DHARMA
ผ
Avatar
มอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาส Soft Side Management (ตอนที่ 6) : ไปดู ภ าพยนตร์ ที่ ห ลายคนถ้ า ไม่ รู้ จั ก การบริ ห ารแนวสมดุ ล Hard & Soft Side
ก็คงจะได้แต่ความมันส์เท่านั้นเอง หลายคนก็ บ อกว่ า หนั ง เรื่ อ งนี้ เ ป็ น พล็ อ ตเรื่ อ งเดิ ม ๆ แนวทหารม้ า อเมริ กั น
เข้าไปถล่มชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันอินเดียน
ไม่เห็นจะแปลกเลย แต่ผมชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว แทบจะ ร้องดังๆ ว่า “มาแล้ว …” หนังสือทุกเล่มที่ผม ได้เขียนๆ เอาไว้ แทบจะโดนหนังเรื่องนี้นำ เอามาอธิบายได้อย่างสนุกสนาน แนวการบริหารแบบสมดุลชีวิตกำลังมา แล้ว น่าสงสัยผู้บริหารในประเทศไทยหลายคน ที่ยังไม่ขยับความคิดเลยว่า แนวการบริหาร ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ* แบบเดิมๆ ของตนตก Trend เสียแล้วนะ http://managerroom.com ผู้ บ ริ ห ารแนวงกๆ เค็ ม ๆ บ้ า KPI จิกหัวพนักงานใช้ เห็นคนเป็นหมากตัวหนึ่ง
บนกระดานแข่งขัน ไม่เห็นคนเป็นคน คงต้อง สำรวจตนเองมากขึ้นได้แล้ว ชาวบ้ า น และชุ ม ชนในประเทศไทย
คงไม่เสียรู้ปล่อยให้นายทุนต่างชาติมาสร้าง โรงงานแล้ ว ทิ้ ง มลภาวะ โดยผู้ บ ริ ห ารงกๆ เค็มๆ ของไทยเราทำหน้าตาเฉยอ้างว่า “ก็ผม ทำตามกฎหมาย” ได้อีกแล้ว ข้ อ สั ง เกตที่ ไ ด้ จ ากหนั ง เรื่ อ ง อวตาร
ในมุมของนักบริหาร ที่ผมคิดๆ เอาไว้คร่าวๆ เช่น ๑. การบริหารสมัยใหม่ ใช้แนวคิดเชิง “อยู่รอด+อยู่ร่วมกัน+อยู่อย่างมีความหมาย” ไม่ใช่ ฉันรอดคนเดียว ฉันมีเงิน พรรคพวกฉัน ร่างกฎหมายเอง ฉันมีปืน ฉันมีอำนาจ ฯลฯ “ฉันอยากได้อะไร ฉันต้องได้” ซึ่งคำพูดแบบ เห็นแก่ตัว หรือมองไม่เห็นตนเอง มองไม่เห็น คนอื่ น ปรากฏในหนั ง เรื่ อ ง “อวตาร” นี้
บ่อยมาก เนื้ อ หาในหนั ง แสดงให้ นึ ก ถึ ง ว่ า
พวกเราชาวโลกเป็นตัวประหลาด เป็นสัตว์ที่ เรี ย นรู้ ไ ด้ ย าก ทำลายดาวโลกของตนเอง
ดู แล้ว จะเข้าใจ
Soft Side Management มากขึ้น
* วิทยากรทีป่ รึกษาอิสระ
17
March-April 2010
18
Productivity World
แล้วยกพวกมาบุกรุกดาว “แพนโดร่า” ที่มีแร่ธาตุราคาแพง และมี “วัฒนธรรม” (Culture) ซึ่งเจ้านายงกๆ เค็มๆ มองไม่เห็นความสำคัญ เพราะพวกชนเผ่าของ ดวงดาวแพนโดร่านั้น เรียนรู้และสมดุลกับธรรมชาติได้ดียิ่ง ทำให้นึกถึงภาพ นายทุนที่บอกว่า ที่ดินตรงนี้เหมาะกับการทำโรงงาน แล้วก็ไล่ชาวนาออกไปจาก ผืนดินที่เหมาะกับการทำนาที่สุดในโลกออกไป ไล่ชาวประมงออกไป ไล่ชาวบ้าน ออกไป เพราะที่ตรงนี้สามารถส่งพลังงานไปให้คนในเมืองใหญ่ได้ใช้ แต่ชาวบ้าน ตรงนี้ต้อง “เสียสละ” เจอมลภาวะหน่อยนะ ในหนังอวตาร อดีตนางเอก Sigourney Weaver ได้บอกพวกผู้บริหาร
มืออาชีพว่า “แร่ราคาแพง ที่ต้องแลกมาด้วยการตัดไม้ใหญ่ การฆ่า หรือขับไล่
ชนพื้นเมือง มีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับชุดความรู้ที่เรากำลังจะได้จากธรรมชาติ” เพราะต้นไม้ใหญ่นั้น เปรียบเสมือนเครือข่าย (Network) ที่เชื่อมโยงกับต้นไม้
ทุกต้นบนดวงดาวแพนโดร่า ธรรมชาติพัฒนาไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันจะ
เข้าถึง การที่จะทำลายระบบนิเวศน์ตรงนั้น เพียงเพื่อขนแร่ธาตุราคาแพง เป็นแค่ ความ “มักง่าย” หรือ “ฉลาดแต่ไม่เฉลียว” สุดท้าย ผู้บริหารที่มาแนว Hard Side สุดโต่ง อ้าง KPI และ BSC ว่า ต้อง “เอาแร่นั้นมาให้ได้” เป็นคำสั่งจากเจ้าของธุรกิจ “เราต้องได้ ในสิ่งที่เรา ต้องการ” พวกเขาจึงส่งทหารรับจ้างเข้าไปกวาดล้างชนเผ่านาวี (Navi) ทั้ง เด็ก คนชรา ผู้หญิง ตายไปมากมาย นึกถึง ผู้บริหาร งกๆ เค็มๆ ที่ฉันต้องได้ตาม KPI ของฉัน บรรทัด สุดท้ายของฉัน คือ กำไร พนักงานคนไหนจะเดือดร้อน ทำงานกะติดกัน ฯลฯ พร้อมทั้งมีทัศนคติแบบ งกๆ เค็มๆ เช่น เจ็บป่วยก็ไปเบิกค่ารักษาเอา ใครทำ ไม่ได้ก็ลาออกไป มีคนอยากมาทำแทนมากมาย งานมาก่อนครอบครัว บริษัท ต้องได้ตามเป้าหมายอย่ามาอ้างว่าลูกเมียไม่สบาย เงินของฉันแลกอวัยวะของเธอ (เจอสารพิษทั้งวันในโรงงาน) ฉันทำตามกฎหมาย สารพิษอยู่ในค่าที่กฎหมาย อนุญาต ฯลฯ ๒. “Jack” ชื่อของพระเอกเป็นอดีตทหารนาวิกโยธิน แต่พิการขาทั้ง
สองข้าง ถูกส่งมาทำงานแทนพี่ชายที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ Avatar คือ ถอดวิญญาณของตนลงไปในร่างมนุษย์ผสมร่างชาวนาวี เพื่อเอาร่างที่เหมือน ชาวนาวีนี้ไป “ล้วง” ความลับ ไปศึกษาพฤติกรรมของชาวนาวี หา “จุดอ่อน” เพื่อจะได้เอาไปวางแผนย้อนมาจัดการชาวนาวี นึกถึงฝรั่ง ญี่ปุ่นมากมาย ที่ทำเป็นมาวิจัย อาจารย์ แพทย์ ผู้สอนศาสนา ฯลฯ ทีเ่ ราไม่มที างรูเ้ ลยว่า ใครมาล้วงข้อมูลเรา สุดท้ายสมุนไพรไทย ภูมปิ ญั ญาไทย
โดนต่างชาติเอาไปจดทะเบียน (Patent) อย่างที่คนไทย “ได้ ไม่คุ้มเสีย” แต่เผอิญ Jack เป็นคนที่มี “จิตวิญญาณ” ยิ่งเข้าไปใกล้ชิดชาวนาวี ก็ เรียนรู้อะไรมากมาย เป็นแบบ “Learn how to learn” Jack พบว่า ชาวนาวี “เข้าใจ” ธรรมชาติ และมีวิถีชีวิตแบบสมดุลกับธรรมชาติมากๆ ไม่ทำลายล้าง แบบมนุษย์จากดาวโลก Jack หลงป่าตอนกลางคืน จากทีเ่ คยเรียนมา Jack จุดไฟ พอจุดไฟ เขาก็
พบว่า มีหมาป่ามากมายรายล้อมเขา ด้วยความกลัว หรือที่ผมเรียกว่า เข้าโหมด
การบริหารสมัยใหม่เรียกว่า “เชื่อมใจกับพนักงาน” ไม่ใช่ เอาเงินมาฟาด เอาโบนัสมาล่อ ซึ่งผู้บริหารยุคอุตสาหกรรม วัตถุนิยม จะไม่เข้าใจ เรื่องพวกนี้
ต่อสู้ จิตเกิดอาการ ความคิดเฉโก ปรุงแต่ง มีอคติต่อสัตว์ที่เขาคิดว่าร้าย Jack กวัดแกว่งคบเพลิงไปมา ขับไล่เหล่าหมาป่า แต่ผลของการทำเช่นนั้นเป็นการเข้าใจธรรมชาติผิดหมดเลย เหล่าสุนัขก็เลยตกใจ เข้าโหมดต่อสู้เช่นกัน สุนัขป่า จึงรุมกัด Jack และบางตัวก็บาดเจ็บ จนกระทั่ง นางเอกชาวนาวี ก็เข้ามา ช่วย และง่ายๆ เลย คือ “ดับไฟ” สุดท้ายหมาป่า ก็จากไป ๓. มีหลายฉากที่แสดงให้เรื่อง การเชื่อมโยง (Connect) เราฆ่าสัตว์หนึ่งตัวเท่ากับเราฆ่าตัวเราเอง เรากับธรรมชาติเชื่อมโยงกัน ฉากพระเอกใช้หางเปียเชื่อมโยงกับเส้นผมของม้าป่า และขนของนกอินทรีป่า เป็นการเชื่อม
“ใจ สู่ ใจ” ไม่ใช่แบบฉันเป็นนาย เธอเป็นบ่าว ในองค์กรของผู้บริหารงกๆ เค็มๆ ทั่วไป ถ้าเป็นการบริหารสมัยใหม่เรียกว่า “เชื่อมใจกับพนักงาน” ไม่ใช่เอาเงินมาฟาด เอาโบนัสมาล่อ ซึ่งผู้บริหารยุคอุตสาหกรรม วัตถุนิยม จะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ไม่เน้นในมหาวิทยาลัยที่เขาจบมา
เจ้านายคนก่อนๆ ที่งกๆ เค็มๆ ก็บ่มเพาะเขาให้ขาดปัญญาฐานใจอย่างแรง ดังนั้น ไม่แปลกที่
หลายคนดูเรื่องนี้แล้วบอกว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย แค่ Special Effect เจ๋งแค่นั้นเอง” ในขณะที่ เด็กๆ หลายคน ดูหนังเรื่องนี้แล้วบอกว่า รักต้นไม้จังเลย รักธรรมชาติจังเลย และ หลายคน เริ่มเห็น “ความเห็นแก่ตัว” ที่ผู้บริหารงกๆ เค็มๆ กำลังทำลายธรรมชาติอยู่ทุกวัน คนไทยมากมายไปเที่ยวน้ำตก ไปเดินป่า แต่ก็ไม่ได้ “เชื่อมโยง” ตนเองกับธรรมชาติเลย
ไม่เข้าใจ (See) ตนเอง ไม่เข้าใจธรรมชาติ แค่ไปเดินๆ เร่งๆ หาที่นอน หาอะไรอร่อยๆ กิน และสะใจได้ขี่ช้าง ล่องเรือ ปีนภูเขาสูง
สำเร็จ ฯลฯ หลายคนเอาแต่ถ่ายรูป ขี่จักรยาน สนุกกับการพูดจาตลกโปกฮาในป่า ตั้งวงกินเหล้า ได้แค่ เปลีย่ นบรรยากาศวงเหล้าเท่านัน้ เอง ฯลฯ พวกเขายังไม่ “เชือ่ มโยง” เพราะยังไม่รจู้ กั เรือ่ ง “ปัญญาฐานใจ” ในหนังเรื่องนี้ ชาวเผ่านาวีใช้คำทักทายว่า “I see you” ซึ่ง ถ้าแปลตรงๆ ว่า ฉันเห็นเธอ ก็คง
ไม่ได้ ความหมายที่แท้จริง ฉันเห็นเธอ ในหนังกินความไปถึง ฉันเข้าใจเธอ ฉันเคารพความเป็นตัวเธอ เรา “เชื่อมโยง” กัน ในหนังจะมีฉากสวยๆ ที่ชาวนาวีจับมือร่วมกันทั้งเผ่า หรือพระเอก นางเอก ผูกเส้นผมของตนเอง กับรากไม้ เพื่อ “เชื่อมโยง” กับธรรมชาติ
19
March-April 2010
พลังของการเรียนรู้ร่วมกัน แม้นคนไม่ฉลาดหลายคน หาก “เชื่อมโยง” และเข้าใจกัน จะได้เกลียวความรู้ ออกมา มากมายกว่า คนฉลาด หลายคน แต่เอาอัตตา มาชนกัน
20
Productivity World
คนที่ศึกษาแนว เต๋า (Tao) และเซน (Zen) ดูหนังเรื่องนี้จะประทับใจมากๆ และจะเห็นได้ว่า
โลกตะวันตก เข้าใจศาสตร์ และปรัชญาตะวันออกมากขึ้น ในขณะที่ผู้บริหารงกๆ เค็มๆ ของไทยเรา ยัง
ล้าสมัย ตามสถานการณ์โลกไม่ทัน ยังคงใช้ศาสตร์เดิมๆ ของตะวันตก ที่ชาวตะวันตกเริ่ม “คายทิ้ง” แล้ว ๔. พระเอกเป็ น นั ก เรี ย นรู้ และใช้ ค ำว่ า ฉั น มา เพื่ อ แลกเปลี่ ย นเรี ย นรู้ เป็ น ภาษาของ KM (Knowledge Management) ชัดเจน และยังใช้คำว่า “ทำซ้ำ” ซึ่ง คำว่า “ทำซ้ำ” นี้ นักบริหารสมัยใหม่ อย่างที่เขียนใน หนังสือ The Toyota Culture คือ ช่วงเริ่มต้นเรียนรู้ ต้องหัด Repeat without thinking
ทำซ้ำๆๆๆๆ อย่าเพิ่งคิด อย่าเพิ่งวิจารณ์ ทำๆๆๆๆ จนเป็นทักษะแล้ว จึงค่อยล้อมวงระดมสมองกัน ใช้ ฐานกายก่อน อย่าด่วนใช้ฐานคิด พลังของการเรียนรู้ร่วมกัน แม้นคนไม่ฉลาดหลายคน หาก “เชื่อมโยง” และเข้าใจ (See) กัน จะได้ เกลียวความรู้ (Knowledge Spiral) ออกมามากมายกว่า คนฉลาดหลายคน แต่เอาอัตตามาชนกัน ยังมีถ้อยคำมากมาย ที่ใช้ในหนังเรื่องนี้ที่โดนใจมากๆ เช่น “วิทยาศาสตร์ คือ การสังเกต” นี่เป็น สำนวนที่บ่งบอกถึงการ ดูๆๆๆ รู้ๆๆๆ ห้อยแขวนคำพิพากษาเอาไว้ก่อน ๕. ที่ผมกระเทือนใจมากๆ คือ ตอนที่พระเอกรู้ว่า เผ่านาวีที่มีแต่หอก และธนู คงไม่มีทางสู้ทหาร รับจ้างของเจ้าของเหมืองแร่จากดาวโลก ที่มีอาวุธทันสมัยกว่า มีทหารหุ่นยนต์ตัวใหญ่ๆ เครื่องบินรบ
ขนาดใหญ่ ฯลฯ Jack จึงไปอ้อนวอนต่อ Eva (เอวา) หรือแบบไทยๆ คือ “แม่ธรณี” หรือ “มารดาโลก” แต่นางเอกบอก Jack ว่า “Eva ไม่เข้าข้างใคร เธอรักษาสมดุล” นั่นคือ ถึง Jack จะวิงวอนต่อ Eva
แต่ Eva ก็จะไม่ช่วย ทุกอย่าง Eva จะรักษาสมดุลให้ ผมสะอึกมาก เพราะนึกถึงว่า อีกไม่กี่ปี เราอาจจะได้เห็นกรุงเทพฯ จมหายไปกับคลื่นยักษ์ แบบที่ เฮติ แบบที่โดน แคทรีนา หรือสึนามิ ที่สะอึกเพราะเรามีสิทธิ์ตายเป็นล้านคน โดยความนิ่งดูดายของ
พวกเราเอง อากาศวิปริต แปรปรวน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน ทำนายได้ยาก เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่เราก็
ไม่รับรู้ หรือรู้ทั้งรู้แต่ไม่คิดจะทำอะไร หรือช่างมัน หาเงินต่อไปดีกว่า ไร้สาระ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ฯลฯ หากเรามี “ปัญญาฐานใจ” ก็ลองไปถามความรู้สึกคนที่ผ่านภัยธรรมชาติหนักๆ โจมตี อย่างฉับพลัน แล้วเราจะ “เข้าใจ” (See แปลว่า เข้าใจ เห็นทั้งตัว เห็นทุกอย่าง ซึ้งใจ ฯลฯ) นึกถึงเพลง The Answer is Blowing in the Wind ที่มีเนื้อหาว่า แม้นผม หรือใครๆ รวมทั้งผู้สร้าง หนังอวตาร หนังแนวภาวะโลกร้อน ฯลฯ จะตะโกนก้องว่า หยุดงกๆ เค็มๆ เมตตาชาวโลกบ้าง ฯลฯ
ดังแค่ไหน บ่อยแค่ไหน มันก็แค่ “หายไปกับสายลม” ไม่มีคำตอบกลับมาอีกเลย
เพลง I See You ร้องโดย Leona Lewis
แสดงออกถึงความหมาย ที่ว่า “ในเธอมีฉัน ในฉันมีเธอ ในสรรพสิ่งมีทุกคน ทุกคนมีสรรพสิ่ง ทำร้ายสัตว์
สักตัว ก็คือ ทำร้ายตัวเอง” I see you I see you Walking through a dream I see you My light in darkness breathing hope of new life Now I live through you and you through me Enchanting I pray in my heart that this dream never ends I see me through your eyes Living through life flying high Your life shines the way into paradise So I offer my life as a sacrifice I live through your love You teach me how to see All that’s beautiful My senses touch your word I never pictured Now I give my hope to you I surrender I pray in my heart that this world never ends I see me through your eyes เนื้อเพลงอย่าไปแปลแนวหนุ่มสาวรักกัน จริงๆ แล้วคือ ธรรมชาติกับเรา เรากับทุกคน เรากับ Mother Earth แม่ธรณี หรือ Eva ในเรื่องคำว่า I see me .... นึกถึงที่ หลวงพ่อกล้วย สอนว่า “อยากรู้จักฉัน
หาตัวเธอให้เจอก่อน” เข้าใจตนเองคือ เข้าใจธรรมชาติ คือ เข้าใจธรรมะ และ You teach me how to see นี่แหละ ดูจิต คือ ดูธรรม ที่เกิดในตัวเรา My senses นี่แหละ ที่ผมพร่ำบอกพวกเราเสมอว่า Stop thinking & learn how to sense .... I surrender ..... ฉันยอมแพ้ ศิโรราบ ก็คือ ปล่อยวาง ยอมรับแล้ว .... จะไปสู้ธรรมชาติได้ไง มันเป็น เช่นนั้นเอง นางเอกบอกพระเอกตอนที่พระเอกเอาเส้นผมไปเชื่อมโยงกับ Eva นางเอกบอกว่า “Eva ไม่เข้าข้างใคร แต่เธอรักษาสมดุล” ได้ยินคำนี้นึกถึง 2012 ทันที .... จ๊ากเลย
21
March-April 2010