ภาพโดย ปรีดา ขาวบอ
74
แวง พลังวรรณ
อิ่มแลว... พานองไปเลนวัด
อิ่
มแลว...พานองไปเลนวัด
ประโยคคำสั่งนี้ดังกึกกองในสังคม-ชุมชนอีสาน เมื่อราว ๔๐ ป และดังกองในหวงคำนึงของคนอีสาน ทุกผูทุกนามที่มีอายุเกิน ๕๐ ป
75
อิ่มแลว...พานองไปเลนวัด ประโยคนี้ใหสิ่งที่เปน คุณคาแกคนอีสานมากกวาอรรถหรือพยัญชนะ อิ่ม แลว โดยอรรถ หมายถึง อิ่มจากการรับประทานมื้อ เย็น ซึ่งเปนมื้อที่เย็นจริง ๆ คือ ขาวไมรอน เพราะยัง ไมถึงเวลาอุนขาว เนื่องจากยังไมเย็นมาก ... ยังไมถึง ยามแลง-ยามงาย เปนชวงที่พอ-แมยังวุนอยูกับงาน ยังไมถึงเวลาที่จะตองหุงหาอาหาร เปนการกินเพื่อ รองทอง มากกวาจะกินเอาอิ่มเอาออก และสะทอน ใหเห็นวา ภารกิจนำนองไปวัดนั้นตองใชเวลา และใช พลังงานมาก จึงตองรองทองใหมีแรงกอน ภารกิจในวัด หมายถึงกิจกรรมที่เดิ่นวัด หรือลาน วัด ซึ่งในอดีต ลานวัดอีสาน สำหรับเด็กคือ สนามเด็ก เลนอันมโหฬารที่จุเด็กในหมูบานไดทั้งหมด ในยุคนั้น เด็ก ๆ หาใครไมไปเลนที่วัดเปนไมมี ใครที่ไมไปเลนที่ วัดถือวาเปนเด็กพิกล อิ่มแลว...พานองไปเลนวัด เปนประโยคที่ยิ่งใหญ ในหัวใจเด็กอีสานเมื่อไมนาน เปนประโยคที่ใหความ อบอุน ความสุข ใหความคิดคำนึง ใหความยิ่งใหญ ของอีสาน และยิ่งใหญเกินกวาอีสานในยุคนี้มากนัก 76
การไปเลนที่ลานวัด ยังสะทอนใหเห็นถึงความยิ่ง ใหญของวัดอีสาน วัดอีสานมิไดเปนเพียงที่ประกอบ สังฆกิจ หรือเปนที่ทำบุญทำทานของญาติโยมเทานั้น แตมันคือสมบัติของเด็กๆ ดวย ความสนิทแนบแนน กับวัดของคนอีสานในยุคกอนมันเกินจะอธิบายใหคน ยุคนี้เขาใจ-เขาถึง... อิ่มแลว...พานองไปเลนวัด กวา จะเปนประโยคนี้ขึ้นมาได สังคมอีสานตองถูกกลอม เกลาอยูรวมพันป และอีสานก็คือ คนในกลุมไต-ไทยลาว ซึ่งในอดีตกอนเกิดรัฐชาติ มิอาจแยกกันไดวา ใผ เปนใผ (ผูเขียนใช “ใผ” มิใช “ไผ” เพราะคำนี้มาจาก “ผูใด”) ตอมาเมื่อบานเมืองแตกสะลุผุพายแตกพาย พลั ด พรากกั น นี่ ด อก จึ ง ชี้ ห น า กั น ว า ใผเป น ไทย ใผ เป น ลาว และใผเป น ไต และเวลานั บ พั น ป นั บ แต ป ๑๒๗๒ ทำใหคนกลุมนี้ผูกพันกันเปนชาติ สิ่งที่เกาะ เกี่ยวคนกลุมนี้มิใชเพียงสงครามกับตางชาติที่ทำให ตองผนึกกำลังกันสูศึกเทานั้น ยังมีสายใยเสนสำคัญ ที่ แมตอมาจากตองพลัดพรากกันแลว สิ่งนี้ยังคงฝงแนน ในใจและในสังคมคนไต-ไทย-ลาวอยูจนบัดนี้ 77
สิ่งที่เปนเสมือนรหัสพันธุกรรมของไต-ไทย-ลาว คือ ฮีต และคอง ฮี ต และคอง หรื อ รู จั ก กั น ทั่ ว ไปว า ฮี ต ๑๒ คอง ๑๔ นั้น มิใชสิ่งที่คร่ำครึพนสมัยอยางที่ลูกหลานเชื้อ สายไต-ไทย-ลาว เขาใจ หากมันเปนสิ่งที่สมสมัย และ เป น เครื่ อ งยื น ยั น แสดงว า ไต-ไทย-ลาวนั้ น ยิ่ ง ใหญ เพียงใด ฮีต คำนี้ นักปราชญลาวและอีสานมักวากันวา มาจากคำวา “จาริตะ” ในภาษาบาลี สันสกฤตวา “จาริ ต ระ” หมายถึ ง ขนบธรรมเนี ย ม แบบแผน ความประพฤติที่ดีงาม (ปรีชา พิณทอง. ๒๕๓๔ : ๕๗) ซึ่งผูเขียนคิดแยงอยูในใจ และอยากบอกสิ่งที่อยูในใจ ออกมาดัง ๆ วา คำวา ฮีต ไมไดมาจากไหน หากมัน คือคำไต-ไทย-ลาว คือ คำวา ฮีต และคำนี้เปนคำเกา คำวาคำเกา หมายถึงคำที่อาจใชรวมกันในยุคตน ๆ ที่ ภ าษาไม ไ ด ห ลากหลาย เช น คำว า อมตะ กั บ immortal หรือพวกวิภัติ-ปจจัย (prefix หรือ suffix) หรื อ คำที่ ต อ เติ ม ข า งหน า หรื อ ข า งหลั ง เพื่ อ ให ค วาม 78
หมายเปลี่ยน เชน คำวา อ (แปลวา ไม) ส (แปลวา มี) เชน มตะ แปลวาตาย เติม อ ขางหนาเปนอมตะ คือ ไมตาย ในภาษาอังกฤษมีคำพวกนี้อยูมาก เชน a, un, in, im เปนตน คำพวกนี้ถาอยูหนาคำใด ความหมาย ก็จะเปลี่ยนเปนไปในทางตรงขาม เชน comfortable (แปลวาสะดวกสบาย) เมื่อเติม uncomfortable ก็ แปลวา ไมสะดวกสบาย เปนตน คำวา ฮีต ก็อาจเปนเชนเดียวกัน คือ อาจเปนคำ เกาที่มีอยูเดิม ซึ่งคำวา ฮีต ภาษาอังกฤษใชวา rite (รีต) ซึ่งผูเขียนไมเชื่อวา คำวา “rite” นี้จะมีที่มาจาก คำวา จาริตฺต หรือจาริตร หรืออีกอยางหนึ่งก็คือ ทั้ง คำวา ฮีต จาริตฺต จาริตร และ rite อาจเปนคำที่มา จากที่ เ ดี ย วกั น ไม มี ใ ครยื ม ของใคร ทั้ ง นี้ สาเหตุ ที่ ผูเขียนเชื่อเชนนี้ก็เนื่องจากวา คำ หรือภาษาไต-ไทยลาว ในยุคนั้น ไมมีที่ใดหยิบยืมมาจากบาลี-สันสกฤต เลย จะเห็ น ได จ ากชื่ อ คนและชื่ อ ตำแหน ง ในยุ ค นั้ น เชน เจาฟาฮวม เจาขุนลอ ขุนซวา ขุนซวย ขุนคำ ขุน ฮุง ขุนคุม เปนตน ซึ่งชื่อคนนั้น เปนดานหนาที่ปะทะ กั บ ภาษาต า งประเทศ เป น ด า นแรกที่ จ ะต อ งถู ก 79
กระทบ และถูกแปรไปตามอิทธิพลทางภาษา หากชื่อ คนไมไดมาจากภาษาบาลี-สันสกฤตแลว คำที่ใช ๆ กัน ในสังคมก็ไมนาจะมาจากบาลี-สันสกฤต ดังจะเห็นได จาก ชื่อคนไทย ซึ่งเปนชนชาติเดียวที่มีพลวัตที่สุด คือ เปลี่ยนแปรไปตามกระแสและอิทธิพลอยางยิ่ง กอนนี้ เรารั บ อิ ท ธิ พ ลแขก ก็ ใช ชื่ อ อย า งแขก เช น สมศั ก ดิ์ สมบัติ นิรุตติ์ เปนตน แตเมื่อไดรับอิทธิพลฝรั่งเขา ก็ แปรไปเปนฝรั่งตาม เชน แม็ค เชอรี่ เปล แหมม แต ภาษาที่คนไทยใชกันในชีวิตประจำวันกลับยังใชภาษา เดิมของตน เปนตน ที่ ว า มาเสี ย ยื ด ยาวก็ เ พี ย งเพื่ อ จะอธิ บ ายว า ฮี ต เปนคำไต-ไทย-ลาว หรือคำโบราณที่ใชกันทั่วไปของ มนุษยในยุคนั้น เพราะหากฮีตมาจากภาษาบาลี-สัน สกฤต ชื่อคนไต-ไทย-ลาวในยุคนั้นตองเปลี่ยนตาม การคั ด ค า น (ในใจ) ของผู เขี ย นที่ เขี ย นออกมา ดัง ๆ เชนนี้ ก็สะทอนแนวการศึกษาเรื่องฮีต-คอง ของ ผูเขียนดวยเชนกัน ซึ่งเปนการศึกษาแบบตีความและ วิเคราะห โดยเฉพาะเนื้อหาของฮีต-คอง เปนเรื่องที่ 80
มีความหมายอยางมาก โดยพยายามเคนความรูทาง ภาษา โดยไมติดอยูกับภาษาไทยและลาว หากเลยไป ถึงภาษาไต และทางดานกฎหมาย ตลอดจนใชจริต และวิถีชีวิตที่ผูเขียนดำรงอยูในสังคมอีสาน อันนาจะ สะทอนหรือเปนตัวแทน (กลุมตัวอยาง) ของคนไตไทย-ลาว ไดไมมากก็นอย นับแตนี้เปนตนไป... เราจะดำดิ่งสูภูมิปญญา ของบรรพบุรุษ เพื่อจะไดรูวา คำวา “บานดีเมือง ดี” นั้นเปนเชนไร การจะทำใหบานดี-เมืองดี-คนดี นั้นตองทำอยางไร และจะไดรูวา ฮีต-คอง มิใชของคร่ำครึอยางที่ เขาใจ
บรรณานุกรม ปรีชา พิณทอง. ประเพณีโบราณ. ๒๕๓๔ 81