บทที่ ๑ เล่ห์มฤคา 4
“ยก!!” เสียงหัวหน้าคนงานตะโกนให้จังหวะยื้อยุดก้อนหินสีคล�้ำขนาดมหึมา คณะนักส�ำรวจต่างยืนรอคอยวินาทีแห่งประวัติศาสตร์ด้วยใจจดจ่อ มีเพียง กลุ่มนายทุนสามคนเท่านั้นที่ยังนั่งทอดน่องบนเก้าอี้เอนอยู่ภายใต้ร่มมะค่า อย่างสบายอารมณ์ หนึ่งคนมีสีหน้าราบเรียบยากจะคาดเดา หนึ่งคนดวงตา ฉายประกายกล้าอย่างพอใจเมื่อนึกถึงชื่อเสียงที่จะได้รับ และอีกหนึ่งคนยิ้ม เริงร่าด้วยความสนุกสนานตื่นเต้นกับสิ่งที่ก�ำลังจะถูกค้นพบ “ทุกคนระวังตัวด้วย” ร่างสูงโปร่งยืนร้องบอกคนงานเหล่านั้นห่างไป ไม่กหี่ ลา นิว้ เรียวยาวขยับดันกรอบแว่นกันแดดเรย์แบนด์ทเี่ ลือ่ นต�ำ่ ลงเพราะ เหงื่อให้กลับเข้าที่ ผิวขาวจัดขึ้นสีชมพูระเรื่อตัดกับชุดซาฟารีสีน�้ำตาลเข้ม มืออีกข้างถือสมุดปกหนังแดงก�่ำไว้แนบกายราวกับเป็นเพื่อนคู่หู “คุณเถกิงi ...พอคนงานดึงหินนั่นขึ้นมาพ้นประตูแล้วรีบให้ทุกคนออกไปห่างๆ เลยนะ จากนั้นก็ให้คนของคุณไปตรวจสอบซะด้วยล่ะ” i “เถกิง” อ่านว่า ถะ-เกิง
“ครับ...ด๊อกเตอร์” ชายวัยกลางคนกล่าว ก่อนจะเดินจากไปเพือ่ ด�ำเนิน การที่ได้รับมอบหมาย แสงแดดยามเที่ยงวันท�ำให้ศีรษะล้านเลี่ยนสะท้อน แสงเป็นมันเงา ชายหนุ่มถอนใจ คงอีกพักใหญ่กว่าที่ทีมนักธรณีวิทยาจะตรวจสอบ สารเคมีชีวภาพเสร็จ “นีเ่ ราคอยอะไรกันเหรอคะพีร่ าม” เรียวปากอวบอิม่ แต่งแต้มด้วยกลอส สีพีชแวววาวเอ่ยถาม ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าหล่อจัดของชายหนุ่มนัก โบราณคดี ค นดั ง ผู ้ พ ่ ว งดี ก รี ดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต จากมหาวิ ท ยาลั ย แห่ ง กรุ ง ปารี ส ฝรั่งเศส...หน้าตาแบบนี้ถ้าไม่บอกก่อนว่าจบถึงปริญญาเอกแถมท�ำงานแล้ว เธอคงไม่มีวันเชื่อแน่ๆ ถ้าบอกว่าเป็นนักร้องมาจากญี่ปุ่นหรือไม่ก็เกาหลียัง จะเหมาะสมเสียยิ่งกว่า “นั่นซิครับด๊อกเตอร์...ไอ้คนใจร้อนอย่างผมก็ชักจะเริ่มอยากผจญภัย ซะแล้วสิ” เขาเพียงแต่ยิ้มอย่างสุภาพ พลันดวงตาสีอ่อนกลับมองไปหยุดอยู่ที่ ชายหนุ ่ ม อี ก คนหนึ่ ง ซึ่ ง นั่ ง ถั ด จากบิ ด าผู ้ เ ป็ น นายทุ น ในการส� ำ รวจครั้ ง นี้ ใบหน้านั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้กระทั่งยามที่ช�ำเลืองมองน้องสาว “อย่าท�ำให้คุณรามต้องล�ำบากใจเลยครับพ่อ ที่เราต้องนั่งรอแบบนี้ก็ คงไม่พ้นต้องตรวจสอบความปลอดภัยก่อนนั่นล่ะ นอนพักสักงีบก่อนเถอะ ครับ...ยัยวิก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรท�ำก็นั่งฟัง I-pod ไปก่อนสิ” น�้ำเสียงนุ่ม นวลหากแต่แฝงความเฉียบขาดอย่างเป็น ผู้น�ำตัวจริงของครอบครัวเอ่ย กลายๆ หลังจากพูดจบเจ้าตัวก็ทิ้งตัวเอนลงบนเก้าอี้ เลื่อนหมวกปีกลงมา ปิดหน้าแล้วงีบหลับเป็นตัวอย่างการฆ่าเวลาไปทันที “โบราณสถานส่วนใหญ่มกั จะมีพวกสารเคมีตกค้างน่ะครับ” เขาอธิบาย เมื่อเห็นคนที่น่าจะคุยรู้เรื่องที่สุดชิงหลับตัดหน้าไปก่อนแล้ว “บางครั้งก็จงใจ ท�ำไว้เพือ่ เป็นกับดัก บางครัง้ ก็เกิดจากการทีเ่ ราปิดห้องไว้นานๆ เป็นร้อยๆ ปี ก็จะมีพวกก๊าซไม่พึงประสงค์ต่างๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเราจึงต้อง รอบคอบและระมัดระวังอย่างที่สุดไงล่ะครับ” วิลาวัณย์ยมิ้ อย่างชืน่ ชมและหลงใหลไอดอลในดวงใจคนใหม่ จะมีไหม เนี่ยในชีวิตที่เธอจะได้เจอะเจอผู้ชายแบบนี้อีก...ราม รติวัตร...ลูกชายคนเดียว
5
6
ของท่านศาสตราจารย์โกวิท รติวัตร เจ้าของฉายา ‘ต�ำนาน’ แห่งวงการ โบราณคดีไทยซึ่งปัจจุบันปลดเกษียณไปแล้ว คนหนุ่มไฟแรงจบมาจากเมือง นอกแบบนี้หากแต่ขึ้นชื่อเรื่องหัวโบราณนัก นอกจากหน้าตาจะดีกว่าดารา บางคนแล้ว ฐานะทางสังคมยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะว่า ‘รติวัตร’ นั้น จัดว่า เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว “แบบพวกค�ำสาปฟาโรห์เหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยไปแล้วพาลนึกอยาก กัดลิ้นตัวเองนัก...วิเอ๊ย...แกจะแสดงความเปิ่นให้ชาวบ้านรู้ท�ำไมเนี่ยว่าเป็น พวกบ้านิยายโรแมนซ์อะไรเทือกนั้น “ครับ...แต่ความจริงค�ำสาปที่ว่ายังพิสูจน์ไม่ได้หรอกนะ” รามว่า “ขืน เราฝืนเข้าไปคงไม่พ้นเจอสภาพไม่มีอากาศ โดนกรดเกลือกัด ก�ำมะถัน หรือ สารหนูก็อาจเป็นไปได้ทั้งนั้น” ใบหน้าคนฟังก้มงุดก่อนจะแดงซ่านไปจนถึงใบหู...นอกจากเขาจะไม่ นึกดูแคลนแล้ว ยังอุตส่าห์อธิบายต่ออย่างใจดีอีกด้วยแน่ะ...จะไนซ์เกินไป แล้วนะ! ทั้งคู่ยังคงพูดคุยกันต่อไป ชายหนุ่มอธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่อีกฝ่าย ไม่เคยรูม้ าก่อนเรือ่ ยๆ อย่างไม่รเู้ บือ่ สลับกับบอกเล่าเกร็ดต�ำนานต่างๆ เป็น ระยะ กระทั่งพ่อของเธอที่ไม่ค่อยสันทัดเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ แบบนี้สักเท่าไร ยังอดสนใจด้วยไม่ได้ ยิ่งพอพูดเฉียดเข้าไปใกล้เรื่องพระเครื่องเท่านั้นแหละ คุณพระบิดาแกเล่นควักองค์พระเลี่ยมทองออกมาสาธยายให้นักส�ำรวจที่ กลายเป็นคนโปรดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ฟัง “นีพ่ ระไพรีพนิ าศเชียวนะด๊อกเตอร์...ของสุดรักผมเลยแหละ” รามมอง ตามที่ฝ่ายนั้นกวัดแกว่ง นิ้วเรียวทั้งสิบยกขึ้นประนมจรดหน้าผากก่อนจะยื่น ไปรองรับมาพิจารณา องค์พระสูงราวหนึ่งนิ้ว ท�ำจากส�ำริดสีด�ำสนิท หากแต่บางแห่งเริ่มขึ้น เขียวเนื่องจากมีน�้ำและอากาศบางส่วนเล็ดลอดเข้าไป สัดส่วนนั้นพอเหมาะ หล่อได้งามนัก นลาฏกว้างได้รูป เรือนองค์กลึงเกลาอยู่ในอิริยาบถขัดสมาธิ โอษฐ์ยกหยักแยกเขี้ยวข่มขวัญศัตรูน้อยๆ ปฏิภางค์เหยียดตรงลงนามส่วน ท้ายว่า ‘ไพรีพินาศ’
รามยิ้มพอใจแล้วส่งคืน เขาไม่ได้นึกอคติอะไรเหล่าเซียนพระเครื่อง นักหรอก เพราะเมื่อสิ่งใดเป็นที่ต้องการมากๆ ก็ย่อมต้องมีราคาค่างวดเป็น ธรรมดา ที่เขาถูกใจมากที่สุดก็คงจะเป็นแววตาที่ฉายไปด้วยความเลื่อมใส และภาคภูมิใจของคุณด�ำรงศักดิ์นั่นต่างหาก ท�ำเอาความรู้สึกด้านลบที่มีกับ นายทุน ผู้นี้ในหลายวันที่ผ่านมามลายหายไปจนหมดสิ้นเมื่อยามที่ได้รู้ว่าใน ความอยากมีอยากได้ครอบครองนั้นยังมีความรู้และความรักซุกซ่อนอยู่ ภายใน ไม่ว่าจะแสดงออกมาให้คนรอบข้างเห็นในรูปใดก็ตาม “ด๊อกเตอร์อยากได้ไว้บูชาบอกได้เลยนะครับ องค์ไหนก็ได้ ขอให้บอก เถอะ” มืออวบอูมตบพุงเบาๆ อย่างใจกว้าง ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ว่าอะไร เสียงเรียกจากคุณเถกิงหัวหน้าทีมงานก็ ดังขึ้นเสียก่อน “ปัดฝุ่นเรียบร้อยแล้วครับ” คนฟังพยักหน้ารับ “ขอบคุณนะครับ...เหนือ่ ยกันมาตลอดหลายวันแล้ว ถ้าใครอยากเบรคก่อนได้เลยครับ” ร่างโปร่งหันไปหากลุ่มคนด้านหลัง ”เชิญ ทุกคนที่สนใจตามผมมาทางนี้ครับ...เราจะได้ส�ำรวจกันจริงๆ ซะที” นายทุนใหญ่รีบลุกเดินตามไปด้วยรอยยิ้มกว้าง วิลาวัณย์สะกิดปลุก พี่ชายที่ท�ำหน้างัวเงีย ...นี่พี่ชายฉันมันหลับหลับสนิทจริงๆ งั้นเรอะ... เรือนผมดัดท�ำสีน�้ำตาลทองสะบัดนิดๆ หงุดหงิดไอ้คุณพี่จิตหลุดนี่ ทีแรกคิดว่ามันแกล้งท�ำ ทีไ่ หนได้...มันเล่นหลับได้หลับดีทกุ สถานการณ์จริงๆ ด้วย แถมตอนลุกจากเก้าอี้เอนเมื่อกี้แอบเห็นปาดน�้ำลาย แล้วยังมาท�ำหน้า งงเอ๋อใส่อีก “หิวข้าว” วายุครางเรียกร้องความสนใจจากน้องสาวเบาๆ แต่รา่ งเล็ก ทีว่ า่ สะบัดตูดหนีเดินไปสมทบกับพ่อเรียบร้อยแล้ว เดือดร้อนเขาต้องเร่งฝีเท้า เดินไปพลางหาวไปพลาง...โชคดีที่มีคนห่วงลูกคณะเลยย้อนมาเดินช้าๆ รั้ง ท้ายเป็นเพื่อน “ขอบคุณส�ำหรับตลอดเวลาทีผ่ า่ นมานะครับ” วายุพดู พลางวางท่าทาง ให้เป็นการเป็นงานมากขึ้น ลอบยิ้มสะใจที่เห็นแววตาวาวของน้องสาวหมาย มาคาดโทษด้วยความอิจฉา
7
8
“ส่วนหนึ่งก็มาจากทุนสนับสนุนด้วยละครับ” ร่างโปร่งถ่อมตัว ไม่ได้รู้ เรื่องเลยว่าก�ำลังเกิดสงครามเย็นระหว่างพี่น้องซึ่งตอนนี้คนเป็นพี่มันแอบ เอาตัวโตๆ เข้ามาเดินกระแซะใกล้เขาเกินความจ�ำเป็นเรียบร้อยแล้ว “อา...นั่นสินะ” ดวงตารียาวสีด�ำสนิทเหม่อมองไล้ไปตามเถาดอก กล้วยไม้ป่าที่เกาะพรายตลอดทางเชื่อมต่อซากโบราณสถาน...ถ้าไม่เพราะ เมื่อเดือนก่อนดาวเทียมธรณีวิทยาของบริษัทในเครือดันตรวจพบรอยเลื่อน แห่งใหม่ที่ปรากฏขึ้นเหนือช่วงแนวน�้ำพุร้อนเชิงเทือกเขาถนนธงชัยในเขตที่ เขาเพิ่งได้สัมปทานเหมืองถ่านหินละก็...เรื่องทั้งหมดคงไม่มาลงเอยที่การ ผจญภัยสไตล์อินเดียน่า โจนส์ แบบนี้แน่... แผ่นดินไหวรุนแรงกว่า ๗.๖ ริกเตอร์ คนต่างชาติตายเป็นเบือ ขณะที่ อี ก ฝั ่ ง ของแนวรอยต่ อ เปลื อ กโลกก� ำ ลั ง จะมี ก ารค้ น พบครั้ ง ส� ำ คั ญ ใน ประวัติศาสตร์ เมื่อกล้องดาวเทียมถ่ายภาพสิ่งก่อสร้างที่ยกตัวขึ้นมาเหนือ พื้นดินภายในชั่วข้ามคืนได้...โครงการขุดเจาะที่ห่างจากนี่ไปไม่ถึงสองไมล์ หยุดพักลงในทันที ด้วยค�ำสั่งจากประธานกรรมการสูงสุด...วายุ พงศ์พฤทธิ์ “นี่มัน...” แววตาของนักโบราณคดีหนุ่มไหวระริก หินปิดทางเข้าถูกน�ำ ออกไปจนพ้นจากสายตา เผยให้เห็นช่องทางเข้าที่คณะส�ำรวจปักดอกไม้ธูป เทียนขออนุญาตและปัดคราบฝุ่นออกจนเห็นลวดลายและข้อความได้ชัด ถนัดถนี่ นี่มันราวกับว่า... “เหมือนกับว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด” ความเห็นจากร่างสูงที่ยืนเคียงข้างตรงกับความคิดของเขานัก ราวกับ กาลเวลาและธรรมชาติไม่ได้ท�ำให้ร่องรอยจารึกเหล่านี้สึกกร่อนไปเลย แม้แต่น้อย ราวกับสิ่งก่อสร้างนี้ไม้ได้ซุกซ่อนอยู่ภายใต้พื้นโลก แต่ถูกซุกซ่อน ไว้ด้วยซอกมุมหนึ่งแห่งกาลเวลาที่ยังคงความขลังตลอดจนความสง่างามไว้ จนครบถ้วน...กระทั่งสีที่ใช้แต้มทาก็ยังแยกแยะได้ว่าเป็นสีสันอะไร “สี...อย่างนั้นเหรอ” รามทวนกับตัวเองเบาๆ “ก่อนอื่นเลยนะครับด๊อกเตอร์...ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าผมรู้สึก เป็นเกียรติอย่างยิง่ ทีไ่ ด้อยูใ่ นทีมครัง้ นี”้ อาจารย์เถกิงเข้ามาเขย่ามือเขาเบาๆ อย่างยินดี
“เรา...ก�ำลังพบอะไรกันเหรอคะ” วิลาวัณย์ถามหวั่นๆ ถึงแม้จะไม่ได้ เรียนด้านศิลปกรรมอย่างลึกซึง้ จนสามารถล่วงรูไ้ ด้ทนั ทีทเี่ ห็น แต่สญ ั ชาตญาณ ลึกๆ ก็ร�่ำร้องบอกเธอว่าก�ำลังยืนอยู่เบื้องหน้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากยิ่งกว่าสิ่งใด ทีเ่ คยพบมาในชีวติ ...การค้นพบอะไรบางสิง่ บางอย่างมันรูส้ กึ แบบนีเ้ องสินะ... เลือดในกายพลุง่ พล่านไปด้วยความตืน่ เต้น หัวใจเต้นรัวด้วยความยินดีอย่าง ไม่ทราบสาเหตุ ไม่สนแม้กระทัง่ ว่าจะเป็นเรือ่ งดีหรือร้าย รูเ้ พียงแค่อย่างเดียว ว่าดีใจเหลือเกินที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ “การใช้สีสันหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะแบบอินเดีย...ตรง นี้...” นิ้วมือชี้ผ่านเหนือหน้าบรรณ์ ล�ำคอที่แห้งผากเมื่อครู่เริ่มกลับมาปกติ อีกครั้ง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏที่เรียวปากบาง “เห็นสัญลักษณ์สีแดงไหมครับ” ทุกร่างพยักหน้ารับ “อะ...โอม ใช่ไหมนั่น” คุณด�ำรงศักดิ์อุทานอย่างตื่นเต้น งานอดิเรก สะสมวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเขาแสดงผลการตกผลึกความรู้ให้เห็นชัดเจนจริงๆ ในวันนี้ “ครับ...เป็นการรวมอักษรเทวนาครีทั้ง ๓ ตัวเข้าด้วยกัน” ชายหนุ่ม อธิบายต่อ แทบสะกดความยินดีไว้ไม่ไหว “ตัวแรก อะ หมายถึงพระวิษณุ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามพระนารายณ์เทพผู้ปกปักษ์รักษา ตัวที่สอง อุ หมายถึงพระพรหมเทพผู้ให้ก�ำเนิด และตัวที่สาม…ตัวสุดท้าย มะ หมายถึง พระศิวะเทพผู้ท�ำลายล้าง รวมทั้งหมดเข้าด้วยกันคือ โอม เป็นสัญลักษณ์ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแทนพระตรีมูรติ เทพเจ้าสูงสุด” “ผมไม่เคยเห็นศาสนสถานทีอ่ ยูใ่ ต้ดนิ เป็นร้อยปีแล้วยังคงความสมบูรณ์ มากขนาดนี้มาก่อน...ดูตรงนั้นรอบๆ สิครับ ศิลปะแบบพราหมณ์-ฮินดูใน ยุคต้น สวยงามซะจน...แล้วยังลวดลายพวกนั้นอีก แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ การกวนเกษียรสมุทร...” ร่างโปร่งยังคงเล่าต่อเนื่องไปไม่หยุดเหมือนกับไม่มี สิ่งใดน่ารื่นรมย์มากไปกว่านี้แล้ว แต่ก็มีคนดึงเขาให้กลับมาสู่โลกแห่งความ เป็นจริงเสียก่อน “วันนี้เราคงต้องพอกันก่อนแล้วละครับ” วายุบอกเนือยๆ พลางยก หน้าปัดนาฬิกาที่แสดงเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ดวงตะวันเริ่มคล้อยต�่ำ ถ้าไม่รีบ กลับที่พักไปจุดไฟคงมืดแล้วก็ยุงชุมแน่
9
รามผละออกมาจากภาพนูนต�่ำอย่างเสียดาย เลี่ยงออกไปสั่งงานจัด เวรยามตามกะต่างๆ และตัวเขาเองก็เป็นกะหนึ่งในนั้น
10
ตกค�่ำ ดาวประจ�ำเมืองส่องแสงเหนือท้องฟ้าได้หลายชั่วโมงแล้ว ร่างโปร่ง ซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มกันหนาวสีเทาเข้ม ในมือถือแก้วกาแฟยกขึ้นดื่มเป็น ระยะ ข้างกองไฟหน้าเต็นท์เพื่อรอผลัดเปลี่ยนเวรยาม ท่ามกลางป่าอันเงียบสงัด ร่างสูงของหนึง่ ในคณะนายทุนค่อยๆ แหวก เต็นท์นอนของตนเองออกมาช้าๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกายนักส�ำรวจหัวหอก ของทีม “คุณเข้าไปพักเถอะ เดี๋ยวกะนี้ผมอยู่เอง” รามมองหน้าคนเสนอตัวอย่างข�ำๆ เมื่อวันก่อนก็บอกแบบนี้ แล้ว กลางวันเป็นไงล่ะ...หลับเป็นตาย...ขืนให้อดนอนอีกคืนอีกมีหวังคนขี้เซาคง ได้สลบไสลไม่ต้องส�ำรวจอะไรกันพอดี “งั้นเปลี่ยนมานั่งเป็นเพื่อนผมแทนแล้วกันนะ” วายุรับเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายรินให้ คิ้วเข้มขมวดครุ่นคิดขณะจิบกาแฟ อึกใหญ่ “ผมไม่เข้าใจ” “เรื่อง?” “พราหมณ์-ฮินดูนี่มันอินเดียใช่ไหม” เมื่อเห็นคนฟังเออออตามเจ้าตัว จึงออกความเห็นต่อ “แล้วมามีศาสนสถานซ่อนอยู่แถวนี้ได้ไงล่ะ” “ในอดีตอินเดียเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มากและในปัจจุบันก็ยังคงเป็นชาติ ที่มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเอเชียอยู่...คุณคงเคยได้ยินเรื่องมหาภารตะนะ ครับ” รามเสริม “ว่ากันว่าดินแดนภารตะทีก่ ล่าวถึงในวรรณกรรมนัน้ กินอาณา บริเวณไพศาล แผ่แสนยานุภาพครอบคลุมไปทั้งเนปาล บังคลาเทศ พม่า และอีกหลายๆ ชาติ กระทั่งไทยเราเองก็พูดได้อย่างเต็มปากเต็มค�ำเลยว่า รากฐานศิลปกรรมของเรานั้นมีต้นก�ำเนิดมาจากอินเดียเกินกว่าครึ่ง...ดังนั้น
จึงไม่แปลกเลยที่สถานที่แบบนี้จะได้รับอิทธิพลจากอินเดียหรือภารตะใน สมัยนั้นด้วยเช่นกัน” ร่างสูงพยายามบันทึกข้อความลงสมอง คนสมัยก่อนนี่น่าทึ่งชะมัด เครื่องมืออ�ำนวยความสะดวกก็ไม่ค่อยจะมียังอุตส่าห์สร้างอะไรอลังการ แบบนี้ได้อีก แถมเดินทางก็โคตรไกลยังจะสู้ถ่อมาสร้างไว้เพื่อประกาศความ ศรัทธา เหนือความคาดหมายเมือ่ คนทีข่ เี้ กียจทีส่ ดุ กลับอยากขยันขึน้ มาเสียได้ “ไปดูกนั ไหม” มือใหญ่คว้าคนข้างกายให้ลกุ ขึน้ ตาม อีกข้างคว้าไฟฉาย เตรียมส�ำรวจเต็มที่ สีหน้าฉายแววอยากรู้อยากเห็นชนิดกู่ไม่กลับ แต่ด้วยความอยากอยู่ต่อตั้งแต่ตอนเย็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมีหรือที่ จะ... “ไม่ปฎิเสธครับ” ดวงจันทร์รูปเคียวสาดแสงนวลตาเคียงคู่กับหมู่ดาว กลิ่นกล้วยไม้ทวี ความหอมยิง่ กว่าตอนกลางวันนัก สองร่างเดินเคียงกันโดยมีแสงไฟฉายน�ำทาง พวกเขารู้สึกไปเองหรือเปล่านะที่ว่าสองหรือสามหนแสงไฟฉายดูระริก วูบวาบเหมือนกับจะดับลงรอมร่อ “สงสัยถ่านคงหมดจริงแฮะ” คนขี้เบื่อบอกเซ็งๆ เมื่อในที่สุดไฟฉาย เจ้ากรรมก็เดี้ยงสนิท จบกัน! การผจญภัยยังไม่ทันได้เริ่มเลยแท้ๆ ร่างโปร่งหัวเราะคิก “ช่วยไม่ได้นี่ครับ...เอาไว้พรุ่งนี้เถอะ” แทบจะถอดใจอยู่แล้วเพราะล�ำพังเพียงแสงจันทร์เลือนรางคงไม่อาจ แสดงภาพใดๆ ให้ชัดเจนได้ แต่ทันใดนั้นอุณหภูมิอากาศก็ลดลงฮวบฮาบ หมอกสีขาวหนาทึบโรยตัวม้วนตลบบดบังทัศนียภาพโดยรอบ มีเพียงสองมือ ที่เกาะเกี่ยวกันไว้เท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าคนข้างกายยังคงไม่หนีหาย ไปไหน “บ้าชะมัด” รามได้ยินเสียงวายุสบถอุบไม่ขาดปาก เขาเองก็หงุดหงิด ไม่นอ้ ยเช่นกันทีม่ องอะไรไม่เห็นแบบนี้ กระทัง่ การหายใจก็ยงั ก่อให้เกิดความ
11
12
น่าร�ำคาญ เสียงหอบของทั้งสองคนถี่หนัก พยายามสูดอากาศเข้าร่างกายให้ ได้มากที่สุดในภาวะที่ยากแก่การผ่อนลม “คุณราม” วายุเอ่ยเบาๆ ใจนึกอยากตะโกนขอความช่วยเหลือเหลือ เกิน ค่ายพักที่ตั้งไว้ก็ห่างออกไปไม่ถึงร้อยหลาด้วยซ�้ำ ถ้าตะโกนมีหรือที่คน งานจะไม่มีใครได้ยินเลยในคืนเงียบสงบแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่จะเอ่ยร้องเรียก เส้นเสียงในล�ำคอเหมือนจะหยุดท�ำงานไปชั่วขณะ เงียบงันกันไปพักหนึ่ง “ดูนั่น!” แสงสีเงินเหลือบทองไหววูบวาบตัดหมอก รามกระตุกแขนรัง้ ให้เพือ่ น ร่วมทางเดินต่อ ใจเริ่มชื้นขึ้นมาหน่อยด้วยคาดหวังว่าอาจเป็นคณะที่ออกมา ตามหา ทั้งคู่กึ่งวิ่งกึ่งจูงกันไป ยิ่งเข้าใกล้แสงนั่นมากเท่าไรก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่า พวกตนไม่ได้ตามแสงไฟฉายมา สักพักหมอกเริม่ จางลงจนพอรวบรวมสายตา ให้หยุดทีจ่ ดุ เดียวได้ พวกเขาจึงได้พบว่าต้นก�ำเนิดแสงสว่างเรืองรองนัน้ เป็นก วางตัวผู้สีเงินสุกสกาว แขนงเขาโง้งงอนสวยงาม ในสมองสัง่ ให้รามหยุดเดิน ทว่าสองเท้ายังคงย่างเก้า ความไม่ไว้วางใจ ไหลหลั่งครอบคลุมสติสัมปชัญญะ กวางนัน่ มันหายนะชัดๆ วายุเตือนตัวเองเป็นสิบรอบได้ ขณะทีถ่ กู ลาก ตามมาเรื่อยๆ ถ้าจ�ำไม่ผดิ เหตุการณ์แบบนีม้ นั คุน้ ๆ นีน่ า ทีพ่ ระรามถูกลวงให้ตายใจ ด้วยกวางแปลง หวังว่ารามคนนี้คงไม่เป็นเหมือนพระรามในรามเกียรติ์ หรอกนะ ชักจะเริ่มตระหนักแน่แก่ใจเองก็คราวนี้ที่พวกตะวันตกมักจะกล่าว เสมอว่ า ตะวั น ออกเป็ น สถานที่ ที่ รู ป ธรรมและนามธรรมเป็ น อั น หนึ่ ง อั น เดียวกัน ไม่สามารถใช้ตรรกะในการตัดสินดินแดนแห่งนี้ได้เลย... กว่าจิตใจจะสงบลงก็พบว่ากวางสีเงินตัวนั้นอันตรธานไปเรียบร้อย แล้ว หมอกหนาเมื่อชั่วโมงก่อนหายไปจนหมดสิ้น ดวงตาทั้งสองคู่หันมาสบ กัน รามมองส�ำรวจไปรอบๆ ถ้าเขาเดาไม่ผดิ ทางทีเ่ ดินผ่านมาคงจะทอดยาว
น�ำพวกเขาเข้ามาสู่ใจกลางโบราณสถาน สระน�้ำสีเขียวมรกตส่องประกาย เรื่อเรืองจ�ำลองสระอโนดาตตามต�ำนานเขาพระสุเมรุ “บัวพวกนี้มันอะไรกัน” วายุยกเท้าขึ้น ดอกบัวหลวงสีขาวและชมพูชู ช่อเต็มบริเวณ...ให้ตายสิ ตกลงว่าเราก�ำลังอยู่ที่ไหนกันแน่! หิ่งห้อยนับพันพราวแสงสว่างจนทั่ว สายลมพัดแผ่วเบาแตะผืนน�้ำ กระเพื่อมเป็นวง คบไฟริมมุขทั้งสี่ติดพรึ่บ สาดแสงโชติช่วง “ลม...ไฟ...” ดวงตาสีอ่อนหรี่ลง ณ ที่ผนังอีกฝั่งมีประติมากรรมนูนสูง ปั้นแต่งเป็น... “พระอาทิตย์!” เจ้าตัวสูดหายใจเฮือกใหญ่ ธาษตรีแห่งการสร้างจักรวาล...อากาศ อัคคี พระอาทิตย์ ...ให้ตาย!! ...ทุกสิ่งถือก�ำเนิดและถูกท�ำลายล้างเพื่อที่จะเกิดใหม่อีกครา... ครืน! แผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงใต้เท้า เรือนกายสูงโปร่งเซวูบเหมือนคน หน้ามืด รอยเลื่อนเริ่มเคลื่อนตัวรุนแรง รามมองเห็นวายุผ่านทางหางตา ฝ่ายนั้นก�ำลังย�่ำแย่ไม่แพ้กัน เสียงทุ้มตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย!” ร่างสูงใหญ่พลัดตกลงไปในสระ วงแขนตะกายน�้ำอย่างสุดก�ำลัง ทั้งที่ เขาว่ายน�้ำได้คล่องแคล่ว แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับไม่เอื้ออ�ำนวยเลยสักนิด การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกท�ำให้เกิดคลื่นสั่นไหวราวกับน�้ำวนที่ฉุดถ่วงให้ จมลง กอบัวกระหวัดรัดรั้งร่างให้อ่อนแรงลงเรื่อยๆ “อึก” “คุณวายุ!” รามเอื้อมมือไขว่คว้า ชายหนุ่มเริ่มส�ำลักน�้ำ ถ้าเขาไม่เบลอจนขาดสติจริงๆ แล้วล่ะก็ คง ไม่มที างกล่อมตัวเองให้เชือ่ สายตาได้แน่ๆ ว่าไอ้สายบัวทัง้ หลายแหล่มนั ก�ำลัง เคลื่อนตัวเข้ามารัด ลากให้เขาจมลงไป “ราม” “อย่าคิดจะปล่อยเชียว!” รามตวาดเมื่อเห็นวายุอ่อนก�ำลังลง
13
วายุพยายามแกะบัวออกสุดชีวิต ขณะเดียวกันก็มองเห็นรามที่ก�ำลัง พยายามช่วยเหลือตน มือเรียวนั้นออกแรงดึงเต็มที่ ดวงตารียาวเบิกกว้าง “ราม! ระวัง!!” พลั่ก หิ น ที่ ป ริ แ ตกออกมาจากซากโบราณสถานร่ ว งกราวใส่ หั ว คนที่ พยายามช่วยเหลือเต็มๆ ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าพร่ามัว สติอันน้อยนิดดับ วูบลง “คุณวายุ” เสียงเรียกนัน้ ราวกับล่องลอยมาจากทีไ่ กลแสนไกล วายุทงิ้ ตัวลงอย่าง ไร้เรีย่ วแรงในห้วงน�ำ้ เย็นเยียบ เฉกเช่นเดียวกับร่างโปร่งทีห่ ลับตาลงช้าๆ เลือด สีแดงสดไหลรินจากศีรษะแล้วแทนที่ทุกสีสันด้วยความมืดอนธกาลอันเป็น นิจนิรันดร์ 14
บทที่ ๒ อคิราห์ เจ็บใจนัก!
พระเจ้ามังรัชจ้องมองศัตรูที่มีชัยเหนือแคว้นตนอย่างแค้นเคือง มัน... เสียรู้มันจนได้ ใครจะคาดคิดว่าแคว้นสิมพลีมาตุภูมิแห่งข้าจะมาพ่ายแก่ไอ้ พวกตะวันตกต่างแดนแบบนี้...ใครจะคาดถึงว่าตัวข้านั้นจะได้ลิ้มรสความ พ่ายแพ้ในเมืองนอนด้วยก�ำลังทหารเพียงสามพัน! มัน...อคิราห์ ราชาแห่งแคว้นอมราวดี บุรุษผู้เป็นดังดวงตะวันที่สาด แสงไปทั่วหล้า...ข้าเพิ่งประจักษ์แจ้งก็ครานี้! “ใยพระพี่ทอดเนตรเยี่ยงนั้นเล่า เชิญท่านประทับนั่งข้างบัลลังก์ของ ข้าให้พระทัยเย็นลงก่อนเถิด” สุรเสียงนั้นยั่วเย้าไม่ปิดบังพลางนั่งลงบนแท่น บัลลังก์แห่งสิมพลีที่เคยเป็นของอีกฝ่าย คนมองได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ความหวังที่จะแผ่ขยาย ดินแดนให้ทั่วหล้าพังทลายลงตั้งแต่พาดพลั้งการลอบสังหารกษัตริย์แคว้น ศัตรู ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่จนเคลื่อนทัพกลับมาโจมตี...ประมาทกองก�ำลัง อันน้อยนิดจนกระทั่งมันวางแผนบุกตีประชิดเมือง ทัพกุญชรอันเลื่องชื่อลือ
15
16
ลั่นถูกท�ำลายลงอย่างราบคาบในเวลาเพียงสองวัน...ช้างศึกทั้งหมดสิ้นชีพ เพราะยาพิษที่ปล่อยมาตามน�้ำ! “เจ้า...ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน�้ำนม...ไร้เกียรติแห่งกษัตริย์ ใช้วิธีการ สกปรก ชั่วช้า!” ขุนนางแคว้นสิมพลีต่างพากันหวาดกลัวจนตัวสั่น กระถดล้อมวงเข้า มาใกล้เมื่อเห็นเจ้าเหนือหัวของตนอดรนทนไม่ได้จนกล่าวบริภาษรุนแรง หากเป็นปกติผู้ที่โดนต่อว่าเช่นนั้นคงหาชีวิตไม่แล้ว แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่เรือ่ งนัน้ เลย เจ้าแผ่นดินของพวกเขาเองนัน่ ละรวมถึงข้าราชบริพาร ทั้งหมดคงต้องตายตกไปตามกันเป็นแน่แท้ “บังอาจ” นายทัพคนสนิทชักดาบออกจากฝัก คมเหล็กส่องประกาย กร้าวเช่นเดียวกับดวงตา ผ้าคลุมสีแดงก�่ำสะบัดพลิ้วยามเมื่อเจ้าตัวขยับกาย “ช้าก่อน...ดามพ์” องค์อคิราห์ขยับยกเรียวโอษฐ์เหยียดยิ้ม ทว่ากลับ ไม่กอ่ ให้เกิดความรูส้ กึ น่ายินดีเลยแม้แต่นอ้ ย ตรงข้าม กลับเรียกเลือดในกาย ผูพ้ บเห็นให้เย็นเฉียบไปทัง้ ตัว ด้วยผูค้ นต่างแคว้นต่างไม่มใี ครคาดถึงว่ากษัตริย์ ผู้ได้ชื่อว่ารูปงามสง่าราวกับองค์เทพอวตารผู้นี้จักเป็น ผู้น�ำพาความรู้สึกอัน น่าอึดอัดและหวาดหวั่นจับขั้วหัวใจ “พระพี่มังรัชคงวิตกมากกระมัง บางที สิ่งเหล่านี้อาจท�ำให้พระองค์คิดได้” ขาดค�ำ...ทหารสี่นายก็ช่วยกันแบกหีบขนาดใหญ่เข้ามาในท้องพระโรง หีบนั่นสร้างความไม่สบายใจให้อย่างน่าประหลาด แค่เห็นก็พลันนึกอยาก จะเบือนหน้าหนีเสียแล้ว “เปิด” กลิ่นคาวคลื่นเหียนเหม็นคลุ้งไปจนทั่ว ขุนนางแคว้นสิมพลีกว่าครึ่ง เป็นลมไปเรียบร้อยแล้ว บางรายกลัวจัดจนปล่อยเรีย่ ราดขาสัน่ พับ่ ๆ พระเจ้า มังรัชเซวูบ พระเนตรเบิกกว้าง “เจ้า...” หัวใจนับพันดวงถูกควักมารวมไว้ข้างใน ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็น ของพวกชนชั้นสูงในรั้ววังรวมถึงข้ารับใช้ด้วยแน่ๆ เลือดสีเข้มข้นคลั่กปนเป กันจนดูขยะแขยง หัวใจบางดวงยังคงกระตุกเต้นราวกับเพิ่งถูกพรากออกมา จากเจ้าของร่างเมื่อไม่นานมานี้ ปิ่นปักผมลายดอกงิ้วอันเป็นเครื่องประดับ เยี่ยงราชนิกุลชั้นสูงสุดของสิมพลีวางปนอยู่ในนั้น...ชายา...และลูกๆ ข้า
เข่าทั้งสองข้างทรุดลงสิ้นแรง ไม่สนแม้สายตาผู้ใดจักจับจ้อง หมดสิ้น กัน...ราชวงศ์แห่งสิมพลีต้องมาสิ้นสุดลงที่ข้าล่ะหรือ “จ�ำได้หรือไม่...พระพี่เองที่ฉีกสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีอันยาวนาน ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษของเราทั้งสองแคว้นทิ้งเอง...จ�ำได้หรือไม่...พระพี่เป็น ผู้ ฝากค�ำกล่าวมากับนักฆ่าตอนส่งมาสังหารข้าเองว่าหากจักตัดบัวต้องอย่า ให้เหลือเยื่อใย” วรองค์สูงสง่าประทับยืน ปฏิภางค์เหยียดตั้งตรงองอาจ ดวง เนตรเขียวครามเจือเทาราวกับห้วงมหาสมุทรอันแสนล�้ำลึก เกศาสีทองซีด จางเหลือบประกายแสงดวงสุริยันเฉกเช่นสายเลือดแห่งราชสกุลอารยันอัน สูงส่ง “ข้าเข้าใจทุกสิ่งอย่างแจ่มแจ้ง...ไม่ต้องกังวลพระทัยไป นับแต่นี้แคว้น สิมพลีรวมถึงประเทศราชทั้งหมดจักตกอยู่ภายใต้แคว้นอมราวดีแห่งข้า... ส่วนพระพี่ ก็เชิญเสด็จสู่สวรรคาลัยเถิด...ถ้าหากที่นั่นยังคงเปิดรับพระองค์” “อคิราห์!!!” คมดาบตวัดลงแทบในเสี้ยวนาที ทิ้งเงาตัดผ่านอากาศก่อนจะตาม ด้ ว ยเสี ย งโหยหวนของเหล่ า ขุ น นางนั บ ร้ อ ยที่ ร ้ อ งขอชี วิ ต ...ไร้ เ มตตา...ไร้ ปรานี...โลหิตสีเข้มสาดกระจายทั่วโถงท้องพระโรง เสียงมีดดาบตัดผ่านเนื้อ 17 กระดูก และเส้นเอ็น ราวกับมหกรรมการสังหารหมู่เพื่อเซ่นสรวงบูชายัญ “นับจากนี้ไป จะมีเพียงเมืองสิมพลี ประเทศราชแห่งแคว้นอมราวดี เพียงเท่านั้น...จงทราบโดยทั่วกัน” “น้อมรับพระบัญชาพะย่ะค่ะ!” ทหารทุกนายพร้อมเพรียงกันถวายพระพร ดวงตาจ้องมองเจ้าแผ่นดิน ที่ประทับเหนือบัลลังก์ซึ่งถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงชาดอย่างชื่นชม ...สง่างามหาใดเปรียบ...ประดุจดังองค์เทพ...ที่มีทั้งภาคสว่างและมืด กลมกลืนอยู่ภายใต้ร่างกายเดียวกัน “คิก คิก...ข้าว่าท่านนี้ต้องเป็นเทพบุตรจ�ำแลงมาแน่เลยละ” เสียงใส เจื้อยแจ้วเอ่ยลงความเห็นเป็นการเป็นงานหลังจากที่หยุดหัวเราะเขินอาย แล้ว
“แต่ข้าว่าน่าจะเป็นคนธรรพ์มากกว่า...เห็นว่าพามาจากแถวชายป่ามิ ใช่รึ” อีกฝ่ายให้เหตุผล ดวงตาฉายแววเคลิ้มฝัน เสียงอะไรน่ะ... “ยังไงก็เถอะ เขาก็รูปงามอยู่ดีนั่นล่ะ” บุคคลที่สามสรุป ก่อนที่หญิง สาวทั้งสามคนจะร่วมกันหัวเราะคิกคักชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของ คนที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอย่างชอบใจ พูดถึงเราสินะ... ...ปวดหัวชะมัด... ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในสมองคืออาการปวดหนึบที่หัวจนท�ำให้ เข้าเริ่มลืมตาตื่น ริมฝีปากบางขยับเม้มเข้าหากันอย่างเหนื่อยอ่อน คิ้วเรียว ทั้งคู่ขมวดมุ่นกับภาพเลือนรางที่เขายังคงจับไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ ที่นี่ที่ไหน “น�้ำ” “ดูสิๆ รู้สึกตัวแล้วละ” ดวงตาคู่หนึ่งที่ช�ำเลืองมาสังเกตเห็นก่อนจะ 18 ผละตัวออกจากวงสนทนาที่ยังคงค้างมาดูอาการของคนป่วยที่เริ่มได้สติ “ท่านอย่าเพิ่งลุกนะเจ้าคะ” ‘ท่าน’ คราวนี้คิ้วของเขายิ่งขมวดเข้าหากันหนักกว่าเก่า ใครกันนะที่ มันยังสู้อุตส่าห์ใช้สรรพนามเรียกคนอื่นแบบนี้อยู่อีก มือเรียวค่อยๆ ขยับเคลื่อนไปแตะศีรษะ ณ จุดที่จ�ำได้ว่าโดนหินตก ใส่จนเลือดโชก...ง่ะ นี่สมองมันยังอยู่ครบมั้ยเนี่ย... จับๆ กดๆ สักพักจึงได้รวู้ า่ บาดแผลทีว่ า่ มันอันตรธานหายไปเรียบร้อย แล้ว ทีย่ งั มีอยูก่ ค็ วามรูส้ กึ ปวดนีแ่ หละทีป่ วดมากผิดปกติจนไม่เหมือนหัวแตก เฉยๆ แต่ทงั้ ปวดทัง้ มึนเหมือนกับนัง่ รถไฟเหาะตีลงั กามาสักสิบรอบรวดยังไง ยังงั้น “มุกดา เจ้ามาช่วยข้าพยุงเขาให้คอ่ ยๆ ลุก แล้วก็ทบั ทิม เจ้าไปกราบทูล องค์เหนือหัวว่าเขารู้สึกตัวแล้ว” ทัง้ สองนางรีบท�ำตามทีน่ างก�ำนัลผูพ้ บี่ อก รามรูส้ กึ ได้ถงึ มือนุม่ นิม่ ของ หญิงสาวทัง้ สองคนทีค่ อ่ ยๆ ประคองให้เขาลุก ตอนนีด้ เู หมือนว่าดวงตากลับ
มาท�ำงานตามปกติอีกครั้ง เขามองไปรอบๆ ห้องที่ตนเองอยู่ มือข้างหนึ่ง พยายามจะประคองภาชนะใส่ของเหลวที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ก่อนส�ำลักพรวด “แค่กๆ นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!” ประสาทสัมผัสทั้งหมดตื่นตัวทันที ภาพ เบื้องหน้าคมชัดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว “ท่านต้องทานโอสถทีท่ า่ นหมอเตรียมไว้ให้นะเจ้าคะ” น�ำ้ เสียงอ่อนโยน ทว่าแฝงความเฉียบขาดตามแบบฉบับของพี่สาวคนโตเอ่ยท�ำเอาชายหนุ่ม ปฏิเสธไม่ลง ทัง้ ทีใ่ จจริงอยากจะเทไอ้นำ้� นีท่ งิ้ ให้รแู้ ล้วรูร้ อด...ยาบ้าอะไรสีเขียวๆ ดูหนืดๆ ข้นๆ น่ากลัวฉิบ... ภาชนะใส่โอสถถูกเขากลั้วดูของภายในนั้นอย่างไม่แน่ใจ รามค่อยๆ ฝืนเอายาที่ว่าลงคอช้าๆ ขณะเดียวกันก็พิจารณาสภาพ โดยรอบ ห้องทีเ่ ขาอยูจ่ ดั ว่ากว้างขวางและโอ่โถงอย่างไม่นา่ เชือ่ ...สงสัยคนทีช่ ว่ ย เขามาคงเป็นมหาเศรษฐีชัวร์...สภาพในห้องยิ่งอลังการไม่แพ้กัน ฟูกบุเตียง กว้างถักทอจากผ้าไหมเนื้อนุ่ม เรียบลื่นยามสัมผัสราวระรอกน�้ำ โครงเตียง สีทองดัดโค้งฝังทับทิมเม็ดเป้งท�ำเอาคนมองลอบกลืนเอายาลงไปเอื๊อกๆ 19 อย่างลืมตัว ผ้าม่านดิ้นทองทิ้งพู่ลงระเสาทั้งสี่มุม เลยออกไปเป็นทางออกสู่ ระเบียง อีกฝั่งหนึ่งเป็นคล้ายๆ กับห้องท�ำงานและห้องรับรอง เฟอร์นิเจอร์ ทั้งหมดดูเหมือนว่าจะท�ำจากไม้สักทองแถมยังประดับประดาชนิดที่ว่าคณะ ลิเกยังชิดซ้าย “ที่นี่บ้านคุณเหรอครับ” เจ้าตัวเอ่ยออกไปซื่อๆ “บ้านข้า?” หญิงสาวท�ำหน้าเอ๋อแหลกในสายตาของราม...ก็ท�ำไมล่ะ แค่ถามว่าบ้านเธอหรือเปล่าท�ำไมต้องงงเต็กขนาดนี้ มุกดาหันไปหาพี่สาวที่พยักพเยิดเป็นเชิงว่าตอบไปเถอะ “เอ่อ...ไม่ใช่ หรอกเจ้าค่ะ ทีน่ เี่ ป็นเขตพระราชวัง...ตอนนีท้ า่ นก�ำลังอยูใ่ นต�ำหนักภาณุมาศ... ว่าแต่ทา่ นใช้ภาษาแปลกมากเลยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมาจากแคว้นใดเจ้าคะ” ประโยคหลังมุกดาเก็บอาการไว้ไม่อยู่เลยหลุดออกปากถามไปตามความ เคยชิน ต�ำหนัก? วัง? นี่มันชักจะละครเกินไปมั้ย...เท่าที่คิดออก ใกล้สุดก็ นครพิงค์แต่ที่เจ้าหล่อนว่ามันท่าจะไม่ใช่แล้วนะ
ยิ่งคิดร่างสูงยิ่งมีแต่ค�ำถามมากมายผุดพรายขึ้นในหัว ใคร? ท�ำอะไร? ที่ไหน? ดูเหมือนโครงสร้างประโยคค�ำถามพื้นฐานจะโผล่พรืดจนนึกไม่ออก รามคิดทบทวนความทรงจ�ำช้าๆ ล�ำดับเหตุการณ์ที่ละขั้นตอน ในใจ ลึกๆ รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ทุกสิ่งมันก็ดูเป็นความจริงเสียเหลือ เกิน “แล้วที่นี่...คือที่ไหนเหรอครับ” ร่างสูงโปร่งกลืนน�้ำลายหนืดลงคอ ในใจเต้นตุบ “ถามได้...ก็แคว้นอมราวดีไงเล่าท่าน ท่าทางท่านจะมาจากแดนไกล จริงๆ เสียด้วยถึงได้ไม่รู้ว่าแคว้นเรายิ่งใหญ่เพียงใด” “มุกดา” ดวงตาคู่สวยเหลียวมองที่พี่สาวเอ่ยปราม “ขอโทษจ้ะพี่เพทาย” อมราวดี....ชื่อนี้เขาเคยรู้จักนี่นา แต่ที่ไหนล่ะ ที่ไหนกันนะ... 20 เจ้าตัวทบทวนค้นลงไปในความคิดอีกครั้ง “บ้าน่า!” เหงื่อชื้นไหลซึม...ไม่มีทาง ไม่มีทาง...มันเป็นไปไม่ได้ นี่มัน บ้าไปกันใหญ่แล้ว นางก�ำนัลสองพี่น้องมองหน้ากันอย่างสงสัย “มีอะไรผิดไปหรือเจ้าคะ” “อมราวดี” ภาพทั้งหมดปะติดปะต่อเข้าหากัน มือเรียวยาวยกขึน้ ลูบผนังสีชมพูอฐิ ทีท่ ำ� จากก้อนศิลาแผ่วเบา ลวดลาย เทพจ�ำแลงทีล่ งมายังผืนพิภพดูชดช้อยประหนึง่ มีชวี ติ ‘ด้วยเดชานุภาพ แคว้น อมราวดี ศักราชที่ ๕๔๒ แห่งราชสกุลอารยันอันยิ่งยง สิมพลีล่มสลายลง ณ ที่นี้ บัดนี้มหาอุปราชแห่งข้าฯ นามรณฤทธิ์ ขึ้นรั้งหัวเมืองสิมพลี เถลิงนา มรณฤทธิเดชาชาญ อันที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่....(ข้อความเลือน)....... เมื่อยามนั้น ข้าฯ.......(ข้อความเลือน)............นิรันดร์ ลงนามแห่งอาทิตยจักรา อารยัน’ ชายหนุ่มหลับตาลงก่อนกลั้นใจเอ่ย “ใช่ที่รบชนะสิมพลีแล้วสร้าง ศาสนสถานไว้ตรงแนวเชิงเขารึเปล่า”
“แคว้นเรามีชัยเหนือสิมพลีนั้นมิผิด หากแต่ศาสนสถานอะไรนั่นเจ้า หมายถึงสิ่งใดกัน...ข้าเพียงแต่สั่งการให้สร้างแท่นพิธีบวงสรวงเทพเจ้าเพียง เท่านั้น และก็ยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดีด้วย” เสียงทุ้มเย็นทว่าหนักแน่น ตอบกลับ รามจ้องมองไปตามเจ้าของค�ำพูดนั้น บุรุษเรือนกายสูงสง่าสวมชุด แตกต่างไปจากเหล่าผู้คนรอบข้าง บรรยากาศของเขานั้นชวนให้นึกถึงความ สูงส่งราวกับภูผา เจิดจรัสราวกับเกล็ดหิมะยามต้องแสงตะวัน “นายเป็นใคร” ทัง้ ทีร่ วู้ า่ ไม่คอ่ ยสุภาพนักหากแต่คำ� พูดนัน้ หลุดออกไป ก่อนที่เขาจะยั้งตัวเองไว้ได้ทัน ทว่าคนถูกถามยังคงเรียบนิ่งก่อนจะยกยิ้ม น้อยๆ ทีม่ มุ ปากเสมือนหนึง่ ได้คน้ พบว่าบุคคลทีต่ นได้มานัน้ ดูจะมีอะไรมาก กว่าที่คิด “ข้ามีนามว่าอคิราห์ ราชาแห่งแคว้นอมราวดี”
21
บทที่ ๓ อาวรณ์ 22
“ราม...ช่วยด้วย...ช่วยฉันที”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังสะท้อนไปทั่วคุ้งน�้ำเวิ้งว้าง น�้ำเสียงนั้น แผ่วเบาราวจะจางหายไปกับอากาศ ด๊อกเตอร์หนุม่ ยืนมองหาทีม่ าของเสียงนัน้ อย่างร้อนรน สักพักเรียวขา ทั้งสองจึงก้าวลงจากตลิ่งค่อยลัดเลาะไปตามแนวน�้ำตื้น “คุณวายุ! คุณอยู่ไหน!” ...หนาว... รามคิดขณะใช้มอื แหวกกอต้นอ้อออกจากกัน หมอกทึบทึมยังคงโรยตัว บดบังทัศนียภาพเช่นเดียวกับวันนั้น “อย่ามาตรงนี้...ราม” เฮือก!! ร่างโปร่งสะดุง้ ตืน่ สุดตัว เหงือ่ ชืน้ ไหลซึมลงมาตามไรผม ดวงตาสีนำ�้ ตาล ฉายแววรู้สึกไม่ดีกับความฝันเมื่อครู่ เพราะคนที่เขาตามหาดูจะทรมานมาก
เหลือเกิน เพียงแค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปจนถึงขั้วหัวใจ ถึงตรงนี้ ร่างกายกลับสั่นเทาขึ้นมาดื้อๆ วงแขนทั้งสองยกขึ้นมากอดตัวเอาไว้ น�้ำตา ที่ไม่รู้ว่าไหลหลั่งลงมาตอนไหนค่อยๆ ซึมลงมาช้าๆ ...คุณอยู่ที่ไหน... ผมขอโทษที่ช่วยคุณเอาไว้ไม่ได้ “ฮึก” เจ้าตัวพยายามกดกลั้นเสียง ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบเจอเรื่องที่เกิน กว่าใจจะรับไหวแบบนี้ ไม่อยากยอมรับว่าเขาเป็นใคร อยูท่ ไี่ หน หรือท�ำอะไร แม้แต่เพื่อนร่วมชะตากรรมเพียงคนเดียวยังไขว่คว้าเอาไว้ไม่ได้ ฟุ่บ ความเคลื่อนไหวจากข้างเตียงท�ำให้รามหันไปมองรวดเร็ว แต่ก็ท�ำได้ เพียงเท่านั้นก่อนที่สัมผัสเรียบลื่นจากอีกฝ่ายจะแตะลงมาซับอาการสะอื้น อย่างแผ่วเบา “อย่าร้องไห้” 23 !!! ริมฝีปากคู่นั้นประกบลงมาอีกครั้ง บดเบียดกลีบปากบางอย่างใจเย็น ก่อนจะค่อยๆ ลิ้มชิมรสความอ่อนนุ่มด้วยปลายลิ้น วงแขนแข็งแกร่งโอบ กระชับ ดวงตาสีนำ�้ ตาลเบิกกว้างด้วยความตกใจ เบลอ หัวหมุน ปะติดปะต่อ เรื่องราวไม่ถูกว่ามันเป็นไงมาไงกันแน่ ท�ำไมคนอย่างเขาถึงเข้ามาอยู่ในที่นี่ ได้ ก็ในเมื่อ... “นะ...อึก...” นาทีที่คนถูกกระท�ำรวบรวมสติอันน้อยนิดเพื่อจะเอ่ยถามกลับเปิด โอกาสให้อกี ฝ่ายสอดลิน้ เข้ามาในโพรงปากอันหอมหวาน สัมผัสทีเ่ คยสบายๆ ไม่ร้อนรนกลับเร่งขึ้นราวจะช่วงชิงลมหายใจ รามรู้สึกเหมือนความสามารถ ในการคุมตัวเองอ่อนลง ปลายลิ้นร้อนของอีกฝ่ายนั้นทั้งรุกเร่ง ปลุกปั่น อีก ทั้งยั่วเย้าเสียจนทีแรกเขาที่พยายามจะผลักกลับเป็นฝ่ายตอบรับจูบนั้นไป เสียได้ “...นาย...”
รามมองคนทีจ่ บู เขาอย่างคาดโทษ หัวใจเจ้ากรรมเต้นระรัวเสียจนเกรง ว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน ใบหน้างามสง่าจ้องมองมาที่เขานิ่งๆ ที่น่าหมั่นไส้ท่ีสุด คงไม่พ้นดวงตาสีเขียวครามคู่นั้นที่ฉายแววอาลัยอาวรณ์ในรสสัมผัสเมื่อครู่ อย่างไม่ปิดบัง “อคิราห์...เรียกข้าว่าอคิราห์” “อะ...” ไม่ว่าเปล่าวงแขนที่เกาะเกี่ยวเอาไว้ดึงรั้งร่างเข้ามาใกล้และเริ่มจุมพิต ลงอีกครั้ง ลิ้นอุ่นจัดแทรกลงมายิ่งกว่าเก่า มือลูบไล้แผ่นหลังบอบบางอย่าง หลงใหล...ตั้งแต่วันนั้น วันที่ราวกับว่าเวลาของเขาได้หยุดลง รามขยับตัวอย่างล�ำบาก อึดอัดกับอ้อมกอดของคนตรงหน้า ไม่เข้าใจ ว่าท�ำไมเรื่องแบบนี้ถึงได้เกิดขึ้น ...ท�ำเอางงไปหมด “นายท�ำบ้าอะไร” เจ้าตัวถามอย่างเอาเรื่องทั้งหอบหายใจ ผิวแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อ ทั้ง 24 ร้อน ทั้งอาย “แล้วเจ้าเศร้าเรื่องอะไร” ฝ่ามืออบอุ่นลูบปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้า ทัดที่ด้านข้าง ก่อนจะเลื่อนไล้มาที่แก้มจนจรดริมฝีปาก ไอร้อนผะผ่าวจากลมหายใจเลื่อนเข้ามาคลอเคลียที่ใบหน้า ดวงตาที่ราวกับท้องทะเลคู่นั้นก�ำลังลากให้เขาจมดิ่งลึกลงไป ไม่มีทาง! “เข้ามาอยู่ในห้องตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ” ร่างโปร่งฉุกคิดขึ้นได้จึง เปลี่ยนเรื่องเอาเสียอย่างนั้น ยังไงคนตรงหน้าเขาก็เป็นกษัตริย์ อย่าไปยั่วให้ โกรธท่าจะดีที่สุดแล้ว คนถูกถามเงียบ ความจริงแล้วเขาก็เข้ามาตั้งแต่ต้นแล้ว เรียวโอษฐ์ ยิ้มบางๆ นึกถึงเรื่องเมื่อหัวค�่ำ
“ข้าฝากนี่ให้น้องสาวเจ้าด้วยนะดามพ์...แล้วก็หมั่นไปเยี่ยมนางบ้างสิ ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนั้นคงเหงาน่าดู” สุรเสียงเรียบเรื่อยตรัสไถ่ถามสาร ทุกข์ของนายทัพคนสนิทอย่างเคยชิน ทว่ากลับสร้างความคาดหวังให้เหล่า ขุนนางมากมายนัก เหล่าข้าราชบริพารต่างรู้กันถ้วนทั่วว่าองค์อคิราห์เติบโต มากับคนสนิททั้งสามคน และสองในสามคนนั้นก็ได้แก่ท่านแม่ทัพดามพ์ และน้องสาว...ท่านหญิงศศิกันทรา ตั้งแต่พระองค์ขึ้นครองราชย์ก็ทรงรับสนมตามราชประเพณีบ้าง ทว่า มิแต่งตั้งผู้ใดขึ้นด�ำรงต�ำแหน่งราชินีคู่บุญบารมีเสียที จนบัดนี้ก็พระชนมายุ ๓๐ ชันษาแล้ว ยังไร้ซึ่งโอรสธิดาสืบทอดราชบัลลังก์ จะมีก็เพียงท่านหญิง ศศิกันทรานี่ละที่ดูจะเหมาะสมที่สุด ประดุจดังสุริยันต้องเคียงคู่กับจันทรา บนฟากฟ้าอันสูงส่ง “พะยะค่ะ” ดามพ์รับผ้าทอลายดอกงิ้วตามแบบนิยมของชาวเมือง สิมพลีมาไว้ เห็นพระองค์สั่งให้นางก�ำนัลออกไปหมู่บ้านช่างทอผ้าตอนที่ไป สิมพลีครานั้นเขาก็สงสัยอยู่ว่าด้วยเหตุอันใด ที่แท้ก็หาของฝากให้ศศินี่เอง “รายนั้นหากทราบว่าท่านยังไม่ลืมคิดถึงนางคงดีใจ” 25 “จะลืมได้เช่นไรกัน ก่อนไปแม่ตัวดีย�้ำข้านักว่าห้ามลืมของฝาก” รอย ยิ้มอันอ่อนโยนแต้มพรายบนวงพักตร์ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรนเมื่อได้ รับรู้เรื่องที่เกี่ยวกับคนคนหนึ่ง “พระองค์...พระองค์เพคะ” ทับทิมถลันพรวดเข้ามาหมอบกราบอย่างลืมกิริยา นางก�ำนัลสาว เหนื่อยหอบทั้งยังพยายามจะทูลความรายงาน “หายใจหายคอก่อนก็ได้ทับทิม” เพทายผู้เป็นพี่สาวเดินมาตามหลัง น้อมกายลง “ขอพระราชทานอภัยเพคะ” “ขอ...พระราชทานอภัยเพคะ” ทับทิมรีบพูดตามบ้างเมื่อเห็นพี่สาว จ้องตาเขม็ง ซวยแล้ว...หัวหลุดจากบ่าแน่ๆ “ช่างเถอะ...มีอะไรก็รีบว่ามา” “ทะ...ท่าน...ร...ราม เพคะ”
“เขาเป็นอะไร” ร่างสูงสง่าเครียดขึ้นทันใด เรียวคิ้วหนาขมวดเข้าหา กันอย่างรวดเร็ว พยายามเร่งนางก�ำนัลที่ก�ำลังชักเย่อกับอาการเหนื่อยหอบ ของตนเองให้พูดออกมาโดยกระจ่างชัด “ท่านราม...” “เขาหมดสติไปอีกแล้วเพคะ” เพทายต่อจนจบ เพราะไม่เช่นนั้นงานนี้ เธอและน้องสาวคงโดนบริภาษไปด้วยเป็นแน่ “พระองค์” ขาดค�ำ กษัตริย์แห่งแคว้นอมราวดีก็ลิ่วกลับต�ำหนักโดยเร็ว ไม่สนแม้ สายตาของเหล่าขุนนางที่เพิ่งร่วมประชุมราชกิจกับพระองค์เมื่อครู่ว่าจะเป็น เช่นไร...ในใจคิดถึงเพียงคนคนนั้น...น�้ำเสียงอ่อนโยนที่คุยกับเขาเล็กๆ น้อยๆ เล่าเรือ่ งราวไม่กคี่ ำ� ดวงตาสีนำ�้ ตาลสุกใสทีล่ มื ขึน้ มามองเขาเพียงชัว่ ยามก่อน ที่เขาจะผละออกมา... หลับลงไปอีกแล้วหรือ...ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ 26 ตั้งแต่พาตัวมาในวันนั้น กว่าจะตื่นก็เดือนเศษเข้าไปแล้ว ถ้าหลับตา ลงหนนี้จะกินเวลาไปนานแค่ไหนกัน “ถวายพระพรเพคะ” มุกดาเมื่อเห็นเจ้าเหนือหัวก็รีบท�ำความเคารพ พลางกระถดถอยออกจากเตียงของราชอาคันตุกะ ชั่วครู่ที่นางจ้องมอง เจ้า เหนือหัวดูจะเป็นห่วงคนต่างถิน่ ผูน้ เี้ ป็นอย่างมาก “เมือ่ ครูท่ า่ นหมอมาดูอาการ แล้วเพคะ...ท่านหมอฝากกราบทูลพระองค์ว่าครานี้ท่านรามแค่หลับไป เพราะอ่อนเพลียเท่านั้นเพคะ” เรือนองค์ทรุดลงประทับข้างๆ คนที่ก�ำลังหลับใหลแล้วถอนหายใจ แผ่วเบา “ออกไปก่อน” ความเงียบงันโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ นัยน์เนตรเพ่ง พิศเจ้าของร่างที่ไม่ได้สติในยามนี้ เส้นผมสีน�้ำตาลอ่อนที่เมื่อพบกันคราแรก ในป่านั้นบัดนี้ยาวลงมาประบ่า ผิวกายขาวเนียนละเอียดดูนุ่มนวลเรื่อเรือง ราวกับไข่มุก
“ท่านมอบเขาให้ข้ามิใช่หรือ...ถ้าเช่นนั้นก็ได้โปรด...” นิ้วเรียวยาวชะงัก เหนือริมฝีปากอมชมพูสักพักจึงแตะลงช้าๆ “ท่านก�ำลังหาสิ่งใด องค์ราชา” กวางสีเงินเหลือบทองพิสุทธิ์ส่อง ประกายสว่างไสวก�ำลังพูดกับเขาอยู่...ไม่สิ มันไม่ได้พูดด้วยซ�้ำ มันเพียงแค่ ยืนนิ่งๆ จ้องมองมายังจุดที่เขายืนอย่างไม่กลัวเกรงผิดวิสัยกวางก็เท่านั้น แล้วเสียงนั่นล่ะ...น�้ำเสียงที่ราวกับร้อยเรียงมาจากผืนน�้ำ เรี่ยเรื่อยราว กับสายลมที่พัดผ่านแผ่นฟ้า รู้สึกอบอุ่น อิ่มเอมในใจดังเสวยทิพย์ ดอกงิ้วสีสดเข้มปลิดปลิวลงมาจากต้นและลอยพลัดตรลบฟุ้งกลับขึ้น ไปในอากาศ ดวงเนตรสีเขียวครามเรืองรองแฝงประกายทรงอ�ำนาจไม่หวั่น เกรงแม้รู้แก่ใจแล้วว่าตนก�ำลังเผชิญสิ่งใด “ท่านมอบสิ่งเหล่านี้ให้เราสินะ” กลิน่ คาวคลืน่ เหียนของเลือดและกลิน่ ไอแห่งความตายโชยคลุง้ พวยพุง่ ทันทีที่เสียงนั้นกล่าวจบ พื้นดินเบื้องล่างแดงฉานระอุไปด้วยโลหิตชื้นแฉะที่ 27 มากเกินจะซึมซับ อคิราห์ขยับกายออกมาจากต�ำแหน่งเดิมเล็กน้อย ยกชาย ชุดคลุมทรงศึกที่ยังคงอยู่บนวรองค์สูงสง่า คราบเค้าแห่งสงครามปกคลุม บรรยากาศรายรอบ “แล้วท่านปรารถนาสิ่งใด” “เรามิได้มาเพื่อแสวงหา” คราบเลือดบนพื้นหายไป ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง กวางสีเงินเหยาะย่าง ราชาผู้สูงศักดิ์วิ่งตามไปอย่างไร้จุดหมาย ลึกเข้าไป เรื่อยๆ ในเขตป่าทึบทึม แผ่นดินไหววูบเบาๆ อยู่ใต้เท้าท�ำให้เขาซวนเซไป บ้างบางครั้ง แสงสว่างซัดสาดเหนือริมน�้ำแล้วทุกสิ่งก็หยุดลง สิ่งนั้นหายไป แล้วทิง้ ไว้เพียงบางอย่างทีท่ ำ� ให้เขาลืมหายใจ ไม่อาจลืมเลือนช่วงเวลานัน้ ได้ ไปตลอดชั่วชีวิต... เรียวโอษฐ์สนั่ เทาราวกับมิอาจเชือ่ ได้วา่ สิง่ ทีป่ รากฏเบือ้ งหน้าคือเรือ่ งจริง “งดงาม...เหลือเกิน”
บทที่ ๔ วันที่แปรเปลี่ยนไป 28
ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้วละก็ วันนีค้ งเป็นวันทีเ่ ขาตืน่ ขึ้นมาพร้อมกับความหงุดหงิดมากยิ่งกว่าทุกวันในชีวิต แน่ๆ แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านเข้ามาในห้องให้ความอบอุน่ แต่ไอ้คน ข้างๆ มันชักจะท�ำให้เขาร้อนจนเกินความจ�ำเป็นแล้ว ดวงตาคู่สวยจ้องมองอีกคนที่ท�ำตาแป๋วตะแคงข้างหันหน้าเข้ามาหา เขาอย่างเอือมสุดๆ ได้ขา่ วว่ามันเป็นราชา...แล้วเฮียท�ำตัวแบบนีเ้ นีย่ นะ เพือ่ ?? รามถอนใจเนือยๆ แล้วเมื่อไรเจ้านี่มันจะลุก! “ปล่อย” เจ้าตัวรูส้ กึ เหมือนพูดคนเดียวไม่มผี ดิ เพราะนอกจากคนทีท่ ำ� มาเนียน นอนข้างเขาจะไม่ขยับตัวไปไหนแล้ว ยังกระชับวงแขนรัง้ เขาเข้าไปแนบชิดยิง่ กว่าเก่า “เฮ้ย...ปล่อย!” คนตัวเล็กกว่าเริ่มโวย มีอย่างที่ไหนโดนผู้ชายด้วยกัน นอนกอดแบบนี้วะเนี่ย ถึงสมัยที่เขาเรียนอยู่ฝรั่งเศสจะเคยเห็นพวกจิ๊กกาโล่
จนรู้สึกชินๆ บ้างก็เถอะ แถมจะว่าไปเขาก็ไม่ได้รังเกียจรักร่วมเพศหรอกนะ ขึ้นชื่อว่าความรักยังไงก็สวยงาม...แต่ให้เจอกับตัวแบบถึงเนื้อตัวแบบนี้ไม่เอา ได้มั้ย? คนยิ่งนุ่งแค่โสร่งอยู่ด้วย...ว่าไปอย่างนั้นทั้งที่ความจริงทั้งสองคนก็ แต่งกายตามแบบสมัยนิยมทั่วไปตามยุค นั่นก็คือพันแพรสีพื้น ผืนยาวไว้ รอบเอว และมีไหมดิ้นทองดิ้นเงินทิ้งพู่ลงมาสมฐานะชนชั้นสูง ร่างบางดิน้ ขลุก ยังไงก็จะเอาตัวให้หลุดจากสถานการณ์อนั ชวนกระอัก กระอ่วนใจนี้ให้ได้ “พอได้แล้วราม” เสียงทุ้มปราม ดวงตาสีครามทีว่ าวขึน้ เล็กน้อยเหมือนก�ำลังดุเด็กซนๆ ท�ำเอาคนมอง เดือด ดิ้นหนักกว่าเก่าเข้าท�ำนองสั่งซ้ายไปขวาเสียอย่างนั้น...เรื่องอะไรต้อง ฟังล่ะ ถ้าหยุดก็โง่อะดิ ใครจะยอมให้แกกอดฟรีๆ แบบนี้กัน... “ราม” คราวนีน้ ำ�้ เสียงนัน้ ฟังดูเหลืออดเมือ่ อีกฝ่ายไม่หยุดดิน้ ท่อนแขน แข็งแกร่งทีเ่ คยโอบประคองร่างโปร่งไว้นงิ่ ๆ เลือ่ นไถลไปตามผิวเรียบลืน่ ราว กับต้องการเพิ่มพื้นที่สัมผัส รามสะดุง้ ขนลุกซู่ รูส้ กึ เสียววาบกับสัมผัสแบบนัน้ ...เขาเองก็เป็นผูช้ าย 29 เหมือนกัน พอเห็นอาการแบบนัน้ ท�ำไมจะดูไม่ออกล่ะ...มือเรียวพยายามผลัก คนตัวสูงให้ออกห่าง แต่เหมือนยิง่ เอาน�ำ้ มันราดลงกองไฟ เมือ่ แววตาตรงหน้า ดูจะฉาบด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล “ข้า...บอก...ให้...หยุดดิ้น” ภาพอคิราห์ที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ของตนเองไว้อย่างยากเย็นท�ำให้รามแข็งเป็นท่อนไม้ทนั ที ดวงตาคูส่ วยหลับปี๋ เมื่อรู้สึกถึงของร้อน? ที่ทิ่มต้นขาเขาอยู่ ว้าก! ตายแน่ๆๆ หมดกันด๊อกเตอร์หนุ่มสุดหล่อดีกรีนักเรียนนอก... เจ้าตัวคิดอย่างจนปัญญา ทางฝั่งอคิราห์ เช้าแล้วอย่างนั้นหรือ...ท�ำไมเขาถึงไม่ทันรู้ตัวเลยนะว่ายามรุ่งอรุณมา เยือนแล้ว หรือบางทีการที่ได้อยู่กับคนตรงหน้าอาจท�ำให้เขาหลงใหลจนลืม เลือนทุกสิ่ง กระทั่งกาลเวลา
เมื่อคืนก่อน หลังจากที่รามหายหวาดกลัวความฝันของตนเองแล้ว รายนัน้ ก็หลับลงไปอีกครัง้ ...ช่างไม่เห็นใจกันบ้างเลย เขาท�ำได้เพียงแค่เฝ้ามอง ร่างนั้นหลับใหลไปอย่างเงียบงัน ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขยับตัวด้วยเกรงว่าอีก ฝ่ายอาจตกใจตื่นขึ้นมาอีก ‘วายุ’ สิ่งที่ท�ำให้เขารู้สึกติดใจมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นชื่อนั้น เพราะ ตอนที่ก�ำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน รามเอ่ยเรียกชื่อนี้ไม่หยุด...คนคนนั้น เป็นใครกันแน่ มีอิทธิพลแค่ไหน มีความเกี่ยวข้องอะไรกับร่างบอบบางนี้... รามเป็นของเขาไม่ใช่หรือ ตัง้ แต่วนั ทีท่ วยเทพประสาทพร ประทานให้เขาเป็น รางวัล ดวงเนตรราวท้องทะเลยังคงจรดจ้องใบหน้าอันงดงามอยู่อย่างนั้น คิว้ เรียวพาดเฉียงอย่างพอเหมาะ เว้นระยะกับแพขนตาสีเข้มทีท่ อดตัวทาบทับ บนพวงแก้ม จมูกโด่งทิ้งดิ่งลงมารับกับริมฝีปากบางที่เขาช่วงชิงลิ้มรสไปแล้ว หลายคราเมื่อเจ้าของร่างยังคงอยู่ในห้วงนิทราเช่นนี้ “เจ้าตื่นขึ้นมาเถอะ...ลืมตาขึ้นมาดูผลงานของเจ้าที่ท�ำไว้กับใจข้าทั้ง 30 ที่นอนนิ่งอยู่อย่างนี้ว่าเป็นเช่นไร” ฝ่ามืออบอุน่ ประคองแก้มเนียนใส ปลายนิว้ ลูบไล้เหมือนกับพร�ำ่ เพ้อ... นี่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้มากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร...เขา...อคิราห์ กษัตริย์ แห่งแคว้นอมราวดีอันเกรียงไกร บุรุษสตรีมากมายต่างพยายามเรียกร้องขอ ความสนใจจากเขากันทัง้ นัน้ แต่ไม่ใช่กบั คนคนนี.้ ..เพียงแค่เห็นหน้า นิง่ เงียบ ไม่ได้ทำ� อะไรทัง้ นัน้ ร่างโปร่งก็ดจู ะดึงดูดเอาความสนใจไปจากเขาจนหมดสิน้ สะกดสายตาและความรู้สึกของเขาเอาไว้ไม่ให้กระดิกกระเดี้ยไปไหนได้ คิ้วเรียวขมวดมุ่นลงพลางบิดตัวเล็กน้อย คนที่เขาจ้องมองดูหงุดหงิด กับการตื่นอยู่ สักพักดวงตาคู่สวยที่เขาคิดถึงก็ค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ ฉายแวว แปลกใจชั่วครู่จึงแปรเปลี่ยนมาเป็นขัดเคืองและจ้องเขาอย่างเอาเรื่องแทน “................” เขาไม่รู้เลยว่ารามก�ำลังพูดอะไรอยู่ ที่ส�ำคัญตั้งแต่คนที่เขา ให้ความสนใจรู้สึกตัว เขาก็ไม่มีสมาธิจะฟังอะไรแล้ว...เพราะอะไรน่ะหรือ...ก็ ริมฝีปากบางเมื่อยามที่ขยับพูดกับเขานั่นอย่างไรล่ะ มันท�ำเอาความรู้สึก อยากจุมพิตพลุ่งพล่านขึ้นมาท่วมท้น
ร่างบางดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน กลิ่นน�้ำดอกไม้อ่อนๆ เช่นเดียว กันกับทีก่ ษัตริยใ์ ช้ลอยเรีย่ ต้องนาสิก กลิน่ ทีร่ า่ งสูงไม่เคยรูส้ กึ อะไรเลยเมือ่ ยาม ที่นางก�ำนัลเตรียมให้เขาอาบ แต่เมื่อมันมาอยู่กับคนตรงหน้ากลับท�ำให้รู้สึก แทบคลัง่ ยิง่ ผิวเรียบลืน่ เปลือยเปล่าเสียดสีกบั แผ่นอกกว้างยิง่ ท�ำให้เขาอยาก จะครอบครองคนตรงหน้าเสียเดี๋ยวนี้ “ราม” แม้ว่าเสียงทุ้มจะปรามไปหลายหน แต่อีกฝ่ายก็ยังดิ้นรนอยู่ อย่างนั้น เจ้าตัวกัดฟันกรอด จะหยุดความรู้สึกแบบนี้เอาไว้ได้หรือ ในเมื่อ ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา...เขาไม่เคยต้องสะกดกลั้น! ร่างสูงจูบลงบนเรียวปากนุม่ นวล คลึงเคล้าอย่างร้อนรุม่ ริมฝีปากหนา ที่บดลงมารุนแรงบังคับให้รามต้องเปิดปากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ลิ้นร้อนนั้น จาบจ้วงจนท�ำเอาฝ่ายที่นิ่งอึ้งไปเมื่อก่อนหน้าเริ่มจะหาทางหนีอีกครั้ง แนว ฟันขาวสะอาดถูกตวัดไล้ครูดไปตามพื้นผิวท�ำเอาหายใจติดขัด...คนบ้าอะไร จูบเก่งชะมัด! รามยังคงหลับตามิดไม่กล้าลืมขึ้นมามองเหตุการณ์ที่ตนเป็น ผู้ถูก กระท�ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเลี่ยงๆ จะเอาตัวออกห่าง สัมผัสจากกระพุ้งแก้ม 31 และพื้ น ผิ ว ภายในทุ ก ตารางนิ้ ว มั น ซ่ า นขึ้ น มามากมายอย่ า งบอกไม่ ถู ก ใบหน้าร้อนผะผ่าว รูส้ กึ ได้ถงึ ลมหายใจหอบถีข่ องตนเองและลมหายใจหนักๆ จากอีกคน ไอ้บ้านั่นมันทั้งดูดทั้งดึงลิ้นเขา ทั้งจ้วงเข้ามาในปากเขาอย่างเมามัน... ไม่ไหว...จะยอมให้เป็นแบบนี้น่ะเหรอ!! “อึก...โอ๊ย...” นาทีที่รามขยับตัวสุดแรงนั้นริมฝีปากบางก็กระทบเข้ากับฟันของอีก ฝ่ายทันที รสเค็มคาวของเลือดทีพ่ ลุง่ ขึน้ มาท�ำเอาอคิราห์ชะงักรีบถอนริมฝีปาก ของตนออก เพราะรสเลือดที่สัม ผัสได้เมื่อครู่มันไม่ใช่ของเขา หากแต่เป็น ร่างเล็กนี้ต่างหาก “ราม! โดนข้างในหรือไม่” สายตาทั้งคู่มองมาอย่างเป็นห่วงกับสัมผัส จากปลายนิ้วค่อยๆ แตะๆ ที่ปลายคาง “ข้าเผลอกัดเจ้าอย่างนั้นหรือ” รามเงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้เจ้าตัวคิดไปแบบนั้นก็ดีแล้ว ขืนรู้ว่าเขา ขัดขืน ดีไม่ดีอาจมีโมโหขึ้นมาก็ได้...รามพยายามปั้นสีหน้าให้แลดูเศร้าที่สุด
ในชีวิต...จะเสียศักดิ์ศรี มารยาอะไรก็ช่าง เอาให้รอดจากตรงนี้ไปก่อนค่อย ว่ากัน “อืม...เจ็บจัง” หน้าตาเศร้าๆ ซึมๆ ท�ำให้ความรู้สึกผิดเข้ามาแทนที่ “ใครอยู่ข้างนอก ไปตามหมอมาที!!” “เพคะ...อ๊ะ” เจ๊เพทายนางก�ำนัลเจ้าเดิมโผล่หน้าขึ้นมาทันใจจนราม อดสงสัยไม่ได้ว่าท่าทางเจ๊คงนั่งเฝ้าหน้าห้อง...แต่ท�ำไมเจ๊ถึงหน้าแดงแปร๊ด อย่างนั้นล่ะ “ท�ำไมยังไม่รีบไปอีกล่ะ” อคิราห์ย�้ำข้ารับใช้ที่เริ่มได้สติกระวีกระวาด จะออกไป แต่น้องสาวอีกคนกลับสวนทางเข้ามาเสียก่อน “มีอะไรหรือเพคะ” คราวนี้เสียงใสของมุกดาเอ่ยถาม ดวงตาคู่สวย เบิกกว้างด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ว้าย! เอ่อ...หม่อมฉัน...ป...ไป แล้วเพคะ” ไม่วา่ เปล่าแขนเรียวยังลาก เอาร่างพี่สาวที่ดูทื่อๆ ตามออกไปด้วย คิ้วเรียวขมวดมุ่น...พวกสาวๆ เป็นอะไรของเขากันเนี่ย....เฮ้ย!!! 32 ตาทั้งคู่เบิกกว้างอย่างสุดกู่เมื่อหันกลับมามองสภาพของตัวเองกับ บุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นถึงราชาแห่งแคว้น ทั้งเขาทั้งอคิราห์เปลือยท่อนบนอยู่...นั่นมันก็เรื่องปกติ ก็คนมันเพิ่ง ตืน่ นอนนีน่ า แต่ไอ้สภาพหลุดลุย่ ของผ้านุง่ นีม่ นั อะไรกันล่ะ...มันหลุดไปตอน ไหน? ผืน ผ้าสีเทาเข้มของร่างสูงมันไถลเลื่อนลงแถวๆ เชิงกรานชนิดที่ว่า เห็นไปแล้วนิดๆ ท�ำเอาเขาเหวอจนพูดไม่ออก ฝ่ามือแข็งแกร่งวางอยู่บนต้น ขาเขาเหมือนกับพยายามจะปลด? ที่ส�ำคัญ...ทีแรกมันกอดเขาข้างๆ ไม่ใช่ เรอะ แล้วไหงมันกลายเป็นเขาถูกคร่อมทับไปได้เนี่ย....แล้วไอ้นั่นอะ ช่วยท�ำ อะไรกับมันสักทีเหอะ ขอร้อง “เอ่อ....” รามไม่สามารถบรรยายอะไรออกไปได้มากกว่านี้จริงๆ ไหน จะสองสาวที่ป่านนี้คงเอาเรื่องของเขาไปเม้าท์กันสนุกปากแล้วละ อคิราห์อมยิ้มนิดๆ นึกข�ำร่างเล็กที่เมื่อครู่ยังคงอึ้งอยู่ แต่พอหลังจาก ทีโ่ ดนนางก�ำนัลของเขาเห็นเท่านัน้ ละ อายจนหน้าแดงไปเรียบร้อยแล้ว สักพัก สีหน้านั้นเปลี่ยนไปเป็นกระอักกระอ่วนจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
“ไม่ต้องอายไปหรอก...มันเป็นเรื่องปกติน่ะ เจ้าไม่ได้ผิดอะไร” โหย...ไม่ได้ช่วยปลอบเลยครับพี่ รามมองคนตรงหน้าด้วยอาการเซ็ง สุดฤทธิใ์ นความด้าน พยายามจะกดผูช้ ายด้วยกันแล้วบอกว่ามันเป็นเรือ่ งปกติ เนีย่ นะ...ขอเหอะ ถึงแม้เขาจะรูด้ วี า่ เรือ่ งเล่นเพือ่ นอะไรแบบนีม้ นั มีมานมนาน แต่ไอ้สาเหตุที่ท�ำให้สองสาวนั่นเขินจัดมันคนละประเด็นกับไอ้เรื่องที่ราชา บ้านี่ก�ำลังพยายามปลอบใจเขาอยู่เลยนะ “ไม่ต้องกลัวนะ ข้าไม่ท�ำอะไรเจ้าแล้ว” อคิราห์ยันกายลุกขึ้นปล่อยให้ ร่างเล็กที่อยู่ข้างใต้ขยับตัวอย่างอิสระอีกครั้ง ดวงเนตรนั้นฉายแววอ่อนโยน ลงจนท�ำให้คนมองใจชืน้ ขึน้ มาบ้าง...อย่างน้อยเขาก็รอดตัวไป “อีกสักพักหมอ คงมา วันนี้ถ้าเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วก็ออกไปเดินเล่นในสวนได้นะ แต่ห้ามออกไป นอกเขตต�ำหนักในเด็ดขาด แล้วก็ห้ามคิดหนีด้วย ไม่เช่นนั้นโดนดีแน่” จะลุกทั้งทียังไม่วายขู่ทับ รามมองตามร่างที่เดินไปห้องน�้ำ ทั้งโกรธ ทั้งฉุนเป็นที่สุด ...ช่วยตัวเองไปเลย...บ้าชะมัด!! “คิกๆๆ” มุกดาหัวเราะคิกคักอย่างออกอาการหนัก ถ้าเจ้าหล่อนเป็น หญิงสาวในยุคปัจจุบนั คงไม่พน้ ถูกจัดอยูใ่ นกลุม่ มนุษย์กรุป๊ เลือดวาย “พีเ่ พทาย ละก็...ท�ำเป็นตะลึงไปได้” ฝ่ายถูกพาดพิงค้อนควับ ถลึงตามองน้องสาวตัวดีที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟัง เท่าไรในวันนี.้ ..ก็แหม เธอเองอยูใ่ นรัว้ วังมานาน เหตุใดจะไม่รวู้ า่ การเล่นเพือ่ น นั้นเป็นที่นิยมทั่วไปในหมู่ชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี แต่นั่นก็เพียง แค่รแู้ ละเคยได้ยนิ มาเท่านัน้ ใครจะไปคาดคิดว่าจะได้มาเห็นจะจะคาตาเยีย่ งนี้ ขอดูอีกทีได้มั้ย...เอ๊ย...ไม่ใช่!! “หัวเราะอะไรหรือมุกดา เล่าให้ขา้ ฟังบ้างสิวา่ พีเ่ พทายท�ำอะไร” ทับทิม ที่อยากมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ถามขึ้น ท�ำเอาคนกลางที่ถูกถามถึงหน้าแดง หนักกว่าเก่า สงสัยไปตามท่านหมอหลวงมาหนนี้คงต้องขอให้รักษาพี่สาว คนโตด้วยอีกคน
33
“ก็พี่เพทายน่ะสิ...” ว่าแล้วน้องคนสุดท้องอย่างเธอก็จัดการฌาปนกิจ พี่สาวตัวเองจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน ใครจะคาดว่าท่านพี่คนเก่ง จริงจัง เด็ดขาด จะถึงกับไปต่อไม่เป็นเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของเจ้าเหนือหัวกับราช อาคันตุกะที่ทรงเฝ้าดูแลห่วงใยมานานร่วมเดือน...ครานี้ค�ำตอบทั้งหมดก็ เป็นที่กระจ่างชัดในใจว่าเป็นเพราะเหตุอันใดพระองค์จึงทรงพาท่านราม มายังนครหลวงแห่งแคว้นอมราวดี “ท่านรามก็รูปงามหาใดเปรียบนี่นา” ทับทิมสรุปขรึมๆ ด้วยท่าทาง อย่างที่จะบอกว่า ‘ข้าคิดไว้แล้ว’ “นั่นสิๆ อย่างที่ข้าบอกตั้งแต่แรกไงว่าต้องเป็นเทพบุตรมาเกิดแน่ๆ เลยละ” สองสาวหัวเราะร่วนลงลูกคอจนเพทายรู้สึกหมั่นไส้ อะไรเนี่ย...ทีเรื่อง แบบนี้ท�ำไมน้องสาวทั้งสองของเธอถึงได้รู้ดีกันนักนะ “พอเลย...ไม่ต้องนินทาเจ้านายเลยพวกเจ้า” “แหม พี่เพทายละก็ พวกข้านินทาที่ไหนกัน เขาเรียกว่าเล่าสู่กันฟัง 34 ต่างหากล่ะ หรือพี่เองก็ไม่คิดว่าท่านรามน่ะรูปงามยิ่งกว่าสตรีบางคน...ไม่สิ หลายคนเลยล่ะ” คนถูกถามถึงกับจุกเมื่อเจอดอกนี้เข้าไป ภาพเมื่อเช้าเวียนเข้ามาใน หัวอีกครั้ง หน้าเนียนขึ้นสีชมพูจัดจนแทบจะแผ่ไอร้อนออกมาโดยรอบ “เห็นมั้ย...ฮ่าๆ” มุกดายิ้มอย่างยินดีในชัยชนะที่ตนคาดการณ์ “ทีนี้ละ พี่ทับทิม...ท่านรามก็จะได้อยู่กับพวกเรานานๆ” “เป็นอาหารตาให้เราอีกนานใช่หรือไม่” ทับทิมส�ำทับก่อนส่งยิ้มให้ น้องสาวด้วยความรูแ้ กว สามพีน่ อ้ งเดินหยอกล้อกันออกไปนอกต�ำหนักด้วย ใจที่เบิกบานกว่าช่วงเวลาหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านมามากมายนัก
บทที่ ๕ ตรีภพ (๑) รามนัง่ เล่นอยูใ่ ต้ตน้ สาละต้นใหญ่ ดอกสีชมพูสดเข้ม 35 ดอกหนึ่งหมุนไปมาอยู่ในมือเรียวบาง เขาอยู่ที่นี่มาก็นานพอสมควรแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหาทางกลับได้ เรือ่ งจะกลับไปทีโ่ บราณสถานจุดเดิมทีจ่ ากมานัน้ ยิง่ ไม่ตอ้ งพูดถึง เพราะจาก ทีล่ องตรองดูคร่าวๆ สิมพลีคงจะอยูใ่ นต�ำแหน่งเดียวกับพม่าในปัจจุบนั และ อมราวดีน่าจะอยู่ประมาณอัคราของอินเดียในยุคปัจจุบันเช่นกัน รู้สึกคุ้นๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าทิวทัศน์ประมาณนี้ ยิง่ คิดก็ยงิ่ อับจนปัญญา เขาคงต้อง เริ่มหาหนทางและรวบรวมข้อมูลต่างๆ อย่างจริงจังเสียที ช่วงแรกที่มาอยู่นี่ อคิราห์แทบไม่ปล่อยให้ไปไหน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาเดินไปได้ทั่วทั้งเขต ราชฐาน และที่ที่รามหมายตาไว้ก็คือหออักษร ดวงตาออกสีน�้ำตาลวาวจ้องมองไปยังผืนน�้ำ เขายังคงฝันถึงคุณวายุ และทุกครัง้ ในความฝันมักจะเป็นคุง้ น�ำ้ ทีเ่ ดิมนัน่ กับดอกบัวเรียงรายมหาศาล ชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีทะเลสาบใดที่ถูกบัวยึดครองได้มากมายขนาดนั้น หรือบางทีอาจเป็นเพราะคืนที่เกิดแผ่นดินไหวจนเป็นเหตุให้เขาต้องมาติด
อยู่ที่นี่ในสระนั่นเต็มไปด้วยบัวก็เป็นได้ จิตส�ำนึกของเขาจึงติดภาพคุณวายุ กับดอกบัวเสมอ ถ้าอีกฝ่ายเพียงแค่จมน�้ำล่ะ ถ้าคุณวายุไม่ได้ย้อนอดีตมาแบบเรา แค่ คิดรามก็เย็นยะเยือก อย่างนั้นจะไม่หมายความว่าเขาเสียชีวิตแล้วเหรอ... บ้าน่า! รามสั่นหัวไล่สมมุติฐาน ไม่ๆ คุณวายุอยู่ที่นี่ ใช่แน่...เขาจะ ต้องอยู่ในช่วงกาลเวลาเดียวกับเรา ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องมีชีวิตรอด อยู่ที่ไหน สักแห่งด้วยความ... รามไม่อยากจะคิดต่อว่า ‘ทรมาน’ เพราะทุกครัง้ มันเป็นเช่นนัน้ เหมือน กับตัวตนของคนในฝันนั้นแหลกสลายและก่อขึ้นใหม่ซ�้ำแล้วซ�้ำเล่า จริงอยู่ที่ เขาไม่อาจมองเห็นคุณวายุโดยตรงได้เลยสักครัง้ แต่บางครัง้ ก็ราวกับว่าความ คิดของคนคนนั้นจะไหลเข้ามาในสมองเขาเองโดยอัตโนมัติ “ผมจะช่วยคุณให้ได้” ความรู้ของเขามันต้องมีประโยชน์สักทางละน่า จริงอยู่ที่กาลเวลาแห่งนี้เก่าแก่เกินกว่าจะมีบันทึกไว้โดยละเอียด แต่ถ้าลอง 36 อ่านหนังสือต่างๆ ที่พอหามาได้ดู เขาก็พอประยุกต์ใช้ได้กับความเชื่อของ ศาสนาพรามณ์-ฮินดูอย่างที่เคยร�่ำเรียนมา อาจจะมีต�ำนานบางช่วงที่คลาด เคลื่อนไปบ้าง ตามที่เคยคุยกับอคิราห์ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจค�ำว่าศาสนาเลย ด้วยซ�้ำ ความเชื่อต�ำนานเทพก็จัดว่ายังอยู่ในแบบที่เรียกว่าพราหมณ์-ฮินดู ตอนที่ยังไม่ได้ก่อตัวเป็นศาสนา ซึ่งก็คือพระนารายณ์ พระศิวะ พระพรหม ล้วนๆ ต�ำนานเทพช่วงพระอินทร์ตอ่ ไปจากนัน้ ไม่ตอ้ งเก็บเอามาคิดให้เปลือง สมอง...เพราะยังไม่มี การที่พวกเขาหายตัวมาจากโบราณสถานมันน่าจะ เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมบางอย่างของลัทธิความเชื่อนี้ ทว่าเขายังหาทางยืนยัน แน่ชัดไม่ได้ว่ามันเป็นไปได้แน่ละหรือ ก็ในเมื่อพิธีกรรมตามศาสนาก็ยังคง สืบเนื่องมาถึงสังคมปัจจุบัน และเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา พิธีกรรมเหล่านั้นก็ ไม่ได้มีเรื่องผิดแปลกอันใดนอกจากส่งผลต่อจิตใจ ดั ง นั้ น จึ ง เป็ น ไปไม่ได้เลยในความคิด ของเขาที่เ วทมนตร์จะมีจริง โบราณคดีไม่ใช่สิ่งอภินิหารที่จับต้องไม่ได้ แต่เป็นสมบัติของคนรุ่นหลังต่าง หากล่ะ ให้ได้ศึกษาถึงรากเหง้าของพวกเราแต่ละเผ่าพันธุ์
คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะที่วงแขนแข็งแกร่งค่อยๆ สวมกอดจากทางด้าน หลังรั้งให้ร่างโปร่งเอนซบกับแผ่นอกกว้าง บุรุษผู้เป็นราชาซบพักตร์ลงบนบ่า ก่อนจะสูดกลิน่ ทีเ่ ขาเสพติดไปแล้วในยามนี้ นาสิกโด่งฉวยเอาความเรียบลืน่ จากแก้มใสๆ ของอีกฝ่ายเบาๆ “เจ้าหมกมุ่นเรื่องอันใดนัก ดูสิ...หน้าเคร่งไปหมด” ว่าพลางยกสะโพก คนฟังนั่งบนตักท�ำเอารามออกอาการฝืนนิดๆ รามผ่อนลมหายใจลงเมือ่ รูส้ กึ ว่าดิน้ ไปก็เปล่าประโยชน์ เจ็บใจชะมัด... ผู้ชายด้วยกันแต่ไหงเราแพ้แรงเสียได้ “เรือ่ ยเปือ่ ยน่ะ” เขากล่าว ในช่วงหลังเจ้าตัวรูส้ กึ ชักจะหมดสามัญส�ำนึก ในการใช้ราชาศัพท์กับร่างสูงที่สวมกอดเขาจากเบื้องหลัง ท�ำไมน่ะเหรอ...ก็ เพราะแบบนี้ไงล่ะ เขาทั้งห้ามทั้งปรามสารพัด บางครั้งหลุดด่าเสียจนรู้สึกว่า พูดเพราะๆ กับหมอนีไ่ ม่ได้แล้ว ในเมือ่ มันลืมตัวไปแล้ว ก็พดู มันแบบธรรมดา เสียเลย “ฉันยังหาวิธีช่วยเพื่อนไม่ได้” 37 วงพักตร์ขงึ้ ยามได้ยนิ ร่างในอ้อมแขนกล่าว เพือ่ นทีว่ า่ คงจะเป็นใครอืน่ ไม่ได้นอกจากวายุ ที่รามเฝ้าคะนึงหาอยู่ทุกเวลา...ที่อยู่กับเขา แต่ละทิวา...แต่ละราตรี...ที่เขาอยู่ใกล้ชิด นับวันความรู้สึกเขามีแต่จะ เพิม่ พูนจนเอ่อล้น ความต้องการร่างงดงามนีย้ งั คงมีอยูด่ งั พระเพลิงเผาผลาญ หากแต่เพราะเริ่มผูกพันจึงอยากรอคอยให้อีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจ แล้วเหตุ ใดเล่า รามจึงยังคิดถึงแต่เพียงบุรุษอื่น ดวงเนตรของผู้ที่ได้ชื่อว่าองอาจประหนึ่งดวงสุริยันหลุบลง จรดริม ฝีปากที่ไหล่บางแผ่วเบา “อย่า...” รามขืน แค่สัมผัสเบาๆ ก็ท�ำเขาเริ่มปั่นป่วน ความร้อนผ่าวก�ำซาบ จากจุดที่ถูกจุมพิตลามเลียไปทั่วบ่า “ไม่ไปท�ำงานเหรอ” “ข้าอยากอยู่กับเจ้า”
อคิราห์ดึงให้รามเอนตัวเข้ามาสู่อ้อมกอดมากกว่าเดิม นิ้วเรียวดึงคาง ขึ้นรับสัมผัสอันหนักหน่วงที่บดขยี้ริมฝีปากอย่างกระหายหิว รามรู้ดีว่าผู้ชาย น่ะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ยอมอดทดอะไรได้นานนักหรอก แต่จะให้ท�ำไงได้ ในเมื่อ ฝ่ายถูกกระท�ำคงไม่แคล้วเขาแน่ ดังนั้นหัวเด็ดตีนขาดยังไงไม่มีวันเห็นใจ ปลายลิ้นปลุกเร้าทุกพื้น ผิว ทั้งดูดดึงพัวพันลิ้นของร่างบอบบางจน ดวงตาคู่งามรื้นฉ�่ำ หัวหมุนกับความรู้สึกที่เหมือนกับจะหลุดลอย มือเหนี่ยว ไว้บนบ่ากว้างราวจะหมดแรง “อืม” ร่างสูงประคองเอวบางไว้แน่น กดล�ำตัวบดเบียดแนบชิด อาภรณ์ที่ กั้นระหว่างทั้งคู่ยิ่งเร่งอารมณ์ให้ถาโถม ผิวเนื้อเสียดสีกันผ่านผืนผ้าร้อนราว กับไฟ “ราม” รามตาโตเมือ่ เห็นสีหน้าผูก้ ระท�ำ...ซวยแล้ว...ร่างโปร่งได้แต่กลืนน�ำ้ ลาย อึกๆ เมื่อเห็นแววตาแบบคุ้นเคยปรากฏชัด 38 “อ่า...พอ...” เจ้าตัวพูดไม่เป็นภาษา ทั้งดิ้นทั้งผลักแต่อ้อมกอดนั้นยังคงรัดแน่น ฝ่ามือร้อนลูบไล้เหนือแผ่นอกลงไปถึงหน้าท้องแบนเรียบ จูบเม้มเลื่อนไล่มา ยังกกหูและซอกคอขาวสะอาด “ปล่อย” รามดิ้นสุดแรง แล้ว... พลั่ก! นี่เขาถูกกดลงกับพื้นหญ้า! “ให้ข้านะ” ประโยคขอร้อง แต่ฟังยังไงมันก็ประโยคค�ำสั่งชัดๆ สาบเสื้อถูกแยกออกจากกันเผยให้เห็น ผิวเนื้อเนียนละเอียด ร่างสูง แลบลิน้ เลียริมฝีปากเบาๆ ดวงตาสีครามเป็นประกาย จับจ้องเหยือ่ ทีอ่ ยูใ่ ต้รา่ ง “....อา” ลิ้นร้อนแตะเลียยอดอกสีชมพู ริมฝีปากขบดูดอย่างเมามันจนราม แทบคลั่ง สติหลุดลอย ปลายอุ่นจัดลากไล้วนลงมาถึงแอ่งสะดือหนักหน่วง
จนเขาชาหนึบปวดลามไปทั่วแก่นกาย ฝืนความรู้สึกไว้จนท�ำนบน�้ำตาไหล ทะลัก “...ราม” เสียงนั้นราวกับมนต์สะกดที่ลากให้เขาจมลงสู่ท้องทะเลลึก “ขอพระราชทานอภัย” เสี ย งนายมหาดเล็ก เอ่ยทูลความแก่องค์เ หนือหัวเหมือนกับเสียง ระฆังช่วยชีวิต รามค่อยๆ พลิกตัวขึ้นในขณะที่อคิราห์คลายอ้อมกอดอย่าง หงุดหงิด “ขบวนราชทูตทีม่ รี บั สัง่ ให้ไปยังหิมาลันได้กลับมาแล้วพะย่ะค่ะ ขณะนี้ ท่านทูตก�ำลังรับการต้อนรับกลับบ้านจากเหล่าขุนนางอยู่ ท่านแม่ทัพจึงให้ กระหม่อมมาทูลเชิญพระองค์พะย่ะค่ะ” อาการหงุดหงิดที่หายวับท�ำให้รามถึงกับงงว่าเรื่องอะไรกันนะที่ท�ำให้ คนเอาใจยากเปลี่ยนอารมณ์ได้ทันควันขนาดนี้ แถมยังฉุดมือให้เขาลุกตาม พร้อมกลับอมยิ้มอย่างพอใจเหลือประมาณ 39 “รชตiiกลับมาคราวนี้คงมีอะไรหลายอย่างมารายงานข้า” เสียงทุ้ม อธิบาย “เจ้าไปด้วยกันเถอะ ข้าอยากให้เจ้าได้เจอกับสหายทีข่ า้ ไว้ใจมากทีส่ ดุ ไม่แพ้ดามพ์เลยทีเดียว” รชตดูจะตรงกับที่รามจินตนาการเอาไว้ระหว่างทางที่เดินมาไม่ผิด เพี้ยน บุรุษร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดยาวกรอมเท้าสีน�้ำเงินเข้ม เส้นผมสีด�ำยาว จรดกลางหลังเสยปัดไปด้านหลัง ดวงตาสีเดียวกันฉายแววแห่งความสุขุม และเยือกเย็นตามแบบฉบับขุนนางชั้นสูง แต่ที่ท�ำให้เขาดูโดดเด่นมากที่สุดก็ คงจะเป็นเรียวปากยามที่แย้มยิ้มนั้นที่ดูเป็นมิตรเสียจนรามอดคิดไม่ได้ว่า พวกทูตนี่ไม่ว่ายุคสมัยไหนมันก็ยิ้มการค้าได้ตลอดจริงๆ “ถวายพระพร” ทันทีที่รชตโค้งค�ำนับลง อคิราห์ก็ตรงเข้าไปสวมกอดเพื่อนรัก พร้อม กับดึงรามมาเคียงข้าง “นี่รชต ที่ข้าบอกเจ้าเมื่อครู่อย่างไรเล่า” ii “รชต” อ่านว่า ระ-ชะ-ตะ
40
รามส่งยิ้มตอบกลับแก่อีก ฝ่ายที่ไม่มีทีท่าว่าแปลกใจอะไรมากนัก รชตยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตรเพราะระหว่างเดินทางกลับเขาได้ยินเรื่องเล่า มากมายจากพวกนางก�ำนัลเกี่ยวกับเทพบุตรที่อคิราห์อันเชิญมาจากสิมพลี “นี่คงจะเป็นท่านราม” เจ้าตัวเอ่ยในที่สุด เขาเข้าใจดีว่าเพื่อนก�ำลัง คิดอะไรอยู่ อคิราห์ไม่เคยปล่อยให้คนู่ อนก้าวเข้ามาลึกถึงท้องพระโรง “ได้ยนิ เรื่องของท่านมามากมายนัก” “เดาว่าคงไม่สำ� คัญอะไรหรอกครับ” รามถ่อมตัว ไม่ได้รเู้ ลยว่าจดหมาย โต้ตอบระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคนในระยะหลังสุดมีแต่ข้อความชื่นชมราม จากอคิราห์...เหมือนเด็กเห่อของใหม่ไม่มีผิด “ไปคราวนี้ ทางนั้นว่าอะไรบ้าง” อคิราห์มองหน้าเพื่อนรัก เขาก�ำลัง ร้อนใจ หลายครั้งที่ส่งคณะทูตไปยังหิมาลันแต่ก็ไร้ความคืบหน้า มีสองครั้ง ล่าสุดเท่านัน้ ทีเ่ ขามอบหมายให้รชตเป็นหัวหน้าคณะเดินทาง และผลตอบรับ ก็เริ่มจะออกมาดี แม้จะไม่ได้ดีมากมายถึงขั้นเป็นพันธมิตร แต่ทางฝ่ายนั้นก็ ไม่ได้นิ่งนอนหรือแสดงทีท่าปฏิเสธน�้ำใจ “กษัตริย์แห่งหิมาลันนครมีรับสั่งให้น�ำของขวัญมามอบให้พระองค์ พร้อมทัง้ ข้าราชบริพารแห่งอมราวดีพะย่ะค่ะ” ค�ำกล่าวรายงานนัน้ เรียกเสียง แซ่ซ้องด้วยความยินดีให้กึกก้องไปทั่วโถง รามพยายามคิดตามว่าตนเคยได้อ่านหรือเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับ เมืองหิมาลันมาบ้างหรือไม่ แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก แต่เท่าที่เขารู้ เมืองนี้ต้องเป็นเมืองที่ใหญ่และส�ำคัญมากๆ ส�ำคัญมากพอที่จะท�ำให้คน อย่างอคิราห์ต้องตามง้อ และส�ำคัญมากพอที่ท�ำให้ขุนนางทุกคนรู้สึกปีติเมื่อ มี สั ญ ญาณแห่ ง ความเป็ น พั น ธมิ ต รอั น ดี ต ่ อ กั น ...แต่ เ มื อ งที่ ส� ำ คั ญ ทาง ประวัติศาสตร์ขนาดนั้น เขากลับไม่รู้จัก! “ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตร” นายทหารสิบกว่านายยกหีบหับบรรจุหลายใบออกมา และเปิดเมื่อ ได้รับค�ำสั่งจากเอกอัคราชทูตคนส�ำคัญ รามถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ ภายในเช่นเดียวกับขุนนางคนอื่นๆ หีบหินอ่อนสีขาวสะอาดลงมุกเงินวาวบ่งบอกถึงศิลปกรรมในรูปแบบ ที่แตกต่างไปจากอมราวดีโดยสิ้นเชิง ๔ ใบเปิดเรียงกัน ใบแรกเต็มไปด้วยขน
สัตว์ชั้นดีหลายสิบพับม้วนอัดแน่นจนเต็ม พวงหางสุนัขจิ้งจอกพู่หนาขดไขว้ จนแทบล้นออกมานอกหีบ สมองของด๊อกเตอร์หนุม่ พยายามพิจารณาประมวลผลเพือ่ เก็บข้อมูล ต่างๆ ให้มากที่สุด อย่างหนึ่งที่เขาเดาได้จากของก�ำนัลชิ้นนี้ก็คือ หิมาลัน ต้องเป็นเมืองที่อยู่ในเขตหนาวมาก เพราะขนสัตว์ที่ได้มาล้วนแล้วแต่เป็นขน สัตว์ที่หนา มีสีขนอ่อน และมีสภาพสมบูรณ์มากแทบทั้งสิ้น ใบที่สองเป็นเครื่องประดับตามแบบประเพณีนิยมของชาวหิมาลันนั่น คือไข่มุก...ไข่มุกสีขาวนวลเนียนราวน�้ำนมในรูปแบบต่างๆ กองปนเปกัน ทั้ง สร้อยคอ ก�ำไล แหวน และอัญมณีอกี อย่างทีบ่ รรจุทบั ถมมาก็คอื นิลกาลสีดำ� สนิท ทัง้ หีบนีด้ ารดาษไปด้วยเครือ่ งประดับสีขาวและสีดำ� ท�ำให้รามเริม่ อยาก จะเห็นจริงจังว่าเมืองนี้เป็นแบบไหนกันแน่...ชาวเมืองที่นั่นจะมีความเป็นอยู่ ยังไงกันนะ พอเข้าใบที่สามคนมองเริ่มลุ้นด้วยความตื่นเต้น รอดูว่าจะมีอะไรต่อ ไปอีก เมือ่ นายทหารยกฝาหีบขึน้ ทุกคนก็พบว่าด้านในนัน้ มีเครือ่ งเขียนหลาก หลายชนิดบรรจุอยู่ ม้วนกระดาษดูแปลกตาจากแบบที่ชาวอมราวดีใช้กันคือ กระดาษออกสีเหลืองนวล แต่กระดาษจากหิมาลันนั้นเป็นกระดาษเนื้อลื่น และมีสขี าวสะอาดเนือ่ งด้วยผลิตจากเยือ่ บัว ต่างจากตามแบบปกติทผี่ ลิตจาก ปอสา และเครื่องเขียนทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องแก้วและนิยมลงมุกเพื่อแต่ง ลวดลาย ท�ำให้ทั้งหีบแทบเรืองแสงเป็นสีเงิน ตัดกับสีทองของท้องพระโรง หีบใบสุดท้ายท�ำให้เสียงฮือฮาเงียบกริบแม้แต่ตัวรามเอง...หีบใบนี้ ของน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ ภายในนั้นมีเพียงแพรนวมสีฟ้าอ่อนปูรองสิ่งของทั้ง ๓ ชิน้ ส�ำหรับอคิราห์แล้วสิง่ นีม้ คี า่ มากยิง่ กว่าของก�ำนัลทุกชิน้ ในทีน่ ี้ ในฐานะ ที่เขาเป็นราชาแห่งแคว้นอมราวดี เขาตระหนักดีว่าการได้ครอบครองสิ่งนี้ หมายถึงเรื่องใด ดอกบัวตูม ๓ ดอก วางเรียงกันเป็นระเบียบ ทว่าหาใช่ดอกบัวธรรมดา ไม่ รามมองดอกไม้ชนิดนี้ด้วยความตกตะลึง กลีบดอกบัวขาวพิสุทธิ์ส่อง ประกายเรือ่ เรืองจนคล้ายแก้วมณีสขี าวใสยามต้องแสงไฟ และทีส่ ำ� คัญกว่านัน้ ดอกบัวพวกนี้เหมือนกันกับที่เขาเห็นเสมอๆ ในฝันเกี่ยวกับวายุ “กษัตริย์แห่งหิมาลันนครมีพระราชสาสน์ถึงพระองค์ด้วยกระหม่อม”
41
อคิราห์ย่างเท่าน�ำรชตไปอีกห้องพลางบอกให้มหาดเล็กช่วยดูแลราม ต่อ เขายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องการรู้แน่...บางทีเขาอาจต้องเก็บตัวสักระยะ “ดอกบัวแก้วพวกนี้...ใครเป็นคนมอบให้” เสียงเฉียบขาดเอ่ยขึน้ ทันทีทปี่ ดิ ประตูหอ้ งทรงอักษร วงพักตร์ราวดวง สุริยันเคร่งยามตรัสสั่ง “ไอสูรย์ท�ำบ้าอะไรของมัน” รชตยิ้มข�ำคนที่ก�ำลังดูเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่าจะต้องการค�ำ ตอบ ในขณะที่ดามพ์เอนหลังพิงก�ำแพงด้วยหน้านิ่วเล็กๆ เมื่อหวนคิดถึง ความทรงจ�ำเมื่อตอนเดินทางไปหิมาลันเมื่อนานมาแล้ว เขา...อคิราห์ เคยได้รจู้ กั กับไอสูรย์จอมราชันย์แห่งหิมาลันนคร...แน่ละ แต่ด้วยความที่ทั้ง ๒ เมืองต่างมีภาพลักษณ์ที่อยู่คนละขั้ว แถมในรัชสมัย ของบิดาและเหล่าบรรพชนก็ไม่โปรดให้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับเมืองที่ ว่านี้อย่างเด็ดขาด แต่ส�ำหรับเขาแล้วกลับมองว่าการผูกสัมพันธไมตรีกับ 42 หิ ม าลั น จะท� ำ ให้ อ มราวดี เ ข้ ม แข็ ง และเกรี ย งไกรมากยิ่ ง กว่ า ครั้ ง ใดใน ประวัตศิ าสตร์ ชนรุน่ หลังจะต้องจารึกนามเขาไว้วา่ เป็นราชาทีส่ ร้างอาณาจักร ให้เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิ “เห็นสระบัวรึปล่าวรชต” ดามพ์ถามเพราะเก็บอาการสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาจ�ำได้ว่าเคยเห็นแวบหนึ่งก่อนที่จะเจอเหตุการณ์ปางตายจนต้องหนีเอา ตัวรอดชนิดวิ่งไม่เห็นฝุ่น “ไม่...แต่ทา่ นไอสูรย์ไปเอามาให้ดว้ ยตัวเอง แล้วก็บอกว่าต้องให้อคิราห์ ให้ได้และตอนเปิดต้องมีท่านรามอยู่ด้วย” เท่านัน้ ...บุรษุ ผูเ้ ป็นราชาแห่งแคว้นถึงกับหันควับ ดวงเนตรเจือสีนำ้� ทะเล เบิกกว้าง...ไอศูรย์เองก็รเู้ รือ่ งนี.้ ..มันเป็นไปได้ละหรือ ในเมือ่ ในคืนนัน้ มีเพียงข้า และพระแม่เจ้าที่เสด็จมามอบรามให้ “แค่นี้หรือ” เขารู้สึกสับสนจนไม่รู้จะกล่าวเช่นไร...หากไอสูรย์รู้ เป็นไป ไม่ได้ที่เผ่าพงศ์อื่นจะมิล่วงรู้ “ยังบอกอีกว่า ‘ข้าไม่เคยลืมสัตย์สัญญา’”
รชตมองเพือ่ นรัก ช่วงเวลาทีอ่ ยูด่ ว้ ยกัน ๓ คนพวกเขาก็จะอยูก่ นั เรียบ ง่ายเหมือนดังเช่นสามัญชนทั่วไป ไม่มีแบ่งแยกฐานันดรศักดิ์ ชีวิตวัยเยาว์ที่ มีร่วมกันมาท�ำให้เขาพอรู้ได้ว่าเพื่อนแต่ละคนก�ำลังรู้สึกเช่นไร ร่างสูงสง่าประทับลงบนพระที่พลางคิดย้อนไปถึงครั้งอดีต หิมะสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณเวิ้งว้าง สายลมพัดกรรโชก รุนแรง วรองค์สูงใหญ่ลาดลงพิงแผ่นศิลาเย็นเยียบ โลหิตสีแดงก�่ำไหลอาบ เปรอะอาภรณ์ “ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ต้องให้มนุษย์อย่างเจ้ามาช่วย” สุรเสียงนั้น โรยแรง พระหัตถ์กุมดาบมั่นเตรียมพาดฟันเหล่าศัตรู ทว่าดวงเนตรราวห้วงมหาสมุทรยังคงเรียบนิง่ และมัน่ คง “ข้าอคิราห์... ด�ำรงไว้ซึ่งศักดิ์แห่งดวงตะวันเป็นนาม...ข้าให้สัตย์ไว้แล้วว่าจะกลับมา”
43
บทที่ ๖ ตรีภพ (๒) 44
‘...ส�ำหรับในส่วนนี้เราจะขอเท้าความจากครั้งที่พระ ผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาลซึ่งประกอบไปด้วยภพภูมิ ทั้งสาม
อันได้แก่ ภพนภา หรือที่รู้จักกันดีในนามแดนสวรรค์ ทว่าบนชั้นฟ้า นั้นหาได้มีแต่เหล่าเทพยดาไม่ ยังคงเป็นแหล่งพ�ำนักของเหล่าเผ่าพงศ์แห่ง ท้องนภา ครุฑ กินรี แลคนธรรพ์ ตลอดจนสิ้นสุดเชิงเทือกเขาอันเป็นแหล่ง พ�ำนักของพวกเขาเหล่านั้นจึงปรากฏข้ามเขตวนาลัยว่าเป็นภพอันอยู่กั้น กลางระหว่างภพทั้งสอง นั่นคือ ภพปฐพี ปกครองด้วยมวลมนุษย์หลากเชื้อ ชาติสายโลหิตแตกต่างกันไปตามลักษณะภูมปิ ระเทศ ทรงบันดาลให้เกิดภาษา ชาวอารยันคือผู้ที่ได้รับพรอันสูงสุดจากพระเจ้าให้ได้ใช้รูปกายที่ใกล้เคียงกับ พระองค์เหล่านั้น ภูมิสุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ ภพบาดาล ในภพภูมินี้ประกอบด้วยธารา หล่อเลี้ยงทุกสรรพชีวิต นาคา แลเหล่ามัจฉากร ครอบครองตั้งแต่หนองบึง จนสุดห้วงมหาสมุทร...’
นิ้วเรียวยาวค่อยๆ บรรจงไล้ตามบรรทัดอักษรที่ปรากฏบนหนังสือ... ข้อความพวกนี้เชื่อถือได้มากแค่ไหนกัน รามเริ่มลังเล หากเป็นเมื่อก่อนเขา คงตอบได้แบบไม่ตอ้ งคิดว่าเป็นทัศนคติของผูเ้ ขียน ทว่าตอนนีเ้ ขาเองกลับเริม่ หวั่นไหวในความเชื่อนั้น ดอกบัวเรืองแสงที่เขาเห็นเมื่อครู่ในโถงท้องพระโรง ก�ำลังท�ำให้เขารูส้ กึ ไม่สบายใจจนต้องมานัง่ หาข้อมูลในหออักษร แต่อา่ นๆ ไป กลับเจอแต่เรือ่ งภพภูมพิ วกนี้ ยังไม่มวี แี่ ววว่าจะเจออะไรทีเ่ กีย่ วข้องเชือ่ มโยง กับดอกไม้นนั่ ได้เลยสักอย่างเดียว รวมถึงเมืองหิมาลันนัน่ อีก หรือว่าเขาก�ำลัง หาผิดเล่ม ดวงตาสีน�้ำตาลอ่อนเบนไปยังท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ซึ่งขันอาสามาช่วย บรรณารักษ์แห่งหออักษรจนเป็นกิจวัตร อาภรณ์สีแสดเข้มตัดกับผ้าคลุมผม สีชมพูขับผิวกายสีน�้ำผึ้งเนียนละเอียดให้เปล่งประกาย “คุณศศิครับ” เสียงเรียกจากบุรุษรูปงามราวเทพบุตรท�ำให้ศศิกันทราต้องละความ สนใจจากวรรณกรรมด่างแดนที่อยู่ตรงหน้า นิลเนตรแวววาวจ้องมองอย่าง 45 ใคร่รู้ “ท่านรามสงสัยเนื้อหาตรงไหนในหนังสือหรือคะ...หญิงช่วยอธิบายได้ นะ” เรียวโอษฐ์บางแย้มยิ้มก่อนจะช�ำเลืองดูว่าชายหนุ่มก�ำลังอ่านอะไรอยู่ “อ๋อ...ท่านคงสนใจเรื่องตรีภพ” เธอสรุป “ครับ...ต�ำนานพวกนี้มีความเป็นมายังไงเหรอครับ” “ต�ำนาน?” หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเหลือประมาณ “ต�ำนานอันใดเล่า ท่าน...” “ก็พวกนี้...ใครเป็นคนประพันธ์ แล้วประพันธ์ขึ้นเพื่ออะไรเหรอครับ ความเชื่อ หรือเพื่อปกครอง?” ศศิกันทราหัวเราะคิกก่อนเอ่ย “ไม่ใช่ต�ำนานหรอกค่ะ...ถึงท่านราม เป็นชาวต่างเมืองก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้าง...สิ่งนั้นคือประวัติศาสตร์ของดิน แดนเรา” “หา!!”
“จริงค่ะ หญิงยืนยัน...ระหว่างที่อยู่ในอมราวดีท่านไม่เคยสังเกตเลย หรือ”
46
“สังเกตอะไรครับ” รามงงจนไปจับต้นชนปลายไม่ถูก จะให้เขาเชื่อ ตามนี้จริงๆ แบบไม่วิเคราะห์ต่อเลยเนี่ยนะ “ก็พวกเผ่าพงศ์อื่นที่มิใช่มนุษย์อย่างไรเล่า...ท่านพี่รชตเป็นคนธรรพ์ นะคะ หาใช่ชาวอมราวดีแต่ก�ำเนิดไม่ ส่วนสามสาวนางก�ำนัลที่เจ้าพี่อคิราห์ ให้มารับใช้ทา่ นก็เป็นลูกครึง่ มารดาของพวกนางเป็นมัจฉา หากท่านแคลงใจ โปรดสั่งให้พวกนางลงน�้ำดู แล้วก็คนใกล้ตัวท่านที่สุด เจ้าพี่อคิราห์...องค์ ราชินนี าถองค์กอ่ นผูซ้ งึ่ เป็นพระมารดาของเจ้าพีท่ รงเป็นนางอัปสรบนชัน้ ฟ้า... เจ้าพีอ่ คิราห์มใิ ช่สมมติเทพหรอกค่ะ แต่พระองค์ทรงเป็นเทพเยีย่ งนัน้ โดยสาย พระโลหิต” เฮ้ย!! ชักจะไปกันใหญ่แล้ว รามอึ้งจนพูดไม่เป็นภาษา นี่ตกลงเขาอยู่ ส่วนไหนของโลกกันแน่ ทุกอย่างมันเกินที่สามัญส�ำนึกของเขาจะรับไหว แล้วถ้าหากเป็นเช่นที่ท่านหญิงศศิกันทราว่ามาจริง เขาจะท�ำเช่นไรกับชีวิต ตัวเองในช่วงกาลเวลานี้ดี... พลบค�่ำ รามเดินใจลอยตลอดทางกลับต�ำหนักภาณุมาศ เรือ่ งราวทีเ่ พิง่ ได้รบั รู้ วนเวียนอยูใ่ นหัว ในมือยังคงเกีย่ วเอาหนังสืออีกสองสามเล่มทีท่ า่ นหญิงเลือก ให้กลับมาอ่านด้วย และแน่นอนรวมถึงหนังสือประวัติศาสตร์เจ้าปัญหานั่น นี่เขาก�ำลังเผชิญหน้ากับอะไร... คิดแล้วก็จนปัญญา...ไม่เคยมีสักครั้งในชีวิตที่คิดว่าจะต้องตกอยู่ใน สถานการณ์แบบนี้ เจ้าตัวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง มุกดาเร่งเข้ามา ถวายงานทันทีเมือ่ เห็นเจ้านายนอนโรยแรง ฝ่ามือนัน้ ค่อยบรรจงวางเท้าของ รามลงในชามอ่างที่ลอยด้วยกลีบกุหลาบ...ยากที่จะเชื่อว่าเจ้าของร่างกาย อบอุ่นนี้เป็นปลา
ไวเท่าความคิด...รามเตะอ่างกระเบื้องคว�่ำจนน�้ำในนั้นรดเปรอะขา ของมุกดา เธอกระถดตัวถอยพลางหมอบลง “ขออภัยเจ้าค่ะ” “ผมต่างหากที่ต้องขอโทษมุกดา” เขาเอ่ยแล้วก็ต้องสะดุดเมื่อสายตา เหลือบไปเห็นช่วงข้อขาซึ่งเปียกน�้ำเมื่อครู่ปรากฏเป็นเกล็ดสีเงินแวววาว “...เกล็ดนั่น...” มุกดาค้อมตัวลงแล้วยิ้มแก้เก้อ “เวลาโดนน�้ำมันชอบโผล่ออกมาเอง เจ้าค่ะ...แหะๆ” รามมองดูคนหัวเราะแหะๆ เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาน่ะสิ ไม่ธรรมดา...ให้ตาย ตกลงมันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย ใบหน้าหล่อเหลาเครียดลง “มุกดาช่วยไปตามอคิราห์มาทีน่ ที่ นี ะครับ... ด่วนเลย!” เมื่อกี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้น! รามนอนคิดอย่างมึนๆ ชายผูท้ ไี่ ด้ชอื่ ว่าเป็นราชาแห่งอมราวดีมนั นอน 47 ท�ำตาแป๋วอยูข่ า้ งๆ เขา ทีส่ ำ� คัญยังส่งยิม้ ใสซือ่ แบบไม่รปู้ ระสีประสาให้เสียอีก นี่เขา...โดนกินไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย ‘โดนกิน’ ไม่...อ๊ากกกกกก... “ไอ้บ้า....แกชั่วมาก ตายซะเถอะ” รามถึงกับสติแตกลุกขึ้นมาจัดการ ตัวต้นเหตุที่ท�ำให้เขาอยู่ในสภาพนี้ อคิราห์กอดร่างเล็กที่ดิ้นพราดไว้แน่น ก่อนจะฉวยจูบไปอีกหลายที สองชั่วโมงก่อน “...จัดการให้เรียบร้อยนะ ย่างเข้าวสันตฤดูเมือ่ ใด ข้าจะไปหิมาลันทันที” ราชาแห่งแคว้นตรัสสั่งกับที่ปรึกษาคู่ใจผู้รั้งต�ำแหน่งราชทูตประจ�ำอมราวดี รชตโค้งค�ำนับรับค�ำพร้อมกับจัดแจงกองม้วนเอกสารให้เรียบร้อย ดวงตาสีด�ำสนิทมองเห็นร่างนางก�ำนัลประจ�ำต�ำหนักในรีบเร่งเข้ามาอย่าง ผิดวิสัย
“เหตุอันใดกันที่ท�ำให้คุณนางก�ำนัลมุกดาดูร้อนรนเยี่ยงนี้” รชตแซว ทัง้ ทีเ่ ขาเองก็ลว่ งรูด้ วี า่ ขณะนีม้ กุ ดาถวายงานให้ผใู้ ด และการอันทีท่ ำ� ให้รบี เร่ง เยี่ยงนั้นคงจะไม่พ้นเพราะค�ำสั่งเจ้านายเป็นแน่ มุกดาหมอบลงแทบเท้าเจ้าเหนือหัว เมื่อเห็นว่าวรองค์สูงสง่าเหลียว มาตามที่ท่านรชตเอ่ย ขนงบางเชิดขึ้นด้วยความแปลกใจ “ท่านรามให้หม่อมฉันมาทูลเชิญเสด็จเพคะ” มุกดากล่าว และเมื่อ ลอบมองเห็นท่านราชทูตคนดังขยิบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์ หล่อนจึงจัดการเพิ่ม ให้อย่างรูง้ าน “ท่านรามบอกว่าอยากพบพระองค์มากเพคะ ก�ำชับมาว่าตอน ทูลเชิญพระองค์ให้บอกด้วยว่าให้ทรงเร่งเสด็จ” มุกดาได้แต่บอกตัวเองในใจ ว่าตนหาได้โป้ปดไม่ เพราะท่านรามบอกให้ตามฝ่าบาทไปโดยด่วนจริงๆ หึหึ เท่านั้น...พระบาทสาวออกไปจากห้องทรงงานทันทีอย่างไม่คิดชีวิต สีพระพักตร์ดูสุขสมพระราชหฤทัยเป็นล้นพ้นเหลือประมาน ...รามอยากเจอข้าเช่นนั้นหรือ... นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่... 48 รามเดินวนไปมาอยู่ปลายเตียง ถ้าอคิราห์มาเมื่อไรนะ เขาจะจัดการ ซักฟอกให้ขาวสะอาดเลยเชียว โทษฐานที่ไม่ยอมแสดงตัว “ราม” น�ำ้ เสียงอันคุน้ เคยเอ่ยเรียกทันทีทยี่ า่ งเข้ามาในห้อง จนคนถูกเรียกชัก เริ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ที่อีกฝ่ายดูมีอาการกระดี๊กระด๊าเกินเหตุ อคิราห์สวมกอดร่างบางที่มีสีหน้าแปลกใจไว้แน่น พลางประทับริม ฝีปากลงบนหน้าผากนวล ไล้ลงมาตามแก้ม และเรียวคาง ฝ่ายถูกกระท�ำอึ้งไปเรียบร้อยแล้วกับการกระท�ำของร่างสูงที่จู่ๆ ก็ โผล่พรวดเข้ามากอดและจู่โจมเขาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว มือทั้งสองข้างปะป่าย พยายามผละออกจากวงแขนที่กอดรัดไว้ “เฮ้ย...อะไรเนี่...” พูดยังไม่ทันรู้ความ เรียวปากบางก็ถูกครอบครอง “อืม...”
ร่างเล็กดิ้นขลุกขลัก รสจูบของอีกฝ่ายก�ำลังท�ำให้เขาเริ่มปั่นป่วน ปลายลิ้นช�่ำชองกลืนกินลมหายใจของเขาเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนพาล ท�ำให้สติเริ่มพร่ามัว มีแต่ความรู้สึกต้องการมากมายก�ำลังพยายามพังท�ำนบ ภายในใจออกมา หัตถ์แกร่งรั้งเรือนร่างที่เขาต้องการแทบขาดใจมาแนบชิด เพียงแค่คิด ว่ารามเป็น ฝ่ายอยากเจอเขาก่อนก็แทบไม่อยากจะรั้งรออะไรอีกทั้งสิ้น สัม ผัสจากผิวกายเรียบลื่นที่เขารุกล�้ำนั้นเหมือนเชื้อไฟชั้นดีที่เร่งให้อารมณ์ ลุกโชน “อคิราห์” รามได้ยินเสียงแหบพร่าของตัวเองเอ่ยนามบุรุษเบื้องหน้า เพียงแค่จบู เดียว แต่ในครัง้ นีม้ นั ท�ำให้เขาแทบสูญเสียการควบคุม สติทยี่ อื้ ยุด ไว้ใกล้จะขาดเต็มที นัยน์เนตรสีครามเจือเทาจรดจ้อง ริมฝีปากที่เขาช่วงชิงลิ้มรสไปหลาย ครากลายเป็นสีสดเข้ม ใบหน้าเนียนใสราวกับจันทรากระจ่างบนฟากฟ้าก�ำลัง เชิญชวนให้เขาอยากครอบครองมากกว่านี้ อยากจะปล่อยกายให้เป็นไปตาม ความรู้สึกโดยไร้ซึ่งการควบคุมใดๆ 49 “อึก” เหมือนก�ำลังจะขาดใจ... รามคิดขณะที่แผ่นหลังกว้างกระแทกลงกับฟูกนอนหนานุ่ม “อย่า...” นิ้วเรียวยาวที่ฉวยแตะต้องผิวกายใต้ผืน ผ้าประหนึ่งดังพระเพลิงผลาญลาม เลียไปทั่ว “...ราม” ทุกครั้งที่น้�ำเสียงทุ้มเย็นนั้นเอ่ย เหมือนกับเป็นมนต์สะกด ตรึงให้เขาไม่อาจขัดขืน “เป็นของข้าเถิดนะ...คนดี” ไร้ซึ่งค�ำตอบรับใด มีเพียงเสียงหอบหายใจโรยแรงกับความต้องการที่ รัง้ ไว้ไม่ไหว อคิราห์ปลดเปลือ้ งอาภรณ์สเี ข้มตัดกับผิวกายขาวสะอาดตาออก ...ให้ข้านะ ราม... ตัวข้าในตอนนี้ ต่อให้กลืนกินเจ้าเข้าไปกี่คราก็คงไม่พอ
50
“พอแล้ว เหนื่อย!” เจ้าตัวประกาศยอมแพ้หลังจากพยายาม ‘จัดการ’ ไอ้ตัวเจ้าปัญหาที่เขาตั้งใจว่าจะซักฟอก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเขาโดน ซักฟอกเสียเอง คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็เครียด ไอ้บ้าโรคจิต...ท�ำกันได้ลงคอ นัยน์ตาสีนำ�้ ตาลลุกวาวอย่างเอาเรือ่ งจนอคิราห์อดข�ำไม่ได้ แล้วอาการ ฮึดฮัดนั่นอีก เห็นแบบนี้แล้วอยากจะจัดการร่างเล็กอีกสักทีสองที...เอ หรือ สามสี่ทีดี “ไม่คุยด้วยแล้ว” รามพลิกตัวตะแคงหนีเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย... มันต้องก�ำลังคิดเรื่องบ้าอยู่แน่ๆ ท�ำไมเขาจะต้องมาเจอเหตุการณ์บ้าบอคอ แตกแบบนี้ด้วยนะ เรียวโอษฐ์หนาแต้มพรายด้วยรอยยิม้ วงแข็งกอดรัง้ เอวบางเข้ามาแนบ สนิท นาสิกซุกลงที่ซอกคอหอมกรุ่น คนร่างเล็กดูทีรึท่าจะออกอาการงอน เขามากกว่าที่คิด ถึงอย่างไรเขาก็ได้หาหักหาญน�้ำใจอีกฝ่ายไม่ อยากจะรอ วันที่รามยอมมอบทั้งกายให้กับเขาพร้อมด้วยความสมัครใจ รามหลุบตาลง จะว่าไปเมื่อครู่นี้เขารู้สึกไม่อยากเชื่อว่าอคิราห์จะยั้ง ตัวเองไว้ได้เพียงแค่นั้น ทั้งๆ ที่สภาพตอนนั้นรามยอมรับว่าตัวเองแพ้ราบ คาบไปแล้ว แก้มใสซับสีระเรื่อ แต่ยังไงก็โดนกินไปแล้วอะ อ๊ากกก...ท�ำไงดีเนี่ย อาละวาดต่อหน้าก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะโดนจัดอีกชุด โวยคนเดียวในใจ เนี่ยแหละปลอดภัยแก่เอกราชมากที่สุด แต่ไอ้นั่นโดนกินไปแล้วอะ...เสียงปีศาจเล็กๆ ในหัวดูจะย�้ำประเด็นนี้ บ่อยเสียเหลือเกิน ด๊อกเตอร์หนุ่มพยายามจะข่มตาหลับให้ได้อยู่พักใหญ่ แล้วในที่สุดก็ ต้องยอมแพ้กับความคิดภาคมารของตัวเองพลางพลิกตัวหันกลับมาเผชิญ หน้ากับอคิราห์ที่ยังคงจ้องมองเขาตามปกติ...จะว่าไป รามแทบไม่เคยเห็น
อคิราห์หลับก่อนเลย เขาเองต่างหากทีเ่ ป็นฝ่ายหลับก่อน แล้วพอรูส้ กึ ตัวอีกที ก็มักจะเห็นอีกฝ่ายตื่นอยู่แล้วและทอดสายตามองด้วยความอ่อนโยน “วันนี้ฉันคุยกับศศิมา” รามเริ่มเล่า “เธอบอกว่า นายเป็นครึ่งเทพ” อคิราห์กระชับวงแขนกอดคนพูดแน่นเข้า จุมพิตแผ่วเบา “...แล้วเจ้า คิดเช่นไร กลัวหรือไม่” ชายหนุม่ ไม่เคยมีความรูส้ กึ เช่นว่านัน้ เลยสักครัง้ เขารับรูไ้ ด้เพียงความ ห่วงใยทีท่ อดผ่านออกมาจากทัง้ สายตา ค�ำพูด และการกระท�ำ เขารูด้ อี ยูแ่ ก่ใจ ว่าคนเบื้องหน้านี้ไม่มีวันท�ำให้เขาเสียใจ...แต่ถึงอย่างนั้นก็...ไม่ควรผูกพัน “ไม่...ยกเว้นแต่ว่านายจะมีสิบหัวยี่สิบมือ แล้วแอบไว้ไม่ยอมบอก” “หึหึ...เอาเรื่องแบบนั้นมาจากไหนกัน” มือใหญ่ยีเรือนผมสีน�้ำตาลนุ่ม นิ่มอย่างเอ็นดู “ข้าก็มีเท่าที่เจ้าเห็น...จะดูอีกรอบหรือไม่” ไม่วา่ เปล่าแถมจะเลิกผ้าห่มขึน้ ด้วย จนรามรีบตะครุบเอาไว้แทบไม่ทนั ...หนอย ได้ทีแกล้งกันเลยนะ! “ฉันก็คิดน่ะสิว่านายจะมีพลังอะไรนู่นนี่นั่น” 51 “พูดจาพิลึก” ค�ำพูดทิ้งทวนแบบนั้นมันท�ำให้เขายัวะ ตั้งแต่เรียนจบ ท�ำงานเป็น ผู้เป็นคนก็ไม่มีใครมาว่าเหมือนเป็นเด็กโข่งได้อีก จะมีก็แต่พ่อ บังเกิดเกล้านั่นละ สวดเช้าสวดเย็น สวดมันเข้าไป “ใครจะดีเหมือนฝ่าบาทล่ะพะยะค่ะ” ร่างเล็กหมุนพลิกตัวกลับ ไม่คง ไม่คุยมันแล้ว! พอกันที นอนๆ บุรุษผู้เป็นราชาแห่งแคว้นได้แต่มองเจ้าของแผ่นหลังที่งอนตุ๊บป่อง จนไม่อยากพูดกับเขาไปแล้ว เขาถอนหายใจก่อนจะแนบฝากค�ำรักดังเช่นที่ มีให้ทุกทิวาและราตรี “ข้ามิอาจดีพร้อมได้...ข้าต้องการความรักจากเจ้ามากมายเหลือเกิน”