จดหมายข่าวพุทธิกา ฉบับที่ 43

Page 1


ม า แ ล้ ว จ้ า

ต้อนรับเข้าพรรษา ด้วยหนังสือเล่มเล็ก ที่ชาวพุทธควรอ่าน

ใส่บาตรให้ได้บุญ เพียงจ่ายสมทบ ค่าจัดพิมพ์เล่มละ ๑๐ บาท และค่าจัดส่งอีกเล่มละ ๕ บาท

โ อ น เ งิ น ไ ป ที่ บัญชีชื่อ เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาอรุณอมรินทร์ เลขที่ ๑๕๗-๑-๑๗๐๗๔-๓ ออมทรัพย์ หรือ สั่งจ่ายธนาณัติในนาม นางสาวมณี ศรีเพียงจันทร์ ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒ ส่งไปที่ เครือข่ายพุทธิกา ๔๕/๔ ซ.อรุณอมรินทร์ ๓๙ ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ สนใจรายละเอียดติดต่อที่ เครือข่ายพุทธิกา โทร. ๐๒-๘๘๒-๔๓๘๗, ๐๒-๘๘๖-๐๘๖๓ หรือ www.budnet.org

เดื อ นกรกฎาคมนี้ มี เ หตุ ก ารณ์ ส องอย่ า งที่ ดู เ หมื อ นจะไม่ เ กี่ ย วข้ อ ง

กันเลย คือ การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๓ กรกฎาคม และวันอาสาฬหบูชา

ในวันที่ ๑๕ กรกฎาคมซึ่งตามมาด้วยวันเข้าพรรษา เหตุการณ์แรกนั้นเป็นเรื่องทางโลกและกำหนดชะตากรรมของประเทศ ส่วนเหตุการณ์หลังนั้นเป็นเรื่องทางศาสนาและมีคุณค่าในต่อชีวิตจิตใจของ ผู้คน แต่มองให้ดีทั้งสองเหตุการณ์มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ เป็นโอกาสที่ เราจะได้ปฏิบัติธรรมมากเป็นพิเศษ กล่าวคือ ก่อนไปคูหาเลือกตั้ง เราควร

ตั้งสติให้ดี ไม่หลงเชื่อคล้อยตามคำโฆษณาหาเสียงของนักการเมือง (ที่มักใช้ ผลประโยชน์นานาชนิดมาหลอกล่อให้เรานิยมในพรรคของเขา หรือกระตุ้น ความโกรธเกลียดเพื่อให้รู้สึกลบกับฝ่ายตรงข้าม) รวมทั้งไม่หลงเชื่อข่าวลือ ง่ายๆ แม้ว่าจะมาจากคนที่เรารู้จักหรือคุ้นเคย ในสถานการณ์เช่นนี้เราพึงใช้ หลักกาลามสูตร คือ ไม่เชื่อเพียงเพราะเป็นเสียงร่ำลือ หรือเพราะสอดคล้อง กับความคิดความเชื่อของเรา หรือเพราะผู้พูดเป็นครูของเรา (หรือมีลักษณะ น่าเชื่อถือ) แต่ควรใช้ปัญญาของตนพิจารณาและไตร่ตรองด้วยเหตุและผล และอาศัยข้อมูลอย่างรอบด้านเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นธรรมดาที่เราย่อมมีความชอบและชังในตัวบุคคล (และพรรค) ที่ เสนอตัวให้เราเลือก แต่ก็อย่าให้ความชอบและชังนั้นบดบังวิจารณญาณของ เรา จนเห็นว่าคนที่เราชอบนั้นดีพร้อมไร้ตำหนิ และมองว่าคนที่เราเกลียดนั้น เป็นเลวร้ายไร้ส่วนดี ขณะเดียวกันก็ไม่ควรคำนึงถึงแต่ประโยชน์ที่ตน (หรือ กลุ่มของตน) จะได้รับจากนักการเมือง จนมองข้ามผลที่จะเกิดกับส่วนรวม หากเขาได้เป็นรัฐบาล ที่สำคัญก็คือ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร หากเป็นไปอย่าง บริสุทธิ์ยุติธรรม เราก็ควรยอมรับผลนั้น แม้จะไม่ถูกใจเราก็ตาม การยอมรับ


ความจริงที่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเรานั้น เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะในชี วิ ต ของเรานั้ น ย่ อ มมี ทั้ ง สิ่ ง ที่ ถู ก ใจและไม่ ถู ก ใจ สมหวั ง และไม่ สมหวัง หากเราทำใจยอมรับผลการเลือกตั้งไม่ได้ เราจะยอมรับความไม่ สมหวังที่จะต้องเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิตของเราได้อย่างไร การใช้สติปัญญา โดยไม่ถูกบดบังครอบงำด้วยความโกรธเกลียดหรือ มุ่งหวังประโยชน์ส่วนตน ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับ การหันมาดูใจของตนและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ปล่อยใจไปตามความ อยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอและพึงทำเป็นพิเศษในเทศกาล สำคัญอย่างวันอาสาฬบูชาและเทศกาลเข้าพรรษา ในโอกาสอย่างนี้ อะไรที่เราหลงติดและสร้างความทุกข์แก่เรา เช่น อบายมุขต่างๆ เราควรฝึกใจให้ปล่อยวาง ด้วยการลดละสิ่งเหล่านี้อย่างน้อย ก็ตลอดสามเดือนช่วงเข้าพรรษา นั่นเป็นเรื่องของศีล (และทาน) แต่หาก ทำได้มากกว่านั้น เช่น ทำสมาธิภาวนา ให้ใจสงบ มีสติ ก็จะช่วยให้เราพบ ความสุขอันประณีต จนสามารถเป็นอิสระจากสิ่งรัดรึงจิตใจได้ ในยามที่ผู้คนพากันหวาดกลัวภัยพิบัติ จนลืมไปว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่า

ภั ย พิ บั ติ คื อ “ใจวิ บั ติ ” การปฏิ บั ติ ธ รรมด้ ว ยการหมั่ น ทำสมาธิ ภ าวนา

โดยเฉพาะในช่ ว งเข้ า พรรษา คื อ วิ ธี ที่ จ ะช่ ว ยรั ก ษาใจมิ ใ ห้ วิ บั ติ เป็ น การ

เตรียมใจให้พร้อมรับภัยพิบัติที่ดียิ่งกว่าการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการไป สะเดาะเคราะห์แก้กรรมเสียอีก อีกทั้งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการกักตุนเสบียง หรือการย้ายถิ่นฐานไปยังที่ปลอดภัยเสียอีก (เพราะไม่มีที่ใดในโลกที่จะช่วย ให้เราปลอดพ้นจากความตายหรือแม้แต่ความเจ็บป่วยได้เลย) สำหรับผู้ที่อยากรู้ว่าทำอย่างไรใจจะไม่วิบัติ บทความเรื่อง “สิ่งที่น่า กลั ว กว่ า ภั ย พิ บั ติ ” ในพุ ท ธิ ก าฉบั บ นี้ ส ามารถให้ ค ำตอบแก่ ท่ า นได้ ส่ ว น

บทความอื่นๆ นั้นก็น่าสนใจเช่นกัน

พุ ท ธิ ก า

ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๔๓ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔

สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ

แผ่นดินไหวมาจากไหน

๑๔

เส้นทางการเรียนรู้วิชชาจากพระพุทธเจ้า

๑๗

facebook

๒๕

๓๐

๓๑

๓๘

๔๑


พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

กลัวตายก็จะลดลง และไม่ตื่นกลัวภัยพิบัติ กลับมองว่าภัยพิบัติเหล่านี้มี ข้อดีด้วยซ้ำตรงที่ช่วยเตือนไม่ให้ประมาท เราควรมองภัยพิบัติทั้งหลายใน แง่นี้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะมัวตื่นตระหนกตกใจ จนไม่เป็นอันทำอะไร และ พลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ ให้แก่ตนเองและผู้อื่น พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น มีการวางแผนบรรเทาสาธารณภัยที่รัดกุม เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ใน ยามฉุกเฉิน เป็นต้น การเตรียมการดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราไม่ควร มองข้ามความจริงข้อหนึ่งก็คือ ภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง หรือคลื่นสึนามิ แม้จะรุนแรงเพียงใดก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจวิบัติ ถ้าใจวิบัติแล้วความเสียหายจะตามมามากมาย

ในช่ ว ง ๒-๓ ปี ที่ ผ่ า นมาเกิ ด เหตุ แ ผ่ น ดิ น ไหวและภั ย ธรรมชาติ มากมายทั่วโลก โดยเฉพาะไม่กี่เดือนมานี้ภัยพิบัติเกิดขึ้นใกล้บ้านเรามาก เริ่มจากญี่ปุ่นแล้วก็พม่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้คนตื่นตระหนกกันมาก นั่นเป็นเพราะมีความกลัวตายเป็นพื้นฐาน แต่เรามักจะลืมไปว่าถึงแม้ไม่เกิด ภัยพิบัติเลย เราก็ต้องตายทุกคน และหลายคนก็จะต้องตายก่อนเกิด

ภัยพิบัติครั้งหน้าด้วยซ้ำ ดังนั้นแทนที่จะมัวตื่นตระหนกถึงภัยพิบัติครั้ง

ต่อไป ซึ่งจะเกิดที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ เราควรมาใส่ใจกับความจริงที่ตามติด

เราไปทุกหนทุกแห่ง นั่นก็คือความจริงที่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนต้องตาย ถึงจะไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า เราทุกคนก็หนีความ ตายไม่พ้น

ใจวิบัติหมายถึงอะไร หมายถึงใจที่วิปริตผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อน

จากธรรม หรือถูกกัดกร่อนเผาลนด้วยความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ใจที่วิบัติสามารถทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมไม่ต่างจากสัตว์ และสามารถทำร้ายซึ่งกันและกัน จนทุกหนทุกแห่งกลายสภาพเป็นนรกได้ ฉับพลัน แต่ถ้าใจไม่วิบัติแล้วแม้จะเจอภัยพิบัติแค่ไหนก็ยังพอจะประคับ ประคองกันไปได้ อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและ คลื่นสึนามิแล้ว ความเดือดร้อนแพร่กระจายไปทั่ว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่ ผู้คนกล่าวขานด้วยความชื่นชมว่า คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังมีวินัย มี

น้ำใจต่อกัน ขนาดเกิดภัยพิบัติร้ายแรง ก็ยังไม่มีการปล้นสะดม ไม่มีการ ฉวยโอกาสที่กระหน่ำซ้ำเติมผู้เดือดร้อน

ดังนั้นเราจึงควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับความตายที่จะมาถึง ดีกว่า เช่น หมั่นทำความดี หลีกหนีความชั่ว ปฏิบัติต่อคนรอบข้างด้วย ความใส่ใจ ฝึกจิตให้ตระหนักรู้ถึงความไม่จิรังยั่งยืนของทุกสิ่ง และพร้อม ปล่อยวางเมื่อเกิดความพลัดพรากสูญเสีย ถ้าทำเช่นนี้ได้ครบถ้วน ความ


เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้วจะเห็นว่าตรงกันข้าม ดังปรากฏ เป็นข่าวเสมอว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบนทางหลวง ผู้โดยสารบาดเจ็บ ติดอยู่ในรถ ช่วยตัวเองไม่ได้ ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นแทนที่จะมาช่วยเหลือ กลับมารุมทึ้ง แย่งเอานาฬิกา สร้อยคอ เงินทองของผู้ประสบเหตุ คงคิด ว่าเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว ก็เลยถือเอามาเป็นของตัวเสียเลย แต่ผู้โดยสารบางคนแม้ยังไม่ตาย ก็ยังมีคนมายื้อยุดนาฬิกาจากมือของเขา ทั้งๆ ที่เขาวิงวอนขอร้องว่าอย่าทำ นี้คือตัวอย่างของใจวิบัติที่ทำให้ผู้คน กลายเป็นยักษ์มาร ไร้เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หากใจวิบัติเกิดขึ้นกับคนทั้ง ประเทศ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบ้านเมืองจะร้อนรุ่มปานสักเพียงใด ภาพเหล่านี้เห็นยากในประเทศญี่ปุ่น แม้กระทั่งเวลามีการแจกข้าว แจกน้ำ ผู้คนก็เข้าคิวกันเป็นระเบียบ ไม่มีการแย่งแซงคิวกัน มีคนเล่าว่า วันแรกที่เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ คนนับหมื่นนับแสนสูญเสียบ้าน เรือน ปรากฏร้านค้าต่างๆ ที่ไม่ประสบภัยพิบัติพากันเปิดร้าน และเอา อาหารมาแจกคนที่เดือดร้อน ถ้าเป็นที่อื่นหรือที่เมืองไทยร้านค้าก็อาจจะ ขึ้นราคา เพราะถือว่าได้โอกาสแล้ว ถึงจะแพงอย่างไรคนก็ต้องซื้อ ไม่ว่า

จะเป็นน้ำหรืออาหาร แต่ที่ญี่ปุ่นเหตุการณ์ดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นเลย ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง สินค้าตกมากองระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดิน ไหว แต่ลูกค้าก็ช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบของที่ตนต้องการซื้อไปต่อคิว จ่ายเงิน ในโตเกี ย วมี ค นมากมายกลั บ บ้ า นไม่ ไ ด้ เพราะรถไฟฟ้ า หยุ ด วิ่ ง หลายคนนอนข้างทางเพราะโรงแรมเต็ม ก็มีคนจรจัดซึ่งเป็นคนยากจน ไม่มีบ้าน เขามีน้ำใจเจียดเอากระดาษแข็งที่ใช้ก่อเป็นเพิง มาแบ่งให้คน

เหล่ า นั้ น มี ที่ น อน เพราะช่ ว งเดื อ นมี น าคมที่ ญี่ ปุ่ น นั้ น อากาศหนาวมาก ขณะเดี ย วกั น เจ้ า ของร้ า นยั ง เอาขนมปั ง มาแจกฟรี แ ก่ ค นที่ ก ำลั ง เดิ น

กลับบ้านเพราะหารถไม่ได้ มีพนักงานรถไฟคนหนึ่งประทับใจเด็กนักเรียน มาก เพราะเด็กนักเรียนมาพูดกับเขาว่า “ขอบคุณครับ ที่เมื่อวานคุณลุง พยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง” พนักงานรถไฟได้ยิน ถึงกับน้ำตาคลอ เรื่องเหล่านี้ทำให้ผู้คนมีกำลังใจ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า

แม้เกิดภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ก็ยังสามารถพบสุขท่ามกลางความทุกข์ แม้จะมีความทุกข์แค่ไหนผู้คนก็ไม่หมดหวัง เรามักเป็นห่วงกังวลกับอันตรายที่อยู่นอกตัว เช่น แผ่นดินไหว

น้ำท่วม แต่กลับไม่ตระหนักว่า อันตรายที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหน เลย อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เพราะถ้าใจของเราวิบัติเสียแล้ว ย่อมหา

ความสุขไม่ได้เลย แม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น มีความสะดวกสบายทุกอย่าง

ก็ยังรู้สึกร้อนรุ่มจิตใจไม่เป็นสุข เพราะผู้คนต่างเบียดเบียนเอาเปรียบกัน คนเราใจวิบัติได้ด้วยหลายสาเหตุ นอกจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่แล้ว ความโกรธก็ยังทำให้ใจวิบัติได้ เพราะว่า เมื่อเกิดความโกรธเกลียดกันแล้ว เราก็สามารถทำร้ายคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ เช่นสามีทำร้ายภรรยา ลูกทำร้ายพ่อ พี่ฆ่าน้อง เป็นต้น อย่าว่าแต่ทำร้าย คนอื่นแล้ว แม้แต่ตัวเอง หากใจวิบัติแล้ว ก็ยังสามารถทำร้ายตัวเองได้ เช่น ฆ่าตัวตายเพราะน้อยเนื้อต่ำใจในคนรัก หรือต้องการประชดพ่อแม่ ด้วยอำนาจของความโกรธ หลายคนฆ่าตัวตายทั้งๆ ที่พรั่งพร้อมด้วย

ทรัพย์สมบัติ มีชีวิตที่สะดวกสบาย ไกลจากภัยพิบัติใดๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้ ฆ่าตัวตาย ก็สามารถล้มป่วยเพราะความโกรธได้ บางคนเส้นโลหิตใน สมองแตกจนเป็นอัมพาตก็เพราะโกรธจัดจนคุมไม่ได้ ความกลัวก็สามารถทำให้ใจเราวิบัติได้ เพราะเมื่อกลัวแล้วย่อมเกิด ความตื่นตระหนกได้ง่าย ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ คนไข้บางคนพอรู้ความจริงจากหมอว่า ตนเองเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกิน


สามเดือน ก็ตกใจ ทำใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าจะต้องตาย วิตกกังวลสารพัด จน เศร้าซึมไม่เป็นอันกินอันนอน ปรากฏว่าอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย และไม่ได้ ตายสงบด้วย แต่ตายด้วยความทุรนทุราย ทั้งหมดนี้กล่าวอย่างสรุปก็คือ ใจวิบัติเพราะลืมตัว จึงปล่อยให้ ความโลภ ความโกรธ ความกลัวทำร้ายจิตใจ พอลืมตัวแล้วก็สามารถทำ อะไรได้ทั้งนั้นรวมทั้งทำร้ายตนเอง บางคนเกิดอารมณ์ชั่ววูบจนลืมตัว กระโดดลงจากตึกบ้าง ลงจากสะพานบ้าง วิ่งไปให้รถชนบ้าง บางทีก็ไป

ซื้อปืนมายิงตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำในตอนนี้ก็คือตั้งสติให้ดี อย่ากลัวหรือ ตื่นตระหนกกับภัยพิบัติจนลืมตัว หรือมองข้ามอันตรายที่ยิ่งกว่านั้นคือ

ใจวิบัติ อันตรายชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ใจที่ควรจะ สร้างสุขให้เรา แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเรา อย่าลืมว่าไม่มี อะไรที่จะทำร้ายเราได้มากกว่าจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “จิตที่ ฝึกฝนผิดทางย่อมทำความเสียหายให้ยิ่งกว่าศัตรูต่อศัตรูหรือคนจองเวร ต่อคนจองเวรจะพึงทำให้กันเสียอีก” ศัตรูทำร้ายศัตรูด้วยกัน หรือคนจองเวรกัน ก็ยังไม่ก่อความเสียหาย เท่ากับใจที่ตั้งไว้ผิด ใจที่คลาดเคลื่อนจากธรรมหรือที่อาตมาเรียกว่าใจวิบัติ

นี้แหละ สามารถทำร้ายหรือสร้างความฉิบหายได้ยิ่งกว่าที่ศัตรูทำร้ายกัน แม้แต่โจรก็ทำร้ายเราได้ไม่เท่ากับใจของเราเองด้วยซ้ำ อย่างมากที่โจร

แย่งชิงไปได้ก็คือทรัพย์สินเงินทองหรือเพชรนิลจินดาไป แต่เขาไม่สามารถ แย่งชิงหรือขโมยความสุขไปจากใจเราได้ ในทำนองเดียวกันศัตรูด่าว่าเรา ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้หรอก ไม่ว่าเขาจะพูดเสียงดังหรือสรรหาคำ

รุนแรงมาด่าเราเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่าใจเราไม่เปิดใจรับคำด่านั้น เราก็ ไม่ทุกข์ แต่เพราะเราวางใจไม่ถูก คำพูดเพียงเล็กน้อยๆ ก็สามารถจะทำให้ เราคลุ้มคลั่งเป็นบ้าหรือกลุ้มอกกลุ้มใจจนทำร้ายตัวเองได้ 10

มีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจเพียง

ไม่กี่ประโยค ซึ่งอาจจะไม่ใช่คำพูดที่รุนแรงเช่น คำพูดว่า “แม่ไม่มีเงินซื้อ โทรศัพท์มือถือให้นะ” หรือ “ถ้าแกสอบตก พ่อจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว” คำพูดแค่นี้สามารถทำให้คนบางคนทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ ถามว่า มันเป็นคำพูดที่รุนแรงหรือเปล่า มันไม่รุนแรงเลย แต่เป็นเพราะผู้ฟัง วางใจไว้ผิด พอฟังแล้วใจก็เลยวิบัติ พอใจวิบัติแล้วก็สามารถทำอะไรก็ได้ ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายตัวเอง แต่ถ้าวางใจไว้ดี ใจไม่วิบัติ แม้เจอภัยพิบัติจมอยู่ในกองอิฐ ก็ยัง

เป็นปกติได้ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีหลานกับยายสองคนถูกฝังอยู่ ใต้ซากปรักหักพังนานถึง ๙ วัน ไม่มีใครคิดว่าจะรอด แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัย

ไปพบและช่วยไว้ได้ คนที่ถูกช่วยออกมาจากซากปรักหักพังก่อนคือ หลาน อายุ ๑๖ ปี พอหลานรู้ ว่ า มี ค นมาช่ ว ยก็ ร้ อ งห่ ม ร้ อ งไห้ ด้ ว ยความดี ใ จ

แต่ พ อออกจากซากตึ ก ได้ ก็ ห มดแรงจนต้ อ งนอนเปลขึ้ น เฮลิ ค อปเตอร์

ตรงกันข้ามกับยายอายุ ๘๐ ปีเดินออกมาสบายๆ ไม่มีอาการฟูมฟาย

ไม่ ต้ อ งให้ ใ ครพยุ ง หรื อ นอนเปล พู ด ถึ ง สภาพร่ า งกายแล้ ว สองคนนี้

แตกต่างกันมาก หลานแข็งแรงกว่ายายมาก แต่ทำไมหลานหมดสภาพ ทันทีที่ออกมาจากซากตึก ตรงข้ามกับยายที่เดินออกมาอย่างปกติ เป็น เพราะอะไร คำตอบอยู่ที่ใจนั่นเอง ใจของยายนั้นสงบตั้งแต่อยู่ในซากตึก แล้ว อาจเป็นเพราะมีความหวังว่าจะมีคนช่วยออกมาได้ หรือไม่ก็เพราะใจ พร้อมจะตายตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลายายเจอเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เลย

ไม่ได้ดีอกดีใจอะไรมาก และเมื่อใจสงบ ไม่วิตกกังวลร่างกายก็เลยเข้มแข็ง ไม่ทรุดหรือหมดสภาพ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีอาหารกิน นี้ก็เช่นเดียวกับกรณี เหมืองถล่มที่ชิลีเมื่อปีที่แล้ว มีคนงาน ๓๓ คนถูกขังอยู่ใต้ดินลึกถึง ๖๐๐ 11


เมตร นานถึง ๗๐ วัน ไม่มีใครรู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ที่จริงโอกาสตาย

มีสูงมาก เพราะการช่วยเหลือทำได้ยากมาก แต่ว่าทุกคนก็รอดมาได้

ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กู้ภัยเก่งอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคนที่ถูกขังใต้ดินนั้น เขาดูแลจิตใจของตนเองดี ส่วนหนึ่งเพราะต่างช่วยกันดูแลจิตใจของกัน และกัน ทำให้ไม่ตื่นตระหนก เสียขวัญ หรือท้อแท้ เห็นได้ชัดว่าแม้เจอ

ภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ใจเป็นปกติ สามารถพบกับความสุขหรืออย่างน้อย

ก็ไม่ทุกข์ทรมานแม้จะอยู่ใกล้ชิดความตายอย่างยิ่งก็ตาม การรักษาใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราหันมาให้ความสำคัญกับ

การรักษาใจ รู้จักประคับประคองใจไม่ให้วิบัติ เราจะไม่กลัวภัยพิบัติ และ ไม่กังวลด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย ใน สภาพอย่างนี้เราต้องไม่ประมาท ควรเตรียมการป้องกันเต็มที่ แต่ก็ไม่ควร ทำด้วยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็รู้ว่าอันตรายเหล่านี้ไม่อยู่ในวิสัย

ที่เราจะควบคุมได้ แม้แต่พยากรณ์ก็ยังทำได้ยาก โดยเฉพาะแผ่นดินไหว ไม่มีทางพยากรณ์ได้เลย ดังนั้นจึงพร้อมเผชิญกับมันตลอดเวลา มิใช่แต่ ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แม้ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ไฟไหม้ ก็ยังสามารถรักษาใจให้ปกติไม่อกสั่นขวัญแขวน หรือถึงจะไม่มี

ภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับ

ทุกคนเช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย แม้กระทั่งความ ตาย เมื่อเกิดขึ้นเราก็ยังสามารถรักษาใจได้ให้ปกติได้

ดังนี้

เราควรดูแลรักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ ขอกล่าวอย่างย่อๆ

๑. มี ส ติ รู้ เ ท่ า ทั น อารมณ์ ที่ เ กิ ด ขึ้ น อยู่ เ สมอ อย่ า ปล่ อ ยให้ ค วาม

ตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ ครอบงำใจ เวลาได้ยิน ข่าวคราวหรือเสียงร่ำลือเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมทั้งคำพยากรณ์ต่างๆ ให้

ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม สืบสาว หาความจริงก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร หาไม่เราจะตกเป็นเหยื่อของ ข่าวลือ หรือทำให้ข่าวลือแพร่กระจาย พร้อมกันนั้นก็หมั่นเจริญสติอยู่เป็น ประจำ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเพื่อจะได้มีสติ รักษาใจ

ไม่ให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ ๒. เจริญมรณสติอยู่เสมอ นั่นคือตระหนักถึงความจริงว่า ความ ตายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอด เวลา ความตายจึงอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าภัยพิบัติใดๆ ทั้งสิ้น และถึงแม้ไม่มี ภัยพิบัติเกิดขึ้นเลย เราก็หนีความตายไม่พ้น แต่ความตายจะเกิดขึ้น

เมื่อใดไม่รู้ อาจเกิดขึ้นกับเราวันนี้คืนนี้ก็ได้ ดังนั้นจึงควรถามตัวเองว่า หากวันนี้ต้องตาย เราพร้อมหรือไม่ที่จะจากโลกนี้ไป เราทำความดีสร้าง บุ ญ กุ ศ ลมาพอหรื อ ยั ง กิ จ ธุ ร ะที่ ส ำคั ญ ทำเสร็ จ สิ้ น หรื อ ยั ง และพร้ อ ม

ปล่อยวางสิ่งต่างๆ รวมทั้ง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจน ร่างกายนี้หรือยัง หากไม่พร้อมก็ควรเร่งทำ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป โดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใส่ใจโดย ตระหนักว่าเขาอาจอยู่กับเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายก็ได้ อย่าละเลยโอกาสที่ จะทำดีกับทุกคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย ๓. อยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวห่วงกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายเป็นสิ่งที่ดี แสดงถึงการตั้งอยู่ในความไม่ ประมาท แต่หากหมกมุ่นกับภัยพิบัติที่ยังไม่เกิด จนไม่รู้จักปล่อยวางเลย เราจะเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ หรือกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ เมื่อเตรียมการ

12

13


เต็มที่แล้ว ก็ควรหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

รวมทั้งมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย อย่ากังวลกับอนาคตภัยจน กินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเคร่งเครียด เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจาก เป็นการนำความทุกข์มาทับถมตนหรือซ้ำเติมตนเองแล้ว ยังเป็นการละทิ้ง ความสุขที่มีอยู่โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ ๔. พร้ อ มยอมรั บ ความจริ ง

ทุ ก อย่ า งที่ เ กิ ด ขึ้ น อะไรก็ ต ามเมื่ อ

เกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ป่วยการที่เราจะตีโพยตีพาย โวยวาย หรือปฏิเสธผลักไส เพราะนอกจาก

จะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ เราเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรทำคือ ยอมรับความจริง แล้วใคร่ครวญว่า ควรจะทำอะไรต่อไป เช่น จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เราจะทำใจพร้อม ยอมรั บ เหตุ ร้ า ยที่ เ กิ ด ขึ้ น ได้ ก็ ด้ ว ยการหมั่ น ฝึ ก ใจให้ พ ร้ อ มยอมรั บ สิ่ ง ที่

ไม่ถูกใจในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เช่น รถติด ฝนตก เงินหาย ถูกตำหนิ ฯลฯ หากทำใจยอมรั บ สิ่ ง เหล่ า นี้ ด้ ว ยใจที่ เ ป็ น กลางได้ ก็ จ ะช่ ว ยให้ เ รา สามารถเผชิญกับภัยพิบัติได้ด้วยใจสงบไม่ตื่นตระหนกหรือเสียขวัญ

แม่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาเหลือแค่เสื้อยืดคอกลมและกางเกงขาสั้น อาสาสมัคร จึงถอดเสื้อหนาวให้เด็กชาย ระหว่างที่ถอดเสื้อ อาหารมื้อเย็นของเขาที่ เก็บไว้ในเสื้อก็ตกลงมา เขาจึงยื่นอาหารนั้นให้เด็กชาย เด็กชายรับแล้วก็ ค้อมตัวลงและกล่าวคำขอบคุณ แต่แทนที่เขาจะกินอาหาร เขากลับเดิน ตรงไปยังหัวแถว แล้วนำอาหารที่ได้รับนั้นวางลงในถาดอาหารสำหรับแจก จ่ายให้ผู้อื่นที่กำลั งเข้าแถว แล้วเขาก็เ ดินกลับมาต่ อท้ายแถวตามเดิม อาสาสมัครผู้นั้นประหลาดใจมากจึงถามเด็กชายว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ ได้รับ เด็กชายตอบว่า “เพราะมีคนอีกมากที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวาง

ไว้ตรงนั้น ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กชายคนนี้ประสบกับความทุกข์แสนสาหัส แต่เขายัง มีน้ำใจนึกถึงผู้อื่น การคิดถึงผู้อื่นที่ทุกข์กว่าตน ทำให้เด็กชายเห็นความทุกข์ ของตนเองเป็นเรื่องเล็ก และสามารถยอมรับความทุกข์ได้ ใจของเรานั้นหากปล่อยให้วิบัติ สามารถทำอันตรายแก่เราได้ยิ่งกว่า ที่โจรผู้ร้ายจะทำได้ ในทางตรงข้ามหากดูแลรักษาใจให้ดี ใจก็จะกลายเป็น มิตรที่ประเสริฐที่สุดของเราได้ ไม่ว่าจะเจออันตรายร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่ หวั่นไหว หาสุขพบได้ท่ามกลางเหตุร้ายที่เกิดขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนร้าย ให้กลายเป็นดีได้

๕. มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์ ง่ายมากเท่านั้น ตรงกันข้ามการนึกถึงผู้อื่นที่ทุกข์มากกว่าเรา จะช่วยให้

เราทุกข์น้อยลง เห็นความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กกว่าเดิม สามารถทนกับ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้

ไม่มีใครหรืออะไรสามารถให้สิ่งประเสริฐแก่เราได้มากเท่ากับใจที่ วางไว้ถูก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และ ทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย” ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก มีธรรมรักษาใจ ก็จะได้พบ สิ่งที่ประเสริฐสูงสุดที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถให้ได้

อาสาสมัครผู้หนึ่งที่ไปช่วยผู้ประสบภัยในญี่ปุ่นเล่าว่า หลังจากเกิด เหตุแผ่นดินไหวได้ ๙ วัน เขาไปช่วยแจกอาหารให้แก่ผู้ประสบภัย วันนั้น แถวของคนที่รอรับอาหารนั้นยาวมาก มีเด็กชายวัย ๙ ขวบคนหนึ่งยืนอยู่ ท้ายแถว เขาจึงเดินไปคุยด้วย และทราบว่าเด็กชายได้สูญเสียทั้งพ่อและ

ดั ง นั้ น หากกลั ว ภั ย พิ บั ติ ก็ ต้ อ งเร่ ง ฝึ ก ฝนจิ ต ใจเพื่ อ ป้ อ งกั น ไม่ ใ ห้

ใจวิบัติ หมั่นใส่ใจดูแลเพื่อให้ใจกลายเป็นสมบัติอันประเสริฐสุดของเรา ถ้าหากวางใจได้อย่างนี้ ภัยพิบัติจะกลับกลายเป็นคุณต่อเรา มิใช่เป็นโทษ สถานเดียวอย่างที่ใครต่อใครกำลังหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้

14

15


ส ส ว ท.

ปรากฏการณ์ แ ผ่ น ดิ น ไหวเป็ น ปรากฏการณ์ธรรมชาติชนิดหนึ่งที่พื้นดิน

มีการสั่นไหวด้วยอิทธิพลบางอย่างที่อยู่ ใต้ผิวโลก ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ คลื่น ใต้แผ่นดินจะพุ่งไปสู่บริเวณทุกส่วนของโลก และถ้า การสั่นไหวของแผ่นดินรุนแรง อุปกรณ์ตรวจจับคลื่นที่อยู่ห่างไกล ออกไป นับหมื่นกิโลเมตรก็ยังสามารถรับคลื่นแผ่นดินไหวได้ ผู้ ค นในสมั ย โบราณมี ค วามกลั ว เหตุ ก ารณ์ แ ผ่ น ดิ น ไหวมาก กวี

โฮเมอร์ ข องกรี ก เชื่ อ ว่ า แผ่ น ดิ น ไหวเกิ ด จากการที่ เ ทพเจ้ า โพไซดอนแห่ ง

ท้ อ งทะเลลึ ก ทรงพิ โ รธ คนจี น โบราณคิ ด ว่ า แผ่ น ดิ น ไหวเกิ ด ขึ้ น เมื่ อ

พญามังกรที่อาศัยอยู่ใต้พื้นดินขยับและเคลื่อนไหวลำตัว พร้อมกันนั้นก็ได้ ส่งเสียงคำรามด้วย ส่วนคนญี่ปุ่นนั้นเชื่อว่า เวลาเทพเจ้าแห่งปลาชื่อนามาสุ สะบัดหางไปมาจะทำให้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่ธาเลสผู้เป็นปราชญ์ กรีกในสมัยพุทธกาลได้กล่าวโจมตีความเชื่อที่ว่า อะไรก็ตามที่เกิดจะต้องมี เทพเจ้าสิงสถิตอยู่ภายใน โดยเขาคิดว่า การไหลของคลื่นในมหาสมุทรอย่าง รุนแรงต่างหากที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว มนุษย์เริ่มเข้าใจปรากฏการณ์ใต้ดินนี้ “ดี” ขึ้นเมื่อประมาณ ๒๐ ปี มานี้เอง โดยได้พบว่าเวลาเกิดแผ่นดินไหว คลื่นแผ่นดินไหวทุกคลื่น จะ

ดูเสมือนเคลื่อนที่ออกมาจากตำแหน่งหนึ่งใต้ดิน ซึ่งนักธรณีวิทยาเรียก ตำแหน่งดังกล่าวนี้ว่า จุดโฟกัส ตามปกตินั้นจุดโฟกัสของคลื่นแผ่นดินไหว มักจะอยู่ลึกใต้โลกลงประมาณ ๑๕ กิโลเมตร แต่ในบางกรณี ระยะลึกของ 16

จุดโฟกัสอาจจะมากถึง ๔๐๐ กิโลเมตรก็มี นักธรณีวิทยาประมาณว่าทุกวัน จะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นบนโลกนับ ๑,๐๐๐ ครั้ง แต่คนส่วนมาก

จะไม่รู้สึก เพราะมันสั่นและแผ่วเบาจนเกินไป เมื่อเหตุผลเป็นเช่นนี้ นั่น

ก็หมายความว่า ๕๐% ของคลื่นแผ่นดินไหวอาจจะมีคนตรวจรับได้ แต่อีก ๕๐% ที่เหลือที่เกิดในบริเวณที่ไม่มีคนอาศัย ก็จะไม่มีใครรู้สึกอะไรเลย

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว จะตอบคำถามนี้ ได้เราจำเป็นต้องรู้โครงสร้างของโลกก่อนว่ามีโครงสร้างเป็นชั้นๆ คล้าย

หัวหอม เปลือกนอกสุดมีความหนาที่ไม่สม่ำเสมอเช่น บริเวณที่เป็นทวีป

จะหนา ๗๐ กิโลเมตร บริเวณที่อยู่ท้องมหาสมุทรจะหนา ๑๐ กิโลเมตร คิดเป็น ๐.๖% ของรัศมีโลกเท่านั้นเอง ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งเรียกว่าแมนเทิล ปกติคลื่นแผ่นดินไหวในเปลือกโลกจะมีความเร็วประมาณ ๗.๒ กิโลเมตร/ วินาที แต่ความเร็วของคลื่นที่ชั้นแมนเทิลสูงกว่าคือ ๘.๒ กิโลเมตร/วินาที นอกจากนี้คลื่นแผ่นดินไหวยังแบ่งออกเป็นสอง ชนิดได้แก่ คลื่นพีและคลื่นเอส (P = primary,

S = secondary) คลื่นทั้งสองชนิดเคลื่อนที่ต่าง ทิศทางกันอยู่ในชั้นหินใต้ผิวโลก การวัดเวลาที ่ ทั้ ง สองคลื่ น เดิ น ทางมาถึ ง เครื่ อ งรั บ สั ญ ญาณที่ ตำแหน่งต่างๆ บนผิวโลก จะทำให้นักธรณีวิทยา รู้ทันทีว่า จุดโฟกัสของการระเบิดอยู่ที่ใด ปัจจุบันนักธรณีวิทยาเชื่อว่าปรากฏการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นด้วย เหตุผลสองประการคือ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ และเกิดจากการ ปะทะกันหรือการแตกแยกจากกันของเปลือกโลก ความเข้าใจกลไกการ เคลื่ อ นไหวของเปลื อ กโลกได้ ท ำให้ นั ก ธรณี วิ ท ยาสามารถทำนายเวลา

ที่แผ่นดินจะไหวได้ดีขึ้นมาก โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่ต้องมีหน่วย เตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า ที่ต้องการงบดำเนินการมากถึง ๔,๐๐๐ ล้านบาท/ปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยนิด เมื่อเปรียบเทียบกับความเสียหาย

ที่จะเกิดขึ้นตามมา 17


เหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วง ๒๕ ปี ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า

แผ่ น ดิ น ไหวที่ เ มื อ งโกเบ ญี่ ปุ่ น เมื่ อ ปี พ.ศ.๒๕๓๘ ทำลายบ้ า นเมื อ ง ๒๐๐,๐๐๐ หลัง มีคนเสียชีวิต ๖,๐๐๐ คน และบาดเจ็บ ๓๔,๐๐๐ คน ที่เมืองสปีทาก ประเทศอามีเนีย ปี พ.ศ.๒๕๓๑ ล้มตายถึง ๒๕,๐๐๐

คน แต่ที่รุนแรงที่สุดที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน ปี พ.ศ.๒๕๑๙ มีคน

เสียชีวิตถึง ๒๕๐,๐๐๐ คน และบาดเจ็บร่วม ๘๐๐,๐๐๐ คน จีนต้อง

ใช้เวลานานกว่า ๑๐ ปี จึงจะฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ ต่อมาได้มีความพยายามที่จะพัฒนาหาค่าความรุนแรงของแผ่นดินไหว ในปี พ.ศ.๒๑๗๘ ริกเตอร์ (C.F. Richter) ได้คิดวิธีการแบ่งสเกลความ รุนแรง เช่น ระดับ ๒ แสดงว่า ดังและเป็นภัยเทียบเท่ากับเหตุการณ์

ฟ้าผ่า ระดับ ๔ แสดงว่า มีความเสียหายเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นระดับ ๖ รุนแรงเทียบเท่าระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา แต่ถ้าถึงขั้นระดับ ๘.๕ โลกแทบ แตก กรณีเมืองเทียนซิน ระดับ ๗.๘ แสดงว่ามีภัยเสียหายราวกับถูก ระเบิดไฮโดรเจนถล่ม จนถึงทุกวันนี้ นักธรณีวิทยายังไม่ประสบความสำเร็จในการทำนาย ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะอุบัติเมื่อใด ที่ใด ได้ดี จึงยังคงมีปัญหาที่อาจ ไม่มีใครคาดคิด สภาพพื้นที่ไม่เหมือนกัน เกิดความหายนะแตกต่างกันไป หนทางที่ป้องกันที่ดีที่สุดคือ การอพยพหนีให้ทันก่อนถล่ม หรืออยู่ในที่

ทนต่อการสั่นไหว

พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล

ข้าพเจ้าเรียนวิชาศีลธรรมครั้งแรกเมื่ออยู่ชั้น ป.๕ แม้เป็น เด็กที่ตั้งใจเรียน และสอบได้คะแนนดีจากวิชานี้มาโดยตลอด แต่ ก็ ห าได้ รู้ สึ ก ซาบซึ้ ง ในพุ ท ธศาสนาแต่ อ ย่ า งใดไม่ แค่ รู้ ว่ า พระพุ ท ธองค์ ท รงสอนให้ ค นเป็ น คนดี แ ละมี ศี ล ธรรมเท่ า นั้ น

จนเมื่อได้อ่านเรื่องกามนิต* ซึ่งเป็นหนังสือประกอบการเรียน วิชาภาษาไทยชั้น ม.ศ.๓ (หรือ ม.๔ เวลานี้) จึงเกิดความ ประทั บ ใจในพระปรี ช าญาณของพระองค์ และมี ส่ ว นอย่ า ง สำคัญที่ทำให้สนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง *กามนิต เป็นนิยายอิงพุทธประวัติ แต่งโดยคาร์ล อดอล์ฟ เจลลิรูป แปลโดย เสฐียรโกเศศ และนาคะประทีป ส่วนที่นำมาเป็นหนังสือประกอบการเรียน ตัดทอนมาเพียงครึ่งเดียว คือ “ภาคบนดิน” และเปลี่ยนชื่อเป็น วาสิฏฐี

18

19


ฉากที่ประทับใจมากที่สุด คือฉากสนทนาโต้ตอบระหว่างกามนิตกับ พระพุทธองค์ กามนิตนั้นกำลังเดินทางไปหาพระพุทธองค์โดยหารู้ไม่ว่า สมณะที่ตนกำลังพูดคุยอยู่ด้วยนั้นเป็นพระบรมศาสดา กามนิตมีความ กระหายอยากรู้เรื่องชาติหน้าหรือชีวิตหลังความตายว่าเป็นอย่างไร ขณะที่ พระพุทธองค์ทรงแนะให้กามนิตสนใจเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ กามนิต เป็ น คนฉลาดในการกล่ า วแย้ ง พระพุ ท ธองค์ แต่ ใ นที่ สุ ด ก็ จ ำนนเมื่ อ พระพุทธองค์ได้ทรงยกอุปมาอุปไมยว่า หากไฟกำลังไหม้บ้าน และบ่าว

วิ่งมาเรียกเจ้านายให้ออกจากบ้านโดยเร็ว ควรหรือไม่ที่เจ้านายจะบอกบ่าว ให้ไปดูก่อนว่าข้างนอกนั้นฝนตกหรือไม่ มีพายุหรือเปล่า ถ้าฝนไม่ตก ไม่มี พายุ ถึงจะออกจากบ้านไป ที่จริงพระพุทธองค์ทรงกล่าวอุปมาอีกหลายอย่าง ซึ่งสามารถหักล้าง คำโต้แย้งของกามนิตได้หมดสิ้น และชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ควรสนใจมากที่สุดก็ คือดับทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ แทนที่จะมัวหาคำตอบเรื่องสวรรค์ หรื อ นรก ซึ่ ง ไม่ มี ป ระโยชน์ อ ะไรนอกจากสนองความอยากรู้ อ ยากเห็ น เท่านั้น ข้าพเจ้าอ่านกามนิตตอนนี้ด้วยความรู้สึกทึ่งในความเปรื่องปราด ของพระพุทธองค์ ซึ่งไม่เคยพบในหนังสือเรียนวิชาศีลธรรม จะว่าไปแล้ว พระพุทธองค์ในกามนิตนั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตและเลือดเนื้อที่คนอ่านรู้สึก ใกล้ ชิ ด ผิ ด กั บ พระพุ ท ธองค์ ที่ เ คยรู้ จั ก จากวิ ช าศี ล ธรรมซึ่ ง ดู เ หมื อ นสิ่ ง

ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลจากความรับรู้ของเรา

นั่ น เป็ น ครั้ ง แรกก็ ว่ า ได้ ที่ ข้ า พเจ้ า มองเห็ น พระพุ ท ธองค์ ใ นฐานะ บุคคลซึ่งมีปัญญาล้ำเลิศ ซึ่งไม่เพียงฉลาดในการโต้แย้งและจูงใจผู้คน เท่ า นั้ น หากปั ญ ญาที่ พ ระองค์ มี นั้ น ยั ง สามารถดั บ ทุ ก ข์ ใ นชี วิ ต ได้ ด้ ว ย

ต่างจากปัญญาของนักวิทยาศาสตร์และผู้รู้ทั้งหลาย อันที่จริงเมื่อได้ศึกษา ต่อมาก็พบว่าปัญญาของพระองค์นั้นยังสามารถเอามาประยุกต์ใช้ในเรื่อง อื่นๆ ได้ด้วย เช่น คำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ นั้น เป็นหลักการที่สามารถเอา

ใช้แก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตและสังคมได้ โดยเริ่มจากการหาต้นตอของ ปัญหา เช่นเดียวกับการดับทุกข์ก็ต้องเริ่มต้นที่การเข้าใจสมุทัยเสียก่อน เมื่อได้อ่านงานเขียนและงานบรรยายของท่านอาจารย์พุทธทาส

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เรียนรู้มากขึ้นว่า ปัญญาชนิดที่สามารถดับทุกข์ ตามคำสอนของพระพุทธองค์นั้น ไม่ได้เกิดจากการอ่านการฟังเท่านั้น ที่ สำคัญก็คือการปฏิบัติ ซึ่งมีความหมายมากกว่าการให้ทานและรักษาศีล แต่รวมถึงการทำสมาธิภาวนาด้วย ท่านอาจารย์พุทธทาสไม่เพียงสอนหรือ พูดเท่านั้น หากยังทำให้เป็นแบบอย่าง โดยมีสวนโมกข์เป็นสถานที่ส่งเสริม สมาธิภาวนา ข้าพเจ้าเริ่มสนใจทำสมาธิภาวนามาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ ก็ไม่ได้ทำจริงจัง แม้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังทำแบบกระท่อนกระแท่น เพราะใจไม่ค่อยสงบ และขาดความมุ่งมั่น จำได้ว่าเคยไปปฏิบัติธรรมกับ เพื่อนๆ ที่ถ้ำพระโพธิสัตว์ จ.สระบุรี เป็นเวลา ๓ วัน รู้สึกว่าเป็นทุกข์มาก

20

21


เพราะถูกกลุ้มรุมทั้งความเหงา ความว้าเหว่ และความฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย เนื่องจากต่างคนต่างแยกไปปฏิบัติ เก็บวาจา แถมไม่มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน เมื่อถึงวันกลับ จึงรู้สึกดีใจมากและเข็ดขยาดการปฏิบัติธรรมแบบนี้ไปนาน หลายปี เส้นทางสมาธิภาวนาของข้าพเจ้าคงลุ่มๆ ดอนๆ ไปอีกนาน หาก

ไม่เป็นเพราะว่าชีวิตถูกความเครียดรุมเร้าจนเริ่มเสียศูนย์ นอนหลับยากขึ้น แถมทะเลาะกับคนรอบข้างเป็นอาจิณ ยามอยู่คนเดียวจะรู้สึกกระสับกระส่าย อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยหาทางแก้หลายวิธี เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ ย ว แต่ ก็ ไ ด้ ผ ลชั่ ว คราว ความรู้ ที่ มี อ ยู่ บ้ า งจากพระพุ ท ธองค์ บ อก

ตนเองว่า ปัญหาที่แท้นั้นเกิดจากจิตใจของข้าพเจ้าเอง จะเปลี่ยนที่เที่ยว

ที่ผ่อนคลายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่รู้จักทำใจให้สงบ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจลางานออกบวช ๓ เดือน เพื่อ หันมาทำสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง เดิมตั้งใจไปบวชปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อ คำเขียน สุวัณโณ แห่งวัดป่าสุคะโต ที่จังหวัดชัยภูมิ แต่ท่านแนะนำให้ไป ปฏิบัติกับอาจารย์ของท่าน คือหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ แห่งวัดสนามใน ซึ่งอยู่แค่จังหวัดนนทบุรี การสอนของหลวงพ่อเทียนนั้น เน้นการเจริญสติ การเจริญสตินั้นเป็น อย่างไร ข้าพเจ้าพอรู้บ้างจากการอ่าน หนั ง สื อ ของครู บ าอาจารย์ ห ลายท่ า น และทราบดีว่าสติปัฏฐานนั้นเป็นคำสอน สำคัญของพระพุทธองค์ ผู้รู้บางท่าน

22 22

ถือว่าการเจริญสติเป็น “หัวใจกรรมฐาน” ของพุทธศาสนาเลย ที่จริงสมาธิ ภาวนาที่ข้าพเจ้าได้ลองทำมาบ้างก็อยู่ในแนวทางนี้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ ชัดเจนจนได้มาปฏิบัติกับหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนเริ่มต้นด้วยการแนะนำให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของ กาย ต่อมาก็แนะให้รู้เมื่อมีความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้น ท่านแนะนำเพียงแค่ให้ “รู้เฉยๆ” โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับความรู้สึกนึกคิดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ที่จะทำเพียงแค่รู้เฉยๆ เพราะใจอยากจะไปกดข่มหรือห้ามความคิดเพื่อให้ หายฟุ้งซ่าน บ่อยครั้งก็จะคอยดักเฝ้าความคิดว่าเมื่อไหร่จะออกมา การทำ เช่นนั้นทำให้เครียดได้ง่าย และในที่สุดก็ทำให้ท้อ เพราะความคิดไม่เคย หยุด กลับอาละวาดหนักขึ้น แต่เมื่อทำใจปล่อยวาง ไม่หวังผล การรู้เฉยๆ ก็เกิดขึ้น สิ่งที่นึกไม่ถึงก็คือ หลังจากทำไปได้ ๓ อาทิตย์ จู่ๆ ก็เห็นความคิด และรู้ทันความคิด โดยไม่ได้ตั้งใจ สติทำงานของเขาเอง พอรู้แล้วก็วาง ความคิดนั้นไปเอง ทำให้ความคิดนั้นทำอะไรจิตใจไม่ได้นาน แม้จะเผลอ คิ ด ก็ แ ค่ แ วบเดี ย ว แล้ ว ก็ ห าย ทำให้ ใ จสงบเงี ย บขึ้ น อย่ า งเห็ น ได้ ชั ด ประหลาดใจที่เกิดความสงบเช่นนี้เพราะแต่ก่อนนั้นจิตแทบจะไม่เคยว่าง จากความคิดเลย มันส่งเสียงดังระงมแทบจะตลอดเวลา ข้าพเจ้าไม่เคยนึกมาก่อนว่าตนเองจะสามารถ “เห็น” ความคิดได้ เห็นได้ชัดว่า ความคิดกับจิตนั้นไม่ใช่อันเดียวกัน จิตนั้นคือตัวรู้ จะนึกคิด อะไรก็ตาม ก็สามารถรู้ความคิดนั้นได้ นั่นมิใช่อะไรอื่น หากเป็นเพราะ อานุภาพของสตินั่นเอง ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือเรื่อง “พลังแห่งสติ” ของ ท่านญาณโปณิกมหาเถระมาก่อน ท่านนำคำสอนของพระพุทธองค์เรื่อง

สติปัฏฐานมาอธิบายได้อย่างน่าอ่านด้วยสำนวนของคนร่วมสมัย อ่านแล้วก็ รู้สึกว่าสติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการดับทุกข์ แต่ก็เป็นแค่ความเข้าใจในระดับ สัญญาเท่านั้น เพราะไม่เคยประจักษ์แก่ใจเอง จนเมื่อได้สัมผัสอานุภาพ 23


ของสติด้วยตนเอง แม้จะเป็นแค่ส่วนเสี้ยว ของอานุภาพนั้น ก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก พร้อม กันนั้นก็อดพิศวงไม่ได้ว่าว่าพระพุทธองค์ทรง

ค้นพบพลังแห่งสติได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่าย เลยที่ใครจะค้นพบกุญแจที่ไขให้ศักยภาพอัน ยิ่งใหญ่ของสติได้พรั่งพรูออกมาจนประจักษ์ได้ สติทำให้เห็นชัดว่าคนเราทุกข์เพราะใจโดยแท้ คนอื่นหรือสิ่งอื่นนั้น เป็นส่วนประกอบเท่านั้น คำพูดหรือการกระทำของคนอื่นที่ไม่ถูกใจเรานั้น เกิดขึ้นมาได้นานหลายวันแล้ว แต่เหตุใดเรายังแค้นเคืองอยู่หากไม่ใช่เป็น เพราะใจยังหวนคิดถึงคำพูดและการกระทำนั้นๆ เหตุร้ายบางอย่างยังไม่ เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่ทำไมเราจึงกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหากไม่ใช่เป็น เพราะเราเอาแต่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงมัน ความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นสิ่งที่ใจปรุงแต่งขึ้นมา แต่แล้วใจก็ไปยึดติด กับสิ่งปรุงแต่ง และทึกทักว่าเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง สุดท้ายก็ทุกข์ไปกับสิ่งที่ ปรุงแต่งขึ้นมาเอง หาไม่ก็ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ บงการให้โศกเศร้า ร่ำไห้ คร่ำครวญ กลัดกลุ้ม น้อยใจ ฯลฯ จนร่างกายผ่ายผอม สุขภาพ ย่ำแย่ หรือถึงกับคิดสั้นทำร้ายตนเอง เป็นเพราะเราไม่รู้ทันความคิดของตัวเอง จึงถูกความคิดนั้นทำร้าย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะโทษคนอื่นว่าเป็นตัวการทำให้เรา ทุกข์ พระพุทธองค์ตรัสว่า “เมื่อมือไม่มีแผล แม้จับต้องยาพิษ ยาพิษนั้น

ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้” ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้อื่นย่อมไม่สามารถทำให้เรา ทุกข์ได้ หากใจเราเป็นปกติ ไม่ถูกกิเลสหรือความคิดปรุงแต่งครอบงำ ทำร้าย 24

สติช่วยให้เราเห็นและรู้ทันความคิดได้ไว ทำให้มันไม่สามารถครอบงำ ทำร้ายจิตใจได้ เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จะไม่สามารถทำให้เรา เป็นทุกข์ได้ หากมีสติรู้ทันความอาลัยในอดีตหรือกังวลกับอนาคต สติช่วย พาใจให้มาอยู่กับปัจจุบัน และมีความสุขในแต่ละขณะและในทุกอิริยาบถ แม้มีสิ่งไม่พึงประสงค์มากระทบ ก็รู้ทันใจที่กระเพื่อนและพาใจกลับมาสู่ ความปกติได้ ทำให้ใจสงบได้แม้รอบตัวจะอึกทึกพลุกพล่าน ใจเย็นได้แม้ อากาศจะรุ่มร้อนอบอ้าว สติไม่เพียงช่วยให้ใจสงบเย็นเท่านั้น หากยังเอื้อให้เกิดปัญญาด้วย เพราะสติช่วยให้เห็นกายและใจตามที่เป็นจริง เมื่อเดินก็รู้ว่าเดิน เมื่อคิด

ก็รู้ว่าคิด ย่อมเห็นต่อไปว่าที่เดินนั้นคือกายเดิน ที่คิดนั้นคือใจคิด ไม่ใช่ “ฉัน” เดิน หรือ “ฉัน” คิด สติเป็นปฏิปักษ์กับความยึดมั่นสำคัญหมาย

ใน “ตัวกู ของกู” เมื่อมีสติ ตัวกูของกูก็หายไป มีแต่กายกับใจ นั่น หมายความว่า เวลาปวด ก็เห็นว่ามีแต่กายที่ปวด (หรือความปวดเกิดขึ้น

ที่กาย) แต่ไม่มี “ฉัน” ผู้ปวด เวลาโกรธ ก็เห็นว่ามีแต่ใจที่โกรธ (หรือ ความโกรธเกิดขึ้นที่ใจ) แต่ไม่มี “ฉัน” ผู้โกรธ การเห็นดังกล่าวนี้เองที่จะ นำไปสู่ปัญญาจนเห็นความจริงต่อไปว่า กายและใจนี้นอกจากจะไม่เที่ยง และเป็นทุกข์แล้ว ยังไม่ใช่ “ตัวกู ของกู” ด้วย ความยึดมั่นสำคัญหมายใน “ตัวกู ของกู” นั้นเป็นรากเหง้าแห่ง ความทุกข์ ตราบใดที่ยังละวางความยึดมั่นดังกล่าวไม่ได้ ก็ยังทุกข์อยู่ร่ำไป ต่อเมื่อละวางความยึดมั่นในตัวกูของกูได้ จึงจะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง แต่

ถึงแม้จะไม่สามารถละวางความยึดมั่นดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง แต่การมีสติ

อยู่เป็นนิจ ย่อมช่วยให้ความยึดมั่นดังกล่าวไม่สามารถครองใจได้ต่อเนื่อง จนก่อความทุกข์ไม่หยุดหย่อน 25


f a c e b o o k กั บ

สำหรับข้าพเจ้า นี้คือวิชชาสำคัญสูงสุดที่ได้จากพระพุทธองค์ เรียก อีกอย่างว่า วิชชาดับทุกข์ แม้ข้าพเจ้ายังไม่เจนจบในวิชชานี้ แต่ก็ได้รับ อานิสงส์จากวิชชานี้มาก อดคิดไม่ได้ว่าหากไม่รู้วิชชานี้ จะเสียประโยชน์ มากมายสักเพียงใดจากการเกิดมาเป็นมนุษย์ วิชชานี้ช่วยให้ชีวิตเป็นอิสระ อย่างแท้จริง เพราะไม่ตกเป็นทาสของสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม แม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าความสุข ซึ่งใครๆ ล้วนแสวงหา ก็เกี่ยวข้องได้โดย

ไม่สยบมัวเมาหรือเพลิดเพลินยินดี ส่วนความทุกข์นั้น แม้ต้องประสบ เพราะเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครหนีพ้น (เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพรากทั้งหลาย) ก็อยู่กับมันได้โดยไม่เป็นทุกข์ วิชชานี้จึงช่วยให้อยู่ในโลกได้ โดยเป็นอิสระเหนือโลก เช่นเดียวกับ ดอกบัวที่เกิดในน้ำแต่อยู่พ้นน้ำ อิสรภาพดังกล่าวมิเพียงหมายถึงความ สงบเย็นในจิตใจเท่านั้น หากยังช่วยให้สามารถบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ แก่โลกได้อย่างเต็มที่เพราะปราศจากความเห็นแก่ตัว ดังมีพระพุทธองค์ ทรงเป็นแบบอย่าง เพราะเมื่อไม่มีตัวตนให้หวงแหนหรือนึกถึง จิตใจย่อม เปิดกว้างอย่างไม่มีประมาณ เกิดเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ ที่มุ่งเกื้อกูล สรรพสัตว์อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ “สงบเย็นและ เป็นประโยชน์” ดังคำของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างแท้จริง แม้ยังไม่ทราบว่าจะเรียนจบวิชชานี้เมื่อใด แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ อยู่ ข้าพเจ้าก็จะขอร่ำเรียนวิชชานี้ต่อไปไม่เลิกรา

26

ปุ จ ฉ า

ปฏิรูปพุทธศาสนา ควบคู่ไปกับการปฏิรูปสังคม

ปุจฉา Jun Yam : เหตุใด สังคมสังฆะใน อินเดีย จึงรักษาวัด หรือศาสนสถานของพุทธไม่ได้ ปัญญาสามารถป้องกันสังคมสังฆะได้เพียงไหน การ เดินทางของศาสนาพุทธไปในดินแดนอื่นแล้วปรับตัว ให้สอดคล้องการแก้ปัญหาและเข้าใจทุกข์ที่เผชิญเป็น ความงอกงาม วิธีพุทธสามารถแก้ปัญหาสังคมแต่ละ สังคมให้เหมาะแก่กาลและเทศะได้หรือไม่อย่างไร ที่ ไม่ใช่เพียงปลีกวิเวกหรือการติดสุขในสมาธิจนละทิ้ง ธรรมต่อปุถุชน หนักแน่นและฉลาดในวิถีพุทธต่อการ แก้กติกาของสังคมของปุถุชนที่ค่อยยกระดับการคิด การปรับโครงสร้างให้เหมาะแก่เวลา? กราบมนัสการค่ะ วิสัชนา พระไพศาล วิสาโล : มีคำอธิบายหลายประการที่ให้คำตอบ ว่าเหตุใดพุทธศาสนาจึงเสื่อมไปจากอินเดีย เหตุผลส่วนหนึ่งก็คือ พุทธศาสนา ในระยะหลังเน้นหนักเรื่องการถกเถียงทางอภิปรัชญามาก จนเหินห่างจาก

การปฏิบัติให้เกิดผลต่อชีวิตจิตใจอย่างแท้จริง และแยกขาดจากประชาชน มากขึ้ น เรื่ อ ยๆ การเกิ ด มหาวิ ท ยาลั ย นาลั น ทาเป็ น ทั้ ง ผลพวงและภาพ สะท้อนของปรากฏการณ์ดังกล่าว อีกทั้งพุทธศาสนาเวลานั้นพึ่งพิงการ อุปถัมภ์ของกษัตริย์มาก พระสงฆ์จึงมีชีวิตที่สุขสบาย ทำให้ไม่จำเป็น

ต้องพึ่งพาชาวบ้านทั่วไป ยิ่งพระสงฆ์ไปอยู่รวมกันในเมืองใหญ่ รวมทั้งที ่ นาลันทา ตรงกันข้ามกับชนบทซึ่งมีพระน้อยมาก พุทธศาสนาในชนบทจึง 27


อ่อนแอ พอมีการทำลายนาลันทา พระถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ศาสนาพุทธ

ก็อ่อนเปลี้ยทันที ประกอบกับความไม่มั่นคงทางด้านหลักธรรม จึงง่าย

ที่ จ ะถู ก ศาสนาฮิ น ดู ก ลื น จนแทบไม่ เ หลื อ แก่ น แท้ ข องความเป็ น พุ ท ธ

พุทธศาสนาจึงสูญหายไปจากอินเดียในที่สุด การที่พุทธศาสนาจะเจริญงอกงามในที่ใดก็ตาม สาเหตุสำคัญก็ เพราะสามารถแก้ทุกข์ทางใจของผู้คนได้ นั่นคือเหตุผลที่พุทธศาสนาเจริญ งอกงามในดินแดนแถบนี้ แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ปรับตัวไปในทางที่สนองตอบ ความต้องการส่วนอื่นด้วย เช่น ความต้องการแบบโลกๆ เช่น การมีกิน

มีใช้ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งหากตอบสนองได้โดยไม่เสียหลัก เช่น พึ่งตนเอง มีความเพียร ไม่ประมาท พุทธศาสนาก็ยังอยู่ได้และยั่งยืน แต่ถ้าเสียหลัก เมื่อใด ก็ซวดเซได้ง่าย ดังเช่น เมืองไทยตอนนี้พุทธศาสนาแปรเปลี่ยนไป คือหันมามุ่งตอบสนองความต้องการทางวัตถุเป็นหลัก (คนเข้าวัดเพราะ อยากได้โชคลาภ แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อรวยทางลัด) จึงกลายเป็นการ ปรนเปรอกิเลสของผู้คน ยิ่งกว่านั้นยังถูกครอบงำด้วยลัทธิบริโภคนิยมหรือ ความเชื่อที่งมงายไม่ส่งเสริมการพึ่งตน จึงเต็มไปด้วยประเพณีพิธีกรรม

ที่ไร้ประโยชน์มากมาย แก่นแท้ถูกลืมเลือน ขณะที่ผู้คนก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น มุ่งแสวงหาความสุขเฉพาะตน ไม่สนใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือช่วยปรับปรุง สังคมให้ดีขึ้น สังคมจึงเสื่อมถอยลง โดยที่พุทธศาสนามีบทบาทในการ กอบกู้ สั ง คมน้ อ ยมาก เพราะพุ ท ธศาสนาเองก็ อ่ อ นแอลงไปมาก ส่ ว น

พระสงฆ์เองก็สูญเสียศรัทธาของผู้คนไปไม่น้อยเพราะขาดความเป็นผู้นำ ทางสติปัญญา ตอนนี้ จึ ง จำเป็ น อย่ า งมากที่ จ ะต้ อ งช่ ว ยกั น ปฏิ รู ป พุ ท ธศาสนา

โดยเฉพาะสถาบันสงฆ์ควบคู่ไปกับการปฏิรูปสังคม เพื่อลดการเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบกัน และเพื่อนำพาชีวิตและสังคมสู่ความสงบเย็น แต่จะ ทำได้แค่ไหนเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันให้คำตอบ

28

ปุ จ ฉ า

ทำบุญกับพระหรือส่วนรวมดี ปุจฉา ไก่ ไดโนซอรัส : กราบนมัสการพระคุณเจ้า หน้าบ้านฝั่ง

ตรงข้ามมีศาลาของกรมทางหลวง ปีที่แล้วเกิดฟ้าผ่าต้นไม้ล้มทับศาลาและ เจ้าหน้าที่ได้มารื้อออกแต่ไม่มีการสร้างขึ้นทดแทน แม่มีเงินก้อนหนึ่งตั้งใจ ว่าจะทำบุญกฐิน (สี่ปีที่แล้วก็ทำแล้วครั้งหนึ่ง) คิดว่าในวัดมีทุกอย่างครบ หมดแล้วเพราะเป็นชุมชนขนาดใหญ่มีคนจองกฐินทุกปี ลูกๆ อยากให้สร้าง ศาลาริมทางให้คนได้พักมากกว่า แต่แม่คิดว่าทำบุญกฐินได้บุญมากกว่า ขอความกรุณาอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ วิสัชนา พระไพศาล วิสาโล : พุทธศาสนามองว่า การทำบุญกับคนดี มีความประพฤติดีงาม หรือผู้ที่ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ย่อมเกิดอานิสงส์ มากกว่า ดังนั้นจึง “ได้บุญ” มากกว่าทำกับคนทั่วไป ดังนั้นจึงมีความเชื่อ ว่ า ทำบุ ญ กั บ พระหรื อ กั บ วั ด นั้ น ได้ บุ ญ มากกว่ า เพราะพระเป็ น ผู้ มี ศี ล

เป็นบุคคลของส่วนรวม ทำประโยชน์แก่สังคม (ทั้งทางธรรมและทางโลก) เช่นเดียวกับวัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน อะไรที่เป็นของวัด ก็เป็นของ ชุมชนด้วย โดยเฉพาะในสมัยก่อนหรือแม้แต่ในชนบทปัจจุบัน แต่ทุกวันนี้ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง วัดสูญเสียความเป็นศูนย์กลางของ ชุมชนไป ส่วนพระก็มีบทบาทต่อส่วนรวมน้อยลง (แม้กระทั่งทางธรรม)

29


ดังนั้นการทำบุญกับพระหรือกับวัด จึงไม่ได้หมายความว่าจะเกิดประโยชน์ กว้างขวางอย่างแต่ก่อน แม้กระนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่ แต่ควรทำ อย่างมีวิจารณญาณเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม ขณะเดียวกัน

ก็ควรวางใจให้ถูกเพื่อเกิดความปีติและสงบเย็นในจิตใจ รวมทั้งเพื่อลดละ กิเลสและความเห็นแก่ตัว (เช่น ไม่ทำบุญโดยหวังรวยหรือได้โชคลาภ

อย่างเดียว) อย่ างไรก็ ต าม ไม่ ควรคิ ดว่ า การถวายเงิน ให้ พ ระหรื อ บริ จ าคเงิ น

ให้วัดเท่านั้นที่ได้บุญ การให้ทานเพื่อส่วนรวมหรือเพื่อสาธารณประโยชน์

ก็เป็นบุญเหมือนกัน บุญอย่างนี้ควรทำมากๆ เพราะทุกวันนี้ผู้คนละเลย ส่ ว นรวมมาก คิ ด ถึ ง แต่ ตั ว เองเป็ น หลั ก ดั ง นั้ น อาตมาจึ ง เห็ น ด้ ว ยกั บ

ความคิดของคุณที่อยากสร้างศาลาริมทางหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่ ก็ ไ ม่ ค วรคิ ด ว่ า ต้ อ งเลื อ กอย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง ระหว่ า งการสร้ า งที่ พั ก

คนเดินทางกับการทอดกฐิน ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่ควรทำ คนเฒ่ า คนแก่ นั้ น จะมี ใ จผู ก พั น กั บ วั ด หรื อ นึ ก ถึ ง พระเป็ น พิ เ ศษ

หากท่านอยากทอดกฐิน ลูกๆ ก็ควรอนุโมทนาด้วย แต่ควรแนะนำท่านว่า ทอดกฐินอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์สูงสุด เช่น ทอดแก่วัดที่ขาดแคลน หรือทอดเพื่อสนับสนุนการศึกษาของพระสงฆ์สามเณร เป็นต้น คนแก่เมื่อ ได้ทอดกฐินแล้วจะมีความสุขใจ ความสุขนี้สามารถเป็นประโยชน์แก่ท่าน แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต คือเมื่อระลึกนึกถึงแล้ว ก็เกิดปีติ ใจเป็นกุศล ทำให้สิ้นลมอย่างสงบได้

30

ปุ จ ฉ า

เกิดเป็น เกย์ ตุ๊ด ทอม ดี้ ผิดบาปไหม ปุจฉา ประวิทย์ ธูปแก้ว : อยากเรียนถามพระคุณเจ้านะครับว่า การ เกิดมาเป็นผู้หญิง แล้วชอบผู้หญิงด้วยกัน เป็นลักษณะทอมดี้ หรือผู้ชาย ชอบผู้ชายด้วยกัน เป็นเกย์ ตุ๊ด ผิดหลักศีลธรรมที่บัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนาหรือไม่ครับแล้วถ้าผิดคือมันมีจิตใจเป็นไปแล้วมันจะเป็นบาปมากไหม วิสัชนา พระไพศาล วิสาโล : อาตมาไม่พบว่าในพระไตรปิฎกมี

ตรงไหนที่ระบุว่าการชอบคนเพศเดียวกันนั้นเป็นบาป สิ่งที่เป็นบาปหรือ

ผิดศีลก็คือ การละเมิดศีลข้อ ๓ ซึ่งหมายถึงการล่วงละเมิดคนที่มีเจ้าของ แล้ว ที่จริงนอกจากศีลข้อ ๓ แล้วยังมีธรรมบางข้อที่ควรใส่ใจเวลามีความ สัมพันธ์ทางเพศ ไม่ว่ากับผู้ที่เป็นสามีหรือภรรยาของเรา หรือคนรักของเรา โดยชอบธรรม นั่นก็คือ “กามสังวร” คือความรู้จักประมาณในกาม ไม่ หมกมุ่นในกาม และ “สทารสันโดษ” คือความพอใจในคู่ครองของตน ใน มุมมองของพุทธศาสนา กามสังวรและสทารสันโดษนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ประเด็นที่ว่าชอบคนเพศเดียวกันหรือไม่ ปุจฉา Admin : พ่อแม่และผู้ปกครองควรวางตัวและวางใจอย่างไรครับ วิสัชนา พระไพศาล วิสาโล : สำหรับผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครอง เป็ น ธรรมดาที่ ย่ อ มไม่ ส บายใจเมื่ อ พบว่ า ลู ก ของตั ว ชอบคนเพศเดี ย วกั น

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกรงว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับ หาไม่ก็เกรงว่า ลูกของตนจะมีชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่น แต่ก็ไม่ควรมองว่าลูกของตนทำบาปหรือ มีความวิปริตผิดเพี้ยน หรือถึงกับปฏิเสธลูกของตัว ทางที่ถูกคือยอมรับ

สิ่งที่เขาเป็น และช่วยเหลือให้เขาไม่เป็นทุกข์ในสิ่งที่เขาเป็นตราบใดที่เขา ไม่ได้ทำสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมหรือเบียดเบียนผู้อื่น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เขา สามารถพัฒนาตนให้มีความเจริญงอกงามเท่าที่จะทำได้ 31


ภัยพิบัติป้องกันได้ ด้วยการช่วยกันดูแลธรรมชาติ เริ่มที่เราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน..

ใช้น้ำร้อนให้น้อยลง การต้มน้ำร้อน ใช้พลังงานสูงมาก ถ้าปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้อุณหภูมิและแรงน้ำน้อยลง จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ ๑๖๕ กิโลกรัมต่อปี

เปลี่ยนหลอดไฟ ด จากหลอดไส้เป็นหลอดประหยั ไฟหนึ่งดวง จะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ได้ ๗๕ กิโลกรัมต่อปี นำกลับมาใช้ หรือรีไซเคิลของใช้ ลดขยะได้ครึ่งหนึ่ง จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง ๑,๒๐๐ กิโลกรัมต่อปี

ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้ ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเ สีย และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เม ง ื่อไม จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ่ใช้ นับพันกิโล

รรจุภัณฑ์เยอะ บ ี ม ่ ี ท ์ ฑ ณ ั ภ ต ิ ล งผ ย ่ ี หลีกเล ์บอนไดออกไซด์ าร ค ด ล จะ % ๐ ๑ ้ ด ะไ ถ้าลดขย ี ได้ ๖๐๐ กิโลกรัมต่อป

32

ปลูกต้นไม้ ต้นไม้ ๑ ต้น จะดูดซับ คาร์บอนไดออกไซด์ได้ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม ตลอดอายุของมัน

ขับรถให้น้อยลง เดินหรือขี่จักรยานแทน ขับรถยนต์ ๗ กิโลเมตร จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ๒ กิโลก รัม

ข่าวนี้แม้จะช้าไปเพราะผลการเลือกตั้งอาจจะออกมาแล้ว แต่ข้อมูลเหล่านี้ ก็สามารถสะท้อนมุมมองคนในสังคมได้เป็นอย่างดีถึงความต้องการของคนไทย แม้ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ ๓๐ พ.ค. เอแบคโพลล์ได้เผยผลสำรวจระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ พ.ค. เรื่ อ ง ๑๓ คำถามที่ ค นไทยตอบ ใน ๑๗ จั ง หวั ด ทั่ ว ประเทศ ได้ แ ก่ กรุงเทพมหานคร จันทบุรี ลพบุรี ปทุมธานี ชลบุรี พิจิตร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ หนองคาย ชัยภูมิ สุรินทร์ อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี และ นครศรีธรรมราช ๒,๒๕๘ ตัวอย่าง พบคำตอบ ดังต่อไปนี้คือ คำถามที่ ๑ มีประโยชน์หรือไม่ ถ้าคนไทยได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ๓๐๐ บาท

ต่อวัน แต่คนไทยไม่เลิกตีกัน ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรง คนไทยที่ถูกศึกษา

ส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๖๗.๐ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” คำถามที่ ๒ มีประโยชน์หรือไม่ ถ้าคนไทยได้ดอกเบี้ย ๐% ในการซื้อบ้าน หลังแรก แต่คนไทยไม่เลิกตีกัน ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรง คนไทยที่ถูกศึกษา ส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๖๙.๖ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” คำถามที่ ๓ มีประโยชน์หรือไม่ ถ้าชาวนาไทยได้ “บัตรเครดิตชาวนา” แต่ คนไทยไม่เลิกตีกัน ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรง ผลสำรวจพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ หรือร้อยละ ๗๖.๑ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” คำถามที่ ๔ มีประโยชน์หรือไม่ ถ้าคนไทย ได้ “คนอารมณ์ดี ติดหนวด” มาเป็นฝ่ายค้าน แต่คนไทยไม่เลิกตีกัน ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรง ผลสำรวจ

พบว่า คนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๘๓.๖ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” คำถามที่ ๕ มีประโยชน์หรือไม่ ถ้าคนไทยได้ “เรียนฟรี” แต่คนไทยไม่เลิก ตีกัน ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรง คนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๖๕.๐ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” คำถามที่ ๖ ถ้าคนไทยได้ “คนเก่ง” มาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่คนไทย

ไม่เลิกตีกัน ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรงล่ะ มีประโยชน์หรือไม่ ส่วนใหญ่หรือ

ร้อยละ ๗๒.๕ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” 33


คำถามที่ ๗ ถ้าคนไทยได้ “รถไฟความเร็วสูง” แต่คนไทยไม่เลิกตีกัน

ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรง จะมีประโยชน์มั้ย พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๗๔.๑ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” คำถามที่ ๘ ถ้าคนไทยได้ “นโยบายปราบปรามยาเสพติดจริงจัง” แต่

คนไทยไม่เลิกตีกัน จะมีประโยชน์หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๕๘.๖

ตอบว่า ไม่มีประโยชน์ คำถามที่ ๙ ถ้ า ประเทศไทยมี เ ศรษฐกิ จ ดี ขึ้ น แต่ ค นไทยไม่ เ ลิ ก ตี กั น

ไม่หยุดความขัดแย้งรุนแรงล่ะ จะมีประโยชน์หรือไม่ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ ๖๖.๓ ตอบว่า “ไม่มีประโยชน์” คำถามต่อมา ถามว่า คุณคิดว่า นโยบายปรองดองให้บ้านเมืองสงบสุข หลั ง การเลื อ กตั้ ง จะมี ผ ลต่ อ การตั ด สิ น ใจในการเลื อ ก ผู้ ส มั ค ร ส.ส ของพรรค การเมืองหรือไม่ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๗๔.๘ ระบุมีผลค่อนข้าง มาก ถึง มากที่สุด แต่ที่น่าเป็นห่วง คือคำตอบของ ๓ คำถามสุดท้ายที่ค้นพบ

คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๖๘.๗ ระบุการซื้อเสียงก็มีผลจะทำให้ชนะการเลือกตั้ง ในขณะที่ร้อยละ ๓๑.๓ เท่านั้นที่ระบุไม่มีผล นอกจากนี้ ราคาค่างวดในการซื้อเสียงกันครั้งนี้ที่ค้นพบในกลุ่มประชาชน ส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๕๗.๐ คือไม่เกิน ๕๐๐ บาท ร้อยละ ๒๙.๘ ระบุอยู่ระหว่าง ๕๐๑-๑,๐๐๐ บาท และร้อยละ ๑๓.๒ ระบุมากกว่า ๑,๐๐๐ บาทขึ้นไป และ

จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่า ถ้าผู้สมัคร ส.ส. ลงพื้นที่เป็นประจำ ทำประโยชน์

ให้กับชุมชนท้องถิ่น หมั่นช่วยงานบวช งานวัด งานศพ ราคาซื้อเสียงก็จะไม่เกิน ๕๐๐ บาท แต่ถ้าไม่เคยลงพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนเลย การซื้อเสียงด้วยเงินจำนวน มากก็อาจจะไม่ชนะได้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๖๘.๗ ระบุมีการซื้อเสียงในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเอง ผอ.เอแบคโพลล์ ระบุ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนางสาวยิ่งลักษณ์

ชินวัตร กำลังเป็นบุคคลที่สังคมไทยกำลังคาดหวังสูงให้แสดงวิสัยทัศน์ต่อสาธารณชน ถึงแนวทางเสริมสร้างบ้านเมืองให้สงบสุขหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าแนวทางทำให้ บ้านเมืองสงบสุขไม่ชัดเจน สรุป ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกเขาจะได้คนเก่ง หรือนโยบายที่โดนใจพวกเขาในท่ามกลางความวุ่นวายของบ้านเมืองที่คนไทยตีกัน 34

นายธนากร คมกฤส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์หยุดการพนัน เปิดเผย ผลสำรวจ “สถานการณ์ของเด็กนักเรียนกับประสบการณ์การเล่นพนัน” เมื่อเร็วๆ นี้ จากกลุ่มตัวอย่าง ๔๑๒ คน ของโรงเรียนระดับประถมและมัธยม ใน กทม. ช่วง อายุ ๗-๑๘ ปี ชาย ๕๖% หญิง ๓๙% อื่นๆ ๒.๔% พบว่า เด็กนักเรียน ๖๔%

มีประสบการณ์เคยเล่นพนัน ทั้งในนักเรียนระดับประถมและมัธยม แต่ที่พบมาก ที่สุดคือมัธยมปลาย ส่วนการพนันที่ติดมากที่สุดคือ พนันบอล รองลงมาคือเกม ออนไลน์ ปัจจัยที่เล่นพนันฟุตบอลมากที่สุดคือเพื่อน ส่วนการพนันเกมออนไลน์

ที่เด็กเล่นมาก คือ ไพ่เท็กซัส X-shot FIFA แข่งม้า ไพ่นกกระจอก สลาฟ ไพ่

โปคเกอร์ เป็นต้น เมื่อถามถึงความถี่การเล่น ส่วนใหญ่ตอบว่านานๆ ครั้ง ใช้เงินต่อครั้ง

ไม่เกิน ๕๐ บาท วงเงินสูงสุดเคยถึง ๑๐,๐๐๐ บาท เหตุผลที่เล่นพนัน เพราะ รู้สึกสนุกสนานและท้าทาย รองลงมาเพราะเบื่อ/ไม่มีอะไรทำ นอกนั้นอยากได้เงิน เพื่อนหรือคนรอบข้าง คนใกล้ชิดยุยง/ชวน เป็นตัวกระตุ้น ประกอบกับอยากรู้ อยากลอง อยากได้เงิน นอกจากนี้ กฎหมายการพนันเก่า ล้าสมัย ไม่สามารถ จัดการปัญหาเหล่านี้ได้ ประชาชน เด็กเยาวชน รับรู้น้อย ปัญหานี้เป็นที่หนักใจ ของคนที่ทำงานดูแลเด็ก โดยสะท้อนว่าแม้แต่ภาครัฐยังมองว่าเป็นเรื่องปกติ มี ความพยายามทำให้กลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย จนรุกลามเข้าไปในระดับประถม ศึกษาแล้ว จะฝากความหวังกับพรรคการเมืองหลังเลือกตั้งเพียงใด สังคมต้อง จับตามอง กรุงเทพโพลล์ ระบุ คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่นอนน้อย ไม่ออกกำลังกาย โดยใช้เวลาว่างในการดูโทรทัศน์/ฟังวิทยุ คุยโทรศัพท์ และเล่นคอมพิวเตอร์

มากกว่า จากการสำรวจคนกรุงเทพ จำนวน ๑,๑๙๖ คน เมื่อวันที่ ๒๒-๒๕ พฤษภาคม พบว่า คนกรุงเทพฯ ร้อยละ ๔๒.๙ ไม่ได้กินอาหารวันละ ๓ มื้อ

ร้อยละ ๕๒.๑ นอนวันละไม่ถึง ๗ ชั่วโมง ร้อยละ ๑๐.๕ มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย 35


ร้อยละ ๓๒.๔ ไม่เคยตรวจสุขภาพ และร้อยละ ๒๒.๑ มีโรคประจำตัว โดยโรคที่ เป็นกันมากที่สุดอันดับแรกได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง (ร้อยละ ๕.๙) รองลงมา คือ โรคภูมิแพ้ (ร้อยละ ๔.๒) และโรคเบาหวาน (ร้อยละ ๒.๓) ตามลำดับ เมื่อ สอบถามถึงการใช้เวลาว่างพบว่าคนกรุงเทพฯ ใช้เวลาว่าง ในการดูโทรทัศน์/ฟังวิทยุ มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ ๘๘.๗ รองลงมาคือ คุยโทรศัพท์ (ร้อยละ ๖๐.๘) อ่านหนังสือ ทุกประเภท (ร้อยละ ๕๒.๘) เล่นคอมพิวเตอร์ (ร้อยละ ๔๔.๖) ออกกำลังกาย (ร้อยละ ๔๓.๒) และช้อปปิ้ง ซื้อของ เดินเล่น (ร้อยละ ๔๐.๑) ส่วนการดูแลสุขภาพ พบว่า ใช้วิธีการกินวิตามิน อาหารเสริม หรือสมุนไพร บำรุงร่างกาย (ร้อยละ ๔๑.๙) เข้าคอร์สรักษาสิว ดูแลผิวพรรณ (ร้อยละ ๑๕.๖) และเข้าฟิตเนสเพื่อลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน (ร้อยละ ๑๒.๐) รศ.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ผลการ สำรวจสุขภาพของคนไทยระหว่างปี ๒๕๕๑-๒๕๕๒ เพื่อจัดทำรายงานสุขภาพ

คนไทย ๒๕๕๔ พบว่า แนวโน้มคนไทยมีสุขภาพดีขึ้น พบว่าคนไทยมีอายุเฉลี่ย ยืนยาวขึ้น เพศชายอยู่ที่ ๖๙.๕ ปี เพศหญิงอยู่ที่ ๗๖.๓ ปี สอดคล้องกับอัตรา เสียชีวิตของวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง เฉลี่ยอยู่ที่ ๓.๒% จาก ๑๐ ปีที่แล้วอยู่ที่ ๔.๑% สาเหตุที่คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นเพราะคนไทยมีสุขภาพดีขึ้น เข้าถึงบริการ สุขภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและอุบัติเหตุยังมีอัตรา สูง ต้องเร่งหามาตรการป้องกันและแก้ไขต่อไป ขณะที่สัดส่วนแม่วัยรุ่นอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี ในรอบ ๕๐ ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น เกือบ ๓ เท่า จาก ๕.๖% ในปี ๒๕๐๑ เพิ่มเป็น ๑๕.๕% ในปี ๒๕๕๑ โดยเฉพาะ กลุ่มแม่วัยรุ่นอายุ ๑๐-๑๔ ปี มีอัตราการคลอดบุตรเพิ่มมากขึ้น หลังคำสั่งห้ามนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบของโรงเรียนวัดหนองจอก ทำให้มี ความพยายามที่จะคลี่คลายปัญหาดังกล่าวเพราะเกรงจะกลายเป็นความแตกแยก ในโรงเรียนและสังคม เรื่องนี้เกิดขึ้นสืบเนื่องมา ๗ เดือนกว่าแล้ว นับตั้งแต่ โรงเรียนมีคำสั่งออกมาดังกล่าว จนกระทั่งจะเปิดเรียนการศึกษาปี ๒๕๕๔ ในที่สุด มีข้อตกลงร่วมกันได้ 36

เรื่องดังกล่าว กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ผู้ประสานการแก้ปัญหาได้สรุปลำดับ เหตุการณ์สำคัญและความคืบหน้าว่า นับตั้งแต่ทางกลุ่มเริ่มทำหนังสือเมื่อวันที่ ๒๙ ต.ค. ๕๓ เรื่องการแต่งกายในสถานศึกษาของนักเรียนมุสลิม ถึงผู้อำนวยการ โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก เพื่อชี้แจงหลักศาสนาในเรื่องการแต่งกายของมุสลิม และข้อ กม. ที่อนุญาตการแต่งกายตามหลักศาสนาในโรงเรียนได้ หลังจากมีการ ร้องเรียนของนักเรียน ๒ คนให้ช่วยเหลือ ต่อมาวันที่ ๕ พ.ย. ผู้อำนวยการ โรงเรียนมีหนังสือระบุว่าเด็กต้องแต่งกายตามระเบียบของโรงเรียน ในวันที่ ๒๓ พ.ย. กลุ่มทำหนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีและ รมต. กระทรวงศึกษาธิการ กรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของผู้อำนวยการโรงเรียนที่สั่งห้ามนักเรียนคลุม

ฮิญาบ ซึ่งขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการที่มิได้ห้ามฯ และวันที่ ๒๘ ก.พ. ๕๔ ทางกลุ่มทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งวันที่ ๗ มี.ค. ได้เข้าพบ รมต. กระทรวงวัฒนธรรม

จึงได้ทราบว่านายกรัฐมนตรีให้ความสนใจให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว สองวันต่อมาจึงได้มีการประชุมตัวแทนที่เกี่ยวข้อง คือ กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานพุทธศาสนา ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนอกจอก โดยมี รมต. กระทรวงวัฒนธรรมเป็น ประธาน ได้ข้อสรุปว่า มติของมหาเถรสมาคมไม่ได้ห้ามนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบ โดยให้ขึ้นกับระเบียบของวัด ซึ่งโรงเรียนตั้งอยู่ในที่ดินของวัดหนองจอกและวัด

ได้ใช้สิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดินห้ามนักเรียนคลุมฮิญาบ เป็นเรื่องที่ต้องเจรจา กันเองระหว่างส่วนราชการและวัด พร้อมชี้ให้เห็นปัญหานี้เป็นปัญหาเฉพาะที่ โรงเรียน อื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัด พบว่าสามารถคลุมฮิญาบได้ ชี้คำสั่งของโรงเรียนที่ห้าม เด็กคลุมฮิญาบขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติไม่ปรากฏความคืบหน้าแต่อย่างใด แม้ว่าจะมี การติดตามทุกคณะที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงสภาผู้แทนราษฎร สิ่งที่เกิดขึ้นคือการ โยนเรื่องกลับไปกลับมาระหว่างหน่วยงาน จนกระทั่งวันที่ ๒๔ เม.ย. ทางกลุ่มได้ จัดสัมมนาเรื่อง “สิทธินักเรียนมุสลิมในโรงเรียน” เพื่อให้ความรู้กับผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ครู นักเรียน และประชาชนทั่วไป พร้อมยกตัวอย่างกรณีของโรงเรียน มัธยมวัดหนองจอกเป็นกรณีศึกษา 37


วันที่ ๒๙ เมษายน โรงเรียนได้บอกผู้ปกครองของนักเรียนที่ต้องการคลุม

ฮิญาบว่าเด็กต้องถอดผ้าคลุมฮิญาบ มิเช่นนั้นจะถูกกักตัวไว้ที่ห้องปกครอง จนกระทั่ง วันเปิดเทอม ๙ พฤษภาคม ทางกลุ่มและพี่น้องมุสลิมกว่าร้อยคนร่วมแสดงพลัง ให้กำลังใจนักเรียนที่ยืนยันว่าจะไม่ยอมทำผิดต่อหลักศาสนาในการถอดฮิญาบไป เรียนหนังสือ พร้อมกับทำหนังสือร้องเรียนไปที่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.๒๕๕๑ ที่ให้นักเรียน แต่งกายตามหลักศาสนาได้ และแจ้งความดำเนินคดีกับ ดร.ประพนธ์ หลีสิน

ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก ที่ออกคำสั่งขัดกับระเบียบกระทรวง ศึกษาธิการฯ เรื่องดังกล่าวอยู่ในความสนใจของสังคม วันที่ ๑๐ พ.ค. มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนาเรื่อง ความหลากหลายทางศาสนา และวัฒนธรรม กรณีนักเรียนมุสลิม คลุมฮิญาบในโรงเรียน ในวันเดียวกันนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมต.กระทรวง ศึกษาธิการมอบนโยบายให้แก้ปัญหา วันที่ ๑๒ พ.ค. มีการประชุมทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปว่าคำสั่งของโรงเรียนฯ ขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ แต่ ในขณะเดียวกัน นักเรียนและครูภายในโรงเรียนเกิดความขัดแย้งกัน ไม่ยอมรับ เพื่อนชาวมุสลิมโดยถูกโยงให้เชื่อมปัญหาและความรุนแรงต่างๆ แม้แต่ความไม่ สงบสุขใน ๓ จังหวัดภาคใต้ เนื่องจากโรงเรียนไม่ได้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

ในเหตุการณ์กว่า ๗ เดือนที่ผ่านมา จึงเกิดกระแสต่อต้านจากครูและนักเรียน

บางส่วน จึงมีข้อตกลงร่วมให้ตั้งกรรมการ ๓ ฝ่ายขึ้นมาแก้ปัญหาความเข้าใจกัน ประกอบด้วย ฝ่ายคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฝ่ายโรงเรียน และฝ่าย

ผู้ ป กครอง มี ที่ ป รึ ก ษาศาสนาอิ ส ลามและศาสนาพุ ท ธด้ ว ย โดยในระหว่ า งนี้ โรงเรียนต้องจัดการศึกษาในระบบการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับนักเรียนที่บ้าน โดยที่ไม่ถือว่าเด็กขาดเรียน และโรงเรียนต้องส่งแผนการเรียนให้เด็ก ซึ่งเด็กยังคง สถานะเป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกอยู่ ขั้นตอนต่างๆ เป็นการดำเนินการโดยสันติ เน้นการเจรจาทำความเข้าใจ เป็นหลักโดยตลอด แต่ยังคงกลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มพยายามบิดเบือนข้อมูลบ้าง หวังจุดกระแสความขัดแย้งทางศาสนาขึ้นในสังคมไทย จึงทำให้หลายฝ่ายเกิด ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ตั้งข้อสังเกตไว้ ตอนท้าย 38

เว็ บ ไซต์ ดิ อี โ คโนมิ ส ต์ เผยข้ อ มู ล ความไม่ เ ท่ า เที ย มของรายได้ ร ะหว่ า ง คนรวยกับคนจน ประเทศที่ไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดของโลกอยู่ในแถบละติน-

อเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ประเทศโคลัมเบีย รายได้ของคนที่รวยที่สุดสูงกว่าคนที่จน ที่สุดถึงเกือบ ๒๕ เท่า ที่จีนต่างกัน ๘ เท่า ส่วนใหญ่ในเอเซียรายได้ของคนใน ประเทศที่รวยและจนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ของไทยกลับมีความต่างกันมาก พบไทยนำโด่งสูงสุดในเอเชีย คนรวยมีรายได้มากกว่าคนจนถึง ๑๕ เท่า เป็น

เบื้องหลังของผลการวิเคราะห์ของธนาคารโลก เทปโก โตเกี ย วยอมรั บ แท่ ง เชื้ อ เพลิ ง นิ ว เคลี ย ร์ โ รงไฟฟ้ า ฟู กู ชิ ม ะ เริ่ ม หลอมละลายหลังแผ่นดินไหวไม่กี่วัน ล่าสุดพบการหลอมละลายเพิ่มเป็น ๓ เตา รัฐบาลตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนหาสาเหตุแล้ว เมื่อวันที่ ๒๔ พ.ค. บริษัทการไฟฟ้าโตเกียว (เทปโก) แถลงถึงผลวิเคราะห์ ข้อมูลล่าสุดที่ได้จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ญี่ปุ่นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ แท่งเชื้อเพลิงในเตาปฏิกรณ์หมายเลข ๒ และ ๓ หลอมละลายแล้วเป็นส่วนใหญ่ และทรุดลงมาอยู่ที่ก้นถังแรงดันครอบแท่งเชื้อเพลิง เช่นเดียวกับสถานการณ์เตา ปฏิกรณ์หมายเลข ๑ แท่งเชื้อเพลิงได้สัมผัสกับอากาศและหลอมละลายเกือบหมด แต่ยืนยันว่า อุณหภูมิในเตาปฏิกรณ์ทั้งหมดอยู่ในขีดปลอดภัย และอยู่ในสภาพ เสถียร เพราะเชื้อเพลิงที่หลอมละลายแช่อยู่ใต้น้ำแล้ว ส่วนสาเหตุนั้นอาจเกิดหลัง แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือนส่งผลให้ระบบหล่อเย็นไม่ทำงาน และระดับน้ำในเตาปฏิกรณ์ลดลงฮวบฮาบ เจ้าหน้าที่เทปโกยอมรับว่า ถังกักเก็บน้ำ เปรอะเปื้อนรังสีระดับสูงที่สูบออกจากโรงปฏิกรณ์ไปเก็บไว้นั้น ใกล้จะเต็มแล้ว ทำให้วิตกว่าน้ำเหล่านั้นอาจรั่วไหลลงสู่ทะเลอีกครั้งหนึ่ง ภาพความเสียหายของ โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ มีความชัดเจนมากขึ้น 39


เป็นไท เป็นพุทธ และเป็นสุข พระไพศาล วิสาโล เขียน ๑๕๒ หน้า ๗๕ บาท มองอย่างพุทธ พระไพศาล วิสาโล และคณะ ๑๒๐ หน้า ๗๕ บาท ฝ่าพ้นวิกฤตศีลธรรมด้วยทัศนะใหม่ พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๘๘ หน้า ๘๐ บาท แก้เงื่อน ถอดปม ความรุนแรงในสังคมไทย โดย พระไพศาล วิสาโล, ประเวศ วะสี และคณะ ๗๒ หน้า ๕๐ บาท

ระลึกถึงความตายสบายนัก พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๙๑ หน้า ๔๐ บาท สุขสุดท้ายที่ปลายทาง กรรณจริยา สุขรุ่ง เขียน ๒๓๖ หน้า ๑๙๐ บาท บทเรียนจากผู้จากไป น.พ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี และ อโนทัย เจียรสถาวงศ์ บรรณาธิการ ๑๐๐ หน้า ๑๐๐ บาท ข่ายใยมิตรภาพ จัดทำโดย เครือข่ายพุทธิกา ๘๐ หน้า ๔๐ บาท

ฉลาดทำใจ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๒๐๘ หน้า ๙๙ บาท

- ๓๐ วิธีทำบุญ - สอนลูกทำบุญ - ฉลาดทำใจ - สุขสวนกระแส - ธรรมะในงาน ธรรมะในใจ - คู่มือ การช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ด้วยวิธีแบบพุทธ - เติมเต็มชีวิตด้วยจิตอาสา - ความสุขที่ปลายจมูก เล่มละ ๑๐ บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง)

ฉลาดทำบุญ พระชาย วรธมฺโม และ พระไพศาล วิสาโล เรียบเรียง ๑๑๒ หน้า ๖๐ บาท คู่มือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ฉบับสวนโมกขพลาราม ๘๐ หน้า ๓๕ บาท เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๑ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๒๑๖ หน้า ราคา ๑๒๐ บาท เผชิญความตายอย่างสงบ เล่ม ๒ : ข้อคิดจากประสบการณ์ พระไพศาล วิสาโล และคณะ เขียน ๑๖๐ หน้า ราคา ๙๙ บาท เหนือความตาย : จากวิกฤตสู่โอกาส พระไพศาล วิสาโล เขียน/เรียบเรียง ๑๗๖ หน้า ๑๒๐ บาท

40

ความตายในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ โดย พระดุษฎี เมธังกุโร, สันต์ หัตถีรัตน์ และคณะ ๙๗ หน้า ๗๐ บาท

แนะนำ ฟังซีดี

ซีดี MP3 เผชิญความตายอย่างสงบ ชุดที่ ๑ (มี ๖ แผ่น ราคาแผ่นละ ๕๐ บาท)

ดีวีดี สู่ความสงบที่ปลายทาง บทเรียนชีวิต ในยามเจ็บป่วย แผ่นละ ๕๐ บาท

สอบถามรายละเอียดได้ที่ เครือข่ายพุทธิกา รายละเอียดการโอนเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาอรุณอมรินทร์ เลขที่ ๑๕๗-๑-๑๗๐๗๔-๓ ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย หรือ สั่งจ่ายธนาณัติในนาม นางสาวมณี ศรีเพียงจันทร์ 41 ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒ และส่งมาที่เครือข่ายพุทธิกา


ใบสมัคร/ต่ออายุสมาชิกพุทธิกา

หรือดาวโหลดใบสมัครได้ที่ www.budnet.org ชื่อผู้สมัคร................................................................................. นามสกุล............................................................................................. เพศ................................................................. อายุ.................. อาชีพ..................................................................................................... ที่อยู่จัดส่ง.......................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................

รหัสไปรษณีย์..........................................

โทรศัพท์....................................................... โทรสาร....................................................... อีเมล......................................................

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้ง ผ่านมาสามเดือน เครือข่ายพุทธิกามีกิจกรรมมากมาย หลายคนได้มาเข้าร่วมพบความสุขกัน ไปตามอัตภาพ ใครที่ยังไม่ได้แวะเวียนมา รีบสมัครร่วมกิจกรรมน่ะค่ะ เริ่มจาก... โครงการฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา เป็นโครงการที่มุ่งเน้นให้สังคม ได้เพิ่มมิติการทำบุญด้วยการเป็นอาสาสมัคร (มิใช่แต่การให้ทาน แต่เป็น บุญกิริยาวัตถุ ๑๐)

หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาคลองสาน ชื่อบัญชี นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ ๑๕๑-๐๕๙ ๗๗๔-๑

• กิจกรรมอาสาเพื่อผู้พิการทางสายตา

จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ พ.ค. เริ่มด้วยการ อบรมคนตาดี-อาสาสมัครเรียนรู้และรู้จักชีวิต ของผู้พิการทางสายตา วันที่สองจับคู่กับผู้พิการ ทางสายตาพากันไปขนดินขนทรายถมถนนที่ สำนักสงฆ์ปลายนา จ.ปทุมธานี มีผู้เข้าร่วม ๕๐ คนต่ า งพู ด ความประทั บ ใจ ดั ง ผู้ พิ ก ารทางสายตาสะท้ อ นจากใจ ระหว่างแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันว่า “ผมรู้สึกประทับใจมากครับ เพราะว่าไม่มี โอกาสได้มาแบบนี้เลย ถ้าไปเที่ยวนั้นก็บ่อยอยู่ และไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่

การได้มาทำงานจิตอาสาในวัด เรามาไม่ได้เพียงคนเดียว และต้องมีคน พามาด้วย เพราะเรามาเองไม่ได้ และผมเองก็มีโอกาสได้ทำบุญด้วย ผม ชอบมากครับ ถ้ามีโอกาส ผมก็อยากมาอีกครับ ขอบคุณมากครับ”

โปรดส่งหลักฐานการโอนและใบสมัครมายังเครือข่ายพุทธิกาด้วย สมาชิกพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓

• กิจกรรมฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสากับหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เป็นสถานที่ที่เราทำกิจกรรมประจำทุกวันอาทิตย์ที่ ๒ ของ เดือน อย่างเช่นวันที่ ๑๒ มิ.ย. ทำแชมพูและสบู่ มอบให้ศูนย์คุ้มครอง

สวัสดิภาพและพัฒนาเด็ก จ.ชลบุรี มีอาสาสมัครมาร่วมถึง ๑๖๐ คน สนุกสนานมาก มีหลากหลายความรู้สึกจากการเรียนรู้กิจกรรม

ระยะเวลา...............ปี (ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ เล่ม) เริ่มตั้งแต่ฉบับที่........................................ ประเภทสมาชิก สมัครใหม่ สมาชิกเก่า (หมายเลขสมาชิก...........................) หรือ อุปถัมภ์พระ/แม่ชี/โรงเรียน ระยะเวลา...............ปี สถานที่จัดส่ง..................................................... รหัสไปรษณีย.์ ........................................

.........................................................................................................................................................

โทรศัพท์................................................................................ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น............................................บาท โดย ธนาณัติ ตั๋วแลกเงิน เช็ค เงินสด โอนเข้าบัญชีธนาคาร สั่งจ่ายในนาม นางสาวนงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์ (ปณ.ศิริราช ๑๐๗๐๒) เช็คต่างจังหวัดเพิ่มอีก ๑๐ บาท

42

43


“สนุกดี ไม่นึกว่ามาทำแล้วจะ มีความสุขอย่างนี้ ที่สำคัญได้ทำบุญด้วย” “ได้เพื่อนใหม่ เจอคนหลายวัย มีความสุขค่ะ” “ได้สูตรการทำแชมพู-สบู่จะนำไปเผยแพร่ต่อกับชุมชน” • กิ จ กรรมรวมมิ ต รจิ ต อาสา ทุ ก วั น อาทิ ต ย์ ที่ ๓ ของเดื อ น ที่ สำนักงานเครือข่ายพุทธิกาก็มีกิจกรรม เช่น วันที่ ๑๕ พ.ค. คุณศรันย์ ไมตรีเวช นามปากกาชื่อดัง “ดังตฤณ” มาเล่าประสบการณ์ปฏิบัติธรรม จากนั้ น อาสาสมั ค รช่ ว ยกั น ทำการ์ ด POP-UP มอบให้ ต ำรวจตระเวน ชายแดนทั่วประเทศ

44

ข่าวดี ผลจากอาสาสมัคร ที่เข้าร่วมกิจกรรมแล้วมีความสุข ทั้งกับตนเองและสังคม สสส. จึง ให้การสนับสนุนโครงการฉลาด ทำบุญด้วยจิตอาสา ของเครือข่าย พุทธิกา ต่อไปอีก ๓ ปี ถือเป็น ข่าวดีในรอบปี ..ทำบุญด้วยการ เป็ น จิ ต อาสาไม่ ย ากอย่ า งที่ คิ ด เพียงมีใจและเวลา เราก็สามารถ ร่ ว มทำประโยชน์ ใ ห้ กั บ สั ง คม

ด้วยกันได้น่ะค่ะ

โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ เป็นโครงการหนึ่งที่เครือข่าย

พุทธิกาดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ในปี ๒๕๕๔ นี้ แผนงานสร้างเสริม

สุขภาพจิต สสส. จะให้การสนับสนุนโครงการย่อย ๒ ปี ชื่อ โครงการส่งเสริม บทบาทพระสงฆ์ โรงพยาบาล และชุมชน ในการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยเรื้อรัง และระยะสุดท้าย มุ่งพัฒนากลไกการทำงานดูแลผู้ป่วยระหว่างบุคลากรใน โรงพยาบาลพระสงฆ์ และชุมชน ให้กับ ๑๔ โรงพยาบาลใน ๗ จังหวัด และส่งเสริมศักยภาพการนำทางทางจิตวิญญาณให้กับพระสงฆ์จำนวน ๒๐๐ รูป โครงการสุขแท้ด้วยปัญญา กำลังเข้าสู่ โค้ ง สุ ด ท้ า ยของโครงการในปี ที่ ๓ ล่ า สุ ด จั ด กิจกรรมถอดบทเรียน มีผู้เข้าร่วม ๒๕๐ คน ผลสรุปเป็นอย่างไรบ้างดูจากรูปภาพนะคะว่าแต่ และคนเข้าสู่สุขแท้ด้วยปัญญากันปานใด สุดท้าย เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์ เ จ้ า พั ช รกิ ติ ย าภา ร่ ว มกั บ เครื อ ข่ า ยพุ ท ธิ ก า มี จุ ด

มุ่งหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพทางกายและจิตใจกับผู้ต้องขังในแดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง และผู้ต้องขังหญิงที่ ทัณฑสถานหญิงธนบุรีและ ราชบุรี กิจกรรมมี • โครงการจิตอาสาจาก แดนประหาร เป็ น กิ จ กรรมที ่ ต่อยอดจากโครงการเดิม เรื่อง เล่ า จากแดนประหาร ผู้ ต้ อ งขั ง

ได้ ใ ช้ เ วลาว่ า งให้ เ กิ ด ประโยชน์ 45


มาทำงานจิตอาสา มี ๕ กิจกรรม อาทิ เขียน อักษรเบรลล์เป็นหนังสือให้คนตาบอด ถัก ผ้าพันคอถวายพระภิกษุหรือคนชราตาม ต่างจังหวัดในหน้าหนาว ทำหมวกให้เด็ก ป่วยมะเร็ง ทำหุ่นมือให้โรงเรียนทุรกันดาร ในต่างจังหวัด ทำการ์ดให้กำลังใจผู้ป่วยตาม โรงพยาบาลต่างๆ • โครงการเรื่องเล่าจากแดนหญิง เป็นกิจกรรมจัดอบรมการเขียน สารคดีให้กับผู้ต้องขังหญิง ที่เรือนจำกลางราชบุรี จำนวน ๓๐ คน โดย อรสม สุทธิสาคร วิวัฒน์ พันธวุฒิวิทยานนท์ และวีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง (๓๐ มิ.ย. - ๓๑ ส.ค.) • โครงการพั ฒ นากายใจด้ ว ยเมล็ ด พั น ธุ์ แ ห่ ง รั ก และกรุ ณ า มุ่ ง พัฒนาคุณค่าตนเองของผู้ต้องขังหญิงที่อยู่ในทัณฑสถาน (ธนบุรี และ ราชบุรี) ให้เขาตระหนักถึงศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทาง สร้างสรรค์ได้ สามารถมีชีวิตที่อิสระ หลุดพ้นจากพันธนาการของความ

เชื่อ กิเลสของสังคมบริโภคนิยมที่ติดมากับตนเอง เชื่อว่าเธอเหล่านั้นเป็น คนที่มีคุณภาพของสังคมได้ เป็นกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการต่อเนื่อง ๔ ครั้งๆ ละ ๔ วัน จัดแห่งละ ๔๐ คน เริ่ม เม.ย. ๕๔ - มี.ค. ๕๕ ท้ายสุดข่าววงใน คนในเครือข่ายพุทธิกาเองไป โครงการปฏิบัติ ธรรมเข้าพรรษา เย็นฤดีจะมาเล่าประสบการณ์ว่าพวกเราเป็นอย่างไรกันบ้าง สวัสดีและพบกันใหม่ฉบับหน้า เย็นฤดี 46

เครือข่ายพุทธิกา

เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม การรักษาพระศาสนาให้ยั่งยืนนั้นมิใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่งหรือบุคคล กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ทั้งมิใช่เป็นความรับผิดชอบที่จำกัดอยู่กับพระสงฆ์หรือ รัฐบาลเท่านั้น หากเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนและเป็นความรับผิดชอบที่พระ-

พุ ท ธองค์ ท รงมอบให้ แ ก่ พุ ท ธบริ ษั ท ทั้ ง หลาย ดั ง นั้ น เมื่ อ ถึ ง คราวที่ พุ ท ธศาสนา ประสบวิกฤต จึงควรที่ชาวพุทธทุกคนจะร่วมมืออย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อ ฟื้นฟูพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามและกลับมามีความหมายต่อสังคมไทย รวมทั้ง ยังประโยชน์แก่สังคมโลก ด้วยเหตุนี้ “เครือข่ายพุทธิกา” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการมีองค์กร ประสานงานในภาคประชาชน สำหรับการเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการฟื้นฟูพุทธศาสนา อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เครือข่ายพุทธิกา ประกอบด้วยองค์กรสมาชิก ๙ องค์กร ได้แก่ มูลนิธิ โกมลคีมทอง, มูลนิธิเด็ก, มูลนิธิพุทธธรรม, มูลนิธิสุขภาพไทย, มูลนิธิสานแสงอรุณ, มูลนิธิสายใยแผ่นดิน, เสมสิกขาลัย, มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และเสขิยธรรม แนวทางการดำเนินงาน ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในระดับ บุคคล และสังคม หลักธรรมสำคัญเรื่องหนึ่งคือ “บุญ” บ่อยครั้งการทำบุญใน ปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร ทั้งๆ ที่หลักธรรมข้อนี้นำมาใช้ในการ สร้างสรรค์ชีวิตและสังคมที่ดีงาม จึงผลิตโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา และโครงการ เผชิญความตายอย่างสงบ จัดเป็นกิจกรรมและมีงานเผยแพร่ สถานที่ติดต่อ เครือข่ายพุทธิกา ๔๕/๔ ซอยอรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๒-๕๐๔๓ อีเมล์ b_netmail@yahoo.com • http://www.budnet.org . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ก า ร ฟื้ น ฟู พุ ท ธ ศ า ส น า ป ร ะ ช า ช น ต้ อ ง มี ส่ ว น ร่ ว ม 47


จดหมายข่าวพุทธิกา ๔๕/๔ ซ.อรุณอมรินทร์ ๓๙ (เหล่าลดา) ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๘๘๒-๔๓๘๗, ๐-๒๘๘๖-๐๘๖๓

จดหมายข่าวฉบับ พุทธิกา ๏ จัดทำโดย เครือข่ายพุทธิกา ๏ บรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณา สุพจน์ อัศวพันธ์ธนกุล ๏ สาราณียกร พระไพศาล วิสาโล ๏ กองสาราณียกร นงลักษณ์ ตรงศีลสัตย์, มณี ศรีเพียงจันทร์, พรทิพย์ ฝนหว่านไฟ, ณพร นัยสันทัด ๏ ปก สรรค์ภพ ตรงศีลสัตย์ : รูปเล่ม น้ำมนต์ ๏ อัตราค่าสมาชิก ปีละ ๑๐๐ บาท จำนวน ๔ ฉบับ วิธีสั่งจ่ายหรือโอนเงินดูในใบสมัครภายในเล่ม

กรุณาส่ง

สิ่งตีพิมพ์

๏ บุคคลหรือองค์กรใดสนใจจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ “ฉลาดทำบุญ” เพื่อแจกจ่ายแก่วัด ห้องสมุด

โรงเรียน เด็กและเยาวชน หรือในงานสาธารณกุศลอื่นๆ ผู้จัดพิมพ์ยินดีดำเนินการจัดพิมพ์ให้ใน

ราคาทุน หรือกรณีสั่งซื้อจำนวนมากตั้งแต่ ๑๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๐% ๒๐๐ เล่มขึ้นไปลด ๓๕%

โปรดติดต่อเครือข่ายพุทธิกา ๏ กิจกรรมเครือข่ายพุทธิกามีให้ร่วมน่าสนใจมากมาย : จิตอาสา, อาสาข้างเตียง, สุขแท้ด้วยปัญญา ฯลฯ ๏ สมัครสมาชิกพุทธิกา ๑๐๐ บาท ได้รับ • จดหมายข่าวพุทธิกา รายสามเดือน ๑ ปี ๔ ฉบับ • ซื้อหนังสือเครือข่ายพุทธิกาลดทันที ๓๐ % • ซื้อหนังสือสำนักพิมพ์อื่น ลด ๑๐ % (เฉพาะที่เครือข่ายพุทธิกา) • รับรู้ข่าวสารและเข้าร่วมกิจกรรมเครือข่ายพุทธิกาได้ก่อนใคร สนใจสมัครด่วน ได้รับ “รู้ใจไกลทุกข์” เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล หนังสือใหม่ ฟรี! ช้าหมด


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.