเวทีเป็นหลัก ก็ตั้งใจว่ามีงานก็รวมตัว กันแล้วก็ทำ�เป็นวาระๆ ไป ก็พอทำ�ไปซักพักก็เริ่มมีระบบ เริ่มมี โครงสร้าง เริ่มมีระบบการจัดการ แต่เราก็ยังไม่ได้มีรูปแบบชัดเจน ในการทำ�งาน ช่วง 8 ปีแรกไม่ได้มีพื้นที่ประจำ� เวลารวมกันกันเรา ก็อาศัยอยู่ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ แล้วพอถึงปี 2008 ก็เริ่มมีโรง ละครหน้ากากเปลือยที่พญาไทพลาซ่าครับ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น และหลังจากนั้นก็มีกิจกรรมแบบต่อเนื่องทุกอาทิตย์” สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากคณะอื่นก็คงเป็น แก่นขององค์กร ที่ เครือข่ายหน้ากากเปลือยจะเรียกว่าเป็นเครือข่ายที่ทำ�งานเพื่อ สังคมอย่าแท้จริงเลยก็ว่าได้ “ตอนแรกเราตั้งใจสร้างละครที่คนดูแล้วเกิดพลังจากสิ่งที่เรา ทำ� เราเชื่อว่างานที่มาจากเรามาจากปัจเจกชน แต่งานเหล่านั้น สามารถสะท้อนสังคมแนวมหภาคได้ ดังนั้นงานเราจะเป็นงานที่ เขียนบทและดัดแปลง คือเราจะโฟกัสว่างานที่เราเขียนบทขอให้ผู้
กำ�กับหรือนักแสดง แสดงออกมาจากประสบการณ์ความคิดของ ตัวเองที่มีต่อสังคม มุมมองที่มีต่อสังคม ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอย่างเดียว กระบวนการมันจะพาให้เรื่อง นั้นมันสะท้อนหลายๆ มุม อันนั้นคือจุดเริ่มต้นของเรา ชัดเจน ว่าหน้ากากเปลือยไม่ได้ทำ�แค่ละครเวที แต่เราทำ�กระบวนการ ละคร ดังนั้นเป้าของหน้ากากเปลือยมันมาถึงจุดที่ว่า เรียกง่ายๆ ว่า เครือข่ายหน้ากากเปลือยเป็นกลุ่มชุมชนของคนรักละคร และ นำ�กระบวนการละครมาใช้ในการพัฒนาสังคม ตัวเองและสิ่ง แวดล้อม แน่นอนว่าคนที่ทำ�โครงการหน้ากากเปลือยจะต้องเอา ไปใช้ในตัวเขา และเขาก็จะเอามุมที่มีไปใช้ในสังคมที่เขารักที่เขา ผูกพันได้อย่างไร อันนี้คือหน้าที่หลักของตัวหน้ากากเปลือย คือ การสร้างชุมชน ทีนี้ชุมชนในความหมายของหน้ากากเปลือย ชุมชนของหน้ากากเปลือยไม่ใช่ สเปซ แต่เป็นชุมชนที่ลิงค์กันด้วย กระบวนการละครด้วยชีวิตที่ใกล้เคียงกันเพราะฉะนั้น สเปซของ
กลุ่มเล็กๆ ดังนั้นในเรื่องการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้พลังค่อนข้าง จำ�เป็นที่จะต้องพึ่ีงพาปัจจัยในด้านเงินทอง แล้วทำ�อย่างไร “อย่างตอนที่อยู่พญาไท เราก็มีงบสนับสนุน อย่างเช่น การ บูรณาการโครงการละครจิตอาสา ซึ่งก็สนับสนุนโดยมูลนิธิสยาม กัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ งานเครือข่ายการละครภาวะรุ่น เยาว์ ก็ได้งบสนับสนุนมาจาก สสส. ต้องเป็นโปรเจ็คต์ หลายแห่ง มากที่เราลงพื้นที่โดยไม่มีงบ แต่มันเป็นจุดมุ่งหมายของเราจะ พัฒนาทั้งตัวเราและคนที่ร่วมกระบวนการด้วย โดยที่ทีมงานทุก คนก็รู้ว่า เราไปตรงนี้ไม่มีงบนะ อย่างโรงเรียนอัสสัมชัญนี่เราก็ไม่ ได้ไปด้วยงบ หลายโรงเรียนมากครับเรียกว่าเป็นการสร้างชุมชน ในความหมายของพันธกิจหน้ากากเปลือย” ละครไทยมาไกลมากครับ ผมถือว่ามีโอกาสที่ดีอย่างตอนนี้มี การเกิดเครือข่ายละครกรุงเทพ กลุ่มละครเขารวมตัวกันอะไรแบบ นี้อ่ะครับ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีนะครับ กลุ่มละครเขาพัฒนา
“เครือข่ายหน้ากากเปลือยเป็นกลุ่มชุมชนของคนรัก ละคร และนำ�กระบวนการละคร มาใช้ในการพัฒนาสังคม ตัวเองและสิ่งแวดล้อม” 68
เราจึงไม่จำ�กัดพื้นที่เฉพาะของโรงละคร” ด้วยพันธกิจของเครือข่ายเล็กๆ ที่แน่วแน่ กำ�ลังจะเริ่มสร้าง แนวร่วมของคนในกลุ่มที่รักและหลงใหลในการละคร และกำ�ลัง เพิ่มจำ�นวนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยใช้การละครเป็นตัวผูกมัด นี่เองทำ�ให้เห็นว่า หน้ากากเปลือยกำ�ลังผลักดันให้เกิดพลังทาง สังคม “เป้าหมายพันธกิจก็คือการทำ�ละครเวทีอย่างเดียว ส่วนที่ สองคือ หน้ากากเปลือยแผนเยาวชนเป็นส่วนที่นำ�กระบวนการ ละครมาใช้ ใ นการดู แ ลเยาวชนซึ่ ง มี ตั้ ง แต่ ก ระบวนการฝึ ก ฝน กระบวนการละคร หรือพัฒนาเพื่อนำ�กระบวนการละครไปใช้ใน การเรียนรูศ้ าสตร์อนื่ ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกันเช่น ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ สังคม เป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อเยาวชน หรือให้เยาวชนนำ� กระบวนการนี้ ไ ปสร้ า งโครงการจิ ต อาสาให้ แ ก่ สั ง คมกั บ ชุ ม ชน ใกล้เคียงอะไรแบบนี้อ่ะครับ หลายครั้งที่หน้ากากเปลือยในแผน เยาวชนนี่ไม่ได้ให้เยาวชนเป็นนักแสดง เราฝึกให้เขาเป็นคนเรียน รู้ชีวิต แผนที่สามจะเป็นหน้ากากเปลือยแผนการพัฒนา อันนี้ คือเอากระบวนการ ไม่ได้เอาไปใช้ในกระบวนการละครเพียง อย่างเดียว บางพื้นที่เรามีการลงพื้นที่ในเรื่องของสิทธิสตรี เกี่ยว กั บ เรื่ อ งของการค้ า มนุ ษ ย์ เราก็ เ อากระบวนการละครไปใช้ ใ น การรณรงค์ หรือบางทีเราเอาใช้ในการฝึกการพัฒนาในด้าน วรรณกรรมอะไรแบบนี้” การที่ ทำ � งานเพื่ อ สั ง คมนั้ น บางครั้ ง ก็ ต้ อ งเสี่ ย งกั บ หลาย ปัญหาพอสมควร อย่างในที่นี้ เป็นโครงการที่เริ่มต้นจากคนเพียง
ไปจนกระทั่งไปต่างประเทศได้ในลักษณะของเครือข่ายในการจัด ละครทุกปีเป็นส่วนที่ดีมาก เป็นส่วนที่ทำ�ให้คนทั่วไปเริ่มเห็นพลัง การรวมตัวกัน อันนี้ค่อนข้างชัดเจน จริงๆ นี่ถ้าดูข้อมูลละครนี่มี ละครเกือบทุกอาทิตย์แล้ว ละครกลุ่มโน้นกลุ่มนี้บ้าง เยอะครับ ซึ่งอันนี้ดีครับมันทำ�ให้ อย่างน้อยคนก็จะรู้สึกว่ามาเจอนี้ และพอ อาทิตย์ต่อไปก็ไปเจอนี่ แต่อาจจะไม่ได้ดู แต่จะได้ยินอยู่เรื่อยๆ บางครั้งจะสัมผัส ไม่ว่ากลุ่มไหนก็ได้ พอเริ่มสำ�คัญปุ๊บมันก็จะเริ่ม ต้นแล้วครับ เริ่มต้นเป็นคนดูก่อน และบางคนดูก็อาจจะกลาย เป็นนักแสดงก็มีเยอะนะครับ หน้ากากเปลือยฟังชื่อแล้วอาจจะดูใหญ่ พี่ใช้คำ�ว่าเครือข่าย นะ เพราะว่าเราทำ�งานเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเป็นกลุ่มชุมชนของ คนที่รักการละครเล็กๆ ที่ตั้งใจและอยากจะทำ� อยากที่จะชอบ หรือชื่นชมให้คนได้รู้แล้วแชร์ให้คนทั่วไปโดยผ่านการละคร ก็เรา ยินดีต้อนรับ คนที่จะมาเป็นคนดูหรือคนที่จะมาร่วมกระบวนการ ฝึกฝนละครร่วมกัน ก็อยากจะให้พื้นที่กรุงเทพมีกระบวนการนี้อยู่ ก็ถ้าใครสนใจก็มาหาเราได้ ใครที่ ส นใจอยากไปดู เ ดื อ นนี้ เ ครื อ ข่ า ยละครเวที ก็ มี เรื่ อ ง “วิปริต” แสดงโดย สายฟ้า ตันธนา, วีระวัฒน์ เตชะกิจจาทร และ ฉัตร วงศ์ชัยบูรณ์ ที่โรงละครชุมชนพญาไท - ราชเทวี ณ บ้านราชเทวี ชั้น 1 ท้ายซอยเพชรบุรี 7 (หลังอาคารพญาไท พลาซ่า) รายละเอียด สามารถค้นหน้าแฟนเพจ “เครือข่าย หน้ากากเปลือย”
69
ชั้นหนังสือคนดัง
หมวดวรรณกรรม ของ
วิภว์ บูรพาเดชะ
สำ�หรับผู้ชายคนนี้ หนังสืออยู่ในทุกเวลาของเขา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างครั้งใดเป็นต้องเห็นว่า มือของเขาต้องมีหนังสือติดมืออยู่ทุกครั้ง เขาคนนั้นคือ วิภว์ บูรพาเดชะ บก.นิตยสารวัยรุ่น ชื่อดังอย่าง happening แอบไปดูกันว่าชั้นหนังสือของ วิภว์ มีหนังสือแบบไหนกันบ้าง 70 เขาออกตัวก่อนเลยว่าชื่นชอบในความสนุกของวรรณกรรม มากๆ พี่ชอบอ่านวรรณกรรมครับ นิยายเรื่องสั้น กวีก็อ่านบ้าง พี่ค่อนข้างจะสนุกกับการอ่านแล้วก็วิเคราะห์วรรณกรรม มันมี คุณค่าของตัวมันเองอยู่ เหมือนกับเราอ่านเรื่องที่มันเป็นเรื่อง แต่ง แต่มันก็สะท้อนความเป็นจริง แล้วบางทีเวลาเรามาอ่าน หนังสือสักเล่มนึงตอนนี้ อีกสักห้าปีเราอาจจะคิดไม่เหมือนกัน ความรู้สึกชอบไม่ชอบก็เกิดขึ้นด้วยเหตุผลไม่เหมือนกัน เล่มแรก ลับแลแก่งคอย (อุทิศ เหมะมูล) พี่นึกถึง “ลับแลแก่งคอย” ของคุณอุทิศ เหมะมูล ที่เป็น หนังสือซีไรต์สองปีที่แล้วก็เป็นนิยายไทยนี่แหละ เป็นนิยายที่ ค่อนข้างอ่านและจะรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายๆ ปี เพราะ มันค่อนข้างจะครอบคลุมหลายประเด็น เขามีความลึกซึ้งอยู่ เยอะ มันครอบคลุมหลายๆ เรื่องปัจเจก ประวัติศาสตร์บาง ส่วนของประเทศไทย ประวัติศาสตร์ส่วนตัวแล้วก็เรื่องตีความ เรื่องความทรงจำ�ของมนุษย์ และก็ตีความเรื่องความดีงาม เขา เรียกความสัมพันธ์ในครอบครัว มันพูดหลายประเด็นแล้วก็เล่า ได้อย่างค่อนข้างน่าติดตาม มีการแบบว่าเรื่องที่เรานึกไม่ถึงอยู่ ไม่น้อย มันเป็นนิยายที่แปะไปทางเรื่องครอบครัว เรื่องสังคม เรื่องศาสนา เรื่องคุณค่าของมนุษย์ คุณค่าของศีลธรรม หมด
เลย อ่านแล้วรู้สึกว่ามันทำ�ให้เราสัมผัสถึงพลังของวรรณกรรมได้ ดีมากๆ เรื่องนึงโดยปัจเจกของคนไทย เล่มที่สอง ฮิโนโทริ วิหคเพลิง (เท็ตซึกะ โอซามุ) ฮิโนโทริ วิหคเพลิง อันนี้เวลามีคนถามก็จะแนะนำ�เรื่องนี้ บ่อยๆ ของ เท็ตซึกะ โอซามุ ที่เขียนเจ้าหนูอะตอมหรือเจ้าหนู ปรมาณู คือเรื่องย่อมันเป็นเรื่องของนกฟินิกซ์ที่มีตำ�นานว่าใคร ก็ตามที่ได้ดื่มเลือดนกตัวนี้จะเป็นอมตะจะมีชีวิตอยู่ไปจนกว่า จะสิ้นโลกไปเลย ในหนังสือที่ฮิโนโทริ สักสิบกว่าเล่มเนี่ย มันก็ จะเล่าเรื่องของผู้คนที่จะพยายามจะไปค้นหานกตัวนี้เพื่อที่จะ เป็นอมตะ มันก็สะท้อนความรู้สึกว่าตัวเองจะต้องอยู่ค้ำ�ฟ้าของ มนุษย์ ในทุกทุกยุค มันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ สมัยซามูไร ตอน นี้จบแล้ว คนเขียนตายไปแล้ว มีตั้งแต่เรื่องในสมัยโบราณยุค ซามูไรออกล่ากัน มีราชินีอยากจะเป็นอมตะก็มาถึงยุคอวกาศ ซึ่งมีตำ�นานเรื่องนี้อยู่ ในอวกาศก็ยังไม่แตกต่างกันจากยุค โบราณ คนในยุคปัจจุบัน คือมันมีทุกยุค มีบางคนที่มีโอกาสได้ ดื่มเลือดนกตัวนี้ในการ์ตูนนะครับ แล้วก็อยู่ผ่านยุคมา เห็นความ เปลี่ยนแปลงของมนุษย์แล้วมันเป็นการ์ตูนที่ปรัชญาๆ ไม่เคย อ่านอ่านการ์ตูนที่มันคล้ายๆ วรรณกรรมขนาดนี้มาก่อน มัน เป็นวิธีการเล่าเรื่องด้วยภาพ บางช่วงบางตอนมันรู้สึกว่ามันเรา กำ�ลังดูกราฟฟิกโนเวล บางทีมันเล่าเรื่องด้วยภาพโดยไม่มีบทพูด
71
ลับแลแก่งคอย (อุทิศ เหมะมูล)
ฮิโนโทริ วิหคเพลิง (เท็ตซึกะ โอซามุ)
72
ฤทธิ์มีดสั้น (โกวเล้ง)
เมฆาสัญจร Cloud Atlas (David Mitchell)
Midnight’s Children (Salman Rushdie)
รู้สึกว่ามันเป็นการ์ตูนที่บอกว่าพลังของตัวมังงะ มันมีได้ถึงขนาด นี้เลยนะ เล่มที่สาม ฤทธิ์มีดสั้น (โกวเล้ง) มีช่วงนึงพี่อ่านหนังสือกำ�ลังภายใน เป็นนิยาย พวกโกวเล้ง ก็ มีหลายเรื่องที่ประทับใจนะ แต่ว่าสมมุติถ้าให้แนะนำ�สักเรื่องเนี่ย ก็คงเลือกฤทธิ์มีดสั้น มันสูสีนะกับหลายๆ เรื่องฤทธิ์มีดสั้น มัน จะมีสามสี่ภาค ภาคหลังๆ ก็เด็ดเหมือนกัน แต่บางคนจะเลือก อ่านภาคแรกก่อนไง ฤทธิ์มีดสั้น พูดถึงคุณธรรมในวิถีทางของ ชายยุทธจักร มีเรื่องการแก้แค้นเป็นธีมหลักแทบจะทุกเรื่องเลย เป็นบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำ�ระ แล้วก็ความเฉพาะตัว ของมันอีกอย่าง คือมันมีภาษาที่เฉพาะตัวมากในการเล่าแต่ละ แขนง บางทีจะพูดคำ�คมขึ้นมาลอยๆ แบบ มนุษย์ก็เป็นเยี่ยง นี้ แทบจะแบบอ่านหนังสือปรัชญาไปด้วยกลายๆ ในการอ่าน นิยายเรื่องนี้ แล้วก็วิธีการเขียนวิธีการแปลของนักแปลหลายคน อย่างคุณ น นพรัตน์ กระชับมาก เหมือนภาษาของวัยรุ่นที่เขียน บล็อกปัจจุบัน พี่คิดว่าตอนที่ในยุคที่ทีวียังไม่เป็นสื่อหลักขนาดนี้ ตอนที่ เรื่องการอ่านกำ�ลังบูมในบ้านเรา กำ�ลังภายในมันเลยบูมมากๆ เพราะมันเล่าเรื่องกระชับและสนุกมาก ทันคนอ่านมาก แล้วก็ มันมีความลึกซึ้งผสมกับความไม่ลึกซึ้งปนกัน คือ มันสนุก หักมุม แต่ถ้าจะเอาปรัชญาก็พอได้เหมือนกัน ฤทธิ์มีดสั้นมันมีความ เด่นตรงที่ว่าคาแร็คเตอร์มันอ่านแล้วเราจะจำ�ตัวเอกที่มีอาวุธคือ มีดสั้นที่แม่นมากเป็นเครื่องมือที่ดูเหมือนจะแทบไม่เห็นเท่เลย ว่ะ เป็นอาวุธลับอะไรแบบนี้ แต่มันมีวิธีบรรยายที่รู้สึกว่าโหเป็น อาวุธที่เป็นหนึ่ง แล้วมีตัวละครประเภทที่แบบตัวที่เป็นตัวหลัก ชื่ออาฮุยเป็นนักดาบที่เก่งมาก มีปมเรื่องความรัก โรแมนติก มาก ซึ่งพูดถึงในนิยายกำ�ลังภายในเนี่ย ทุกๆ เรื่องมันจะแข่งแค่ คาแรกเตอร์ตัวละคร เรื่องไหนมันแปลก พิสดาร แล้วก็น่าจดจำ� กว่ากัน อย่างเช่นมีเรื่องนึงชื่อจอมดาบ หิมะแดง เป็นภาค หลังๆ ของฤทธิ์มีดสั้นละ รุ่นลูกๆ หลานๆ ตัวเอกจะเป็นนักดาบ ขากะเผลกเป็นลมบ้าหมู เวลาสู้นี่แบบบางทีชักไป แปลกมากเลย แล้วเป็นคนที่แบบไม่ใช่พระเอกนะเนี่ย ดูหน้าตา นิสัยก็ไม่ดี ตัว โกง เป็นพิการ เพียงแต่ในเรื่องเขาจะเล่าแบบว่าคนรอบข้างเลว กว่า แย่กว่า มันก็เลยสะท้อนอะไรบางอย่างได้ดี อย่างจะตัดสิน คนแค่นี้มันไม่ได้ คนรอบข้างหน้าตาดีๆ อาจจะหลอกใช้ก็ได้ มัน มีมุมอย่างนี้ เล่มที่ 4 เมฆาสัญจร (Cloud Atlas), David Mitchell พอพูดถึงนิยายในเอเชีย นิยายในต่างประเทศ ยุโรป อเมริกาก็มีนิยายดีเยอะมาก อย่างเมื่อประมาณสองสามปีก่อน พี่ได้อ่านเรื่องเมฆาสัญจร อันนี้ก็เป็นหนังสือที่เกือบๆ ได้รางวัล
แต่ก็ไม่ได้รางวัลเดอะบุ๊คเกอร์ไพร์สอะไรสักอย่าง แต่ว่าพล็อต เรื่องมันก็เจ๋งมาก คือมันเล่าเรื่องของคนประมาณหกยุคสมัย ในประวัติศาสตร์โลก ตั้งแต่คนยุคโบราณที่เราเดินทางกันด้วย เรือ ข้ามทวีปก็จะเดินทางเป็นเดือนๆ แล้วก็มาถึงยุคปัจจุบันที่ นักข่าวพยายามเจาะข่าวเรื่องของการทุจริตนู่นนี่ เล่าข้ามไปถึง เรื่องของศิลปินในยุคกลางที่เป็นคีตกวีที่แสดงวรรณกรรมล้อกวี ให้ตัวเองมีชื่อเสียง แล้วก็เล่าไปถึงอนาคตที่เป็นเรื่องของโลกใน ยุคที่มีเทคโนโลยีเพียบพร้อมแล้ว มีหุ่นยนต์ มีแอนดรอยด์ เลย ไปถึงไกลกว่านั้นเป็นยุคแบบว่าที่เกิดสงครามนิวเคลียร์หรืออะไร ไม่รู้ที่แบบอารยธรรมมันล่มสลายไปเกือบหมดแล้ว เหลือเป็น คนป่าๆ อยู่ ก็เป็นโลกอนาคตที่ไปไกลมากมากแบบว่าคนอยู่กัน ตามป่า แล้วอยู่ตามซากปรักหักพังในอดีตที่ไม่รู้มันคืออะไร แต่ ละพล็อตก็จะมีโครงเรื่องของตนเองเล่าสลับกัน คือมันตลกตรงที่ มันแทบจะไม่เกี่ยวกันเลย เกี่ยวกันนิดเดียวแค่บางตอนที่บันทึก ของนั ก เดิ น เรื อ คนแรกมั น จะไปอยู่ ใ นอี ก ยุ ค นึ ง คื อ หลุ ด มานิ ด หน่อยนิดเดียว เกี่ยวกันไม่เยอะ คือจะบอกไม่ต้องมาเกี่ยวกัน ก็ได้ แต่ตอนจบมันสรุปดีมาก มันเล่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ผ่านชีวิตคนหกคน แล้วก็สรุปว่า สรุปว่าทำ�ไมมันถึงเล่าเรื่องคน หกคนนี้ ได้อย่างตรงมาก รู้สึกว่ามันก็มีไม่ใช่เรื่องง่ายตั้งแต่การ ค้นหาข้อมูลในประวัติศาสตร์และมาเล่า และการจินตนาการไป ถึงอนาคต เล่าเรื่องอนาคตอีก แล้วก็บทสรุปว่าทำ�ไมมนุษย์ชาติ ต้องดำ�เนินต่อไปด้วยความดี เล่มสุดท้าย Midnight’s Children (Salman Rushdie) Midnight’s Children เขาได้เบสท์ออฟบุ๊คเกอร์ คือ บุ๊คเกอร์ มันมีทุกปีของอังกฤษ แล้วทุกปีมันจะเลือกเบสท์ออฟบุ๊คเกอร์ เล่มนี้มันได้เบสท์ออฟบุ๊คเกอร์อีกที คือมันเป็นยอดของยอด เป็นของบุ๊ค ของประวัติศาสตร์อินเดียแล้วก็เขาจะเล่าเรื่องของ ชีวิตเด็กคนนึงล้อไปกับประวัติศาสตร์อินเดีย เป็นเด็กที่เกิดตอน ที่อินเดียได้เอกราช แล้วคนได้หลายอย่างจากเล่มนี้คือ ได้ค้นพบ ว่าตัวนิยายมันมันเขียนเป็นเชิงประวัติศาสตร์ได้ถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ได้ค้นพบเรื่องการใช้ซิมโบลิคของหนังสือ เพราะมันอธิบาย ซิมโบลิคได้แบบลึกซึ้งมาก อีกทั้งมันเห็นเรื่องจริงด้วยแล้วเรื่อง แต่งมาผสมกัน แล้วสะท้อนไปมา ก็ทำ�ให้ส่งกับมาที่งานเขียน ของเราก็ใช้ซิมโบลิคได้ประมาณนี้เหมือนกัน
73
เรื่องสั้นดันยาว
โลกของแดงน้อย
74 “สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วนะครับทุกวันศุกร์ในรายการ แฟน พันธุ์เทียม รายการที่จะทำ�ให้คุณรู้มากกว่าที่คุณรู้ ลึกกว่าคุณคิด เหนือการคาดเดา เหนืออำ�นาจทางการเมือง และเหนือฟ้ายังมี ฟ้า...” วันนี้ ผม ปัญญา นิรันดร ขอเชิญท่านผู้ชมพบกับ แฟนพันธุ์ เทียม แดงน้อย นักเขียนผู้โด่งดังจาก นวนิยาย เรื่อง ตอม่อที่ 3 ซึ่งถูกนำ�มาสร้างเป็นภาพยนตร์ถล่มรายได้กว่า 300 ล้าน รวมทั้ง รางวัลซีไลท์ (รางวัลใหญ่สำ�หรับนักเขียนแห่งเอเชี่ยน) 78 สมัยซ้อน ยอดขายของหนังสือที่ตีพิมพ์ แต่ละเล่มไม่ต่ำ�กว่า 10 ล้านเล่ม และ ล่าสุดหนังสือรวมเรื่องสั้น หลงรักอีหนูเคอิโงะ ได้รับการแปลเป็น ภาษาต่างประเทศกว่า 20 ภาษา และได้รับการยอมรับจากระบบ สุริยะนำ�โดย ดาวเคโรน นำ�ไปแปลเป็นภาษามนุษย์ต่างดาวเพื่อเผย แพร่ให้แก่ดาวอื่น ๆ ในระบบสุริยะ "วันนี้เราจะรู้กันครับ ว่าใคร คือ คนที่จะเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์ เทียม แดงน้อย สุดยอดนักเขียนแห่งระบบสุริยะ แต่ตอนนี้พักสักครู่ ครับ" ...... "แหม ลุ้นกันจนลำ�ไส้พันกันเป็นเงื่อนพิรอดเลยนะครับ โดย เฉพาะอย่างยิ่งผมซึ่งชื่นชม และชื่นชอบผลงานของคุณแดงน้อยอยู่ แล้ว และที่สำ�คัญ วันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวัน
เกิดของคุณแดงน้อยพอดิบพอดี ดังนั้น เงินรางวัลสำ�หรับผู้ชนะวัน นี้ ครึ่งหนึ่งจะนำ�ไปบริจาคให้กับโรงเรียนบ้านโคกอีโด่ยในชื่อของ คุณแดงน้อย ด้วยครับ" มาเริ่มกันที่ข้อแรก แรกดีกว่าครับ. . . ในรอบนี้จะเป็นตอบ คำ�ถาม สามารถผ่านได้ 3 ครั้งนะครับทุกคนมีเวลา 3 วินาที เริ่มต้น ที่ผู้เข้าแข่งขันท่านแรกนะครับ คุณสมยวง คุณ ดร.วิกานดา และ คุณอรอินทร์ นะครับ…. “แม่เปลี่ยนช่องให้หน่อยสิ รำ�คาญ แดงน้งแดงน้อยอะไร มัน ดังขนาดนั้นเชียวหรือ” ผมบอกแม่ซึ่งอยู่ใกล้รีโมทมากกว่า เพราะ ผมรู้สึกเซ็งกับรายการทีวี โดยเฉพาะช่วงนี้ ที่รายการแทบทุก รายการ จะต้องมีนักเขียนผู้โด่งดังที่ชื่อว่า “แดงน้อย” ทุกครั้ง ผมล่ะ ..เบื่อจริง “รายการอังคารพันเดือนวันนี้เราจะพารู้จักกับนักเขียนผู้โด่งดัง ที่ชื่อว่า แดงน้อยค่ะ......” เอาอีกเปลี่ยนช่องก็มาเจออีก คงต้องทน ดูแล้วล่ะ เฮ้อ.. ...แดงน้อย ชื่อจริงคือ จอย จุฑารัตน์ หัสจุมพล (ภาพซูม ไปที่รูปวัยเด็ก) เกิดและเติบโตที่จังหวัดนครปฐม จบ ม.ปลาย จากโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย และขณะนี้กำ�ลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาวาสารศาสตร์ ปี 3 (ซูมไปที่รูปปัจจุบัน คลอเสียงดนตรีเบาๆ ตัดสลับไปที่ภาพคุณแดงน้อยให้สัมภาษณ์ ) “หวัดดีค่ะ วันนี้จอยจะพาทุกคนไปเยี่ยมบ้านจอยนะคะ... ตามมาเลยค่ะ” นักเขียนสาวพาไปเยี่ยมชมห้องต่าง ๆ ที่ถูกจัด
ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ล้อมรอบด้วยสวนต้นไม้สีเขียว และเธอกำ�ลัง พาเราไปพบกับความลับที่ไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน รายการเรา เป็นรายการแรกในระบบสุริยะที่ได้เข้าไปถ่ายในห้องนี้ ห้องนอน ของคุณแดงน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลากหลายแนว นี่เองคงเป็นคลังสมองของนักเขียนผู้นี้ และ.....” ผมเริ่มรู้สึกง่วง อาจจะมาจากความน่าเบื่อของรายการที่ผมดู อยู่ หรือเหตุผลทางร่างกายก็ไม่ทราบ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้หัวของผมวาง อยู่บนหมอนนุ่มๆ เรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นาน ผมรู้สึกตัวเบาๆ เหมือนผมกำ�ลังจะเดินอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง คล้ายๆ หน้าบ้านของผม แต่สิ่งก่อสร้างนั้นดูต่างออกไปจากเดิม ไม่อยากจะเชื่อ รอบข้าง กายผมกลับเป็นอะไรที่..เฮ้อ..มันไม่จริงใช่ไหม นั่น โรงเรียนแดง น้อยวิทยาอยู่ตรงสี่แยก ถัดมากลายเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดที่ชื่อ DNC (dang noi chicken) ร้านทำ�ผมก็ชื่อร้านแดงน้อยซาลอน โน่น โรงแรมแดงน้อยอินท์ โอ้....นี่มันเกิดอะไรกับโลกใบนี้นี่ อ๊าก!!!!... ผมตะโกนกับตัวเองจนผมตื่น เฮ้อ..ผมฝันไปหรือเนี่ย เช้านี้ผมตื่นนอนขึ้นมาแบบไม่โล่งหัวเท่าไหร่ เพราะเรื่องราว เกี่ยวกับแดงน้อยยังตามหลอกหลอน ทำ�ไมถึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับ นักเขียนที่ชื่อว่าแดงน้อยซ้ำ�ๆ ...ซ้ำ�ๆ.... หรือฝันของผมนั้นจะเป็น สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมเริ่มสับสน ว่าเกิดอะไรขึ้นเธอใช่คน ปกติหรือไม่ ทำ�ไมเธอถึงมีอิทธิพลต่อสื่อ ต่อมวลชนขนาดนี้ ผมเดินเข้าไปในห้องครัว และนั่งลงบนโต๊ะอาหาร แม่กำ�ลังตัก ข้าวต้มใส่ชามให้ผม ผมเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้น มาอ่าน แล้วผมก็พบว่าข่าวที่เป็นพาดหัวใหญ่คือ............ “กริ๊งงงงงงงงงงง...ง........งงงงงงงงงง กริ๊งงงงง..” ผมเอื้อม มือ ไปควานหาและกดปิดนาฬิกาปลุก ห๊ะ!!! นี่ทั้งหมดนี้ผมฝัน ไปใช่ไหม ผมรีบลุกจากเตียงเดินลงมาข้างล่างเพื่อถามแม่ ที่กำ�ลัง นั่งจิบกาแฟอยู่ที่ระเบียบ “แม่ครับ แฟนพันธุ์เทียม เมื่อคืนใครชนะ ล่ะครับ อรอินทร์ หรือว่า ดร.วิกานดา” ผมถามแม่ ด้วยสีหน้าที่สงสัยเต็มที่ แต่แม่ กลับมองหน้าผมด้วยอารมณ์ขัน แล้วตอบมาว่า “แดงน้งแดงน้อยอะไรของลูก เมื่อคืนน่ะ มันวันจันทร์ มี รายการนั้นที่ไหนล่ะลูก มาเล่นมุขอะไรแต่เช้าเนี่ย เดี๋ยวแม่ไป เตรียมข้าวต้มให้ดีกว่า ” แม่ตอบและหัวเราะพร้อมเดินมาลูบหัว ผม และเดินหายเข้าไปในครัว ใจนึงผมรู้สึกดีขึ้นมากที่มันเป็นเพียง ความฝัน ไม่มีนักเขียนที่ชื่อแดงน้อย ไม่มีโรงแรม โรงเรียน ฟาสต์ฟู้ดที่ ชื่อแดงน้อย ไม่มีรายการทีวีเกี่ยวกับแดงน้อยเกิดขึ้นมาก่อน แล้ว อยู่ๆ ผมเก็บเอาไปฝันจริงจังได้อย่างไร ผมเดินเข้าไปในห้องครัว และนั่งลงบนโต๊ะอาหาร แม่กำ�ลังตักข้าวต้มใส่ชามให้ผม ผมเอื้อม มือไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่าน แล้วผมก็พบว่าข่าวที่ เป็นพาดหัวใหญ่คือ............ “เรียงความชนะเลิศ เด็กอัจฉริยะ 6 ขวบ คว้้า 10 ล้าน” ผมรีบเปิดเข้าไปดูข่าวต่อ
ต่อจากหน้า 1 รัฐบาลมอบเงิน ทุนการศึกษา 10 ล้านบาทให้แก่ เด็ก หญิงจุฑารัตน์ หัสจุมพล อายุ 6 ขวบ ที่เขียนเรียงความชนะการ ประกวดระดับประถมศึกษาต้น เด็กอัจฉริยะ อายุ 6 ขวบ ชนะการประกวดเรียงความ กับ เรียงความของเธอ ชื่อ “โลกของแดงน้อย” .............
ผมเพิ่งรู้ว่าทุกอย่างมันกำ�ลังเริ่มต้นต่างหาก
75
สนใจส่งผลงานเรื่องสั้นเพื่อตีพิมพ์ ความยาว 2 หน้า A4 ขนาด ตัวอักษร 14 pt สามารถส่งผลงานเพื่อรับการพิจารณาได้ที่ อีเมล bannn_ta_thai_mag@hotmail.com ใครที่ได้รับการตีพิมพ์ เรามีของรางวัลมอบให้
กำ�เนิด
76
บทสนทนาของกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนระยอง แต่มักจะมีคำ�ว่า “ฮิ” ติดปาก กลุ่มคนที่ ขับเคลื่อนเสียงหัวเราะด้วยความรัก
ฮิกาซีน
การรวมตัวของผู้สร้างเสียงหัวเราะ (ฮิ_ฮิ)
ฮิกาซีน เป็นหนังสือที่กวนโอ๊ยมากที่สุดในชั้นหนังสือในขณะนี้ น้าแวะ : เพราะเราเป็นแก๊งค์ทำ�ละครเหมือนกัน ก็ว่าได้ ฮิกาซีนเป็นหนังสือที่อยู่ในหมวดสร้างเสียงหัวเราะ หลาย ท่านโอ๊ต : อย่าง เอ ธวัชชัย คิดอ่าน เนี่ยเขาเป็นเลขาของพี่โน้ส เอ ต่ อ หลายครั้ ง ที่ เ ผลออ่ า นในที่ ส าธารณะก็ รี บ หุ บ ยิ้ ม แทบไม่ ทั น จบ ม.เชียงใหม่ ไม่เคยเจอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วมาเจอพี่โน้ส เพราะกลัวคนจะหาว่าบ้า แต่นั่นแหละ คือ เอกลักษณ์ของ ฮิกาซีน ก็เลยได้รู้จักกับเอแล้วก็รู้จักกับวัตรแล้วก็มาทำ�ด้วยกัน พอคราวนี้ เสร็จเราก็สนิทกัน เพราะช่วงเดี่ยวหกก็มีไปเดินสายเดี่ยวกับพี่โน้ส ฮิกาซีน เป็นผลิตภันฑ์ลำ�ดับที่สองของชาวฮิ เพราะก่อนหน้า ก็เลยรู้ทางกัน พอจะมีงานเขียนพี่ก็จะนึกถึงเอ เอมันพอที่จะดูแล นั้นมีนิตยสารหัวแปลกๆ อยู่หัวหนึ่งชื่อว่า “ฮิฮิ” หลังจากวางแผง ระบบควบคุมในเรื่องของการทำ�งานได้ คือพวกพี่ชอบทำ�ชอบเขียน ได้ไม่นานก็มีอันต้องปิดตัวลงไปเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่ความ แต่ไม่ได้เป็นนักเขียนโดยสันดาน แต่เอจะมีความเป็นนักเขียนโดย อยาก (ทำ�) ในตัวพวกเขายังไม่หมด เขาทั้งหมดจึงรวมตัวกันเพื่อ สันดานมากกว่า พวกพี่ก็ชวนเอมาทำ�ด้วยกัน ตอนนั้นทำ�หนังสือ 77 สร้าง “ฮิกาซีน” บุ๊คกวน (กา) ซีนเล่มแรกในไทยที่ออกตามใจคนทำ� ชื่อ Lite แมกกาซีน จะเป็นหนังสือประมาณพวก FHM อะไรแบบ นำ�ทีมโดย ท่านโอ๊ต (เอกสิทธิ์ โกสินทโรบล) น้าแวะ (นรินทร์ นี้ครับ จิตต์จันทร์กลับ) ชนพ (ชนพ ศิริกมลมาศ) และ เอ (ธวัชชัย คิดอ่าน) น้าแวะ : Lite แมกกาซีนเดิมคือ For Men แล้วเปลี่ยนหัวมาเป็น For Men Lite แต่เอาคำ�ว่า Lite ขึ้นใหญ่ แล้วเอา For Men ตัวเล็ก นิตยสารฮิฮิ เริ่มต้นได้อย่างไร ท่านโอ๊ต : สมัยก่อนมี For Men มันเป็น ยุคแรกๆ ของการทำ� ท่านโอ๊ต : คือตอน ฮิฮิ แมกกาซีนพวกพี่ จะมีพี่ มีชนพ มีน้าแวะ หนังสือเซ็กซี่ ซึ่งพวกพี่ก็ชอบมากแล้วพวกพี่ก็ทำ�ไป ทำ�ไปประมาณ มีเอ ธวัชชัย คิดอ่าน แล้วก็มีวัตร (อนุวัตร กิ่งตระการ) 5 คน เคย หกเล่มหนังสือก็เจ๊ง หนังสือไม่มีโฆษณา ประจวบเหมาะกับที่ชนพ ทำ�งานกับพี่โน้ส (อุดม แต้พานิช) น่ะครับ แล้วก็พอจบเดี่ยวแต่ละ เอาโปรเจ็คต์มาคุยบอกว่าพี่ Inspire เขาอยากได้หนังสือหัวใหม่ คนก็แยกย้ายกันไป แล้วคราวนี้มันก็มีบริษัทมาติดต่อบอกว่าอยาก น้าแวะ : Inspire คือที่ทำ� FHM แล้วเขาจะรู้จักทีมที่ทำ� Lite อยู่ ให้มาทำ�หนังสือให้ แล้วพวกเราก็เคยทำ�หนังสือกันมาอยู่แล้ว หนังสือ แล้วเพราะเป็นคู่แข่งเขา เล่มนั้นชื่อ “อะดม” เคยเห็นไหม “ อะดม” คือหนังสือที่พี่โน้สทำ�ล้อ ท่านโอ๊ต : แล้วเขาก็มาชวนทำ� ใจจริงเราก็อยากทำ�แนวแบบอะดม อะเดย์ ตอนนั้นทำ�เพื่อไปออกในงานเดี่ยวตูดหมึก เดี่ยวหก แล้ว สมัยก่อนที่พวกเราทำ�กัน แต่ว่าให้มันดูฮา แล้วก็ร่วมสมัยหน่อย หลังจากเดี่ยวตูดหมึกก็มีทำ� “อะดม 2” อีกเล่มนึง แต่อันนี้เพราะพี่ คือไม่ใช่แบบว่าเลอะเทอะเละเทะมาก คือให้มันเหมือนมีการเอา โน้สอยากจะทำ�เองอันนี้ก็ทำ�เล่นๆ ขำ�ๆ หนุกๆ ข่าวเอาประเด็นเอานั่นเอานี้มาล้อหน่อย ให้มันอินกับกระแสใน น้าแวะ : จริงๆ แล้วอะเดย์เขาทำ�ล้อตัวเอง แล้วตอนนั้นเขาบอก ช่วงนั้นๆ หน่อย ก็เลยคิดว่าจะทำ�หนังสือที่ชื่อว่า ฮิ นี้แหละ ฮิฮิ ว่าเขาหยุดเดือนนึงแล้วเขาให้พี่โน้สทำ� ทีมเราเลยไปสวม แมกกาซีน ท่านโอ๊ต : ดีเทลมันคือแบบนี้ (สวนทันควัน) พี่โน้สเขาต้องการทำ� เป็นสูจิบัตรแจกๆ ในงาน แล้วทีนี้อะเดย์เขาบอกมาทำ�เป็นเล่มของ ทำ�ไมต้องฮิฮิ อะเดย์ไปเลย ท่านโอ๊ต : คือมันก็เป็นเสียงหัวเราะธรรมดา พอพูดมาชื่อมันก็รู้สึก ชนพ : แต่ว่าพวกนี้รู้จักกันมาก่อน ส่วนหนึ่งคือท่านโอ๊ตกับน้าแวะ ว่าโอเค ถ้าเล่าประเด็นจริงๆ มันยิบย่อยเยอะแยะเลอะเทอะ แต่ เนี่ยเรียนที่เดียวกัน เอาจริงๆ พอพูดคำ�ว่า “ฮิ” ออกมามันต้องแบบหัวเราะ ไม่ได้ ท่านโอ๊ต : แล้วชนพก็เป็นรุ่นน้องพี่ที่สถาปัตฯ จุฬาฯ ประกาศตัวเองว่าหัวเราะฮ่าๆ มันเหมือนแบบ ฮิ อารมณ์ดีมันกำ�ลัง ชนพ : คือเรารู้จักกันตั้งแต่ทำ�ละคร ดีอ่ะ คือมันไม่ดูว่าหัวเราะมากเกินไป ไม่ดูประกาศตัวเองว่ากูจะตลก
ยังจะบังหน้าอีก
เต้ย HD ท่านโอ๊ต
น้าแวะ
ชนพ
น้าแวะ : เรามีเรื่องนึงที่พี่โน้สเคยพูดไว้ ว่า ถ้าเราจะเล่าเรื่องเรื่องนึง แล้วเราบอกก่อนว่าเรื่องนี้ตลกมากเลย มันจะเป็นการออกตัวที่คน ฟังจะเกิดความคาดหวังสูง คือเรื่องมันคือเรื่องที่อยู่ในใจ เราทำ� หนังสือเราคิดว่า เราไม่อยากทำ�หนังสือที่ประกาศตัวออกไปว่าเป็น หนังสือตลก แต่เราก็อยากให้คนรู้ว่านี้มันก็คือหนังสือตลก ท่านโอ๊ต : คือถ้าหนังมันชื่อ ก๊าก แบบนี้เกร็งว่ะ ฮา น้าแวะ : หรืออย่างแบบว่าฮาโคตร หรือกระทั่งแบบขายหัวเราะ มัน จะทำ�ให้คนคาดหวังสูง เราอยากได้หนังสือที่ชื่อมันแบบออกไปทาง กวนๆ มากกว่าที่จะประกาศตัวว่าตลก ท่านโอ๊ต : ตอนที่มาเป็น ฮิ มันเป็นทั้งเสียงหัวเราะ บางคนก็มองว่า เป็นม้า เป็นเสียงร้องของม้า บางคนก็บอกว่าเป็นคนระยอง คือมัน ตีความได้หลากหลาย เออมันก็ดี ให้เขาไปคิดกันเอาเองว่ามันเป็น อะไร แต่เขาจะไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่มันตลกมาก
พี่ไม่รู้ว่าเศษฐกิจช่วงนั้นมันเป็นอย่างไงพี่ไม่รู้ว่าเซลล์เขาไปขายแล้ว เขามีปัญหาอะไร เพราะบางทีเราคุยกันมันเหมือนไม่มีปัญหาแต่พอ AD ออกมามันไม่ได้ พี่ก็เลยไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร น้าแวะ : เท่าที่พี่ได้ยินมา เหมือนตัวเลขมันก็ยังขาดทุนทุกเดือน คือฮิฮิเนี่ยเราตั้งราคาไว้ 55 บาท แต่พิมพ์จำ�นวนหน้ามันค่อนข้าง จะสูง ต้นทุนพิมพ์ต่อเล่มถ้าไม่มี AD มันก็จะขาดทุน ทีนี้ AD มันก็ไม่ มีจริงๆ มันน้อย แล้วก็ยิ่งขายดีอ่ะครับ ยิ่งเพิ่มยอดพิมพ์ขึ้นมาเพิ่ม อะไรขึ้นมาต้นทุนการพิมพ์มันก็เพิ่มตาม ขายดีได้เงินกลับมามันไม่ ได้เท่าไหร่ไง เพราะว่าค่าพิมพ์มันก็เกือบเท่าราคาขาย คือคิดก่อนนะ ราคา 55 บาท ร้านมันเอาไปแล้วยี่สิบกว่าบาท แล้วมันกลับไปถึง Inspire เองแค่สามสิบกว่าบาท ยังไม่รวมเงินเดือนทีมงานและอะไร ต่างๆ ท่านโอ๊ต : คือเราก็ไม่รกู้ ลไกลการตลาด ตอนทีไ่ ปเสนอโปรเจ็คต์เนีย่ เขาก็ถามว่าเล่มเนี่ยจะราคาเท่าไหร่ เราก็เฮ้ย แม่งชื่อ ฮิฮิ ก็ต้อง 55 แล้วตอนเปิดตัวครั้งแรกเป็นไงบ้าง ก็เลย ฮิฮิ 55 บาท อารมณ์แบบเอามันไม่รู้ว่า 40% หักออกมาแล้ว น้าแวะ : ครัง้ แรกโฆษณาเข้าเยอะเหมือนกัน เล่มแรกก็คงเยอะ เพราะ เหลือเท่าไหร่ พอเงินตรงนั้นออกมาปุ๊บ แม่งมีค่าพิมพ์ค่าจ้างคน ว่าเซลล์เขาก็มีคอนเน็คชั่นของเขาอยู่แล้ว ทำ�งานทั้งหมดทั้งมวลมันไม่คุ้มเขา ท่านโอ๊ต : คือพวกพี่ทำ�ไอ้ ฮิฮิ แมกกาซีนเล่มแรกพวกพี่ไมได้เข้าไป น้าแวะ : ตอนแรกเขาก็เห็นด้วยนะ ฮิฮิ 55 เลขสวยดี ดูแล้วราคา
“พอพูดคำ�ว่า ‘ฮิ’ ออกมามันต้องแบบหัวเราะเบาๆ มันเหมือนแบบ ฮิฮิ อารมณ์มันกำ�ลังดี มันไม่ดูว่าหัวเราะมากเกินไป ไม่ดูประกาศตัวเองว่ากูจะตลก” สัมผัสพวกโฆษณาอะไรมากมากเพราะว่ามันเรื่องที่พวก Inspire เขาจัดการ เขาก็จะดูแลส่วนนี้ อาจจะมีฝ่ายเซลล์มาคุยกับเราบ้าง นิดๆ หน่อยๆ เราก็ให้ข้อมูลเขาไปเขาก็ไปหาของเขาเอง น้าแวะ : เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว AD เนี้ยเขาเอาไปแจกลูกค้าขาประจำ� ฟรีเลยรึเปล่า รู้แต่ว่าเล่มนั้น AD เยอะ ท่านโอ๊ต : ก็อาจจะเป็นการขายพ่วงก็ได้ ซื้อเล่มหัวนี้ เพราะว่าใน เครือเขามีหลายหัว ซื้อหัวนี้จะลดหัวนี้ให้หรือแถมให้อะไรแบบนี้ซึ่ง เราไม่รู้ แต่พอมี AD ก็ทำ�ไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นมันก็โอเค เอาง่ายๆ คือ มันมีเอฟเฟ็กต์กลับมามีคนอีเมล์มาหามีคนเขียนจดหมายมาหา แค่ นี้มันก็รู้ว่า มันคงมีคนอ่าน ก็เริ่มรู้สึกสนุกเริ่มทำ�แล้วรู้ว่าเราต้องเล่น อะไรประมาณไหน คนมันชอบแบบไหน มีผลตอบรับกลับมา น้าแวะ : แล้วมีแฟนประจำ�ที่ตามมาจาก Lite ก็มี คือตอนที่ไปทำ� Lite หกเล่มก็จะมีกลุ่มเล็กๆ ที่ติดตาม แล้วก็เขียนจดหมายมา เรา ก็จะมีการติดต่อกันว่าทำ�หัวใหม่แล้ว ก็เลยมีฐานคนอ่านตามมา ประมาณหนึ่ง
เป็นมิตร ซึ่งในราคา 55 บาทเนี่ย ทำ�ให้มีคนคนรู้จักเราเยอะมีคน อ่านเยอะ เรียกว่าได้แฟนมาเยอะ แล้วพอ AD ไม่เข้าเนี่ยมันทำ�ให้ ขาดทุนเยอะ ท่านโอ๊ต : ไอ้ตัวของฮิฮิ เอาตามจริงตามท้องตลาดเขาจะขายกัน 80 - 90 บาท ซึ่งไอ้ 80 นั้นก็คือราคาที่ต้องมี AD ด้วยนะ แล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เช่นจากหน้าสีหมดก็เริ่มมีขาว ดำ�บ้าง จากกระดาษที่เป็นอาร์ตมันเยอะๆ ก็ลดลง คือพยายามลด ต้นทุนทุกทาง แต่คราวนี้มันก็คงไม่ไหวจริงๆ มันก็คงถึงจุดที่ว่าจะ ต้องมานั่งคุยว่าจะเอายังไง เราก็คุยกับเขา มันก็เลยได้บทสรุปมา ว่าหยุดทำ�ก่อน ตอนที่หยุดทำ�ตอนนั้นพี่ก็ออกมา ตอนนั้นมีพี่ มีน้า แวะออกมา ชนพยังทำ�อยู่ที่ ZOO เอก็ไปเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว วัตรก็ อยู่ลอยไปลอยมา
ตอนที่ทำ�ฮิฮิ ทุกคนมีงานประจำ�อยู่แล้วรึเปล่า ท่านโอ๊ต : ก็ฮิฮิ นี้แหละครับงานประจำ� ชนพ : แต่พวกพี่ทำ�งานกันจะไม่ใช่แบบเข้าออฟฟิตประจำ� ก็จะเอ แล้วฮิฮิ ก็ต้องปิดลง คนนึงที่เป็นบรรณาธิการให้อยู่ประจำ�ไป คือพวกพี่แบบกูทำ�ออฟฟิศ ท่านโอ๊ต : เขาเรียกว่าจุดอิ่มตัว ก็เป็นเรื่องของ AD เหมือนเดิมอ่ะ ไม่ไหวว่ะ
79
น้าแวะ : แต่ละคนเป็นฟรีแลนซ์มากกว่าเป็นมือปืนทำ�นู่นทำ�นี่เขียน บททำ�อะไรแบบนี้ เพราะว่าเคยทำ�ประจำ�แล้วก็ออกมาเป็นมือปืน ท่านโอ๊ต : โดยส่วนตัวพี่ พี่เข้าออฟฟิศพี่คิดงานไม่ออก พี่ชอบไปนั่ง กินกาแฟไปดูไปถ่ายรูป แล้วมันจะเห็นแล้วมันก็จะคิดออกเอานั่น มาล้อเอานี่มาล้ออะไรแบบนี้ มันจะเปิดสมองมากกว่า ตอนนั้นก็ เลยเข้าเฉพาะจันทร์ พุธ ศุกร์ พอมันปิดออกมาปุ๊ป พี่ก็คุยกับไอ้ แมน เพราะพี่เคยทำ�หนังสืออยากฝากไว้ในอ้อมใจ พี่ก็คิดว่าทำ�ออก มาสักสามพันเล่มก็น่าจะขายได้เพราะเรามีกลุ่มแฟน เพราะกลุ่มคน ที่อ่านพอเขารู้ว่าเราเลิกทำ�ก็มีอีเมลเข้ามาว่า ทำ�ไมเลิก ก็เลยคิดว่า ทำ�ปิดท้ายแล้วกัน เราทำ�มาทั้งหมด 15 เล่ม ต้นฉบับเล่มที่ 16 เรา ทำ�ไว้แล้วแต่ยังไม่ได้พิมพ์ก็เลยคิดว่าเอาต้นฉบับเล่มที่ 16 มารวมๆ แล้วก็เขียนเพิ่มไปแล้วก็ทำ�เป็นฮิกาซีนออกมาก็เลยเป็นฮิกาซีนเล่ม หนึ่งออกมา แต่ตอนแรกเล่มหนึ่งก็คิดว่าลองทำ�ลองดูลองตลาดดู ว่าเป็นไง แล้วถ้ามันเวิร์คก็คงจะมีเล่มสองเล่มสามออกมา คือมัน เป็นการลงทุนที่บ้านๆ เล่มหนึ่งก็เหมือนการรวมเงินกันระหว่างพี่ แมน แล้วก็วัตร แล้วก็หาคนอีกคนมาช่วยแจมก็ได้พล่ากุ้ง (วรชาติ ธรรมวิจินต์) พล่ากุ้งก็เป็นเพื่อนรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยหกเจ็ดปีที่แล้ว น้าแวะ : คือพล่ากุ้งกับเราเคยเป็นครีเอทีฟให้กับรายการสาระแน ด้วยกัน แล้วก็ออกมาไล่ๆ กัน แล้วก็ไปทำ�โรงเรียนสอนพิเศษ คือ พวกพี่เคยทำ�โรงเรียนสอนวาดรูปกัน หุ้นกันทำ�โรงเรียนติวความ ถนัดแล้วก็เจ๊ง ท่านโอ๊ต : แล้วก็โทรไปชวนพล่ากุ้งว่ามาทำ�หนังสือกันไหม เข็ดรึยัง 80 ถ้ายังไม่เข็ดมาอีก กุ้งไม่เข็ดก็มา ก็เลยกลายเป็นสี่คนมาทำ�ฮิกาซีน
เขียนเพิ่มปุ๊บพิมพ์ออกมาปุ๊บก็หุ้นกันวางเงินไป คราวนี้ช่วงจังหวะ เล่มหนึ่งเนี่ยมันต้องรอสี่เดือนกว่าจะรู้ว่าไอ้เงินที่ตีกลับมามันป็น อย่างไร อย่างหนังสือเวลามันพิมพ์ สายส่งเขาก็จะวางว่าสี่เดือนนะ แล้วยอดมันก็จะทยอยเข้ามาเหมือนเครดิตสี่เดือน น้าแวะ : สมมติเราวางขาย ยอดที่ขายได้เดือนแรกอ่ะ อีกสี่เดือนเรา ถึงจะได้เงิน ถึงจะได้เห็นตัวเลข ท่านโอ๊ต : ช่วงนั้นพวกพี่ก็เลยรอๆ กันอ่ะ รอดูว่ามันจะเป็นอย่างไง พอสี่เดือนมาปุ๊บ น้าแวะ : ถ้าเจ๊งเราจะไม่เจ๊งสองเล่ม ท่านโอ๊ต : ตอนนั้นรอไปแปดเดือน ออกเล่มหนึ่งแล้วก็รอไปแปด เดือนถึงจะมีเล่มสอง น้าแวะ : เพราะว่าจุดคุ้มทุนอยู่ที่เจ็ดเดือนครึ่ง ท่านโอ๊ต : มันจะเป็นอย่างนี้พอออกไปเล่มนึง พวกพี่ก็จะไปเดิน เล่นไปหาอะไรทำ� แล้วแมนก็โทรมาหาพี่ว่าจะทำ�เล่มสองไหม พี่ก็ จะเอาไงดีวะจะทำ�ดีไหมตอนนั้นคือคิดในใจว่าไม่อยากทำ� เพราะ ว่าเล่มหนึ่งมันช้ามากถ้าเล่มสองออกไปอีกมันจะจม เพราะตอนนี้ เรากลายเป็นคนที่ลงทุนเองแล้วอ่ะ น้าแวะ : แต่เราเสนอว่าทำ�เหอะทำ�เล่มสองวางเล่มหนึ่งจะได้วิ่งต่อ คืออะไรที่ออกมาเล่มหนึ่งอย่างเดียวแล้วเงียบไปมันก็จะเงียบไป แต่พอออกเล่มใหม่มาแล้วไม่ได้ซื้อเล่มเก่า พออ่านแล้วชอบมันก็จะ ตามไปซื้อเล่มเก่า ท่านโอ๊ต : คือตอนนั้นเล่มหนึ่งที่เราทำ�มันแบบบ้านๆ พี่ทำ�เสร็จพี่ โยนลงไปให้สายส่งเขาจัดการจบ คือเราไม่ได้ประชาสัมพันธ์ไม่ได้ไป
เดินสายนู่นนี่นั่นอะไรเลย แต่ก็รู้ว่าเอฟเฟกต์มันก็โอเคประมาณนึง อย่างพี่ไปงานสัปดาห์หนังสือพี่ขนหนังสือไปกับไอ้แมนสองคน เล่ม แรกพี่ไปที่บู๊ธ พี่ไม่มีบู๊ธของพี่เองพี่ก็ไปฝากบู๊ธเขาขายพี่ก็ขนไปเลย ห่อนึงสามสิบเล่ม เจ้าของบู๊ธก็บอกว่าน้องไม่ต้องเอามาเยอะหรอก มันไม่ได้ขายดีขนาดนั้นพี่ก็แบบ โห พี่ผมแบกมาแล้วอ่ะ พี่เอาไป หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวผมขนกลับเองไม่มีปัญหา เขาก็จะเออๆ รับก็ได้ เขาก็รับไป แต่พอพี่กลับถึงบ้านปุ๊บเขาก็โทรมาเลยว่าพรุ่งนี้เอามา เพิ่ม พี่ก็เลยรู้ว่ามันน่าจะดี คราวนี้พี่ไปอีกทีคราวนี้ก็แบกไปเยอะ เลย แล้วก็ไปกระจายแบ่งหลายๆ บู๊ธ น้าแวะ : คือเราก็จะเดินเข้าไป สวัสดีครับ เหมือนเข้าไปขายของอ่ะ นึกออกป่ะ สวัสดีครับ ผมทำ�หนังสือแบบนี้ๆ มีรับฝากขายด้วยไหม ครับ แล้วก็จะมีบู๊ธที่แบบว่า ท่านโอ๊ต : เฮ้ย ไม่มีที่วางแล้ว พวกพี่ก็วางๆ ไป ตอนนั้นเล่มหนึ่ง ก็โอเคขายได้ น้าแวะ : ไอ้พวกไม่มที วี่ างนีไ้ ม่เท่าไหร่นะ แต่บางคนเปิดดูแต่ไม่รบั นี้ ไม่เปิดดูยังเข้าใจแต่นี้เปิดดูแล้วไม่รับแปลว่าอะไรว่ะ ฮ่าๆ ท่านโอ๊ต : พีก่ ใ็ ช่วธิ นี มี้ าตลอด จนมีเล่มสองเล่มสามเล่มสีพ่ วกพีก่ จ็ ะ แบกไปประจำ� จากที่เมื่อก่อนคนเดียวถือได้เดี๋ยวนี้มันก็ต้องเป็นรถ เข็นไป ทุกวันนี้เราก็ได้เงินจากการขายหนังสือก็เป็นล้าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลอกตัวเอง คือเรายังไม่พูดถึงขนกลับนะ กลับก็ขนเยอะเหมือน กัน น้าแวะ : แต่เราก็ได้เป็นล้านจริงๆ ร้าน ร้าน ร้าน หลายร้านเลย ท่านโอ๊ต : คราวนี้ก็วนกลับมาเล่มสอง เดี๋ยวทำ�เล่มสองกัน เล่มสอง พี่ก็ยังทำ�เหมือนเล่มหนึ่งอยู่คือขนาดมันจะเล็กๆ พอเล่มสองทำ� ออกมาปุ๊บก็พอดีกลับงานสัปดาห์หนังสืออีก จังหวะพอดีคิดว่าต้อง มีเล่มสามแล้วละ แต่วา่ เล่มสามกับเล่มสองมันจะห่างกันเท่าไหร่ เล่ม สามกับเล่มสองห่างกันประมาณสี่ห้าเดือน แล้วเล่มสามกับสี่ห่างกัน ประมาณสี่เดือน คือมันจะค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ พอเล่มสี่ทำ�ปุ๊บ เล่มห้าเราจะเปิดเป็นออฟฟิศเปิดเป็นบริษัท ก็เริ่มว่าจะมีการขาย AD เริ่มเซ็ตระบบ เต้ย HD : ก่อนเล่มห้าพี่ทำ�เล่มเกาะดมฯ ก่อนนะ ท่านโอ๊ต : เต้ยขอบใจมากเลยว่ะ ลืมเลยนะเนี่ย จังหวะเล่มสี่พวก เราก็ยังสนิทกับพี่โน้ส พี่เขาก็โทรมาชวนพี่บอก เฮ้ย กูจะไปซ้อมเดี่ยว ไปดูหน่อย เดี่ยวแปดพี่ก็ไปกับเขาจังหวะนั่งรถกลับมาด้วยกันก็มีพี่ คนหนึ่ง เขาก็ไปช่วยเล่นดนตรีในงานเดี่ยวเขาก็ถามว่าไปญี่ปุ่นนี่เอา แฟนไปได้ไหม พี่ก็เลยถามว่าพี่จะไปซ้อมเดี่ยวที่ญี่ปุ่นกันหรอ ตอน แรกพี่ก็ไม่ได้คิดอะไรแต่พอกลับมา พี่โน้สจะไปซ้อมเดี่ยวที่ญี่ปุ่น เออกูตามไปด้วยดีกว่าไปเที่ยว ตอนนั้นคิดว่าอยากไปเที่ยวแต่ไหนๆ ไปเที่ยวก็ทำ�หนังสือเลยดีกว่า ก็เลยมาชวนน้าแวะ ตอนนั้นก็มาเจอ มัน คุยกับมันพอดีกับที่ชนพออกจาก ZOO พล่ากุ้งก็มาคุยกันที่บ้าน น้าแวะ ก็คุยว่าเอาเปล่า พี่โน้สเขาจะไปซ้อมเดี่ยวที่ญี่ปุ่นเราก็ขอ เขาไปด้วยเลย ไปทำ�หนังสืออ่ะ ก็คือเราไปเที่ยวโดยไปพร้อมอุดม มีอุดมอยู่ในเล่มบ้าง ไปดูพี่โน้สเล่นเดี่ยวที่ญี่ปุ่นเก็บบรรยากาศเล่น เดี่ยวคุยเป็นรูปแบบของเกาะดมชมโตเกียว เลย ทุกคนเห็นสมควร กันหมดว่าเราต้องไป ก็ไปหาพี่โน้สไปขอแก ตอนนั้นก็คุยกันเหมือน เป็นเชิงธุรกิจเลย พี่ครับเดี๋ยวผมจะทำ�หนังสือเดี๋ยวผมจะเขียนกัน
แล้วก็จะแบ่งเงินจากการเขียน 10% ให้พี่เหมือนเป็นค่าตัวพี่ด้วย พี่ โน้สเขาก็เฮ้ยกูไม่เอา แล้วเขามันกับเราเขาสนุกกับเรา เดี่ยวพวกมึง ไปมึงต้องทำ�อย่างนี้ๆ พวกมึงแบบมั่วๆ เละๆ เพราะพวกมึงแม่ง เป็นกระบี่ไร้กระบวนท่า พี่ก็เลย เฮ้ย พี่โน้สเขามันด้วยเว้ยก็รู้สึกดี ก็ กลับมาเตรียมตัวก็ไป ไปอยู่กับแกประมาณสิบวัน จริงก็ไปอยู่ด้วย กันประมาณ 3 - 4 วัน แล้วก็แบบพี่แกก็ไปเที่ยวแยกกันไป น้าแวะ : เพราะว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่มีงาน ช่วงมีเดี่ยวอะไรแบบนี้ แล้วหลังจากนั้นแกก็จะแยกไปเที่ยวอีกเมืองที่ไม่ไกล ท่านโอ๊ต : เขาก็ไปเกียวโต แล้วพวกพีก่ ย็ งั อยูโ่ ตเกียวต่อ แล้วก็เทีย่ วๆ ไปแล้วก็มาเจอกันวันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ก็กลับมาทำ�เกาะดมชม โตเกียวเนี่ยได้จังหวะพอดีกับ งานเดี่ยวไมโครโฟนของพี่โน้ส พี่เขาก็ ใจดีอีกให้เปิดบู๊ธในงานเขา ขายไปมันก็เหมือนแบบการโปรโมทไป ในตัว จากคนที่แม่งไม่เคยอ่านฮิกาซีนเลย มันมาเห็นหนังสือเกาะ ดมฯ เนี่ย ซึ่งพอคนมันรู้ว่าเป็นหนังสือพี่โน้สคนมันก็ซื้อกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ซึ่งหารู้ไม่ว่าพี่โน้สไม่ได้เขียนเลย นั่นแหละแต่พอมันอ่านก็เลย เขาก็ ชอบกันนะ ก็กลายเป็นแบบว่าพวกที่อ่าน เกาะดมฯ เล่มแรก เล่ม 1 - 2 ปุ๊บ แล้วก็โทรมาบอกว่าอยากจะซื้อเล่มเก่าๆ ย้อนหลังอะไรอย่างนี้ ยอดมันก็เลยเริ่มขยับ คนเริ่มรู้จักกันมากขึ้นก็เลยคิดว่า เออ เฮ้ย ทำ�เป็นแบบรูปบริษัทขาย AD ดีกว่า จากนั้นก็เลยมีการประชุม กัน แบบว่าถ้าอย่างนั้นเราถ้าเราเป็นรูปแบบบริษัทก็ต้องออกให้เป็น รายสัปดาห์ ทุกๆ 2 เดือนออกที ก็จะได้บอกพวกสปอนเซอร์ได้ว่า เราออกทุก 2 เดือน ก็เริ่มทำ�เล่มที่ 5, 6, 7, 8, 9 ตอนนี้มันถึงเล่ม 81 10 น้าแวะ : มันก็หมายถึงว่าตอนแรกเราทำ�พ๊อคเก็ตบุค๊ เนีย่ เราวางราคา ไว้ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรทางออกจากที่เดิมมันราคา 55 บาท ตอน เป็นแมกกาซีนเราต้นทุนก็ไม่ถูกนะ มันใหญ่นะ พอมาตอนเป็นพ๊อค เก็ตบุ๊คน่ะมันจะเป็นอีกแบบนึงราคาก็จะเป็นอีกแบบนึง บางรุ่น มัน ก็มี 100 กว่าบาท 150 - 180 มันเลยมีส่วนต่าง คือว่าแต่ละเล่มคือ การขายมันก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มี AD ท่านโอ๊ต : แต่จริงๆ ตรงนีม้ นั มีการถกเถียงกันเยอะเหมือนกัน เพราะ ใจพี่เองพี่ก็ไม่อยาก ตอนแรกเล่มเเรกเลย 188 บาทเลย แต่พี่ก็ยัง มองว่าลดลงมาหน่อยได้ไหม เพาระว่าพี่ก็กลัวว่าคนจะไม่ซื้อ เพราะ ว่าคนที่เคยซื้อเล่มละ 55 บาท แล้วราคา ขึ้นมาแบบนี้บางทีก็อาจ จะไม่ไปซื้อ ก็คือเราอาจจะหาราคาตรงกลางก็คือ 169 บาท แล้ว ก็ยังมีคนคัดค้านอยู่ดีบอกว่าแพง แต่เขาคือคนที่บ่นเขาจะ มันจะ เหมือนคนที่ไม่รู้ว่า เฮ้ย ราคานี้กูต้องแบ่งให้ขายส่งอีกเกือบ 50% เลยนะ มันไม่ได้เข้ากระเป๋าเราเต็มๆ อะไรอย่างนี้เขาไม่รู้น่ะ AD โฆษณาในพ๊อคเก็ตบุ๊คยังไม่ค่อยเคยเห็นเยอะมากนักในตลาด หนังสือไทย ท่านโอ๊ต : มันมีนะจริงๆ แล้วมันมี ส่วนใหญ่เขาซื้อ AD คัฟเวอร์ ทั้งเล่ม น้าแวะ : ก็เลยมีแบบเล่มโตโยตาขึ้นปกหลัง พวกหนังสือท่องเที่ยว น่ะ แต่ว่าไอ้ที่ทำ�เป็นบุ๊คกาซีนน่ะ คือประเทศนี้ยังมีบุ๊คกาซีนน้อย อย่างของโอเพ่นเขาเริ่มทำ�น้อย October อะไรพวกนั้นน่ะ AD มัน จะเป็นหนังสือของสำ�นักพิมพ์เขาเอง ส่วนใหญ่คนที่จะทำ�จะเป็น
แบบนั้น แล้วเราเป็นเจ้าแรกที่ทำ�บุ๊คกาซีนมาขาย AD อย่างเป็น มาตอบรับกับ AD อันนั้น แล้วก็ออกถี่หน่อย ทางการ น้าแวะ : เพราะว่านี่มันอันนี้มันเป็นราย 2 เดือน 2 เดือนมันนาน ไป แต่ก็เป็นบุ๊คกาซีนที่ถี่ที่สุดของเราแล้ว เพราะว่าของคนอื่นอย่าง ยอดขายเป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นมากน้อยขนาดไหน เร็วก็ 3 เดือน น้าแวะ : ไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นเยอะหรือเปล่า เอาเป็นยอดที่พิมพ์นะ ตอน นี้ยอดพิมพ์เรามากกว่าตอนเป็นแมกกาซีนนะ ถ้าให้เลือกระหว่างฮิฮิ กับ ฮิกาซีน ท่านโอ๊ต : ยอดเหลือก็พอกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้าแวะ : เราชอบคนละแบบนะแต่ชอบอันนี้มากกว่า ด้วยเหตุผล น้าแวะ : มันก็ตอ้ งมีเรตครับ อย่างมันราคา 55 บาท เราเชือ่ ว่าจะขาย สำ�คัญคือ มันเป็นของเราเอง เพราะว่าเราเริ่มพิมพ์เอง แต่ถ้า ได้เยอะกว่าบุ๊คกาซีนเยอะ คือเราคิดว่าฐานมันกว้างมากกว่าเดิม เปรียบเทียบว่าชอบอ่านแบบไหนมากกว่ากัน เพราะว่าถ้าทำ�ออก แต่ว่าด้วยปัจจัยอื่นหรือว่าบางคนเขาไม่ได้ซื้อทุกเล่ม คือบางเล่มนี่ มาระยะห่างแบบไหนมากกว่ากัน เราว่าแบบแมกกาซีนมันออกถี่จะ อ่านของเพื่อนเพราะราคาเท่านี้ชื้อแล้วแบ่งกันอ่านหลายคนอะไร ดีกว่าเพราะว่ามันจะเล่นกับสถานการณ์ได้มากกว่า ส่วนในแง่ของ แบบนี้ใช่มั้ยครับ สุดท้ายแล้วก็คือก็ยังไม่ได้ต่างกันมาก รายได้หรอ สำ�หรับผู้ลงทุนมันก็เทียบกันไม่ได้แล้ว เพราะว่าฐานมัน ท่านโอ๊ต : จริงๆ คนอ่านมันมีหลายแบบนะ พวกที่แบบว่ายืมเพื่อน ขยายใหญ่ขึ้นมาแล้ว มันก็บอกไม่ถูกนะ อ่าน บางคนไปอ่านที่ร้านหนังสือ บางคนซื้อ บางคนแบบสะสม จะ ท่านโอ๊ต : คือจริงๆ ทุกวันนี้พวกพี่ยังรู้สึกขอบคุณทาง Inspire มีแบบบางพวกซื้อทีซื้อ 2 เล่ม มันก็จะมีแบบซื้อเล่มหนึ่งไว้อ่านเล่ม เพราะว่าถ้าไม่มีทาง Inspire มาเปิดหัว ฮิฮิ ให้เราก่อนนะ ฮิฮิ ก็มัน หนึ่งไว้เก็บ แล้วก็มีแบบถ่ายรูปไว้มาดูเป็นเซ็ต คือจริงๆ ก็หารู้ไม่ว่า ก็ยังเกิดไม่ได้หรอก เพราะว่ามันไม่มีที่มาที่ไป พอเราทำ�ไปอีกระยะหนึ่งเราก็จะทำ�บ็อกซ์เซ็ต ฮ่า ฮ่า ฮ่า บางคนก็ น้าแวะ : มีเล่มแรกออกไปนี่แป้กแน่ๆ ใครจะรู้จัก แต่นี่เกิดเพราะ หาเลยนะแบบว่า หาเล่มที่มันพิมพ์ครั้งที่ 1 อะไรแบบนี้ ว่ามีฐานมาแล้วมาเป็นหลักหมื่น ถ้าสมมติว่าวันนี้มี AD โฆษณาเข้ามาเยอะมากจนสามารถเปิด เป็นแมกกาซีนเหมือนเดิมได้จะทำ�ไหม ท่านโอ๊ต : คือถ้า AD มันเยอะขนาดนั้นน่ะ ในตอนนี้ถ้าพี่คิด ถ้า 82 AD มันเยอะมากพี่ก็ยังมีฮิกาซีนต่อไป ยังคงอาจจะมีอีกหัวหนึ่งขึ้น
ได้อะไรจากการทำ�ตรงนี้ ชนพ : มิตรภาพ ความรัก และก็ วิญญาณลูกผู้ชาย เคยท้อกันบ้างไหมแบบว่ามันไม่ไหวแล้ว
เต้ย HD เปิดหารูปที่ตัวเองเคยไปเล่นตลกให้ดู น้าแวะตั้งสกรีนเซฟเวอร์หน้าคอมเป็นรูปสาวๆ
ท่านโอ๊ตบอกตังค์กูหาย 3 พัน!
ชนพ : ทุกวัน (สวนทันควัน) ไม่มีวันไหนไม่ทะเลาะกัน ท่านโอ๊ต : แต่มันทะเลาะแบบที่บางทีเรื่องมันแบบว่าถ้าชาวบ้าน มาเจอเรื่องที่พวกพี่ทะเลาะกัน แบบว่ามึงทะเลาะเรื่องเหี้ยอะไรกัน เนี่ย คือแบบว่าเรื่องที่แบบว่าคนอื่นแม่งไม่ทะเลาะกันนะ เออมา นั่งทะเลาะกันทำ�เหี้ยอะไรวะ มันจะเป็นลักษณะแบบนี้ บางทีเอา ง่ายๆ แบบ เถียงกันไม่ถึงกับทะเลาะหรอก แบบเรื่องปกอย่างเนี้ย ไอ้ห่าแบบนี้ ไอ้ตัวก้อนนี้ขยับซ้ายขวานิดๆ หน่อยๆ แบบนี้อ่ะ อย่างเล่มเซี่ยงไฮ้นี่จำ�ได้เลย พี่ก็เถียงนะเออแบบว่า เซี่ยงไฮ้โลโก้ แม่งไม่กลางว่ะ น้องลองดูดิ เซี่ยงไฮ้เนี่ยโลโก้จริงๆ น่ะมันไม่กลาง
ท่านโอ๊ต : ทำ�งานอะไรมันก็ต้องมี เออคือถ้าไม่มีเถียงมีทะเลาะ มันก็จะไม่มีอารมณ์ขึ้นมามันก็จะไม่เกิดอะไรใหม่ๆ การสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นมันเหนื่อยไหม มีตันไหม? ท่านโอ๊ต : ของพี่ถ้าตันพี่ก็จะเปลี่ยนคอลัมน์เเม่งเลย น้าแวะ : จริง ๆ มันไม่ได้แปลว่าเราทำ�ตลกไม่ได้ แต่ว่า ถ้าทำ�ในรูปแบบเดิม ก็พอเขียนได้แต่ว่ามันตันมั้ยพี่ว่าไม่ตันนะ เพราะ ว่าเอาง่ายๆ อย่างเมื่อก่อนตอนไม่มีเรยา ตอนนี้มีเรยาเราก็มี ทางออกและ เราก็เล่นกับเรยาได้ คือมันมีของใหม่่ให้เราเล่นอยู่
“ทุกครั้งที่ทะเลาะกันมันมาจากความกังวลมากกว่า เหมือนตอนสมัยเรียน ตอนเราทำ�วิทยานิพนธ์เลย แม่งจะเต็มไปด้วยปัญหา สุดท้ายมันก็ต้องเสร็จ แต่ว่าเราก็ต้องพยายามทำ�ให้มันเต็มที่ให้ดีที่สุดตามระยะเวลา พอถึงเวลาที่กำ�หนดที่ต้องส่งงานจริงๆ มันไม่ได้นอนก็ต้องไม่ได้นอน” เฮ้ยมันไม่ อ๋อ ไม่ใช่ๆ จริงมันกลางแต่พี่บอกว่าเราควรชิดแกนนี้ดี ไหม (ชี้รูปตึกที่หน้าปกฮิกาซีนเล่มเซี่ยงไฮ้) แก้ไอ้ตัวหนังสือของไอ้ ตัวข้างล่าง ให้ตัว ฮิ ต้องขยับมาหน่อยนึง แต่ก็จะมีอีกแบบ ไอ้นพ ก็จะบอกว่าเฮ้ยเอากลางดิ ไอ้เหี้ยมึงก็ตรงนี้คือ มีใครรู้มั่งว่าจะกลาง หรือไม่กลางอะไรแบบเนี้ย แล้วก็เถียงกันหมดไปชั่วโมงหนึ่ง บางที ก็มีเรื่องใหญ่ๆ ก็มี มันก็มีบางวาระ อย่างที่แบบ เออเดี๋ยวตาราง งานมันจะเยอะไปไหม พี่ก็เล่มนี้จะทำ�ไหม ไอ้แวะก็จะถ้าอย่างนั้น ก็ต้องรีบส่งงานกัน เพราะว่าเดี๋ยวมันจะมีอีกเล่มมาจี้นะอะไรอย่าง เนี้ย นี่คือความกังวลมากกว่า เออพี่ว่ามันเป็นความกังวล และก็จะ กลัวกัน พอถึงเวลาเอาจริงๆ แม่งมันเหมือนแบบ เวลาเราทำ�งาน เราแบบเหมือนตอนสมัยเรียนตอนทำ�วิทยานิพนธ์เลย แม่งจะเต็ม ไปด้วยปัญหา สุดท้ายแม่งมันก็ต้องเสร็จน่ะ เออแค่นั้นเองคือแต่ ว่าเราก็ต้องพยายามทำ�ให้มันเต็มที่ให้ดีที่สุด ตามระยะเวลา พอถึง เวลาที่กำ�หนดที่ต้องส่งงานจริงๆ มันไม่ได้นอนก็ต้องไม่ได้นอน
เสมอ ชนพ : เล่นได้เรื่อยๆ เพราะว่ามันอัพเดท แต่ถ้าตราบใดที่เราทำ� 83 แล้วมีคนติดตามยังไงก็ไม่หมดแรงหรอก น้าแวะ : แต่ถ้ามันจะเกิดไม่มีข่าวอะไรเกิดขึ้นเลย มันเป็นที่มีการ สูญเสียต่อเนื่องกัน สัก 3 ปี แต่ว่าเออแบบ นี่มันไม่มีอะไรตลกเลย นะเนี่ย ก็คงทำ�ต่อไม่ได้ ท่านโอ๊ต : จริงๆ ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่เขียนมันตลกหมดนะ มันก็ต้อง มีแป้กอะไรอยู่แล้วมันคละๆ กันอยู่ มันก็มีแบบบางอันเราก็รู้ว่า แป้กแน่ๆ แต่ก็เออเราพอใจ ชนพ : เรารู้สึกว่าเราพอใจ ท่านโอ๊ต : เราพอใจที่จะเสนออะไรที่มันแป้กๆ บ้าง เพราะว่าเดี๋ยว เขาเสพแล้วเขาจะไม่รู้ถึงความแตกต่าง หรือบางทีก็ทำ�ให้หน้าว่างๆ ให้เขางง น้าแวะ : ตั้งใจ อ้าวนั่นมึงตั้งใจด้วยหรอ ท่านโอ๊ต : ตั้งใจ ก็กูขี้เกียจเขียน ฮ่า ฮ่า ฮ่า วางตำ�แหน่งงานกันอย่างไร น้าแวะ : พวกนี้ไม่มีทางตันหรอ ท่านโอ๊ต : ไม่มีตำ�แหน่งนะ ก็คือส่วนใหญ่เท่าเทียมกัน ใครอยาก ทั้งหมด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ประสานเสียง) พูดอะไรก็พูดเลย แต่จะมีแบบว่า อย่างพี่กับไอ้แวะเถียงกันได้ หน่อย แต่ไอ้นพมันเถียงไม่ได้เพราะมันเป็นรุ่นน้องที่คณะ ก็คือ ถ้าแบบคิดไม่ออกเลยทำ�ไงจะหาแรงบันดาลใจจากไหน ไม่ใช่เรื่องของตำ�แหน่งที่นี่แต่มันเป็นเรื่องของตำ�แหน่งตั้งแต่สมัย ชนพ : มิตรภาพไง เรียนมา เขาก็จะอยู่แบบเป็นน้องแค่นั้นเอง ส่วนไอ้พล่ากุ้งเพื่อน น้าแวะ : ง่ายที่สุดก็ในอินเตอร์เน็ต รุ่นน้องมันก็แบบมาทำ�มันก็จะไม่ไม่กล้าเถียงเท่าไหร่ ก็จะมีพี่กับไอ้ ท่านโอ๊ต : ของพี่บางทีก็ไปดูหนัง หยุดคิดไปนั่งสยามดูคน ไปอ่าน แวะที่จะอายุที่สุดก็ประมาณ 26 ฮ่า ฮ่า ฮ่า หนังสืออะไรอย่างนี้ ไปซื้อของ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ากลับบ้าน ฮ่า ฮ่า น้าแวะ : พอเถียงกันบ่อยๆ มันก็จะเริ่มรำ�คาญมันก็จะเริ่มเบื่อ เริ่ม ฮ่า แบบว่าเอ่อ เอาเหอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้าแวะ : ไปช่วยเขาทำ�เดี่ยวบ้าง
ท่านโอ๊ต : คือทุกวันนี้มันเหมือนกับในหัวมันไปเจอเรื่องเยอะ พวก พี่ไม่ได้มานั่งที่นี่ทุกวัน อย่างอาทิตย์นี้พึ่งเข้ามาออฟฟิศเป็นวันแรก วันนี้ แล้วช่วงนี้อย่างพี่โน้สทำ�เดี่ยวไมโครโฟน จะเรียกไปช่วยก็ ไป เวลาไปคุยกับพี่โน้สก็จะได้อะไรไหม่ๆ คือการพูดคุย ไม่ว่าจะ เป็นการพูดคุยกันในที่ประชุม ไปคุยกันในวงเหล้า หรือไปคุยกันใน ร้านอาหารอะไรแบบนี้ ประเด็นมันแม่งผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เออถ้าเรา ไม่เมาจนกระทั่งขาดสติก็คงจะจำ�ได้ ก็มาใช้ได้ต่อ ไปเห็นคนหลายๆ แบบ แต่ไม่ได้แนะนำ�ให้น้องๆ กินเหล้านะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้าแวะ : บางเรื่องคือพี่โน้สเขาๆ จะเล่นเรื่องนี้ เขาเล่นแบบนึง เราก็เล่นอีกแบบนึงได้ คือไม่ซ้ำ�ทางกันเล่นได้เพราะว่าคาแร็คเตอร์ มันคนละแบบกัน โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนตลกกันหรือเปล่า น้าแวะ : ไม่ ชนพ : ไม่ครับ ท่านโอ๊ต : ไม่ ชนพ : ซีเรียสจริงจัง แต่ว่าด้วยมิตรภาพแล้วก็ต้องตลกครับ ทั้งหมด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ประสานเสียง)
ชนพ : เอาเป็นว่าพี่เก็บเขามาเลี้ยงแล้วกัน ท่านโอ๊ต : เต้ยเขาอยากเป็นตลกคาเฟ่ แล้วเขาเขียนจดหมายไป หาพี่โน้ส แล้วพี่โน้สก็เลยให้มาช่วยงานที่ทำ�เดี่ยว น้าแวะ : เรื่องของเรื่องคือพี่โน้สเขาใจดีเขาให้บู๊ธเรา แล้วก็ให้เรา เอาหนังสือไปขายในงานได้ส่วนเต้ยใจดีมาเฝ้าบู๊ธให้เรา ท่านโอ๊ต : เต้ยเดินเข้าไปช่วยพี่โน้สแล้วพี่โน้สบอกว่า เฮ้ย ไม่ เป็นไรวันนี้มึงไปช่วยพวกมันจัดหนังสือแล้วกัน เต้ยมันก็เดินเป็น หมีมา พี่ครับมีอะไรให้ผมช่วย มันก็ช่วยพี่อยู่ 2 วัน แล้วหลังจากนั้น มันก็บอกว่า พี่คอมพลีทผม! กูไปทำ�อะไรให้มึงเนี่ย ยูคอมพลีทมี เต้ย HD : พี่แม่งคอมพลีทว่ะ พูดจริงๆ เสียงหัวเราะเปลี่ยนแปลงโลกได้ไหม ท่านโอ๊ต : ไม่ได้ (เสียงดัง) เต้ย HD : เงินเท่านั้นคือพระเจ้า! ชนพ : มันไม่มีอะไรสำ�คัญกว่ามิตรภาพหรอก น้าแวะ : เปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ แต่สร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นได้นิด หนึ่ง ชนพ : เสียงหัวเราะเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเสียงหัวเราะ โลกคงแย่กว่านี้มาก
สามคำ�ให้จำ�กัดความเป็น ฮิ ถ้าวันนึงมนุษย์เกิดไม่มีปากหัวเราะจะทำ�ไง ชนพ : มิด-ตะ-ภาพ ชนพ : เมื่อกี๊พี่ตอบคมไหม น้าแวะ : นั่นมันสามพยางค์ 84 ท่านโอ๊ต : ก็มิตรไง แล้วก็ ตา แล้วก็ภาพ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เลือด สัจจะ น้าแวะ : น้องจดไม่ทัน ลูกผู้ชาย ปลาเก๋า เห่าดง แล้วก็หมูกระทะ โซดา น้ำ� โค้ก ฮ่า ฮ่า ทั้งหมด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ประสานเสียง) ฮ่า ไม่จำ�กัดความแล้วกันเนอะ ไม่มี คำ� จำ�กัดความ นี่ไง สามคำ� ชนพ : เสียงหัวเราะเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเสียงหัวเราะ โลกคงแย่กว่านี้มาก จดไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้าแวะ : บ้าบอคอแตกนับเป็นหนึ่ง ไร้สาระ แหลมคม ท่านโอ๊ต : คือพวกพี่ไม่ใช่อย่างนั้นเอาจริงๆ แบบค้นหาตัวเองไม่ แล้วถ้าเกิด... ชนพ : จดไว้ก่อนนนนน! เมื่อกี๊พี่ตอบคมนะ เจอ ทั้งหมด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ประสานเสียง) ชนพ : ไฮโซ ฉลาด มาดดี ท่านโอ๊ต : เงินหาย สามพันบาท ช่วยหน่อย ใครเอาไปวะ พี่ว่ามัน น้าแวะ : กูชอบตรงที่มันบอกว่า เมื่อกี๊พี่ตอบคมไหม ฮ่า ชนพ : เมื่อกี๊พี่ชนพตอบคมนะ พูดชื่อด้วยเอ้า ฮ่า ไปเรื่อยๆ อย่าไปจำ�กัดความมันเลย ชนพ : กวน มึน โฮ ก็ได้สามคำ� ถึงตาเราแล้วหรือยัง? ท่านโอ๊ต : (มองหน้าเต้ย HD) อ้าว ลืมเล่าว่าเจอเต้ยยังไง น้าแวะ : มาๆ เอาคมๆ ทั้งหมด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ประสานเสียง) ท่านโอ๊ต : มา เต้ย HD : ย้อนยาวเกินไปไหมพี่ฮะ น้าแวะ : อุตส่าห์ทักตั้งแต่ตอนไปทำ�เกาะดมฯ ฮ่า ฮ่า ฮ่า มีดโกน? ท่านโอ๊ต : เออ กูก็ลืมไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านโอ๊ต : โห.. ท่านโอ๊ต : ตอนไปเกาะดมฯ ยังไม่มีเต้ยครับ น้าแวะ : โห.. ชนพ : น้องเขาอยากรู้หรือเปล่า ท่านโอ๊ต : นี่แหละพี่ถึงต้องมีหน้าที่มันแป้กๆ บ้าง ทั้งหมด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ประสานเสียง) น้าแวะ : น้องเขามีพื้นที่จำ�กัดไม่ใช่หรอ ครึ่งหน้าใช่ไหมฮะ ฮ่า ฮ่า น้าแวะ : เมื่อก่อนกูเล่นแค่มีด น้องเขาเล่นมีดโกนมากูรู้เลยว่าของ กูแม่งยังคมไม่พอ ฮ่า ท่านโอ๊ต : เต้ยเป็นเด็กบางมดฮะ อันนี้น้องเอาไปทำ�อีกคอลัมน์ได้ ทั้งหมด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ประสานเสียง) เลยนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เต้ยเขาอยากเป็นตลกคาเฟ่ เกิดวันนึงเสียงหัวเราะหายไป น้าแวะ : เฮ้ย ยาวจริงว่ะ
ชนพทำ�อะไรไม่รู้มองไม่เห็น ตังค์กูหาย T_T
ชนพ : มิสเตอร์บีนจะทำ�ให้มันกลับมาเอง น้าแวะ : เราไม่ต้องทำ�ให้เขาหัวเราะก็ได้ แค่ทำ�ให้หน้าผากของเขา ย่นน้อยลงหรือคิ้วขมวดน้อยลงก็ได้ ถ้าเขาหัวเราะไม่ได้ ท่านโอ๊ต : มันคมเว้ย นี่ดูซิ เนี่ยพอเรามาทำ�ออฟฟิศเอง เราก็ต้อง ดูแลเรื่องพวกนี้เอง (หยิบเอกสารให้ดู) ซึ่งค่อนข้างน่าเบื่อเหมือน กัน เพราะว่ามันไม่ใช่สไตล์พวกพี่เลยที่ต้องมานั่งดูเรื่องเกี่ยวกับ พวกบัญชี ทำ�เอกสาร ไม่สนุกเลยเกี่ยวกับการทำ�แมกกาซีน สำ�หรับ พี่นะตอนทำ� ฮิฮิ สนุกกว่า เพราะมันไม่ต้องมาทำ�อะไรยุบยิบ
แหละ น้าแวะ : จำ�ไม่ได้หรอกว่ามันรักอันไหนมากกว่า กัน แต่ถ้าถามว่า เล่มไหนที่แบบมันออกมาแล้วรู้สึกดี ก็ต้องเล่มเเรกแหละ ตอนที่มัน ออกเล่มแรกเลยเพราะเราไม่ได้มีหัวมาก่อน เราเพิ่งมาเปิดตัว
มองว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ชนพ : จมน้ำ� ถึงฮิกาซีนจะไม่มีอยู่ แต่มิตรภาพจะไม่เคยจางหาย น้าแวะ : มันอาจจะไปอยู่ในไอแพดรุ่นเวอร์ชั่นแปด ชนพ : ก็คงมีเรือยอร์จคนละลำ� พวกพี่ก็คงแยกกัน แต่ก็ยังโทรหา กัน น้าแวะ : ไม่ อีก 10 ปีน่ะ เราต้องฉลอง 15 ปี เพราะตอนนี้ 5 ปี แล้วใช่มั้ย นี่เล่ม 2 ก็ครบ 5 ปีแล้ว ฮิฮิ เกิดวันที่ 1 ธันวา
ยังมีถ้อยคำ�และเสียงหัวเราะอีกมากมาย พรั่งพรูออกมาจาก ทีมงานฮิกาซีนไม่ได้ขาด หน้ากระดาษเหล่านี้คงไม่สามารถเพียงพอ กับมิตรภาพและความรักที่พวกเขาเหล่านั้นมี ความรักที่หลอมรวม มาเป็น “ฮิกาซีน” ถ้าคุณอยากจะคลายรอยย่นที่หน้าผากก็ลองเปิด อ่านดู แต่อย่าขำ�ในที่สาธารณะล่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ชอบเล่มไหนที่สุด ชนพ : ชอบทุกเล่มแหละ แม่จะเลือกได้ไงว่ารักลูกคนโตหรือลูก คนเล็กมากกว่า ลูกก็คือลูกทุกคน ใครเดือดร้อนก็เอาตังค์ไป จริงๆ มันก็ต้องตอบได้ แต่เราก็จำ�ไม่ได้หรอกเล่มไหนเป็นเล่มไหนนั่น
อ่านฮิกาซีนแล้วได้อะไร น้าแวะ : อยากให้คนอ่านได้คิดอะไรแปลกๆ โลกเราจะเปลี่ยน แปลงได้ถ้าเราทำ�อะไรที่แปลกไปกว่าเดิม
K-pop บวกหรือลบ
86
เราเกิดมาในยุคของการไหลเวียนของวัฒนธรรม ประโยคข้างบนน่าจะบอกเล่ายุคของเราได้ดีที่สุด วัฒนธรรม ไทยเป็นวัฒนธรรมเปิด เรารับเอาหลากหลายวัฒนธรรมมาผสม ผสานรวมเป็นเรา อย่างความเชื่อด้านพราหมณ์ – ฮินดู ที่เข้า มาผสานตัวรวมกันเป็นไทยตอนนี้จนกลายเป็นเนื้อเดียว หรือ จะเป็นการแสดงออกด้วยการจับมือ ไปจนถึงความนิยมอาหาร ประเภทแฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ของชาวต่างชาติที่เราเรียกติดปาก กันว่า “ฝรั่ง” เหล่านี้ ก็เป็นการไหลของวัฒนธรรมแบบหนึ่ง แต่ใน ตอนนี้คงจะเถียงไม่ได้เลยว่า กระแสเคป๊อบ หรือ K – pop ของ ประเทศเกาหลี กำ�ลังไหลแรงดุจลมพายุเลยทีเดียว ดูท่าจะไม่เบา ลงง่ายๆ เสียด้วย ทุกวันนี้หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่เกาหลี เปิดทีวีเจอศิลปิน เกาหลี ละครเกาหลี ออกจากบ้านมากหาอะไรกินก็ยังเจอร้าน อาหารเกาหลี ขนาดหนีไปเดินห้างก็ยังเจอเด็กๆ เต้นโคฟเวอร์วง เกาหลีอีก เรียกว่า เค ป๊อบ กระจายอยู่ทุกหัวระแหงในประเทศ เลยก็ว่าได้ กระแสเกาหลีเริ่มจะไหลเข้าสู่ประเทศมาได้ประมาณ สัก 8 – 9 ปี แล้ว ช่วงยุคก่อน เค ป๊อบ ก็จะมี เจ ป๊อบ หรือ J – pop ไหล เข้ามาก่อน อย่างยุคของเด็กหนุ่มหัวทองเต็มสยามเลียนแบบทรง ผมวงร็อคญี่ปุ่นอย่าง glay, KAT-TUN, Arashi และอีกมากมาย ก็ นำ�พาอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาไม่ได้น้อยกว่ากระแสเกาหลีเลย แต่ช่วงนี้ก็ดูจะดร็อปลงไปเพราะว่าเกาหลีมากแรงกว่า เรน หนุ่มเกาหลีที่เป็นชายในฝันของสาวไทยก็ดังจนขนาด มาเปิดคอนเสิร์ตในอิมแพ็คอารีน่าแบบคนเต็มฮอลได้ เมื่อ 7 ปีที่ แล้ว คงจะสามาระการันตีได้อย่างดีว่า ดังขนาดนั้น นอกจากนั้นยัง มีบอยแบนด์ที่ขนานนามตัวเองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโลกตะวันออก อย่าง ดงบังชินกิ ก็ตามเรนมาติดๆ รัฐบาลเกาหลีให้ความสำ�คัญมากกับการเผยแพร่ความเป็น เกาหลีให้แผ่กระจายไปสู่ประเทศต่าง โดยมีการลงทุน และวาง นโยบายเรื่องการส่งสินค้าทางวัฒนธรรมในตลาดเอเชีย โดยจัดทำ� แผนปฏิบัติการและพัฒนาบุคลากรฝ่ายสร้างสรรค์ เนื้อหาสาระ ด้านเพลง ละคร ภาพยนตร์ ด้วยนโยบายของภาครัฐ และความ
พร้อมของภาคเอกเชน ทำ�ให้สินค้าทางวัฒนธรรมของเกาหลี ประสบความสำ�เร็จด้านการตลาดในประเทศต่างๆ อย่างมาก อย่างที่ได้เห็นในปัจจุบัน ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียงเอเชียแล้ว เกาหลีตั้งใจจะนำ�เทรนด์เคป๊อบ เข้าสู่อินเตอร์แล้ว อย่างล่าสุดคือการเปิดคอนเสิร์ต เอสเอ็ม ทาวน์ ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตรวมศิลปินของค่ายดัง ณ ฝรั่งเศส ซึ่งก็ประสบ ความสำ�เร็จ ถือเป็นการประกาศกร้าวว่า เคป๊อบ เวิล์ดไวด์ ทัวร์ มัน มาถึงแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะการันตีว่า เคป๊อบ เริ่มครองใจสาวนัยน์ตาน้ำ� ข้าว คงเป็นการสำ�รวจยอดวิวส์ของคลิปมิวสิควิดีโอต่างๆ ในยูทูบ ที่พบว่า ยอดผู้ชมส่วนใหญ่มากจากฝั่งยุโรป และอเมริกาแทบทั้ง สิ้น วิภว์ บูรพาเดชะ นักเขียนชื่อดัง ให้ความเห็นว่า “พี่ว่า มาถึง วันนี้มันก็หลายปีแล้วเนอะ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็บอกเดี๋ยวมันก็ ผ่านๆ ไป เดี๋ยวนี้รู้สึกว่ามันอาจจะไม่ผ่านไปง่ายๆ มันก็มีวัยรุ่น ไทยชอบเยอะกว่าสมัยเจป๊อบ ญี่ปุ่นอาจจะมีเด็กบางคนบอกว่า ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะฉันชอบญี่ปุ่นหรือนักร้องญี่ปุ่น มันก็มี แต่ว่าตอนนี้มันเยอะกว่า ถ้าถามว่าแฟชั่นมั้ยก็ส่วนหนึ่ง ในแง่คอน เทนต์มันก็มีอะไรที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน นักร้องเพลงเกาหลีก็เริ่ม มีคาแร็คเตอร์ชัดเจน ละครเกาหลี หนังเกาหลี มันก็มีความหลาก หลายพอสมควรด้วย แต่ที่น่าชื่นชมก็คือเขารู้สึกว่าในเชิงรัฐบาล ในวงรัฐบาล เขาก็มีการส่งเสริมอย่างจริงจัง มันเป็นเหตุผลที่ทำ�ให้ กระแสเกาหลีไม่พังไปง่ายๆ มีการส่งเสริมอย่างครบวงจรโยงไป เรื่อยๆ การท่องเที่ยว เขาทำ�เรื่องนี้จริงจัง ถ้ามองในแง่บวกคือว่า ของไทยมีอะไรที่น่านำ�ไปขายได้มากกว่าเกาหลีตั้งเยอะ แต่ว่าภาค รัฐไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ บลูเชอร์เบ็ต แห่งเว็บไซต์พันทิป คอลัมนิสต์นิยสารเกาหลี หัวหนึ่ง อธิบายเพิ่มว่า “รัฐบาลช่วยเหลือเต็มที่แล้วก็หนุนกระแส เคป๊อปอยู่ เขาบอกว่า 10% ของสินค้าเกาหลีตอนนี้คือบันเทิง แล้วอีกอย่างก็คือเหมือนแบบเรื่องอินเทอร์เน็ตช่วยนะ บ้านเขา เน็ตเร็วมาก แล้วผู้คนก็แตกตื่นอย่างคนญี่ปุ่น จริงๆ ไอดอลญี่ปุ่น ขายเป็นจำ�นวนแผ่นซีดี ญี่ปุ่นขายดีกว่าเกาหลีหลายเท่านะ แต่ ทำ�ไมถึงไม่ค่อยกระตือรือร้น เพราะว่าเขาไม่ได้เปิดประเทศสำ�หรับ
คนนอกแล้วสื่อส่วนใหญ่ก็จะทำ�เป็นหนังสือเป็นนิตยสาร แต่ว่า นิตยสารถ้าไปเดินเกาหลีแบบว่าไม่ค่อยเจอแม็กกาซีนเลย มีน้อย เล่มมากที่ยังเหลือในตลาด แล้วทำ�ออกมาก็เพื่อขายแฟนชาวต่าง ประเทศ ด้วยความที่ทุกอย่างมันอยู่ในอินเทอร์เน็ตหมดเลยแล้วก็ หาง่ายหาเร็ว แล้วแฟนคลับก็มีวัฒนธรรมแฟนดอมที่เหนียวแน่น ด้วยทำ�ให้คนอิน มีรายการพักผ่อนอะไรต่างๆ เยอะมาก แล้วแฟน คลับก็แข่งกันแปลข่าวไม่ต้องใช้นักข่าวช่วยเลย ทุกอย่างเลยเวิร์ลด์ ไวด์ได้เร็วมากไม่ต้องใช้นักข่าวเลย” เด็กไทยชอบเกาหลีมาก ทำ�อย่างไร? “สำ�หรับพี่ พี่ว่าต้องนิยามว่าคือบ้าเกาหลีมันบ้ายังไง พี่ว่า ไม่มีคนบ้าอะไรหรอกที่มันดี คำ�ว่าบ้า อย่างคนบ้าพระเครื่อง คน บ้าไก่ชนอย่างนี้ ถ้าไม่อยูในจุดที่ว่าบ้าหมกมุ่น ก็คือไม่ดีทั้งนั้น แต่ถ้าเกาหลีหรอ พี่ว่าถ้าอยู่ในจุดที่หมกมุ่นก็คือไม่ดี แต่ถ้าเรายัง บาลานซ์ชีวิตได้ก็ถือว่าโอเคนะ มองเป็นงานอดิเรกมากกว่า” บลู เชอร์เบ็ตกล่าว วัฒนธรรมเรามันเป็นการไหลเข้าออกเราไม่สามารถปิดได้ แน่นอนว่าการคลั่งไคล้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็มีอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่ วงการเพลงไทยเรามีความหลากหลายมากขึ้น เด็กไทย หลายคนนิยมเรียนเต้นเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ การ เรียนภาษาเกาหลี การเรียนเทควันโด้เป็นศิลปะป้องกันตัว และอีก เยอะแยะมากมาย ส่วนข้อเสียก็มีให้เห็นเยอะแยะเช่น การคลั่งไคล้จนทำ�ให้เสีย การเรียน การโดดเรียนไปตามศิลปิน การอ่านนิยายวาย (นิยาย วาย คือ นิยายที่ตัวเอกเป็นเพศเดียวกัน มี 2 แบบ คือ Yaoi - ชาย
ชาย กับ Yuri – หญิงหญิง ซึ่งเป็นที่นิยมอ่านมากในกลุ่มแฟนคลับ) “ข้อดีของเขาก็มีนะ เป็นพวกความตั้งใจ คือที่ถามว่าอย่าง รายการที่คัดคนคัดพวก เดอะสตาร์ อคาเดมี แฟนเตเชีย แอลจี สตาร์ชาเลนจ์ แต่ไอดอลบ้านเราเหมือนอยู่ได้เพราะข่าวคาว คือ ตอนแรกเข้าไปก็ว่าจะตั้งใจทำ�งาน แต่พอปุ๊บก็มีข่าวคุณรักคนนั้น คนนี้แล้วหรือคะ ได้ข่าวว่าคุณเกาเหลากับคนนั้นคนนี้ ได้ข่าวไปมั่ว ในผับ ทำ�ไมไม่โฟกัสงานคุณเลย คือแบบว่าบ้านเราไม่ได้เสพสิ่งที่ เป็นศิลปะบันเทิงซะทีเดียวอะไรอย่างนี้ ผิดกับเกาหลีที่เขาแบบให้ คุณดูแบบ อย่างบิ๊กแบงเนี่ยะ บิ๊กแบงเดบิวต์มากี่ปีแล้ว เขายังตั้งใจ ซ้อม แล้วแบบว่าผมจะซ้อมให้หนักให้เต็มที่ คือไอ้คำ�พูดแบบนี้ ถ้า เป็นศิลปินบ้านเรา เราไม่ได้ว่าเราไม่ดีนะแต่พอผ่านอัลบั้มที่ 2 ไอ้ คำ�พูดที่ว่าเราจะตั้งใจทำ�งานให้หนักแล้วมีภาพซ้อมให้ดูว่าหนัก จริงๆ น่ะมันมีน้อย” บลูเชอร์เบ็ตให้ความเห็น “พี่มองว่ามันจะมีข้อเสียมากกว่าข้อดีนะ” พี่วิภว์กล่าว “มันเหมือนการเป็นสงครามเชิงวัฒนธรรม ตอนนี้มันกำ� ลังแพ้ๆ อยู่ แล้วก็มันทำ�ให้ สมมุติว่ามีเด็กวัยรุ่นจำ�นวนหนึ่งใน ประเทศไทย ถ้ามีคนชอบกระแสต่างประเทศมากกว่า ชอบ วัฒนธรรมต่างประเทศมากกว่าของไทยเนี่ย มันก็ทำ�เหมือนให้ วัฒนธรรมของไทยถูกลืมไป ซึ่งในวิกฤติก็มีโอกาสอยู่บ้าง เช่นถ้า บางทีเรามองว่ามันเกิดปัญหาอยู่บ้างเนี่ย มันก็จะมีคนคิดจะแก้ ปัญหาหรือพลิกกระแส มันมีโอกาสให้ทำ�เยอะแยะ เพราะว่าของ ไทยมันเก่งๆ อยู่เยอะ ทั้งดั้งเดิมหรือว่างานบันเทิงศิลปะร่วมสมัย ก็มีคนคิดเก่งๆ เยอะแยะ แล้วพูดถึงกระแสของไทยในเมืองนอก 87 เท่าที่พี่เช็คๆ กับคนในวงการเขาก็บอกเราอธิบายน้อยลงแล้ว แต่
88 ก่อนพูดถึงไทยคนก็จะเข้าใจเป็นไต้หวัน เดี๋ยวนี้หนังไทยมันค่อน ข้างจะปักธงในต่างประเทศได้ แต่ว่าในวิกฤติก็มีข้อดีเหมือนกัน คือปัจจุบันศิลปินไทยทั้งหลายตั้งแต่เพลงที่เป็นเรียลอาร์ต คนทำ� เพลงอินดี้ คนทำ�เพลงแมส แกรมมี่หรือว่าอาร์เอสหรือว่าวงการ หนังไทย มีความหลากหลายมากขึ้นเนื่องจากรัฐบาลไม่เคยสนใจ ไง ก็มีอาการดิ้นรนด้วยตัวเองไปได้เยอะพอสมควรแล้ว หรือว่า มีประสบการณ์โกอินเตอร์ด้วยตัวเองพอสมควร ถึงจะล้มลุกคุก คลานบ้าง ถ้ารัฐบาลยื่นมือเมื่อไหร่ก็แทบจะไปได้ทันที” การหลั่งไหลของกระแสเคป๊อบเปลี่ยนแปลงหลายอย่างใน สังคมไทย โดยเฉพาะวงการเพลง ตอนนี้หลายค่ายเพลงดูจะหันมา จับกระแสเคป๊อบเพื่อเพิ่มยอดขายกันอยู่หลายค่าย แล้วทีป๊อบ จริงๆ ยังพอมีโอกาสจะสู้เขาได้ไหม? “พี่เชื่อมั่นในทีป๊อปเสมอนะ แบบในยุคพวกเราก็ทันใช่ไหม แบบพวกแร็พเตอร์อะไรแบบนี้ แบบช่วงวัยกระเตาะๆ นี่ถ้ายุค นั้นเทียบได้สบายๆ เลยนะ อีกอย่างช่วงนั้นไอดอลมันคือเฟื่องฟู จริงๆ แล้วแฟนคลับก็อยู่ในวัฒนธรรมที่แบบว่า อย่ามาแตะต้อง จอนนี่นะ อะไรที่แบบจอนนี่ไม่ผิดนะ แต่ว่าตอนนี้มันคือไม่ใช่ไง บอยแบนด์เกิร์ลกรุ๊ปวงนี้เออจริงด้วยแหละตอหลดตอแหล เออ แล้วแบบถามว่าคุณจะเอาไอ้ที่ว่าถ้าแบบเฟะๆ แบบนี้ไปขายเมือง นอกหรอ ในเมื่อเมืองนอกเขาต้องการคนที่คลีนน่ะ แต่คุณดันเอา พวกนี้ไปขายน่ะคุณเองยังไม่รักไม่คิดจะปกป้องกันเองเลย แต่พี่ก็ คิดว่าคนไทยไม่ได้เลวไปกว่าเกาหลีเลย คนเกาหลีก็งั้นแหละมีแฟน มีเรื่องชู้สาวมันเป็นเรื่องของวัยรุ่น แต่คือค่ายเขาเก่งที่จะควบคุม
คอนโทรลศิลปินให้อยู่ในกรอบได้ พี่ไม่ได้บอกว่าเขาปิดข่าวนะ แต่ พี่คิดว่าเขาค่อนข้างที่จะดูแลดีในจุดนี้ อย่างที่แบบพัฒนาในตัว อิมเมจแบบนี้ เรื่องอิมเมจก็สำ�คัญ” บลูเชอร์เบ็ตทิ้งท้าย ส่วนพี่วิภว์ แนะนำ�ว่า “พี่ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นได้ เพราะว่า เมื่อตอนเราเป็นวัยรุ่นเด็กๆ เราก็ชอบอะไรตามเพื่อนนะ เหมือน กับว่าการเสพงานบันเทิงเป็นเพื่อการเข้าสังคมกับเพื่อน เราชอบ เกาหลีเราชอบกามิกาเซ่อาจจะไม่ห่างกันมาก ก็ยังมาคุยกันได้บ้าง แต่ถ้ามาชอบแบบเมทัล อาจจะดูหลุดมาก สมมติถ้าเริ่มจากกามิกาเซ่ บางเพลงพี่ว่ามันโอเคนะ ถ้าเราไม่ได้ยึดติดกับตรงนี้มาก อาจจะพัฒนาต่อไปได้ ฉะนั้นเพลงเกาหลีเองก็ไม่ได้ยึดติด แบบ ชั้นชอบชอบเกาหลีเท่านั้น แล้วพอมาลึกซึ้งเอ๊ะมันเป็นแค่ มันเป็น ป๊อบแดนซ์ เป็นอิเล็กทรอนิกส์ มันเป็นเพลงร็อคอะไรอย่างนี้แล้ว ร๊อคประเทศอื่นเป็นยังไง แบบนี้คือในการเสพงานบันเทิงโดยที่เรา มองที่คอนเทนต์ของมัน หากเราจะมองแค่สิ่งที่ฉาบอยู่ข้างหน้า มันก็ทำ�ให้การเสพงานนั้นแล้วไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ “ดนตรีไม่มีภาษา” ตราบใดที่คำ�นี้ยังเป็นความจริงไม่แน่อีก 10 ปี คนเกาหลีอาจจะกำ�ลังคลั่งไคล้ทีป๊ออยู่ก็เป็นได้
ซอกแซก
?
อยากได้ตัวการ์ตูนตัวไหน มาเป็นนายกฯ
เลือกโดเรม่อนแล้วกันครับ เพราะว่าอย่างน้อยเห็นก็ อารมณ์ดีแล้ว เพราะทุกวันนี้เวลาเห็นนักการเมืองแล้ว จะหงุดหงิดน่ะครับ คือถ้าเห็นหน้าก็รู้สึกอารมณ์เสียแล้ว อย่างน้อยถ้าเกิดทุกครั้งที่เห็นนักการเมืองมาแล้วหน้าตา เป็นโดเรม่อน ก็คงจะทำ�ให้สุขภาพจิตดีขึ้น แล้วลอง แบบนึกถึงภาพเวลาประชุมสภาแล้วก็ทุกคนหน้าตา เป็นหุ่นยนต์แมวไปหมด นึกภาพดิ แล้วมันจะเถียง อะไรกันเราก็คงให้อภัย ที่สำ�คัญคือโดเรมอนมัน ไม่ได้น่ารักอย่างเดียว มันเก่งด้วยนะครับ มัน สามารถคว้ า อาวุ ธ ในกระเป๋ า มาแก้ ปั ญ หาได้ ด้วย รถติดหรอเจอนี่เข้าไป มีคอรัปชั่นหรอเจอ นั่นเข้าไป มีม็อบหรอเจอนี่เข้าไป ปืนย่อส่วนยิง เข้าไป ม็อบทั้งหมดเหลือตัวเท่ามดเลย มันน่าจะ มีความสุขกันดีนะ ฮ่า ฮ่า
เป็นชินจัง เพราะว่า ชินจังมันดูขี้เล่น ทุกวันนี้ สังคมมันเครียดบางทีเราไม่ต้องไปคิดอะไรขนาดนั้น บ้างก็ได้ ช่วยทำ�อะไรให้มันสนุกสนาน ทำ�ให้ชีวิต ประจำ�วันมีความสุขก็ดีแล้ว เราไม่จำ�เป็นต้องเครียด กับมันมาก แค่นี้ก็เครียดกันพออยู่แล้ว
89
ก็คงเลือกโดเรมอน คิดว่าคนน่าจะตอบ โดเรมอนเยอะ เพราะรู้จักตัวละครอื่นน้อย เพราะว่าโดเรมอนมันมีอุปกรณ์เยอะ คิดว่า ถ้าเรามีนายกหรือมีผู้นำ�ที่มีอุปกรณ์ในการแก้ ปัญหาบ้านเมืองได้เยอะ มีทางเลือกที่หลาก หลายแบบนี้ และก็มีเจตนาที่ดี โดเรมอน เป็นตัวการ์ตูนที่มีเจตนาดีชอบช่วยเหลือคน อื่น เวลาที่โนบิตะแย่เกินไป โดเรมอนก็ตบหัว เตือนเหมือนกันอะไรแบบนี้ ถ้าได้โดเรมอน มันก็น่าจะดี
90
รู้จักตัวการ์ตูนเยอะด้วยดิ ขอคิดแป๊บนึง ตัวการ์ตูนที่เลือกก็คงเป็น มิกกี้เมาส์แล้วกันครับ เพราะว่ามิกกี้เมาส์นี่เป็นพระเอก เป็นพระเอก ตัวชูโรงของวอลท์ ดิสนีย์นะ และก็คือเรา อยากให้ สังคมตอนนี้ มี พ ระเอกที่ เ ป็ น พระ เอกจริงๆ เป็นคนที่แบบเป็นผู้นำ�จริงๆ เป็น พระเอกของเรา ที่ออกมาพูดแทนความคิด ของเรา แล้วเราก็รู้สึกศรัทธาในตัวเขาได้
มาเป็นผู้นำ�นายกงั้นเลยหรอ อืม ก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้เตรียมเลย ไม่ทันตั้งตัวเลย แต่ ถ้าเลือกได้หรอ นึกไม่ออก ตอนแรกก็ว่าจะเลือกโดเรมอน แต่ว่าประเทศคงจะดีเวอร์ไป หน่อย ไม่เลือกได้มั้ยเป็นคนธรรมดาแล้วกัน ผมว่าเพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เป็นคน ธรรมดาแล้วก็มีผิดมีถูก มีดีมีชั่ว แต่ว่ามันเป็นธรรมดา เราไม่สามารถที่จะเอาใครที่แบบมี อภินิหารมา แบบว่าแก้ไขดลบันดาลให้มันดีขึ้นในชั่วข้ามคืน แล้วเราก๊ไม่หวังด้วย อย่างคน ธรรมดาที่คนในประเทศเห็นว่าควร เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าควร ใครก็ได้ เพราะยังไงสุดท้าย เราก็ต้องเรียนหนังสือ ทำ�งานทำ�มาหากินไปเรื่อยๆ คนที่เป็นคนธรรมดานี่แหละ ที่เห็น ทำ�งานจริงๆ เต็มที่ มีความสุขกับการเป็นนายกที่ดีผมก็ว่าโอเคนะ เห็นด้วยไม่ต้องเป็นตัว การ์ตูนที่แบบจะดลบันดาลโชคให้เราได้เพียงข้ามคืน
“เคยมีคนบอกว่าเหมือนเล็งสูงๆ ไว้ก่อนน่าจะเวิร์ค ถ้าเราเล็งต่ำ�ของจริงมันก็จะยิ่งต่ำ�กว่าอยู่แล้ว”
เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์
“ไม่มีหนังเรื่องไหนหรอกที่ดีไม่ดี มันมีแค่ชอบกับไม่ชอบ”
ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์
“ศิลปะมันอยู่ในทุกอย่างได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เราจะเอาไปใช้ยังไงแค่นั้น”
ธัญลักษณ์ เตชศรีสุธี
“เราถูกสอนให้เห็นว่าเรื่องเพศมันเป็นเรื่องสำ�คัญเกินไป คนเกิดมามีจู๋ต้องเป็นพ่อ คนมีจิ๋มต้องเป็นแม่แล้ว ก็เอาบทบาทหน้าที่สังคมมาใส่ แล้วคนเกิดมามีจู๋แต่อยากเป็นแม่ได้ไหม?” ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์
บานตะไท เยอะแยะ มากมาย บานตะไท