แน่ใจหรือว่าช่วยโลก

Page 1


เสียงตอบรับแนวคิดของเดวิด โอเว่น “โอเว่น...แสดงเหตุผลที่น่าคล้อยตามว่า แมนฮัตตัน ฮ่องกง และเมืองเก่า  ขนาดใหญ่หลายเมืองในยุโรป มีความเป็นสีเขียวมากกว่าเมืองที่มีประชากร  หนาแน่นน้อยกว่า เพราะผู้อยู่อาศัยมีเปอร์เซ็นต์การเดิน ขี่จักรยาน และใช้  บริการขนส่งมวลชนสูงกว่าการขับรถยนต์ส่วนตัว  พวกเขาใช้โครงสร้างพื้น  ฐานและบริการสาธารณะร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า  พวกเขา  อาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กกว่า ใช้พลังงานสร้างความอบอุ่นให้บ้านของพวกเขา  น้อยกว่า (เพราะบ้านเหล่านั้นมักจะใช้ผนังร่วมกัน)  และพวกเขามีแนว  โน้มน้อยที่จะสะสมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เปลืองพลังงาน  หนังสือที ่ มีลักษณะทั้งชวนท้าตีท้าต่อยและบีบบังคับเล่มนี้  ให้ความสนุกสนานเมื่อ  คิดถึงค่าใช้จ่ายที่กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตแบบชนบทผู้อ่อนไหว นักสิ่งแวดล้อมที่มี  จิตใจสูง และคนรวยก�ำลังเสียไป เพื่อสร้างความส�ำนึกด้านสิ่งแวดล้อมที่  สูงขึ้น” เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์  บุ๊ก รีวิว “เดวิด โอเว่น เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่สมควรได้รับความนับถือ  เขาใช้เวลา  มากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ส�ำรวจจังหวะของสิ่งแวดล้อม ท�ำการวิจัยเพื่อเขียน  หนังสือยอดเยี่ยมซึ่งตอนนี้อยู่เบื้องหน้าเรา  สไตล์การเขียนของโอเว่นดีเยี่ยม  และเฉลียวฉลาด  มันไม่ใช่ธรรมชาติของเขาที่จะเป็นนักเตือนภัย แต่นี่คือ  หนังสือเตือนภัยอย่างแท้จริง ซึ่งบางทีจะเป็นมากกว่านั้นเสียอีก เพราะโอเว่น  บอกเล่าอย่างจริงจังมาก  แค่ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวก็ท�ำให้รู้ว่าการใช้


โวหารรุ่มรวยเป็นเรื่องไม่จ�ำเป็นในการเน้นย�้ำความเร่งด่วนของปัญหาแต่  อย่างใด  ไม่มีใครสามารถโบกไม้กายสิทธิ์  และเปลี่ยนหายนะด้านสิ่งแวด  ล้อมของเมืองบางเมืองให้เป็นแบบแมนฮัตตันได้ทันที  ด้วยอพาร์ตเมนต์สูงๆ  ในเมืองที่หนาแน่น ระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ และคนเดินเท้า  จ�ำนวนนับไม่ถ้วน  มีโอกาสมากที่เรายังคงล้มลุกคลุกคลานไปตามทาง ท�ำ  ตามใจตัวเอง และปิดตาของเราไม่มองดูความจริงจนกระทั่งมันชนเราอย่าง  แรง พร้อมด้วยผลกระทบที่ไม่น่าปรารถนาและอาจจะถึงขั้นหายนะ ซึ่งคง  จะเกิดขึ้นไม่นานนี้” เดอะ วอชิงตัน โพสต์ “เดวิด โอเว่น มักสุขใจเสมอกับความเข้าใจอันลึกซึ้งและความท้าทายของ  เขาที่มีต่อแนวคิดแบบดั้งเดิม  ในหนังสือเล่มนี้  เขาท�ำอย่างนั้นอีกครั้งด้วย  การเจาะทะลวงความเชื่อปรัมปราเกี่ยวกับการอยู่อาศัยในพื้นที่ชนบทอัน  เงียบสงบที่เชื่อว่าดีต่อระบบนิเวศ  และย�้ำเตือนเราว่าท�ำไมการอาศัยอยู่ใน  เมืองจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  มันเป็นชัยชนะของแนว  คิดและการเขียนที่ชัดเจน” วอลเตอร์  ไอแซคสัน ผู้เขียนหนังสือ “สตีฟ จ๊อบส์” “ในขณะที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมได้ต�ำหนิติเตียนว่าแมนฮัตตันเป็นฝันร้ายด้านสิ่ง  แวดล้อม  แต่จนถึงขณะนี้แมนฮัตตันกลายเป็นเมืองสีเขียวที่สุดในอเมริกา  การโต้แย้งนี้ได้กระตุ้นปลุกเร้าเจตนารมณ์ของผู้วางผังเมืองที่ห่วงใยระบบ  นิเวศ  ข้อเขียนที่ลื่นไหลและจิกกัดของโอเว่นส่งเสียงปะทุดังเปรี้ยง ด้วยข้อ  เท็จจริงอันน่าทึ่งที่สร้างความเข้าใจถ่องแท้ที่สามารถเปลี่ยนกระบวนทัศน์  ผลลัพธ์ก็คือ การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ยากล�ำบากของสิ่งแวดล้อมโลกที่น่า  สนใจแบบต้านทานไม่อยู่  ซึ่งโค่นความคิดแบบดั้งเดิม และชี้หนทางที่จะน�ำ  ไปสู่การแก้ปัญหาที่ปฏิบัติได้” พับลิชเชอร์ส วีกลี่


แน่ ใจหรือว่าช่วยโลก? The Conundrum

เดวิด  โอเว่น  เขียน นงนุช  สิงหเดชะ  แปล

กรุงเทพมหานคร  ส�ำนักพิมพ์มติชน  2556


สารบัญ

ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ ค�ำน�ำผู้แปล 11. ปัญหาที่ยากจะแก้ 12. เผาสรรพสิ่ง 13. เชื้อเพลิงฟอสซิลในฐานะบัตรเครดิต 14. การฝังกลบขยะที่มีใบรับรอง “สีเขียว” 15. ปัญหาก็มีนวัตกรรมเหมือนกัน 16. ชุมชนเขียวที่สุดในสหรัฐอเมริกา 17. เรียนรู้จากแมนฮัตตัน 18. รักษาสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว 19. สโมสรเซียร์ร่าหรือสโมสรแมนฮัตตัน? 10. สโมสรเซียร์ร่าหรือสมาคมผู้เกษียณอายุ? 11. ท�ำไมน�้ำมันเลวร้ายกว่าถ่านหิน 12. ให้พวกเขากินกะหล�่ำปลีสิ?

7 9 13 25 30 36 40 44 49 55 60 63 67 71


13. จราจรติดขัดไม่ใช่ปัญหาสิ่งแวดล้อม 80 14. การขนส่งสาธารณะที่เลวร้ายส�ำหรับสิ่งแวดล้อม 86 15. รถไฟความเร็วสูงและความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ “พรีอุส” 91 16. ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่ค�ำตอบ 97 17. วิลเลียม สแตนลีย์ เจวอนส์ 101 18. ค�ำถามเกี่ยวกับถ่านหิน 106 19. ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นเป็นเหตุให้การบริโภคพลังงาน โดยรวมสูงขึ้นได้อย่างไร 113 20. การเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ของภาวะ “เด้งกลับ” 120 21. ความส�ำคัญของการ “น้อยลง” 131 22. “กรีนคาร์” ที่แท้จริงดูเหมือนอะไร? 137 23. ความเหลือเฟือและก๊าซธรรมชาติราคาถูก ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม 145 24. ไฟส่องสว่างราคาถูกและมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม 150 25. การใช้น�้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ช่วยแก้ปัญหาน�้ำของโลกที่ก�ำลังเลวร้ายลง 154 26. เผาขยะไม่ใช่ค�ำตอบ 160 27. เมื่อพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ “กรีน” 167 28. กรีนหรือไม่กรีน? 176 29. เล่นว่าว 179 30. ใช้ประโยชน์จากลมโดยไม่ต้องมีกังหัน? 185 31. เศรษฐศาสตร์แห่งนวัตกรรมที่น่าท้อแท้ 192 32. จากห้องแล็บสู่โครงข่ายไฟฟ้า 198 33. นวัตกรรมถอยหลัง 203 34. ปัญหาที่แก้ยาก 212


คํานําสํานักพิมพ์

ตั้ ง แต่ ศ ตวรรษที่   19 เป็ น ต้ น มา โลกเราหมุ น ไปอย่ า งไม่ หยุดยั้งด้วยเทคโนโลยีอันก้าวหน้า ที่หวังว่าจะช่วยให้ชีวิตมนุษยชาติ  สุขสบายขึ้น  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง มนุษย์จึงค่อยตระหนักได้ว่าเราอาจบริโภคพลัง  งานกันมากเกินไปเสียแล้ว  แต่  ณ จุดนั้น เราเองก็เคยชินกับความสบาย  เสียจนละทิ้งสิ่งที่ได้มาไม่ลง  มนุษย์จึงหันไปพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือ  เพื่อท�ำให้การใช้พลังงานของเราดู  “มีประสิทธิภาพ” มากขึ้นกว่าเดิม และ  เข้าใจเอาเองว่า สิ่งนี้แหละที่จะช่วยโลกของเรา การรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติก หันมาใช้ถุงผ้าแทน เป็นวิธีการที่ด ี ในแง่ของการ “ลด” การใช้สารที่ไม่เป็นมิตรกับอากาศ  แต่เราอาจลืม  มองไปว่าปริมาณการผลิตถุงผ้าที่  “เพิ่ม” ขึ้นอย่างรวดเร็วตามโรงงาน  อุตสาหกรรมต่างๆ จะสร้างมลพิษตามมาอีกมากน้อยแค่ไหน (และเราก็  ยังใช้ถุงพลาสติกอยู่ดี) หรือการที่ผู้คนหันมาเลือกใช้รถยนต์ไฮบริดที่ช่วย  ประหยัดน�้ำมันได้มาก และถูกปลอบให้สบายใจจากผู้ผลิตว่าเรามีส่วน  ในการช่วยโลกแล้ว อาจเป็นปัจจัยในการเพิ่มปริมาณการผลิตในอุตสาห-  แน่ใจหรือว่าช่วยโลก? 7


กรรมรถยนต์  ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ปริมาณเชื้อเพลิงมหาศาล...สิ่งเหล่านี ้ คือปัญหาที่แก้ยาก (Conundrum) ตามที่ชื่อหนังสือภาษาอังกฤษบอกไว้ หนังสือ “แน่ใจหรือว่าช่วยโลก?” เล่มนี้  จะเผยแนวคิดที่ฉีกทุกกฎ  สิ่งแวดล้อมที่เราเคยรู้มา  ด้วยการชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เราคิดมาตลอดเกี่ยวกับ  วิธีในการลดการใช้พลังงาน ไม่สามารถแก้ปัญหาระยะยาวได้จริง หน�ำซ�้ำ  ยังเป็นการบ่อนท�ำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย พร้อมตั้งค�ำถามกับเราเองว่า  เมื่อถึงเวลาที่จะต้อง “สละ” ความสะดวกสบายเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม  จริงๆ เราจะท�ำได้มากน้อยแค่ไหน? เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ คุณอาจจะใช้เวลานิ่งคิดสักพักหนึ่ง และ  ตอบตัวเองได้ว่าคุณจะท�ำอย่างไรกับสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวคุณต่อไป ส�ำนักพิมพ์มติชน

8

นงนุช สิงหเดชะ แปล


คํานําผู้แปล

ปั ญ หาโลกร้ อ นอั น เนื่ อ งมาจากสิ่ ง แวดล้ อ มถู ก ท� ำ ลายให้ เสื่อมทรามลงเพราะฝีมือของมนุษย์  ถือเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกระดับ  สังคมพยายามตีฆ้องร้องป่าวให้ตระหนักกัน  ขณะเดียวกันความเชื่อหรือ  แนวคิดหลักในการลดปัญหาโลกร้อน ก็คือการผลิตหรือเพิ่มประสิทธิภาพ  การใช้พลังงานโดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ล�้ำหน้า เรามักพูดกันว่า เมื่อเราผลิตอุปกรณ์หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้พลัง  งาน โดยให้อุปกรณ์นั้นๆ ใช้พลังงานน้อยลง พร้อมทั้งสามารถผลิตอุปกรณ์  นั้นโดยใช้วัสดุหรือวัตถุดิบน้อยลง (ท�ำให้มีขนาดเล็กลง) เราก็จะช่วยโลก  ประหยัดพลังงานและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เอง แต่หนังสือเล่มนี้จะ “ย้อนศร ฉีกกฎ” ทุกความเชื่อที่เรามีเกี่ยวกับ  การรักษาหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  เพราะยิ่งเรามีนวัตกรรมและประ  สิทธิภาพเรื่องพลังงานมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งกระตุ้นให้บริโภคพลังงาน  มากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง นวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตที่ล�้ำหน้า ท�ำให้สินค้าต่างๆ เช่น  เครื่องใช้ไฟฟ้ามีราคาถูกลง ท�ำให้คนหาซื้อมาครอบครองได้ง่ายขึ้น จึงไป  แน่ใจหรือว่าช่วยโลก? 9


เพิ่มจ�ำนวนผู้บริโภคขึ้นโดยปริยาย   รถยนต์ที่ประหยัดน�้ำมันก็ยิ่งกระตุ้นให้คนขับรถมากขึ้น ไกลขึ้น  หรือบางทีก็น�ำเงินที่ได้จากการประหยัดน�้ำมันนั้นไปใช้ในกิจกรรมอย่าง  อื่นที่ท�ำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น หากใครคิดว่าการอาศัยอยู่ตามชนบท หรือตามชานเมือง จะช่วย  รักษาสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่า  หรือคิดว่าการอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวตามชาน  เมืองที่ไม่แออัด จะดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการอยู่คอนโดมิเนียมในเมือง  ที่แออัดหนาแน่น หนังสือเล่มนี้จะท�ำให้คุณตะลึงอย่างคาดไม่ถึง เชื่อหรือไม่  เมืองที่อากาศสะอาดที่สุด กรีนที่สุดในสหรัฐ กลับเป็น  นิวยอร์กที่จอแจ ไม่ใช่เมืองบ้านนอกอย่างพอร์ตแลนด์  ในรัฐโอเรกอน  เช่นเดียวกับที่ฮ่องกง โตเกียว ก็เป็นเมืองกรีนที่สุด อย่างที่หลายคนคาด  ไม่ถึง หัวใจส�ำคัญอยู่ตรงที่ประชากรในเมืองเหล่านี้ใช้ระบบขนส่งมวลชน เป็นส่วนใหญ่  ใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยมาก จึงก่อมลพิษน้อยและใช้เชื้อ  เพลิงน้อย  ขณะเดียวกันการที่มันแออัด ท�ำให้มีสิ่งอ�ำนวยความสะดวก  ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า โรงเรียน หรือที่ท�ำงานอยู่ใกล้ๆ ในระยะเดินถึง ผิดกับคนที่อาศัยอยู่ตามชานเมือง จ�ำเป็นต้องใช้รถยนต์มากใน  การเดินทางไปท�ำกิจกรรมชีวิตประจ�ำวัน  เพราะสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะ  เป็นโรงเรียน ร้านค้า ที่ท�ำงาน ร้านซักรีด อยู่ห่างไกลจากที่พักอาศัยมาก หนังสือเล่มนี้จะกลายเป็นทางเลือกส�ำหรับทุกคนเกี่ยวกับวิธีการ  แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องและยั่งยิืน นงนุช  สิงหเดชะ

10

นงนุช สิงหเดชะ แปล


แน่ ใจหรือว่าช่วยโลก? The Conundrum


1 ปัญหาที่ยากจะแก้

ระหว่างฤดูร้อนปี  2010 ผมมีโอกาสไปบรรยายที่เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบรรยายเรื่องการเปลี่ยน  แปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเป็นเวลา 1 สัปดาห์  โดยก่อนหน้าที่ผมจะบรรยายประมาณ 2 วัน มีชาวเมลเบิร์นคนหนึ่งถาม ผมว่าแก่นส�ำคัญของสิ่งที่ผมจะบรรยายคืออะไร  และเมื่อผมเริ่มอธิบาย  เขาก็บอกให้ผมหยุด  “ลืมเรื่องทั้งหมดนั่นเลย” เขาพูด “แค่บอกผมว่า  ควรซื้ออะไรดี”  เขาเต็มใจที่จะเชื่อว่าโลกเราตกอยู่ในอันตราย  แต่เขา  อยากได้ค�ำอธิบายจากใครสักคนหนึ่งที่ตรงดิ่งไปสู่แนวทางแก้ปัญหาเลย  มากกว่า  ในท�ำนองว่า รถของผมเป็นปัญหาหรือเปล่า บอกผมว่าควร  ขับรถอะไรแทน  ผมใช้เครื่องรับโทรทัศน์ที่ไม่ถูกต้องใช่ไหม ถ้างั้นผมจะ  เปลี่ยนมัน  เคาน์เตอร์ในครัวของผมไม่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใช่ไหม ถ้า  อย่างนั้นผมจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรก็ได้ตามที่คุณบอก นี่เป็นแนวทางที่พวกเราส่วนใหญ่คิด  ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราคิด  หรือไม่ก็ตาม พวกเราเป็นนักบริโภคตัวยง และการตอบสนองของเราต่อ  ปัญหาทุกประเภทมักจะเกี่ยวข้องกับการบริโภคไม่รูปแบบใดก็รูปแบบ  แน่ใจหรือว่าช่วยโลก?

13


หนึ่ง  เมื่อเราพูดว่า แค่บอกฉันว่าควรซื้ออะไรดี  นั่นก็เกี่ยวข้องกับการ  บริโภคแล้ว  ความท้าทายเกิดขึ้นเมื่อการบริโภคกลายเป็นประเด็นปัญหา  ในตัวมันเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ปล่อยคาร์บอนได-  ออกไซด์  ใช้น�้ำ ทิ้งขยะ ท�ำลายแหล่งที่อยู่  และความเครียดของประชากร  เราจะเริ่มต้นคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการท�ำสิ่งเหล่านี้ให้น้อยลงได้อย่างไร  ในเมื่อความรู้สึกและความเข้าใจของเราที่มีต่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และ  ความเป็นอยู่ที่ดีส่วนบุคคลตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเราต้องมีสิ่งต่างๆ มากขึ้น โลกของเราเผชิญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทุกวันจนยาว  เป็นบัญชีหางว่าว  แต่ทว่าสิ่งที่เรียกว่าแนวทางแก้ปัญหา หรือยุทธศาสตร์  เพื่อ “ความยั่งยืน” ของเรานั้นมีลักษณะที่ว่า ถ้าไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ  การแก้ปัญหาเลยก็จะท�ำให้ปัญหาที่แท้จริงเลวร้ายลงไปอีก  เราหลอก  ลวงตัวเองอย่างเหลือคณานับในหลายๆ ด้าน  รถยนต์ขายดีที่สุดในสหรัฐ  อเมริกาทั้งในอดีตและปัจจุบันก็คือรถปิกอัพฟอร์ด เอฟ-ซีรีส์  ซึ่งตอนนี้  มาพร้อมกับทางเลือก นั่นก็คือเครื่องยนต์  “อีโคบูสต์” วิ่งได้ไกล 16 ไมล์  (25.74 กิโลเมตร) ต่อน�้ำมัน 1 แกลลอน (3.78 ลิตร) เมื่อวิ่งในเมือง  ในปี  2009 โตโยต้าออกโฆษณาทางโทรทัศน์ว่า “พรีอุส” (Prius) รถยนต์  ไฮบริดยอดนิยมซึ่งใช้พลังงานผสมทั้งน�้ำมันและไฟฟ้า วิ่งได้ไกลกว่า  เมื่อเทียบกับรถยนต์อื่นๆ ในรุ่นเดียวกันที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินธรรมดา  โฆษณาชิ้นนี้เผยแพร่ไปทั่วโลก  ในนั้นจะเห็นภาพรถยนต์พรีอุสวิ่งผ่าน  และทันใดนั้นพื้นดินที่รถวิ่งผ่านก็มีดอกไม้บานสะพรั่งขึ้นมา ดนตรีแห่ง  ความสุขเริ่มบรรเลง เด็กๆ ที่ติดปีกผีเสื้อลอยตัวอยู่เหนือกลุ่มเด็กๆ ที่หุ้ม  ห่อด้วยกลีบดอกไม้  เมฆบนท้องฟ้ามีชีวิตชีวา และอาคารต่างๆ ที่อยู่ไกล  ออกไปเปล่งประกายแวววาว ราวกับว่ารถยนต์ได้ดูดเอาสิ่งเลวร้ายไปจาก  โลก  แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ผู้บรรยายโฆษณาสาธยายเอาไว้ว่า  “ความกลมกลืนระหว่างมนุษย์  ธรรมชาติ  และเครื่องจักร”  ในปี  2010  เพื่อนคนหนึ่งของผมซึ่งเป็นคนมองการณ์ไกล พาผมไปนั่งรถยนต์ไฮบริด  อีกยี่ห้อหนึ่งคือ “ฟอร์ด ฟิวชั่น” (Ford Fusion)  เนื่องจากเขาเชื่อในแนว

14

นงนุช สิงหเดชะ แปล


คิดเรื่องขั้นตอนการประหยัดเชื้อเพลิง อย่างการเบรกอย่างนุ่มนวลและ  หลีกเลี่ยงการออกรถอย่างกระโชกโฮกฮาก แผงหน้าปัดรถยนต์ที่บอก  ปริมาณเชื้อเพลิงของเขาจึงเต็มไปด้วยภาพของใบไม้สีเขียวที่สานเข้า  ด้วยกัน อันเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของประโยชน์ที่เกิดกับสิ่งแวดล้อม ซึ่ง  ชัดเจนว่าเราเป็นผู้มอบให้จากเจ้าสิ่งที่พ่นควันออกทางท่อไอเสียคันนี้ท ี่ เราก�ำลังขับไปอย่างไร้จุดหมาย  ผมเองจบระดับวิทยาลัย แต่ก็รู้สึกสะดุ้ง  เจ็บแปลบกับคุณความดีที่ปัญญาอ่อนบ้องตื้นนี้  ซึ่งเป็นความรู้สึกแบบ  เดียวกับตอนที่ผมทิ้งกระป๋อง ขวด และหนังสือพิมพ์กองเบ้อเร่อไว้ตรง  ปากทางเข้าบ้านของผมเองเพื่อรอให้รถบรรทุกมาเก็บไปรีไซเคิล หนึ่งในเล่ห์กลยอดนิยมของเราในการท�ำให้โลกเป็นสีเขียว ก็คือ  การจัดกรอบใหม่ให้กับความชื่นชอบการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยหรูหรา  ว่ามันคือของขวัญส�ำหรับมนุษย์   ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์คันใหม่  เครื่องท�ำ  ความอบอุ่นให้กับสระว่ายน�้ำที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์  รถไฟที่วิ่งได้  เร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมงที่ท�ำให้การเดินทางระหว่างเมืองเต็มไปด้วยความ  รื่นรมย์และแพงน้อยลง มะเขือเทศที่มีรสชาติดีกว่าเดิม  เหล่านี้คือการ  เสียสละหลายอย่างที่พวกเราเตรียมจัดท�ำขึ้นส�ำหรับอารยธรรมในอนาคต  พร้อมด้วยนโยบายลงทัณฑ์ทางเศรษฐกิจหลากหลายซึ่งมีเป้าหมายอยู ่ ที่จีน  ความสามารถในการหลอกลวงตัวเองของเราเป็นเรื่องน่าใจหาย  ตัวอย่างเช่น อะไรคือคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมของผมในการเดินทางไปครึ่ง  โลกเพื่อบรรยาย 45 นาทีให้กับคนออสเตรเลียจ�ำนวน 200-300 คนฟัง  ซึ่งคนเหล่านี้อย่างแรกเลยอาจเป็นเพราะพวกเขาได้รับการคัดเลือกให้มา  นั่งฟังผม จึงอาจถูกโน้มน้าวล่วงหน้าให้เห็นด้วยกับอะไรก็ได้ที่ผมจะพูด  ในปัจจุบันนี้การเดินทางทางอากาศมีสัดส่วนการใช้พลังงานประมาณ  3.5 เปอร์เซ็นต์ของการใช้พลังงานทั้งโลกและเป็นตัวผลิตก๊าซเรือนกระจก  จากน�้ำมือมนุษย์   การเดินทางไปเมลเบิร์นของผม (พร้อมด้วยบัตรสโมสร  กอล์ฟและเฮิร์ตซ์  #1 คลับโกลด์ส�ำหรับเช่ารถ) เกี่ยวข้องอย่างมากกับ  ทั้งสองเรื่อง  เช่นเดียวกับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยน  แน่ใจหรือว่าช่วยโลก?

15


แปลงของสภาพภูมิอากาศซึ่งจัดขึ้นในโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก  เมื่อเดือนธันวาคม ปี  2009 การประชุมดังกล่าวดึงดูดให้ผู้แทนจากประ  เทศต่างๆ เข้าร่วมประชุมถึง 30,000 คน รวมทั้งผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ที่ลง  ทะเบียนไว้   นักข่าวหลายพันคน บล็อกเกอร์  ผู้สังเกตการณ์  ผู้สนับสนุน  ผู้คัดค้าน และคนอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมาจากสถานที ่ ห่างไกลจากเดนมาร์กมาก การป้องกันขัดขวางไม่ให้โลกประสบหายนะ  เป็นเป้าหมายทรงคุณค่าในแง่ที่ชิงลงมือป้องกันไว้ก่อน  และแม้แต่ใน  ยุคของการสื่อสารด้วยสไกป์  (การสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยภาพและ  เสียงแบบเรียลไทม์) และไอโฟน ก็ไม่มีอะไรมาทดแทนความพึงพอใจ  ได้เต็มที่เหมือนการพูดคุยแบบเห็นหน้ากันจริงๆ  แต่ถึงกระนั้นหากนัก  กาลวิทยา (climatologist) นักสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่รัฐ และคนอื่นๆ  ซึ่งก�ำลังพยายามอย่างจริงจังที่จะนึกให้ออกว่าจะท�ำอะไรได้บ้างเกี่ยวกับ  ก๊าซเรือนกระจก ไม่สามารถพบปะพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องเดินทางข้าม  มหาสมุทร แล้วจะคาดหวังอะไรจากพวกเราซึ่งอาจมีข้อมูลน้อยกว่า มี  พันธสัญญาน้อยกว่า และมีแรงจูงใจน้อยกว่าที่จะเสียสละความสะดวก  สบายของเราเอง ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าพวกเราทั้งหมดต่างเป็นพวกมือถือสาก  ปากถือศีล ถึงแม้ว่าเราจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ (ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง  รอยเท้าคาร์บอน หรือคาร์บอน ฟุตพริ้นต์*ขนาดใหญ่   กรุณาตรวจสอบ  ตารางการเดินทางและจ�ำนวนของผู้ที่เดินทางด้วยเครื่องบินบ่อยๆ ว่ามี  เจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่)  ประเด็นก็คือ แม้แต่ใน  * Carbon Footprints คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์  และกิจกรรมของมนุษย์  ครอบคลุมตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประ  กอบชิ้นส่วน การใช้งาน และการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน ซึ่งจะท�ำให้  ทราบว่ากว่าจะได้ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้น ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเท่าไร  โดยแสดงออกมาในรูปของปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์-ผู้แปล

16

นงนุช สิงหเดชะ แปล


ตอนที่เราท�ำในสิ่งที่เชื่อว่าเป็นความตั้งใจที่ดีที่สุด บ่อยครั้งความพยายาม  ของเราก็มักขัดขวางเป้าหมายของเรา นั่นคือปัญหาที่ยากจะแก้ กัปตันเจมส์  คุก แล่นเรือจากอังกฤษในเดือนสิงหาคม ปี 1768 ในการเดินทางไกลครั้งแรกจากทั้งหมด 3 ครั้งที่ท�ำให้เขามีชื่อเสียง  เขาและลูกเรือไปถึงออสเตรเลียในอีก 2 ปีให้หลัง  เรือของพวกเขาคือ  เอนเดฟเวอร์  (Endeavour) ใช้ลมเป็นพลังในการขับเคลื่อน  อย่างไรก็  ตาม การเดินทางจ�ำเป็นต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากมาย อย่าง  น้อยก็อยู่ในรูปของเชื้อเพลิงมนุษย์และชีวิตมนุษย์  (มีเพียง 56 คนจาก  ทั้งหมด 94 คนที่เดินทางมาจากอังกฤษพร้อมเรือล�ำนี้มีชีวิตรอดกลับไป)  ในทางตรงกันข้าม การเดินทางของผมไปออสเตรเลียเมื่อปี  2010 เป็น  ปาฏิหาริย์ของประสิทธิภาพ เพราะยานพาหนะของผมเป็นผลิตภัณฑ์แห่ง  นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ด�ำเนินมาหลายทศวรรษ  เครื่องบินสามารถ  บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือได้มากกว่าเรือเอนเดฟเวอร์ของกัปตันคุกเกือบ  5 เท่า ไม่จ�ำเป็นต้องหยุดซ่อมระหว่างทาง ไม่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตและ  บาดเจ็บ ใช้เวลาเดินทางจากนิวยอร์กถึงเมลเบิร์นน้อยกว่า 24 ชั่วโมง  และมันเป็นเพียงหนึ่งในการเดินทางระหว่างประเทศหลายร้อยเที่ยวที่ไป  ถึงเมลเบิร์นในวันนั้น เที่ยวบินของผมบริโภคพลังงานในปริมาณมหาศาล  ความจริง  แล้วสัดส่วนในส่วนของผมในการผลาญเชื้อเพลิงทั้งเที่ยวไปและกลับมาก  กว่าปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ผู้อยู่อาศัยบนโลกใช้ส�ำหรับจุดประสงค์ทุก  ชนิดโดยเฉลี่ยต่อปี1เสียอีก  แต่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมกับการ  บินสมัยใหม่ไม่ได้อยู่ที่ว่าเครื่องบินของพวกเราก่อให้เกิดความสิ้นเปลือง  ปัญหาก็คือ เป็นเพราะความชาญฉลาดทางวิศวกรรมที่น�ำมาใช้สม�่ำเสมอ   ค�ำนวณบนพื้นฐานของตัวเลขจากงานเขียนเรื่อง “พลังงานที่ยั่งยืนโดยปราศจาก อากาศร้อน” ของเดวิด เจ. ซี. แมคเคย์  นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ

1

แน่ใจหรือว่าช่วยโลก?

17


เราจึงลดการเผาผลาญจากการเดินทางระยะไกลได้มาก  ซึ่งในทุกวันนี ้ อุปสรรคใหญ่ในการเดินทางระยะ 10,000 ไมล์ส�ำหรับการเดินทางไป  เยือน 1 สัปดาห์  แทบไม่ใช่เรื่องราคาตั๋ว (ต้นปี  2011 ราคาตั๋วต�่ำมาก  แค่  600-700 ดอลลาร์  ส�ำหรับการบินเที่ยวเดียวระหว่างนิวยอร์กและ  เมลเบิร์น หรือไม่ก็  “ฟรี” เพราะใช้วิธีแลกไมล์)  แต่เป็นความไม่ราบรื่น  ของการใช้เวลาทั้งวันนั่งดูภาพยนตร์และนอนบนเก้าอี้เอนหลังที่มีเบาะนุ่ม  มากกว่า เมื่อใครๆ พูดถึงการลดการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอนจาก  การเดินทางด้วยเครื่องบิน พวกเขามักจะมุ่งไปที่สิ่งต่างๆ อย่างการปรับ  ปรุงการออกแบบเครื่องยนต์  ปีก และล�ำตัวเครื่องบินอยู่เสมอ และบางที  ก็ใช้ระบบที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อย่นระยะเส้นทางบินและขจัด  ความล่าช้า  อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดนี้ผลประโยชน์ทั้งหมดที่เราจะได้รับ  จากเรื่องเหล่านี้มีน้อยมาก  เครื่องบินโดยสารทุกวันนี้มีประสิทธิภาพเรื่อง  การประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเครื่องบินช่วงต้นทศวรรษ 1960 ราว 75  เปอร์เซ็นต์  และหลักฟิสิกส์แห่งการบินยิ่งท�ำให้ใช้พลังงานต�่ำลงไปอีก  แต่ถึงแม้ว่าศักยภาพในการลดการใช้พลังงานเพิ่มเติมจะมีมาก แต่ผล  กระทบหลักของนวัตกรรมที่ว่ามาทั้งหมดก็เป็นสิ่งเดียวกับผลกระทบหลัก  ของนวัตกรรมทั้งมวลตั้งแต่ยุคของกัปตันเจมส์  คุก  กล่าวคือ พวกเขา  ท�ำให้การเดินทางง่ายขึ้น ถูกลง สะดวกขึ้น และดึงดูดมากกว่าที่เป็นอยู่  ด้วยเหตุนี้จึงกระตุ้นให้เราเดินทางมากขึ้น การบินจากนิวยอร์กไปเมลเบิร์นในปี  1958 ด้วยเครื่องบินซูเปอร์  คอนสเตลเลชั่นของบริษัทล็อกฮีด ซึ่งเป็นเครื่องบินแบบใช้ใบพัด บริโภค  พลังงานต่อคนมากกว่าเครื่องบินที่ผมนั่ง  อย่างไรก็ตาม มัน “สะอาด”  ต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า  มันต้องแวะจอดที่ซานฟรานซิสโก ฮาวาย เกาะ  แคนตัน ฟิจิ  และซิดนีย์   และค่าโดยสารส�ำหรับชั้นราคาถูกเที่ยวเดียวก็ม ี ราคาประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของรายได้เฉลี่ยของครอบครัวอเมริกันใน  ปีนั้น  ถ้าหากการเดินทางด้วยเครื่องบินที่ช้าและแพงพอๆ กัน เป็นทาง

18

นงนุช สิงหเดชะ แปล


เลือกเดียวส�ำหรับการเดินทางไปออสเตรเลียในทุกวันนี้  ผมและทุกคนที่  เดินทางพร้อมกับผมก็คงจะอยู่บ้านกันหมด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวด  ล้อม  วิธีเดียวที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพอย่างไม่คลุมเครือในการลด  ก๊าซคาร์บอนและรอยเท้าพลังงานจากการเดินทางทางอากาศ ก็คือบิน  ให้น้อยลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงด้าน  เทคโนโลยี เราเข้าใจอยู่แล้วว่าท�ำอย่างไรจึงจะบินน้อยลง ซึ่งไม่จ�ำเป็นต้อง  อาศัยการค้นพบครั้งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์เลย  แต่ความสนุกของการ  ไม่เดินทางไปไหนอยู่ตรงไหน  การเดินทางเป็นเรื่องตื่นเต้นโรแมนติก  เป็นการเติมความรู้และสร้างชีวิตชีวาให้กับหลายล้านคนทั่วโลก จึงท�ำให้  เราเดินทางมากอย่างต่อเนื่อง  ด้วยเหตุนี้แทนที่จะใช้วิธีลดการเดินทาง  ส่วนบุคคล พวกเรากลับพูดถึงนวัตกรรมด้านการบินและประสิทธิภาพที่  ดีขึ้น หรือไม่ก็เยียวยาบ�ำบัดมโนธรรมของเราด้วยการบริจาคเล็กๆ น้อยๆ  ให้กับองค์กรที่สัญญาว่าจะ “ชดเชย” ผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมอัน  เนื่องมาจากการเดินทางอย่างไร้จุดหมายของเรา  ขณะเดียวกันเราก็เดิน  หน้าขยายสนามบิน (อาคารใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่ดูไบ แต่ไม่ใช่ตึกเบิร์จ  คาลิฟา ซึ่งเป็นอาคารที่สูงกว่าตึกเอ็มไพร์สเตตของสหรัฐ 2 เท่า แต่กลับ  เป็นอาคารผู้โดยสาร 3 ของสนามบินนานาชาติดูไบ)  นอกจากนี้  เรายัง  ให้เงินอุดหนุนแก่สายการบินและผู้ผลิตเครื่องบิน คิดค้นหนทางต่างๆ ที ่ จะบีบอัด “อย่างมีประสิทธิภาพ” เพื่อเพิ่มจ�ำนวนเครื่องบินมากขึ้นในเส้น  ทางบินที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อรณรงค์ทางการ  ตลาด ซึ่งมีจุดประสงค์ที่ท�ำให้เราและคนอื่นๆ ปรารถนาจะขึ้นไปอยู่ใน  อากาศและอยู่ในเส้นทางที่บางทีเรียกว่า “การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” เพื่อ  คุกคามสิ่งแวดล้อมในทุกซอกมุมของโลก นั่นคือปัญหาที่ยากจะแก้ ในปี  2004 ซอล กริฟฟิธ หนุ่มออสเตรเลียผู้ซึ่งก�ำลังเรียน ปริญญาเอกที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์  (MIT) ชนะรางวัลมูลค่า  แน่ใจหรือว่าช่วยโลก?

19


30,000  ดอลลาร์   ซึ่ ง มอบให้ แ ก่ นั ก ศึ ก ษาที่ แ สดงให้ เ ห็ น ว่ า จะเป็ น นั ก  ประดิษฐ์อย่างเหนือชั้นทุกปี   กริฟฟิธเป็นผู้ท้าชิงที่โดดเด่นในเรื่องนี้   นีล  เกอร์เชนเฟลด์  หนึ่งในอาจารย์ของเขา บรรยายลักษณะของกริฟฟิธให้  ผมฟังว่า “เป็นเครื่องยนต์แห่งการประดิษฐ์” และว่า “กับซอลนั้น เมื่อคุณ  กดปุ่ม ‘ไป’ เขาก็จะพ่นสารพัดโครงการออกมาในทุกทิศทางเท่าที่คุณจะ  จินตนาการได้”  คณะกรรมการตัดสินประทับใจอุปกรณ์ที่กริฟฟิธประ  ดิษฐ์ขึ้นมาเป็นพิเศษ นั่นก็คือเลนส์แว่นตาราคาถูกที่ผลิตขึ้นตามความ  ต้องการของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งตั้งใจท�ำขึ้นส�ำหรับประชาชนในประเทศ  ยากจน  เขาคิดกระบวนการผลิตได้หลังจากหารือปัญหาด้านสุขภาพของ  ประเทศโลกที่สามกับรัฐมนตรีศึกษาประเทศเคนยา  ขณะเดียวกันระบบ  ส�ำหรับรองรับงานของกริฟฟิธก็ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วโดยคณะ  บริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และหอเกียรติยศนักประดิษฐ์แห่งชาติ กระบวนการผลิตเลนส์แบบดั้งเดิมต้องใช้แม่พิมพ์ราคาแพงนับ  พันชิ้น  เลนส์เปล่าขนาดใหญ่เป็นพิเศษจะถูกขึ้นรูปในพลาสติก  หลัง  จากนั้นช่างเทคนิคจะท�ำการกรอและขัดเงาเลนส์ให้เข้ากับใบสั่งของลูกค้า  กริฟฟิธบอกผมว่า “ผมต้องการจะสร้างเครื่องจักรที่สามารถลบล้างความ  จ�ำเป็นในการพึ่งพาโรงงานผลิตทั้งหมด เพื่อให้คุณสามารถพิมพ์เลนส์  ได้ตามต้องการ”  ดังนั้น เขาจึงสร้างอุปกรณ์ตั้งโต๊ะ ซึ่งผู้ควบคุมเครื่องที่  ฝึกฝนมาเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนของเหลวที่แข็งตัวเร็วให้กลาย  เป็นเลนส์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที   เครื่องจักรดังกล่าวประกอบด้วยแม่  พิมพ์เดี่ยวที่ใช้งานได้ครอบจักรวาล พร้อมกับวงแหวนโลหะที่ปรับได้  คล้ายกับกระทะท�ำเค้กขนาดเล็ก  กล่าวคือ ระหว่างคู่ของเยื่อหุ้มบางๆ  ที่ยืดหยุ่นได้สามารถควบคุมระดับความนูนและความเว้าด้วยระบบไฮ-  ดรอลิกแบบง่ายๆ (ในเครื่องมือต้นแบบนั้น เป็นกระบอกส�ำหรับฉีดยา  ให้ม้า 1 คู่  บรรจุเบบี้ออยล์ไว้ภายใน)  กริฟฟิธอธิบายว่า “เพียงแค่ป้อน  รูปร่างและขนาดของเลนส์ที่ต้องการพร้อมกับแรงกดเข้าไป คุณก็สามารถ  ก�ำหนดจ�ำนวนของเลนส์ได้อย่างไม่สิ้นสุด”  ในปี  2007 เขาชนะเงินรางวัล

20

นงนุช สิงหเดชะ แปล


500,000 ดอลลาร์ของทุนแมคอาร์เธอร์  ซึง่ เป็นทุนทีม่ อบให้กบั คนอัจฉริยะ  ทั้งนี้  คณะกรรมการผู้ตัดสินของทุนแมคอาร์เธอร์ระบุว่า ผลงานประดิษฐ์  แว่นตา “มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงเศรษฐศาสตร์ของเลนส์ชนิดปรับแก้  ในชุมชนห่างไกลและได้รับบริการไม่เพียงพอทั่วโลกได้” แต่การชนะรางวัล ในท้ายที่สุดแล้วก็จบลงอย่างง่ายดายกว่าการ  เปลี่ยนแปลงโลก  เครื่องพิมพ์เลนส์ของกริฟฟิธไม่เคยหาตลาดได้   “มัน  กลายเป็นว่าเราก�ำลังแก้ไขปัญหาที่ผิด” เขาบอกผม “การสร้างโรงงาน  และติดตั้งเครื่องจักรส�ำหรับผลิตเลนส์มีราคาแพง  แต่เมื่อใดที่คุณมีสัก  1 แห่ง คุณก็สามารถผลิตเลนส์ราคาถูกได้  แล้วก็น� ำไปส่งมอบให้ประ  ชาชนที่ไหนก็ได้ในโลกนี้  โดยเสียค่าแสตมป์ในการส่งเพียง 1 หรือ 2  ดอลลาร์”  แท้ที่จริงแล้วสิ่งประดิษฐ์ของกริฟฟิธชี้ถึงปัญหาที่ได้รับการ  แก้ไขมาก่อนหน้านี้แล้วหลายปีด้วยราคาต�่ำสุดโดยแรงงานจีนและการ  ขนส่งทางเรือทั่วโลก  เขากล่าวว่าประเด็นปัญหาแท้จริงของแว่นสายตา  ในประเทศก�ำลังพัฒนาไม่ใช่การผลิตเลนส์  แต่อยู่ที่การทดสอบสายตา  และเขียนใบสั่งตัดแว่นส�ำหรับประชาชนที่เข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้  น้อยหรือเข้าไม่ถึงเลย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐศาสตร์  มากกว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ประสบการณ์ดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อความคิดของกริฟฟิธ  เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่กัดกินเขาอยู่ในตอนนี้   เขายังคงเป็นเครื่องยนต์  แห่งการประดิษฐ์  โครงการหลายอย่างของเขาเมื่อไม่นานมานี้  มีสามล้อ  ส�ำหรับขนส่งสินค้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้า อันเป็นรูปแบบของฉนวนราคาไม่  แพงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโอริงามิ  (origami-ศิลปะการพับกระดาษ  แบบญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นวิธีผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยลมอันต่างไปจากวิธีธรรมดา  ทั่วไปอยู่ด้วย  แต่กริฟฟิธไม่เหมือนกับวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์หลาย  คนที่ร่วมงานกับเขา  เขาบอกผมว่า เขา “ไม่ใช่คนมองเทคโนโลยีในแง่  ดี” ที่เชื่อว่าปัญหาพลังงานและสภาพภูมิอากาศของโลกจะยอมสยบต่อ  การที่มนุษย์เพิ่มการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอันเฉลียวฉลาดเป็น 2 เท่า  แน่ใจหรือว่าช่วยโลก?

21


ไม่ว่าจะเป็นโครงการเชิงนิเวศแมนฮัตตัน หรือโครงการอพอลโลสีเขียว  กริฟฟิธเชื่อว่าความจ�ำเป็นเร่งด่วนที่สุดด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่การค้นพบ  ครั้งส�ำคัญทางวิทยาศาสตร์ที่ดูเหมือนปาฏิหาริย์   แต่คือการเปลี่ยนแปลง  พฤติกรรมมนุษย์อย่างใหญ่หลวงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อันเป็นการ  ปฏิวัติความสัมพันธ์ของเรากับพลังงานและการบริโภค  ในการเสนอผล  งานของเขาเมื่อปี  2009 เขาตั้งใจจะมอบปากกามงต์บลองค์และนาฬิกา  โรเล็กซ์ให้กับลูกชาย (ซึ่งในเวลานั้นอีก 2-3 เดือนจึงจะคลอด)  การกล่าว  อุปมาอุปไมยดังกล่าวของเขาหมายถึง “เทคโนโลยีที่เป็นมรดกตกทอด”  หรือข้าวของที่มีคุณภาพสูง ใช้พลังงานน้อย ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ใช้ได้  ตลอดชีวิต แทนที่จะทิ้งและซื้อหามาใหม่อย่างรวดเร็ว แม้เราจะเชื่อว่าความคิดของกริฟฟิธถูกต้อง แต่จะมีพวกเราสักกี ่ คนที่จะเลือกอย่างอิสรเสรีในการเปลี่ยนชีวิตของเราไปถึงระดับที่กริฟฟิธ  ตั้งใจ  และไม่ว่าเราจะเปลี่ยนหรือไม่  แรงผลักดันทางการเมือง เศรษฐกิจ  และศีลธรรมใดจะเข้มแข็งเพียงพอที่จะน�ำเราไปสู่แนวคิดเดียวกันเพื่อ  สร้างความแตกต่าง นั่นเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ ช่วงปลายปี  2008 มีบางอย่างเกิดขึ้น อันเป็นสิ่งที่แม้แต่นัก สิ่งแวดล้อมและนักกาลวิทยาที่มองโลกในแง่ดีที่สุดก็ไม่คาดหวังว่าจะเกิด  นั่นคือพลังงานและรอยเท้าคาร์บอนของโลกลดลงอย่างมีนัยส�ำคัญ  แต่  ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์บรรลุการ  รู้แจ้งเห็นจริงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่เกิดขึ้นเพราะ  ราคาน�้ำมันสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์และเศรษฐกิจโลกย�่ำแย่   ค�ำอธิบายที่  เข้าใจได้ง่ายคือ ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์รายใหญ่  ของโลกมักรุ่งเรืองเสมอ  และเมื่อเผชิญกับภาวะย�่ำแย่  บรรดาผู้บริโภค  ก็ตอบสนองด้วยการบริโภคน้อยลง โรงงานผลิตที่ปิดตัวลงก็ไม่มีการเผา  ถ่านหิน  เมื่อประชาชนตกงานหรือกังวลว่าจะตกงาน พวกเขาก็จะประ

22

นงนุช สิงหเดชะ แปล


พฤติตัวในฐานะสมาชิกแม่แบบของสภาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ   พวก  เขาขับรถน้อยลง ดับเตาหลอม ปิดไฟในห้องที่ไม่มีคนอยู่  ปิดเครื่องท�ำ  ความอบอุ่นสระว่ายน�้ำ อยู่ได้โดยไม่ต้องมีเครื่องปรับอากาศ ตัดสินใจ  ไม่ไปชิคาโกในวันขอบคุณพระเจ้า และซื้อสิ่งของโดยขาดความยับยั้ง  ชั่งใจน้อยลง แม้แต่คนรวยก็นั่งขัดสมาธิอยู่เฉยๆ  และผลจากการหยุด  ชะงักทางเศรษฐกิจ ท�ำให้ปัญหาหลายอย่างด้านสิ่งแวดล้อมที่เราสร้าง  หยุดชะงักลงด้วย  ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยที่เริ่มขึ้นในปี  2008 สร้าง  ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วบริเวณส่วนใหญ่ของโลก แต่มันก็ใส่เวลากลับมา  ให้กับนาฬิกาคาร์บอนด้วย ไม่มีคนที่มีเหตุผลคนใดจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจพังทลาย เพื่อใช้  เป็นกลยุทธ์ในการรักษาพลังงานและสภาพภูมิอากาศ  อย่างไรก็ตาม  จากมุมมองด้านสิ่งแวดล้อม มีหลายอย่างเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย  ที่ควรกล่าวถึง  ความท้าทายอยู่ตรงการค้นหาหนทางที่จะไม่ก่อให้เกิด  หายนะเพื่อให้บรรลุผลอย่างเสมอกันในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการ  บริโภคที่ลดลงโดยไม่ก่อความทุกข์ล�ำบากให้กับมนุษย์   นั่นเป็นปัญหาที่  ยากหินทีเดียว เพราะก็เป็นอย่างที่ประสบการณ์เมื่อไม่นานมานี้พิสูจน์ให้  เห็น  ในช่วงเวลาที่ย�่ำแย่  แม้แต่ประเทศรวยที่สุดก็มุ่งความพยายามไป  ที่การไม่ท�ำให้การลดใช้พลังงานและปล่อยคาร์บอนที่ถือเป็นความโชคดี  ที่ค้นพบโดยบังเอิญนี้เป็นเรื่องถาวร แต่กลับท�ำให้สิ่งเหล่านี้หายไปด้วย  การลดภาษีพลังงาน ช่วยเหลือผู้ผลิตที่ล้มละลาย ลดต้นทุนการกู้ยืมเงิน  กระตุ้นให้มีการขยายเมืองออกไปด้วยการให้สิ่งจูงใจแก่บริษัทสร้างบ้าน  และผู้ซื้อบ้าน ท�ำให้ระบบการควบคุมสิ่งแวดล้อมอ่อนแอลง และเปิด  ระบบนิเวศที่เปราะบางอยู่แล้วให้กับการหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรม  ชาติ เราอาจเชื่อว่าเราใส่ใจต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของโลกที่ก� ำลัง  หยั่งลึกนี้  และก็เพียงแค่รอคอยนักวิทยาศาสตร์  นักสิ่งแวดล้อม นักการ  แน่ใจหรือว่าช่วยโลก?

23


เมื อ ง  และคนอื่ น ๆ  ให้ คิ ด อย่ า งมี เ หตุ ผ ลและลงมื อ ปฏิ บั ติ แ นวทางแก้  ปัญหาที่มีประสิทธิภาพในนามของเรา  อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง  เรารู้อยู่แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องท�ำและเป็นสิ่งที่เรามีมานานแล้ว  เรา  เพียงแค่ไม่ชอบค�ำตอบ นั่นคือปัญหาที่ยากจะแก้

24

นงนุช สิงหเดชะ แปล


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.