หน่วยที่ 8 เครือข่ายอินเตอร์เน็ต

Page 1

หน่ วยที่ 8 เครือข่ายอินเตอร์ เน็ต ความรู้ เบือ้ งต้นเกีย่ วกับอินเทอร์ เน็ต อินเทอร์ เน็ต (Internet) เป็ นเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ท ัว่ โลก เข้าด้วยกัน เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่าไซเบอร์สเปซ (Cyberspace) อินเทอร์ เน็ต ทำาให้การเคลื่อนย้ายและส่ งผ่าน ข่าวสาร ข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งกระทำาได้โดยง่ายโดยไม่จาำ กัดเรื่ องระยะทางและเวลา สามารถส่ ง ข้อมูลได้หลากหลายรู ป แบบเช่น ส่งเป็ นแบบข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสี ยงโดยอาศัยเครื อข่าย โทรคมนาคมเป็ นตัวเชื่อมต่อ เครื อข่ายการเชื่อมโยงเครื อข่ายจะใช้เครื อข่ายสื่ อสารโทรคมนาคม เช่น สาย สัญญาณโทรศัพท์ ใยแก้วนำาแสง (Fiber Optic) สัญญาณไมโครเวฟ และสัญญาณจากดาวเทียม เป็ นต้น ทำาให้การส่ งผ่านข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ หนึ่งเป็ นไปด้วยความรวดเร็ วอินเทอร์ เน็ตเป็ นแหล่งรวบรวม ข้อมูลแหล่งใหญ่ที่สุดของโลกและเป็ นที่รวมทั้งบริ การ และเครื่ องมือสื บค้นข้อมูลหลายประเภทจึงกล่าวได้ ว่าอินเทอร์ เน็ตเป็ นเครื่ องมือสำาคัญ อย่างหนึ่งในการประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งในระดับบุคคล และองค์กร อินเทอร์ เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื อ ข่ายหลายๆ เครื อข่ายทัว่ โลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ ที่เรี ยกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผูใ้ ช้เครื อข่ายนี้ สามารถสื่ อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล์ เว็บบอร์ ด และสามารถ สื บค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้ มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้ อินเทอร์เน็ตไม่มีใครเป็ นเจ้าของหรื อควบคุมดูแลอย่างแท้จริ ง เครื อข่ายแต่ละส่ วนในอินเทอร์ เน็ตต่าง บริ หารเครื อข่ายของตนเอง อย่างเป็ นอิสระ โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายติดตั้งระบบและการเช่าวงจรสื่ อสารเพื่อ ต่อเชื่อมเข้าด้วยกัน แต่ในทางปฏิบตั ิแล้ว อินเทอร์ เน็ตมีองค์กรระหว่างประเทศที่จดั ตั้งขึ้นเพื่อประสานความ ร่ วมมือระหว่างสมาชิกองค์การนี้ ได้แก่ สมาคมอินเทอร์ เน็ต ISOC (Internet Society)ISOC เป็ นองค์กรเพื่อ ความร่ วมมือและประสานงานของสมาชิกอินเทอร์ เน็ต ระหว่างประเทศ เป็ นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำาไร และ มีนโยบายสนับสนุนการใช้อินเทอร์เน็ตเป็ นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งสำาหรับการศึกษาและงานวิจยั และ ทำาหน้าที่ส่งเสริ มและเผยแพร่ ความรู้ให้แก่ผใู ้ ช้อินเทอร์ เน็ตทัว่ ไป ISOC ยังทำาหน้าที่ในการพัฒนามาตรฐาน และเทคโนโลยี เพื่อใช้ในอินเทอร์เน็ต ภายใน ISOC มีคณะทำางานอาสาสมัคร ร่ วมวางแนวทางพัฒนา อินเทอร์ เน็ต ให้สมาชิกถือปฏิบตั ิ แต่ไม่มีหน้าที่ดูแลหรื อควบคุมการบริ หารเครื อข่ายแต่อย่างใด


อินเทอร์ เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครื อข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็ นเครื อข่ายสำานักงานโครงการวิจยั ชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศ สหรัฐอเมริ กา โดยมีวตั ถุประสงค์หลักของการสร้างเครื อข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ สามารถเชื่อมต่อ และมี ปฏิสมั พันธ์กนั ได้ เครื อข่าย ARPANET ถือเป็ นเครื อข่ายเริ่ มแรก ซึ่ งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็ นเครื อข่าย อินเทอร์ เน็ตในปัจจุบนั ต้ นกำาเนิดของอินเตอร์ เน็ต - จุดกำาเนิดของอินเตอร์เน็ตเริ่ มในทศวรรษที่ 1960 ในสมัยนั้นมีการใช้คอมพิวเตอร์ เมนเฟรม (mainframe) อย่างแพร่ หลาย ส่วนคอมพิวเตอร์ แบบพีซียงั ไม่มี ความคิดที่พยายามทำาให้คอมพิวเตอร์ เมนเฟรมทั้งหลายสามารถติดต่อสื่ อสารกันได้ ทั้งระยะใกล้และระยะไกลนั้นเป็ นเรื่ องใหม่ในยุคนั้น และ เนื่องจากยุคนั้นเป็ นยุคของสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริ กาและสหภาพโซเวียตด้วย ทางกระทรวง กลาโหมสหรัฐจึงเห็นว่าการติดต่อสื่ อสารกันได้ระหว่างคอมพิวเตอร์ ถือได้วา่ มีประโยชน์ดา้ นทหาร - เพื่อให้ความคิดนี้ เป็ นจริ ง ดังนั้นในปี ค.ศ 1968 หน่วยงานที่ชื่ออาร์ พา (Advance Research Project Agency , ARPA ) ของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริ กา (U.S Department of Defense, DOD) จึงมี โครงการที่จะทำาการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่อยูใ่ นสถานที่ต่าง ๆเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถติดต่อสื่ อสารกัน ได้และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ในช่วงแรกทำาการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ จากสี่ สถานที่ดว้ ยกันคือสถาบันวิจยั ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด (SRI International) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์ เนียที่ลอสแองเจลิส (University of California, Los Angeles(UCLA)) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์ เนียที่ซานตาบาร์ บารา(University of California, Santa Barbara(UCSB)) มหาวิทยาลัยยูทาห์ (University of Utah)

องค์ ประกอบของระบบเครือข่ ายอินเทอร์ เน็ต


องค์ประกอบของระบบเครื อข่ายอินเทอร์เน็ต หมายถึง ส่ วนประกอบสำาคัญที่ทาำ ให้การสื่ อสารผ่านระบบ เครื อข่าย อินเทอร์เน็ต เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ เนื่องจากอินเทอร์ เน็ตเป็ นเครื อข่ายระดับโลก เป็ นเครื อข่ายสาธารณะ ที่เกี่ยวข้องกับ คอมพิวเตอร์จาำ นวนมาก จึงมีรูปแบบการเชื่อมโยงข้อมูลเฉพาะของตนเอง องค์ประกอบของ ระบบเครื อข่ายอินเทอร์เน็ต มี 5 ส่วนดังนี้ 1.ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) หมายถึง ตัวเครื่ องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ เช่น เครื่ องพิมพ์ กล้องดิจิทลั และลำาโพงเป็ นต้น คอมพิวเตอร์ จะต้องมีคุณสมบัติพร้อมสำาหรับการเชื่อม โยงเข้ากับเครื อข่าย แบ่งเป็ น 2 กลุ่ม คือ 1.1 คอมพิวเตอร์ แม่ข่าย (Server) หรื อ โฮสต์ (Host) ได้แก่ คอมพิวเตอร์ ศนู ย์กลางทำาหน้าที่ให้บริ การข้อมูล และประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากคอมพิวเตอร์ อื่น ๆ โดย ทัว่ ไปต้องเป็ นเครื่ องคุณภาพสูง เพื่อรองรับการถ่ายโอนข้อมูล จำานวนมาก 1.2 คอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) ได้แก่ คอมพิวเตอร์ ทวั่ ไปที่รับ-ส่ งข้อมูลมากจากเครื่ องแม่ข่าย อาจจะเป็ น เครื่ องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ เครื่ องโน๊ตบุค๊ เครื่ องแลปท็อป ฯลฯ ผูใ้ ช้บริ การอินเทอร์ เน็ตทัว่ ไป ก็จดั เป็ น เครื่ องลูกข่ายทั้งสิ้ น 2. ตัวกลางและอุปกรณ์ การสื่อสาร (Communication Device) หมายถึงอุปกรณ์สาำ หรับเชื่อมต่อ ระหว่าง คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรื อส่วนกลางกับคอมพิวเตอร์ ลูกข่าย เป็ นช่องทางสำาหรับการรับ-ส่ งข้อมูล ประกอบด้วย 2.1 โมเด็ม (Modem) เป็ นอุปกรณ์ที่ทาำ หน้าที่เปลี่ยนรู ปแบบสัญญาณข้อมูลระหว่างอะนาล็อกและ ดิจิทลั ความเร็ วในการส่ งผ่านข้อมูลของโมเด็มมีหน่วยเป็ นบิตต่อนาที (bps) โมเด็มที่มีอตั ราความเร็ วบิตต่อ นาทีสูง เช่น 512 mbps จะรับ-ส่ งข้อมูลได้ดีกว่าโมเด็มขนาด 128 mbps 2.2 สายโทรศัพท์ (Telephone) หมายถึง ระบบโทรศัพท์ทวั่ ไปซึ่ งสามารถนำาเอาสายสัญญาณเสี ยบ เข้ากับช่องสำาหรับเสี ยบสายเชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์ 2.3 สายใยแก้วนำาแสง (Optical Fiber) เป็ นสายสัญญาณอีกชนิดหนึ่งที่ทาำ จากเส้นใยพิเศษที่สามารถ รับ-ส่ งข้อมูลได้ดีกว่าสายโทรศัพท์ทวั่ ไป 2.4 คลื่นวิทยุและดาวเทียม (Microwave and Satellite) เป็ นระบบการสื่ อสารโดยใช้คลื่นวิทยุและ คลื่นไมโครเวฟรับ-ส่งสัญญาณแบบไร้สายจากดาวเทียม

3. มาตรฐานการควบคุมและการส่ งผ่ านข้ อมูลบนเครือข่ ายอินเทอร์ เน็ต (Control/Internet Protocal) หมายถึง มาตรฐานที่ใช้ควบคุมและกำาหนดเงื่อนไขในการรับ-ส่ งข้อมูลผ่านเครื อข่าย


อินเทอร์ เน็ต ได้แก่ 3.1 มาตรฐานทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocal/Internet Protocal)เป็ น โพรโตคอลมาตรฐานสำาหรับรับ-ส่ งข้อมูลของเครื อข่ายอินเทอร์ เน็ต 3.2 มาตรฐานเฮชทีทีพี (HTTP : Hypertext transfer protocol) เป็ นมาตรฐานสำาหรับการสื บค้นข้อ มูลชนิดไฮเปอร์เท็กซ์ (HTML) กำาหนดและควบคุมวิธีการสื่ อสาร ผ่านโปรแกรมสำาหรับติดต่ออินเทอร์ เน็ต หรื อเบราว์เซอร์ (Browser) กับเครื่ องแม่ข่ายหรื อเว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) 3.3 มาตรฐานเอฟทีพี (FTP : File Transfer Protocal ) เป็ นมาตรฐานที่ใช้ในการควบคุมและกำาหนด วิธีการ โอนย้ายแฟ้ มข้อมูล 4. โปรแกรมสำาหรับติดต่ ออินเทอร์ เน็ต (Internet Browser Program) ได้แก่โปรแกรมที่ใช้อา่ นข้อ มูลไฮเปอร์ เท็กซ์ตามมาตรฐานเฮชทีเอ็มแอล (HTML) หรื อเรี ยกว่าเบราว์เซอร์ เช่น Internet Explorer , Mozilla Firfox , Netscape Navigator และ Opera เป็ นต้น เบราว์เซอร์ ทาำ หน้าที่อา่ นข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เสมือนอ่านหนังสื อทีละหน้า สามารถแสดงผลได้ท้ งั ข้อความ ภาพ เสี ยง และอื่น ๆ 5. ผู้ให้ บริการอินเทอร์ เน็ตหรือไอเอสพี (ISP : Internet Service Provider) หมายถึงหน่วยงาน หรื อ องค์กร ผูท้ ี่ให้บริ การอินเทอร์เน็ตแก่บุคคลทัว่ ไป โดยผูใ้ ห้บริ การแต่ละรายจะเป็ นสมาชิกของเครื อข่าย ระดับประเทศนั้น ๆ แล้วเชื่อมโยงไปยังประเทศต่าง ๆ สำาหรับผูใ้ ห้บริ การอินเทอร์ เน็ตรายสำาคัญหรื อราย ใหญ่ที่สุด ของไทย คือ การสื่ อสารแห่งประเทศไทย หรื อ กสท. การติดต่ อสื่ อสารผ่ านอินเทอร์ เน็ตมีหลายแบบดังนี้ 1. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรื ออีเมล (E-mail หรื อ Electronic mail) บริ การส่ งจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ โดยการพิมพ์จดหมายในคอมพิวเตอร์ แล้วส่ งผ่านสายโทรศัพท์ หรื อสายแลน ในองค์กรไป ให้ผรู ้ ับโดยไม่ใช้แสตมป์ และส่วนใหญ่จะถึงผูร้ ับในเกือบทันที สามารถส่ งภาพ หรื อเสี ยง แม้แต่แฟ้ มวีดิโอ ได้ 2. เว็บไซต์ (Web site) และบริ การสื บค้น (Search engine) นายเบอร์ เนอร์ ลี แห่ งองค์กรเพื่อการวิจยั นิวเคลียร์ แห่ งยุโรปหรื อ เซิร์น ได้พฒั นาโพรโทคอล ชื่อ เอชทีทีพี (HTTP)ขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2533 ทำาให้เกิด บริ การเวิลด์ ไวด์ เว็บ(WWW : World Wide Web)ที่สามารถเปิ ดดูขอ้ มูลได้ท้ งั ภาพและเสี ยง จึงเป็ นจุดเริ่ ม ต้นที่ทาำ ให้เกิดเว็บไซต์อย่างทุกวันนี้ เมื่อต้องการข้อมูลก็เข้าไปยังเว็บไซต์เพื่อหาข้อมูลได้ จึงกลายเป็ นสิ่ ง จำาเป็ นเพราะสะดวกและเร็ ว ปัจจุบนั เว็บไซต์สาำ หรับให้บริ การ สื บค้นที่นิยมใช้มากที่สุด คือ www.google.co.th ซึ่งเป็ นบริ การที่ทาำ ให้ทราบว่าเว็บใดมีขอ้ มูลตามคำาสำาคัญ (Keyword)ที่ระบุ โดย


ค้นหาได้ท้ งั ข้อมูลประเภทเว็บไซต์ ภาพ และแฟ้ มข้อมูลเว็บไซต์ (Web site)หมายถึง แหล่งรวมเว็บเพจ ทั้งหมด โฮมเพจ (Home page) หมายถึง เว็บเพจหน้าแรก โดยปกติจะหมายถึงแฟ้ ม index.html เว็บเพจ (Webpage) หมายถึง หน้าเอกสารข้อมูลแต่ละหน้า ที่อยูใ่ นเว็บไซต์ เช่น กระดานข่าว ข้อมูลหลักสูตร หรื อ ข้อมูลบุคลากร เป็ นต้น 3. ไออาร์ซี (IRC – Internet relay caht) เป็ นบริ การที่ทาำ ให้คนทัว่ โลกสามารถคุยผ่านคอมพิวเตอร์ พร้อมกันได้หลายคน หรื อคุยกันเพียง 2 คนก็ได้ โดยเลือกห้องสนทนา 4. วินโดว์ไลฟ์ เมสเซนเจอร์ (Windows Live Messenger) ผูใ้ ช้มกั เรี ยกสั้นๆว่า เอ็มเอสเอ็น หรื อ เอ็ม ตามชื่อเดิม วินโดวส์ไลฟ์ เมสเซนเจอร์ โปรแกรมเอ็มเอสเอ็นมีฟังก์ชนั หลายอย่าง เช่น Sharing folders ใช้ สำาหรับแบ่งปันข้อมูลหรื อไฟล์ที่ตอ้ งการให้กบั บุคคลที่ตอ้ งการโดยการสร้างโฟลเดอร์ข้ึ นมา 5. พาณิชย์อิเล็กทรกนิกส์ (e-Commerce) เป็ นการใช้ประโยชน์จากอิเล็กทรอนิกส์เพื่อทำาให้บรรลุ เป้ าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายและครอบคลุมรู ปแบบทางการเงิน ในปั จจุบนั เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การค้าอิเล็กทรอนิกส์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ไปรษณี ยอ์ ิเล็กทรอนิกส์ และการประชุมทางไกล เป็ นต้น 6. การเรี ยนรู้ผา่ นสื่ ออิเล็กทรอนิกส์ (E-learning หรื อ Electronic learning) บริ การที่เปิ ดโอกาสให้ผู ้ เรี ยนสามารถเรี ยนหนังสื อโดยไม่จาำ เป็ นต้องไปนัง่ ในชั้นเรี ยนแต่ใช้คอมพิวเตอร์ เป็ นสื่ อ จะเรี ยนที่ไหน (Anywhere) เมื่อใด (Anytime) ก็ได้ ผูเ้ รี ยนสามารถเรี ยนรู ้ดว้ ยตนเองอย่างเป็ นขั้นตอนตามบทเรี ยนรู ้ หาก สงสัยก็สามารถติดต่อสอบถามจนเข้าใจและมีการสอบวัดผลเพื่อประเมินผลการเรี ยนรู ้ 7. ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ (E-banking หรื อ Electronic Banking) เป็ นการทำาธุรกรรมทางการเงิน ของธนาคาร หรื อหน่วยงานอื่น ๆ โดยใช้ระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยมากขึ้ น นอกจากการไป ติดต่อด้วยตนเองที่ธนาคารหรื อ การทำารายการจากตูเ้ อทีเอ็ม ทุกวันนี้ ลูกค้าสามารถใช้โทรศัพท์มือถือ สำาหรับติดต่อเพื่อชำาระค่าสิ นค้า และบริ การ ธนาคาร หลายแห่ งให้บริ การโอนเงินระหว่างบัญชีผา่ น อินเทอร์ เน็ต บริ การตรวจสอบยอดบัญชีเงินฝาก หน่วยงานนาชกาบางแห่ ง เช่น กรมสรรพากรเปิ ดให้มีการ ยืน่ แบบฟอร์ มชำาระภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 91 ทางอินเทอร์ เน็ตซึ่ งอำานวยความสะดวกให้กบั ประชาชนอย่างมาก

8. โทรศัพท์อินเทอร์เน็ต (Internet Phone) เป็ นการสื่ อสารทางเสี ยงผ่านโครงข่ายอินเทอร์ เน็ต โดย แปลงสัญญาณเสี ยงให้เป็ นแพ็กเกตข้อมูลเพื่อส่ งผ่านเครื อข่ายอินเทอร์ เน็ตเหมือนข้อมูลอื่น คุณภาพเสี ยงมี


ความชัดเจนเหมือน โทรศัพท์บา้ นปกติ เป็ นบริ การที่มีราคาถูก โดยเฉพาะการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศเพราะไม่ตอ้ ง ชำาระค่าบริ การเป็ นรายนาที หรื อรายชัว่ โมง หากแต่เป็ นการใช้โปรแกรมโทรศัพท์ผา่ นอินเทอร์ เน็ต เช่น Skype หรื อ Net2Phone เป็ นตัวกลางในการสื่ อสาร จึงชำาระเฉพาะค่าบริ การอินเทอร์ เน็ตเท่านั้น 9. เกมส์ออนไลน์ (Game Online) ปั จจุบนั เกมส์คอมพิวเตอร์ ได้รับการพัฒนามาก ไม่จาำ เป็ นต้องไป ซื้อโปรแกรมเกมส์จากร้าน มาติดตั้งในเครื่ องอีกต่อไป เพราะสามารถเลือกเล่นเกมส์ผา่ นระบบอินเทอร์ เน็ต ได้ทนั ที ซึ่งก็มีเว็บไซต์ที่ให้บริ การจำานวนมาก 10. ปรับปรุ งซอฟต์แวร์ให้ทนั สมัย (Software Updating) ปั จจุบนั เมื่อซื้ อโปรแกรมมาใช้งาน ผูใ้ ช้ สามารถปรับปรุ ง หรื ออัพเดท (update) ซอฟต์แวร์โปรแกรมผ่านระบบอินเทอร์ เน็ตได้ เพราะโปรแกรมต่าง ๆ มักมีการ ปรับปรุ งเสมอ 11. บริ การกระดานข่าว (Usenet news) เป็ นบริ การที่มีมาตั้งแต่ยคุ แรกของอินเทอร์ เน็ต และยังมีการ ให้บริ การอยูจ่ นปัจจุบนั แต่ผใู้ ช้ส่วนใหญ่ไม่ทราบ เพราะการใช้งานกระดานข่าวในเว็บไซต์สะดวกกว่า สำาหรับกระดานข่าวที่ได้รับความนิยมของไทยคือ www. soc.culture.thai ถ้าต้องการคำาตอบที่เกี่ยวข้องกับ สังคมไทย เมื่อส่ งคำาถามไปที่ www.news:soc.culture.thai อาจจะมีคนตอบและตรงตามความต้องการ ปั จจุบนั โปรแกรมที่นิยมนำามาใช้อ่าน usenet news คือ Outlook express ถ้าใช้ เบราว์เซอร์ ไออี (IE : Internet explorer) เมื่อพิมพ์ new:soc.coulture.thai จะเป็ นการเปิ ดโปรแกรม Outlook และ download หัวข้อข่าวจาก เครื่ องบริ การข่าว 12. เอฟทีพี (FTP – File Transfer Protocol) เอฟทีพี คือ การรับ-ส่ งแฟ้ มไปยังเครื่ องให้บริ การ โปร แกรมเอฟทีพีที่นิยมใช้คือ WS_FTP และ CUTE_FTP ที่ทาำ ให้การส่ งแฟ้ มหลายแฟ้ มไปยังเครื่ องบริ การได้ สะดวกต่างกับการ Upload หรื อ Download แฟ้ มที่จาำ กัดจำานวนแฟ้ มในการส่ งต่อครั้ง 13. เทลเน็ต (Telnet) หรื อเอสเอสเอช เทลเน็ต (Ssh Telnet) เป็ นโปรแกรมที่ใช้ติดต่อเข้าไปทำางาน ในเครื่ องบริ การ ที่ติดตั้งระบบปฏิบตั ิการยูนิกซ์ หรื อลีนุกซ์ ปั จจุบนั การใช้โปรแกรมนี้ เริ่ มลดลง เพราะมีจุด ด้วยเรื่ องความปลอดภัย วิธีแก้แก้ไขคือ ใช้โปรแกรม Ssh (Secure Shell) ซึ่งเข้ารหัสข้อมูลก่อนส่ ง ทำาให้ผู ้ ลักลอบไม่สามารถเห็นข้อมูลที่แท้จริ ง 14. สังคมเครื อข่าย (Social Network) คือ การที่ผคู ้ นสามารถทำาความรู ้จกั และเชื่อมโยงกันในทิศทาง ใดทิศทางหนึ่ง สำาหรับเว็บไซต์ที่จดั เป็ นเว็บสังคมเครื อข่ายหมายถึง เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผูค้ นไว้ดว้ ยกัน ตัวอย่างเว็บไซต์สังคมเครื อข่าย เช่น ไฮไฟว์ (Hi5)และเฟชบุ๊ค (Facebook)


การค้ นหาข้ อมูลผ่านอินเทอร์ เน็ตมีวธิ ีทำา ดังนี้ 1. การสื บค้นข้อมูลผ่านเครื่ องมือค้นหา หรื อ เชิร์จ เอนจิ้น (Search Engine) เครื่ องมือค้นหาหรื อ เซิร์จ เอนจิ้น (Search Engine) เป็ นเครื่ องมือหรื อโปรแกรม ในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ โดยการรวบรวมราย ชื่อเว็บไซต์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องนำามาจัดเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้สามารถค้นหาและแสดงผลได้สะดวก และรวดเร็ วมากยิง่ ขึ้น การค้นหาข้อมูลด้วยเซิร์จ เอนจิ้นเพียง พิมพ์คาำ สำาคัญ หรื อคียเ์ วิร์ด (Key Word) ที่ ต้องการค้นหาและกดปุ่ ม Seach ประโยชน์ที่ได้รับจาก เซิร์จ เอนจิน้ คือ ค้นหาเว็บที่ตอ้ งการได้สะดวก รวดเร็ วสามารถค้นหาแบบเชิงลึกได้ ทั้งข้อมูล รู ปภาพ ข่าว MP3 และอื่น ๆ สามารถค้นหาจากเว็บไซต์ เฉพาะทางที่มีการจัดทำาไว้ เช่น download.com หรื อเว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูลและซอฟต์แวร์ เป็ นต้น 2. รู ปแบบในการค้นหา มี 2 รู ปแบบ ดังนี้ 2.1 การค้นหาในรู ปแบบอินเด็กซ์ ไดเร็ กทอรี (Index Directory) วิธีการค้นหาข้อมูลแบบนี้ ขอ้ มูลจะ มีความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อยมาก เพราะได้รับการคัดแยกข้อมูลออกมาเป็ นหมวดหมู่และจัดแบ่งแยกไซต์ ต่างๆออกเป็ นประเภท วิธีใช้งานสามารถคลิกเลือกข้อมูลที่ตอ้ งการจะดูในเว็บเบราว์เซอร์ ได้เลยจากนั้นหน้า จอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหนึ่งขึ้ นมาให้เลือกอีกเมื่อเข้าไปถึงประเภท ย่อยที่สนใจแล้วเว็บเพจจะแสดงรายชื่อเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประเภทของข้อมูลนั้นๆออกมาถ้าสนใจ เอกสารใดก็สามารถคลิกเพื่อลิงก์ไปยังเว็บไซต์น้ ัน โดยจะแสดงผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาทันที 2.2 การค้นหาในรู ปแบบเซิร์จ เอนจิ้น (Search Engine) เป็ นวิธีการค้นหาข้อมูล ที่ได้รับความนิยมมาก ผูใ้ ช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า ร้อยละ 70 ใช้วิธีการค้นหาแบบนี้ หลักการ ทำางานของเซิร์จเอนจิ้นแตกต่างจากการใช้อินเด็กซ์คือเป็ นการค้นหาจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มหาศาลที่กระจัดกระจายอยูท่ วั่ ไปบนอินเทอร์ เน็ตไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็ นลำาดับขั้น ของความสำาคัญการใช้งาน จะคล้ายกับการสื บค้นฐานข้อมูลอื่น ๆ คือ ต้องพิมพ์คาำ สำาคัญ (Keyword) ซึ่ งเป็ นการระบุถึงข้อมูลที่ตอ้ งการค้นหา จากนั้นเซิร์จ เอนจิ้น ก็จะแสดง ข้อมูลและไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องออกมา

2.3 หลักการค้นหาข้อมูลของเซิร์จเอนจิ้นหลักการค้นหาข้อมูลของเซิร์จเอนจิ้นแต่ละตัว มีลกั ษณะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยูก่ บั ว่าศูนย์บริ การใช้วิธีการจัดเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่ วนใหญ่แล้วมีกลไกในการค้นหาที่ใกล้เคียงกันแตกต่างกันที่ประสิ ทธิ ภาพของการ


เก็บข้อมูลว่าจะมีขอ้ มูลเก็บรวบรวมไว้อยูใ่ นฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหนและนำาเอาออกมาบริ การ ให้กบั ผูใ้ ช้ได้ตรงตามต้องการหรื อไม่ หลักการค้นหาข้อมูลมีดงั นี้ - การค้นหาจากชื่อของตำาแหน่ง URL ในเว็บไซต์ต่าง ๆ - การค้นหาจากคำาที่มีอยูใ่ นหัวเรื่ อง - การค้นหาจากคำาสำาคัญหรื อคียเ์ วิร์ด - การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรื อบอกลักษณะไซต์ - ค้นหาคำาในหน้าเว็บเพจด้วยเบราว์เซอร์ 2.4 การใช้งานกูเกิ้ล เซิร์จ (Google Search) กูเกิ้ล เซิร์จ คือ เครื่ องมือให้บริ การ ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตประเภทเซิร์จ เอนจิ้น ของเว็บไซต์ Google.com ผูใ้ ช้งานต่อเชื่อมเข้าสู่เว็บไซต์ www.Google.com จากนั้นพิมพ์ขอ้ ความหรื อคำาสำาคัญ (Keyword)เกี่ยวกับเรื่ องที่ตอ้ งการค้นหาแล้วกดปุ่ ม Enter กูเกิ้ล เซิร์จก็จะแสดงเว็บไซต์ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคำาสำาคัญเหล่านั้นทันที ไม่เฉพาะแต่เพียงการ ค้นหาข้อมูลในรู ปของ เว็บไซต์เท่านั้น กูเกิ้ล เซิร์จยังสามารถค้นหาข้อมูลที่เป็ นไฟล์รูปภาพ (Images) , กลุ่มข่าว (News Groups)และสารบบเว็บ (Web Directory) ได้อย่างแม่นยำาอีกด้วย คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้ อนิ เทอร์ เน็ต ผูใ้ ช้อินเทอร์เน็ตมีจาำ นวนมากและเพิม่ ขึ้นทุกวัน การใช้งานระบบเครื อข่ายออนไลน์และส่ งข่าวสาร ถึงกันย่อมมีท้ งั ผูท้ ี่มี ความประพฤติดีและไม่ดีซ่ ึ งสร้างปั ญหาให้กบั ผูอ้ ื่นอยูเ่ สมอเครื อข่ายบางแห่ งจึงได้ออก กฎเกณฑ์การใช้งานภายในเครื อข่าย เพื่อให้สมาชิกในเครื อข่ายของตนยึดถือปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์และได้รับ ประโยชน์สูงสุด ดังนั้น ผูใ้ ช้อินเทอร์เน็ตทุกคนที่เป็ นสมาชิกเครื อข่ายต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ขอ้ บังคับของเครื อ ข่ายนั้น มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผูร้ ่ วมใช้บริ การคนอื่น และจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำาของ ตนเองที่เข้าไปขอใช้ บริ การต่าง ๆ บนระบบเครื อข่าย คอมพิวเตอร์ เครื อข่ายอินเทอร์ เน็ตมิได้เป็ นเพียงเครื อ ข่ายขององค์กรที่ผใู้ ช้สังกัดอยู่ หากแต่เป็ นการเชื่อมโยงเครื อข่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกันนับพัน นับหมื่นเครื อข่าย มีขอ้ มูลระหว่างเครื อข่ายเป็ นจำานวนมาก การส่ งข่าวสารในเครื อข่ายนั้นอาจทำาให้ข่าวสารกระจายเดินทาง ไปยังเครื อข่ายอื่น ๆอีกเป็ นจำานวนมาก ดังนั้นผูใ้ ช้บริ การต้องให้ความสำาคัญและตระหนักว่าปริ มาณข้อมูลข่าวสารที่อยูบ่ นเครื อข่าย อินเทอร์ เน็ตมีจาำ นวนมาก จะต้องใช้งาน อย่างสร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์จึงจะทำาให้สงั คมอินเทอร์ เน็ต น่าใช้และเป็ นประโยชน์ต่อส่วนรวม กิจกรรมบางอย่างต้องหลีกเลี่ยงไม่ควรปฏิบตั ิ เช่น การส่ งกระจายอีเมล


ขยะจำานวนมากบนเครื อข่าย การส่งจดหมายลูกโซ่ ฯลฯ สิ่ งเหล่านี้จะเป็ นผลเสี ยสำาหรับผูใ้ ช้และไม่เกิด ประโยชน์ใด ๆ ต่อสังคมอินเทอร์เน็ต เพื่อให้การใช้งานร่ วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ตสงบสุ ข ข้ อดีของอินเทอร์ เน็ต อินเทอร์เน็ตประกอบไปด้วยบริ การที่หลากหลาย ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผูใ้ ช้บริ การมากมาย ดัง ต่อไปนี้ 1. ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น งานวิจยั บทความในหนังสื อพิมพ์ ความก้าวหน้าทางกาแพทย์ ฯลฯ ได้จากแหล่งข้อมูลทัว่ โลก เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจยั โดยไม่ตอ้ งเสี ยค่าใช้จ่ายและ เสี ยเวลาในการเดินทางและสามารถสื บค้นได้ตลอดเวลา 24 ชัว่ โมง 2. ติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ทัว่ โลกได้อย่างรวดเร็ วจากการรายงานข่าวของสำานักข่าวต่างๆ อยู่ รวม ทั้งอ่านบทความเรื่ องราวที่ลงในนิตยสารหรื อวารสารต่างๆ ได้ฟรี โดยมีท้ังข้อความและภาพประกอบด้วย 3. รับส่ งไปรษณียอ์ ิเล็กทรอนิกส์ทวั่ โลกได้อย่างรวดเร็ วโดยไม่ตอ้ งเสี ยเงินค่าตราไปรษณี ยากร ถึงแม้จะ เป็ นการส่ งข้อความไปต่างประเทศก็ไม่ตอ้ งเสี ยเงินเพิ่มขึ้นเหมือนการส่ งจดหมาย การส่ งไปรษณี ย ์ อิเล็กทรอนิกส์น้ ี นอกจากจะส่ งข้อความตัวอักษรแบบจดหมายธรรมดาแล้ว ยังสามารถส่ งแฟ้ มภาพนิ ่ง ภาพ เคลื่อนไหว และเสี ยงพร้อมกันไปได้ดว้ ย 4. สนทนากับผูอ้ ื่นที่อยูห่ ่างไกลได้ท้ งั ในลักษณะการพิมพ์ขอ้ ความและเสี ยง 5. ร่ วมกลุ่มอภิปรายหรื อกลุ่มข่าวเพื่อแสดงความคิดเห็น หรื อพูดคุยถกปั ญหากับผูท้ ี่สนใจในเรื่ องเดียวกัน เป็ นการขยายวิสยั ทัศน์ในเรื่ องที่สนใจนั้นๆ 6. ถ่ายโอนแฟ้ มข้อความ ภาพ และเสี ยงจากที่อื่นๆ รวมทั้งโปรแกรมต่างๆ ได้จากแหล่งที่มีผใู ้ ห้บริ การ 7. ตรวจดูราคาสิ นค้าและสัง่ ซื้อสิ นค้ารวมทั้งบริ การต่างๆ ได้โดยไม่ตอ้ งเสี ยเวลาเดินทางไปห้างสรรพ สิ นค้า 8. ให้ความบันเทิงหลายรู ปแบบ เช่น การฟั งเพลง รายการวิทยุ การชมรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวม ไปถึงการแข่งขันเกมกับผูอ้ ื่นได้ทวั่ โลก 9. ติดประกาศข้อความที่ตอ้ งการให้ผอู้ ื่นทราบได้อย่างทัว่ ถึง 10. ให้เสรี ภาพในการสื่ อสารทุกรู ปแบบแก่บุคคลทุกคน ข้ อเสี ยของอินเทอร์ เน็ต ถึงแม้อินเทอร์เน็ตจะก่อให้เกิดผลดีต่อผูใ้ ช้มากมาย แต่กย็ งั มีขอ้ จำากัดบางประการ ดังต่อไปนี้ 1. อินเทอร์เน็ตเป็ นข่ายงานขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครเป็ นเจ้าของ ทุกคนจึงสามารถสร้างเว็บไซด์หรื อติด ประกาศข้อความได้ทุกเรื่ อง บางครั้งข้อความนั้นอาจจะเป็ นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรื อไม่ได้รับการรับรอง เช่น


ข้อมูลด้านการแพทย์หรื อผลการทดลองต่างๆ จึงเป็ นวิจารณญาณของผูอ้ ่านที่จะต้องไตร่ ตรองข้อความที่ อ่านนั้นด้วยว่าควรจะเชื่อถือได้หรื อไม่ 2. นักเรี ยนและเยาวชนอาจติดต่อเข้าไปในเว็บไซด์ที่ไม่เป็ นประโยชน์หรื ออาจยัว่ ยุอารมณ์ ทำาให้ เป็ นอันตรายตัวตัวเองและสังคม


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.