watchthispace

Page 1

WATCHTHISPACE

80 ฿ October 01 vol.1




Please! DRIVE YOUR DREAM

“ความฝัน”

ในช่วงเวลาของชีวิตที่ต่างกันมันก็มักจะต่างกันเสมอ ช่วงเด็กประถม พ่อแม่ก็จะชอบถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” ครู หมอ ทหาร มักเป็นคำ�ตอบสุดฮิต แน่นอนฉันเองก็เคยตอบ ว่าอยากเป็น “หมอ” โดยที่ยังไม่รู้เอ๋อะไรว่า หมอ ควรจะมีไอคิวสูงกว่า 103 (ไอคิวฉัน) และควรจะรักเด็ก พอโตขึ้นมาหน่อย เวลาครูถามอยากเป็นอะไร ฉันตอบว่า “นักดาราศาสตร์” เพราะอะไรหรอ ฉันไม่รู้หรอก รู้แค่ว่า โหวว...มันโคตรเท่เลยว่ะ นักวิทยาศาสตร์นี่ไม่เอานะ ต้องเป็นนักดาราศาสตร์เท่านั้น ยังไม่รู้ไงว่า จรวดที่เราเห็นบนท้องฟ้าน่ะ มันเป็นเครื่องบินไอพ่น ช่วงมัธยมคงเป็นช่วงที่ความฝันของหลายคนกำ�ลังแตกฟอง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือทางตรง เริ่มมีการคิดว่า จริงๆแล้วเรา ชอบอะไร ความฝันตอนนัน “อยากเป็นดีเจ” เคยแม้กระทั่งนั่งล้างจานไป ปากก้อติต่างว่า ช่วงระยะเวลาในการล้างจานนั้นเป็นชั่วโมง ที่เราต้องจัดรายการ แถมพอแนะนำ�เพลงจบเราก็ร้องเองไปด้วย สนุกกับความฝันตัวเองมาสักระยะ จนมาถึง ม.ปลาย ด้วยความ ติ๋ม(เวลาอยู่กับแม่)ครอบครัวจึงอยากให้เรียนพยาบาล ฉันไม่เคยบอกแม่ว่าอยากหรือไม่อยาก แค่เลือก 4 อันดับคณะ ในระบบแอด มิชชั่น เป็น นิเทศศาสตร์ ทั้ง 4 อันดับเท่านั้นเอง แน่นอนว่า ทางเดินตามความฝันของฉันเริ่มเป็นรูปร่าง จับพลัดจับพลูกลายมาเรียน วารสาร แน่นอนว่า ตอนนี้ความฝันคงไม่ได้อยู่ที่ หมอ พยาบาล นักดาราศาสตร์ หรือดีเจแล้ว แต่”ความฝันของฉัน” กำ�ลังอยู่ในมือคุณ ขณะนี้ ไปดูความฝันของฉันพร้อมๆ กัน

จุฑารัตน์ หัสจุมพลุ บรรณาธิการ Dangnoi_yc@hotmail.com


watchthispace

W.C. 2 7 9 11 13 19 23 24 26 29 31 32 33 43 45 47 49 51

INTER ACTION

ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เดือนตุลาคม 2552 บรรณาธิการ จุฑารัตน์ หัสจุมพล ภาพถ่าย จุฑารัตน ์หัสจุมพล

: ใบพัดกับการเดินตามความฝัน

Valentine : รักแห่งเขมร

MaY...I : คนสร้างเมือง Boomerang : SALE 30-50% THE CULTURE CLUB VOL-1

การ์ตูน - ไอ้แป้น

FEEL&FELL : โลกของแดงน้อย

Break a part : วินทร์ เลียววาริณ WATCHIT : เรื่องป่วยๆ ของคนโรงแรม

watch-wash

: 50 ข้อ โฆษณาไทย

งู งู ปลา ปลา : แป๊วแว๊ว Flash-PHOTo Hot-idol : เผ่าพันธ์ WWW. : Google แม่งชักรั่ว SHUTTER-B LET’s GO : ครั้งหนึ่งเคยพิชิต “ภูกระดึง” Once upon a time : คุณยังจำ�โฆษณาเหล่านี้ได้ไหม เรื่องสั้นดันยาว : สุข(ข์)


ใบพัด หมุนไม่ได้ด้วยตัวเอง เราก็เหมือนใบพัดและกัน เอาเป็นว่าเราเป็นสื่อกลาง เราหมุนด้วยตัวเองไม่ได้ หากขาดสิ่งรอบข้าง watchthispace อ1


INTER ACTION เรื่อง / ภาพ >แดงน้อย

เสี ย ดาย...เจ้ า ชั ย น้ อ ยไม่ มี แ ขน หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “เขียนหนังสือท่องเที่ยวเขียน ยังไงก็ขายได้ทั้งนั้นแหละ” เลยทำ�ให้บางครั้งเราเริ่มรู้สึกว่า เขียนหนังสือ ประสบการณ์ท่องเที่ยวนี่คงเป็นการตามกระแสตลาดสินะ แต่จุดกำ�เนิดของ หนังสือชื่อดังอย่าง “เสียดายคนอินเดียไม่ได้อ่าน” “ฟินด์แลนด์ไม่มีแขน” กลับ ไม่ได้มีที่มาอย่างที่หลายคนเคยพูดเอาไว้ เขาคนนั้น เลือกที่จะเดินไปตาม ความสัญชาติญาณแห่งความเป็นนักเขียนมากกว่าเดินตามตลาด (แฉะจะตาย ตลาดเนี่ย อี๋..) แน่นอนว่าเรากำ�ลังกล่าวถึงนักเขียนคนเดียวที่โฆษณาตัวเอง เพื่อ ของานทำ�ในพ็อกเก็ตบุ๊คของตัวเอง แถมยังน้อยใจในชะตาชีวิตอีกที่ ตัวเองมี นามสกุลที่มีความหมายว่า “ตระกูลที่มั่งมีด้วยทอง” ที่ได้เงินไปกินขนมน้อย กว่าเพื่อนซึ่งนามสกุล “อยู่ในป่า” และเสน่ห์ที่ให้หลายคนควักเงินในกระเป๋า ซื้อ หนังสือที่มี นามปากกาอันกิ๋บเก๋ว่า “ใบพัด” นั้นคงมาจากหลงกลแผนที่เขาวาง เอาไว้ เหมือนตอนที่เขาประกาศหางานในหนังสือของตัวเองนั่นแหละ ภาณุมาศ ทองธนากุล หรือ “ใบพัด” ถือถ้วยไอศกรีม เดินเข้ามา ทักทายอย่างเป็นกันเอง แล้ว นั่งลงบนเก้าอี้สีแดง ในร้าน ฟาสต์ฟูดแห่งหนึ่ง ทำ�ให้นึกไปถึงครั้งแรกที่เราพบกันเขาก็สร้างความประทับใจ ด้วยการพูดคำ�ว่า

เศรษฐศาสตร์ – นักเขียน ดูห่างไกลกันจังเลย...แล้วมาเริ่มต้นกับงานเขียนได้ อย่างไร “เราชอบทำ�งานสร้างสรรค์แบบให้คนอึ้ง ให้คนสนใจ ประมาณว่า เฮ้ย..คิดได้ ไง” “หลังจากจบเศรษฐศาสตร์มา เราก็ไปเป็นนักข่าวสายธุรกิจ ที่ เว็บไซต์แมนเนเจอร์ออนไลน์ ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ทำ�ให้ได้เรียนรู้โลกของ การตลาด ได้ไปงานการเปิดตัวสินค้า เปิดตัวแคมเปญจ์ใหม่ๆ ได้สัมภาษณ์ ผู้บริหารทำ�ไปจนเราไปค้นพบแง่มุมหนึ่งของธุรกิจที่มันมีเสน่ห์มากๆ คือการ โฆษณา เวลาธุรกิจเปิดแคมเปญจ์ใหม่ๆ ก็จะออกโฆษณาที่ทำ�ให้เราติดตาม และเราก็ติดตามเรื่อยๆ มีงานประกวดโฆษณาที่ไหนก็ไปดู เลยเริ่มรู้สึกว่ามัน นั้นน่าสนใจ ทึ่งในความเจ๋งของคนเป็นครีเอทีฟโฆษณา เลยเริ่มสนใจทางนี้ หลังจากนั้นเลยย้ายไปทำ�งานที่นิตยสาร แบรนด์เอจ(Brand Age) อันนี้ก็เป็น สเต็ปที่ 2 ขยับมาเป็นทำ�งานรายเดือน ความถี่ของหนังสือมันเริ่มต่างกัน ทำ�ให้ ได้เห็นลักษณะการทำ�งาน 2 แบบ หลังจากพอทำ�งานข่าวเกี่ยวกับกลยุทธ์การ ตลาด ข่าววงการโฆษณาได้เห็นเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ เราก็รู้สึกแล้ว ล่ะ ว่านี่แหละ เป็นสิ่งที่เราชอบมากๆเลย การผลิตอะไรให้แบบคนอึ้ง ให้คน สนใจแบบ ‘เฮ้ย..คิดได้ไง’ เราชอบ ทีนี้หลังจากอยู่ในบทบาทสื่อมวลชนจนได้ เห็นอะไรหลายๆ อย่างแล้ว เราเริ่มอยากลองหันไปทำ�งานด้านครีเอทีฟดูบ้าง เลยตัดสินใจออก แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีประสบการณ์ เลยไปขอเป็นเด็กฝึกงาน

“สิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจมาตลอดตอนนั้นคือการอยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง” “ลองเอาไม้แหย่ดูก่อนก็ได้” ทำ�ให้รับรู้ได้ถึงความมีอัธยาศัยดีของคนที่รู้จักกัน ในฐานะ นักเขียน-ผู้อ่าน ใบพัด...ใบพัด เอ๊ะ! แล้ว “ใบพัด” นี่แล้วเค้าเป็นคน อย่างไรล่ะ? “เราเป็นคน ชอบอยู่บ้าน พี่เป็นเด็กที่อยู่โรงเรียนประจำ�มาก่อน (วชิราวุธวิทยาลัย) เรียกได้ว่าเกือบ 10 ปีอ่ะที่ได้กลับบ้านน้อยมาก ซึ่งมันเป็น ช่วงเวลาที่เด็กควรจะอยู่กับพ่อแม่บ้าง เพื่อเรียนรู้บางอย่างจากพ่อแม่ อย่าง พ่อพี่นี่เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย แต่เรากลับไม่ค่อยได้รู้จัก พ่อเราเลย พี่จะได้กลับบ้าน 2 อาทิตย์ครั้ง แล้วพอมาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ก็เพิ่งมารู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าเราขาดไปคือการอยู่บ้าน การอยู่กับพ่อแม่ อย่างเราเนี่ยอยู่โรงเรียนประจำ�มาตั้งแต่ร้องไห้อยากกลับบ้าน ไปจนถึงเรา ร้องไห้ไม่อยากกลับบ้านเลย ทำ�ให้นี่เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อยากอยู่บ้านชดเชย บ้าง แต่บางคนก็จะรู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมแบบเรา บางคนบอกอยู่แต่บ้าน ไม่เบื่อหรอ เราจะบอกว่าก็ไม่เบื่อเลย วันๆ นี่แทบจะไม่ว่างเลย ดูแลบ้าน พา แม่ไปตลาด อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ดูหนัง หมดแล้ว บางทีวันๆ นี่ไม่ได้ทำ�งาน เลย(หัวเราะ)” “ใบพัด” ตอบคำ�ถามอย่างพรั่งพรู ราวกับกว่าอยากปลดปล่อย ความอ้างว้างในวัยเด็กให้คนอื่นได้รับฟัง ความคิดหนึ่งแว๊ปมาว่า ถ้าเกิดเขา เขียนเรื่องราวในโรงเรียนประจำ�เนี่ย ชื่อหนังสือจะเป็นอย่างไร “ปิดเทอมซะที หัวใจว้าวุ่น” หรือจะเป็น “อนึ่งคิดถึงบ้านพอสังเขป” ดีนะ “ใบพัด” จบมาด้านเศรษฐศาสตร์การเงิน เหตุที่เลือกเรียน เศรษฐศาสตร์ตอนนั้น กลับเหมือนกับเด็กในยุคปัจจุบัน นั่นคือยังไม่รู้ความ ฝันตัวเอง รู้เพียงว่าเรียนสายอะไรมา แล้วจะสามารถเลือกเรียนอะไรได้บ้าง และชะตาชี วิ ต ของเขาก็ เ ลื อ กให้ เ ขาเรี ย นในคณะที่ มี ต้ น แบบอย่ า งคุ ณ พ่ อ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็คงเล่าให้เราเขาฟังได้ว่า เศรษฐศาสตร์-เรียนอะไร?

ก่อน ทั้งที่ตอนนั้นเรามีประสบการณ์ทำ�งานในองค์กรมา 3 ปีแล้วนะ แต่เราก็ ไปขอเป็นเด็กฝึกงานที่ ‘ซุปเปอร์จิ๋ว’ เพราะอยากลองเขียนบทละครเวที เขาเป็น รายการทีวีสำ�หรับเด็กที่เราชอบ โดยมีพี่จุ้ย(ศุ บุญเลี้ยง) กำ�กับละครเวทีของ รายการในขณะนั้น” “เราก็ติดนิสัยเหมือนพ่อเรา คือเป็นสื่อมวลชนที่ชอบบทบาทการเป็นอาจารย์ สอนหนังสือด้วย คือถ้าจะเขียนบทละครให้เด็กดู ก็น่าจะแทรกคุณธรรมแบบมี ชั้นเชิงไว้ด้วย” จุดเริ่มต้นในมุมของนักเขียน เพิ่งจะเริ่มต้นตรงนี้เอง “ใบพัด”ตอบ คำ�ถามเรา พร้อมกินไอศกรีมที่ถือติดมือมาตั้งแต่ตอนแรก ดูมันจะละลายแล้ว นะ เขายังเล่าให้เราฟังว่า จุดพีคที่สำ�คัญที่สุดของตอนนี้คือ พี่จุ้ย(ศุ บุญเลี้ยง) หนึ่งในสมาชิกวงเฉลียงที่เรารู้จักเขาในบทบาทเป็นนักร้อง และอีกมุมหนึ่งคือ การนักเขียน หลังจากมาทำ�งานกับพี่จุ้ย ก็มีโอกาสให้ “ใบพัด” ได้ทำ�งานที่ตัว เองชอบมากที่สุด คงหนีไม่พ้นงานครีเอทีฟ งานเดโมที่สรรค์สร้าง ซองยายักษ์ สำ�หรับบรรจุซิงเกิ้ลเพลง “คิดถึงอย่างแรง” ของ ศุ บุญเลี้ยง ที่ถือได้ว่าล้ำ�ยุค เหนือใคร ทำ�ให้โด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน อ้าว..แล้วงานเขียนล่ะ “สิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจมาตลอดตอนนั้นคือการอยากมีหนังสือเป็น ของตัวเองอีกครั้ง หลังจากมีความสุขมาแล้วครั้งนึงกับหนังสือรวมบทความใน ช่วงที่เป็นคอลัมน์นิสต์อยู่ที่ผู้จัดการรายสัปดาห์ คอลัมน์ที่เขียนจะหยิบสิ่งละ อันพันนะน้อยจากตอนที่ไปทำ�ข่าวหรือเวลาเดินทางก็เอามาเขียนเกร็ดที่เราไม่ ได้เอาไปเขียนในข่าว ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำ�ให้รู้จักพี่จุ้ยก็หนังสือเล่มนี้ เราชอบความ รู้สึกที่มีผลงานเขียนของตัวเอง วันแรกที่ได้เห็นหนังสือตัวเองวันแรกขอกลับเอา ไปไว้ใต้หมอน นอนยิ้มทั้งคืนเลย ระหว่างที่ทำ�งานเป็นฟรีแลนซ์ให้กับบริษัท ของพี่จ้ยุ เราก็ทำ�งานเขียน ทำ�บทสัมภาษณ์ตามนิตยสารต่างๆ ไปด้วย และ วันนึงก็ได้รับโทรศัพท์จากคนที่น่าตกใจ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์โทรมา เราเคย

watchthispace 2


ไปสัมภาษณ์เขาหลายหน แต่ละหนก็ยังไปแสดง ความเปิ่นในการสัมภาษณ์เขาตลอด คือพี่โหน่ง เป็นสุดยอดนักสัมภาษณ์ไง เขาคงดูแป๊บเดียวก็รู้ ว่าเรายังสัมภาษณ์ไม่เก่ง แต่เขาโทรมาทำ�ไม โทร มาด่าหรือเปล่า(หัวเราะ) ปรากฏว่าชวนไปทำ�งาน ด้วย” พอมาถึงตอนนี้ เหมือนใบพัดเครื่องร้อน เต็มที่แล้ว ร้อนจนไอติมละลายหมดแล้ว อยาก จะถามเขาเหลือเกินว่า “รับขนมจีบซาลาเปา เพิ่มไหมคะ?” ใบพัดกำ�ลังเล่าถึงจุดที่เป็นความ ฝันของเด็กวัยรุ่นหลายคนในขณะนี้ เขาได้ก้าว เข้าไปในนิตยสาร อะเดย์ ( a day ) ในตำ�แหน่ง ผู้ ช่วยบรรณาธิการ(ซึ่งตอนนั้นเป็น คุณทรงกลด บางยี่ขัน) ก่อนหน้านั้นใบพัดเริ่มเข้าไปช่วยเครือ อะเดย์ อยู่บ้างแล้วในฐานะที่เป็นคอลัมนิสต์ให้กับ นิตยสาร a day weekly แต่เมื่อ a day weekly ปิดตัว วงศ์ทนงก็โทรมาชวนให้ “ใบพัด”ทำ�งานต่อ ไปใน อะเดย์ ที่กำ�ลังขาดกำ�ลังพล ถูกคนอย่างวงศ์ ทนงชวน มีรึใบพัดจะปฏิเสธ โดยเขามาเริ่มทำ�ตั้ง watchthispace 3

ต่อฉบับที่ 60 จนมาถึงฉบับที่ 66 เขาเลือกที่จะออก เพราะยังค้างคาในความฝัน “เปลี่ยนงานบ่อยมากจนรู้สึกว่า เรานี่เราลาออกเก่ง หรือสมัครงานเก่งกันแน่” “ กลับมานั่งนึกดูตัวเอง เราเปลี่ยนงานบ่อยมาก และก็ได้งานบ่อยมาก เวลาเรากลับไปดูเนี่ย ไม่รู้ ว่าเราเป็นคนลาออกเก่ง หรือว่าสมัครงานเก่ง ถ้า อยู่บ้านเฉยเนี่ยจะมาแล้ว งานบวช งานแต่ง งาน วันเกิด ของที่โน่นที่นี่มากมาย เพราะว่าเราไปสร้าง สัมพันธ์ไว้เยอะมากไง ออฟฟิตนี่ก็ไม่รุ้กี่ออฟฟิต แล้ว 4-5 ออฟฟิต อะเดย์เป็นโรงเรียนที่ดีมาก เหมือนมาเรียนหนังสือ แล้วออกไปสัมภาษณ์ คิด ประเด็ น กั น เป็ น ช่ ว งเวลาแห่ ง การฝึ ก ฝนที่ ดี ที่ สุ ด เวลาเจอใคร เฮ้ยย น้องไปอะเดย์ให้ได้ ถ้ามีโอกาส มาสมัครงาน ลองดู เอาให้เข้าตาเขาให้ได้ แต่ ว่าพี่เป็นคนทำ�งานได้ทีละอย่าง อย่างพี่ก้องนี่เก่ง ทำ�งานด้วย แต่ก็ยังออกพ็อกเก็ตบุ๊คส่วนตัวได้ ตอน ที่เราทำ�เราก็รู้สึกอยากสร้างงานของตัวเอง คือรู้สึก ว่าถ้าเลยวัยนี้ไป เราอาจไม่รู้สึกอย่างนี้แล้วก็ได้ คือ

เสียดายน่ะ ก็เลยออกจากงานอีกครั้ง อย่างตอนที่ ออกจากอะเดย์มานี่ เราก็คิดว่าน่าจะไปเดินทางดีๆ สักครั้งหนึ่ง แล้วอินเดียก็มาเลย สำ�หรับประเทศนี้ อายุมากกว่านี้ก็อาจจะไม่อยากไป หรืออาจจะไป เพื่อเดินสายไหว้เจ้าอะไรอย่างนั้นมากกว่าอยากไป ผจญภัย” ฟังผู้ชายคนนี้คุยมาสักพัก เราก็ยังดู ไม่มีสิ่งใดที่จะเชื่อมโยงกับ คำ�ว่า ใบพัด ซึ่งเป็น นามปากกาของเขาอยู่ดี ทำ�ไมต้อง “ใบพัด” ทำ�ไม ไม่เป็นกังหันลมล่ะ ใหญ่ดี (กังหันลมนี่เก๋นะ อย่า ขโมยไปใช้ล่ะ) เขากลับตอบมาว่า จุดเริ่มต้นมันก็ มาจากการอยากเอาชนะใจสาว เป็นเหตุผลที่ทำ�ให้ จดจ่อรอฟังอย่างยิ่ง “ใบพัด”เล่าว่า ในวัยนั้น เป็น วัยที่เขายังเป็นหนุ่มน้อย อยู่ในช่วงวัยที่อยากช่วง ชิงสายตาที่แสดงถึงความชื่นชมต่อหนังสือที่เธอ คนนั้นอ่าน นั่นคือ “คุยกับประภาส” ตอนนั้นเขาไร้ เดียงสาต่อวงการหนังสือมาก ไม่รู้จักแม้กระทั่งพี่ จิก ประภาส แต่เมื่อเขาได้อ่าน เนื้อหาของหนังสือ ก็กระแทกใจเขาอย่างจัง จนถึงกับพูดออกมาว่า “ฉันจะต้องชนะคนนี้ให้ได้” ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าการพูด อย่างนั้น เหมือนเด็กอนุบาลไปท้าต่อยกับบัวขาว ป. ประมุข หลังจากฟังประโยคนั้นทำ�ให้นึกถึง ฉาก ผจญภัยในหนัง ที่พระเอกยังไม่รู้เลยว่าข้างหน้า จะเป็นอย่างไร ต้องฝ่าวงล้อมศัตรูอันตรายมาก เพียงใด กว่าจะไปถึงนางเอกได้ และได้ครองรัก กันชั่วกัลปาวสาน “ใบพัด” เลือกที่จะเซอร์ไพรซ์ นางเอกของเขาด้วยการเขียนบทความตีพิมพ์ลงใน หนังสือพิมพ์ และเขาก็ทำ�ได้ นามปากกาใบพัด อยู่ ที่หน้าหนังสือพิมพ์อย่างที่เขาตั้งใจไว้ “ปกติงานเขียนมันจะเป็นแบบ คนหนึ่งเขียนในห้อง สี่เหลี่ยม คนหนึ่งอ่านในห้องสี่เหลี่ยม จะไม่ได้เจอ กันหรอก แต่นี่เป็นการหลอกให้เราเจอหน้าผู้ชม ด้วยตัวเอง” เขาเล่าถึงนางเอกของเขาด้วยใบหน้า ที่ยิ้มกริ่ม ถ้านี่เป็นละคร ตอนนี้คงเลยตอนจบ แล้ว เพราะทุกอย่างจบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง แสง ไฟฉายลงไปที่พระเอกนางเอก กล้องเปลี่ยนมุม พระเอกนางเอกกำ�ลังกอดกัน แล้วมีตัวหนังสือตัว โตๆ ขึ้นว่า “จบบริบูรณ์” จบโดยมี ประภาส ชลศรา นนท์ ยืนใส่กางเกงมวยเป็นฉากหลังให้ แหม..เท่ จริงๆ แต่เบื้องหลังฉากที่มีคนโปรยใบกลีบดอกไม้ สีชมพูจากมุมสูงนั้น เขากลับเล่าให้เราฟังว่าชื่อ “ใบพัด” ได้มาเพราะความบังเอิญ เมื่อเรามีชื่อ แล้วเดี๋ยวเราก็จะมาแถความหมายได้เอง “ใบพัดอ่ะ ถ้าเธอเห็นนะ มันมีอยู่รอบ ตัวเราอ่ะ เห็นเยอะมากเลย ตู้แอร์ก็มี ใบพัดเรือ หางยาวก็มี ใบพัดอยู่ในเครื่องปั่นน้ำ�เข้านาก็มี มี อยู่หลายที่มากเลย แต่ใบพัดอ่ะ มันหมุนไม่ได้ด้วย ตัวเอง ถ้าเรารู้สึกอ่ะนะ มันอยู่ในหลายที่ก็จริง แต่ มันหมุนได้ด้วยตัวเองไม่ได้เลย มันหมุนด้วยแรงลม หมุนด้วยแรงมอเตอร์ หมุนด้วยแรงไฟฟ้า แต่ เมื่อ มันเกิดพลังงานเมื่อมันหมุนแล้วอ่ะ มันจะเอามา


ทำ�ประโยชน์ได้ คนมีมันเพื่อเอามันไปทำ�ประโยชน์ หลายอย่าง เราก็บอกว่าเรามาเขียนหนังสือตั้งแต่ อายุยังน้อย เรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนฉลาด เพิ่งมา เป็นนักอ่านก็ไม่กี่ปีมานี้เอง ถือว่าอ่านช้ากว่าคน อื่นที่เขาเก่งๆ ประสบการณ์เราก็น้อย เราก็เหมือน ใบพัดและกัน เอาเป็นว่าเราเป็นสื่อกลาง เรา หมุนด้วยตัวเองไม่ได้ เอาไว้เวลาที่เราไปเจอคน สัมภาษณ์ ที่เค้าฉลาดๆ แล้วเราเจอเกร็ดดีๆที่จะ สามารถเอามาเล่าต่อ จากการเดินทาง การที่เรา อ่านหนังสือดีๆ นั่นแหละมันจะถูกแรงบางอย่างที่ ทำ�ให้หมุน แล้วคนอ่านก็จะได้ลมเย็นๆ พลังแห่ง ความสร้างสรรค์บางอย่างจาก..ใบพัด” “ถ้าเราไม่มีเวลาตอบยาวๆ เราก็จะตอบว่าตั้งตาม ชื่อถนน” (เอ่อ..นั่นมันบายพาส) หากใครไม่เคยเห็นหน้าตาของนักเขียน ท่านนี้มาก่อน เคยอ่านแต่งานของเค้า หลายคน อาจจะวาดภาพไว้แบบว่าเป็นผู้ชายที่มีมาดกวนๆ หน่อย ทะเล้นนิดๆ ด้วยซ้ำ� แต่ทำ�ไมเขาถึงบอกว่า ตัวเองเป็น “เด็กติ๋ม” มาตลอด เพราะอะไร? “เพราะในสายตาเราเนี่ยตอนนั้นเราก็รู้สึกว่า เรา ไม่เจ๋งเลยในมหาวิทยาลัย ตอนมัธยมเรายังรู้สึก อยู่บ้างนะ คุณค่าในการนับถือของเด็กผู้ชายมัน เปลี่ยนไป เด็กผู้ชายในมหาวิทยาลัยจะเห็นชัดเลย ว่าคุณค่าใดๆที่คุณเคยมีในช่วงมัธยมอ่ะ เรียกว่าฟ อร์แม็ตใหม่หมด มาเริ่มอยู่ที่นี่ใหม่ ถ้าอยู่กลุ่มเพื่อ ที่แบบกินเหล้า แล้วเราแบบ เฮ้ย เมื่อก่อนเราภูมิใจ ที่พ่อแม่เรารักเราที่เราไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ เธอจะ กลายเป็น ‘ ติ๋ม’ อ่ะ อี๋.. ทั้งๆที่ไม่สูบบุหรี่นะ ไม่ เที่ยวกลางคืน ไม่กินเหล้านะ เอาเสื้อใส่ในกางเกง เยอะๆ ดึงขึ้นมาสูงๆ พ่อแม่ชอบมาก(ฮา) แต่เป็น สิ่งที่เราเจอในมหาวิทยาลัย เราจะต้องปรับจูนบา งอย่างอย่างมากเหมือนกัน เพื่อที่จะอยู่รอดกับพวก เค้าอย่างปลอดภัย ติ๋ม มันไม่ใช่แค่ ลุค แค่เปลือก นอกเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่เราเคยคิดว่าเจ๋ง แต่ตอนนี้ มันกลายเป็นว่า เรา ติ๋ม” พี่ใบพัดก็เล่าว่า เขาก็ผ่านมันมาได้ด้วย ชั้นเชิงที่เราขอเรียกว่า “กระบวนการต่อสู้กับติ๋ม” คือไม่ได้หนี แต่รู้จักหนีบ้าง ไล่บ้าง บางทีก็อาจจะ เรียกว่าเดินสายกลาง อยากอยู่กับเพื่อนด้วย แต่ก็ รักครอบครัวด้วย และด้วย คำ�ว่า “ติ๋ม” นี่เองที่ทำ�ให้ “ใบพัด” เลือกที่จะไปเที่ยวอินเดีย ประเทศที่ทุกคน หรือแม้แค่ตัวเค้าเองก็ต่างคอนเฟิร์มก่อนที่จะไปว่า “อี๋.........” “ความรู้สึกแรก ถ้าคนพูดถึงอินเดียมัน ก็ อี๋..อ่ะ แขกหลอกอ่ะน่ากลัว สกปรกหรือเปล่า ห้องน้ำ�มีน้ำ�ล้างหรือเปล่า นั่นแหละความรู้สึกอย่าง นี้แหละ อย่างนั้นถ้าเราไปเนี่ย เราก็จะแบบ เฮ้ยย ...เราก็แน่เหมือนกันนี่หว่า และพอดี ตอนนั้นได้ตั๋ว ฟรี มาจากการสะสมไมล์ พ่อบินบ่อย ทำ�ให้มีแต้ม สะสมไมล์ และสามารถโอนให้กับคนในครอบครัว ได้ และโควตานั้นมันก็กำ�ลังจะหมดแล้ว เราก็ไป ยึดครองมาเอามาเลือก ด้วยไมล์ที่ไม่มาก เลยทำ�ได้

แค่ไปเมื่อจีน หรือแถบๆนั้น โตเกียวไม่ไม่ได้ เซี่ยงไฮ้ นี่ก็ไม่ได้ มีหลายประเทศ แถบๆอินโดนี่แหละ แต่ ทั้งหมดทั้งปวงนี่รู้จักอยู่ชื่อเดียวอ่ะ นิวเดลี อินเดีย รู้จักดีที่สุดเลย และก็รู้จักมากับความคิดแรกของ คน มันอี๋..อ่ะ แต่พอนึกไปนึกมาแล้ว อันนี้แหละ ต้องอันนี้ แต่มันดีนะ พอกด fast forward กลับ ไปแล้วทริปนี้เป็นทริปที่ดีมาก แล้วเราก็จะกลับไป อินเดียซ้ำ�อีก มันเป็นที่ๆดีจริงๆ ไม่เคยรู้สึกเสียดาย และก็รู้สึกดีใจมากที่ได้ไปอินเดีย” “Yes! Man.” เก็บความสงสัยมาตลอดว่า ทำ�ไมต้อง เป็นฟินด์แลนด์ แล้วถ้าทริปนั้น ไม่ได้ไปเปลี่ยน เครื่องที่ เฮลซิงกิ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เราก็คาด เดาไม่ได้ “ใบพัด” เองก็คาดเดาไม่ได้เช่นกัน เขา ปล่อยให้ชะตาชีวิตนำ�ทางเขามากกว่า อย่าวันนี้ที่ เขามานั่งคุยกับเราก็เพราะโชคชะตา เขาเชื่ออย่าง นั้น...เราก็เชื่ออย่างนั้น “แตกต่างเลย พี่ว่า ไม่ใช่แค่ไปเปลี่ยน เครื่องที่ฟินแลนด์นะ แค่พอไปเจอเพื่อนที่ต่าง ประเทศ ชวนให้เราไปทำ�อะไรบางอย่างแล้วเรา ไม่ไป พี่ว่าชีวิตเราหลังจากนั้นจะเปลี่ยนหมดเลย เราเชื่อในชะตาของคนเราอ่ะ เมื่อเราเริ่มทำ�อย่าง หนึ่ง เหตุการณ์หลังจากนั้นจะเปลี่ยนไปหมดเลย อ่ะ เช่น อย่างวันนี้นะ ถ้าถ้าพี่ไม่มาสัมภาษณ์ ชีวิต เราก็เปลี่ยนไปเราก็ไม่เจอกัน ฉะนั้นความน่าสนใจ อย่างหนึ่งในการเดินทางของเราคือ เวลาเดินทาง เราตั้งใจจะเป็น Yes man อ่ะ ปักธงไว้เลย ว่าถ้ามี ใครชวนทำ�อะไรแล้วพอจะน่าไว้ใจได้เราลอง อย่าง ชวนไปเล่นกีตาร์ข้างถนนไหม เราก็ไป ที่จริงก็กลัว นะ แต่พอเราได้ลองเปลี่ยนเส้นทางชีวิตบ้าง มันก็ เลยพาชีวิตไปแบบนี้” “มนุษย์ทุกคนมีหน้ากากของตัวเอง ลองนึกดูโลกที่ มนุษย์ ไม่มีหน้ากากอ่ะ มนุษย์พูดทุกอย่างที่ตัวเอง คิดหมดเลย พี่ว่าแย่นะ” หากใครเคยอ่าน “ฟินแลนด์ไม่มีแขน” มาแล้ว อนุญาตให้อ่านย่อหน้านี้ได้ แต่หากยังไม่ ได้อ่าน ก็จำ�เป็นสปอยล์ตอนจบของเรื่องนี้ หลาย คนหลังจากอ่านแล้วก็เริ่มงงว่า แล้ว “พี่เต้ย” เนี่ยคือ ใคร มีตัวตนจริงไหม บางทีเราก็เริ่มเชื่อว่า เค้ามีตัว ตนบนโลกใบนี้จริงๆ “คนถามเยอะว่าพี่เต้ยมีตัวตนไหม ส่วน ใหญ่เราก็จะดูหน้าคนถามทุกครั้งว่าถามด้วยความ รู้สึกยังไง เพราะเราจะไม่ตอบแบบทำ�ลายจิตนา การเขา ถ้าเขาคิดว่ามีตัวตนเราก็ตอบว่ามี ถ้าไม่ เชื่อว่ามี เราก็บอกว่าใช่ครับ คุณเข้าใจถูกแล้ว เขา เป็นตัวละครสมมติ บางคนมองว่าเป็นอาการของ ใบพัดที่มีสองบุคลิกก็มองได้ ซึ่งเรื่องการมีสอง บุคลิกของคนเรา มันก็เหมือนกับสิ่งที่เราต้องเจอใน โลกใบนี้ บรรยากาศของเราที่มหา’ลัย ภายใต้ตัว ตนหนึ่งของเราที่แบบเพื่อนชวน เฮ้ยย.ไปกินเหล้า ทั้งที่เราไม่อยากไป แต่เราก็บอก ไปๆๆ..ไปดิ แต่

เราไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวเพื่อนหาว่าไม่กล้า พานจะไล่เราไปกินนมนอน มนุษย์ทุกคนมีอย่างนี้ มีหน้ากากของตัวเอง หัวหน้าด่ามาเราก็โกรธมาก ในใจอาจมีความรู้สึกแบบ ‘มึง ไอ้เลว’ อะไรอย่าง นี้ แต่ปากเราก็พูกออกมาว่า ‘ครับ ได้ครับผม’ ทุก คนมีอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องของการที่พูดคำ�วา ตี สองหน้า หน้าไหว้หลังหลอก ไม่ใช่อย่างนั้น ลอง นึกดูโลกที่มนุษย์ ไม่มีหน้ากาก มนุษย์พูดทุกอย่าง ที่ตัวเองคิดหมดเลย พี่ว่าแย่นะ ใครพูดอะไร แล้ว เรารู้สึกอะไรก็พูดออกไปเลยเนี่ย มันจะเกิดความ ขัดแย้ง โลกมันจะปะทะกันตลอด พี่ว่ากลไกนี้ของ มนุษย์มันก็แปลกดีเหมือนกัน มันก็เป็นการคานกัน ของสองตัวตน การสู้กันของสองสิ่ง อยู่ที่ว่าเธอจะ จัดการอย่างไร” ถ้าหากเราจะไปเที่ยวที่ไหนซักที่ เรา ก็คงไปเพราะเราอยากไป แต่ “ใบพัด” คิดในแง่ที่ เด็กที่ไม่เคยอยู่โรงเรียนประจำ� ไม่เคยมีความรู้สึก นั้น ใช่แล้ว เค้ากำ�ลังกลับเข้าสู่โหมดย้อนรำ�ลึกกัน อีกครั้ง ย้อนไปสมัยที่เขาต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ� มันคงเป็นบาดแผลที่ลึกพอควรเลย เขาคิดแค่ว่า “เราอยากมีโมเมนต์ที่แบบว่า ไปแล้วคิดถึงบ้านนิด นึง กลับมาบ้านแล้วมีคนต้อนรับหน่อย คือปกติอยู่ บ้านทั้งวันไง เริ่มรำ�คานไง เห็นกันบ่อยๆ นอนก่อก แก่ก อยู่บ้านอย่างนี้ อยากมีบรรยากาศแบบกลับ มาบ้าน หิ้วกระเป๋ากลับมาบ้าน แล้วแม่คิดถึงอะไร ประมาณนี้” เพิ่งรู้ข้อเสียของการเป็นเด็กสหศึกษา ก็วันนี้เอง แล้วถ้าเรามีเงินซักก้อนให้เขา ล่ะ เขาจะ ไปไหน? เขาตอบกลับทันทีว่าเป็นมหาอำ�นาจอย่าง สหรัฐอเมริกา คือเห็นในหนังมาเยอะแล้วไง อยาก ไปมองอเมริกาจากมุมอื่น นอกจากที่เรารู้จากสื่อ บ้าง “เราชอบการใช้ของที่ไม่ตรงคุณสมบัติ ชอบมุมนี้นะ มันเพี้ยนดีอ่ะ” น อ ก จ า ก ห นั ง สื อ ท่ อ ง เ ที่ ย ว แ ล้ ว “ใบพั ด ”ยั ง มี ผ ลงานหนั ง สื อ ที่ น่ า สนใจมากๆอี ก 1เล่ม หนังสือที่ใครๆอ่านแล้วก็เห็นว่า “คิดได้ยัง ไง?” หนังสือ เรื่องสั้นประกอบภาพที่เล่าถึงการ เดินทางของเด็กชายคนหนึ่ง ที่คิดว่าตัวเองเป็น เจ้าชาย หลายคนยืนยันมาแล้วว่า ห้ามอ่านในที่ สาธารณะ คนข้างๆอาจจะสงสัยได้ เผลอๆถูกจับ ส่งโรงพยาบาลไม่รู้ตัว และพอเห็นแค่ชื่อหนังสือ ดันไปล้อเลียนหนังสือดังอีก ทำ�ให้เจ้าชัยน้อยยิ่ง น่าค้นหามากขึ้น แต่”ใบพัด”ก็ยังยืนยันว่า เค้าล้อ เลียน เพราะว่าเป็นหนังสือที่ดัง แต่ก็ไม่ได้ไปแตะ ต้องเนื้อหา ออกจะเคารพด้วยซ้ำ� “จุดเริ่มต้นของ เจ้าชายน้อยนี่เริ่มจาก เหรียญบาท 2 เหรียญตอนนั้นอยู่ที่ป้ายรถเมล์เคย เห็นผู้ชายเอาเหรีญบาทเอาหนีบๆแก้มไหม มันจะ เอาไว้ถอนหนวด ซึ่งสิ่งที่เขาไม่ต้องการในชีวิตออก ไปอ่ะ เราเห็นแล้วแบบ ‘เฮ้ยย...เจ๋ง’ คือมันจริง นะ ไม่ค่อยมีใครพกแหนบในชีวิตอ่ะ แบบ ‘ถอน หนวดอยู่เหรอ เอานี่ดีกว่าเราพกแหนบมา’ คือพก

watchthispace 4


“มนุษย์ทุกคนมีหน้ากากของตัว เอง ลองนึกดูโลกที่มนุษย์ ไม่มี หน้ากากอ่ะ มนุษย์พูดทุกอย่าง ที่ตัวเองคิดหมดเลย ผมว่าแย่นะ” ยาดมยังพอรับได้ แต่คนพกแหนบคงเป็นคนแปลกดี อยากเป็น เพื่อนด้วย นี่มึงพกแหนบมาเลยหรอ ฉะนั้นคนไม่มีแหนบแล้ว ใช้เหรียญบาท 2 อันถอนสิ่งที่รำ�คาญ คือมันคือความสร้างสรรค์ เราชอบการใช้ของที่ไม่ตรงคุณสมบัติ ชอบมุมนี้นะ มันเพี้ยน ดีอ่ะ อย่างที่เราเคยเขียนในฟินด์แลนด์อ่ะ น้ำ�ยาอุทัย เขามีไว้ หยดน้ำ� แต่กลับมีคนเอาไปทาแก้ม จนธุรกิจเขาเปลี่ยนเลย ตอน นี้เขาขายไม่มีใครเอามาหยดน้ำ�แล้ว เอาไปทาแก้มกันหมด หรือ แม้แต่น้ำ�มันพืช เอาไปหยอดตะเกียงที่ทำ�บุญ เห็นแล้วแบบ ‘โอ้ โห...พี่’ นี่เลยเป็นจุดเริ่มต้น การใช้ของที่ไม่ตรงคุณสมบัติ แล้ว เอาตัวรอดได้ แล้ว ทำ�ได้ดี เราชอบ ส่วนชื่อเจ้าชายน้อยนั้น มา แบบนาทีนั้นเลย คิดแล้วก็เอาเลย ตอนนั้นตัวเอกอยากได้ชื่อ แบบกระแดะๆหน่อย ซันไชน์ –สัญชัย คือเรื่องบางเรื่องนี่ถาม ย้อนว่าเกิดได้อย่างไรบางทีเราก็ตอบไม่ได้ คือมันเรื่อยๆอ่ะ กวน ไปเรื่อยๆมากกว่า” “ภูเขาชีวิตมันไม่ได้ขึ้นลูกเดียวแล้วจบ มันมีลูกเล็ก ลูกใหญ่ไป เรื่อยๆ” ทุกคนมีจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเอง บางคนอยาก เป็นดารา บางคนอยากไปโตเกียว บางคนอยากเป็นตุ๊ด(เพราะ พ่อแม่อาจห้าม) “ซันไชน์” ก็มีจุดม่งหมายเช่นกัน นั่นคือ “ยอด เขาผู้ชนะ” แต่สำ�หรับ “ใบพัด” เขากลับคิดว่า “ถึงแล้วนะ ยอด เขาน่ะ การมีพ็อกเก็ตบุ๊คเป็นความฝันของเรา ครั้งหนึ่งการมี บทความลงหนังสือพิมพ์เนี่ย เราก็ตัดเก็บแล้วก็เคลือบพลาสติก เอามาชื่นชม เอามาดูอยู่บ่อยๆ นี่คือภูเขาแล้วล่ะ เพียงแต่ว่า ภูเขามันไม่ได้มีลูกเดียว มันไม่ได้มีลูกใหญ่ในชีวิตที่แบบว่าขึ้น แล้วจบแล้ว มันมีลูกเล็ก ลูกเล็ก แล้วก็ลูกใหญ่ แล้วก็ลูกเล็ก ลูก เล็กไปเรื่อยๆ อ่ะ คล้ายกับชีวิตคือการเดินขึ้นเขา ลงเขา ขึ้นเขา ลงเขา เราก็ต้องเดินทางไปเรื่อยๆ และมันสนุกอ่ะ นึกถึงการเต รียมเสบียง การวางแผนเส้นทาง มันมีการวางแผนอยู่เรื่อยๆอ่ะ ล่าสุดพี่กลับจากเยอรมัน ก็คือเขียนเยอรมันอยู่ แต่ตอนนี้ก็คิด โปรเจคถัดจากเยอรมันไปแล้วอ่ะ นึกแล้วก็หัวเราะเองแบบมัน สนุกอ่ะ แล้วก็เตรียมแผนเล่นงานอารมณ์คนอ่านไปเรื่อยๆด้วย นะ” “เราคงชอบคำ�ของดาไลลามะที่บอกว่า ‘ปัญหาถ้า แก้ได้ ก็ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าแก้ได้ กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์’ ชี วิตเนี่ยนะ ถ้าทำ�อะไรให้มันดีขึ้นได้ก็ทำ�เลย อย่าบ่น ทำ�เหอะ เขียนหนังสือ ยากจังเลย มานั่งบ่น อย่ามาบ่น ถ้าเราทำ�ไม่ได้ก็ เอาเวลาไปทำ�อย่างอื่น เอาไปอ่านหนังสือ ไปเดินทาง ไปดูว่าคน เก่งที่เขาสร้างงานดีๆ นี่เขาทำ�กันยังไง” “อาณาจักรของเรามันแค่สัปดาห์หนังสือไง ไม่ก็บูทอะเดย์ พอ เราเดินออกมา เราก็เป็นคนธรรมดา” “ใบพัด” จัดเป็นนักเขียนท่านที่ประสบความสำ�เร็จ อย่างมาก กับผลงานที่ออกมา เพียง 7 เล่ม แต่ด้วยพลัง ด้วย ประสบการณ์ที่เค้าสะสมมา กลับทำ�ให้ผู้อ่าน รับรู้ถึง ออร่า อัน เจิดจรัส และหาก เห็นหนังสือเล่มใหม่ ที่มีชื่อตัวเล็กๆเขียน watchthispace 5


ว่า “ใบพัด” ก็คงทำ�ให้นักหนอนหนังสือที่หลงใหลในกลยุทธการ วางแผนสร้างสวนสนุกในหนังสือของเขา ตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก นัก แต่เขาเองกลับคิดว่า อาณาจักรของเขานั้น มันเล็กนัก มันเป็น แค่ สัปดาห์งานหนังสือแห่งชาติ หรือว่าบูทอะเดย์ซึ่งเป็นซับเซต ของสัปดาห์หนังสือแห่งชาติด้วยซ้ำ� แหม..เข้าสู่โหมด เด็กโรงเรียน ประจำ�อีกและ ถามว่ามีเหตุการณ์ไหนไหม ที่ทำ�ให้ “ใบพัด” รู้สึกว่า อาณาจักรของตัวเองใหญ่ขึ้น “อืม..(นิ่งคิดไปซักพัก) คงมีคนทัก บนรถเมล์ คือเรานั่งรถเมล์บ่อยมากตอนนี้ก็ยังนั่งเพราะเราไม่ ได้ขับรถ แต่ก่อนเรามีความรู้สึกว่าอาณาจักรของเราในสัปดาห์ หนังสืออ่ะ มันคืออาณาจักรของเรา ปีหนึ่งมี 2 ครั้งอ่ะ สำ�หรับคน ทำ�งานเขียน คนออกพ็อกเก็ตบุ๊คเนี่ยนะ วันอื่นๆเราก็เป็นเด็กก๊อก แก๊กอ่ะ แต่พอในงานสัปดาห์หนังสือมันเป็นงานของเรา ไม่ว่าช่วง นั้นยุ่งยังไง ควรจะปลีกตัวไปยืนดูหนังสือตัวเองที่กำ�ลังออกใหม่ ไปแอบยืนดูคนหยิบหนังสือเปิดแล้วก็ชี้ๆให้เพื่อนดูว่า ตรงนี้ตลก เคยอ่านมาแล้วอย่างเนี้ย นั่นแหละ คือความสำ�เร็จ ยิ่งใหญ่แล้ว อย่างบนรถเมล์นี่มันทำ�ให้เราแบบเซอร์ไพรซ์มากเลยอ่ะ คือแบบ เค้าจำ�เราได้ อาจจะไปเจอกันในงานสัปดาห์หนังสือ หรือเคยอ่าน งานเราอะไรอย่างนี้ นั่งข้างๆกันแล้วก็แบบมามองๆเรา เรายัง กลัวเลยอ่ะ ไม่เชื่อว่ามีใครรู้จักเราหรอ แล้วก็มีการทักทาย พี่ใช่ พี่ใบพัดหรือเปล่า เคยอ่านงานนะ เออ ก็เป็นความรู้สึกที่มันแบบ ว่า...” ผู้ชายคนนี้เขากำ�ลังคิดว่าเขา กำ�ลังเด็กลงเรื่อย เหมือน เบนจามิน บัตตัน คือ เด็กลงเรื่อย ๆ “เราจะรู้สึกว่างาน เขียนแรกๆ เราแก่มากเลยอ่ะ มันเป็นปมด้อย เราเริ่มเขียนหนังสือ ตอนอายุน้อย กลัวว่าเราจะเผยความโง่ออกไป แต่ไม่รุ้ว่า การอวด ฉลาดนั้น คือการอวดความโง่ หลังจากนั้นผ่านมาก็สมวัยมาก ก็ ติ๊งต๊องแบบนี้แหละ ก็จะมีมุมที่ได้หลักคิดดีๆมา เราก็จำ�ทำ�ให้เด็ก สติปัญญาแบบเราเนี่ยแหละเข้าใจง่าย ไม่เห็นจะต้องยากเลย ถ้า เรื่องบางเรื่องเรารู้ว่ามันเจ๋ง ไม่เห็นจะต้องใช้คำ�ยากๆเลย คนอื่น ก็ไม่เข้าใจอ่ะ” แต่ เชื่อว่าทุกคนเชื่อแหละว่าทั้งหมดที่กล่าวมานี้ แหละ คือ เสน่ห์ในผลงานของใบพัด สนุกกับสวนสนุกที่เขาสร้าง ขึ้น โดยที่มีเขามาต้อนรับเราถึงประตู และหลอกเราไปเข้าบ้าน ผีสิง ทำ�ให้เราตกใจตอนเราเผลอ พาเราไปขึ้นรถไฟเหาะ ค่อยๆ เคลื่อนที่แบบเนิบๆให้เราตายใจ แล้วเหวี่ยงเราทีหลัง นี่แหละเส หน่ห์ของ “ใบพัด” หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “เอ้า ..เล่นตูซะแล้ว” นักเขียนที่ใจร้ายมากที่ให้ตัวละครที่ต้องเดินทางไกล ด้วยความ ลำ�บาก อย่างสัญชัย หยิบห่อขยะมาแทน ห่อสมบัติ แต่เขากลับ พูดว่า “ถึงแม้มันจะไม่ใช่ของวิเศษ แต่ถ้ามันช่วยให้เราผ่านวิกฤติ ได้ มัน ก็วิเศษแล้ว” “และเขาคงเป็นนักเขียนคนเดียว ที่รีบไปงานหนังสือแต่เช้า เพื่อ ขอลายเซ็นคนที่ซื้อหนังสือเขาเป็นคนแรก”

“ถึงแม้มันจะไม่ใช่ของวิเศษ แต่ถ้ามันช่วยให้เราผ่าน วิกฤติ ได้ มันก็วิเศษแล้ว” watchthispace 6


Valentine

รักแห่งเขมร

วันนี้ใครเห็นโลกเป็นสีชมพูบ้างครับ? ถ้าใครเห็นก็ขอแสดงความยินดีกับความรักของ คุณครับ บังเอิญว่าวันนี้มนุษย์เงินเดือนที่แก่นเซี้ยวที่สุดในกัมพูชาอย่างผม มองเห็นโลกเป็นสี่สี CMYK ปกติเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมาครับ ผมมีความคิดอยู่อย่างนึงว่ามีความเป็นไปได้ที่ชีวิตนี้ผมอาจจะไม่ได้แต่งงาน เพราะมี สาเหตุหลักๆจากตัวผมเอง อยู่สี่ประการหลัก ได้แก่ หนึ่ง – ผมเกลียดเด็ก ถ้าผมมีลูกแล้วอาจจะตบกบาลมันทุกครั้งที่มันร้องไห้ ซึ่งอาจสร้าง ความอิดหนาระอาใจแก่ภรรยา อันจะทำ�ให้เกิดปัญหาครอบครัวร้าวฉานตามมาได้ สอง – จากประสบการณ์ที่ผ่านมา, ผมเป็นคนที่บริหารความรักได้ห่วยแตกมากๆ ข้อนี้ คิดไปคิดมา ก็เห็นใจและรู้สึกผิดกับแฟนเก่าผมทั้งสองคน เพราะผมแม่งเป็นคนทิ้งเค้าไปทั้งคู่ แถม ทิ้งแบบไม่ค่อยใยดีเสียด้วย ทำ�ไมฟังดูแล้วกูเหมือนผู้ชายห่วยๆที่มาช่าเอามาด่าเป็นเพลงเลยวะเนี่ย สาม – ผมมักไม่ให้ความสำ�คัญกับความรักเป็น priority แรกๆ--- ถ้าต้องเลือกเพราะผม เลือกให้ครอบครัว เพื่อนและตัวเองมาก่อนตามลำ�ดับเป็นประจำ� สี่ – โดยสันดาน, ผมเป็นคนสันโดษ ที่ไม่ชอบการผูกมัด หรือที่เรียกว่า commitmentและ ทุกวันนี้ผมยังรู้สึกสบายดี กับการอยู่คนเดียวและเที่ยวคนเดียวเรื่อยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น, ใครที่แอบชอบผมอยู่ และคิดว่ารับได้กับสี่ข้อข้างบนนี้ หรือว่าสามารถทำ�ให้ ผมเลิกนิสัยสี่ข้อนี้ได้ ผมก็ไม่เคยปิดกั้นนะครับ ขอเชิญครับขอเชิญ เรื่องเกลียดเด็ก ถ้าสักวันนึงผม เป็นพ่อคน ผมอาจจะเลิกนิสัยนี้ไปเองได้โดยอัตโนมัติ เรื่องการบริหารความรัก ในข้อสองและสาม ถ้าคิดว่าสามารถเปลี่ยนผมได้ก็น่ายินดีมากๆ ส่วนข้อสี่ อันนี้ไม่เกี่ยวกับเซ็กส์แบบผูกๆมัดๆ ที่มีโซ่ แส้ กุญแจมือ น้ำ�ตาเทียน ชุดหนังสีดำ� เอามือไพล่หลัง แอปเปิ้ลยัดปาก ไม่เกี่ยวนะครับ...ไม่เกี่ยว ... โดยพื้นฐาน, ผมไม่ใช่คนโรแมนติกเท่าไร ...ยิ่งไปกว่านั้น, ณ เวลานี้ผมก็ไม่มีใครเป็นคน พิเศษมาให้โรแมนติกด้วยที่เลวร้ายที่สุด, พนมเปญไม่เหมือนมัลดีฟ ปารีส หรือเวนิซ ที่ฟังชื่อก็โร แมนติกแล้ว เพราะมันไม่มีหอไอเฟล ไม่มีทะเลสาบสวยๆ ไม่มีเรือกอนโดล่า ไม่มีคาเฟ่ริมถนนเก๋ๆ มันมีแต่ตึกแถวเห่ยๆหน้าตาไร้รสนิยม มีบึงผักตบ มีโมโตละเมาะ และร้านขายบองแอม ฟังดูเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกดีใช่มั้ยครับ? วันนี้ผมไปนั่งเจรจากับลูกค้าชาวจีนที่ออฟฟิศของมัน เพราะว่าภาษาอังกฤษของมัน เลวร้ายมากๆ ชนิดที่คะแนน TOEIC 920 ของผม ไม่สามารถช่วยให้ผมสามารถสื่อสารทางโทรศัพท์ กับมันได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย ผมเลยต้องไปที่ออฟฟิศมัน เพื่อนั่งคุยและอ่านปากมันไปด้วยถึงจะพอฟังมันออก ซึ่งก็ตามประสา คนจีนครับ แม่งอัดบุหรี่พ่นควันใส่หน้าผมไปตลอดการเจรจาสองชั่วโมงมันหมดมวนนึง ยังไม่ทันจะ ครบนาที แม่งจุดอีกมวน ต่อแล้ว สาดดดดดดดด... เวลามันจะถามหรือสงสัยอะไร ก็พูดจาถ่มถุย ด้วยการตะคอกเสียงดัง อาจจะเพราะมันเห็นผม(หน้า)เด็กกว่ามัน คราวพ่อลูกละมั้ง ... ทั้งหมดนี้ ผมทำ�ไปเพื่อปิดสัญญามูลค่า 120 ล้านบาทของบริษัทผมครับ ถ้าปิดสัญญา ได้, ผมจะขอค่าดำ�เนินการ 1 ล้านบาทจากบริษัทไปรักษาโรคมะเร็งปอด ฟังดูเป็นกิจกรรมที่โรแมน ติกดีใช่ไหมครับ? เลิกงาน แทนที่จะไปโรแมนติกกินอาหารสเปนใน tapas หรูๆสักที่กับคนพิเศษ กูกินผัด ไทที่ Black Canyon แล้วไปนั่งกินเบียร์กับพี่ๆที่ออฟฟิศ (ซึ่งแต่งงานแล้วทุกคน) ปิดท้ายด้วยของ หวานที่ห้องพักเป็นช๊อคโกแลต ซึ่งไม่ใช่ช๊อคโกแลตทำ�เอง ที่เป็นรูปหัวใจ ใส่กล่องสีชมพูหวานแหว ว ซึ่งใครก็ไม่รู้แอบเอามาใส่ในล๊อคเกอร์ แบบที่เราเห็นได้ตามการ์ตูนญี่ปุ่นแต่อย่างใด แต่มันเป็นช๊อคโกแลต “ซื้อเอง” ของ Hershey’s Kiss กระสอบใหญ่ๆที่ซื้อมาจาก Lucky เมื่อวานก่อน เพราะมันลด 50% หลังจากเอาเข้ามาขายตอน คริสต์มาสแล้วค้างสต๊อกขายไม่หมด อา... โรแมนติกสัดๆ เลยครับวาเลนไทน์ปีนี้... watchthispace 7

V


VS รักแห่งสยาม ผมชอบดูข่าววันวาเลนไทน์ เพราะมันมีอะไรพิเศษๆมากกว่าวันอื่น เช่น ข่าว รายงานราคาดอกกุหลาบที่ปากคลองตลาดที่แพงขึ้น 300 เท่า วันนี้ อีดอกไม้เมืองหนาวหน้า ตาไฮโซทั้งหลายตายเรียบคาตลาด แต่ดอกกุหลาบแดงหงิกๆงอๆที่ไม่เคยมีใครสนใจจะให้ ราคาดีทั้งชั่วนาตาปี พอเข้าวันวาเลนไทน์ของทุกปี ราคากลับทะยานพุ่งขึ้นแบบเสียสติเกิน เหตุ นี่อีพวกชาวสวนดอกกุหลาบมันเอาน้ำ�มันเบนซินผสมทองคำ�ไปรดแทนน้ำ�รึไง มันถึงได้ขึ้นราคาไปกันได้ขนาดนั้นน่ะ ... เมื่อสามปีที่แล้ว, ปีนั้นเป็นวาเลนไทน์ที่ผมกับแฟนคนแรกคบกันเป็นปีที่สอง ผม พาแฟนผมไปกินข้าวที่พารากอน ซึ่งผมไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปเลย ความคิดที่จะซื้อดอก กุหลาบให้นี่ไม่เคยอยู่ในหัวของผมจริงๆนะ (ถึงผมจะรู้ว่าถ้าให้แล้วแฟนผมอาจจะดีใจ แต่ก็ไม่รู้สึกอยากจะซื้อให้อยู่ดี) ระหว่างผมที่ เดินเล่นในพารากอนรออยู่ ก็ไปเห็นร้านขายดอกไม้ที่ชั้นล่าง มันมีความคิดอะไรไม่รู้แล่นเข้า มาในหัวว่า “เอาน่า...ซื้อให้เขาหน่อย ไม่กี่บาทหรอก” ผมเลยถามราคาดอกกุหลาบสีแดงที่ บรรจุในแพคเกจที่สวยงาม ซึ่งดูๆแล้วมันก็ไม่ได้พิเศษอะไร นอกจากดอกกุหลาบที่ดูจะใหญ่ กว่าปกติ “กุหลาบนี่ดอกเท่าไรครับ” --- มันมีดอกเดียวจริงๆครับ ไม่ได้เป็นช่อ “350 บาทค่ะ” .... . ผมไม่เล่าต่อนะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น... เอาเป็นว่า วันนั้นแฟนผม ได้ดอกกุหลาบที่เป็นของแถมฟรีจากร้านอาหาร ที่ผมกับเธอไปกินกัน แล้วเด็กเสิร์ฟเอามา ให้ตอนเช็คบิล...ผมเหี้ยมั้ยครับ? แต่ที่เหี้ยกว่านั้นคือ ไอ้เด็กเสิร์ฟมันเสือกยื่นให้แฟนผม “สำ�หรับคุณผู้หญิงครับ” ไอ้ห่านจิก! ... มึงควรจะแอบเอามาให้กูก่อน แล้วให้กูยื่นให้แฟนกูเองสิโว้ย ... ตอนผมเรียนอยู่จุฬาฯ ผมเห็นวันวาเลนไทน์จะมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักหลายคน ที่หอบดอกไม้ ช่อโตๆเดินไปเดินมา บางคนก็หอบไปพร้อมกับเดินกับแฟนนั่นแหละซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีครับ ที่อุปสงค์และอุปทานมันเดินทางมาบรรจบกันได้พอดี ถ้าสักวันนึง แฟนผมเป็นผู้หญิงที่คาด หวังจะได้ช่อดอกไม้ใหญ่ๆอย่างนั้นจากผมบ้าง ผมกลัวจริงๆว่าจะทำ�ให้เธอผิดหวังว่ะ ... อีกข่าวนึงที่ทำ�ให้ผมรู้สึกชื่นชมในภูมิปัญญาของผู้ใหญ่ในเมืองไทยสุดหัวใจ คือ ข่าวเมื่อปีสองปีก่อน ที่ทีมตำ�รวจไปซุ่มตามโรงแรมม่านรูดในคืนวันวาเลนไทน์ พอมีคู่ หนุ่มสาวควงกันมา หมายจะเปิดซิง “เอากัน” ให้เสร็จสมอารมณ์หมาย พี่ตำ�รวจก็เล่นยิงไฟ สปอร์ตไลท์ใส่ให้อารมณ์เซ็กส์เสี้ยนเผ่นกระเจิงซะอย่างนั้น พี่คิดได้ไงครับ ... โคตรสุดยอดแห่งความอินโนเวทีฟเลยว่ะ ถ้าข่าวนี้มันถูกนำ�เสนอไปในวงกว้างให้รู้กันทั่วโลก มันคงเป็นที่โจษจัน และน่า อายพอๆกับที่ตอนนี้เรามีนายกฯหน้าเป็นหมูปากเป็นหมาล่ะครับ ... ผมจำ�ไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของไอเดียอันพิลึกพิลั่นอันนี้ แต่ผมคาดว่า มันคงไม่ ได้เกิดมาจากวิธีการ “เอากัน” ตามธรรมชาติของพ่อแม่แน่ๆ มันถึงได้คิดว่าเซ็กส์เป็นเรื่อง อุบาทว์ วิตถาร ผิดจรรยาสังคมขั้นร้ายแรง ทั้งๆที่ละครช่อง 3 ช่อง 7 ที่ดูกันทั้งบ้านทั้งเมือง พระเอกนางเอกมันก็ได้เสียกันทั้งนั้น เพียงแต่มันไม่ได้ถ่ายให้เห็นเจี๊ยวเห็นจิ๋ม ครางกันซี้ดอ้า ห์เหมือนใน AV เท่านั้นแหละโว้ย แล้วในทฤษฎี Hierarchy of Needs ของ Marslow เขาก็ ถือว่า sex needs เป็นความต้องการในระดับเดียวกับ Physical needs ซึ่งเป็นความต้องการ ขั้นแรกสุดของมนุษย์ มึงยังจะมากระแดะ ทำ�หน้าอี๋ปิดตา เบือนหน้าหนี “ยี้ ...บัดสีบัดเถลิง” ...เฮ้อ ประเทศไทย ถ้าผมได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นโยบายที่ผม จะทำ�ในวันวาเลนไทน์มีอยู่สองอย่าง คือ

watchthispace 8


MaY...I

wonderful town เมืองที่มีอยู่จริง ม.ร.ว. อัมพรพล ยุคล

“ความสำ�เร็จ” หลายคนต่างต้องการตามหาสิ่งนี้ ในเส้นทางชีวิต ของเราแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางคนมีพรสวรรค์ แต่ไม่มีโอกาส บางคน มีโอกาสแต่ไม่มีพรสวรรค์ และแน่นอนก็ต้องมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีพร้อมทั้งสอง อย่าง หลายคนเพียรตั้งใจทำ�ในสิ่งหนึ่ง เพื่อ “ความสำ�เร็จ” และแน่นอนว่ามี บางคนที่ “ความสำ�เร็จ” กลายเป็นรางวัลสำ�หรับความตั้งใจ โดยที่เขาไม่ได้ คาดหวังเลยด้วยซ้ำ� ผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดลำ�ลอง กำ�ลังยืนต้อนรับแขกอย่างสดใส และเป็นกันเอง “ความเรียบง่าย” คงเป็นคำ�เดียวที่จะขยายความ ตัวตนของ ม.ร.ว.อัมพรพล ยุคล หรือ พี่ปิง ได้เหมาะสมที่สุด และเขาก็อยู่ในกลุ่มสุดท้ายที่ได้กล่าวไว้ใน ย่อหน้าที่แล้ว น้ำ�อัดลม 2 ขวด ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ ซึ่งเย็บเจี๊ยบ จนเป็นวุ้นเลยทีเดียว พี่ปิง ยก ขึ้นดื่มก่อนที่จะหันมาเล่าให้ฟังในช่วงที่ตัดสินใจเข้าเรียนใน คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นบุกเบิก “คงเพราะว่าโดยส่วนตัว ชอบถ่ายรูป และก็เลยคิดว่าถ่ายหนังก็น่าจะคล้าย ๆ กัน แต่น่าจะมีความยากกว่ายากกว่า ท้าทายกว่า” หม่อมเล่าให้ฟัง อย่างเรียบ ง่าย พี่ปิงเล่าให้ฟังว่า จริงๆ เป็นคนดูหนังน้อย ปีหนึ่งจะดูหนังประมาณ 4-5 เรื่อง เท่านั้น ส่วนมากชอบดูทุกแนวไม่จำ�กัดว่าแนวไหน แต่ดูแล้วว่ามันจะเป็นหนัง ที่ตั้งใจทำ�ออกมาให้ดีหน่อย ดูหมด ตั้งแต่หนักรัก หนังตลก แต่ส่วนใหญ่จะดู หนังดราม่า และจะดูที่เนื้องานมากกว่า “เสน่ห์ของหนังมันอยู่ที่เราสนุกกับมัน” พี่ปิงเล่าให้เราฟังว่า ในช่วง ของกระบวนการทำ�หนังที่เรียกว่า พรีโปรดักชั่นนั้น จะไม่ค่อยสนุก ต้องคิด ต้อง เครียดกันตลอด ไม่เหมือนช่วงโปรดักชั่น และโพสโปรดักชั่น ซึ่งจะมีความสนุก สนุกที่จะคิดไปเคลียร์หน้างาน แก้ปัญหาตามเนื้องาน และนั่นแหละคือความ สนุก เพราะว่าหากเราชอบอะไร แล้วเราได้ทำ�งานนั้น ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร เราก็มักจะสนุกกับปัญหานั้น มากกว่าที่จะนั่งเครียดกับมัน หลังจากได้ใบปริญญามาอยู่ในมือ พี่ปิงเลือกที่จะเดินตามเส้นทาง ชีวิตแบบไม่มีกรอบมากนัก ไปเที่ยวในที่ๆ อยากไป อยู่กับเพื่อน ซึ่งบางที สิ่งนี้เองแหละที่เป็นการเพาะบ่มไอเดีย และประสบการณ์ชีวิต ซึ่งหาซื้อไม่ได้ จากที่ไหน และนอกจากพักผ่อนแล้ว ก็มีการทำ�หนังสั้นไปด้วย แต่ส่วนมาก ช่วยเพื่อนที่รู้จักกันทำ�มากกว่า หลังจากนั้นจึงตัดสินใจไปศึกษาต่อในสาขา ภาพยนตร์ ที่ San Francisco Academy of Art สหรัฐอเมริกา ช่วงที่ศึกษาที่ ต่างประเทศ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำ�คัญของพี่ปิงเลยทีเดียว “ใครทำ�อะไรเราก็ไปช่วยเขาทำ� ส่วนใหญ่ งานภาพยนตร์ จำ�เป็นจะ ต้องมีประสบการณ์จริง เยอะ ชั่วโมงบินมันจะสำ�คัญ แต่จริงๆเราก็ไม่ได้ตั้งใจ อะไร พอเรารู้จักมีกลุ่มเพื่อนฝูง อะไรอย่างนี้ ไม่ไปก็ไม่ได้ เราก็ต้องไปช่วย” ความหมายของคำ�ว่า “ชั่วโมงบิน” สำ�คัญมากในการทำ�งานด้าน ภาพยนตร์จริงๆ คนที่มีประสบการณ์ในแบบหนึ่งเขาก็จะวาดภาพของเขาใน แบบหนึ่ง แต่คนอื่นๆก็อาจจะคิดคนละแนวไปเลยก็ได้ มันอยู่ที่ประสบการณ์ ที่แต่ละคนเก็บมา น้ำ�อัดลมพร่องไป ครึ่งขวดแล้ว คงเหมือนกับบทเรียนที่เคย เรียน ว่า มีน้ำ�อยู่แค่ครึ่งแก้ว หรือหายไปครึ่งแก้ว ก็แล้วแต่ไอเดียว่า ใครจะมอง กันอย่างไร บางคนอาจจะมองว่าเป็นแก้วเปล่าแล้วมีฝนตกลงมาก็เป็นได้ ความละมุนละไมเป็นเสน่ห์ของคนเอเชีย งานที่ทำ�ออกมาแล้วนุ่ม นวลเหมือนบทกวี ทำ�ให้หลายๆรางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ตกมาอยู่ใน

watchthispace 9

มือของคนเอเชีย อังลี เป็นหนึ่งในต้นแบบงานที่พี่ปิงชื่นชอบ “ส่วนใหญ่ชอบดูหนังดราม่า แบบของ อังลี ชอบงานที่มันมีอารมณ์ เยอะๆ งานจะเน้นอารมณ์ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนเอเชียงานเลยมีความ ละเมียดละไม เป็นคล้ายๆบทกวี อย่างอังลี นี่ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังฝรั่งแต่ก็ยังมี ความนุ่มนวลของคนเอเชียอยู่ มีกลิ่นของความเป็นเอเชียอยู่” กับ ภาพยนตร์เรื่อง Wonderful Town สร้างโดยบริษัท ป็อบ พิค เจอร์ ของ พี่จุ๊ค (อาทิตย์ อัสสรัตน์) เป็นหนังที่หาทุนกันเอง จุดเริ่มต้นที่พี่ปิงได้ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งนั้นมาจาก เป็นกลุ่มเพื่อนฝูงในเครือข่ายเดียวกัน ซึ่งขณะที่ ถ่ายทำ�เรื่องนี้ พี่ปิงเอง ก็กำ�ลังศึกษาต่อ ที่สหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความคิด พี่จุ๊ค


ทีจุ๊ค่ว่าที่ว“คนเก่ ่า “คนเก่ งน่ะงในเมื น่ะในเมื องไทยมี องไทยมี เยอะ เยอะ แต่คแต่นเก่ คนเก่ งที่จงะคุ ที่จยะคุกันยกัแล้นวแล้รู้เวรื่อรู้เงน่ รื่อะงน่มีนะมี้อนย้ออยาก ย ทำ�หนังที�หนั อยากทำ ่ทำ�และสบายใจมากกว่ งที่ทำ�และสบายใจมากกว่ า” หลัา”งจากนั หลังจากนั ้น พี้น่ปิงพีก็่ปเข้ิงก็ามากำ เข้ามากำ �กับ�ภาพ กับภาพให้ให้ กับ กัภาพยนตร์ บภาพยนตร์ เรื่อเงรื่อWonderful ง Wonderful Town Town อย่าอย่งเต็างเต็ มตัมว ตัว “ช่วงนั้น พี่จุ๊คก็ทำ�หนังสือติดต่อ ขอทางมหาวิ ขอทางมหาวิททยาลั ยาลัยย จนมหาลั จนมหาลัยยยอม ยอม โอเค ทีนี้มหาลัยก็ปล่อยให้เรากลับมาถ่าย ซึซึ่ง่งถ้ถ้าาปกติ ปกติคคือือ ตอนแรกเราบอกว่ ตอนแรกเราบอกว่าาเรา เรา กลับมาไม่ได้ ทางที่บ้านเขาคงไม่โอเค เพราะเขาเสี เพราะเขาเสียยเค่เค่าาเทอม เทอมค่ค่าาบ้บ้าานนค่ค่าาใช้ใช้จจ่า่ายย มันเยอะ แต่ละเดือน แต่ แต่ถถ้า้าทำทำ��แบบนี แบบนี้ค้คือือเราก็ เราก็ไไม่ม่ไได้ด้เเสีสียยเรืเรื่อ่องเรี งเรียยนน เทอมนั เทอมนั้น้นเราก็ เราก็ยยังัง สามารถลงเรียนได้” กับปัญหาในการทำ�งานนั้น พีพี่ป่ปิงิงเล่เล่าาว่ว่าาแทบจะไม่ แทบจะไม่มมี ี ปัญปัหาเดี ญหาเดี ยวที ยวที ่มี ่มี

คงเป็นเรื่องเงิน เพราะที่ทำ�เป็นหนังอิสระ เพราะฉะนั้นการคิดเรื่องออกมา ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ มันถูกคิดออกมาให้ทำ�งานได้จริง คงเป็นการยอมรับความจริง มากกว่า ว่ามีเงินเท่านี้ ทำ�ได้ไหม เป็นการเอาตัวแปรอื่นๆที่ไม่ใช่เงิน เข้ามา เป็นตัวช่วยเสริมหนัง “โชคที่โดยที่ความเห็นค่อนข้างจะตรงกันเลยแทบไม่มีความขัดแย้งเลย และ ก็ ทำ�งานง่าย ไม่ต้องมานั่งทำ�งานในสิ่งที่ขัดกัน เลยทำ�ให้เราไม่ได้มาหนักใจ เรื่องนี้ ให้ไปคิดตรงเรื่องอื่นมากกว่า ส่วนพอพี่จุ๊คเขาก็พอไว้ใจว่า เราเอา อยู่ เราทำ�ได้ เขาก็ปล่อยให้เราทำ� ส่วนเค้าไปทุ่มเททำ�อย่างอื่น อย่าง กำ�กับ มากกว่า” กับรางวัลที่ได้รับ สตาร์พิคส์อวอร์ด ชมรมวิจารณ์บันเทิง และรางวัลใหญ่ อย่าง สุพรรณหงส์ คงเป็นสิ่งที่การันตีในความสำ�เร็จของพี่ปิงได้เป็นอย่างดี แต่เขากลับคิดว่า รางวัลนี้มาเร็วเกินไป เพราะในแง่ของการทำ�งานเราไม่ได้ คาดหวังอะไร แค่ตั้งใจทำ�มากกว่า แถมพี่ปิงยังถ่อมตัวอีกว่า “ถามว่าเราเก่งเท่ากับตากล้องคนอื่นๆไหม เรารู้สึกว่าเรายังไม่เก่งเท่าเขา เลย แต่มันเป็นเรื่องแบบการที่เราคุยกับพี่จุ๊คแล้วเข้าใจ และสิ่งที่เราทำ�ออก มาได้มีคุณภาพ ก็คือเราคิดว่างานมันมีอิสระสูง สูงที่สุดถ้าเทียบกับเรื่องอื่น ยกเว้นต่างประเทศนะ เพราะว่าต่างประเทศ เขามีการทำ�หนังแบบอิสระ แต่ในประเทศไทย ที่มันได้รางวัลเพราะว่า หนังเรื่องอื่นเขาทำ�แบบสตูดิโอ เพราะฉะนั้น เราทำ�กันต่างโจทย์ มีการตั้งหัว อย่างของเขาก็ยังถ่ายในสตูดิ โอ แต่ของเรามันมีความอิสระมาก มันเลยทำ�อะไรก็ได้ อาจจะเหมือนว่า พอ มันได้เงื่อนไขแบบนี้มันก็เลยดีกับตัวหนัง เพรามันทำ�หนังเป็นศิลปะเพื่อหนัง ไม่ได้ทำ�เพื่อยอดขาย หน้าโรง เราไม่ได้คาดหวังตรงนั้นอยู่แล้ว เพราะว่า เรา รู้อยู่แล้วว่าเมืองไทยเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นงานมันเลยออกมาอีกอย่าง หนึ่ง คือถ้าเกิดคนพวกนั้น ถ้าเราให้เงื่อนไขเดียวกับเรา เขาอาจจะทำ�ออก มาได้ดีกว่าเราก็ได้” หากใครดู เรื่อง Wonderful Town จะเห็นว่าตัวละคร ทั้ง 3 ตัวนั้น เป็น ตัวแทนของคนในสังคมที่มีความคิด ทัศนคติต่างกันอย่างสิ้นเชิง พี่ปิงกลับ เลือกที่จะเป็นเมือง แทนที่จะเป็นบุคคล “ไม่รุ้ (หัวเราะ) เราคงเป็นเมืองมากกว่านะ เมืองมันตัวดำ�เนินเรื่อง และ เหตุการณ์ มันเป็นบรรยากาศ เป็นอะไรมากกว่า” คำ�ตอบที่ได้รับทำ�ให้เรา ได้รู้ว่า ลืมไปสนิทเลย ว่าแท้จริงแล้ว เมืองหรือสังคมนี่แหละสำ�คัญที่สุด แต่ ทุกคนกลับให้ความสนใจที่ตัวบุคคล เพราะคิดว่าบุคคลเป็นตัวดำ�เนินเรื่อง ลืมสังคมไปสนิท ลืมว่า สิ่งดีๆก็เริ่มมาจากสังคม และสิ่งร้ายหลายเรื่อง ก็ เกิดมาจากสังคมเช่นเดียวกัน ในบันไดชีวิต 10 ขั้น ม.ร.ว.อัมพรพล ยุคล กลับคิดว่า เขากำ�ลัง ก้าวอยู่บนบันไดขั้นที่ 2 โดยให้เหตุผลว่า เขาแค่ก้าวมาก่อนน้องๆ นักศึกษา ที่กำ�ลังเรียนอยู่ไม่กี่ก้าว แต่หันหลังกลับไป ตอนนี้ กลับเห็นว่า หลายคน กำ�ลังเล่นปาก้อนดินที่กำ�ลังจะเอามาถม เพื่อเป็นคานของบันได บางคนก็ เอาดินเหล่านั้นมาปั้นวัวปั้นควาย หันกลับไปข้างหน้าก็อาจจะเจอคนที่ก้าว อยู่ขั้นที่ 3 กำ�ลังนั่งหลับอยู่ก็ได้ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกก้าวต่อไป หรือจะย่ำ�อยู่ กับที่ “พัฒนา” นั่นคือความฝันต่อไปของ ม.ร.ว.อัมพรพล ยุคล สิ่งที่ สำ�คัญที่สุด พัฒนา เพื่อ “ความสำ�เร็จ”

watchthispace 10


Boomerang บองเต่า

SALE

* 30-50% on

1.

ครับ

และยิ่งเมื่อเทียบกับคุณภาพแล้ว ผมถือว่าเป็นร้านที่ราคาสมเหตุสมผลมาก

2.

วันเสาร์ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาไม่ใช่วันหยุดของผมครับ แต่มันเป็นวันของการเรียน ที่ผมจะต้องเรียนพิเศษราวๆ 6 ชั่วโมง ก่อนจะออกมาจากห้องในสภาพไร้เรี่ยวแรง คึกไม่ออก ระดับน้ำ�ตาลใน เมนูประจำ�ของผมในร้านนี้มีอยู่ไม่กี่อย่างครับ ... เลือดตก เมนูอันดับหนึ่ง คือ scone ซึ่งระดับความอร่อยต้องเรียกว่า “อร่อยลืมตาย” ... และตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ก็ไม่ค่อยมีวันไหนหรอกครับ ขอแนะนำ�ว่าให้ซื้อแบบเป็นเซ็ทนะครับ เอาแบบที่แถมแยม แถมเนยสดมา ที่ผมเรียนเสร็จแล้วจะมุ่งหน้ากลับบ้านทันที หากไม่มีธุระด่วนอะไร ด้วย ก็อย่างที่บอกว่าพอเรียนไปนานๆ ระดับน้ำ�ตาลในเลือดมันก็จะตกครับ เพราะถึงแม้จะสั่งกลับบ้าน เขาก็จะแพ๊คให้อย่างดีมากๆครับ คือจะแถม ผมก็เลยต้องไปหาอะไรหวานๆ ซื้อกลับบ้านอยู่เป็นประจำ�... น้ำ�แข็งแห้ง เพื่อรักษาอุณหภูมิของเนยให้ไม่แข็งหรือเลวเกินไป แยมก็อร่อยโคตรๆ วันนี้ก็เช่นกันครับ ตอนบ่ายนี่โคตรง่วงจนแทบจะหลับคาห้อง ถ้าจำ�ไม่ผิด ถ้าสั่งเป็นเซ็ท ชุดนึงจะราวๆ 215 บาทมั้งครับ (สโคน 4 ชิ้น) พอเลิกเรียนเสร็จก็ได้เวลาหาน้ำ�ตาลใส่กระแสเลือดตามปกติ ปกติแหล่งของหวานที่ผมชอบเดินสำ�รวจไปเรื่อยเปื่อย ก็หนีไม่พ้นชั้นล่างพารากอนแหละครับ เพราะมีให้เลือกหลายอย่าง บางทีก็ซื้อขนมในซูเปอร์ บางทีก็ขนมปัง บางทีก็ไอติม บางทีก็เค้ก ก็วนๆเวียนๆอยู่อย่างนี้ทุกอาทิตย์ ... แต่วันนี้ไม่รู้เพราะอะไร ผมไม่ได้เดินสำ�รวจเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อย แต่กลับเลือกที่จะเดินเข้าหนึ่งในร้านประจำ�ของตัวเองแบบแน่วแน่ นั่นคือร้าน The Oriental Shop ซึ่งอยู่ไปทางด้านหลังๆ ครับ (ร้านอยู่ตรงหัวมุม ตรงข้ามกับร้าน Vanilla Brasserie ...น่าจะนึกออกเนอะ) ร้านนี้ดูท่าทางจากภายนอก ใครๆก็คงนึกว่าแพงหูฉี่ขี้เล็ดราดแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมว่าราคาไม่แพงเว่อร์ ถือว่าอยู่ในระดับที่พอจ่ายไหว watchthispace 1 1

ปี

เมนูอันดับสอง คือ บราวนี่ครับ บราวนี่ร้านนี้ผมเป็นแฟนมาอย่างต่ำ�ก็ห้าหก ตั้งแต่ผมยังเรียนมหาลัย สนนราคาชิ้นนึงตกราวๆ 75 บาท จนถึงตอนนี้ ราคาขึ้นมาเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ น่าจะอยู่สักราวๆ 120-140 บาท ถ้าจำ�ไม่ผิดนะ บราวนี่ร้านนี้จะเป็นแท่งยาวๆ ห่อกระดาษสีขาวๆไว้ครับ ชิ้นใหญ่มาก ถ้าเทียบกับราคาแล้ว ถือว่าไม่แพงเท่าไรหรอก เพราะวัตถุดิบก็ดีมากๆ ถั่วงี้กรอบกรุบๆทุกคำ� ช๊อคโกแลตขมตัดหวานเจ้มจ้น อ๊างงง อยากกิ๊นนนน

เมนูอันดับสาม คือ ไอติมครับ ... ไอติมที่นี่จะมีอยู่ราวๆวันละ 10 รสชาติให้ เลือก มีตั้งแต่เพลนๆ ไปจนถึงแบบที่มีลูกเล่นผสมนู่นนี่ สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สนนราคาหนึ่งสกู๊ป 65 บาท เสิร์ฟพร้อนโคนวาฟเฟิลกรอบ (ซึ่งอร่อยมาก!) ราคาไม่แพงเว่อร์อย่างที่คิดใช่มั้ยครับ ที่สำ�คัญคือสกู๊ปนึงใหญ่มากๆ


n selected items

ราคาไม่ ใหญ่ กว่าแสกู พงเว่ ๊ปปกติ อร์อขย่าองสเวนเซ่ งที่คิดใช่มนั้ยส์ครัแน่บนทีอน ่สำ�คัคืญอคืกิอนสกู โคนเดี ๊ปนึงยใหญ่ วนี่อมิ่ ากๆ ไปเลยอะ ผมว่ากคุว่้มากว่ ใหญ่ สกูา๊ปพวกโปร ปกติของสเวนเซ่ 49 59 บาทของสเวนเซ่ นส์แน่นอน คือนกิส์นอโคนเดี ีกนะ ยเพราะมั วนี่อิ่มไปเลยอะ นเน้นๆไป เลย ผมว่าคุ้มกว่าพวกโปร 49 59 บาทของสเวนเซ่นส์อีกนะ เพราะมันเน้นๆไป เลย ลูกเล่นมันอาจจะไม่ได้มีท๊อปปิ้งอลังการแพรวพราวมาก แต่เนื้อไอติมนี่ ชนะขาดจริ ลูกเล่นงมัๆนอาจจะไม่ได้มีท๊อปปิ้งอลังการแพรวพราวมาก แต่เนื้อไอติมนี่ ชนะขาดจริ ขนาดแค่ งๆรส plain vanilla ผมว่าอร่อยเทียบเท่ากับพวก Haagen Dazs สบายๆ ขนาดแค่รส plain vanilla ผมว่าอร่อยเทียบเท่ากับพวก Haagen Dazs สบายๆ

ครับ มันคือ Ispahan (อิสปาอง) ขนมที่ดังที่สุดในร้าน Pierre Herme แห่งปารีส ครับ ทำ�มาจากมากาฮงยักษ์รสกุหลาบ ข้างในเป็นไส้ลิ้นจี่เชื่อม ล้อมด้วยราสเบ อรี่สดทำ�มาจากมากาฮงยักษ์รสกุหลาบ ข้างในเป็นไส้ลิ้นจี่เชื่อม ล้อมด้วยราสเบ อรี่สดสนนราคาชิ้นนึงตกอยู่ที่ราวๆเกือบ 400 บาทครับ น่าเสียดายว่าตอนนั้นไม่ ได้ลอง สนนราคาชิ้นนึงตกอยู่ที่ราวๆเกือบ 400 บาทครับ น่าเสียดายว่าตอนนั้นไม่ ได้ลอง เพราะโคตรอิ่มจากเครปจานใหญ่ น่าเสียดายเหมือนกัน ... เพราะโคตรอิ่มจากเครปจานใหญ่ น่าเสียดายเหมือนกัน ... ผมก้มลงไปอ่านป้ายเล็กๆ ที่วางไว้หน้าขนมชิ้นนั้น ถึงรู้ว่าขนมชิ้นนี้ชื่อ Waveผมก้ ครับมลงไปอ่านป้ายเล็กๆ ที่วางไว้หน้าขนมชิ้นนั้น ถึงรู้ว่าขนมชิ้นนี้ชื่อ Wave(แหม่ ครับ... ตั้งชื่อไม่เป็นฝรั่งเศสสักกะนิด) ส่วนผสมของขนมชิ้นนี้ เกือบจะเหมื (แหม่ ... ตั้งชือ่ นไม่Ispahan เป็นฝรั่งต้เศสสั นฉบักบกะนิ ทั้งหมด ด) ส่มีวนผสมของขนมชิ ทั้งกุหลาบ ลิ้นจี่ และราสเบอรี ้นนี้ ่ แถมชิ เกื อบจะเหมื ้นนึงแค่อน95Ispahan บาท ถูกต้กว่ นฉบั าตับ้งสามสี ทั้งหมด ่เท่ามี...ทั้งกุหลาบ ลิ้นจี่ และราสเบอรี่ ตอนแรกวันนี้ผมก็ตั้งใจว่าจะกินไอติมนะครับ แต่อะไรไม่รู้ ทำ�ให้เดินลึก แถมชิ้นนึงแค่ 95 บาท ถูกกว่าตั้งสามสี่เท่า ... เข้าไปอี ตอนแรกวั ก นนี้ผมก็ตั้งใจว่าจะกินไอติมนะครับ แต่อะไรไม่รู้ ทำ�ให้เดินลึก ตอนนั้นสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เงยหน้าแล้วชี้นิ้วไปที่ขนมชิ้นนั้น เข้าไปอี ซึ่งกตู้ด้านในสุดเป็นตู้เค้กครับ เค้กที่นี่หน้าตาจะเป็นแบบ patisserie น่ะครับ ตอนนั “พี่ครับ้นสติ เอาไwave ม่อยู่กกลั ับเนืบ้อบ้กัาบนชิตัว้นนึเงยหน้ งครับา...แล้”วชี้นิ้วไปที่ขนมชิ้นนั้น คืซึอ่งตูเป็้ดน้านในสุ เค้กรูปดทรงแปลกๆ เป็นตู้เค้กครัหน้ บ เค้าตาสวยๆ กที่นี่หน้าไม่ ตาจะเป็ ใช่เค้กนสามเหลี แบบ patisserie ่ยมทั้งหมด น่ะครับ “พี ค ่ รั บ เอา wave กลั บ บ้ า นชิ น ้ นึ งครับ... ” แล้ คือวเป็อยูน่ดเค้ีๆกรูผมก็ ปทรงแปลกๆ ไปสะดุดกึกหน้ กับาเค้ ตาสวยๆ กหน้าตาประหลาดแต่ ไม่ใช่เค้กสามเหลี คุ้น่ยเคยอั มทั้งนหมด นึงครับ (รู แล้ปวนีอยู้ถ่ดายตอนเปลื ีๆ ผมก็ไปสะดุ ้องกล่ดอกึงตอนถึ กกับเค้งกบ้หน้ านแล้ าตาประหลาดแต่ วนะ ) คุ้นเคยอันนึงครับ ...ด้ (รูปวนียรู้ถ่าปยตอนเปลื ทรงแบนๆแบบนี ้องกล่องตอนถึ ้ ... มังนบ้ต้านแล้ องเป็วนนะ มากาฮง ) (macaron) แน่นอน ครับ......ด้วยรูปทรงแบนๆแบบนี้ ... มันต้องเป็นมากาฮง (macaron) แน่นอน บอกอีกครั้ง ผมยังไม่เคยกิน ispahan ตัวจริงเสียงจริงของ Pierre Herme ครับ...และด้วยสีสันที่สะดุดตาและคุ้นเคยแบบนี้ ... มันเหมือนกับผมเคยเห็นมัน แต่เพราะเมื บอกอี กครั้งอผมยั งไทยไม่ งไม่เมคยกิ ีร้านนPierre ispahanHerme ตัวจริ...งเสีกว่ยงจริ าจะได้ งของ กินPierre อีกที Herme มาก่อและด้ น วยสีสันที่สะดุดตาและคุ้นเคยแบบนี้ ... มันเหมือนกับผมเคยเห็นมัน ก็คเงต้ แต่ พราะเมื องรอผมได้ องไทยไม่ ทุนไปเรี มีร้านยนแถวๆปารี Pierre Herme สนู...่น กว่ จึงจะได้ าจะได้ซกื้อินมาลิ อีก้มทีรส... มาก่อแต่ น ไม่ได้เห็นที่ร้านนี้ ไม่ได้เห็นที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เห็นที่เมืองไทย... ก็คงต้องรอผมได้ทุนไปเรียนแถวๆปารีสนู่น จึงจะได้ซื้อมาลิ้มรส... แต่ไม่ได้เห็นที่ร้านนี้ ไม่ได้เห็นที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เห็นที่เมืองไทย... วันนี้ขอแก้ขัดด้วย wave จาก The Oriental Shop ไปก่อนแล้วกัน ผมเคยเห็นมันที่ปารีสครับ... วัสนนราคาก็ นนี้ขอแก้ขเป็ัดด้นวมิยตwave ร หน้าจาก ตาก็The คล้ายคลึ Oriental ง แถมรสชาติ Shop ไปก่กอ็ นแล้ ร่อยมากครั วกัน บ ผมเคยเห็นมันที่ปารีสครับ... เป็นการค้นพบโดยบั สนนราคาก็ เป็นมิตร งหน้ เอิญาตาก็ ที่ทำ�คให้ ล้าวยคลึ ันนีง้หแถมรสชาติ ายเหนื่อยไปซะสนิ ก็อร่อยมากครั ทเลยละ.บ มันคือไอ้นี่ครับ เป็นการค้นพบโดยบังเอิญที่ทำ�ให้วันนี้หายเหนื่อยไปซะสนิทเลยละ. มันคือไอ้ Ispahan นี่ครับ (อิสปาอง) ขนมที่ดังที่สุดในร้าน Pierre Herme แห่งปารีส

3.

3.

4.

4.

watchthispace 12


FLIMS

DRAMAS

MUSIC

BOOK

FLIM หนังผีทำ�เงินแนวใหม่ 5 แพร่ง

THE E R U T L U C B U L C 1 L VO

RATING watchthispace 13

ดีเยี่ยม!

ดี

ิง เกมชีวิตจร e ir a n o li Mil Slumdog รเดินพรมแดง ลัมคว

เหตุที่หมาส

AS ื้องหลังเวทีคือฉาก DRAM ินพรม นิรนาม - เบ ควรเด นางฟ้า ือสังคมสลัม ค ก า ฉ ง ั ล เบื้องห แดง

MUSIฮCีโร่ - ราตรีสวัสดิ์ ฟักกลิ้ง

BOOิตKที่เรียกว่าคน - โลกทัศนม์ขีชอีวงิตที่

สิ่ง สิ่งมีชีว : พินิจจาก ณ ิ ร า ว ว ย ี วินทร์ เล เรียกว่าคน ใบพัด สือมีรสแบบ ง ั น ห ว ั ต ย เจ้าชัยน้อ ก็ดี

เกือบดี

ลืมไปได้ก็ดี


เจ้าชัยน้อย ตัวหนังสือมีรสแบบ ใบพัด

BOOK

ครั้ ง แรกที่ ห ยิ บ หนั ง สื อ เล่ ม นี้ ขึ้ น มาอ่ า น พยายามตั้งใจสะกดทุกตัวอักษรแล้ว ว่า หน้าปก หนังสืออ่านว่า เจ้าชัยน้อย นั่นคือถูกต้อง แต่ก็พาน คิดไปถึง เจ้าชายน้อย ผลงานของ อองตวน เดอ แซง-เตก ซูเปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส ทุกเมื่อไป ทั้งๆ ที่มีชื่อคนเขียนกำ�กับไว้อยู่แล้วคือ ใบพัด ถึงกระนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่า หนังสือเจ้าชัยน้อยจะต้องล้อเลียนเลี ย นแบบ-ดั ด แปลงมาจากเจ้ า ชายน้ อ ยบางล่ ะ ทว่าเมื่อได้อ่านไปทีละหน้าๆ จนถึงไม่มีหน้าให้พลิก อีก ลืมนึกถึงเจ้าชายน้อยไปเลย มีแต่เจ้าชัยน้อยผู้ที่ ผ่านพบคนใดๆ ที่ไหนๆ ก็นำ�มาซึ่งความสุขและรอย ยิ้ม หนังสือ เจ้าชัยน้อย เซียนน้อย Underdog Talk เสียดาย...คน อินเดียไม่ได้อ่าน และ ฟินแลนด์ไม่มีแขน ซึ่งทั้งหมด นี้ เป็นผลงานของเขาในรอบ 8 ปี ที่เริ่มประกอบ อาชีพนักเขียน

DRAMAS เบื้องหลังเวทีคือฉาก เบื้องหลังฉาก คือสังคม ทุกคนที่ยืนอยู่บนโลกนี้ ล้วนแต่ปรารถนาในสิ่ง เดียวกัน นั่นคือ การไร้ซึ่งโรคภัยมาเบียดเบียน มนุษย์ ต่างดิ้นรนหาหนทางให้ตนเองพ้นจากความทุกข์ที่กัดกิน หัวใจ ปัจจัยในการดำ�รงชีวิตกำ�ลังจะเพิ่มขึ้น “เงิน” เข้ามา มีบทบาทในการดำ�รงชีวิตให้มีความสุขยิ่งขึ้น ยิ่งมีเงิน ยิ่ง ไร้ทุกข์ ตาชั่งของสังคมนั้น ไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่ คน ที่รวยสามารถไขว่คว้าสิ่งที่สามารถต่อความสุขของเขาได้ ต่างจากคนจนซึ่งต้องประทังชีวิตแบบ “เท่าที่มี” ความเท่า เทียมกัน คงมีแต่ในอุดมคติเท่านั้น การป่วยไข้ของคนจน กลายเป็นปัญหา ที่รอการแก้ไข ยิ่งในปัจจุบันโรคร้ายต่าง เพิ่มมากขึ้นและรุกลามในคนทุกระดับชั้น ยิ่งโรค “เอดส์” ที่เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดแล้ว คงเป็นปัญหา ที่ค่อนข้างใหญ่สำ�หรับคนจน ยามป่วยไข้ทุกคนย่อมอยู่ใน สถานะเดียวกันหมด นั่นคือต้องได้รับการเยียวยาอย่างเท่า เทียมกัน แต่ทำ�ไม? ในโลกแห่งความเป็นจริง เราถึงมีสิทธิ์ เข้าถึงยาและการรักษาได้ไม่เท่ากัน “คุณจะเข้าถึงยาได้ ง่ายๆ เพียงแค่คุณมีเงิน แต่ถ้าไม่ (มีเงิน) คุณก็รอวันตาย ไปแล้วกัน” คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หยิบ

เอา ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง “เภสัชกรยิปซี” ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ มานำ�เสนอ ผ่านละครเวทีเรื่อง “นางฟ้า นิรนาม” ซึ่งแปลมาจาก Cocktail ของ Vince Licata และ Ping Chong และเป็นละครลำ�ดับที่ 2 ในโครงการ จัดหาทุนสมทบมูลนิธิมหาจักรีสิรินธรเพื่อคณะอักษร ศาสตร์ จุฬาฯ ในการก่อสร้างศูนย์ศิลปการละครสดใส พันธุมโกมล (โรงละครอักษร) อีกด้วย การต่อสู้กับความ “ไม่ยุติธรรม” เป็นสิ่งที่ถูก หยิบยกขึ้นมาเล่า ความเห็นแก่ตัวของบุคคลที่มีอำ�นาจ ถูกตีแผ่ในด้านที่มืดมิดที่ทาสีขาวทับอยู่ ส่วนสีขาวที่แท้ จริงนั้น กลับโดนสีดำ�กระเซ็นใส่อย่างไม่ลดละ การต่อสู้ ทางอารมณ์ระหว่างสีขาวและสีดำ� ชัยชนะมักจะตกอยู่ กับสีดำ�เสมอ ละครตีแผ่ให้เราได้รับรู้ถึงความพยายาม ที่จะต่อสู้ของ “ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์” เพื่อความเท่า เทียมกันของคนในสังคม “สัญญา” บางคนเป็นเพียงลมปาก แต่สำ�หรับ คนที่ไร้ซึ่งโอกาสในการเข้าถึงยา มันคือ ความหวังใน การมีชีวิตอยู่รอด ละครเล่าให้เห็นถึง ความสำ�คัญ ของ “คำ�สัญญา” ซึ่งผูกพันอยู่กับ “ชีวิต” ของคนยากไร้ หลายเหตุการณ์กล่าวถึง สัญญานามปธรรม กับ สัญญาที่เป็นรูปธรรม นั่นคือ “สิทธิบัตรยา” ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ เลือกที่จะละเมิดลิขสิทธิ์ยา เพื่อช่วยเหลือคน อีกทั้งยังตีแผ่ความจริงในวงการเภสัชกรรมว่ายังมีคน บางกลุ่มที่เห็นแก่ตัว โดยไม่คำ�นึงถึงคนที่ยากไร้ และ คนที่เห็นแก่ได้เพียงฝ่ายเดียว แม้ว่าจะมีชีวิตเล็กๆอีก มากมายหลายชีวิต ต้องตายไปก็ตาม สัญญา ถูกหยิบขึ้นมา ใช้ในฉากที่ เจ้าของสิทธิ์ บัตรมากล่าวตักเตือน ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ทำ�ให้เราได้ รู้ว่า ความยุติธรรมอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ในโลกอุดมคติ เท่านั้น ละครชีวิตจริงมีแต่การแก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบ เหยียบคนชั้นล่าง เพื่อที่จะไปไขว่คว้าสิ่งที่เรียกว่าความ สุข สังคมไทย ยังขาดการให้ความสำ�คัญกับความ เท่าเทียมกัน ในการเข้าถึงยาของคนแต่ละชนชั้น เรายัง มีการเลือกปฏิบัติ และเห็นเงิน เป็นรางวัลอยู่ สังคมยัง ขาดคนที่เสียสละทำ�เพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ตัวละคร ทำ�ให้ได้เห็นว่า “เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดคนอื่น ได้ แต่เราทำ�ให้เขาเห็นได้” หากมีคนหนึ่งเลือกที่จะเดิน อย่างผู้นำ� ไม่ช้าคงต้องมีผู้ตามแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว นอกจากละครเรื่องนี้จะนำ�เสนอ ความคิดของ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากจะสร้างคานแห่งความเท่าเทียม กันในสังคม การเล่าเรื่อง ดำ�เนินโดนผ่านฉากสีขาวที่ตัด สลับไปมา เป็นลูกเล่นที่แปลกตาหากจะเปรียบกับละคร เรื่องอื่น คงคลับคล้ายคับคลากับการนั่งดูหนังระดับ ฮอลลีวูดสักเรื่อง ที่มีภาพตัดสลับไปมา จุดนี้เอง ถือเป็น ความแปลกใหม่ แต่ก็กลายเป็นจุดที่ค่อนข้างจะสร้าง ความไม่ต่อเนื่องของเหตุการณ์อยู่เช่นกัน ทำ�ให้การรับ ชมค่อนข้างเสียอรรทรสในการตักสลับฉากฉากบ่อยๆ ตลอดจนความต่อเนื่องในการเปลี่ยนฉากและการดึงดูด ความสนใจจากการเปลี่ยนฉากไปยังตัวละคร บ่อยครั้ง ที่เรากลับให้ความสนใจกับฉากมากกว่า “ตัวละคร” ความสมจริงของบทบาทและตัวละครนั้น เป็น สิ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจได้ไม่อยาก ละครเรื่อง นี้ ค่อนข้างประสบความสำ�เร็จในการคัดเลือกตัวละคร

เด่นๆ อย่าง ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ เพราะ เธอ จะต้องเป็นคนดำ�เนินเรื่องราวทั้งหมด เป็นตะละครที่ต้องแสดงถึงรสชาติชีวิตใน บทบาทต่างๆ และก็ทำ�ได้อย่างน่าชื่นชม สิ่ง หนึ่ ง ที่ ถื อ ว่ า เป็ น จุ ด บอดของตั ว ละครนอก เหนือจากตัวเอกแล้ว คงต้องพูดถึงเรื่องขอ บท และการนำ�เสนอด้วย เนื่องด้วยละคร เรื่ อ งนี้ เ ป็ น ละครที่ ค ล้ า ยกั บ ว่ า เป็ น สารคดี ชีวประวัติ แต่ด้วยรูปแบบแล้วยังต้องคง ความเป็นละครเวทีอยู่ สิ่งหนึ่งที่ถูกหยิบยก มาใส่คงเป็นมุกตลก(ร้าย) ที่บางทีผู้ชมอาจ จะรู้สึกเหมือนกันว่า ค่อนข้างเยอะไปและ มาไม่ตรงจังหวะ มุกตลก(ร้าย)ที่ถูกนำ�เข้ามานั้น ส่วน มากเป็นการเย้ยหยัน ของคน ต่างแนวคิด กันในสังคม ซึ่งหากจะมองอีกด้าน ตัวละคร เหล่านี้ก็คงเหมือนกระจกที่สะท้อนสังคมอยู่ ว่าตอนนี้ สังคมเรากำ�ลังไปในทิศทางไหน และเราควรจะช่วยกันแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร สังคมคมไทยกำ�ลังต้องการคนที่กล้าตัดสิน ใจอย่าง “ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์” อยู่ ทั้งชีวิตของ “นางฟ้า” ผู้อุทิศตน เพื่อผลิตยาให้ผู้ติดเชื้อฯ และผู้ป่วยเอดส์ นับล้าน ความโลภของบริษัทยาหน้าเลือด ที่หากินกับชีวิตผู้คน ข้าราชการฉ้อฉล นักการเมืองปลิ้นปล้อน และการต่อสู้ของ กลุ่มคนที่พยายามสานฝันให้คนเข้าถึงยา ถ้วนหน้า ต่างมีอยู่จริงในสังคม แต่เราทำ� เป็นมองไม่เห็นพวกเขา หากลองเปิดตาม อง เราจะเห็นว่า ชุดสีขาวของเรา มันก็มี หมึกสีดำ�กระเด็นมาเปื้อนตั้งแยะ “กลองถ้าไม่ตีมันก็ไม่ดัง แต่ถ้ามีคน ตีแล้วตีไม่เป็นมันก็ไม่ใช่เสียงกลอง คงจะ ต้องรอคนที่ตีเป็น และคนที่กล้าตีมาเล่น”

watchthispace 14


BOOK

DRAMAS

MUSIC

FLIMS

r a c Os Slumdog Millionaire คำ�ตอบสุดท้าย .. อยู่ที่หัวใจ แนวหนัง : ดราม่า กำ�กับโดย : แดนนี่ บอยล์ นักแสดง : เทวะ ปาเตล

ทำ�ไมจึงให้หมาเดินพรมแดง? ก่อนที่จะได้รับ 8 ออสการ์ ( หนัง เคยดิ้นรนมาก่อน กลับไขว่คว้า หาทางที่จะได้เลเวลเพิ่มขึ้นไปอีก แม้จะต้อง อินเดียใครจะดู ,เกมเศรษฐีหรอ? โหว เสี่ยวชะมัด, ออสการ์เขาไม่ได้ เหยียบหัวผู้ที่เคยร่วมชะตากรรมเดียวกันมาได้ก็ทำ� เพียงเพราะ “เงิน” การต่อสู้โชคชะตาของ “หมาสลัม” ที่ประสบความสำ�เร็จ ย่อมจะ ให้รางวัลตามคุณภาพแล้ว, หนังเอเชียหรอ CG สู้ได้ไหม?)

ากคุณเดินไปแล้ว เจอแบงค์พัน หนึ่งใบ กำ�ลังปลิว อยู่ คุณ จะทำ�อย่างไร เก็บมาเป็นของตัวเองซะ เก็บแล้วไปตามหา เจ้าของ หรือไม่สนใจ ทางเลือกสุดท้ายมีคนเลือก 0 คน แน่นอน และทางเลือกที่สอง ก็มีคนเลือกน้อยมาก เพราะอะไร? ในสังคม ปัจจุบัน กลายเป็นสังคมวัตถุนิยม คนอยากมีอยากได้ตามกระแสไปเรื่อย ใครมีของยิ่งใหม่ ยิ่งแพง จะยิ่งเจ๋งในสังคม “เงิน” เข้ามาเป็นตัวแปรที่สำ�คัญ เมื่อมีเงิน เราก็สามารถซื้อทุกอย่างได้ “ย้ำ� ว่าทุกอย่างจริง” เราเชื่ออย่างนั้น เชื่อว่าหลายคนก็เชื่อเช่นกัน หมาสลัมตัวนั้นก็เก็บแบงค์พันใบนั้น ถึงแม้จะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “เงินเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หา ใหม่ได้” ฟังดูแล้ว เหมือนจะเห็นว่า เงินน่ะ มันไม่ได้จำ�เป็นมากนัก ดูเหมือน อยู่ในฟากของคนดี พอเพียง แต่พอประโยคหลัง อ้าวว...ถ้าไม่จำ�เป็นจริง แล้วจะอยากหาใหม่ทำ�ไม หมาสลัมตัวนั้น รีบหาใหม่ด้วยความมุ่งมั่น “เงิน” ทำ�ให้เกิดสงครามที่มองไม่เห็น การแก่งแย่งตำ�แหน่งหน้าที่ การงาน การติดสินบน การฉ้อฉลกลโกง ต่างทำ�เพื่อ สิ่งที่เรียกว่า “เงิน”ทั้ง สิ้น ถึงแม้ว่า จะไม่มีใครยอมรับก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คือ การถูกแบ่ง ชนชั้น รวย-จน ในสังคม ใครมีเงิน นับเป็นพี่ ใครมีทองนับเป็นน้อง แต่ตอน นี้ถ้ามีที่ดินอยู่แถวสยาม คงมีคนอยากจะนับเป็นบุพการีกันเลยทีเดียว ขณะที่คนรวยขับเบนซ์ คนจนขี่รถซาเล้ง ความแตกต่างมันค่อนข้างชัดเจน เพราะความเชื่อเงินเป็นใหญ่ หากสังคมเปลี่ยนไปเป็น สังคมที่ชื่นชมผู้ที่มี ความรู้ คนที่อยู่แถวหน้าก็ยังคงเป็นคนรวยอยู่ เพราะคนรวย มีโอกาสทำ�สิ่ง ต่างๆมากกว่าคนจน ทั้งการเกิด เรียนหนังสือ มันกลายเป็นความจริงที่ต้อง ยอมรับว่าคนจน คือชนชั้นล่าง และบ้านของเขาจะมา 3 ห้องนอน 2 ห้องนำ� ไม่ได้ พอพูดถึงคนจน ภาพที่ออกมาในสมอง มันต้องเป็น “สลัม” เท่านั้น แต่คนเราก็ไม่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตตัวเองได้เช่นกัน “ชั้นอยาก เกิดเป็นลูกรัฐมนตรีล่ะ” ไม่ว่าเส้นทางชีวิตใครเป็นคนกำ�หนด เรามีหน้าที่แค่ เดินตามเส้นทางนั้นไปเท่านั้น เป็นเหมือนเกมชีวิต ที่เกมจะโอเวอร์ เมื่อเรา หมดลมหายใจเท่านั้น ไม่มีตัวช่วยใด “ฮัลโหล ขอ ต่อสายผู้ลิขิตโชคชะตา เพื่อต่อรองหน่อยค่ะ” เราคงทำ�ไม่ได้ เราทำ�ได้แค่เล่นเกมนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะชนะ ไม่ก็แพ้ แต่อย่างไรก็ตาม บางคนชนะแล้วกลับลืมตัว ว่า

watchthispace 15

น่าสนใจกว่า นักการเมืองที่ร่ำ�รวยมาจากการฉ้อฉล มีครั้งหนึ่งเราเคยเห็น หมา ตัวเล็กๆ ป่วยๆ วิ่งหนีหมาแก๊งใหญ่ ซึ่งคาดว่าคุมอยู่แถวนั้น มันทำ�ให้ เรารู้ว่า บางทีก้อไม่ต้องสู้แบบเผชิญหน้าหรอก วิ่งหนีบ้างอาจจะดีมากกว่า ถูกรุม หมาสลัมตัวนั้น เลือกจะวิ่งหนีเช่นกัน เขาวิ่งๆไหนีไปเรื่อย ทำ�ให้เรา เริ่มรู้ว่า “แค่วิ่งหนีปัญหาไม่ได้เป็นสิ่งผิด แต่มันเป็นทางแก้ปัญหามากกว่า” โครงเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ มาจากเกมเศรษฐี ใครๆ ก็อยากเป็นคนรวย ทั้งนั้น เขานำ�ความอยากรวยของคนดูมาเล่น บางคนแค่ชั่วข้ามคืนก็กลาย เป็นเศรษฐีได้ในพริบตา แต่ชีวิตมันก็ต้องมีการฝ่าฟัน สิ่งนั้นก็คงเป็นคำ�ถาม แต่ละข้อ ที่ถูกถามออกมา โดยมีตัวช่วยเพียง 3 ครั้งเท่านั้น แต่ในชีวิตจริง ตัวช่วยอาจจะไม่อยู่จริงเลยก็ได้ นอกจากพ่อแม่แล้ว ยังนึกไม่ออกว่าใครควรเป็นตัวช่วยในชีวิตของ เรา คงไม่ใช่เพื่อนที่เลขที่ติดกันตอนนั่งสอบเป็นแน่ ภาพการต่อสู้ระหว่าง 2 ศาสนา ในหนังทำ�ให้หมาสลัมตัวเอก ใช้ตัวช่วยแรกไปตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง ทำ�ให้ตัวช่วยเขาเหลือน้อยหลง หรือว่าไม่มีเลย การดำ�รงชีวิตอย่างยากไร้ ยิ่งสะท้อนภาพให้เราเห็นว่าคนจน ที่ลำ�บากยังมีอยู่ในทุกประเทศ ทุกสังคม แต่กลับไร้ซึ่งคนมาให้ความสนใจ กลับมีเพียงพวกชุปมือเปิบ ยืนมือเข้ามา ตบหนน้าสองที แล้วกระชากผมเราออกไป .... หนังเรื่องนี้สะท้อนความโชคดี บนความโชคร้าย จามาล เด็กหนุ่มที่ เกิดมาในยุคสงครามศาสนา ไร้ที่อยู่ ไร้พ่อแม่ ต้องมาเผชิญเหตุการณ์โชค ร้ายมากมาย แต่ก็เพราะความโชคร้ายเหล่านั้นที่ทำ�ให้ เขาตอบคำ�ถามใน รายการเหล่านั้นได้ เพราะต่างก็เป็นความโชคร้ายที่เขาผ่านมาทั้งสิ้น เป็น มุกที่คนทำ�หนังต้องการจะสื่อว่า ในความโชคร้าย มันคงจะต้องมีความโชค ดีเหลืออยู่บ้าง สลัมด็อก มิลเลี่ยนแนร์กัดจิกสังคมได้อย่างแสบสันต์ ไม่ใช่แม้แต่ สังคมอินเดีย แต่เป็นสังคมโลก เช่นฉาก ฝรั่งอเมริกันให้เงินตำ�รวจ ยิ่งย้ำ� ภาพของ “สังคมเงินซื้อทุกสิ่ง” หรือแม้แต่ความงดงามของทัชมาฮาล สถาน ที่สวยติดอันดับโลก กลับมีนักท่องเที่ยวมาแย่งกัน เพื่อที่จะถ่ายรูปมุมที่สวย ที่สุด เพื่อเอาไปโชว์ว่ามาถึงแล้ว ส่วนสังคมที่อยู่ภายใต้เปลือกของทัชมา ฮาลนั้นกลับไม่มีอยากถ่ายสักคน ไปจนถึงฉากที่มีคนเอาโค้กมาให้ เด็ก ชายขณะนั้นเคยไปแอบดูลูกคนมีเงิน กินน้ำ�ดำ�ๆ ซ่าๆ เมื่อเห็นมีคนเอามา


ให้จึงคิให้ ดว่จาึงเขาเป็ คิดว่านเขาเป็ คนดี นคนดี และก็ และก็ เดินเตามเขาไปอย่ ดินตามเขาไปอย่ างง่ายดายโดยไม่ งง่ายดายโดยไม่ รู้ชะตา รู้ กรรม และฉากที ชะตากรรม และฉากที ่ทำ�งานอยู ่ทำ�งานอยู ่ในร้่ใานร้ นฟาสต์ านฟาสต์ ฟูดส์ฟูดส์น้น้ำ�ำ�แร่แร่มมีรีราคาขวดละแพงๆ าคาขวดละ ของชาวอเมริ แพงๆ ของชาวอเมริ กัน ก็เป็กนันเพีก็ยเป็งแค่ นเพีนย้ำ�งแค่ ก๊อกนจากท่ ้ำ�ก๊อกอจากท่ ประปาเท่ อประปาเท่ านั้นเองานัจุ้นดเอง เสียดสี จุนีด้ สะท้ เสียดสี อนให้ นี้ สะท้ เห็นว่อานให้ เราแห่ เห็นกว่ันาไปทำ เราแห่ �ตามฝรั กันไปทำ่ง �เชืตามฝรั ่อถือตามแบบเขา ่ง เชื่อถือตามแบบ เห็นเขาทำ� อะไรเราก็ เขา เห็นเขาทำ พลอยทำ �อะไรเราก็ �ตามไปด้ พลอยทำ วย �ตามไปด้ หรือคนอเมริ วย หรื กันอเขาก็ คนอเมริ ดื่มน้กำ�ันประปาในขวด เขาก็ดื่มน้ำ� น้ำ�แร่กัน? ประปาในขวดน้ ำ�แร่กัน? ฉากที่พี่น้องมาพบหน้ากัน ท่าท่มกลางสิ ามกลางสิ่งก่​่งอก่สร้ อสร้างที างที่กำ�่กลัำ�งลัสร้ งสร้างอยู างอยู่ทับ่ทับ ความเป็นสลัม อดีตของพวกเขา ย้ย้ำ�ำ�ว่ว่าาผูผู้เป็้เป็นนพีพี่เชื่เชื่อ่อว่ว่าาความเจริ ความเจริญญและเงิ และเงินน ทอง เป็นสิ่งที่สำ�คัญในชีวิต อย่ อย่าางหลายฉาก งหลายฉากผูผู้เป็้เป็นนพีพี่พ่พูดูดซ้ซ้ำ�ำ�ๆว่ๆว่าา“ “โหวว โหววนั่นนั่น เงินเป็นฟ่อนเลยนะ” ชีวิตของสลัมหนุ่มจามาล เดิเดินนไปตามเส้ ไปตามเส้นนทางที ทางที่แ่แร้นร้นแค้แค้นนพร้พร้ อมกั อมกั บบ พี่ของเขา ต่ต่าางกั งกันนทีที่ พี่ พี่ของเขากลั ่ของเขากลับบกระหายความร่ กระหายความร่ำ�รวยเงิ ำ�รวยเงินนทอง ทองคงเหมื คงเหมื อนอน คนในสังคมที่ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ แม้ แม้แแต่ต่ตตอนจบ อนจบ ซาลิ ซาลิมมยัยังเลื งเลืออกทีกที่จะตาย ่จะตาย อยู่บนกองเงินเป็นล้านๆ ที่เขาหามา ในอ่างจากุดชี่ เป็นเสียดสีว่า คนเราฆ่า กันตาย ข่ข่มมเหงกั เหงกันนเอารั เอารัดดเอาเปรี เอาเปรียยบกั บกันน แต่แต่ สุดสทุ้ดาท้ยเขาก็ ายเขาก็ ยังยไม่ังไม่ ทันทได้ันได้ ใช้เใงิช้นเงิน นั้นอยู่ดี จะพูดว่า “ตายไปก้เอาไปไม่ได้ไ ก็ก็คคงไม่ งไม่ผผิดิด แต่ แต่คคำ�ำ�พูพูดดนันั้น้นดูดูจจะมี ะมีกกลิลิ่น่น เครื่องเทศน้อยไปหน่อย อีกด้านที่อินเดียหนุ่มผู้พี่นั้นมี คืคืออความเป็ ความเป็นนผูผู้น้นำ�ำ�พีพี่ ่ ชายคนโต จะมี จะมีคความเป็ วามเป็นนผูผู้น้นำ�ำ�อยู อยู่ใ่ในตั นตัววเอง เอง ซาลิ ซาลิดดก็ก็เช่เช่นนกักันนหลายฉาก หลายฉากที่เทีขา่เขา เลือกจะใช้อำ�นาจความเป็นพี่ชาย กักับบจามาลผู จามาลผู้เป็้เป็นนน้น้อองงทั้งทัในเหตุ ้งในเหตุ การณ์ การณ์ ที่ ที่ ต้องหนีตาย ไปจนถึ ไปจนถึงงการแย่ การแย่งงคนรั คนรักกหนัหนั งพยายามนำ งพยายามนำ �คำ��คำว่�าว่อำา�อำนาจ �นาจมาเล่ มาเล่ นน กัน คำ�ว่า พี่น้อง ทรยศหักหลั หลังงกักันนระหว่ ระหว่าางพี งพี่น่น้อ้องเป็ งเป็นนจุจุดดสะเทื สะเทือนอารมณ์ อนอารมณ์ ที่สทุดี่สในเรื ุดในเรื ่อง่อง คนหนึ่งเลื เลืออกที กที่จ่จะเดิ ะเดินนไปตามเส้ ไปตามเส้นทางที นทางที ่มีแ่มต่ีแกต่ระสุ กระสุ นปืนนปืแต่นเแต่ ต็มเไปด้ ต็มไปด้ วยเงิวนยเงิน ทองมากมาย นันั่น่นคืคืออซาลิ ซาลิมมผูผู้เป็้เป็นนพีพี่ ส่​่ วส่นจามาลนั วนจามาลนั้น้นเลืเลือกที อกที่จะเดิ ่จะเดินนในเส้ ในเส้นนทาง ทาง ที่ขาวสะอาด แม้แม้ดดูไรู้ไเร้กีเกียยรติรติกก็ต็ตามามความแตกต่ ความแตกต่ างของชะตากรรมทั างของชะตากรรมทั ้งสอง้งสอง คนสะท้อนหลายอย่าง เช่เช่นนชนชั ชนชั้นที้น่ถทีูก่ถกดขี ูกกดขี่ในสั ่ในสังคม งคมอย่อย่ างจามาลเขาต้ างจามาลเขาต้ ององ ทำ�งานเป็นเด็กชงชา ขณะที ขณะที่ค่คนอื นอื่น่นๆกำ ๆกำ��ลัลังงนันั่ง่งเรีเรียยนหนั นหนังงสืสือออยู อยู่ใ่ในชั นชั้น้นเรีเรียยนนแต่แต่ หนังก็ไม่ได้ทำ�ให้เขาถูกทำ�ร้ายมากนัก แต่กลับถูกสื่อให้ออกมาว่า “เด็กที่นั่ง

เรียนสบายๆ บางคน บางคน โง่โง่กกว่ว่าาเขาอี เขาอีกก””ส่ส่ววนซาลิ นซาลิมมซึ่งซึอยู ่งอยู่ซีก่ซดำีก�ดำ�ต้อต้งกลายเป็ องกลายเป็ นน มือปืน แต่เขาก็ยินดีจะทำ�มัน ก่อนจะออกไปทำ�งาน ยังมีฉากที่ขออภัยโทษ ต่อพระเจ้า หนั หนังงเรืเรื่อ่องนี งนี้ส้สอดแทรกเรื อดแทรกเรื่อ่องเกี งเกี่ย่ยวกั วกับบศาสนาเข้ ศาสนาเข้าามาเป็ มาเป็นนระยะๆ ระยะๆแต่แต่ นั่นเองเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความต่อเนื่องให้กับเหตุการณ์ได้อย่างเหมาะสม ส่วนนางเอกนั้น ชีวชีิตวเธอกลั ิตเธอกลั บล่บอล่งลอยเหมื องลอยเหมื อนขนนก อนขนนกเธอไม่ เธอไม่ มีสิทมธิีส์ ิทธิ์ กำ�หนดเส้นทางด้วยตัวเธอเอง ทุทุกกอย่อย่างถู างถูกกกำกำ�หนดไว้ �หนดไว้โดยคนที โดยคนที่ม่มีอีอำ�นาจ ำ�นาจที่ ที่ สามารถกระทำ�เธอได้ทุกอย่าง แม้ แม้แแต่ต่เอาชี เอาชีววิติตบ่งบ่บอกถึ งบอกถึง งสตรีสตรี เพศย่ เพศย่ อมอยู อมอยู ่ ่ ในชนชั้นที่ถูกกดขี่มากกว่าเพศบุรุษ ไม่ไม่ว่าวด้่าวด้ยเหตุ วยเหตุใดก็ ใดก็ตาม ตามผู้หญิ ผู้หงญิ มักงถูมัก ถูก ทำ�ร้ายเสมอ อย่ อย่าางภาพสงครามศาสนา งภาพสงครามศาสนาฉากเด่ ฉากเด่น นยังยัเป็งนเป็ฉากที นฉากที ่มีค่มนเอาไม้ ีคนเอาไม้ มาตีหน้าผู้เป็นแม่ของหนุ่มสลัมทั้งสองลงไปกองกับพื้น(น้ำ�) เป็นภาพที เป็นภาพที ่ ่ ตอกย้ำ�ความเป็นบุรุษนิยมไว้มากเลยทีเดียว ฉากหนึ่งที่อยากหยิบมาคุย คงเป็ คงเป็นนฉากใบ้ ฉากใบ้คำ�คตอบของพิ ำ�ตอบของพิธีกธรเจ้ ีกรเจ้าเล่ าเล่หห์ ์ มองมุมหนึ่งก็นั่นมันเป็นรายการของเขา เงินเงิของเขา นของเขาส่วนอีส่กวมุนอีมหนึ กมุ่งมคง หนึ่งคง ต้องการจะลองในอินเดียหนุ่ม ฉากนั้น ยัยังง ชีชี้ใ้ให้ห้เห็เห็นนว่ว่าาความเห็ ความเห็นนแก่แก่ตตัวัวมีมีกกันัน ทุกคน แต่แต่จามาลก็ จามาลก็สามารถตอบคำ สามารถตอบคำ�ถามนั �ถามนั้นได้ ้นได้คงเป็ คงเป็ นเหมื นเหมื อนการเอาชนะ อนการเอาชนะ กลุ่มชนที่เอารัดเอาเปรียบเราอยู่ คล้คล้ายๆกั ายๆกับการดั บการดันขาที นขาที่เขาเหยี ่เขาเหยียบหน้ ยบหน้าเรา าเรา อยู่ให้กระเด็นออกไป บางครั้งเขาอาจจะเจ็บตัวจนเดินไม่ได้ก็เป็นได้ และเหตุที่หมาสลัมควรแก่การได้เดินพรมแดง นอกจากเนื นอกจากเนื ้อหาแล้ ้อหาแล้ วว ภาพเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถตอกย้ำ�ความเป็นสลัมได้อย่างชัดเจน ภาพสลั ภาพสลั มม กองขยะ ภาพจะออกโทนสี ภาพจะออกโทนสี น้ำ�นตาลเป็ ้ำ�ตาลเป็ นส่นวส่นใหญ่ วนใหญ่ นอกจากได้ นอกจากได้ อารมณ์ อารมณ์ ความ ความ อดอยากแห้งแล้งแล้ว ยังเพิยั่มงความรู เพิ่มความรู ้สึกสงสารเข้ ้สึกสงสารเข้ าไปอีากไปอี ในความยากจน กในความยากจน เหล่านั้น ที่น่าทีชื่น่าชมคงเป็ ชื่นชมคงเป็ นการตั นการตั ดภาพระหว่ ดภาพระหว่ างคำา�งคำ ถามและเหตุ �ถามและเหตุ การณ์ การณ์ ใน ใน อดีตที่นำ�ไปสู่คำ�ตอบ ถึถึงงแม้ แม้วว่า่างครั งครั้ง้งจะมี จะมีกการสลั ารสลับบภาพไปมาอย่ ภาพไปมาอย่าางรวดเร็ งรวดเร็ววแต่ แต่ ก็สะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ดี ก็ก็ยยังังไม่ไม่ททิ้งิ้งความเป็ ความเป็นนอิอินนเดีเดียยแท้ แท้คงไม่ คงไม่มีภมาพยนตร์ ีภาพยนตร์ชาติ ชาติ ไหนที่ตอนจบมีนักแสดงมาแจ๊สแดนซ์ กันกัอย่ นอย่ างสนุ างสนุ กสนาน กสนานแต่นแต่ ั่นแหละ นั่นแหละ เป็นเสน่ห์ของอินเดีย ภาพรวมหนั ภาพรวมหนังงไม่ ไม่ตต้อ้องการนำ งการนำ��เสนอภาพที เสนอภาพที่เ่เศร้ ศร้าา สะเทื สะเทืออนน อารมณ์สุดขีด แต่มีการกระแทกนิดหน่อย พอให้ใจสั่น แล้ แล้ววก็ก็ดดำ�ำ�เนิเนินนเรืเรือองต่ งต่ออ ไป แล้วก็กระแทกมาใหม่ คงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ สิ่งที่สำ�คัญที่สุดของคุณคืออะไร สำสำ��หรัหรับบจามาลตอนเด็ จามาลตอนเด็กกคือคืรูอปทีรู่ ปที่ เขาต้องการจะไปของลายเซ็นต์ อะมิ อะมิตตาบ าบ แต่ แต่สสำ�ำ�หรั หรับบเราตอนนี เราตอนนี้ หากบอกว่ ้ หากบอกว่าา เลยช่วงนิยมอะเมริกันไปแล้วก็ไม่ผิด หาก หากจามาลเป็ จามาลเป็ นเด็นกเด็คนหนึ กคนหนึ ่งที่องทียู่อในยู่ใน ประเทศไทย ตอนนั้น เขาอาจจะชูซีดี ดงบังชินกิ อยู่ก็ได้

ทำ�ไมจึงให้หมาเดินพรมแดง? หลังจากที่จะได้รับ 8 ออสการ์ ( (หนัหนังอิงนอิเดี นเดียใครก้ ยใครก้อดีออดี่ะอ่ะ,เกมเศรษฐี ,เกมเศรษฐีหหรอ? รอ?โหว โหวแม่ แม่งงเจ๋เจ๋งงว่ว่ะะออสการ์ ออสการ์ปปีนีนี้สี้ ิ สิคุคณุณภาพจริ ภาพจริง ง, หนั , หนังเอเชี งเอเชียมาแรงนะเนี ยมาแรงนะเนี่ย)่ย)

watchthispace 16


FLIM “ไปดูมาช่าแสดงหนัง ที่ work ที่สุดของเธอ”

มชัดลึก :กลางปี 2536 ระหว่างที่คุณ มาช่า วัฒนพานิช กำ�ลัง ป๊อปกับการเป็นนางแบบนั้น สรพงศ์ ชาตรี พูดที่โรงแรมสยาม ซิตีกับผมว่า เหตุผลในการประสบความสำ�เร็จกับงานแสดง ของเขานั้น มาจากเคล็ดลับง่ายๆ ข้อเดียว คือ ละทิ้งความเป็นดาราและซู เปอร์สตาร์ให้หมด เลิกยึดติดกับความเป็น someone เมื่ออยู่หน้าจอ แล้วนั่น มันจะเวิร์กเอง (ศิษย์เอง ท่านมุ้ยบอก) คำ�พูดของนักแสดงชายที่ดีที่สุดตั้งแต่ เมืองไทยเคยมีมา อาจไม่ได้ยินไปถึงหูใคร แต่ล่าสุดนักแสดงคนหนึ่งที่ทำ�ได้ แล้วก็คือ คุณมาช่า วัฒนพานิช กับหนังเรื่อง “5 แพร่ง” (แพร่งที่ 5) ผมสามารถเอาหัวตัวเอง หัวผู้บริหาร GTH หรือหัวผู้กำ�กับหนัง มา เป็นประกันได้ว่า นักแสดงที่สร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนดูมากที่สุดจากเรื่อง 5 แพร่ง ก็คือ มาช่า นั่นเอง แปลกนะครับ ทั้งๆ ที่ มาช่า เองก็เล่นหนังมาราวๆ 20 เรื่อง แต่จะเป็นเรื่องนี้แหละที่เธอจะทำ�ให้คนดูมีความสุขมากที่สุด บท “พี่ช่า” ของเธอ แข็งแรงกว่าบทใน “ตำ�รวจเหล็ก” และน่าจดจำ� กว่าบทบาทใน ”วิวาห์จำ�แลง” ทั้งๆ ที่เธอออกหน้ากล้องน้อยกว่า 10 เท่า ประสบการณ์ต่างๆ ของนางแบบที่ป๊อปที่สุดยาวนานที่สุดของบ้านเรา ทำ�ให้

ไม่ต้องไปคิดถึงทฤษฎี ทางการแสดง method หรือ inner realism อะไรให้ปวดหัว มา ช่า ใช้ความเก๋าและเจนจัดใน การแสดงตั้งแต่ซีนแรกจนฉาก สุดท้าย พยานสำ�คัญก็คือ ทั้งๆ ที่โดยเรื่อง ผีต้องเป็นตัวเด่น แต่ มาช่า นั้น ได้ขโมยความเด่นไป จากทุกคนหมด มาช่า ไม่ได้ ออกทุกฉาก แต่ทุกฉากที่เธอ เล่น หนังอยู่กับเธอหมด ผมคิด ว่าคาแรกเตอร์ของ มาช่า ใน 5 แพร่ง คือความสำ�เร็จเดียวกับที่ โอปอล์ ในหนัง “เพื่อนสนิท” ได้ รับ ทีนี้ลองนึกย้อนไปใน “หนัง

ไทยบางเรื่อง” ซึ่งนักแสดงทำ�หน้าที่ได้ดี แต่ตัวละครไม่มีความน่าเชื่อถือ สุดท้าย ก็น่าเสียดายมากกว่าอะไร บทของคุณอนันดา เอเวอริ่งแฮม (นักแสดงอีกคนที่ผมชอบ) ในหนัง Happy Birthday ซึ่งเล่นได้น่าพอใจมาก แต่เมื่อพฤติกรรมของเขาไม่น่าเชื่อถือ หลังจาก คนรักตายไป หนังก็เดินหน้าอย่างสะเปะสะปะ (แถมมีความเหมือนคล้ายกับหนัง สเปนอย่าง Talk to Her) สุดท้าย บทของคุณอนันดา ก็ตกรอบในบางสถาบันไป อย่างน่าเสียดาย ขณะที่ มาช่า ใน 5 แพร่ง ต้องเล่นแบบไม่ได้แสดง (แต่จริงๆ คือต้องแสดง มาก) เธอกลับทำ�ให้ผู้ชมหัวเราะทุกฉาก ทั้งช่วยถ่ายทำ�, ทั้งพาผีเข้าห้องน้ำ�, ทั้ง เธอเข้าใจว่า เมื่อหนังต้องการอารมณ์แบบหนึ่ง เธอสามารถดึงมันออกมาได้ แซวคนจัดเสื้อในและทั้งให้สัมภาษณ์ เป็นการใช้เวลาในหนังน้อยที่สุด แต่ได้ประโยชน์เยอะที่สุด แน่นอนว่า ชม ทันที เมื่อเธอดราม่าเธอตลก เมื่อเธอต้องทำ�ตัวตอแหล เธอดูน่ารัก มาขนาดนี ้ ต้องไม่ลืมยกย่องผู้กำ�กับหนังด้วย (รู้สึกจะเป็น สตีเวน สปีลเบิร์ก หรือ เมื่อเธอต้องพาซื่อ คนดูก็หัวเราะ พูดง่ายๆ (และอย่างไม่ต้องเข้าข้าง) จะทำ�บ้าอะไรในหนัง ก็เวิร์กไปหมด (หรือใครจะเถียง) ผมอาจจะชอบภาพ ไงเนี่ย - ฮา) ทุกคนนั้นมีทางของตัวเองเสมอ และช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา คุณแม่ รวมของหนังตอน “รถมือสอง” มากที่สุด (บทวิจารณ์เต็มๆ อ่านได้ในนสพ. กรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ 3 กันยายน) แต่ความแข็งแรงและยอดเยี่ยมของ มาช่า ของน้องกาย รุ่งกับการเป็น “นางแบบ” มากกว่า “นักแสดงหนัง” และไปได้ไกล ทำ�ให้หนังตอนสุดท้ายใน 5 แพร่ง คลี่คลายภาพรวมไปสู่การกลับบ้านอย่างมี กับ “ละครทีวี” มากกว่า “ร้องเพลง” นั่นหมายความว่า การอยู่ยาวนานกว่าใครๆ ของ มาช่า บนเส้นทางบันเทิงนั้น ไม่ได้อยู่อย่างฟลุกๆ ความสุขเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ไม่ได้ surviving แต่ living (ไม่ได้เอา ตัวรอดไปวันๆ แต่สามารถมีชีวิตได้ อยู่กับ มัน) “หนี ตามกาลิเลโอ” อาจจะมีข้อผิด พลาดเกี่ยวกับชื่อหนัง แต่สำ�หรับ “5 แพร่ง” ไม่มีปัญหาว่าหนังจะไม่ได้เงิน จะ 40-5060-70 หรือ 80 ล้านก็คงลุ้นกันในสัปดาห์ หน้า เพราะยังตอบไม่ได้ เมื่อสองปีก่อน ดีเจกฤษณ์สัมภาษณ์ ผมออกรายการวิทยุ เขาถามผมว่า “คุณมา ช่า เล่นหนังเก่งไหม” วันนั้นผมยังไม่ได้บอก แต่วันนี้ ผมสามารถตอบคุณกฤษณ์ ได้แล้วว่า “โคตรเก่งเลยท่าน” สวัสดี.

watchthispace 17


BOOK MUSIC ฟักกลิ้ง ฮีโร่ กับคืนที่สังคมไทยนอนไม่หลับ

ถ้าใครได้ดูรายการของคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่าน มา คงได้เห็นมิวสิควิดีโอของวงฟักกลิ้ง ฮีโร่ เพลง ราตรีสวัสดิ์ ที่ มีเนื้อหาเกี่ยว กับการก่อการร้ายในภาคใต้ ภาพต่างๆ แสดงให้เห็นการต่อสู้ที่ต้องเสียสละ ชีวิตของทหารไทย รูปแบบเพลงสับเปลี่ยนกันไปมาระหว่างความเป็นแร็พกับ โรแมนติคป๊อป โดยท่อนนำ�เสนอการต่อสู้นั้นร้องอย่างแร็พ นำ�เสนอเรื่องราว การต่อสู้ที่เจ็บปวดและน่ายกย่อง เพลงขึ้นต้นว่า วันนี้ ฉันมีนิทาน อยากเล่าให้เธอฟัง นิทานเรื่อง ท ทหาร อดทน เวลาเค้า ยืนเค้าแนบปืนกลไว้ข้างกาย ทั้งที่เค้าไม่เคยใจร้ายและไม่เคยคิดฆ่าคน แต่ เป็นอีกคืนที่เค้าต้องออกลาดตระเวน เป็นหน้าที่ของกองพันทหารราบผู้รักตัว เอง น้อยกว่าชนในชาติไทย สำ�นึกรักชาติที่เปิดตัวขึ้นมาอย่างโจ่งแจ้งแสดงให้เห็นถึงความบิดเบี้ยว ทาง ความคิดบางอย่าง ยิ่งฟังไปฟังมา มันถึงกับมีคำ�ว่า เพราะรู้ว่าเลือดเนื้อ เค้าจะสละไม่ให้เราเป็นทาสใคร ซึ่ง ประหลาดอย่างยิ่งที่ความเป็นทาสใคร อะไรนั้นมายุ่งอะไรกับปัญหาชายแดนใต้ สำ�นึกถึงความเป็นอิสระไม่เป็นทาส นี้มันมากับอุดมการณ์ชาตินิยมแบบสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามต่างหาก การจับแพะชนแกะแบบนี้จึงฟังดูตลกและผิดที่ผิดทาง

DRAMAS

MUSIC

FLIMS

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ กับคืนที่สังคมไทยนอนไม่หลับ ยิ่งตอนที่เปลี่ยนนักร้องเป็น แนวโรแมนติ ค ป๊ อ ปตรงกลาง เพลงนั้น เห็นได้ชัดถึงความ พยายามที่ จ ะทำ � ให้ เ รื่ อ งของ ชาติ กลายเป็นสิ่งโรแมนติค ด้วย เนื้อร้องที่ดูเหมือนเป็นเสียงของ ทหารพูดกับประชาชนคนไทยว่า หลับตาเถอะนะ ขอให้เธอหลับ ฝันดี คืนนี้ไม่ต้องห่วง ตรงนี้ฉันจะ ดูแลด้วยชีวิตของฉัน ชาติ นิยมนั้นไปด้วยกันได้ดีกับความโรเแมนติค เพราะชาตินิยมสร้างสำ�นึก ของตัวมันเองเข้ากับการต่อสู้ การเสียสละ และอดีตอันรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ของ ชาติ โบราณ วัตถุ อนุสาวรีย์ หรือกระทั่งธงชาติ จึงมีลักษณะบางอย่างที่สะท้อนถึง จินตนาการแบบโรแมนติคไปด้วยในตัว ส่วนในเพลงไทย (ป๊อป) นั้น ลักษณะ แบบนี้เคยปรากฏอย่างชัดเจนในเพลงของหรั่ง ร็อคเคสตร้า ที่ชื่อว่า รักเธอ ประเทศไทย เมื่อร่วมสิบปีมาแล้ว

โลกทัศน์ของวินทร์ เลียววาริณ : พินิจจาก สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน

BOOK

ขาวธรรมดา อีกทั้งส่วนที่เป็นบทนำ�เหล่านี้ไม่ใส่เลขหน้า ดูเหมือนวินทร์ตั้งใจจะ ให้บทนำ�เหล่านี้เป็นบริบทซึ่งปูพื้นฐานความเข้าใจให้ ผู้อ่านเข้าถึงแนวคิดที่นำ� เสนอให้เรื่องสั้นได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดีแนวคิดที่นำ�เสนอในเรื่องสั้นมักเป็นความ ขัดแย้งที่ลงจบเรื่องแบบ เปิดกล่าว คือไม่ได้ให้ข้อยุติที่ตายตัวเบ็ดเสร็จแต่ปล่อย ให้ผู้อ่านใคร่ครวญด้วยตนเอง หรือตั้ง คำ�ถามต่อพฤติกรรมของตัวละครซึ่งกล่าว ได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่อง สั้นแนวหักมุมของ วินทร์ เลียววาริณ นอกจากบทนำ � เรื่ อ งสั้ น แต่ ล ะเรื่ อ งจะทำ � หน้ า ที่ เ สริ ม และให้ บ ริ บ ทหรื อ แนวคิดนำ� เรื่อง บทนำ�เหล่านี้บางเรื่องมิใช่บทความแต่เป็นความเรียงหรือเรื่อง เล่าทำ�นองอัต ชีวประวัติหรือบันทึกประสบการณ์ บางเรื่องคล้ายเรื่องสั้นที่บาง เรื่องน่าอ่านและน่าสนใจกว่าตัวเรื่องสั้น เอง เช่น เรื่อง ?สัญชาตญาณการเอา ตัวรอด? ซึ่งนำ�เรื่องสั้นเรื่อง ?คำ�ให้การ? หรือเรื่อง ?ความแตกต่างทางความคิด? ซึ่งนำ�เรื่องสั้นเรื่อง ?วรรณกรรม 48 ชั่วโมง? และเรื่อง ?รอยแผลเป็นบนใบหน้า ของทาร์เซ็ม? บทนำ�เหล่านี้แสดงตัวตนโลกทัศน์และท่วงทำ�นองเขียนเฉพาะตน ที่ราบรื่น มีพลังอย่างเรียบง่ายชวนอ่านกว่าเรื่องสั้นบางเรื่อง ใน สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน วินทร์มอง ?คน? ในฐานะที่เป็น ?สัตว์โลก? ที่ เป็นสากล มิได้เป็นคนในสังคมใดสังคมหนึ่งโดยเฉพาะ และคนในฐานะที่เป็น ? สัตว์สังคม? ซึ่งตกอยู่ในพันธนาการของกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมและจริยธรรมที่ คนกำ�หนดขึ้นเอง แม้คนจะพัฒนาไปในโลกของเทคโนโลยีละความก้า วหน้าทาง วิทยาศาสตร์ แต่ความเป็นคนในฐานะ ?สัตว์โลก? ก็ยังดำ�รงอยู่ไม่ว่าสภาพสังคม จะเปลี่ยนไปอย่างไร กฎเกณฑ์ทางศาสนาในสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้นของคนเป็น เพียง ?เปลือก? ที่มีพัฒนาการไปพร้อมกับการพัฒนาของสังคมของ สิ่งมีชีวิตที่ เรียกว่าคน นอกจากนี้ วินทร์ยังมองคนในสังคมโลกที่สัมพันธ์กับสรรพสิ่งต่าง ๆ ในโลกธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช ธรรมชาติและจักรวาล คนจึงเป็นเพียงสิ่งมี ชีวิตประเภทหนึ่งในโลกแห่งมวลชีพและโลกจักรวาล กล่าวได้ว่าโลกทัศน์เช่นนี้มี โดยองค์รวม สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน รวมเรื่องสั้นจำ�นวน 17 เรื่อง โดย ความแตกต่างจากโลกทัศน์ที่ปรากฏอยู่ในนวนิยาย เล่มก่อนหน้านี้ของ วินทร์ คือ เรื่องสั้นแต่ละเรื่องจะมีงานเขียนที่ วินทร์ เรียกว่า ?บทความ? นำ�เรื่องสั้น ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ในทัศนะของวินทร์ เลียววาริณ การมองคนในภาพ ทุกเรื่องรวม 17 บท เช่นกัน พิจารณาจากการพิมพ์บทนำ�เรื่องสั้นที่พิมพ์ด้วย ขององค์รวมระดับจักรวาลทำ�ให้เข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน มากขึ้น ดังคำ�แถลง กระดาษสีเทาให้เห็นความแตก ต่างจากตัวบทเรื่องสั้นซึ่งพิมพ์ด้วยกระดาษสี ในบทนำ�เสนอตอนต้นเล่มว่า watchthispace 18


การ์ตูน - ไอ้แป้น “เลือกเขายังไง?”

watchthispace 19


watchthispace 20


watchthispace 21


watchthispace 22


FEEL&FELL

แ ด ง น้ อ ย

“สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วนะครับทุกวันศุกร์ในรายการ แฟน พันธุ์เทียม รายการที่จะทำ�ให้คุณรู้มากกว่าที่คุณรู้ ลึกกว่าคุณคิด เหนือการ คาดเดา เหนืออำ�นาจทางการเมือง และเหนือฟ้ายังมีฟ้า...” วันนี้ ผม ปัญญา นิรันดร ขอเชิญท่านผู้ชมพบกับ แฟนพันธุ์เทียม แดงน้อย นักเขียนผู้โด่งดังจาก นวนิยาย เรื่อง ตอม่อที่ 3 ซึ่งถูกนำ�มาสร้าง เป็นภาพยนตร์ถล่มรายได้กว่า 300 ล้าน รวมทั้งรางวัลซีไลท์ (รางวัลใหญ่ สำ�หรับนักเขียนแห่งเอเชี่ยน) 78 สมัยซ้อน ยอดขายของหนังสือที่ตีพิมพ์ แต่ละเล่มไม่ต่ำ�กว่า 10 ล้านเล่ม และล่าสุดหนังสือรวมเรื่องสั้น หลงรักอีหนู เคอิโงะ ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศกว่า 20 ภาษา และได้รับการ ยอมรับจากระบบสุริยะนำ�โดย ดาวเคโรน นำ�ไปแปลเป็นภาษามนุษย์ต่าง ดาวเพื่อเผยแพร่ให้แก่ดาวอื่น ๆ ในระบบสุริยะ “วันนี้เราจะรู้กันครับ ว่าใคร คือ คนที่จะเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์เทียม แดงน้อย สุดยอดนักเขียนแห่งระบบสุริยะ แต่ตอนนี้พักสักครู่ครับ” “แหม ลุ้นกันจนลำ�ไส้พันกันเป็นเงื่อนพิรอดเลยนะครับ โดย เฉพาะอย่างยิ่งผมซึ่งชื่นชม และชื่นชอบผลงานของคุณแดงน้อยอยู่แล้ว และที่สำ�คัญ วันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณ แดงน้อยพอดิบพอดี ดังนั้น เงินรางวัลสำ�หรับผู้ชนะวันนี้ ครึ่งหนึ่งจะนำ�ไป บริจาคให้กับโรงเรียนบ้านโคกอีโด่ยในชื่อของคุณแดงน้อย ด้วยครับ” มาเริ่มกันที่ข้อแรก แรกดีกว่าครับ. . . ในรอบนี้จะเป็นตอบ คำ�ถาม สามารถผ่านได้ 3 ครับนะครับทุกคนมีเวลา 3 วินาที เริ่มต้นที่ผู้เข้า แข่งขันท่านแรกนะครับ คุณสมยวง คุณ ดร.วิกานดา และคุณอรอินทร์ นะ ครับ…. “แม่เปลี่ยนช่องให้หน่อยสิ รำ�คาญ แดงน้งแดงน้อยอะไร มันดัง ขนาดนั้นเชียวหรือ” ผมบอกแม่ซึ่งอยู่ใกล้รีโมทมากกว่า เพราะผมรู้สึกเซ็ง กับรายการทีวี โดยเฉพาะช่วงนี้ ที่รายการแทบทุกรายการ จะต้องมีนักเขียน ผู้โด่งดังที่ชื่อว่า “แดงน้อย” ทุกครั้ง ผมล่ะ ..เบื่อจริง “รายการอังคารพันเดือนวันนี้เราจะพารู้จักกับนักเขียนผู้โด่งดังที่ ชื่อว่า แดงน้อยค่ะ......” เอาอีกเปลี่ยนช่องก็มาเจออีก คงต้องทนดูแล้วล่ะ เฮ้อ.. ...แดงน้อย ชื่อจริงคือ จอย จุฑารัตน์ หัสจุมพล (ภาพซูม ไปที่ รูปวัยเด็ก) เกิดและเติบโตที่จังหวัดนครปฐม จบ ม.ปลายจากโรงเรียนพระ ปฐมวิทยาลัย และขณะนี้กำ�ลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาวาสาร watchthispace 23

ศาสตร์ ปี3 (ซูมไปที่รูปปัจจุบัน คลอเสียงดนตรีเบาๆ ตัดสลับไปที่ภาพคุณแดงน้อย ให้สัมภาษณ์ ) “หวัดดีค่ะ วันนี้จอยจะพาทุกคนไปเยี่ยมบ้านจอยนะคะ...ตามมาเลย ค่ะ” นักเขียนสาวพาไปเยี่ยมชมห้องต่าง ๆ ที่ถูกจัดตกแต่งอย่างเรียบง่าย ล้อม รอบด้วยสวนต้นไม้สีเขียว และเอกำ�ลังพาเราไปพบกับความลับที่ไม่เคยเปิดเผยที่ ใดมาก่อน รายการเราเป็นรายการแรกในระบบสุริยะที่ได้เข้าไปถ่ายในห้องนี้ ห้อง นอนของคุณแดงน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลากหลายแนว นี่เองคง เป็นคลังสมองของนักเขียนผู้นี้ และ.....” ผมเริ่มรู้สึกง่วง อาจจะมาจากความน่าเบื่อของรายการที่ผมดูอยู่ หรือ เหตุผลทางร่างกายก็ไม่ทราบ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้หัวของผมวางอยู่บนหมอนนุ่มๆ เรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นาน ผมรู้สึกตัวเบาๆ เหมือนผมกำ�ลังจะเดินอยู่ในที่ใดที่ หนึ่ง คล้ายๆหน้าบ้านของผม แต่สิ่งก่อสร้างนั้นดูต่างออกไปจากเดิม ไม่อยากจะ เชื่อ รอบข้างกายผมกลับเป็นอะไรที่..เฮ้อ..มันไม่จริงใช่ไหม นั่น โรงเรียนแดงน้อย วิทยาอยู่ตรงสี่แยก ถัดมากลายเป็นร้านฟาสต์ฟูดที่ชื่อ DNC(dang noi chicken) ร้านทำ�ผมก็ชื่อร้านแดงน้อยซาลอน โน่นโรงแรมแดงน้อยอินท์ โอ้....นี่มันเกิดอะไร กับโลกใบนี้นี่ อ๊าก!!!!...ผมตะโกนกับตัวเองจนผมตื่น เฮ้อ..ผมฝันไปหรือเนี่ย เช้านี้ผมตื่นนอนขึ้นมาแบบไม่โล่งหัวเท่าไหร่ เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับ แดงน้อยยังตามหลอกหลอนเป็น ทำ�ไมถึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับนักเขียนที่ชื่อว่าแดง น้อยซ้ำ�ๆ ...ซ้ำ�ๆ.... หรือฝันของผมนั้นจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมเริ่ม สับสน ว่าเกิดอะไรขึ้นเธอใช่คนปกติหรือไม่ ทำ�ไมเธอถึงมีอิทธิพลต่อสื่อ ต่อม มวลชนขนาดนี้ ผมเดินเข้าไปในห้องครัว และนั่งลงบนโต๊ะอาหาร แม่กำ�ลังตักข้าวต้มใส่ชามให้ผม ผมเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่าน แล้วผมก็พบว่าข่าวที่เป็นพาด หัวใหญ่คือ............ “กริ๊งงงงงงงงงงง...ง........งงงงงงงงงง กริ๊งงงงง..” ผมเอื้อมมือ ไป ควานหาและกดปิดนาฬิกาปลุก ห๊ะ!!! นี่ทั้งหมดนี้ผมฝันไปใช่ไหม ผมรีบลุกจาก เตียงเดินลงมาข้างล่างเพื่อถามแม่ ที่กำ�ลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ระเบียบ “แม่ครับ แฟนพันธุ์เทียม เมื่อคืนใครชนะ ล่ะครับ อรอินทร์ หรือว่า ดร.วิ กานดา” ผมถามแม่ ด้วยสีหน้าที่สงสัยเต็มที่ แต่แม่กลับมองหน้าผมด้วยอารมณ์ ขัน แล้วตอบมาว่า “แดงน้งแดงน้อยอะไรของลูก เมื่อคืนน่ะ มันวันจันทร์ มีรายการนั้น ที่ไหนล่ะลูก มาเล่นมุกอะไรแต่เช้าเนี่ย เดี๋ยวแม่ไปเตรียมข้าวต้มให้ดีกว่า ” แม่ ตอบและหัวเราะพร้อมเดินมาลูบหัวผม และเดินหายเข้าไปในครัว ใจนึงผมรู้สึกดี ขึ้นมากที่มันเป็นเพียงความฝัน ไม่มีนักเขียนที่ชื่อแดงน้อย ไม่มีโรงแรม โรงเรียน ฟาสต์ฟูดที่ชื่อแดงน้อย ไม่มี รายการทีวีเกี่ยวกับแดงน้อยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วอยู่ๆ ผมเก็บเอาไปฝันจริงจังได้ อย่างไร ผมเดินเข้าไปในห้องครัว และนั่งลงบนโต๊ะอาหาร แม่กำ�ลังตักข้าวต้มใส่ ชามให้ผม ผมเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่าน แล้วผมก็พบว่า ข่าวที่เป็นพาดหัวใหญ่คือ............ “เรียงความชนะเลิศ เด็กอัจฉริยะ 6 ขวบ คล้า 10 ล้าน” ผมรีบเปิดเข้าไปดูข่าวต่อ ต่อจากหน้า 1 รัฐบาลมอบเงิน ทุนการศึกษา 10 ล้านบาทให้แก่ เด็กหญิงจุฑารัตน์ หัส จุมพล อายุ 6 ขวบ ที่เขียนเรียงความชนะการประกวดระดับประถมศึกษาต้น เด็กอัจฉริยะ อายุ 6 ขวบ ชนะการประกวดเรียงความ กับเรียงความ ของเธอ ชื่อ “โลกของแดงน้อย” ............ ผมเพิ่งรู้ว่าเรื่องราวมันไม่ได้จบลง แต่มันกำ�ลังจะเริ่มขึ้นต่างหาก...

แดงน้อย


Break a part

แดงน้อย

น้ำ�หมึกที่ไม่มีวันหมด ของ วินทร์ เลียววาริณ เมื่อใดที่ได้เดินเข้าไปในร้านหนังสือ เชื่อว่าในชั้นวางหนังสือ ประเภทปกิณกะ จะต้องพบผลงานของนักเขียนที่ชื่อว่า วินทร์ เลียววาริณอย่างแน่นอน หนังสือเรื่องสั้นหลายเล่ม มาอยู่ในครอบ ครองของเราก่อนที่จะรู้จักนักเขียนท่านนี้เสียอีก คงเพราะเนื้อหาของ หนังสือเหล่านั้น ที่ทำ�ให้หลายๆคน เลือกที่จะซื้อเอากระดาษปึกนั้น กลับมาบ้าน เพื่อพิสูจน์ เรื่องสั้นแบบแปลกๆ เล่มหนึ่งจากฝีมือของนักเขียนท่าน นี้ ทำ�ให้ ไม่อยากจะอ่านให้จบเลย อยากจะอ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความ แปลกใหม่ ทั้งการรูปแบบ การตกแต่ง ซึ่งเป็นการผสมระหว่างศิลปะ 2 ด้าน เชื่อว่า หลายคนก็คงไม่อยากอ่านหนังสือที่มี แต่ตัวหนังสือ ละลานไปหมด วินทร์ เลียววาริณ ทำ�ให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ชอบอ่าน หนังสือ มานั่งอ่านหนังสือเรื่องสั้นเล่มนี้อย่างจริงจัง นั่นคือ หนังสือ รวมเรื่องสั้นที่มีชื่อว่า อาเพศกำ�สรวล เช่น เรื่องหนึ่งสั้นเรื่องหนึ่ง ชื่อ ว่า โลกีย-นิพพาน เป็นการเล่า 2 เรื่องไปพร้อมๆกัน แต่กลับแบ่งแยก ชัดเจน ในความเป็นซีกแห่งโลกีย และซีกแห่งนิพพาน เป็นเหตุการณ์ ที่เกี่ยวพันกัน ดำ�เนินเรื่องไปจนถึงจุดสิ้นสุด ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่าง ที่ผู้อ่านคาดคิด ซีกแห่งนิพพาน อาจจะไม่ได้จบด้วยนิพพานเสมอไป และซีกแห่งโลกีย ก็อาจจะมีความขาวสะอาดเจือปนอยู่ อาเพศกำ�สรวลเป็นหนังสือเล่มแรกที่เปิดประตูให้เด็กผู้หญิง คนนั้น รู้จักกับ วินทร์ เลียววาริณ มากขึ้น อาเพศกำ�สรวลเป็นหนังสือ รวมเรื่องสั้นที่มีการเขียนแบบแปลกๆ หรือที่นักเขียนท่านนี้ กล่าวว่า

เป็นการเขียนแนวทดลอง บางครั้งเรื่องสั้น ไม่ต้องการตัวอักษร เสมอไป อย่างในหนังสือ หนึ่งวันเดียวกัน บางเรื่องมีเพียงภาพก ราฟฟิคดูง่ายๆ แต่กลับมีจัยความ มีข้อคิดซ่อนอยู่ในสัญลักษณ์ แทนความหมายเหล่านั้น แต่มีสักกี่คนที่ทราบ ชื่อ จริงของนักเขียนที่ชื่อ วินทร์ เลียววาริณ หลายคนสงสัย อ้าว!..แล้วนั่นไม่ใช่ชื่อจริงหรือ? ใช่ นั่นเป็นนามปากกา ชื่อจริงของนักเขียน 2 ซีไรต์ ท่านนี้ คือ วินทร์ เลี้ยววาริณ นักเขียนที่ต้องเรียนชั้นป .1 ถึง 2 ปี หลายคนเรียน มาไม่ตรงกับงานที่ทำ� เขาเป็นคนหนึ่ง เขาเรียนจบปริญญาตรี สถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเดินทาง ไปสิงคโปรเพื่อเป็นสถาปนิก แต่แล้ว 4 ปี เขาก็หันหลังไปศึกษา ต่อ นักเขียนท่านนี้เดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยศึกษา หลายมหาวิทยาลัย โดยไม่เอาใบปริญญา หลังจากนั้นก็ได้เดิน ทางกลับมาทำ�งานในเมืองไทยในเส้นทางการโฆษณา โดยเขียน หนังสือควบคู่ไปด้วย จากนั้นเส้นทางของนักเขียน 2 ซีไรต์ ก็ได้ เกิดขึ้น ในวัย 35 ปี สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (รวมเรื่องสั้น 2542) และ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน (นวนิยาย 2537) เป็นหนังสือที่ได้ รับรางวัลซีต์ ของนักเขียนท่านนี้ ทั้ง 2 เล่มเป็นการเขียนแบบ กะเทาะเปลือกของสังคมไทยในสมัยนั้น ทำ�ให้ชื่อเสียงไหลหลั่ง มาจนกลายเป้นนักเขียนหมึกทองระดับต้นๆของประเทศไทย ไม่

watchthispace 24


ว่าเขาจะเขียนเรื่องอะไร มักจะได้รับความสนใจจากผู้อ่านหน้าใหม่ และแฟนๆของเขา เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ยอมรับว่า รางวัลกลาย เป็นดัชนีกระตุ้นยอดขายไปให้เพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้มียอดขาย เติบโต แบบก้าวกระโดด เพราะปัจจุบันคนอ่านหนังสือน้อยลง แต่ หนังสือวรรณกรรมยังโชคดีที่มีกลุ่มคนอ่านที่เหนียวแน่น และเป็น ตลาดเฉพาะใหญ่พอสมควร ส่งผลให้หนังสือวรรณกรรมคุณภาพยัง ขายได้ ” ทุกวันนี้ “วินทร์” มีความสุขกับงานหนังสือแนววรรณกรรม ที่เขารัก ควบคู่ไปกับการเปิดสำ�นักพิมพ์ 113 เพื่อพิมพ์หนังสือ รวม เล่มงานเขียนของเขาเอง ซึ่งปัจจุบันจะมีหนังสือตีพิมพ์เฉลี่ยปีละ 3-4 เล่ม อย่างในปีนี้ ก็มี บุหงาตานี (บุหงาปารี ภาค 2 /นวนิยาย อิงประวัติศาสตร์ 2552) และ เส้นรอบวงของหนึ่งวัน (รวมเรื่องสั้น ประกอบภาพ 2552) เส้นรอบวงของหนึ่งวัน เรื่องสั้นแนวทดลองเรื่องล่าสุด ทำ�ให้

จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ปี 2546 มาครอง อย่าง ง่ายดาย ส่วนผลงานที่ถูกนำ�ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง ปืนใหญ่ จอมสลัด ซึ่งนำ�มาจากนวนิยายเรื่อง บุหงาปารี นวนิยานเรื่องนี้เป็น นวนิยายแฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ หากใครได้อ่านเรื่องนี้แล้วจะ วางมือไม่ลงเลย ด้วยเนื้อหาเป็นเรื่องราวที่สนุก และชวนให้คิดแก้ ปัญหาต่อว่าจะเกิดอะไร ตลอดจนฉากสะเทือนใจ และวินทร์ เลียว วาริณ ก็เอาใจนักอ่านด้วยการออกเล่มภาคต่อของ บุหงาปารี นั่น คือ บุหงาตานี เล่มจบ ของเรื่อง ปืนใหญ่จอมสลัด นอกจากบทบาทที่เป็นนักเขียน ของวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนท่านนี้ ยังได้เขียนตำ�ราเกี่ยวกับการเค้นเรื่อง ขั้นตอนการ คิด การเขียนเรื่อง ตลอกจนวิธรการหาไอเดียใหม่ๆ ในหนังสือที่ชื่อ ว่า น้ำ�แข็งยูนิตตราควายบิน (ปั้นน้ำ�เป็นตัว รวมเรื่องสั้น-วิธีเขียน 2546/2550) และ ยาแก้สมองผูกตราควายบิน (คู่มือสร้างพล็อต 2550) ซึ่งเป็นประโยช์แก่หนังเขียนมือใหม่อย่างมาก

“มือใหม่ก็น่าจะหัดวาดด้วยดินสอก่อน แล้วค่อยๆ ลงสีทีละส่วนจะปลอดภัยกว หนอนหนังสือหลายท่านหยิบมาเป็นเจ้าของได้อย่างไม่คิดมากเลย หากใครได้เคยอ่าน หนึ่งวันเดียวกัน หรือ วันแรกของวันที่เหลือ ลีลา การเขียน รวมทั้งการหยอกเย้า กะเทาะสังคมปัจจุบัน ยังคงถูกอัด แน่นอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ที่เข่ว่ากันว่า ภาพๆ เดียว ดีกว่าคำ�บรรยาย เป็นล้านคำ� นั่นคือสิ่งที่ คิดหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ นอกจากเรื่องสั้นแล้วยังมีนวนิยายอีกหลายเรื่องหลาย แนว อย่างเช่น ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล ที่เป็นนิยายที่เขียนเกี่ยว กับเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่ไม่สามรถนำ�มาเกี่ยวกันได้ แต่นักเขียนท่าน นี้ก็นำ�มาสอดแทรกได้อย่างไร้ที่ติ หรือแม้แต่นิยายล้อเลียนสังคม อย่าง ผู้ชายที่ตามรักเธอทุกชาติ พิมพ์ครั้งที่ 85 หากผู้อ่านหลาย คนเห็นคงตกใจว่า “โอ้โห..พิมพ์ครั้งที่ 85 แล้วหรอ?” แต่จริงๆแล้ว เป็นการล้อเลียน ของนักเขียน เป็นนวนิยายขำ�ขันที่กัดเจ็บหยิกแรง อย่าบอกใครเชียว และหากจะไม่พุดถึงนวนิยายเล่มเด็ดของนักอ่านหลายคน คงต้องเป็น ปีกแดง นวนิกายอิงประวัติศาสตร์ ที่ได้รับรางวัลดีเด่น

watchthispace 25

“ผมมักจะเปรียบเทียบการเขียนหนังสือเหมือนการวาด รูป ถ้าเราร่างด้วยดินสอมาก่อนว่าต้นไม้อยู่ตรงนี้ ภูเขาอยู่ตรงนั้น นกบินอยู่ทางนี้ กระท่อมตั้งอยู่ตรงนั้นเมื่อวาดทุกอย่างเป็นเอาต์ ไลน์ชัดเจนแล้ว พอเรามาลงสี มาใส่รายละเอียดเพิ่มเติมเราก็จะรู้ อยู่แล้วว่าภาพที่ออกมาจะเป็นประมาณไหน ไม่มากไปกว่านี้ ง่าย ต่อการคุม ให้ภาพออกมาตรงตามที่เราต้องการทั้งองค์ประกอบ และโทน” นี่แหละคือวิธีการที่จะให้สิ่งที่สั่งสมไว้ กลั่นออกมาเป็นตัว หนังสือที่เราได้อ่านกัน เคยได้ยินหลายคนบอกว่า นักเขียนท่านนี้ เขียนได้ทุกวัน เขียนได้อย่างไม่มีวันหยุด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำ�ให้ผู้อ่านเบื่อแต่อย่างใด กลับทำ�ให้ยิ่งตั้งตารอคอยเสียอีก ว่าเมื่อไร่ จะได้อ่านภาพวาดของ เขาคนนี้ “วินทร์ เลียววาริณ”


ว่า”

สิ่งมีชีวิตในโรงแรม#1 posted on 06 Jul 2008 05:22 by doggiestyle in 5starStory มีคนถามกันมาหลายคนจากที่ได้อ่านๆ เรื่องโรงแรมที่ผมได้เคยเขียนๆ ไป ว่ากันจริงๆแล้ว เอนทรีนี้ผมเขียนไว้ได้ร่วมเดือนแล้วมั้ง เขียนไม่เสร็จซักที วันนี้ได้โอกาสที่เอนทรี “บอระเพ็ดใน โรงแรม” ได้ hotpost หลังจากที่ไม่ได้มาชาติหนึ่ง (แปลกนะว่า ไอ้ hotpost นี่มันสามารถทำ�ให้คนตื่นเต้นได้ขนาดนี้เชียว?) เอาเป็นว่าเราเริ่มจากแผนกที่ผมทำ�อยู่ก่อนละกันนะ คุณๆที่ทำ�โรงแรมจริงๆ ได้มาอ่านแล้วไม่จริง ก็แย้งได้นะ ปืนไม่มีลูกไม่ต้องห่วง ฮ่าๆๆๆ

watchthispace 26


วันนี้เริ่มจากหน้าประตูก่อนเลย 1. valet คำ�ว่าแปลกันตรงๆ ตาม longdo.com แปลว่าคนรับใช้ชายของนาย ผู้ชาย...ช่างแปลได้อุกอาจมากครับ ระบุเลยครับว่า คนรับใช้ที่ต้องเป็นเพศชายด้วยนะ และยังต้องรับใช้นายที่เป็น ผู้ชายด้วย อ่านแล้วออกแนวเก้บศรียังไม่รู้แฮะ ได้บรรยากาศแส้เฆี่ยนเทียนลนมากครับ ผมคิดว่าหลายคนคงเคยขับรถไปห้างแล้วต้องมาหน้ามันหัวยุ่งกับการหาที่จอด รถ...ไอ้ห่าประเทศไทยจะรวยกันไปไหนทุกคนมีรถกันหมดเลยรึไงวะ แฟนเก่าผมทำ�งานอยู่ที่โรงแรมคอนราด ผมเคยไปจอดรถกับแฟนทีนึง สาบาน ได้ถ้าผมมาคนเดียวผมต้องมีปัญหาสองอย่าง หนึ่ง...หาที่จอดรถไม่เจอ สอง...จำ�ที่จอดรถไม่ได้ โรงแรมจึงมีพนักงาน valet parking หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า valet คือคนที่ทำ� หน้าที่ดูแลจอดรถให้กับคนที่เข้ามาพัก หรือเข้ามาที่โรงแรมครับ มันฟังดูวิเศษใช่มั้ยละ เวลาที่เราไปหาเพื่อนที่โรงแรมแล้วไม่ต้องมามึนตับปวด ไตหาที่จอดรถเสร็จแล้ว ก็ไม่ต้องมาจำ�ที่จอดอีก เราขับมาที่โรงแรม มีคนยื่นตั๋ว ให้ เรายื่นกุญแจรถ แล้วก็ไปวาฮูในโรงแรม ตอนกลับยื่นตั๋ว valtet ไปเอารถเรา มาให้ พนักงาน valet ดูแลให้เราครับ สิ่งที่เราต้องทำ�ก็คือ วางใจให้เค้าเอารถไปจอด ลูกค้าบางคนจะเกิดอาการแบบ เฮ้ย!กูจะไว้ใจได้เรอะ ไม่ก็น้อง...รถพี่แพงนะ ขับได้รึเปล่า คือเข้าใจเลยครับว่ารถหนึ่งคันไม่ใช่ สองพันห้า คันตั้งแพง แต่ดูก่อนอย่าพึ่ง

ขับรถไป วิชัยก็ลง recordเก็บกุญแจไปมันส์มาก 2. doorman อันนี้เดาไม่ยาก รู้ๆกันอยู่แล้ว มนุษย์ประตู หรือ คนเฝ้าประตู นั่นเอง โรงแรมที่เป็นล็อบบี้จะมีพนักงานคอยเปิดประตูให้ครับ แต่ช้าก่อน อย่าพึ่งเบือนหน้าหนี เพราะเห็นตำ�แหน่งว่า doormanทำ�หน้าที่เ ปิดประตูเท่านั้น เรามักจะมีภาพจำ�จากหนังต่างๆ ที่เห็นคนเปิดประตูทำ�หน้า เสื่อมๆ แก่ๆใส่พระเอกแล้วก็ได้เงินมาใช้ ตำ�แหน่งนี้ไม่ใช่ขี้ๆนะครับ ขอบอก doorman นอกจากจะใช้กำ�ลังแขนในการเปิดประตูโรงแรมแล้ว ยังต้องใช้ ทักษะสมองและไหวพริบในการแนะนำ�ลูกค้าในสิ่งต่างๆรอบตัวนอกโรงแรม

ด้วย เช่นลูกค้ากำ�ลังจะออกไปข้างนอก ก็ต้องมาถาม doorman เวลาลูกค้ามีปัญหา อะไรหน้าโรงแรมกับแท็กซี่ หรือจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ doorman หรือ valet ก็ ต้องมาเคลียร์ให้ บางคนอาจจะคิดว่า doorman หรือพนักงานเปิดประตู อาจถือว่าเป็นส่วน ประกอบเล็กๆน้อยๆ แต่ในความเป็นจริงๆแล้ว โรงแรมห้าดาวให้ความสำ�คัญ กับ doorman กับ valet มากครับ เพราะโรงแรมห้าดาวถือว่า first impression (ความประทับใจแรก)สำ�คัญมาก สำ�คัญพอๆกับการที่เราต้องอาบน้ำ�ฟอกรักแร้ นั่นเลย คิดดูละกันว่า หากเราเข้าพักที่ไหนสักทีแล้ว doorman เปิดประตูให้เราโดยที่ไม่ ได้หันมามองเราปากยังคุยกับคนอื่นอยู่ ไม่ได้ช่วยเรายกกระเป๋า แค่นี้ก็แอบเคืองแล้วครับ ดีไม่ดีอาจจะพาลไม่พอใจนุ่นนี่นั่นเองง่ายๆด้วย และ เมื่อนั่น พนักงานคนอื่นอาจจะต้องทำ�งานมากเป็นพิเศษเพื่อให้เรากลับมา วู่วามไป ประทั บ ในตอนจบก็ ได้ นอกจากรถคุณแล้ว พวก valet ขับมาหมดแล้วครับ ไม่ว่าจะโตโยต้า ฮอนด้า และ doorman กับ valetยังเป็นสิ่งสุดท้ายที่ลูกค้าจะได้เจอก่อนจากโรงแรมด้ว เบ็นซ์ ฮุนได เปอร์เช่ แลมโบกินี่ ยครับ การจอดรถเข้าซองคืองานเค้าครับ...วางใจเถอะคุ้ณ valet เป็นงานที่ไม่ง่ายนะครับ อย่าคิดว่านี่เป็นแค่งานขับรถขึ้นไปจอด เดินลัล สมมุติว่าเราพักโรงแรมแล้วดีทุกอย่างแต่มาพลาดตรง doorman เปรียบไป ก็เหมือนทีมฟุตบอลที่บุกเล่นดีมาตลอดแต่มารั่วเอาตรงกองหลังกับผู้ รักษา ลาควงกุญแจมาเก็บ มันไม่ใช่แค่นั่นนะครับ ถึงผมไม่เคยไปทำ�หน้าที่นี้โดยตรง (ก็ขับรถไม่เป็นอ่ะ)แต่ผมว่าหน้าที่มีความ ประตู ยากอยู่ก็ตรงที่ต้องขับรถคนอื่นนี่แหละครับ พนักงาน valet ไม่อนุญาติให้ปรับอะไรในรถลูกค้าเลย ไม่ว่าจะเป็นเบาะ แอร์ 3. bellman หรือ porter ก็คือพนักงานดูแลสัมภาระ ใครทำ�ตำ�แหน่งนี้ก็อายุ น้อยหมด เพราะมีแต่คนเรียกว่า เด็กยกกระเป๋า... เพลง กระจกมองข้าง มองหลัง ทุกอย่างต้องเหมือนเดิม เด็กตรงไหนว่ะ? ใครตัวสูง ได้รถของคนตัวเล็กมาขับ...ก็ขับไปจูบหัวเข่าตัวกันไป เวลาจอดเสร็จจะต้องดูสภาพรอบๆอีกว่า รถมีตำ�หนิที่ไหนมาก่อนอยู่แล้วรึ ตำ�แหน่งมนุษย์กระดิ่ง bellman คือคนที่ดูแลสัมภาระกระเป๋าลูกค้า มีหน้าที่ไป ส่ง ไปรับ เก็บรักษาดูแลด้วย ฟังๆดูงั้นๆ แต่เอาเข้าจริงๆ งานหนักน่าดูครับ เปล่า บางครั้งลูกค้าก็มาเต่าถุยซากอ้อยได้เหมือนกันว่ารถกูโดนเฉี่ยวมา ถ้า valet ที่รอบคอบและได้ลงบันทึกไว้ อันนี้ก็คุยกันง่ายหน่อย แต่ถ้าบางคนที่ ผมเคยไปช่วยอยู่ที เอาแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่มีลูกค้ามาเช็คอินพร้อมๆ กันห้าห้อง และขณะนั้นมีลูกค้าเช็คเอาท์อยู่สามห้อง แค่นั่นก็หัวหมุนแล้ว ไม่ได้จดไว้...หนังยาวครับงานนี้ แล้วพนักงานจอดรถบางครั้งก็เสี่ยงกับการตกเป็นผู้ต้องหาลอยๆ คือประมาณ และแขกทุกคนต้องการความรวดเร็วและถูกต้องเหมือนกันหมด! เคยมีเหมือนกันที่ bellman ใส่กระเป๋าให้แขกผิดใบตอนเช็คเอาท์ ว่า เอ๊ะ...แว่นกันแดดกูหาย พวกมึงขโมยใช่มั้ย บอกมา พนักงาน valet นอกจากที่ต้องคอยดูแลการจดรถแล้วบางครั้งก็ต้องใช้ความ โอ้ว์ วันสิ้นโลกเลยครับ วุ่นวายซากอ้อย ต้องเสียเงินนั่งแท็กซี่ตามไปเปลี่ยนให้ สามารถเหมือนกันนะ เช่นการกำ�กับจราจรหน้าโรงแรม บางชั่วโมงที่ยุ่งนี่ ต้องขอโทษกันวุ่นวาย ลูกค้าบางคนที่เดินทางมานานกระเป๋าแบบยัดศพไว้ข้างในสักห้า คนได้ หนัก ประมาณสี่แยกลาดพร้าวเลยนะครับ พนักงาน valet ยังต้องใช้สมองพอสมควรในการบริหารที่จอดรถให้มีประสิท ชิบเป๋ง แล้วไหนจะพวกลูกค้าที่มาตีกอล์ฟอีกครับ ถุงกอล์ฟใบหนึ่งก็พอได้อยู่ แต่นี่พี่มากันเป็นสิบ ภาพ รถคันไหนน่าจะออกก่อน รถคันไหนน่าจะจอดนาน เวลาที่ยุ่งขึ้นมา ผมมักจะไปช่วยพวกนี้เก็บกุญแจรถแขกน่ะครับ พวก valet ก็ ซี่โครงบานกันไปเลย watchthispace 27


ตำ�แหน่งทั้งสามตำ�แหน่งที่พูดมาถือว่าอยู่ในหน่วยเดียวกัน และอาจจะมี หัวหน้าเดียวกัน คือ bell captain เป้นคนดูแลอีกทีนะครับ ยังมีอีกตำ�แหน่งที่จะมีในโรงแรมใหญ่ ที่พื้นที่ล็อบบี้กว้าง ซับซ้อนเล็กน้อย bellman อาจจะมีหน้าที่อีกหนึ่งอย่างเเพิ่มเข้ามาอีก ตำ�แหน่งที่ว่าก็คือ pageboy ครับ ก็เหมือนในห้างสรรพสินค้าทั่วไปแหละครับที่จะมีการออดติ๊งหน่องเพื่อหาใคร สักคน แต่จะในมาติ๊งหน่องหาคนในโรงแรมก็จะออกแนวโลตัสไปซักหน่อย... พูดถึงติ๊งหน่องในโลตัสแล้วก็ปวดตับนะครับ... ไม่รู้ว่าเอ็งจะเปิดเพลงทำ�ไม เปิดเพลงไปก็ได้ยินแต่เสียง...ติ๊งหน่องคุณพัชรินท์ ติดต่อกลับ326 ด้วย ไม่ก็ คุณเอก 425 ติดต่อกลับ 328 ด้วย pageboy มีหน้าที่ตามหาแขกในล็อบบี้หรือในห้องอาหาร แต่อย่าพึ่งคิดว่าจะ ให้พนักงานเดินไปถามทีละคนนะครับ วิธีการก็คือ pageboy จะเขียนชื่อคนที่ ต้องการจะหาลงใน paging board ซึ่งก็คือกระดานที่มีกระดิ่งแขวนอยู่... จาก นั้นก็ไปยืนตรงล็อบบี้ สั่นกระดิ่งๆกุ๊กกิ๊งไวไวกันไป ให้แขกมาติดต่อที่เคาร์เตอร์ อะไรก็ว่าไป ตำ�แหน่ง pageboy อาจจะเป็น bellman ที่ว่างๆอยู่ขณะนั้นก็ได้นะครับ ไม่ได้ หมายความว่า pageboyจะเป็นคนหนึ่งคนที่วันๆ จะยืนpause อยู่ตรงนั้นจนมี คนมากดปุ่มให้ไปหาแขกนะครับ ตอนนี้จะหยุดที่สามตำ�แหน่งนี้ก่อน เพราะอยู่ในส่วนเดียวกัน ที่อื่นแบ่ง กันยังไงผมไม่รู้นะ แต่ที่ที่ผมทำ�อยู่ ทั้งสามตำ�แหน่งทำ�ด้วยกัน นั่นแปลว่า bellmanจะต้องไปขับรถแทน valet หรือ valet อาจจะต้องมายกกระเป๋าแทนได้ ผมว่าโรงแรมในยุคหลังๆ จะไม่เน้นจำ�นวนห้องแล้ว จำ�นวนห้องจะเล็กลงมา และพนักงานก็จะน้อยลงมาตามอัตราส่วน ซึ่งเมื่อจำ�นวนพนักงานน้อยลงมา ก็ แปลว่า แต่ละคนจะต้องทำ�ตำ�แหน่งที่มากขึ้นด้วย... อันนี้ยกตัวอย่างง่ายๆ ใครที่เคยไปกินข้าวในร้านอาหาร แล้วเจอไอ้เด็กเสริฟทั้ง หลายตั้งป้อมเมาท์น้ำ�ลายเลอะหัวไหล่กันอยู่โดยที่ ไม่มาสนใจกูเลย กับร้านเดิม พนักงานสามคนทำ�งานกันเป็นระวิง มือพันกันไปหมด ผมว่าเรายอมรับที่จะรอในกรณีที่สองนะครับ แต่แบบแรกนี่แทบจะแปลงร่าง

ปล่อยแสงถล่มให้หมดร้าน โรงแรมก็คล้ายๆกันครับ คนน้อยๆแต่มีประสิทธิภาพมันดูเท่กว่าคนเยอะแต่ปวกเปียกเป็นไหนๆ สำ�หรับตำ�แหน่งทั้งสามที่ว่าไปเงินเดือนอาจไม่เยอะเหมือน ตำ�แหน่งอื่นๆ แต่ ในสายตาผมนะ สำ�หรับคนที่ไม่เที่ยว แค่ทิปในแต่ละวันก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ ลำ�บากแล้วครับ ผมเคยไปช่วยbellmanวันละชั่วโมง สองชั่วโมงตอนที่ฝึกงานอยู่ภูเก็ต แค่ระยะ เวลาสั้นๆ ผมได้แน่ๆ ร้อยสองร้อย นี่ถ้าวันไหนได้จริงๆ ห้าหกร้อยก็ได้อยู่นะครับ ช่วงนั้นนี่วันไหนอยากซื้อหนังสือเล่มใหม่ก็จะมายกกระเป๋าส่งแขกนี่แหละ ได้ เงินเร็วดี บางทีปัญหาปวดตับจะอยู่ที่ ผมมักจะเจอประเภท คนหนึ่งคนเป็น doorman หรือ bellman หรือคนเปิดประตู หรือเด็กกระเป๋านาน เกินไป นานเกินจนลืมวันแรกที่เข้ามาทำ�งาน นานเกินจนลืมนึกไปว่า..เฮ้ย ถ้ากูไม่ยก แล้วใครจะทำ�วะ นานเกินจนคิดไปเองว่า..ก็ได้เงินเท่าเนี้ย เท่าเดิม จะทำ�ให้มากกว่าเดิมทำ�ไม ตุ๊ดมากครับ ที่คิดแบบนี้ เหมือนคนที่ย่ำ�อยู่กับที่ในกองขี้ ย่ำ�อยู่ทุกวันทุกวัน จนไม่รู้สึกแล้วว่าไอ้ที่ย่ำ�อยู่ คือขี้ ผมไม่ได้บอกว่าทำ�ตำ�แหน่งเหล่านี้นานๆไม่ดีนะครับ ไม่ได้หมายความว่าแบบ นั้น แต่มีผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกผมว่า “เกียรติของงานไม่ได้อยู่ที่ตำ�แหน่งของงาน แต่อยู่ที่คนที่ทำ�” ที่จะบอกคือ ไม่ว่าเอ็งจะทำ�ตำ�แหน่งอะไร จงภูมิใจครับ แล้วจะดีเอง

watchthispace 28


watch-wash

บองเต่า

50 ความจริงโฆษณาไทย 1. ถ้าโฆษณาไหนต้องใช้โน้ตบุ้กประกอบฉาก มันจะต้องเป็น Macbook เท่านั้น 2. คุณแม่ใจดีในโฆษณาผงซักฟอกไม่มีจริงในโลก เพราะแม่ตัวจริงเจอลูกทำ�เสื้อเลอะ แบบที่เห็นในโฆษณา อีตัวลูกโดนตบนมแตกตายตั้งแต่ก่อนเข้าบ้านแล้ว 3. โฆษณาของหน่วยงานของรัฐฯ มักจะดูเสล่อๆ 4. ขนมในโฆษณาขนมกุ๊บกิ๊บทั้งหลาย มันจะตัดปากถุงซะเรียบแปล้ ทั้งๆที่ในโลกความจริง ไม่มีใครเขาเอากรรไกรตัดฝากถุงอย่างนั้นซักคน 5. จนป่านนี้แล้ว อียูโรคัสตาร์ดเค้ก มันก็ยังหน้าด้านโฆษณาว่าเค้กมันไส้ไหลล้นทะลัก ทั้งๆที่ใครๆก็รู้ว่า เมนส์ปลวกยังเยอะกว่าไส้ขนมมันเลย --- สคบ. ช่วยจัดการด้วย 6. โฆษณาการบินไทย ใช้แอร์ดูสาวและสวยมาก แต่ของจริงบนเครื่องนั้นป้าที่สุด! 7. โฆษณาของ Dtac ไม่เคยใช้ดาราดังแสดง 8. หลายบริษัทเอาคนในบริษัทตัวเองนี่แหละ มาเล่นโฆษณาเองซะเลย ประหยัดดี! 9. บางทีเห็นโฆษณาเดียวกันฉายต่อติดๆกัน อันนั้นเขาตั้งใจจริงๆนะครับ 10. โฆษณาท่องเที่ยวไทยที่ป้าเบิร์ดเล่น เฟคมาก นั่นป้าวิ่งเล่นอยู่ในโลกความฝันหรือ ครับ? 11. เมืองไทยเคยมีโฆษณาแชมพู ที่นางเอกผมเงาจนสะท้อนหน้าคนบนเส้นผมมาแล้ว! 12. และเมืองไทยก็เคยมีโฆษณาจั๊กกะแร้ขาวถึงขั้นมีแสงพุ่งออกมาจากจั๊กกะแร้มาแล้ว! 13. มีสินค้าหลายตัวที่ดัง และขายดีมาก โดยไม่เคยออกโฆษณาทีวีแม้แต่ครั้งเดียว 14. ห้องครัวในโฆษณาผงปรุงรสต่างๆ ดูดีและสะอาดเกินกว่าห้องความในโลกความจริง 15. ครีมบำ�รุงผิวสมัยนี้ มีอิทธิฤทธิ์ถึงขั้นใช้แล้วผัวเปลี่ยนพฤติกรรมได้ มหัศจรรย์มั้ยล่ะ! 16. สังเกตดีๆว่า พวกโฆษณาที่อ้างว่า 99% ของผู้ทดลองใช้พอใจ มันจะมีตัวหนังสือ เล็กๆ บอกว่าจริงๆแล้ว สำ�รวจกับคนประมาณ 112 คนในประเทศแถวๆอเมริกาใต้ 17. ทำ�ไมเบียร์ต้องได้เหรียญทอง? ตกลงเอ็งจะขายเบียร์หรือไปวิ่งแข่งโอลิมปิก? 18. อีห้องแล๊บของ pond’s ที่เป็นห้องขาวทั้งห้อง ดูแล้วนึกว่าเป็นแล๊บ NASA

watchthispace 29


19. โฆษณาขนมหลอกเด็ โฆษณาขนมหลอกเด็กกกล้กล้อองจะไม่ งจะไม่ตตั้งตรงๆ ั้งตรงๆแต่แต่จะหมุ จะหมุนไปหมุ นไปหมุนมา นมาซูมซูเข้มาเข้า ซูมออกตลอด 20. โฆษณาน้ โฆษณาน้ำ�ำ�ยาปรั ยาปรับบผ้ผ้าานุนุ่ม่มเวลาดมผ้ เวลาดมผ้าาจะมี จะมี ดอกไม้ ดอกไม้ พุ่งพออกมาจากผ้ ุ่งออกมาจากผ้ าขนหนู าขนหนู ทุกครั้ง 21. โฆษณาประตูน้ำ�โพลีคลินิก เป็นโฆษณาที่อุบาทว์ชาติชั่วมาก เพราะทั้งโฆษณาไม่มีอะไรเลย นอกจากตัวหนังสือวิ่งๆ เหมื เหมืออนใช้ นใช้powerpoint powerpoint ทำ� 22. ตัวหนังสือเล็กๆ ใต้ ใต้จจอที อที่เ่เล็ล็กกจนอ่ จนอ่าานไม่ นไม่อออก อก หลายคนในวงการเรี หลายคนในวงการเรียยกว่ กว่าา“มด “มด วิ่ง” 23. โฆษณาประเภทโปรโมชั โฆษณาประเภทโปรโมชั่น่นตอนจบมั ตอนจบมั กมีกคมีนจำ คนจำ �นวนมากยื �นวนมากยื นกระจุ นกระจุ กกักนกักำน� กำ� หมัดชูมือ แล้วร้อง “เย้!” 24. โฆษณาเอ็ โฆษณาเอ็ มเคมเรีเคยงอาหารในหม้ เรียงอาหารในหม้ อสุกี้ได้อโสุคตรเฟค กี้ได้โคตรเฟค มีใครเขากิมีนใสุครเขากิ กี้ นสุกี้ ประดิดประดอยกันแบบนี้ด้วยเหรอ? 25. โฆษณาของบาร์ โฆษณาของบาร์บบีคีคิวิวพลาซ่ พลาซ่าาก็ก็เเช่ช่นนเดีเดียยวกั วกันนใส่ใส่ผผักักในกระทะเยอะเว่ ในกระทะเยอะเว่ออร์!ร์!ชั้นชั้น ไปร้านแกเพื่อกินเนื้อเว้ย! 26. โฆษณาของ “ไทยประกันชีวิต” นั้นโคตรเศร้า... 27. ในขณะที่ โฆษณาของ “เมิองไทยประกันชีวิต” นั้นโคตรฮา... 28. โฆษณาของโค้ โฆษณาของโค้กกจะแอบกั จะแอบกัดดเป๊เป๊ปปซีซี่แ่แบบเนี บบเนียยนๆอยู นๆอยู่เกื่เกืออบทุ บทุกกเรืเรื่อ่องง(ลองสั (ลองสังเกต งเกต ดีๆ ...) 29. โฆษณาน้ โฆษณาน้ำ�ำ�ยาล้ ยาล้าางจาน งจานจะต้ จะต้อองมีงมีฉฉากที ากที่เอามื ่เอามืออลูลูบบจานแล้ จานแล้ววได้ได้ยยินินเสีเสียยงง“วื“วื ้ด”้ด” เพื่อยืนยันความสะอาด 30. โฆษณารถกระบะ จะต้ จะต้อองมี งมีฉฉากเลี ากเลี้ย้ยวโค้ วโค้งงหัหักกศอก ศอก แอ่ แอ่งงน้น้ำ�ำ�ขัขังงบนพื บนพื้น้นสาดกระ สาดกระ จายยยยย 31. โฆษณาเครื โฆษณาเครื่อ่องดืงดื่ม่มบรรจุ บรรจุขวด ขวดพรีเพรี ซนเตอร์ เซนเตอร์ ต้อตงกระดกขวดเท่ ้องกระดกขวดเท่ านัา้นนัห้​้นามใช้ ห้ามใช้ หลอดดูดเด็ดขาด! 32. โฆษณาผ้าอนามัยทุกยี่ห้อ ใช้ของเหลวใสสีฟ้าหรือเขียวแทน...เอ่อ... นั่นล่ะ ล่ครัะบครับ 33. มาม่ มาม่าาในชามในโฆษณา ในชามในโฆษณา จะมี จะมีหหมูมูสสับับลอยฟ่ ลอยฟ่อองเป็ งเป็นนแพ แพพร้พร้ออมผัมผักกและดอกไม้ และดอกไม้ ใบหญ้าอีกมากมาย 34. โฆษณาไวเทนนิ โฆษณาไวเทนนิ่ง ่งจะต้จะต้ องมีอฉงมีากที ฉากที ่นางเอกค่ ่นางเอกค่ อยๆลอกคราบที อยๆลอกคราบที ละชัล้นะชัจากดำ ้นจากดำ � � เป็นขาว 35. หลายคนคอนเฟิ หลายคนคอนเฟิรร์ม์มว่ว่าาพรี พรีเซนเตอร์ เซนเตอร์ผผู้ชู้ชายของโฆษณา ายของโฆษณาNIVEA NIVEAหล่หล่ อล่อำ�ล่ลาก ำ�ลาก เลือดมาก... 36. ช่างก่อสร้างในโฆษณาปูนบางยี่ห้อ หน้ หน้าาตาดี ตาดีซซะจนอยากจะทุ ะจนอยากจะทุบบบ้บ้าานให้ นให้ชช่า่างง คนนี้มาซ่อมให้ 37. โฆษณาแชมพู มัมักกมีมีเเนืนื้อ้อเรืเรื่อ่องที งที่ไ่ไม่ม่เเกีกี่ย่ยวกั วกับบแชมพู แชมพูเช่เช่นนนางเอกไปสมั นางเอกไปสมัคครงาน รงาน หรือเล่นคาราเต้ 38. พรีเซนเตอร์ในโฆษณามักใส่เสื้อสีเดียวกับสีของผลิตภัณฑ์นั้นๆ

39. โฆษณาสิ โฆษณาสินนค้ค้าาทุทุกกประเภทที ประเภทที่เ่เกีกี่ย่ยวกั วกับบการ การ “ฆ่“ฆ่าาเชืเชื้อ้อ””หรืหรืออ“ทำ“ทำ�ความสะอาด” �ความสะอาด” จะต้องมีฉากแบ่งครึ่งจอเพื่อเทียบกันซ้ายขวาเสมอ (ข้างที่ใช้กับไม่ใช้) 40. และแม้ และแม้ว่าวสิ่าสินนค้ค้านัานั้น้นจะฆ่ จะฆ่าเชื าเชื้อ้อได้ได้สสะอาดขนาดไหน ะอาดขนาดไหนเราจะเห็ เราจะเห็ นภาพเชื นภาพเชื ้อโรค ้อโรค เหลืออยู่หย่อมเล็กๆเสมอ 41. เราจะไม่เห็นขวดเหล้าขวดเบียร์ในโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้แต่ขวด เดียว 42. โฆษณาเดียวกัน ------ถ้ถ้าาดูดูใในโรงหนั นโรงหนังงมัมันนจะได้ จะได้ออารมณ์ ารมณ์กกว่ว่าาเศร้ เศร้าากว่กว่าาฮากว่ ฮากว่า า ดูที่บ้าน 43. เพลงบางเพลงดังได้เพียงเพราะโฆษณาหยิบมาใช้ (เช่นเพลงในโฆษณาชุ เพลงในโฆษณา ด ชุ“แม่ ด “แม่ ต้อย”) ต้อย”) 44. โฆษณาประเภท testimonial testimonial ทีที่ใ่ให้ห้คคนเคยใช้ นเคยใช้สสินินค้ค้าาออกมายื ออกมายืนนยัยันนบางที บางทีจจริริงง แต่ชื่อ แต่คนแสดงไม่จริง เพราะหน้าตาตัวจริงน่ากลัวจนกล้องถ่ายไม่ติด ...เอ้ย ยไม่ไม่ ดีพดอจะขึ ีพอจะขึ ้นกล้ ้นกล้ องได้ องได้จึงจึต้งอต้งใช้ องใช้ คนแทน คนแทน 45. โฆษณาน้ำ�อัดลม คนดื่มแล้วจะต้องร้อง “อ้าหห์” เสมอ 46. มีโฆษณาหลายตัวที่ให้พรีเซนเตอร์เอาสินค้าแนบใบหน้าซะใกล้จนเกินเหตุ 47. ในไทยรั ในไทยรัฐฐหน้ หน้าาบับันนเทิเทิงง คอลั คอลัมมน์น์“บั“บันนเทิเทิงไทยรั งไทยรัฐ”ฐ”นี่มนีัน่มโฆษณาเครื ันโฆษณาเครื ่องสำ ่องสำ �อาง �อาง ชัดๆ! 48. เสียงเคี้ยวขนมในโฆษณามันฝรั่งทอดจะดัง “กร้ “กร้ววม” ม”แบบไร้ แบบไร้มมารยาทสั ารยาทสังงคม คม ที่สุด 49. บางทีเราก็มัวแต่ดูหน้าดูนมของพรีเซนเตอร์ จนลืมดูสินค้าไปโดยปริยาย 50. และโฆษณาบางเรื และโฆษณาบางเรื่อ่องง แม่ แม่งงตลกชิ ตลกชิบบหาย หายตลกจนดู ตลกจนดูจบแล้ จบแล้วยัวงยัจำง�จำชื�่อชืสิ่อนสินค้าค้ไม่ าไม่ ได้...

watchthispace 30


งู งู ปลา ปลา

โตโต้ หัวแตงโม

ผมไม่ค่อยได้อวดโฉมแป๊วแว้วให้ดูกันบ่อยนัก สาเหตุหลักก็คือ ไม่ค่อยมีรูปน่าสนใจ ผิดกับไอ้อ้วนแพนด้า การถ่ายรูปแป๊ว แว้วนั้นยุ่งยากมาก เพราะมันแสนซุกซน ลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่ค่อยสุข แถมยังมีปัญหาเรื่องการถ่ายรูปไม่ขึ้นอีกต่างหาก ทั้งที่เป็น แมวสาวนิสัยดี ขี้เล่น ขี้อ้อน ไม่กลัวคน ไม่กลัวใคร (แต่เกรงใจไอ้แพนอ้วนสุด ๆ - ทั้ง ๆ ที่ไอ้หมูตอนกระจอกมาก กลัวทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นสองมนุษย์กับหนึ่งแป๊วแว้วที่มันกล้าข่มเหงอยู่เป็นนิจ) แต่เวลาถ่ายรูปออกมาโดยมากกลับดูโหด ๆ กว่าจะได้รูปที่โชว์ความ น่ารักสักนิด ๆ หน่อย ๆ พอประทัง ก็ยากเต็มกลืน...

ไม่รู้ว่าเลี้ยงดูดีเกิน ไปรึเปล่า.......จากแมว สาวอ้อนแอ้นตัวบอบบาง ตัวเล็กน่าทนุ ถนอม......บัดเดี๋ยวนี้เติบ ใหญ่ เป็นแม่สาวใหญ่ใจ เต็ม ดูขนาดมันซะก่อน...!!!!!!! ไม่มีการแต่งภาพแม้แต่ น้อยครับขอบอก!!!!

ไม่มีอะไรหรอกนังแป๊วมันนอน อยู่บนพนักเก้าอี้น่ะ แต่ตอนนี้มันก็บานขึ้นมากจริง ๆ นะ พุงห้อย ตัวเหลี่ยม หัวหลิม watchthispace 31


Flash-PHOTo


Hot-idol

เรื่อง/ภาพ แดงน้อย

You can call me paopan.

คอลมี เผ่าพันธ์ ใครๆก็ชอบอ่านการ์ตูน หลายคนนอกจาก ชอบอ่านแล้วยังชอบเขียนอีกด้วย ครั้งหนึ่ง หนังสือ สิ่งมีชีวิตในโรงแรม มาอยู่ในมือของ จขค.(เจ้าของ คอลัมน์ ^ ^ ย่อทำ�ไม?) ลายเส้นเฉพาะตัวทำ�ให้ จขค.ต้องกลับมานั่งกะเทาะแป้นคีบอร์ดตามที่อยู่ใน แผนที่ใยแมงมุมที่นักเขียนท่านนั้นให้ไว้อย่างรวดเร็ว ตามประสาคนไม่มีความรู้ด้านศิลปะมาก นั้น อยากเรียก ลายเส้นแบบนั้นว่า “พลิ้วไหวตามใจ ฉัน” ไม่ดาร์คโทนมาก แต่อ่านแล้วรู้สึกว่า อย่างน้อย นักวาดท่านนั้นก็แอบอยู่ฝั่งคิขุอาโนเนะบ้าง ผลงานวาดภาพประกอบออกมาหลาย เล่มตั้งแต่ สิ่งมีชีวิตในโรงแรม(วิชัย) อร่อย จนมาถึง การ์ตูนช่องรวมนักเขียนกว่า 30 ท่าน อย่าง Strip หวังว่าอีกไม่นาน คงจะเห็นรวมเล่มของเขา ^ ^ watchthispace 33


watchthispace 34




Heart. breaker


W ith G Dragon


h.e.a.r.t. breaker


no way


I''"ll still still


be there


WWW

“google” แม่งชักรั่ว google อ่าว่า กูเกิล ไม่ใช่กุ๊กลี เพื่อนเคยเอามาเล่าว่า สมัยเด็ก ชอบอ่านกูเกิลว่า กุ๊กลี แอบฮา มันคิดได้ไง อยากหาอะไรก้อไปหาที่ “google” มีสารพัดสารพัน มากมาย รูปภาพ เว็ป บล๊อก แผนที่ อีเมลล์ ฯลฯ อื่นๆ อีกมากมาย นัก เจอบ้างไม่เจอบ้าง และมันก้อมักจะหาอะไรแปลกๆที่เราไม่ได้ ตั้งใจหามัน เช่น ครั้งนึง เคยถกเถียงกันเรื่อง ละครเรื่องมงกุฏดอกส้ม ช่อง 7 ใครเป็นพระเอก ก้อเลยเซิร์ซ ชื่อนางเอกคนหนึ่ง สมมติ ว่าเป็นนางสาว เอ กลับ ไปค้นเจอ เว็ปที่มีเนื้อหา ประมาณนี้ นางสาวเอ seeD... Rr... umm..oH.. กลายเป็น sex story ไปได้ซะยั่งงั้น ลองค้นดูดิ เผื่อจะ เจอ อันนี้จงใจหา ไม่รู้จะเจอรึป่าวนะ 555+ ว่างจัดเลยลองพิมตัวเลขมั่วๆลงไป ผลที่กดมั่วๆนั้นน่ะ มันออกเป็นเลข 45 แล้วก้อเจออะไรรู้ไหม ... 1. คลิปวิดีโอ : ยิงปืนขนาด.45 :::MthA! Video::: แหล่ง รวมคลิปวีดีโอ ... คลิปวีดีโอ ยิงปืนขนาด.45 , ยังมีคลิปอีกมากมายเช่น คลิป วิดีโอผี คลิปตลก คลิปเด็ด คลิปหนังตัวอย่าง คลิปหนัง คลิปวีดีโอ มือถือ คลิปมิวสิควิดีโอ คลิปวิดีโอดารา ... video.mthai.com/player.php?id=8M1186317239M0 - 50k

- หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้ายกัน อันนี้ไม่เท่าไหร่ 1. การประชุมวิชาการครั้งที่ 45 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขอเชิญร่วมงานการประชุมทาง วิชาการครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 30 มกราคม 2550 ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2550 โดยแบ่งเป็นหมวดต่าง ๆ ดังนี้ ... eduserv.ku.ac.th/annual_45/ - 17k - หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่ คล้ายกัน อันนี้ก้อไม่ค่อยแปลก 1. 45 - วิกิพีเดีย 45 (สี่สิบห้า) เป็นจำ�นวนธรรมชาติที่อยู่ถัดจาก 44 (สี่สิบสี่) และ อยู่ก่อนหน้า 46 (สี่สิบหก) ... หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อ 18:45 วันที่ 18 ตุลาคม 2551 ... th.wikipedia.org/wiki/45 - 37k - หน้าที่ถูกเก็บไว้ - หน้าที่คล้าย กัน อันนี้นี่แหละตัวฮา......... มันจะบอกทำ�ไม วิกินี่มีประโยชน์มากนะ แกแบบว่ามีคน เข้าไปเพิ่มข้อมูลตลอดเวลา ทำ�ให้อัพทูเดตมาก... แต่ข้อมูลแบบนี้ ตัวเลขแบบนี้ ไม่รุ้มาก่อนว่าเค้าจะทำ� ทำ�ไม? อ่านแล้วขำ� ..45 (สี่สิบห้า) เป็นจำ�นวนธรรมชาติที่อยู่ถัดจาก 44 (สี่สิบสี่) และอยู่ก่อนหน้า 46 (สี่สิบหก) ...


ไม่บอกไม่รุ้เลยนะเนี่ย หุหุ นอกจากนี้แล้วคุณพี่กูเกิล เค้ายังมีความสามารถหลายด้านทั้ง บุ๋น และบู๊ 1.google ใช้เป็นเครื่องคิดเลขได้ โอ้ววววววว จ๊อดแอนด์ ซาร่า เธอช่างมีประโยชน์อะไรเช่นนี้ ลองทำ�ดูก้อได้เช่น จะหา 1+2-1+9+6 จะได้ 1 + 2 - 1 + 9 + 6 = 17 เจ๋งป่ะล่ะ หรือ หากจะหาแบบยากๆ ก้อได้นะ 8^2 (8 ยกกำ�ลัง 2) 8%7 (เอาผลลัพธ์เศษที่ได้จากเอา 8 หาร 7) 5th root of 32 (รากที่ 5 ของ 32) log(100) (log ฐาน 10 ของ 100) tan(45 degrees) (tan 45 องศา) ลองดิ 2.ใช้เป็นเครื่องแปลงหน่วยมาตรวัด (ใช้คำ�ว่า in ตรงกลาง) โว้วว อาไรมันจะเจ๋งขนาดนี้.. เช่น 100 kilometers in centimeters (100 km มีกี่ cm) 5 kilograms in pounds (5 kg. มีกี่ ปอนด์) ประมาณนี้ 3. ใช้ google ค้นหาความหมายของคำ� โดยการใส่คำ�ว่า define: ไว้หน้าคำ�ศัพท์ที่ต้องการหาความหมาย เช่น define: bangkok อันนี้ไม่เคยใช้เลย

4. เพิ่มผลลัพธ์ที่แสดงต่อ 1 หน้าที่ค้นเจอ ค่าปกติที่กำ�หนด มาจะเป็น 10 รายการต่อหน้า เพียงแต่เติมคำ�ว่า num=100 ลงไปหลังคำ�ว่า search? เช่น search?num=50 ก็จะเห็นผลลัพธ์ 50 รายการต่อหน้า ไม่คิดว่าจะต้งได้นะเนี่ย*-* 5.ค้นหาข้อมูลเฉพาะในประเภทไฟล์ที่ต้องการ เช่น ต้องการจะหาคำ�ว่า nanotechnology ในรูปแบบไฟล์ PDF ก็จะใช้คำ� ว่า nanotechnology: pdf 6. ค้นหา keyword เฉพาะเว็บไซต์ที่ต้องการ เช่น สมมติ ต้องการหาคำ�ว่า windows ที่อยู่เฉพาะในเว็บไซต์ http://www.arip. co.th ก็สามารถพิมพ์แบบนี้ windows site:www.arip.co.th

7. ค้นหาข้อมูลภาพยนตร์ เช่น movie: ID4 เห็นมะ ว่ากูเกิลเนี่ยทำ�ได้อุตลุดแปดแสนอย่างมากมาย นอกจากนี้ยังมีกูเกิล จำ�พวกแปลกๆ อีกนั่นคือ GooGle อะไรเนี่ย ( http://utg.saiyaithai.org/search/ google.php ) หาไรไม่เจอสักอย่าง ลองดิ Google อันนี้ถูกใจสุด อิอิ (http://awesomestart.com/ superjunior/) Google อะไรเนี่ย version ใหม่ 555+ กลับหัวกลับหาง หมดแล้ว แว๊กกกกกกกกก555+ ลองดิ โคตรงง


SHUTTER-B

style / photo>แดงน้อย



LET’s GO

เรื่อง / photo>แดงน้อย

แฮก!!!มากๆๆ กว่าจะถึง เหนื่อยมากกกกกก ชันมากกกกกกก ซำ�กหว้า ซำ�กกไผ่ ซำ�... ซำ�....ซำ�.....หลังแปร คะน้าหมูกรอบ ไข่ปิ้ง มันเผา สปอนเซอร์ น้ำ�เปล่า หวานเย็น มะม่วงดอง เราเติมพลัง +ชำ�ระไปทุกซำ� เพราะเหนื่อย หมดแรงจิงๆๆ อยากกลับมาก แถม ก่อนถึง หลังแปร ดันมาปวดอึอีก เป็นการอึที่ไม่ค่อยฮา เพราะเหนื่อยเหลือเกิน ไร้ เรี่ยวแรง แต่พอเปิดส้วมออกมา เจอ วิวที่สวยมาก ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นจาก ส้วมที่ไหน เพื่อน 7 คน รอให้กำ�ลังใจกันอยู่หน้าส้วม แหม ช่างเป็นเพื่อนที่ดี จิงๆ จะบอกว่า ตอนนี้ ฉันก้อยังนิ้วหักอยู่นะ ยังไม่หาย แต่ไปเอาเหล็ก ออกแล้ว ดังนั้น ฉันจะเหนื่อยมากกว่าคนอื่น เพราะต้องเอาส้นลงเพื่อลดแรง กระแทกตรงนิ้ว ทำ�ให้เจ็บส้นมาก หลังแปร อันสุดท้ายนี่โหดร้ายมาก พวกเรา ตะโกน เรียกนางเอก เรื่อง คอฟฟี่พริ้นซ์ อยู่ตลอดเวลา เพราะเส้นทางมัน “ โก อึน ชัน” มากกกกก กกกก เรียกว่า โก อึนชั๊นนน ชั้นนนน จะดีกว่า... บ่ายสามโมงเราเดิน ทางขึ้นมาถึงบนภูกระดึงอยาก กรี๊สสมาก เราต้องเลือกเอาว่าจะเดิน สามกิโล หรือ ปั่นจักรยาน สี่กิโล เราเลือกที่จะปั่น ชำ�ระเงินกันไป เอ่อ..แต่เป็นจักรยานมีเกียร์ “ขี่ไม่เปนนนนนนนนนนนนนนนนน......” แถมไม่มีที่ให้ซ้อนอีก พี่เจ้าหน้าที่น่ารักมาก บอกวิธีใช้ที่ถูกต้อง “เกียร์ 1 อย่างเดียวเลยน้อง ปั่นอย่างเดียว” พี่บอกมาอย่างนั้น -..- จิงเดะเพ่ ปั่นไปได้สักพัก “เฮ้ยยย.....เกียร์หนึ่งแม่งโคตรเมื่อยเลยว่ะ” ลอง เปลี่ยนเกียร์บ้างเริ่มหนุก เด๋วว่าจะให้แม่ซื้อให้บ้างและ พอถึงที่พัก ตรงจุดรับจักรยาน น่ารักมาก มีสมุดระบายอารมณ์ ฉันยังบอกให้เอาเอาอันเด็ดๆรวมเล่มขายเลย เข้าใจอารมณ์ทุกคนที่มาถึงเลย ทุกหน้าของสมุดเล่มนั้นมีคำ�ว่า “เหนื่อย” กับ “สนุก” อยู่เสมอ สิ่งที่ประทับใจ สิ่งแรกกลับไม่ใช่การขึ้นมาพิชิตภูกระดึง แต่กลับเป็นสมุดเล่มเล็กๆที่คนที่มา พิชิตภูกระดึงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เขียน เรานั่งคุย และอ่านสมุดระบายอารมณ์ ที่ จุดนั้นนานมาก จิงๆถ้าเป็นไปได้อยากจะนอนตรงนั้นเลย เพราะ “เหนื่อย” และ “สนุก” จิงๆ หลังจากคืนจักรยานและได้เต็นท์เรียบร้อย ฉันปฏิญาณกับตัวเอง ว่า จะต้องอาบน้ำ�ให้ได้ แล้วจะไม่อาบอีกแล้ว เนื่องจากเราเดินขึ้นมาเหนื่อย มาก เหงื่อออกเต็มหัว ต้องสระผม พอเปิดฝักบัวเท่านั้นแหละเฮ้ยยยยยยยยย นี่ในแท้งน้ำ�มีใครเอาน้ำ�แข็งไปใส่รึป่าวนี่ หนาวมาก ราดหัวที่มึนเลย ตึ๊บเลย ล้างมือที เลือดไม่เดิน เหมือนแช่ในถังน้ำ�แข็ง สรุปวิ่งผ่านน้ำ�เอา วันนั้นเรา ตกลงที่จะพักผ่อนกันไม่ไปไหน เพราะเหนื่อยมาก รุ่งเช้าจะไปดูพระอาทิตย์ ขึ้นกัน ชะรอย คืนนั้นปวดนิ้วมากๆ เลยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ไหว น่าเสียดาย ช่วงสายๆเราเดินทางไปเที่ยวน้ำ�ตกกัน หากเรามากันหน้าฝนคงจะสวยกว่านี้ เพราะตอนนี้น้ำ�ตกแห้งเป็น ทะเลทรายสะฮาร่าเลย ทางเดินเต็มไปด้วยธรรมชาติ เต็มไปด้วยมอส และ เฟิร์นหลากชนิด ที่จะแปลกตา คงเป็นที่บริเวณข้างทาง มักจะมีคนเอาก้อน หิน มาวางเรียงกัน คล้ายๆ เจดีย์ ด้วยความอยากรู้เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าหมาย ถึงอะไร เขาบอกว่ามันเป็นเหมือนความเชื่อ เชื่อว่าการวางหินเรียงซ้อนกันเป นการสร้างเจดีย์ซึ่งดป็นกุศลอย่างหนึ่ง แต่สำ�หรัเจ้าหน้าที่ มันก็เป็นเพียงแค่ การสร้างงานให้เท่านั้น เพราะกองหินเหล่านั้นทำ�ให้ไม่กลายเป็นธรรมชาติ เจ้าหน้าที่บอกออีกว่าเวลาเดินผ่านก็จะต้องเอามือปัดให้หินล้มลง ก็ตาม เอาขาตั้งกล้องมา แต่...ไม่ได้เอาตัวล๊อกมา มีค่าเท่ากับแบกฟรี.... ความเชื่ออ่ะ ร่วม 3 กิโล สงสารเพื่อนมาก เป็นความสะเพร่าของเราเองแท้ๆ ขอโทษอย่าง อีกอย่างอันนี้ก็แปลกเช่นกัน เวลาเห็นก้อนหินก้อนใหญ่ๆด้าน สุดซึ้ง ในที่สุดเราได้พี่เจ้าหน้าที่มาถ่ายรูปให้ ล่าง จะมีคนเอาไม้ไปค้ำ�ยันไวมากมาย เจ้าหน้าที่เขาตอบว่า จิงๆแล้วไม้เหล่า มันได้เวลาแล้วล่ะ!! เราเริ่มเดินขึ้นภูกัน จะมีจุดพักเป็นช่วงๆ นั้นเป้นไม้ที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้เพื่อทำ�ฟืน แต่ใช้ไม่หมดดังนั้นจึงเอาไปตั้งพิง เขาเรียกว่า ซำ� ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร น่าจะเป็นจุดพักนั่นแหละ ซำ�แฮก ไว้กับหิน เพื่อไม่ให้เปียกฝน ซึ่งกลายมาเป็นความเชื่อที่ว่า ไม้ค้ำ�ยันชีวิต หาก

ไปภูกระดึงหรอ…ใครคิดวะเนี่ย? ฉันตั้งคำ�ถามนี้มาเพื่อถามเพื่อนหลายคน เหตุผลที่ถาม ก้อแค่หา ข้ออ้างที่จะไม่ไปเท่านั้นแหละ คนเราย่อมจะรู้จุดด้อยของตัวว่า เราอดทนได้ แค่ไหน พยายามได้แค่ไหน การที่ต้องต่อสู้กับสภาวะร่างกายนั้นมันเป็นสิ่งที่ยากที่สุด และที่ พล่ามมานั้นเองทำ�ให้ ฉันไม่ได้มีความคิดที่จะไปเลย(ไปเลยจริงๆนะ) บ่าย แก่ๆของวันจันทร์หรืออังคารที่แล้วนี่แหละ เรามานั่งคุยกันเรื่องไปเที่ยว และ แน่นอน หนึ่งในวงนั้นคือ ฉัน คนที่ไม่ได้คิดอยากจะไป ทุกคนต่างถกกันเรื่อง วันเวลาที่จะไป รวมทั้งฉัน วินาทีนั้นเองที่เกิดอยากจะไปขึ้นมา สรุปว่า ไปวัน ที่ 17-20 (โหว ตั้ง สี่วันแหน่ะ แอบบ่นในใจ) วันศุกร์ที่ 16 - นี่ฉันเริ่มอยากไปมากขึ้นและนะ รุ้สึกตื่นเต้นขึ้น มาหลังจากที่โทไปขอตังแม่ แม่บอกให้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวเอาไว้เยอะๆ เพราะที่นั่นหนาวมาก คืนนั้นเอง เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก้อเกิดขึ้น แม่ของเพื่อนคน หนึ่งเกิดป่วยกะทันหัน ทำ�ให้เราต้องมานั่งคุยกันอีกครั้งว่าจะเอายังไง เสียง โทรศัพท์ดังขึ้นหลายรอบ พวกเราแทบจะทะเลาะกัน เพราะอยากไป และ อยากไปให้ครบทุกคน เสียงโทรศัพท์สุดท้ายที่ได้ยินในคืนนั้นเป็นเสียงสวรรค์ “แม่กูไม่ได้เป็นอะไรมาก หมอให้ยากลับไปกินที่บ้าน” เป็นอันว่าตามเดิม วันเสาร์ที่ 17 – พักผ่อนเตรียมลุย เนื่องจากสุขภาพตัวเองก้อไม่ ได้แข็งแรงเท่าไหร่ ดังนั้นจึงนอนพักผ่อนแทบจะทั้งวัน จนแทบจะไม่ได้จัด กระเป๋า พอเข้าช่วงบ่าย ที่ห้องเริ่มปั่นป่วน เพราะไหนจะต้องเตรียมของและ อาหารแห้งตุนไว้ ไหนจะเก็บกระเป๋าตัวเองอีก “เฮ้ย มึงเอาขาตั้งกล้องไปป่าว วะ” เพื่อนถาม จริงๆก้ออยากเอาไป แต่ขามันหนักมาก คงแบกไม่ไหว เพื่อนจึงเอาขาของมันวางไว้ที่ห้องเราและเอาขาตั้งกล้องเราไป แทน พวกเราทุกคนขนของลงมาเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง “มีใครลืมอะไรไหม?” ใครจะไปนึกออกเล่า ... เพื่อนคนที่ยืมขาตั้ง กล้องเราเดินหายไปพักหนึ่งพร้อมเดินร้องไห้กลับมา เกิดอะไรขึ้น? “ตากุเสีย” “ทริปนี้ แม่ง ไม มัน เป็นงี้วะ ” อยากพูดประโยคนี้มากเลย แต่ถ้า พูดจะทำ�ร้ายหลายฝ่าย 19.45 ณ หมอชิต รถ ป.1 ดันหาไม่เจอ ทำ�ให้เราต้องไป ป.2 รถ น่ากลัว และเก่ามาก “หวังว่าคงไปถึงนะ” ฉันภาวนาให้เราขึ้นรถผิดคัน วันที่ 18 เวลา 5.50 น ถึงโดยสวัสดิภาพ โอ้วววววววววว....ตูด กู ปวดตูดสุดบรรยาย แต่ลงรถมาแล้ว หนาวมากกกกกกกกกกกกกกกกก.... นี่ขนาดยังไม่ได้ขึ้นภูนะเนี่ย ควันออกปากเลย เราต้องนั่งรถสองแถวคันน้อย ต่อไปอีก สิบห้ากิโล นึกในใจ 15 กิโล โคตรไกลเลยว่ะ.. เรามาถึง อุทยานแห่ง ชาติภูกระดึงในเวลาเปิดทำ�การพอดี มาถึงที่นี่ เราต้องชำ�ระหลายอย่างมาก ค่ารถ ที่พัก ค่าขึ้น ค่าบริการ ค่าขยะ ค่าแบกของ แต่ค่าแบกของนี่ยอมชำ�ระ แต่โดยดี เพราะไม่มีปัญญาเอาขึ้นไปเองอย่างแน่แท้ พวกเราอยากถ่ายรูปกับ ทางขึ้นมาก เพื่อนจึงหยิบตาตั้งกล้องออกมา ... รุ้ไหมเกิดอะไรขึ้น ย้อนกลับไปอ่านตรงที่ตัวเอียงดิ รู้ยัง??


ครั้งหนึ่ง เคยพิชิต ”ภูกระดึง”

ใครมาค้ำ�ยันจะทำ�ให้ชีชิตเรามีคนค้ำ�จุนเกื้อกูล แต่วลีเด็ดที่ได้จากลูกหาบ(คุณลุงที่แบกของขึ้นมาให้ เรียกว่าลูกหาบ) “ค้ำ�จุนหรอ ก้อขาสองขาของเรานั่นแหละ” ซึ้งเลยย ลูกหาบใช้สองขาของเขาค้ำ� จุนจิงๆ วันหนึ่งเขาแบกของกว่า เจ็ดสิบกิโล เดินขึ้นทางที่อันตราย ชัน มีอุปสรรคมากมาย ที่คน อย่างเราแทบจะคลานขึ้นไป แต่เขากลับก้าวอย่างช้าๆ แต่มันคง ฉันถามเขาว่าเคยพลาด ไหม เขาตอบว่าไม่ คนที่พลาดจะไม่ได้กลับมาเป็นลูกหาบอีก ด้วยเหตุผลทางร่างกาย เป็น

งานที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อจิงๆ หลังจากชมน้ำ�ตก เราเดินทางไปที่หล่มสัก เดิน ไป..... เดินไป..... ขาจะไม่ไหวไหวแล้ว เราต้องเดินผ่านผา แดงก่อน พวกเราแวะกินข้าวกัน ด้วยความที่ร่างกายยัง ไม่พร้อมจึงบอกให้เพื่อนเดินล่วงหน้าไปก่อน หลังจากพัก เหนื่อยเสร็จถือว่าโชคดีมากๆ เพราะมีคุณลุงคนหนึ่งขับรถ กระแทะ(คล้ายๆรถอีแต๋น)ขนกระเบื้องมุงหลังคามา เราขอ คุณลุงไปด้วย รู้สึกมีความสุขมากที่สุดในโลก ทริปนี้ฉันพูด คำ�ว่าที่สุดในโลกทุกชั่วโมงด้วยซ้ำ� ทางค่อนข้างเป็นทราย และบ้างก้อชัน พวกเรานั่งกันอย่างบางจะเกร็งทุกคน อย่าง ที่บอกทางเป็นทราย ดังนั้นเราจึงเมื่อยยิ่งกว่าเก่าเข้าไปอีก.. หลั ง จากเราขอบคุ ณ คุ ณ ลุ ง ที่ ใ ห้ เ รานั่ ง รถ กระแทะมาแล้ว เราจึงรู้ว่าเราโชคดีมากจิงๆเพราะอาทิตย์ กำ�ลังจะตกดินพอดิบพอดี หากไม่ได้คุณลุงคงมาไม่ทันแน่ๆ ซึ้งน้ำ�ใจคนไทยค่ะ เราชมพระอาทิตย์ตกดินกัน โดยมีเพื่อนอีกหนึ่ง คนยืนขาสั่นอยู่ข้างหลัง อย่างว่าแหละ ความกลัวไม่เข้าใคร ออกใคร เราแวะส่งโปสการ์ดกลับมาหาครอบครัว คนขาย น่ารักมาก ให้บราวนี่มาเกือบสิบชิ้น ทางเดินกลับนั้นเต็มไป ด้วยความเหนือยล้า และสิงสาราสัตว์ ใช่ มันมืดแล้ว มืด มาก ไม่มีใครพูดอะไรเมื่อได้ยินเสียงสัตว์ ฉันพยายามมอง ท้องฟ้าเพื่อลืมอันตราย ท้องฟ้าที่นี่สวยมากๆ มีดาวเป็น ล้านๆดวง แถมมีดาวตกอีก แต่ฉันก้อไม่ได้เห็น ขากลับเรา เดินกลับมาแปดกิโลเต็มๆ ไม่มีรถอีแต๋น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น สองกิโลสุดท้ายอยากร้องไห้จิงๆ เห็นไปอยู่แต่ดินไม่ถึงเสียที คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับกลัวว่าจะปวดนิ้วเพราะ เดินมาก ได้ยินเสียงกรนของเต็นท์ข้างๆ ซึ่งกลับพบว่า เสียง นั้นไม่ใช่เสียงกรนแต่เป็นเสียงหมูป่า เช้าวันนั้นเรามีนุ้งก วางตัวน้อยมาปลุกด้วยน่ารักมาก... ขากลับเราปั่นจักรยาน จากเต็นท์ไปหลังแปรเพื่อเดินลง ขากลับใครว่าง่าย เราต้องวิ่งลงทั้งที่ร่างกายไม่ ไหว แต่ถ้าไม่วิ่งจะปวดขามาก ตอนแรกเราคิดไว้ว่าจะลงให้ ทันรถเที่ยวบ่ายสามโมง แต่วินาทีที่เราถึง มันเป็นวินาที ของ ห้าโมงเย็น ต่างห่าง เราต้องไปรถเที่ยวหนึ่งทุ่ม นี่เป็นทริป ที่ไม่น่าจะเหนื่อยและสนุกขนาดนี้ หลากหลายน้ำ�ใจที่หยิบ ยื่นให้ทั้งที่เราไม่รุ้จักกันมาก่อน หลายหลายถ้อยคำ�ให้กำ�ลัง ใจของคนที่กำ�ลังลง บกเราขณะที่เรากำ�ลังขึ้น ถึงวินาทีนั้น คงไม่มีข้อสงสัยแล้วแหละ ว่าทำ�ไม สมุดระบายอารมณ์ที่ ร้านจักรยานวันนั้น จึงมีแต่คำ�ว่า “เหนื่อย” “สนุก” และ “จะกลับมาอีกครั้ง” 40 กิโลเมตร 8 คน 7 ชั่วโมง 5 วัน 1 เดียวกัน


Once upon a time

เรื่อง >แดงน้อย

คุณยังจำ�โฆษณาเหล่านี้ได้ไหม? ตลาดการโฆษณาของไทยนั้นมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย หากเรานึกไป ถึงตอนเด็กๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าโฆษณา มันบอกอายุเราได้นะเนี่ย.. ถ้าเป็นสมัยก่อน จะเจอโฆษณา แบบ...ขอเรียกว่า แบบบ้านๆ และกัน คือมันแบบ เอามาขายตรงๆอ่ะ ไม่มีการหลอกคนดูให้เดาอย่างใน ปัจจุบัน เชื่อดิเวลาเรานั่งดูทีวีเวลาโฆษณา อันใหม่ๆมา แม่งต้องเดาและ เอะ..นี่มันโฆษณาอะไรว้า.. จะว่าไปคนไทยนี่ก้อเก่งเนอะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมี ระบบที่เรียนว่าแบรนด์อิมแพ็คดีมากๆๆ ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจถูกหรือเปล่า นะ คือเป็นประมาณ เอายี่ห้อ มาให้คนจำ�ได้ หรือไม่ก็หาคำ�ที่มาสร้าง ภาพลักษณ์ของสินค้าให้คุณจดจำ� บางที แม่งยังนึกชื่อสินค้าไม่ออกเลย แต่เสือกจำ�สโลแกน ใช่ไหม ล่ะ 1. “มาด องอาจ มาด โคบาล คุณคือ โคบาล “---ทุกคนต้องเคย ได้ยินแน่นอน แล้วมันก้อคิดไม่ออก ไอ้โคบาลนี่มันโฆษณาอะไรว้า..55 แต่ ที่แน่ๆ ตายไปเกิดใหม่ภพหน้า แม่งยังจำ�ได้เลย .. 2.”ตำ�ส้มตำ�ทั้งที ต้องตำ�ให้ดี ต้องมีฝีมือ ไทยชูรส!!ตำ�ส้มตำ�ทั้งที ผู้คนจะอิ่มหมีตำ�ดีให้ได้ดี ไทยชูรส!!ตำ�ส้มตำ�ต้องตำ�ให้ดี ดีไม่ดี จะถูกตำ�!! คุณแม่ขา....ปูน่อย หนีบมื๊อออออออออ “(จำ�กันได้ป่ะ)” -- อันนี้ก้อติดหูมาก นึกถึงเด็กแกละ? ถูกปูหนีบ ใช่ป่าว้า สับสนกับโฆษณา ปลุกป่าชายเลน 555+ 3. “....ทำ�ไมคุณถึงไม่ยอมนั่ง!! ..ก้อลมมันเย็น “ ---โฆษณา

ยาแก้ริดสีดวงทวารหนักตราปลามังกร ที่เป็นบรรยากาศ ในสภา ตอนเด็ก เวลาปู่ดูมวย ดูบ่อยมาก 555+ 4. “..ถามสาวยาคูลท์สิคะ...” ไม่รุ้ว่าถ้าไปถามจิง สาวยาคู้ มันจะตอบได้ไหมเนี่ย 55+ เดาเอานะ เชื่อว่าโฆษณานี้อ่ะ เป็นที่มาของ โฆษณา “ มิสทีนมาแล้วค่ะ “ อารมร์ คล้ายๆๆกันเลย.. 5. ยาดมโป๊ยเซียน “ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน” อันนี้ปัจจุบัน ก้อยังใช้อยุ่ เป็นสโลแกนสุดคลาสสิค.... 6. “ ผู้หญิง 1 : ต้นๆ รถเป็นอะไรน่ะ โจ้ : รถเสีย สตาร์ทไม่ติด ผู้หญิง 2 : ทำ�ไมไม่ใช้ไดเกียวล่ะ เดี๋ยวนี้เค้าใช้ไดเกีย วกันทั้งนั้นแหละ ผู้หญิง 1 : เพราะใช้แล้ว...พูดพร้อมๆ กันยืนเรียงหน้า กระดานมองกล้อง : เครื่องฟิตสตาร์ทติดง่าย “ อันนี้ ฮาจิง เป็นการพูดที่ไม่ เป็นธรรมชาติที่สุดในโลก เนิบๆ แต่ก้อจดจำ�กันได้ดี ใช่ไหมล่ะ หรือจะบอก ว่าจำ�ไม่ได้? 7.บางโฆษณา ก้อมาเป็นเพลง.. ยุงเยอะ ทั้งตบ ทั้งเกา ทำ�ร้ายตัว เรา เป็นจ้ำ�เป็นผื่นแมลงสาบ น่าเกลี๊ยด น่าเกลียด ไต่กันยั้วะเยี้ยะ ทำ�ลาย ข้าวของวันนี้ มาใช้อัศวินแมลงร้ายดาวดิ้น ทั้งยุ​ุงไม่มีเหลือถูกใจ ถูกใจ จริงๆ สองรางวัล สองรางวัลเป็นประกัน อัศวิน !!! ใครร้องไม่ได้เชยมากอ่ะ..555+ ต้องเน้นคำ�ว่า “น่าเกลี๊ยด น่า เกลียด “ เสียงสูงๆ ด้วยนะ ฮ่า ไม่รู้ตอนนี้ยังมีขายอยู่รึป่าว


8. อันนี้เป็นเพลงเหมือนกัน ส่วนตัวแล้ว ชอบมากเลย “ มาๆ มา น้องแนนคนดี คื่มยูเอชที คันทรี่เฟรชรึยัง เราด้วยสาวน้อยร้อยชั่งต้องให้แม่ สอนสั่ง จำ�จี้จ้ำ�ไชได้ทุกวัน..โอ้อม่นงเยาว์..ว่าแต่เขาอิเหนามาเป็นเอง..” ไม่รุ้จะมีใครจำ�ได้เหมือนชั้นไหม 55 แต่ร้องทั้งวันเลย ไปโรงเรียน ก้อร้องแข่งกับเพื่อน 55+ 9.”เคียวเซอร่ามิต้า เล็กไม่ ใหญ่ๆ ทำ�” เวลาดูมวยนี่มีเยอะมาก กกกกกก(ดูบ่อยนะเนี่ย55) 10. หากใครฟังวิทยุ คงคุ้นๆ “ยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อแก้ร้อนในกระหายน้ำ� ยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อเป็นยาระบายอ่อนๆ ยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อแก้ไข้ตัวร้อน ยาขมชนิดเม็ดตราใบห่อเจ้าของเดียวกับยาเขียวชนิดเม็ดตราใบ ห่อ” แบรนอิมแพ็คมากๆๆ 11. “คุณพี่...ยังไม่ออกจากห้องน้ำ�อีกเหรอคะ วันนี้ลูกต้องไป โรงเรียนแต่เช้านะ” “พ่อท้องผูก...นั่งนานไปหน่อย...” อันนี้แทบจะนึกหน้า คนที่เล่นเป็นพ่อออกเลยอ่ะ 555 12. อันนี้ไม่พูดถึงไม่ได้...นึกๆๆๆๆ.....นึกออกยัง....... นึกออกและหรอ ว้า.. “ฮ่องกง foot นํ้ากัดเท้า คันตามนิ้วมือนิ้วเท้า คันในร่มผ้ากลาก เกลื้อน เชื้อราบนหนังศรีษะ ใช้ โทนาฟฟฟฟ!!! แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ นํ้าร้อนลวก แผลพุพอง ผิวหนัง อักเสบ เป็นหนอง ใช้เย็นเตร็ก เจ้าของเดียวกับโทนาฟ! “ สมัยนี้ก้อยังมีอยู่นะ แต่ตัวแสดงเริ่มเล่น โรลเลอร์สเก็ตแล้ว ทัน สมัยขึ้นมานีสส 13. อันนี้ก็เด็ดไม่แพ้กัน(ตกลงแม่งเด็fทุกอันใช่ไหม 55) “คุ้มจิงๆ...ยิ่งกว่าคุ้มๆ ทุกสิ่ง... คุ้มที่แฟลตปลาทอง..... จองเพียงแค่ 5000 อยู่อย่างสุขสันต์ สบาย สบาย... ดาวน์ก้อน้อยผ่อนนิด โอนสิทธิ์โฉนด เอาไปเลยง่ายดาย ย๊า...ยา...ยา....ยา....ยา.... จะมาจะไปใกล้หมด สะดวกดีมีรถเมล์ผ่าน มีสระว่ายน้ำ� และมีส่วนหย่อม ปลาทองมีพร้อมทุกสิ่ง... วันที่เก้าเดือนเก้า เร็วเข้าอย่าช้ารอรี จองแฟลตปลาทองรังสิตวันนี้ จองแค่วันเดียว..... “ บางคนอาจจะจำ�ไม่ค่อยได้ แต่อิชั้นจำ�ได้ อิ​ิอิ 14.”ยาผงยาแผ่นดองเหล้า ตราเสือ 11 ตัว......ว.. “ ปัจจุบันนี้ ก้อยังมีอยู่นะ ชิป่ะ ตามคลื่นวิทยุเอเอ็ม(เอะแกแอบฟังเอเอ็มด้วยหรือเนี่ย 55) 15. มียุคที่ชั้นยังเป็นเด็ก โครงการหาร2 และโครงการประหยัด พลังงานต่างๆเกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด คงคล้ายๆกับโครงการลดโลกร้อนใน ปัจจุบัน.ช่วงนี้พักฟังโฆษณาที่น่าสนใจกันสัก ครู่ค่ะ... “ป.ปลานั้นหายาก ต้องลำ�บากออกเรือ ไป ขนส่งจากแดนไกล ใช้น้ำ�แข็งเปลืองน้ำ�มัน แช่เย็นก้อเสียไฟ หุงต้องใช้แก๊สทั้งนั้น พลังงานก้อ หมดกันโอ้ลูกหลาน จำ�จงดี “ อีกอันนึง ไม่แน่ใจว่า โครงการเดียวกันรึป่าว แต่เพลงติดหูมาก โฆษณานี้มาเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมาดูที่หน้าจอทีวีทุกที “คนละคัน คนละคัน คนละคัน ถ้าคนละคันน้ำ�มันมันก้อเปลือง ถ้าไปด้วยกัน ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน ถ้าไปด้วยกัน น้ำ�มันก้อไม่เปลือง ห้า คนหนึ่งคันเยอะไป..ถ้าห้าคน หนึ่งคันได้ไหม ..ถ้าใครทำ�ได้ ฉันจะไหว้ ขอบคุณ...” “คนอะไร คนอะไร คนอะไร แหมน่าภูมิใจล่ะเธอใช้ปิ่นโต (ผู้หญิง ถือปิ่นโตเข้าลิฟท์)คนอะไร คนอะไร คนอะไร ไม่นานเท่าไรก็ให้ขยะกองโต

(เป็นผู้หญิงถือกล่องข้าวที่ทำ�จากโฟมเดินเข้าลิฟท์ และไม่นานเธอก็จม กองโฟมในลิฟท์)เลิกทำ�พฤติกรรมสิ้นเปลือง พลังงานล่ะเป็นเรื่องสำ�คัญรัก ลูก รักหลานล่ะก็ต้องหารสองหารสอง หารสอง หารสอง” ยาวมะ จำ�ได้ไงว้าเนี่ยยยยยยยยย แต่จำ�กันได้ใช่ไหมล่ะ 55+ 16. “ห่านดินกินหญ้า ห่านฟ้ากินยุง...” แต่ท่านเชื่อไหม บ้าน ชั้น จุด ยุงมันยังบิน เต้นบัลเลห์กันเฉิดฉาย ไม่ได้เกรงอิธิฤทธิ์ของ ห่านแต่ อย่างใด.. 17.ประโยคเด็ด” พ่ออออ..ลูกตัวร้อนนนน...” โฆษณา ยาแก้ไข้ อาไรสักอย่าง.. 18.มียุคหนึ่ง ดังมากก “ไอ้ฤทธิ์กินแบล็ค” ที่เป็น โฆษณาที่อลังการมากที่สุดก้อว่าได้ ในยุคนั้นนะ 19.”วิกวาโปลับ ทาหลังคอจมูก สูดมๆ เป็นหวัดครั้งใดทาวิกวา โปลับ”.....ฮิตมาก ไปโรงเรียนใครไม่มีต้องไปบอกให้แม่ซื้อ ไม่ได้เป็นหวัด ก้อต้องมีใส่กระเป๋า เป็นเหมือนเทรนโทรศัพท์มือถือ ในปัจจุบัน...เฮ้ยย... ไอ้จอย มึงไม่มีิวิกหรอวะ ฟายยส์....(อารมคนพูดประมาณว่าเท่มาก ที่มัน มีวิก 55) 20.”อนาคตสดใส วางแผนให้ถูก มีลูกเมื่อพร้อม ไบรวู๊ดมาร์กา เร็ต “ ...บางงทีนึกอยู่ มันก้อนึกไม่ออกซะดื้อๆอ่ะ อะไร วู๊ดๆ เล็ตๆ วะ 21.”ยาดมโป๊ยเซียน ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน ยาดม โป๊ยเซียน ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน ยาดมโป๊ยเซียน ใช้ดม ใช้ทา ใน หลอดเดียวกัน ยาดมโป๊ยเซียน (แม๊..จะย้ำ�อะไรกันนักกันหนา ถ้าจำ�ไม่ผิดจะย้ำ�อยู่ประมาณ 3 ครั้ง)” -แม่งกลัวแบรนไม่อิมแพ็ค ผมรู้คุณก้อใช้ 55+ 22. “คึกคัก คึกคักกับปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์เดียวกัน หวานมันเหลือเฟือ เอ๊าเชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อยเหลือเฟือ ปักกิ่ง!!” คือถ้าร้องจิงๆแล้วจะเกิดปฏิกิริยา ไม่รุ้จบ อย่างนี้ คึกคัก คึกคักกับปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์เดียวกัน หวานมัน เหลือเฟือ เอ๊าเชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อยเหลือเฟือ ปักกิ่ง คึกคัก คึกคักกับ ปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์เดียวกัน หวานมัน เหลือเฟือ เอ๊าเชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อยเหลือเฟือ ปักกิ่ง คึกคัก คึกคักกับ ปักกิ่ง หวานๆ มันมั๊น อารมณ์เดียวกัน หวานมัน เหลือเฟือ เอ๊าเชื่อมั๊ย ปักกิ่ง!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ กินไม่เหลือ อร่อยเหลือเฟือ ปักกิ่ง ….. แม่งจบไม่ได้ ร้องไป เอ้าเวง แม่งจบตรงไหนวะเนี่ยยย.. มีอันหนึ่ง อันนี้ แม่ชั้นชอบมาก...”แม่กับลูกกับลังกินข้าวอยู่ ลูกถามประมาณว่าไหน พ่อล่ะ แม่บอกว่า พ่อไม่สึกง่ายๆหรอก ....งงมะ จำ�ไม่ค่อยได้ แต่เห็นภาพ พ่อกำ�ลังบวชเป็นพระ แต่ตอนจบเป็นโฆษณายาง ใช้ยังไง ก้อไม่สึก .. เริ่มหมดและ นึกไม่ออกและั 555 ขอรัวสักหน่อยและกัน ทาถู ทาถู หน้ามืด ตาลาย ทาขมับและจมูก สูดดมด้วยยาหม่อง ตราถ้วยทอง ขนาดแมลงสาบยังตาย แล้วยุงจะไปเหลืออะร๊ายยยยย หอมที่ไหน หอมของคุณ หอม ประทับใจ แป้งเย็นฝุ่นหอม ฮอล ลีวู๊ด โซฟี แบบกระชับ คุณหลอกดาว!! ป๊อปเลือก ฮิตาชิ ลอรีออล คุณค่าที่ดิชั้นคู่ควร โฟเอสสร้างสรรค์ เพลงดีมีคุณภาพอีกแล้วครับท่าน!!


เรื่องสั้นดันยาว

เรื่อง >แดงน้อย

สุข(ข์)

แสง แดดยามเที่ยง แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนพื้นดิน ยิ่งหน้านี้เป็นหน้าแล้งยิ่งแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าที่เคยเขียวขจีกลับกลายเป็นสีน้ำ�ตาล บางก็ ต้นผลัดใบทิ้ง บนพื้นดินนั้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีน้ำ�ตาลจนแทบจะมองไม่เห็นพื้นดินสักนิด เลย แม้แต่ผักหญ้าข้างทางที่เคยขึ้นจนรกร้างบัดนี้ กลับเหี่ยวเฉาและ คอยจะตายลง ตายลง ถนนลูกรังสายนี้ก็แห้งกรัง ฝุ่นสีแดงของถนนคละคลุ้งไปทั่ว ใบไม้ข้างทางกลายเป็นสีแดงไปหมด มองดูแล้วช่างห่อเหี่ยวใจยิ่งนัก ตาสุข วัย 70 กว่าปี นั่งมองสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยความเงียบเหงา ตาได้แต่ภาวนาให้หน้าแล้งนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว ตา เอื้อมมืออันแห้งกร้านไปลูบหัวหลานสาวตัวเล็ก มือๆ นี้ ผ่านการใช้งานมามากกว่า 50 ปี ตาต้องทนกับความเหงามากว่า 3 ปีแล้วหลังจากที่ยายผู้เคย อยู่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ได้ตายจากไป สมัยก่อนที่มียายอยู่ ตายายสองคนก็ช่วยกันเก็บผักหญ้าข้างทางขาย พอกินไปวันๆ ซึ่งก็พอกินกันไปตามประสาคนแก่ แต่ นับตั้งแต่วันที่ยายจากไป ตาก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด ตาต้องดำ�เนินชีวิตเพียงผู้เดียว ความเหงาคือเพื่อนสนิทของตาในตอนนั้น ส่วนลูกสาวนั้นก็เข้าไปทำ�งาน ในเมือง เพื่อส่งเงินกลับมาครอบครัว ตาต้องอยู่ในกระท่อมที่แทบจะไม่สามารถเรียกว่าบ้านได้ ตานั้นเป็นลูกคนโตของเศรษฐีแต่ตาถูกขับไล่ออกจากบ้านเพราะ มาแต่งงานกับยาย เนื่องจากพ่อของตาไม่ต้องการให้แต่งงานกับคนจน สองคนลำ�บากกันมาตลอดชีวิต และเนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศไม่เหมาะสม ฝนแล้ง ตา จึงทำ�นาไม่ประสบผลสำ�เร็จ จนตาต้องจำ�นองที่นาและไม่สามารถไถ่คืนได้ ตอนนี้ที่เหลือคือที่ 1 ไร่ ซึ่งมีกระท่อมเล็กๆ ของตาปลูกอยู่ พร้อมกับสวนกล้วยน้ำ�ว้า ปรีดา ลูกสาวคนเดียวของตาเข้ามาทำ�งานในกรุงเทพฯ และเธอก็ได้พบว่าที่นี่มิใช่สรรค์ดั่งที่คนบ้านนอกของเธอได้เคยกล่าวไว้ เธอถูกล่อลวงมาทำ�งานใน โรงงานที่ใช้งานเยี่ยงทาส แทบไม่มีเวลาพัก เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แถมเธอยังถูกหัวหน้าของเธอข่มขืนจนตั้งท้อง ด้วยความที่ปรีดาไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ เธอจึงบอกว่าเธอพบรักและแต่งงานอยู่กินกับผู้ชายคนหนึ่ง ปรีดาคลอดลูกออกมาโดยที่หัวหน้าของเธอไม่ได้มาสนใจใยดีเธออีกเลย เธอตัดสินใจนำ�ลูกกลับไป ฝากให้พ่อเลี้ยง เพราะหากเธอต้องเลี้ยงลูกไปด้วย เธอคงไม่สามารถทำ�งานหาเงินได้ เธอ ต้องทำ�งานหนัก เพราะเธอต้องส่งเงินไปให้ลูก แต่เส้นทางชีวิตของเธอกลับถูกโชคชะตากลั่นแกล้งซ้ำ�แล้วซ้ำ�เล่า แต่เธอก็ไม่เคยท้อ พ่อเคยบอกเธอ ว่า ถ้าหากเราหยุด 1 ก้าว เท่ากับเราถอย 1 ก้าว เธออดทนดิ้นรนทำ�งานทุกอย่างเท่าที่จะทำ�ได้ เธอไม่เคยเกี่ยง ขอเพียงให้ได้มีงานและมีเงินเธอก็ยินดี แต่จนแล้ว จนเล่าวันดีคืนร้ายก็เดินทางมาถึงขณะที่ปรีดากำ�ลังจะเดินทางไปส่ง เงินให้กับลูก เธอถูกจี้บนสะพานลอยกลางกรุงโดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือเธอสักคน เงินเดือน ทั้งเดือนถูกจี้ไป เท่านั้นไม่พอ เธอถูกทุบหัวจนสลบบนสะพานลอย ไม่มีใครเห็นว่าเธอถูกจี้บนสะพานลอย หลาย นาทีต่อมาจึงมีคนมาพบเห็นเธอสลบอยู่จึง ช่วยพาเธอไปโรงพยาบาล เธอลืมตาขึ้นมา ในสองสมองนั้นคิดแค่ว่า “ฉันแค่ฝันไป....” น้ำ�ตาปรีดาไหลอาบแก้มเหตุใดเธอถึงต้องเผชิญกับความทุกข์ไม่หมดสิ้น เสียที แต่พอนึกถึงตาใสๆคู่นั้นของเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่เธอเรียกว่าลูก เรี่ยวแรงของเธอก็ฮึดขึ้นมาอีกครั้ง เธอเคยได้ยินมาว่า คนเป็นแม่ทำ�เพื่อลูกได้ทุกอย่าง เธอ เพิ่งเข้าใจวันนี้เอง ความ เหงาของตาสุขเริ่มจะจางหายไปเมื่อมีเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งตามักจะเรียกติดปากว่าอีหนู ซึ่งเป็นหลานๆ แท้ ๆ มาคอยสลายความเหงาและ ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกเดือนปรีดาจะส่งเงินมาเพื่อเลี้ยงลูกและพ่อของเธอทุกเดือนมิได้ขาด แต่ ตาก็ไม่เคยไปเบิกใช้สักครั้งเดียว ตายังเก็บผักเก็บหญ้าขายโดยมี เด็กหญิงตัวเล็กผูกติดอยู่กับตัวตาอยู่ตลอด สร้างความน่าเอ็นดูให้กับผู้ที่พบเห็น หากวันใดเห็นตาสุขเป็นต้องเห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มผูกติดอยู่กับเอว เสมอ วัน คืนผ่านไป ปรีดาและตาสุขต่างทำ�หน้าที่ของตนเองได้ไม่ขาดตกบกพร่อง แม้อาจจะต้องอดบ้างกินบ้าง วันนี้ไม่มีภาพเด็กตัวน้อยที่ผูกติดกับเอวแล้ว กลายเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ตาแป๋ว เสียงใส ติดตามตาไปทุกที่ คงมีบางวันเท่านั้นที่ยายปริกเพื่อนของตาชวนให้ไปเล่นกับหลานของแก ที่อายุไล่เลี่ยกัน ยายปริก คงเป็นเพื่อนคนเดียวของตาที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้ “ตาจ๋า พักก่อนเถอะ ตาเหนื่อยแล้ว” เสียงเด็กหญิงเอ่ยถามตาขณะที่ตากำ�ลังปั่นจักรยานคู่ใจไปเก็บผักหญ้ามาขาย “เออน่า เอ็งรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าข้าเหนื่อย” รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาในใบหน้าอันเหี่ยวเฉาของตา “ตาเหนื่อย มา หนูปั่นให้ตาเอง” หลานเอ่ยถามทั้งที่ความสูงของเด็กนั้นยังไม่ถึงเบาะรถด้วยซ้ำ� “ข้าปั่นไหวน่า อีหนู อีเด็กคนนี้มันขี้โม้จริงๆ” “ก็หนูรักตา หนูไม่อยากให้ตาเหนื่อย” ไม่มีคำ�คอบใดๆ ออกมาจากปากของผู้เป็นตา มีแต่น้ำ�ตาหยดเล็กๆ ที่ไหลรินออกมาด้วยความตื้นตันใจของชายแก่คนหนึ่ง ความ เหงาสำ�หรับตาตอน นี้มันได้ตายจากจากไปแล้วคงเพราะมีเสียงใสๆ ของเด็กตัวน้อยคอยเจื้อยแจ้วอยู่มิห่าง และตาตั้งใจว่าจะเลี้ยงดูหลานคนนี้ให้ดีที่สุด จนกว่าที่ลมหายใจสุดท้าย ของตาจะสิ้นสุดลง เด็ก น้อยคนนี้ขยันเกินกว่าที่เด็กอื่นทั่วไปจะเป็น งานบ้านเล็กๆ น้อย อย่างกวาดบ้าน ถูบ้านล้างชาม ต่างเป็นหน้าที่ของเธอทั้งสิ้น เธอชอบที่จะช่วยเธอ ไม่รู้ ว่านิสัยขยันอดทน มันติดต่อทางพันธุกรรมหรือไม่ ชาวบ้านแถวนี้ต่างเอ็นดูเด็กน้อยยิ่งนักยิ่งเมื่อเห็นเด็กช่วยงานตาสุขอย่าง นี้แล้วบางคนก็ซื้อขนมมาฝาก บ้างก็ นำ�เสื้อผ้าเก่าๆ มาให้กับหลานตาเสมอ โดย เฉพาะยายปริกเพื่อนตา ซึ่งมีหลานวัยเดียวกัน ณ จุดๆ นี้ คงเป็นจุดหนึ่งที่ตาสุข จะมีความสุขเหมือนกับชื่อของตา และตาก็อย่างจะให้เป็นอย่างนี้ไปนาน ๆ แต่อย่างว่า เวลาไม่เคยหยุดหมุน ตาเองก็รู้ว่าเวลาของตาก็คงจะเหลืออีกไม่มากนัก ฝ่าย ปรีดาช่วงนี้เธอย้ายที่ทำ�งานมาทำ�งานที่ศูนย์ฝึกอาชีพ ซึ่งเจ้าของคือคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้เมื่อตอนถูกโจรจี้ครั้งนั้น ช่วงนี้ปรีดาเริ่มจะพอลืมตาอ้าปาก ได้ เธอจึงพายามยามจะเก็บเงินก้อนใหญ่เพื่อที่จะกลับไปเปิดร้านขายของชำ�เล็กๆ ที่บ้าน แต่จนแล้วจนรอด ความฝันของเธอกลับต้องพังทลายอีกครั้ง เมื่อเธอ ตรวจพบก้อนเนื้อ ซึ่งจะสามารถกลายเป็นมะเร็งได้ในช่องท้องของเธอ เธอเองได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าเหตุใดสิ่งร้ายๆ จึงแวะเวียนเข้ามาเสมอ ความน้อยเนื้อต่ำ�ใจ ในโชคชะตา ปรีดาเข้ารับการรักษา ทำ�ให้ช่วงนี้ปรีดาไม่ค่อยได้ส่งเงินไปให้ลูกได้ทุกเดือน เธอเขียนจดหมายไปเล่าให้พ่อเธอฟังว่า เธอเปลี่ยนงาน เพราะเธอไม่ อยากให้ผู้เป็นพ่อไม่สบายใจ ตา สุขเองช่วงนี้ก็พบว่าตนเองแก่ลงไปมาก ปั่นจักรยานไม่ค่อยไหว แต่ตาก็กัดฟันอดทน เก็บผักหญ้าต่อไป ตอนนี้ตาส่งหลานไปเข้าเรียนในโรงเรียนวัด ใกล้บ้านแล้ว เพราะตาอยากจะให้หลานได้มีการศึกษาที่ดี มีความสามารถ จะได้ไม่ต้องมาลำ�บากเหมือนตา และลูก อากาศช่วงนี้ค่อนข้างหนาวสองคนตาหลาน ปั่นจักรยานไปเก็บผักหญ้าตามประสา ขณะที่ตากำ�ลังเก็บตำ�ลึงอยู่นั้นเด็กน้อยก็เดินเก็บดอกหญ้าข้างทางตามประสา เด็ก ขณะที่เด็กหญิงกำ�ลังหมกมุ่นอยู่นั้น เธอก้อพบกระดาษใบหนึ่ง เธอจึงวิ่งไปหาตา


“ตาๆ หนูเจอกระดาษอาไรไม่รู้จ้ะตา” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะที่ตาไม่ได้สนใจยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บตำ�ลึงต่อไป โดยไม่ได้สนใจ “สอง แปด แปด เก้า เจ็ด....ห้า” เด็กสาวพยายามอ่านตัวเลขที่อยู่ในกระดาษใบเล็ก ๆ แผ่นนั้น ตา ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และเดินมาหาหลานเพื่อนดูกระดาษแผ่นนั้นมันคือล็อตเตอรี่ แต่นั่นไม่สำ�คัญ ตาจำ�ได้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินคนในตลาดพูด กันแว่ว ๆ ว่าหวยออก เก้าเจ็ดห้า วันที่ที่อยู่ในล็อตเตอรี่ก็ตรง กับงวดที่แล้วพอดิบพอดี ตาเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าอย่างครุ่นคิด สร้างความสงสัยให้แก่ หลานรักเป็นอันมาก หลังจากเก็บตำ�ลึงได้จนมากเท่าที่ต้องการแล้ว ตาปั่นจักรยานมุ่งหน้าเข้าตลาด ตาสุขจอดรถจักรยานไม่ห่างจากร้านขายล๊อตเตอรี่มากนัก “อีหนู ไปซื้อซื้อเรียงเบอร์ให้ตาหน่อยซิ” ตาเอยสั่งหลาน “เรียงเบอร์ คือ อะไร อ่า ตา” เด็กสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย เด็ก น้อยวิ่งไปซื้อของตามที่ตาบอก แล้วนำ�กลับมาให้ตา ตาเก็บกระดาษแผ่นใส่กระเป๋า แล้วปั่นจักรยานนำ�ตำ�ลึงที่เก็บมา ไปขายที่ร้านผักที่ตลาด แล้ว ตาก้อบึ่งกลับบ้านโดยไม่มีการตอบคำ�ถามหลานแต่อย่างใด “นัง หนูเอ๊ยอีหนูน้อยมันเจอหวย พ่อดูแล้วถูกรางวัล เลยส่งมาให้เอ็งไปขึ้นรางวัล” ปรีดานั่งอ่านจดหมายที่พ่อส่งมาให้ ไม่สิ มันเรียกว่าข้อความมากกว่า จดหมาย เธอรู้สึกดีใจมาก นี่นับเป็นวันที่เธอมองโลกแล้วมันช่างดูสดใส ไม่เป็นสีเทาเหมือนก่อน ความฝันของเธอกำ�ลังจะเป็นจริงเสียที เธออยากกลับบ้านไป หาลูก หาพ่อ และอยู่ดูแลท่านที่นั่น ปรีดาขอลาออกจากงาน เธอไม่ได้บอกใครว่าเธอถูกรางวัลที่ 1 ทุกคนต่าง เสียใจโดยเฉพาะหัวหน้างานของเธอเพราะปรีดา เป็นคนที่มีฝีมือ และตั้งใจทำ�งานมาก รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของปรีดาอยู่ตลอดเมื่อนึกถึงว่าเธอกำ�ลังจะได้กลับไป อยู่กับลูกแล้ว นานเหลือเกินที่เธอไม่ได้เห็น ใบหน้าลูกสาว หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ การรอคอยของเธอกำ�ลังจะสิ้นสุดเสียที เช้า วันนี้เป็นอีกวันที่ตาปั่นจักรยานมาเก็บผักเหมือนทุกวัน แต่วันนี้มิได้พ่วงหลานมาด้วย เพราะยายปริกมาชวนให้ไปอยู่เล่นเป็นเพื่อนหลานของแก ตา จอดรถจักรยานเข้าไปเก็บยอดกระถินตามข้างทาง ตาพบกับดอกกระเจียวสีม่วง ที่เพิ่งจะเริ่มออกดอกในหน้าหนาวนี้ ตากะว่าจะเก็บดอกไม้แสนสวยนี้ไปให้ หลานสาว ใครจะไปคิดว่าเรื่องราวร้ายๆจะเกิดขึ้น ตาไม่ทันได้สังเกตว่า มีงูอยู่แถวนั้นพอดี ตาเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ ดั่งสายฟ้าฟาดลงมา ตารู้สึกเจ็บจิ๊ดขึ้นมา ที่ขาข้างซ้าย จนแทบจะเดินไม่ไหว วินาทีนี้ ตานึกอะไรไม่ออกนอกจากอยากพบหลานรัก ตาฝืนทนเดินออกมาตรงถนนแต่ความเจ็บปวดนั้นช่างรุนแรงเหลือเกิน ตาหมดสติลงตรง ข้างถนน โดยที่มือของตายังไม่ปล่อยดอกกระเจียวดอกนั้น ทิดปาดลูกยายปริกเห็นตาเป็นลมอยู่ข้างทางจึงนำ�ตาขึ้นรถและพามาโรงพยาบาล ทันที เด็กน้อยร้องไห้จนหลับไป ข้างๆเตียงของตา ปรีดาเดินทางมาถึงตลาดก็ได้ยินแม่ค้าพูดกันว่าพ่อของเธอถูกงูกัดอาการปางตาย หัวใจของเธอแทบสลาย ปรีดา รีบเดินทางมาที่โรงพยาบาล ความสุขของเธอหายไปหมดสิ้นเธอนึกอยู่ตลอดว่า ความสุขตัวตัวเธอนั้นคงไม่ได้เกิดมาคู่กันเสียแล้ว ขณะนั้นพ่อของเธอยัง หายใจรวยริน หมอบอกว่าเป็นตายเท่ากันเพราะพิษงูกระจายทั่วร่างกายแล้ว หลายคนคงเคยได้ยินว่าเงินทำ�ได้ทุกสิ่งและเธอก็เชื่อใน คำ�ๆน้ำ�มาตลอด แต่วันนี้ เธอได้รู้แล้วว่าแม้จะมีเงินมากมายล้นฟ้าเพียงใดก็ไม่สามารถรั้ง ชีวิตคนที่เธอรักไว้ได้ คงมีแต่โชคชะตาเท่านั้นที่จะกำ�หนดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ บางทีอาจ เกิดปาฏิหาริย์พ่อของเธอกลับฟื้นคืนขึ้นมา หรือไม่ก็........ ปรีดาเห็นลูกหลับอยู่ข้างเตียงของผู้เป็นพ่อของเธอ น้ำ�ตาเธอไหลเอ่อ นี่คือช่วงที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน แต่หนึ่งชีวิตที่กำ�ลังหายใจรวยรินกำ�ลังจะจากไป เธอ ลูบหัวลูกสาว และมองดูร่างแน่นิ่งของพ่อด้วยความเสียใจ ปรีดาเอื้อมมือไปจับมืออันแห้งกร้านของพ่อ เธอพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “พ่อ หนูกลับมาแล้ว พ่อ ตื่นขึ้นมาสิ พ่อ...”ประดาอยากจะร้องไห้ให้น้ำ�ตามันหมดตัวไปเลย ให้เธอลืมความเจ็บปวดเหล่านี้ เธอคิดว่าเธอยอมเจ็บเอง ดีกว่าที่จะให้พ่อของเธอเป็นอย่างนี้ เหมือนปาฏิหาริย์จะมีจริงตาสุขขยับนิ้วมือ และค่อยๆลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าลูกสาว และหลานสาวที่หลับอยู่ น้ำ�ตาของตาเริ่ม เอ่อ “พ่อ.....”น้ำ�ตาของปรีดาหยุดไหล พร้อมกับอาการตื่นเต้นตกใจ อย่างบอกไม่ถูก “ดา ดา....ดูแลนังหนูให้ดี นะ ให้มันเรียนสูงๆจะไม่ต้องมาลำ�บากอย่างเอ็ง” ปรีดา รับคำ� เหมือนท้องฟ้าจะใสอีกครั้ง เมฆดำ�คงผ่านพ้นไปแล้วเธอคิด หลานสาวตัวน้อยของตาตื่นขึ้นมา แม้เธอจะจำ�หน้าคนเป็นแม่ไม่ค่อยชัดนัก แต่สัญชาติญาณทำ�ให้เด็กน้อยร้องไห้ออกมาและเข้าไปกอดแม่ ปรีดาสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกไปไหนอีก หัวใจของปรีดาชุ่มชื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอตั้งใจจะกลับบ้าน ไปทำ�แกงเลียงที่พ่อชอบกิน เพื่อนำ�มาให้พอ โดยบอกลูกสาวว่าให้อยู่ดูแลตาที่โรงพยาบาล “ตา...........ตา........ตา” ร่างของตากระตุกทำ�ให้เด็กน้อยตกใจเรียกตาดังลั่น หลังจากแม่ของเธอกลับไปไม่นาน “ตื่น สิตา หนูรักตา..” ลมหายใจสุดท้ายของตาสิ้นสุดลงแล้ว ร่างชายบนเตียงได้จบชีวิตลง ความทุกข์ที่ตาสุขแบกไว้คงสลายหมดสิ้นไปพร้อมกับแก ร่างที่แน่นิ่ง และไม่มีการตอบสนองใดๆ ภาพของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กอดร่างที่ไร้วิญญาณของผู้ที่เธอเรียกว่าตา ช่างเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก หมอ ถามเด็กน้อยว่าแม่ของ เธออยู่ไหน เด็กน้อยวิ่งออกมาจากโรงพยาบาลด้วยความรีบ เธอวิ่งข้ามถนนโดยไม่ได้ดูรถ รถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ชนเข้ากับร่างเด็กผู้หญิงเต็มๆ ร่างเธอลอยขึ้นในอากาศและกระเด็นไปไกล สร้างความตกใจให้แกผู้พบเห็น แล้งรถกระบะก็ขับหนีไปอย่างไม่ใยดี แม้แต่ชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่สามารถดักจับไว้ได้ ร่างของเด็กน้อยนั้นแน่นิ่ง บัดนี้เธอคงจะไปอยู่กับตาของเธอเสียแล้ว ปรีดานำ�แกงเลียงกลับมาให้ผู้เป็นพ่อและเธอก็ได้รู้ว่าตอนนี้เธอต้องสูญเสียคนรักไปพร้อมกันถึงสองคน เธอนิ่งไป ขาของเธอทั้งสองข้างเหมือนจะไม่มี แรงขึ้นมาดื้อๆ เขาเธอทรุดลง ไม่มีน้ำ�ตาไหลออกมา หัวใจเธอแทบจะหยุดเต้น ทุกสิ่งทุกอย่างพังหมดแล้ว คนที่เธอรัก ความสุขกับชีวิตของเธอมันช่างห่างไกลกัน นัก การมีเงินมากมายมันไม่สามารถยื้อชีวิตใครได้เลย เธอเริ่มสิ้นหวังว่าเธอจะมีชีวิตอยู่เพื่อใคร... ปรีดา ชื่อของเธอ มีความหมายว่ายินดี แต่ ชีวิตเธอนั้นมิได้ปรีดาเหมือนกับชื่อเลยสักนิด โชคชะตาคอยที่จะกลั่นแกล้งเธอสารพัด ตอนนี้เธอไม่เหลือ อะไร แม้มีเงินคงไม่สามารถทำ�ให้ชีวิตเธอมีความสุขได้เธอตัดสินฆ่าตัวตาย ขณะที่เธอเดินกลับบ้านอย่างร่างไร้วิญญาณ เธอได้พบกับหญิงคนหนึ่งระหว่างทาง “เป็น อะไรรึเปล่า ลูกเอ๊ย เหตุใดเล่าจึงแบกทุกข์ไว้มากถึงเพียงนี้ ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นหูปรีดามากที่สุดถามขึ้น ด้วยความทุกข์ที่สะสมอยู่ทำ�ให้ปรีดาระบาย ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอให้ ผู้หญิงคนนั้นฟัง หลังจากพูดคุยกันสักพัก ปรีดารู้สึกดีขึ้นมาก น้ำ�ตาแห่งความตื้นตันใจของเธอเอ่อขึ้น ณ วินาทีนี้ หลายสิ่ง หลายอย่างเข้ามาในชีวิตของเธอมากมาย เพราะผู้หญิงคนที่คุยกับเธอเมื่อกี้ คือแม่แท้ๆ ของเธอเอง อย่างน้อยเธอก็ยังคิดว่า ที่เคยมีคนบอกว่าความตายมิ สามารถแยกความรัก ความห่วงใยระหว่างแม่ลูกได้ เธอเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง ร่างผู้เป็นแม่ของเธอค่อยๆ จางหายไป คงเหลือแต่ความรักที่ยังคงอยู่ตลอดไป นาน เท่านาน...




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.