short story

Page 1



Is it better to speak or to die?

04 March 02:07 pm 21°C เสียงเม็ดฝนตกกระทบใบต้นพีชหลายต้นรอบบ้านปูนเปลือยสองชั้นหลังใหญ่ นอกจากต้นพีชสีเขียวชอุ่มแซมด้วยสีชมพูของดอกพีชแล้วยังมีต้นไม้อีกหลายชนิดที่ขึ้น อย่างไม่เป็นระเบียบนัก แต่โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นและชุ่มช่​่าเพราะเม็ดฝนที่ เกาะพร่างพราวตามใบไม้สีเชียวเข้มบ้าง อ่อนบ้างประปราย ท้องฟ้ายามบ่ายของฤดู ใบไม้ผลิ ในวันฝนตกปรอยมองเห็นเป็นละอองเล็กๆลอยอยู่บนอากาศ บวกกับลมโชย เบาที่พัดพาให้กิ่งใบลิ่มไปตามลม ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกว่าทุกวัน อากาศเย็นชื้นไม่ เหมาะให้ออกไปท่ากิจกรรมนอกบ้านสักเท่าไหร่ เป็นปกติของช่วงเดือน มีนาคมถึง พฤษภาคม ของทุกปีในจังหวัดเกรโมนา (Cremona) แคว้นลอมบาร์เดีย (Lombardia) ทางตอนเหนือของอิตาลี และหากลองตั้งใจฟังเสียงรอบๆ ตัวให้ดี นอกจากเสียงฝนชวนง่วงแล้ว ยังมีเสียง หนึ่งที่แตกต่างออกไป ไม่ใช่เสียงที่ธรรมชาติเป็นผู้สร้าง แต่เป็นเสียงที่มนุษย์พยายาม เลียนแบบให้เสียงนั้นไพเราะให้ได้เท่ากับเสียงของธรรมชาติ เสียงไวโอลินในท่วงท่านอง


ที่อ่อนหวาน แต่แฝงไปด้วยความลุ่มหลงในบางสิ่ง และเสียดแทงใจในบางจังหวะ ดัง คลอไปกับเสียงฝนตกนอกบ้าน ภายในห้องนอนทางทิศตะวันออกของบ้านสองสั้นใน เมืองมอสคาซซาโน (Moscazzano) ในจังหวัดเกรโมนา ปรากฏร่างของชายหนุ่มที่มี ส่วนสูงไม่มากนักก่าลังเอียงคอใช้คางแนบตัวไวโอลินสีน้่าตาลอ่อนที่ผ่านการใช้งานมา อย่างยาวนาน ดวงหน้าขาวยิ้มพอใจกับท่วงท่านองที่ตนบรรเลงอยู่ เปลือกตาสีไข่ปิด สนิท มือเรียวขาวตัดกับด้ามพลาสติกสีด่ายิ่งท่าให้ผู้ที่ก่าลังบรรเลงเพลงเศร้าอยู่นั้นดู บอบบางยิ่งขึ้น กางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้ากับเสื้อยืดสีเทาหม่นดูเข้ากันดีกับห้องสีครีมที่ ผ่านกาลเวลามายาวนาน ข้าวของภายในห้องไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่ทุกอย่างกลับลงตัว ไปเสียหมด ไม่ได้ดูสกปรก แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย และทุกครั้งที่ลมพัดเอาละอองฝนผ่านหน้าต่างบานใหญ่ที่เด็กหนุ่มตั้งใจเปิดไว้ รอยยิ้มของผู้ที่สีไวโอลินอยู่มักกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มชอบฤดูใบไม้ผลิเพราะอากาศ ในช่วงนี้จะเย็นสบายและมีฝนตกบ้างเป็นบางวันไม่ได้ตกกระหน่​่าจนน้่านองและท่าให้ เดินทางล่าบากแต่อย่างใด อโมชอบกลิ่นหญ้าที่เปียกฝน ชอบเสียงฝนที่มันกระทบกับต้น ไม่รอบบ้าน ชอบดูดอกไม้ที่แม่ปลูกไว้แข่งกันเบ่งบานอวดโฉม และเหนือสิ่งอื่นใดเขา ชอบชีวิตที่เรื่อยเปื่อยแบบนี้ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับชีวิตขอ งอโม “อโม เอเรนมาถึงแล้วนะ ลงมาพาเขาไปที่ห้องด้วยลูก” เสียงผู้เป็นแม่ดังขึ้นมาจากโถงกลางของบ้าน พร้อมกับมือขาวที่หยุดสีไวโอลิน เด็กหนุ่มนามอโมถอนหายใจยาวพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนชิด เด็กหนุ่มหันมอง ท้องฟ้าที่ยังไม่มีแสงใดเล็ดลอดลงมาในยามนี้ ก่อนจะหันกลับมาวางไวโอลินตัวโปรดไว้ บนเตียงของตน ขาเรียวก้าวออกจากห้องเพื่อไปต้อนรับแขกของพ่อที่มักจะมาเยือนบ้าน ของอโมอยู่บ่อยครั้ง และเขามักจะมาในช่วงนี้ ฤดูใบไม้ผลิ “ไง ติอโม สบายดีนะ” ชายหนุ่มนามเอเรนนั้นตัวสูงกว่าอโมนัก อาจจะเพราะ เป็นคนอเมริกัน หรือไม่ก็อโมเองที่ไม่ยอมกินนมจนส่วนสูงเขาไม่ยอมขยับมาสองปีกว่าๆ


แล้ว เอเรนกล่าวทักทายพร้อมขยี้ผมสีน้่าตาลเข้มเส้นหนาของตนที่เปียกฝนนั้นไปด้วย เสื้อโค้ดสีเดียวกับเส้นผมถูกคุณแม่ของเขาเอาไปไว้ในห้องซักผ้าเพื่อเตรียมซักในวันพรุ่งนี้ ดวงตาน่าตาลเข้มจนเกือบด่าหันมาสบตาอโมอีกครั้ง “ฉันไม่เคยชินกับการเรียกชื่อเต็มๆ เธอเลย มันเหมือนการบอกรักมากกว่า เรียกชื่อใครสักคนสะอีกนะเนี่ย เธอว่าไหม” และอีกครั้งยังเป็นเอเรนเสมอที่มักพูดเปิดบทสนทนาอยู่บ่อยๆ ชื่อของอโม มา จากค่าว่า ติอโม (Ti amo) ที่แปลว่า ‘ฉันรักคูน’ ในภาษาอิตาลีประเทศแห่งความ ศรัทธา นครวาติกันที่หลายคนมาแล้วต้องไปที่นั่น แต่ไม่ใช่ส่าหรับเอเรน ครูเกอร์ คนนี้ “จริงๆ แล้วคุณจะเรียกแค่อโมก็ได้นะครับ ยังไงคุณก็มาที่นี่บ่อยกว่ากลับบ้าน ตัวเองอยู่แล้ว ก็ถือว่าสนิทในระดับหนึ่งละนะ” ทันทีที่ได้ยินค่าว่าสนิทจากริมฝีบางแดงของอโม ชายหนุ่มก็อยากจะบีบมันให้ช้่า กว่าเดิม บวกกับใบหน้าที่ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดของคนที่เด็กกว่ามันช่างให้ความรู้สึก แสนดื้อรั้นดีแท้ อีกทั้งยังเหมือนการประชดประชันเสียมากกว่า ชายหนุ่มผู้มีอายุเยอะ กว่าอีกฝ่ายห้าปีหัวเราะลั่นก่อนจะเอ่ยค่าพูดเคล้าเสียงหัวเราะกับอีกฝ่าย “เธอบอกว่าเราสนิทกัน ด้วยท่าทางห่างเหินแบบนั้นได้ยังไงกัน ฮ่าๆ” “อย่างนั้นคุณก็ควรจะชินได้แล้วนะครับ แล้วนี่จะตามมาได้หรือยัง กระเป๋าคุณ มันก็ไม่ได้เล็กๆ นะ” เจ้าของบ้านว่าพลางก้าวขึ้นบันไดอย่างคล่องแคล่วทันทีทั้งๆ ที่ปากก็บอกว่า กระเป๋านั้นแสนหนัก เอเรนได้แต่ส่ายหัวกับความไม่ยอมแพ้ให้กับอะไรเลยของอีกฝ่าย ท่าได้เพียงยกกระเป๋าใบที่ใหญ่กว่าตามอีกคนไปในทางที่คุ้นเคย “ห้องเดิมนะครับ มีอะไรก็เรียกผม ผมอยู่ห้องข้างๆ และเหมือนเดิมใช้ห้องน้่า ร่วมกัน ถ้าก่าลังคุณใช้มันอยู่ กรุณาล็อกประตูห้องน้่าฝั่งห้องของผมด้วย” ชายหนุ่มผิวขาวเปิดประตูไม้บานใหญ่เผยให้เห็นห้องที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก แต่อโมคิดว่าแขกคงไม่ถือสาเขานัก เด็กหนุ่มมักมาใช้ห้องนี้อยู่บ่อยๆ เพราะจากหน้าต่าง


สามารถมองเห็นทะเลสาบที่อยู่เยื้อออกไปจากตัวบ้านราวๆ สองถึงสามกิโลเมตรได้เขา เองก็ไม่เคยจะนับมันหรอก และในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ ดอกไม้หลายสีนั้นยิ่งเสริมให้วิว จากห้องนี้มันสวยมากๆ จนเขาแทบไม่ได้กลับห้องตัวเอง ห้องเลยไม่เรียบร้อยนัก เจ้าของบ้านเริ่มอธิบายเหมือนเดิมอย่างที่เคยอธิบายให้เอเรนฟังทุกครั้งที่ชายชาว อเมริกันมาค้างที่บ้านเขา และในระหว่างที่พูดอยู่ก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าคนที่ตัวเล็ก กว่าเก็บของเขากลับไว้ที่ห้องของตัวเอง ส่วนแขกก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเหมือนทุกครั้งทิ้งตัวลง เตียงสีครีมจนเกิดเสียงสปริงดังชวนเสียวฟัน พร้อมๆ กับเสียงปิดตู้ไม้ใบใหญ่ ค่าแนะน่า การใช้ห้องน้่าที่จบลง ดวงตาสีน้่าตาลอ่อนที่มองคนบนเตียงและเสียงถอนหายใจสุดท้าย จบลงพร้อมกับเสียงปิดประตูห้องนอนที่เงียบเฉียบ เอเรนที่นอนเอาหน้าซุกหมอนอยู่หันมองบานประตูที่นิ่งสนิทก่อนจะยิ้มกับตัวเอง ถูแก้มสากกับหมอนใบนุ่มที่มีกลิ่นแดดอ่อนๆ เสียงฝนนอกบ้านช่างน่าฟังกว่าสิ่งใด ยิ้ม อ่อนๆ ก่อนหน้านี้เหมือนจะยิ่งกว้างขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไวโอลินจากหนุ่มน้อยห้องข้างๆ และเขาก็ได้จมลงสู่ห้วงนิทราที่สมบูรณ์แบบที่สดุ ที่เขาเคยพบมา 05 March 09:54 pm 19°C แสงแดดยามสายส่องพื้นปูนสีหม่นจนเกิดแสงสะท้อนสว่างจนคนมองต้องหรี่ตา เมื่อเดินผ่าน โต๊ะอาหารเช้าตั้งอยู่ใต้ไม้เลื้อยที่ให้ร่มเงาที่พอตั้งโต๊ะกินข้าว 6 ที่นั่งได้ ชาย วัยกลางคนที่บนใบหน้าปรากฏหนวดสีน้่าตาลอ่อน แซมด้วยสีขาวที่บ่งบอกว่าเขาใช้ชีวิต มาเกือบจะถึงครึ่งร้อยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั่งอ่านหนังสือพิมพ์พลางยกแก้วกาแฟสีขาว ลายดอกเดซี่ขึ้นจิบ ลมเย็นพัดผ่านส่งให้หน้ากระดาษปลิวดูวุ่นวายจนเขาต้องใช้อีกมือจับ หน้านั้นไว้เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการอ่าน มาเดน่าแม่บ้านยกอาหารมาวางทีละอย่าง สองอย่างเกิดเป็นภาพที่เธอเดินเข้าออกบ้านราวกับมดงานก่าลังแบกน้่าตาลเข้ารัง เยื้องไปทางซ้ายไม่ไกลจากโต๊ะอาหาร หญิงวัยกลางคนที่ตัวเลขของอายุท่าอะไร หน้าตาสะสวยนั้นไม่ได้ ผมสีน้่าตาลอ่อนสะท้อนแสงแดดท่าให้รอบบริเวณนั้นดูอบอุ่น ยิ่งขึ้น เธอก่าลังตัดดอกไม้ที่ปลูกไว้มาประดับแจกันที่โต๊ะอาหาร มือขวาถือกรรไกรตัด


ก้านดอกสีเหลือสด ข้างๆ กันบนพื้นหญ้าสีเขียนมีดอกไม้สีม่วงและสีขาววางอยู่หนึ่งก่า มือ "อรุณสวัสดิ์ มาเดน่า" อโมที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านพร้อมแขกตัวสูงที่ยิ้ม มาแต่ไกล กล่าวทักทายแม่บ้านคนสนิทตามปกติ พร้อมกับเสียงไล่หลังที่พูดประโยค เดียวกันกับอโมเป๊ะๆ ของเอเรน "หลับสบายไหมคะ เอเรน อโมตรงนี้ลูก" เอมี่ กล่าวทักทายแขกด้วยรอยยิ้มสดใส พลางจัดแจงที่นั่งให้ลูกชายมานั่งข้างๆ เธอแทน และให้แขกนั่งข้างๆ สามีแทน เธอเอา ดอกไม้ใส่แจกันแก้วสีใสก่อนจะปัดมือเป็นอันเสร็จพิธีและนั่งลงเก้าอี้ประจ่าของเธอ "หลับเป็นตายเลยครับ ผมชอบเสียงฝนตกจริงๆ ถึงมันจะท่าให้พื้นแฉะก็เถอะ" เอเรน ท่าท่ายักไหล่แสดงให้เห็นว่าพื้นแฉะมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก ชายหนุ่มยอมแลกกับเสียงฝนที่ ท่าให้หลับสบาย “นอนยาวๆ เลยนะเอเรน คงจะล้าน่าดู วันนี้ก็ให้อโมพาเที่ยวรอบเมือง สักหน่อยเป็นไง” เสียงแหบของมาคัสเคล้ามากับเสียงหัวเราะอารมณ์ดี แซ็วคนหนุ่มที่ หลับตั้งแต่บ่ายแก่ๆ จนเช้าของวันนี้ “ดีครับ ผมอยากไปทะเลสาบที่มองเห็นจาก หน้าต่างห้องนอน จะรบกวนเธอรึเปล่า?” ต้นประโยครับค่าของมาคัสอาจารย์ที่ปรึกษา วิจัยป.เอกของเขา ก่อนจะหันไปสบตาสีน้่าตาลอ่อนออกไปทางเหลืองของหนุ่มอายุน้อย ที่สุดในบ้าน “งั้นให้เอเรนยืมจักรยาน เลมิสนะครับ” เป็นอันว่าตกลง ทั้งสี่เริ่มต้นมื้ออาหารด้วยเสียง หัวเราะจากมุกตลกของแขกฤดูร้อนผู้ที่รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้า 05 March 11:11 pm 23°C ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีดีทั้งสองก็ถึงที่หมาย จักรยานของหนุ่มน้อยเจ้าของถิ่นยังไม่ ทันหยุดดีเขาก็ปล่อยมันล้มลงและมุงตรงไปยังทางที่คุ้นเคยทันที เสียงจักรยานที่ล้มลง กระทบกับพื้นหญ้าสีเขียวดังขึ้นขัดกับเสียงล้อจักรยานอีกคันที่บดลงพื้นหินสีขาว อโมวิ่ง หายเข้าตามทางแคบๆ เอเรนส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความเร่งรีบของอีกฝ่าย สรุป ใครมันอยากจะมากันแน่เนี่ย ชายหนุ่มมองหาต้นไม้สักต้นแถวนั้นเพื่อใช้เป็นที่พิง


จักรยาน ก่อนจะเดินตามอโมเข้าไปไป “น้่าเย็นเจี๊ยบ” เมื่อเท้าจุ่มน้่าเอเรนก็ยกแขนขึ้น กอดตัวเองพลางสั่นหัว “ปลายน้่ามาจากน้่าแข็งบนภูเขาที่ละลายน่ะครับ น้่าตรงนี้เลยเย็นกว่าที่อื่น ผม มาอ่านหนังสือที่นี่บ่อยๆช่วงน่าร้อนเพราะอากาศตรงนี้จะเย็นสบาย ผมจ่าแทบไม่ได้ว่า อ่านหนังสือที่นี่อ่านจบไปกี่เรื่องแล้ว ถ้าคุณชอบจะมาอีกก็ได้ ” เอเรนก้มลงกวักน้่าล้าง หน้า น้่าเย็นๆ กระทบผิวหน้าท่าให้เขาสดชื่นและตื่นเต็มตา ใบหนาเรียบเนียนเกาะพราว ไปด้วยหยดน้่าใส ดวงตาสองชั้นรับกันสันจมูกโด่งตามแบบฉบับหนุ่มอเมริกัน กับริม ฝีปากหนาสีซีดแต่นั่นไม่ได้ท่าให้ชายหนุ่มตรงหน้าดูแย่เลยแม้แต่น้อย อโมมองดวงหน้า นั้นตาไม่กระพริบก่อนจะสะดุ้งและหลบตาต่​่าทันทีเมื่อดวงตาสีน้่าตาลเข้มนั้นหันมามอง “ฉันเพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรกใช่ไหมเนี่ย” หนุ่มอเมริกันถามเจ้าบ้านพร้อมกับเดินตามอีก คนไป “คงจะอย่างนั้นมั้งครับ” “ท่าไมไม่บอกกันเลยว่ามีห้องสมุดใหญ่ขนาดนี้” “คุณไม่ได้ถาม” “เจ้าบ้านที่ดีต้องพาแขกเที่ยวให้ครบสิ” หนุ่มอิตาลีขมวดคิ้วฉับพลางคิดในใจ ทุก ครั้งที่มาอีกคนก็ไม่ได้ขอให้เขาพาเที่ยวสักหน่อย อีกอย่างอโมก็ไม่คิดจะเสนอตัวพาแขก เที่ยวหรอก เพราะเอเรนน่ะตามติดพอเขาอย่างกับเหาฉลามที่ไม่ยอมหนีห่างไปไหน “ครั้งก่อนๆ ที่คุณมา ก็มาท่างานไม่ใช่หรอครับ คุณคุยกับผมนับประโยคได้ด้วยซ้่า ” “ฉันคิดว่าเธอไม่ชอบฉันสะอีก เห็นเธอยุ่งๆ ด้วย” เอเรนจ้องมองเท้าตัวเองที่อยู่ ใต้น้่าราวกับมันน่าสนใจกว่าคู่สนทนาพร้อมๆ กับมือไม้ที่อยู่ๆ ก็ไม่รู้จะวางมันไว้ตรงไหน ดี สุดท้ายก็ยกขึ้นมาลูบท้ายทอยตัวเองไปมารวมๆ แล้วการกระท่าของคนตรงหน้า อโม มองว่ามันคล้ายกับคนก่าลังประหม่าที่จะพูดค่าพูดเมื่อกี้ “ผมไม่ได้เกลียดคุณ” ค่าพูด ตรงไปตรงมาของอโมท่าเอาชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าก่าลังท่าท่าทางประหม่าหลุดยิ้มข่า “ก็เห็นเธอชอบมองฉันแล้วขมวดคิ้ว เหมือนก่าลังคิดว่าฉันมันคือตัวปัญหาของเธออย่าง


นั้นแหละ” คนที่เพิ่งถูกล่าวหาขมวดคิ้วเข้าหากันไม่รู้ตัว พร้อมๆ กับในหัวที่วิ่งวุ้นไปหมด คิดภาพตามว่าเขามองอีกคนแบบนั้นหรือ “นี่ หน้าแบบนี้เลย” “ผมว่าคุณอาจจะเข้าใจผิด ผมไม่ได้เกลียดคุณ” “งั้นก็หยุดขมวดคิ้วได้แล้ว หน้าแก่ไม่รู้ด้วยนะ ท่าหน้าอย่างกับแบกโลกไว้ทั้งใบ อย่างนั้นล่ะ” เอเรนพูดพลางเดินเข้าใกล้อีกคน ก่อนจะยกมือเย็นเฉียบแนบแก้มขาว นิ้วหัวแม่มือทั้งสองคลึงหัวคิ้วอีกคนไปมา “เวลาที่เธอยิ้ม น่ารักกว่าเป็นไหนๆ” รอยยิ้ม กว้างของเจ้าของมือหนาที่แนบแก้มอยู่ท่าเอาอโมตาพล่า หัวใจของเขามันเหมือนจะหลุด ออกมาเต้นข้างนอกให้ได้ มือเล็กก่ารอบข้อมือหนาพยายามดึกมือนั้นออกแต่ไม่เป็นผล ให้ตายสิคนๆ นี้ท่าเรื่องแบบนี้อย่างกับมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นแหละ เพราะเอเรน เป็นแบบนี้ ชอบยิ้มและหัวเราะให้กับเรื่องง่ายๆ อย่างเช่นว่ามุกตลกอิงประวัติศาสตร์ ของคุณพ่อที่ฟังยังไงก็ไม่ข่า คนตรงหน้าก็ข่าราวกับมันเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เขาเคยได้ฟัง มา และคนๆเดียวนี้ก็มักจะพูดเรื่องยากๆ ออกมาได้อย่างง่ายดายเสมอ ความพยายามที่จะวิ่งหนีจากความสัมพันธ์ที่ผิดบาปนี้มันพังไม่เป็นท่าไปแล้ว บางครั้งอโมแอบคิดกับตัวเองว่า หากอโมเก่งได้สักหนึ่งเปอร์เซ็นของเอเรน บอกรักโดย ปราศจากความกลัวทั้งสิ้น เขาจะกระโดดกอดอีกคนแน่นๆ และขอ ขอให้เอเรนอยู่กับ เขาไปแบบนี้จนกว่าใครสักคนจะหมดรักในสักวัน หรือไม่ก็จนกว่าความตายจะพรากเรา จากกัน แต่ทั้งหมดนี้อโมรู้ดีว่าแม้กระทั่งศูนย์จุดห้าเปอร์เซ็นของเอเรน อโมก็ไม่สามารถ มีมันได้ เพราะเขาก็ยังเป็นเขา เป็นคนที่ขี้ขลาด และโง่เง่าที่สุดคนหนึ่ง และพ่ายแพ้ ให้กับคนเดิมๆ แก้มร้อนๆ ของตัวเองท่าให้เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าหน้าเขามันต้องแดงมากแน่ๆ เลยพยายามจะผละออกจากมือใหญ่ เอเรนเห็นอีกคนเริ่มก่ามือเขาแน่นขึ้นบวกกับ แก้มแดงๆ และเขารู้ดีว่าอุณหภูมิมือตัวเองนั้นต่​่าแค่ไหนท่าให้เขารีบชักมืออก “หน้าเธอแดง หนาวหรือเปล่าขอโทษที” เพราะเข้าใจว่ามือตัวเองเย็นจนท่าให้อีก คนหนาวหรือเปล่า ทั้งที่ตัวครึ่งล่างพวกเขามันอยู่ในน้่า ถ้าอโมรู้สึกหนาวตั้งแต่แรกคงไม่ กระโจนลงน้่าจนตัวเปียกขนาดนี้หรอก และด้วยความที่เด็กหนุ่มที่เตี้ยกกว่านั้นท่าตัวไม่


ถูก และเมื่อกี้เขาเหมือนโดนแกล้งเลยกวักน้่าเย็นๆ ใส่อีกคนและหลังจากนั้นสงคราม สาดน้่าก็เกิดขึ้นเกิดเสียงหัวเราะปนเสียงที่คนตัวเล็กโดนทุ่มจนน้่าบริเวณนั้นกระจายไป ทั่ว อโมยิ้มได้มากกว่าทุกครั้ง อาจจะเพราะเขาไม่ได้เล่นสนุกแบบนี้มานาน หรือไม่ก็คง เป็นคนที่คอยปรามทุกครั้งที่เขาขยี้ตาแรงเกินไป ท้องมีเมฆมากกว่าปกติ คาดว่าคืนนี้ฝนคงจะตกหนักพอสมควร แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูใบไม้ผลิสาดส่องลงมากระทบพื้นหญ้าสีเขียวที่แซมไปด้วยดอกไม้ดอกเล็กสีขาว จักรยานสองคันที่ใช้ต้นโอ๊คเป็นพี่พึ่งให้มันยังตั้งได้ด้วยสองล้อ จักรยานรูปทรางคล้ายกัน หากแตกต่างกันที่เบาะ คันด้านหลังนั้นยกเบาะสูงเลยแฮนขึ้นไปเกือบสองฝ่ามือ อีกคัน ปรับเบาะลงต่​่ากว่าแฮนรถจักรยาน ท่าให้นึกถึงผู้เป็นเจ้าทั้งสอง ที่ส่งเสียงดังวุ่นวายอยู่ กลางน้่าที่สูงเพียงแค่เข่า 1 April 02:07 pm 25°C ช่วงบ่ายที่แดดแรงกว่าทุกวัน แต่กลับไม่ได้ท่าให้ร้อนมากมายนัก แสงแดดที่ตก กระทบสระน้่าที่ใช้อิฐก่อนสูงขึ้นจากพื้นหญ้าสีเขียวราวๆ หนึ่งเมตร สะท้อนแสง ระยิบระยับน้่าในสระนิ่งสนิทเนื่องจากไม่ใครลงไปเล่นมาหลายวัน ลานกว้างที่คนในบ้าน มักใช้ท่ากิจกรรมต่างๆ วันนี้เงียบสนิท มีเพียงเตาบาร์บีที่เลมิสพ่อบ้านสูงอายุก่าลังจุดไฟ อยู่เท่านั้น เนื่องจากสมาชิกทุกคนก่าลังวุ่นวายกับการท่าเค้กครบรอบสิบแปดปีบริบูรณ์ ของเจ้าของบ้านตัวเล็ก ความวุ่นวายเล็กๆ จึงเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มน้อยอยากจะร่อนแป้งช่วย แม่บ้าน และถูกห้ามไว้เนื่องจากเธอมองว่าแค่ท่าเค้กก็ใช้พลังงานมากแล้ว และคาดว่าถ้า คุณหนูของเธอมาร่วมวงครัวกับเธอด้วยครัวคงกลายเป็นสนามรบย่อมๆ ของเด็กหนุ่ม เจ้าของวันเกิดกับตะแกงร่อยแป้งแน่นอน เธอจึงต้องต้อนเจ้าตัวออกจากครัวโดยเร็วที่สุด โชคดีที่คุณผู้ชายของบ้านมาตามให้อโมไปเล่นเปียโนให้ทุกคนในบ้านฟัง ชายหนุ่มจึงท่า ได้เพียงถอนหายใจและเดินลากเท้าไปยังห้องนั่งเล่นใหญ่ในบ้าน ทุกคนที่ว่ามีไม่เยอะนัก นอกจากพ่อกับแม่และแขกจากอเมริกันที่มักอยู่ร่วมวันเกิดเขาทุกปีแล้วก็ไม่มีใครอีก เพราะเพื่อนๆของอโมยังมาไม่ถึงคาดว่ากว่าจะถึงก็คงฟ้ามืดพอดี


เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงหน้าเปียโนสีด่าตัวโปรดของเขาตามการผายมือเชิญให้นั่งของคน เป็นพ่อ ทุกคนหัวเราะขบขันกับท่าทางเกินเรื่องของมาคัส อโมเริ่มโน้ตแรกด้วยท่วงท่า กระตือรือร้น สีหน้ายิ้มแย้มโยกตัวตามจักหวะเพลงเร็วที่เขาเลือกมาเล่นเป็นเพลงแรก และจบลงด้วยเสียงปรบมือของแขกผู้มีเกียรติทั้งสาม เขาลุกขึ้นวาดมือสูงขึ้นและตวัดมัน ลงมาแนบหน้าท้องพร้อมกับโค้งตัวหัวแทบติดกับเข่า ทุกคนต่างหัวเราะให้กับท่าทาง ประชดประชันของเจ้าของวันเกิด และเมื่อเงยหน้าขึ้นอโมก็ต้องยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อสบ เข้ากับดวงตาสีน้่าตาลอ่อนคู่นั้นที่ก่าลังส่งยิ้มชื่นชมมาให้ หลังจากพูดคุยกันที่อโมขอ เรียกมันว่าการปรับความเข้าใจของเขากับแขกชาวอเมริกันที่ทะเลสาบวันนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆ กันมากมาย และยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่เด็กหนุ่มก็ยิ่งกลัวจับใจ และสิ่งที่เขาต้องแบกรับเพิ่มขึ้น ขึ้นคือความรู้สึกภายใจในที่มันเอ่อล้นจนเขาแทบควบคุมมันไม่ไหวเมื่อยู่ใกล้เอเรน จน บางครั้งเขาเริ่มกลัวว่าสักวันจะเก็บซ่อนมันไว้ไม่มิด หลังจากทุกคนมากันครบทั้งเพื่อนเอเรนและเพื่อนสนิทคุณพ่อที่แวะมาอวยพรวันเกิดให้ การเป่าเค้กและแกะของขวัญวันเกิดจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงมื้อเที่ยงพอดีทุกคนก็ออกไป รับแดดยามบ่ายนอกบ้าน และจะจัดปาร์ตี้เล็กๆ กันข้างนอก ภายในห้องนั่งเล่นที่อยู่ส่วน ที่ลึกที่สุดในบ้านนั้นเงียบสนิทเหลือเพียงชายหนุ่มอายุสิบแปดหมาดๆ นั่งไล้มือไปตาม แป้นเปียโนก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงที่เขาไม่กล้าเล่นต่อหน้าใครบางคนที่พักอยู่ห้องข้างๆ เสียงเปียโนท่านองสูงต่​่ากับนิ้วมือเรียวที่กดอยู่ที่คีย์เดิมซ้่าๆ เกิดเป็นท่วงท่านองที่ฟังแล้ว ให้ความรู้สึกหน่วงๆในอก ริมฝีปากบางแปร่งเสียงร้องเพลงที่เขามักจะฟังบ่อยๆ ในช่วงนี้ She said, "Baby, I'm afraid to fall in love 'Cause what if it's not reciprocated?" I told her, "Don't rush girl, don't you rush Guess it's all a game of patience" เธอบอกว่า “ที่รักฉันกลัวเหลือเกินที่จะตกหลุมรักเพราะถ้ามันไม่ถูกรักตอบล่ะ ”


ฉันจะบอกเธอไปว่า “อย่ารีบนักสิสาวน้อย อย่ารีบนักเลย” เดาว่ามันคือเกมที่ต้องอดทน ทุกครั้งที่ได้ฟัง ราวกับเขาได้ปลอดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจออกไปบ้าง หญิงสาวที่ตั้งค่าถามใน เพลงช่างไม่ต่างจากอโมตอนนี้นัก เขาไม่มีความมั่นใจ ไม่มีความกล้าพอที่จะกระโดดลง ไปในหลุมรักที่ตนขุดมันขึ้นมาเองกับมือ She said, "What if I dive deep? Will you come in after me? Would you share your flaws with me? Let me know" เธอบอกว่า” แล้วถ้าฉันถลาลึกล่ะ คุณจะตามฉันมาและคอยดูแลฉันไหม? คุณจะแบ่งปันส่วนที่ไม่ดีกับฉันหรือเปล่า? บอกฉันที” ความรู้สึกของอโมในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากหญิงสาวคนนั้นนัก เขาก่าลังกลัวกับผลลัพธ์ของ มันหากตัดสินใจกระโดดลงไปอย่างห้าวหาญแล้วอโมคงไม่มีทางถอยได้อีก เขาแค่หวังให้ ค่าตอบมันเป็นไปในทางที่เขาคาดหวัง หวัง ว่าเขาคนนั้นจะยังอยู่ข้างกายและคอย ปลอบใจ She said, "What if I tell you all the things I've done? Would you run away from me?" I told her, "Baby, we all got bags full of shit that we don't want But I can't unpack it for you, baby" เธอบอกว่า “ถ้าเกิดฉันเล่าให้คุณฟังทั้งหมดเลยว่าฉันทาอะไรไปบ้างคุณจะวิ่งหนีจากฉัน ไปไหม?” ฉันบอกเธอไปว่า “ที่รัก เราทุกคนมีกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเรื่องงี่เง่าที่เราไม่ต้องการแต่ฉัน ไม่อาจจะหยิบออกมาให้คุณดูได้หรอก ที่รัก” และอโมเข้าใจความหมายนี้ดี ความมั่นใจที่มีมันหายไปทุกครั้งเมื่อเจอรอยยิ้มของเอเรน คนนั้น เด็กหนุ่มแค่กลัวว่าควรพูดมันออกไปดีหรือไม่ หรือเขาควรเก็บไว้ให้มันตายไปกับ


เขา ถึงแม้สมองจะสั่งให้เลือกอย่างหลัง แต่หัวใจมันกลับกรีดร้องขอข้อเสนอแรกจนเขา แทบทนไม่ไหว น้่าตาหยดเล็กไหลผ่านแก้มเนียนสู่ปลายคางมนก่อนจะตกกระทบหลังมือ ขาวพร้อมกับแปล่งเสียงร้องท่อนสุดท้ายของเพลง 'Cause I want you, I want you, I want- I want you 'Cause I want you, I want you, I want- I want you เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพลูมันออกมาจนหมดปอด มือบางปาดน้่าตาข้าง แก้มก่อนจะก้มลงมองมันแล้วยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง ติอโม ที่แปลว่า “ฉันรักคุณ” ใน ความหมายของคนทั่วไป และแปลว่า “ผู้ที่ถูกรัก” จากความหมายของคนในครอบครัว ตอนนี้ช่างอ่อนแอ ก่อนที่อโมจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงที่คุ้ยนั้นดังมาจากทางประตูหน้า ห้องนั่งเล่น “ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเธอร้องเพลงเพราะขนาดนี้” แสงไฟสลัวท่าให้เด็กหนุ่ม หายใจได้คล่องคอขึ้นมาหน่อย หวังว่าเขาจะไม่ทันสังเกตเห็นความอ่อนแอของเด็กหนุ่ม “เธอเล่นมันได้ดี แล้วนี่เล่นเป็นทุกอย่างที่อยู่ในบ้านเลยหรือเปล่า เหลือสิ่งไหนบ้างที่เธอ ยังท่าไม่ได้” เอเรนว่าพลางยิ้มให้กับความเก่งกาจของเด็กคนนี้ อโมเป็นเด็กฉลาดมีหัว ด้านศิลปะเกือบทุกแขนง สิ่งที่คู่กับนักดนตรีเสมอคือการเขียนเพลงแน่นอนเด็กน้อยคนนี้ ท่าได้และดีมากด้วย ภาพวาดภายในบ้านเกินครึ่งเป็นฝีมือของอโม อีกทั้งเครื่องดนตรีใน บ้านเอเรนได้เห็นแล้วว่าไม่มีชิ้นไหนเลยที่อโมเล่นไม่ได้ ที่ถามไปก่อนหน้านี่เขาแค่แซ็วให้ เจ้าตัวเขินเท่านั้น เพราะแก้มแดงๆ กับหน้าตาตื่นๆ ของอีกคน เอเรนชอบมองมัน มากกว่าทิวทัศน์รอบบ้านเสียอีก ก่อนเสียงแผ่วๆ จากเด็กหนุ่มจะตอบคนที่แอบมาฟังเขา ร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ “เราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเครื่องดนตรีชนิดเดียว ผมไม่ใช่ คุณก็ไม่ใช่เหมือนกัน” ความหมายของมันก็คงจะประมาณว่าเราเกิดมาเพื่อเป็น ในสิ่งที่เราอยากเป็น ท่าในสิ่งที่เราอยากท่า รักในสิ่งที่เราอยากจะรัก ‘เครื่องดนตรี’ ใน ที่นี้ไม่ได้หมายถึงอะไรเลยนอกจาก ‘ความฝัน’ หรือ ‘สิ่งที่เราปรารถนา’ แม้ว่าอย่างหลัง นั้นส่าหรับอโมแล้วอาจจะมีเพียงอย่างเดียว คือการถูกรักจากคนที่เรารัก ความรักจาก ครอบครัวอโมได้มันมาไม่เคยขาด และตอนนี้เขาก่าลังโลภเพราะอยากได้ความรักจาก


เอเรนคนนี้ เอเรนยิ้มให้กับประโยคที่ไม่ได้สื่อความหมายตายตัวของเด็กหนุ่มชาวยิวคนนี้ “เครื่องดนตรีทีว่า คงไม่ได้หมายถึงแค่เครื่องดนตรีสินะ บางทีการได้คุยกับคนเก่งๆ นี่มัน ก็ดูดพลังงานพอสมควรเลยนะ” “แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนล่ะมั้งครับ ว่าเขาจะตัดสินมันยังไง จริงๆ ผมก็ หมายความตามที่ผมพูด แต่หากคุณจะคิดมากไปกว่านั้นมันก็เป็นสิทธิของคุณที่จะตัดสิน มัน และหากคุณจะลองมองดูดีๆ ผมไม่ใช่คนเก่งอย่างที่คุณเข้าหรอก” “รู้ไหม ฉันว่าเวลาเธอพูดมันน่าฟังมากๆ แต่ท่าไมเธอถึงชอบดูแคลนตัวเองนัก ล่ะ” อโมเค้นยิ้มให้กับตัวเอง “ผมไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยต่างหากเอเรน ไม่รู้วิธีการพูด ความรู้สึกของตัวเองที่ดีกว่านี้ ผม... ไม่ได้รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว” เอเรนที่ฟังค่าพูดที่ ล่องลอยราวกับว่าเจ้าตัวไม่ได้ก่าลังพูดกับเขาอยู่ก็ทนดูแทบไม่ไหว หัวใจเขามันเหมือน ถูกบีบรัด สิ่งเจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่าหน้าตัวเองตอนพูดประโยคเมื่อครู่นี้มัน เหมือนกับ ก่าลังจะสูญเสียบางอย่างในชีวิตไปอย่างนั้นแหละ เอเรนเกิดสงสัยและร้อนรุ่มอยู่ในใจ เมื่อยิ่งคิดยิ่งเหมือนจะทนไม่ไหว ว่าสิ่งนั้นมันคือบางอย่างนั้นมันคืออย่างไหนกัน ที่ท่า ให้อโมท่าหน้าเศร้าได้มากขนาดนี้ “มีอะไรที่อยากจะบอกฉันหรือเปล่า” และไม่ทันได้รู้ตัวเอเรนที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่ หน้าประตูห้องรับแขกก็เข้ามาใกล้เกินกว่าอโมจะถอยได้ และทุ่มย่างก้าวราวกับก่าลัง ท่าลายบางอย่างที่อโฒพยายามสร้างมันไว้เพื่อปกป้องตัวเอง ก่าแพงที่อโมพยายามเสริม ความแข็งแรงให้มันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพังลงไม่เป็นท่า เขาได้รู้ก็วันนี้ว่าเสียเวลา เปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความอ่อนโยนของอีกฝ่าย หรือความสดใสที่หาไม่ได้จากใครอีก หรือเพราะด้วยหัวใจของอโมที่มันไม่ได้อยู่กับเจ้าของมาสักพักแล้ว หรือเพราะ บรรยากาศของช่วงฤดูใบไม้ผลิ มันน่าพาบางสิ่งมาถึงตัวอโม และตอนนี้ชายหนุ่มจะ กล่าวโทษทุกอย่าง ยกเว้นแต่หัวใจเจ้ากรรมของตน ในตอนนี้อโมแทบไม่รู้ตัวว่าใช้สายตาแบบไหนมองชายหนุ่มตรงหน้า เขาท่าเพียง หลับตาและเอื้อนเอ่ยวาจาเพียงแผ่วเบา “ผม รักคุณเอเรน” และก็เป็นอย่างที่เขาว่า คุณ


จะควบคุมสิ่งใดก็ได้ในตัวคุณ จะกล้ามเนื้อ หรือสมอง แต่สิ่งเดียวที่ตัวคุณควบคุมมัน ไม่ได้คือ ‘หัวใจของคุณเอง’ และมีแค่เพียงคนโง่เท่านั้นที่คิดจะควบคุมมัน สิ้นสุดค่าพูด แผ่วเบาราวผีเสื้อแตะหลังริมฝีปากร้อนของเอเรนทาบทับกลีบปากสีแดงเรื่อของเด็กหนุ่ม อย่างอ้อยอิ่ง เรียบเรื่อย ไม่รีบร้อน จักหวะที่เอเรนขับเม้มริมฝีปากล่างของอีกคน มือเล็ก ที่ไร้ที่พึ่งมาแสนนานก็หาที่พึ่งขอตนจนเจอ มือบางเกาะเกี่ยวไหล่หนาของอีกคนไว้แน่น เมื่อเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันในโพลงปากทุกๆ อย่างก็สายเกินกว่าจะถอย สองร่างแลก จูบกันจนเกิดเสียงน่าอายภายในห้องนั่งเล่นร้างผู้คน มือหนาทั้งสองข้างประครองสอง แก้มและเอียงหน้าให้รอยจูบแนบชิดยิ่งขึ้น อโมที่เริ่มหายใจไม่ทันครางอือในล่าคอ เอเรน ก็ผละจากริมฝีปากเลื่อนลงมาที่ล่าคอขาวอย่างเชื่องช้า เด็กหนุ่มท่าได้เพียงเอียงคอให้อีก คนซุกไซร้อย่างเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ส่าหรับอโม มันชาตั้งแต่ศีรษะลง ไปถึงปลายเท้าอย่างรวดเร็วจนจับจังหวะไม่ได้ มือข้างซ้ายของเอเรนเริ่มอยู่ไม่สุขมัน รุกรานเข้ามาภายในเสื้อยืดสีฟ้าตัวโปรดของเอเรน ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้อโม คว้าข้อมือหนาไว้ก่อนที่มันจะสัมผัสยอดออกของเขา และเอ่ยขึ้นเสียงแหบพล่าจนเจ้า ตัวเองยังตกใจ ในขนะที่ปากของอีกคนยังคงกดจูบที่ซอกคอ “ผมยังไม่ได้ค่าตอบ เอเรน อื้อ” สิ้นสุดค่าทักท้วงริมฝีปากของเด็กหนุ่มก็ถูกฟัน คมขบกัดจนยื่นก่อนผู้กระท่าจะยิ้มกว้างให้เขา “ฉันก็รักเธออโม” กล่าวความในใจที่เด็ก หนุ่มอีกคนไม่คิดว่าจะได้ฟังเสร็จ เอเรนก็ฉกจูบลงมาอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่ ปล่อยให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกคนที่แอบรักมานาโยนค่าว่ารักใส่จนเขาเบลอไปหมด และไม่ ทันรู้ตัวแผนหลังบางก็แนบชิดกับโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก่อนจะต้องนิ้วหน้าเมื่อ ความรู้สึกเสี่ยวแปรบที่ล่าคอ ก่อนจะตามมาด้วยเสียง ‘จุ๊บ’ ราวกับเด็กที่ดูนิ้วมือแล้ว โดนคุณแม่ดึงมือออกเสียก่อน แก้มขาวแดงเรื่อราวกับลูกพีชที่สุกก่าลังดี “ฝากไว้ก่อน” ก่อนเอเรนจะหอมแก้มแดงไปฟอดใหญ่อย่างนึกเอ็นดู รอยยิ้มเจ้า เล่ห์ยิ่งเสริมให้ชายหนุ่มอีกคนดูน่าหมั่นไส้เข้าไปทุกที ยังไม่ทันจะได้พูดตอบโต้อีกคน เสียงแม่ที่น่ามาก่อนที่ประตูไม้บานใหญ่จะเปิดท่าเอาเท้าอโมกระตุกเผลอถีบอกอีกคน


เต็มรัก หวายหลังลมลงไปบนโซฟายาว อโมได้ยินเสียงตุบดังพอๆ กับเสียงเปิดประตู เขา เดาว่าหัวอีกคนคงโดนพนักวางแฟนของโซฟาตัวเกาที่ผ้านวมมันหายไปเพราะกาลเวลา ชายหนุ่มตัวขาวได้แต่เอ่ยขอโทษในใจ ก่อนจะเดินไปหอมแก้มแม่แล้วเดินสวนเธอออกไป ที่โต๊ะอาหารทันที“หืม หลับหรอ เอเรน อาหารเที่ยงพร้อมแล้วนะคะ” “เปล่าครับ พอดียืดเส้นนิดหน่อย” เอเรนท่าได้เพียงลูบหัวป้อยๆ ก่อนจะเดินคุยเรื่องหนังสือบทกวีที่แม่ของอโมเพิ่งอ่านจบ ไป แลกเปลี่ยนความประทับใจในภาษาของผู้แต่ง และมื้ออาหารเที่ยงก็เริ่มขึ้นด้วยเสียง หัวเราะ ที่ครั้งนี้แฝงความเขินอายของหนุ่มน้อยไว้อย่างไม่มิดชิดสักเท่าไหร่ พร้อม ความคิดของเจ้าของรอยจูบที่ล่าคอขาวของเด็กหนุ่มที่นั่งตรงกันข้าม และสถานะที่ได้ สารภาพรักไปแล้วหลังจากนี้ค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงกันต่อและเอเรนจะไม่ยอม ให้มันครุมเครือนานหรอก วันนี้เขาให้เจ้าเขินวันเกิดได้ท่าใจเสียก่อน แล้วค่อยเดินหน้า เต็ม และคงต้องหาซื้อที่ทางแถวนี้ไว้เสียแล้วเผื่อต้องย้ายมาตั้ งรกรากที่นี่เร็วๆ นี้ และอโม ที่ทนต่อรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝายไม่ไหวก็ลุกไปแย่งไม้บาร์บีคิวจากมาย่างให้แก้เขิน ทั้ง ที่อากาศร้อนขนาดนี้ แต่อโมยอมให้หน้ามันแดงจากไฟในเตาดีกว่าปล่อยให้มันแดง เพราะอิทธิพลของรอยยิ้มของแขกชาวอเมริกันดีกว่า


ไม่เหมือนทุกครั้ง

"อาจารย์...... นิดเดียวของเราไม่เท่ากันจริงๆ" เสียงโอดครวญของนิสิตชั้นปีที่สามดังเซ็งแซ่ทั่วแล็บคอมฯ ห้องประจ่าที่เกือบโดน อาจารย์นามย่อ อ.อ่าง แย่งไปใช้เหมือนครั้งที่พวกเขาอยู่ปีสองเทอมสอง เมื่อมันล่วงเลย เวลาสอนปกติมาสิบหกนาที อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย เกินเวลามาสองนาทีพวกเขาก็ นับว่าเกิน! และเสียงโอดครวญก็ดังขึ้นมากกว่าทุกครั้งเมื่ออาจารย์ผู้รัการสอนยิ่งกว่าชีวิต จิตใจเอ่ยค่าฆ่าพวกเขาทางอ้อมเป็นครั้งที่สามของวัน "อีกนิดเดียวครับ" อัยย์นิสิตสาวร่างอวบระยะสุดท้ายกระพริบตาถี่ๆ ไล่น้่าตา เมื่อเธอจ้องมองหน้า จอมคอมพิวเตอร์ยี่ห่อ ph นานเกินไป ดวงตาภายใต้แว่นสายตากรอบเงินแดงก่​่า มัน แห้งราวกับทะเลทรายสะฮารา พูดไปอย่างนั้นแหละ ไม่เคยไปหรอกแต่คิดว่าอาการแห้ง ของตาเธอก็คงจะเป็นอะไรเบอร์นั้นนั่นแหละ เมื่อคืนเธอพยายามข่มตาให้หลับตั้งแต่ตีหนึ่งเพราะรู้ว่าทุกวันพุธเธอต้องตื่นแต่เช้า


เพื่อมาเรียนวิชาคอมฯ 3 ในเวลา 9 โมงตรง แต่จนแล้วจนรอดมันก็หลับได้แค่ตาเท่านั้น สรุปแล้วกว่าจะหลับได้จริงฟ้าก็สว่างแล้ว และภาพก็ตัดไปไม่นานเสียงนาฬิกาปลุกก็ท่า ให้ต้องขุดตัวเองให้ลุกจากเตียง เพื่อไปอาบน้่า ช่วงเวลาที่ได้หลับจริงๆ มันแสนสั้นราว กับว่าเธอขึ้นลิฟต์จากชั้นหนึ่งไปชั้นสองอย่างไรอย่างนั้น สิ้นสุดเสียงโอดครวญของเพื่อนร่วมเอกภายในห้องเรียนก็มีเพียงเสียงคีย์บอร์ด ดัง 'ต็อกแต็ก' คลอไปกับเสียงอาจารย์สั่งให้พิมพ์ตามที่บอก อัยย์ยิ้มข่าเมื่อนึกถึงเสียงร้อง โหยหวนของนิสิตผู้หิวโหยเมื่อกี้หายไป เหลือเพียงหัวคิ้วที่ชนกันและความตั้งใจสะกดค่า ภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง เพื่อจะสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เพื่อนๆ ของเธอเป็นแบบนี้ตลอด ปากก็บ่นไปเถอะ อาจารย์สั่งอะไรไม่รู้ขอบ่นไว้ ก่อน สุดท้ายก็มานั่งตั้งใจท่ากันอยู่ดี ค่าว่าเทนั้นเท่ากับ 'ตอแหล' "กินไรดีวันนี้" สาวทอมหนึ่งเดียวในกลุ่ม ที่มาพร้อมเสื้อแขนยาวสีขาวที่เพิ่งไปซื้อด้วยกันมาเมื่อ วานเอ่ยขึ้นลอยๆ มันเป็นค่าถามที่ไม่ได้ต้องการค่าตอบ คล้ายๆ กับถามตัวเองว่าฉันจะ กินอะไรดี แต่บังเอิญคิดดังไปหน่อย แต่ถ้าเพื่อนช่วยเสนอก็จะได้เก็บไปเป็นตัวเลือก อะไรประมาณนั้น "กระเพรา" และเช่นทุกครั้งมันไม่เคยพ้นกระเพราหรอก วันนี้คือวันพุธแห่งชาติ พวกเธอสถาปนามันขึ้นมาเอง เพราะเป็นวันที่มีเรียนเช้า และแน่นอนว่าขับรถไปร้านไกลๆ ไม่ไหว เลยต้องพึ่งพาขนส่งสาธารณะในมอแทน และ อาศัยข้าวที่ 'ตลาดน้อย' ประทังชีวิตในวันนี้ นิสิตปีสามที่หิวโหยพร้อมหน้าตาที่อิดโรย ขึ้นจับจองที่นั่งกันจนเต็มคัน ระยะทางไม่ไกลมากแต่รถขับค่อนข้างช้า และด้วยจ่านวน คนกว่าเก้าคนท่าให้ทั้งคันมีแต่พวกกันเองทั้งนั้น บทสนทนาเลยมีไม่ขาดจนถึงที่หมาย 'ตลาดน้อย' คือโรงอาหารของมหา'ลัยที่อัยย์เรียนอยู่ จริงๆ มันก็ไม่น้อยหรอกใน ความคิดของอัยย์ มันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เด็กที่นีจะเรียกว่า ‘โดม’ เป็นสองโดมที่


เรียงกันในแนวยาว โดมแรกจะติดกับถนนในมอที่นิสิตใช้สัญจรเป็นหลัก และตรงนั้นจะ เรียกว่าข้างหน้า โดมที่สองอยู่ติดกันลึกเข้ามาแต่เพิ่งจะสร้างใหม่ สภาพแวดล้อมเลย ดีกว่า ท้านโดมเป็นพื้นปูนกว้าง มัทางเข้าเล็กๆ เชื่อมกับหอในและเป็นจุดพักรถไฟฟ้าที่ พวกเขานั่งมาด้วย รถจะมาสุดสายที่ตรงนั้น ตลอดการเดินหาที่นั่งก็ยังคุยกันไม่หยุดปาก ไม่เจอกันแค่คืนเดียวมันมีอะไรให้คุยกันนัก อัยย์คิด เราจับจองที่นั่งในโดมสอง เลือกโต๊ะที่มันต่อกันสองโต๊ะ และแยกย้ายกันไปซื้อข้าว ในหัวอัยย์นั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งที่อยากจะกิน เธอเบื่อ ยิ่งนานวันมันก็ยิ่งเบื่อ ตอนที่เข้า มหา'ลัยแรกๆ อัยย์ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้กินข้าว มันมีร้านอาหารมากมายหลายอย่างให้ เลือกสรร แน่นอนว่าตอนนั้นตลาดน้อยไม่ได้อยู่ในลิสต์ เธอคิดว่าตลาดน้อยมันเป็นที่ของ พวกหน่อมแน้ม ที่ไม่กล้าออกไปเผชิญโลกกว้าง แต่พอลองได้มาสัมผัสบ่อยครั้งขึ้นมันก็ ท่าให้อัยย์ได้รู้ว่าไม่ใช่เลย ที่นี่มันที่รวมตัวพวกที่แก่และขี้เกียจทั้งนั้น แต่ในขนะเดียวกัน มันเหมือนเป็นแหล่งรวมสมบัติคณะต่างๆ มากกว่า และก็มาฉุกคิดตอนนั้นว่าท่าไมเพิ่ง จะมารู้เอาตอนปีสาม! ในตอนที่ก่าลังมองหาว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเที่ยงดี ตาไม่รักดีมันก็หลุดโฟกัสจาก ร้านข้าวไปเป็นคนสะอย่างนั้น หน้าร้านข้าวขาหมูนั่นมันใช่คนจริงๆหรอ ขาวจังเลย พ่อคุณ หัวใจอัยย์มันเต้นรุนแรงยิ่งกว่าตอนเจอข้อสอบวิชา ความคิดสร้างสรรค์สะอีก ตรงนั้นด้วย ร้านป้าแว่น นั่นมันแสงอะไรกันแจดจรัสสุดๆ อกอีแป้นจะแตก ขณะที่อัยย์ก่าลังเพลิดเพลินกับผู้ชายในดงฝุ่นอยู่นั้น มันก็มีสิ่งหนึ่งหยุดสายตา อัยย์ได้ สิ่งที่สามารถกระชากหญิงสาวให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง "อา.. ÷ ตาม สั่ง สุดยอด ล้่ามากแม่ ตามสั่งกะกูไหม ร้านนั้นมันต้องแซ่บแน่ๆ เพราะชื่อร้านแซ่บมาก" หลังจากอ่านชื่อร้านอยู่สามรอบอัยย์ก็หันไปสะกิดเพื่อนสาวอีกคนที่เพื่อนชอบ แรกชื่อเธอสลับกับมัน เนื่องด้วยรูปร่างที่เกือบจะเท่าๆ กัน และตัวติดกันเป็นกาวตรา ช้าง แล้วยังเป็นรูมเมทกันอีก เอาให้มันเรียกไม่ถูกไปยันลูกบวชไปเลย แต่ขอเถียงว่ามัน


ไม่ได้เหมือนขนาดนั้น แต่เพื่อนต้องตั้งสติก่อนเรียก "เออ ขี้เกียจคิดละ" ก่อนจะจูงมือกันไปกินกระเพราที่เรารัก ทั้ง 9 ได้ข้าวมากันคนละจาน ถุงหิ้วพลาสติดอีกคนละถุงสองถุง และชาไทยสีส้ม แป๊ดคนละแก้วบนโต๊ะ เสียงช้อนแสตนเลสกระทบจานพลาสติกดังคลอไปกับบทสนทนา ที่เหมือนจะเข้มข้นขึ้นเมื่อก่าลังนินทาใครสักคน มันเป็นสัจธรรมของชีวิต เป็นสีสัน เรา ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าการนินทามันไม่ดี แต่มันเป็นเรื่องที่ห้ามกันยาก จริงๆ ห้ามไม่ได้เลย คล้ายๆ กับ เราด่ารงชีวิตอยู่ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งก็ต้องตายนั่นแหละ และ topic ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และคงจบลงที่โลกเบาหวานอีกดังเช่นทุกวันที่เรา ได้กินข้าวด้วยกัน


Better Than ดีกว่าเห็นๆ

เสียงสะบัดผ้าสีขาวผืนบางมาพร้อมละอองน้่าที่กระจายไปทั่วสนามหญ้าสีเขียน ก่อนเจ้าของมือขาวจะจับมันไปพาดกับเส้นรวดสีเงินที่กลมกลืนไปกับท้องฟ้าย่ามสายใน ฤดูร้อน ชายหนุ่มในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขาสั้นสีขาวก้มๆ เงยๆ หยิบผ้าจากตะกร้าสาน ที่ตั้งบนพื้นหญ้าท่ามกลางแสงแดดในช่วงสิบโมงเช้าขึ้นมาตาก ผิวขาวที่ต้องแดดสีส้มยิ่ง ท่าให้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูสว่างไสวมากขึ้น ผมสีน้่าตาลเข้มดูอ่อนลงเพราะต้องแสงแดด ลมร้อนพัดผ่านจนผ้าปูที่นอนผืนใหญ่ที่เพิ่งเอาขึ้นราวไปพลิ้วไหวกลายเป็นภาพที่ท่าให้ หัวใจอบอุ่นอย่างหน้าประหลาด ถัดจากชายหนุ่มผิวขาวไปด้านหลัง เป็นประตูกระจกใสที่ถูกเปิดออกกว้างรับ แสงแดดยามเช้า ภายในห้องนั่งเล่นที่มีเพียงโซฟาสีเบจจัดวางล้อมรอบโต๊ะไม้ฝั่งหนึ่งและ ทีวีเครื่องใหญ่เท่านั้น ผนังห้องนั่งเล่นสีขาวประกอบไปด้วยรูปครอบครัว และรูปเด็ก น้อยหน้าตาจิ้มลิ้มหลายอิริยาบถ กอดกันบ้าง ร้องไห้แข่งกันบ้างติดอยู่อย่างเป็นระเบียบ หญิงวัยกลางคนที่มีผมสีเดียวกับลูกชายที่ตากผ้าอยู่นอกบ้านก่าลังเก็บของในห้องนั่งเล่น


อย่างขยันขันแข็ง เสียงเพลงสากลท่านองรื่นหูดังคลอไปกับกิจกรรมเก็บกวาดบ้านใน วันหยุด ชายหนุ่มส่วนสูง175 เซนติเมตรเดินเข้ามาในบ้านพร้อมตะกร้าสานสีครีมที่ว่าง เปล่าบ่งบอกว่าเขาท่างานในส่วนของตนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว และตั้งใจว่าจะขึ้นไปเก็บ ห้องนอนหลังจากนี้เพราะมันเริ่มรกมากขึ้นทุกที "โทกะ ของในห้องที่ไม่ใช้แล้วใส่ในกล่องนี้นะ ส่วนขยะก็ใส่ในถังนั่นแหละ เสร็จ แล้วอย่าลืมเอาขยะไปทิ้งให้แม่ด้วยนะครับ" เสียงผู้เป็นแม่อธิบายพร้อมกับยื่นกล่อง กระดาษใบใหญ่ให้ลูกชาย ชายหนุ่มตัวขาวตอบรับผู้เป็นแม่เสียงเนือยก่อนจะเดินขึ้นบ้าน ไป "อย่าลืมปลุกโทยะด้วย ช่วยกันเก็บจะได้เสร็จเร็วขึ้นแล้วลงมากินข้าวเที่ยงพร้อม กันนะ" เสียงผู้เป็นแม่ร้องบอกไล่หลังลูกชาย แน่นอนว่าเขาต้องปลุกไอ้น้องชายขี้เซา ขึ้นมาเก็บห้องช่วยกันอยู่แล้ว เพราะมันใช่เขาคนเดียวหรือไงที่ท่ารกในเมื่อก็อยู่ห้อง ด้วยกันทั้งสองคนน่ะ โทกะเปิดประตูห้องนอนสีขาวไม่เบานักด้วยอารมณ์ขุนมัวในใจที่ น้องชายปล่อยให้เขาซักชุดเครื่องนอนและตากผ้านวมผืนหนาคนเดียว เพราะเจ้าตัวไม่ ยอมตื่น และถ้าครั้งนี้ไม่ยอมตื่นโทกะก็จะไม่ยอมเก็บห้องเหมือนกัน ความเย็นจากแอร์ คอนดิชั่นเนอร์ก็ไม่สามารถบรรเทาอาการหัวร้อนของคนพี่ได้ โทกะเดินตรงไปยังเตียง นอนสองชั้นหลังใหญ่ทันที่ และกระซากผ้าห่มออกจากตัวเจ้าคนขี้เซาจนหลุดติดมือมา ชายหนุ่มนามโทยะไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใดซ้่ายังถูกไถใบหน้ากับหมอนนุ่มสอดมือ กอดมันไว้แน่นราวกับไม่อยากจากกันไปไหนไกล "โทยะ ลุกมาเก็บห้องช่วยกันหน่อยได้ไหม จริงๆ รอบนี้มันเวรนายด้วยซ้่า ท่าไม รับปากแล้วไม่ท่าตามค่าพูด แล้วจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ ในใจจะไม่ลุกมาช่วยกันเลยหรือ ไง" ผู้เป็นพี่ชายยืนเท้าเอวจ้องแผ่นหลังกว้างในชุดนอนสีน้่าเงินเข้มที่ยังไม่ยอมขยับตัว ออกจากหมอนใบใหญ่ โทยะที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบจึงยอมขยับใบหน้าหันไปมองพี่ชายที่


ท่าตัวเหมือนแม่เข้าไปทุกที่ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนผมที่ปรกหน้าอยู่ ปลิวไหว และลุกขึ้นมามองหน้าที่เหมือนกับเขาแทบแยกไม่ออก คิ้วเข้มของพี่ชายขมวด เป็นปม จมูกโด่งรั้น นัยน์ตาสีน้่าตาลดูจะเข้มขึ้นมากกว่าทุกวัน สายตาที่มองมาโทยะคิด ว่าตัวเขาคงพรุนไปหมดแล้ว ริมฝีปางแดงสุขภาพดีคว่​่าลงบ่งบอกว่าตอนนี้เจ้าตัวรู้สึกไม่ พอใจเป็นอย่างมาก โทยะจึงได้ฤกษ์ลงจากเตียงนุ่มเพื่อมายืนประชันหน้าพี่ชายฝาแฝดที่ หน้าเหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว ผิดก็แต่ส่วนสูงของอีกฝ่ายที่ไม่ยอมขยับมาสองปีแล้ว โท ยะที่เป็นนักกีฬาประจ่าโรงเรียนจึงสูงเอาๆ จนเลยพี่ชายฝาแฝดไปมากโข พอปลุกคนขี้เซาบวกขี้เกียจให้ลุกได้โทกะก็เดินไปจัดโต๊ะหนังสือของตนพร้อมกับ ไล่น้องชายไปล้างหน้าแปลงฟันแล้วมาเก็บห้องซะ โทยะไม่ได้ตอบรับแต่เลือกเดินหนี พี่ชายขี้บ่นไปเข้าห้องน้่าล้างหน้าแปลงฟันตามที่อีกฝ่ายบอก แถมอาบน้่าให้ด้วยเลยเอ้า โทยะออกมาจากห้องน้่าทั้งที่ยังเปียกไปทั้งตัว น้่าหยดเป็นทางมาจนถึงตู้เสื้อผ้าที่ อยู่ปลายเตียง โทกะที่ก่าลังกวาดพื้นห้องอยู่ถึงกับต้องพ้นลมหายใจแรงจนคนที่เลือก เสื้อผ้าอยู่นึกเป็นห่วงว่าปอดอีกฝ่ายจะหลุดออกมาด้วยแล้ว "แล้วท่าไมไม่ยอมเช็ดตัวให้ แห้งตั้งแต่อยู่ในห้องน้่า เดินออกมาทั้งอย่างนั้นเดี๋ยวก็ได้ลื่นหัวแตกกันพอดี แล้วไม่รู้หรือ ไงว่าเก็บห้องอยู่ แล้วแบบนี้จะกวาดยังไง พื้นเปียกขนาดนี้" "โทษทีลืมนึกไป" โทยะกลัวเหลือเกินว่าอายุขัยของพี่ชายฝาแฝดมันจะสั้นกว่าตนเล่น ถอนหายใจทุกๆ หนึ่งนาทีขนาดนี้ "โตแล้วนะ ท่าไมไม่รู้จักคิดให้รอบคอบบ้าง แล้วไอ้ นิสัยที่พันผ้าเช็ดตัวเสร็จก็เดินออกมาเลยอะเลิกได้แล้ว ชอบนักหรือไงพื้นห้อง เปียกๆ น่ะ" คราวนี้เสียงถอนหายใจหนักๆ มาจากคนที่อยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะหันมา เผชิญหน้ากับคนขี้บ่น และจ้องตากันอย่างไม่ยอมแพ้ "พี่จะอะไรอีก ก็ขอโทษแล้วไง บ่น เป็นคนแก่ไปได้" "ก็เพราะมีน้องชายไม่ยอมโตสักทีแบบนี้ไงเลยต้องคอยบอกคอยสอนอยู่แบบนี้" เสียง ตอบกลับไม่ลดละท่าให้โทยะต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ เพราะถ้ายังตอบกลับไปศึกน้่าลายนี้คง ไม่มีวันจบสิ้นหรอก คนน้องที่เลือกใส่เสื้อสียืดแขนสั้นสีแดงเข้มเดินไปจัดชั้นหนังสือของ


ตนเงียบๆ โทยะนั่งเก็บหนังสือที่วางเกลื่อนเต็มพื้นห้องเข้าชั้นได้ไม่นานก็เริ่มเปิดอ่านมัน อย่างสนใจ เวลาล่วงเลยมาเกือบจะได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วเจ้าของชั้นหนังสือที่ยังรก เหมือนเดิมก็ยังคงอ่านการ์ตูนไม่วางสักที จนพี่ชายต้องหันไปเตือนให้รีบเก็บให้ไวจะได้ เอาขยะไปทิ้งแล้วกลับมากินข้าวเที่ยงพร้อมกัน แต่เสียงของน้องชายที่ตอบกลับมา หน้าตาเฉยว่าก่าลังเลือกของที่จะทิ้ง อยู่ท่าให้โทกะหมดความอดทนกระซากหนังสือจาก มือน้องชายอย่างแรงจนมันขาดออกเป็นสองส่วน โทยะหันมองแฝดพี่ด้วยความตกใจ ก่อนดวงตาจะแข็งกร้าวขึ้นและตามมาด้วยเสียงทะเลาะกันของคู่แฝดที่ดังลงไปถึงชั้นล่าง จนผู้เป็นแม่ต้องขึ้นมาห้ามไม่ให้เรื่องมันเลยเถิดไปไกล หญิงวัยกลางคนถอนใจเหนื่อยหน่ายเป็นพี่น้องที่อาศัยในท้องเดียวกันมาเก้าเดือน แท้ๆ ยังหาเรื่องทะเลาะกันได้ไม่เว้นแต่ละวัน บทจะเข้ากันได้ดีก็ดีใจหาย บทจะทะเลาะ ก็ไม่มีใครยอมลงให้ใครเลยสักครั้ง สุดท้ายคนที่ต้องเก็บชั้นหนังสือข้างๆ กันก็เป็นพี่ชายที่ เผลอไปท่าหนังสือการ์ตูนของน้องชายขาด และหน้าที่ทิ้งขยะจึงตกไปเป็นของโทยะผู้ที่ ยังโกธรพี่ชายอยู่ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเที่ยงในฤดูร้อนจึงอึมครึมราวกับฝนเพิ่งตก ไปอย่างไรอย่างนั้น "ผมไปข้างนะครับ" แฝดคนน้องบอกแม่ที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นและเดินผ่านไป อย่างไม่ได้ใส่ใจจะบอกอีกฝ่ายนัก โดยปกติแล้วโทยะจะไปไหนกับพี่ชายตลอด แต่วันนี้ เขาไม่ได้ชวนอีกคนเพราะยังท่าใจคุยกับโทกะไม่ได้ พี่ชายท่าหนังสือเขาขาดแต่กลับไม่ เอ่ยค่าขอโทษสักค่า แถมยังบอกว่าเป็นความผิดของโทยะอีกที่เอาแต่อ่านมันไม่สนใจจะ เก็บห้องช่วยกันเลย นั่นมันจึงท่าให้โทยะทั้งโกธรทั้งน้อยใจพี่ชาย เลยได้ไม่ชวนอีกฝ่าย ออกมาด้วยในวันนี้ แดดหน้าร้อนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น โทยะนั่งบนชิงช้าแกว่งไกวมันเบาๆ ในมือมี ไอศกรีมรสมะนาวสีเขียว รสโปรดของพวกเขาสองคน ปกติจะซื้อสองแท่งตลอดแต่ครั้งนี้ โทยะซื้อมาแท่งเดียวเพราะไม่จ่าเป็นต้องซื้อมาเผื่อใคร วันนี้เขามาคนเดียว ดวงตาสี


น้่าตาลอ่อนมองบรรยากาศเงียบเหงาของสนามเด็กเล่นใกล้บ้านที่โทยะชอบวิ่งมาเล่นกับ พี่ชายฝาแฝดบ่อยๆ โทยะเคยหกล้มจนเข่าแตกที่นี่ครั้งหนึ่งเขาจ่าได้ว่ามันเจ็บจนยืดขา ไม่ได้และสุดท้ายโทกะต้องให้เขาขี่หลังกลับบ้าน พ่อดุพี่ชายเขาเสียยกใหญ่ว่ามัวแต่เล่น ซนกันจนเจ็บตัว จนสุดท้ายต้องกอดกันร้องไห้อยู่สองคน เพราะเห็นพี่ชายร้องไห้แผลที่ เข่าที่คิดว่าหายเจ็บแล้วมันกลับยิ่งเจ็บมากขึ้นกว่าเดิมเขาจึงร้องไห้กอดพี่ชายไว้แน่น กระดานหกที่พวกเล่นประจ่าและชอบมันเอามากๆ ยังอยู่ดี สีอาจจะต่างเดิมนิด หน่อยเนื่องจากผ่านกาลเวลามายาวนาน เพราะมีกนั สองคน อยากจะเล่นเมื่อไหร่ก็เล่น ได้เพราะพี่ชายไม่เคยขัดใจ มันจึงไม่เป็นปัญหาส่าหรับพวกเขาเลยหากเจอเครื่องเล่นที่ ต้องใช้ผู้เล่นสองคน โทยะส่ายหัวไล่ความคิดเกี่ยวกับแฝดอีกคนออกจากหัว แต่มันก็หลุด ไปไหนได้ไม่ไกลหรอก โทยะหนีความจริงที่ว่าพวกเขามีสองคนไม่ได้ โทยะเคยนึกกับ ตัวเองเล่นๆ ว่าถ้ามีเราแค่คนใดคนหนึ่งจะเป็นยังไง แต่แค่คิดโทยะก็รู้สึกวูบโหวงในใจขึ้น จนต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกด้านซ้ายในต่าแหน่งหัวใจแน่น นึกไม่ออก โทยะนึกไม่ออก เลยว่าถ้าที่ผ่านมาไม่มีแฝดอีกคน ชีวิตเขาจะเป็นยังไง จะสามารถเล่นการะดานหกให้ สนุกอย่างเมื่อตอนเด็กได้ไหม จะมีใครแบกเขากลับบ้านตอนบาดเจ็บหรือเปล่า โทยะนึก ภาพไม่ออกจริงๆ ฟ้าด้านนอกมืดจนมองไม่เห็นสนามหญ้าหน้าบ้านแล้ว แต่แฝดน้องยังไม่ยอมกลับ บ้านสักที นาฬิกาบนผนังบอกเวลาหนึ่งทุ่มยี่สิบสี่นาที เมื่อสิบนาทีก่อนอาคาสะโทรมา บอกว่าน้องชายของเขาอยู่ที่บ้านตนและครั้งนี้โทกะยืนยันเสียงหนักแน่นว่ามันจะไม่เป็น เหมือนทุกครั้งที่เขาต้องเป็นฝ่ายง้ออีกคน แต่จนแล้งจนรอดโทกะก็ปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้ สักที ก็แค่นอนคนเดียวสักคืนคงไม่เป็นไรหรอก แต่ฟ้าด้านนอกและบรรยากาศเย็นชื้น เหมือนฝนจะตกแบบนี้มันยิ่งท่าให้ชายหนุ่มนั่งแทบไม่ติด แฝดพี่ตัดสินใจขึ้นไปบนห้อง เพื่อจัดการปูที่นอนของตน และอาจจะต้องปูให้น้องชายด้วยเพราะเจ้าตัวคงไม่กลับบ้าน จริงๆ แล้วในคืนนี้ ในคณะที่ก่าลังเก็บมุมผ้าปูที่นอนของเตียงชั้นล่างอยู่มือเล็กก็คว้าได้ กระดาษยับๆ แผ่นหนึ่งขึ้นมา โทกะคลี่กระดาษแผ่นนั้นดูก่อนจบพบกับเส้นยึกยือขีด


เขียนคล้ายๆ แผนที่ที่เด็กเขียนขึ้น ขอบกระดาษฝั่งหนึ่งเป็นรูปบ้านเบี้ยวๆ หลังหนึ่ง เส้น สีเขียวยึกยือไปสิ้นสุดที่ต้นไม้ล่าต้นใหญ่และมีใบเพียงเล็กน้องเท่านั้น โทกะจ่าไม่ได้ว่า ลายมือใคร แต่มันอยู่ในห้องของพวกเขาสองคนไม่ของคนใดก็คนหนึ่ง โทกะที่ทนความสงสัยไม่ไหวจึงลองเดินออกไปตั้งหลักที่หน้าบ้าน ก่อนจะเจอกับ ต้นไม้ตรงข้ามบ้าน และเศษเสี้ยวความทรงจ่าเล็กๆ ของพวกเขาทั้งสองคน ขายาวก้าว เดินไปตามทางพร้อมกับภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ซ้อนทับกับปัจจุบัน "เดี๋ยวเราจะเอามันไปซ่อนไว้ตรงนั้น และหลังจากนั้นก็จะไม่มีใครรู้แล้ว" โทกะใน วัยห้าขวบจูงมือน้องชายที่ก้มหน้าจนคางชิดออก มืออีกข้างที่ไม่ได้กุมมือเขากาชายเชื่อ แขนยาวสีเบจแน่น ริมฝีบางเล็กเม้มเข้าหากันจนซีดเซียวทาให้โทกะต้องเอ่ยปลอบน้อ ง ไปจนถึงพื้นที่โล่งใต้ต้นไม้ฝั่งตรงข้ามบ้านของทั้งสอง ในตอนนั้นโทกะคิดว่ามันไกลจาก บ้านของพวกเขามากแล้ว มือเล็กที่ถือช้อนปลูกพลาสติกสีเขียวเริ่มขุดดินจนเป็นหลุม พอดีกับกล่องเหล็กสีแดงที่น้องชายกอดไว้แน่น "เอาล่ะทีนี้เอามันใส่ลงไปเลย หลังจากนี้จะไม่มีใครหามันเจอ โอเคไหม" "โทกะ จะไม่บอกคุณพ่อใช่ไหม" เสียงสั่นๆ พร้อมกับน้าตาคลอหน่วยที่พร้อมร่วง หล่นตลอดของน้องชายฝากแฝดที่หน้าตาเหมือนเขาแทบแยกไม่ออก รวมกับส่วนสูงที่ เท่ากันแล้วพวกเขาราวกับคนๆ เดียวกันด้วยซ้า "อื้อ เพราะว่ามันเป็นแผนของเราสองคน เลยถือว่าเป็นความผิดของโทกะด้วย ดังนั้นโทกะก็จะไม่บอกพ่อหรอก ไม่ต้องกลัวนะ" รอยยิ้มของพี่ชายทาให้โทยะในวัยห้า ขวบมั่นใจมากขึ้นจึงยอมเอากล่องเหล็กสีแดงในอ้อมกอดลงไปไว้ในหลุมที่พี่ชายขุด เตรียมไว้ และช่วยกันเอาดินมากลบจนเรียบร้อย และจูงมือกันเดินกลับบ้านอาบน้าเข้า นอนกันตามปกติ จะผิดก็แต่โทยะที่ไม่ยอมนอนหากพี่ชายไม่กอดตนไว้ สุดท้ายคู่แฝดก็ นอนกอดกันกลมใต้ผ้าห่มผืนหน้า และหวังว่าจะตื่นมาพร้อมกับความสดใส และลืมเรื่อง ในวันนี้ไปจนหมดสิ้นในวันพรุ่งนี้


โทกะเดินตามแผนที่และหยุดลงใต้ต้นไม้ต้นเดิมในความทรงจ่า ก่อนจะสุ่มขุดสักที่ แถวนั้นไม่นานชายหนุ่มวัย 17 ปีก็พบกับกล่องเหล็กสีแดงที่เริ่มกลายเป็นสีชมพูเพราะ ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน มือเรียวเปิดผากล่องที่เริ่มฝืดออก ของข้างในกล่องยังอยู่ ดี มันคือชามเซรามิกสีเขียวขี้ม้าที่แตกเป็นเสี่ยงๆ วางเรียงกันครบทุกชิ้น พร้อมกับความ ทรงจ่าที่ขาดหายไป โทยะในวัยห้าขอบเล่นซนจนได้เรื่อง ชายเสื้อแขนยาวของเจ้าตัว เกี่ยวชามสีเขียวที่วางอย่างหมิ่นเหม่ที่เค้าเตอร์ครัว พี่ชายที่ยืนบนบันไดเพื่อล้างจานบน เค้าเตอร์ที่สูงกว่าไม่ทันระวังจนมันหล่นลงพื้นแตก และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ไปเป็นไป แบบนั้น แบบที่เขาช่วยน้องชายหนีจากความผิดในวัยเด็ก เสียงออดหน้าบ้านดังเรียกให้อาคาสะที่ก่าลังต่อว่าไอ้คนที่หนีออกจากบ้านมาให้ รู้ตัวสักทีว่าคนที่ผิดในครั้งนี้คือโทยะเองนั่นแหละแล้วยังงอนพี่ชายจนไม่ยอมกลับบ้าน ต้องละความสนใจจากใบหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมัน เดินไปเปิดประตูบ้านให้กับคนที่มา กดออดหน้าบ้านในตอนสองทุ่มครึ่ง และใบหน้าเดียวกับไอ้คนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นนั้นก็ ท่าให้อาคาสะต้องเปิดประตูบ้านกว้างขึ้น ต่างจากที่บอกตรงไหนว่าสุดท้ายต่อให้ ความผิดนั้นโทยะเป็นคนก่อคนที่ต้องตามง้อก็ต้องเป็นโทกะอยู่ดี โทกะมองหน้าเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกันก่อนจะบอกว่ามารับโทยะกลับบ้าน น้องชายฝาแฝดที่ท่าหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตอนแรก พอได้ยินดังนั้นก็ลุกไปหยิบเสื้อแขน ยาวและเดินออกมาใส่รองเท้าเตรียมตัวกลับบ้านทันที โทกะเอ่ยขอโทษเพื่อนที่ต้อง ล่าบากและบอกลาในที่สุดเพราะดึกมากแล้ว เสียงไฟข้างทางสาดส่องผ่านเงาสองเงาให้สะท้อนบนถนนสายเดิมที่สองแฝดใช้ สัญจรเป็นประจ่า ระหว่างทั้งสองมีเพียงความเงียบงันแต่ไม่อึดอัดอย่างที่คิด โทยะมอง แผ่นหลังแคบที่ดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อพบว่าเสื้อแขนยาวสีเบอร์กันดี้ตัวที่โทกะใส่อยู่นั้น คือของเขา น้องชายไม่ได้รู้สึกโกธรเพราะรู้มาตลอด ว่าเวลาที่โทกะไม่สบายใจมักจะหยิบ เสื้อของเขามาใส่อยู่เสมอ และในขณะที่พี่ชายยังท่าทุกอย่างเหมือน ให้อภัยเขา


เหมือนเดิม และเป็นคนที่คอยเป็นห่วงเขาเหมือนเดิม ท่าให้โทยะรู้สึกร้อนรนขึ้นมาเสีย ดื้อๆ เพราะดูเหมือนมีแต่เขาที่เอาแต้วิ่งหนีเวลาทะเลาะกับอีกคน กลายเป็นน้องชาย ไม่ได้เรื่องอย่างที่อีกคนบอกโดยสมบูรณ์แบบ "เรื่องเมื่อตอนกลางวัน ขอโทษนะ" ไม่ทันที่โทยะจะได้พูดอะไรคนที่เดินน่าอยู่ ก่อนก็ชิงพูดค่าที่โทยะเรียกหามันมาทั้งวันเสียก่อน ในตอนที่ทั้งสองเดินผ่านสนามเด็ก เล่นที่ประจ่า และอีกไม่นานคงถึงร้านไอศครีมของซาจิ โทยะก็ก้าวเดินให้เร็วขึ้นเพื่อคว้า อีกคนเข้ามากอดจากด้านหลังซบหน้าผากไว้ที่ไหล่แคบแต่ดูมั่นคงและพึ่งพาได้เสมอของ พี่ชาย "อือ ขอโทษเหมือนกันที่ปล่อยให้โทกะท่าความสะอาดห้องอยู่คนเดียว" กลิ่นสบู่ จากตัวพี่ชายท่าให้โทยะต้องซุกหน้าเข้าใกล้หลังคออีกคนมากขึ้น และสูดกลิ่นหอมสดชื่น เข้าเต็มปอด ก่อนจะปล่อยพี่ชายให้เป็นสระและเดินกลับบ้านบนเส้นทางที่คุ้นเคย และ พี่ชายที่จับมือเขาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าโทยะจะไม่หายไปไหนระหว่างทางเดินกลับบ้าน เหมือนตอนเด็กๆ ระหว่างนั้นโทกะได้เล่าถึงแผนที่ที่เจ้าตัวเจอตอนเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ที่มันน่าทาง เขาให้ไปพบกับเศษจานที่น้องชายเคยท่าแตกไว้ และตกลงกันว่ากลับไปทั้งสองคน จะต้องไปขอโทษคุณพ่อที่ท่าจานแตก และปิดบังมันไว้ตลอดมา โทยะที่ได้ยินอย่างนั้นก็ หวนนึกถึงตอนเด็กที่พี่ชายพยายามปกป้องตนด้วยวิธีของเจ้าตัว และท่าให้ต้องกระชับ มือที่จับแน่นขึ้นอีก และในคืนนั้นบ้านโทมิโอกะก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้เป็นพ่อ และทั้งสองก็ ได้รู้ความจริงในวันนั้นว่าพ่อของพวกเขาเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าจานใบนี้มันหายไปจาก ห้องครัว ถึงเด็กจะบอกว่าเป็นจานใบโปรดของเจ้าตัวเองก็เถอะ อาจจะเพราะเห็นผู้เป็น พ่อใช้มันบ่อย แต่นั่นก็เพราะจานใบนั้นมันอยู่ใกล้มือและหยิบง่ายกว่าใบอื่นที่ไม่ค่อยได้ ถูกใช้มากนัก มันจึงถูกน่ามาใช้อยู่บ่อยๆ และความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ส่าหรับแฝดทั้ง


สองในวัยเด็ก พวกเขาก็ได้รู้วันนี้ว่าการให้อภัยมันไม่ได้ยากเลยสักนิด เพียงแค่เราส่านึก ผิดและเอ่ยค่าขอโทษจากใจจริงให้แก่คนที่เรากระท่าผิดเพียงต่อเขาเพียงเท่านั้นเอง ในคืนเดียวกันนั้นเองไฟในห้องนอนชั้นสองที่มองเห็นจากสนามหญ้าหน้าบ้านก็ ปิดลง พร้อมกับฝนหลงฤดูที่กระหน่าตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว แฝดน้องที่ต่อให้นานแค่ไหนก็ ไม่ชินกับการนอนแยกเตียงกับพี่ชายได้สักที ปีนลงมาจากเตียงชั้นสองลงมาเบียดอีกฝ่าย และซุกหน้าเข้ากับแผ่นหลังแคบที่คุ้นเคยและหลับไปในที่สุด ภาพนั้นไม่ต่างจากวันนั้นใน ฤดูหนาวที่พวกเขาได้เอาเศษจานเซรามิไปซ่อนเลยแม้แต่น้อย โทยะได้รับค่าตอบในใจ อีกครั้งว่าพวกเขาต้องมีสองคนเท่านั้นถึงจะสามารถผ่านเรื่องราวในแต่ละวันไปได้ด้วยดี


ในวันที่ปล่อยให้ความอยากตัดสินทุกอย่าง

“ก๋วยเตี๋ยว” อาหารที่กินได้ทุกมื้อไม่มีเบื่อ แต่ไม่ใช่ส่าหรับหญิงสาวร่างท้วมคนนี้แน่นอน ดวงตาสองชั้นหลบในจ้องมองเมนูอาหารที่ปรากฎเพียงแค่ก๋วยเตี๋ยวสารพัดเส้นให้เธอ เลือกสัน คิ้วทั้งสองข้างที่เขียนไม่เท่ากันชนกันแน่น เธอไม่มีทางเลือกที่นี่มีแค่ร้าน ก๋วยเตี๋ยว และตอนนี้เธอหิวแทบจะกินช้าเข้าไปได้ทั้งตัว หิวจนตาลายหากเดินมากกว่านี้ เกรงว่าเธอคงล้มพับลงไปกับพื้นราวกับเทียนที่โดนไฟร้อนๆอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจะไม่ เสี่ยง เธอต้องกินมัน หลังจากตัดสินใจอยู่นานว่าจะกินเส้นอะไรเธอก็ได้ค่าตอบ มืออวบหยิบปากกาจากแก้ว พลาสติกที่อยู่มุมโต๊ะมาจรดลงที่สมุดฉีกแล้วเริ่มเขียนตัวหนังสือยึกยือลงไปในกระดาษสี ขาวที่ไม่ได้สะอาดนักคาดว่าน่าจะผ่านมาหลายมือพอสมควร เขียนไม่นานเธอก็เดินไปส่ง เมนูให้เจ๊เจ้าของร้าน และตอนนั้นเองตอนที่ส่งมอบใบเมนูปรากฎตัวให้เห็นเมนูที่เธอสั่ง ‘หมี่ขาวรวม’ เจ๊เจ้าของร้านรับไปและเริ่มลวกเส้นอย่างส่านาญ


กลิ่นหอมๆของน้่าซุบท่าให้ท้องเธอร้องค่ารามราวกับเสียงราชสีห์หาคู่ หิวเราควรไป เปลี่ยนเป็นพิเศษหรือเปล่าหว่า เธอคิดในใจ ดวงตาจรดจ้องเพียงแค่ชามก๋วยเตี๋ยวของ ตนที่ยังไม่เสร็จดี ขาเริ่มไม่อยู่นิ่ง ในมือก่าตะเกียบแน่น ไม่นานเจ๊เจ้าของร้านก็เดินมา เสิร์ฟ ทันทีที่ถ้วยวางลงตรงหน้าเธอก็แทบตะลึง สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ เธอจะอิ่มไหม และเริ่มคิดว่าสั่งเพิ่มไหม แต่เหมือนปากไวกว่าความคิด “เล็กรวมอีกชามเจ๊” แล้วก้มลง จ้วงหมี่รวมในถ้วยต่ออย่างตะกละตะกลาม โครงไก่ครึ่งโครงที่ถูกแทะจนเหลือเพียงแค่กระดูกสีน้่าตาลอ่อนๆ เพราะถูกตุ๋นมาเป็น เวลานานกองอยู่ในจารข้างกับชามก๋วยเตี๋ยว เส้นยังเหลือเกินครึ่ง สวนทางกับพื้นที่ว่าง ในกระเพาะที่หิวโหยเมื่อครู่นี้อยู่มากโข อิ่ม และในตอนนั้นเองเล็กรวมก็ได้มาวาง ตรงหน้าเธอพอดิบพอดี และในตอนนั้นเองเธอเพิ่งจะตระนักได้ว่าเมื่อกี้เธอหิวมาก และ รู้สึกว่าแค่ชามเดียวมันไม่พอยาไส้เธอแน่ๆจึงตัดสินใจสั่งเพิ่มไปแบบที่ไม่ทันคิด มาตอนนี้ เพิ่งจะรู้ตัวว่าได้กระท่าการอุกอาจอย่างการประเมินตนเองสูงไป คนเราต่อให้หิวแค่ไหน มันก็กินก๋วยเตี๋ยวที่ได้เยอะกว่าร้านอื่น ถึงสองชามแบบนี้ไม่ได้ และในตอนนั้นค่าพูดของแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัว ‘เป็นไงล่ะตาใหญ่กว่าปาก’ ความหิวมันบด บังทุกอย่าง ท่าให้ขาดสติในการไตร่ตรอง ใช้ความต้องการส่วนลึกเป็นที่ตั้ง คิด ตัดสินใจ โดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองจากสมอง ผลเลยออกมาแบบนี้ เธอมักเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ชอบเผื่อ เผื่อเหลือ เผื่อขาด สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่ได้แย่เสมอไปถ้าเราใช้ให้ถูกเรื่อง แต่กับ เรื่องกินแบบนี้เราควรรู้ตัวเองว่ากินได้แค่ไหน ต่อให้หิวจนจะเป็นลมก็ใช่ว่าจะมันได้หมด ทุกอย่าง อย่าสักแต่ว่าตอนนี้หิว เอามาเยอะๆไว้ก่อน มีหลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่เราเคยพบเห็นผ่านหูผ่านตามาบ้าง คนที่โมโหหิวจนเกิด เรื่องใหญ่โต และเรื่องแบบนี้ก็มีสอนกันมาแต่ช้านานแล้ว อย่างนิทานพื้นบ้านเรื่อง ‘กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่’ ที่ความหิวมันบังตาเห็นแม่ถือกระติบข้าวกล่องเล็กมาก็โกธรเป็น ฟื้นเป็นไฟ และต่อว่าแม่ว่าแค่นี้มันจะไปพออะไร และยังไม่ทันได้กินข้าวกระติบนั้นด้วย


ซ้่าเขาก็ตัดสินมันไปแล้วว่าไม่พอ และลงมือฆ่าแม่ของตนทันทีทันใดด้วยความโกธร แล้ว ค่อยมานั่งกินข้าวทั้งมือเปื้อนเลือด และไม่ทันที่ข้าวจะหมดด้วยซ้่า ความหิวโหยเหมือน จะขาดใจก่อนหน้านี้ก็ได้หายไป เพิ่งจะมาคิดได้ก็ตอนที่เห็นข้าวในกระติบมันเหลือเกือบ ครึ่ง แต่มันคงไม่ทันเสียแล้วเมื่อแม่ก็นอนสิ้นใจอยู่ข้างๆเขานี่เอง เช่นเดียวกับหญิงสาวร่างท้วมคนนี้ที่ได้แต่นั่งมองเตี๋ยวเล็กรวมขึ้นอืดแทบล้นชามตา ละห้อย เธอท่าได้เพียงแค่เดินไปจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวสองชามนั้นทั้งๆ ที่กินไปได้แค่ชาม เดียว ท่าอะไรไม่คิด เอากิเลสเป็นที่ตั้ง เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่มันตามมา อย่างวันนี้เธอ เสียงเงินไปทั้งสิ้นหกสิบบาทในหนึ่งมื้อ และกินไปได้เท่านี้คาดว่าไม่เกินสี่ชั่วโมงเธอก็คง จะหิวอีกนั่นแหละ ครั้งต่อไปเธอต้องคิดให้ดีกว่านี้ เรื่องนี้ท่าให้เธอตระหนักได้อีกเรื่อง พอเสียเงินเยอะหัวมันก็ฟุ้งซ่าน เริ่มคิดไปไกลถึงเรื่อง งาน มันท่าให้เธอรู้ว่า งานบางงานเราก็ตัดสินไปมันแล้วว่าเราท่ามันไม่ได้แน่นอน ทั้งที่ยัง ไม่ทันได้ลงมือท่าด้วยซ้่าเช่นเดียวกับเรื่องก๋วยเตี๋ยววันนี้ ยังไม่ทันได้กินด้วยซ้่าเธอก็ตัดสิน มันไปแล้วว่าเธอจะกินมันไม่อิ่ม ไม่ต่างเลย ถ้าจิตใจเราไม่เปิดรับบางสิ่งบางอย่าง เราก็ จะก้าวข้ามผ่านบางสิ่งบางอย่างนั้นไปไม่ได้เช่นกัน



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.