ตัวอย่างผลงาน สุดารัตน์ อรรถประจง
เพราะเป็นผู้ชาย จึงถูกมองข้ามความเป็นมนุษย์ (นิตยาสาร restroom)
ทำไมทุกครั้งที่ผู้ชายถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถึงถูกมองเป็นเรื่องตลก กลายเป็นเรื่องที่มองผ่านได้ เพียง เพราะเขาเป็น “ผู้ชาย” หลายครั้งมักจะได้ยินเรื่องของผู้ชายที่ถูกคุกคามทางเพศ ทั้งจากเพศหญิงและเพศชาย แต่ ที่น่าเสียใจที่สุด คือคนในครอบครัวมักจะไม่เอาเรื่องผู้ก่อเหตุ เพราะคิดกันเอาเองว่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้เสียหายอะไร อย่างไรก็เป็น “ผู้ชาย” อย่างไรก็ตามแม้ผู้ชายจะมีสระรีระที่ดูแข็งแรงบึกบึนต่างจากผู้หญิง หรือบางคนอาจมีพละกำลังที่มากกว่า แต่นั่นเป็นเรื่องของสะรีระทางร่างกายที่มีความแตกต่างกันมาแต่กำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ เหนือการควบคุมของมนุษย์ ดังนั้นเราควรให้สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความต่างกันภายนอก และไม่ควรยัดเยียดความ เป็นหญิงหรือความเป็นชายใส่ใคร เพราะมันไม่ได้มีมาตั้งแต่แรกแล้ว โดยรวมแล้วไม่ว่าจะเป็นเพศใด ล้วนเป็นเพียงมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึก ที่อาจถูกทำลายได้ ตลอดเวลา เคยคิดกันไหมว่าเหตุการณ์การถูกล่วงละเมิดทางเพศที่ผู้ชายเคยพบเจอมาในอดีตนั้น จะส่งผลกับ อนาคตของพวกเขาเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน สตีเฟน คิโกมา ถูกผู้ชายข่มขืนในบ้านของเขา จากเหตุการณ์ความขัดแย้งในสาธารณรัฐประชาธิปไตย คองโก เขาใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยในยูกันดา ที่ได้รับการชมเชยว่ามีนโยบายต้อนรับผู้ลี้ภัยมากที่สุดในโลก หากแต่ มัน ไม่ได้ราบรื่นนัก เนื่องจากกฎหมายในประเทศได้บอกไว้ว่า ผู้มีพฤติกรรมไปในทางรักร่วมเพศถือว่ามีความผิด สตี เฟ่นเล่าถึงความเจ็บปว ดในการให้สัมภาษณ์กับ อลิซ มูเทนกี ผู้สื่อข่าวบีบีซี ว่ามันคือ “ตราบาป” "ในฐานะผู้ชาย ผมร้องไห้ไม่ได้ ผู้คนจะมองว่าคุณเป็นคนขี้ขลาด อ่อนแอ และโง่เง่า" "พวกเขาฆ่าพ่อผม ชาย 3 คนข่มขืนผม และพวกเขาก็บอกว่า 'แกเป็นผู้ชาย แกจะบอกคนอื่นว่าถูกข่มขืน ได้ยังไง?" ด้าน ดร.คริส โดแลน ผู้อำนวยการองค์กรเอกชน เจ้าของโครงการกฎหมายผู้ลี้ภัย (Refugee Law Project) เปิดเผยต่อรายงานโฟกัสออนแอฟริกาของบีบีซีว่า "เหตุผลหลักที่มีผู้ชายออกมาพูดเรื่องนี้เพียง 4% ขณะที่มีผู้หญิงออกมาแจ้งว่าถูข่มขืนกว่า 20% เพราะผู้คนมักทึกทักว่าผู้ชายไม่น่าจะตกเป็นเหยื่อ พวกเขาน่าจะสู้ กลับ ส่วนคนที่ยอมให้เกิดขึ้นแสดงว่าต้องเป็นพวกรักเพศเดียวกัน"
"เมื่อผมถามตำรวจ พวกเขาพูดว่าถ้ามีอะไรที่เป็นการสอดใส่ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย ก็ถือว่าเป็นเกย์" "ถ้ามันเกิดกับผู้หญิง เราฟังพวกเธอ ช่วยเหลือ ดูแลและรับฟังพวกเธอ ให้พวกเธอได้พูด แต่ในกรณีของ ผู้ชายล่ะ?" เรื่องเหล่านี้ในประเทศไทยยังถูกมองข้ามอย่างที่เราเองแทบไม่รู้ตัว ทำเสมือนมองไม่เห็น ทำเป็นไม่รับรู้ ว่า ผู้ชายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้นจะมีชะตากรรมอย่างไรในอนาคต ทั้งที่คนส่วนใหญ่ออกมาบอกว่าตนนั้นเปิดกว้าง ในเรื่อง รักร่วมเพศ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของคนที่เลือกมองข้ามมัน หากแต่เป็นสังคมและสภาพแวดล้อมที่ไม่ เอื้อให้คิดว่า การเรียกร้องสิทธิ์ของตนนั้นเป็นเรื่องถูกต้องจึงทำให้ถูกมองข้ามไปในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีผู้ชายถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยเฉพาะการถูกกระทำจากเพศชายด้วยกันเอง นับเป็น เรื่องน่าอับอายจนไม่มีใครกล้าออกมาเอาเรื่องกับผู้ก่อเหตุ เนื่องจากวัฒนธรรมไทยปลูกฝังว่าเป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง ปกป้องผู้หญิงและคนรอบข้าง เติบโตไปต้องเป็นเสาหลักให้ครอบครัว สิ่งเหล่านั้นไม่มีช่องว่างให้ผู้ชายสามารถล้ม ได้ เมื่อต้องรับบทบาทการเป็นผู้นำและแบกรับความคาดหวังของคนในครอบครัวและสังคม เพศชายยิ่งต้องเชื่อว่า ตนแข็งแกร่งพอที่จะแบกรับทุกปัญหาเพราะตนนั้นเกิดมาเป็น “ผู้ชาย” หลายคนเต็มใจพร้อมจะดูแลทุกชีวิต พยายามใช้ชีวิตให้สมกับความเป็นชายและเชื่อว่าชีวิตของคนรอบ ข้างย่อมเป็นความรับผิดชอบของตน เพื่อให้เป็นไปตามกรอบของสังคมที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนที่ติดตัวมาแต่ กำเนิด แม้มนุษย์เราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกในสิ่งที่จะเป็นได้ เลือกที่จะกระทำได้ และการเลือกเพื่อตนเองนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่หากคุณเป็นผู้ชายประเภทที่เต็มใจและไม่ได้ลำบากที่จะแบกรับทุกความคาดหวังนั้นไว้ นั่น ก็ไม่ใช่ สิ่งที่ผิดเช่นเดียวกัน แต่จงอย่าให้ค่ากับความคาดหวังของสังคม และความคาดหวังที่มากเกินไปของคนในครอบครัว เพราะการ เรียกร้องสิทธิ์ที่ควรจะได้รับนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด และการถูกล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่ความอับอายของเรา คนที่ควรจะ รู้สึกระอายใจและอับอายมากที่สุดควรเป็นฆาตกรที่ได้พรากความรู้สึกภาคภูมิใจบางส่วนของเราไปต่างหาก คนในสังคมควรกลับมาตั้งคำถามกับตนเองว่าคุณยังคาดหวังความสมบูรณ์แบบในความเป็นชาย ซึ่งเป็นสิ่ง ที่ไม่มีจริงบนโลกอยู่หรือไม่ หากยังคิดอยู่จงกลับไปตั้งคำถามกับตนเองใหม่ว่า โลกแห่งความเท่าเทียมที่คุณฝันหา นั้น เป็นโลกแบบไหนกัน ใช่โลกที่ตัดสินคุณค่าความเป็นมนุษย์จากความสามารถไหม หรือยังยึดติดกับเพสภาพกัน อยู่ เราอยากขอให้ทุกคนได้โปรดอย่ามองข้ามสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะเหยื่อเป็น “ผู้ชาย”
“บงก์วรัฐ งามพร้ อม”ต่ อยอดภูมิปัญญา ดัน”น้าพริกแม่ การุณ”ขึน้ ห้ างอาเซียน (บทสัมภาษณ์ จาก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ)
ท่ามกลางวิกฤตการเกิดโรคระบาด ผูป้ ระกอบการสิ นค้า OTOP หลายรายยกธงขาวชะลอกิจการ บ้างก็ ล้มพับปิ ดตัวเองเพราะทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว แต่ “น้ าพริ กแม่การุ ณ” จากจังหวัดสุ รินทร์กลับเป็ นหนึ่ง ในสิ นค้า OTOP ที่สวนกระแส ทาสถิติยอดขายแซงคู่แข่ง และกาลังขยับขยายตัวเองเตรี ยมบุกตลาดต่างประเทศ “บงก์วรัฐ งามพร้อม” ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แบรนด์ “น้ าพริ กแม่การุ ณ” ได้มาจากชื่อ ของคุณแม่เพราะสมัยก่อนคุณแม่จะทาน้ าพริ กปลาย่างเป็ นของฝากให้ลูกหลานที่ตอ้ งไปทางานต่างถิ่น เมื่อเรา ต้องไปทางานต่างประเทศ แม่ก็ทาน้ าพริ กปลาย่างสู ตรของแม่ให้เอาไปกินด้วย พอไปถึงเราก็ได้แบ่งให้คนไทยที่ นัน่ กินด้วยเขาก็ติดใจเลยสั่งซื้อกับเรา พอกลับจากต่างประเทศจึงได้เริ่ มมองหาตลาด โดยเริ่ มจากตลาดประชารัฐ ในจังหวัดสุ รินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2560 ด้วยงบลงทุนเพียง 1,700 บาท มีแค่สูตรดัง่ เดิมที่เป็ นน้ าพริ กปลาย่างก็ได้ผล ตอบรับดีมาก หลังจากนั้นก็มีรายการทีวิติดต่อมาให้เราไปออกรายการปากท้องต้องรู ้และรายการทุกทิศทัว่ ไทย ซึ่งเป็ นจุดเริ่ มต้นที่ทาให้น้ าพริ กแม่การุ ณเริ่ มเป็ นที่รู้จกั ในประเทศไทย ปัจจุบนั มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นจากการคิดหาวิธีรักษาอายุน้ าพริ กไว้ให้ได้นานขึ้น เพราะ น้ าพริ กเราไม่ได้ใส่ สารกันบูด โดยการนาเอาสมุนไพรใส่ ลงไปในน้ าพริ กสู ตรดัง่ เดิมจึงเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ปัจจุบนั มีผลิตภัณฑ์ท้ งั หมด 4 ตัวคือ 1. น้ าพริ กปลาย่างสู ตรดัง่ เดิม 2. กลางดงกุง้ 3. ปลาย่างหยอง และ 4. ผลิตภัณฑ์ตวั ใหม่ คือน้ าพริ กกากหมูซ่ ึงเป็ นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด แต่จะเก็บไว้ได้ไม่นานเพราะจะขึ้นรา ซึ่ง กลางดงกุง้ และปลาย่างหยองสามารถรับประทานได้ 15 วัน แช่ตเู้ ย็นรับประทานได้ 3-6 เดือน “เรายึดหลักการผลิตแบบทาให้สุกและสะอาด มีการคัดสรรวัตถุดิบอย่างดี ซึ้งวัตถุดิบ เช่น พริ กและ หอม รับมาจากจังหวัดศรี สะเกษ แต่ถา้ เกษตรกรแถวบ้านปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรี ย ์ เราก็จะซื้อเหมาไว้ อาหารทะเล เช่น ปลา กุง้ และกะปิ รับมาจากจังหวัดระนอง ต้องเป็ นกะปิ ระนองเท่านั้น เพื่อไม่ให้รสชาติของน้ าพริ กเพี้ยน ไปจากเดิม ทั้งนี้เรายังได้ข้ นึ ทะเบียนเป็ นสิ นค้า OTOP ระดับ 4 ดาว ที่ได้รับมาตรฐานอาหารปลอดภัย โดยกรม พัฒนาชุมชน (พช.) การันตีความนิยมด้วยรางวัลชนะเลิศในโครงการ ONIE Online Commerce Center (OOCC) ดีเด่นประจาอาเภอโดย ศูนย์ กศน.อาเภอเขวาสิ นริ นทร์ จังหวัดสุรินทร์ ประจาปี 61-62
สัดส่วนทางการตลาดจาหน่ายหน้าร้าน 60% ที่ TOPs Super Market ซึ่งสามารถทายอดขายให้กบั แบ รนด์ได้ถึง 10,000 -12,000 บาท/สัปดาห์ และวางขายที่ร้านส้มตาพันล้าน ในจังหวัดนครราชศรี มา มีการรับ ตัวแทนจาหน่าย ลูกค้าสามารถนาไปขายภายใต้แบรนด์ของตัวเองได้ในราคากิโลกรัมละ 300 บาท และขาย ออนไลน์ 40% ผ่านเพจ Feacbook ในชื่อ น้ าพริ กแม่การุ ณ ราคาอยูท่ ี่ 500 บาท/กก. แบบกระปุก 35 บาท ส่วน ใหญ่จะเป็ นลูกค้าประจา ที่มาจากหลายภูมิภาค เป็ นคนไทย 90% และจากการสนับสนุนจาก JD CENTRAL ที่ ได้เปิ ดตลาดจริ งใจ และการจัดงานอีเวนต์ให้ผปู ้ ระกอบการ OTOP ได้ออกบูธในเซ็นทรัล ถือเป็ นโอกาสที่ดี สาหรับผูป้ ระกอบการ OTOP รายย่อยขนาดเล็กเป็ นที่รู้จกั ในวงกว้าง ทาให้เรามีกลุ่มต่างชาติ 10% ในด้านการส่ งออกมีส่งไปยังฝรั่งเศส เบลเยีย่ ม และฮอลแลนด์ เป็ นการส่ งในลักษณะรับหิ้ว ซึ่งคนที่คอย รับซื้อไปขายต่างประเทศก็เป็ นคนในครอบครัวที่อาศัยอยูต่ ่างประเทศ ลูกค้าส่ วนใหญ่เป็ นชาวเอเซีย การส่ ง ลักษณะนี้จะส่ งได้ครั้งละ 10 กก. ส่งทุกสัปดาห์ ราคาขายในต่างประเทศอยูท่ ี่ประมาณ 20 ยูโร/กก. และมีคนจาก กัมพูชามาติดต่อขอซื้อไปขายเองในประเทศซึ่งวางขายในราคากระปุกละ 50 บาท ปัจจุบนั อยูใ่ นช่วงขยายกิจการเป็ นโรงงานเครื่ องจักรที่ทนั สมัยที่สามารถผลิตน้ าพริ กได้ครั้งละ 30 กก. เราเริ่ มก่อสร้างโรงงานมาได้ประมาณ 1 ปี แล้ว โรงงานตั้งอยูใ่ นจังหวัดสุ รินทร์ อาเภอเขวาสิ นริ นทร์ ห่างจากตัว เมืองสุรินทร์ 14 กิโลเมตร คาดว่าจะเดินเครื่ องได้ไม่เกินเดือนมีนาคมปี 64 พร้อมกับการได้รับ อย. ที่ล่าช้าเกิด จากรู ปแบบของโรงงานไม่ตรงตามมาตรฐานสิ นค้าส่ งออก ตอนนี้ยงั คงใช้วิธีตาด้วยครกยักษ์แบบโบราณที่ สามารถผลิตได้ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 10 ลัง/เดือน รายได้เฉลี่ย 3-4 แสนบาท/เดือน จากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 กระทบยอดส่ งออกน้ าพริ ก 100% เพราะไม่สามารถส่ งของ ออกต่างประเทศได้ รวมถึงยอดขายในไทยที่ได้รับผลกระทบกว่า 60% เนื่องจากไม่ได้ออกบูธตามงานอีเวนต์ ทั้งนี้ตลาดสี เขียวและตลาดน้ าราชมงคลในสุ รินทร์ก็ไม่สามารถวางขายได้ กระทบยอดขายสิ นค้าที่วางขายใน TOPs Super Market ลดลงเหลือพันกว่าบาท/สัปดาห์ จากเดิมที่เคยขายได้ 4,000-7,000 บาท/สัปดาห์ "อย่างที่ไปออกบูธที่เมืองทอง 10 วันเราขาดทุนย่อยยับเป็ นเงินกว่า 14,000 บาท อยากให้ภาครัฐช่วย สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พกั เวลาที่ตอ้ งไปออกงาน โดยเฉพาะที่เป็ นงานของภาครัฐ เพราะ ผูป้ ระกอบการ OTOP ไม่เคยปฏิเสธที่จะไปอบรม หรื ออกบูธงานต่างๆ เลยเราให้ความร่ วมมือทุกงาน เมื่อก่อน ไม่วา่ จะต้องจ่ายเท่าไหร่ เราก็ไป แต่ตอนนี้ เราไม่ไหวแล้ว" “ในปี นี้เราจะเพิ่มการส่ งออกตีตลาดอาเซียน ถ้าสถานการณ์โควิด-19 คลี่คาลายลง ซึ่งจะวางขายในห้าง ในสปป.ลาว ที่เพื่อนเป็ นเจ้าของอยู่ และห้างที่ประเทศกัมพูชา เชื่อว่าน้ าพริ กแม่การุ ณจะสามารถตีต้ืนกลุ่ม
น้ าพริ กดังๆ ได้แน่นอน ในช่วงแรกเราอาจจะยังไม่ได้หวังผลในด้านกาไร เราต้องเอาฐานลูกค้าและชื่อเสี ยงไว้ ให้ได้ก่อน และเมื่อได้ตามที่ตอ้ งการเราจะเดินตามเป้าหมายที่ต้ งั ไว้คือจะทายอดให้ได้มากกว่า 3 แสนบาท/เดือน และวางขายทัว่ ประเทศไทย ในเดือนมีนาคมปี 64 เพราะเราได้เซ็นสัญญากับเซ็นทรัลเรี ยบร้อยแล้ว ซึ่งนาพริ กแม่ การรุ ณจะวางจาหน่ายในทุกสาขาของเซ็นทรัล”
The Alchemist: เมื่อคุณค่าของความฝัน ไม่ใช่แค่ลงมือทำให้สำเร็จ (บทความจาก สุขเกษียณ) “มีคนที่รู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไร แต่ไม่อยากทำให้มันเป็นจริงอยู่” ซานติอาโก คนเลี้ยงแกะ จากนวนิยายเรื่อง The Alchemist การทำความฝันให้สำเร็จอาจเป็นเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคน หากแต่โลกนี้ยังมีคนที่ไม่ต้องการทำให้ ฝันของตนเป็นจริงอยู่ และพึงพอใจกับชะตาชีวิตที่มีความฝันอันสูงสุด ไว้เพียงเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการมีชีวิต อยู่เท่านั้น “The Alchemist ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน” นวนิยายเชิงสัญลักษณ์ที่ให้ผู้อ่านได้ตีความจากประสบการณ์ การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของตน เขียนโดย เปาโล คูเอลญู (Paulo Coelho) ผู้มีความสนใจในศาสตร์การเล่นแร่แปร ธาตุ แปลไทยโดย กอบชลีและกันเกรา เรื่องกล่าวถึงการเดินทางตามความฝันอันสุดโต่งของ “ซานติอาโก” คน เลี้ยงแกะชาวสเปน ซานติอาโกมักจะฝันถึงเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ในความฝันอันยาวนาน เขาเห็นพีระมิดและเด็กชายผู้นำทางสู่ ขุมทรัพย์ที่จะทำให้เขาร่ำรวยในอนาคต หากแต่เขาไม่ได้สนใจมันมากนัก จนกระทั่งได้พบกับ “เมลคีเซเดค” กษัตริย์แห่งซาเล็ม ผู้เติมเต็มชะตาชีวิตของซานติอาโก ทำให้เขาตัดสินใจออกตามหาขุมทรัพย์ในอียิปต์ ซึ่งเป็นการ เดิมที่ต้องแลกด้วยทุกสิ่งที่เคยมี ทุกสิ่งที่คงมี และทุกสิ่งที่จะมี การเดินทางตามความฝันจากสเปนสู่อียิปต์ ทำให้ซานติอาโกได้สัมผัสโลกในมุมที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน และได้รู้ว่าโลกนี้ยังมีคนที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่มีความฝัน หากแต่เพราะภาระหน้าที่ ได้ ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถออกเดินทางตามความฝันได้ หรือแม้กระทั่งคนอย่าง “พ่อค้าเครื่องแก้ว” ในแทนเจียร์ เมืองเล็ก ๆ ในทวีปแอฟริกา ผู้ไม่ประสงค์จะทำให้ฝันเป็นจริง “เพราะการคิดถึงเมกกะคือสิ่งที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่น่ะสิ มันทำให้ฉันทนทุก ๆ วันที่ซ้ำซากจำเจนี้ได้ ฉันกลัวว่า ถ้าทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงแล้ว จะไม่มีแรงบันดาลใจสำหรับมีชีวิตต่อ” คำพูดจากปากชายแก่เจ้าของร้านขายเครื่องแก้วที่เปิดร้านมามากกว่า 30 ปี หลังถูกถามว่าทำไมไม่ไป เมกกะ ไปทำฝันให้เป็นจริง เดินตามชะตาชีวิตของตนที่ควรจะเป็น เพราะตอนนี้เขามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะ เป็นเงินทองหรือลูกน้องที่ไว้ใจได้
หน้าที่ของชาวมุสลิมข้อที่ห้าจากคำภีร์อัลกุรอาน คือการออกเดินทาง พ่อค้าเครื่องแก้วจึงมีความฝันที่ อยากจะไปเมกกะ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้สักครั้ง เขาจึงได้เปิดร้านเครื่องแก้วขึ้น เพื่อเก็บเงินและออกไปทำความ ฝันนั้นให้สำเร็จในสักวัน เหตุผลเดียวที่ทำให้พ่อค้าเครื่องแก้วเปิดร้านมาได้กว่า 30 ปีนั้น คือการคิดถึงเมกกะ เพราะเมื่อนึงถึงการ เดินทางไปยังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นทีไร มันอาจเหมือนกับว่าเขากำลังจะได้รับรางวัลจากการที่ทุ่มเทให้กับ งานที่แสนจำเจนี้ การฝันถึงเมกกะจึงเปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตให้ยังคงมีชีวิตอยู่ในวันที่น่าเบื่อต่อไป “เธอไม่เหมือนฉัน เพราะเธออยากทำความฝันของเธอให้เป็นจริง ส่วนฉันต้องการแค่ฝันถึงเมกกะ” คำกล่าวของพ่อค้าเครื่องแก้ว แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ชัดเจนของตน และเขาเองไม่ได้รู้สึกถึงความบกพร่อง ในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา เพียงเพราะไม่ได้ทำฝันที่ตนปรารถนาไว้ให้สำเร็จ เป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนอาจต่างกันออกไป แต่ปลายทางยังคงเป็นสิ่งเดียวกัน คือความสุข การทำ ความฝันให้สำเร็จอาจเป็นทั้งความสุขและความภาคภูมิในของ ซานติอาโก หากแต่การได้คิดถึงเมกกะก็ทำให้พ่อค้า เครื่องแก้วมีแรงใจในการดูแลร้านเครื่องแก้วให้มันยังคงดำเนินกิจการต่อไปได้ สิ่งเหล่านี้เป็นทั้งความสุขและความ ภาคภูมิใจของพ่อค้าเครื่องแก้วเช่นกัน การดำเนินชีวิตของซานติอาโกและพ่อค้าเครื่องแก้วอาจแตกต่างกันใน มุมมองเกี่ยวกับความฝัน หากแต่ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ที่ทั้งสองคนจะได้นั้น คือสิ่งเดียวกัน นั่นคือความสุข มนุษย์มีจิตวิญญาณในการดำรงชีวิตที่แตกต่างกัน เส้นทางสู่ความสำเร็จย่อมแตกต่างกัน ชะตาชีวิตของ พ่อค้าเครื่องแก้วอาจไม่ใช่การวิ่งตามความฝัน แต่เป็นการสร้างฝันนั้นขึ้นมาด้วยมือของตน โดยมีความฝันอันสูงสุด ที่เป็นแรงพลักดันให้เขาไปสู่การประสบความสำเร็จในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าวิธีการจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุด ผลลัพธ์ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะตัดสินคุณค่า แต่เป็นเราเองที่จะมองเห็นคุณค่าเหล่านั้นหรือไม่ อาจกล่าวได้ว่า สุดท้ายแล้วความสำเร็จในชีวิตของแต่ละบุคคล ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณค่าของความฝันของ ใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝันที่บุคคลนั้นทำได้จริง ความฝันที่บุคคลนั้นไม่ประสงค์ที่จะทำให้มันเป็นจริง หรือ แม้กระทั่งความฝันที่ลงมือทำไปแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่างก็มีคุณค่าในตัวเองแตกต่างกันออกไป และไม่ใช่ ตัวชี้วัดศักยภาพของบุคคลนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน บางครั้งเป้าหมายที่เราตั้งไว้อาจไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราไปให้ถึง แต่การ ดำรงอยู่ของมัน อาจมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราเองในทุก ๆ วันต่างหาก