Raktiddin01

Page 1


“เทพเจ้าแห่งเงินตราและความร�ำ่ รวย... วันนีก้ ข็ อให้ผมประหยัดเงินได้เยอะๆ อีกเช่นเคยนะครับ”


1 ลูกเจี๊ยบหลงทาง

มีคนเดินตามมา ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน ตั้งแต่ก้าวขาออกจากรั้วโรงเรียนแล้ว ปิ่นหยกเหลือบมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง แสงแดดทอจางๆ หลังฝนตก ช่วยให้บรรยากาศไม่นา่ กลัวนัก แม้ตอ้ งเดินเพียงล�ำพังผ่านบริเวณอาคารเก่าซอมซ่อ ร้างผู้คน ถึงจะเงียบอย่างไรแต่ตอนนี้ก็ยังกลางวันแสกๆ ไม่น่ามีโจรใจกล้าหน้าโง่ ที่ไหนคิดวิ่งราวกระเป๋าที่มีเพียงหนังสือเรียนเก่ามือสองตกทอดมาตั้งแต่สมัย พระเจ้าเหา หรือกระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินเหลืออยู่แค่สิบบาทของเขาหรอกใช่ไหม เอาละ ถึงตรงนี้ หากจะให้แนะน�ำตัวเอง เขาคงต้องพูดว่า ‘กระผม...นาย ปิ่นหยก แววสินธุ์ อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ฐานะยากจน ค่อนไป ทางจนมาก ปัจจุบนั ด�ำรงต�ำแหน่งหัวหน้าพรรคกระยาจกซึง่ มีสมาชิกเพียงคนเดียว คือตัวผมเอง’ หรืออะไรท�ำนองนั้น และให้ตายเถอะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกใครแอบตาม ไม่ว่าไอ้คนที่ย่องอยู่ ข้างหลังนั้นจะหวังอะไรก็แล้วแต่ อาจยกเว้นตามทวงหนี้ ซึ่งข้อนี้เขามั่นใจว่าไม่ได้ ไปก่อหนี้เพิ่มไว้ที่ไหน “เหลือตังค์แค่สิบบาทเอง” 5


เด็กหนุ่มแสร้งพึมพ�ำออกมาดังๆ ท่ามกลางความเงียบ มือยกขึ้นปัดไรผม สีน�้ำตาลเข้มชื้นเม็ดฝนให้พ้นตา ขณะลอบมองไปยังเงาตะคุ่มซึ่งทอดจากมุมตึก ด้านหลัง นึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจ ได้ยินไหมไอ้โจรงี่เง่า ไม่มีตังค์ให้วิ่งราวหรอก นะเว้ย ตามไปก็เสียเวลาเปล่าน่า อยากได้เงินไปตามอาเสี่ยตู้ทองเคลื่อนที่ในตลาด ดูฉลาดกว่าเยอะ โน่นๆ “......” เขาก้าวขาเงียบเชียบ ฟังเสียงหยดน�้ำซึ่งค้างอยู่บนกองเหล็กเก่าหยดลงพื้น เปาะแปะ “......” เงียบฉี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีอาจไม่ใช่โจรก็ได้ ปิ่นหยกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัดสินใจจ�้ำพรวดพราดออกห่างจากบริเวณ ตึกร้าง เร่งฝีเท้าอีกนิดเดียวก็ถึงเขตตลาดแล้ว จะคนหรืออะไรที่ตามมาก็ช่างหัว เถอะ สายตามองเห็นร้านขายของรถเข็นอยู่ลิบๆ ข้างหน้า ไม่เกินอึดใจคงหลุด จากเส้นทางเปลี่ยวนี้ได้โดยสวัสดิภาพ ถ้าเพียงแต่... โครม! จะไม่มีเสียงมวลสารขนาดใหญ่ทิ้งตัวลงปะทะพื้นอย่างนี้ เคร้ง! ตุบ! ตามด้วยเสียงโอดครวญของตัวต้นเหตุ ผู้นั่งจ๋องสิ้นท่าอยู่ท่ามกลางขยะ เศษเหล็กหลังก�ำแพงผุพัง “โอย…ย...” ปิน่ หยกจ้องร่างสูงของใครบางคนซึง่ ก�ำลังนัง่ ลูบแขนตัวเองป้อยๆ อยูบ่ นพืน้ ท่าทางจะสะดุดอะไรสักอย่างกลางกองขยะนั่น ฝุ่นสนิมร่วงกราวจากแผ่นสังกะสี ที่วางพาดอยู่บนศีรษะ สภาพย�่ำแย่เสียจนอยากมองข้ามตัวอักษรบนอกเชิ้ตขาว อันบ่งชี้ว่าคนตรงหน้าเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน และจะว่าไปแล้ว... เขาหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด แต่ยังรักษาระยะห่างประมาณสองเมตรไว้ เผื่ออีกฝ่ายจะเกิดบ้าวิ่งราวเงินสิบบาทของเขาไป แฮ่ม! ไม่ได้งกหรอกนะ แต่มันก็เงินไม่ใช่หรือ!? 6


สมาธิถูกดึงกลับมาจดจ่อที่คนตรงหน้าอีกครั้ง หลังจากหลุดพะวงเรื่องเงิน ไปวูบใหญ่ ปิ่นหยกขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ดูดีๆ แล้วหมอนี่คุ้นมากทีเดียว “ช่วยหน่อย” มนุษย์เศษเหล็กบนพื้นเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรก ด้วยถ้อยค�ำที่ พิจารณาจากน�้ำเสียงเรียบเฉยแล้วน่าจะเป็นประโยคค�ำสั่งมากกว่าขอความช่วย เหลือ ท�ำเอาคนฟังเริ่มปรี๊ดจนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ “เป็นอะไรลุกเองไม่ได้!?” เด็กหนุ่มขยับเข้าใกล้ร่างนั้นอีกนิดโดยไม่รู้ตัวเพื่อไปหยุดยืนกอดอก มีดวง อาทิตย์หลังฝนตกเป็นฉากหลัง เงาด�ำทอดลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่ายพอดิบพอดี คล้ายเป็นฉากหนึ่งในหนังวัยรุ่นก่อนคู่อริจะลงไม้ลงมือ อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับจ้องเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ฟังภาษาคนรู้เรื่องไหมนี่? โดนจ้องมากเข้าก็เริม่ ท�ำตัวไม่ถกู พยายามสูก้ บั แววตาเรียกร้องตรงหน้า พอ ดูใกล้ๆ อีกทีแล้วหมอนี่ยิ่งคุ้นมาก...มากแบบมากๆ เขาพยายามรีดเร้นความทรงจ�ำซึ่งอาจมีเกี่ยวกับคนตรงหน้าเต็มที่ ชุด นักเรียนโรงเรียนเดียวกัน ตัวสูง ผิวขาวจัด ผมด�ำขลับ คิ้วเข้ม ดวงตาติดจะโศกนิด หน่อยสีเดียวกับสีผม ใบหน้าโดยรวมแล้วจัดว่า...หล่อ...ทีเดียว ไม่สิ โคตรหล่อเลย ต่างหาก น่าหมัน่ ไส้ฉบิ หาย! ดูเหมือนจะเป็นเพือ่ นร่วมชัน้ มัธยมศึกษาปีทหี่ ก คล้ายๆ ว่าจะเพิ่งย้ายมาอยู่ห้องเดียวกันวันนี้ ดูเหมือน... นี่มันไอ้คนที่นั่งข้างหลังเขาวันนี้นี่หว่า! “อาทิตย์!?” “ปิ่นหยก” เป็นการประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย นิ่งกันไปราวสามวินาที หรือพูดให้ถกู คือเป็นเขาคนเดียวซึง่ ออกอาการเหวอ ขณะที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าตกใจเท่าไรนัก แต่นั่นละ หมอนี่เป็นคนเดินเกาะติดมาเอง ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าก�ำลังตามใครอยู่ อดขุน่ เคืองอยูใ่ นใจไม่ได้วา่ ช่างท�ำตัวเหมือนเป็น พวกโรคจิตอะไรเช่นนี้ เด็กหนุ่มถอนใจเฮือก เผลอสบสายตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง พร้อมกับนึก สงสัยว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? 7


ไม่แปลกเลยที่เขาจะจ�ำเพื่อนร่วมชั้นซึ่งก�ำลังนั่งแหมะหมดท่าไม่ได้ในแวบ แรก ในเมื่อเพิ่งมีการเปลี่ยนย้ายห้องเรียนกันวันนี้เอง เป็นเรื่องปกติในโรงเรียนของพวกเขาซึ่งมีการเปลี่ยนห้องทุกครั้งที่มีการ เลือ่ นชัน้ ทัง้ นีเ้ พือ่ คัดเด็กหัวกะทิเข้ามาเรียนรวมกันในห้องคิง และกระตุน้ ให้นกั เรียน ขยันท�ำคะแนนในทุกปีการศึกษา การสอบคัดเลือกจะมีขึ้นตามหลังการสอบปลาย ภาคเรียนที่สอง และประกาศห้องเรียนในวันแรกของภาคเรียนถัดไป ด้วยเหตุนี้ นาย ‘แสงอรุณ วิจติ รนิรนั ดร์’ หรือนายอาทิตย์ทวี่ า่ ก็เพิง่ ได้กลาย มาเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาวันนี้เป็นวันแรกนั่นเอง “จะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?” เป็นปิ่นหยกที่สิ้นความอดทน ส่งเสียง ท�ำลายความเงียบขึ้นก่อน “ใจร้าย” อีกฝ่ายตัดพ้อ มือยกขึน้ คว้าหมับเข้าทีข่ อ้ มือเขาเพือ่ ดึงตัวเองลุกขึน้ ทรงตัวบนขา หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วว่านัง่ รออยู่เฉยๆ คงไม่มีคนใจดี ที่ไหนยื่นมามือช่วยพยุงเป็นแน่ บ่นกระปอดกระแปดออกมาด้วยน�้ำเสียงเรียบนิ่ง “มีตังค์แค่สิบบาทแถมยังแล้งน�้ำใจอีก” ราวกับเส้นเลือดที่ขมับปิ่นหยกจะเริ่มเต้นเป็นจังหวะร็อคหนักหน่วงกว่า เก่า คิว้ ขมวดแทบผูกกันเป็นปม อ้อ ตกลงเมือ่ กีไ้ ด้ยนิ สินะ สิบบาทแล้วมันผิดหรือ!? น่าเตะปลายคางสักทีดีไหม มุมนี้ก�ำลังเหมาะ ไม่เอาน่า สติฝ่ายดียังรั้งตัวเองเอาไว้บ้าง เขาพ่นลมหายใจพรืดด้วยความหงุดหงิด สะบัดมือเบาๆ พอให้อีกคนรู้ว่าลุกเสร็จก็ปล่อยได้แล้ว ส่ายหน้าไล่ความคิดอยาก ท�ำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมชั้นออกจากหัวด้วยกลัวไม่มีเงินจ่ายค่าเสียหาย ก่อนจะ ยิงค�ำถามตรงประเด็น “ตามมาท�ำไม?” พ่อยอดชายนายอาทิตย์ไม่มีทีท่าว่าจะตอบค�ำถามง่ายๆ แถมนอกจากไม่ ตอบแล้วยังหันไปเอามือปัดฝุ่นที่เลอะตามกางเกงและกระเป๋าเสื้อผ้า...อีก...? กระเป๋าเสื้อผ้า!? เขาอ้าปากหวอ ปกติใครเขาหิว้ กระเป๋าเสือ้ ผ้าใบโตอย่างนัน้ มาเรียนกัน(วะ)!? “แล้วนั่นอะไร?” ปิ่นหยกชี้ไปที่วัตถุต้องสงสัย “ย้ายบ้านเรอะ!?” 8


“อือ” ค�ำตอบแรกทีไ่ ด้รบั ตัง้ แต่ถามมาท�ำเอาเด็กหนุม่ งงไปพักใหญ่ ย้ายบ้าน? ควร ต้องบอกไหมว่าเขาถามประชด แล้วช่างตอบมาได้ว่าว่าย้ายบ้านจริงๆ “ที่จริงโดนคุณพ่อไล่ออกมาน่ะ” อีกฝ่ายชี้แจงเพิ่มเติม “อ้อ...เข้าใจละ” เขาท�ำหน้าเออออเข้าใจอยู่เพียงแวบเดียว ก่อนจะนึกขึ้นมา ได้ว่านั่นไม่ช่วยให้กระจ่างขึ้นสักนิด! “เพ้อเจ้อว่ะ” ปิน่ หยกส่ายหน้าแล้วยกมือขึน้ กุมขมับ ตัดสินใจหันหลังกลับเพือ่ ทิง้ ตัวปัญหา เอาไว้ทเี่ ดิม ถึงเรื่องของเจ้านี่จะฟังดูประหลาด แต่ความจริงมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ เขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมตอนนี้ฟ้าเริ่มจะครึ้มอีกรอบ หากไม่รีบเห็นทีคงได้วิ่งลุย ฝนเป็นแน่ เขาแหงนมองฟ้าขมุกขมัว ขาพาตัวเองก้าวออกจากตรงนั้นโดยไม่คิดหัน กลับไปมองอีก ปราศจากความเฉลียวใจสักนิดกับเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตในวัน ฝนตก และสิ่งที่คิดว่า ‘ไม่เกี่ยวกับตัวเอง’ เพราะแน่นอนว่าปิ่นหยกคิดผิด มันเกี่ยวกับเขาแน่ๆ เกี่ยวอย่างมากเสียด้วย! “กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุม่ เอ่ยน�ำ้ เสียงอ่อนระโหยเมือ่ ก้าวขาเข้าธรณีประตู ร้านเค้กที่อยู่ชั้นล่างสุดของหอพัก เป็นใครก็คงพาลหมดแรงเอาง่ายๆ หากมีปลิง เผือกตัวใหญ่เกาะหลังมาด้วยตลอดทางเช่นนี้ “กลับมาแล้วหรือ” ถ้อยค�ำทักทายขึ้นจากหลังเคาน์เตอร์ เจ้าของเสียงก�ำลัง ก้มๆ เงยๆ จัดเค้กชิ้นโตลงกล่องตามออเดอร์ลูกค้า เงยหน้าขึ้นมาอีกทีจึงได้เห็น เด็กหนุ่มที่เป็นทั้งลูกจ้างและเป็นเสมือนคนในครอบครัวก�ำลังยืนท�ำหน้าเซ็งโลก เหลือจะกล่าว “วันนี้ยุ่งไหมพี่เอม” ปิ่นหยกถามเสียงโมโนโทนแล้วหันไปตวาดคนข้างหลัง “ปล่อยเว้ย!” “เดี๋ยวนายหนีอีก” “หนีป๊ะอะไร ถึงหอแล้วนี่ไง” 9


“เพือ่ นหรือ?” เอมจิตถามพร้อมส่งรอยยิม้ ทีห่ ากสาวๆ ได้เห็นคงละลายตาย กลายเป็นช็อกโกแลตฟองดูวอ์ ยูต่ รงหน้านัน่ เอง ชายหนุม่ วัยยีส่ บิ ห้าปีผเู้ ป็นเจ้าของ หอพักพร้อมกับเปิดร้านเค้ก ณ ชัน้ ล่างสุดของหอไปด้วยคนนีเ้ รียกกลุม่ ลูกค้าผูห้ ญิง ได้เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเกือบตอบไปแล้วว่าไอ้นปี่ ลิงเผือกครับไม่ใช่เพือ่ น แต่กต็ ดั สินใจพยักหน้า อย่างเสียมิได้พร้อมกับเอ่ยอ้อมแอ้ม “...อ่า..เรื่องมันยาวอะพี่เอม คือว่าเจ้านี่จะขอ มาค้างด้วยสักคืนนึงเพราะว่า...จะท�ำรายงาน” “สวัสดีครับ ชือ่ อาทิตย์ครับ” เด็กหนุม่ ร่างสูงยกมือไหว้ทา่ ทางสุภาพเรียบร้อย และเป็นครั้งแรกที่ยอมปล่อยมือจากคอของคนข้างๆ หลังจากเกาะหนึบมาตลอด ทาง “ต้องขอรบกวนแล้วครับ” ภาพที่เห็นจากหางตาท�ำปิ่นหยกต้องหันขวับไปจ้องเขม็งอย่างขัดอกขัดใจ เกิดจะนอบน้อมเป็นคนละคนขึ้นมาเชียวไอ้เบื๊อกนี่! เอมจิตเพียงแต่เลิกคิ้วแล้วจ้องคนทั้งสองราวกับจะส่องให้ทะลุปรุโปร่ง สุดท้ายก็พยักหน้ายิ้มๆ ซึ่งท�ำให้ปิ่นหยกนึกหวั่นกับท่าทีนิ่งสนิทของนายจ้างอยู่ นิดหน่อย เห็นแล้วพาลจะขนลุกอยู่เรื่อยเชียว เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ท�ำไมผู้ใหญ่คนนี้จะไม่รู้ว่าเขาโกหก เพียงแต่เอมจิตใจดี และสุขุมพอจะเลือกวิธีจัดการกับเด็กวัยรุ่นอย่างคนที่เคยผ่านโลกมามากกว่า ชาย หนุ่มรู้ว่าที่ได้ฟังนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด รู้ว่าอีกไม่นานปิ่นหยกคงเป็นคนเล่าให้ ฟังเอง และรู้ว่าถึงปิ่นหยกไม่พูด ก็มีวิธีบังคับให้เจ้าตัวพูดออกมาได้ไม่ยากเย็น หากเขาอยากรู้ “ยินดีต้อนรับนะ หอพักตอนนี้ไม่มีห้องว่าง แต่คงนอนห้องปิ่นใช่ไหมคืนนี้” เอมจิตก้มลงมองกระเป๋าเสื้อผ้าที่อาทิตย์หิ้วติดมือมาด้วยแล้วพยักพเยิดไปทาง บันไดพร้อมกับค�ำอนุญาตที่ท�ำปิ่นหยกถอนหายใจเฮือก บอกไม่ถูกว่าโล่งอกหรือ หนักใจมากกว่ากัน “เอาของขึ้นไปเก็บก่อนสิ” “...เฮ้อออ” เขายังคงกลับมาถอนหายใจอย่างต่อเนื่องที่ห้องของตัวเอง สิ่งที่ปิ่นหยกบอกกับเอมจิตว่าเรื่องมันยาว แท้จริงแล้วสั้นนิดเดียว 10


แค่หลังจากพบกันเมื่อเย็น เขาเดินหันหลังกลับ ตัดสินใจทิ้งสิ่งที่ดูท่าทาง จะเป็นตัวปัญหา (ซึ่งอาทิตย์เถียงมาตลอดทางว่าตัวเองไม่ใช่) ไว้กับกองขยะเศษ เหล็ก แต่แน่นอน ถ้ายอมง่ายๆ จะเรียกว่าตัวปัญหาได้อย่างไร? ผลลัพธ์จงึ กลายเป็นอีกฝ่ายอาศัยความได้เปรียบทางกายภาพ เกาะแขนตีซี้ ขอมาค้างด้วย เพราะเพิง่ ถูกพ่อไล่ออกจากบ้านด้วยเหตุผลทีย่ งั ไม่เปิดเผย เนือ่ งจาก เจ้าตัวบอกยังไม่มีอารมณ์จะเล่า ดูเอาเถอะ... หลังจากแกล้งท�ำเป็นเดินหลงทางสองครั้ง สลัดออกสามครั้ง พยายามท�ำ อะไรสักอย่างที่คล้ายจะเร่งฝีเท้าหนีแต่ไม่ทันสี่ครั้ง ปิ่นหยกจึงยอมรับความพ่ายแพ้ ว่าที่เสียแรงท�ำไปนั้นช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี เพราะนอกจากหลุดออกมาไม่ได้ กลับกลายเป็นยิ่งโดนเกาะหนึบหนักข้อขึ้นเรื่อย จนสุดท้ายกว่าจะกลับถึงหอพักก็ แทบจะกอดรัดกันเป็นโคอาล่าเกาะต้นไม้ ไม่สิ เขางุน่ ง่านนิดหน่อยเมือ่ นึกถึงตรงนี้ เรียกปลิงเผือกเหมาะกว่า โคอาล่า มันน่ารักไป ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่มานั่งทอดถอนใจกับตะกร้าผ้าเพิ่งซักเสร็จ เตรียมเอาไปตาก ปล่อยให้รมู เมทเฉพาะกิจคนใหม่จดั การรือ้ ข้าวของตัวเองออกมา วางตรงที่ชอบๆ ในห้องเขา ปราศจากอาการรู้สึกรู้สาแม้สักนิดว่าก�ำลังท�ำตัวเป็น ภาระชิ้นโต ทว่าราวกับจะรับรู้ได้ถึงสายตากดดันซึ่งถูกส่งมาทิ่มหลัง อาทิตย์ขยับตัว หยุกหยิก แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความล�ำบากใจแน่นอน ครู่หนึ่งจึงชิงพูดขึ้นมาก่อน ท่ามกลางความเงียบ “พี่เอมเป็นพี่ชายนายหรือ?” “เปล่า” ปิ่นหยกตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “เป็นนายจ้าง” ว่าพลางเอาเท้า เขี่ยๆ เสื้อผ้าอีกฝ่ายที่ขนมาวางบนเตียงเขาอย่างกับตั้งใจจะอยู่ห้องนี้สักชาติเศษ ท�ำมันหล่นลงพื้นไปบางส่วนด้วยความหมั่นไส้ “อ้อ” อีกฝ่ายพยักหน้า เก็บเสื้อผ้าที่ร่วงไปขึ้นมาวางที่เดิมด้วยท่วงท่าเนิบ นาบ ปิ่นหยกระรานโดยการเขี่ยมันหล่นดูอีกครั้ง อาทิตย์เก็บขึ้นมาอีกรอบ เขา ลองดูอีกหน อาทิตย์ก็เก็บเสื้อผ้าขึ้นมาวางอีกที ไม่มีวี่แววจะหงุดหงิดอะไรออกมา 11


แม้แต่น้อย เด็กหนุ่มถึงกับเผลอแสดงสีหน้าขยาดออกมาไม่รู้ตัว หมอนี่อาจเป็น คนบ้าจริงๆ ก็ได้ “ประสาท!” ปิ่นหยกเลิกสนใจ หันกลับไปท�ำงานของตัวเองต่อ ยังมีอะไรต้องจัดการอีก มากให้คุ้มกับที่ได้รับความเอ็นดูจากนายจ้าง ทั้งที่ตัวเขาไม่ใช่น้องแท้ๆ ของเอมจิต แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นแค่เด็กท�ำงานพิเศษ แต่เพราะอยู่มานานจนเป็นที่ไว้ใจ แถมยัง เป็นเด็กดีช่วยงานทุกอย่าง ตั้งแต่ในร้านไปจนถึงงานบ้านทั้งหลายแหล่ สุดท้าย เลยกลายเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งซึ่งมีเอมจิตเป็นหัวหน้าครอบครัว มีน้องชายของเอมจิตอีกคนชื่ออุ่นใจ และตัวเขาเองที่แก่กว่าอุ่นใจสองปี โชคดีจริงๆ ตรงพี่น้องคู่นี้น่ารักทั้งสองคน นอกจากจะอยู่กันเป็นครอบครัว อย่างอบอุ่น ค่าเช่าห้องก็ไม่ต้องเสีย แลกกับการท�ำงานบ้านและช่วยงานที่ร้าน เป็นการดีกับสถานะทางการเงินของตัวเองไม่น้อยทีเดียว งกหรือ? ก็บอกว่าไม่ได้งกไง...แค่รู้จักใช้เงิน! ระหว่างทาง เด็กหนุ่มแวะหยิบพายไก่ที่ได้ฟรีจากลูกค้าประจ�ำของเอมจิต มาคาบไว้ สองมือยกตะกร้าผ้าขึน้ ข้างละใบค�ำ้ ไว้กบั เอว เดินดุย่ ๆ ไปยังลานซักล้าง ด้านหลังเตรียมจะตากผ้า แต่ยังไม่ทันได้เริ่มท�ำอะไรก็ถูกผู้อยู่อาศัยแปลกปลอม โผล่พรวดเข้ามายืนขวางทาง “อีอะไอ!?” (มีอะไร!?) เขาถามเสียงอู้อี้ พายไก่ยังคาบอยู่เต็มปาก “นี่ปิ่นหยก มาคิดดูแล้ว” อีกฝ่ายเดินเข้ามาประชิดแล้วเอ่ยเสียงเรียบ ซึ่งก็ ออกจะเรียบเกินไปจนไม่เข้ากับประโยคที่ถูกเอ่ยออกมาหลังจากนั้นแม้แต่น้อย “ฉันเสนอร่างกายให้นายเป็นไง?” “!?” ตะกร้าผ้าหล่นโครม เมื่ออยู่ๆ มนุษย์หน้ามึนก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปีมีขลุ่ย ปิ่น หยกท�ำท่าเหมือนอยากตะโกนให้ลั่นโลกว่ารู้ตัวไหมพูดอะไรออกมา ติดอยู่ตรงถ้า แหกปากไปตอนนี้พายไก่ที่คาบอยู่อาจจะหล่นลงพื้นเสียของได้ “จากนี้ก็ไม่รู้จะไปนอนไหนแล้ว ขอเอาร่างกายแลกกับที่พักและอาหาร เถอะนะ” 12


“เดี๋ยวนะ” อาทิตย์ไม่พูดเปล่า น่าดีใจแทนบุพการีที่มีลูกชายพูดจริงท�ำจริง ท�ำตัวเป็น มนุษย์มึนมองเขาตาใส จากนั้นจึงก้มลงไปเอามือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองอย่าง ใจเย็นกลางลานซักล้างชนิดไม่อายเทวดาฟ้าดิน “เฮ้ย!” พร้อมกับที่พายไก่แสนรักของเขาทิ้งตัวลงพื้นอย่างสวยงามด้วยลีลาราว นักกระโดดน�้ำระดับชาติ “จะบ้าเรอะ!?” เสียพายอย่าเสียสติ ถึงจะอาลัยอาวรณ์ของกินขนาดไหน แต่เรื่องไอ้คน ตรงหน้าซึ่งก�ำลังแกะกระดุมเสื้อโชว์แผงอกและกล้ามท้องจนถึงเม็ดสุดท้ายแล้ว ช่างบ้ายิ่งกว่าจนไม่มีเวลาไปสนใจ หากไม่รีบห้ามไว้อีกฝ่ายคงกะแก้ผ้าล่อนจ้อน เป็นแน่ เขาหายใจเข้าลึก ตั้งสติได้ก็รีบตวาดทันที “หยุดเลยไอ้เวร! ใครจะอยากได้ตัวผู้อย่างแกเป็นเมีย!?” อาทิตย์ช้อนสายตาใสแจ๋วขึ้นมอง แต่หลังจากประเมินแล้วว่าหุ่นใหญ่สูง ชะลูดของตัวเองช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย จึงเปลี่ยนเป็นโน้มตัวมาหาด้วยท่าทาง ราวกับเด็กอ่อนโลก ซึ่งแน่นอนว่าขัดกับประโยคที่เอ่ยออกมาแบบสุดติ่ง! “ตกลงจะให้เป็นเมียเลยหรือ? ตอนแรกก็กะว่าจะแค่มอบร่างกายให้เฉยๆ เสียอีก” ถัดจากตะกร้าผ้า พายไก่ เด็กหนุ่มเจ้าของห้องก็ไม่เหลืออะไรให้ท�ำร่วง ลงพื้นได้อีก แต่สีหน้าและปากที่อ้าค้างอยู่ตอนนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่าหากเขาท�ำขา กรรไกรล่างร่วงตามลงไปได้คงท�ำแล้ว ไอ้หน้าหล่อพ่อทิ้งนี่มันบ้า! บ้ากู่ไม่กลับ หมอไม่รับรักษา หน้าตามีชาติตระกูลแต่สติไม่เต็มเต็งช่างน่าสงสารสิ้นดี! “...ยะ...หยุดเลย! ติดกระดุมนั่นด้วยแล้วฉันจะไม่เอาเรื่องที่นายตามสโตรก คนอืน่ มาถึงบ้าน สร้างความตืน่ ตระหนกให้ประชาชนด้วยค�ำพูดสองแง่สามง่าม และ ฆาตกรรมพายไก่ของฉันอย่างเลือดเย็นแบบนี!้ ” ปิน่ หยกยัดข้อหาให้สามกระทงซ้อน ตามด้วยชี้ไปยังเสื้อผ้าซักแล้วที่บัดนี้เทกระจาดออกมากองอเนจอนาถอยู่บนพื้น “ไหนจะผ้าพวกนีอ้ กี แล้วยังมีหน้ามาท�ำท่าจะเปิดโชว์ของลับกลางทีแ่ จ้ง! เป็นพวก โรคจิตชอบอวดของเรอะ!?” 13


อาทิตย์ยืนท�ำหน้ามึน ขณะที่เด็กหนุ่มโวยวายฉอดๆ อยากแปลงร่างเป็นก็ อดซิลล่าพ่นไฟท�ำลายเมืองขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น ได้ยินเสียงงึมง�ำเถียงกลับมาว่ายัง ไม่ทนั ได้โชว์อะไรเลยยิง่ พาลจะท�ำให้ปรอทแตก ทีส่ ดุ แล้วเมือ่ เห็นว่าเจ้าตัวไม่มที ที า่ อยากติดกระดุมเสื้อกลับให้เรียบร้อยสักที จึงได้กระชากเสื้อเชิ้ตตรงหน้าเอามาติด ให้เสียเอง ไม่ทันสังเกตเลยว่าระยะระหว่างปลายจมูกตอนนี้ช่างเป็นความใกล้อัน น่าหวาดเสียว “หน้าแดงด้วยแน่ะ” “ห้ะ!?” จังหวะเดียวกับที่กระดุมเม็ดสุดท้ายถูกติดขึ้นมาจนชิดล�ำคอ ปิ่นหยกจึงได้ เงยขึ้นมองตามเสียงทัก ซึ่งนั่นเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อมอย่างไรพิกล ฉิบหาย...ใกล้เกินไปแล้ว! ใกล้จนรู้สึกได้เลยว่าลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายก�ำลังพ่นปะทะหน้า ใบหน้าเขา ขณะที่เจ้าตัวก�ำลัง...หัวเราะ? ไอ้ตูดหมึก! กล้าหัวเราะเยาะเขาเรอะ!? “ยิ่งแดงใหญ่เลย” อาทิตย์ย้ิมละมุน ผิดสถานการณ์เป็นที่สุด “ตกลงว่ารับ ฉันเป็นภรรยาแล้วใช่ไหมที่รัก” ว่าแล้วยังจัดการปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก ทั้งที่เขาเพิ่งติดให้เรียบร้อยไป เมื่อครู่แท้ๆ ปิ่นหยกรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนกะทันหัน ถูกโจมตีจากความขาวของแผง อกกว้างซึ่งพุ่งเข้ากระแทกตาด้วยพลังท�ำลายล้างสูง เมื่อรวมกับค�ำว่า ‘ที่รัก’ เสียง ทุ้มต�่ำห้อยอยู่ท้ายประโยคยิ่งฟังดูโรคจิตบัดซบเพราะดันออกมาจากปากมนุษย์ เพศเดียวกัน รู้ตัวอีกที หมัดลุ่นๆ ของเด็กหนุ่มก็พุ่งตรงเข้าจมูกคนที่อุปโลกน์ตัวเองเป็น ศรีภริยาอย่างงดงาม

14

“...เจ็บ...” อาทิตย์พึมพ�ำเป็นรอบที่สาม แม้เลือดก�ำเดาจะหยุดไหลแล้วหลังจากโปะ ถุงน�ำ้ แข็งไว้ทจี่ มูกมาได้ครูใ่ หญ่ “ไม่อยากรับเป็นภรรยาก็บอกกันดีๆ สิครับ สามีทดี่ ี เขาไม่ใช้ก�ำลังหรอกรู้ไหม?”


“อุ๊! แค่ก!” ใจคอหมอนี่จะวางแผนฆาตกรรมด้วยการท�ำตัวสะดิ้งให้เขาส�ำลักน�้ำลาย ตายหรืออย่างไร!? “เป็นพวกชอบซ้อมเมียหรือ” เด็กหนุ่มร่างสูงเห็นอีกฝ่ายไม่เถียงอะไรก็ดูจะ ยิ่งได้ใจ พูดต่อเป็นฉากๆ ทั้งสีหน้าเมาชีวิต “ตบจูบๆ แบบในหนังอะไรงี้?” เย็นไว้ปิ่นหยก อย่าถือคนบ้า อย่าฆ่าคนมึน “อืม...หรือว่า...“ “หยุดเลยไอ้...!” เขาฟึดฟัด จนปัญญาจะหาค�ำเหมาะๆ มาด่า ได้แต่พ่นลมออกทางจมูก อย่างเหลืออด “ถ้ายังพูดแมวๆ อีกฉันจะส่งแกไปเป็นดาวลูกไก่ดวงที่แปด!” หลังจากนั่งท�ำหน้ามึนกว่าปกตินิดหน่อยเพราะของเดิมก็ดูจะมึนอยู่แล้ว อาทิตย์จึงถามเสียงซื่อ ซึ่งคงฟังดูดีกว่านี้หากมันออกจากปากเด็กน้อยอายุห้าขวบ “อะไรคือดาวลูกไก่ครับ?” “ไม่รู้จักเรอะ!?” สามีจ�ำเป็นหันไปท�ำหน้าไม่อยากเชื่อ “กระจุกดาวที่มันมี อยู่เจ็ดดวงไง!” “ไพลยาดีสน่ะหรือ?” “กระแดะชื่อฝรั่ง!” ปิ่นหยกย่นจมูก พร้อมยันโครมไปหนึ่งทีข้อหาหมั่นไส้ “ชอบซ้อมเมียจริงๆ ด้วย” อีกฝ่ายบ่นทั้งที่ยังหน้านิ่ง ชัดเจนว่าตอนถูกยัน ไปเมื่อครู่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด แล้วยังน�้ำเสียงราบเรียบขัดกับเนื้อหาใน ประโยคนั่นอีก เชื่อว่าต่อให้เด็กอนุบาลมาได้ยินก็คงรู้สึกว่าน่าโดดเตะก้านคอสิ้นดี ตอนถามต่อยังใช้โทนเสียงแบบเดิมให้คนฟังกล้ามเนือ้ ใบหน้ากระตุกอีก “ท�ำไมต้อง ลูกไก่?” “ไม่เคยฟังนิทานหรือไง เด็กสมัยนี้นี่!” เขาโคลงศีรษะเหนื่อยใจ คงลืมไป แล้วว่าเป็นรุ่นเดียวกัน “ปิน่ หยกดูแก่ดจี งั ไม่เสียแรงมาขอพึง่ พา” อาทิตย์พยักหน้าเออออกับตัวเอง พลางนัง่ แคะคราบเลือดก�ำเดาทีต่ ดิ อยูเ่ หนือริมฝีปากไม่แคร์สอื่ อีกมือก็หยิบน�ำ้ แข็ง ในถุงซึ่งเพิ่งเอามาโปะจมูกออกมาเคี้ยวเล่น ขณะที่เจ้าของห้องรู้สึกเหมือนตัวเอง จะก�ำลังแปลงร่างเป็นเดอะฮัลค์แล้วจับไอ้งี่เง่าตรงหน้านี่ฟาดๆๆ ลงกับพื้นสัก 15


สองสามทีให้หายปากเสีย ทว่าเพื่อนร่วมห้องไม่ได้รับเชิญชิงพูดขัดจังหวะขึ้นก่อน ปิ่นหยกจะได้มีโอกาสเอาแผนฆาตกรรมในหัวออกมาใช้จริงๆ “เล่าให้ฟังหน่อย” “ห้ะ!?” “ลูกไก่ไงครับ งงอะไร สอบได้ท็อปไฟว์ของมอหก ไม่น่าหัวช้าเลย” พูดเสร็จก็โยนก้อนน�้ำแข็งขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้วตั้งท่าจะอ้าปากรอรับ แต่ เจ้าของห้องกลับยื่นมือไปคว้าก้อนน�้ำแข็งไว้ได้กลางอากาศแล้วปาใส่หน้าผากไอ้ ตัวปากเสียเสียงดัง ป้อก! “เสียงก้องดีจริง กะโหลกกลวงนะแก” “ถนอมเมียหน่อยสิครับ” อาทิตย์ส่งเสียงตัดพ้อแกมขู่แล้วยกมือไปลูบเศษ น�ำ้ แข็งทีค่ า้ งอยูอ่ อกจากหน้าผาก “เดีย๋ วหมดอายุการใช้งานก่อนวัยอันควรกันพอดี” ปิ่นหยกถอนหายใจยาวเป็นครั้งที่เท่าไรก็เพลียจะนับ ถ้าลมหายใจเขาเป็น ต้นไม้มันคงถูกถอนจนสูญพันธุ์ไปแล้ว จริงๆ นะ โรงเรียนควรมีการตรวจคัดกรอง สุขภาพจิตนักเรียนดูบ้างว่ามีใครบ้าอย่างหมอนี่อีกไหม จะได้รีบควบคุมไม่ให้เที่ยว ออกมาเสนอตัวเป็นภรรยาคนอื่นอย่างที่เจ้าตัวก�ำลังท�ำอยู่ “เอางี้นะครับไอ้คุณอาทิตย์ ก่อนอื่นเราเลิกเล่นเป็นสามีภรรยาปัญญานิ่ม อะไรนี่ก่อน แล้วจะได้คุยกันดีๆ เสียที” เจ้าของชื่อท�ำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งแล้วยักไหล่ “เลิกก็ได้ ที่จริงก็ไม่ได้อยากเป็นเมียใครหรอก เสียเชิงชายหมด” ปิ่นหยกอยากตะโกนว่ามันควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วว้อย! แต่ที่สุดก็ตัดสินใจ สงบปากสงบค�ำแล้วเตรียมล้มตัวลงนอน วันนี้ใช้พลังงานกับเรื่องบ้าๆ มามากพอ แล้ว ไหนจะต้องซักผ้าถึงสองรอบเพราะเหตุการณ์เมื่อเย็นอีก หากเขาโชคดีพอ พรุ่งนี้เช้าอาจตื่นมาแล้วพบว่าทั้งหมดนี่แค่ฝันไปก็ได้ “เดี๋ยวสิ จะท�ำอะไรน่ะ?” “กินข้าวมั้งเนี่ย!” ปิ่นหยกโวยวายพร้อมกับคลานขึ้นเตียง “จะนอนแล้ว!” “ยังนอนไม่ได้นะ!” อีกฝ่ายส่งสายตาเว้าวอนชวนให้คนมองใจอ่อน แต่แน่ นอนว่าไม่ใช่ตอนเที่ยงคืนกว่าที่พลังงานเขาแทบเกลี้ยงหลอดอย่างนี้ “อะไรอีกล่ะไอ้บ้านี่” 16


“แล้วลูกไก่ล่ะ?” “ลูกไก่?” เขาเลิกคิ้ว ประมวลผลไม่ทันกับเรื่องที่อาทิตย์ก�ำลังพูดถึง “ลูกไก่ อะไร” “นิทานดาวลูกไก่ เพิ่งแป๊บเดียวลืมที่สัญญาจะเล่าแล้วหรือ?” เอ่อ...ขอโทษนะ...แต่ไปสัญญาไว้ตอนไหนวะครับ!? ปิน่ หยกพลิกตัวนอนคว�ำ่ เอาหน้าซุกหมอน หลับหูหลับตาบอกปัดๆ ไปก่อน เพื่อจบปัญหา “ง่วงแล้ว พรุ่งนี้ละกัน” “คนไม่รกั ษาสัญญา” อาทิตย์สง่ เสียงโอดครวญ “เมือ่ กีเ้ พิง่ บอกว่าถ้าเลิกเล่น ผัวเมียจะเล่าให้ฟัง” “ยังไม่ได้สัญญาเลยว้อย” เขาร้องอู้อี้ตอบโต้จากจุดที่ฝังหน้าอยู่ “คนโกหก” ปิ่นหยกบอกกับตัวเองว่าช่างหัวมันเถอะ “ใจจืดใจด�ำ” บ่นได้บ่นไป “ปิ่กหยกครับ” ถ้าเขาแกล้งหลับมันจะเหนื่อยจนหยุดพล่ามไปเองไหม? “จะฟ้องหย่า” ถึงจุดนี้ปิ่นหยกไม่รู้แล้วว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ใครก็ได้ช่วยหิ้วหมอนี่ ไปคืนพ่อมันหน่อยได้โปรด! “หนวกหูจริงว้อย!” สิ้นค�ำตวาด สรรพส�ำเนียงน่าร�ำคาญหูก็เงียบหายไป ชั่วขณะที่ก�ำลังคิด ขอบคุณสวรรค์อันดลจิตดลใจให้สิ่งมีชีวิตแปลกปลอมในห้องสงบปากสงบค�ำลง ได้เสียที ฟูกนอนกลับยวบลงตามน�้ำหนักของอะไรบางอย่างที่ตัวใหญ่ สูง ผิวขาว คิ้วเข้ม หน้าหล่อ และสติไม่ดี “ท�ำอะไรน่ะเฮ้ย!?” “ลูกไก่” คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนคร่อมเขาอยู่เอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาด�ำขลับจ้อง ลงมาเหมือนลูกหมาอ้อนเจ้าของ ติดที่ไอ้ลูกหมานี่ออกจะตัวใหญ่ไปสักหน่อย “เล่า ให้ฟังที...นะ?” 17


“เวรเอ๊ย!” ปิ่นหยกกลอกตาสีหน้าสุดจะทน ไม่เล่าให้จบๆ ท่าทางคืนนี้คงไม่ได้หลับ ได้นอนกันแล้ว เด็กหนุ่มกลิ้งพลิ้วๆ มุดลอดใต้ช่วงแขนของตัวปัญหาหน้าเอ๋อ แล้ว พลิกมานั่งกอดอกออกอาการเซ็งอยู่ตรงขอบเตียง บ่นหงุงหงิงไม่ได้ศัพท์เหมือน คนแก่ก่อนจะออกค�ำสั่ง “โอเค รู้แล้ว! ฟังดีๆ นะ คุณเมียครับ!” เขาถอนใจยาว เล่านิทานให้เด็กโข่งหน้ามึนฟังตอนเที่ยงคืนกว่ามันใช่เรื่อง ไหมนี่! ฝั่งตรงข้ามเป็นอาทิตย์นั่งท�ำตาใสแจ๋วอย่างน่าสอยร่วงเป็นที่สุดเมื่อเห็นว่า วิธีของตัวเองได้ผล “กาลครั้งหนึ่งนานพอสมควร มีตายายอาศัยอยู่ในกระท่อมชายป่า” เด็กหนุ่มขยี้ตา เริ่มต้นเล่านิทานน�้ำเสียงงัวเงียด้วยประโยคยอดฮิต แล้ว เนื้อเรื่องเป็นไงต่อนะ...ประมาณว่า “...ทั้งคู่เลี้ยงแม่ไก่ที่มีลูกไก่อยู่เจ็ดตัว” เขาพยัก หน้ากับตัวเองหงึกหงัก ไม่ได้ฟังนานแล้วแต่น่าจะราวๆ นี้ “ทั้งสองคนดูแลแม่ไก่ และลูกไก่เป็นอย่างดี แต่วันหนึ่งมีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ใกล้กระท่อม ตายายก็ เลยตั้งใจจะท�ำอาหารไปถวาย” ปิ่นหยกเว้นระยะให้ตัวเองได้หาวหวอดใหญ่ออกมาหนึ่งครั้ง พร้อมกับ เหลือบมองไอ้เด็กอนุบาลในร่างมัธยมที่คว้าหมอนมากอดอยู่บนตักแล้วจ้องกลับ มาตาเป็นประกาย เห็นแล้วก็อดไม่ได้จะคว้าหมอนอีกใบมาฟาดใส่ไปทีหนึ่งข้อหา หมั่นไส้ “ทีนบ้ี า้ นจนไง...เสบียงทีก่ ระท่อมก็มแี ต่ผกั หญ้า สุดท้ายเลยตัง้ ใจจะเอาแม่ไก่ ไปท�ำเป็นอาหาร” อืม...จุดนี้สะเทือนใจเหมือนกัน เขานั่งเหม่อนึกถึงสมัยเด็กเมื่อครั้งแม่เคย เล่านิทานเรื่องนี้ให้ฟังครั้งแรก แต่ดูเหมือนจะเหม่อนานไปหน่อย คราวนี้เลยตก เป็นฝ่ายถูกเอาหมอนฟาดเบาๆ เป็นการกระตุ้น “เล่าต่อเร็ว” ปิ่นหยกท�ำท่าฟึดฟัดเล็กน้อยพอเป็นพิธี ที่จริงมานั่งทวนนิทานตอนนี้ก็ไม่ เลวนักหรอก ท�ำให้ได้ดึงความทรงจ�ำดีๆ สมัยยังเป็นเด็กออกมาโลดแล่นอีกครั้ง ติดแค่ครั้งนี้ออกจะแปลกสักหน่อยที่ต้องเป็นคนเล่าเอง 18


“...แม่ไก่ก็เลยไปบอกลาลูกๆ” เขาพึมพ�ำ ตาลอยเล็กน้อยด้วยความง่วง “พอเช้าวันรุ่งขึ้นตากับยายเตรียมก่อไฟท�ำอาหาร ทันใดนั้นลูกไก่เจ็ดตัวก็กระโจน เข้ากองไฟตายตามแม่ไก่ไป” “ไม่ร้อนหรือ” “ร้อนสิ” “ไก่ย่าง” “อย่าขัดสิวะ!” อาทิตย์ยิ้มน้อยๆ “ดุจริง” เด็กหนุม่ ค้อนขวับ หมัน่ ไส้จนเอาเท้ายันหน้าแข้งคนฟังไร้มารยาทเบาๆ เป็น การตักเตือน ก่อนจะกลับมาท�ำหน้าที่ตัวเองต่อ (ว่าแต่นี่หน้าที่เขาจริงหรือ?) “เทวดาเห็นในความกตัญญูก็เลยเสก บูม! ลูกไก่เจ็ดตัวไหลลงท่วมทุ่งข้าว สาลีแล้วกลายเป็นโกโก้ครั้นช์” “เหรอ!” อีกฝ่ายอุทานน�้ำเสียงตื่นเต้น เขาเลยเอาหมอนฟาดเข้าไปเต็มรัก อีกสักที หมอนี่มันโง่หรือบ้ากัน “ก็กลายเป็นดาวลูกไก่บนฟ้าต่างหากเล่า! ทีอย่างนี้ท�ำเชื่อ” ปิน่ หยกส่ายหน้าแล้วไถลตัวเองลงไปนอนแผ่บนเตียง เอาศอกดันๆ ให้เพือ่ น ร่างสูงที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมขยับไปนอนอีกฟูกของซึ่งปูไว้กับพื้นเสียที “ลูกไก่โง่นะ” อาทิตย์พึมพ�ำ “เขาเรียกกตัญญู” เด็กหนุ่มผู้มาอาศัยห้องคนอื่นอยู่ ตอนนี้ก�ำลังเหม่อมองไปยังก�ำแพงว่าง เปล่าตรงหน้า ท่าทางยังคงมึนๆ เหมือนเคย พึมพ�ำออกมาแผ่วเบา “ถ้ากตัญญูก็ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อคุณตากับคุณยายที่เลี้ยงมาสิ” “ก็มันรักแม่มัน” “ฉันก็รักคุณแม่ฉัน” ปิ่นหยกท�ำหน้าเซ็ง “แล้วแกเป็นลูกไก่เรอะ!?” ”มันไม่ต่างหรอก” 19


เขากลอกตาเหลืออดเหลือทน พอกันที หมดอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง ไม่รบี นอน พรุ่งนี้คงแหกขี้ตาตื่นมาช่วยงานครัวเอมจิตตั้งแต่ตีสี่เหมือนทุกวันไม่ไหวแน่ๆ “ตอนคุณแม่ตาย ฉันกับพี่ยังไม่ตายตามเลย เราก็ยังอยู่ต่อเพื่อคุณพ่อ” อาทิตย์พูดเพียงเท่านั้นแล้วก็มุดตัวเข้าใต้ผ้าห่มบนที่นอนของตัวเองอย่างสงบ นิ่ง เงียบเกินไปจนอีกคนบนเตียงต้องชะเง้อลงมาดูพร้อมสีหน้าฉงน “อาทิตย์?” “......” ไม่ตอบ เป็นไปได้หรือ “อาทิตย์!?” มีเพียงความเงียบที่ได้รับกลับมา ปิ่นหยกเริ่มใจคอไม่ดี หรือเขาพูดกับอีก ฝ่ายแรงเกินไป? ใครจะไปรู้ว่าแม่มันเสียแล้ว ”เฮ้ย...เป็นไรเปล่า?” เด็กหนุ่มตัดใจต้านแรงดึงดูดจากความง่วงอันดึงรั้งให้หลังติดที่นอน ลุก จากเตียงแล้วลงมานั่งคุกเข่าข้างร่างซึ่งนอนคลุมโปงอยู่บนฟูกตัวเอง นี่แอบร้องไห้อยู่หรือเปล่าวะเนี่ยไอ้คุณอาทิตย์ “...อาทิตย์ ขอโทษ” เขาบ่นในล�ำคออย่างไม่เต็มใจนัก เลิกผ้าห่มอีกฝ่ายขึ้นช้าๆ เบามือ เพียง เพื่อจะพบว่า... มันหลับไปแล้ว! “...ไอ้ลูกเจี๊ยบ!” ปิ่นหยกค�ำรามลอดไรฟัน สติแทบขาดผึงลงตรงนั้น “แกเอา ค�ำขอโทษแบบโคตรจะมาดแมนแฮนซั่มของฉันคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะว้อย!” เทพเจ้าแห่งเงินตราและความร�่ำรวยส่งไอ้ลูกเจี๊ยบโข่งนี่มาให้ผมท�ำไม ครับ?

20


2 ปริศนาของคุณชาย

...ง่วง... ง่วงโคตร! และอากาศครึ้มๆ ยามเช้าในช่วงต้นฤดูฝนแบบนี้ก็ท�ำให้ผมรู้สึกเหมือนหัว ตัวเองมีน�้ำหนักสักหนึ่งตันเศษ ซึ่งสักครึ่งตันคงจะเป็นน�้ำหนักของเปลือกตาซ้าย อีกครึ่งตันเป็นข้างขวา เหลือเศษเป็นน�้ำหนักสมองและกะโหลก โอเค...ผมเวอร์ไป แค่อยากบอกว่าง่วงมาก หัวแทบปักพื้นทั้งที่ก�ำลังเดินเข้า โรงเรียนอยู่แล้ว เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสอง ปกติผมเป็นเด็กอนามัยดีนะครับ นอนไม่เกินเที่ยงคืน และกิจวัตรประจ�ำวันคือตื่นตีสี่มาช่วยพี่เอมเตรียมวัตถุดิบท�ำ เค้ก กับท�ำความสะอาดร้านให้ทนั เปิดให้บริการเวลาแปดโมงในวันธรรมดา ทุกครัง้ ก็จะก้มๆ เงยๆ อยู่ในครัวจนถึงประมาณตีห้ากว่า ออกมาจัดโต๊ะเก้าอี้ดูความ เรียบร้อยในร้านถึงหกโมง อ่านหนังสือเตรียมบทเรียนล่วงหน้าอีกสักหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยอาบน�้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ส่วนตอนเย็นเลิกเรียนปุ๊บก็จะตรงดิ่งกลับมาช่วยงานที่ร้านเลย ไม่มีแวะ เที่ยวเล่นที่ไหนให้เสียเวลาท�ำมาหากิน ร้านปิดหกโมงครึ่ง เวลาใกล้เคียงกับที่ผม 21


เตรียมมื้อเย็นเสร็จพอดี จากนั้นพี่เอม อุ่นใจ และผมก็จะนั่งกินข้าวด้วยกัน ถามไถ่ สารทุกข์สุขดิบ นินทาลูกค้า เล่าเรื่องที่โรงเรียน อิ่มแล้วจึงไปล้างถ้วยชามท�ำความ สะอาดห้องครัว ตรวจเช็กวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ต้องใช้วันรุ่งขึ้น ส่วนใหญ่อุ่นใจก็ คอยมาช่วยบ่อยๆ เพราะจานชามและถ้วยกาแฟช่วงเปิดร้านตอนกลางวันมันน้อย เสียเมื่อไร จากนั้นค่อยเป็นเวลาส่วนตัวไว้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ชีวิตผมด�ำเนินแบบนี้ซ�้ำไปซ�้ำมา ซึ่งมันก็มีความสุขดี ผมได้ห้องพักในหอ ของพี่เอมมาหนึ่งห้องแบบไม่ต้องเสียเงินเช่า น�้ำ ไฟไม่ต้องจ่าย กินอยู่ฟรี ทิปจาก ลูกค้าพี่เอมก็ยกให้ แถมยังได้เงินค่าตอบแทนเป็นรายเดือนส่งไปให้แม่กับน้องทาง บ้านด้วย ส่วนที่ต้องตั้งใจอ่านหนังสือทุกวันเพราะได้ทุนเรียนครับ ไม่อย่างนั้นคิดว่า อย่างผมจะมีปัญญาจ่ายค่าเทอมแพงหูฉี่หูฉลามของโรงเรียนนี้หรือ ขายไตเข้า ตลาดมืดสองข้าง แถมไตไอ้ลูกเจี๊ยบอาทิตย์อีกคนยังไม่พอเลย พูดถึงไอ้ปัญญาอ่อนนั่นก็ชวนให้นึกหงุดหงิด ชีวิตตั้งแต่มีมันมาอยู่ด้วยดู เหมือนจะหาความสงบสุขไม่ได้สักนิด พูดอย่างกับด้วยกันมานานแล้ว เปล่าเลย... ก็แค่เมื่อสองวันเท่านั้นเอง แต่ท�ำไมรู้สึกหมดเรี่ยวแรงกับหมอนี่เหมือนเวลาผ่านมา สักเดือนหนึ่งได้ก็ไม่รู้ ผมเดินห่อเหี่ยวเข้าห้องเรียนโดยมีตัวต้นเหตุผู้ท�ำลายตารางชีวิตเด็กดีของ ผมพินาศย่อยยับเมื่อคืนนี้เดินตามหลังมาต้อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด แหงสิ...มันตืน่ โน่น เจ็ดโมงกว่า อาบน�ำ้ แต่งตัวกินข้าวประหนึง่ อยูบ่ า้ นตัวเอง น่าโบกให้กะโหลกร้าวนัก! “ไอ้ปิ่น!” มาแล้ว เสียงจากนรกอันคุ้นเคยทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูห้อง 6/1 เข้ามา ผมสะดุง้ เล็กน้อยแล้วยืดตัวตรงอยูใ่ นท่าเตรียมพร้อม แยกขานิดหน่อย ถ่ายน�ำ้ หนัก เหมาะๆ เพื่อช่วยในการทรงตัว รู้ดีว่าอีกสองสามวินาทีต่อมาจะเกิดอะไรขึ้น พลั่ก! หมับ! “อรุณสวัสดิ์! ฟืดดด!” จะทักทายให้เป็น ผู้เป็นคนโดยไม่ต้องเอาจมูกมาถูคอนี่ไม่ได้เลยไอ้เพื่อน เวร! 22


“เออ ’รุณสวัสดิ์” ผมว่าเนือยๆ ดันหัวยุ่งกระเซิงที่มันพร�่ำบอกว่าเซ็ตมา อย่างดีสไตล์เกาหลีของไอ้เพื่อนรักออกอย่างไม่ปกปิดอาการรังเกียจ มันเอาหัวดัน สู้อยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจยอมแพ้ ถอยออกไปยืนท�ำตัวสงบเสงี่ยมแต่ยังไม่วาย ส่งเสียงบ่น “ใจร้ายกับเพื่อนตลอดอะ” ในเมื่อมันโผล่มาอย่างนี้แล้ว เห็นทีต้องพูดถึงคนตรงหน้าสักหน่อยในฐานะ เพื่อนสนิท ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือเปล่าก็ตาม เด็กมัธยมชายไทยหัวใจเกาหลีที่ยืนบ่นอยู่ตรงนี้คือ ‘คิม’ หากให้ขยายความจะได้เป็น ชื่อจริงของเขาคือ คิมหันต์ ส่วนชื่อเล่นคือ ‘คีม’ ถูกต้อง! คีม...ซึ่งประสมด้วยสระอี คีม...ที่เป็นเครื่องมือช่างหน้าตาคล้าย กรรไกร คีม...ที่ไม่รู้พ่อแม่คิดอย่างไรจึงเอามาใช้เป็นชื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่ด้วยเหตุว่าหมอนี่ดัดจริตอยากชื่อเกาหลี เลยขอให้เรียกพยางค์แรกของ ชื่อจริงแทน เพื่อนก็แสนดีเออออตามไป คีมๆ คิมๆ เรียกคล้ายกัน ถึงจุดหนึ่งพวก ก็ตีมึนสถาปนาตัวเองเป็นนายคิมไปเสียอย่างนั้น แม้เค้าหน้าพอจะถูไถไปได้อยู่ บ้าง คิม ผิวขาวแบบคนจีนกลุ่มค่อนข้างมีอันจะกิน ตาตี่ไม่มีเหล่าเต๊ง ปากนิด จมูกหน่อย ท�ำผมสีทองปัดซ้ายป่ายขวาไปด้านข้างเกือบจิ้มเข้าไปในหางตาหยีๆ โรงเรียนเอกชนก็มีข้อดีอีกอย่างตรงที่ท�ำให้มันได้ปลดปล่อยอารมณ์เกาหลีออกมา เป็นรูปธรรมผ่านทรงผมได้มากกว่าโรงเรียนรัฐ คิมมีนิสัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเกิดก่อนหรือหลังจากที่มันเริ่มคลั่งเกาหลี คือ ไอ้หมอนี่ชอบสกินชิพ เที่ยวมือปลาหมึกเกาะแกะคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แต่มันบอก เว้นไว้กับสาวๆ เพราะเคยเผลอตัวไปท�ำกับสาวที่เพิ่งรู้จัก เลยโดนสกินชิพกลับมา ด้วยการเอาฝ่ามืองามๆ แนบแก้มมันด้วยแรงหลายนิวตันเสียหน้าหัน เล่นเอาชา ไปหลายวัน ลวนลามคนไม่ออกไปช่วงหนึ่งทีเดียว ตั้งแต่นั้นมาเป้าหมายของคิมหันต์ก็ดูเหมือนจะพุ่งมาที่เพื่อนผู้ชายอย่าง เดียว เพื่อป้องกันค�ำกล่าวร้ายเรื่องหื่นกาม แต่อาจจะได้ข้อครหาเรื่องหื่นเกย์กลับ มาแทน แต่แน่นอนว่าคุณคิมยักไหล่ไม่แคร์สื่อ 23


“ฉันเห็นแกเดินเข้าโรงเรียนมาพร้อมกับไอ้คุณชายโน่นสองวันแล้ว” มัน พยักพเยิดไปทางไอ้ลูกเจี๊ยบยักษ์ซึ่งยืนเงียบอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่แรก พูดถึงก็ลืม หมอนั่นไปเลย แต่เดี๋ยวนะ...คุณชายอะไรกัน? “ปกติต้องมีเบนซ์ประจ�ำต�ำแหน่งมารับมาส่งทุกวันไม่ใช่เรอะ!?” คิมยังพูด ต่อโดยไม่ปิดบังอาการอยากรู้อยากเห็นแม้แต่น้อย ผมหันไปขมวดคิ้ว หรี่ตามองคนข้างหลังที่ยังคงยืนท�ำหน้ามึนอยู่เช่นเดิม แต่มันก็ท�ำเพียงแค่ยักไหล่เบาๆ กลับมา ก่อนจะพูดถึงเรือ่ งอืน่ มีอกี อย่างทีผ่ มควรบอกเกีย่ วกับคุณคิม ไอ้หมอนีเ่ ป็น มนุษย์หูไวตาไว ช่างสังเกต (แต่จะในเรื่องที่ควรหรือเปล่าถือว่าเป็นคนละประเด็น) ฉายาคิมหันต์เจ้าพ่อแห่งข้อมูลข่าวสารของคนในโรงเรียนไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียก ข�ำๆ และตอนนี้ไอ้คิมก�ำลังเดินส�ำรวจรอบตัวคุณชาย (หรือเปล่า?) ชนิดชนิดที่ว่า แบคทีเรียซึง่ ซุกซ่อนอยูใ่ นขีเ้ ล็บนิว้ ก้อยเท้าก็คงไม่สามารถหลุดรอดสายตามันไปได้ “วันนี้เสื้อยับกว่าปกตินะ” คิมเริ่มเปิดประเด็นพลางชี้ไปยังชายของเสื้อ อาทิตย์ซึ่งออกนอกกางเกงมานิดหน่อย ไม่สนใจผมที่ยืนท�ำหน้าเหวอด้วยยังงงว่า เจ้าตัวต้องการจะสือ่ อะไร ไอ้เพือ่ นรักมองผ่านผมไปเหมือนเห็นเป็นเพียงเศษฝุน่ ผง ก่อนจะเริ่มพ่นใส่อีกคนเป็นฉากๆ “ผมยุง่ ไม่ได้เซ็ต รองเท้าเปือ้ นเศษดิน กางเกงจีบแตก แล้วนัน่ ! ถุงเท้าก็เป็น คนละข้างกัน” ทัง้ ผมและอาทิตย์กม้ ตามลงไปมองถุงเท้าทีว่ า่ ทันที เพือ่ จะพบว่าหากสังเกต สักหน่อย แม้จะเป็นสีขาวสะอาดเหมือนกัน แต่ทั้งสองข้างก็เป็นขาวคนละโทนซึ่ง ต่างกันอยู่เล็กน้อยจริง ๆ ถึงจุดนี้ความตาไวเหมือนจะเล่นโฟโต้ฮันท์ของคิมหันต์เริ่มท�ำให้ผมพาล สงสัยไปด้วยแล้ว มันจะอะไรกันนักหนากะอีแค่เสื้อยับ หัวยุ่ง รองเท้าเปื้อนฝุ่น กางเกงจีบแตก และใส่ถุงเท้าผิดคู่ “ไอ้คมิ ทีแ่ กว่ามาฉันก็เป็นอยูบ่ อ่ ยๆ ไม่เห็นเคยทัก” ผมชีผ้ มเผ้ายุง่ เหยิงของ ตัวเองแล้วพูดเสริมเพิ่มความน่าเชื่อถือ “เห็นไหม วันนี้หัวก็ยุ่ง เสื้อก็เยิ้นเยิน” คิมหันต์ปรายตามองผมด้วยสีหน้าเหยียดหยามซึ่งบรรจงปั้นแต่งขึ้นอย่าง สมบูรณ์แบบ มันถนัดนักไอ้เรื่องน่าเตะแบบนี้ “นั่นมันแก! วันไหนแต่งเรียบร้อยมา ฉันค่อยทักละกัน” 24


ผมเหวอนิดหน่อย ไอ้เบื๊อกนี่สองมาตรฐานนะครับ! “แต่นี่คุณชายแสงอรุณ แห่งตระกูลวิจิตรนิรันดร์เลยนะเว้ย!” มันพูดเหมือน เจ้าตัวไม่ได้ยืนหัวโด่ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย “ท่านชายที่ปกติเนี้ยบกริ๊บตั้งแต่ศีรษะ จรดนิ้วโป้งเท้า แต่วันนี้ดันเดินเข้าโรงเรียนพร้อมลูกจ้างร้านเค้กต๊อกต๋อยแบบแก ด้วยสภาพสุดจะเยินมันใช่เรื่องปกติไหม? บิดาสุดรักป่านนี้ไม่ยืนกรีดร้องอยู่ที่ คฤหาสน์วิจิตรนิรันดร์แล้วเรอะ!?” มาเป็นชุดทีเดียว ย�้ำสถานะลูกจ้างต๊อกต๋อยของผมเหลือเกิน ผมหันไปมอง ส�ำรวจอาทิตย์บ้างตามค�ำบอกจากคิมหันต์ ก็อาจจะใช่ว่าหัวดูยุ่งนิดหน่อย เสื้อก็... ยับนิดหนึ่ง แต่โดยรวมใช่ว่าจะสภาพสุดเยินอะไรอย่างไอ้เพื่อนรู้มากกล่าวหาสักนิด แต่อย่างว่า ผมไม่รขู้ องเดิมทีว่ า่ เนีย้ บนีม่ นั เคยเนีย้ บอย่างไร ยิง่ ก่อนหน้านีอ้ ยูค่ นละ ห้อง วันๆ ท�ำงานงกๆ มีเวลาสนใจที่ไหนกัน หลังจากปิดปากเงียบมานาน ในที่สุดคุณชายแสงอรุณ หรือไอ้ลูกเจี๊ยบ อาทิตย์ที่ตกเป็นประเด็นมาครู่ใหญ่ก็ยอมเอ่ยปากแถลงการณ์ออกมาจนได้ “คุณพ่อไล่ออกจากบ้านแล้วเมื่อวานนี้น่ะ” สาบานเลย นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมเห็นตาตี่ๆ ของคิมหันต์เบิกกว้าง อย่างกับตอนอุ่นใจเห็นไม้กายสิทธิ์ของพี่เอม (พี่เอมเรียกไม้เรียวว่าไม้กายสิทธิ์) และถ้าคุณไม่รู้ผมจะบอกให้ว่าอุ่นใจท�ำตาโตได้เหลือเชื่อจริงๆ เวลาพี่เอมเอาไอ้ไม้ นั่นออกมากวัดแกว่ง “นี่โดนขับไล่ออกจากตระกูลแล้วเรอะ!?” คิมรวบรวมสติพูดออกมาได้ใน ที่สุด เห็นชัดว่ามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงไปจากเดิมนิดหน่อย “ไม่ได้ออกจากตระกูล แค่ออกจากบ้านเฉยๆ” อาทิตย์ยักไหล่พร้อมกับแก้ ให้ “มาเผชิญโลกน่ะ ธรรมเนียมของที่บ้าน” ผมมองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อ เพ้อเจ้ออะไรของมัน คุณชายตระกูลใหญ่ (มั้ง) ผู้ถูกไล่ออกจากบ้านตามธรรมเนียมบ้าบอสักอย่าง เรื่องราวยิ่งรันทดขี้หูขี้ตา ไหลเมื่อต้องมาท�ำหน้ามึนเสนอร่างกายให้เพื่อนหนุ่มร่วมชั้นเพื่อแลกกับที่ซุก หัวนอน ชีวิตตกระก�ำล�ำบากอย่างกับนางเอกละครหลังข่าวนี่มันอะไร เดี๋ยวอีกสัก พักจะมีกล้องพร้อมทีมงานโผล่พรวดออกมาจากมุมตึกเพื่อเก็บภาพผมซึ่งก�ำลัง ท�ำปากอ้าค้างอย่างปัญญาอ่อนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า กริ๊งงงงง 25


เสียงออดยาวตอนเช้าดังขึ้นขัดจังหวะตากล้องและทีมงานซึ่งอาจจะมุดหัว อยูท่ ไี่ หนสักแห่ง เรียกให้นกั เรียนหญิงชายรอบตัวพากันทยอยไปเข้าแถวหน้าเสาธง คิมหันต์ทำ� หน้าขัดใจนิดหน่อย ส่วนอาทิตย์ใช้จงั หวะนีเ้ ดินดุย่ ๆ เอากระเป๋าหนังสือ ไปหย่อนไว้บนที่นั่งตัวเองริมหน้าต่าง แล้วลากผมซึ่งมีคิมหันต์เกาะแขนอีกข้างด้วย จิตวิญญาณสื่อที่ดีกัดไม่ปล่อยตามไปด้วยกัน เราสามคนเดินออกไปยังสนามหญ้าของโรงเรียนด้วยความมึน (ส�ำหรับ อาทิตย์) ความงง (กรณีของผม) และความสอดรู้สอดเห็น (ในส่วนของคิมหันต์) โดยตัวต้นเหตุไม่คิดจะชี้แจงอะไรมากไปกว่านั้น เอาละ ถึงตอนนี้เราเข้าใจตรงกันนะครับ ด้วยข้อมูลที่ได้มาจากคิมหันต์ และค�ำเฉลยที่ยังทิ้งปริศนาให้ขบคิดต่อของอาทิตย์ ผมสรุปเองในเบื้องต้นได้ว่า ท่านชายอาทิตย์นนั้ ทีจ่ ริงบ้านรวยครับ แต่งตัวเนีย้ บเนียน ดูดมี ชี าติตระกูล มีราชรถ พร้อมพลขับแบบที่ผมไม่กล้าฝันถึงคอยรับส่งถึงประตูโรงเรียนทุกวัน แต่ไม่รู้ที่บ้าน มันมีธรรมเนียมบ้าบออะไรจึงได้ไล่ลูกชายออกมาเร่ร่อนท�ำตัวเป็นสัมภเวสีเช่นนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าโดนเนรเทศแล้ว ท�ำไมดันโง่มาเกาะผมผู้แสนยากจนแทบเอา ตัวไม่รอด แทนที่จะตามเพื่อนเศรษฐีคนอื่นยังฟังดูเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ อันนี้ถ้า ไม่โทษความบ้าของมันก็คงต้องหาสาเหตุกันต่อไป ผมพยักหน้ากับข้อสรุปซึง่ ออกจะประหลาดของตัวเอง พอนึกย้อนเหตุการณ์ สักหน่อย ที่จริงหลังจากใช้ชีวิตกับมันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ผมก็ว่าอาทิตย์ดูพิลึกอยู่ บ้างเหมือนกัน เมื่อคืนมันมายืนดูผมล้างถ้วยชามด้วยท่าทางสนอกสนใจราวกับก�ำลังดู สารคดีดิสคัฟเวอรี ว่าด้วยเรื่องวิถีชีวิตของตัวคาปิบาร่า อ้าว...นั่นไม่น่าสนใจหรือ? ช่างเถอะ... กลับไปที่อาทิตย์ บทสนทนา ณ กะละมังล้างจานยังชวนให้ผมข้องใจ ไม่หาย “ไอ้นอี่ ะไร” อาทิตย์ชไี้ ปยังแกลลอนขนาดใหญ่ซงึ่ มีของเหลวข้นหนืดสีเหลือง บรรจุอยู่ เป็นเรื่องระดับสามัญอยู่แล้วที่ควรรู้ว่าเป็นน�้ำยาล้างจาน “น�ำ้ ผลไม้มงั้ ” ผมประชด จานชามยังเหลือต้องล้างอีกกองพะเนินยังมาเซ้าซี้ อยู่ได้ “ได้กลิ่นมะนาว” มันท�ำจมูกฟุดฟิด “กินได้ไหม?” 26


“อย่ากินนะเว้ย!” ผมร้องเสียงหลง ตอนแรกนึกว่าพูดเล่น แต่ท่าทางที่เอา ขวดไปจ่อใกล้ปากเตรียมกระดกอย่างนั้นท�ำผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ สงสัยจะ ประเมินมันสูงไปหน่อย “นั่นมันน�้ำยาล้างจาน! ไม่มีตังค์พาไปล้างท้องนะไอ้เวร!” อาทิตย์ยมิ้ ผมเลยไม่รมู้ นั บ้าจริงหรือแค่ลอ้ เล่น ซึง่ หากเป็นอย่างหลังคงต้อง เรียกว่าท�ำได้อย่างแนบเนียนทีเดียว หรือจะตอนอาบน�้ำ “ปิ่นหยก” อาทิตย์เจ้าเก่าโผล่หัวจากหลังบานประตูห้องน�้ำซึ่งแง้มออกมา เล็กน้อย “อะไร” ผมเซ็งมันแย่แล้ว ณ จุดนี้ “ไม่มีน�้ำอุ่นหรือ?” “แล้วเห็นไหมล่ะ” ไอ้ลูกเจี๊ยบเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมา “ไม่เห็นครับ” “อืม” “แล้วไหนน�้ำอุ่นล่ะ” “บร๊ะ! ไม่เห็นก็ไม่มีไงครับ!” “มันช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีนะ” อาทิตย์ท�ำสีหน้าสงสัยเสียเต็มแก่ “ไม่มี แล้วจะอาบได้ยังไง” เสียงมาตรวัดความอดทนในหัวผมหักดังกร๊อบ! อยากจับมันทุ่มท่าเยอรมัน ซูเพล็กซ์นัก เผื่อเอาหัวลงต�่ำแล้วเลือดจะไปเลี้ยงสมองให้หายวงจรความคิดขัดข้อง บ้าง อาทิตย์ยังคงยืนหันรีหันขวางอยู่หลังประตูห้องน�้ำซึ่งแง้มอยู่เท่าเดิม ผมลุก ขึ้นทิ้งหนังสือเรียนที่นั่งอ่านค้างอยู่แล้วจ�้ำพรวดๆ ไปเอาเท้าถีบประตูให้เด้งเปิด ออก อีกฝ่ายเปลือยท่อนบนมีผ้าขนหนูเหน็บเอว เห็นท่าทางซึ่งก�ำลังสาละวนกับ การท�ำให้ฝักบัวธรรมดาสามัญกลายเป็นเครื่องท�ำน�้ำอุ่นแล้วก็ให้อนาถใจ “เอามา!” ผมสั่ง แย่งคว้าหัวฝักบัวในมือมันมาถือไว้มั่น หันไปหมุนก๊อก เปิดน�้ำแรงสุด อืม...น�้ำแรงดี แถมหลังฝนตกแบบนี้ก�ำลังเย็นเฉียบได้ที่เลย อาทิตย์ท�ำตาใส มองผมสะบัดมือเบาๆ สองสามที ดูหน้าตาคงยังไม่รู้ ชะตากรรมตัวเอง ขณะที่ผมระบายยิ้มเลือดเย็นออกมาบนริมฝีปาก 27


จากนั้นก็จัดแจงสาธิตให้ดูว่าถ้าไม่มีน�้ำอุ่นแล้วมนุษย์ทั่วไปเขาอาบกัน อย่างไร ซ่าาาาา น�้ำเย็นๆ พุ่งตรงใส่หน้าคุณอาทิตย์แบบไม่ทันมีโอกาสได้ตั้งตัว ผลคือเปียก โชกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ช่างน่าอนาถอะไรเช่นนี้ “ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะลั่น “ทีนี้อาบได้ยัง” ผมขยับฝักบัวเปลี่ยนทิศไปมากะให้เปียกจนทั่ว เห็นมันตัวสั่นเป็นลูกหมา ตกน�้ำแล้วก็นึกสนุกปนสงสาร แต่บังเอิญว่าความสนุกดันมีมากกว่าเลยเผลอเล่น หนักมือไปหน่อย หวังว่าคงไม่ถึงกับท�ำให้ค่าน�้ำเดือนนี้ขึ้นจนพี่เอมสงสัย “...หนาว” มันบ่น มือยกขึ้นลูบเอาน�้ำออกจากใบหน้า ขณะที่ผมยังแกว่ง ฝักบัวไปมาอย่างสนุกสนาน “...ปิ่น...” เป็นผมเองที่ไม่ทันสังเกตว่าเสียงมันดูจะนิ่งผิดปกติ “ปิ่นหยก” “!?” รู้ตัวเองทีข้อมือผมก็ถูกคว้าหมับแล้วดันไปตรึงไว้กับก�ำแพงห้องน�้ำ ฝักบัว หลุดมือตกลงกระแทกพื้นกระเบื้องเสียงดังสะท้อนก้องในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่ อยากคิดเลยว่าถ้าพังไปต้องเสียค่าหัวฝักบัวใหม่เท่าไร ผมรีบส่ายหน้าเรียกสติ บอกตัวเองว่าตอนนี้ที่ควรกังวลไม่ใช่เรื่องนั้น แต่ ต้องเป็นลูกเจี๊ยบตกน�้ำ...หรือลูกหมาตกน�้ำ...เออ...หรือคนบ้าตกน�้ำ ช่างมันเถอะ! สีหน้าท่าทางมันตอนนี้ดูคุกคามมาก และผมไม่ได้ตั้งใจจะสั่นเลย...จริงๆ นะ บางที อาจเป็นเพราะโดนน�ำ้ จากฝักบัวบนพืน้ ทีส่ ะบัดไปมา ฉีดน�ำ้ เป็นสายพุง่ กระจัดกระจาย ไปทั่วเลยสั่นนิดหน่อยก็ได้ “อะไร!?” ผมท�ำใจดีสู้ลูกเจี๊ยบ ยิงค�ำถามก่อนได้เปรียบ...คิดว่านะ “หนาวครับ” มันกระซิบเสียงแหบพร่า มือยังคงตรึงข้อมือผมทั้งสองข้างไว้ กับก�ำแพงทั้งเสียแน่น นี่แรงคนหรือแรงควาย ใบหน้ า คมคายยื่ น เข้ า มาใกล้ จ นเห็ น แพขนตาซึ่ ง มี ห ยดน�้ ำ เกาะพราว นัยน์ตาสีด�ำสนิทดูอ่อนเยาว์ผิดกับร่างกายสูงใหญ่ที่จ้องมาสะท้อนภาพผมอยู่ใน 28


นั้น จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มได้รูป บ้าเอ๊ย! รู้แล้วว่าหล่อไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามา ให้ผู้ชมทางบ้านดูใกล้ขนาดนั้นก็ได้ กะให้อิจฉาใช่ไหม? แล้วจะเผยอปากท�ำไม คิด ว่าตัวเองเป็นนายแบบนู้ดเรอะ ผมจ้องตามันกลับ เอาสิ! ยังไงผมก็เป็นเจ้าบ้าน...แฮ่ม...ถึงแม้เจ้าบ้านจริงๆ จะเป็นพี่เอมก็เถอะ เอาว่าผมเป็นเจ้าของห้องนี้แล้วกัน ต้องมีสิทธิ์เหนือกว่ามัน ไม่ใช่หรือ? “ปิ่นหยก” ถึงจุดนี้เล่นเอาเปียกโชกไปหมดแล้ว แต่สงครามจ้องตาในสภาพแสนล่อ แหลมก็ยังด�ำเนินต่อไปไม่หยุด ผมรู้สึกหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่บอกว่าฝนเพิ่ง ตกไปเมือ่ เย็น มายืนสวมเสือ้ ผ้าเปียกโชกเล่นสงครามประสาทในห้องน�ำ้ แคบๆ ทัง้ ที่ แขนโดนตรึงไว้ทั้งสองข้าง แถมยังเสียเปรียบด้านรูปร่างอย่างรุนแรงไม่ใช่สภาพที่ เข้าท่าเอาเสียเลย ผมไม่แน่ใจว่าอย่างไหนจะหนาวกว่า ระหว่างตัวเองทีส่ วมเสือ้ ผ้า เต็มยศแต่เปียกไปหมดถึงกางเกงลิง กับอีกฝ่ายทีม่ แี ค่ผา้ ขนหนูเหน็บเอวอยูผ่ นื เดียว อย่างนี้ และก่อนที่ใครสักคนจะสติแตกไปเสียก่อน ซึ่งแม้จะเจ็บใจแต่ยอมรับก็ได้ ว่าคงเป็นผมเอง เหมือนสวรรค์ปรานี หรือต้องเรียกว่ากลั่นแกล้งก็ไม่ทราบได้ เมื่อ ผ้าขนหนูซึ่งเหน็บอยู่หลวมๆ บนเอวของคนที่ยืนค�้ำหัวผมอยู่ท�ำท่าเหมือนจะหลุด อยู่รอมร่อจากการอุ้มน�้ำมากไปหน่อย แต่ความน่าสะพรึงคือท�ำไมหางตาผมต้อง เหลือบไปเห็นช็อตที่ปมซึ่งม้วนอยู่เริ่มคลายตัวออกช้าๆ เข้าพอดีด้วยวะ!? อย่าหลุดนะเว้ย! ผมพร�่ำภาวนาอยู่ในใจ เกาะไว้ก่อน เกาะเอวมันไว้แน่นๆ นะน้องนะ แต่ดู เหมือนผ้าขนหนูเจ้ากรรมจะแบกน�้ำหนักของน�้ำที่อุ้มอยู่จนไม่สามารถตอบรับต่อ ค�ำอ้อนวอนอย่างสิน้ หวังของผมได้อกี แล้ว ปมยังคงคลายตัวออกเรือ่ ยๆ เสมือนหนึง่ ดูภาพช้าอย่างน่าทรมานหัวใจ จะเอามือไปตะครุบไว้ให้ก็โดนจับขึงอยู่ เว้ย...มัน... จะ...หลุด...แล้ว...ไม่นะ...! พรึ่บ! “เวรเอ๊ย!” ผมหลับตาปี๋ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าข้อมือสองข้างเป็นอิสระแล้ว มันคงปล่อย จากผมเพื่อไปปกป้องน้องผ้าขนหนูอันเป็นปราการด่านสุดท้าย แต่นั่นเป็นแค่ 29


สมมติฐานเท่านั้น เพราะกว่าจะกล้าลืมตาก็เมื่อตอนที่ถลาออกมายืนหอบแฮ่กอยู่ หน้าห้องน�้ำเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ ใจเต้นตูมตามจนต้องยกมือขึ้นกุมอกตัวเอง ไอ้หัวใจเฮงซวยนี่กะจะระเบิดซี่โครงกันเลยใช่ไหม ผมถอนหายใจยาวๆ เมื่อเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาตั้งครู่ใหญ่ กว่าจะเลิกหายใจติดขัด ไม่รู้ว่าตื่นเต้นท�ำไมกับอีแค่ผู้ชายโป๊ รู้สึกเสียฟอร์มและ ขายหน้าจนแทบสติแตก “หนาวขนาดนี้ นายอยู่มาได้ไงแบบไม่มีน�้ำอุ่นให้อาบ” เสียงจากในห้องน�้ำ ยังตามมาหลอกหลอน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าท�ำคนอื่นจะหัวใจวายตายแล้ว “เงียบเลยไอ้เวร!” ผมทรุดตัวลงนั่งบนพรมเช็ดเท้าหน้าประตูนั่นอย่างอ่อนแรง น�้ำหยดติ๋งๆ จากเส้นผมและเสื้อผ้าลงมานองเต็มพื้น เดี๋ยวรอมันอาบน�้ำเสร็จคงต้องไปอาบใหม่ อีกรอบ เวทนาตัวเองว่าชีวติ ผมในวันเดียวมันจะซวยซ�ำ้ ซ้อนซ่อนเงือ่ นอะไรนักหนา “...หยก” “...ปิ่นหยก” “ไอ้ปิ่นหยกโว้ย!” “!?” ผมสะดุ้งสุดตัว ปากกาหลุดมือลงไปกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น เป็นอันจบการ ย้อนความเหตุการณ์วนุ่ วายเมือ่ คืนนี้ คิมกิมจินนั่ เองทีต่ ะโกนใส่ผม ดูจากสีหน้ามูท่ ู่ ของมันแล้วเดาว่าคงยืนเรียกมานานพอสมควรทีเดียว “หลับในเรอะ!? พักเทีย่ งแล้วเนีย่ นัง่ นิง่ เป็นสากกะเบือเลย” คิมหันต์ตบโต๊ะ ป้าบๆ “แล้วนี่เป็นอะไรหน้าโคตรแดง ฝันลามกอยู่รึไง!?” “ไอ้เวร! ใครจะเหมือนแก” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา ร้อนวูบวาบไปหมด หัวเบาโหวงอย่างไรไม่รู้ เมื่อเช้ายังเหมือนจะหนักเป็นตันอยู่เลย ส่วนหน้าไอ้เพื่อน รักตาตี่ที่ชะเง้อมาก็บิดเบี้ยวพิกล “...คิม...แผ่นดินไหวเหรอวะ...” ผมเค้นเสียงแหบแห้งเป็นประโยคค�ำถาม สู้ กับความรู้สึกวิงเวียนราวกับตึกก�ำลังโคลงเคลงคล้ายอยู่บนเรือ ก�ำลังจะยันตัวลุก ขึ้นยืนก็พบว่าภาพห้องเรียนตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยแสงวิบวับจนตาพร่า 30


“...ไอ้ปิ่น!” คิมหันต์เหมือนจะตะโกน แต่เสียงที่ผมได้ยินนั้นเบาเหลือเกิน วินาทีต่อมาทุกอย่างก็มืดมิดไปหมด เหลือแต่เพียงโสตประสาทซึ่งยังได้ยิน เสียงโวยวายของคุณคิมเหมือนว่าดังมาจากที่ไกลๆ ปนเปกับเสียงทุ้มคุ้นหูของใคร สักคนดังแทรกเข้ามาจากข้างหลัง “...ปิ่น...ปิ่นหยก...” ผมไม่แน่ใจแล้วว่าใครเรียก แต่ชา่ งเถอะ สติทเี่ หลืออยูน่ อ้ ยนิดบอกค่อนข้าง ชัดแล้วว่าไม่ใช่แผ่นดินไหวหรืออะไรเทือกนั้น นี่สินะอาการเป็นลม แต่เดี๋ยวก่อน ผมจะวูบไปตอนนี้ไม่ได้ ในเมื่อมีเรื่องส�ำคัญที่ยังไม่ได้บอกเลย ใครสักคน (เดาว่าเป็นคนเดิม) เรียกชื่อผมซ�้ำๆ ไม่ยอมหยุด ผมหงุดหงิดแต่ ไม่มีแรงบ่น ครวญครางอยู่ในใจว่าหนวกหูฉิบหายตะโกนอยู่นั่นแหละ คนยิ่งต้องใช้ ความพยายามในการพูดยังจะแหกปากแข่งอยู่ได้ ผมรีดเร้นพลังเฮือกสุดท้ายเพือ่ ขยับริมฝีปาก แต่แทบไม่มเี สียงอะไรเล็ดลอด ออกมา ไม่รู้จะมีคนได้ยินรึเปล่า หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าแห่งเงินตรามีจริง ช่วยดลบันดาลให้ใครสักคนรับรู้ความปรารถนาสุดท้ายของผมด้วยเถอะ “...ไม่...ต้องหิ้ว...ไปโรง’บาลนะ” ผมอ้าปากพะงาบเป็นปลาทองขึน้ บก (และแน่นอน...ปลาทองไม่ควรขึน้ บก) แค่เค้นเสียงแต่ละพยางค์ก็แทบสิ้นลม แล้วค�ำพูดผมจะโดนใครที่เรียกซ�้ำๆ อยู่นั่น กลบไปหรือเปล่า นี่มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว ผมหายใจรวยริน พยายามพูดชัดถ้อยชัดค�ำสุดชีวิต เพื่อยืนยันเหตุผลของ ความปรารถนาสุดท้าย “ไม่-มี-ตังค์-จ่าย” ประกาศเจตนารมณ์ส�ำเร็จแล้ว! พลันสติการรับรู้ทั้งหมดก็ดับวูบ

31


3 ธรรมเนียมตระกูล

ปิ่นหยกนั่งหลับตลอดคาบเรียน ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องปกตินัก ส�ำหรับ นักเรียนทุนที่สอบได้คะแนนหนึ่งในห้าอันดับสูงสุดของโรงเรียนมาทุกปี สงสัยว่า วันก่อนผมอาจจะก่อกวนเขามากไปหน่อย และเมือ่ เช้าเขาก็กนิ ข้าวไปได้แค่นดิ เดียว ผมพยายามท�ำความเข้าใจวิถีชีวิตแบบเขา เพื่อจะรับรู้ได้ว่ามันไม่ง่ายนัก เมื่อคืนนี้ตอนผมหลับ ไฟในห้องยังไม่ปิด และตอนเช้าก็ไม่รู้ว่าเขาลุกออกไปตั้งแต่ กี่โมง ตกลงว่าได้นอนหรือเปล่าผมยังไม่ได้ถาม ไหล่เขาขยับน้อยๆ เป็นจังหวะตามการหายใจสม�่ำเสมอ ผมพยายามปลุก ตามประสาเพื่อนที่ดีแล้วนะ แต่หลังจากลองเอาไม้บรรทัดสะกิดไปสามครั้ง และ คนที่นั่งข้างหน้าไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นฟังอาจารย์บรรยายหรือแม้แต่หันมาแยก เขี้ยวใส่ ผมก็ล้มเลิกความพยายามจะรบกวนการนอนของเขาในท้ายที่สุด หลับลึก ขนาดนี้ท่าทางคงก�ำลังฝันดี แวบหนึ่งที่เผลอคิดไปว่าเขาอาจก�ำลังฝันถึงผมอยู่ก็เป็นได้ ผมโบกไม้บรรทัดไปมาแต่ไม่ได้มองมัน ตาคอยเผลอจ้องท้ายทอยกับล�ำคอ ของเขาที่ติดจะ...ระหง? สักหน่อยส�ำหรับมาตรฐานนักเรียนชายมัธยมปลาย บางที อาจเป็นเพราะเขาตัวค่อนข้างผอม ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไรที่ผมวางสายตานิ่ง 32


อยู่อย่างนั้น นั่งแช่ไม่กระดิกเหมือนเวลาลืมวิธีเคลื่อนไหว รู้ตัวอีกครั้งอาจารย์ก็ ประกาศจบคาบเรียนชีววิทยา พอดีกับที่เสียงออดบอกเวลาพักเที่ยงกรีดร้องขึ้น บรรดานักเรียนเริ่มทยอยออกจากห้องพร้อมกับส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปตลอด ทางที่เดินผ่าน ทว่าเขายังคงนิ่งอยู่ที่เดิม ผมชะเง้อมองข้ามโต๊ะ แต่รู้สึกนั่งข้างหลังอย่างนี้เห็นไม่ค่อยถนัด ก�ำลังจะ ลุกขึ้นเดินไปหาพอดีตอนที่คิมหันต์โฉบผ่านหน้าผมไปหาคนที่หลับเป็นตายอยู่ เสียก่อน “ไอ้ปิ่น” เพื่อนผมทองส่งเสียงเรียก แม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาก็ยังไม่ ละความพยายาม “ไอ้ปิ่นหยก” “......” “ปิ่น! ท่านหัวหน้าพรรคกระยาจกปิ่น!” คราวนี้เริ่มมีเขย่า ผมเดินตามเข้าไป ดูใกล้ๆ นึกสงสัยว่าเขาช่างหลับลึกอะไรอย่างนี้ “ปิ่นหยก” “ปิ่นหยก!” “ไอ้ปิ่นหยกโว้ย!” เป็ น ท่ า ไม้ ต ายสุ ด ท้ า ยของคิ ม หั น ต์ นั่ น เองที่ ท� ำ ให้ เ ขาสะดุ ้ ง เฮื อ กขึ้ น มา ปากกาหลุดมือหล่นลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น ส่วนเจ้าของปากกาหลังจากหายตกใจก็ แทบจะเอาคางกลับไปเกยโต๊ะเหมือนลูกแมวขี้เซา ผมเกือบหลุดข�ำออกมาแล้ว ภาพแบบนั้นมันดู...น่ารักดี “หลับในเรอะ!? พักเที่ยงแล้วเนี่ย! นั่งนิ่งเป็นสากกะเบือเลย” คิมหันต์เท้า เอว ตั้งหน้าตั้งตาบ่น “แล้วนี่เป็นอะไรหน้าโคตรแดง ฝันลามกอยู่รึไง” ผมมองตาม จริงอย่างที่เขาว่า ใบหน้าปิ่นหยกมักเป็นสีระเรื่ออยู่เสมอ เพียง แต่ตอนนี้ติดจะแดงกว่าปกตินิดหน่อย “ไอ้เวร ใครจะเหมือนแก” ปิ่นหยกเถียงแล้วท�ำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ผลออก มาไม่สู้ดีนัก ดูโซเซพิกล ท�ำเอาผมเผลอลุ้นแทบกลั้นใจไปด้วย กลัวว่าเขาจะเอา หน้าไปไถพื้นห้องในวินาทีใดวินาทีหนึ่งหรือเปล่า “...คิม...แผ่นดินไหวเหรอวะ” 33


แน่นอน มันไม่ได้มีแผ่นดินไหวหรอก แต่เป็นปิ่นหยกเองนั่นแหละที่ยืน โงนเงนเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ หลังจากกะพริบตาปริบๆ อยู่สามสี่ครั้งด้วยท่าที ตื่นตระหนก ตาทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มลอยแปลก ๆ “ปิ่นหยก” ผมร้องเรียก ประสานเสียงกับคิมหันต์ที่ยืนตกใจอยู่อีกด้าน แต่ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน “ปิ่น...ปิ่นหยก” ผมเอ่ยซ�้ำอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วท�ำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับ เซไปด้านข้างเสียก่อน ถ้าผมคว้าเอวเอาไว้ไม่ทันอาจล้มลงหน้ากระแทกพื้นไปแล้ว “ปิ่นหยก...ปิ่นหยก...ได้ยินไหมครับ?” ผมค่อนข้างประหลาดใจที่รู้ว่าเขาตัวผอมกว่าที่ประเมินด้วยสายตาก่อน หน้านี้เสียอีก แขนขามีกล้ามเนื้อสมส่วนแบบเด็กมัธยม แต่เอวถือว่าบางทีเดียว เทียบกับผมเอง ผมเขย่าร่างเขาเบาๆ ตอนก้มลงมองจึงสังเกตว่าใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อครู่นี้เปลี่ยนเป็นซีดเซียวเหมือนแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็ว “ปิ่นหยกครับ...ปิ่...” “...ไม่ตอ้ ง...หิว้ ...ไปโรง’บาลนะ...” เสียงแหบแห้งของเขาแทรกขึน้ มาได้ในทีส่ ดุ แทบไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบเลย ผมก�ำลังนึกถึงเหตุผลต่างๆ นานาทีเ่ ขาไม่อยากไปโรงพยาบาลตอนทีป่ ระโยค ถัดมาช่วยไขข้อสงสัย...หรือบางทีอาจท�ำให้งงหนักกว่าเก่า “ไม่-มี-ตังค์-จ่าย” ผมนิ่งคิด แล้วสรุปเองว่างงครับ งงมากเลย คิมหันต์เพื่อนรักเขาดูจะไม่แปลกใจกับประโยคนั้นเท่าไรนัก แต่เกิดมาไม่ เคยมีใครพูดกับผมอย่างนี้ตอนก�ำลังจะเป็นลมนะ ผมอยากถามอะไรสักหน่อย แต่ หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไปเสียก่อน เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงยี่สิบห้านาที ผมอยู่ในคาบเรียน ภาษาไทยและก�ำลังนั่งฟังอาจารย์บรรยายเรื่องการวิเคราะห์และประเมินคุณค่า ทางด้านวรรณศิลป์ในงานประพันธ์ 34


ที่ถูกมันควรจะเป็นอย่างนั้น คาบเรียนยังคงด�ำเนินต่อไป แค่ตอนนีผ้ มไม่ได้ทำ� สิง่ ทีถ่ กู ต้องอยูเ่ ท่านัน้ เอง ห้องพยาบาลเวลานี้ช่างเงียบเสียจริง ทุกสิ่งสงบ...ราบเรียบ มีเพียงจังหวะ การเดินของเข็มวินาที และเสียงลมหายใจสม�่ำเสมอของร่างบนเตียงซึ่งบอกให้รู้ว่า เวลาไม่ได้หยุดนิ่ง ...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก... ผมควรกลับเข้าห้องเรียนได้แล้ว แม้สมองบอกอย่างนัน้ แต่ขากลับยังนิง่ อยูท่ เี่ ดิมราวกับรากงอก หรือผมควร เฉลยว่าผมไม่ใช่ลูกเจี๊ยบอย่างปิ่นหยกกล่าวหา แต่ความจริงเป็นไม้ยืนต้นต่างหาก ปิ่นหยกตื่นขึ้นมาแล้วรอบหนึ่งหลังจากผมแบกเขามาถึงห้องพยาบาล จะ ให้คิมหันต์แบกก็คงทุลักทุเลไม่น้อย เพราะประมาณคร่าวๆ ด้วยสายตาแล้ว ทั้ง สองคนรูปร่างใกล้เคียงกันจนไม่น่าจะพามาถึงที่นี่ซึ่งอยู่คนละชั้นกับห้องเรียนได้ ราบรื่นนัก ข้อสรุปจึงเป็นผมแบกเขาขึ้นหลัง และมีคิมหันต์คอยเดินก�ำกับอยู่ใกล้ๆ รูม่านตาเพื่อนร่วมชั้น ผมทองดูจะขยายเพื่อสอดส่ายหาข้อมูลอะไรต่อมิ อะไรตลอดเวลา (แม้ตาเขาจะไม่โตนัก) ด้วยระยะเวลาเพียงไม่นานระหว่างช่วงเวลา ทีเ่ ดินจากห้องเรียนถึงห้องพยาบาล แต่เขาท�ำท่าทางราวกับได้สแกนเข้าไปถึงระดับ ดีเอ็นเอของทั้งผมและคนที่แบกอยู่บนหลัง บางทีจากแค่การจ้องครั้งนี้อาจท�ำให้ เขารู้ไปถึงชื่อจริงของคุณทวดผมได้แล้ว ผมวางร่างคนที่ยังไม่ได้สติลงบนเตียงอย่างเบามือ แต่ทั้งที่คิดว่าเบาแล้ว เจ้าตัวก็ยงั สะดุง้ ขึน้ มาตอนนัน้ พอดี ผมเลยเริม่ ไม่แน่ใจว่าทีน่ งิ่ มาตลอดทางนัน่ ตกลง เขาเป็นลมหรือแค่หลับลึก “โอย...ไม่ใช่โรง’บาลใช่ไหม?” เป็นสิ่งแรกที่เขาถามออกมาเสียงเบาหวิวทันทีที่รู้สึกตัว ตายังไม่ทันจะลืม ขึ้นมองด้วยซ�้ำไป จะงกไปไหนครับ? ปกติผมไม่ชอบนินทาหรือค่อนขอดใครหรอก ไม่พูดค�ำหยาบด้วยเพราะ คุณพ่อไม่ชอบ แต่ยังอดไม่ได้จะบ่นอยู่ในใจเลย นี่มันเรื่องร่างกายของตัวเองเชียว นะ คุณพ่อผมเคยบอกว่าคนเราเกิดมาก็มีร่างกายเดียว เกิดแล้วก็ต้องอยู่กับเราไป จนวันตาย จะปล่อยทิ้งไว้ไม่ยอมดูแลให้ดีไม่ได้เด็ดขาด 35


“ตอนนี้อยู่ที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนน่ะ” ผมตอบหน้าตาย อย่ามองอย่างนั้นสิ ผมไม่ได้เป็นคนขี้แกล้งโดยก�ำเนิดเสียหน่อย แค่อยาก เห็นปฏิกิริยาตอบรับของเขาเท่านั้นเอง ถือว่าเป็นกรณีศึกษา “เฮ้ย! ฉิบหาย แล้วใครจะจ่ายค่าห้อ...!” เขาเด้งพรวดพราดขึ้นมานั่งออก อาการแตกตื่น แต่ไม่ถึงสามวินาทีก็ท�ำหน้านิ่วคิ้วขมวด โงนเงนหงายหลังไปนอน แผ่สิ้นท่าบนเตียงอีกครั้ง ได้ยินเสียงคิมหันต์หัวเราะชอบอกชอบใจอยู่ข้างๆ “กล้ากล่าวเท็จกับท่านหัวหน้าพรรคกระยาจกเชียวเรอะ! แกก็ร้ายไม่เบานะ ไอ้คุณชาย” “ไอ้ลูกเจี๊ยบ...ไอ้เวร...ไอ้สตรอว์เบอร์รีขึ้นรา” เขากล่าวสรรเสริญผมยกใหญ่ พลางยกมือขึ้นนวดขมับเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกเข้าเต็มเปา คิ้วสองข้างยังคงขมวดจน แทบไปรวมเป็นอันเดียวอยู่ตรงกลางหน้าผาก “เล่นอะไรไม่รู้จักเวล�่ำเวลา คนยิ่ง ปวดหัวอยู่!” “งั้นตอนไม่ได้ปวดหัวก็เล่นได้สินะ” “เพื่อนเล่นเรอะ!?” “อา...จริงสิ ไม่ใช่เพื่อนเล่น แต่เป็นภรร...!” ประโยคที่เหลือของผมจมหายไปกับเสียงอู้อี้ เมื่อหมอนใบโตถูกฟาดเข้ามา เต็มหน้าเป็นการจบบทสนทนาเพ้อเจ้อแต่เพียงเท่านี้ ผมรูห้ รอกว่าเรือ่ งสามีภรรยา อะไรนีม่ นั บ้ามาก ผมไม่ใช่เกย์นะครับ แค่เล่นแล้วรูส้ กึ ว่ารีแอคชันเขาตลกดีเลยเผลอ ยกมาเป็นประเด็นสนทนาบ่อยๆ โดยไม่รู้ตัว “แต่เป็นอะไรนะ?” คิมหันต์โพล่งขึ้นหลังจากเงียบมาพักใหญ่ ให้ตาย...ผมลืมไปเสียสนิทว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก ไม่มีใครตอบค�ำถามนั้น แต่ผมรู้สึกเหมือนใบหน้าปิ่นหยกเริ่มจะขึ้นสีแดง ระเรื่อ เขาอาจมีอะไรเกี่ยวข้องกับกิ้งก่าเพราะดูจะเปลี่ยนสีไวมาก โดยเฉพาะเวลา สลับไปมาระหว่างหน้าแดง หน้าเขียว (ด้วยความหงุดหงิด) และหน้าซีด (ตอนพูด ถึงเรื่องเสียเงิน) “พวกแกมีพิรุธ!” คิมหันต์ยืนกอดอกด้วยสีหน้าข้องใจสุดขีด ผมไม่ได้คิด ปิดบังอะไรสักนิด แต่ดูท่าทางคนป่วยที่แยกเขี้ยวราวกับจะบอกให้รู้ว่า ‘ลองพูดสิ แล้วก็รอรับกระบวนท่าไม้เท้าตีลูกเจี๊ยบของพรรคกระยาจกได้เลย’ ท�ำให้ผมต้อง นั่งสงบปากสงบค�ำอย่างว่าง่าย 36


เมื่อเห็นท่าแล้วว่าคงไม่ได้รับค�ำตอบแต่โดยดี ท่านคิมกิมจิก็ยักไหล่เป็น ท�ำนองว่าไม่แคร์ เชื่อแน่ว่าเดี๋ยวเขาคงรู้เอง แม้ก่อนหน้านี้จะเรียนอยู่คนละห้อง แต่ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเขาในฐานะเจ้าพ่อแห่งข้อมูลข่าวสารประจ�ำโรงเรียนมา บ้าง โครกก...กก... เสียงท้องร้องของใครสักคนดังขึ้นท�ำลายความเงียบ ต้นเสียงก�ำลังยกมือ ลูบท้อง ไม่มีอาการเขินอายเลยสักนิด คุณคิมคงเริ่มหิว “แกตื่นก็ดีแล้วไอ้ปิ่น” คิมหันต์ยิ้มร่า “ปะ ไปกินข้าวกัน” ปิ่นหยกส่ายหน้าเบาๆ แล้วมุดหายไปใต้ผ้าห่ม “วันนี้บายว่ะ ปวดหัว ขอ นอนก่อน” เขายืนมองสภาพเพื่อนรักอยู่ครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ สุดท้ายคงคิดว่าไม่รบกวน ดีกว่า หมุนตัวเดินไปจัดแจงรื้อยาแก้ปวดในตู้พร้อมแก้วน�้ำแล้ววางไว้ข้างเตียง “งั้น ก็กินยาแล้วนอนไป จะกินอะไรไหมเดี๋ยวซื้อมาฝาก” “ไม่หิวอะ” คิมหันต์ท�ำหน้าไม่อยากเชื่อ ผมเดาว่าคงเป็นเพราะปิ่นหยกปฏิเสธข้าวฟรี และประโยคถัดมาของเขาก็ยืนยันเป็นอย่างดีว่าผมเดาถูกแล้ว “เป็นไปได้ไงวะ เพื่อนปิ่นไม่ยินดีที่ท่านคิมรูปหล่อใจบุญจะเลี้ยงข้าว!” “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหายปวดหัวจะไปตามทวงแน่” ปิ่นหยกตอบชัดถ้อยชัดค�ำ “ฉันอนุญาตให้ติดไว้ได้ก่อน แต่คิดดอกเป็นไอติมฟรีอีกถ้วย” “ตะกละ! ได้คืบจะเอาเป็นไมล์” คิมหันต์หัวเราะ เอาเข่ากระทุ้งฟูกบนเตียง หนึ่งทีก่อนจะหันมาถามผม “แล้วแกเอาไง จะไปกินข้าวด้วยกันรึเปล่า?” ผมหันไปมองร่างที่คลุมโปงอยู่บนเตียงแล้วส่ายหน้าช้าๆ ตอบคิมหันต์โดย ไม่ได้ละสายตาจากที่เดิม “ยังไม่ค่อยหิว นายกินก่อนเถอะ” “เออ อิ่มทิพย์กันดีนะพวกแก” เขาบ่นออกมา ดูจากสีหน้าแล้วตอนนี้ต้อง ก�ำลังหมั่นไส้ผมอยู่แน่ๆ “งั้นไปก่อนละ หิวจะกินบ้านกินเมืองได้แล้ว” เขาว่าโดยมีเสียงท้องร้องแทนค�ำสนับสนุน ก่อนจะเดินตัวปลิวหายลับไป ทิ้งผมอยู่ในห้องพยาบาลเงียบๆ กับปิ่นหยกเพียงล�ำพัง 37


ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจออกมาเงียบๆ น่าแปลก...ความจริงผม หิวพอดูทีเดียว แต่กลับเลือกว่าอยากนั่งกับเขาตรงนี้มากกว่า คนบนเตียงดูเหมือนจะหลับไปแล้ว และผมก็ได้แต่ฟังเสียงเข็มวินาทีจาก นาฬิกาคลอไปกับเสียงลมหายใจสม�่ำเสมอของเขาในห้องพยาบาล ทุกสิ่งด�ำเนิน อยู่เช่นนั้นจนถึงบ่ายโมงยี่สิบห้านาทีนี่เอง บ่ายโมงสี่สิบห้านาที...ผมเห็นเขาขยับตัวหยุกหยิกใต้ผ้าห่ม ยังคงคอนเซปต์ นอนคลุมโปงอย่างเหนียวแน่น บ่ายสองโมง...เขาพลิกตัวไปมา ผ้าห่มร่นลงมาถึงล�ำคอตอนขยับจึงได้เห็น ใบหน้าว่าเขายังไม่ตื่น พอได้ท่าที่สบายแล้วก็นิ่งสนิท หลับพริ้มต่อเหมือนโลกนี้ ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว บ่ายสองโมงสิบห้านาที...เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย ท�ำท่าเหมือนจะรู้สึกตัวอีก ครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ละจากห้วงนิทรา บ่ายสองโมงสามสิบห้านาที.... นี่มันบ้ามากเลย ผมเริม่ สงสัยตัวเองแล้วว่ามานัง่ จ๋องเป็นสัตว์ปกี ฟักไข่อะไรอยูต่ รงนี้ ผมควร กลับไปตั้งใจเรียนในห้อง ทั้งที่อุตส่าห์ท�ำตามสัญญากับคุณพ่อว่าปีนี้จะสอบให้ได้ อยู่ห้องคิงส�ำเร็จแล้วแท้ๆ แต่กลับโดดเรียนตั้งแต่ต้นเทอมมานั่งเอ้อระเหยอยู่ห้อง พยาบาลโดยไม่ได้มีความจ�ำเป็นเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเพียงแต่เป็นลมเท่านั้นเอง (หรือบางทีอาจแค่หลับลึก) แถมยังฟื้นขึ้นมารอบหนึ่งแล้วด้วย และที่ส�ำคัญยังไม่มี ใครออกปากสักค�ำว่าอยากให้ผมมานั่งเฝ้า “ยังอยู่อีกเรอะ?” เสียงจากคนบนเตียงปลุกผมจากภวังค์ ผมมองเขาที่หาวออกมาหวอดใหญ่ จนน�้ำตาไหลแล้วก็นึกข�ำ และผมก็ข�ำตัวเองในอีกวินาทีถัดมาเมื่อตระหนักได้ว่า คนหาวก็ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย “ไม่อยู่แล้วครับ” ผมยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ที่นายเห็นนี่เป็นร่างเสมือนจริง ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งของฉันเอง” “กวนตีนละครับ!” ปิ่นหยกแยกเขี้ยว แต่ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไร ท่าทางจะยัง ง่วงๆ อยู่ เขายกมือขึ้นขยี้ตาแล้วพูดต่อเสียงงัวเงีย “เอาละ ไหนเล่าให้ฟังดีๆ ดิ๊” 38


มันฟังดูกะทันหันไปหน่อยจนผมจับต้นชนปลายไม่คอ่ ยถูก “เล่าอะไรหรือ?” “เรื่องที่โดนไล่ออกจากบ้านไง” “หืม?” “เรื่องเป็นไงมาไง ไปท�ำเพี้ยนอีท่าไหนเสด็จพ่อถึงเนรเทศออกมา สอบได้ ห้องหนึ่งไม่น่าหัวช้าเลยนะ” อา...บทสนทนาคุ้นๆ นะครับว่าไหม ผมรู้สึกโดนย้อนเข้าให้แล้ว โชคดีที่ยัง ไปไม่ถึงท่อน ‘จะฟ้องหย่า’ แบบที่ผมเล่นไปเมื่อวันก่อน “มาสิงอยู่ห้องคนอื่นหน้าตาเฉยโดยไม่ชี้แจงอะไรให้เคลียร์ ไม่คิดว่ามัน แปลกๆ เรอะ!?” ปิ่นหยกกระตุ้น คงหวังให้ผมส�ำนึกผิด แต่ผมกลับรู้สึกว่าท่าทาง เขาค่อนข้างตลกดีมากกว่า “ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย” ผมเกริ่นขึ้นมานิดหนึ่งแล้วเหลือบมองปฏิกิริยาตอบสนองของเขา มันน่า สนใจมากทีเดียว นัยน์ตาสีน�้ำตาลเข้มที่ดูดื้อหน่อยๆ นั้นจ้องกลับมาอย่างสงสัย ใคร่รู้ จมูกรั้นเชิดขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วท�ำท่าเหมือนจะกลั้นไว้เพื่อรอฟังต่อ ผมเสียเวลาหัวเราะเบาๆ กับท่าทีนั้นเพียงแวบเดียวแล้วจึงเริ่มพูดก่อนเขาจะกลั้น หายใจจนหน้าเขียวตาย “เมื่อสมัยคุณปู่ยังเด็ก ที่บ้านยากจนมาก แต่ก็สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้” ผมค่อยๆ เล่าด้วยเสียงแบบทีผ่ คู้ นมักบอกว่าเนิบนาบชวนหลับ “ตอนคุณปูม่ คี ณ ุ พ่อ ฐานะก็มั่นคงแล้ว แต่พอคุณพ่อเข้ามหา’ลัยได้ปุ๊บ คุณปู่ก็ปล่อยเกาะเลย ส่งออก ไปอยู่ข้างนอกเฉย” “จะบอกว่าโดนอย่างนีก้ นั มาตัง้ แต่รนุ่ พ่อแล้วสินะ” ปิน่ หยกพึมพ�ำ แต่หน้าตา บอกชัดเลยว่านี่ยังไม่ใช่ค�ำตอบที่เขาพอใจจะฟังเท่าไรนัก ผมเลยขยายความเพิ่ม อีกสักหน่อย “นายรู้ใช่ไหม หลายตระกูลทั้งที่ฐานะร�่ำรวย แต่ถึงรุ่นลูกหลานซึ่งไม่รู้จัก ความล�ำบาก ไม่รู้จักชีวิต ทุกอย่างที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายก็หายเกลี้ยงไม่ เหลือเลย คุณพ่อบอกว่าอย่างนั้น” เขาพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมเลยถือโอกาสสาธยายต่อ “คุณป้า คุณอา ทุกคนที่เป็นลูกของคุณปู่ พอขึ้นมหา’ลัยก็โดนแบบนี้กันทั้งนั้น ดิ้นรนสุดๆ จนเรียน 39


จบคุณปูถ่ งึ ยอมให้กลับเข้าบ้าน แต่กไ็ ด้ผลดีนะ นานครัง้ พอมีเวลาคุณพ่อยังเอาเรือ่ ง ตอนนั้นมาเล่าให้ฟังอยู่เลย” “เดี๋ยวสิ...ไหนบอกมหา’ลัยถึงจะให้ออกมาอยู่ข้างนอก” ปิ่นหยกท้วง “แก เพิ่งจะมอหกเองไม่ใช่รึไง? ไหงโดนเขี่ยทิ้งก่อนวัยอันควร” ผมยิ้มน้อยๆ เขาช่างสังเกตดี แสดงว่าตั้งใจฟังจริง “นั่นแหละประเด็น คุณ พ่อบอกว่าฉันเอื่อยเฉื่อยไปหน่อย ที่ผ่านมาก็เรียนห้องบ๊วยตลอด ก็เลย...ได้รับ สิทธิพิเศษ...” เขานิ่งไปอึดใจ จากนั้นก็หัวเราะลั่น ผมได้แต่มองแล้วยักไหล่ จริงอยู่ที่ผม ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปตามใจ แค่ไม่ออกนอกลู่นอกทางมากมาย เรียนเรื่อยๆ เล่น กีฬาเรือ่ ยๆ ท�ำอะไรก็เรือ่ ยไปหมด มันก็สบายดี ไม่เห็นต้องขวนขวายอะไรให้เหนือ่ ย แรง หากเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ได้ทั้งชาติผมก็ว่าไม่เห็นเสียหาย ที่ดิ้นรนสอบจนได้ห้อง คิงในปีนี้ เป็นเพราะหากท�ำส�ำเร็จคุณพ่อสัญญาจะแถมเงินก้อนหนึ่งให้ก่อนปล่อย ลอยแพเท่านั้นเอง “ผู้ชายก็พอไหวอยู่นะ” ปิ่นหยกตั้งข้อสังเกต “แต่ผู้หญิงก็ด้วยหรือ?” “แน่นอน พี่อันก็โดนมาแล้ว” “พี่อัน?” “พี่สาวฉันเอง ชื่ออันนา ออกจากบ้านมาแบบกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียวและ เงินติดตัวสามพันบาทในวันแรกของชีวิตนักศึกษา นอกนั้น...” เขาท�ำท่าลุ้น น่าเอ็นดูจนต้องลอบอมยิ้มขณะที่พูดต่อประโยคของตัวเอง ให้จบ “ไม่มีอะไรมาด้วยเลย” ปิ่นหยกท�ำตาโต เขาคงคิดเหมือนกันว่าแบบนั้นออกจะโหดร้ายไปสักหน่อย ส�ำหรับเด็กสาวที่เพิ่งจบมัธยมปลาย “แล้วเป็นไง...อยู่ได้? ล�ำบากไหม?” ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาทอดมองไปนอกหน้าต่าง นึกไปถึงพี่สาว คนสวยที่ก�ำลังเรียนอยู่ปีสี่ คณะบริหารธุรกิจแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา “พี่อันถูกหวย เอาเงินไปลงหุ้นส่วนธุรกิจเสื้อผ้ากับเพื่อน สบายไปแล้ว” เขาอ้าปากค้าง ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย 40


4 ความสับสนของคนเป็นพี่

ผ่านไปได้แค่สองสามวันนับตั้งแต่อาทิตย์มาอยู่ด้วยที่หอพัก (ซึ่งปิ่นหยก เรียกว่ามาเกาะ) แต่เจ้าตัวคงทนไม่ไหวกับความก�ำกวมนี้แล้ว ถึงกับต้องเอามา จัดการให้เป็นเรื่องเป็นราว “เข้าใจที่บอกไหม? ท�ำตัวน่าสงสาร เรียบร้อยเข้าไว้” ปิ่นหยกก�ำชับอย่าง ประสาทๆ กับเขาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ดันหลังเขาเข้าไปหาเอมจิต “ครับ” เขารับค�ำเนือยๆ คนข้างหลังดูจะตืน่ เต้นกว่าเสียอีก ความรูส้ กึ ตอนนี้ อย่างกับเป็นนักเรียนที่ถูกเรียกเข้าห้องปกครองเลยทีเดียว ทุกอย่างด�ำเนินไปได้ดว้ ยดี ตามบทเป๊ะ อาทิตย์กลายเป็นเด็กหนุม่ น่าสงสาร ผู้ถูกพ่อเนรเทศออกจากบ้านก่อนวัยอันควรเพราะท�ำตัวเรื่อยเปื่อยจัด แต่ตอนนี้ กลับตัวแล้ว เครื่องยืนยันคือเพิ่งสอบคัดเลือกประจ�ำปีการศึกษาได้ห้องเด็กเรียนดี อยากมาของานท�ำด้วยการเป็นพนักงานทีร่ า้ นอีกคน และจะอาศัยนอนห้องปิน่ หยก โดยไม่รบกวนทรัพยากรหอพักมากนัก ไม่หวั่นงานหนัก ไม่เกี่ยงงานเหนื่อย พร้อม ทุ่มเทชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อร้านเค้กทานตะวัน นั่นไม่ใช่เขาสักหน่อย อาทิตย์ยืนยันว่าไม่เห็นอยากพลีชีพให้ขนมเค้ก แต่ ปิ่นหยกสั่งแกมขู่ว่าหากอยากได้ที่ซุกหัวนอนก็อย่าถามมาก 41


“เพราะอย่างนี้ ได้โปรดจ้างผมอีกสักคนเถอะนะครับ” เขาพยายามท�ำเสียง ให้ฟังดูน่าเชื่อถือ มีปิ่นหยกคอยก�ำกับด้วยสายตาอยู่เบื้องหลัง “หืม?” พีใ่ หญ่ผเู้ ป็นเจ้าบ้านนิง่ ไปครูห่ นึง่ แล้วก็หวั เราะขบขัน “ไม่ตอ้ งเครียด ขนาดนั้นก็ได้ ลูกชายทั้งคน คุณพ่อเธอคงไม่ถึงกับทอดทิ้งไปเลยไม่ใช่หรือ?” ปิ่นหยกกลอกตาสีหน้าหน่ายใจ เอมจิตไม่รู้อะไร หากเขาเป็นพ่อหมอนี่คง รีบเขี่ยออกจากบ้านนานแล้ว ไม่รอจนโตป่านนี้หรอก “ผมจริงจังครับ” อาทิตย์ส่งสายตาใสแจ๋ว “ขอโอกาสให้ผมสักครั้ง...” ค้างไว้เพียงแค่นนั้ แล้วคุณชายก็เงียบไปเหมือนลืมว่าต้องพูดอะไรต่อ ปิน่ หยก ท�ำหน้าเลิ่กลั่กแต่ไม่มีใครทันสังเกต ได้แต่ร้องโหยหวนอยู่ในซอกหลืบลึกสุดของ จิตใจ นี่ลืมบทเรอะไอ้คุณอาทิตย์!? อุตส่าห์เตรียมกันมาดิบดีแล้วแท้ๆ “เอ่อ...รับรองครับว่าจะไม่ท�ำให้ต้องผิดหวัง” ผู้สมรู้ร่วมคิดลอบถอนหายใจเฮือก เอมจิตไม่ชอบให้เด็กๆ ท�ำตัวเฉื่อยแฉะ แต่นี่นอกจากเฉื่อยลมโชยยังมีมึนเป็นระยะพ่วงด้วย แล้วแบบนี้จะไปรอดไหม? อาทิตย์หนั มาลอบยิม้ มุมปากน้อยๆ กับเขา ไม่ได้รตู้ วั เลยว่าท�ำคนอืน่ ใจหาย ใจคว�่ำ พอรอดไปหนึ่งครั้งก็เริ่มพล่ามต่ออย่างได้ใจ “ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะถูกไล่ออกจากบ้าน ไม่มีมีทรัพย์สินเงินทอง แต่ว่า เรื่องความจริงใจนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครแน่ครับ” ท่านชายตกยากเจื้อยแจ้วไม่มี สะดุดด้วยเสียงเนิบๆ อย่างเคย ติดอยู่ที่รูปประโยคชักจะเริ่มจะฟังดูประหลาดไม่ เข้ากับสถานการณ์ชอบกล “ผมสัญญาว่าจะไม่ให้ปิ่นหยกต้องมาตกระก�ำล�ำบาก... เพราะฉะนั้น...” ปิ่นหยกซึ่งยืนฟังอยู่เกิดสะดุดหูขึ้นมา ไอ้วิธีพูดอย่างกับจะมาสู่ขอลูกสาว บ้านอื่นนี่ไปเอามาจากไหน ไม่ได้มีในสคริปต์ที่ตกลงกันไว้ไม่ใช่หรือ จ�ำไม่ได้ว่าจะ พูดอะไรแล้วมั่วเอาเองอย่างนี้มันใช่เรื่องหรือ เจ้าบ้านคงรู้สึกได้เช่นเดียวกัน ถึงกับเลิกคิ้วพร้อมระบายยิ้มจางๆ หันไป มองปิ่นหยกที่ก�ำลังยืนเหงื่อตกด้วยความพยายามอย่างยิ่งจะไม่มุดดินหายไปด้วย ความขายขี้หน้า “ตกลงอาทิตย์จะมาขอท�ำงานหรือมาขอปิ่นจากพี่?” ปิ่นหยกท�ำหน้าเหมือนกลืนมะนาวเข้าไปทั้งลูก ทั้งที่เขาหาช่องทางช่วยถึง ขนาดนี้แล้ว ไอ้ท่านชายอาทิตย์นอกจากไม่ส�ำนึกยังจะขยันสร้างความเดือดร้อนอีก 42


“อ่า...ก็ต้องหมายถึงท�ำง...” “หมายถึงท�ำงานสิพี่เอม!” เป็นอุ่นใจนั่นเองที่อยู่ๆ ก็ร้องแทรกขึ้นกลางวง น้องเล็กของบ้านเดินดุม่ ๆ มายืนแทรกอยูร่ ะหว่างปิน่ หยกกับอาทิตย์ ใบหน้า เชิดขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกอย่างไว้เชิง สายตาที่ปรายมองไปยังผู้มา ขอเป็นสมาชิกใหม่นั้นออกอาการไม่ชอบใจนักพร้อมกับประกาศกร้าว “เพราะถึงขอพี่ปิ่น อุ่นก็ไม่ให้” ปิน่ หยกเหลือบมองซ้ายทีขวาที แขนซ้ายถูกอุน่ ใจดึงไปควงไว้ตงั้ แต่เมือ่ ไรไม่รู้ บรรยากาศแบบนี้ หากเปลีย่ นตัวเขาเองจากเด็กมัธยมปลายชายไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นสาวสะพรั่งวัยใกล้ออกเรือนคงดูเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ แต่ปัญหาคือเขาไม่ใช่จึง ได้แต่เหลือบตาขึ้นมองมีวัยวุฒิมากสุดในบ้านอย่างขอความช่วยเหลือ เอมจิตโปรยยิ้มกระชากใจแบบที่แม้จะเห็นกันออกบ่อยก็ยังอดใจสั่นนิด หน่อยไม่ได้ ส่ายหน้าเบาๆ ให้กับความวุ่นวายของเหล่าเด็กๆ ตรงหน้าก่อนหันไป คุยเรื่องที่ค้างไว้ต่อ “เอาจริงหรือ? ร้านนีโ้ หดมากนะ ถึงเธอจะเป็นลูกชายเศรษฐีกไ็ ม่มขี อ้ ยกเว้น หรอกรู้ไหม?” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มทีเล่นทีจริง แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากซึ่งคล้ายจะ เปลีย่ นองศาไปจากเดิมเล็กน้อย ก็ชวนให้ตวั วุน่ วายสามคนทีเ่ หลือเสียวสันหลังวาบ ขึ้นมาแปลกๆ โดยเฉพาะกับปิ่นหยกและอุ่นใจที่เห็นรอยยิ้มสารพัดรูปแบบของ เอมจิตมาตลอด จนพอบอกได้ว่าแบบไหนควรโดดใส่ และแบบไหนควรวิ่งหนี (แม้ จะหนีไม่เคยพ้นกันสักที) อาทิตย์พยักหน้า แต่ดูไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าตอนแรกเสียแล้ว ปิ่นหยกแอบเบ้ปากน้อยๆ พร้อมกับนึกค่อนขอดในใจ ว่าเจอค�ำขู่พร้อม รอยยิ้มปริศนาพี่เอมแค่นี้ก็กลับไปท�ำมึนอีกแล้ว ผิดกับอุ่นใจที่ดูพออกพอใจค�ำ ท้าทายของพีช่ ายต่อผูม้ าเยือนมากทีเดียว น้องเล็กยิม้ ร่าพลางดึงแขนอีกคนซึง่ คล้อง เอาไว้ให้เข้ามาใกล้อีกหน่อยอย่างได้ใจ “ท�ำงานไม่ดีไล่ออกได้ทุกเมื่อนะ” เอมจิตย�้ำ อาทิตย์ยกมือเกาท้ายทอย หลุดเก๊กเรียบร้อยกลับมาท�ำหน้ามึนโดยสมบูรณ์ “เอางั้นก็ได้ครับ” ก่อนจะโดนข้อนิ้วเอมจิตเขกเข้าที่หน้าผากทีหนึ่งเสียงดังก๊อก! 43


“ต้องบอกว่าจะพยายามครับ หรืออะไรแนวนีต้ า่ งหากล่ะ” ชายหนุม่ เจ้าบ้าน หรี่ตามองอย่างกดดัน “ปิ่นเหมือนน้องชายพี่อีกคน แต่ดูเธอทั้งเนือยทั้งอืด แล้วมา บอกว่าจะดูแลไม่ให้ปิ่นหยกต้องตกระก�ำล�ำบากเนี่ยนะ แบบนี้จะยกให้ได้ยังไง?” เงียบกริบกันทั้งห้อง ปิ่นหยกรู้สึกอยากหลั่งน�้ำตาเป็นสายเลือด ความคิดจะยื่นมือไปช่วยเหลือ คุณชายตกยากของเขาดูท่าจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองเสียแล้ว เข้าใจอยู่ว่าเอมจิตใน เวลาปกติเป็นคนขี้เล่น ประโยคเมื่อครู่ก็คงแค่พูดเล่นด้วย ใช่ไหม? ต้องใช่สิ! แต่มุก แบบนี้ท�ำเอาเขาอยากกลับค�ำแล้วบอกชายหนุ่มเสียเดี๋ยวนี้ว่าได้โปรดอย่าจ้างมัน เลย มันต้องสร้างความเดือดร้อนและเอาเขาไปตกระก�ำล�ำบากแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ส.ิ .. ทีอ่ ยากบอกจริงๆ คือช่วยเลิกเล่นบทคุณแม่ขายลูกสาวหรืออะไรทีม่ นั ชวน ขนลุกแบบนี้เสียทีต่างหาก! ปิ่นหยกระบายลมหายใจสงบสติอารมณ์ เหมือนเขาก�ำลังขุดหลุมฝังตัวเอง อยูอ่ ย่างไรอย่างนัน้ แต่ลกู ผูช้ ายพูดแล้วไม่คนื ค�ำ ในเมือ่ เขาเสียท่ารับปากมันไปแล้ว ว่าจะช่วย คงต้องเอาให้ถึงที่สุด ที่เหลือก็ภาวนาให้เจ้าบ้านทนไม่ไหวไล่ออกเร็วๆ เท่านั้นเอง อาทิตย์ยืนนิ่ง บางทีอาจก�ำลังติดต่อกับยานแม่ให้มาช่วย หรือไม่ก็พยายาม สะกดจิตเจ้าของหอพักหนุม่ ซึง่ หากเป็นเช่นนัน้ จริงก็นบั ว่าท�ำส�ำเร็จเสียด้วย เพราะ เอมจิ ต ประกาศรั บ สมาชิ ก ของร้ า นเพิ่ ม อี ก หนึ่ ง คนในที่ สุ ด หลั ง จากได้ ขู ่ อ ย่ า ง สนุกสนานไปอีกสามสีป่ ระโยคจนพอใจ และพ่อยอดชายนายอาทิตย์กเ็ ลิกเอ่ยปาก แสดงความมุ่งมั่นอะไรนอกจากท�ำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมึนๆ ภารกิจส�ำเร็จ แต่ท�ำไมเริ่มเครียด แค่คิดปิ่นหยกก็ชักห่วงตัวเองเสียแล้ว ไตร่ตรองดูอีกครั้งจึงรู้สึกว่าเขาไม่น่าเลยจริงๆ อยู่ห้องเดียวกันทั้งวันทั้งคืนต้อง ประสาทกินแน่นอน จะไล่ก็สงสาร ให้อยู่ก็น่าร�ำคาญ สถานการณ์กลับไม่ได้ไปไม่ ถึงนี่มันอะไรกัน เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ไล่ความวิตกจริต คิดในแง่ดีว่ามันคงไม่มีอะไรแย่ ไปกว่าทีผ่ า่ นมาแล้ว คนทีจ่ ะกินแม้แต่นำ�้ ยาล้างจานเพราะคิดว่าเป็นน�ำ้ ผลไม้ ชาตินี้ จะอาบน�้ำไม่ได้ถ้าไม่ใช่น�้ำอุ่น ท่าทางคงทนอยู่ได้ไม่นานหรอก ระหว่างนี้ถ้าท�ำตัว งี่เง่า เดี๋ยวเขาจะช่วยเทรนวิถียาจกเอาให้ซึมเข้าถึงเซลล์ประสาทตัวที่อยู่ลึกสุดใน สมองไปเลย 44


“จะให้ไปอยู่ห้องเดียวกับพี่ปิ่นจริงหรือ?” อุ่นใจบ่นงึมง�ำ ท่าทางยังค้างคาใจ อยู่ไม่น้อย “ก็เขาเป็นเพื่อนกัน หอพักห้องก็เต็มแล้วด้วย” เอมจิตหัวเราะแล้วลูบผม น้องชายแผ่วเบา “หรือจะให้ไปนอนกับเรา?” น้องเล็กแหงนหน้ามองสมาชิกใหม่ล่าสุดด้วยสีหน้าเบื่อโลก “ไม่เอาอะ อุ่นไม่ชอบนอนกับใคร” ว่าแล้วก็ดึงแขนปิ่นหยกเข้ามาหาตัว “ถ้า เป็นพี่ปิ่นของอุ่นก็ว่าไปอย่าง” พี่ชายคนโตส่ายหน้าอ่อนใจ ถึงปิ่นหยกจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่ดูท่าน้องเล็ก จะหวง พี่ปิ่นของอุ่น อยู่ไม่น้อย เขาขยี้ผมนิ่มๆ ของอุ่นใจจนยุ่งเหยิงพลางจับหัว โคลงไปมาอย่างมันเขี้ยว “วันนี้เป็นอะไรน่ะเรา เกิดหวงพี่ชายขึ้นมาหรือ?” “ก็นิดหนึ่ง” อุ่นใจยักไหล่ จังหวะเดียวกับคนอีกฝั่งที่เงียบอยู่นานเริ่มกลับ มาสวมวิญญาณปลิงเผือกอีกครั้ง ตวัดแขนยาวๆ โอบรอบคอปิ่นหยกซึ่งยืนอยู่ตรง กลางอย่างถือวิสาสะ ท่าทางเหมือนจะแย่งกันเกาะแกะ เด็กหนุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อยกมือข้างที่ยังว่างขึ้นเสยผมอย่างหนักใจ ช่วยแข่ง กันเรื่องอื่นจะได้ไหม? ถ้ามีคนควงแขนหรือกอดคอทีหนึ่งแล้วเขาได้เงินครั้งละร้อย ป่านนี้คงรวยไปนานแล้ว (อย่างน้อยก็คงได้จากคิมหันต์มาเยอะตั้งแต่ก่อนหน้านี้) ดูชอบเกาะกันเหลือเกิน เห็นสายตาที่เหมือนจะมีกระแสไฟแล่นเปรี๊ยะๆ ออกมา จากดวงตากลมโตของน้องเล็กซึง่ จ้องท่านชายอาทิตย์เขม็ง แล้วก็ตดั สินใจพูดอะไร ออกมาบ้างเพื่อท�ำลายความตึงเครียดในอากาศ “อุ่น เดี๋ยวคืนนี้เสร็จงานในร้านพี่ไปติวการบ้านให้ที่ห้องดีปะ” “จริงดิ” อุน่ ใจน�ำ้ เสียงเริงร่าขึน้ มาทันที เหลือบมองไปทางอาทิตย์ดว้ ยสายตา ผู้ชนะ “ดีเลย! มอสี่เรียนอะไรไม่รู้งงๆ” ปิ่นหยกพยักหน้า แม้ออกจะล�ำบากสักหน่อยเพราะติดแขนหนักๆ ของอีก คนซึ่งยังพาดอยู่ที่คอ “งั้นเดี๋ยวอุ่นเตรียมขนมไว้เยอะๆ” “เจ๋งมากน้องรัก!” ทว่าบรรยากาศระหว่างพี่น้องชื่นมื่นอยู่ได้ไม่นาน 45


“ไปด้วย” เขาอยากบีบคอไอ้ตัวสูงที่ยังเกาะหนึบไม่ปล่อยนัก ขยันท�ำให้บรรยากาศ ทะมึนเสียจริง อยู่นิ่งๆ เงียบๆ เป็นบ้างไหม เอมจิตเดินหายเข้าห้องครัวไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเด็กหนุ่มสามคนในสภาพชวน กระอักกระอ่วนใจ โดยที่ตัวต้นเหตุยังยืนท�ำไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างน่าเตะ ‘รักนะคะคนดีของฉัน จะวันไหนก็รกั เพียงเธอ...และจะบอกว่ารักเธอทีส่ ดุ ~’ เสียงริงโทนพี่บี้ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าอุ่นใจ ซึ่งเรียกว่าดังได้ จังหวะทีเดียว อย่างน้อยก็ดูจะรู้กาลเทศะกว่าคุณชายหน้ามึนเป็นกอง “ไงเหม่ง” อุ่นใจกรอกเสียงทักทาย “หา วันนี้เรอะ!? จ�ำไม่เห็นได้ เออๆ รู้ แล้ว” เด็กหนุ่มร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองปิ่นหยกและตัวแถมที่ไม่มีทีท่าจะปล่อยมือ จากพี่ชายสุดหวงของเขาเสียทีอย่างชั่งใจ ขณะที่หูก็ฟังเสียงจากคนในโทรศัพท์รู้ เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง “...อ...เออ...ฟังอยู่ ตอนนี้เลยเหรอ บ้าเอ๊ย ตั้งนานไม่ตกลง กันนะ เออ เดี๋ยวไป รออยู่ที่บ้านนั่นแหละ แค่นี้นะ” พอวางสายปุ๊บอุ่นใจก็ท�ำหน้ามุ่ยใส่อีกสองหน่อที่แทบจะยืนกอดกันกลม หรือหากพูดให้ถูกก็คือปิ่นหยกในอารมณ์เหนื่อยหน่ายซึ่งถูกเกาะหนึบอยู่ฝ่าย เดียว “ไปดีมาดีนะ” อาทิตย์เอ่ยเสียงเรียบด้วยสีหน้าซึ่งท�ำเอาคนฟังต้องระงับ สติอารมณ์เต็มที่ไม่ให้เผลอเอาโทรศัพท์ปาหัวเพื่อนพี่ชายไปเสียก่อน คูก่ รณีพน่ ลมออกจมูกอย่างหงุดหงิด เริม่ รูส้ กึ ไม่ถกู ชะตากับรุน่ พีม่ าดคุณชาย หน้านิ่งที่อยู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ของปิ่นหยกเสียแล้ว ลางสังหรณ์อะไรบาง อย่างคอยจะร�่ำร้องว่าถ้าไม่ท�ำอะไรต้องโดนแย่งพี่ชายสุดรักแหงๆ หมอนี่ท่าทาง ไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย ที่แย่คือลางสังหรณ์เขาไม่ค่อยพลาดเสียด้วย แต่เมื่อครู่ เพื่อนที่โรงเรียนก็เพิ่งโทรตามไปช่วยท�ำงานกลุ่มราวกับจะแกล้งขัดจังหวะ ชิ! อุ่นใจย่นจมูก วันนี้จะถือว่าปล่อยไปก่อนก็ได้ “พี่ปิ่น วันนี้สงสัยไม่ได้แล้วแหละ” เขาชี้แจงเสียงจืดชืด “เพื่อนโทรตามไป ท�ำงานอะ คงค้างบ้านมันด้วยเลย” ปิ่นหยกพยักหน้าช้าๆ “เหรอ น่าเสียดายจังนะ” ที่เขาไม่ได้พูดต่อคือ ‘อด กินขนมฟรีเลยวันนี้’ 46


“ไว้วันหลังมาติวให้อุ่น...สองคนนะ” อุ่นใจเน้นเสียงท้ายประโยคที่ว่า ‘สอง คนนะ’ ชัดถ้อยชัดค�ำพร้อมกับหันไปจ้องปลิงเผือกข้างๆ พี่ชายอย่างประกาศศัตรู “อ่าฮะ สองคน ฉัน ปิ่นหยก แล้วก็นาย” อาทิตย์นับนิ้ว นั่นเรียกสามคนว้อย! ทั้งอุ่นใจและปิ่นหยกแทบกรีดร้องประสานเสียงพร้อมกับไล่อีก ฝ่ายไป เรียนอนุบาลใหม่สักรอบ “ประสาท!” น้องเล็กหันมาเขม่นอีกครั้ง ชนิดที่ว่ากะเอาสายตาทิ่มแทงให้ พรุนกันไปข้างก่อนจะเดินปึงปังเข้าครัวไปหาเอมจิต ปากก็บ่นงุบงิบไปตลอดทาง จนน่าสงสัยว่าก�ำลังท่องคาถาสาปแช่งอะไรอยู่หรือเปล่า สุดท้ายก็เหลือกันอยู่สอง คนยืนนิ่งอยู่ในห้องโถง “ปล่อย” ไม่มสี ญ ั ญาณตอบรับจากบุคคลทีท่ า่ นเรียก มือเกาะอยูอ่ ย่างไรก็อยูอ่ ย่างนัน้ “ปล่อยเว้ยอาทิตย์! อึดอัด” ปิน่ หยกเริม่ โวย “เกาะอยูไ่ ด้ พ่อเป็นปลิงเหรอ!?” “อย่าว่าคุณพ่ออย่างงั้นสิ” ที่จะว่าจริงๆ คือแกนั่นแหละครับคุณชาย! “น้องอุ่นชอบนายหรือ?” “หา?” “ก็ดูหวงจัง” ปิ่นหยกยืนงง เออ...แล้วต้องตอบอย่างไรดีล่ะ ก็คงชอบมั้ง อยู่คลุกคลีด้วย กันมาตั้งสองปีแล้ว เขาพยักหน้าช้าๆ เอ่ยน�้ำเสียงติดจะลังเลอยู่นิดหน่อย “เป็นพี่ น้องกัน” “แต่ไม่ใช่พี่น้องจริงๆ นี่นา” ท�ำรู้มากอีก “แล้วไง?” อาทิตย์ปล่อยมือแล้วยกขึ้นท�ำท่ายอมแพ้ “ไม่มีอะไร แค่ถามดู เห็นน้องอุ่น ดูไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไหร่” คนฟังส่ายหน้าหน่ายๆ “ไม่เห็นแปลก ฉันยังไม่ชอบขี้หน้าแกเลย” 47


“โกหกไม่ดีนะ” เด็กหนุ่มร่างสูงว่าแล้วก้มหน้าลงมาจ้องตาอีกฝ่ายในระยะ ประชิด ท�ำเอาปิน่ หยกผงะเอนตัวไปข้างหลัง เผลอหลุบตาลงต�ำ่ ก่อนนึกสงสัยตัวเอง ขึ้นมาว่าจะหลบท�ำไม เสียฟอร์มโคตร อาทิตย์ยงั จ้องตาแป๋ว และปิน่ หยกปลอบใจตัวเองว่าเป็นใครก็เผลอหลบวะ! ปุบปับใครใช้ให้เอาไอ้ตาใสๆ นั่นมาจ้องกัน! “แล้วรู้หรือเปล่าว่าคนโกหกก็มักจะหลบตาด้วย?” อีกฝ่ายได้ทีช่วงเขาก�ำลัง เหวอรีบเล่นงานต่อ สนุกมากไหมไอ้ลูกเจี๊ยบ “ยุ่งจริงเว้ย!” เขาโวยแล้วตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาจ้องกลับด้วยแววตาหาเรื่อง สุดขีด “แค่จ้องตาท�ำไมฉันจะท�ำไม่ได้!” เอาสิ หลังแพ้ศกึ จ้องตาในห้องน�ำ้ ครัง้ ก่อนมาแล้วหนึง่ ครัง้ คราวนีเ้ ขาไม่ยอม อีกเด็ดขาด จ้องจนกว่าตาจะบอดกันไปข้างนีแ่ หละ ให้มนั รูก้ นั ไปว่านอกจากเรียนดี งานบ้านเป็นเลิศ เขายังมี... “ปิ่นหยกตาสวยนะครับ” “......” ราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกโพละในหัว ตามด้วยความร้อนวูบวาบที่คล้ายว่ามีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ในอก แล่นพล่านขึ้น มาจนถึงล�ำคอ ใบหน้า แล้วลามปามไปกระทั่งใบหูสองข้าง เขาก�ำลังคิดเรื่องจะ สวนกลับอย่างไรดี แต่ขากลับพาตัวเองหันหลังแล้ววิง่ พรวดพราดออกจากห้องโถง หนีขึ้นบันไดหอพักตึงตังด้วยความเร็วสูงโดยไม่เอ่ยอะไรสักค�ำ ทิ้งให้สมาชิกใหม่ อย่างเป็นทางการยืนงงอยู่ที่เดิมว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อ หยุดพักหายใจหอบอยู่หน้าห้องพักนั่นเอง ปิ่นหยกยกมือขึ้นกุมหน้าอก ก้อนเนื้อในนั้นก�ำลังเต้นระรัวแบบไม่ทราบ สาเหตุ อาจเพราะเหนื่อยที่วิ่งขึ้นบันไดมา แต่สรุปแล้วจะต้องหนีออกมาท�ำไมก็ยัง น่าสงสัยตัวเอง “ไอ้ลูกเจี๊ยบเฮงซวย!” เขาส่งเสียงสบถอ่อนแรงแล้วทรุดตัวลงนั่งพิงประตู ยกมือขึ้นกุมศีรษะก่อน จะฟุบหน้าลงไปกับหัวเข่า สงครามจ้องตาระหว่างอาทิตย์ – ปิ่นหยก ฝ่ายแรกท�ำคะแนนน�ำไปแล้ว 2 - 0 48


5 ความสับสนของคนเป็นน้อง

‘อุ่นใจ’ เขาได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง มันแทบไม่ดังไปกว่ากระซิบ ทว่ากลับสะท้อน ก้องซ�้ำไปซ�้ำมาอยู่ในหู ‘...อุ่นใจ’ และเขาชอบเสียงนั้น ‘พี่ปิ่น’ เจ้าของชื่อยืนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนเขาที่โอบรอบเอวไว้หลวมๆ ปิ่นหยกสูงกว่า เล็กน้อยแต่เชื่อว่าอีกไม่นานเขาคงสูงทันได้ไม่ยากเย็น นัยน์ตาสีน�้ำตาลเข้มซึ่งจ้อง มองมาบัดนี้หรี่ปรือดูเย้ายวน พวงแก้มใสขึ้นสีระเรื่อแบบที่เจ้าตัวมักเป็นบ่อยๆ แต่ ครั้งนี้กลับชวนให้ใจเต้นแรงเมื่อประกอบเข้ากับริมฝีปากซึ่งพร�่ำเรียกชื่อเขาซ�้ำไป ซ�้ำมา ‘อุ่นชอบเสียงพี่ปิ่น’ ปิ่นหยกระบายยิ้มละมุน ‘อยากให้เรียกอีก...เรียกชื่ออุ่นคนเดียว’ 49


อีกฝ่ายเอียงศีรษะเล็กน้อย จากนัน้ ก็ยกแขนสองข้างขึน้ โอบรอบคอเขาคล้าย จะตอบรับประโยคเอาแต่ใจนัน้ ใบหน้าโน้มลงมาใกล้พร้อมกับลมหายใจร้อนๆ เป่า ลงคลอเคลียอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายจมูก ชวนให้สติทิ้งร่างกายบินล่องลอยหายออกไป นอกหน้าต่าง น�้ำเสียงนุ่มนวลกระซิบแผ่วเบาราวกับก�ำลังเชื้อเชิญ ‘งั้นพี่ก็จะเรียกอุ่นใจคนเดียว’ เรียวปากบางยักยิม้ พรายอีกครัง้ ก่อนจะเคลือ่ นเข้ามาใกล้เนิบช้าจนทรมาน แต่ละวินาทีที่ผ่านราวกับเป็นนิจนิรันดร์ จนกระทั่งริมฝีปากของทั้งสองคนห่างกัน ด้วยระยะเพียงกระดาษแผ่นบางๆ กั้น จากความใกล้นั้น อุ่นใจได้กลิ่นหอมละมุนเหมือนเค้กที่เพิ่งท�ำเสร็จ และเขาไม่อยากรออีกแล้ว ‘พี่ปิ่นเป็นของอุ่นนะ’ เด็กหนุ่มหลับตา กระตุกเอวอีกฝ่ายให้ขยับเข้าหา กลีบปากบางสวยนั่นจะ รสชาติหอมหวานเหมือนเค้กด้วยหรือเปล่า? นี่มันอย่างกับฝันไป กริ๊งงง...งง...ง... เขาสะดุ้ง ลุกขึ้นมานั่งแตกตื่นบนเตียง เขาแค่ฝันไป เคร้ง! นาฬิกาปลุกกระเด็นหล่นจากหัวเตียงลงกระแทกพื้นจากแรงปัดโดยไม่ได้ ตั้งใจ ตัวเครื่องลอยไปฝั่งหนึ่ง ส่วนฝาปิดและถ่านนาฬิกาหลุดลอยไปอีกด้านแล้ว กลิ้งหายไปใต้เตียง เจ้าของนาฬิกาทิ้งตัวลงบนที่นอน ซุกอยู่กับหมอนข้างราวกับอยากรวมร่าง เป็นหนึ่งเดียวกันไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งหน้าร้อนผ่าวไปหมด เกิดนึกอายผีสาง นางไม้ในห้องนอนตัวเองขึ้นมากะทันหัน “ฝันบ้าอะไรเนีย่ ” อุน่ ใจโอดครวญกับลายโปเกมอนบนปลอกหมอน ไม่อยาก จะคิดเลยว่าหากปิ่นหยกมารู้เข้า เด็กหนุ่มถอนใจยาวเหยียด เป็นเรื่องปกติธรรมดาส�ำหรับเขาไปแล้วส�ำหรับ การฝันถึงพี่ชายซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างปิ่นหยก เพียงแต่ที่ ผ่านมามักเป็นฝันถึงเหตุการณ์ปกติทั่วไป ชีวิตประจ�ำวัน เรื่องที่โรงเรียน หรืออาจ 50


จะเรื่องราวแฟนตาซีบู๊ล้างผลาญอะไรก็ตามแต่ โดยมีปิ่นหยกเป็นหนึ่งในผู้มาโผล่ ในนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ภาพความฝันซึ่งยังตรึงแน่นอยู่ในหัววันนี้กลับต่างออกไปจากทุกที มัน ช่างชวนให้ใจหวิวๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ อุ่นใจยันกายลุกขึ้นจากเตียง ส่ายหัวไปมาไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเดิน ลากเท้าไปเก็บซากนาฬิกาซึ่งกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางเมื่อครู่น้ี เห็น สภาพเข็มนาฬิกาหลุดออกมาห้อยร่องแร่ง กระจกมีรอยร้าวพาดกลางแบ่งหน้าปัด ออกเป็นสองฝัง่ ก็ตอ้ งโคลงศีรษะไปมามาเบาๆ ด้วยท�ำใจว่าคงถึงเวลาไปหาอันใหม่ มาใช้เสียแล้ว เขาวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะแล้วเดินเนือยๆ ไปหยิบผ้าขนหนูก่อนจะตรงดิ่งเข้า ห้องน�ำ้ ส�ำหรับเช้าวันเสาร์ทบี่ รรยากาศขมุกขมัวอย่างน่าประหลาดเช่นนี้ โดนน�ำ้ เย็น สักหน่อยอาจช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นบ้าง หลังจากฮัมเพลงไปอาบน�้ำไป บวกเวลาเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ เด็กหนุ่มก็ ออกมายืนเช็ดผมที่เพิ่งสระมาหมาดๆ สายตาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่หัวเตียง วันหยุดอย่างนีร้ า้ นจะเปิดเก้าโมง กว่าจะแต่งตัวจัดการร่างกายเสร็จคงใกล้เวลาเปิด พอดี หากลูกค้าเยอะเขาอาจลงไปช่วยอีกแรง เอมจิตผู้เป็นพี่ชายจะได้ไม่ต้องตาม มาบ่นภายหลัง อุน่ ใจเหม่อมองหน้าปัดร้าวๆ ของนาฬิกาปลุกบนโต๊ะด้วยสายตาเลือ่ นลอย แม้จะโดนน�ำ้ เย็นหวังให้หวั โล่ง แต่กลับไม่ได้ชว่ ยชะล้างเอาความคิดฟุง้ ซ่านเกีย่ วกับ ความฝันเมือ่ เช้าออกไปได้อย่างทีต่ งั้ ใจนัก มือทีถ่ อื ผ้าขนหนูเช็ดผมอยูค่ อ่ ยขยับช้าลง จนสุดท้ายก็หยุดนิ่ง ขณะที่ความคิดในหัวยังวิ่งไม่หยุด ปิ่นหยกเป็นพี่ เขาเตือนตัวเอง ‘แต่ก็ไม่ใช่คนร่วมสายเลือดแบบพี่เอมไม่ใช่หรือ?’ เสียงเล็กๆ น่ารังเกียจแย้งขึ้นในหัว ขณะที่อีกเสียงตั้งค�ำถามขึ้นใหม่ ‘เขาเป็นผู้ชาย’ อุน่ ใจทรุดตัวลงนัง่ กุมขมับ ปล่อยน�ำ้ จากเส้นผมทีเ่ พิง่ สระไหลลงหยดแหมะๆ บนผ้าปูเตียง นี่มันชักจะเพี้ยนกันไปใหญ่ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ความคิดฝ่ายมองโลกในแง่ดียังคอยจะหาข้อ แก้ตัวให้ตัวเองอยู่เรื่อยมา มันคงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรนักหรอกน่า ...ใช่ไหม? 51


ความฝันเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ นี่ก็เป็นแค่อีกรูปแบบหนึ่งของความฝันแปลกๆ ซึ่งเกิดกับใครก็ได้ไม่ใช่หรือ? ถึงแม้บรรยากาศจะเหมือนจริงมากจนน่าตกใจ แต่ใช่ ว่าชีวิตจริงเขาจะอยากท�ำอย่างนั้นกับปิ่นหยกเสียเมื่อไร เขาทิ้งตัวลงไปฟัดหมอนข้างลายโปเกมอนจนหน�ำใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา จ้องโทรศัพท์ภายในบนโต๊ะใกล้ตัว ถ้าเป็นพี่หมอ อาจจะเอาเรื่องแบบนี้ไปปรึกษาด้วยได้..ใช่หรือเปล่า? ยังไม่ทันได้คิดทบทวนให้ถ้วนถี่ มือก็คว้าหูโทรศัพท์ลักษณะเดียวกับที่มีอยู่ ในทุกห้องของหอพักแห่งนี้ ลงมือกดหมายเลขที่จ�ำได้ขึ้นใจนอกจากเลขห้องของ ปิ่นหยกและเอมจิต 3-3-0-2 ก่อนเสียงกริง่ โทรศัพท์จะดังขึน้ ทีห่ อ้ งพักชัน้ 3 เลขห้อง 302 ปลุกให้เจ้าของ ห้องงัวเงียขึ้นมารับสาย

เก้าโมงครึ่ง ปิ่นหยกเดินงุ่นง่านผ่านป้าย ‘ร้านเค้กทานตะวัน’ ด้วยสีหน้า หงุดหงิดเหมือนเพิ่งกินรังแตนไปค่อนประเทศ เสียงโมบายกรุ๋งกริ๋งดังขึ้นขณะเปิด ประตูร้าน และไอเย็นฉ�่ำจากเครื่องปรับอากาศซึ่งพัดเข้าใบหน้าอาจดึงอารมณ์ กลับมาเย็นลงบ้าง แต่ไม่ได้ท�ำให้รอยขีดข่วนและแผลถลอกปอกเปิกเต็มเนื้อตัว จางหายไปแต่อย่างใด ส่วนที่เดินตามหลังเขามาต้อยๆ เหมือนลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่คือเด็กหนุ่มลูก เศรษฐี หรือหากจะพูดใหม่ให้ถูกคือ อดีตลูกเศรษฐี ตัวปัญหาผูกขาดของปิ่นหยก ซึ่งสภาพตอนนี้ก็ย�่ำแย่ไม่ได้ต่างกันนัก ทั้งเนื้อตัวมีแต่รอยถลอกและเศษดินโคลน เปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ่งเหยิง และหากสังเกตดีๆ อาจเห็นกระทั่งใบหญ้าชิ้นเล็กชิ้น น้อยติดอยู่ตามเส้นผม เอมจิตหันมามองตาค้าง ถึงกับต้องหยุดจัดเค้กที่ลูกค้าสั่งลงจานเพื่อมา ยืนข�ำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว นึกได้ก็รีบลากทั้งสองคนไปหลบหลังร้านก่อนสภาพ มอมแมมนั่นจะไล่ผู้มาอุดหนุนเสียหมด “ไปเอาหัวมุดดงหญ้าที่ไหนกันมาน่ะ? อุ! ฮ่าๆๆ!” 52


เห็นชัดว่าชายหนุ่มเก็บอาการไม่ดีเท่าที่ควร แต่อย่างน้อยก็ได้พยายามแล้ว ดูจากสีหน้าซึ่งนิ่งสงบมาตั้งครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะใส่เด็กหนุ่มสองคน ในสภาพเยินพอกัน ต่างที่คนหนึ่งราวกับภูเขาไฟคุกรุ่นเตรียมพ่นลาวาออกมาทาง ตาหูจมูกปาก ขณะที่อีกหนึ่งหนุ่มกลับยืนท�ำหน้ามึนเหมือนยังไม่ตื่นอยู่ข้าง ๆ “ก็ไอ้ลกู เจีย๊ บนีด่ พิ เี่ อม!” ปิน่ หยกโบ้ย หลังจากสาปแช่งในหัวจนสาแก่ใจแล้ว “ขี่จักรยานไม่เป็นก็ไม่บอกก่อน!” เอมจิตเอียงคอรอฟังต่อ ก�ำลังนึกสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับจักรยาน จะว่าไป ตอนทั้งสองคนเดินเข้าร้านมา เขาเห็นจักรยานสีเหลืองด�ำคันหนึ่งซึ่งไม่รู้ของใคร จอดหลบมุมอยู่หน้าร้าน บางทีอาจเป็นคันเดียวกับที่ปิ่นหยกก�ำลังพูดถึง ชายหนุ่มไม่ต้องเสียเวลาสงสัยนานเลย เมื่อคุณลูกจ้างผู้น่ารักของเขาเริ่ม กล่าวค�ำสรรเสริญวีรกรรมของเพื่อนคุณชายร่างสูงเป็นฉากๆ มันเริ่มขึ้นได้อย่างไรนะหรือ? เมื่อราวชั่วโมงกว่าก่อนหน้านี้ เอมจิตขอให้ปิ่นหยกไปซื้อของใช้ที่ยังขาดใน ร้านมาให้ โดยมีอาทิตย์รับอาสาจะไปช่วย ซึ่งเอาชนะเสียงคัดค้านอันล้มเหลวไม่ เป็นท่าของปิ่นหยกอย่างสวยงาม “รอบนี้ต้องซื้อเยอะ ช่วยกันถือของก็ดีนะ” เป็นค�ำพูดส่งท้ายของชายหนุ่ม เจ้าของร้านด้วยใบหน้ายิม้ แย้ม ก่อนพนักงานหนุม่ สองคนจะเดินออกไปในลักษณะ ใกล้เคียงปาท่องโก๋ ระหว่างทีพ่ เี่ ลีย้ งจ�ำเป็นเดินเลือกของในซูเปอร์มาเก็ต พร้อมกับค�ำนวณราคา สินค้าเพือ่ ความคุม้ ค่าอย่างบ้าคลัง่ (อุน่ ใจซึง่ เคยมาซือ้ ด้วยนานๆ ครัง้ เรียกว่าอย่าง นั้น) เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่พบคนที่อ้างว่าจะมาช่วยถือของเสียแล้ว ปิ่นหยกสอดส่ายสายตาหาผู้ร่วมภารกิจพอเป็นพิธี เมื่อไม่เจอก็โคลงศีรษะ ตัดสินใจว่าช่างหัวมันเถอะ แบบนี้สงบหูดีแล้ว ที่ประหลาดคือเขาเลือกของใส่รถเข็นตั้งนานจนเสร็จเรียบร้อย ก�ำลังรอ จ่ายเงิน แต่กลับยังไม่เห็นวี่แววมนุษย์หน้ามึนซึ่งเสนอตัวมาด้วยแทบแย่ตั้งแต่ก่อน ออกจากร้าน พอมาถึงกลับหายต๋อมเสียนี่ หาเรื่องอู้งานชัดๆ เลย เด็กหนุ่มเคาะนิ้วกับเคาน์เตอร์ขณะรอพนักงานคิดเงิน สายตากวาดมองไป รอบตัว ไอ้คุณชายบ้าหายหัวไปไหนก็สุดจะคาดเดา ก�ำลังคิดว่าหากจ่ายเงินเสร็จ 53


แล้วควรเอาอย่างไร หนีกลับร้านเลยดีไหม ภาพของท่านชายอาทิตย์ และจักรยาน สีเหลืองด�ำโครงอลูมิเนียมที่เจ้าตัวเดินจูงมาหยุดอยู่หน้าซูเปอร์มาเก็ตก็ปรากฏขึ้น ในลานสายตา ปิ่นหยกกะพริบตาปริบๆ จ้องเขม็งให้แน่ใจว่าไม่ผิดคน ร่างตรงนั้นคือไอ้ ลูกเจี๊ยบโข่งร้อยเปอร์เซ็นต์ มาพร้อมกับจักรยานอีกหนึ่งคัน ซึ่งนั่นไม่ใช่ภาพที่เขา คิดว่าจะได้เห็นแน่นอน เทพเจ้าแห่งเงินตราและความร�ำ่ รวยครับ หมอนีไ่ ปขโมยของใครมาวะเนีย่ !? เขารีบจัดการจ่ายเงิน หิว้ ถุงใส่ขา้ วของกองพะเนินขึน้ มา เปิดประตูเดินดุม่ ๆ ตรงเข้าไปหาเป้าหมาย อาทิตย์หันมาแย้มยิ้มอย่างปัญญาอ่อนใส่พร้อมกับโบกมือ โบกไม้เมื่อเห็นเขา แต่นัยน์ตาเป็นประกายใสแจ๋วเหมือนเด็กไม่ท�ำให้ความข้องใจ ของปิ่นหยกจางหายไปแต่อย่างใด “จักรยานนั่นมาจากไหน?” เด็กหนุ่มยิงค�ำถาม ก้มลงไล่สายตาไปตามชิ้น ส่วนของพาหนะนั้นทีละจุด สภาพมันดูดีทีเดียว พลาสติกใสยังหุ้มอยู่ด้วยซ�้ำ ของใหม่แน่นอน ประเมิน ด้วยสายตาแล้วราคาขายอย่างน้อยก็ไม่น่าต�่ำกว่าสี่พันบาท และความคิดนั้นท�ำให้ เขายิ่งขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “ซื้อมา” อีกฝ่ายตอบพลางพยักพเยิดไปทางร้านขายจักรยานอีกฝั่งถนน น�้ำเสียงติดจะภูมิอกภูมิใจอยู่ด้วยนิดหน่อย ปิ่นหยกท�ำหน้าเหวอไปเล็กน้อย สมองแปลผลค�ำว่า ‘ซื้อมา’ ที่ได้ยินอย่าง รวดเร็ว ซื้อมา ใช้เงิน แสดงว่าไอ้คุณชายนี่มีเงินติดตัวมาด้วยสินะ อย่างน้อยก็พอ จะซื้อจักรยานคันใหม่ได้ “ไหนว่าไม่มีตังค์?” “ก้อนสุดท้าย” “อ้อ...” เขาพยักหน้า แต่เดี๋ยวสิ “ห้ะ! ว่าไงนะ!?” “เงินก้อนสุดท้าย” อาทิตย์ยืนยันซ�้ำอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้หูฝาด “ห้ะ!?” และปิ่นหยกก็อุทานค�ำเดิมอีกครั้งแม้มันจะฟังดูโง่เง่าเต็มทน “ปิ่นหยกท�ำหน้าตลกจัง” 54


เขาเกือบจะหลุด ‘ห้ะ!?’ ครั้งที่สามออกมาแล้ว แต่สติในส่วนซึ่งยังท�ำงานดี อยู่รั้งไว้ว่าพอเถอะ ก่อนจะท�ำให้ตัวเองดูปัญญานิ่มไปกว่านี้ ที่ต้องเคลียร์คือเรื่อง จักรยานเจ้าปัญหานี่ต่างหาก “แล้วซื้อมาท�ำไมวะเนี่ย!?” “มันไกล...ขี้เกียจเดิน” เด็กหนุ่มร่างสูงแบ่งข้าวของพะรุงพะรังในมือปิ่นหยก ไปช่วยถือแล้วพูดต่อ “ของก็เยอะด้วย จะได้ใส่ตะกร้า” ว่าพลางหันหลังกลับไปยัง จักรยาน เตรียมเอาข้าวของจัดเก็บให้เรียบร้อย เพียงเพื่อจะพบว่ารุ่นนี้ไม่มีตะกร้า สุนัขจรจัดตัวหนึ่งวิ่งผ่านไประหว่างพวกเขาอย่างไร้สาระและไม่มีผลต่อ รูปการ นอกจากเรื่องช่วยให้รู้ว่าโลกภายนอกไม่ได้หยุดนิ่งเพื่อจะยืนอึ้งไปกับเขา เท่านั้น ปิ่นหยกอับจนด้วยค�ำพูดกะทันหัน อาทิตย์ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ท�ำหน้ามึนใส่คล้ายอยากเรียกยานแม่ลึกลับออกมาช่วยอีกแล้ว “เอ่อ...อย่างน้อยก็มีที่นั่งคนซ้อนนะ” อาทิตย์เอ่ยอ้อมแอ้ม เป็นค�ำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย! หลังจบจากบทสนทนาหน้าซุปเปอร์มาเก็ต เรื่องจักรยานคันใหม่ซึ่งคุณลูก เศรษฐีตกยากใช้เงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากคุณพ่อซื้อมาอย่างใจง่าย ด้วยเหตุผลว่า ระยะทางจากหอพักถึงซูเปอร์มาเก็ตนั้นไกลเกินกว่าท่านชายจะเดินแบกของกลับ ร้านไหว โดนปิน่ หยกบังคับให้เอาไปคืนก็เห็นป้ายโชว์หราหน้าร้านว่า ‘สินค้าซือ้ แล้ว ไม่รับเปลี่ยนหรือคืน’ พร้อมเจ้าของร้านกล้ามโตหน้าโฉดที่มีรอยสักเต็มตัวเดินโฉบ ไปมาให้ได้หวาดเสียวเล่น ความคิดว่าจะเอาไปแลกเงินกลับก็เป็นอันต้องพับเก็บ ถาวร “ใช้เงินไม่รจู้ กั คิด ไม่สงสัยเลยท�ำไมพ่อถึงเตะโด่งออกมา” ปิน่ หยกบ่นงุบงิบ พลางคว้าข้าวของในมืออาทิตย์มาถือไว้เองทั้งหมด ท�ำหน้ามู่ทู่ขณะขึ้นไปนั่งคร่อม รอบนที่นั่งซ้อนของจักรยาน “เอาวะ! ไหนๆ ก็ ซื้อมาแล้ว แกปั่นดิ๊” อาทิตย์เอานิ้วชี้มาที่ตัวเองอย่างงงๆ “ฉันหรือ?” “ซื้อมาก็ขี่สิ เร็วเข้า! พี่เอมรอแย่แล้ว” เขาคะยั้นคะยอพร้อมกับเอามือตบ เบาะนั่งข้างหน้าย�้ำๆ เป็นเชิงเร่ง แน่นอนว่าหากปิน่ หยกรูล้ ว่ งหน้าถึงสภาพตัวเองหลังจากนัน้ เขาคงเลือกจะ ปั่นเอง หรือไม่ก็ยอมแบกถุงมากมายก่ายกองเหล่านั้นเดินกลับเสียยังจะดีกว่า 55


เอมจิตเหมือนจะยิ่งหัวเราะหนักขึ้นเมื่อได้รู้เรื่อง “สรุปว่าพากันปั่นจักรยานแหกโค้งเข้าดงหญ้ากันมาหรือนี่? โถๆ ฮ่าๆๆๆ” “พี่เอมอย่าข�ำดิ” ปิ่นหยกประท้วง หลังจากหวิดจะหน้าแหกไปสองรอบ กว่าท่านชายอาทิตย์จะสารภาพออกมาได้วา่ ขีจ่ กั รยานไม่เป็น สุดท้ายก็เป็นเขาเอง ที่ต้องแบกสังขารเยินๆ ขึ้นมาเป็นคนขี่ แล้วให้อีกฝ่ายที่ตัวทั้งสูงทั้งหนักเป็นคนถือ ของซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง ได้แต่นึกค่อนขอดตัวเองอยู่ในใจ ไอ้ปิ่น แกมันจนแล้วยัง แมนโคตร! “วันนี้น้องแววมาท�ำงานด้วย ลูกค้าก็ยังไม่เยอะ ทั้งสองคนไปท�ำแผลจัดการ ตัวเองให้เรียบร้อยก่อนไป” “อ้าว พี่แววอยู่หรือครับวันนี้” พี่แววที่ว่าคือ ‘แวววัน’ สาวสวย โสด โหด เกรียน เรียนรามค�ำแหง พักอยู่ หอนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงสามารถมาท�ำงานเป็นประจ�ำได้ในวันธรรมดาที่เด็กๆ ไป โรงเรียน และวันหยุดบางวันที่เจ้าหล่อนมีเวลาและนึกอยากจะมาเช่นวันนี้ ปิ่นหยกมองไปรอบบริเวณ แต่ไม่เห็นวี่แววของน้องชายคนเล็กของร้าน “แล้วอุ่นล่ะพี่เอม” “เดีย๋ วคงมา บอกว่าไปหาหมอไอซ์ทหี่ อ้ งแป๊บหนึง่ น่ะ” เอมจิตยิม้ น้อยๆ แล้ว ชี้ไปทางอาคารหอพักชั้นบน ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านพร้อมกับเอ่ยทิ้งท้าย “พี่ไปดูลูกค้าก่อน พวกเธอก็ไม่ต้องรีบก็ได้ จัดการฝุ่นหญ้ากับพวกรอยถลอกให้ เรียบร้อยซะ” ปิ่นหยกพยักหน้าแต่ยังเลิกคิ้วนิดหน่อย หมอไอซ์? คงเป็น ‘พี่หมอ’ ที่อุ่นใจ เคยพูดถึง ผู้ชายใส่แว่นมาดขรึมซึ่งพักอยู่ห้องชั้นสามและไม่ค่อยส่งเสียงอะไรให้ ได้ยินคนนั้น เขายืนนิ่งอยู่กับตัวเอง จมอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง รู้ตัวอีกทีก็เมื่อถูก คนข้างๆ ลากด้วยพลังช้างสารเดินน�ำออกไปยังทางเชื่อมขึ้นหอพัก “ไปเร็ว อยากอาบน�้ำ เนื้อตัวเปื้อนไปหมดแล้ว” อาทิตย์เอ่ยเร่งไปด้วย เขา อยากจะสวนนักว่าแล้วมันเป็นเพราะใครกันล่ะ แต่ก็ตัดสินใจเป็นคนดีสงบปาก สงบค�ำด้วยเริ่มรู้สึกเหนื่อยเกินจะโวยวายแล้ววันนี้ ท�ำเพียงแค่เดินตามเงียบๆ จน มาถึงหน้าห้องพักที่ใช้ร่วมกัน 56


อาทิตย์ใช้มือข้างที่ยังว่างควานหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาไขประตู ห้อง โดยมีปิ่นหยกมองตามอย่างปลงชีวิต ตกลงเอมจิตผู้เป็นเจ้าของหอปั๊มกุญแจ ให้หมอนี่แล้วด้วยสินะ เขาไปท�ำเวรท�ำกรรมอะไรไว้หรืออย่างไรชีวิตจึงต้องถูกหาร ครึ่งอย่างนี้ พอเข้าห้องได้ปิ่นหยกก็สะบัดแขนที่โดนดึงไว้ออกตอนอีกฝ่ายก�ำลังเผลอ ชิงคว้าผ้าขนหนูบนราวแขวนเดินฉับๆ เข้าห้องน�้ำ เรื่องอะไรจะยอมให้เจ้าลูกเจี๊ยบ นั่นอาบก่อน แต่จังหวะที่ก�ำลังจะหันมาปิดประตูก็มีหน้ามึนๆ โผล่เข้ามาแทรก งับประตูแรงๆ ให้คอหลุดเลยได้ไหม? เป็นความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาในหัว อา...ฆาตกรรมเพื่อนร่วมห้อง ขึ้นโรงขึ้นศาลก็ต้องใช้เงินอีก ไม่เอาๆ “ออกไป” เขาออกค�ำสั่ง ซึ่งให้ผลไม่ต่างจากการถอนหายใจ ซึ่งหมายความ ว่าไม่กระเทือนอีกฝ่ายแม้แต่น้อย “อยากอาบน�้ำแล้ว” “ฉันอาบก่อน” “งั้นอาบด้วยกัน” ไม่ว่าเปล่ายังเบียดตัวเข้ามาอย่างถือวิสาสะอีกแน่ะ! ปิน่ หยกอ้าปากค้าง “ไอ้เวรนี!่ ” ห้องน�ำ้ เขามีทวี่ า่ งให้ผชู้ ายสองคนมายืนเบียด กันอาบน�ำ้ เสียทีไ่ หน แล้วยังประสบการณ์เปียกแฉะฝักบัวสะบัดกับอาทิตย์ครัง้ ก่อน ที่ฝังใจมาจนวันนี้อีก ค�ำนวณผลได้ผลเสียแล้ว สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับตัว เอง ท�ำใจว่าเอาวะ...ถอยไปตั้งหลักก่อนก็ได้ เด็กหนุ่มหมุนตัวเตรียมจะออกจากห้องน�้ำ แต่ไม่เร็วไปกว่าน�้ำเย็นๆ จาก ฝักบัวในมืออีกฝ่ายที่ไม่รู้เอาไปถือไว้ตอนไหนพุ่งมาปะทะเต็มหน้า ชะเอาเศษดิน และใบหญ้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าให้ไหลลงมาเป็นคราบโคลนจางๆ อยู่บนพื้น กระเบื้อง รู้สึกเหมือนโดนแก้แค้นจากครั้งก่อนอย่างไรพิกล ที่ส�ำคัญ แผลถลอกซึ่ง กระจายอยู่เต็มตัวนั่นท�ำเอาเขาเผลอส่งเสียง ‘ซี้ดดด...’ ออกมาเบาๆ มันแสบน้อย เสียเมื่อไหร่กัน! เส้นความอดทนสุดท้ายขาดผึงทันทีที่จบเสียงซี้ด ก่อนเขาจะ ตัดสินใจหันไปประกาศกร้าวพร้อมเริ่มสงคราม “เอาใช่ปะไอ้ลูกเจี๊ยบ!?” 57


เขาขู่อย่างเอาเรื่องแล้วเหลียวซ้ายแลขวา เหลืออีกเพียงสิ่งเดียวที่ดูเหมือน จะฉีดน�้ำได้ในห้องแคบๆ นี้ ไวเท่าความคิด ปิน่ หยกคว้าสายฉีดช�ำระข้างโถส้วมไว้มนั่ ในมือ ร้องลัน่ อย่าง เหลือทน “เจอบาซูก้าสายฉีดก้นนี่หน่อยเป็นไง!” อารมณ์หงุดหงิดคงท�ำให้ปิ่นหยกลืมมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายซึ่งมี รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก มันเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่ปรากฏอยู่บน ใบหน้านักกีฬามืออาชีพ เมือ่ รูว้ า่ ตัวเองเหนือกว่าในเกมและมัน่ ใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะ แต่นั่นอาจไม่ส�ำคัญนัก เพราะถึงเขาสังเกตเห็น เหตุการณ์ก็คงไม่เปลี่ยนอยู่ดี สิ่งเดียวที่ตระหนักได้หลังจากนั้นคือ เขาควรระวังตัวกว่านี้อีกมากทีเดียว เวลาอยู่ใกล้ไอ้ลูกเจี๊ยบหน้ามึน

58


6 ห้องน�้ำ และความรู้สึก

ห้องน�้ำเป็นสถานที่ซ่ึงเขาจะขึ้นบัญชีหนังตูบเอาไว้เลยนับจากนี้ว่าเป็นจุด อันตรายล่อแหลม เสี่ยงต่อการ...การ...เอ่อ....กา...ร... “ปิ่นหยก” เขาสะดุง้ สุดตัว เริม่ ผวาเสียงเพือ่ นร่วมห้องจ�ำเป็นขึน้ มาแปลกๆ โดยเฉพาะ เวลาอีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยโทนเนิบนาบแบบนั้น “เจ็บหรือเปล่า?” เจ็บสิไอ้เวร! เลือดซึมเลยนะว้อย! นั่นเป็นสิ่งที่ตะโกนอยู่ในใจ “ไม่เท่าไร” แต่ท�ำปากแข็งใส่ด้วยไม่อยากเสียฟอร์ม “เห็นเลือดออกด้วย ขอโทษนะครับ” อาทิตย์ทำ� เสียงสลดกว่าปกตินดิ หน่อย แต่ยังคงสภาพหน้ามึนไว้อย่างเหนียวแน่น “ไม่รู้ว่าไม่เคย” บ้าเอ๊ย! พูดงี้ฆ่าเขาเลยเถอะ แม้จะเสียใจนิดหน่อยที่ยังไม่ได้ท�ำประกัน แต่ เผื่อได้ขูดรีดเงินจากบ้านรวยๆ ของไอ้หน้ามึนนี่ไปให้แม่กับน้องได้บ้าง “อย่ามาท�ำรู้ดี รู้ได้ไงว่าฉันไม่เคย!?” 59


“งั้นแสดงว่าเคย” ปิ่นหยกถึงกับสะอึก เขาโกหกไม่เก่ง และเวลาต้องท�ำก็มักเผลอหลบตา อย่างที่อาทิตย์เคยตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล�้ำเข้าแล้ว จึง ตัดสินใจจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้นด้วยการปิดท้ายเสียงงึมง�ำในล�ำคอว่า “ยุ่ง อะไรเรื่องชาวบ้าน...” ก่อนจะหันไปสาละวนกับการท�ำแผลให้ตัวเองต่อทั้งใบหน้า ร้อนฉ่า อาทิตย์ยกมือขึ้นลูบท้ายทอย เดินเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งข้างอีกฝ่ายที่สะดุ้ง เล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเอาเบตาดีนใส่แผลอย่างมุ่งมั่นเกินจ�ำเป็น ดูก็รู้ว่า ก�ำลังเลี่ยงไม่มองมาทางเขา “ช่วยนะ” ว่าแล้วก็ดึงกล่องปฐมพยาบาลมาไว้กับตัวโดยไม่รอค�ำอนุญาต ปิ่นหยกเหลือบขึ้นมามองเล็กน้อยทั้งยังหน้าแดงระเรื่อแต่ไม่ได้พูดอะไร เกิดความ เงียบอันชวนให้ขัดเขินลอยฟุ้งเต็มอากาศ สิง่ ทีท่ งั้ สองคนคิดตรงกันโดยไม่รตู้ วั คือ ตัง้ ใจจะท�ำเป็นลืมๆ เรือ่ งก่อนหน้านี้ ไปเสีย หากจะย้ อ นไปสั ก นิ ด หน่ อ ยเพื่ อ ความกระจ่ า งยิ่ ง ขึ้ น ถึ ง ที่ ม าที่ ไ ปของ บรรยากาศพิลึกระหว่างพวกเขาทั้งสอง ก็คงต้องเริ่มจากตอนแรกที่เป็นแค่การ แย่งห้องอาบน�้ำนั่นเอง ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้น อาทิตย์คว้าฝักบัว ปิ่นหยกคว้าสายฉีดช�ำระล้าง ข้างโถส้วม อาวุธครบมือ พลังโจมตีใกล้เคียง ฉีดน�้ำได้เหมือนกัน ถึงแม้ของปิ่น หยกออกจะได้เปรียบด้านความซกมกอยู่นิดหน่อย ไม่กี่นาทีต่อมาก็เหมือนเข้าสู่ช่วงสงกรานต์หลงฤดู ปิ่นหยกดูหงุดหงิดมาก ในตอนเริ่ม แต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนจากส่งเสียงก่นด่าเป็นหัวเราะ และอาทิตย์ก็ ไม่เถียงว่ามันสนุกดี หากให้พูดความจริงคือเขารู้สึกว่ามันสนุกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงได้แกล้งฉีดน�้ำใส่ ถึงสถานที่จะคับแคบไปสักหน่อย แต่นี่คงเป็นอารมณ์คล้ายๆ เล่นน�้ำสงกรานต์ซึ่งเขาไม่ค่อยได้ลองสัมผัสจนอายุปาเข้าไปสิบเจ็ดปีแล้ว ทว่าก็ไม่นานนัก ก่อนอีกฝ่ายจะเริม่ ตีสหี น้าจริงจัง พร้อมกับเอ่ยเสียงเครียด บอกให้หยุดเล่นเสียที ทัง้ ทีเ่ มือ่ ครูย่ งั ข�ำอยูด่ ว้ ยกันแท้ๆ ท�ำเอาปรับอารมณ์ตามแทบ ไม่ทัน สงสัยเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าก�ำลังท�ำอะไรอยู่ 60


“พอเลย! เลิกๆ เดี๋ยวค่าน�้ำขึ้น!” เหตุผลสมกับเป็นปิ่นหยกทีเดียว เจ้าของห้องลดอาวุธก่อนจะยกมือขึ้นเป็น เชิงปราม “อย่าเยอะ! เปลืองน�้ำ ถอยไปอาบฝั่งโน้นไป” “ฝั่งไหน?” “ชิดก�ำแพงโน่นเลย” เขาชี้นิ้วไปทางมุมด้านในสุดของห้องน�้ำ พร้อมกับ ลากเท้าผ่านรอยต่อกระเบื้องระหว่างจุดที่ตัวเองและอาทิตย์ยืนอยู่ สร้างเป็นเส้น สมมติเพื่อแบ่งแยกดินแดน ตามด้วยค�ำก�ำชับขึงขัง “ยืนอาบดีๆ ห้ามล�้ำเส้นนี้” อาทิตย์เลิกคิ้ว นึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยที่จะต้องมีแบ่งเส้นอาบน�้ำด้วย แต่ก็ ตัดสินใจเดินไปอีกฝั่งของห้องน�้ำตามค�ำบอกโดยดีแล้วก้มลงเตรียมปลดเปลื้อง อาภรณ์ “เฮ้ย เดี๋ยวก่อน!” ปิ่นหยกร้องลั่น “ให้อาบน�้ำ ไม่ใช่แก้ผ้า” เขาเงยขึน้ มองคนทีก่ ำ� ลังเอาสายฉีดช�ำระชีห้ น้าเขาพร้อมกับกระโดดเหย็งๆ ไปด้วย เลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจพร้อมกับถามเสียงไร้เดียงสาโดย ที่มือก็ไม่ ได้หยุดปลดกระดุมเสื้อตัวเอง “ปกตินายอาบน�้ำทั้งที่ยังแต่งตัวเต็มยศหรือ?” เสียงส�ำลักซึ่งปิ่นหยกท�ำฟอร์มว่าเป็นกระแอมสะท้อนก้องในห้องน�้ำ ก่อน เจ้าตัวจะถอนหายใจยาวสุดลมปอดแล้วตัดสินใจยอมแพ้ มือคว้าผ้าขนหนูอกี ผืนโยน ให้คุณชายร่างสูงที่ตอนนี้เปลื้องผ้าผ่อนเกือบหมดตัวโชว์ผิวขาวเปล่งประกายวิ้งๆ “อ...เอ๊อ! เอาเลยครับท่านชาย อยากท�ำอะไรก็ท�ำ แต่ช่วยนุ่งไอ้นั่นไว้ด้วย” พูดจบก็ยืนหันหลังให้แล้วเริ่มถอดเสื้อยืดตัวเองออกบ้าง “เขินก็บอกแต่แรกสิครับ” อาทิตย์สง่ ยิม้ กรุม้ กริม่ อย่างจงใจแม้คนตรงหน้าจะมองไม่เห็น ถึงหันหลังอยู่ แต่เขาก็สังเกตว่าใบหูสองข้างของปิ่นหยกเริ่มแดงขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ เขานึกสนุกเวลาเห็นอีกฝ่ายเปลีย่ นสีหน้าไปมา โดยเฉพาะตอนแยกไม่ออกระหว่าง โกรธกับอาย แม้ลึกๆ แล้วเดาว่าคงมีความอายปนอยู่มากกว่า “น่ารัก” เขาไม่ควรใช้ค�ำว่า ‘น่ารัก’ กับเพื่อนผู้ชายเลย มันฟังดูจักจี้แปลกๆ จนเมื่อเห็นปิ่นหยกซึ่งถอดเสื้อผ้าออก เหลือแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวผูกอยู่ที่ เอว มองเห็นแผลเป็นจางๆ ขนาดใหญ่บนแผ่นหลังเพียงแวบหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะ 61


หันกลับมาเขม่นใส่ทั้งใบหน้าแดงเถือกเหมือนมะเขือเทศสุกนั่นเอง จึงได้รู้ว่าถึงจะ ใช้ค�ำชม ‘น่ารัก’ กับคนตรงหน้านี้ ก็ไม่ได้เป็นการบิดเบือนความหมายของค�ำนั้น เลยแม้แต่น้อย “อะไรน่ารัก!?” “นาย” เขาเพิ่มภาษากายด้วยการชี้นิ้วไปยังคนถาม “น่ารักบ้านเตี่ยแกดิ!” ปิ่นหยกแยกเขี้ยวแง่งๆ อาทิตย์คลี่ยิ้ม อืม...แบบนั้นก็น่ารักอีกนั่นแหละ ถ้าตัดเรื่องที่ชอบพาดพิง ถึงคุณพ่อเขาออกไปก่อนละก็นะ ป่านนี้คงจามแย่แล้ว อีกฝ่ายเห็นเขายิม้ ก็ยงิ่ ตีหน้าเหีย้ มเกรียม พร้อมกับทีส่ ายฉีดช�ำระกลับมาอยู่ ในมืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ยังมีสีเลือดฝาดแต้มอยู่บนใบหน้าทั้งค�ำขู่ฟ่อ “พูดอะไร ไม่เข้าหูอีกทีจะเอาไอ้สายฉีดก้นนี่ล้างปาก!” “ครับ” มันคงมีอะไรผิดพลาดสักอย่างตั้งแต่เริ่มมีความรู้สึกว่าน่าแกล้ง...น่ารัก... หรือน่า...อะไรก็ตามผุดขึ้นมาในหัวเขา อาทิตย์ยิ้มกว้างขึ้นนิดหน่อย เลิกคิ้วอย่าง นึกสนุกแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้เส้นสมมติแบ่งแยกดินแดนที่อีกฝ่ายขีดไว้เมื่อครู่ “งั้นแค่ไม่พูดก็พอใช่หรือเปล่า?” เขาถามเสียงต�่ำ ปิ่นหยกหรี่ตาประเมินสถานการณ์อย่างระแวดระวัง เมื่อท่านชายหน้ามึน ขยับเข้ามาใกล้เส้นแบ่งอาณาเขต เขาตัง้ ท่าเตรียมพร้อมเต็มที่ อีกก้าวเดียว แน่จริง ลองข้ามมาสิ ถึงเจ้าตัวบอกจะไม่พดู อะไรแต่เขาก็อนุญาตตัวเองให้วสิ ามัญฆาตกรรม ได้ทนั ที ส�ำหรับกรณีทผี่ ตู้ อ้ งสงสัยแสดงอาการไม่นา่ ไว้วางใจ จัดมาได้เลยไอ้ลกู เจีย๊ บ ตัวน้อย (ความจริงก็ไม่น้อย) อย่าคิดว่าจะท�ำอะไรได้ เขายักยิ้มอย่างย่ามใจ เชื่อ มั่นว่าพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ทุกสถานการณ์ที่ไม่ใช่... จูบ? “!?” เอาปากมาแตะกันอย่างนี้มันเรียกจูบใช่ไหม!? “อื้อ!?” 62


ปิ่นหยกเบิกตากว้าง ลูกตาแทบเด้งออกมากลิ้งเล่นบนพื้น ไอ้เบื๊อกนี่บ้าไป แล้ว! ตกลงที่เคยบอกว่าจะมาเป็นเมียเขานั่นพูดจริงสินะ! อาทิตย์หลับตา ปิดการมองเห็นเพือ่ จะซึมซับสัมผัสอย่างอืน่ ตัง้ แต่ลมหายใจ ร้อนผ่าวซึ่งรินรดลงปนเปกันบนปลายจมูก ผิวเนื้อเปียกน�้ำลื่นมือแถวล�ำคอและ ใบหน้าของอีกฝ่ายที่เขาประคองไว้ หรือกลีบปากซึ่งสั่นน้อยๆ แม้ในขณะถูกผนึก ไว้แนบสนิทด้วยริมฝีปากของเขาเอง มันอ่อนนุม่ อุน่ ละมุนจนอดประหลาดใจไม่ได้ น่าแปลกทีเ่ ขาได้กลิน่ วานิลลา จางๆ ในรสจูบ และเขาชอบวานิลลา “...อืม...ม...” ถึงจุดนี้ปิ่นหยกรู้สึกว่าสถานการณ์ชวนให้หน้ามืดอย่างไรบอกไม่ถูก จูบ...จูบจริง ๆ ที่บัดซบคือมันเป็นจูบแรก! ที่บัดซบกว่าคือจูบแรกนั่น...กับผู้ชาย! และหากจะมีอะไรบัดซบทีส่ ดุ ก็คงเป็นผูช้ ายคนนัน้ คือไอ้ลกู เจีย๊ บโข่งหน้ามึน นี่แหละ! แม้จะเสียท่าไปแล้ว แต่อย่างน้อยทุกอย่างควรจบลงที่หลังจากแตะปากกัน เบาๆ แล้วท่านชายงี่เง่าก็ถอนริมฝีปากออกไป ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่ใช่ลิ้นร้อนๆ ซึ่งพยายามจะแทรกเข้ามาในปากเขาแบบนี้ไม่ใช่หรือ!? “อ๊ะ!?” ปิ่นหยกขมวดคิ้ว ความรู้สึกเจ็บหนึบเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างท�ำให้เขาสะดุ้ง มันกัด! โรคจิตฉิบหายไอ้กะเพราไก่ไข่เจียว! แม้ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่ทำ� เอาหัวใจเขาเต้นเป็นจังหวะร็อคแบบเฮฟวี เมทัลแล้วตอนนี้ ถ้าอวัยวะที่ว่าจะกระเด้งออกจากปากมาวาดลวดลายบนพื้น ห้องน�้ำได้ เขาจะไม่แปลกใจเลยสักนิด ปิ่นหยกเอามือดันอกแน่นๆ ของคนตรงหน้า หวังจะช่วยเพิ่มระยะห่างให้ ได้หาทางหนีทไี ล่ ผลทีไ่ ด้ไม่เรียกว่าน่าพอใจนัก แม้จะท�ำให้อกี ฝ่ายยอมละริมฝีปาก ออก แต่ก็ยังอยู่ในระยะใกล้อันไม่เป็นผลดีกับระบบหัวใจและหลอดเลือดของเขา 63


แม้แต่น้อย จังหวะที่ก�ำลังจะอ้าปากประท้วง ก็กลับเป็นช่องว่างให้อีกฝ่ายดึงเขา เข้าไปแนบริมฝีปากอีกครั้ง พร้อมด้วยปลายลิ้นแทรกเข้ามาไม่ทันตั้งตัว กลายเป็น ความผิดพลาดอย่างโง่ๆ ที่เขาจะจดจ�ำไปชั่วชีวิต กึก! “!?” อาทิตย์ลืมตาโพลง มันเจ็บ กลิ่นวานิลลาหอมหวานเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นคาวและรสเค็มปร่าของ เลือด และภาพที่เห็นคือใบหน้าแดงซ่านของปิ่นหยกที่ก�ำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หาก เขาจ้องดีพออาจเห็นควันพวยพุ่งออกจากหูทั้งสองข้างก็เป็นได้ สอดเข้ามาดีนัก กัดลิ้นแม่งเลย! สายตาอีกฝ่ายบอกความหมายเช่นนั้นโดย ไม่ได้ใช้ค�ำพูด ปิ่นหยกจ้องเขาตาเขียว ท่าทางเหมือนพร้อมฆ่าหั่นศพคนแล้วท�ำลาย หลักฐานด้วยการโยนชิน้ ส่วนหมกส้วมได้แล้ว หากไม่ตดิ ว่าการจะไล่ชนิ้ ส่วนของเขา ลงท่อคงต้องใช้นำ�้ ไม่นอ้ ย น�ำมาซึง่ ความสิน้ เปลืองโดยใช่เหตุ แต่นอกจากเรือ่ งตาดุ คูส่ วย (เขาเพิง่ สังเกตว่าพอมีนำ�้ เอ่อคลอแล้วดูสวยกว่าทุกที) ทีท่ ำ� เหมือนจะกินเลือด กินเนื้อเขา และปากสั่นๆ เหมือนอยากพ่นค�ำผรุสวาทเต็มแก่ ปิ่นหยกก็ไม่ได้ลงไม้ ลงมือทางร่างกายหรือดุด่าอะไรอีก อาทิตย์ถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่า ท�ำอะไรลงไป ส�ำรวจใบหน้าคูก่ รณีทขี่ นึ้ สีจดั พอๆ กับเรียวปากทีช่ ำ�้ เจ่อขึน้ มาเล็กน้อย เห็นของเหลวสีแดงสดไหลซึมออกจากรอยแผลแตกตรงมุมปาก จึงได้ตระหนักได้ ว่ารสเลือดนั่นไม่ใช่ของเขาคนเดียว อาจเป็นตอนที่เขาสะดุ้งเมื่อครู่นี้ ก่อนถอยออกมาก็รู้สึกเหมือนฟันไป กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง แต่ไม่นึกว่าจะท�ำให้ริมฝีปากสวยๆ ตรงหน้าถึงกับมี แผล “...ไอ้เวร!” ปิ่นหยกสบถเสียงสั่น จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องน�้ำ ทั้งที่ยังไม่ทันได้ถูสบู่สัก แอะ ทิ้งเขายืนมึนอยู่ที่เดิมกับฝักบัวสายฉีดช�ำระ และความข้องใจที่ไม่มีค�ำตอบ ล่องลอยอยู่เต็มห้องน�้ำ 64


เขาไม่ได้ตงั้ ใจจะจูบอีกฝ่ายเลย อย่างทีร่ วู้ า่ ไม่ใช่เกย์ แต่จะเรียกว่าเป็นอุบตั เิ หตุ ซึ่งสองคนทะเลาะกันนัวเนีย แล้วบังเอิญล้มลงไปประกบปากกันพอดีแบบละคร วัยรุ่นที่พี่สาวเขาชอบเปิดดูมันก็ไม่ใช่อีก คือเขาก็ตั้งใจจูบนั่นแหละ...แต่แบบว่าไม่ได้ตั้งใจจะตั้งใจ พูดยากจริง ถึงจุด นี้ก็เริ่มสับสนในตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว อาทิตย์ยกมือขึน้ แตะหน้าอก ทัง้ สัมผัสและได้ยนิ เสียงหัวใจตัวเองทีเ่ ต้นระรัว มันเป็นความรูส้ กึ กึง่ ๆ จะตืน่ เต้น...เต็มตืน้ ....อึดอัด...ราวกับมีอะไรสักอย่างพองตัวอยู่ ในอก และสิ่งนั้นก�ำลังพยายามอย่างแรงกล้าที่จะดันตัวเองให้แตกโพละออกมา ความรู้สึกแปลกๆ นี้ หากอธิบายให้คุณแม่ของเขาฟัง เธออาจช่วยให้ค�ำ จ�ำกัดความได้ “...แย่เลย” เพราะมันใกล้เคียงกับตอนเธอเริ่มตกหลุมรักคุณพ่อของเขานั่นเอง “แน่นหน้าอกชะมัด” และตอนนีเ้ ธออาจก�ำลังเฝ้ามองเขาจากทีไ่ หนสักแห่งบนฟ้า ไม่ไกลจากกลุม่ ดาวลูกไก่ ยิ้มน้อยๆ ให้กับอารมณ์วุ่นวายใจของลูกชายที่เธอไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดู จนเขาเติบโต แม้ดูจะผิดพลาดสักหน่อยที่ความรู้สึกนั้นไปเกิดกับเด็กผู้ชายด้วยกัน

65


7 นายจืดจาง

“ชุดฟอร์ม?” เอมจิตโบกมือลาช่างตัดเสื้อซึ่งเพิ่งวัดตัวเด็กๆ ในร้านเสร็จเป็นที่เรียบร้อย แล้วหันมาพยักหน้า สายตาสังเกตเห็นรอยแตกใหม่ๆ บนมุมปากปิน่ หยกแต่ตดั สินใจ ไม่เอ่ยถามต้นสายปลายเหตุ ริมฝีปากยังคงโปรยยิ้มชวนระทวยพลังท�ำลายล้าง กินวงกว้างเช่นเคย ขณะที่มือก็จัดบานอฟฟี่พายลงจานกระเบื้องอย่างคล่องแคล่ว ท�ำเป็นไม่เห็นกลุ่มสาววัยรุ่นซึ่งลอบมองมา พร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วยทีท่า เขินอายอยู่แถวโต๊ะมุมสุดของร้าน “สัปดาห์หน้าจะมีนติ ยสารมาสัมภาษณ์ ถ้ามีชดุ ฟอร์มดูดกี บั พนักงานหน้าตา ดึงดูดก็เป็นจุดขายอีกอย่าง” ปิน่ หยกหันไปมองตามเสียงหัวร่อต่อกระซิกของบรรดาเด็กสาวซึง่ ก�ำลังจ้อง เอมจิตตาเป็นประกาย อยากบอกเหลือเกินว่าจุดขายเรือ่ งหน้าตานัน้ แค่เจ้าของร้าน คนเดียวก็กนิ ขาดแล้ว ไม่เห็นต้องยุง่ ยากจัดหาชุดพนักงานสวยหรูอะไรให้สนิ้ เปลือง สักนิด 66


“ฝ่ายหญิงร้านเราก็มีน้องแววแล้วคนหนึ่ง” ชายหนุ่มเอ่ยต่อเสียงนุ่ม ขยิบตา ให้เจ้าของชือ่ พร้อมกับยืน่ เค้กทีว่ างลงบนถาดเรียบร้อยพร้อมเสิรฟ์ ให้พนักงานหญิง หนึ่งเดียวของร้านยกไปให้ลูกค้า “พีเ่ อมน่ารักตลอด” หญิงสาวผูถ้ กู กล่าวถึงแย้มยิม้ บานแฉ่ง รับถาดมาพร้อม แสดงท่าทีเขินอายบิดม้วน แม้จะดูสวยใสวัยขบเผาะเพียงไร แต่เหล่าสมาชิกเก่าใน ร้านล้วนรูด้ วี า่ นัน่ เป็นกิรยิ าอันบรรจงประดิษฐ์ขนึ้ มาเพือ่ รับมุกเอมจิตล้วนๆ ทีก่ ล้า ฟันธงเช่นนี้ ด้วยแวววันเคยประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนหลายครั้งแล้วว่าเธอไม่คิด จีบเอมจิตแน่นอน สาวเจ้าไม่ปลื้มหนุ่มเพลย์บอย ต่อให้ตอนนี้จะถอดเขี้ยวเล็บ เกลี้ยงแล้ว (อย่างน้อยทุกคนก็เชื่อเช่นนั้น) ส่วนฝ่ายเจ้าของร้านหนุ่มเองก็ยืนยัน หนักแน่นไม่แพ้กันว่าไม่คิดจีบแวววัน แม้เจ้าหล่อนจะหน้าตาสะสวยเพียงไร ด้วย เหตุผลว่าไม่นิยมกินเด็ก แม้ทุกคนคิดว่าประเด็นส�ำคัญคือเธอรั่วเกินไปมากกว่า แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของร้านไปแล้ว ที่สองคนนี้จะแกล้งท�ำ เป็นจีบกันไปมาเพื่อสร้างสีสันระหว่างท�ำงาน ซึ่งเกือบทุกครั้งก็มาพร้อมสายตา ริษยาของสาวๆ บางคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ “ส่วนฝ่ายชายก็มีอุ่นกับปิ่น” เอมจิตพึมพ�ำท่าทางอารมณ์ดีแล้วหันไปใส่ กาแฟบดลงก้านชง “แถมตอนนี้ยังได้อาทิตย์มาเป็นน้องเขยอีกคน” “พี่เอม!” ทัง้ ปิน่ หยกและอุน่ ใจแทบพากันหวีดร้องโดยมิได้นดั หมาย ผิดกับผูถ้ กู พาดพิง ซึ่งนอกจากยืนเหวอน้อยๆ แล้วก็ไม่คิดเรียกร้องสิทธิ์ในการแก้ต่างให้ตัวเองสักนิด “อา...พี่ล้อเล่น” ชายหนุ่มยิ้มละไม “เป็นฝ่ายย้ายเข้ามา ต้องเรียกน้องสะใภ้ สินะ” “พี่เอ๊ม!” เอมจิตยิง่ หัวเราะร่วน ถึงตอนนีป้ น่ิ หยกเริม่ สงสัยแล้วว่าพีช่ ายคนโตของร้าน รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับเหตุการณ์ระหว่างเขากับไอ้ลูกเจี๊ยบนี่แค่ไหน ท�ำไมแต่ ละช็อตที่ยิงมาจึงได้เหมือนจะแสกเข้ากลางหน้าอย่างกับรู้เห็นทุกอย่างมาตลอด อย่างไรอย่างนั้น “ปฏิกริ ยิ าตอบรับเป๊ะมาก” ขายหนุม่ ยิม้ กว้าง “พวกเธอน่าไปเล่นซิทคอมนะ” พี่ใหญ่ยังคงแสดงอาการชอบอกชอบใจก่อนจะหันไปง่วนกับการชงกาแฟ ต่อ ไม่นานนักกลิ่นหอมๆ ก็โชยมาเตะจมูก เรียกความสนใจจากท่านชายอาทิตย์ 67


ผู้ตกยาก ให้ชะโงกตัวผ่านหน้าปิ่นหยกมาดูลาเต้อาร์ตหอมกรุ่นบนเคาน์เตอร์ที่ เอมจิตเพิ่งยกมาวาง ยืนจ้องมองลายรูปหัวใจบนนั้นอยู่ครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ปิ่นหยกไม่น่ามีเงินมาขอผม งั้นผมเป็นเขยละกัน” “!?” “แต่สินสอดคงต้องติดไว้ก่อนจนกว่าจะได้กลับบ้านนะครับพี่เอม” ปิน่ หยกเบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า ฟังแล้วอยากละชีวติ ทางโลก ขึ้นมากะทันหัน ทั้งหน้าร้อนผ่าวควันแทบพุ่งออกทางหู เถียงฉอดๆ อยู่ในใจว่า อย่ามาท�ำต่อมุกเรื่องแบบนี้ด้วยท่าทางจริงจังได้ไหม แถมยังมีหน้ามาหาว่าเขาไม่มี เงิน (ถึงจะเรื่องจริงก็เถอะ) แล้วตัวเองที่เป็นปรสิตเกาะห้องชาวบ้านนอนตอนนี้มี ตายละ เดี๋ยวปั๊ดเอาถุงเหรียญบาทปาหัวแตกเลยนี่! ทางฝั่งอุ่นใจก็ท�ำหน้าเซ็งเหลือจะกล่าว ท�ำนองว่าไอ้คุณชายนี่บ้าไปแล้ว พ่นลมออกจมูกหน่ายๆ แล้วตัดสินใจโฉบถ้วยกาแฟเดินไปเสิรฟ์ ลูกค้าก่อนจะรูส้ กึ เพี้ยนตามไปอีกคน เอมจิตนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็ส่งเสียง หัวเราะแผ่วเบาในล�ำคอ เป็นเสียงทีป่ น่ิ หยกอาจคิดไปเองก็ได้วา่ ช่างน่าขนลุกอย่างไร บอกไม่ถูก ทว่าเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นก็กลับมาเป็นหนุ่มหล่อใจดีโหมดยิ้มแย้ม ตามปกติ พร้อมกับโบกมือไล่เด็กๆ ไปท�ำงานต่อ “พวกนี้ตลกไปละ ฮ่าๆๆ เอาละ ท�ำงานได้แล้ว อู้มากต่อให้หน้าตาเรียก ลูกค้าก็ไม่ใช่ว่าไม่กล้าไล่ออกหรอกรู้ไหม” “คร้าบบบ!” เด็กหนุ่มสองคนที่เหลือรับค�ำพร้อมเพรียง หันหลังกลับเตรียมไปท�ำงาน ส่วนของตัวเองต่อ ทว่าฝีเท้าทั้งคู่กลับชะงักลงกลางคัน เมื่อประตูกระจกของร้าน ถูกดันเปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่คุ้นตาของใครสักคนที่ยืนเก้ๆ กังๆ ขวางทาง เข้าออก ท่าทางเหมือนลังเลว่าจะก้าวเข้าร้านหรือถอยออกไปดี จังหวะเดียวกับที่เอมจิตเงยหน้าขึ้นมองจากด้านหลังเคาน์เตอร์ เมื่อเห็นผู้ แสดงตัวเหมือนจะเป็นลูกค้ายืนหันรีหันขวางท�ำตัวไม่ถูก จึงส่งเสียงต้อนรับพร้อม ส่งรอยยิ้มละมุนวัตถุประสงค์เพื่อการค้าโดยเฉพาะ “เชิญข้างในก่อนสิครับ” 68


เด็กหนุ่มที่ยืนขวางประตูสะดุ้งเล็กน้อย เผลอเหยียดหลังตรงเป๊ะโดยไม่ได้ ตั้งใจดูน่าขัน เกือบจะก้าวถอยออกก็ไปติดกลุ่มสาววัยท�ำงานสามสี่คนซึ่งเดินตาม หลังมารอเข้าร้านอยู่พอดี จึงเหลือทางเลือกเดียวคือต้องเดินน�ำเข้ามาก่อนด้วย ท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ปิ่นหยกหรี่ตาสู้แสงที่ย้อนเข้าจากประตูร้านจนเห็นหน้าผู้มาใหม่ไม่ถนัด จนเมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างในจึงได้เห็นว่าเป็น... “กริช” เป็นอาทิตย์ที่ส่งเสียงทักออกไปก่อนเขาจะทันได้อ้าปาก เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้ถูกเรียกว่า ‘กริช’ นั้น ชื่อจริงชื่อกริช และชื่อเล่นก็ชื่อ กริช ไม่ทราบเหตุผลว่าพ่อแม่ขเี้ กียจตัง้ ชือ่ หรืออย่างไร สถานะตัง้ ต้นเป็นอดีตเพือ่ น ร่วมชั้นของทั้งอาทิตย์และปิ่นหยกแต่อยู่ในคนละช่วงเวลา หากจะแจกแจงลงไปให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือ ตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ เขาอยูห่ อ้ งเดียวกับอาทิตย์ดว้ ยเหตุผลว่าอยากลองใช้ชวี ติ เด็กห้องบ๊วยดู และพอขึน้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า กริชก็สอบได้คะแนนดีติดอันดับ ขยับขึ้นมาอยู่ห้องเดียวกับ ปิ่นหยกโดยให้เหตุผลลักษณะเดิมว่าอยากลองใช้ชีวิตเด็กห้องคิง ส่วนปีสุดท้ายของ ระดับมัธยมศึกษานี้ย้ายไปอยู่ห้องสี่ ซึ่งการเรียนกลางๆ ไม่แข่งขันสูงแต่ก็ไม่ถึงกับ ย�่ำแย่ เนื่องจากรู้สึกว่าใช้ชีวิตทั้งห้องบ๊วยและห้องคิงมาเพียงพอแล้ว นับเป็นวิธีคิดแปลกๆ ที่เจ้าตัวเคยตั้งใจจะเล่าเหตุผลออกมา แต่น่าเศร้าที่ ไม่เห็นมีใครตั้งใจฟังสักครั้ง ถึงจะเคยอยู่ห้องเดียวกับทั้งสองคนแต่พวกเขาก็ไม่ได้ สนิทกัน และถ้าจะให้ค�ำจ�ำกัดความเหมาะๆ ส�ำหรับกริช บางทีอาจเป็น... มนุษย์จืดจาง? ใช่แล้ว...ประมาณนั้น ทั้งที่หน้าตาจัดว่าหล่อเหลาทีเดียว ตาคมคิ้วเข้ม หน่วยก้านดี หุ่นสูงใหญ่ อัดด้วยกล้ามเนื้อแน่นแบบที่สาวๆ หลายคนคงลงความเห็นว่าชวนลูบไล้ชะมัด ผล การเรียนดีพอจะอยู่ห้องคิง (และสามารถท�ำให้แย่พอจะอยู่ห้องบ๊วยได้เช่นกันด้วย ความตัง้ ใจของเจ้าตัว) เล่นกีฬาก็ได้เปรียบกว่าคนอืน่ มากมายด้วยเรือ่ งรูปร่าง ฐานะ ทางบ้านเรียกว่ามีอันจะกินแม้ถึงกับร�่ำรวยไม่เท่าบ้านอาทิตย์ คุณสมบัติทั้งปวงสมควรส่งให้เขาเป็นเด็กหนุ่มผู้ได้รับเสียงกรี๊ดกร๊าดจาก ทั้งสาวแท้สาวเทียม หรืออาจถึงขั้นมีแฟนคลับเป็นของตัวเองได้ไม่ยากเย็น ทว่า 69


กริชกลับจืดจางอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งนอกจากความขี้อายโลกส่วนตัวสูงในระดับหนึ่ง (เพื่อนบางคนลงความเห็นไว้อย่างนั้นแต่ไม่รู้จริงหรือเท็จอย่างไร) ก็ยังไม่สามารถ หาเหตุผลอื่นมาอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่พิมพ์นิยมคนนี้จึงไม่ เป็นที่นิยมอย่างมนุษย์โปรไฟล์ดีทั่วไปพึงเป็น “...อาทิตย์?” กริชเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าจะเจอเพื่อนร่วมชั้นซึ่งทุกคนพากันเรียกว่าคุณชาย แต่งกายในชุดล�ำลองซึ่งดูอย่างไรก็ไม่ใช่ชุดใส่ออกนอกบ้านตามมาตรฐานเดิมของ เจ้าตัว แถมยังมาเดินเพ่นพ่านไปมาในร้านเค้กประหนึง่ เป็นห้องนัง่ เล่น ณ คฤหาสน์ ตัวเองแบบนี้ ก�ำลังจะเอ่ยปากถามว่ามาท�ำอะไรอยูน่ ี่ สายตาก็เหลือบไปเห็นเอมจิต และแวววันก�ำลังคุยกันอยู่ใกล้ๆ จึงเพิ่งระลึกขึ้นมาได้ว่าที่มาวันนี้ไม่ใช่เพื่อถาม ซอกแซกเรื่องชาวบ้าน “เอ่อ...ผม...” เสียงต�ำ่ ๆ ของเขาเรียกให้สองคนทีก่ ำ� ลังคุยกันอยูช่ ะงักแล้วหันมามอง เอมจิต แย้มยิ้มเจิดจ้า ท�ำหน้าที่เจ้าของร้านได้อย่างมืออาชีพ “รับอะไรดีครับ” ชายหนุ่มถามไถ่น�้ำเสียงเป็นมิตร ขณะที่แวววันเผลอท�ำ สีหน้าเหมือนสาวมัธยมพบรักแรกโดยไม่รู้ตัว เมื่อหันมาเห็นใบหน้าคมเข้มของกริช ชัดๆ ในหัวมีเสียงกู่ร้อง ‘เยส!’ ดังสนั่น สูงล�่ำหล่อคมแบบนี้ต่างหากถึงจะสเปกเธอ ไม่ใช่หล่อระรวยโปรยเสน่หใ์ ส่สาวไปทัว่ ไม่วา่ จะตัง้ ใจหรือเปล่าอย่างเอมจิต นึกตัดพ้อ ว่าท�ำไมที่หอนี้ถึงไม่มีหนุ่มน่าเคี้ยวอย่างคนตรงหน้ามาเช่าอยู่บ้าง? “สนใจจะรับเป็นเค้ก? หรือว่าเครื่องดื่มก็มีนะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางชี้ไปที่ เมนูบนผนังร้านเป็นเชิงแนะน�ำแต่ไม่ได้มีทีท่าเร่งรัดในน�้ำเสียง แวววันซึ่งยืนอยู่ ข้างๆ นึกสนุกจึงฉวยจังหวะระหว่างที่เป้าหมายยืนอ�้ำอึ้งถามแทรกขึ้นบ้าง “หรือว่าจะรับเป็น...“ “...รัก...” “?” เสียงทุม้ ต�ำ่ ของกริชทีว่ า่ รับๆ รักๆ อะไรสักอย่างฟังไม่ชดั เจนนัก เมือ่ เจ้าของ เสียงเพียงแค่งึมง�ำอยู่ในล�ำคอ จากนั้นก็กลืนค�ำพูดที่เหลือหายไปแบบไร้ร่องรอย ก่อนเจ้าตัวจะหันไปหลับหูหลับตาชี้เลือกเค้กในตู้มาหนึ่งชิ้น ทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิด พิศวาสของหวานเลยแม้แต่น้อย 70


“ช่วยใส่กล่องกลับบ้านให้ด้วยครับ” แม้ จ ะอยากอยู ่ ทั ก ทายสั ก หน่ อ ยในฐานะที่ อ ย่ า งน้ อ ยก็ เ คยเรี ย นห้ อ ง เดียวกันมา แต่ลกู ค้าอีกสองกลุม่ ซึง่ เพิง่ เดินเข้ามาใหม่ทำ� ให้อาทิตย์และปิน่ หยกต้อง แยกตัวออกไปรับหน้า เหลือแต่เอมจิตก้มลงไปจัดเค้กตามลูกค้าหนุ่มร่างใหญ่บอก และแวววันที่ยังยืนท�ำเนียนจัดข้าวของหน้าตู้โชว์เค้กไม่ขยับไปไหน ตั้งใจอยู่ลอบ สังเกตการณ์จากระยะประชิด เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็เรียบร้อยอย่างควรเป็นโดยที่ เธอยังมองไม่ทันอิ่มเลยด้วยซ�้ำ “เค้กที่สั่งได้แล้วครับ” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นถุงกระดาษลายดอกทานตะวันโลโก้ของร้านมาวาง ตรงหน้า แต่คนที่เพิ่งสั่งเค้กไปเมื่อครู่นี้กลับยืนหันข้างให้เขา สายตาจับจ้องไปยัง ดอกทานตะวันสีเหลืองสดซึ่งปักอยู่ในแจกันขนาดใหญ่ข้างเคาน์เตอร์อย่างตั้ง อกตัง้ ใจ ดูจะหลุดหายเข้าไปในโลกส่วนตัวทีพ่ นักงานร้านเค้กตาด�ำๆ คนใดก็ไม่อาจ หยั่งถึง แม้แต่แวววันซึ่งยืนมองอยู่หลังแจกันยังอดเลิกคิ้วประหลาดใจในท่าทางของ เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ “เค้กได้แล้วครับ” เอมจิตลองเรียกอีกครั้งด้วยระดับเสียงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย เป็นการทดสอบสมมติฐานที่ว่าเมื่อครู่นี้เขาอาจพูดเบาเกินไป “...ผม...ชอบ...” กริชพึมพ�ำอะไรบางอย่างกับดอกทานตะวัน ท�ำเอาพนักงานสาวผู้ลอบมอง อยู่ทุกอิริยาบถถึงกับเหงื่อตก หล่อแต่เพี้ยนอย่างนี้ก็ไม่ไหวนะ ท�ำไมโลกต้องโหด ร้ายกับสาวสวยโสดทีอ่ กหักซ�ำ้ แล้วซ�ำ้ เล่าอย่างเธอ ด้วยการส่งคนถูกสเปกแต่ไม่เต็ม เต็งมาให้เสียดายเล่นแบบนี้ด้วย!? “...ชอบ...พี่...” พี่ไหน? เกิดค�ำถามลอยขึ้นในหัวของทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งเอมจิต แวววัน ไปจน ถึงอาทิตย์กับปิ่นหยกซึ่งก็ช่างเลือกจังหวะเหมาะเจาะจะเดินกลับมาส่งออเดอร์ จากลูกค้าพอดี และภาพเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เหมือนหมีกริซลีย์ ก�ำลังยืนประจัน หน้ากับดอกทานตะวันอย่างเอาเป็นเอาตายก็ไม่ช่วยให้ทุกคนเข้าใจอะไรมากขึ้น แม้แต่น้อย 71


หลังจากคิดสะระตะในหัว ประเมินจากสถานการณ์แล้ว คงไม่ใช่พี่ปิ่นกับพี่ อาทิตย์แน่เพราะเป็นรุ่นเดียวกัน แต่จะพี่แวว? พี่เอม? ดูจากทิศทางสายตาของ คุณหมีใหญ่ก็เรียกว่าคนละองศากันเลย เมื่อพิจารณาอาการจ้องตาหวานซึ้งปาน จะกลืนกินกับทานตะวันดอกโต ก็ชวนให้คดิ ว่าเป้าหมายของคุณหมีใหญ่นา่ จะเป็น พี่ทานตะวันเสียมากกว่า กริชเม้มปากแน่นจนริมฝีปากซีดขาว ท่ามกลางเสียงจ๊อกแจ๊กของลูกค้าคน อื่นในร้าน หนุ่มๆ และอีกหนึ่งสาวร้านเค้กที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่หน้าเคาน์เตอร์กลับ สัมผัสได้ถึงมวลอากาศชวนอึดอัดแทรกอยู่ในเสียงจอแจไม่ได้ศัพท์เหล่านั้น ก่อน พี่ใหญ่จะพูดกลั้วหัวเราะขึ้นท�ำลายบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในที่สุด “พี่ทานตะวันอันนั้นไม่ขายครับ แต่ถ้าน้องกริชสนใจ” เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ตามที่ได้ยินอาทิตย์ทักทายก่อนหน้านี้เป็นการแสดงอัธยาศัย “ร้านดอกไม้ฝั่งโน้น มีพี่ทานตะวัน...” ยังไม่ทันจบประโยค ธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทก็ถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ และถุงเค้กโดนโฉบหายไปพร้อมกับคนสั่งซึ่งวิ่งพรวดพราดออกจากร้านด้วยเวลา สิริรวมไม่น่าเกินห้าวินาที ทิ้งเพียงความงุนงงของผู้ร่วมเหตุการณ์และเสียงโมบาย กรุ๋งกริ๋งหน้าประตูส่งท้าย สวนทางกับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา ตามด้วยค�ำ ทักทายเป็นปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติจากเหล่าพนักงาน “เชิญด้านในครับ/ค่ะ” ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก เมื่อร้านกลับเข้าสู่ความวุ่นวายอีกครั้งด้วยเสียง กระทบกันของถ้วยชาม ถ้อยค�ำพูดคุยเฮฮาของกลุ่มลูกค้า และเสียงฝีเท้าขวักไขว่ ของเด็กๆ ซึ่งคอยให้บริการ นอกจากเรื่องที่เอมจิตตั้งใจจะฝากเงินทอนค่าเค้กให้ ปิ่นหยกเอาไปคืนกริชเมื่อได้เจอกันอีกครั้งที่โรงเรียนแล้ว ทุกคนก็เหมือนจะพากัน ลืมเรื่องของพ่อหมีใหญ่จืดจาง ผู้แสนจืดจางสมฉายาไปได้อย่างน่าประหลาดใจ

72


8 ผลิใบ แต่ยังไม่เติบโต

“ตื่นเถอะค่ะคุณอาทิตย์” “อือ...อ...” “อือแล้วก็ขยับด้วยสิคะ” “ขยับแล้วครับบัว” ว่าแล้วก็ขยับจริง แต่เป็นแค่การพลิกตัวเข้ากอดก่ายแนบสนิทกับหมอนข้าง ใบโปรดมากขึ้นเท่านั้น บัวยิ้มบางๆ กระนั้นก็อดไม่ได้จะส่ายหน้าอ่อนใจไปด้วย หากมีงานไหน ยากเย็นสูสีพอกับการท�ำให้ฟุตบอลไทยไปบอลโลกได้ ก็คงเป็นการแซะคุณชายสุด รักของเธอขึ้นจากเตียงนี่เอง “จะตีสี่แล้วนะคะ” “...ตีส?ี่ ...งัน้ ราตรีสวัสดิค์ รับ...เก้าโมงค่อยปลุกผมนะ” เขางึมง�ำแล้วฝังใบหน้า ลงกับหมอนข้างอุ่นๆ ซึ่งมีกลิ่นหอมต่างไปจากทุกที น่าแปลก...สงสัยแม่บ้านจะ เปลี่ยนน�้ำยาซักผ้า “อาทิตย์” 73


บัวเสียงเปลี่ยน “ไอ้ลูกเจี๊ยบอาทิตย์!” และบัวไม่เคยเรียกเขาว่าไอ้ลูกเจี๊ยบด้วย “ปล่อยเว้ย!” เด็กหนุ่ม ผู้ถูกยัดเยียดต�ำแหน่งหมอนข้างขยับตัวหยุกหยิกด้วยสุดจะทน กับสถานการณ์ ณ เวลาใกล้ตีสี่ ละเมออย่างเดียวไม่เท่าไร แต่มีที่ไหนพี่แกเล่น ประเคนมาทั้งแขนขากอดก่ายเปะปะ แล้วยังรัดเสียแน่นหนึบอย่างกับหมึกจะกิน เหยื่อ การที่เขาตื่นมาพบกับสภาพแบบนี้แล้วยังพยายามหาทางเป็นอิสระ (แม้จะ ไม่ประสบผลส�ำเร็จ) มาตั้งครู่ใหญ่แบบเงียบๆ โดยไม่ท�ำร้ายร่างกายลูกเจี๊ยบหลับ ก็ถือว่าสงบสติอารมณ์ได้ดีแค่ไหนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะนึกให้ออกเลยว่าพ่อ คุณชายขี้เซานี่ปีนขึ้นเตียงมาตั้งแต่เมื่อไร “อาทิตย์ ตื่น!” เขาลองโวยอีกทีพร้อมกับดิ้นดุกดิกเป็นหนอนในดักแด้ไปด้วย แม้นาฬิกา จะยังไม่ส่งเสียงปลุก แต่เข็มนาทีที่เห็นเลือนรางกลางแสงไฟสลัวซึ่งลอดเข้ามาผ่าน ม่านก็บอกให้รู้ว่าใกล้ตีสี่ ไอ้ลูกครึ่งสัตว์ปีกกับหมึกทะเลนี่บังอาจท�ำเขาตื่นก็อย่า หวังจะได้นอนต่อสบายเลย “ตื่น! แล้วก็ปล่อยด้วย อึดอัดฉิบหาย! เตียงยิ่งแคบ ๆ” “...อือ...บอกว่าเก้าโมง...นะครับบัว” ปิ่นหยกเบ้ปาก เพ้อเจ้อโคตร แล้วบัวนี่ใคร? หลับแต่ดันละเมอชื่อสาวออก มามันน่าหมั่นไส้สุดติ่ง! การที่อีกฝ่ายกอดเขาเสียแน่นแถมยังพูดชื่อผู้หญิงแบบนี้ ชวนให้คิดว่าคนข้างกายเป็นประเภทเดียวกับคุณชายเสเพลชอบหาสาวๆ มานอน กกไม่ซ�้ำหน้าขึ้นมาแบบห้ามไม่ได้ และความคิดนั้นก็ท�ำให้เขาหงุดหงิดบอกไม่ถูก แพขนตาหนายังคงปิดสนิท ลมหายใจสม�่ำเสมอของอีกฝ่ายรินรดลงบน หน้าผากเขา ปิน่ หยกเหลือบตาซึง่ เป็นอวัยวะหนึง่ ในไม่กอ่ี ย่างทีย่ งั ขยับได้อย่างอิสระ ในสภาวะถูกรวบแขนขาไว้แบบนี้ ลอบมองดวงหน้าหล่อเหลาของผู้บุกรุกอย่างคับ ข้องใจ ไอ้บ้านี่โผล่เข้ามาวุ่นวายมันทุกอย่าง ตั้งแต่ห้องของเขา เตียงเขา ฝักบัวเขา ต�ำแหน่งพนักงานร้านเค้กของเขา แทรกแซงไปหมดอย่างกับไวรัสคอมพิวเตอร์ เด็กหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อตั้งสติ ใช้เวลาระหว่างพยายามแซะตัวเอง ออกจากวงแขนอาทิ ต ย์ นึ ก ถึ ง วงจรน่ า ปวดหั ว ซึ่ ง ผ่ า นมาได้ เ กื อ บสองสั ป ดาห์ 74


ทุลักทุเลเหลือเกินกับการใช้ชีวิตร่วมห้อง ตั้งแต่ห้องเรียน ห้องนอน ยันห้องน�้ำ นึก ไม่ถึงว่าวันนี้จะถึงขั้นร่วมเตียง “อาทิตย์” เขาลองให้โอกาสอีกครั้ง พยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด ...เงียบฉี่.... เมื่อเรียกเฉยๆ ไม่เป็นผล ปิ่นหยกจึงเปลี่ยนไปเอานิ้วแงะมืออีกฝ่ายที่เกาะ อยู่แถวเอวออก ทว่ายิ่งแกะก็เหมือนจะยิ่งโดนดึงเข้าไปนัวเนียมากขึ้น แล้วยังเพิ่ม โปรโมชันช่วงข้าวใหม่ปลามันเป็นยื่นหน้าเข้ามาซุกแถวกระดูกไหปลาร้าเขาพร้อม กับเสียง ‘ฮืม’ ฟังไม่ได้ศัพท์ในล�ำคอ โรมรันพันตูขนาดนี้หากเป็นผู้หญิงคงตั้งท้อง ไปแล้ว “...อะ...ไอ้บ้านี่” ปิ่นหยกกลั้นหายใจ หรือบางทีเขาอาจลืมวิธีหายใจไปเรียบ ร้อย แม้กระทั่งเสียงที่เปล่งออกมาก็ตะกุกตะกักจนเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง “จักจี้ ว้อย!” ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่จักจี้หรอก เพียงแต่เขาไม่รู้จะบรรยายส่วนผสมของ อาการขนลุกชัน ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว และหัวใจซึ่งเต้นโครมครามจนแน่นหน้าอก ไปหมดแบบนี้ออกมาเป็นค�ำพูดได้อย่างไร นึกตัดพ้อในชะตาชีวิตตัวเองต่อเทพเจ้า แห่งเงินตราและความร�่ำรวยของเขา ที่นอกจากจะไม่เคยมอบโชคอะไรให้ ยังจะ ชักน�ำไอ้ตวั วุน่ วายนีม่ าช่วยท�ำให้ชวี ติ ยุง่ ยากขึน้ ไปอีก ความจริงแล้วเรือ่ งเพือ่ นผูช้ าย จะนอนกอดกันเขาเองไม่ได้คิดอะไรมาก กับคิมหันต์ก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงเป็นเรื่อง ปกติ แม้ส่วนใหญ่เขาจะเป็นฝ่ายถูกกอด หากสนิทกันแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหา แต่พอ นึกถึงความจริงว่าอีกฝ่ายเพิ่งละเมอชื่อผู้หญิงที่ไหนออกมาไม่รู้ขณะที่ทั้งรัดทั้งซุก อย่างนี้ สนิทกันหรือก็เปล่า ท�ำเอาอยากยันโครมตกเตียงเสียให้รแู้ ล้วรูร้ อดด้วยความ หมั่นไส้ระคนรังเกียจ พวกลูกคนรวยนี่วันๆ ท�ำอะไรสร้างสรรค์กันบ้างไหม? “ไม่ปล่อยจะถีบตกเตียงแล้วนะ!” เขาส่งเสียงเตือนแบบไม่หวังผล เพราะถึงอย่างไรก็ตงั้ ใจจะท�ำเช่นนัน้ อยูแ่ ล้ว ในเมื่อเรียกอย่างไงก็ไม่ยอมตื่นคงต้องใช้ไม้แข็งกันบ้าง ปิ่นหยกหมุนข้อเท้าวอร์มอัพ ขาเขายังขยับได้นิดหน่อย แม้ระยะการเหวี่ยง จะไม่มากนัก แต่หากเล็งดีๆ ใส่แรงเหมาะๆ เชือ่ ว่าสามารถส่งคุณชายอาทิตย์ลงไป นอนแอ้งแม้งบนพื้นได้แน่นอน ติดนิดหน่อยก็ตรงเขาอาจจะพลอยกลิ้งหล่นลงไป ด้วย หากแขนขาคู่นั้นไม่ยอมปล่อยตัวเขาออกก่อน 75


76

อย่างเช่นในกรณีนี้เป็นต้น พลั่ก! ตึง! “...อูย...” แล้วนาฬิกาปลุกก็แผดเสียงแสบหูขึ้นพอดี กริ๊งงง...งง....ง.... นี่เป็นการตื่นเช้าด้วยสภาพย�่ำแย่ที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว! อาทิตย์ลืมตาสะลึมสะลือ มึนงงกับสถานการณ์ในระดับหนึ่ง จากนั้นก็เริ่ม ตั้งสติอย่างยากเย็น ชีวติ ต้องสูผ้ า่ นมาเกือบสองสัปดาห์ เขาถูกปิน่ หยกแซะออกจากทีน่ อนเวลา ตีสี่ทุกเช้าด้วยวิธีการซึ่งเขาขอเรียกว่าป่าเถื่อนต่างๆ นานา ตั้งแต่ตะโกนใส่ไปจนถึง ขั้นลงไม้ลงมือในบางวันที่เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์การนอนเป็นพิเศษ ซึ่งปิ่นหยกบอก ทุกครั้งว่าเรียกดีๆ แล้วไม่ตื่น แต่เขากลับไม่มีความทรงจ�ำว่าเคยถูกเรียกดีๆ มา ก่อนเลย พอเถียงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็อธิบายหน้าด�ำคร�่ำเครียดว่าที่ไม่มีความทรงจ�ำ เรื่องนั้นเพราะเรียกเฉยๆ ไม่สามารถแทรกแซงการนอนของเขาได้สักนิดนั่นแหละ จึงเป็นเหตุผลที่ต้องใช้ก�ำลังเข้าว่า ไปมาอย่างไรเขาก็ยงั งงๆ แต่สรุปว่าปิน่ หยกปลุกได้โหดเกือบทุกวันก็แล้วกัน สภาพวันนี้แปลกออกไปจากทุกที เขาไม่ได้ตื่นด้วยการตะโกนใส่หูผ่าน หนังสือที่ม้วนเป็นกระบอก เอามือเขย่า หรือเอาเท้าเขี่ย แม้กระทั่งเตะ (เคยมีเตะ จริงๆ ไม่อยากเชือ่ เลย!) แต่กลับเป็นความรูส้ กึ เหมือนบ้านหมุนตีลงั กาสองสามรอบ ตามด้วยเสียงของหนักๆ กระแทกพื้นที่เรียกให้เขาได้สติ และเมื่อลืมตาขึ้นก็กลาย เป็นว่าตัวเองก�ำลังล้มคว�่ำเอาหน้าฟุบอยู่ที่ซอกคอปิ่นหยกซึ่งนอนแน่นิ่งผิดปกติ อยู่บนพื้นเย็นเฉียบ มีเพียงเสียงหอบหายใจหนักๆ ของร่างข้างใต้ที่บอกให้รู้ว่าเจ้า ตัวไม่ได้กลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว เขายังงัวเงียขี้ตา ไม่อยากตื่นเอาเสียเลย แต่คงต้องทักทายสักหน่อย “อืม...อรุณสวัสดิ์ครับ...นึกว่าบัวซะอีก” ‘ลุกออกไปได้แล้ว!’ เป็นสิ่งที่ปิ่นหยกควรตะโกนออกไป จึงจะเหมาะสมกับ สถานการณ์และบุคลิกของเขา หากแต่ประโยคค�ำถามซึง่ เพิง่ หลุดจากปากกลับไม่ใช่ เลยสักนิด


“ใครคือบัว?” เสียงนาฬิกาปลุกเงียบไปแล้ว อาทิตย์เลิกคิว้ เล็กน้อยแล้วก้มลงสบกับนัยน์ตา สีน�้ำตาลเข้มของเด็กหนุ่มซึ่งนอนอยู่เบื้องล่าง และนั่นท�ำให้ปิ่นหยกยิ่งรู้สึกขัดใจ ตัวเองมากขึ้นไปอีก ผู้หญิงชื่อบัวนั่นจะเป็นใครไม่เห็นเกี่ยวกับเขาเลย เขาไม่ใช่คนชอบสอดรู้ สอดเห็นเรือ่ งคนอืน่ โดยเฉพาะถ้าเรือ่ งนัน้ ไม่เกีย่ วข้องกับเงินทองหรือปากท้องของ แม่กับน้องสาวที่บ้าน และหากจะใช้เกณฑ์นั้นในการวัด อาทิตย์เองก็เป็นแค่... ...คนอื่น... แต่ค�ำพูดซึ่งหลุดปากไปนั้นเรียกกลับคืนไม่ได้ หลังจากใช้ความพยายาม อย่างหนักเพื่อจะไม่หลบตา ก็เป็นอาทิตย์ที่ละสายตาออกไปเองก่อนจะพยุงตัวขึ้น นัง่ บนพืน้ สีหน้ายังคงเรียบเฉยเฉกเช่นทุกทีแม้ในขณะทีส่ ง่ เสียงตอบกลับมาเนิบนาบ “เป็นผู้หญิงในดวงใจครับ” ปิ่นหยกเม้มปาก ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี ละเมอกอดรัดซะขนาดนั้น “รักมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว” นั่นไม่ใช่เรื่องของเขาเลย...ไม่เห็นอยากฟัง “ท�ำอาหารอร่อยด้วยละ” ปิ่นหยกกลั้นหายใจ นี่ไม่ใช่อะไรที่ควรรู้ ไม่มีสิ่งที่เขาต้องรู้ ถึงกระนั้นกลับ ห้ามความรู้สึกใจหายแปลกๆ ไม่ได้ “ถ้านายได้ชิมฝีมือเขาก็คงดี” ถึงแม้เขาจะเป็นคนถามออกไปเอง แต่ถ้าหมอนี่จะช่วยหยุดพูดเสียที “อยากให้นายได้เจอกับบัวจั...” “แล้วท�ำไมฉันต้องไปเจอยัยบัวอะไรนั่นด้วย!” อะไรกันนะที่ดลใจให้เขาตวาดออกไปเสียงดังแบบนั้น ยิ่งเห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่ายที่ปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวก่อนจะกลับมา เป็นปกติ ยิ่งท�ำให้ปิ่นหยกรู้สึกอึดอัด ครั้งนี้เขาผิดเต็มประตูที่อยู่ๆ ก็ขึ้นเสียง ใช้ อารมณ์อย่างไร้เหตุผล และการระลึกได้แบบนั้นก็ไม่ท�ำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาดี ขึ้นเลยแม้แต่น้อย “เรียกบัวอย่างนั้นได้ไม่ได้นะ” 77


เสียงเนิบๆ ของอาทิตย์ท�ำให้เขาเผลอขบกรามแน่น นั่นสินะ...รักกันมาสิบ กว่าปี คนนอกอย่างเขาจะไปเรียกแบบไม่ให้เกียรติเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพ่นลมหายใจระบายความอัดอั้นอันไม่รู้ที่มาแน่ชัด ก่อนจะตัดสินใจจบ บทสนทนาน่าหงุดหงิดด้วยการลุกพรวดพราดขึ้นตั้งใจจะล้างหน้าแปรงฟันก่อน ออกไปเตรียมของที่ร้าน ถ้าเพียงแต่จะไม่ได้ยินประโยคต่อมาของอาทิตย์เข้าเสีย ก่อน “เขาอายุเกือบจะหกสิบอยู่แล้ว” “ห้ะ!?” ปิ่นหยกหันกลับมาจ้องคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าสีหน้า ปุเลีย่ นๆ ของตัวเองตอนนีด้ ชู วนหัวเราะขนาดไหน “จะมีแฟนอายุมากยังไงก็ไม่ควร ให้ถึงกับเข้าวัยใกล้เกษียณนะ!” “แฟนที่ไหนกัน” อาทิตย์อมยิ้มขึ้นที่มุมปาก “เป็นเหมือนคุณแม่อีกคนที่ เลี้ยงฉันมาต่างหาก” และหากสังเกตดีๆ เขาอาจได้เห็นว่าดวงตาด�ำขลับทีป่ กติชอบท�ำเป็นเบลอๆ บือ้ ๆ นัน้ ฉายแววเจ้าเล่หอ์ อกมาชัดเจนเลยทีเดียว มันน่าสงสัยว่าจงใจพูดคลุมเครือ ให้เขาเข้าใจผิดหรือเปล่า “แต่ปิ่นหยกท�ำท่าเหมือนพี่อันตอนหึงแฟน” อ้อ...ไอ้ความหงุดหงิดเมือ่ กีเ้ รียกหึง? เดีย๋ วสิ! ปิน่ หยกเกือบท�ำคิว้ พุง่ หลุดทะลุ หน้าผากไปแล้ว “ไม่ได้เป็นอะไรกันจะหึงหาสวรรค์วิมานอะไร!?” “งั้นก็มาเป็นสิจะได้หึงได้” ไม่พูดเปล่า มีกวักมือเรียกหย็อยๆ โชคยังเข้าข้างอยู่บ้างที่เขาตะครุบปาก ตัวเองไว้ทันก่อนจะโพล่งถามออกไปว่า ‘มาเป็นอะไร’ ให้เข้าตัว ไอ้หน้ามึนนี่ดูจะ ขยันล้อเล่นเรื่องแบบนี้ให้เขาหน้าร้อนผ่าวได้เกือบตลอดเวลาเสียเหลือเกิน “...จะ...จะไปช่วยงานที่ร้านแล้ว!” ปิ่นหยกตัดบทด้วยการโพล่งประโยคบอก เล่านั้นออกมาดังเกินจ�ำเป็น แถมยังตะกุกตะกักแทบไม่เป็นภาษา รู้สึกเสียฟอร์ม เป็นทีส่ ดุ จ้องอีกฝ่ายตาเขียวอยูแ่ วบหนึง่ ก่อนจะวิง่ ถลาออกนอกห้องพัก ปิดประตู ไล่หลังเสียงดังสนั่น ชนิดที่ว่าหากจะมีใครสะดุ้งตื่นแล้วเดินงัวเงียมาด่าหน้าห้องคง ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย 78


อาทิตย์เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ลุกขึน้ ไปเปิดไฟแล้วบิดขีเ้ กียจเตรียมออก ไปช่วยงานด้วยอีกคน แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึงอึดใจ ประตูห้องพักก็แง้มออกอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าแดงระเรื่อของคนที่เพิ่งถลาออกไปได้ไม่นานค่อยๆ โผล่กลับเข้ามา พอรู้ตัวว่าก�ำลังถูกมองอยู่ก็สะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเด็กโดนจับได้ว่าแอบขโมยขนม เห็นว่าเลี่ยงไม่ได้แล้วก็เปลี่ยนเป็นเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินซอยเท้าเข้ามาในห้อง โฉบ ผ่านเขาไปทางห้องน�้ำพร้อมกับค�ำอธิบายห้วนๆ ที่ท�ำให้เขาต้องหัวเราะออกมา อีกรอบ “ลืมแปรงฟัน!” ร่างนั้นผลุบหายไปในห้องน�้ำอย่างรวดเร็ว แล้วประตูก็ปิดปัง “จักรยานก็มีท�ำไมไม่ขี่ไปโรงเรียนกันล่ะ?” เอมจิตถามหลังจากสังเกตมาได้ ระยะหนึ่ง พาหนะสองล้อสีเหลืองด�ำใหม่เอี่ยมตอนนี้โดนจอดทิ้งฝุ่นเกาะเสียแล้ว “คุณชายขีไ่ ม่เป็นครับ” ปิน่ หยกค่อนขอด “และผมก็ไม่อยากเป็นคนขีใ่ ห้หมอนี่ ซ้อนท้ายด้วย ตัวหนักโคตร” อาทิตย์พยักหน้ารับเป็นท�ำนองว่าเรื่องมันก็ประมาณนั้นแหละครับ “แต่น่าเสียดายนะ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ แต่ยังอดบ่นพึมพ�ำอีก สักหน่อยไม่ได้ “ซื้อมาจอดเฉยๆ ก็เก่าหมด” “ผมว่าจะยุให้มันเอาไปขายต่ออยู่” เด็กหนุ่มส่ายหน้า อุ่นใจก็ไม่ใช้จักรยาน เพราะปกติน้องชายคนเล็กมักออกจากบ้านไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนชื่อเหม่ง หรือเหน่งอะไรสักอย่างทีอ่ ยูอ่ กี ซอย ไม่งนั้ อาจให้อนุ่ ใจยืมไปใช้ได้ไม่เสียของ ถ้าเจ้าตัว จะยอมยืมของจากอาทิตย์ที่ก�ำลังเขม่นกันอยู่ละก็นะ “ไปก่อนนะครับพี่เอม” หลังจากหันไปล�่ำลาพี่ใหญ่เป็นที่เรียบร้อย มือก็คว้ากระเป๋าหนังสือขึ้น สะพายไหล่เดินน�ำออกจากร้าน ตามด้วยเจ้าของจักรยานตัวจริงซึ่งหันไปลาเอมจิต อีกคนแล้วรีบสาวเท้าออกมาจนทันเขาที่หน้าหอพัก “ความจริงนายจะเอาไปใช้กไ็ ด้นะ” อาทิตย์เริม่ บทสนทนาเนิบนาบ “ฉันเดิน ไปก็ได้” ปิ่นหยกหันมาหรี่ตาพร้อมกับเลิกคิ้วท�ำหน้ายียวนใส่ “ใจดีขนาดนั้นเชียว” 79


“คิดค่าเช่าต่อวันไม่แพง” เด็กหนุ่มย่นจมูก ความเค็มมันแพร่ถึงกันได้! “ใจง่ายซื้อมาเองไม่ต้องมาหาเรื่องเอาทุนคืนเลย” “ล้อเล่น” อาทิตย์กระโดดหลบกระเป๋าหนังสือที่เขาฟาดออกไปเบาๆ “แต่ที่ บอกให้เอาไปใช้ได้...พูดจริงนะ” ปิ่นหยกหันไปมองใบหน้าอีกฝ่ายซึ่งก�ำลังคลี่รอยยิ้มอบอุ่นสมกับชื่อจริงว่า แสงอรุณ ปราศจากร่องรอยของการประชดประชันเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าท่าทางหรือ น�้ำเสียง แต่จะให้คนอื่นเอาจักรยานตัวเองไปใช้แล้วเดินไปคนเดียวอย่างนั้นหรือ พ่อพระเกินไปแล้ว น่าหมั่นไส้เป็นบ้า! “ไปหัดขี่จักรยานมา” เขาสั่งเสียงเครียด พยายามเต็มที่จะไม่หลุดมาดเข้ม “ท�ำไมล่ะ?” หมอนี่เป็นเจ้าหนูจ�ำไมหรืออย่างไร ถามอะไรไร้สาระอยู่ได้ เขาเสมองไป ข้างทางชมนกชมไม้ ชมท่อระบายน�้ำ ชมปล่องควันโรงงานอุตสาหกรรม มองไป ทุกอย่างยกเว้นใบหน้าของเพื่อนร่วมทางร่างสูงก่อนจะงุบงิบออกมาเบา ๆ “เพราะฉันจะเป็นคนซ้อน” อาทิตย์ท�ำหน้างงไปวูบหนึ่ง แค่พริบตาเดียวเท่านั้น แล้วก็ระบายยิ้มเจิดจ้า จนน่าจับไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณายาสีฟัน ท�ำเอาเขาใจเต้น ผิดจังหวะไปหลาย สเต็ปจนต้องกัดลิ้นตัวเองที่เผลอพูดอะไรไม่คิดอีกแล้ว “งั้นรอนิดนะ” เด็กหนุ่มร่างสูงเอ่ยรับพร้อมกับเร่งฝีเท้าให้ตามทันคนที่เดิน จ�ำ้ อ้าวก้มหน้างุดๆ เมือ่ ถึงตัวก็รบี เอือ้ มมือไปโอบรอบไหล่ของอีกฝ่ายไว้ให้มนั่ ใจว่า จะไม่โดนทิ้งห่างด้วยการจ�้ำเอาๆ แบบเมื่อครู่อีก ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างใบหู แดงแจ๋นั่นอย่างนึกสนุก “แว้นได้เมื่อไรแล้วจะไปรับมานั่งเป็นสก๊อยนะครับ” “ปัญญาอ่อน!” แก้มใสของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น พร้อมกับที่อาทิตย์คิดว่าบางสิ่งใน หัวใจก็ยังเติบโตได้อีกเช่นกัน

80


8.5 Dear Mom : จดหมายถึงคุณแม่ฉบับที่หนึ่งร้อย

คุณแม่ครับ นี่เป็นจดหมายฉบับที่หนึ่งร้อยพอดี ถ้าผมนับไม่ผิด ตั้งแต่ถูกคุณพ่อสั่งให้ออกจากบ้านก็ยังไม่ได้เขียนถึงคุณแม่เลยสักครั้ง สบายดีใช่ไหมครับ ผมอยู่ที่นี่...ไม่สบายเลย ตื่นตีสี่ทุกวันท�ำให้สมองผมสั่งการช้าลงในคาบเรียนอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่ได้ บอกใช่ไหมครับว่าปีนี้ผมสอบได้ห้องคิง ทุกคนเรียนกันเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่เคยคิด อยากจะมาอยู่เลย แต่ก็เพราะเอาใจคุณพ่อนั่นเอง สารภาพก็ได้ครับ ที่จริงท�ำไปเพื่อเงินก้อนสุดท้ายก่อนออกจากบ้านที่ตอนนี้ แปรสภาพเป็นจักรยานไปแล้ว และปิ่นหยกยังสาปแช่งผมอยู่จนทุกวันนี้ ปิ่นหยกคนเดียวกับที่ผมเคยเล่าให้ฟังในจดหมายฉบับก่อนๆ นั่นเอง คนทีง่ กมากๆ เรียนเก่งๆ ได้รางวัลเรียนดีแบบผูกขาด ท�ำงานร้านเค้ก บูชา เทพอะไรสักอย่างที่เขาเรียกว่าเทพเจ้าแห่งเงินตราและความร�่ำรวย ซึ่งผมว่าไม่มี จริง ไม่อย่างนัน้ แฟนคลับผูจ้ งรักภักดีตอ่ ท่านเทพอย่างปิน่ หยกคงเป็นเศรษฐีไปแล้ว 81


น่าแปลกอยูเ่ หมือนกัน ผมไม่คอ่ ยแน่ใจนัก อะไรดลจิตดลใจให้ผมหิว้ กระเป๋า เสื้อผ้าย่องตามเขามาวันนั้นกันนะ อาจเป็นเพราะผมรู้สึกว่าเขางกดี กิตติศัพท์เรื่องความเค็มของเขาเด่นดัง พอๆ กับเรือ่ งเรียนดีเลยทีเดียว การเรียนรูค้ วามขีเ้ หนียวของเขาอาจช่วยให้ผมเข้าใจ ชีวิตแบบที่คุณพ่ออยากให้เป็นก็ได้ ที่จริงจะไปหายืมเงินเพื่อนสักคนไปตั้งตัวคงไม่น่ามีปัญหา แต่ผมไม่อยาก โกงอยู่ดี ในเมื่อคุณพ่อคงอยากให้ยืนบนล�ำแข้งตัวเองมากกว่า แต่อาจเป็นล�ำแข้ง ทีเ่ ซๆ ไปพิงปิน่ หยกบ้างนิดหน่อย มันก็ตอ้ งมีพงึ่ คนอืน่ บ้างสักนิดไม่อย่างนัน้ ผมคง ต้องไปขอทานแล้ว คุณแม่ไม่อยากมีลูกชายเป็นขอทานใช่ไหมครับ? ปัญหาอีกอย่างนอกจากเรื่องงานหนัก ตื่นเช้า เข้าเรียนเยอะ น�้ำอุ่นไม่มีจะ อาบ โดนอุ่นใจที่เป็นน้องคนเล็กของเจ้าของหอพักนี้เขม่น ก็คงจะเป็นเรื่องที่นอน ด้วย ปิ่นหยกให้ผมปูฟูกนอนบนพื้น และมันแข็งมาก ท�ำไมท�ำได้ลงคอ วิธีปลุกก็ อย่างโหด สามสี่วันแรกเล่นเอาผมปวดหลังไปหมด แต่เข้าใจนะครับเรื่องห้องของเขา มีแค่เตียงเดียว พื้นที่ก็ไม่มากพอจะวางได้อีกเตียง และถึงมีที่พอผมก็ไม่มีเงินซื้อ เป็นคนจนนี่ล�ำบากดีนะครับ วันก่อนนั้นผมเห็นพื้นที่บนเตียงเขายังเหลือ หลังจากนอนพลิกไปพลิกมา บนฟูกตัวเองจนเมื่อย ...หายเมื่อย...แล้วเริ่มเมื่อยใหม่อีกรอบ ผมก็รู้สึกว่าที่ว่างบน เตียงของเขามันน่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแค่รองรับมวลอากาศเฉย ๆ อย่างเช่นแบ่งให้ผมนอนบ้าง...อะไรอย่างนั้น วันแรกที่ขึ้นไปนอน ตื่นมาตอนเช้าท�ำไมทั้งผมและเขาถึงลงมานอนกลิ้ง บนพื้นได้ก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะเขานอนดิ้นก็ได้ แต่วันนี้ผมกะว่าจะลองใหม่ จะลองไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะยอมแบ่งเตียงอีกครึ่งหนึ่งให้ผม อ้อ...อีกอย่างหนึ่ง... คุณแม่ว่ามันแปลกรึเปล่าครับ...ที่ผมจูบผู้ชาย 82


ไม่รู้เพราะอะไร...แต่ผมก็จูบเขาไปแล้ว แผลที่ลิ้นผมเพิ่งจะหายเอง (เขากัด เชื่อเลย) อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ แต่ทั้งผมและเขาไม่ได้พูดถึงมันอีก ผมจะไม่เป็นเกย์ใช่ไหมครับ? ผมเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเวลายั่วให้เขาหน้า แดงเป็นลูกมะเขือเทศมันสนุกมากจริงๆ เผลอตัวทีไรก็อดจะแกล้งไม่ได้เลย บางทีผมอาจจะคิดว่าเขาเหมือนน้องชายก็ได้ อย่างที่พี่อันชอบแกล้งผม เมื่อก่อน ใช่ไหมครับ? ใช่ไหมครับ? ใช่ไหมครับ? เอาไว้ผมจะเขียนถึงคุณแม่อีก รักและคิดถึงคุณแม่เสมอครับ อาทิตย์ เขาจ้องมองกระดาษตรงหน้าที่เต็มไปด้วยลายมือขยุกขยุยของตัวเอง หลัง จากเขียนประโยคค�ำถามว่า ‘ใช่ไหมครับ?’ ซ�้ำไปซ�้ำมาเหมือนคนย�้ำคิดย�้ำท�ำ ตาม ด้วยเส้นสายยึกยือไม่เป็นตัวหนังสือ ด้วยคิดไม่ออกว่าจะอธิบายเรื่องในหัวออกมา เป็นประโยคได้อย่างไร จึงตัดสินใจจบจดหมายไว้เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มพับกระดาษนั้นเป็นสามทบ ก่อนจะหยิบไลท์เตอร์ขึ้นมาจุดไฟเผา มันเสีย นั่งมองจนข้อความทั้งหลายมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านสีด�ำ และยังเหม่อ เช่นนั้นอยู่อีกครู่ใหญ่ เป็นเรื่องปกติของเขาที่นานๆ ครั้งจะลุกขึ้นมาเขียนจดหมาย ถึงคุณแม่ที่เสียไปแล้ว บอกเล่าเรื่องราวเวลาไม่สบายใจหรือมีอะไรติดค้างอยู่ในหัว เสร็จแล้วก็เผามันเสีย เมือ่ สมัยยังเด็ก เขาเคยเชือ่ ว่าด้วยวิธนี ี้ ข้อความของเขาจะส่งถึงคนทีจ่ ากไป อย่างไม่มวี นั กลับ โตขึน้ มาจึงรูว้ า่ มันแค่คล้ายกับอีกรูปแบบหนึง่ ของการเขียนไดอารี เท่านั้นเอง แต่เขาก็เลือกที่จะเผาจดหมายเหล่านั้นทิ้งเมื่อเขียนจบเหมือนเช่นที่ท�ำ มาตลอด 83


เด็กหนุ่มเลื่อนสายตาไปจับจ้องมองเศษซากกระดาษสีด�ำชิ้นเล็กๆ ที่ยัง ติดไฟอยู่บนพื้น เปลวไฟสีส้มไหวระริกอยู่วูบหนึ่งแล้วจึงดับแสงลงเมื่อหมดเชื้อไฟ และเขาก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกคุณแม่เรื่องจะหัดขี่จักรยาน

84


9 หมอกสีเทา

“รู้สึกไม่ค่อยสบาย” เป็นค�ำอธิบายสั้นๆ ส�ำหรับอาการกะปลกกะเปลี้ยของ อุ่นใจในเช้าวันที่อากาศขมุกขมัว “พี่เอมรู้หรือยัง?” น้องเล็กผงกศีรษะอ่อนแรง หลังจากตื่นเช้ามาพบว่าตัวเองทั้งไข้ทั้งหนาว ขยับแต่ละครัง้ เล่นเอาปวดร้าวไปหมดทัง้ ตัว แค่ถอ่ สังขารทัง้ ชุดนอนลงมาหาเอมจิต เพื่อขอยาลดไข้ก็ท�ำเอาเขาแทบลงไปพังพาบกับพื้นแล้วนอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น “ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม?” ปิน่ หยกขยับเข้าไปใกล้ ความวิตกกังวลฉายชัด บนใบหน้าและน�ำ้ เสียง แต่อนุ่ ใจกลับโบกมือเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะ เบนสายตาไปจับจ้องควันสีเทาจางๆ ที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นก�ำลังวนเวียนอยู่รอบตัว อีกฝ่าย เอาอีกแล้ว ไม่สบายทีไรเป็นต้อง ‘เห็น’ เข้าทุกทีสิน่า เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว แถมครั้งนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรเสียด้วย “วันนี้จะท�ำอะไรต้องระวังตัวนะพี่ปิ่น” 85


ปิ่นหยกเลิกคิ้วให้กับค�ำเตือนแปลกๆ ที่ได้ยิน นั่นควรเป็นค�ำพูดของเขากับ อีกฝ่ายซึ่งก�ำลังป่วยมากกว่า แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ประโยคนั้นก็ท�ำให้เขา ตัวเย็นวาบตลอดแนวสันหลังไปจนถึงปลายเท้า เด็กหนุ่มหัวเราะหวังจะไล่ความ รู้สึกประหลาดออกไป แต่เสียงแหบแห้งที่เปล่งออกมานอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังชวน ให้วิตกจริตกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่กลับรู้สึกได้ทั้งที่ไม่อยากเลยสักนิด “อุ่นต่างหากที่ต้องระวังตัว” เขากล�้ำกลืนความกังวลแล้วพูดถึงเรื่องอาการ ป่วยของคนตรงหน้า “ก�ำลังไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือ?” อุ่นใจพยักหน้าอีกครั้งแล้วมองตรงมา แต่กลับไม่ได้จ้องที่ใบหน้าเสียทีเดียว นัยน์ตาสีน�้ำผึ้งนั้นดูราวกับก�ำลังเพ่งไปยังอะไรบางอย่างแถวข้างศีรษะของเขา ที่น่ากลัวคือปิ่นหยกไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย “อุ่นไม่เป็นไร หยุดพักเดี๋ยวก็หาย อยากโดดเรียนอยู่แล้ว” อีกฝ่ายเอ่ยออก มาแผ่วเบาพร้อมกับยักไหล่แบบไม่เจียมสังขาร สายตาไม่ได้ละจากที่ว่างตรงนั้น แม้แต่น้อย “ถึงจะเจ็บใจนิดหน่อย แต่ฝากดูพี่ปิ่นด้วย” ค่อนข้างชัดเจนว่าประโยคนี้ พูดกับอาทิตย์ “อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วนล่ะ” น้องชายคนเล็กยกมือขึ้นกอดอก ป่วยยังไงก็ไม่ยอมทิ้งมาดกวนๆ ก�ำชับ เป็นมั่นเป็นเหมาะกับรุ่นพี่ร่างสูงซึ่งพยักหน้ารับแม้ยังไม่แน่ใจนักว่านั่นได้พูดกับ ตัวเองหรือเปล่า “แค่เทาๆ ไม่น่ามีอะไรมาก” อุ่นใจพึมพ�ำเอออออยู่คนเดียว ไม่ได้สังเกต เลยว่าคนฟังเริ่มหน้าเจื่อนลงนิดหน่อยเสียแล้ว “แต่ถ้าไม่ไหวก็พากลับมา” ”...อ่า...ไม่มีอะไรหรอกมั้ง” ปิ่นหยกยิ้มแห้งเหือด ไม่รู้จะตอบสนองแบบไหน ความไม่ชอบมาพากลในบทสนทนาชวนให้เขาหวั่นอยู่ลึกๆ อุ่นใจพูดอย่างกับเขา จะดวงซวยหัวกุดชะตาขาดวันนีอ้ ย่างไรอย่างนัน้ และทีแ่ ย่คอื ตลอดมาเมือ่ อุน่ ใจทัก อะไรเทาๆ ด�ำๆ แนวนี้ โดยเฉพาะเวลาเจ้าตัวก�ำลังป่วย เขามักจะซวยอย่างอีกฝ่าย เตือนไว้เสียด้วย เสียง ‘เฮือก’ เบาๆ ดังขึน้ ขัดจังหวะความคิด คนป่วยยืนท�ำหน้าผะอืดผะอม เหมือนอยากคายน�ำ้ ย่อยในกระเพาะอาหารอันว่างเปล่าออกมา เด็กหนุม่ ยกมือขึน้ ปิดปาก โบกมือลาปิ่นหยกแล้วถลาไปทางห้องน�้ำ ทิ้งให้คนที่เหลือมองตามด้วย สีหน้าเป็นห่วง 86


ไม่นานเลยก่อนไอ้ลูกเจี๊ยบอาทิตย์จะเอื้อมมากุมมือเขาไว้มั่นในมือใหญ่ๆ ของตัวเอง ปิน่ หยกสะดุง้ ก้มลงไปมองมือของตัวเองทีถ่ กู จับไว้ แล้วเงยหน้าขึน้ ตะคอก ด้วยสายตาว่าท�ำเบือ๊ กอะไรอีก ซึง่ แน่นอนว่าวิธนี ไี้ ม่เคยใช้ได้ผลกับอาทิตย์ อีกฝ่าย ยักไหล่อย่างน่าเตะพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ “กังวลหรือครับ วันนี้ผมเป็นบอดี้การ์ดให้ดีไหม?” ท�ำเป็นเรียกแทนตัวเองว่า ‘ผม’ น่าหมั่นไส้จริง ๆ “เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ” เป็นประโยคค่อนขอดทีต่ อบรับความปรารถนาดี ซึ่งดูมีเบื้องลึกเบื้องหลัง สงสัยอาทิตย์จะดูหนังแอคชันมากเกินไป “อันนั้นแปลว่าตกลงนะ” เขาอยากถามนักว่าประโยคแบบนั้นชาติไหนหมายความว่าตกลง แต่ก็ไม่มี โอกาสได้บ่น เมื่ออีกฝ่ายคลี่ยิ้ม พร้อมกับกึ่งลากกึ่งจูงเขาออกจากประตูสู่ถนนที่ ทอดยาวอยู่ตรงหน้าแบบไม่ทิ้งช่วงให้ได้คัดค้าน ทางทีผ่ า่ นชุมชนนัน้ มีรถสวนไปมา มองเห็นเด็กวัยรุน่ ในชุดนักเรียนโรงเรียน เดียวกันบ้างประปรายแต่ไม่ใช่คนรู้จัก ไอน�้ำซึ่งกลั่นตัวเป็นหยดจากฝนที่เทลงมา เมื่อคืนนี้ยังเกาะอยู่ตามกระจกตู้โชว์ตามร้านรวงสองข้างทาง บนพื้นมีแอ่งน�้ำเป็น หย่อมที่คอยจะกระเซ็นขึ้นมาใส่รองเท้าผ้าใบเวลาเดินไม่ระวัง และมือของอีกฝ่าย ซึ่งเปลี่ยนต�ำแหน่งจากมือของเขามาวางพาดเอาไว้บนไหล่แทนก็ไม่ได้ช่วยให้เดิน คล่องตัวขึ้นสักนิด แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ...เขาเองก็เริ่มเหนื่อยจะโวยวาย ที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่เช้าของฤดูฝนที่ฟ้าครึ้มอีกวันเท่านั้นเอง ปิน่ หยกกลอกตา เด็กผูช้ ายวัยรุน่ สองคนเดินโอบตัวติดกันแทบเป็นปาท่องโก๋ อย่างนี้ หากไม่คิดอะไรมากมันก็คงไม่มีอะไร ถึงอย่างนั้นเขากลับอดไม่ได้จะรู้สึก ประสาทเสียกับสายตาแปลกๆ (ซึง่ เขาอาจคิดไปเอง) ของผูค้ นทีม่ องมา แต่กน็ นั่ ละ พวกนั้นอาจสนใจแค่อาทิตย์คนเดียวก็ได้ รูปร่างหน้าตาของคนที่เดินอยู่ข้างกันนี้ มันดึงดูดน้อยเสียเมื่อไร เขานึกถึงค�ำพูดของอุ่นใจ พร้อมกับหาค�ำปลอบตัวเองว่าการมีหมอนี่อยู่ ข้างๆ คงเป็นเรือ่ งซวยอย่างถึงทีส่ ดุ แล้ว ไม่นา่ มีอะไรแย่ไปกว่านีไ้ ด้อกี แต่ถงึ กระนัน้ พอเผลอทีไรก็ยังเหลียวมองไปรอบตัวอย่างวิตกจริต อดไม่ได้จะหวาดระแวงขึ้นมา 87


เป็นระยะ อย่างมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งขวักไขว่ผ่านไปมาอยู่ไม่ไกลนี่คงไม่อยู่ๆ ก็พุ่งตรง เข้ามาทางนี้หรอกใช่ไหม ค�ำตอบคือ ‘ไม่ใช่’ เอี๊ยดดด! แต่ไม่มีใครทันได้ตอบ เสียงล้อบดถนนดังลั่น ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นทะลวงโสต ประสาท ชัดเจนใสแจ๋วประหนึ่งหล่อนมาแหกปากอยู่ข้างหูเขา กลบเสียงพาหนะ เหล็กสองล้อซึ่งพุ่งกระแทกเข้ากับอะไรแข็งๆ ไปเสียสิ้น จนเมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ ความสงบ หรืออาจจะเรียกว่าทุกคนก�ำลังอยู่ในภาวะตระหนกจนพูดอะไรไม่ออก ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ความเจ็บร้าวที่ข้อมือขวาก็แล่นปราดเข้าสู่สมอง ก่อนที่ บรรยากาศอื้ออึงของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง เขาตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้าง สมองประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ วินาทีก่อน “ปิ่นหยก!” เป็นค�ำแรกทีอ่ าทิตย์ตะโกนออกไป ทัง้ ทีย่ งั จับต้นชนปลายเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ได้เลยด้วยซ�้ำ เขาไม่แน่ใจว่านักว่ากระชากตัวคนที่เดินอยู่ข้างกายเมื่อครู่นี้หลบออกจาก วิถีของวัตถุสีด�ำขนาดใหญ่ซึ่งพุ่งเข้ามาตอนไหน รู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกึ่งนั่งกึ่ง นอนอยู่บนพื้นแฉะๆ มีปิ่นหยกท�ำหน้าซีดเป็นกระดาษนอนเกยอยู่ ก่อนเจ้าตัวจะ ลุกพรวดพราดขึ้นมาขยับตัวออกห่าง เท่าที่สภาพซึ่งถูกเขาโอบเอวไว้แน่นจะเอื้อ อ�ำนวย ซึ่งแน่นอนว่ามัน ‘ไม่เอื้ออ�ำนวย’ เอาเสียเลย แม้จะเหตุการณ์จะดูไม่ค่อยเข้าท่านัก ทว่าเขากลับรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่เป็น อย่างนัน้ โดยเฉพาะเมือ่ บวกเข้ากับสีหน้าของอีกฝ่ายทีเ่ ปลีย่ นจากซีดขาวเป็นสีแดง จัด ชวนให้เชือ่ ว่าระบบสูบฉีดเลือดของปิน่ หยกต้องดีมากแน่จงึ ท�ำให้ผวิ หน้าเปลีย่ นสี ได้ไวขนาดนี้ ข้างกันนั้นมีมอเตอร์ไซค์ดูคาติสีด�ำล้มไม่เป็นท่าอยู่บนพื้น หลังจากชนเสา ไฟประดับริมถนนเข้าไปจังๆ แม้ความเร็วจะไม่มากสมกับที่เป็นถึงสปอร์ตไบค์ แต่ ก็ท�ำเอาเสาเหล็กบุบเบี้ยว ล้อหน้ายังปั่นอยู่ไม่หยุด ส่วนเจ้าของรถคันโตที่ไม่น่า เอามาขี่เล่นในเขตชุมชนอย่างนี้เลยสักนิดหลังจากตั้งตัวได้ และพบว่าแทบไม่บาด 88


เจ็บอะไรเลยนอกจากรอยถลอกตามตัวเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาทางพวกเขา ดวง หน้าคมเข้มนั้นคุ้นตาทีเดียว “เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุม้ ต�ำ่ ทีล่ อยมาเข้าหูเหมือนช่วยเตือนให้สองคน ซึ่งกอดยื้อกันไปมาบนพื้นรู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงเราสอง “เมื่อกี้หักหลบหมา โชคดี ที่เพิ่งออกจากซอยเลยขี่ไม่เร็ว” ความคิดแรกของปิ่นหยกคือ ‘โชคดีกับผีน่ะสิ’ ดูอย่างไรก็เข้าข่ายพยายาม ฆ่าชัดๆ แต่ค�ำพูดซึ่งหลุดออกมาค�ำแรกคือ “กริช” เขาส่งเสียงเรียกออกมาเบาหวิว ประโยคถัดไปที่ยังไม่ออกจากปากคือ ‘มึง อีกแล้วเรอะ!?’ กริชพยักหน้า ผู้คนที่เดิน ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นพอเห็นว่าผู้ประสบเหตุไม่ เป็นอะไร และไม่มีทีท่าว่าจะมีปัญหาก็เริ่มแยกย้าย ไร้เสียงเอะอะโวยวาย ไม่มีใคร โทรแจ้งต�ำรวจ เป็นมนุษย์จืดจางก็ดีไปอย่าง หลังจากควบดูคาติพุ่งออกจากซอยแล้วหักหลบหมาที่วิ่งตัดหน้าจนพุ่งเข้า ใส่เพือ่ นตัวเอง (ถึงตรงนีพ้ ดู ถึงอีกครัง้ ปิน่ หยกก็อดไม่ได้จะค่อนแคะ ว่าระหว่างหมา กับชีวติ เพือ่ นร่วมชัน้ สองคน...มันเลือกหมา?) นับว่ายังพอมีดวงอยูบ่ า้ งทีไ่ ม่ได้ขดี่ ว้ ย ความเร็วสูงเพราะเพิ่งเข้าสู่แหล่งชุมชน ผลจึงเป็นเพียงแค่เสาไฟประดับริมถนน หงิกงอ สปอร์ตไบค์แสนแพงนอนหงายหมดท่าบนพืน้ ส่วนน้องหมาต้นเหตุเดินเชิด ไปขอไก่ย่างจากแม่ค้ารถเข็นเรียบร้อย ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเพิ่งถูกยกให้มีความส�ำคัญ เหนือชีวิตนักเรียนมัธยมปลายผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกสองคนตรงนี้ “เห็นหมาดีกว่าเพื่อนเรอะ!?” เขาบ่นงุบงิบออกมา แม้ไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากรู้สึกแปลบๆ ตรงแขน ขวา ยังดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรง แต่แล้วก็เป็นอันต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปเมื่อ หันไปเห็นของเหลวสีแดงสดซึ่งไหลผ่านหว่างคิ้วของท่านชายที่ชีวิตนี้ไม่น่าจะเคย หัวแตกมาก่อน “หัวนาย!” “แขนนาย!” “แขนกับหัวพวกนาย” 89


น่าตลกทีท่ งั้ สามคนเกิดจะนึกอยากพูดขึน้ มาพร้อมๆ กัน กลายเป็นมหกรรม ประสานเสียงจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง กริชมองดูรอยแตกบนหน้าผากอาทิตย์ซงึ่ ส่วนหนึง่ ถูกปอยผมด้านหน้าบังไว้ สลับกับก้มลงดูข้อมือขวาบวมตุ่ยและมีแผลเลือดหยดติ๋งๆ ลงพื้นของปิ่นหยก อด รู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าเพื่อนสองคนนี้เส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดใช้การไม่ได้กัน ไปหมดแล้วหรืออย่างไรถึงท�ำนิ่งกันอยู่นั่น “พวกนายมีแผล เดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาล” เขาสรุปห้วนๆ แล้วเดินไปยก มอเตอร์ไซค์ต้นเหตุขึ้นมา “แต่ขอเอารถนี่ไปเก็บก่อน สามคนนั่งไม่หมด เอารถ กระบะไป” พอได้ยินค�ำว่าโรงพยาบาลปิ่นหยกก็เตรียมออกอาการค้านเต็มสูบทันที มี เงินค่ารักษาที่ไหนกัน “ไม่ต้องไปก็ได้” เขาอ้อมแอ้ม “แผลแค่นี้เอง” เด็กหนุ่มเหลือบมองข้อมือตัวเอง พอเห็นเลือดก็เหมือนความปวดหนึบจะ เริ่มตามมา ทั้งที่เมื่อกี้ยังแค่แปลบๆ เท่านั้นเอง ส่วนฝั่งคุณชายอาทิตย์ก็ยังนั่งนิ่ง ปล่อยให้เลือดไหลหยดมาถึงปลายคางดูน่าอนาถจนต้องเอามือไปเช็ดออกให้ เห็น แผลบนหน้าผากอีกฝ่ายแล้วก็ให้ขมวดคิว้ ส่งสายตาเป็นกังวล หรือควรต้องพาหมอนี่ ไปโรงพยาบาล แผลก็ใหญ่อยู่เหมือนกันแถมมาโดนบนหน้าเสียด้วย แม้จะหมั่นไส้ อยู่ลึกๆ แต่ก็อดเสียดายผิวหน้าเกลี้ยงเกลาที่หลังจากนี้อาจมีรอยแผลเป็นไม่ได้ พ่อมันรูเ้ ข้าจะมาเรียกร้องอะไรกับเขาไหม โทษฐานดูแลลูกชายคนเดียว (ทีเ่ สนอหน้า มาขออยู่ด้วยเอง) ไม่ดี “จะไปเป็นประเอกหนังผีรึไง!? ปล่อยเลือดไหลอาบหน้าอยู่ได้!” ปิ่นหยกส่ง เสียงดุ อีกฝ่ายยักไหล่ “ถ้ายอมมาเป็นนางเอกให้ละ่ ก็นะ” เห็นได้ชดั ว่านับวันทักษะ ต่อปากต่อค�ำยิ่งพัฒนาแบบก้าวกระโดด “ปากดี เอาอีกแผลซะดีไหม!?” กริชกระแอม ไม่รตู้ งั้ ใจหรือแค่บงั เอิญ แต่กท็ ำ� เอาอีกสองคนชะงักกึก ปิน่ หยก กัดปากตัวเอง นึกขอบอกขอบใจเพือ่ นร่างใหญ่อยูล่ กึ ๆ ทีข่ ดั จังหวะขึน้ มาแม้จะรูส้ กึ ขายหน้าอยู่ไม่น้อย ไอ้บทสนทนาหงุงหงิงเมื่อกี้มันอะไรกัน!? 90


“โรง’บาลรัฐไม่เสียเงินอยู่แล้ว เป็นอุบัติเหตุแบบนี้คงได้สิทธิฉุกเฉินด้วย” กริชพูดดักทางเหมือนจะรู้ความในใจอีกฝ่าย “พวกนายรอตรงนี้แหละ ขอเก็บรถ ก่อน บ้านอยู่ในซอยนี่เอง เดี๋ยวเอากระบะมารับ” ปิน่ หยกพยักหน้าอย่างเสียมิได้ เอาอย่างไรก็เอา พอรูว้ า่ หมดปัญหาเรือ่ งเงิน ก็โล่งใจไปได้อีกเปลาะ ผ่านไปครู่ใหญ่ กริชก็กลับออกมาพร้อมกับรถกระบะตอนเดียวสนิมเขรอะ ซึ่งน่าจะเคยเป็นสีขาวมาก่อน สภาพมันทรุดโทรม จนเดาว่าคงเป็นสมบัติตกทอด มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาที่สิบสามยังเรืองอ�ำนาจเป็นอย่างน้อยแน่ๆ ‘มันยังวิ่งได้หรือ?’ ค�ำถามฉายชัดเจนในแววตาอาทิตย์ แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา สักค�ำ ในความเห็นเขา สิง่ นีค้ วรถูกจดทะเบียนเป็นวัตถุโบราณ แล้วน�ำไปเก็บรักษา ไว้ในพิพิธภัณฑ์ให้ลูกหลานได้ศึกษามากกว่าจะเอามาวิ่งบนถนน ปิ่นหยกชะเง้อไปทางกระจกประตูฝั่งคนนั่งซึ่งถูกเปิดค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้เสียงจากในรถดังออกมาถึงคนที่ยืนอยู่ข้างนอกได้ ยังลังเลอยู่ว่าต้องท�ำ อย่างไรดีจนอีกฝ่ายเอ่ยปาก “ขึน้ มาเลย คันนีจ้ ะเอาไปชนยังไงก็ได้”เด็กหนุม่ หลังพวงมาลัยให้ความมัน่ ใจ ทว่ากลับส่งผลในทิศทางตรงกันข้าม คนฟังได้แต่ท�ำสีหน้าพรั่นพรึง นี่พี่แกยังคิดจะเอาไปชนอะไรอีกหรือ!? “ขึน้ รถสิ รออะไรอยู”่ อีกฝ่ายย�ำ้ เสียงเข้ม ไม่เห็นจะมีทที า่ ตะกุกตะกักเหมือน ตอนเจอกันที่ร้านวันก่อนเลยสักนิด ผู้ถูกเชื้อเชิญชะเง้อมองในรถ นับว่าจริงใจดี ไม่มีสภาพแบบผ้าขี้ริ้วห่อทอง รูปลักษณ์ภายนอกโทรมอย่างไรข้างในก็อย่างนั้น และด้วยความที่เป็นรถกระบะ ตอนเดียว ทีน่ งั่ ในรถจึงมีเพียงสองทีค่ อื ส�ำหรับคนขับและข้างคนขับอีกหนึง่ ต�ำแหน่ง นั่นหมายความว่าไม่เขาก็อาทิตย์จะต้องระเห็จไปนั่งดมฝุ่นหนาเตอะบนกระบะ ด้านหลัง ยังไม่นับพื้นเป็นรูโหว่ซึ่งไม่รู้ว่าเหยียบแล้วจะทะลุหล่นตุบไปกลิ้งเล่นอยู่ ใต้ท้องรถเมื่อไรนั่นอีก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกปลงชีวิตขึ้นมา ณ จุดนี้ 91


เอาเถอะ จะให้ปล่อยท่านชายลูกเจี๊ยบไปนั่งโต้ลมอยู่คนเดียวข้างหลังก็ใช่ที่ เรื่องแบบนี้เขาดูเหมาะกว่าอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีกว่าเดิน ถึงโรงพยาบาลจะอยู่ใกล้ๆ นีเ้ อง หรือหากจะระบุพกิ ดั ชัดเจนก็คอื หอพักเขาตัง้ อยูด่ า้ นหน้าเยือ้ งกับโรงพยาบาล ระยะทางแทบไม่ต่างจากกลับหอ “เข้าไปนั่งในรถ” ปิ่นหยกออกค�ำสั่งพร้อมกับพยักพเยิดไปทางที่นั่งข้างคนขับ และอาทิตย์ก็ ท�ำหน้าเหมือนน้องฉงายควายน้อยในรายการเจ้าขุนทอง รอมีเขางอกอีกหน่อยก็ ใช่เลย ก่อนจะส่งเสียงถามออกมา “แล้วนายล่ะ?” “เดี๋ยวไปนั่งข้างหลัง” “ไม่เอา” โดยไม่รอค�ำตอบ ประตูรถถูกดึงเปิดออก ชั่วพริบตาหลังจากนั้นเขาก็ถูก จับเหวี่ยงมานั่งแอ้งแม้งอยู่ตรงที่น่ังข้างคนขับ พอหายจากอาการตกใจและนึกทึ่ง เล็กน้อยว่าตกลงอีกฝ่ายจะยอมไปนัง่ ทีก่ ระบะข้างหลังเอง เขาก็เพิง่ รูต้ วั ว่าความคิด จะชื่นชมเจ้าลูกเจี๊ยบพลังช้างสารนั้นผิดเต็ม ๆ “แล้วแกจะตามมาเบียดท�ำไมวะเนี่ย!?” เขาโวยวายเมื่อเห็นว่าอาทิตย์มุด ตามเข้ามานั่งด้วย “ไม่อยากนั่งข้างหลัง” “ถึงได้บอกว่าเดี๋ยวไปเอง” อาทิตย์ขยับตัวเข้าชิดกับปิ่นหยกมากขึ้นอีก หลังจากความพยายามในการ ปิดประตูรถครั้งแรกไม่ส�ำเร็จ แม้แต่เด็กอนุบาลก็ดูออก ว่าเบาะนั่งข้างคนขับของ รถกระบะตอนเดียวคันนีไ้ ม่ได้สร้างมาเพือ่ ให้เด็กหนุม่ มัธยมปลายสองคนมานัง่ คูก่ นั “ก็ไม่อยากให้นายไปนั่งตรงนั้นเหมือนกันนี่นา” เรื่องมากฉิบหาย! “ไม่เอาแล้ว...ลง” ปิ่นหยกโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด พยายามเอื้อมมือไป เปิดประตู ขณะที่เลือดก็ยังหยดติ๋งๆ ไปด้วย “ไม่ต้องไปก็ได้โรง’บาล” “ไม่ได้นะ” อาทิตย์รีบท้วงทันควัน “จะลงแล้ว” 92


“เลือดที่แขนยังไหลอยู่เลย ถ้าโดนเส้นเลือดใหญ่จะว่ายังไง” เจ้ากี้เจ้าการเสียจริง! เขาเตรียมตัวจะคลานหนีออกมา แต่กริชกลับกระชาก คันเร่งจนรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าทั้งที่ประตูรถยังปิดไม่สนิท เสียงเครื่องยนต์คราง โหยหวนแทบขาดใจ ไม่รู้ว่ามีอะไหล่ชิ้นไหนหลุดจากตัวเครื่องออกมาหรือเปล่า ปิน่ หยกหันไปมองหน้าคนขับอย่างไม่เข้าใจ ทัง้ ทีเ่ ขาโวยว่าจะลงๆ อยูข่ นาดนี้ คุณหมีกลับเหยียบคันเร่งแบบทีไ่ ม่นา่ เชือ่ ว่าเจ้ารถเก่าบุโรทัง่ นีจ่ ะท�ำได้ ทว่ายังไม่ทนั ได้เอ่ยถามอะไรก็ได้รับค�ำตอบเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านค�ำถามจากสีหน้าเขาออก “ดูจากสายตาทะมึนกับรังสีอำ� มหิตของคุณชายแล้ว ถ้าไม่พานายไปหาหมอ ดีๆ มันคงจ้างมือปืนมาฆ่าล้างโคตรบ้านฉัน” “......?” ปิ่นหยกหันไปมองตาม แต่กลับไม่รู้สึกถึงอะไรอย่างที่กริชว่าสักนิด “ไม่เห็นมีสายตาทะมึน...เห็นแต่หน้ามึนๆ” เขาเถียง คิดอยู่ว่ากริชมั่วทั้งนั้น เหตุผลนั่นต้องใช้เป็นข้ออ้างเพื่อท�ำอะไรตามใจตัวเองแหงๆ อาทิตย์เพียงแต่เลิกคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ได้หันมาสบตา สิ่งที่เขาคิดว่าทะมึน ของจริงคือรังสีกดดันบางอย่างอันชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องซึ่งแผ่ออกมาจากตัวคน ขับต่างหาก “นั่งดีๆ ถ้ามีหมาตัดหน้าอีก คราวนี้อาจหงุดหงิดจนเผลอหักคอผู้โดยสาร ที่ใกล้มือที่สุด” กริชเอ่ยขึ้นลอยๆ สีหน้าเป็นปกติราวกับก�ำลังบอกเรื่องธรรมดา สามัญอย่างเมื่อเช้ากินข้าวกับอะไร ท�ำเอาคนฟังในต�ำแหน่งเสี่ยงเผลอกลืนน�้ำลาย อึกใหญ่ เด็กมัธยมเดี๋ยวนี้มาจากแก๊งมาเฟียกันหรืออย่างไร!? หลังจากประเมินแล้วว่าเพื่อนหมีร่างหนาท่าทางเอาจริง และมือใหญ่ๆ ที่ แม้จะไม่มีอุ้งเล็บนั่นก็น่าจะตบเขาหัวหลุดได้ในการสะบัดเพียงครั้งเดียวหาก พ่อคุณเกิดหงุดหงิดขึ้นมา ปิ่นหยกค่อยท�ำตัวให้สมกับเป็นคนเจ็บด้วยการนั่งสงบ ปากสงบค�ำไปตลอดทาง ภาวนาไม่ให้มีหมาตัวไหนมาตัดหน้ารถอีก ที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่เช้าของฤดูฝนที่ฟ้าครึ้มอีกวัน ...ก็แค่นั้น เขายังพยายามบอกตัวเองอยู่เช่นเดิม เริ่มคิดถึงอุ่นใจขึ้นมาตงิด ป่านนี้ไม่รู้ นอนซมอยู่ที่ห้องหรือเปล่า บางทีหลังจัดการเรื่องอาการบาดเจ็บทั้งหลายนี่เรียบ ร้อย เขาอาจตัดสินใจโดดเรียนสักครั้งแล้วกลับไปดูแลน้องเล็กที่หอ กบดานมันทั้ง วันเผื่อจะได้ยุติเรื่องซวยๆ นี่เสียที 93


ปิน่ หยกไม่มที างรูไ้ ด้เลย ทีจ่ ริงแล้วมันไม่ใช่แค่เช้าของฤดูฝนทีฟ่ า้ หม่นธรรมดา ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง...วันนี้ยังอีกยาวไกลนัก และความซวยเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง

94


10 ชายแปลกหน้าที่โรงพยาบาล

ผมแค่โชคร้ายนิดหน่อย โรงพยาบาลยามสายในวันท�ำการคลาคล�่ำไปด้วยผู้คน กริชเดินไปแจ้งท�ำ บัตรผูป้ ว่ ยให้ ส่วนผมกับอาทิตย์นงั่ รออยูแ่ ถวโซนสีเขียวของห้องฉุกเฉินส�ำหรับผูป้ ว่ ย ที่ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง เช้านี้อาจจะเริ่มต้นได้ไม่สวยนัก ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่นับว่าเป็นวันซวย อะไร แม้ความรู้สึกเจ็บหนึบที่แขนยังขยันโจมตีไม่หยุด แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เคยผ่าน มาเมื่อก่อนแล้ว นี่มันก็แค่แผลมดกัดเท่านั้นเอง บุคคลผู้น่าสงสารจริงๆ หากตัดเรื่องอคติของผมซึ่งบังเอิญจะมีอยู่เยอะเสีย ด้วย คือไอ้ลูกเจี๊ยบโข่งข้างๆ ต่างหาก อยากถามมันเหมือนกัน ว่าปล่อยเลือดไหลย้อยลงมาถึงปลายคาง (อีกแล้ว) สนุกไหม? “เบื๊อกนี่! ท�ำไมไม่รู้จักเช็ดให้ดีๆ” มันหันมาท�ำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้ว่าผมก�ำลังพูดถึงเรื่องอะไร “หืม?” 95


ผมย่นจมูกอย่างหงุดหงิดใจ ยกมือขึ้นเตรียมปาดของเหลวสีแดงสดบน ใบหน้าที่ขนาดหัวแตกก็ยังจะหล่อจนน่าตบกะโหลกนั่น “ไหลย้อยแล้วเว้ย! รู้ว่า ปัญญาอ่อน ไม่ต้องพยายามเอาเลือดหัวตัวเองออกเยอะขนาดนี้ก็ได้” แต่แล้วประโยคถัดมาก็ท�ำผมชักแขนกลับทันที “ก็รอคนใจดีเช็ดให้อยู่นี่แหละ” ผมผลักท้ายทอยมันไปหนึ่งทีพอให้หน้าคะม�ำเบาๆ บอกให้รู้ว่ากูใจร้าย มี อะไรไหม? “ปิ่นหยกโหดร้ายอะ” “เพิ่งรู้เรอะ!?” “อุตส่าห์ดึงตัวออกมาทันไม่ให้โดนชนแทนเจ้าโฮ่งแท้ๆ เลย” มันล�ำเลิกบุญคุณครับ คือที่จริงผมก็ไม่ได้ร้องขอนะ...ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ที่ท่านชายหัวแตกก็ไม่น่าจะเป็นความผิดผม...ใช่หรือเปล่า? และถึงแม้ว่าผิวหน้า เกลี้ยงๆ นั่นจะมีรอยแผลเป็นบนหน้าผากหลังจากนี้ แต่ด้วยฐานะทางบ้านแล้ว หมอนั่นกลับคฤหาสน์ได้เมื่อไร ศัลยกรรมพลาสติกก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว... จริงไหม? เพราะฉะนั้นหยุดท�ำสายตาเหมือนลูกหมาที่มองมาอย่างกับจะเรียกร้อง อะไรสักอย่างนั่นซะทีสิเว้ย! ผมพยายามจ้องอาทิตย์ที่ท�ำตาใสแป๋ว สมมติว่ามีเสียง ‘หงิงง’ ครางออก มาด้วยจะไม่แปลกใจเลย “เฮ้อออ...” โอเค...ผมแพ้แล้ว บ้าฉิบ! และถ้าคุณชายจะจับได้ว่าผมแพ้สายตาแบบนั้น อีกหน่อยผมคงต้องหัดคุยกับมันแบบไม่มองหน้า “ขยับมาใกล้ๆ” ผมกวักมือ แล้วท่านชายลูกเจี๊ยบก็โน้มตัวเข้ามาอย่างว่า ง่าย ติดจะใกล้เกินไปด้วยซ�้ำ ดีมาก หากมีข้าวเปลือกอยู่แถวนี้ผมก็อยากจะโปรย ให้เป็นรางวัลเผื่อมันจะรู้ว่าผมประชด “บอกให้เข้าไปใกล้แล้วท�ำไมต้องถอยหนี” “...หะ...หา?” 96


เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเอนหนีมาด้านหลังในท่านั่งที่ดูไม่น่าจะทรงตัวบนเก้าอี้ อยู่ได้ ก็ใครใช้ให้เสนอหน้าเข้ามาขนาดนั้นเล่า!? “ใกล้ไป” ผมกดเสียงต�่ำ ด้วยไม่อยากท�ำตัวกระโตกกระตากในที่สาธารณะ มากไปกว่านี้ แต่อีกเหตุผลหลักอาจเป็นเพื่อสงบจิตสงบใจตัวเองไปด้วย ผลคืออาทิตย์ที่ท�ำเหมือนจะไม่ได้ยินกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเก่า คง หวังว่าจะได้ฟังชัดขึ้น เยี่ยมจริง...ขอบคุณมากครับคุณชาย! ถึงจุดนี้เริ่มหนักใจขึ้น มานิดหน่อยที่แล้วที่ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนช่างประชดประชันตั้งแต่เมื่อไรกัน มือข้างที่ไม่ได้เจ็บของผมล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อตัวเอง (ผม พกผ้าเช็ดหน้าเพราะจะได้ไม่ต้องเปลืองกระดาษทิชชู) จ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งอย่าง ชั่งใจว่านี่คุ้มกันไหม เอาเถอะ เปื้อนได้ก็ซักได้ ถือว่าสงเคราะห์คุณชายตกยาก “อยู่ที่บ้านใครคอยตามล้างตามเช็ดให้แกนะ” ผมถอนหายใจ เอาผ้าแปะไว้ตรงกลางจมูกเจ้านั่นเป็นที่แรก ถือโอกาสดัน หน้ามันออกไปห่างๆ หน่อยด้วย แล้วก็ให้ตายเถอะ ความคิดอยากเอาผ้าเช็ดหน้า อุดจมูกหมอนี่ให้ขาดอากาศหายใจตายซะรู้แล้วรู้รอดก็แวบเข้ามาในหัวอีกแล้ว แต่ ดูเหมือนไอ้คนตัวโตตรงหน้าจะเริ่มรู้ตัว เลยเอนหัวไปด้านข้างนิดหน่อยพอเปิด ทางเดินหายใจแล้วตอบค�ำถามผมเสียงเรียบ “บัวไงครับ ดูแลเกือบทุกอย่าง” ว่าพลางเอาจมูกดันสูม้ อื ผมหลังผืนผ้าเหมือน จะชวนเล่น “แต่ถ้านายอยากท�ำแทนไว้จะบอกบัวให้” มุกหยอดบ้าๆ พวกนี้ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่ามันชักบ่อยเกินไปแล้ว แต่ ที่บ้ากว่าคงเป็นตัวผมเองซึ่งหน้าร้อนวูบวาบทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้นี่แหละ “ไม่อยากเว้ย!” ผมเลื่อนสายตาไปจับจ้องรอยเลือดสีแดงเป็นดวงแผ่ขยายวงกว้างออก ช้าๆ บนผืน ผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับว่าถ้าเพ่งกระแสจิตให้มากพอแล้วมันจะ ปรากฏเป็นเลขเด็ด แต่ความจริงก็แค่อยากมองอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่หน้านิ่งๆ แต่ ดันพูดอะไรชวนให้ใจเต้นโครมครามของคนตรงหน้าเท่านั้น ครั้นจะให้ก้มหน้าหลบ ก็รู้สึกเสียฟอร์มชะมัด “...ผ้านี่ก็กลิ่นเหมือนวานิลลา” 97


เสียงเนิบนาบยังด�ำเนินต่อไปในสิ่งที่อาทิตย์อยากจะพูด เห็นชัดเลยว่าไอ้ บ้านีไ่ ม่ได้สนใจอะไรทีผ่ มเถียงไปสักนิด วานิลลาแล้วยังไง เกิดอยากกินไอติมขึน้ มา หรืออย่างไร? “กลิ่นเดียวกับปิ่นหยก” ...ตุบ... นั่นเป็นเสียงจังหวะหัวใจสุดท้ายของตัวเองที่ผมได้ยิน ก่อนจะรู้สึกแน่นขึ้น มาในอก และหูก็ดูจะอื้อไปหมดจนแยกแยะเสียงอะไรไม่ออก ถ้าหัวใจผมหยุดเต้นไปตรงนี้ แพทย์เวรห้องฉุกเฉินจะช่วยทันไหม? “แต่สีไม่เหมือนนะ วานิลลาสีเหลืองอ่อน” น่าตลกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองหูอื้อ แต่มันกลับเลือกจะรับฟังเสียงเรียบๆ ของ ไอ้บ้านี่ชัดเจน ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่ท่าทางอาทิตย์คง เห็นว่าเป็นจังหวะที่ควรซ�้ำให้ผมรู้สึกอยากลงไปตะกุยพื้นห้องฉุกเฉินแล้วมุดดิน หนีหายไปเลยจึงได้พูดต่อ “แต่หน้านายสีแดงเข้ม” แล้วมันก็หัวเราะ ใครก็ได้ช่วยย้ายผมไปไว้ในโซนสีแดงของผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บสาหัสอาจ ถึงแก่ชีวิตทีเถอะ! กลับไปผมจะเอาเลือดมันที่ติดผ้าเช็ดหน้าผมไปท�ำไสยศาสตร์ ร่ายคาถาวูดูสาปแช่งให้มันเป็นหมัน ขอให้สาวไม่แล เจ้าคุณพ่อไม่รับกลับบ้าน... ไม่ได้ส!ิ ถ้าไม่เอากลับจะล�ำบากผมอีก ขอให้เจ้าคุณพ่อรีบๆ หิว้ กลับบ้านแต่ลำ� เอียง รักพี่น้องคนอื่นมากกว่า...ขอให้...ขอให้... “ที่นี่โรงพยาบาล” เสี ย งของใครอี ก คนซึ่ ง เกื อ บลื ม ไปแล้ ว ว่ า มาด้ ว ยกั น ดั ง ขึ้ น ขั ด จั ง หวะ แผนการสาปแช่งของผมจากด้านหลัง ท�ำเอาสะดุง้ แทบหล่นจากเก้าอี้ บุคคลลึกลับ จืดจางผู้นี้หายตัวไปมาได้หรืออย่างไรผมถึงไม่รู้สักนิดว่ามันมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วยัง ประโยคบอกเล่าไม่มีต้นสายปลายเหตุนั่นอีก ‘ที่นี่โรงพยาบาล’ อย่างนั้นหรือ? ใจหนึ่งผมก็อยากถามว่าจะบอกท�ำไมใน เมื่อรู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ก็กลัวค�ำตอบที่จะได้ยินจึงแสร้งท�ำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปพูด เรื่องอื่น 98


“มาตั้งแต่เมื่อไร?” กริชมองผมด้วยสายตาของผู้ถือไพ่เหนือกว่า คือตอนนี้ผมรู้สึกว่าคนทั้งโรง พยาบาลแม้กระทั่งคุณยายแก่หง่อมที่นั่งหอบครอบหน้ากากพ่นยาอยู่ก็ดูจะถือไพ่ เหนือกกว่าผมทั้งนั้น “นายไม่อยากรู้หรอก ตั้งแต่ตอนจะเอาหน้ามาชนกันอยู่แล้วนั่นแหละ” พูดว่าผมไม่อยากรู้หรอก แต่ดันบอกพิกัดเสียชัดแจ้งเนี่ยนะ! อยากเถียงใจ จะขาดว่าไม่ได้จะเอาหน้าไปชนกันว้อย! แต่กลับมีเพียงเสียงเบาหวิวว่า “อ้อ...เรอะ” ที่ตอบออกไป “ไปรอข้างหน้านะ” พี่หมีตัดบทแล้วเดินจากไปเงียบๆ โดยไม่รอค�ำตอบ ซึ่ง การทีโ่ ผล่มาเฉยๆ เพือ่ จะพูดแค่วา่ ‘ทีน่ โี่ รงพยาบาล’ มันชวนให้ผมรูส้ กึ เหมือนก�ำลัง ถูกเตือนด้วยประโยคอื่นซึ่งไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาอย่างเช่น ‘อย่าท�ำอะไรประเจิด ประเจ้อล่ะ’ หรือไม่ก็ ‘เกรงใจหมอกับพยาบาลบ้าง’ อะไรเทือกนั้น และความคิด บ้าบอที่ว่าก�ำลังจะท�ำผมเสียสติ โชคดีที่มีเสียงเรียกจากคุณพยาบาลในชุดขาวดัง แทรกขึ้นเสียก่อน “คุณแสงอรุณ วิจิตรนิรันดร์ค่ะ” อาทิตย์ยดื หลังแล้วลุกขึน้ ยืนช้าๆ พร้อมกับหันมามองผมด้วยสายตาเหมือน จะอาลัยอาวรณ์เสียมากมาย...ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองล่ะก็นะ จากสีหน้านั่นดูเหมือน มันก�ำลังเข้าใจผิดว่าตัวเองต้องไปออกศึกแถวตะเข็บชายแดนมากกว่าจะไปให้ หมอตรวจ “คุณแสงอรุณ วิจิตรนิรันดร์ค่ะ” คุณพยาบาลเรียกซ�้ำ ก่อนผมจะเอามือดันหลังมันเบาๆ “ไปดิ เขาเรียกรอบ สองแล้ว” “ไม่ไปด้วยกันหรือ?” สิบเจ็ดขวบแล้วนะเว้ยครับ ต้องให้อุ้มไปส่งเลยไหม ผมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ลูกตาแทบหลุด หลังจากท�ำท่าอิดออดเป็นเด็กอนุบาลไม่ยอมไปโรงเรียน พอให้เส้นความ อดทนผมตึงเล่นอยู่อีกแวบหนึ่ง ท่านชายจึงได้ยอมเดินไปให้หมอตรวจก่อนที่จะมี เสียงเรียกครั้งที่สามตามมา แต่ก็ยังไม่วายหันมาพูดทิ้งท้ายอย่างน่าเตะ 99


“รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะครับ แล้วจะรีบกลับมา” ผมไม่รู้จะว่าไงกับมันแล้ว...หมอนี่มันดู...ยังไงดีล่ะ ระหว่างความใสซื่อและ ความปัญญาอ่อนเหมือนจะมีเพียงเส้นบางๆ คั่นกลาง ผมไม่รู้ตระกูลวิจิตรนิรันดร์ ของมันทีว่ า่ รวยนักหนาเลีย้ งดูกนั มาแบบไหน ลูกชายจึงได้กลายเป็นมนุษย์ประหลาด หน้ามึน ก�้ำกึ่งแยกไม่ออกว่าจะเป็นพวกเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนเด็กๆ หรือ เป็นมนุษย์เจ้าเล่ห์โดยธรรมชาติจนท�ำให้ผมหัวปั่นมาตลอดแบบนี้ ผมถอนหายใจยาว ถึงตรงนี้ก็อดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าผมรู้สึกอบอุ่นในใจ อยู่ลึกๆ ตอนได้ยินค�ำว่า ‘แล้วจะรีบกลับมา’ ที่ไม่มีใครพูดกับผมมานานแล้ว นี่มัน แย่ชะมัด “เออ รีบๆ กลับล่ะ” ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ผมพึมพ�ำออกมาตอนมันหันหลังไปไกลแล้ว น่าข�ำ สิ้นดีเพราะสิ่งที่พูดช่างไม่เข้ากับสถานการณ์เอาเสียเลย รีบกลับอะไร? แค่แยกไป ตรวจกับหมอเท่านัน้ เอง แถมไม่ได้เป็นคนส�ำคัญกันทีจ่ ะต้องมาท�ำซาบซึง้ ผิดจังหวะ ถึงอย่างนั้นผมก็อยากลองพูดดู...แค่เบาๆ แบบไม่ต้องให้ใครได้ยิน ทว่าสิ่งที่ท�ำให้ข�ำไม่ออกก็คือตอนเจ้านั่นเอี้ยวตัวกลับมา กรีดยิ้มบนใบหน้า ซึ่งหากบอกว่าพี่เอมสอนมาผมคงเชื่อ เพราะถ้ามองแบบใจเป็นกลางสุดๆ ผมว่า ยิ้มนั่นอาจท�ำคนเข่าอ่อนจนยืนไม่อยู่ได้ แต่ไม่ใช่กับผม เพราะผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ และไม่คิดจะยืนขึ้นตอนนี้เพื่อให้ใครเห็นผมท�ำเข่าอ่อนล้มพับเด็ดขาด “คิ ด – ถึ ง – แ ล้ ว – ล ะ – สิ” ไม่ได้มีเสียงเล็ดลอดออกมา เป็นเพียงการขยับปากช้าๆ ทีละค�ำให้ผมเห็น แต่ก็ท�ำให้ได้รู้ว่าที่ผมพึมพ�ำเมื่อกี้นั่นมันได้ยิน! หูนรก! ถ้าได้ยินก็หัดเงียบๆ เอาไว้สิวะ บ้าเอ๊ย! อย่างน้อยมันก็ควรคิดบ้างว่าผม จะอับอายจนไม่รู้ควรเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหนแล้ว ผมเอามือซ้ายข้างทีด่ อี ยูต่ แี ก้มตัวเองรัวๆ เรียกสติแล้วลุกขึน้ จากเก้าอี้ ตอนนี้ ยังไม่ถึงคิวผม ถ้าจะออกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน�้ำสักนิดอาจช่วยให้สติกลับมา อยู่กับเนื้อกับตัวบ้างก็ได้ 100


หน้าห้องฉุกเฉิน ผู้คนพลุกพล่านยิ่งกว่าข้างในเสียอีก น่าแปลกใจว่าวันๆ หนึง่ มีคนป่วยเยอะขนาดนีเ้ ชียว ท่ามกลางคนไข้และญาติมากมาย เพือ่ นกริชร่างหมี ที่บอกว่าจะออกมารอข้างหน้าไม่รู้หายไปไหนแล้ว ผมมองซ้ายมองขวาหาป้ายบอกทางไปห้องน�ำ้ แต่สายตากลับเหลือบไปเห็น บางคนซึ่งตอนนี้ควรจะนอนพักอยู่ที่หอตามความเข้าใจเดิม อุ่นใจ? กับร่างสูงของใครอีกคนในเสื้อกาวน์สั้นสีขาว ผมหรี่ตา พยายามปรับโฟกัส แม้ผชู้ ายคนนัน้ จะหันหลังให้ แต่ผมมัน่ ใจว่าต้องเป็นใครสักคนในหอเดียวกันแน่นอน น่าจะเป็นชายหนุ่มใส่แว่นท่าทางเคร่งขรึม พี่หมอที่ชื่อ...ชื่ออะไรสักอย่างซึ่งนึกไม่ ออก... ช่างเถอะ ที่อยากรู้คืออุ่นใจเป็นอะไรหรือเปล่าถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ ระยะห่างไม่กสี่ บิ เมตร หากตะโกนคงได้ยนิ แต่จะมายืนแหกปากกลางผูค้ น ให้อับอายเล่นก็ใช่เรื่อง ท�ำเหมือนที่ผ่านมายังเจอเหตุการณ์ขายหน้าไม่พอ ผม กวาดสายตาไปทางประตูห้องฉุกเฉิน ยังคงไม่ถึงคิวผมตรวจ แผลบนแขนเลือดก็ หยุดไหลแล้ว ไม่มีน่ามีปัญหาอะไรหากจะวิ่งฝ่าฝูงชนจากตรงนี้เข้าไปหา ผมเบียดตัวแทรกผ่านหน้าหญิงร่างท้วมสองคนที่ขวางทางอยู่ แต่ยังขยับไป ได้ไม่ทันจะพ้นระยะหน้าประตูห้องฉุกเฉินด้วยซ�้ำ กลับกระแทกเข้าอย่างจังกับมัด กล้ามแข็งโป๊กบริเวณไหล่ของใครสักคน ให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งวิ่งชนชิ้นส่วนรถถัง มากกว่าร่างกายมนุษย์ และแรงกระแทกที่ว่าก็ส่งผมลงไปนั่งก้นจ�้ำเบ้าบนพื้นแบบ ไม่มอี ะไรจะเสียอีกแล้ว ก่อนเท้าใครสักคนซึง่ เดินกันให้ขวักไขว่อยูแ่ ถวนัน้ จะบังเอิญ มาเตะเข้าที่แผลตรงแขนของผมเข้าพอดี เจ็บน�้ำตาแทบเล็ดเลยทีเดียว “เป็นอะไรไหม” ผมเกือบตอบกลับไปว่า ‘เป็นสิวะ’ แล้วเชียว หากไม่เห็นเข้าเสียก่อนว่าเจ้าของ เสียงเป็นชายร่างบึกบึน ล�ำ่ ยิง่ กว่าพ่อหมีนอ้ ยน่ารักทีข่ บั รถมาส่งผมเสียอีก จะตัวใหญ่ ไปไหน ที่นี่ประเทศไทยจริงหรือวะ? แขนบึกที่ผมเพิ่งเอาหน้าไปกระแทกยื่นมาหมายจะช่วยพยุง ผมได้แต่เอ่ย ขอบคุณแล้วยื่นมือไปดึงไว้เป็นจุดยึดเพื่อฉุดตัวเองลุกขึ้นยืนเงอะงะ ตอนนั้นเองจึง ได้สังเกตว่าข้างชายร่างใหญ่ผู้นั้นมีชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานอีกคนยืนรออยู่ 101


อายุอีกคนหนึ่งน่าจะประมาณสี่สิบปลายๆ ใบหน้าแม้จะมีริ้วรอยตามวัย แต่กลับเสริมให้ดูเป็นผู้ใหญ่น่าเชื่อถือ เขาแสดงอาการคล้ายประหลาดใจอยู่เพียง แวบหนึง่ ดวงตาด�ำขลับชวนให้นกึ ถึงใครสักคนจ้องมองมาทางผม จากนัน้ จึงขมวด คิ้วพร้อมกับหรี่ตาลงน้อยๆ อย่างใช้ความคิด และนั่นท�ำให้ผมรู้สึกท�ำตัวไม่ถูก เขา อาจหงุดหงิดที่ผมวิ่งไม่ดูทางจนท�ำให้เพื่อนร่างใหญ่ของเขาต้องเสียเวลา “เอ่อ...ขอโทษครับ” ผมเอ่ยออกมารวดเร็ว มัวแต่สงสัยกับท่าทีประหลาด ของคนตรงหน้าจนลืมความโมโหเมือ่ ครูไ่ ปแล้ว เขาดูเป็นคนรวยประเภททีจ่ ะมีธรุ ะ ทั้งวันแบบในหนัง หวังว่าผมคงไม่โดนเรียกร้องค่าเสียเวลา ระหว่างยืนรอ (ซึ่งไม่รู้ว่ารออะไรเหมือนกัน) ผมก็โอกาสช่วงต่างฝ่ายต่าง เงียบชะเง้อมองข้ามไหล่เขา เพียงเพื่อจะพบว่าอุ่นใจหายไปแล้ว “คมสัน คุณช่วยเขาปัดฝุ่นตามตัวหน่อย” ได้ยินค�ำสั่งอย่างนั้น จึงต้องประเมินใหม่ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้คง ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่น่าจะเป็นเจ้านายกับลูกน้องมากกว่า “ครับ” ชายในร่างรถถังจ�ำแลงรับค�ำ ก่อนจะตรงเข้ามาเอามือตบๆ ตามเสือ้ และกางเกงเลอะฝุ่นของผม ซึ่งที่จริงมันไม่จ�ำเป็นเลย เพราะเสื้อผ้าผมมอมแมมไป ทั้งตัว ตั้งแต่ตอนถลาหลบมอเตอร์ไซค์คันเบ้อเริ่มเหมือนหลุดมาจากหนังแอคชัน ก่อนจะมาหงายหลังแอ้งแม้งตรงนี้แล้ว ที่ส�ำคัญ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ากระดูก กระเดี้ยวผมจะไม่หักไปเสียก่อนจากเสียงตุ้บหนักๆ อย่างกับตั้งใจเอามือฟาดผม ให้น่วมไปทั้งตัวกันแน่ “พะ...พอแล้วครับ ขอบคุณมาก” “คุณปิ่นหยก แววสินธุ์ค่ะ” ผมได้ยินแว่วๆ เสียงที่ดังมาจากในห้องฉุกเฉินนั่น ถึงคิวผมแล้วใช่ไหม “ขอโทษที่ท�ำให้เสียเวลาครับ ผมต้องไปแล้ว” ผมค้อมศีรษะน้อยๆ ให้ทั้ง สองคนพลางเหลือบมองต้นเสียง “คุณปิ่นหยก แววสินธุ์ค่ะ” คุณพยาบาลคนเดิมเรียกซ�้ำอีกครั้ง คราวนี้เสียง แข็งขึ้นนิดหน่อย ควรรีบแล้ว ผมหันหลังกลับ ก�ำลังจะเดินเข้าห้องฉุกเฉิน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยิน ชื่อตัวเองดังขึ้นจากปากชายวัยกลางคนที่ยังไม่ได้คุยกันตรงๆ เลยสักประโยค 102


“ปิ่นหยก!” ผมหันหลังอีกครั้ง...หมุนครบวงแล้วตอนนี้ เหมือนก�ำลังระบ�ำอะไรสักอย่าง ตลกตัวเองที่มาเต้นร�ำอะไรอยู่หน้าห้องฉุกเฉินท่ามกลางสายตาผู้คน “ครับ?” “นั่นชื่อเธอหรือ?” ไม่ใช่มงั้ ! ผมนึกบ่นอยูใ่ นใจ เงยขึน้ มาก็เห็นสีหน้าแบบเดิมของเขาในเวอร์ชนั่ ที่เข้มข้นกว่าเก่า สายตายังคงหรี่มองมาเหมือนอยากเค้นให้ผมพูดความจริง ซึ่งผม ก็ไม่มีความจริงอะไรจะพูดนอกจาก “ครับ...นั่นชื่อผม” “ปิ่นหยก!” เสียงคุน้ เคยของอีกคนดังจากประตูหอ้ งฉุกเฉิน หันไปก็เห็นไอ้ลกู เจีย๊ บก�ำลัง เดินเข้ามา บนหน้าผากมีผ้ากอซแปะอยู่เรียบร้อย จากนั้นก็ตามด้วยเสียงของคุณ พยาบาลคนเดิมอีกครั้ง “คุณปิ่นหยก แววสินธุ์ค่ะ คุณปิ่นหยก แววสินธุ์!” และผมรูส้ กึ ใกล้ประสาทเต็มทน เรียกกันเข้าไป! เกณฑ์คนทัง้ โลกมาช่วยกัน ตะโกนชื่อผมเลยสิ! “ถึงคิวนายแล้ว” “ไปแล้วๆ พอดีเมื่อกี้คุยกับคุณลุงคนนี้อยู่” ผมกวาดมือไปยังทิศทางที่ชาย วัยกลางคนยืนอยู่เมื่อครู่ประกอบค�ำอธิบาย แต่สีหน้าแปลกใจของอาทิตย์ท�ำให้ผม ต้องหันกลับไปดูอีกครั้ง ฉากตรงหน้ายังเป็นผูค้ นเดินกันขวักไขว่เช่นเคย รถเข็นคนไข้วงิ่ สวนกันไปมา แต่คู่สนทนาลึกลับและลูกน้องของเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว

103


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.