เรื่องราวของการสู้คดีระหว่างประเทศกัมพูชาที่กำลังจะขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยประเทศกัมพูชาขอขึ้นทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อนด้วย แต่ประเทศไทยไม่ยินยอม จึงมีปัญหาเกิดการเรียกร้องสิทธิพื้นที่ทับซ้อนของประเทศไทย
หลังจากนั้นจึงได้มีการหารือกันระหว่างฝ่ายไทย กัมพูชา และยูเนสโก ที่กรุงปารีส และการจัดทำร่างคำแถลงการณ์ร่วม เนื่องจากกัมพูชายื่นคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนด้วยตั้งแต่ปี 2549 แต่การแก้ปัญหายังไม่แล้วเสร็จ รัฐบาลต่อมาจึงต้องรับช่วงต่อและเจรจาคำแถลงการณ์ร่วม ในการประชุมคณะกรรมการมรกดกโลก ครั้งที่ 32 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2551 ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ซึ่งประเทศไทยคัดค้าน ผลสรุปก็คือ รัฐบาลไทยนำโดยนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ปกป้องพื้นที่ทับซ้อนไม่ให้ถูกนำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกจนสำเร็จ โดยคณะกรรมการมรดกโลกตัดสินให้ประเทศกัมพูชายอมลดพื้นที่ที่จะนำไปขึ้นทะเบียนลง และยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไม่ได้นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ขณะที่ฝ่ายการเมืองบางฝ่ายกลับกล่าวหาว่าเขาเป็นคนเซ็นยินยอมยกปราสาทพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา