หน่วยการเรี ยนรู้ที่ 7 คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่ องอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง ที่มีการทำางานแบบอัตโนมัติ ทำาหน้าที่เหมือน สมองกล สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อนตามคำาสัง่ ของโปรแกรม ขั้นตอนการทำางานจะ ประกอบด้วย การรับโปรแกรมและข้อมูลในรู ปแบบที่เครื่ องสามารถรับได้ และทำาการประมวลผล โดย ทำาการเปรี ยบเทียบจนกระทัง่ ได้ผลลัพธ์ จากนั้นนำาผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงผลที่อุปกรณ์แสดงผล เช่น จอภาพ หรื อเครื่ องพิมพ์ เป็ นต้น จากความหมายจะเห็นว่าเครื่ องคอมพิวเตอร์ มีอุปกรณ์ที่สามารถทำางานได้ 3 อย่าง คือ 1) รับโปรแกรมและข้อมูล โปรแกรมในที่น้ ี หมายถึง ชุดของคำาสัง่ ที่จะให้คอมพิวเตอร์ ทาำ งาน ซึ่งเรา เรี ยกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ส่วนข้อมูลนั้นอาจจะเป็ นตัวเลข หรื อตัวอักษรที่ตอ้ งการให้คอมพิวเตอร์ ทำาการประมวลผล 2) ประมวลผล หมายถึง การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตอ้ งการ ซึ่ง ทำาได้โดยการคำานวณ เปรี ยบเทียบ วิเคราะห์โดยใช้สูตรทางวิทยาศาสตร์ หรื อคณิ ตศาสตร์ วิธีการต่างๆ เหล่า นี้ ทำาได้โดยอาศัยชุดคำาสัง่ หรื อโปรแกรมที่เขียนขึ้น 3) แสดงผลลัพธ์ คือการนำาผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเสร็ จเรี ยบร้อย แสดงออกในรู ปแบบต่าง ๆ ที่ผใู ้ ช้เข้าใจ และนำาไปใช้ประโยชน์ได้
ประวัติของคอมพิวเตอร์ แรกเริ่ มมนุษย์ดาำ เนินชีวิตโดยไม่มีการบันทึกสิ่ งใด มาจนกระทัง่ ได้มีการติดต่อค้าขายของพ่อค้า ชาวแบบีลอน(Babylonian) การจดบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงบน clay tablets จึงได้ถือกำาเนิดขึ้น และอุปกรณ์ที่ ช่วยในการคำานวณระหว่างการติดต่อซื้ อขายก็ได้ถือกำาเนิดขึ้นเช่นกัน อุปกรณ์คาำ นวณในยุคแรกได้แก่ ลูกคิด(abacus)ซึ่งก็ยงั คงใช้กนั ต่อๆ มาจนถึงปั จจุบนั ประวัติคอมพิวเตอร์ ดำาเนินมาถึง ปี พ.ศ. 2185 นักคณิ ตศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Blaise Pascal (แบลส ปาสกาล) ได้สร้างเครื่ องกลสำาหรับการคำานวณชื่อ pascaline ต่อมาในปี พ.ศ. 2215 เครื่ องกล pascaline ของ Blaise Pasca ได้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมโดย Gottfried Von Leibniz นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันโดยเพิ่มสามารถในการ บวก ลบ คูณ หาร และถอดรากได้ แต่ก็ ไม่มีผใู ้ ดทราบว่าเครื่ อง pascaline ที่ถูกพัฒนาเพิ่มเติมเครื่ องนี้ มีความสามารถในการคำานวณแม่นยำาเพียงใด ปี พ.ศ. 2336 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ Charles Babbage ได้สร้างจักรกลที่มีชื่อว่า difference engine ที่มีฟังก์ชนั ทางตรี โกณมิติต่างๆ โดยอาศัยหลักการทางคณิ ตศาสตร์ และและต่อมาก็ได้ สร้าง analytical engine ที่มีหลักคล้ายเครื่ องคอมพิวเตอร์ ทวั่ ไปในปั จจุบนั จากผลงานดังกล่าว Charles Babbage ถูกยกย่องว่าเป็ นบิดาของคอมพิวเตอร์ และเป็ นผูร้ ิ เริ่ มวางรากฐานคอมพิวเตอร์ ในปั จจุบนั ปี พ.ศ. 2439 Herman Hollerith ได้คิดบัตรเจาะรู และเครื่ องอ่านบัตร จนกระทัง่ ในปี พ.ศ. 2480 Howard Aiken สร้างเครื่ องกล automatic calculating machine ขึ้น จุด ประสงค์ของเครื่ องกลชิ้นนี้กค็ ือ เพื่อเชื่อมโยงเทคโนโลยีท้ งั ทาง electrical และ mechanical เข้ากับบัตรเจาะ รู ของ Hollerith และด้วยความช่วยเหลือของนักศึกษาปริ ญญาและวิศวกรรมของ IBM ทีมงานของ Howard ก็ประดิษฐ์ automatic calculating machine สำาเร็ จในปี พ.ศ. 2487 โดยใช้ชื่อว่า MARK I โดยการทำางาน ภายในตัวเครื่ องจะถูกควบคุมอย่างอัตโนมัติดว้ ย electromagnetic relays และ arthmetic counters ซึ่ ง เป็ น mechanical ดังนั้น MARK I จึงนับเป็ น electromechanical computer และต่อมา Dr. John Vincent Atanasoff และ Clifford Berry ได้ประดิษฐเครื่ อง ABC (AtanasoffBerry Computer) โดยใช้ หลอดสูญญากาศ (vacuum tubes) ปี พ.ศ. 2483 Dr.John W. Mauchy และ J. Presper Eckert Jr. ได้ร่วมกันพัฒนา electronic computer โดยอาศัยหลักการออกแบบบนพื้นฐานของ Dr. Atanasoff electronic computer เครื่ องแรกมีชื่อ ว่า ENIAC แม้จะเป็ น electronic computer แต่ENIAC ก็ยงั ไม่สามารถเก็บโปรแกรมได้(stored program) จึง ได้มีการพัฒนาเป็ นเครื่ อง EDVAC ซึ่งอาศัยหลักการ stored program สมบูรณ์และได้มีการพัฒนาเป็ น เครื่ อง EDSAC และท้ายสุดก็ได้พฒั นาเป็ นเครื่ อง UNIVAC(Universal Automatic Computer) ในเวลาต่อมา ในท้ายที่สุด หากจะจำาแนกประวัติคอมพิวเตอร์ ตามยุคของคอมพิวเตอร์ (Computer generations) โดยแบ่งตามเทคโนโลยีของตัวเครื่ องและเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล ก็สามารถจะจัดแบ่งตาม วิวฒั นาการได้ 5 ยุคด้วยกัน
วิวฒ ั นาการของคอมพิวเตอร์
1.ยุคหลอดสูญญากาศ ยุคนี้อยูร่ ะหว่าง พ.ศ.2488 – 2501 เครื่ องคอมพิวเตอร์ ยคุ นี้ ใช้ หลอดสูญญากาศ (vacuum tube)ซึ่ง เป็ นอุปกรณ์เล็กทรอนิกส์ขนาดเท่าหลอดไฟฟ้ าตามบ้านเป็ นองค์ประกอบหลักของวงจรไฟฟ้ า และใช้บตั ร เจาะรู ในการเก็บข้อมูลและคำาสัง่ ที่ให้คอมพิวเตอร์ ทาำ งาน และใช้ดรัมแม่เหล็ก (magnetic drum) เป็ นหน่วย ความจำาหลัก ดรัมแม่เหล็กทำาด้วย วงแหวนแม่เหล็กขนาดเล็ก ๆ เท่าหัวเข็มหมุดจำานวนมากมาย วงแหวน เหล่านี้ถูกร้อยด้วยเส้นลวดเล็ก ๆ เหมือนการร้อยลูกปั ด หรื อ หน้าต่างมุง้ ลวดที่มีวงแหวนคล้องอยูท่ ี่จุดตัด ของเส้นลวด หน่วยความจำาหลักนี้ จะเก็บข้อมูลเฉพาะในขณะที่มีการประมวลผลเท่านั้น คอมพิวเตอร์ ในยุค นี้มีความเร็ วในการทำางานอยูใ่ นหน่วยหนึ่งในพันวินาที (millisecond) ในระยะแรก จุดประสงค์ของการสร้างเครื่ องคอมพิวเตอร์ ในยุคนี้ เพื่อช่วยในงานวิจยั ด้าน วิทยาศาสตร์ และเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่เป็ นอิเล็กทรอนิกส์เครื่ องแรกมีชื่อว่า อินิแอค (Electronic Number Integrator and Calculator : ENIAC) ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2486 เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่ประกอบ ำ กมาก ต่อมาในปี 18,000 หลอด ด้วยหลอดสุ ญญากาศประมาณ 18,000 หลอด ทำาให้มีขนาดใหญ่และน้าหนั ำ กมาก ต่อมาในปี 2491 ได้มีการพัฒนาเครื่ องคอมพิวเตอร์ เครื่ องแรกที่สามารถ ทำาให้มีขนาดใหญ่และน้าหนั ใช้งานทางธุรกิจ ชื่อว่า ยูนิแวค (Universal Automatic Company : UNIVAC) ทั้งนี้เพื่อใช้ช่วยในการสำารวจ สำามะโนประชากร การสัง่ งานคอมพิวเตอร์ยคุ นี้ ในระยะแรกจะใช้ภาษาเครื่ อง ซึ่ งเป็ นรหัสตัวเลขที่ทาำ ให้ใช้งานลำาบาก จึงได้มีการคิดค้นภาษาสัญลักษณ์ (Symbolic language) ขึ้นช่วยงาน โดยใช้ภาษาชนิดเขียนคำาสัง่ เป็ นภาษา อังกฤษก่อนและจึงใช้ตวั แปลภาษาแปลงเป็ นภาษาเครื่ องอีกครั้ งหนึ่ง ำ กที่มากแล้ว ยังมีปัญหาเรื่ อง ปั ญหาของคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุ ญญากาศ นอกจากขนาดและน้าหนั ความร้อน เนื่องจากหลอดดังกล่าวต้องใช้พลังงานสูงทำาให้เกิดความร้อนจากการใช้งานสูง และไส้หลอด ขาดง่าย ทำาให้มีการพัฒนาอุปกรณ์อื่นขึ้นใช้งานแทน 2. ยุคทรานซิสเตอร์ ยุคนี้อยูร่ ะหว่าง พ.ศ. 2502 - 2506 เครื่ องคอมพิวเตอร์ ยคุ นี้ ใช้ทรานซิสเตอร์ (transistor) เป็ นองค์ ประกอบหลักของวงจรไฟฟ้ าแทนหลอดสูญญากาศ โดยผูท้ ี่คิดค้นทรานซิสเตอร์ คือนักวิทยาศาสตร์ สามคน ของห้องปฏิบตั ิการเบลล์ (Bell Laboratories) แห่ งสหรัฐอเมริ กา ได้แก่ บาร์ ดีน (J.Bardeen)แบรทเทน (H.W.Brattain) และชอคเลย์ (W.Shockley) การใช้ทรานซิสเตอร์ ในการผลิตคอมพิวเตอร์ แทนหลอดสูญญ กาศทำาให้ตวั คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก โดยทรานซิ สเตอร์ ที่พฒั นาขึ้ นเป็ นครั้งแรกมี ขนาด 1 ใน 100 ของหลอดสูญญากาศเท่านั้น นอกจากขนาดเล็กแล้วยังมีคุณสมบัติที่ดีอีกหลายประการคือ ไม่เปลืองกระแสไฟฟ้ า ไม่ตอ้ งใช้เวลาอุน่ เครื่ องเมื่อแรกเปิ ดเครื่ อง ทำาให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ มีประสิ ทธิ ภาพ และความเร็ วเพิม่ ขึ้น จนกระทัง่ สามารถบวกจำานวน 2 จำานวนได้ในเวลาประมาณหนึ่งในล้านวินาที
(microsecond) โดยที่ทรานซิสเตอร์เป็ นปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่สาำ คัญยิ ง่ จึง ทำาให้นกั วิทยาศาสตร์ท้ งั สามคนได้รับรางวัลโนเบล นอกจากจะมีวิวฒั นาการเกี่ยวกับเครื่ องคอมพิวเตอร์ แล้ว ยังมีการพัฒนาภาษาที่ใช้กบั เครื่ อง คอมพิวเตอร์ อีกด้วย ในยุคนี้ มีการใช้ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) ซึ่ งเป็ นภาษาที่ใช้คาำ ย่อเป็ นคำา สั่งแทนรหัสตัวเลข ทำาให้การเขียนโปรแกรมสะดวกขึ้น หลังจากนี้ กม็ ีการพัฒนาภาษาระดับสูง คือ ภาษาที่ เขียนเป็ นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่นในกลางปี พ.ศ. 2498 เริ่ มมีการใช้ภาษาฟอร์ แทรน (FORmular TRANstator : FORTRAN) ในงานทางด้านคณิ ตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2502 มี การพัฒนาภาษาโคบอล (Common Business Oriented Language : COBOL) ใช้ในทางด้านธุรกิจ ทั้งสอง ภาษานี้ยงั มีใช้กบั เครื่ องคอมพิวเตอร์ถึงปัจจุบนั ในปี พ.ศ. 2505 มีการนำาชุดจานแม่เหล็กที่ถอดเปลี่ยนได้มาใช้บนั ทึกข้อมูลแทนการใช้เทปแม่เหล็ก เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ใช้กบั คอมพิวเตอร์ยคุ นี้ ทาำ ให้ค่าใช้จ่ายในการใช้คอมพิวเตอร์ ถูกลง และทำาให้ธุรกิจต่าง ๆ เริ่ มนำาคอมพิวเตอร์มาใช้ในกิจการมากขึ้น 3. ยุควงจรรวม ยุคนี้อยูร่ ะหว่าง พ.ศ. 2507 – 2512 เป็ นยุคที่มีการพัฒนาวงจรไอซี (Integrated Circuit : IC) ซึ่ ง เป็ นการบรรจุวงจรอิเล็กทรอนิกส์จาำ นวนมากลงบนแผ่นซิลิคอนเล็ก ๆ เช่น แผ่นซิลิคอนขนาดเล็ก กว่า 1/8 ตารางนิ้ว สามารถบรรจุชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้หลายร้อยวงจร ไอซีจึงเข้ามาทำา หน้าที่แทน ทรานซิ สเตอร์ เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่น 4 ประการคือ 3.1 มีความเชื่อถือได้ หมายความว่า ไม่วา่ จะใช้งานกี่ครั้ งกี่หน ก็จะได้ผลออกมาเหมือนเดิม คอมพิวเตอร์ ที่ใช้หลอดสุญญากาศจะเกิดการขัดข้องโดยเฉลี่ยแล้วทุกๆ 15 วินาที ส่ วนไอซีมีปัญหาเช่นนี้ น้อยมาก คือ 1 ครั้ง ใน 23 ล้านชัว่ โมง 3.2 มีความกระชับ เนื่องจากวงจรได้ถูกย่อส่ วนให้เล็กทำาให้อุปกรณ์มีขนาดเล็กกระทัดรัด มี ความเร็ วในการทำางานเพิ่มมากขึ้นเพราะวงจรอยูใ่ กล้กนั มากระยะเวลาในการเดินทางของกระแสไฟฟ้ าจะ น้อยลง 3.3 ราคาถูก เนื่องจากมีการผลิตเป็ นปริ มาณมาก ๆ ทำาให้ตน้ ทุนถูกลง 3.4 ใช้พลังงานไฟฟ้ าน้อย ทำาให้ประหยัด ใน พ.ศ. 2507 บริ ษทั ไอบีเอ็ม นำาคอมพิวเตอร์ รุ่น 360 ออกสู่ตลาด ซึ่งถือว่าเป็ นการเริ่ มยุคที่สามของ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์รุ่น 360 นี้ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานได้ท้ งั ทางวิทยาศาสตร์ และทางธุรกิจที่ใช้หลัก การซึ่งมีลกั ษณะเด่นหลายประการ เช่น ประการแรกเครื่ องรุ่ นนี้ มีดว้ ยกันหลายแบบตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาด ใหญ่ แต่ละแบบใช้ภาษาเดียวกัน ทำาให้ผใู้ ช้สามารถเปลี่ยนจากเครื่ องเล็กเป็ นเครื่ องใหญ่ได้ง่าย ประการที่ สองเครื่ องรุ่ นนี้ เริ่ มนำาระบบปฏิบตั ิการขนาดใหญ่มาใช้เป็ นตัวกลางในการควบคุมการติดต่อกับอุปกรณ์ ต่างๆ
4. ยุควีแอลเอสไอ จากวงจรไอซีได้มีการพัฒนาวงจรรวมความจุสูงหรื อแอลเอสไอ (Large Scale Integrated Circuit : LSI) ขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2513 ทำาให้สามารถบรรจุวงจรทรานซิสเตอร์ จาำ นวนหลายพันตัวลงบนแผ่น ซิลิคอนขนาด 1/6 ตารางนิ้ว นับเป็ นการเริ่ มยุคที่สี่ของคอมพิวเตอร์ ซ่ ึงอยูร่ ะหว่าง พ.ศ.2513 – 2532 และใน ปี พ.ศ. 2518 สามารถเพิ่มปริ มาณวงจรหลายหมื่นวงจรลงบนซิลิคอนขนาดเท่าเดิม เรี ยกว่า วงจรรวมความจุ สู งมากหรื อวีแอลเอสไอ (Very Large Scale Integrated Circuit : VLSI) จากการประดิษฐ์วีแอลเอสไอ สามารถนำามาสร้างเป็ นไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งทำาหน้าที่เป็ นหน่วยประมวลผลกลางหรื อซี พียู (Central Processing Unit : CPU) ของคอมพิวเตอร์ และสามารถลดขนาดของคอมพิวเตอร์ ให้เล็กลงจนสามารถตั้งบน โต๊ะทำางานในสำานักงาน หรื อพกพาไปในที่ต่างๆ เหมือนกระเป๋ าหิ้ วได้ เรี ยกเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่เกิดในยุคนี้ ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) นอกจากนี้ ยังสามารถนำาวงจรวีแอลเอสไอมาสร้างเป็ นหน่วยความ จำารองที่สามารถเก็บข้อมูลในระหว่างที่เครื่ องคอมพิวเตอร์ ทาำ งานได้ ทำาให้ได้หน่วยความจำาที่มีความจุมาก ขึ้น ประสิ ทธิ ภาพในการทำางานของคอมพิวเตอร์ ยคุ นี้ จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ ว จนคอมพิวเตอร์นอกจาก ช่วยงานคำานวณแล้วยังสามารถทำางานเฉพาะทางอื่นๆ ได้มากกว่าช่วยงานคำานวณ เช่น การนำาเสนอข้อมูล แบบสื่ อประสม วงจรวีแอลเอสไอที่รวมทรานซิสเตอร์ ได้นบั พันตัวไว้บนแผ่นซิลิคอนที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับ มือคนนอกจากการพัฒนาในระบบฮาร์ดแวร์ แล้ว ในยุคนี้ ยงั มีการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ ให้มีขีดความ สามารถสูงขึ้นมาก มีการพัฒนาระบบปฏิบตั ิการที่มีการติดต่อกับผูใ้ ช้ในรู ปของกราฟิ กที่เรี ยกว่าจียไู อ (Graphic User Interface : GUI) แทนการติดต่อแบบรายคำาสัง่ (command line interface)ที่เป็ นการพิมพ์คาำ สัง่ ทีละคำาสัง่ เพื่อสัง่ งานคอมพิวเตอร์ทาำ งานเช่นในอดีต ปั จจุบนั เริ่ มมีการใช้เมาส์ในการสัง่ งานคอมพิวเตอร์ และยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์สาำ เร็ จช่วยงานจำานวนมาก ทั้งที่เป็ นงานสำานักงานทัว่ ไปและงานเฉพาะทาง เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำา ซอฟต์แวร์ตารางทำางาน ซอฟต์แวร์นาำ เสนอ ซอฟต์แวร์ เหล่านี้ กจ็ ะมีการติดต่อกับ ผูใ้ ช้แบบจียไู อ ทำาให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ ทาำ ได้ง่ายและสะดวกขึ้น การใช้งานคอมพิวเตอร์ จึงได้รับความ นิยมสูงขึ้นมากในยุคนี้ 5. ยุคเครื อข่าย หลังจากที่มีการคิดค้นวงจรวีแอลเอสไอขึ้นแล้วใช้หน่วยประมวลผลกลางและหน่วยความจำาหลัก ในคอมพิวเตอร์แล้ว การพัฒนาวงจรวีแอลเอสไอก็ยงั คงมีอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ ว จนในปั จจุบนั สามารถ บรรจุทรานซิสเตอร์ลงบนแผ่นซิลิคอนขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเป็ น 2 เท่า ทุกๆ 18 เดือน เป็ นผลให้คอมพิวเตอร์ มี ขีดความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ ว เมื่อคอมพิวเตอร์ ในปั จจุบนั สามารถทำางานได้เร็ วขึ้ นประมวลผลข้อมูล ได้ทีละมากๆ ทำางานได้หลายงานพร้อมกัน รวมทั้งสามารถแสดงผลในรู ปของสื่ อประสมได้ ความนิยมนำา คอมพิวเตอร์ มาช่วยงานจึงขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ วและในทุกวงการ ยุคนี้ จะมีความพยายามในการ ประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์กบั งานหลายประเภท เช่น มีความพยายามนำาคอมพิวเตอร์ มาช่วยในการ ตัดสิ นใจและแก้ปัญหาให้ดียิง่ ขึ้น โดยจะมีการเก็บความรู ้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่ อง สามารถเรี ยกค้นและดึง
ความรู ้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็ นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยคุ นี้ เป็ นผลจากวิชาการในแขนงที่เรี ยกว่าปั ญญา ประดิษฐ์ ประเทศต่าง ๆ ทัว่ โลกไม่วา่ จะเป็ นสหรัฐอเมริ กา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำาลังสนใจ ค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้ กนั อย่างจริ งจัง นอกจากนี้ ในยุคนี้ กม็ ีการพัฒนาเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อกันอยูใ่ นเครื อ ข่ายสามารถใช้ทรัพยากรร่ วมกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ โดยเริ่ มจากการทำางานเป็ นกลุ่ม (work group) โดยเครื่ องคอมพิวเตอร์ในกลุ่มเดียวกันสามารถใช้อุปกรณ์รอบข้าง เช่น เครื่ องพิมพ์ร่วมกันได้ สามารถเรี ยกใช้ขอ้ มูลที่อยูใ่ นเครื่ องอื่นในกลุ่มได้ โดยใช้เครื อข่ายท้องถิ่น ซึ่งจะเชื่อมคอมพิวเตอร์นบั ร้อย เครื่ องที่อยูภ่ ายในบริ เวณเดียวกัน เช่น ในอาคารเดียวกัน หรื อระหว่างอาคารที่อยูใ่ นรั้ วเดียวกันเข้าด้วยกัน จากความสะดวกของการทำางานบนเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทำาให้เทคโนโลยีน้ี ได้รับความนิยมสู งมาโดย ตลอด มีผลให้การพัฒนาและการประยุกต์ใช้งานบนเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ มาก ไม่วา่ จะเป็ นการจัดการข้อมูล หรื อการคิดคำานวณ ดังจะเห็นได้วา่ มีการพัฒนาขีดความสามารถของอุปกรณ์ต่อเชื่อมในเครื อข่าย เช่น มีการ พัฒนาสายเชื่อมโยงให้มีความทนทานและสามารถส่ งข้อมูลได้มากขึ้น การพัฒนาขีดความสามารถขอ เครื่ องแม่ข่ายในระบบให้มีหน่วยความจำามากขึ้นและประมวลผลได้เร็ วขึ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ มีคุณลักษณะที่สำาคัญ 6 ประการ คือ 1. ทำางานโดยอัตโนมัติ เครื่ องคอมพิวเตอร์ จะทำางานโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่เขียนขึ้ น โดยใน โปรแกรมนั้นจะบอกขั้นตอน โดยละเอียดว่าจะให้อุปกรณ์ใดของคอมพิวเตอร์ ทาำ งานอะไรและทำาอย่างไรจึง จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ 2. ทำางานได้หลายด้าน เครื่ องคอมพิวเตอร์ ทาำ งานได้เอนกประสงค์ตามโปรแกรมที่กาำ หนด 3. เป็ นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ถือว่าเป็ น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต่างจากเครื่ องจักรกลทัว่ ไป เพราะเครื่ องจักรกลหรื อเครื่ องยนต์เมื่อทำางานต้องมีการ เคลื่อนไหวของชิ้นส่วนต่าง ๆ แต่สาำ หรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ทรานซิสเตอร์ วงจรไอซี และ ซีพียู ฯลฯ จะทำางานโดยไม่เคลื่อนไหวเลย 4. เป็ นระบบดิจิตอล คำาว่า ดิจิตอล มาจากคำาว่า ดิจิต หมายถึงตัวเลข เนื่องจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไปใน เครื่ องคอมพิวเตอร์ ไม่วา่ จะเป็ นตัวเลขหรื อตัวหนังสื อ จะถูกเปลี่ยนรหัสเป็ นตัวเลขทั้งหมดก่อนที่เครื่ องจะ ทำาการประมวลผล จึงเรี ยกเครื่ องคอมพิวเตอร์ วา่ "ดิจิตอลคอมพิวเตอร์ " 5. มีความรวดเร็วและถูกต้อง การทำางานของคอมพิวเตอร์ ถูกต้องและรวดเร็ ว 6. มีหน่วยความจำาภายในขนาดใหญ่ หน่วยความจำาภายในมีหน้าที่เก็บโปรแกรมคำาสั ง่ และข้อมูลไว้ ในเครื่ องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำาการประมวลผลตามคำาสั่งตั้งแต่คาำ สั่งแรกจนถึงคำาสัง่ สุ ดท้าย โดยไม่ตอ้ งอาศัย มนุษย์ จนกระทัง่ ได้ผลลัพธ์ออกมาทางจอภาพหรื อเครื่ องพิมพ์
ความสำาคัญของคอมพิวเตอร์ ปั จจุบนั เทคโนโลยีและการสื่ อสารได้เจริ ญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ ว ในการดำาเนินชีวิตประจำาวันของ มนุษย์อุปกรณ์สื่อสารและคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำาคัญต่อการดำาเนินกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่าง ยิง่ การศึกษาค้นคว้าและการทำาธุรกิจ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ทำาให้องค์กรต่างๆ นำา เทคโนโลยีเหล่านี้ เข้ามาช่วยในการดำาเนินงานขององค์กรให้มีประสิ ทธิ ภาพมากยิง่ ขึ้น ไม่วา่ จะเป็ นการรับส่ งข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ การทำาธุรกิจและให้บริ การบนอินเตอร์ เน็ต ตลอดจนการใช้เป็ นเครื่ องมือ ช่วยในการทำางาน ไม่เพียงแต่ในองค์กรต่างๆ เท่านั้นที่นาำ คอมพิวเตอร์ เข้ามาใช้งาน ผูใ้ ช้ตามบ้านโดยทัว่ ไป ก็ได้จดั หา คอมพิวเตอร์ เข้ามาใช้ส่วนตัวกันมากขึ้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์ ในปั จจุบนั มีราคาถูก แต่มีประสิ ทธิ ภาพสูง รวมทั้งสามารถใช้งานได้ง่ายกว่าในอดีตมาก จนมีการประมาณการกันว่า ในอนาคตคอมพิวเตอร์ จะเป็ น อุปกรณ์พ้ืนฐานในทุกๆ ครัวเรื อนเหมือนกับเครื่ องรับโทรทัศน์ ด้วยสถานการณ์ดงั กล่าว การเรี ยนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ ในระดับเบื้องต้น จึงเป็ นสิ่ งที่มีความ จำาเป็ นอย่างยิง่ ในการดำาเนินกิจกรรมต่างๆ ไม่วา่ จะเป็ นในการทำางาน, การศึกษาหรื อเพื่อความบันเทิง ให้มี ประสิ ทธิ ภาพและความสะดวกเพิ่มมากขึ้น คอมพิวเตอร์มีขอ้ ดีคือ มนุษย์เราจึงได้นาำ มาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ก่อนที่จะตอบคำาถามนี้ได้ เรา ต้องทราบคุณสมบัติพ้ืนฐานของคอมพิวเตอร์ เสี ยก่อน ซึ่ งมีอยู่ 5 ประการที่สาำ คัญดังนี้ 1. ทำางานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic machine) คอมพิวเตอร์เป็ นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใน การบันทึกข้อมูล ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ การจัดเก็บข้อมูลที่บนั ทึกผ่านทางแป้ นพิมพ์หรื ออุปกรณ์ อื่นๆ ข้อมูลเหล่านี้ จะถูกแปลงให้เป็ นสัญญาณไฟฟ้ าเพื่อให้คอมพิวเตอร์ เข้าใจและสามารถประมวลผลได้ และเมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผลเรี ยบร้อยแล้ว ข้อมูลที่เป็ นสัญญาณไฟฟ้ าจะถูกแปลงกลับให้เป็ นรู ปแบบที่ มนุษย์สามารถเข้าใจได้ 2. การทำางานด้วยความเร็ วสูง (speed) เนื่องจากการทำางานของคอมพิวเตอร์ เป็ นระบบ อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการดำาเนินงานต่างๆ จึงสามารถกระทำาได้อย่างรวดเร็ ว (มากกว่าพันล้านคำาสั่งในหนึ่ง วินาที) 3. ความถูกต้องแม่นยำาเชื่อถือได้ (accuracy and reliability) คอมพิวเตอร์ จะทำางานตามคำาสั่งที่มนุษย์ เขียนโปรแกรมหรื อคำาสัง่ ไว้ ถ้าผูใ้ ช้ป้อนข้อมูลและชุดคำาสัง่ มีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล ก็จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้ 4. การเก็บข้อมูลได้ในปริ มาณมาก (storage) คอมพิวเตอร์ มีหน่วยความจำาที่ทาำ หน้าที่เก็บข้อมูลที่ บันทึกเข้าไป ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลนี้ จะขึ้นอยูก่ บั ขนาดของคอมพิวเตอร์ เช่น เครื่ องไมโคร คอมพิวเตอร์ ในปัจจุบนั จะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำารองที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่าหนึ่งล้านตัวอักษร 5. การสื่ อสารเชื่อมโยงข้อมูล (communication) คอมพิวเตอร์ สามารถติดต่อกับเครื่ องคอมพิวเตอร์ เครื่ องอื่นๆ และสามารถทำางานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ แบบระบบเดี่ยว ตัวอย่างเช่น
การนำาคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตเพื่อการสื บค้นข้อมูลจากเครื่ องคอมพิวเตอร์ อื่น (remote computer) จากคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์เราจะเห็นได้วา่ คอมพิวเตอร์ สามารถทำางานหลายๆ อย่างที่มนุษย์ ไม่สามารถทำาได้ หรื อถ้ามนุษย์ทาำ ได้ ก็จะใช้เวลามากและมีขอ้ ผิดพลาดมากมาย เช่น การคำานวณตัวเลข ำ หลายล้านครั้ง หรื อการจดจำา หลายหลักเป็ นจำานวนมากภายในเวลาจำากัด, การทำางานในแบบเดียวกันซ้าๆ ข้อมูลตัวเลขและตัวหนังสื อหลายหมื่นหน้าโดยไม่มีการลืม งานที่น่าเบื่อและยุง่ ยากเหล่านี้ เราสามารถใช้ คอมพิวเตอร์ ทาำ งานแทนได้ โดยเรามีหน้าที่เพียงเป็ นผูส้ ัง่ การเท่านั้น ชนิดของคอมพิวเตอร์ ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) ไมโครคอมพิวเตอร์เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดเล็ก บางคนเห็นว่าเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ งานส่ วนบุคคล หรื อเรี ยกว่า พีซี (Personal Computer : PC) สามารถใช้เป็ นเครื่ องต่อเชื่อมในเครื อข่าย หรื อ ใช้เป็ นเครื่ องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำาหน้าที่เป็ นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำาหรับป้ อนข้อมูล และดูผลลัพธ์ โดยดำาเนินการการประมวลผลบนเครื่ องอื่นในเครื อข่าย อาจจะกล่าวได้วา่ ไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็ นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำางานในลักษณะส่ วน บุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ ตามขนาดของเครื่ องได้ดงั นี้ คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop computer) เป็ นไมโครคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมา ให้ต้ งั บนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็ น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้ งอักขระ แล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) เป็ นไมโครคอมพิวเตอร์ ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ ำ กของเครื่ อง จอภาพที่ใช้เป็ นแบบแบนราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display : LCD) น้าหนั ประมาณ 3-8 กิโลกรัม โน้ตบุค๊ คอมพิวเตอร์ (notebook computer) เป็ นไมโครคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดและความหนามากกว่า ำ กประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็ นแบบราบชนิดมีท้ งั แบบแสดงผลสี เดียว หรื อ แล็ปท็อป น้าหนั แบบหลายสี โน้ตบุ๊คที่มีขายทัว่ ไปมีประสิ ทธิ ภาพและความสามารถเหมือน กับแล็ปท็อป ปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (palmtop computer) เป็ นไมโครคอมพิวเตอร์ สาำ หรับทำางานเฉพาะอย่าง เช่นเป็ นพจนานุกรม เป็ นสมุดจนบันทึกประจำาวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่ สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก สถานีงานวิศวกรรม (engineering workstation) ผูใ้ ช้สถานีงานวิศวกรรมส่ วนใหญ่เป็ นวิศวกร นัก วิทยาศาสตร์ สถาปนิก และนักออกแบบ สถานีงานวิศวกรรมมีจุดเด่นในเรื่ องกราฟิ ก การสร้างรู ปภาพและ การทำาภาพเคลื่อนไหว การเชื่อมโยงสถานีงานวิศวกรรมรวมกันเป็ นเครื อข่ายทำาให้สามารถแลกเปลี่ยน ข้อมูลและใช้งานร่ วมกันอย่างมีประสิ ทธิภาพ บริ ษทั พัฒนาซอฟต์แวร์หลายบริ ษทั ได้พฒั นาซอฟต์แวร์ สาำ เร็ จ สำาหรับใช้กบั สถานีงานวิศวกรรมขึ้น เช่นโปรแกรมการจัดทำาต้นฉบับหนังสื อ การออกแบบวงจร
อิเล็กทรอนิกส์งานจำาลองและคำานวณทางวิทยาศาสตร์ งานออกแบบทางด้านวิศวกรรมและการควบคุม เครื่ องจักร การซื้ อสถานีงานวิศวกรรมต่างจากการซื้ อเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่ องสามารถใช้โปรแกรมสำาเร็จสำาหรับไมโครคอมพิวเตอร์ ได้ และมีลกั ษณะการใช้งานเหมือนกัน ส่ วนการซื้อสถานีงานวิศวกรรมนั้นยุง่ ยากกว่า สถานีงานวิศวกรรมมีราคาแพงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ มาก การใช้งานก็ตอ้ งการบุคลากรที่มีการฝึ กหัดมาอย่างดี หรื อต้องใช้เวลาเรี ยนรู ้ สถานีงานวิศวกรรมส่ วนใหญ่ ใช้ระบบปฏิบตั ิการยูนิกซ์ ประสิ ทธิภาพของซีพียขู องระบบอยูใ่ นช่วง 50-100 ล้านคำาสั่งต่อวินาที (Million Instruction Per Second : MIPS) อย่างไรก็ตามหลักจากที่ใช้ซีพียแู บบริ สก์ (Reduced Instruction Set Computer :RISC) ก็สามารถเพิ่มขีดความสามารถเชิงคำานวณของซีพียสู ู งขึ้นได้อีก ทำาให้สร้างสถานีงาน วิศวกรรมให้มีขีดความสามารถเชิงคำานวณได้มากกว่า 100 ล้านคำาสัง่ ต่อวินาที มินิคอมพิวเตอร์ (mini computer) มินิคอมพิวเตอร์เป็ นเครื่ องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่ องปลายทางต่อได้ มินิ คอมพิวเตอร์ เป็ นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำามาใช้สาำ หรับประมวลผลในงาน สารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็ นเครื อข่ายเพื่อใช้งานร่ วม กัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม มินิ คอมพิวเตอร์ เป็ นอุปกรณีที่สาำ คัญในระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ขององค์การที่เรี ยกว่าเครื่ องให้ บริ การ(server) มีหน้าที่ให้บริ การกับผูใ้ ช้บริ การ (client) เช่น ให้บริ การแฟ้ มข้อมูล ให้บริ การข้อมูล ให้ บริ การช่วยในการคำานวณ และการสื่ อสาร เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่ มแรก เหตุที่เรี ยกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ เพราะตัวเครื่ องประกอบด้วยตู ้ ขนาดใหญ่ที่ภายในตูม้ ีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยูเ่ ป็ นจำานวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบนั เมนเฟรม คอมพิวเตอร์ มีขนาดลดลงมาก เมนเฟรมเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่มีราคาสูงมาก มักอยูท่ ี่ศนู ย์คอมพิวเตอร์ หลักขององค์การ และต้องอยูใ่ นห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็ นอย่างดี บริ ษทั ผูผ้ ลิต เมนเฟรมได้พฒั นาขีดความสามารถของเครื่ องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยูท่ ี่งานที่ตอ้ งการให้มี ระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็ นจำานวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่ จัดการโดยเครื่ องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ กย็ ากที่จะจำาแนกจากกันให้ เห็นชัด ปั จจุบนั เมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ ขนาดเล็กมีประสิ ทธิ ภาพและความ สามารถดีข้ ึน ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ กด็ ีข้ึนจนทำาให้การใช้งานบนเครื อข่าย กระทำาได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม
ซู เปอร์ คอมพิวเตอร์ (super computer) ซูเปอร์ คอมพิวเตอร์ เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่เหมาะกับ งานคำานวณที่ตอ้ งมีการคำานวณตัวเลขจำานวนหลายล้านตัวภายในเวลาอันรวดเร็ ว เช่น งานพยากรณ์อากาศ ที่
ต้องนำาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศทั้งระดับภาคพื้นดิน และระดับชั้นบรรยากาศเพื่อดูการเคลื่อนไหวและ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ งานนี้ จาำ เป็ นต้องใช้เครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่มีสมรรถนะสู งมาก นอกจากนี้ มีงานอีก เป็ นจำานวนมากที่ตอ้ งใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซ่ ึ งมีความเร็ วสูง เช่น งานควบคุมขีปนาวุธ งานควบคุมทาง อวกาศ งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ งานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านเคมี เภสัชวิทยา และงาน ด้านวิศวกรรมการออกแบบ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ทาำ งานได้เร็ ว และมีประสิ ทธิ ภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ ชนิด อื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทาำ งานได้เร็ว เพราะมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำานวณพิเศษ เช่นการ คำานวณแบบขนานที่เรี ยกว่า เอ็มพีพี (Massively Parallel Processing : MPP) ซึ่งเป็ นการคำานวณที่กระทำากับ ข้อมูลหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกัน ส่ วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และหลักการทำางานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่ งหมายถึง การนับ หรื อ การคำานวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ ไว้วา่ "เครื่ องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำาหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สาำ หรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและ ซับซ้อนโดยวิธีทางคณิ ตศาสตร์ " คอมพิวเตอร์จึงเป็ นเครื่ องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้ นเพื่อใช้ทาำ งานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด คำานวณและสามารถจำาข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรี ยกใช้งานในครั้ งต่อไป นอกจากนี้ยงั สามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ดว้ ยความเร็วสู ง โดยปฏิบตั ิตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ยงั มี ความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรี ยบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่ งข้อมูล การจัดเก็บ ข้อมูลในตัวเครื่ องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ ซึ่งเราจะมาทำาความรู ้กบั ส่ วนประกอบของ คอมพิวเตอร์ ส่ วนประกอบของคอมพิวเตอร์ และหลักการทำางานของคอมพิวเตอร์ จะมีวงจรการทำางานพืน้ ฐาน 4 อย่ าง (IPOS cycle) คือ 1.ส่ วนรับข้อมูล (Input Unit) 2.ส่ วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit) 3.ส่ วนแสดงผล (Output Unit) 4.หน่วยความจำา (Memory Unit) 1.ส่ วนรับข้อมูล (Input Unit) ทำาหน้าที่รับข้อมูลจากผูใ้ ช้เข้าสู่หน่วยความจำาหลัก ปั จจุบนั อุปกรณ์มากมายแบ่งเป็ นประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้
Keyboard (คีย์บอร์ ด) Keyboard เป็ นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำาข้อมูลลงในเครื่ องคอมพิวเตอร์ มีลกั ษณะเป็ นปุ่ มตัวอักษร เหมือนปุ่ มเครื่ องพิมพ์ดีด เป็ นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ตอ้ งมีในคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่ อง จะรับข้อมูลจากการ กดแป้ นแล้วทำาการเปลี่ยน เป็ นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กบั คอมพิวเตอร์ แป้ นพิมพ์ที่ใช้ในการป้ อนข้อมูลจะมี จำานวนตั้งแต่ 50 แป้ นขึ้นไป แผงแป้ นอักขระส่ วนใหญ่มีแป้ นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำาให้การป้ อน ข้อมูลตัวเลขทำาได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำาแหน่งแป้ นอักขระ จะเป็ นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์ สัมผัสของเครื่ องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้ นยกแคร่ (shift) เพื่อทำาให้สามารถใช้พิมพ์ได้ท้ งั ตัวอักษร ตัวพิมพ์ ใหญ่ และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็ นรหัส 7 หรื อ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้ นพิมพ์ แผงแป้ นอักขระจะส่ งรหัสขนาด 7 หรื อ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบ คอมพิวเตอร์ Mouse (เมาส์ ) Mouse เป็ นอุปกรณ์ที่ทาำ หน้าที่ป้อนข้อมูลอย่างหนึ่งแต่ที่เห็นการทำางาน โดยทัว่ ไปจะเป็ นตัวที่ใช้ ควบคุมลูกศรให้เคลื่อนที่ไปยังตำาแหน่งต่างๆ บนจอภาพ เหมาะสำาหรับใช้งานเมื่อต้องเลือก หรื อเลื่อนวัตถุ ต่างๆ บนจอ Mouse ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้ 2 แบบ ได้แก่ 9 Pin, Serial Port และ PS/2 (Personal System Version2) Scanner (สแกนเนอร์ ) สแกนเนอร์ คือ อุปกรณ์จบั ภาพและเปลี่ยนแปลงภาพ จากรู ปแบบของแอนาลอกเป็ นดิจิตอล ซึ่ ง คอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรี ยบเรี ยง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็ นรู ป ถ่าย,ข้อความ, ภาพวาด หรื อแม้แต่วตั ถุสามมิติ Webcam (เว็บแคม) เว็บแคมหรื อชื่อเรี ยกเต็มๆว่า Web Camera (เว็บแคเมรา) แต่ในบางครั้งก็มีคนเรี ยกว่า Video Camera หรื อ Video Conference เว็บแคมเป็ นอุปกรณ์อินพุตที่ สามารถจับภาพเคลื่อนไหวของเราไปปรากฏในหน้า จอมอนิเตอร์ และสามารถส่งภาพเคลื่อนไหวนี้ ผา่ นระบบเครื อข่ายเพื่อให้คนอีกฟากหนึ่งสามารถเห็นตัวเรา เคลื่อนไหว ได้เหมือนอยูต่ ่อหน้า ถือว่าเป็ นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์อีกตัวหนึ่ง และมีความจำาเป็ นมากขึ้ น เรื่ อยๆ Microphone (ไมโครโฟน) ไมโครโฟน คือ อุปกรณ์รับเสี ยงแล้วทำาการแปลงเป็ นสัญญาณไฟฟ้ า เพื่อประมวลผลในเครื่ องขยาย เสี ยงหรื ออุปกรณ์ผสมเสี ยงอื่นๆ ไมโครโฟนจะประกอบด้วยขดลวดและแม่เหล็กเป็ นหลัก เมื่อเสี ยงกระทบ ตัวรับในไมโครโฟนจะทำาให้ขดลวดสัน่ สะเทือนตัดกับสนามแม่เหล็ก จึงทำาให้เกิดสัญญาณไฟฟ้ า ซึ่ งเป็ น หลักการทำางานตรงข้ามกับลำาโพง โดยทัว่ ไปไมโครโฟนใช้รับเสี ยงพูดหรื อเสี ยงร้องเพลง
Touch screen (ทัชสกรีน) ทัชสกรี น คือ จอภาพแบบสัมผัส ซึ่งเป็ นจอภาพแบบพิเศษที่เป็ นทั้งอุปกรณ์แสดงผลข้อมูล และ อุปกรณ์นาำ เข้าข้อมูล มักนำาไปใช้กบั ธุรกิจร้านค้า โรงแรม สายการบิน พิพิธภัณฑ์ สถานบันเทิงคาราโอเกะ รวมถึงธุรกิจธนาคาร เช่น เครื่ องเอทีเอ็ม ซึ่งผูใ้ ช้งานเพียงแต่นาำ นิ ้วหรื อใช้แท่งคล้ายดินสอหรื อปากกา แตะ/ กดลงบนตำาแหน่งที่ตอ้ งการบนจอภาพ 2.ส่ วนประมวลผลข้อมูล (Central Processing Unit) ส่ วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่จะขาดไม่ได้เลยคือหน่วยประมวลผลกลาง หรื อ ซีพียู เรี ยกอีกชื่อ หนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรื อ ชิป (chip) นับเป็ นอุปกรณ์ ที่มีความสำาคัญมากที่สุดของฮาร์ ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผใู้ ช้ป้อนเข้ามาทางอุปกรณ์อินพุต ตามชุดคำาสัง่ หรื อโปรแกรมที่ผู ้ ใช้ตอ้ งการใช้งาน ส่วนประกอบของหน่วยประมวลผลกลางนั้นประกอบไปด้วย 1. หน่วยคำานวณ และตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU) 2. หน่วยควบคุม (Control Unit) 3. หน่วยความจำาหลัก (Main Memory) 3.ส่ วนแสดงผล (Output Unit) หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำาหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์ โดยมากจะแบ่งออก เป็ น 2 ประเภท 3.1) หน่วยแสดงผลชัว่ คราว (Soft Copy) หมายถึง การแสดงผลออกมาให้ผใู ้ ช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกการทำางานหรื อเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไป ไม่เหลือเป็ นวัตถุให้เก็บได้ ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์ นั้นก็สามารถส่ งถ่ายไปเก็บในรู ปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำารอง เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในภายหลัง ได้แก่ 3.2) หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) หมายถึง การแสดงผลที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตาม ต้องการ มักจะออกมาในรู ปของกระดาษ ซึ่งผูใ้ ช้สามารถนำาไปใช้ในที่ต่าง ๆ หรื อให้ผรู ้ ่ วมงานดูในที่ใด ๆ ก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้เช่น 4.หน่วยความจำา (Memory Unit) หน่วยความจำา (Memory Unit) ทำาหน้าที่เก็บโปรแกรมหรื อข้อมูลที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อ เตรี ยมส่ งออกหน่วยประมวลผลกลางทำาการประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล และเตรี ยม ส่ งออกหน่วยแสดงผลข้อมูลต่อไป ซึ่งหน่วยความจำาของคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้ 4.1) หน่วยความจำาหลัก (Main Memory Unit) เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำาข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยูร่ ะหว่างการประมวลผลของ คอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรี ยกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage) สามารถแบ่งออกได้ เป็ น 2 ประเภท คือ
4.1.1) หน่วยความจำาหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM) เป็ นหน่วยความจำา แบบสารกึ่งตัวนำาชัว่ คราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็ นสื่ อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึก ำ (อย่างง่ายๆ) เป็ นความจำาที่ซอฟต์แวร์หรื อข้อมูลอยูแ่ ล้ว และพร้อมที่จะนำามาต่อกับไมโคร ซ้าได้ โพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำาประเภทนี้ แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากหน่วยความ จำา (nonvolatile) โดยทัว่ ไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ตอ้ งมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input output System : BIOS) หรื อเฟิ ร์มแวร์ ที่ควบคุมการทำางานของคอมพิวเตอร์ ใช้เก็บโปรแกรมการทำางานสำาหรับ เครื่ องคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ ที่ทาำ งานเฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่ องซักผ้า เป็ นต้น 4.1.2) หน่วยความจำาหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM) เป็ นหน่วยความ จำาหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยคุ ปัจจุบนั หน่วยความจำาชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ใน ตำาแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็ วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่ อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรื อดิสก์ ที่มี ข้อจำากัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ตอ้ งทำาตามลำาดับก่อนหลังตามที่จดั เก็บไว้ในสื่ อ หรื อมีขอ้ กำาจัดแบบ รอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว ข้อมูลในแรม อาจเป็ นโปรแกรมที่กาำ ลังทำางาน หรื อข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่ กำาลังทำางานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ ถูกปิ ดลง เนื่องจากหน่วยความจำาชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้ าหล่อเลี้ยงเท่านั้น 4.2) หน่วยเก็บข้อมูลสำารอง (Secondary Storage Unit) สามารถแบ่งออกได้เป็ นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท ดังนี้ 4.2.1) แบบจานแม่เหล็ก เป็ นอุปกรณ์สาำ รองข้อมูลที่เป็ นลักษณะของจานแม่เหล็กสำาหรับบันทึก ข้อมูลไว้ภายใน Disk ได้รับความนิยมและใช้งานมานานพอสมควรซึ่งเป็ น ส่ วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ใช้หลักๆ เลยในปัจจุบนั ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ ดดิสก์ 4.2.2) แบบแสง เป็ นสื่ อเก็บข้อมูลสำารองที่ได้รับความนิยมมากในปั จจุบนั โดยใช้หลักการ ทำางานของแสง การจัดการข้อมูลจะคล้ายกับแผ่นจานแม่เหล็ก ต่างกันที่การแบ่งจะเป็ นรู ปก้นหอย และเริ ่ ม เก็บบันทึกข้อมูลจากส่วนด้านในออกมาด้านนอก ที่เป็ นที่นิยมและรู ้จกั กันดี เช่น CD , DVD 4.2.3) แบบเทป เป็ นสื่ อเก็บข้อมูลที่สามารถเก็บข้อมูลได้เป็ นจำานวนมากและเข้าถึงข้อมูลแบบ เรี ยงลำาดับต่อเนื่องกันไป มีการผลิตขึ้นมาหลากหลายขนาดแตกต่างกันไป เช่น DAT และ QIC เป็ นต้น ปั จจุบนั ไม่ค่อยถือเป็ น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ 4.2.4) แบบอื่นๆ เป็ นสื่ อเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่พบได้ทวั่ ไปในปัจจุบนั มีชื่อเรี ยกแตกต่างกันไป เช่น Flash Drive, Thumb Drive , Handy Drive เป็ นต้น อีกชนิดคือ Memory Card เพื่อใช้เก็บข้อมูลในกล้อง ดิจิตอลแบบพกพา
องค์ ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้ 1. ฮาร์ ดแวร์ 2. ซอฟแวร์ 3. บุคลากรคอมพิวเตอร์ 4. ข้อมูล ฮาร์ ดแวร์ ฮาร์ ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็ นคอมพิวเตอร์ มีลกั ษณะเป็ นโครงร่ างสามารถ มองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ เช่น จอภาพ คียบ์ อร์ ด เครื่ องพิมพ์ เมาส์ เป็ นต้น ซึ่ งสามารถแบ่งออกเป็ นส่ วน ต่าง ๆ ตามลักษณะงาน คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยความจำาหลัก (Memory Unit) หน่วยประมลผลกลาง (Central Processing Unit : CPI) หน่วยแสดงผล (Output Unit) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำางานแตกต่างกัน หน่วยรับข้อมูลเป็ นส่ วนที่ทาำ หน้าที่นาำ ข้อมูลมาจากภายนอกเข้าสู่เครื่ องคอมพิวเตอร์ เป็ นตัวกลางเชื่อมโยงจากมนุษย์สู่เครื่ องคอมพิวเตอร์ เครื่ อง มือหรื ออุปกรณ์ ในหน่วยรับข้อมูลนี้ มีหน้าที่แปลงข้อมูลที่ส่งเข้าไปให้อยูใ่ นรู ปของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ และนำาเข้าสู่เครื่ องคอมพิวเตอร์ เพื่อการประมวลผล มีท้ งั ประเภทที่มนุษย์ตอ้ งการ ทำาการป้ อนข้อมูลด้วยตนเอง ในลักษณะการพิมพ์การชี้ ซ่ ึงอุปกรณ์ลกั ษณะนี้ ที่รู้จกั กันดี คือ แป้ นพิมพ์ (Keyboard) และเม้าส์ (Mouse) นอกจากนี้ยงั มีอุปกรณ์นาำ เข้าข้อมูลในลักษณะของการส่ งข้อมูลเข้าสู่ระบบ โดยตรง (Source-data Automation) เพื่อให้การส่ งข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ทาำ ได้รวดเร็ วยิง่ ขึ้น โดยอุปกรณ์จะอ่านข้อมูลจากแหล่ง กำาเนิดและส่ งเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยตรงผูใ้ ช้ไม่ตอ้ งเคลื่อนย้ายหรื อคัดลอกหรื อพิมพ์สิ่ งใดลงไปอีก ทำาให้เกิดความรวดเร็ วและถูกต้องแม่นยำายิง่ ขึ้น เครื่ องป้ อนข้อมูลประเภทนี้ คือ อุปกรณ์OCR และสแกน เนอร์ (Scanner) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยประมวลผลกลางเป็ นศูนย์กลางการ ประมวลผลของทั้งระบบเปรี ยบเสมือนกองบัญชาการ หรื อ ส่ วนของศีรษะของมนุษย์ที่มีผบู ้ ญั ชาการ หรื อ สมองอยูภ่ ายใน ภายในหน่วยประมวลผลกลาง จะเป็ นการทำางานประสานกันระหว่าง 2 ส่ วนหลัก คือ 1. ส่ วนควบคุม (Control Unit) 2. ส่ วนคำานวณและเปรี ยบเทียบข้อมูล (Arithmetic and Logical Unit or ALU) ส่ วนควบคุม (Control Unit)
ส่ วนควบคุมคือ ส่วนที่ทาำ หน้าที่สร้างและส่ งสัญญาณไปควบคุมการทำางานของส่ วนประกอบต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ คล้ายการส่งสัญญาณควบคุมจากสมองไปสู่ ส่วนต่าง ๆ ของร่ างกาย ส่ วนควบคุมนี้ ไม่ ได้ทาำ หน้าที่ประมวลผลข้อมูล แต่มีหน้าที่ประสานงานให้ส่วนประกอบต่าง ๆ สามารถทำางานร่ วมกันได้ อย่างเป็ นระบบ สัญญาณควบคุมจำานวนมาก สามารถเดินทางไปยังส่ วนประกอบต่าง ๆ ของระบบ คอมพิวเตอร์ ได้ดว้ ย ตัวส่งสัญญาณเรี ยกว่า บัส (Bus) ซึ่ประกอบด้วย Control Bus, Data Bus และ Address Bus ที่ทาำ หน้าที่ส่งสัญญาณควบคุม ส่งสัญญาณข้อมูล และส่ งตำาแหน่งที่อยูข่ องข้อมูล ในส่ วนความจำาตาม ลำาดับ ดังนั้นบัสจึงเปรี ยบเทียบเสมือนพาหนะที่ใช้ขนส่ งข้อมูลไปสู่ส่วนประกอบต่าง ๆ ของระบบนัน่ เอง ส่ วนคำานวณและเปรี ยบเทียบข้อมูล (Artimetic and Logic Unit : ALU) ทำาหน้าที่คาำ นวณและเปรี ยบ เทียบข้อมูล โดยอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ และตรรกศาสตร์ ตามลำาดับการประมวลผลด้วยหลักการทาง คณิ ตศาสตร์ คือการคำานวณที่ตอ้ งกระทำากับข้อมูลประเภทตัวเลข เช่น การบวก ลบ คูณ หาร ฯลฯ ให้ผลลัพธ์ ที่หลากหลาย แต่การประมวลผลด้วยหลักตรรกศาสตร์ คือ การเปรี ยบเทียบข้อมูลที่กระทำากับข้อมูลตัว อักษร สัญลักษณ์หรื อตัวเลข ให้ผลลัพธ์เพียงสองสภาวะ เช่น 0-1, ถูก-ผิด หรื อจริ ง-เท็จ เป็ นต้น คอมพิวเตอร์ แต่ละเครื่ อง มักมีส่วนคำานวณและเปรี ยบเทียบ (ALU) มากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งมักพบในเครื่ องที่มีกาประมวลผล แบบ Multi-Processing (ประมวลผลงานเดียว โดยอาศัยตัวประมวลผลหลายตัว) หน่วยความจำาหลัก (Main Memory หรื อ Primary Storage) หน่วยความจำาหลักเป็ นส่ วนความจำาพื้น ฐานในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่ อง เป็ นหัวใจของการทำางานในรู ปแบบอัตโนมัติ มีหน้าที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่ป้อน เข้ามาเพื่อให้ส่วนประมวลผลนำาไปใช้ และเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับคุณสมบัติกและระบบการทำางานของเครื่ อง คอมพิวเตอร์ หน่ วยความจำาหลักประกอบด้วย 1. หน่วยความจำาแบบถาวร (Read Only Memory – ROM) 2. หน่วยความจำาชัว่ คราว (Random Access Memory – RAM) หน่ วยความจำาแบบถาวร คือ หน่วยความจำาที่นาำ ข้อมูลออกมาใช้งานเพียงอย่างเดียว โดยได้มีการ บันทึกข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว สามารถเก็บรักษาข้อมูลไว้ได้โดยไม่ตอ้ งอาศัยพลังงานไฟฟ้ าในการรักษา ข้อมูล แม้เราจะปิ ดเครื่ องหรื อไม่มีไฟฟ้ าไปหล่อเลี้ยง ข้อมูลที่อยูใ่ นรอมก็จะยังคงอยูไ่ ม่สูญหายไปไหน ใน ปั จจุบนั หน่วยความจำาถาวรนี้ เปิ ดโอกาสให้สามารถลบหรื อแก้ไขข้อมูลได้ เช่น การปรับปรุ ง/แก้ไข ข้อมูล เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ (System Configuration) หน่ วยความจำาชั่วคราว คือ หน่วยความจำาที่สามารถบันทึกข้อมูล หรื ออ่านข้อมูล ณ เวลาใด ๆ ได้ ตามต้องการ การจดจำาข้อมูลจึงไม่ถาวร ทั้งยังต้องอาศัยสัญญาณไฟฟ้ าในการเก็บรักษาและอ่านข้อมูล ฉะนั้น ข้อมูลที่อยูใ่ นแรมจะสูญหายไปทันทีที่ปิดเครื่ องหรื อไฟฟ้ าไม่ไปหล่อเลี้ ยง แรมเป็ นหน่วยความจำาที่ ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับผูใ้ ช้เครื่ องคอมพิวเตอร์ โดยตรงเนื่องจากการับข้อมูล การประมวลผลและการแสดง ผลข้อมูลต่างต้องอาศัยพื้นที่ในหน่วยความจำาทั้งสิ้ น แรมเป็ นหน่วยความจำาที่บ่งชี้ ประสิ ทธิ ภาพของเครื่ อง คอมพิวเตอร์ ที่สาำ คัญขนาดความจุของแรมเปรี ยบเสมือนขนาดของโต๊ะทำางาน หากแรมมีความจุมาก ก็
เหมือนโต๊ะทำางานที่มีพ้ืนที่ในการทำางานได้มาก หน่ วยเก็บข้ อมูลสำารอง แบ่งออกตามความเหมาะสมในการเข้าไปถึงข้อมูลได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. หน่วยเก็บข้อมูลสำารองที่เข้าถึงข้อมูลโดยลำาดับเป็ นหน่วยเก็บข้อมูลสำารองที่ตอ้ งมีการจัดเก็บ และเรี ยกใช้ขอ้ มูลโดยการเรี ยงลำาดับ การสื บค้นหรื อเข้าถึงข้อมูลจึงล่าช้าเพราะต้องเป็ นไปตามลำาดับก่อน หลังของการบันทึก ซึ่งหน่วยเก็บข้อมูลประเภทนี้ ได้แก่ เทปแม่เหล็ก (magnetic taps) 2. หน่วยเก็บข้อมูลสำารองที่เข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง เป็ นหน่วยเก็บข้อมูลที่สามารถจัดเก็บและเรี ยก ใช้ขอ้ มูลที่ตอ้ งการได้โดยตรงไม่ตอ้ งอ่านเรี ยงลำาดับเหมาะกับงานที่ตอ้ งอาศัยการประมวลผลแบบโต้ตอบ ที่ ต้องการข้อมูลที่รวดเร็ว ซึ่งได้แก่ จานแม่เหล็ก ประเภทต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็ น ก๊อปปี้ ดิสก์ ฮาร์ ดดิสก์ ซีดีรอม และ ดีวีดี นัน่ เอง เนื่องจากส่วนความจำาในเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้บนั ทึกข้อมูลในระบบประมวลผล ไม่สามารถรักษา ข้อมูลไว้ได้หลังจากปิ ดเครื่ องคอมพิวเตอร์ ดังนั้น การบันทึกข้อมูลลงบนหน่วยเก็บข้อมูลสำารอง จึงมีความ จำาเป็ นในอันที่จะรักษาข้อมูลไว้ใช้ในอนาคต และทำาให้สามารถนำาข้อมูลจากเครื่ องคอมพิวเตอร์ เครื่ องหนึ่ง เคลื่อนย้ายไปสู่เครื่ องคอมพิวเตอร์เครื่ องอื่น ๆ ในระบบเดียวกันได้อีกด้วย หน่ วยแสดงแผล (Output Unit) หน่วยแสดงผลเป็ นส่ วนที่แสดงข้อมูลสู่มนุษย์ เป็ นตัวกลางการ สื่ อสารระหว่างคอมพิวเตอร์กบั มนุษย์ เราเรี ยกเครื่ องมือในส่ วนนี้ วา่ อุปกรณ์แสดงผล (Output Device) อุปกรณ์แสดงผลสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ตามลักษณะของข้อมูลที่แสดงออกมาสู่ผใู ้ ช้ ได้แก่ 1. อุปกรณ์แสดงผลที่มนุษย์จบั ต้องไม่ได้ (Softcopy Output Device) หมายถึงอุปกรณ์แสดงผลที่ มนุษย์ไม่สามารถจับต้องข้อมูลที่แสดงนั้นได้ เช่น ข้อมูลตัวอักษรหรื อภาพบนจอภาพ หรื อ ข้อมูลเสี ยงจาก ลำาโพง เราเรี ยกข้อมูลตัวอักษรหรื อภาพบนจอภาพ หรื อ ข้อมูลเสี ยงจากลำาโพงเราเรี ยกข้อมูลประเภทนี้ ว่า Softcopy 2. อุปกรณ์แสดงผลที่มนุษย์จบั ต้องได้ (Hardcopy Output Device) หมายถึงอุปกรณ์แสดงข้อมูลที่ มนุษย์สามารถจับต้องข้อมูลที่แสดงนั้นได้ เช่น ตัวอักษรหรื อภาพบนจอภาพ เป็ นต้น เราเรี ยกข้อมูลประเภท นี้วา่ Hardcopy ซอฟต์ แวร์ ความหมายของซอฟต์แวร์ หมายถึง ส่ วนที่มนุษย์สมั ผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็ นโปรแกรม หรื อชุดคำาสัง่ ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสัง่ ให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ ทาำ งานซอฟแวร์จึงเป็ นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผูใ้ ช้ เครื่ องคอมพิวเตอร์ และเครื่ องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่ องคอมพิวเตอร์ ทาำ อะไร ได้เลย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ จึงเป็ นซอฟต์แวร์ เพราะเป็ นลำาดับขั้นตอนการทำางาน ของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่ องหนึ่งทำางานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์ จึงหมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทุกประเภทที่ทาำ ให้คอมพิวเตอร์ ทาำ งานได้ ในบรรดาซอฟต์แวร์หรื อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีผพู ้ ฒั นาขึ้ นเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ มีมากมาย
ซอฟต์แวร์ เหล่านี้ อาจได้รับการพัฒนาโดยผูใ้ ช้งานเอง หรื อผูพ้ ฒั นาระบบ หรื อผูผ้ ลิตจำาหน่ายหากแบ่งแยก ชนิดของซอฟต์แวร์ตามสภาพการทำางาน พอแบ่งแยกชอฟต์แวร์ ได้เป็ นสองประเภท คือ 1. ซอฟต์แวร์สาำ หรับระบบ (System Software) 2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) ซอฟต์แวร์ระบบ คือ ซอฟแวร์ที่บริ ษทั ผูผ้ ลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จดั การกับระบบ หน้าที่การทำางาน ของซอฟต์แวร์ระบบคือดำาเนินงานพื้นฐานต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น 1. ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่ งออก เช่น รับการกดแป้ นต่าง ๆ บนแผงแป้ นอักขระ ส่ งรหัสอักษรออกทางจอภาพ หรื อเครื่ องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้า และส่ งออกอื่น ๆ เช่น เมาส์ อุปกรณ์ สังเคราะห์เสี ยง 2. ใช้ในการจัดการหน่วยความจำา เพื่อนำาข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยงั หน่วยความจำาหลัก หรื อ ในทำานองกลับกัน คือ นำาข้อมูลจากหน่วยความจำาหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก 3. ใช้เป็ นตัวเชื่อมต่อระหว่างผูใ้ ช้งานกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้ น เช่น การขอดู รายการบนในแผ่นบันทึก การทำาสำาเนาแฟ้ มข้อมูล ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทัว่ ไป แบ่งออกเป็ น ระบบปฏิบตั ิการ และตัวแปลภาษา ซอฟต์แวร์ ทั้งสองประเภทนี้ ทาำ ให้เกิดพัฒนาการประยุกต์ใช้งานได้ง่ายขึ้น ระบบปฏิบตั ิการ หรื อที่เรี ยกย่อว่า โอเอส (Operation System : OS) เป็ นซอฟต์แวร์ ใช้ในการดูแล ระบบคอมพิวเตอร์ เครื่ องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่ องจะต้องมีซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบตั ิการนี้ ระบบปฏิบตั ิการที่ นิยมใช้กนั มากและเป็ นที่รู้จกั กันดีเช่นดอส (Disk Operation System : DOS) วินโดวส์ (Windows) โอเอสทู (OS/2) ยูนิกซ์ (UNIX) 1) ดอส เป็ นซอฟต์แวร์จดั ระบบงานที่พฒั นามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คาำ สัง่ เป็ นตัวอักษรดอส เป็ นซอฟต์แวร์ที่รู้จกั กันดีในหมูผ่ ใู้ ช้ไมโครคอมพิวเตอร์ 2) วินโดวส์ เป็ นระบบปฏิบตั ิการที่พฒั นาต่อจากดอส เพื่อเน้นการใช้งานที่ง่ายขึ้ นสามารถทำางาน หลายงานพร้อมกันได้ โดยงานแต่ละงานจะอยูใ่ นกรอบช่องหน้าต่างที่แสดงผลบนจอภาพ การใช้งานเน้น รู ปแบบกราฟิ ก ผูใ้ ช้งานสามารถใช้เมาส์ เลื่อนตัวชี้ ตาำ แหน่งเพื่อเลือกตำาแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ ทำาให้ใช้ งานคอมพิวเตอร์ได้ง่ายวินโดวส์จึงได้รับความนิยมในปั จจุบนั 3) โอเอสทู เป็ นระบบปฏิบตั ิการแบบเดียวกันกับวินโดว์ แต่บริ ษทั ผูพ้ ฒั นาคือ บริ ษทั ไอบีเอ็ม เป็ น ระบบปฏิบตั ิการที่ให้ผใู้ ช้สามารถใช้ทาำ งานได้หลายงานพร้อมกันและการใช้งานก็เป็ นแบบกราฟิ กเช่นเดียว กับวินโดว์ 4) ยูนิกส์ เป็ นระบบปฏิบตั ิการที่พฒั นามาตั้งแต่ใช้กบั เครื่ องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบตั ิการยูนิกซ์ เป็ นระบบปฏิบตั ิการที่สามารถใช้งานได้หลายงานพร้อมกัน และทำางานได้หลาย ๆ งานในเวลาเดียวกัน ยู นิกส์จึงใช้ได้กบั เครื่ องที่เชื่อมโยงและต่อกับเครื่ องปลายทางได้หลายเครื่ องพร้อมกัน ระบบปฏิบตั ิการยังมีอีกมาก โดยเฉพาะระบบปฏิบตั ิการที่ใช้ในเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้
คอมพิวเตอร์ ทาำ งานร่ วมกันเป็ นระบบ เช่น ระบบปฏิบตั ิการเน็ตแวร์วินโดว์เอ็นที ตัวแปลภาษา ในการพัฒนาซอฟแวร์จาำ เป็ นต้องมีซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสู งเพื่อแปล ภาษาระดับสู งให้เป็ นภาษาเครื่ อง ภาษาระดับสู งมีหลายภาษา ภาษาระดับสู งเหล่านี้ เหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู ้ เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำาสัง่ ได้ง่าย เข้าใจได้ ตลอดจนถึงสามารถปรับปรุ งแก้ไขซอฟต์แวร์ ในภายหลังได้ ภาษาระดับสู งที่พฒั นาขึ้นมาทุกภาษาจะต้องมีตวั แปลสำาหรับแปลภาษา ภาษาระดับสูงซึ่งเป็ นที่รู้จกั และ นิยมกันมากในปัจจุบนั เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาเบสิ ก ภาษาซี และภาษาโลโก้ 1. ภาษาปาสคาล เป็ นภาษาสัง่ งานคอมพิวเตอร์ ที่มีรูปแบบเป็ นโครงสร้างเขียนสั่งงานคอมพิวเตอร์ เป็ นกระบวนความผูเ้ ขียนสามารถแบ่งแยกงานออกเป็ นชิ้นเล็ก ๆ แล้วมารวมกันเป็ นโปรแกรมขนาดใหญ่ได้ 2. ภาษาเบสิ ก เป็ นภาษาที่มีรูปแบบคำาสัง่ ไม่ยงุ่ ยาก สามารถเรี ยนรู ้และเข้าใจได้ง่าย มีรูปแบบคำาสัง่ พื้นฐานที่สามารถนำามาเขียนเรี ยงต่อกันเป็ นโปรแกรม 3. ภาษาซี เป็ นภาษที่เหมาะสมที่ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ อื่น ๆ ภาษาซีเป็ นภาษาที่มีโครงสร้าง คล่องตัวสำาหรับการเขียนโปรแกรม หรื อให้คอมพิวเตอรน์ติดต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ 4. ภาษาโลโก้ เป็ นภาษาที่เหมาะสมการเรี ยนรู ้และ เข้าใจหลักการโปรแกรมภาษาโลโก้ ได้รับการ พัฒนาสำาหรับเด็ก นอกจากภาษาที่กล่าวมาแล้ว ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กนั อยูใ่ นปั จจุบนั อีกมากกมาย หลายภาษา เช่น ภาษาฟอร์แทรน ภาษาโคบอล ภาษาอาร์ พีจี ซอฟต์ แวร์ ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรื อโปรแกรมที่ทาำ ให้คอมพิวเตอร์ ทำางานต่าง ๆ ตามที่ผใู้ ช้ตอ้ งการ ไม่วา่ จะเป็ นด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็ นต้น ซอฟต์แวร์ ประยุกต์ สามารถจำาแนกได้เป็ น 2 ประเภท คือ 1. ซอฟต์แวร์สาำ เร็ จ 2. ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ ในบรรดาซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่มีใช้กนั อยูท่ วั่ ไป ซอฟต์แวร์ สาำ เร็ จ (Package) เป็ นซอฟต์แวร์ ที่มีความ นิยมใช้กนั สูงมาก ซอฟต์แวร์สาำ เร็ จเป็ นซอฟต์แวร์ ที่บริ ษทั พัฒนาขึ้ น แล้วนำาออกมาจำาหน่วย เพื่อใช้ผใู ้ ช้งาน ซื้อไปใช้ได้โดยตรง ไม่ตอ้ งเสี ยเวลาในการพัฒนาซอฟร์ แวร์ อีก ซอฟต์แวร์ สาำ เร็ จที่มีจาำ หน่ายในท้องตลาด ทัว่ ไป และเป็ นที่นิยมของผูใ้ ช้มี 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1. ซอฟต์แวร์ประมวลคำา 2. ซอฟต์แวร์ตารางทำางาน 3. ซอฟต์แวร์จดั การฐานข้อมูล 4. ซอฟต์แวร์นาำ เสนอ 5. ซอฟต์แวร์สื่อสารข้อมูล ซอฟต์แวร์ประมวลคำา เป็ นซอฟต์แวร์ ประยุกต์ใช้สาำ หรับการพิมพ์เอกสาร สามารถแก้ไข เพิ ่ม แทรก ลบ และจัดรู ปแบบเอกสารได้อย่างดี เอกสารที่พิมพ์ไว้จดั เป็ นแฟ้ มข้อมูล เรี ยกมาพิมพ์ หรื อแก้ไขใหม่ได้ การพิมพ์ออกทางเครื่ องพิมพ์ก็มีรูปแบบตัวอักษร ให้เลือกหลายรู ปแบบ เอกสารจึงดูเรี ยบร้อยสวยงาม
ปั จจุบนั มีการเพิ่มขีดความสามารถของซอฟต์แวร์ ประมวลคำา อีกมากมาย ซอฟต์แวร์ ประมวลคำาที่นิยมอยูใ่ น ปั จจุบนั เช่น ไมโครซอฟต์เวิร์ค ซอฟต์แวร์ตารางทำางาน เป็ นซอฟต์แวร์ ที่ช่วยในการคิดคำานวณ การทำางานของซอฟต์แวร์ ตาราง ทำางาน ใช้หลักการเสมือนมีโต๊ะทำางาน ที่มีกระดาษขนาดใหญ่วางไว้มีเครื่ องมือคล้ายปากกา ยางลบ และ เครื่ องคำานวณเตรี ยมไว้ให้เสร็ จ บนกระดาษมีช่องให้ใส่ ตวั เลข ข้อความหรื อสูตรสามารถสั ง่ ให้คาำ นวณตาม สูตรหรื อเงื่อนไขที่กาำ หนด ผูใ้ ช้ซอฟต์แวร์ตารางทำางานสามารถประยุกต์ใช้งานประมวลผลตัวเลขอื่น ๆ ได้ กว้างขวาง ซอฟต์แวร์ตารางทำางาน ที่นิยมใช้ เช่น ไมโครซอฟต์เอกเซล ซอฟต์แวร์จดั การฐานข้อมูล การใช้คอมพิวเตอร์ อย่างหนึ่งคือการใช้เก็บข้อมูล และจัดการกับข้อมูลที่ จัดเก็บในคอมพิวเตอร์ จึงจำาเป็ นต้องมีซอฟต์แวร์ จดั การข้อมูล การรวบรวมข้อมูลหลาย ๆ เรื่ องที่เกี่ยวข้อง กันไว้ในคอมพิวเตอร์เราก็เรี ยกว่าฐานข้อมูล ซอฟต์แวร์ จดั การข้อมูลจึงหมายถึงซอฟต์แวร์ ที่ช่วยในการเก็บ การเรี ยกค้นมาใช้งาน การทำารายงาน การสรุ ปผลจากข้อมูล ซอฟต์แวร์จดั การฐานข้อมูลที่นิยมใช้ เช่น ไมโครซอฟต์แอกเซส มายเอสคิวแอล ออราเคิล ฯลฯ ซอฟต์แวร์นาำ เสนอ เป็ นซอฟต์แวร์ที่ใช้สาำ หรับเสนอข้อมูล การแสดงผลต้องการสามารถดึงดูดความ สนใจ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ จึงเป็ นซอฟต์แวร์ ที่นอกจากสามารถแสดงข้อความในลักษณะที่จะสื่ อความหมาย ได้ง่ายแล้ว จะต้องสร้างแผนภูมิ กราฟ และรู ปภาพได้ ตัวอย่างมาของซอฟต์แวร์นาำ เสนอ เช่น ไมโครซอฟต์ เพาเวอร์ พอยด์ มายแมนเนเจอร์ มาร์โครมีเดียแฟรช ซอฟต์แวร์สื่อสารข้อมูล ซอฟต์แวร์สื่อสารข้อมูลนี้ หมายถึงซอฟต์แวร์ ที่จะช่วยให้ไมโคร คอมพิวเตอร์ ติดต่อสื่ อสารกับเครื่ องพิวเตอร์อื่นในที่ห่างไกล โดยผ่านทางสายโทรศัพท์ซอฟท์แวร์ สื่อสารให้ เชื่อมโยงต่อเข้ากับระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์ เน็ต ทำาให้สามารถใช้บริ การอื่น ๆ เพิ ม่ เติมได้ สามารถใช้รับส่ งไปรษณียอ์ ิเล็กทรอนิกส์ ใช้โอนย้ายแฟ้ มข้อมูล ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล อ่านข่าวสาร นอกจาก นี้ยงั ใช้ในการเชื่อมเข้าหามินิคอมพิวเตอร์หรื อเมนเฟรม เพื่อเรี ยกใช้งานเครื่ องเหล่านั้นได้ ซอฟต์แวร์ สื่อสาร ที่นิยมมีมากกมายซอฟต์แวร์ เช่น โปรแกรมเพริ ช เอ็มเอสเอ็น แคมฟร็ อก ฯลน ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะมักเป็ นซอฟต์แวร์ ที่ผพู ้ ฒั นาต้องเข้าไปศึกษารู ป แบบการทำางานหรื อความต้องการของธุรกิจนั้น ๆ แล้วจัดทำาขึ้น โดยทัว่ ไป จะเป็ นซอฟแวร์ ที่มีหลายส่ วน รวมกันเพื่อร่ วมกันทำางาน ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะที่ใช้กนั ในทางธุรกิจ เช่น ระบบงานทางด้านบัญชี ระบบ งานจัดจำาหน่าย ระบบงานในโรงงานอุตสาหกรรม บริ หารการเงิน และการเช่าซื้ อ ความต้องการของการใช้ คอมพิวเตอร์ ในงานทางธุรกิจยังมีอีกมาก ดังนั้นจึงต้องมีความต้องการผูพ้ ฒั นาซอฟต์แวร์ เพื่อพัฒนา ซอฟต์แวร์ ใช้งานเฉพาะต่าง ๆ อีกมากมาย การประยุกต์ใช้งานด้วยซอฟต์แวร์สาำ เร็ จมักจะเน้นการใช้งานทัว่ ไป แต่อาจจะนำามาประยุกต์โดยตรง กับงานทางธุรกิจบางอย่างไม่ได้ เช่น ในกิจการธนาคารมีการฝากถอนเงิน งานทางด้านบัญชี หรื อในห้าง สรรพสิ นค้าก็มีงานขายสิ นค้า การออกใบเสร็ จรับเงิน การควบคุมสิ นค้าคงคลัง ดังนั้นจึงจ้องมีการพัฒนา ซอฟต์แวร์ ใช้งานเฉพาะสำาหรับงานแต่ละประเภทให้ตรงกับความต้องการของผูใ้ ช้แต่ละราย
บุคลากร ได้ แก่บุคคลทีม่ ีความเกีย่ วข้ องกับคอมพิวเตอร์ ประกอบด้ วย 1. นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ 2. นักเขียนโปรแกรมระบบ 3. นักเขียนโปรแกรม 4. ผูจ้ ดั การฐานข้อมูล 5. ผูป้ ฏิบตั ิการ 6. ผูใ้ ช้ นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analyst) เป็ นผูท้ ี่มีหน้าที่วิเคราะห์และออกแบบระบบงาน ใหม่หรื อปรับปรุ งระบบงานเดิม ต้องเป็ นผูม้ ีความรู ้ทางคอมพิวเตอร์ และมีประสบการณ์การทำางาน พอ สมควร นักเขียนโปรแกรมระบบ (System Programmer) มีหน้าที่ในการเขียนโปรแกรมระบบควบคุมเครื่ องจะ คอยตรวจสอบและแก้ไขเมื่อระบบคอมพิวเตอร์ มีปัญหาต้องเป็ นผูท้ ี่มีความรู ้เกี่ยวกับฮาร์ ดแวร์ เป็ นอย่างดี นักเขียนโปรแกรม (Programmer) เป็ นผูม้ ีหน้าที่เขียนโปรแกรมตามรายละเอียดและข้อกำาหนด ที่ System Analyst ได้ออกแบบให้เป็ นผูท้ ี่มีความรู ้ทางคอมพิวเตอร์ เป็ นอย่างดีแต่ไม่จาำ เป็ นต้องรู ้รายละเอียด เกี่ยวกับฮาร์ ดแวร์ควรมีความรู้ในการเขียนและแก้ไขข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่อาจเกิดขึ้ น ผูจ้ ดั การฐานข้อมูล (Database Administrator or DBA) เป็ นผุท้ ี่มีหน้าที่ในการบริ หารและควบคุมฐาน ข้อมูลสามารถสร้างและแก้ไขโครงสร้างฐานข้อมูลได้ ผูป้ ฏิบตั ิการ (Operator) เป็ นเจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ ที่มีหน้าที่ควบคุมการปิ ดเปิ ดเครื่ องเมื่อระบบมี ปั ญหาจะแจ้งให้ผเู้ ขียนโปรแกรมระบบทราบนอกจากนี้ ยงั มีหน้าที่สาำ รองข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ข้ ึนเก็บไว้ ในสื่ อบันทึกข้อมูล เช่น เทป เพื่อป้ องกันความเสี ยหายที่อาจเกิดขึ้นกับข้อมูลได้ ซึ่งผูป้ ฏิบตั ิการนี้ ไม่จาำ เป็ น ต้องมีความรู ้สูงนักแต่ตอ้ งกเป็ นผูท้ ี่มีความรับผิดชอบและใส่ ในในการทำางาน ผูใ้ ช้ (User) เป็ นผูท้ ี่ใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ เป็ นผูร้ ะบุความต้องการแก่นกั วิเคราะห์วา่ ต้องการใช้ ระบบงานเป็ นอย่างไร ให้คอมพิวเตอร์ช่วยทำาอะไรได้บา้ ง บรรดานักคอมพิวเตอร์ ตอ้ งสนองความต้องการ แก่ผใู ้ ช้น้ ี ข้ อมูล องค์ประกอบทางด้านข้อมูล (Data) เป็ นข้อมูลที่จะต้องป้ อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์ พร้อมกับโปรแกรมที่นกั คอมพิวเตอร์ ได้เขียนขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตอ้ งการออกมาข้อมูลต้องเป็ นข้อมูลที่มีความถูกต้อง จึงจะ ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องออกมา ข้อมูลเป็ นองค์ประกอบที่สาำ คัญอย่างหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์ เป็ นสิ ่ งที่ตอ้ ง ป้ อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อมกับโปรแกรมที่นกั คอมพิวเตอร์ เขียนขึ้นเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ตอ้ งการออกมา ข้อมูลที่สามารถนำามาใช้กบั คอมพิวเตอร์ มี 5 ประเภทคือ
1. 2. 3. 4. 5.
ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้อมูลเสี ยง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) ข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data)
การจำาแนกคอมพิวเตอร์ ตามลักษณะวิธีการทำางานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (Analog computer) เป็ นเครื่ องคำานวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขเป็ น หลักของการคำานวณ แต่จะใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้ าแทน ไม้บรรทัดคำานวณ อาจถือเป็ นตัวอย่างหนึ่งของแอ นะล็อกคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ค่าตัวเลขตามแนวความยาวไม้บรรทัดเป็ นหลักของการคำานวณ โดยไม้บรรทัด คำานวณจะมีขีดตัวเลขกำากับอยู่ เมื่อไม้บรรทัดหลายอันมรประกบรวมกัน การคำานวณผล เช่น การคูณ จะ เป็ นการเลื่อนไม้บรรทัดหนึ่งไปตรงตามตัวเลขของตัวตั้งและตัวคูณของขีดตัวเลขชุดหนึ่ง แล้วไปอ่านผลคูณ ของขีดตัวเลขอีกชุดหนึ่งแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ แบบอิเล็กทรอนิกส์จะใช้หลักการทำานองเดียวกัน โดยแรง ดันไฟฟ้ าจะแทนขีดตัวเลขตามแนวยาวของไม้บรรทัด แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ จะมีลกั ษณะเป็ นวงจร อิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทำาหน้าที่เป็ นตัวกระทำาและเป็ นฟังก์ชนั ทางคณิ ตศาสตร์ จึงเหมาะสำาหรับงาน คำานวณทางวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมที่อยูใ่ นรู ปของสมการคณิ ตศาสตร์ เช่น การจำาลองการบิน การศึกษา การสัง่ สะเทือนของตึกเนื่องจากแผ่นดินไหว ข้อมูลตัวแปรนำาเข้าอาจเป็ นอุณหภูมิความเร็ วหรื อความดัน อากาศ ซึ่งจะต้องแปลงให้เป็ นค่าแรงดันไฟฟ้ า เพื่อนำาเข้าแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็ นแรง ดันไฟฟ้ าแปรกับเวลาซึ่งต้องแปลงกลับไปเป็ นค่าของตัวแปรที่กาำ ลังศึกษา ในปั จจุบนั ไม่ค่อยพบเห็นแอนะ ล็อกคอมพิวเตอร์เท่าไรนักเพราะผลการคำานวณมีความละเอียดน้อย ทำาให้มีขีดจำากัดใช้ได้กบั งานเฉพาะบาง อย่างเท่านั้น ดิจทิ ัลคอมพิวเตอร์ (Digital computer) คอมพิวเตอร์ ที่พบเห็นทัว่ ไปในปั จจุบนั จัดเป็ นดิจิทลั คอมพิวเตอร์ แทบทั้งหมด ดิจิทลั คอมพิวเตอร์ เป็ นเครื่ องคำานวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานเกี่ยวกับตัวเลข มี หลักการคำานวณที่ไม่ใช่แบบไม้บรรทัดคำานวณ แต่เป็ นแบบลูกคิด โดยแต่และหลักของลูกคิดคือ หลักหน่วย หลักร้อย และสูงขึ้นไปเรื่ อย ๆ เป็ นระบบเลขฐานสิ นที่แทนตัวเลขจากศูนย์ถา้ เก้าไปสิ บตัวตามระบบตัวเลข ที่ใช้ในชีวิตประจำาวัน ค่าตัวเลขของการคำานวณในดิจิทลั คอมพิวเตอร์ จะแสดงเป็ นหลักเช่นเดียวกัน แต่จะ เป็ นระบบเลขฐานสองที่มีสญ ั ลักษณ์ตวั เลขเพียงสองตัว คือเลขศูนย์กบั เลขหนึ่งเท่านั้น โดยสัญลักษณ์ตวั เลข ทั้งสองตัวนี้ จะแทนลักษณะการทำางานภายในซึ่ งเป็ นสัญญาณไฟฟ้ าที่ต่างกัน การคำานวณภายในดิจิทลั คอมพิวเตอร์ จะเป็ นการประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสองทั้งหมด ดังนั้นเลขฐานสิ บที่เราใช้และคุน้ เคยจะ ถูกแปลงไปเป็ นระบบเลขฐานสองเพื่อการคำานวณภายในคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้กย็ งั เป็ นเลขฐานสองอยู่ ซึ่งคอมพิวเตอร์จะแปลงเป็ นเลขฐานสิ บเพื่อแสดงผลให้ผใู ้ ช้เข้าใจได้ง่าย
ระบบต่ าง ๆ ภายในคอมพิวเตอร์ ต้งั แต่ อดีตถึงปัจจุบัน มี 11 ระบบ 1. ระบบที่ไม่มีระบบปฏิบตั ิการ (Non operating system) ยุคแรก ๆ คอมพิวเตอร์มีแต่เครื่ องเปล่า ๆ ผูใ้ ช้ตอ้ งเขียนโปรแกรมสัง่ งาน ตรวจสอบการทำางาน ป้ อน ข้อมูล และควบคุมเอง ทำาให้ระยะแรกใช้กนั อยูใ่ นวงจำากัด 2. ระบบงานแบ็ตซ์ (Batch system) ในอดีต คอมพิวเตอร์จะทำางานได้ครั้งละ 1 งาน การสัง่ งานคอมพิวเตอร์ ให้มีมีประสิ ทธิ ภาพยิง่ ขึ้น ทำาได้โดยการรวมงานที่คล้ายกัน เป็ นกลุ่ม แล้วส่ งให้เครื่ องประมวลผล โดยผูท้ าำ หน้าที่รวมงาน จะรับงาน จากนักพัฒนาโปรแกรม มาจัดเรี ยงตามความสำาคัญ และตามลักษณะของโปรแกรม จัดเป็ นกลุ่มงาน แล้วส่ ง ให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล 3. ระบบบัฟเฟอร์ (Buffering system) การทำางานเพื่อขยายขีดความสามารถของระบบ ทำาให้หน่วยรับ-แสดงผลสามารถทำางานไปพร้อม ๆ กับการประมวลผลของซีพียู ในขณะที่ประมวลผลคำาสัง่ ที่ถูกโหลดเข้าซีพียนู ้ นั จะมีการโหลดข้อมูลเข้าไป เก็บในหน่วยความจำาก่อน เมื่อถึงเวลาประมวลผลจะสามารถทำางานได้ทนั ที และโหลดข้อมูลต่อไปเข้ามา แทนที่ หน่วยความจำาที่ทาำ หน้าที่เก็บข้อมูลที่เตรี ยมพร้อมนี้ เรี ยกว่า บัฟเฟอร์ (buffer) 4. ระบบสพูลลิ่ง (Spooling) Simultaneous Peripheral Operating On-Line เป็ น multiprogramming พื้นฐาน ทำาให้ซีพียทู าำ งานเต็ม ประสิ ทธิ ภาพ เพราะทำาให้สามารถทำางานได้ 2 งานพร้อมกัน งานแรกคือประมวลผลในส่ วนของซีพียู งานที่ สองคือการรับ-แสดงผลข้อมูล ซึ่งต่างกับ buffer ที่ซีพียู และหน่วยรับ-แสดงผลทำางานร่ วมกัน และ spooling มี job pool ทำาให้สามารถเลือกการประมวลผลตามลำาดับก่อนหลังได้ โดยคำานึง ถึง priority เป็ นสำาคัญ 5. ระบบมัลติโปรแกรมมิ่ง (Multiprogramming) การทำางานที่โหลดโปรแกรมไปไว้ในหน่วยความจำาหลัก และพร้อมที่จะประมวลผลได้ทนั ที ระบบ ปฏิบตั ิการจะเลือกงานเข้าไปประมวลผลจนกว่าจะหยุดคอยงานบางอย่าง ในช่วงที่หยุดรอจะดึงงานเข้าไป ประมวลผลต่อทันที ทำาให้มีการใช้ซีพียไู ด้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ 6. ระบบแบ่งเวลา (Time-sharing หรื อ Multitasking) เป็ นการขยายระบบ multiprogramming ทำาให้สามารถสับเปลี่ยนงานของคนหลาย ๆ คนเข้าสู่ ซีพียู ซึ่ง การสับเปลี่ยนที่ทาำ ด้วยความเร็ วสูงจะทำาให้ผใู ้ ช้รู้สึกเหมือนครอบครองซี พียอู ยูเ่ พียงผูเ้ ดียว 7. ระบบเรี ยลไทม์ (Real-time system) จุดประสงค์อีกอย่างหนึ่งของ ระบบปฏิบตั ิการ คือ ระบบเวลาจริ ง (Real-time system) หมายถึงการ ตอบสนองทันที เช่นระบบ Sensor ที่ส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ เครื่ องมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ ระบบภาพ ทางการแพทย์ ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม ระบบหัวฉี ดในรถยนต์ ระบบควบคุมการยิง ระบบ แขนกล และเครื่ องใช้ในครัวเรื อนทั้งหมด
Real-time แบ่งได้ 2 ระบบ 1. Hard real-time system เป็ นระบบที่ถูกรับรองว่าจะได้รับการตอบสนองตรงเวลา และหยุดรอไม่ได้ 2. Soft real-time system เป็ นระบบ less restrictive type ที่สามารถรอให้งานอื่นทำาให้เสร็ จก่อนได้ 8. ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer System) ปั จจุบนั คอมพิวเตอร์ราคาถูกลง มีการพัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งแป้ นพิมพ์ เมาส์ จอภาพ หน่วยความจำา หน่วยประมวลผล เป็ นต้น และการใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ได้มุ่งเน้นด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ นำาไปใช้เพื่อความบันเทิงในบ้านมากขึ้น และกลายเป็ นสิ่ งจำาเป็ นสำาหรับทุกองค์กร นอกจากคอมพิวเตอร์ แบบตั้งโต๊ะ(Desktop) ยังมีคอมพิวเตอร์แบบสมุดโน๊ต(Notebook) และคอมพิวเตอร์ มือถือ (PDA) ปั จจุบนั มี โทรศัพท์มือถือที่ทาำ งานแบบคอมพิวเตอร์ และใช้ดูหนังฟังเพลง หรื อประมวลผลต่าง ๆ ที่ซบั ซ้อนมากขึ้ น ใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะยิ่งขึ้น 9. ระบบเวอร์ ชวลแมชีน (Virtual machine) เครื่ องเสมือน ทำาให้ผใู้ ช้คอมพิวเตอร์ รู้สึกเหมือนใช้คอมพิวเตอร์ เพียงคนเดียว แต่ในความเป็ นจริ งจะ บริ การให้ผใู ้ ช้หลายคน ในหลายโปรเซส โดยใช้เทคโนโลยี Virtual machine บริ การงานต่าง ๆ ให้กบั ผู ้ ใช้ได้หลาย ๆ งานพร้อมกัน 10. ระบบมัลติโปรเซสเซอร์ (Multiprocessor system) Symmetric-multiprocessing การประมวลผลแบบสมมาตร หมายถึงการประมวลผลหลาย โปรเซสเซอร์ ที่ไม่มีโปรเซสเซอร์ตวั ใดรับโหลดมากกว่าตัวอื่น Asymmetric-multiprocessing การประมวลผลแบบไม่สมมาตร หมายถึงการมีโปรเซสเซอร์ ตวั หนึ่ง เป็ นตัวควบคุม และแบ่งงานแต่ละแบบให้โปรเซสเซอร์ แต่ละตัวตามความเหมาะสม 11. ระบบแบบกระจาย (Distributed system) ระบบเครื อข่าย ที่กระจายหน้าที่ กระจายการเป็ นศูนย์บริ การ และเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ด้วยจุด ประสงค์ต่าง ๆ กัน ในมาตรฐาน TCP/IP ซึ่งเป็ นที่ยอมรับทั้ง Windows, Linux, Unix และ Mac ทำาให้ ทั้งหมดสามารถสื่ อสารกันรู้เรื่ องเข้าใจ และก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในชีวติ ประจำาวัน บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานต่างๆ ในขณะนี้บทบาทของคอมพิวเตอร์ได้แผ่เข้าไปในสถานศึกษาอย่างกว้างขวางเพราะนอกจากสถาน ศึกษาจะมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้สอนวิชาคอมพิวเตอร์ แล้วยังนำาไปใช้งานอื่นๆ อีกคือ คอมพิวเตอร์ ช่วยในการบริ หาร เช่น การคิดคะแนน ทำาทะเบียนบุคลากร ครุ ภณ ั ฑ์ วัสดุอุปกรณ์ บัญชีเงิน เดือน จัดทำาตารางสอน ฯลฯคอมพิวเตอร์ช่วยในงานบริ การ เช่น งานห้องสมุด แนะแนว โสตทัศนศึกษา งานประชาสัมพันธ์ ฯลฯ นอกจากบทบาทดังกล่าวแล้วบทบาทที่สาำ คัญอีกอย่าง หนึ่ง คือ คอมพิวเตอร์ช่วยการเรี ยนการสอน
บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในงานวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ช่วยงานวิศวกรรมได้เกือบทุกขั้นตอน เริ่ มตั้งแต่ใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยในการเขียนแบบ ซึ่ง ทำาให้สามารถเขียนและแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบได้ตลอดเวลาและบ่อยครั้ งวิศวกรจึงมีอิสระในการคิด สามารถทบทวนความคิดเพื่อปรับปรุ งสิ่ งประดิษฐ์ให้ดีข้ ึน โดยคอมพิวเตอร์ ไม่แสดงความเบื่อหน่าย หลัง จากที่วิศวกรพอใจในแบบแล้วก็จะสร้างเครื่ องต้นแบบขึ้ นมาเพื่อใช้ในการทดสอบตามสภาพต่างๆ ว่า สามารถทำางานตามที่ออกแบบไว้หรื อไม่ บางครั้งวิศวกรจะใช้คอมพิวเตอร์ สร้างแบบจำาลองขึ้นมาเพื่อ ทำาการทดสอบ เช่น รถยนต์ เครื่ องบิน เป็ นต้น นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ยงั ช่วยวิศวกรในการสร้างเครื่ องจักร สรรหากระบวนการที่มีประสิ ทธิ ภาพ สู งสุ ด ช่วยในการคำานวณหาจำานวนชิ้นส่วน ช่วยในการจัดหาวัสดุในขบวนการผลิตคอมพิวเตอร์ จะควบคุม หุ่ นยนต์ให้ทาำ งาน เช่น การประกอบ การพ่นสี และเมื่อผลิตภัณฑ์สาำ เร็ จคอมพิวเตอร์ จะช่วยในการจัดการ เกี่ยวกับสิ นค้าคงคลังของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ในงานวิศวกรรมโยธา คอมพิวเตอร์ช่วยในการคำานวณโครงสร้าง ช่วยในการวางแผนและการควบคุม การก่อสร้าง การประมาณราคา การจัดหาวัสดุ การทำารายงาน การเขียนแบบต่างๆ บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์มีบทบาทสำาคัญต่อความเจริ ญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทุกสาขาอาทิเช่น ช่วยเก็บและ เปรี ยบเทียบ คัดเลือกข้อมูล สามารถทำางานร่ วมกับเครื่ องวัดต่างๆ หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ จะช่วยทำาการทดลอง ที่เป็ นอันตราย หรื อสามารถใช้ในการทดลองแทนสัตว์ ซึ่งอาจจะเสี ยชีวิตได้ คอมพิวเตอร์ ช่วยในการเดิน ทางของยานอวกาศต่างๆ การถ่ายภาพระยะไกล การสื่ อสารผ่านดาวเทียม เป็ นต้น บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ คอมพิวเตอร์สามารถจัดการข้อมูลได้รวดเร็ วและถูกต้อง ทำาให้การวางแผนธุรกิจเป็ นไปอย่างง่ายดาย คอมพิวเตอร์ จะช่วยประมาณสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างแม่นยำาสามารถช่วยงานธุรการ เช่น จัดการเกี่ยวกับบุคลากร เงินเดือน การพัสดุ ค่าใช้จ่าย รายได้ ภาษีอากร การทำาจดหมายโต้ตอบ การทำา รายงาน เป็ นต้น บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในงานธนาคาร กิจการธนาคารนั้นจำาเป็ นอย่างยิง่ ที่จะต้องใช้คอมพิวเตอร์ เพราะธนาคารมีท้ งั ผูฝ้ ากเงินซึ่ งเป็ นเจ้าหนี้ และผูก้ ซู้ ่ ึงเป็ นลูกหนี้ มีการฝากและถอนเงินเป็ นภาระกิจประจำา การคิดดอกเบี้ ยในอัตราต่างๆ และในช่วง เวลาต่างๆ ก็เป็ นเรื่ องยุง่ ยากธนาคารต้องเกี่ยวข้องกับกระแสเงินตราต่างประเทศนอกจากนี้ กิจกรรมของ ธนาคารซึ่งคอมพิวเตอร์เป็ นส่วนสำาคัญที่สุดเรี ยกว่า Automatic Teller Machine หรื อ ATM ซึ่งลูกค้าสามารถ ฝากถอนหรื อโอนเงินจากเครื่ องได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งทำาให้ลูกค้าได้รับความสะดวกเป็ นอย่างมาก และเป็ นที่ นิยมแพร่ หลายกันอยูใ่ นปัจจุบนั
บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในร้ านค้ าปลีก ปั จจุบนั ร้านสรรพสิ นค้าใหญ่ๆ หลายแห่ ง ได้ติดตั้งเครื่ องคอมพิวเตอร์ แทนเครื่ องคิดเลขที่จุดขาย เครื่ องเหล่านี้ จะเป็ นเครื่ องปลายทาง (Terminal) พ่วงต่อเข้ากับเครื่ องคอมพิวเตอร์ หลัก พนักงานขายเพียงแต่ ป้ อนข้อมูลสิ นค้าด้วยการพิมพ์หรื อการอ่านรหัสด้วยเครื่ องอ่าน เครื่ องจะพิมพ์ใบเสร็ จพร้อมกับบันทึกการ ขายให้โดยอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันข้อมูลของสิ นค้าจะเปลี่ยนแปลงไปตามจำานวนการขายทันที ทำาให้ผู ้ จัดการรู ้ปริ มาณการเคลื่อนไหวของสิ นค้าตลอดเวลา และสามารถสัง่ สิ นค้ามาขายได้อย่างเพียงพอ บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในงานสั งคมศาสตร์ นักวิจยั นำาคอมพิวเตอร์ไปใช้ในงานสังคมศาสตร์ เช่น ในงานจิตวิทยาและสังคมสงเคราะห์ คอมพิวเตอร์ ช่วยให้นกั วิจยั ทราบข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตความเป็ นอยูข่ องสังคมต่างๆ จากงานสถิติ เพราะ คอมพิวเตอร์ สามารถให้คาำ ตอบออกมาอย่างรวดเร็ ว และถูกต้อง· บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในวงการแพทย์ บทบาทของคอมพิวเตอร์ในโรงพยาบาลนอกจากจะช่วยงานธุรการต่างๆ เช่น ใช้บนั ทึกและค้นหา ทะเบียนประวัติผปู้ ่ วย ควบคุมการรับและจ่ายยาแล้ว ยังช่วยในการวินิจฉัยโรคอีกด้วย เช่น ตรวจคลื่นสมอง บันทึกการเต้นของหัวใจ คำานวณปริ มาณและทิศทางของรังสี แกมมาที่ใช้รักษาโรคมะเร็ ง คำานวณหา ตำาแหน่งที่ถูกต้องของอวัยวะก่อนการผ่าตัด เป็ นต้น บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในการคมนาคมและสื่ อสาร การจองตัว๋ ที่นงั่ เครื่ องบินเป็ นตัวอย่างที่ดีของการใช้คอมพิวเตอร์ ในการคมนาคมและสื่ อสาร เพราะ สายการบินทัว่ โลกมีหลายสาย แต่ละสายมีหลายเที่ยวบิน ในขณะที่จาำ นวนที่นัง่ มีจาำ นวนจำากัด การใช้ คอมพิวเตอร์ จึงทำาให้ผโู้ ดยสารสามารถเลือกสายการบินได้สะดวก ถูกต้องและเมื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงก็จะ ทำาได้ง่าย นอกจากนี้ยงั มีการเก็บข้อมูลสถิติของผูโ้ ดยสารไว้ดว้ ย ในส่ วนของท่าอากาศยานได้มีการใช้เครื่ อง คอมพิวเตอร์ ช่วยในการควบคุมการจราจรทั้งทางบกและทางอากาศ ปั จจุบนั นี้ สายการบินทัว่ โลกมีเครื อข่าย คอมพิวเตอร์ ที่สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ วโดยใช้ระบบสื่ อสาร บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในงานด้ านอุตสาหกรรม ความเจริ ญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มีส่วนช่วยพัฒนางานต้านอุตสาหกรรมเป็ นอย่างมาก โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยงานทั้งระบบ ตั้งแต่การวางแผนการผลิตการกำาหนดเวลา การวางแผนด้านการใช้จ่าย เงิน วางแผนการปฏิบตั ิงาน การควบคุมระบบการผลิต ในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์ เข้ามามีบทบาทในการปรับเครื่ องมือให้กลับคืนสู่ ำ นใช้ การควบคุมปกติได้ถา้ ผลิตผลนั้นเกิดผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานการผลิต ดังจะเห็นได้วา่ โรงงานกลัน่ น้ามั
ำ นดิบ วัดค่าอุณหภูมิและความดันตลอดเวลา เพื่อตรวจปรับสภาพการ คอมพิวเตอร์ ช่วยตรวจวัดการส่ งน้ามั ทำางาน ในประเทศไทยเองก็มีโรงงานแยกแก๊สที่จงั หวัดระยองได้นาำ คอมพิวเตอร์ มาช่วยในการนำาแก๊สมา แยกเป็ นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งแก๊สหุ งต้มและควบคุมการส่ งแก๊สธรรมชาติไปตามท่อจากจังหวัดระยอง ไปกรุ งเทพและสระบุรี โดยมีระบบควบคุมความดันของแก๊สในท่อเป็ นระยะ ๆ ในกระบวนการอุตสาหกรรมแบบอัตโนมัติมีการนำาคอมพิวเตอร์ มาควบคุมการทำางานของเครื่ องเจาะ ตัด ไส กลึง และเชื่อมโลหะ เช่น โรงงานผลิตรถยนต์ใช้หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ ในการทาสี พ่นสี เชื่อมโลหะ ติดกระจกหน้ารถยนต์ เป็ นต้น บทบาทของคอมพิวเตอร์ ในวงราชการ คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำาทะเบียนราษฎร์ ช่วยในการนับคะแนนการเลือกตั้งและรวบรวมเพื่อ ประกาศผล การคิดภาษีอากร การบริ หารทัว่ ไป การสวัสดิการต่าง ๆ การรวบรวมข้อมูลและสถิติ การบริ หาร งาน การทำางานสาธารณูปโภค ในการทหารอาจจะใช้ควบคุมการยิงจรวดนำาวิถี การยิงปื นใหญ่ การเดิน เรื อรบ เป็ นต้น กระทรวงยุติธรรม ใช้คอมพิวเตอร์ในการบันทึกคำาพิพากษาศาลฎีกาฉบับย่อทุกคดีให้ผพู ้ ิพากษาได้ ค้นหาคดีต่าง ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสิ นความ กระทรวงศึกษาธิการ ใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดทำาประวัติครู ทวั่ ประเทศ ทำาสถิตินกั เรี ยนและโรงเรี ยนต่าง ๆ เพื่อช่วยในการบริ หารการศึกษาทัว่ ประเทศ กระทรวงพาณิชย์ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำาสถิติขอ้ มูลการค้าของประเทศ ทำาดัชนีราคา เก็บทะเบียน การค้า การควบคุมโคต้าการส่ งออกสิ นค้าบางชนิด ฯลฯ กระทรวงอุตสาหกรรม ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการเก็บทะเบียนโรงงาน ข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติ กระทรวงเกษตร ใช้คอมพิวเตอร์ในการรวบรวมข้อมูลผลผลิตทางการเกษตร เพื่อวางแผนร่ วมกับกระทรวง พาณิ ชย์ในการส่ งเสริ มการขาย กระทรวงมหาดไทย ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำาทะเบียนสำามะโนครัว บัตรประจำาตัวประชาชน รวบรวม ข้อมูลและสถิติต่าง ๆ ซึ่งจะนำาไปใช้ประโยชน์ในการบริ หารและพัฒนาประเทศนอกจากนั้นหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงก็มีการนำาคอมพิวเตอร์ไปใช้ เช่น กรมราชทัณฑ์ใช้คอมพิวเตอร์ ในการรวบรวมชื่อผูต้ อ้ งขัง ในคดีต่าง ๆ คำานวณวันพ้นโทษ คำานวณวันอภัยโทษ กรมตำารวจใช้คอมพิวเตอร์ ในการทำาทะเบียนประวัติ อาชญากร รวบรวมสถิติอาชญากรรม การติดต่อสื่ อสาร กระทรวงการคลังใช้คอมพิวเตอร์ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาษีอากรและตรวจสอบว่าการเสี ยภาษีอากร ถูกต้องหรื อไม่ การไฟฟ้ า การประปา และองค์การโทรศัพท์ใช้คอมพิวเตอร์ ในการทำาบัญชีและออกใบเสร็ จรับเงินแก่ ผูใ้ ช้บริ การ การใช้คอมพิวเตอร์กบั ธุรกิจโรงแรม คอมพิวเตอร์ช่วยในการบริ หารธุรกิจการโรงแรม โดยการติดตั้ง
เครื่ องพ่วง หรื อ เทอร์มินอล (Terminal) สำาหรับการรับ-ส่ งข้อมูลไว้ยงั จุดต่างๆ ของโรงแรม เช่น แผนก ต้อนรับ , บาร์ , ภัตตาคาร ในโรงแรม , แผนกบริ การจองห้องพักออนไลน์ ผ่านทางอินเตอร์ เน็ต เป็ นต้น คอมพิวเตอร์ กบั การศึกษา ในด้านการศึกษา แบ่งการใช้คอมพิวเตอร์ได้ 2 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านงานบริ หารสถานศึกษา 2. ด้านการเรี ยนการสอน 1. ด้านงานบริ หารสถานศึกษา : ใช้คอมพิวเตอร์ ในงานข้อมูลสารสนเทศฝ่ าย , งานวัดผลการ ศึกษา , งานการเงิน-บัญชี , งานพัสดุ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ เป็ นการนำาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริ หาร และการจัดการข้อมูลต่างๆ ของโรงเรี ยน ทำาให้ สะดวก รวดเร็ วและประสิ ทธิภาพของงานสูงขึ้น 2. ด้านการเรี ยนการสอน: ได้แก่ การจัดทำาสื่ อการสอน, การจัดการเรี ยนการสอนนักเรี ยน และรู ปแบบ วิธีการสอน โดยการนำา คอมพิวเตอร์มาช่วย เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรื อ CAI. (Computer Assisted Instruction) หรื อ การสอนแบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซท์ต่างๆ คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจสายการบิน: สายการบินทัว่ โลกนำาคอมพิวเตอร์ มาใช้ ในการจัดการให้ กับลูกค้าหรื อผูโ้ ดยสาร เช่น การสำารองที่นัง่ ตารางเที่ยวบิน นอกจากนี้ ยงั ใช้ในการควบคุมการบินของเครื่ อง บิน และ ใช้ควบคุมในหอบังคับการบิน คอมพิวเตอร์ในงานด้านการบันเทิง : ได้แก่ งานภาพยนต์ , งานด้านดนตรี , งานด้านศิลปะและ การออกแบบ , การเต้นรำา เป็ นต้น งานด้านภาพยนต์ เช่น การชมภาพยนต์ , การตัดต่อ และคอมพิวเตอร์ เอฟเฟ็ ค งานด้านดนตรี เช่น การฟังเพลง , การบันทึกเสี ยงดนตรี งานด้านศิลปะและการออกแบบ ประโยชน์ ของคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์แบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ 1. ประโยชน์ทางตรง ช่วยให้มนุษย์ทาำ งานได้โดยตรงคือคอมพิวเตอร์ ทาำ งานได้เที่ยงตรง รวดเร็ ว ไม่เหน็ดเหนื่อย ช่วยผ่อน แรงมนุษย์ ในด้านต่าง ๆเช่น ด้านการคำานวณ พิมพ์งาน บันทึกข้อมูล ประมวลผล ไม่วา่ จะเป็ นหน่วยงานใน แวดวงใน หากนำาคอมพิวเตอร์เข้าช่วยงาน จะช่วยแบ่งเบาภาระงานได้เป็ นอย่างดีและมีประสิ ทธิ ภาพ 2. ประโยชน์ทางอ้อม คอมพิวเตอร์ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น ช่วยในการเรี ยนรู ้ให้ความบันเทิงความรู ้ ช่วยงานบันเทิง พัฒนางานด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีอนั ส่ งผลให้ความเป็ นอยูข่ องมนุษย์ดีข้ึ น เป็ นต้น
ประโยชน์ ของคอมพิวเตอร์
1.ด้านการศึกษา -ช่วยนำาเสนอข้อมูลได้หลากหลายรู ปแบบ -ช่วยรวบรวมข้อมูลต่างๆ -ช่วยให้ผเู ้ รี ยนได้ดว้ ยตัวเอง -ช่วยแลกเปลี่ยนและนำาเสนอแนวความคิด -ช่วยขยายโอกาสในการศึกษา -ช่วยผลิตหน่วยการศึกษา -ช่วยอำานวยความสะดวกในการศึกษา 2.ด้านการสื่ อสาร -ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย -เป็ นสื่ อกลางในการรับและส่งข้อมูล -ช่วยกระจายข้อมูล 3.ด้านการบริ หารประเทศ -เป็ นช่องทางการรับรู้ขอ้ มูลจากประชาชน -เป็ นช่องทางการนำาเสนอข้อมูลไปสู่ประชาชน -ส่ งเสริ มการแสดงออกซึ่งประชาธิปไตย -เพิ่มทัศนคติที่เกี่ยวกับการบริ หารประเทศด้านบวกให้แก่ประชาชน -เป็ นช่องทางการติดต่อสื่ อสารระหว่างหน่วยงานของรัฐบาล -ช่วยอำานวยความสะดวกให้กบั ประชาชนและข้าราชการในการจัดการเกี่ยวงานด้านทะเบียน 4.ด้านสังคมศาสตร์ -ช่วยเก็บข้อมูลสถิติดา้ นสังคมศาสตร์ -ช่วยคำานวณแนวโน้มปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต -ช่วยนำาเสนอข้อมูลในรู ปแบบของกราฟ แผนภูมิ หรื อภาพ 3 มิติ ทำาให้สามรถเปรี ยบเทียบ ข้อมูลได้ง่ายขึ้น 5.ด้านวิศวกรรม -ช่วยออกแบบและคำานวณโครงสร้างบ้านและอาคาร -ควบคุมการทำางานด้านก่อสร้างโมเดลจริ ง -ควบคุมการทำางานด้านก่อสร้างที่มีความละเอียดอ่อน -ช่วยประมวลผลและประเมินสถานการณ์ที่อาจเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต 6.ด้านวิทยาศาสตร์ -ช่วยเก็บและประมวลผลข้อมูลในงานวิจยั และการทดลองต่างๆ
ราษฎร
-เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิ ทธิ ภาพของอุปกรณ์น้ นั -ช่วยทำางานวิจยั หรื องานทดลองเพื่อลดความผิดพลาดจากการทดลองกับของจริ ง -สร้างแบบจำาลองงานทดลองเพื่อลดความผิดพลาดจากการทดลองกับของจริ ง 7.ด้านการแพทย์ -ลดความผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำาในการวินิจฉัยและรักษาโรค -เผยแพร่ ขอ้ มูลเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ -ช่วยลดเวลาในการรักษาโรค 8.ด้านอุตสาหกรรม -ช่วยควบคุมการผลิตชิ้นงาน -ช่วยทำางานในพื้นที่เสี่ ยงภัย -ลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน -คำานวณปริ มาณวัตถุดิบ สิ นค้า และกำาไร 9.ด้านธุรกิจ -เป็ นช่องทางในการนำาเสนอสิ นค้า -ตรวจสอบและสั่งซื้อสิ นค้า -ขยายโอกาสทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำา -ช่วยคำานวณตัวเลขทางธุริกิจได้อย่างแม่นยำา -เพิ่มความสะดวก 10.ด้านธนาคาร -ลดขั้นตอนในการดำาเนินงาน -ช่วยอำานวยความสะดวกให้แก่ผใู้ ช้บริ การธนาคาร -ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ในส่วนกลาง 11.ด้านสำานักงาน -ใช้สร้างงานนำาเสนอในรู ปแบบที่น่าสนใจ -ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์เอกสาร -ช่วยเก็บข้อมูลที่เป็ นประโยชน์ -ช่วยจัดทำา แก้ไข หรื อคัดลอกเอกสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ ว 12.ด้านความบันเทิง -ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน -เพิ่มทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ -ส่ งเสริ มความคิดริ เริ่ มสร้างสรรค์ -ส่ งเสริ มพัฒนาการทางด้านสมอง
-ประหยัดค้าใช้จ่ายและเวลาในการหาความบันเทิง -เป็ นพื้นฐานในการสร้างแอนิเมชันและเทคนิคพิเศษภาพยนตร์ โทษของคอมพิวเตอร์ -ทำาให้สายตาเสี ย -เวลาเล่นไปนานๆทำาให้ปวดเมื่อยไปตามร่ างกาย -นัง่ หน้าคอมนานๆ ทำาให้ปวดหลัง -ปัญหานิ้ว ล็อค เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าคนอื่น -เด็กเข้าถึงสื่ อลามกอนาจารได้ง่าย -เด็กติดเกมคอมพิวเตอร์ -มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง -เปลืองไฟและเสี ยค่าไฟ -ทำาให้เสี ยอนาคตถ้าใช้ไปทางที่ผิดๆ -ทำาให้เราเปลืองเงิน -การสูญเสี ยความสัมพันธ์กบั ครอบครัว