งานเขียนบทความ

Page 1



วิจารณ์วรรณกรรม

วรรณกรรมย้าเตือนสติ LE PETIT PRINCE เจ้าชายน้อย By อ็องตวน เดอ แซงเตกซูเปรี แปลโดย อารียา ไพฑูรย์ หนังสือเจ้าชายน้อย ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสือที่หากหยิบมาอ่านสิบครั้ง ความรู้สึกที่มี ต่อหนังสือเล่มนี้ย่อมมีสิบความรู้ด้วยกัน เพราะเป็นหนังสือที่แฝงนัยต่างๆ ไว้มากมาย มี หลายคนค้นหาคาตอบว่าแท้จริงแล้วหนังสือเจ้าชายน้อยเป็นหนังสือประเภทไหน และ เหมาะสาหรับวัยอะไร แต่ผู้อ่านมองว่ามันเป็นหนังสือที่ใครๆ ก็สามารถนาไปอ่าน และ ตีความไปในแบบของตนได้แบบไม่มีถูกมีผิด เพราะสิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ของแต่ละคน อย่างผู้อ่านเองอ่านเพียงครั้งเดียวก็ให้ความรู้สึกที่หลากหลายมากเช่นกัน เป็น หนังสือที่มีแค่ 60 กว่าหน้า หากมองด้วยตาอาจใช้เวลาอ่านจริงๆ คงไม่เกินสองชั่วโมง แต่พอได้ลองอ่านแล้ว เพราะในแต่ละบรรทัด แต่ละบทนั้นผู้อ่านจะได้ทาความเข้าใจขบ คิดไปพร้อมๆ กับการอ่านหนังสือเล่มนี้ จึงใช้เวลาในการอ่านมากพอสมควร ทาให้ผู้อ่าน สามารถตีความไปในทางต่างๆ แบบที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ หนังสือเจ้าชายน้อยเขียนโดย แซงเตกซูเปรี ฉบับที่ผู้อ่านอ่าน แปลโดย อาริยา ไพฑูรย์ เจ้าชายน้อยเป็นหนังสือที่มีประโยชน์กับคนเกือบทุกวัย สามารถนามาใช้สอน


เด็กเล็กให้มองโลกได้กว้างขึ้นก็ได้ เพราะในเนื้อหาตัวเอกอย่างเจ้าชายน้อยได้เดินทางไป พบผู้คนหลากหลายรูปแบบ หลากหลายอาชีพ หลากหลายหน้าที่การงาน หากเด็กเล็ก ได้อ่าน มันจะเป็นการเปิดโลกใบเล็กๆ ของเขาให้ได้พบกับความเป็นจริงของคนวัยที่โต ขึ้นและมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ในตาแหน่งที่ต่างกัน มุมมองของแต่ละบุคคลจึง ต่างกันออกไปด้วย ในอนาคต จะโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความสาคัญ กับสิ่งไหนมากกว่ากัน หากให้ค่ากับการประสบความสาเร็จ ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่แบบนัก ธุรกิจที่มองผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก แต่หากให้ค่ากับคนรอบข้างและอยากทา คุณประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็จะกลายเป็นคนที่รับผิดชอบหน้าที่อย่างเช่นคนจุดโคม แต่ใน ขณะเดียวกัน ได้ให้คาตอบแก่เด็กๆ เกี่ยวกับการประพฤติตนของผู้ใหญ่ผ่านตัวละครชาย ขี้เมา ที่ดื่มเหล้าเพื่อให้ลืมบางสิ่ง แต่สุดท้าย มันอาจจะไม่ได้ช่วยเลยด้วยซ้า นอกจากให้เด็กๆ ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น ยังเป็นการสอดแทรกการใช้ชีวิตในสังคม ให้กับเด็กๆ ไปด้วย อย่างตอนที่เจ้าชายน้อยได้พบกับคนหลงตัวเอง เขาขอให้ปรบมือให้ ก่อนถึงจะบอกสิ่งที่เจ้าชายน้อยอยากรู้ การปรบมือให้นั้นเป็นการแสดงออกที่สื่อได้หลาย ความหมายสาหรับผู้ใหญ่ แต่สาหรับเด็กแล้ว การได้รับเสียงปรบมือจากคนรอบข้าง มัน คือการชื่นชมอีกรูปแบบหนึ่ง อีกทั้งยังหมายความว่าคนรอบข้างดีใจกับสิ่งที่เขาทาได้ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวได้มากกว่าปกติหนึ่งช้อน หรือสอบได้คะแนนเต็ม และเสียง ปรบมือที่แทนคาชมเชยอาจจะสื่อถึงว่า เวลาเราจะเข้าหาใครสักคนที่เรายังไม่ไดรู้จักเขา เป็นการส่วนตัว ควรแสดงความคิดเห็นด้านบวกกับเขาเสียก่อน เราไม่ควรไปทักท้วงด้วย วาจาด้านลบ คล้ายเป็นการสอนมารยาทให้เด็กๆ ไปในตัว เพราะทุกครั้งที่เราจะเข้าหา ใคร ควรขึ้นต้นประโยคด้วยคาว่าขอโทษ เพราะหากเขายุ่งอยู่การเข้าไปทักทายของเรา อาจจะเป็นการรบกวนโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ ในส่วนนี้จึงสาคัญและควรสร้างความเข้าใจ ให้แก่เด็ก และลักษณะนิสัยของเจ้าชายน้อย เป็นเด็กที่ขี้สงสัย มักถามหาเหตุผลที่มาที่ไป ของบางสิ่ง เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดมามันสาคัญมากน้อยแค่ไหน เขาจะได้ ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง อย่างที่เจ้าชายน้อยถามคนจุดโคมว่า ‘หน้าที่’ คือ อะไร มันเป็นสิ่งพื้นฐานที่เด็กๆ มักได้ยินอยู่บ่อยๆ อย่างตอนที่เราทุกคนต้องตื่นเช้าเพื่อ


ไปโรงเรียน เรามักจะเกิดข้อสงสัยเสมอว่าทาไมต้องไปเรียน และได้รับคาตอบเดิมๆ จาก พ่อแม่ว่า มันคือ 'หน้าที่' เด็กๆ ก็ทาได้เพียงก้มหน้าตื่นเช้าไปโรงเรียนต่อไปทั้งที่ไม่รู้ ความหมายแลความสาคัญที่แท้จริงของคาว่าหน้าที่ด้วยซ้า ในส่วนของประเด็นในระดับผู้ใหญ่ ที่อ่านแล้วได้อะไรมากกว่าที่คิด ผู้อ่านเองเห็น ในหลายแง่มุม แต่ที่สะกิดใจและมองได้ชัดที่สุดตอนที่อ่านคือ หนังสือเจ้าชายน้อยเล่ม เล็กๆ เล่มนี้ ต้องการเตือนใจผู้ที่เรียกตนว่า 'ผู้ใหญ่' ให้ตระหนักถึงการกระทาในตอนนี้ ของเราว่า กาลังทาอะไรอยู่ ต้องยอมรับว่าการเติบโตขึ้นและได้เห็นคนหลากหลาย รูปแบบจากประสบการณ์ตรงนั้นทาให้เราเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากมายจริงๆ เพราะเรา ทุกคนที่ถูกสังคมรอบข้างขัดเกลาให้กลายเป็นคนที่ต้องทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นๆ และฉัน ต้องประสบความสาเร็จ เป็นผู้ที่ถูกนับหน้าถือตาในสังคมให้ได้ เป็นความกดดันอีกแบบที่ หาไม่ได้จากช่วงวัยไหนอีกแล้วนอกจากช่วงที่รู้สึกว่าต้องหาจุดยืนให้ตนเองอย่างที่เขา เรียกกันว่า วัยทางาน สิ่งเหลานี้ทาให้จุดโฟกัสของเราที่แต่เดิมก็ไม่ได้มีมากมายหนักลดน้อยลง พอโตขึ้น สิ่งที่ต้องแบกรับย่อมเยอะขึ้นตามมาจนมันเบียดเบียนเวลาในการใช้ชีวิตของเราจนแทบ ไม่เหลือ จากเมื่อก่อนตอนที่ยังเด็กที่จุดโฟกัสของเราคือตื่นเช้าไปเรียน รอเวลาเลิกเรียน จะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน และคิดว่าเย็นนี้แม่จะทาอะไรเป็นมื้อเย็น ตอนนี้ลดเหลือเพียงว่า หลังจากเลิกงานจะต้องเตรียมงานสาหรับวันพรุ่งนี้ หรือวัยมหา'ลัย ที่ต้องรีบกลับห้องไป ทางานเพื่อส่งอาจารย์ มีเวลาให้ได้นอนครบ 8 ชั่วโมงก็ถือว่าดีมากแล้ว มันทาให้เราลด คุณค่าของสิ่งรอบข้างลงโดยที่เราไม่รู้ตัว เราขาดสุนทรียะในการใช้ชีวิตไป ความสดใส เริ่มเหือดหาย ความห่วงใยของคนในครอบครัวกลายเป็นเรื่องน่าราคาญไปเสียหมด การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ทาให้เราได้ฉุกคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นวรรคหนึ่งว่า พวกผู้ใหญ่นั่นแหละ พวกเขาชอบตัวเลขกันมาก ถ้าคุณพูดถึงเพื่อนใหม่สักคนเขา จะไม่ถามถึงเรื่องสําคัญๆ หรอก เขาจะไม่ถามว่า "เสียงของเขาเป็นอย่างไร เขาชอบเล่น อะไรบ้าง เขาสะสมผีเสื้อด้วยหรือเปล่า" แต่พวกเขาจะถามว่า "เขาอายุเท่าไร มีพี่น้องกี่ คน เขาหนักเท่าไร พ่อเขาได้เงินเดือนเท่าไร" ก็เท่านี้เองที่เขาเข้าใจว่าเขาได้รู้จักคนคน นั้นแล้ว ถ้าคุณเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังว่า "ฉันเห็นบ้านหลังหนึ่ง ก่อด้วยอิฐสีแดง มีดอกเจอรา


เนียมอยู่ตรงหน้าต่างและมีนกพิราบเกาะบนหลังคา" พวกเขาจะไม่สามารถ จินตนาการ ถึงบ้านหลังนี้ได้เลย แต่ถ้าคุณเล่าว่า "ฉันเห็นบ้านหลังหนึ่งราคาแสนฟรังซ์เขาจะร้อง "โอ้โฮ สวยจริงๆ" เพื่อที่จะได้เปิดใจอ่านเรื่องราวของเจ้าชายน้อยได้อย่างไรอคติแบบผู้ใหญ่ นั่นจึง เป็นการปลดเปลื้องความเป็นผู้ใหญ่ของผู้อ่านได้อย่างดีเยี่ยม เป็นกลวิธีการเล่าเรื่องที่ ดึงดูดให้คนอ่านอยู่กับหนังสือเล่มเล็กนี้ได้จนจบ ทาให้ผู้อ่านได้ย้อนมองดูตัวเองว่าได้เป็น ผู้ใหญ่แบบนั้นหรือไม่ อีกทั้งผู้เขียนเองก็ได้ใช้ความใสซื่อบริสุทธิ์ของเจ้าชายน้อยขัดเกลาผู้อ่านวัยผู้ใหญ่ ได้ดีทีเดียว ด้วยบุคลิกช่างสงสัย และหากไม่ได้คาตอบจะไม่หยุดถาม นิสัยเหล่านี้เราจะ พบเจอกับเด็กที่กาลังหัดพูด เมื่อพูดได้สงสัยสิ่งไหนเขาก็มักจะถาม ตัวผู้อ่านเองเคยพบ เจอมากับตัวโดยหลานสาววัยสามขวบ เด็กวัยนี้มักสงสัยในสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ นั้นรู้ คาตอบดีอยู่แล้ว และเรามักจะขี้เกียจตอบ หรือมองข้ามมันไปจนกลายเป็นการละเลย เด็กที่กาลังเรียนรู้ โดยไม่ทันคิดว่าเด็กน้อยที่อาศัยอยู่บนโลกกว้างแห่งนี้ได้เพียงสามปี ไม่ใช่ สามสิบปีอย่างผู้เป็นพ่อแม่ ดังนั้นสิ่งที่เขารู้ย่อมน้อยกว่าบางทีการตอบคาถามสั้นๆ ของเด็กวัยสามขวบมันไม่เสียเวลาของเรามากนักหรอก เพราะสิ่งที่เด็กจะได้นั้นเทียบ ไม่ได้กับเวลาที่ผู้ใหญ่อย่างเราเสียไปเลยแม้แต่น้อย พอได้อ่านจนจบมันกลับทาให้ความรู้สึกว่างเปล่ามากจริงๆ สาหรับคนที่ดิ้นรน อยากจะครอบครองสิ่งที่ไม่ใช่ของตน การหักโหมทางาน หวังจะได้มีเงินเก็บเยอะๆ แต่ กลับไม่มีแผนว่าจะนาเอาไปทาอะไร และแทบไม่มีเวลาหันมองสิ่งรอบข้าง และบางครั้ง หลงลืมคนใกล้ตัวและไม่ใส่ใจกันไปในที่สุด เหมือนตอนที่เจ้าชายน้อยพบกับนักธุรกิจที่มี ดวงดาวเป็นของตัวเองมากมาย แต่กลับไม่รู้ว่ามีเยอะเพียงนี้แล้วมันนาไปทาอะไรได้บ้าง นอกจากเก็บไว้ในลิ้นชัก และการยกตัวอย่างง่ายๆ ของเจ้าชายน้อยที่บอกว่าถ้าเขามี ผ้าพันคอผืนหนึ่งเขาจะได้เป็นเจ้าของผ้าพันคอสักผืน เขาจะเอามันพันคอไปไหนมาไหน มาด้วย แล่นเช่นเดียวกันกับวรรคสุดท้ายของบทที่ 13 เจ้าชายน้อยได้บอกอีกว่านักธุรกิจ ไม่ได้สร้างคุณประโยชน์ใดๆ ให้กับดาวดวงนั้นๆ เลย แล้วอย่างนี้จะมีมันไปทาไม เทียบ


ไม่ได้กับที่เจ้าชายน้อยเป็นเจ้าของดอกไม้หนึ่งดอกเขารดน้ามันและดูแลดอกไม้ดอกนั้น เป็นอย่างดี เขาสร้างประโยชน์ให้กับดอกไม้นั่นเข้าจึงเป็นเจ้าของมัน ตรงนี้ก็ทาให้เราคิดได้อีกว่า ต่อให้เราเป็นคนจริงจังกับงานมีเงินเก็บมากมายส่งไป เลี้ยงดูคนในบ้าน แต่เรากลับไม่ได้ใส่ใจดูแลคนรอบข้างหรือคนในครอบครัวเลยมันจะมี ประโยชน์อะไร เงินพร้อมแต่คนในครอบครัวไม่พร้อม แบบนี้จะมีความสุขอะไร ส่งไปแค่ เงินแต่ขาดการดูแลเอาใจใส่ก็ไร้ค่าอยู่ดี และสิ่งเหล่านี้ทาให้ผู้ใหญ่หลายคนตระหนักรู้ว่าคนเราควรอยู่บนทางสายกลาง ตึงบ้าง หย่อนบ้าง หัดมองหาความสุขใส่ตัวบ้างเดี๋ยวสักวันจะหลงลืมความเป็นตัวเองไป เพราะ ความสุขในแต่ละช่วงวัยนั้นแตกต่างกัน หากเราพลาดโอกาสในการลิ้มลองความสุขใน วัยรุ่น แน่นอนว่าเราจะกลับไปรับความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะเวลาไม่เคยหมุน กลับมันมีแต่จะเดินไปข้างหน้า และไม่เคยคอยใคร หนังสือเจ้าชายน้อยจึงเป็นหนังสือที่ จัดว่าอ่านแล้วไม่เสียหาย ไม่เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ข้อเสียงเพียงอย่าง เดียวคือด้านภาษาเลยขาดอรรถรสที่จริงไป เพราะผู้แปลแต่ละคนอาจจะใช้สานวนภาษา ที่ต่างกันออกไป เหล่านี้ก็มีผลต่อการรับรู้ของผู้อ่านเช่นเดียว หากมีโอกาสก็อยากจะอ่าน ภาษาต้นฉบับดูสักครั้งการรับรู้โดยตรงย่อมแตกต่างจากการรับรู้ผ่านผู้อื่นอย่างแน่นอน


วิจารณ์เพลง

The story - Conan Gray เพลง The Story เป็นบทเพลงที่เขียนโดย Conan Gray (โคนัน เกรย์) เกิดเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม 1998 ที่ แคลิฟอร์เนีย, อเมริกา พ่อเขาเป็นชาวไอริช ส่วนแม่เป็นชาว ญี่ปุ่น พ่อแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่ conan อายุ 3 ขวบและคาดว่าเขาน่าจะอาศัยอยู่ กับพ่อเพราะหลังจากนั้นโคนันก็อาศัยอยู่ที่แคลิฟอร์เนียมาโดยตลอด the story เป็นเพลงหนึ่งในอัลบั้มที่มีชื่อว่า Kid Krow มาจากการเล่นคา Crow (อีกา) อัลบั้มเดบิ้วต์อย่างเป็นทางการของโคนันอัลบั้มนี้เป็นการเล่าเรื่องราวความรัก ความเจ็บปวด ความเปลี่ยวเหงา และด้วยเอกลักษณ์ของโคนันที่มักจะดึงเอา ประสบการณ์จริงในชีวิตมาเรียบเรียงเป็นบทเพลง คาดว่าในอัลบั้มก็คงจะเป็นแบบนั้ น เช่นกัน


The story เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคู่รัก หลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันไป ในแต่ละช่วงวัยอาจจะมีสมหวังบ้างผิดหวังบ้าง แต่นั่นแหละคือชีวิต ทั้งรูปแบบความรัก แบบสุดโต่งของวัยรุ่นอายุ 16 ปี จนทาให้การตีความหมายของความรัก ความห่วงใยจาก คนรอบข้างผิดแผกไปจากเดิม มองว่าการกระทาต่างๆ เหล่านั้น ช่างเป็นกระทาที่ใจร้าย เหลือเกิน จนไปสู่การไม่รักตัวเองและทาร้ายตัวเองในที่สุด อย่างในท่อนแรกของเพลง They were just sixteen when the people were mean, So they didn’t love themselves, and now they’re gone, Headstones on a lawn เขาอายุแค่ 16 ตอนที่ผู้คนเริ่มใจร้ายใส่นั่นแหละพวกเขาก็เลยไม่ได้รักตัวเอง เท่าไหร่ และตอนนี้พวกเขาก็จากไปแล้วป้ายหลุมศพพวกเขาก็เลยอยู่บนสนามหญ้า เพียงแค่ท่อนแรกที่ฟังผ่านๆ ก็พอเข้าใจได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มสาววัย 16 ปีนี้ และหากให้ตีความก็คงจะประมาณว่า คนรอบข้างไม่เข้าใจพวกเขา ผู้ใหญ่มักเป็น แบบนี้เป็นห่วงแต่ไม่ฉลาดในการเลือกวิธีแสดงออก จนอาจเกิดความไม่เข้าใจเล็ก และใน ตอนนั้นด้วยความที่คิดว่าไม่มีใครเข้าข้างตัวเอง รู้สึกโดดเดี่ยวจากความคิดเหล่านั้นและ สุดท้ายกลายเป็นคนที่มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองในที่สุด ในประโยคสุดท้ายที่ว่า ‘and now they’re gone, Headstones on a lawn’ นั้นอาจแปลได้หลายแบบอย่างที่เห็น มาที่ฟังแล้วให้อารมณ์เปลี่ยวกว่าเดิมคือ ‘สุดท้ายพวกเขาก็จากไป เหลือไว้แท่นหินสลัก ชื่อ’ แต่นอกจากความหมายที่ตรงตัวนั้นแล้ว ยังหมายความได้อีกแบบหนึ่งคือนิสัย เหล่านั้นของพวกเขาได้ตายไปจากเจ้าตัว และกลายเป็นคนใหม่ที่อาจจะเข้มแข็งขึ้น หรือไม่ก็กลายเป็นคนที่กลัวการมีความรักไปเลยก็ได้


คู่รักของเด็ผู้ชายสองคนที่เพื่อนสนิท และหวังว่าจะได้เป็นมากกว่านั้นในสักวัน แต่ในช่วงเวลานั้นเรื่อง LGBT คงยังไม่ได้เปิดกว้างเท่าทุกวันนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากมากๆ สาหรับการที่จะบอกรักออกไป นอกจากนี้ยังไม่สามารถรู้ได้ด้วยว่า เพื่อนอีกคนนั้นรู้สึก อย่างไรกับตน จนในที่สุดก็ต้องแยกจากกันไปทั้งๆ แบบนั้น แบบที่ยังค้างคา โคนันก็ได้ ส่งผ่านเรื่องราวต่างๆ ผ่านเพลงนี้ ในท่อนนี้ And when I was younger, I knew a boy and a boy, Best friends with each other, but always wished they were more ‘Cause they loved one another, but never discovered ‘Cause they were too afraid of what they’d say, Moved to different states และตอนที่ผมเด็กกว่านี้ ผมเริ่มรู้จักเด็กผู้ชายคู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ก็หวัง มาตลอดว่าพวกเขาจะเป็นได้มากกว่านั้น เพราะทั้งคู่ต่างรักกัน แต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผย มัน เพราะว่าพวกเขากลัวเกินกว่าที่จะพูดออกไปเลยแยกย้ายกันไปต่างเมืองในที่สุด และในอีกวัยหนึ่งที่เด็กกว่านั้น เขาเคยผ่านเรื่องราวความรักที่ยังไม่ทันได้กล่าวคา รักด้วยซ้า แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังตั้งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองรักคนที่ไม่ควรรักเข้าแล้ว สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยมันไปอย่างนั้น และเรื่องราวความวุ่นวายสุดท้ายที่โคนันเล่าผ่านบทเพลงที่มีชื่อว่า The Story คือเรื่องของเขากับเพื่อน จากท่อนที่ 3 ในเพลง Now it’s on to the sequel about me and my friend, Both our parents were evil, so we both made a bet, If we worked and we saved, we could both run away, And we’d have a better life and I was right, I wonder if she’s alright


และนี่คือเรื่องราวต่อมาของผมกับเพื่อน พ่อแม่ของพวกเราก็ร้ายกาจซะเหลือเกิน ดังนั้นเลยพนันกันถ้าเราไปกันได้เราก็รอด เราทั้งคู่ก็ได้เป็นอิสระ และพวกเราคงมีชีวิตที่ ดีกว่านี้ และผมก็พูดถูก แต่ก็กังวลว่ามันจะเป็นแบบที่เขาพูด ท่อนนี้ชวนให้คิดว่าคู่รักชายชายจากท่อนที่แล้วนั้น เกี่ยวกันหรือไม่ แต่มันก็มีแวว จะเป็นไปได้ เพราะในยุคอาจจะยังไม่เปิดกว้าง และการทนอยู่กับทรมานเหล่านั้นมัน เจ็บปวดยิ่งกว่าได้รู้ว่าในโลกนี้เราเหลือตัวคนเดียวเสียอีก จึงคิดที่จะหนีออกไปจากตรงนี้ ซะ ถ้าผมเขาไปกันได้ดีมันก็คงดี และคงได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ และได้อยู่ด้วยกันอย่างที่หวัง ไว้ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่โคนันนามาเขียนอีกมุมหนึ่งอาจตีความได้ถึงครอบครัว ของโคนันเอง เพราะจากประวัติของเขา คือพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เขาอายุ 3 ขวบ และพ่อคงหาภรรยาคนใหม่แน่นอน รวมทั้ง โคนันเองก็เคยพูดไว้ในคลิปวีดีโอหนึ่งของ เขาว่า มีคนทักเขาหลายคนว่าโคนันมีความแมนในตัวน้อยมาก เขาก็ไม่เคยแคร์คาพูด ของคนเหล่านั้น โคนันเองก็ยอมรับตนไม่ได้มีความแมนอยู่ในตัวเลยสักนิด จากตรงนี้ทา ให้เราได้รู้ว่าเขาอาจจะเป็น LGBT ซึ่งแน่นอนว่าในสมัยก่อนเรื่องเหล่านี้อาจไม่เป็นที่ยอม รักนัก และมีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าคนเป็นพ่ออาจจะยังรับไม่ได้กับจุดยืนของโคนันและกลาย มาเป็นท่อนหนึ่งในเพลง The Story แต่สุดท้ายแล้วต่อให้เจอกับปัญหามากมาย หรือพบเจอกับความรักที่ไม่สมหวัง เพราะโลกมันก็เป็นแบบนี้ มันยังหมุนอยู่ตลอดเวลา แต่นั่นก็ไม่ใช่ตอนจบของเรื่องเสมอ ไปอย่างท่อนที่บอกว่า Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works, It ain’t funny, it ain’t pretty, it ain’t sweet, Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works, But I think that it could work for you and me, Just wait and see, It’s not the end of the story


ฉันเกรงว่านั่นจะเป็นเพียงแค่วันเวลาที่ผ่านพ้นไปเท่านั้น มันไม่ได้สนุก สวยงาม หรือหอมหวานขนาดนั้น และผมก็กลัวในสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นไง แต่ฉันคิดว่ามันจะดีกับเรา ทั้งคู่นะ และนั่งรอและเฝ้ามองมันไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่ใช่ตอนจบของเรื่องราว มันเป็นการย้าเตือนว่าถึงแม้จะเคยเจอเรื่องราวที่แสดเลวร้ายและเจ็บปวดมากแค่ ไหน มันก็เป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และมันยังไม่ใช่ตอนจบหรอก โลกเรา เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและหวังว่าในสักวันทุกคนจะมีตอนจบที่สวยงาม ในท้ายที่สุด เหมือนช่วงสุดท้ายของเพลง And the movie’s always runnin’ in my head, All the people, all the lovers, all my friends And I hope that they all get their happy end, In the end เรื่องราวพวกนั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดเวลา ทั้งผู้คน คู่รักมากมาย และเพื่อนของฉัน ฉันหวังว่าพวกเขาจะมีตอนจบที่สวยงาม ในท่ายที่สุด เพลงของโคนันเป็นการเล่าเรื่องโดยการใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อน ฟังง่าย คล้ายๆ กับ กาลังอ่านนวนิยายสักเรื่องหนึ่ง ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเลยทีเดียว และเพลงส่วน ใหญ่มักเขียนมาจากเรื่องในชีวิตที่โคนันพบเจอกับตัวเอง ทั้งเรื่องราวความสุขที่เด็กวัยรุ่น หลายคนเคยพบเจอ ความเจ็บปวดจากสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ว่าจากทั้งครอบครัว คนรัก หรือจากในโรงเรียนเอง นั่นจึงทาให้เพลงของเขาเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น และถึงแม้ว่าท่วงทานองของเพลง The story นั้นเป็นเพียงจังหวะเรียบเรื่อย ธรรมดาของกีต้าร์และในบางช่วงจะมีเสียงคีย์บอร์ดแทรกเข้ามาบ้าง โคนันจึงใช้เสียงของ ตัวเองเร้าอารมณ์ผู้ฟังแทนที่เครื่องดนตรีที่มากไปอาจจะทาให้เพลงไม่น่าฟังเอาได้ และ ใช้มันสร้างท่วงทานองและจังหวะขึ้นลงสลับกันให้เพลงไม่เรียบเรื่อยจนเกินไป จังหวะที่ ขึ้นเสียงสูง ในท่อนที่ต้องการเร้าอารมณ์ และแสดงออกถึงความเจ็บปวด ความกลัวลึกๆ ในใจ และความไม่แน่นอนต่างๆ ในชีวิตอย่างท่อน


'Oh, and I'm afraid that's just the way the world works' ฉันเกรงว่านั่นจะเป็นเพียงแค่วันเวลาที่ผ่านพ้นไปเท่านั้น ‘But I think that it could work for you and me’ ‘แต่ฉันคิดว่ามันจะดีกับเราทั้งคู่นะ’ และเนื่องจากโคนันมีโทนเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นโทนเสียงแหบมีเสน่ห์แบบ ชายหนุ่ม ให้อารมณ์เพลงเป็นแนวคลาสสิกหน่อยๆ และเทคนิคการร้องที่ไม่ได้เป็นการ ตะเบ็งเสียง เพลงนี้จึงให้ความรู้สึกสงบ รวมถึงการอารมณ์ทั้งเหงา อารมณ์เศร้า และทา ให้คนฟังอยากจะฟังไปเรื่อยๆ ว่าสิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคืออะไร จึงกลายเป็นเพลงที่ฟังไม่รู้ เบื่อ ส่วนในข้อเสีย คือเอ็มวีเพลงที่ยังสื่อความหมายได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เพราะจาก เนื้อเพลงมีทั้งคู่รัก ชายหญิง และชายชาย แต่ในเอ็มวียังมีไม่ครบ เลยยังสื่อความหมาย ยังไม่ชัดเจนพอ ในท่อนที่ร้องว่า ‘And now they’re gone, Headstones on a lawn’ ‘และตอนนี้พวกเขาก็จากไปแล้ว ป้ายหลุมศพพวกเขาก็เลยอยู่บนสนามหญ้า’


ท่อนนี้ฟังแล้วจะเข้าใจว่าทั้งสองคนได้ตายไปแล้ว แต่ในเอ็มวีเพลงนั้นปรากฏ ผู้หญิงหนึ่งคนยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพหนึ่งหลุม นั่นอาจจะทาให้คนฟังสับสนได้ เอ็มวี เพลงควรจะสื่อความหมายให้ชัดเจนยิ่งกว่านี้อีกสักนิด อีกทั้งคู่รักชายหญิง ผมดาและผม

ทอง ในบางมุมผู้ชายดูคล้ายผู้หญิงจนแทบมองไม่ออก จุดนี้ก็อาจจะเกิดความสับสนได้ อีกเช่นกัน หากเอ็มวีต้องการจะสื่อว่านี่คือคู่รักชายหญิง ควรจะมีความชัดเจนในจุดนี้

แต่ว่าหากเป็นอีกมุมหนึ่งที่ต้องการให้เอ็มวีออกมาในทาง lgbt ในจุดที่ทาให้เข้าใจ ผิดว่าผู้ชายผมทองคนนั้นคือผู้หญิงจนภาพที่ออกมาเป็นคู่รักแบบเลียสเบี้ยนนั้นถือว่าเป็น การนาเสนอที่น่าสนใจ เป็นการปล่อยให้ผู้ชมได้คิดและตีความเอง ตรงนี้ต้องยกย่อง แหละหากอยากให้เอ็มวีเพลงสื่ออารมณ์ไปพร้อมๆ กับเนื้อเพลงควรจะมีคู่รักชาย ชายปรากฏอยู่ในเอ็มวีเพลงด้วย เพราะนักร้องเองก็มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครด้วยหาก ใส่คู่รักชายชายเข้าไป อาจจะเป็นจุดขายอีกจุดหนึ่งของเพลงได้เลย เพราะจะเป็นการ เพิ่มความเข้าใจให้คนดี ควรมีซีนอารมณ์เพิ่มเข้ามาแทนที่โคนันที่เดินเตร่ไปคนเดียวแบบ นั้น


แต่ก็เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นเอกลักษณ์ของโคนันที่ในเอ็มวีเพลงเขามักจะแสดงเอง และให้ตนเองเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย และปล่อยให้เนื้อหาของเพลงดาเนินไปด้วย ตัวมันเอง อาจตัดไปยังซีนต่างๆ บ้างแต่ไม่มากนัก เพราะหากสังเกตเอ็มวีเก่าๆ ก็จะมี ลักษณะเป็นเช่นนั้น และเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของโคนันไปแล้ว ทั้งโทนสีในเอ็มวีที่ให้ อารมณ์แบบยุค 90 ผู้วิจารณ์เชื่อว่าโปรดิวเซอร์และทางต้นสังกัดเอง อยากจะคงไว้ซึ่ง เอกลักษณ์เหล่านี้ไว จึงได้ทาเอ็มวีเพลงออกมาในลักษณะนี้แทน ก็ไม่ถือว่าผิดเพราะเป็น การคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ โคนันแต่ก็ต้องยอมรับข้อเสียที่จะตามมาด้วย สรุปได้ว่าในส่วนของเนื้อเพลงยังเป็นเพลงที่เล่าเรื่องได้ดี ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และยังคงไว้ซึ่งความเป็น Conan Gray ที่ถึงแม้ว่าจะมีต้นสังกัดแล้วก็ตาม รวมถึงการเล่า เรื่องแบบเรียบเรื่อยแล้วค่อยเร่งเร้าอารมณ์ตอนท้ายของประเด็นนั้นๆ ในเพลง โดยที่ไม่ จาเป็นต้องรอให้ถึงช่วงท้ายของเพลงก่อน อย่างช่วงที่เล่าเรื่องของคู่รักคู่แรกจบไปก็จะ เร้าอารมณ์ในตอนที่เล่าประเด็นนั้นจบ เป็นการค่อยๆ ดึงผู้ฟังให้ไหลไปตามเสียงที่เป็น เอกลักษณ์และตกหลุมพรางในที่สุด จะมีก็แต่เอ็มวีเพลงเท่านั้นที่ยังสื่อความหมายได้ไม่ มากพอ แต่บรรยากาศในเพลงก็สื่ออารมณ์เปลี่ยวเหงาได้ดีทีเดียว ก่อนที่ Conan จะได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Republic Records ที่มีนักร้องชื่อ ดังหลายคนสังกัดอยู่ อย่าง Taylor swift, Lorde, post Malone,nicki Minaj และ Ariarina Grande Conan ได้ทาช่อง youtube ที่เอาไว้พูดแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ กับ ผู้ติดตามของเขา รวมทั้งมีการลงคลิป cover เพลงต่างๆ และต่อมาเขาก็ได้เริ่มเขียน เพลง และถ่ายทาวีดิโอด้วยตนเอง หลังจากที่เขาโด่งดังมาจากการเป็น youtuber และ ทาเพลงเป็นงานอดิเรกมายาวนานโคนันถือว่าเป็นคนที่มีฐานแฟนคลับที่เยอะมากมา ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เพราะจากการที่เขาปล่อยเพลงแรกอย่าง Idle Town ที่ตอนนี้ (2563) มียอดผู้เข้าชมกว่า 16 ล้านครั้ง และในตอนนี้มีต้นสังกัดที่มีชื่อเสียงคาดว่า conan gray คงได้ประสบความสาเร็จบนเส้นทางศิลปินที่มีชื่อเสียงด้วยเพลงที่เป็น เอกลักษณ์ของตนอย่างแน่นอน


Let me tell you a story about a boy and a girl It’s kinda short, kinda boring, but the end is a whirl They were just sixteen when the people were mean So they didn’t love themselves, and now they’re gone Headstones on a lawn ให้ฉันเล่าเรื่องให้เธอฟังสักเรื่องนะ เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงและผู้ชาย มันอาจจะสั้น และน่าเบื่อ แต่จุดจบเรื่องนี้ก็วนอยู่อย่างนั้น เขาอายุแค่ 16 ตอนที่ผู้คนเริ่มใจร้ายใส่ งั้นพวกเขาก็เลยไม่ได้รักตัวเองเท่าไหร่ และตอนนี้พวกเขาก็จากไปแล้ว ป้ายหลุมศพพวกเขาก็เลยอยู่บนสนามหญ้า And when I was younger, I knew a boy and a boy Best friends with each other, but always wished they were more ‘Cause they loved one another, but never discovered ‘Cause they were too afraid of what they’d say Moved to different states และตอนที่ผมเด็กกว่านี้ ผมเริ่มรู้จักเด็กผู้ชายคู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ก็หวังจะเป็นมากกว่านั้น เพราะว่ามีคนหนึ่งแอบรักอยู่อย่างนั้น แต่มันก็ไม่เคยถูกเปิดเผย เพราะว่าพวกเขากลัวเกินกว่าที่จะพูดออกไป เลยแยกย้ายกันไปคนละที่ Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works It ain’t funny, it ain’t pretty, it ain’t sweet Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works But I think that it could work for you and me


Just wait and see It’s not the end of the story และผมก็กลัวการที่โลกมันหมุนไปวันแล้ววันเล่า มันจะไม่สนุก ไม่สวยงาม ไม่น่าหลงใหล และผมก็กลัวกับโลกความเป็นจริงอยู่เสมอ แต่ผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้สําหรับคุณกับผม นั่งรอ และ เฝ้าดูมันกันเถอะ นี่คงไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวหรอก Now it’s on to the sequel about me and my friend Both our parents were evil, so we both made a bet If we worked and we saved, we could both run away And we’d have a better life, and I was right I wonder if she’s alright และนี่คือเรื่องราวต่อมาของผมกับเพื่อน พ่อแม่ของพวกเราก็ร้ายกาจซะเหลือเกิน พวกเราก็เดากันไปเรื่อย ถ้ามันเวิร์คและพวกเราปลอดภัย พวกเราอาจจะหนีไปด้วยกันได้ และพวกเราคงมีชีวิตที่ดีขึ้น และผมก็พูดถูก ได้แต่สงสัยว่าเธอสบายดีไหม Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works It ain’t funny, it ain’t pretty, it ain’t sweet Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works But I think that it could work for you and me Just wait and see


It’s not the end of the story Okay ผมกลัวเหลือเกินกับการที่โลกหมุนไปในทิศทางนี้ มันไม่ได้สนุก สวยงาม หรือหอมหวานขนาดนั้น และผมก็กลัวการที่โลกเป็นไปอย่างที่มันเป็นไป แต่ผมคิดว่ามันคงจะเวิร์คสําหรับคุณและผม และนั่งรอ และ เฝ้ามองมันไปเรื่อยๆ นี้ไม่ใช่จุดจบแน่นอน โอเคไหม And the movie’s always runnin’ in my head All the people, all the lovers, all my friends And I hope that they all get their happy end In the end และภาพยนตร์พวกนั้นไหลวนไปมาในหัวผม ทุกๆคน ทุกๆคู่รัก เพื่อนทุกๆคน และผมหวังว่าพวกเขาจะมีความสุขในตอนท้าย ในจุดจบของมัน Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works It ain’t funny, it ain’t pretty, it ain’t sweet Oh, and I’m afraid that’s just the way the world works But I think that it could work for you and me Just wait and see That’s not the end of the story, hmm, hmm และผมก็กลัวการที่โลกมันหมุนไปแบบนั้นจริงๆนะ


มันไม่สนุก สวยงาม หรือหอมหวานขนาดนั้น และผมกลัวจริงๆนะ การที่โลกมันไปอย่างนั้นเรื่อยๆ และผมคิดว่ามันคงจะเวิร์คสําหรับ ผม และคุณ และรอดูมันไปเรื่อยๆ เถอะ มันคงไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวหรอก


สารคดีท่องเที่ยว

เที่ยวขาขวิด หวุดหวิดเสียชีวา จังหวัดชลบุรี นอกจากทะเลแล้วทุกคนนึกถึงอะไรบ้าง อย่างเราแล้วสิ่งที่นึกถึง รองลงมาจากทะเลก็คงเป็นของกินนี่แหละ ซีฟู้ดจุกๆ อะไรประมาณนั้นชลบุรีของใคร หลายคนเป็นพื้นที่ใกล้ๆ หรือที่ที่ไปบ่อยๆ เวลาเบื่อๆ อะไรแบบนี้ใช่ไหม แต่สาหรับเด็กที่ อยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาทั้งชีวิต ชลบุรีถือเป็นที่ที่ไกลมากๆ เพราะลาพังจังหวัด มหาสารคามไปกรุงเทพฯ ก็ใช้เวลา 8 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว เราเจียดเวลาอันนิดของเราไปเที่ยวกับเพื่อนที่รู้ใจ โดยในครั้งนี้มีผู้ร่วมเกินทาง ด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน รวมเราเป็น 4 พอดิบพอดี การเดินทางในครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ ใหม่สาหรับเรา เพราะเราจะได้นั่งรถไฟเป็นครั้งแรก ไปขึ้นรถไฟที่หัวลาโพงค่าตั๋วก็ตกคนละ 170 บาท ถึงพัทยาเลยต่อเดียว นอนยาวๆ 3 ชั่วโมง การนั่งรถไฟก็ไม่ทาให้เราผิดหวัง ได้มองพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้ามันทาให้จิตใจเรา


สงบมากๆ วิวข้างทางที่ถูกย้อมไปด้วยสีเหลืองอ่อนๆของแดดยามเช้ามันทาให้เราละ สายตาจากตรงนั้นไม่ได้เลย มันลืมความง่วงที่มีก่อนหน้าไปเลย คิดว่าถ้ามาสายกว่านี้คง ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ขึ้นรถไฟครั้งแรก ผ่าน! ถึงชลบุรีประมาณ 11 โมงกว่าๆ เราก็ไม่ปล่อยให้เวลามันเสียเปล่าการท่องเที่ยว ด้วยเงินจานวนน้อยนิดของเราก็ได้เริ่มขึ้นที่ ร้านอาหารทะเลที่เดินหาจนขาขวิด จริงๆ อาหารก็รถชาติทั่วไป บรรยากาศโดยรวม ร้อนตัวแตก นั่งกินข้าวไปเหงื่อก็ไหลเข้าปาก ไป อากาศอบอ้าวจนงงไปหมดว่านี่หน้าหนาวจริงๆใช่หรือไม่ พอถามออกไปเพื่อนก็ทา หน้าตาครุ่นคิดก่อนจะหัวเราะออกมา อุส่ามาเที่ยวทะเลหน้าหนาวด้วยความหวังว่าสีผิว จะไม่ขยับขึ้นไปในเฉดที่เข้มกว่าเดิม นั่นก็คงได้แค่หวังแล้วล่ะ ท้องอิ่มเราก็เริ่มมีแรงฮึด ต่อให้เหงื่อโทรมกายเราก็ต้องเดินต่อไป และในตอนที่ เท้าเราเริ่มจะรับน้าหนักตัวไม่ไหว เสียงสวรรค์จากเพื่อนชายเพียงคนเดียวอย่างประกฤติ ก็พูดขึ้นว่า เราไปตลาดน้าสี่ภาคกันเถอะ และทุกโดยสวัสดิภาพด้วยเงินค่ารถคนละ 50 บาท และเราก็เดินกินเดินเที่ยวกันเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้กินข้าวมา สุดท้ายก็นั่งรถกลับด้วย สภาพร่างที่ใกล้แหลกเต็มทีเพราะเดินกันขาขวิด แบบขวิดจริงๆ เส้นน่าจะอักเสพไปแล้ว .. และก็ถึงเวลาเช็คอินเข้าโรงแรม เราพักที่โรงแรม B2 พัทยาใต้ เส้นทางจากโรงแรมเดิน ไปหาดใช้เวลาประมาน 20 นาที ถ้านั่งรถไม่ถึง 5 นาที หลังจากได้อาบน้าและงีบไปสอง ชั่วโมงก็ถึงเวลาไปที่เลื่องลือของพัทยาใต้แห่งนี้ อย่าง working street โอโหมาก เปิดโลกทัศน์ที่แท้จริง ถึงแม้ตอนกลางวันจะร้อนจนทนแทบทนไม่ไหว เมื่อตะวันลับขอบฟ้าลมหนาวก็มาเยือน และเราก็เริ่มเดินกันอีกครั้ง พอนึกถึงตอนนั้นขา มันก็เริ่มจี๊ดๆขึ้นมาแล้วล่ะ เราเดินดูสิ่งที่เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรกกับ ผับ บาร์ ที่เรียงกัน ยาวไปจนถึงท่าเรือ นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศเดินกันให้ควัก ไกด์นาเที่ยวถือธงโบก สะบัดเรียกคนในทัวร์ของตนให้รวมกันและออกเกินกันอีกครั้ง บรรยากาศตอนนี้แตกต่าง


จากเมื่อตอนกลางวันที่เหมือนเมืองร้างมากโข สมกับเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล และเราทั้ง 4 ก็หยุดทุกอย่างไว้ที่ข้าวเซเว่น เลือกที่นั่งกินข้าวแบบวีไอพี คือริมหาด นั่ง มันบนทรายนั่นแหละ ซุปเปอร์วีไอพีไปเลย ใกล้ชิดติดเต็มขา เสียงเคี้ยวข้าว เคล้าเสียง คลื่น แว่วเสียงดนตรีที่ลอยมาตามลม เป็นบรรยากาศที่ยากจะลืม ก่อนออกมาเราตกลง กันว่าจะไม่ถือกล้องมาถ่ายงานกัน เพราะวันนี้ถือเป็นวันพักผ่อนก่อนที่จะไม่ได้พักไปอีก นาน และสุดท้ายความเหนื่อยล้าก็ชนะบรรยากาศดีๆ นี้ให้เราตัดสินใจกลับ โรงแรม พรุ่งนี้แหละคือของแท้ ความตื่นเต้นที่จะได้นั่งเรือเป็นครั้งแรกทาเอาเราไม่หิวข้าวเลยทีเดียว โชคดีที่ เพื่อนรั้งไว้เสียก่อนไม่งั้นคงกระโดดขึ้นเรือไปทั้งๆที่ยังไม่ได้กินข้าวแน่นอน วันนี้ยังคง ร้อนแรงเหมือนอย่างเคย มองขึ้นไปบนฟ้าไม่เจอเมฆสักก้อนเดียว ท้องฟ้าว่างเปล่ากับ บรรยากาศคึกคัก นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นสีสันที่หาได้ยากจากที่อื่น ทุกคนพร้อมใจ กันใส่สายเดี่ยวท้าแดด ท้าลมทะเล ถึงแม้ว่าเราเองจะนอนมาเพียงน้อยนิดพอได้เจอ บรรยากาศแบบนี้เอเนอร์จี้เรามันแทบล้นอก จ่ายค่าเรือคนละ 30 แล้วจับจองที่นั่งริมสุดเพื่อที่จะได้มองน้าทะเลจรดท้องฟ้าได้ เต็มสองตา เรือราใหญ่แล่นได้ไม่เร็วเท่าเรือราเล็กที่แซงไปแล้ว 10 กว่ารา แต่ความเอื่อย เฉื่อยของเรือกลับเป็นข้อดี เราได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกที่เหมือนจะไม่ต้องคิดอะไร แค่นั่งรอ ให้เรือถึงฝั่งกับบรรยากาศรอบข้างที่ว้างเปล่า ทุกคนบนเรือเงียบฟังเสียงน้ากระทบท้อง เรือ มองออกไปข้างนอกพบแต่ความเวิ้งว้างของผื่นน้า ในชีวิตเราก็ต้องการแค่นี้จริง แค่ ได้พักจากเรื่องต่างๆในชีวิต หนีไปให้ห่างจากความวุ่นวาย อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่จะไม่ ทาร้ายเรา มันคือที่สุดแล้วจริงๆ ใช้เวลา 30 นาทีในการมายังเกาะล้านที่ใครๆก็บอกว่าหาดสวยทุกหาด เราก็อยากจะไปดู ให้เห็นกับตา และครั้งเราคงไม่บ้าดีเดือดเดินรอบเกาะแล้ว เพราะพอเท้าเหยียบเกาะก็มี พี่วินมาเสนอจักรยากยนต์ให้เช่าเพียงคันละ 250 บาท สองคัน 500 บาท หาร 4 ก็ตก


คนละ 125 บาท สะดวกสบายแม้แต่คานวณเงินเราก็ไม่ต้องคิดเอง เราได้แต่คิดเล่นๆ ใน ใจว่า สมองได้พักจริงๆ ก็คราวนี้ การขับรถไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมันสั่นจนเราคิดว่าไส้มันจะไปกองที่ นิ้วเท้าเสียแล้ว พอมองลงไปที่ถนนถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่คอนกรีต หรือยางมะตอย แต่มันคือ อิฐตัวหนอนที่ ไม่แปลกใจเลยที่รถจะสั่นขนาดนี้ แต่เราก็สามารถขับรถไปดูได้ทุกหาด และเป็นครั้งแรกที่มาทะเลแล้วไม่ได้เอาตัวลงไปแช่น้าเข็ม รู้สึกเหมือนมาไม่ถึงยังไงไม่รู้ แต่อย่างน้อยๆก็ได้เอาเท้าจุ่มน้านั่นแหละนะ และเราก็ได้เจอหาดที่สีฟ้าใสที่เคยเห็นแค่ในทีวีตอนเด็ก มันรู้สึกเหมือนฝันไปไม่คิดว่าจะ ได้เจอทาทะเลที่ใสขนาดนี้ และทรายที่เป็นสีขาว องค์ประกอบทุกอย่างมันลงตัวไปหมด เป็นคู่สีน่าดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารักจนอยากลงไปนอนมันตรงนั้นเลย พอได้มองออกไป กว้างๆ แล้วก็รู้สึกดีจริงๆ ทะเลนี่มัน ดีจริงๆเลยนะ และในตอนที่เรากาลังขับรถกลับไปที่ท่าเรือ เราเริ่มได้กลิ่นเหม็นจนต้องปิดจมูก กลั่น หายใจจนแทบเสียชีวิตกันเลยทีเดียว ก่อนจะเจอกับต้นตอของกลิ่นเน่าเหม็นนั้น กอง ขยะที่สูงเกือบเท่าภูเขาลูกเล็กหนึ่งลูกทาให้เราอ้อ ในทันที มันเยอะมากจนสงสัยว่ามัน แค่ขยะบนเกาะนี้หรือเอาจากในเมืองพัทยามาทิ้งที่นี้ด้วย ตอนนั้นแร่ตั้งคาถามในใจไม่ได้ สนใจจะหาคาตอบหรอก เพราะที่นี่มันก็คือสถานที่ท่องเที่ยว แน่นอนว่าคนมักจะมา พร้อมขยะอยู่เสมอๆ จนกลายเป็นเรื่องชินชา จนเราไม่ทันสังเกตว่ามันผิดปกติ เกาะที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้างขึ้นมา มันสวยงามจนละสายตาจากมันไม่ได้ แต่แล้วใน วันหนึ่งก็มคี นเข้ามาพร้อมของบางอย่างที่ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก อย่างการปลูกสร้าง บ้านเรือน การกินอยู่ของมนุษย์ที่มักจะเหลือเศษตลอด สิ่งนั้นที่เราเรียกมันว่าขยะ ทุก อย่างมันทาให้ทุกอย่างเสียไปหมด ทั้งเศษอาหารที่ทับถมกันนานวันเข้าก็ส่งกลิ่นเน่า เหม็น พลาสติกที่ย่อยยากยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก และทุกอย่างมันมาอยู่ใจกลางเกาะแห่งนี้ อยู่ใกล้กับจุดชมวิวที่มองรอบเกาะได้ 360 องศา ทุกคนที่เดินขึ้นมาจุดชมวิวตรงนี้หวังจะ ได้เห็นภาพวิทิวทัศน์ที่สวยงาม หวังจะได้เห็นภูเขาสีเขียวตัดกับทรายสีขาว และน้าทะเล


สีฟ้า แต่ขึ้นมากลับเจอกองขยะ และกลิ่นที่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่อยากจะสูดดมเอา อากาศตรงนี้เข้าปอด และตอนขึ้นไปเราสังเกตเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เกดินขึ้นมาด้วยสายตามาดมั่น และมี หวังว่าจะได้เห็นวิวทะเลสวยๆ กับอากาศบริสุทธิ์ แต่มันก็ทาให้เขาผิดหวังในทันทีที่เดิน ไปอีกฝั่งหนึ่ง ขึ้นมายังไม่ทันหายเหนื่อยเขาก็เดินกลับลงไป เราในฐานะที่เป็นคนไทย ถือ ว่าเป็นเจ้า ตอนนั้นมันรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาเลยทีเดียว ตอนนั้นมัน รู้สึกเสียดายจริงๆ เสียดายว่าที่สวยๆแบบนี้ บรรยากาศที่ควรจะดีมากกว่านี้ มันมาเสีย กับสิ่งปฏิกูลที่มนุษย์ทิ้งเอาไว้ เรานั่งเรอกลับด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป เพราะพอได้เจอว่าการที่เราได้สุขสบาย แบบนี้ เพราะมันอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นหรือเปล่า มันทาให้นึกไปถึงคนเก็บขยะที่ ทั้งขยะเปียกขยะแห้งมันอยู่ด้วยกัน นึกถึงเวลาตอนเองทิ้งแก้วน้าหวานที่ไม่ได้เทน้าทิ้ง ก่อน ถ้าเราตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเองมากกว่านี้ ไม่ใช่สักแต่คิดว่าทิ้งๆไปเถอะเดี๋ยวเขา ต้องไปแยกอีกทีอยู่ดี อันนั้นมันอาจจะเป็นความมักง่ายไปแล้ว เราลองคิดว่าถ้าเราแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และแยกกันทุกคน คนที่มาเก็บเขาจะ ได้ทางานเร็วขึ้น และการฝังกลบขยะก็จะเร็วขึ้นด้วย อย่างเกาะล้านที่มีให้เห็น ขยะ ตกค้างเพราะขนออกมาไม่ทัน เพราะการต้องแยกขยะออกว่าสิ่งนี้ควรไปอยู่ที่ไหน สิ่งนี้ ฝังได้หรือไม่มันทาให้ขั้นตอนอื่นๆล่าช้าไปด้วย ดังนั้นถ้าเรายังโยนหน้าที่ ที่เข้มใจผิดคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ตัวเองอยู่แบบนี้ ต่อให้หลุม ขยะจะมีเพิ่มขึ้นมาเป็นพันเป็นล้านหลุมมันก็ไม่เพียงพอ ต่อให้คนเก็บขยะจะทางานทุก วันมันก็เสร็จช้าอยู่ดี จิตสานึกที่ดีเท่านั้นที่จะชนะทุกอย่าง และรันไปได้ด้วยความราบรื่น และรวดเร็ว ฝากถึงทุกคนหันมาเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ดีกว่าบ่อนทาราย สิ่งไหนที่พอจะช่วย สังคมได้ก็ทาซะ เราคิดว่ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงของมนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสิร์ชหรอก...


บทความสัมภาษณ์

ออกไปเก็บความสุข มาปรุงเองที่บ้าน ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ คงเป็นแบบอย่างชีวิตในอุคติของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะ ในยุคสมัยแบบนี้ คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กับความเครียด และมักเกิดคาถามกับตัวเองอยู่ บ่อยครั้งว่า ฉันกาลังทาอะไรอยู่ บางวันก็คิดว่าเราสมควรมีชีวิตแบบนี้หรือ ชีวิตที่มี ความสุขแค่ตอนที่ได้นอนโง่ๆ บนเตียง วันนี้เราจะมาเสนออีกมุมหนึ่งของโลกที่วุ่นวาย โลกที่มนุษย์เราต้องวิ่งตามเวลา มาหลบมุมกับ “พ่อสุเทศ” เกษตรกรผู้ที่มีความสุขกับ การได้ทางานนอกเวลา วันนี้เป็นวันหยุดของพ่อสุเทศ เราจึงได้มีโอกาสตามมาดูว่าเขาทาอะไรบ้างในวันนี้ ฉันเดินไปตามทางแคบๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฝั่งหนึ่งเป็นสระน้าสีขุ่นที่ โดยรอบเต็มไปด้วยหญ้าแฝก และต้นกล้วย อีกฝั่งเป็นคลองเล็กๆ ใบบัวปกคลุมไปทั้ง คลองจนมองไม่น้า ถัดไปนิดหน่อยเป็นข่าที่ปลูกเรียงกันเป็นทิวแถว สับหว่างด้วยต้น


หม่อนใบเขียว เดินมาอีกนิดถึงได้เจอกับกระท่อมกลางน้าเป็นที่ไว้นั่งพัก และไว้นอนใน บางวันของพ่อสุเทศ สักเกตุจากมุ้งที่ถูกม้วนเก็บไว้บนคานของกระท่อม ตั้งแต่มาถึง ยังไม่เห็นพ่อเขาหยุดอยู่กับที่เลยแม้สักนิด เมื่อกี้ก็เพิ่งจะไปติดเครื่อง สูบน้าเพื่อที่จะลดน้าผัก เราได้พูดคุยกันจริงจังก็ตอนที่พ่อเขาพักกินน้า มันทาให้เราเกิด ข้อสงสัยว่าที่พ่อมาทาทุกครั้งทั้งหลังเสร็จจากงานประจา และทุกวันหยุดก็มาอยู่ตรงนี้ทั้ง วัน เขาทามันเพราะมีความสุขที่ได้ทา หรือมันเป็นเรื่องที่จาเป็นต้องทากัน “มันต้องทา เพราะว่าจะไปทานาแบบสมัยเก่าไม่ได้ ด้วยความจาเป็นบีบบังคับจะ ทานาอย่างเดียวมันไม่รอด หวังพึ่งราคาข้าวมันก็ไม่แน่นอน จะหวังพึ่งดินฟ้า อากาศ ก็ ไม่ได้ ถ้าทาพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวนี่ไม่ได้ เราต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่ ก่อนอื่นต้องไป อบรมหาความรู้ก่อน หลายที่แล้วค่อยมาทอดลองทา ที่พ่อทาอยู่ก็หลายรูปแบบทั้ง เกษตรหนึ่งไร่หนึ่งแสน หนึ่งไร่ประณีต ปลูกไม้มีค่าป่าครอบครัว ทาไร่นาสวนประสม ทฤษฎี 30 30 30 10 นั่นแหละ ตอนนี้พ่อปลูกไม้ยืนต้นเป็นหลัก ก็ลงทุนครั้งเดียวที่ เหลือก็บารุงรักษา ใส่ปุ๋ยรดน้า ทาแบบหลุมพอเพียง ปลูกไม้ห้าระดับในหลุมเดียวกันไร่ เดียว ไม้ห้าระดับก็มี ระดับสูงก็ไม้ยืนต้น ไม้มรดก ไม้มาสร้างบ้าน ระดับล่างไม้กนิ ผล มะม่วง ขนุน แต่อยู่นี่พ่อปลูกกระเดา ระดับกลางก็ไม้กินได้ ต้นดอกแค ผักติ้ว ระดับล่าง ก็มะนาว พืชที่เกิดในร่ม ระดับเตี้ยก็ผักที่เกิดในร่มได้ผักอ่อมแซ่บ หม่อน ข่า หวาย แล้ว ก็พืชในน้าบัว พ่อมีหกระดับเลย ในน้าก็มีปลา สระพ่อมีสามสระแล้ว พ่อปลูกข้าวแค่ 3 ไร่ ปลูกไว้กินอย่างเดียว เดี๋ยวก็จะสูบน้าออกจะใส่ปุ๋ยบัว น้าที่สูบออกจากสระก็ไปใส่ ข้าวโพดเดี๋ยวเอาข้าวออกก็ปลูกข้าวโพดต่อ ปลูกมะเขือ พริก ที่ของพ่อไม่เคยว่าง” พ่อสุเทศพูดไปก็มองรอบๆ ไปในสายตามันเหนื่อยล้าเหมือนกับมองดูตัวเองใน อดีตตอนนั้นแล้วคิดว่าเราทาไปทาไม ทั้งๆ ที่ผลตอบแทนที่ได้จากการขายข้าวนับๆ แล้ว ไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนไปเลยแม้แต่น้อย ลงทั้งทุนทั้งแรงเงินที่ได้มาใช้หนี้ยังไม่หมดเลยด้วย


ซ้า แต่พอถามว่าพอเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้แล้วเรามีความสุขกว่าตอนนั้นหรือเปล่า คาตอบ ที่ได้คือพ่อบอกว่ามันคือสวรรค์สาหรับพ่อเลยทีเดียว “โอ้ย ก็ต้องมีอยู่แล้ว ตรงนี้แหละสวรรค์เลย งานประจาที่ทาอยู่มันเป็นงานบังคับ พ่อไม่ชอบระเบียบไม่ชอบใครสั่งการ ทาตามกาหนดเวลา อยู่อย่างนั้นเป็นลูกน้องเขาไม่ ชอบ” การที่จะได้ทาสิ่งที่ชอบควบคู่ไปกับสิ่งที่ต้องทานี่ เราแน่ใจว่าหลายคนก็คิดหาวิธี ได้ค่อนข้างยาก เพราะลาพังทางานประจาเวลาจะนอนยังแทบไม่มี แต่พ่อสุเทศกลับทา มันได้ ทั้งทางานประจา และดูแลพืชผักที่ปลูกไว้ที่สวนแห่งนี้ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว บาง ที่ก็ทาให้เราสงสัยไม่เหนื่อยบ้างหรือยังไง แล้วแบ่งเวลามาดูแลพืชผัก และข้าวที่ถือว่า เป็นพืชที่ต้องการ การเอาใจใส่ดูแลอยู่ตลอดๆ นี้ได้อย่างไร “มันก็เหนื่อย วันไหนเหนื่อยก็มามานอนเฉยๆ ตื่นเช้าค่อยไปทางาน แต่ก่อนทา อยู่ตรงนี้ประจา พอมีงานประจาอันนี้ก็เป็นงานรอง ก็ต้องจัดลาดับความสาคัญก่อน พืช ชนิดไหนที่มันต้องดูแลเป็นพิเศษก็ไปทาตรงนั้นก่อน อันไหนปล่อยได้ก็ปล่อยก่อน เพราะ พ่อไม่ได้แบ่งเวลาตายตัว ทาไปตามความสุข ทาตามความพอใจของตัวเอง เหนื่อยก็ นอน” ฟังดูแล้วเป็นงานรองที่ทาให้สบายใจดีเหมือนกัน เหมือนได้ปลดปล่อย ความเครียดอีกทาง เพราะทาตรงนี้มันไม่ต้องบังคับตัวเองอะไรขนาดนั้นไม่แปลกใจที่พ่อ สุเทศจะสบายใจกับที่ตรงนี้ และที่ได้รู้ว่าอีกคือที่ทาไปทุกวันนี้ พ่อเขาไม่ได้หวังผลกาไล คาหนึ่งที่ทาให้เราหัวเราะลั่นคือเขาบอกว่าทาแจก ใครอยากซื้อเขาก็ขาย “เหลือกินก็แจก ถ้าขายก็ไปขายที่ทางาน ที่ทางานคือตลาดของพ่อ ลงทุนแค่ซื้อ น้ามัน เติมเครื่องสูบน้า ทาไม่ได้หวังผลกาไล ไม่ได้ทาให้รวยทาให้มีกินพอ” พอได้ฟังความคิดของพ่อแล้วทาให้เรานึกไปถึงเด็กรุ่นใหม่ที่ตอนนี้แทบไม่ได้ เรียนรู้เรื่องการทาการเกษตรเลย เพราะถ้าแทบตอนนี้กับสมัยก่อนที่นาตรงนี้ไม่ได้คึกคัก


เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ที่เห็นกันทุกวันนี้คือคนแก่รุ่นแม่ค่อนไปทางรุ่นตาแก่แม่เฒ่าซะ ส่วนใหญ่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปรงที่น่าใจหาย เพราะเมื่อก่อนช่วงพลบค่าท้องฟ้า กลายเป็นสีส้มจะได้ยินเสียงรถไถบ้าง เสียงคนคุยกันเดินผ่านที่ตรงนี้เพื่อกลับบ้าน หลังจากที่ทานากันทั้งวันแล้ว เด็กๆขี่คอพ่อ บ้างก็นั่งบนรถไถ ดูเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น ทาให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและในตอนเช้าก็คึกคักไม่ต่างกันเลย แต่ตอนนี้จะไปหาความคึกคัก เหมือนสมัยก่อนนั้นเรียกได้ว่าไม่มีแล้ว “เขาบอกว่าพวกพ่อนี่แหละชาวนารุ่นสุดท้าย เด็กที่เรียนมาก็เรียนเพื่อจะไป ทางานเป็นลูกจ้างเขา พูดหยาบๆ ก็คือไปเป็นขี้ข้านายทุนนั่นแหละ ไปรับราชกาลบ้าง เรียน ปวส. ก็ไปเป็นลูกจ้าเถ้าแก่ พ่อไม่ได้หวังพึ่งหรอก เศรษฐกิจพอเพียงนี่ถือเป็น วิชาชีพติดตัวนะ ถ้าวันหนึ่งเศรษฐกิจตกต่าตัวนี้แหละจะเป็นตัวค้าชู ทาให้เราไม่ออด ตาย” พอได้ฟังแบบนี้ก็ทาให้เราทั้งรู้สึกใจหาย และรู้สึกเห็นด้วยในเวลาเดียวกันแต่ถ้า ถามเด็กสมัยนี้มองอาชีพเกษตรกรยังไงเราก็ขอตอบแทนว่ามันก็ค่อนข้างที่จะเหนื่อย หลายคนก็คงคิดแบบเดียวกัน และอาจจะมีบางคนมองว่าไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย หรือ ถ้าเกษียณตัวเองแล้วค่อยมาทาก็ได้ อะไรทานองนั้น แต่ละคนก็มีอุดมคติในการใช้ชีวิตที่ แตกต่างกันไป บ้างก็ยอมทางานหนักเพื่อที่จะได้สบายในตอนแก่ บ้างก็รักชีวิตที่มัน รวดเร็วและเร้าใจ เลยไม่ได้คิดจะมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่บ้านนอก “ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง สโลแกนพ่อก็ ตื่นมื่อเช้ามีเก้าแนวยาม บ่อึดอยู่บ่อึด กิน ก็คือตื่นเช้ามาไม่ต้องใช้เงินหายาม ยามคือเก็บ ภาคอีสานใช้ในบริบท ยามไซ ยาม แห ยามต้อน ยามกับ ยามหน่วง ตื่นเช้าอย่าไปคิดว่าจะไปซื้อ ผักปลูกไว้ก็ไปเก็บกินมันมี อยู่ในนี้หมด สุกเต็มดินเก็บกินบ่เบิ่ด สุกเติมดิน บินบนอากาศ พาดง่าไม้ ไง้ธรณี สุกเติมดินก็ผักหมี่ปี่ใบ เห็ดตาม ฤดูกาล อยู่ในป่าครอบครัวห้าระดับ พาดง่าไม้ ก็คือพวกเครือต่างๆ รังผึ้ง นกหนู ไง้ธรณี


ก็พวกตระกูลหัว ขมิ้น ข่า ตะไคร้ เป็นความสุขของตัวเอง ไม่ได้หวังจะรวย ขอแค่มีกิน มี แจก เรื่องขายเดี๋ยวมันก็มีมาเอง พ่อเพาะกล้าไม้ปีแรก อย่าไปคิดว่าจะไปขายไหนทาไม ทาเยอะจัง เดี๋ยวมันก็มาเองพ่อก็ขายจนหมด ปีนี้ไม่ได้กล้าเพราะกล้าไม้ไม่มี ” “ถ้าไม่ต้องส่งลูกเรียนก็ไม่ต้องหาเงินก็ได้ อยู่ได้สบายเลย”



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.