คณิ ตศาสตร์เพิม เติม ชั นมัธยมศึกษาปี ที 6
เล่ม 2
สารบัญ หนา บทที่ 1 ลําดับอนันตและอนุกรมอนันต ผลการเรียนรูที่คาดหวัง ขอเสนอแนะ กิจกรรมเสนอแนะ ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ก เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ข เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ก เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ข
1 2 10 14 15 20 25 38 51
บทที่ 2 แคลคูลัสเบื้องตน ผลการเรียนรูที่คาดหวัง ขอเสนอแนะ กิจกรรมเสนอแนะ ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ก เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ข เฉลยแบบฝกหัด 2.2 เฉลยแบบฝกหัด 2.3 เฉลยแบบฝกหัด 2.4 เฉลยแบบฝกหัด 2.5 เฉลยแบบฝกหัด 2.6
61 62 75 97 99 102 106 113 115 119 126 131
หนา
เฉลยแบบฝกหัด 2.7 เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ก เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ข เฉลยแบบฝกหัด 2.9 เฉลยแบบฝกหัด 2.10 เฉลยแบบฝกหัด 2.11 เฉลยแบบฝกหัด 2.12 บทที่ 3 กําหนดการเชิงเสน ผลการเรียนรูที่คาดหวัง ขอเสนอแนะ ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยแบบฝกหัด 3.1 เฉลยแบบฝกหัด 3.2 เฉลยแบบฝกหัด 3.3
137 140 151 163 164 171 173
179 180 183 184 187 188 189
20
เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ก 1. (1) a2 = a3 = a4 = a5 = ดังนั้น (2) a2 = a3 = a4 = a5 = ดังนั้น
a1 + 2 – 1 = 0 + 2 – 1 = 1 a2 + 3 – 1 = 1 + 3 – 1 = 3 a3 + 4 – 1 = 3 + 4 – 1 = 6 a4 + 5 – 1 = 6 + 5 – 1 = 10 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 1, 3, 6, 10 1 + 0.05a1 = 1 + 0.05(1000) = 51 1 + 0.05a2 = 1 + 0.05(51) = 3.55 1 + 0.05a3 = 1 + 0.05(3.55) = 1.1775 1 + 0.05a4 = 1 + 0.05(1.1775) = 1.058875 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1000, 51, 3.55, 1.1775, 1.058875
(3) a2 = 6a1 = 6(2) = 12 a3 = 6a2 = 6(12) = 72 a4 = 6a3 = 6(72) = 432 a5 = 6a4 = 6(432) = 2592 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 12, 72, 432, 2592 (4) a3 = a2 + 2a1 = 2 + 2(1) a4 = a3 + 2a2 = 4 + 2(2) a4 + 2a3 = 8 + 2(4) a5 = ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1, 2, 4, 8, 16
= = =
4 8 16
(5) a3 = a2 + a1 = 0+2 a4 = a3 + a2 = 2+0 a5 = a4 + a3 = 2+2 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 0, 2, 2, 4
= = =
2 2 4
2. (1) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน 2 (2) เปนลําดับเรขาคณิต มีอตั ราสวนรวมเปน –1 (3) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน –2 (4) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน
1 3
(5) ไมเปนทั้งลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
21 3. (1) d = 4 – (–2) = 6 เนื่องจาก an ∴ an
= = = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an
(2) d =
1 ⎛ 1⎞ −⎜− ⎟ 6 ⎝ 6⎠
เนื่องจาก ∴
1 3
=
an an
a1 + (n – 1)d –2 + (n – 1)6 6n – 8 = 6n – 8
= = = =
พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (3) d =
1 13 − 11 2
เนื่องจาก ∴
an an
=
5 2
a1 + (n – 1)d 1 1 − + (n − 1) 6 3 3 n − + 6 3 2n − 3 6 2n − 3 6
= =
a1 + (n – 1)d
=
17 5n + 2 2 5n + 17 2 5n + 17 2
= พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
11 + (n − 1)
5 2
(4) d = 22.54 – 19.74 = 2.8 เนื่องจาก an = = ∴ an = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
a1 + (n – 1)d 19.74 + (n – 1)(2.8) 2.8n + 16.94 2.8n + 16.94
(5) d = (x + 2) – x = 2 = เนื่องจาก an = ∴ an = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
a1 + (n – 1)d x + (n – 1)2 x + 2n – 2 x – 2 + 2n
22 (6) d = (2a + 4b) – (3a + 2b) = –a + 2b = a1 + (n – 1)d เนื่องจาก an = (3a + 2b) + (n – 1)(–a + 2b) ∴ an = 3a + 2b – na + 2nb + a – 2b = 4a – na + 2nb พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 4a – na + 2nb 4. จะได
5p – p = 6p + 9 – 5p 4p = p+9 3p = 9 p = 3 จะได สามพจนแรกของลําดับนี้คือ 3, 15, 27 ลําดับนี้มีผลตางรวมเปน 12 ดังนั้น สี่พจนตอไปของลําดับนี้คือ 39, 51, 63, 75
5. ใหลําดับนี้มีสามพจนแรกคือ a – d, a, a + d จะได a–d+a+a+d = 12 ---------- (1) 3 3 3 และ (a – d) + a + (a + d) = 408 ---------- (2) จาก (1) 3a = 12 a = 4 จาก (2), a3 – 3a2d + 3ad2 – d3 + a3 + a3 + 3a2d + 3ad2 + d3 = 408 3a3 + 6ad2 = 408 3 2 = 408 3(4) + 24d 24d2 = 408 – 192 d2
=
216 24
= 9 d = 3 หรือ –3 ถา d = 3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 1, 4, 7, 10, 13, ... ถา d = –3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 7, 4, 1, –2, –5, ... 6. (1) r
=
−6 −3
=
2
เนื่องจาก an = a1rn–1 = (–3)2n–1 ∴ an พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (–3)2n–1
23 −5 10
=
−
เนื่องจาก
an
=
a1rn–1
∴
an
=
⎛ 1⎞ 10 ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠
n −1
⎛ 1⎞ 10 ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠
n −1
(2) r
=
พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
1 2
5 4 1 4
=
5
เนื่องจาก
an
=
a1rn–1
∴
an
=
⎛ 1 ⎞ n −1 ⎜ ⎟5 ⎝4⎠ ⎛ 1 ⎞ n −1 ⎜ ⎟5 ⎝4⎠
(3) r
=
พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (4) r
=
5 3 5 6
=
2
เนื่องจาก
an
=
a1rn–1
∴
an
=
⎛ 5 ⎞ n −1 ⎜ ⎟ (2) ⎝6⎠ ⎛ 5 ⎞ n −1 ⎜ ⎟ (2) ⎝6⎠
พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (5) r
=
1 12 2 − 9
=
−
3 8
เนื่องจาก
an
=
a1rn–1
∴
an
=
⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞ ⎜ − ⎟⎜ − ⎟ ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠
n −1
⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞ ⎜ − ⎟⎜ − ⎟ ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠
n −1
พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (6) r
=
เนื่องจาก ∴
a 2 b2 ab3
an an
=
a b
=
a1rn–1
=
⎛a⎞ (ab ) ⎜ ⎟ ⎝b⎠ 3
n −1
24 = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
an b4− n an b4− n
7. (1) ให a1 = –15 และ a5 = –1215 จะได a5 = a 1r4 = –1215 –15r4 = –1215 r4 = 81 r = –3 หรือ r = 3 ดังนั้น สามพจนที่อยูระหวาง –15 กับ –1215 คือ 45, –135, 405 หรือ –45, –135, –405 (2) ให a1 =
4 3
27
และ a5 =
จะได a5 = a 1r4 = 4 4 r 3
=
4
r = r =
64 27
64 27 64 81 256 3 4
ดังนั้น 3 พจนที่อยูระหวาง
หรือ r = 4 3
กับ
−
27 64
3 4
คือ 1,
3 9 , 4 16
8. ให a เปนจํานวนทีน่ ําไปบวก จะได 3 + a, 20 + a, 105 + a เปนลําดับเรขาคณิต ดังนั้น
20 + a 3+ a
=
400 + 40a + a2 = 68a = a จํานวนที่นําไปบวกคือ
= 5 4
105 + a 20 + a
315 + 108a + a2 85 85 68
=
5 4
หรือ –1,
3 , −9 4 16
25
เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ข 1. (1) ลูออก n an
1 1
2 0
3 –1
4 0
5 1
6 0
7 –1
7
8
8 0
9 1
10 0
an 1.5 1 0.5
n
0 1
2
3
4
5
6
4 0
5 0.2
9
10
7 –0.142
8 0
-0.5 -1 -1.5
(2) ลูเขา n an
1 1
2 0
3 –0.333
6 0
9 –0.111
an 1.2 1 0.8 0.6 0.4 0.2
n
0 -0.2 0 -0.4
5
10
15
20
25
30
10 0
26 (3) ลูเขา n an
1 2 3 2.5 1.666 1.25
4 1
5 6 7 8 9 10 0.833 0.714 0.625 0.555 0.5 0.454
an 2.5 2 1.5 1 0.5 0
10
0
30
20
n
(4) ลูออก n an
1 2
2 2
3 2.666
4 4
5 6 7 8 9 10 6.4 10.666 18.285 32 56.888 102.4
an 60 50 40 30 20 10
n
0 0
2
4
6
8
27 (5) ลูออก n an
1 0
2 4
3 0
4 8
5 0
6 12
7 0
8 16
9 0
10 20
an 40 35 30 25 20 15 10 5
n
0 0
5
10
15
20
(6) ลูเขา n 1 an 3.5
2 3.75
3 4 5 6 7 8 9 10 3.875 3.937 3.968 3.984 3.992 3.996 3.998 3.999
an 4.1 4 3.9 3.8 3.7 3.6 3.5
n
3.4 0
2
4
6
8
28 (7) ลูเขา n 1 an 4
2 2
3 1
4 0.5
5 0.25
6 0.125
7 8 9 10 0.0625 0.03125 0.015625 0.0078125
an 9 8 7 6 5 4 3 2 1
n
0 0
2
4
6
8
(8) ลูเขา n 1 an 0.666
2 0.816
3 4 5 6 7 8 9 10 0.873 0.903 0.922 0.934 0.943 0.950 0.955 0.960
an 1.2 1 0.8 0.6 0.4 0.2
n
0 0
5
10
15
20
29 (9) ลูออก n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an –1.333 1.777 –2.370 3.160 –4.213 5.618 –7.491 9.988 –13.318 17.757 an 20 15 10 5
n
0 -5
0
2
4
6
8
10
12
-10 -15
(10) ลูเขา .n an
1 0.25
0.35
2 3 4 5 6 7 8 9 10 0.333 0.3 0.222 0.147 0.090 0.053 0.031 0.017 0.009
an
0.3 0.25 0.2 0.15 0.1 0.05
n
0 0
2
4
6
8
10
12
30 2. ไมเห็นดวย เพราะเปนการสรุปที่ไมถูกตอง ถา x n และ ⎛x ⎞ lim ⎜ n ⎟ n →∞ y ⎝ n⎠
lim x n
=
yn
ไดนนั้ ขอตกลงเบือ้ งตนเกีย่ วกับ
n →∞
lim y n
เปนลําดับ การที่จะกลาววา
lim x n
n →∞
และ
lim y n
n →∞
n →∞
จริงกอน ขอกําหนดเบื้องตนนั้นคือ
lim x n
n →∞
และ
lim y n
n →∞
ตองหาคาได
ในกรณีนี้ ตองจัดรูป an และ bn กอนการใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต ดังนี้ จาก
2n 4 − n 2
lim(2 −
n →∞
1 ) n2
lim
8 3n
=
= =
2 3
8 1 lim n →∞ 3 n 8 (0) 3
= =
0
ดังนั้น ลําดับ an =
8 3n
8n 7n
⎛8⎞ ⎜ ⎟ ⎝7⎠
จะได
=
8n n →∞ 7 n lim
⎛8⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ 7 ⎝ ⎠
n
เปนลําดับลูเขา n
⎛8⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ 7 ⎝ ⎠
=
หาคาไมได เพราะ
ดังนั้น ลําดับ an = (3)
1 ) n2 13 lim(3 + 4 ) n →∞ n
lim(2 −
n →∞
=
(2) จาก
n4 1 2− n2 lim n →∞ 13 3+ n4 n →∞
lim
n →∞
=
1 n2 13 3+ n4 2−
= 2 และ lim(3 + 13 ) = 3
2n 4 − n 2 n →∞ 3n 4 + 13
ดังนั้น
3. (1)
=
3n 4 + 13
และเนื่องจาก
1 ) n2 13 n 4 (3 + ) n4
n 4 (2 −
8n 7n
n
8 7
>1
เปนลําดับลูออก
= 1 เมื่อ n เปนจํานวนคู และ (−1) = –1 เมื่อ n เปนจํานวนคี่ ดังนั้น ลําดับ an = (–1)n ไมมีลิมิต และเปนลําดับลูออก (−1) n
n
ตองเปน
31 (4)
⎛1⎞ lim 3 ⎜ ⎟ n →∞ ⎝2⎠
n
=
⎛1⎞ 3lim ⎜ ⎟ n →∞ 2 ⎝ ⎠
= =
3(0) 0 ⎛1⎞ 3⎜ ⎟ ⎝2⎠
ดังนั้น ลําดับ an = (5) เนื่องจาก จะได
n
เปนลําดับลูเขา
= 4 และ
lim 4
n →∞
1⎞ ⎛ lim ⎜ 4 + ⎟ n →∞ n⎠ ⎝
lim
n →∞
=
(6) จาก
6n − 4 6n
และเนื่องจาก จะได
4+
n →∞
=0 1 n →∞ n
n →∞
4+0 4 1 n
เปนลําดับลูเขา
6n 4 − 6n 6n
= lim1
1 n
lim 4 + lim
= = ดังนั้น ลําดับ an =
n
= 1 และ
⎛ 6n − 4 ⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ ⎝ 6n ⎠
= =
ดังนั้น ลําดับ an =
=
1–
2 3n
⎛ 2 ⎞ lim ⎜ ⎟ = 0 n →∞ 3n ⎝ ⎠ 2 ⎞ ⎛ lim ⎜1 − ⎟ n →∞ ⎝ 3n ⎠ 2 lim1 − lim n →∞ n →∞ 3n
= =
1–0 1
6n − 4 6n
เปนลําดับลูเขา
(7) เมื่อ n มีคาเพิ่มขึ้น คาของพจนที่ n ของลําดับนี้จะเพิ่มขึ้น และไมเขาใกลจํานวนใด จํานวนหนึ่ง ดังนั้น ลําดับ an =
3n + 5 6
n n +1
n
(8) จาก
และเนื่องจาก จะได
=
⎛ ⎝
n ⎜1 +
lim1
n →∞
⎛ n ⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ n + 1 ⎝ ⎠
เปนลําดับลูออก
1⎞
1+
⎟ n⎠
= 1 และ =
1
= lim
n →∞
1 n
= 0
⎛ ⎞ ⎜ 1 ⎟ lim ⎜ ⎟ n →∞ ⎜⎜ 1 + 1 ⎟⎟ n⎠ ⎝
1 n
32 lim1
=
n →∞
lim1 + lim
n →∞
ดังนั้น ลําดับ an = (9) เนื่องจาก
=
1 1+ 0
=
1
n n +1
4 5n = 0 และ nlim →∞ n 2 n2 ⎛ 4 + 5n ⎞ = lim ⎜ ⎟ 2 n →∞ ⎝ n ⎠
lim
= 0 lim
n →∞
= = ดังนั้น ลําดับ an = (10) จาก
2n − 1 3n + 1
lim
n →∞
เปนลําดับลูเขา
⎛ 1⎞ ⎟ n⎠ ⎝ = ⎛ 1⎞ n ⎜3 + ⎟ ⎝ n⎠ ⎛ 1⎞ lim ⎜ 2 − ⎟ = 2 n →∞ ⎝ n⎠
2n − 1 3n + 1
3n 2 − 5n 7n − 1
เปนลําดับลูออก
(12) จาก
7n 2 5n 2 − 3
=
จะได
lim 7
n →∞
7n 2 n →∞ 5n 2 − 3 lim
3+
และ
7n 2 3 ⎞ ⎛ n2 ⎜ 5 − 2 ⎟ n ⎠ ⎝
n
⎛
1⎞
lim 3 + ⎟ n →∞ ⎜⎝ n⎠
=
7 5−
3 ⎞ ⎛ lim ⎜ 5 − 2 ⎟ n ⎠ ⎝ lim 7
= 7 และ =
n
1
เปนลําดับลูเขา
(11) an =
และเนื่องจาก
=
1
1⎞ ⎛ lim ⎜ 2 − ⎟ n⎠ ⎝ 1⎞ ⎛ lim ⎜ 3 + ⎟ n →∞ n ⎝ ⎠ 2 3
=
2n − 1 3n + 1
2−
n →∞
= ดังนั้น ลําดับ an =
4 5n + lim 2 2 →∞ n n n
0+0 0
n⎜2 −
และเนื่องจาก จะได
4 + 5n n2
1 n
เปนลําดับลูเขา
n →∞
จะได
n →∞
n →∞
n →∞
3 ⎞ ⎛ lim ⎜ 5 − 2 ⎟ n →∞ n ⎠ ⎝
3 n2
= 5
= 3
33 7
= ดังนั้น ลําดับ an = (13) จาก
4n 2 − 2n + 3 n2
และเนื่องจาก จะได
=
lim 4 =
n →∞
5
7n 2 5n 2 − 3
เปนลําดับลูเขา 2 3 + n n2 2 = lim n →∞ n
4−
4,
⎛ 4n 2 − 2n + 3 ⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ n2 ⎝ ⎠
= = = =
ดังนั้น ลําดับ an = (14)
4n 2 − 2n + 3 n2
3 = n2 2 3 ⎞ ⎛ lim ⎜ 4 − + 2 ⎟ n →∞ n n ⎠ ⎝
0 และ
lim
n →∞
lim 4 − lim
n →∞
n →∞
0
2 3 + lim 2 →∞ n n n
4–0+0 4 เปนลําดับลูเขา
1 ⎞ ⎛ 1 n2 ⎜ 3 − 2 ⎟ 3− 2 3n − 1 n ⎠ ⎝ n จาก = = 10 10n − 5n 2 ⎞ 2 ⎛ 10 −5 n ⎜ − 5⎟ n ⎝n ⎠ 1 ⎞ ⎛ ⎛ 10 ⎞ และเนื่องจาก nlim 3 − 2 ⎟ = 3 และ lim ⎜ − 5 ⎟ ⎜ n →∞ ⎝ n →∞ n ⎠ ⎠ ⎝ 1 ⎞ ⎛ lim ⎜ 3 − 2 ⎟ n →∞ ⎛ 3n 2 − 1 ⎞ n ⎠ ⎝ = จะได nlim ⎜ ⎟ →∞ 10n − 5n 2 ⎛ 10 ⎞ ⎝ ⎠ lim ⎜ − 5 ⎟ n →∞ n ⎝ ⎠ 3 − = 5 2 ดังนั้น ลําดับ an = 3n − 1 2 เปนลําดับลูเขา 10n − 5n 2
(15) เนื่องจาก จะได
1 1 = 0 และ nlim = 0 →∞ n n +1 1 1 1 ⎞ ⎛1 lim − lim = lim ⎜ − ⎟ n →∞ n n →∞ n + 1 n →∞ n n +1⎠ ⎝ lim
n →∞
= = ดังนั้น ลําดับ an =
1 1 − n n +1
0–0 0
เปนลําดับลูเขา
= –5
34 (16) จาก จะได
3n +1 5n + 2
3n +1 5 ⋅ 5n +1
=
3n +1 n →∞ 5n + 2 lim
1⎛ 3⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ 5 5 ⎝ ⎠
n +1
=
1 ⎛3⎞ lim ⎜ ⎟ →∞ n 5 ⎝5⎠ 1 (0) 5
n +1
=
(17) จาก
2n −1 + 3 3n + 2
และเนื่องจาก จะได
n +1
3 5n + 2
=
เปนลําดับลูเขา
⎛ 1 2 n −1 ⎞ ⎟ lim ⎜ ⎛⎜ ⎞⎟ ⎟ n →∞ ⎜⎝ 27 ⎝ 3 ⎠ ⎠
2n −1 + 3 n →∞ 3n + 2
= = = =
ดังนั้น ลําดับ an = (18) จาก
และเนื่องจาก จะได
lim
n →∞
2
n −1
+3 3n + 2
⎛ n ⎜1 − ⎝ = ⎛ n ⎜1 + ⎝ 1 lim(1 − ) n →∞ n n −1 n +1
ดังนั้น ลําดับ an =
n +1
0
2n −1 3 + n+2 n −1 27 ⋅ 3 3
lim
n −1 n +1
=
=
= ดังนั้น ลําดับ an =
1⎛ 3⎞ ⎜ ⎟ 5⎝ 5⎠
=
= 1
n −1 +
1 n +1 3
⎛ 1 ⎞ ⎟ lim ⎜⎜ n →∞ ⎝ 3n +1 ⎟⎠
⎛ 1 2 n −1 1 ⎞⎟ lim ⎜ ⎛⎜ ⎞⎟ + ⎜ n n →∞ ⎝ 27 ⎝ 3 ⎠ 3 +1 ⎟⎠
1 ⎛2⎞ lim ⎜ ⎟ →∞ n 27 ⎝3⎠ 1 (0) + 0 27
n −1
+ lim
n →∞
1 n +1
3
0 เปนลําดับลูเขา 1 ⎞ ⎟ n⎠ 1 ⎞ ⎟ n⎠
=
= 1 และ
= =
1
n +1
และ
27
⎛ lim ⎜ 1 − ⎝ ⎛ lim 1 + n →∞ ⎜ ⎝
n −1
⎛2⎞ ⎜ ⎟ 27 ⎝ 3 ⎠ 1
n →∞
1 n 1 1+ n 1−
lim(1 +
n →∞
1 ⎞ ⎟ n⎠ 1 ⎞ ⎟ n⎠
เปนลําดับลูเขา
1 n
)
= 1
= 0
35 (19) จาก
n2 −1 4n
และเนื่องจาก จะได
= lim 1 −
n →∞
n2 −1 lim n →∞ 4n
1 n2
= 1 และ lim
n →∞
= n2 −1 4n
4n − 1 2
จะได
⎛ 1 ⎞ lim ⎜⎜ 4 − 2 ⎟⎟ n ⎠ ⎝
n →∞
4n − 1 2
lim
n →∞
=
( −1)n n
(22) an =
8n 2 + 5n + 2 3 + 2n
1 n2
4−
=
1 n2
⎛ 2 2 ⎞ 2 + 3 1+ 3 n⎜ 2 + 3 1+ 3 ⎟ n n ⎠ ⎝ ⎛ 2 ⎞ = 2 และ nlim ⎜ 2 + 3 1 + 3 ⎟⎟ = 3 →∞ ⎜ n ⎠ ⎝
=
(21) an =
4
เปนลําดับลูเขา
=
2n + 3 n 3 + 2
ดังนั้น ลําดับ an =
1 n2
n 4−
=
2n + 3 n 3 + 2
และเนื่องจาก
= 4
lim 4
1 1 ⎞ ⎛ lim ⎜1 − 2 ⎟ 4 n →∞ ⎝ n ⎠ 1 1 4 1 4
=
ดังนั้น ลําดับ an =
1 n2
4 n →∞
1−
=
1−
=
4n
=
(20) จาก
1 n2
n 1−
4n − 1 2
2n + 3 n 3 + 2
เปนลําดับลูเขา เปนลําดับลูออก
4− lim
n →∞
1 n2
2 + 3 1+
2 n3
⎛ 1 ⎞ lim ⎜ 4 − 2 ⎟ n ⎠ ⎝ ⎛ 2 ⎞ lim ⎜ 2 + 3 1 + 3 ⎟ n →∞ n ⎠ ⎝ n →∞
2 3
เปนลําดับลูเขา
36 4. (1) ไมจริง เชน ลําดับ an = n และ ลําดับ bn = –n เปนลําดับลูออก แตลําดับ (an + bn) = n – n = 0 เปนลําดับลูเขา (2) จริง การพิสูจนโดยขอขัดแยง (proof by contradiction) ทําไดดังนี้ สิ่งที่กําหนดใหคือ ลําดับ an เปนลําดับลูเขา และ ลําดับ bn เปนลําดับลูออก สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เนื่องจากลําดับ an และลําดับ (an + bn) เปนลําดับลูเขา จึงไดวา lim a และ n →∞
lim(a n + b n )
n →∞
พิจารณา และ ดังนั้น
หาคาได ให
lim a n
n →∞
lim(a n + b n − a n )
=
lim(a n + b n − a n )
=
n →∞
n →∞
lim b n
n →∞
= A และ
lim(a n + b n )
n →∞
=B
lim b n
n →∞
lim(a n + b n ) – lim a n
n →∞
n →∞
= B–A หาคาได ซึ่งทําให ลําดับ bn เปนลําดับลูเขา
เกิดขอขัดแยงกับสิ่งทีก่ ําหนดให จึงสรุปวา ขอความที่สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เปนเท็จ นั่นคือ (an + bn) ตองเปนลําดับลูออก 5. (1)
lim P(1 +
n →∞
r n ) 12
=
เนื่องจาก ดังนั้น an = (2) จาก an = กําหนด
1+
P lim(1 + n →∞
r > 1 12
r ⎞ ⎛ P ⎜1 + ⎟ ⎝ 12 ⎠
n
r ⎞ ⎛ P ⎜1 + ⎟ ⎝ 12 ⎠
r
ดังนั้น
r n ) 12
r ⎞ ⎛ lim ⎜1 + ⎟ n →∞ ⎝ 12 ⎠
n
หาคาไมได
ไมเปนลําดับลูเขา
n
=
1.5 100
=
0.015
สิ้นเดือนที่ 1 จะได a1 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
สิ้นเดือนที่ 2 จะได a2 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
2
สิ้นเดือนที่ 3 จะได a3 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
3
สิ้นเดือนที่ 4 จะได a4 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
4
สิ้นเดือนที่ 5 จะได a5 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
5
สิ้นเดือนที่ 6 จะได a6 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
6
=
9011.25
= 9022.51 = 9033.79 = 9045.08 = 9056.39 = 9067.71
n
37 สิ้นเดือนที่ 7 จะได a7 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
7
สิ้นเดือนที่ 8 จะได a8 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
8
สิ้นเดือนที่ 9 จะได a9 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
9
สิ้นเดือนที่ 10 จะได a10 =
⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜ 1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝
= 9079.05 = 9090.39 = 9101.76
10
= 9113.13
ดังนั้น สิบพจนแรกของลําดับ คือ 9011.25, 9022.51, 9033.79, 9045.08, 9056.39, 9067.71, 9079.05, 9090.39, 9101.76, 9113.13 6. (1) ให an เปนงบรายจายปกติทถี่ ูกตัดลงเมื่อเวลาผานไป n ป A แทนงบรายจายปกติเปน 2.5 พันลานบาท สิ้นปที่ 1
จะได a1
=
A−
สิ้นปที่ 2
จะได a2
=
4
สิ้นปที่ 3
จะได a3
5
จะได an
100
A−
20 ⎛ 4
⎞
⎜ A⎟ 100 ⎝ 5 ⎠
2
2
= =
⎛4⎞ ⎜ ⎟ A ⎝5⎠
4 5
A 2
=
⎛4⎞ ⎜ ⎟ A ⎝5⎠
=
⎛4⎞ ⎜ ⎟ A ⎝5⎠
3
n
ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป n ป งบรายจายเปน (2) งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 1 เปน
=
(A)
20 ⎛ 4 ⎞ ⎛4⎞ ⎜ ⎟ A− ⎜ ⎟ A 100 ⎝ 5 ⎠ ⎝5⎠
#
สิ้นปที่ n
20
4 5
⎛4⎞ 2.5 ⎜ ⎟ ⎝5⎠
(2.5) 2
งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 2 เปน
⎛4⎞ ⎜ ⎟ (2.5) ⎝5⎠
งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 3 เปน
⎛4⎞ ⎜ ⎟ (2.5) ⎝5⎠
งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 4 เปน
⎛4⎞ ⎜ ⎟ (2.5) ⎝5⎠
3
n
พันลานบาท
= 2
พันลานบาท
= 1.6
พันลานบาท
= 1.28 พันลานบาท
4
= 1.024 พันลานบาท
ดังนั้น งบรายจายในสี่ปแรก หลังถูกตัดงบเปน 2, 1.6, 1.28 และ 1.024 พันลานบาท ตามลําดับ (3) เนื่องจาก
4 5
< 1
จะได
⎛4⎞ lim 2.5 ⎜ ⎟ n →∞ ⎝5⎠
ดังนั้น ลําดับของงบรายจายนี้เปนลําดับลูเขา
n
= 0
38
เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ก 1. (1) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1
=
S2
=
S3
=
1 2 1 1 + 2 6 1 1 1 + + 2 6 18
2 3 13 18
= =
n −1
1 1 1 1⎛1⎞ + + + ... + ⎜ ⎟ 2 6 18 2⎝ 3⎠ ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 2 , 13 , 2 3 18
Sn
=
(2) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = 3 = 3+2 S2 S3 Sn
5
=
19 3
3+2+4
=
3 + 2 + 4 + ... + 3 ⎛⎜ 2 ⎞⎟ 3 ⎝3⎠
3
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 3, 5,
...,
=
=
3n − 1 4 ⋅ 3n −1
= 3n − 1 4 ⋅ 3n −1
, ...
⎛ ⎛2⎞ 9 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎜ ⎝3⎠ ⎝ ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 9 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ... ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎝ ⎠
n −1
=
19 , ..., 3
n
(3) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1
=
S2
=
S3
=
1 2 1 5 + 2 2 1 5 25 + + 2 2 2
=
3
=
31 2
1 5 25 1 1 + + + ... + (5) n −1 = − (1 − 5n ) 2 2 2 2 8 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 3, 31 , ..., − 1 (1 − 5n ) , .... 2 2 8
Sn
=
⎞ ⎟⎟ ⎠
39 (4) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1
=
S2
=
S3
=
Sn
=
1 2 1 1 + (− ) 2 4 1 ⎛ 1⎞ 1 +⎜− ⎟ + 2 ⎝ 4⎠ 8
1 4 3 8
= =
1 ⎛ 1⎞ 1 (−1) n −1 + ⎜ − ⎟ + + ... + 2 ⎝ 4⎠ 8 2n
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ
=
2 + (–1) + (–4) + ... + (5 – 3n)
=
n (7 − 3n) 2
n (7 − 3n) , ... 2
(6) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ =
S2
=
S3
=
Sn
=
3 4 3 9 + 4 16 3 9 27 + + 4 16 64
(7) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = 0 = 0+3 S2
21 16 111 64
= =
3 9 27 ⎛3⎞ + + + ... + ⎜ ⎟ 4 16 64 ⎝4⎠
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ
⎞ ⎟⎟ ⎠
1 –3
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ...,
S1
n
n 1 1 3 1⎛ ⎛ 1 ⎞ ⎞ , , , ..., ⎜⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟⎟ , ... 2 4 8 3⎝ ⎝ 2 ⎠ ⎠
(5) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ = 2 S1 S2 = 2 + (–1) = S3 = 2 + (–1) + (–4) = Sn
1⎛ ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − ⎜ − ⎟ 3 ⎜⎝ ⎝ 2 ⎠
=
n
=
3 21 111 , , , ..., 4 16 64
=
3
⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞ 3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝4⎠ ⎟ ⎝ ⎠ n ⎛ ⎛3⎞ ⎞ 3 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ... ⎜ ⎝4⎠ ⎟ ⎝ ⎠
40 S3
=
0+3+8
Sn
=
0 + 3 + + 8 + ... + (n2 – 1) = ∑ (i 2 − 1) =
=
11 n
i =1
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n (8) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = –1 S2 = –1 + 0 S3 = –1 + 0 + 9 Sn
=
= =
3
+ 3n 2 − 5n 6
2n 3 + 3n 2 − 5n 6
, ...
–1 8
n 3 3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n 2 ∑ (i − 2i ) = 12 i=1 4 3 2 –1, 8, ..., 3n − 2n − 9n − 4n , ... 12
–1 + 0 + 9 + ... +
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, (9) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1
=
S2
=
S3
=
Sn
=
1 10 1 1 − + 10 100 1 1 1 − + − 10 100 1000 −
−
=
n
=
−
1⎛ ⎛ 1⎞ ⎜1 − ⎜ − ⎟ 11 ⎜⎝ ⎝ 10 ⎠
n
⎞ ⎟⎟ ⎠
n 1 9 91 1⎛ ⎛ 1⎞ ⎞ − , − , − , ..., − ⎜⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟⎟ , ... 10 100 1000 11 ⎝ ⎝ 10 ⎠ ⎠
(10) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = 100 S2 = 100 + 10 S3 = 100 + 10 + 1 Sn
−
=
1 1 1 ⎛ −1 ⎞ + − + ... + ⎜ ⎟ 10 100 1000 ⎝ 10 ⎠
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ
9 100 91 − 1000
=
= =
110 111 1000 ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − n ⎟ 9 ⎝ 10 ⎠ 1000 ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − n ⎟ , ... 9 ⎝ 10 ⎠
100 + 10 + 1 + 0.1 + ... + 103 – n =
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 100, 110, 111, ...,
41 (11) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มีดังนี้ S1 = 1 S2 = 1–2 = 1–2+3 S3 S4 = 1–2+3–4 S5 = 1–2+3–4+5 S6 = 1–2+3–4+5–6
= = = = =
–1 2 –2 3 –3
ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... 2. (1)
1 1 1 1⎛1⎞ + + + ... + ⎜ ⎟ 2 6 18 2⎝ 3⎠
n −1
+ ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี r = 1 2
ดังนั้น อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขาที่มีผลบวกเปน
1−
1 3
=
1 3
ซึ่ง | r | < 1
3 4
(2) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 9 (3) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ
1 , 2
3,
31 , ..., − 1 (1 − 5n ) , ... 2 8
ลําดับนี้ไมมีลิมิต
ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (4) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน
1 3
(5) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ...,
n (7 − 3n) , ... 2
ลําดับนี้ไมมีลิมิต
ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (6) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 3 (7) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n
3
+ 3n 2 − 5n 6
, ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต
ดังนั้น อนุกรมทีก่ ําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (8) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, –1, 8, ...,
3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n 12
, ... ลําดับนี้
ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (9) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน (10) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน
1 11 1000 9 −
(11) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมทีก่ ําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
42 3. (1) จะได
4 + 1 8 + 1 16 + 1 + + + ... 9 27 81
1 ⎛ 4 8 16 ⎞ ⎛1 1 ⎞ + + ... ⎟ + ⎜ + + + ... ⎟ ⎜ + 9 27 81 9 27 81 ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 4 1 9 + 9 2 1 1− 1− 3 3 4 ⎛ ⎞ ⎛ 1 ⎞⎛ 3 ⎞ ⎜ ⎟ (3) + ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝9⎠ ⎝ 9 ⎠⎝ 2 ⎠ 4 1 + 3 6 3 2
= = = = =
(2) อนุกรม
3+
จะได
3 3 3 3 1 + + + ... + n −1 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 2 2 4 8 2 3 3 3 3 3 = 3 + + + + ... + n −1 + ... 1 2 4 8 2 1− 2 3 = 1 2
= (3) เมื่อ x เปนจํานวนจริง จะได
1 2+x
2
+
1
เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ เนื่องจาก x2
0 ดังนัน้ 2 + x2
≥
≥
+
2 2 (2 + x )
6 1 2 3 (2 + x )
+ ... +
1 2 n (2 + x )
1 2+x
2
1 ≤ 2 2 2+x 1
2 ซึ่งทําให
<1 1
ดังนัน้
1 2+x
2
+
1 2 2 (2 + x )
+
1 2 3 (2 + x )
+ ... +
1 2 n (2 + x )
+ ...
= =
4.
i
0.9
= =
ดังนั้น
0.9999... 0.9 + 0.09 + 0.009 + 0.0009 + ...
9 9 9 9 + 2 + 3 + 4 + ... 10 10 10 10 9 9 9 1 + 2 + 3 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิต ที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 10 10 10 10 9 9 9 9 10 + + + ... = 1 10 102 103 1− 10 ⎛ 9 ⎞⎛ 10 ⎞ = ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝ 10 ⎠⎝ 9 ⎠
=
เนื่องจาก
2 2+x 1 1− 2 2+x 1 2 x +1
+ ...
43
จะได 5. (1)
i
0.9
= 1 = 1
i i
0.21
= =
0.212121... 0.21 + 0.0021 + 0.000021 + ...
=
21 21 21 + + + ... 102 104 106 21 102 1 1− 2 10 2 ⎛ 21 ⎞ ⎛ 10 ⎞ ⎟ ⎜ 2 ⎟⎜ ⎝ 10 ⎠ ⎝ 99 ⎠
= =
(2)
i
i
0.610 4
=
21 99
= =
0.6104104... 0.6 + 0.0104 + 0.0000104 + 0.0000000104 + ...
=
6 104 104 104 + + + + ... 10 104 107 1010 104 4 6 + 10 10 1 − 1 103 6 104 + 10 9990 5994 + 104 9990 6098 9990
= = = = (3)
i i
7.256
=
7 33
= =
7.25656... 7 + 0.2 + 0.056 + 0.00056 + 0.0000056 + ...
=
2 56 56 56 + + + + ... 10 103 105 107 56 3 2 7 + + 10 10 1 − 1 102 2 56 7+ + 10 990 198 + 56 7+ 990
= = =
7+
44 = = (4)
i i
4.387
= =
4.38787... 4 + 0.3 + 0.087 + 0.00087 + 0.0000087 + ...
=
3 87 87 87 + + + + ... 10 103 105 107 87 3 3 4 + + 10 10 1 − 1 102 3 87 4+ + 10 990 297 + 87 4+ 990 384 4 990 192 4 495
= = = = = (5)
i i
0.073
0.07373... 0.073 + 0.00073 + 0.0000073 + ...
=
73 73 73 + + + ... 103 105 107 73 103 1 1− 2 10 73 990
= i
2.9
4+
= =
=
(6)
254 990 127 7 495 7
= =
2.999 ... 2 + 0.9 + 0.09 + 0.009 + ...
=
9 9 9 + 2 + 3 + ... 10 10 10 9 2 + 10 1 1− 10 9 2+ 9
= = =
2+
3
45 6. เพราะวา 1 + x + x2 + x3 + ... + xn–1 + ... =
2 3
และเนื่องจาก a1 = 1 , r = x 2 3
=
1 1− x
2 – 2x
=
3
=
−
จะไดวา ∴
x
1 2
7. จาก a1 + a1r + a1r2 + a1r3 + ... = และ a1 – a1r + a1r2 – a1r3 + ... = จาก (1), จาก (2), (3) + (4), จาก (3) จะได
3 2 3 4
a1 1− r a1 1+ r
จะได จะได
3 2 3 4
= =
2a1 + 3r 4a1 – 3r 6a1 ∴ a1
= = = =
3 3 6 1
r
=
3− 2 3
---------- (1) ---------- (2) ---------- (3) ---------- (4)
=
1 3
=
25 2
=
5 2 2
8. (1) รูปสี่เหลี่ยมจัตรุ ัสรูปแรกมีดานยาว 5 หนวย ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สองยาว
2
⎛5⎞ ⎛5⎞ ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ ⎝2⎠ ⎝2⎠
ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สองมีเสนรอบรูปยาว (2) ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สามยาว
2
10 2
2
หนวย
หนวย
⎛5 2 ⎞ ⎛5 2 ⎞ ⎜⎜ ⎟⎟ + ⎜⎜ ⎟⎟ ⎝ 4 ⎠ ⎝ 4 ⎠
2
5 2
=
หนวย
รูปสี่เหลี่ยมจัตรุ ัสรูปที่สามมีเสนรอบรูปยาว 10 หนวย 2
2
⎛5⎞ ⎛5⎞ ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ ⎝4⎠ ⎝4⎠ รูปสี่เหลี่ยมจัตรุ ัสรูปที่สี่มีเสนรอบรูปยาว 5 2 หนวย
ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สี่ยาว
=
5 2 4
จะได ผลบวกของเสนรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเปน 20 + 10
หนวย 2
+ 10 + 5 20
=
2 2 20(2 + 2)
1−
= 9. ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปแรก เทากับ 30 นิ้ว ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สอง เทากับ 15 นิ้ว ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สาม เทากับ
15 2
นิ้ว
2
+ ...
46 ผลบวกของความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดคือ 30 + 15 + 15 + ... 2 30 1 1− 2
=
= 60 ∴ ผลบวกความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดมีคา 60 นิ้ว 10. การแกวงครั้งแรกจากจุดไกลสุดดานหนึ่งไปอีกดานหนึง่ ไดระยะทาง 75 เมตร การแกวงครั้งที่สองไดระยะทาง 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ เมตร ⎝5⎠
การแกวงครั้งที่สามไดระยะทาง การแกวงครั้งที่สี่ไดระยะทาง
2
⎛3⎞ ⎛3⎞ ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟ ⎝5⎠ ⎝5⎠
⎛3⎞ ⎛3⎞ ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟ ⎝5⎠ ⎝5⎠
2
= 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ เมตร ⎝5⎠ 3
= 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ เมตร ⎝5⎠
ระยะทางที่ไดจากการแกวงครั้งใหมเปนเชนนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น เรือไวกิ้งจะแกวงไปมาตั้งแตเริ่มตนจากจุดสูงสุดเปนระยะทางเทากับ 2
3
⎛
3 ⎞ ⎛3⎞ + ⎜ ⎟ + ... ⎟ ⎟ 5 ⎝5⎠ ⎝5⎠ ⎠
75 + 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + ... = 75 ⎜1 + 3 + ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ⎝5⎠
⎝5⎠
⎜ ⎝
⎝5⎠
=
2
⎛ ⎞ ⎜ 1 ⎟ 75 ⎜ 3 ⎟ ⎜⎜ 1 − ⎟⎟ ⎝ 5⎠
= 75 ⎛⎜ 5 ⎞⎟ ⎝2⎠
= 187.5
เมตร
11. (1) ให an เปนระยะทางที่สารพิษแพรกระจายตอจากตําแหนงเดิมเมื่อเวลาผานไป n ป กําหนด a1 = 1500 , a2 = 900 , a3 = 540 สังเกตวา 900 = 540 = 3 1500
900
5
สมมติให an เปนลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรกเปน 1500 และมีอัตราสวนรวมเปน ให S10 เปนผลบวกของระยะทางที่สารพิษแพรกระจายไปไดเมื่อสิ้นปที่สิบ จะได
S10
= =
1500 + 900 + 540 + ... + 1500 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ⎝5⎠ 10 ⎛ ⎛3⎞ ⎞ 1500 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝5⎠ ⎟ ⎝ ⎠ 3 1− 5
9
3 5
47 = =
10 ⎛ 5 3 ⎞ (1500 ) ⎜⎜1 − ⎜⎛ ⎟⎞ ⎟⎟ 2 ⎝ ⎝5⎠ ⎠
⎛
⎞ ⎟⎟ ⎝5⎠ ⎠ 10
3750 ⎜⎜1 − ⎜⎛ 3 ⎟⎞ ⎝
= 3727.325 เมื่อสิ้นปที่สิบ สารพิษจะแพรกระจายไปได 3727.325 เมตร (2) เพราะวา ผลบวกอนันตของอนุกรมนี้เทากับ
1500 3 1− 5
= 3750
ดังนั้น สารพิษจะแพรกระจายไปไดไกลทีส่ ุด 3,750 เมตร ซึ่งไปไมถึงโรงเรียน 12. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม Sn =
(
a1 1 − r n 1− r
) =
⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 1⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎝ ⎠ 1−
2
=
3
S1 = 1 S3 = S5 = S7 = S9 = S11 =
2
2 ⎛2⎞ ⎛2⎞ 1 + + ⎜ ⎟ + ... + ⎜ ⎟ 3 ⎝3⎠ ⎝3⎠
9 211
81 2059 729 19171 6561 175099 59049
+ ...
⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎝ ⎠
S2 =
19
n −1
= 2.1111
S4 =
= 2.6049
S6 =
= 2.8244
S8 =
= 2.9219
S10 =
5 3 65 27 665
243 6305 2187 58025 19683
= 1.6666 = 2.4074 = 2.7366 = 2.8829 = 2.9479
= 2.9653
เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 1 จะได 2 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.2 จะได 2.8 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.05 จะได 2.95 ≤ Sn < 3 จะได n ที่นอ ยที่สุด ตามเงือ่ นไขขางตนเปน n = 3, n = 7 และ n = 11 ตามลําดับ 13. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม โดยใชเครื่องคํานวณ จะได S1
=
1
S2
=
3 2
1 1 1 1 + + + ... + + ... 2 3 n
=
1.500
48 S3
=
11 6
=
1.833
S4
=
25
=
2.083
S5
=
137
=
2.283
S6
=
49
=
2.450
S7
=
363
=
2.592
S8
=
=
2.717
S9
=
7129
=
2.828
S10
=
7381
=
2.928
S11
=
83711 27720
=
3.019
S12
=
86021 27720
=
3.103
S13
=
1145993 360360
=
3.180
S14
=
1171733 360360
=
3.251
S15
=
1195757 360360
=
3.318
S16
=
2436559 720720
=
3.380
S17
=
42142223 12252240
=
3.439
S18
=
14274301 4084080
=
3.495
S19
=
275295799 77597520
=
3.547
12
60
20
140 761 280
2520
2520
49
ดังนั้น
n n n
S20
=
55835135 15519504
=
3.597
S21
=
18858053 5173168
=
3.645
S22
=
19093197 5173168
=
3.690
S23
=
444316699 118982864
=
3.734
S24
=
1347822955 356948592
=
3.775
S25
=
34052522467 8923714800
=
3.815
S26
=
34395742267 8923714800
=
3.854
S27
=
312536252003 80313433200
=
3.891
S28
=
315404588903 80313433200
=
3.927
S29
=
9227046511387 2329089562800
=
3.961
S30
=
9304682830147 2329089562800
=
3.994
S31
=
290774257297357 72201776446800
=
4.027
ที่นอยทีส่ ุด เมื่อ Sn มากกวา 2 คือ 4 ที่นอยทีส่ ุด เมือ่ Sn มากกวา 3 คือ 11 ที่นอยทีส่ ุด เมือ่ Sn มากกวา 4 คือ 31
14. (1) ไมถูกตอง เพราะ 1 + 2 + 4 + 8 + 16 + 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนุกรมนี้มีอัตราสวนรวมเปน 2 ซึ่ง | 2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได (2) ไมถูกตอง เพราะ 1 – 2 + 4 – 8 + 16 – 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนุกรมนี้มีอัตราสวนรวมเปน –2 ซึ่ง | –2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได
50 15.
Sn
a1 (1 − r n ) 1− r
=
⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞ 160 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝2⎠ ⎟ ⎝ ⎠
2110 =
1−
n 16.
=
3 2
5
ใหพจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตเปน a และมีอัตราสวนรวมเปน r จะได a + ar = –3 ar4 + ar5
และ
=
− 1
แกระบบสมการขางตน จะได r = ถา r =
1 2 1
ถา r = –
2
2
16
หรือ – 1
2
แลวจะได a = –2 แลวจะได a = –6
ผลบวก 8 พจนแรกของอนุกรมนี้เทากับ 18.
3
−
255
ทั้งสองกรณี
64
เดิมมีแบคทีเรีย 1000 ตัว เมื่อเวลาผานไป 1 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย
120
เมื่อเวลาผานไป 2 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย
⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠
เมื่อเวลาผานไป 3 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย
⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠
100
(1000) = 1200 ตัว
3
ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป t ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย เมื่อ t = 10 จะได a10 =
10
⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠
(1000)
2
≈
(1000) = 1440 ตัว (1000) = 1728 ตัว
⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠
t
(1000)
6191 ตัว
51
เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ข 4
1. (1) ∑ 2i i =1 52
(2) ∑ ( i + 2 )
=
2+4+6+8
=
(1 + 2) + (2 + 2) + (3 + 2) + ... + (50 + 2) + (51 + 2) + (52 + 2)
i =1 4
(3) ∑ (10 − 2k ) =
(10 – 2) + (10 – 4 ) + (10 – 6) +(10 – 8)
(4) ∑ ( i
(12 + 4) + (22 + 4) + (32 + 4) + ... + (182 + 4) + (192 + 4) + (202 + 4)
k =1 20
2
i =1
+ 4)
=
5
2. (1) ∑ 3j = 3(1) + 3(2) + 3(3) + 3(4) + 3(5) j=1
= 3 + 6 + 9 + 12 + 15 = 45 = 8 + 8 + 8 + ... + 8
50
(2) ∑ 8 k =1
(3)
50 จํานวน = 8 x 50 = 400 12(1 – 3) + 22(2 – 3) + 32(3 – 3) + 42(4 – 3) ∑ i ( i − 3) = = –2 – 4 + 0 + 16 = 10 k+4 2+ 4 3+ 4 4+ 4 5+ 4 6+ 4 = + + + + ∑ 4
2
i =1
(4)
6
k =2
2 −1 3 −1 4 −1 7 8 9 6+ + + +2 2 3 4 197 12
k −1
= = (5)
5
∑(k k =1
(6)
10
2
+ 3)
i =1
(12 + 3) + (22 + 3) + (32 + 3) + (42 + 3) + (52 + 3)
= =
4 + 7 + 12 + 19 + 28 70
10
i =1 10
= ∑i i =1
=
6 −1
=
∑ (i − 2) = ∑ (i 3
5 −1
3
3
− 6i 2 + 12i − 8 ) 10
10
10
i =1
i =1
− 6∑ i 2 + 12∑ i − ∑ 8 i =1
2
⎛ 10 (10 + 1) ⎞ ⎛ (10 )(10 + 1) ⎞ ⎛ 10 ⎞ ⎜ ⎟ − 6 ⎜ (10 + 1)( 20 + 1) ⎟ + 12 ⎜ ⎟ − 80 2 2 ⎝6 ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 3025 – 2310 + 660 – 80 = 1295
52 (7)
15
∑ ( i + 5)
15
∑i
=
15(16)
=
195
=
20
i =1
(8)
15
=
+ ∑5
i =1
20
∑ ( 2i + 1)
i =1
2
9
∑ ( 2i + 1) – ∑ ( 2i + 1)
i =10
i =1 20
=
i =1
2∑ i i =1
(9)
+ 5(15)
20
9
9
i =1
i =1
i =1
+ ∑1 – 2 ∑ i – ∑1
=
2(20)(21)
= =
420 + 20 – 90 – 9 341
2
15
15
∑(k
=
∑ ( k + 5) (k − 5) k =1
k =1 15
2
− 25 ) 15
2
k =1
k =1
=
15(16)(31)
= =
1240 – 375 865
6
3. (1) 1⋅3 + 2⋅4 + 3⋅5 + ... + n(n + 2) + ... 1 1 1 1 + + + ... + 4 5 6 n
4. (1)
2+ 1
+
n
∑ 6i = i =1
1 3+ 2
∑ n ( n + 2) n =1 n
+
1
i=4 ∞
∑ ar
4+ 3
n
6∑ i i =1
=
⎛ n ( n + 1) ⎞ 6⎜ ⎟ 2 ⎝ ⎠
=
3n(n + 1)
p+i
i =0 n
∑ 2i i =1 ∞
=
∑3 n =1
+ ... +
1
∑i
=
1 1 1 1 + + + ... + + ... 3 6 12 3 ( 2n −1 ) 1
∞
=
=
(4) 2 + 4 + 6 + ... + 2n
(6)
– 15(25)
=
(3) arp + arp + 1 + arp + 2 + ... + arp + q + ...
(5)
–9
2
∑ k – ∑ 25
=
(2)
2(9)(10)
+ 20 –
1 n + n −1
1 ( 2n −1 )
+ ...
∞
= ∑ n =2
1 n + n −1
53 (2)
k
∑ ( 2i + 1)
=
i =1
(3)
m
∑3⋅ 4
i
n
∑ (i i =1
2
− i)
i =1
i =1
⎛ k ( k + 1) ⎞ 2⎜ ⎟+k 2 ⎝ ⎠
= =
k2 + k + k k2 + 2k
=
3∑ 4i
m
i =1
=
3(4 + 42 + 43 + ... + 4m)
=
⎛ ( 4 ) (1 − 4m ) ⎞ ⎟ 3⎜ ⎜ 1− 4 ⎟ ⎝ ⎠
=
4m + 1 – 4 n
n
i =1
i =1
=
∑ i 2 −∑ i
=
n(n + 1)(2n + 1) – n(n + 1) 6 2 n(n + 1) ⎛ 2n + 1 ⎞ ⎜ 3 − 1⎟ 2 ⎝ ⎠ n(n + 1) ⎛ 2n + 1 − 3 ⎞ ⎜ ⎟ 2 3 ⎝ ⎠ n(n + 1)(2n − 2) 6 n(n + 1)(n − 1) 3 3 n −n 3
= = = = = 5. (1)
k
=
i =1
(4)
k
2∑ i + ∑ 1
10
=
1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1) + ...
∑ n ( n + 1) n =1 10
=
2
n =1
(2)
n =1
=
10(11)(12) 10 (11) + 6 2
= =
385 + 55 440
1 ⋅ 4 ⋅ 7 + 2 ⋅ 5 ⋅ 8 + 3 ⋅ 6 ⋅ 9 + ... + n(n + 3)(n + 6) + ...
= =
10
∑n + ∑n
10
∑ n ( n + 3)( n + 6 ) n =1 10
10
10
n =1
n =1
n =1
∑ n 3 + 9∑ n 2 + 18∑ n
54
(3)
=
⎛ 10 (11) ⎞ 9 (10 )(11)( 21) 18 (10 )(11) + ⎜ ⎟ + 6 2 ⎝ 2 ⎠
= =
3025 + 3465 + 990 7480
2
2 1(2 + 3) + 4(4 + 3) + 9(6 + 3) + 16(8 + 3) + ... + n (2n + 3) + ...
= =
10
∑ n ( 2n + 3) 2
n =1 10
10
2∑ n 3 + 3∑ n 2 i =1
(4)
=
⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21) 2⎜ ⎟ + 6 ⎝ 2 ⎠
= =
6050 + 1155 7205
2
12 + 32 + 52 + 7 2 + ... + (2n − 1) 2 + ...
= = =
10
∑ ( 2n − 1) n =1 10
∑ (4n n =1 10
2
2
− 4n + 1) 10
10
n =1
n =1
4∑ n 2 − 4 ∑ n + ∑1 n =1
(5)
n =1
=
⎛ (10 )(11) ⎞ ⎛ 10(11)(21) ⎞ 4⎜ ⎟ + 10 ⎟ − 4⎜ 6 2 ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= =
1540 – 220 + 10 1330
⎛ 1⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1⎞ 1⎜ 1 + ⎟ + 2 ⎜ 1 + ⎟ + 3 ⎜ 1 + ⎟ + ... + n ⎜ 1 + ⎟ + ... ⎝ 1⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎝ 3 ⎠ ⎝ n⎠
= ∑ n ⎛⎜1 + 1 ⎞⎟ ⎝ n⎠ 10
n =1
10
= ∑ ( n + 1) n =1
10
10
n =1
n =1
= ∑ n + ∑1 =
10 (11)
= 65 6. (1)
1 ⋅ 2 ⋅ 3 + 2 ⋅ 3 ⋅ 4 + 3 ⋅ 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1)(n + 2) + ... + 10 ⋅ 11 ⋅ 12
=
10
∑ n ( n + 1)( n + 2 ) n =1
2
+ 10
55 =
(2)
10
10
10
n =1
n =1
n =1
∑ n 3 + 3∑ n 2 + 2∑ n
=
⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21) 2 (10 )(11) + ⎜ ⎟ + 6 2 ⎝ 2 ⎠
= =
3025 + 1155 + 110 4290
2
1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + ... + n(n + 1) + ... + 99 ⋅ 100
=
99
∑ n ( n + 1) n =1
= = = =
99
99
n =1
n =1
∑ n2 + ∑ n
99 (100 )(199 ) 6
+
99 (100 ) 2
328350 + 4950 333300
(3) จํานวนเต็มระหวาง 1 ถึง 100 ทีห่ ารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 คือ 7, 11, 15, ... , 99 24
อนุกรม 7 + 11 + 15 + ... + (4n + 3) + ... + 99 เขียนแทนดวย ∑ ( 4n + 3) n =1
24
จะได ∑ ( 4n + 3)
=
24
24
n =1
n =1
4∑ n + ∑ 3
n =1
4 ( 24 )( 25 )
=
2
+ ( 24 )( 3)
= 1200 + 72 = 1272 ผลบวกของจํานวนเต็มทัง้ หมดระหวาง 1 ถึง 100 ทีห่ ารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 เปน 1272 7. (1)
n
1
⎛1
1 ⎞
=
Sn
1 ⎞ ⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 ⎜ 1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝3 4⎠ ⎝ n n +1⎠ n 1 = 1− n +1 n +1 20 21
i =1
= =
S20 = (2)
n
∑ i ( i + 1)
n
1
i =1
∑ ( 2i − 1)( 2i + 1) i =1
Sn
=
∑ ⎜⎝ i − i + 1 ⎟⎠
=
1 n ⎛ 1 1 ⎞ − ∑ ⎜ ⎟ 2 i =1 ⎝ 2i − 1 2i + 1 ⎠
1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞⎤ ⎛ 1 − ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ ⎟⎥ ⎢ 2 ⎣⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ 5 7 ⎠ ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ ⎦
56 = S20 =
1⎛ 1 ⎞ ⎜1 − ⎟ 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 20 41
(3) ให Sn
=
จะได a1
=
a2
=
a3
=
n
n
=
2n + 1
1
∑ i ( i + 1)( i + 2 ) i =1
1 1⋅ 2 ⋅ 3 1 2⋅3⋅ 4 1 3⋅ 4 ⋅5
= = =
1⎛ 1 1 ⎞ − ⎜ ⎟ 2 ⎝ 1⋅ 2 2 ⋅ 3 ⎠ 1⎛ 1 1 ⎞ − ⎜ ⎟ 2 ⎝ 2 ⋅3 3⋅ 4 ⎠ 1⎛ 1 1 ⎞ − ⎜ ⎟ 2 ⎝ 3⋅ 4 4⋅5 ⎠
#
Sn
=
=
a1 + a2 + a3 + ... + an =
= S20 = (4)
n
1 ∑ i =1 i ( i + 2 )
Sn
1 n ( n + 1)( n + 2 )
an
=
⎞ 1⎛ 1 1 − ⎜⎜ ⎟ 2 ⎝ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎟⎠
⎛ ⎞⎤ 1 ⎡⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 1 − ⎢⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜⎜ ⎟⎟ ⎥ 2 ⎢⎣⎝ 2 6 ⎠ ⎝ 6 12 ⎠ ⎝ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎠ ⎥⎦
⎞ 1⎛1 1 ⎜⎜ − ⎟ 2 ⎝ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎟⎠ 1⎛1 1 ⎞ ⎜ − ⎟ 2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠
=
=
115 462
1 n ⎛1 1 ⎞ ∑ ⎜ − ⎟ 2 i =1 ⎝ i i + 2 ⎠
=
1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞⎤ ⎛1 ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟⎥ ⎢ 2 ⎣⎝ 3 ⎠ ⎝ 2 4 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ n n + 2 ⎠⎦
=
1⎡ 1 1 1 ⎤ 1+ − − ⎢ 2 ⎣ 2 n + 1 n + 2 ⎥⎦
=
⎞ 1⎛3 2n + 3 ⎜⎜ − ⎟⎟ 2 ⎝ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎠
S20 =
1⎛3 43 ⎞ ⎜ − ⎟ 2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠
=
325 462
8. (1) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้ Sn = 1 + 2⋅2 + 3⋅22 + 4⋅23 + ... + n⋅2n–1
---------- (1)
(1) × 1 , 2Sn =
1⋅2 + 2⋅22 + 3⋅23 + ... + (n – 1)⋅2n–1 + n⋅2n
(1) – (2), –Sn =
1 + (2 – 1)2 + (3 – 2)22 + (4 – 3)23 + … + (n – n + 1)2n-1 – n⋅2n
5
---------- (2)
57 =
1 + 2 + 22 + 23 + ... + 2n–1 – n⋅2n
–Sn
=
1(1 − 2n ) − n ⋅ 2n 1− 2
–Sn Sn จะได S10
= = = = =
–1(1 – 2n) – n⋅2n (1 – 2n) + n⋅2n (1 – 210) + 10⋅210 –1023 + 10240 9217
(2) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้ Sn
=
(1) × (2),
1 Sn = 5 4 Sn = 5
(1) – (2),
= 4 Sn 5
=
4 Sn 5
=
Sn
= S10 =
จะได 9. (1)
2n + 1 n ( n + 1) 2
ให Sn
2
1 1 1 1 ---------- (1) 1 ⋅ + 2 ⋅ 2 + 3 ⋅ 3 + ... + n ⋅ n 5 5 5 5 1 1 1 1 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + ... + (n − 1) ⋅ n + n ⋅ n +1 ---------- (2) 5 5 5 5 1 1 1 1 1 + (2 − 1) ⋅ 2 + (3 − 2) ⋅ 3 + ... + (n − (n − 1)) ⋅ n − n ⋅ n +1 5 5 5 5 5 1 1 1 1 1 + + + ... + n − n ⋅ n +1 5 52 53 5 5 n 1⎛ ⎛1⎞ ⎞ ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ 5 ⎜⎝ ⎝ 5 ⎠ ⎟⎠ 1 − n ⋅ n +1 1 5 1− 5 1 1 1 (1 − n ) − n ⋅ n +1 4 5 5 5 1 1 (1 − n ) − n ⋅ 16 5 4 ⋅ 5n 5 1 1 (1 − 10 ) − 16 5 2 ⋅ 59
=
1 1 − 2 2 n ( n + 1)
=
3 5 7 2n + 1 + + + ... + 2 2 1 ⋅ 4 4 ⋅ 9 9 ⋅ 16 n ( n + 1)
=
⎛ 1 1 ⎞ ⎛1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎜ ⎟ − + − + + − ... ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ n 2 ( n + 1)2 ⎟ ⎝1 4 ⎠ ⎝ 4 9 ⎠ ⎝ ⎠
=
1−
=
n 2 + 2n
1
( n + 1)
( n + 1)
ผลบวก n พจนแรก เปน
2
2
n 2 + 2n
( n + 1)
2
58 2 −1 + 1⋅ 2 1 ⎞ ⎛ 1 ⎛ − ⎜1 − ⎟+⎜ 2⎠ ⎝ 2 ⎝ 1 1− n +1
=
(2) ให Sn = =
ผลบวก n พจนแรก เปน ∞
10. (1) เนื่องจาก ∑ e
−(n −1)
=
n =1
Sn
n +1
∞
⎛1⎞ ∑ ⎜⎝ e ⎟⎠ n =1
n −1
⎠
1 e
1 1− n lim e n →∞ 1 1− e
=
n →∞
1
1 1 1 1+ + + ... + 2 n e e e −1 1 ⎞ ⎛ 1⎜1 − n ⎟ e 1−
lim Sn
n +1 − n n n +1 1 1 ⎞ − ⎟ n n +1 ⎠
=
⎝
=
1−
3− 2 2− 3 + + ... + 2⋅ 3 3⋅2 1 ⎞ ⎛ 1 1⎞ ⎛ − ⎟ + ... + ⎜ ⎟+⎜ 3⎠ ⎝ 3 2⎠ ⎝
e
=
e −1
e e −1
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ (2) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 3, –5, 11, ... อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูออก (3) Sn =
9
+
9
+
9
+ ... +
9
100 1002 1003 100n 9 ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − n⎟ ⎠ = 1 ⎛1 − 1 ⎞ = 100 ⎝ 100 ⎜ ⎟ 1 11 ⎝ 100n ⎠ 1− 100 1⎛ 1 ⎞ 1 = lim Sn = lim ⎜ 1 − ⎟ n n →∞ 11 n →∞ 11 ⎝ 100 ⎠ 1
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ (4) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ เนื่องจาก
lim
n →∞
5n n +1
5 2
,
10 15 3
,
4
,
20 5
11
,
= 5
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 5
25 6
, ...,
5n n +1
, ...
59 (5)
∞ 2n + 1 ∑ n =1 n 2 (n + 1) 2
Sn = = lim Sn n →∞
=
⎞ ∞ ⎛ 1 1 − ∑ ⎜ ⎟ n =1⎜⎝ n 2 (n + 1) 2 ⎟⎠
⎛ 1 ⎞ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎛ 1 − + − + − + ... + − ⎜ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ n 2 (n + 1) 2 ⎟⎟ ⎝ 22 ⎠ ⎝ 22 32 ⎠ ⎝ 32 42 ⎠ ⎝ ⎠ 1−
=
1 (n + 1) 2
⎛ ⎞ 1 lim ⎜1 − 2 ⎟⎟ n →∞ ⎜ ⎝ (n + 1) ⎠
= 1
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1 (6) Sn = = lim Sn n →∞
1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞ ⎛ ⎛ 1 − − − ⎜1 − ⎟+⎜ ⎟ ⎟+⎜ ⎟ + ... + ⎜ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝ 3 4⎠ n +1 ⎠ ⎝ ⎝ n 1−
=
1
n +1
1 ⎞ ⎛ lim ⎜1 − ⎟ n →∞ n +1 ⎠ ⎝
= 1
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1 (7) อนุกรมที่กําหนดใหเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = เนื่องจาก | r | < 1 อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขา
16 5
และ r =
4 5
16
และมีผลบวกเทากับ
(8)
∞ 1 ∑ 2 n =1 4n − 1
Sn = = lim Sn
n →∞
a1 1− r
=
5 1−
4
= 16
5
1 ∞ 2 ∑ 2 n =1 (2n + 1)(2n − 1) ∞ = 1 ∑ ⎛⎜ 1 − 1 ⎞⎟ 2 n =1⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ 1 ⎛⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞⎞ ⎛ 1 − ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ ⎟⎟ ⎜ 2 ⎝⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ 5 7 ⎠ ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ ⎠ 1⎛ 1 ⎞ ⎜1 − ⎟ 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 1⎛ 1 ⎞ 1 1− = lim = ⎜ ⎟ n →∞ 2 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 1
=
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ
2
60 11. ใหอนุกรมนี้คอื a1 + a2 + a3 + ... + an + ... โดยที่ an = 2n – 5 15
จะได ผลบวกของ 15 พจนแรกของอนุกรมนี้ คือ ∑ a n = n =1
= =
15 ∑ (2n − 5) n =1 15 15 2 ∑ n– ∑ 5 n =1 n =1 ⎛ 15(16) ⎞ 2⎜ ⎟ –15(5) ⎝ 2 ⎠
= 240 – 75 = 165 12. (1) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวคือ 16, 24, 32, ..., 192 เพราะวา an = a1 + (n – 1)8 จะได 192 = 16 + (n – 1)8 n
=
⎛ 192 − 16 ⎞ ⎜ ⎟ +1 8 ⎝ ⎠
n
=
23
จาก
Sn
=
จะได
S23
=
n (a1 + a n ) 2 23 (16 + 192) 2
= 2392 ดังนัน้ ผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวเทากับ 2392 (2) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 คือ 10, 11, 12, ..., 198 ซึ่งมี 189 จํานวน จะได
S189
=
189 (10 + 198) 2
= 19656 ผลบวกของจํานวนเต็มทีอ่ ยูระหวาง 9 กับ 199 เปน 19656 จะไดผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารไมลงตัวเปน 19656 – 2392 = 17264 13. (1) e (2) π (3) ln 2
102 จาก f ( x ) = x 2 + 4x ให A เปนพืน้ ที่ปดลอมดวยกราฟของ −4
∫ f (x ) dx −
A =
−5
=
–4
3
1
0
∫ f (x ) dx +
−4
3 x + 2x 2 ) – ( ( x + 2x 2 ) 3 –5 3 7 32 7 + + 3 3 3 46 ตารางหนวย 3
(
=
=
กับแกน X จาก x = –5 ถึง x = 1
y = x 2 + 4x
∫ f (x ) dx 0 0 x )+(
–4
3
3
+ 2x 2 )
1 0
เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ก 1. (1)
x −2 x →4 x − 4 lim
x f(x) (2)
lim
3.9 0.25158 x−2
x →2 x 2 + x − 6
x f(x) (3)
x f(x) (4)
ex − 1 x →0 x lim
x f(x)
= 1
–0.1 0.95163
3.999 0.25002 1 5
= 0.2 หรือ 1.99 0.20040
= 0.33 หรือ
0.9 0.36900
ดังตาราง
3.99 0.25016
1.9 0.20408
x −1 lim 3 x →1 x − 1
1 4
= 0.25 หรือ
1 3
x f(x)
4.001 0.24998
4.01 0.24984
4.1 0.24846
ดังตาราง 1.999 0.20004
x f(x)
2.001 2.01 2.1 0.19996 0.19960 0.19608
ดังตาราง
0.99 0.33669
0.999 0.33367
x f(x)
1.001 0.33300
1.01 0.33002
1.1 0.30211
ดังตาราง –0.01 0.99502
–0.001 0.99950
x f(x)
0.001 1.00050
0.01 1.00502
0.1 1.05171
103 (5)
sin x x →0 x lim
x f(x) x f(x) (6)
lim x ln x
x →0 +
x f(x) 2. (1) (2)
1
0.5
0.1
0.05
0.01
0.84147
0.95885
0.99833
0.99958
0.99998
–1
–0.5
–0.1
–0.05
–0.01
0.84147
0.95885
0.99833
0.99958
0.99998
0.001 –0.00691
0.0001 –0.00092
0.00001 –0.00012
= 0 ดังตาราง
lim f (x)
= 2
lim f (x)
= 3
x →1− x →1+
ดังนั้น (4) เนื่องจาก ดังนั้น (5) f(5) 3. (1) เนื่องจาก ดังนั้น
(3)
ดังตาราง
0.1 –0.23026
(3) เนื่องจาก
(2)
=1
0.01 –0.04605
lim f (x) ≠ lim f (x) x →1+
x →1−
lim f (x)
x →1
lim f (x)
=
lim f (x)
= 4
x →5−
x →5
lim f (x)
=
lim f (x)
= 3
x →0−
x →0
=
4
lim f (x)
=
2
x →3+
lim f (x)
x →5+
= 4
ไมนิยาม
lim f (x)
x →3−
หาคาไมได
lim f (x)
x →0+
= 3
104 (4) เนื่องจาก ดังนั้น
lim f (x) ≠ lim f (x)
x →3−
x →3+
lim f (x)
x →3
หาคาไมได
(5) f(3) = 3 4. (1) (2)
lim g ( t )
= –1
lim g( t )
= –2
t →0−
t →0+
(3) เนื่องจาก ดังนั้น (4) (5)
lim g ( t ) ≠ lim g(t)
lim g( t ) หาคาไมได
t→0
lim g(t) t →2−
= 2
lim g( t )
= 0
t →2+
t →0+
t →0−
(6) เนื่องจาก
lim g(t) ≠ lim g ( t )
t →2−
t →2 +
lim g ( t ) หาคาไมได
ดังนั้น
t→2
(7) g(2) = 1 (8) เนื่องจาก ดังนั้น 5. (1) (2)
lim g(t)
t →4−
lim g(t)
t →4
lim f (x)
=
–1
lim f ( x )
=
0
x →1−
x →1+
(3) เนื่องจาก ดังนั้น
=
lim f ( x )
x →1+
lim f ( x ) หาคาไมได
x→1
= 3
= 3
lim f (x) ≠
x →1−
lim g(t)
t →4+
105 6. (1) (2)
lim f (x) x →2−
=
2
lim f (x)
=
–2
x →2+
(3) เนื่องจาก ดังนั้น (4) (5)
lim f (x)
x →2
lim f ( x )
= 0
lim f ( x )
= 0
x →−2−
x →−2+
(6) เนื่องจาก ดังนั้น 7. (1)
lim f (x) ≠ lim+ x →2− x →2
หาคาไมได
lim f ( x )
=
lim f ( x )
=
x →−2−
x →−2
f(x)
lim f ( x )
x →−2+
=
0
0
lim (1 + x)
x →4−
เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) = 1 + x ไดดังนี้ Y
6
y = 1+ x 4 2 -2
0
2
-2 จากกราฟ จะไดวา lim f (x)
x →4−
=
5
4
6
X
106 (2)
lim f (x)
x →2
เมื่อ
f(x)
=
x + 1, x ≤ 2 2, x>2
เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) ไดดังนี้ 6
Y
4
f(x)
2 0
-2
4
2
X
6
-2 จากกราฟ จะไดวา ดังนั้น
lim f (x) x →2−
= 3
lim f (x)
หาคาไมได
x →2
=
lim f (x)
x →2+
2
เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ข 1. (1)
lim (3x 2 + 7x − 12)
x →0
= =
ดังนั้น (2)
lim (3x 2 + 7x − 12)
x →0
lim (x 5 − 2x)
x →−1
= = = = = =
lim 3x 2 + lim 7x − lim 12
x →0
x →0
x →0
3 lim x + 7 lim x − lim 12 2
x →0
x →0
2
3(0) + 7(0) – 12 –12 –12 lim x 5 − lim 2x
x →−1
x →−1
lim x − 2 lim x 5
x →−1 5
(–1) – 2(–1)
x →−1
x →0
107
ดังนั้น (3)
lim (x 5 )(x − 2)
x →5
ดังนั้น (4)
lim (x + 3)(x 2 + 2)
lim (x + 3)(x 2 + 2)
x →−1
⎡ x +1 ⎤ lim x →3 ⎢⎣ 2x − 5 ⎥⎦
ดังนั้น (6)
lim (x 5 )(x − 2)
x →5
x →−1
ดังนั้น (5)
lim (x 5 − 2x)
x →−1
⎡ x +1 ⎤ lim ⎢ x →3 ⎣ 2x − 5 ⎥⎦
⎡ x 2 − 25 ⎤ lim ⎢ x →−5 ⎣ x + 5 ⎥⎦
= = = = = = = = = = = = =
(7)
⎡ x 2 − 25 ⎤ lim ⎢ x →−5 ⎣ x + 5 ⎥⎦
⎡ x +1 ⎤ lim ⎢ 2 x →1 ⎣ x − x − 2 ⎦⎥
lim x 5 ⋅ lim (x − 2)
x →5
x →5
5
(5 )(5 – 2) 9,375 9,375 lim (x + 3) ⋅ lim (x 2 + 2)
x →−1
x →−1
2
(–1 + 3)((–1) + 2) (2)(3) 6 6 lim ( x + 1)
x →3
lim (2 x − 5)
x →3
=
3 +1 2(3) − 5
=
4
=
4
=
⎡ ( x − 5)( x + 5) ⎤ lim ⎢ x →−5 ⎣ ( x + 5) ⎥⎦
=
ดังนั้น
–1 + 2 1 1
lim (x − 5)
x →−5
= =
–5 – 5 –10
=
–10
=
x →1 lim (x 2 x →1
lim (x + 1)
− x − 2)
108
ดังนั้น (8)
lim
⎡
x →1 ⎢⎣ x 2
x +1
⎤ − x − 2 ⎦⎥
⎡ x2 − x − 2 ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 ⎢ x 2 + 4x + 3 ⎥ ⎣ ⎦
=
1+1 1 −1 − 2
=
2 (−2)
=
–1
=
–1
=
ดังนั้น (9)
⎡1 − x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 1 − x ⎣ ⎦
12 + 4(1) + 3
2 8
=
−1 4
=
−1 4
=
⎡ 1− x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 1 − ( x ) 2 ⎣ ⎦
=
⎡ ⎤ 1− x lim ⎢ ⎥ x →1 (1 − x )(1 + x ) ⎣ ⎦
=
(10)
12 − 1 − 2
−
=
x⎤ ⎥ ⎣ 1− x ⎦
lim (x 2 + 4x + 3)
=
=
⎡
lim (x 2 − x − 2)
x →1
x →1
=
⎡ x2 − x − 2 ⎤ lim x →1 ⎢ x 2 + 4x + 3 ⎥ ⎣ ⎦
2
⎡ 1 ⎤ lim ⎢ x →1⎣1 + x ⎥⎦ 1 1+ 1 1 2
1− ดังนั้น xlim ⎢ →1
=
1 2
⎡3 − x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →9 9 − x ⎣ ⎦
=
⎡ 3− x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →9 9 − ( x ) 2 ⎣ ⎦
=
⎡ ⎤ 3− x lim ⎢ ⎥ x →9 (3 − x )(3 + x ) ⎣ ⎦
=
⎡ 1 ⎤ lim ⎢ x →9 ⎣ 3 + x ⎥⎦
109 = = ดังนั้น (11)
⎡3 − x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →9 9 − x ⎣ ⎦
⎡2− x +3 ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 ⎣ x −1 ⎦
=
1 6
=
⎡2 − x + 3 ⎤ ⎡2 + x + 3 ⎤ lim ⎢ ⎥⋅⎢ ⎥ x →1 ⎣ x −1 ⎦ ⎣2 + x + 3 ⎦
=
⎡ ⎤ 4 − ( x + 3) lim ⎢ ⎥ x →1 ( x − 1)(2 + x + 3 ) ⎣ ⎦
= = = ⎡
=
−
lim 3 ( x 2 − 1) 2
=
3
=
3
( lim ( x 2 + 1)) 2
3
(−1) 2
x →0
ดังนั้น 2. (1)
⎡ ⎤ 1− x lim ⎢ ⎥ x →1 ( x − 1)(2 + x + 3 ) ⎣ ⎦ ⎡ ⎤ −1 lim ⎢ x →1⎣ 2 + x + 3 ⎥⎦ −1 = −1 4 2 + 1+ 3
2− ดังนั้น xlim ⎢ →1 ⎣
(12)
x+3⎤ ⎥ x −1 ⎦
1 3+ 9 1 6
lim 3 ( x 2 − 1) 2
x →0
= = =
1 4 lim ( x 2 + 1) 2
x →0
x →0
1 1
x+4 x →−4− x + 4 lim
เนื่องจาก x < –4 และ x เขาใกล –4 ดังนั้น
lim
x →−4−
x+4 x+4
= = =
lim
x →−4−
−(x + 4) (x + 4)
lim (−1)
x →−4−
–1
110 (2)
2x 2 − 3x x→1.5 2x − 3 lim
จาก f(x) =
2
2x − 3x 2x − 3
⎡ 2x 2 − 3x ⎤ จะไดวา lim − ⎢ ⎥ x→1.5 ⎣⎢ 2x − 3 ⎦⎥
2x 2 − 3x 2x − 3
เมื่อ
x≥
3 2
2x 2 − 3x −(2x − 3)
เมื่อ
x<
3 2
⎡ − x(2x − 3) ⎤ lim ⎢ ⎥ x→1.5− ⎣ (2x − 3) ⎦
= =
⎡ 2x 2 − 3x ⎤ lim + ⎢ ⎥ x→1.5 ⎢⎣ 12x − 31 ⎥⎦
lim (− x)
x→1.5−
=
–1.5
=
⎡ − x(2x − 3) ⎤ lim + ⎢ ⎥ x→1.5 ⎣ (2x − 3) ⎦
=
lim x
x→1.5+
= 2x 2 − 3x x→1.5 2x − 3
ดังนั้น (3)
1.5
หาคาไมได
lim
⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x⎦ x→0+ ⎣ x
เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0 ⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x→0+ ⎣ x x ⎦
ดังนั้น
⎡1 1⎤ lim ⎢ − ⎥ x→0+ ⎣ x x ⎦
= =
lim 0
x→0+
= (4)
0
lim x + 4
x→−4
x+4
=
lim x + 4
=
จาก f(x) =
x+4
เมื่อ
x ≥ −4
−(x + 4)
เมื่อ
x < −4
จะไดวา x→−4−
= =
lim − (x + 4)
x→−4−
–(–4 + 4) 0
111 lim
x → −4 +
ดังนั้น (5)
lim x + 4
x→−4
lim x + 4
x→−4+
= = =
–4 + 4 0 0
= =
− ( x − 2) x → 2 − ( x − 2) lim (−1)
=
–1
= =
x−2 x →2+ x − 2 lim 1
=
1
x−2 x →2 x − 2 lim
ดังนั้น
lim
x →2−
lim
x−2 x−2
x →−2+
ดังนั้น (6)
=
x+4
x−2 x−2
x−2 x →2 x − 2 lim
lim
x →2−
lim
x →2+
หาคาไมได
⎡1 1 ⎤ lim− ⎢ − ⎥ x →0 x x⎦ ⎣
เนื่องจาก x < 0 และ x เขาใกล 0 ดังนั้น
⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x⎦ x →0− ⎣ x
⎡ 1 ⎛ 1 ⎞⎤ lim ⎢ − ⎜ − ⎟ ⎥ x →0− ⎣ x ⎝ x ⎠ ⎦ ⎡1 1⎤ lim ⎢ + ⎥ x →0− ⎣ x x ⎦ 2 lim x →0− x
= = =
ดังนั้น 3. (1)
⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x⎦ x →0− ⎣ x
หาคาไมได
lim f (x)
x →2−
เนื่องจาก x < 2 ดังนั้น lim− f (x) x →2
= =
lim (x − 1)
x →2−
2–1
=
1
112 (2)
lim f (x)
x →2+
เนื่องจาก x > 2 ดังนั้น lim+ f (x)
=
x →2
lim (x 2 − 4x + 6)
x →2+
(2)2 – 4(2) + 6 2
= = (3) เนื่องจาก
lim f (x) ≠
ดังนั้น 4. (1)
lim f (x)
x →2−
x →2+
หาคาไมได
lim f ( x )
x →2
lim f (x)
x →0+
เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0 ดังนั้น lim f (x) = lim x 2 + + x →0
x →0
02 0
= = (2)
lim f (x)
x →0−
=
(3) เนื่องจาก ดังนั้น (4)
=
lim f (x)
x →0+
=
lim f (x)
x →0−
lim f ( x ) = 0
lim f (x) x →2−
=
lim f (x)
x →2+
= = =
(6)
0
x →0
= = (5)
lim x
x →0−
lim x x →2−
2
22 4
lim 8 − x
x →2+
8–2 6
lim f (x)
x →2
เนื่องจาก ดังนั้น
lim f (x) ≠ lim+ f (x) x →2− x →2 lim f (x)
x →2
หาคาไมได
= 0
113
เฉลยแบบฝกหัด 2.2 1. (1) f(x) = 3x – 1 ที่ x=0 จะได f(0) = 3(0) – 1 = –1 lim f (x) = lim (3x − 1) = 3(0) – 1 = –1 และ x →0 x →0 นั่นคือ
= f(0)
lim f (x)
x →0
ดังนั้น ฟงกชนั f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 (2) f(x) =
x−4 x 2 − 16
ที่ x = 4
เนื่องจาก f(4) ไมนยิ าม ดังนั้น ฟงกชนั f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 4 (3) f(x) =
x2 −1 x3 −1
ที่ x = 1
เนื่องจาก f(1) ไมนยิ าม ดังนั้น ฟงกชนั f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 1 (4) f(x) = จะได
x
ที่ x = 0
f(x) =
x
เมื่อ x ≥ 0
–x
เมื่อ x < 0
จาก f(x) = x ดังนั้น f(0) = 0 ------------ (1) f (x) = lim+ f (x) = 0 เนื่องจาก xlim →0− x →0
ดังนั้น
lim f (x)
x →0
จาก (1) และ (2) จะไดวา
= 0 lim f (x)
x →0
------------ (2) = f(0)
ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 (5) f(x) =
x +1 x +1
ที่ x = –1
เนื่องจาก f(–1) ไมนยิ าม ดังนั้น ฟงกชนั f ไมตอเนือ่ งที่ x = –1
114
2. (1) f(x) =
7x – 2
เมื่อ x ≤ 1
kx2
เมื่อ x > 1
พิจารณาที่จดุ x = 1 จะได f(1) = 7(1) – 2 = 5 = และ xlim f (x) →1−
=
5
= k(1)2 = k เนื่องจาก ฟงกชันนี้จะตอเนื่อง เมื่อ xlim f (x) = →1−
x →1+
lim+ f (x)
x →1
ดังนั้น
k
(2) f(x) =
=
7(1) – 2 lim+ kx 2
x →1
5
kx2
เมื่อ x ≤ 2
2x + k
เมื่อ x > 2
พิจารณาที่จดุ x = 2 จะได f(2) = f (x) และ xlim →2− lim f (x)
x →2+
= =
lim (7x − 2) x →1−
k(22) = 4k = lim kx 2 x →2− = =
4k lim (2x + k)
x →2+
= 4+k เนื่องจาก f เปนฟงกชันตอเนื่อง จะได 4k = 4+k 3k = 4 4 ดังนั้น k = 3
lim f (x)
= f(1)
115
เฉลยแบบฝกหัด 2.3 1. (1) y = x2 – 3x ที่จุด (3, 0) f (3 + h) − f (3) h →0 h 2 (3 + h) − 3(3 + h) − 0 lim h →0 h 9 + 6h + h 2 − 9 − 3h lim h →0 h 2 h + 3h lim h →0 h h(h + 3) lim h →0 h
ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ = = = =
lim
= 3 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ 3 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ y–0 = 3(x – 3) y = 3x – 9 3x – y – 9 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ 3x – y – 9 = 0 (2) y = 5x2 – 6 ที่จุด (2, 14) f (2 + h) − f (2) h →0 h 2 5(2 + h) − 6 − 14 lim h →0 h 5(4 + 4h + h 2 ) − 20 lim h →0 h
ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ = = = =
lim
20 + 20h + 5h 2 − 20 h h →0 h (5h + 20) lim h h →0 lim
= 20 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ 20 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ y – 14 = 20(x – 2) y – 14 = 20x – 40
116 20x – y – 26 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ 20x – y – 26 = 0 (3) y = x – x2 ที่จุดซึ่ง x = 1 2
1 2
1 1 1 − = 2 4 4 1 1 f ( + h) − f ( ) 2 2 ความชันของเสนโคงที่จุด ( 1 , 1 ) เทากับ hlim →0 h 2 4 1 1 1 ( + h) − ( + h) 2 − 2 4 lim 2 = h →0 h 1 1 1 ( + h) − ( + h + h 2 ) − 4 4 lim 2 = h →0 h 2 −h = lim h →0 h
เมื่อ x =
จะได y =
=
1 1 2 −( ) 2 2
=
0
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด ( 1 , สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด 1 4 –1 4
1 ) เทากับ 2 4 1 1 ( , ) คือ 2 4
0
1 0(x − ) 2
y–
=
y
= 0
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง x = 1 คือ y – 2
(4) y =
x2 + 2 x
ที่จุดซึ่ง x = 1
เมื่อ x = 1
จะได y =
12 + 2 1
f (1 + h) − f (1) h →0 h 2 ⎡ (1 + h) + 2 ⎤ − 3⎥ ⎢ 1+ h lim ⎢ ⎥ h →0 h ⎢ ⎥ ⎢⎣ ⎥⎦ (1 + h) 2 + 2 − 3(1 + h) lim h →0 h(1 + h)
ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ = =
= 3 lim
1 4
= 0
117 =
1 + 2h + h 2 + 2 − 3 − 3h h →0 h(1 + h)
=
h2 − h h →0 h(1 + h) h(h − 1) lim h →0 h(1 + h) h −1 lim h →0 1 + h
= =
lim
lim
= –1 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ –1 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 3) คือ y – 3 = –1(x – 1) x + y–4 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง x = 1 คือ x + y – 4 = 0 (5) y = 1 + 2x – 3x2 ที่จุด (1, 0) f (1 + h) − f (1) h →0 h 2 (1 + 2(1 + h) − 3(1 + h) ) − 0 lim h →0 h 1 + 2 + 2h − 3(1 + 2h + h 2 ) lim h →0 h
ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) เทากับ = = = = =
lim
3 + 2h − 3 − 6h − 3h 2 lim h h →0 2 −4h − 3h lim h →0 h − h(3h + 4) lim h →0 h
= –4 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ – 4 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ y – 0 = – 4(x – 1) 4x + y = 4 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ 4x + y – 4 = 0 (6) y =
6 x +1
ที่จุด (2, 2)
ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) เทากับ
lim
h →0
f (2 + h) − f (2) h
118
ดังนั้น
6 −2 (2 + h ) + 1 lim = h h →0 6 − 2(h + 3) = lim h →0 h(h + 3) 6 − 2h − 6 = lim h →0 h(h + 3) −2 = lim h →0 h + 3 2 = − 3 ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ − 2 3
สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ y–2
=
2 − (x − 2) 3
3y – 6 = –2x + 4 2x + 3y – 10 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ 2x + 3y – 10 = 0 2. เนื่องจากเสนตรง y = ax มีความชันเทากับ a ถาเสนตรง y = ax ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 + 8 แสดงวา เสนตรงกับเสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากัน เนื่องจาก ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) เทากับ = = = = =
3(1 + h) 2 + 8 − 11 h →0 h 3(1 + 2h + h 2 ) − 3 lim h →0 h 3 + 6h + 3h 2 − 3 lim h →0 h h(3h + 6) lim h →0 h lim (3h + 6) lim
h →0
= 6 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) คือ 6 ดังนั้น a = 6
f (1 + h) − f (1) h →0 h lim
119
เฉลยแบบฝกหัด 2.4 1. (1) f(x) = f′(x) = = = =
3x2 f (x + h) − f (x) h 3(x + h) 2 − 3x 2 lim h →0 h 2 3x + 6xh + 3h 2 − 3x 2 lim h →0 h lim 6x + 3h lim h →0
h →0
= 6x ดังนั้น f′(x) = 6x (2) f(x) = f′(x) = = = =
x2 – x f (x + h) − f (x) h →0 h (x + h) 2 − (x + h) − (x 2 − x) lim h →0 h 2 2xh + h − h lim h →0 h lim 2x + h − 1 lim
h →0
= 2x – 1 ดังนั้น f′(x) = 2x – 1 (3) f(x) = x3 f′(x) = = = =
f (x + h) − f (x) h →0 h (x + h)3 − x 3 lim h →0 h 2 3x h + 3xh 2 + h 3 lim h →0 h 2 lim 3x + 3xh + h 2 lim
h →0
= 3x2 ดังนั้น f′(x) = 3x2 (4) f(x) = f′(x) =
2x3 + 1 f (x + h) − f (x) h →0 h
lim
120 = = =
2(x + h)3 + 1 − (2x 3 + 1) h →0 h 2 6x h + 6xh 2 + 2h 3 lim h →0 h 2 lim 6x + 6xh + 2h 2 lim
h →0
= 6x2 ดังนั้น f′(x) = 6x2 (5) f(x) = f′(x) = = = = = ดังนั้น f′(x) = (6) f(x) = f′(x) = = = = = ดังนั้น f′(x) = (7) f(x) = f′(x) =
1 x
f (x + h) − f (x) h 1 1 − (x + h) x lim h →0 h ⎞ 1⎛ h lim ⎜ − ⎟ h →0 h ⎝ x(x + h) ⎠ 1 lim − h →0 x(x + h) 1 − 2 x 1 − 2 x 1 x2 f (x + h) − f (x) lim h →0 h 1 1 − 2 2 (x + h) x lim h →0 h ⎞ 1⎛ 2xh + h 2 lim ⎜ − 4 ⎟ 3 2 2 h →0 h ⎝ x + 2x h + x h ⎠ 2x + h lim − 4 h →0 x + 2x 3 h + x 2 h 2 2 − 3 x 2 − 3 x lim h →0
1
x3
lim h →0
f (x + h) − f (x) h
121 1 3
1 3
1
1
(x + h) − x h
=
lim
=
(x + h) 3 − x 3 (x + h) 3 + (x + h) 3 x 3 + x 3 lim ⋅ 2 1 1 2 h →0 h (x + h) 3 + (x + h) 3 x 3 + x 3 (x + h) − x lim 2 1 1 2 h →0 3 3 3 h[(x + h) + (x + h) x + x 3 ] 1 lim 2 1 1 2 h →0 3 3 3 (x + h) + (x + h) x + x 3 1
= = = ดังนั้น f′(x) =
h →0
2
1
1
2
2
3x 3 1 3x
2 3
2. สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 5) คือ y−5 f ′(2)( x − 2) = f ′(2)( x − 2) + 5 y = จากสมการเสนสัมผัสเสนโคงที่โจทยกําหนดให คือ 3x − y = 1 y = 3x – 1 f ′(2)( x − 2) + 5 = 3x − 1 ดังนั้น f ′(2)
=
3( x − 2) x−2
=
3
3. จุดสัมผัส คือ จุด (3, –1) ความชันของเสนโคง y = f(x) ที่จุด (3, –1) เทากับ f′(3) = 5 จะได สมการของเสนสัมผัสเสนโคง คือ y – (–1) = 5(x – 3) y+1 = 5x – 15 5x – y – 16 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคง y = f(x) ที่จุด x = 3 คือ 5x – y – 16 = 0
122 4. ให f(r) = πr2 (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมี เมื่อความยาวของรัศมี เปลี่ยนจาก r เปน r + h คือ f (r + h) − f (r) h
= = =
1 π(r + h) 2 − πr 2 ) ( h 1 ⋅ π(2rh + h 2 ) h 2πr + πh ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพืน้ ที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมีขณะรัศมียาว r เซนติเมตร คือ f (r + h ) − f (r ) h h →0 lim
=
lim π(2r + h)
=
π lim 2r + h
=
2πr
h →0
h →0
ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
5. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีความยาวของดานเทากับ x ดังนั้น f(x) = x2 (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน ในชวงดานยาว x เซนติเมตร ถึงดานยาว x + h เซนติเมตร คือ
f (x + h) − f (x) h
= = =
(x + h) 2 − x 2 h 2xh + h 2 h
2x + h ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดานในชวง x = 10 ถึง x = 12 เทากับ 2(10) + 2 = 22 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพืน้ ที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว x เซนติเมตร คือ
f (x + h) − f (x) h →0 h
lim
=
lim 2x + h h →0
= 2x ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ 2(10) = 20 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
123 6. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาที่มีความยาวของดานเทากับ x ดังนั้น
f(x) =
3 2 x 4
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานใน ชวงดานยาว x เซนติเมตร คือ x + h เซนติเมตร คือ f (x + h) − f (x) h
1 3 3 2 ( (x + h) 2 − x ) h 4 4 1 3 ( (2xh + h 2 )) h 4 3 (2x + h) ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร 4
= = =
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน ในชวง x = 10 ถึง x = 9 เทากับ = =
3 (2(10) + (−1)) 4 3 (20 − 1) 4 19 3 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร 4
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพืน้ ที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานในขณะ ดานยาว x เซนติเมตร คือ f (x + h) − f (x) h →0 h
lim
= =
lim h →0
3 (2x + h) 4
3 x 2
ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ = 7. ให N = f(t) =
3 (10) 2 5 3 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
8 t +1
อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t ใด ๆ คือ lim h →0
f (t + h) − f (t) h
= = =
8 8 − (t + h) + 1 t + 1 lim h →0 h ⎤ − 8h 1⎡ lim ⎢ ⎥ h → 0 h ⎣ t 2 + 2 t + ht + h + 1⎦
−
8 t + 2t + 1 2
124 ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t = 3 เทากับ = 8. จากสมการ PV = 6000 จะได
P =
8 3 + 2(3) + 1 1 กรัม / นาที − 2
−
2
เมื่อ P เปนความดัน V เปนปริมาตร
6000 V
อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ขณะมีปริมาตร V ใด ๆ คือ f (V + h) − f (V) lim h →0 h
= = =
6000 6000 − V lim V + h h →0 h 1 −6000h lim [ ] h →0 h V(V + h) 6000 − 2 V
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ในขณะ V = 100 เทากับ =
−6000 1002
–0.6 กรัม / ตารางเซนติเมตร / ลูกบาศกเซนติเมตร
9. ให y = f(x) = 2x2 – 3 อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ f (x + h) − f (x) h
= =
2(x + h) 2 − 3 − (2x 2 − 3) h 2 4xh + 2h = 4x + 2h h
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.2 เทากับ 4(2) + 2(0.2) = 8.4 (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.1 เทากับ 4(2) + 2(0.1) = 8.2 (3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.01 เทากับ 4(2) + 2(0.01) = 8.02 (4) อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ lim
h →0
f (x + h) − f (x) h
=
lim 4x + 2h
h →0
= 4x ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 2 เทากับ 4(2) = 8
125 1 x
10. ให y = f(x) =
อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ f (x + h) − f (x) h
=
1⎡ 1 1⎤ − ⎥ ⎢ h ⎣ (x + h) x ⎦
=
1 ⎡ x − (x + h) ⎤ h ⎢⎣ x(x + h) ⎥⎦ 1 − 2 x + xh
=
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 5 เทากับ 1 − 2 4 + 4(1)
=
−
1 20
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.1 เทากับ 1 − 2 4 + 4(0.1)
=
−
5 82
(3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.01 เทากับ 1 − 2 4 + 4(0.01)
=
−
25 401
(4) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ คือ f (x + h) − f (x) h →0 h lim
= =
1 lim − 2 h →0 x + xh 1 − 2 x
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 4 เทากับ 11. ปริมาตรของกรวยกลมตรง =
−
1 16
1 2 πx y 3
เมื่อ x เปนรัศมีของฐานของกรวยกลมตรง y เปนความสูงของกรวยกลมตรง (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับรัศมีของฐาน (x) เมื่อสวนสูง (y) คงตัว คือ f (x + h) − f (x) lim h →0 h
= = = =
1 1 π(x + h)2 y − πx 2 y 3 lim − 3 h →0 h πy lim (2xh + h 2 ) h →0 3h πy lim (2x + h) h →0 3 2 πxy หนวยปริมาตร / หนวยความยาว 3
126 (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับสวนสูง (y) เมื่อรัศมีของฐานคงตัว (x) คือ f (y + h) − f (y) h →0 h lim
1 2 1 πx (y + h) − πx 2 y 3 lim 3 h →0 h 2 πx ⋅h lim h →0 3h πx 2 lim h →0 3 πx 2 หนวยปริมาตร / หนวยความยาว 3
= = = =
12. จากสมการ r =
k s2
เมื่อ k > 0 เปนคาคงตัว
อัตราการเปลี่ยนแปลงของ r เทียบกับ s ในขณะ s ใด ๆ คือ lim
h →0
f (s + h) − f (s) h
k k − 2 2 (s + h) s lim h →0 h 2 1 ⎡ ks − k(s + h)2 ⎤ lim ⎢ 2 ⎥ h →0 h ⎢ s (s + h) 2 ⎥ ⎣ ⎦ 2 1 ⎡ −2skh − kh ⎤ lim ⎢ 4 ⎥ h →0 h ⎢ s + 2s3h + s 2 h 2 ⎥ ⎣ ⎦ −2sk − kh lim h →0 s 4 + 2s3h + s 2 h 2
= = =
=
เฉลยแบบฝกหัด 2.5 1. (1)
dy dx
=
0
(2)
dy dx
=
3x 2 +
(3)
dy dx
=
3x2 – 3
(4)
dy dx
=
–10x + 1 +
(5)
ds dt
=
20t4 – 6t + 1
1 3
1 x
+
1 2 x3
=
2k − 3 s
127 (6)
ds dt
=
12t2 + 18t + 1
(7)
dy dx
=
3x2 + 6x + 2
(8)
dy dx
=
–4x3 + 12x2 – 6x + 12
(9)
dy dx
=
3x2 + 1
(10)
dy dx
=
2 2x − 2 x
(11)
dy dx
=
−
(12)
dy dx
=
(13)
ds dt
=
1 12 + 2 t
(14)
dy dx
=
5 4 3x 2 − 2 + 3 x x
(15)
ds dt
=
55t 2 1 3 + 1+ 3 2 2t 2 2t 2
(16)
dy dx
=
6x + 3 –
(17)
dy dx
=
(18)
dy dx
=
2 15 12 − 2− 6− 7 x x x
(19)
dy dx
=
−
18x (3x 2 + 1)2 6
(1 − 3x) 2
9
(20)
dy dx
=
27
54 − 3 x x 2
−4x 2 − 2x − 20 (x 2 − 5)2
3 3 2x 2
1
+ 8x + 8x 2
14x 8 + 4x 7 − 14 x 6 − 2x 3 − 2x 2 + 2x ( x + 1) 2
128 2. (1) f(x)
=
2x 3 −
f′(x)
=
6x 2 +
1 x 1 3
2x 2
1 2
13 2
=
f′(1)
=
6+
(2) f(x)
=
1 5 1 3 1 2 x − x + x − 4x + 5 5 3 2
f′(x) f′(1)
= =
x4 − x2 + x − 4
1–1+1–4
(3) f(x)
=
(2x2 – 3x + 1)(x – x2)
f′(x) = f′(–1) =
–8x3 + 15x2 – 8x + 1 8 + 15 + 8 + 1 =
=
=
f′(x)
=
f′(2)
=
3. (1) g(x)
=
xf (x)
g′(x)
=
x ⋅ f ′(x) + f (x) ⋅
g′(4)
=
g′(4)
=
(2) g(x)
=
g′(x)
=
g′(4)
=
g′(4)
=
32
2x − 1 x +1 3
(4) f(x)
=
–3
x 2 + 2x + 1 3 = 1 9 3
1
2 x 1 4 ⋅ f ′(4) + f (4) ⋅ 2 4 3 −10 + 4 37 − 4 f (x) x x ⋅ f ′(x) − f (x) x2 4 ⋅ f ′(4) − f (4)
−23 16
42
129 4. จาก จะได ดังนั้น 5. จาก จะได
y
=
x3 – 5x + 2
dy dx
=
3x2 – 5
y
=
–4x + 2x2 – 3x4
dy dx
=
–4 + 4x – 12x3
y
=
–x + x2
dy dx
=
–1 + 2x
ความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (2, 0) เทากับ 3(2)2 – 5 = 7
นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –5) เทากับ –4 + 4(1) – 12(1)3 = –12 ดังนั้น สมการของเสนตรงซึ่งสัมผัสเสนโคง ที่จุด (1, –5) คือ y – (–5) = –12(x – 1) y+5 = –12x + 12 12x + y – 7 = 0 6. จาก จะได
เนื่องจาก ความชันของเสนโคง ที่จุด (a, b) เทากับ 3 จะได 3 = –1 + 2a a = 2 จาก y = –x + x2 จะได ดังนั้น 7. จาก จะได
b = b = a = 2 และ
–2 + 22 2 b=2
s
=
t3 – 2t + 5
ds dt
=
3t2 – 2
นั่นคือ ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t ใด ๆ คือ 3t2 – 2 ดังนั้น ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t = 10 วินาที เทากับ 3(10)2 – 2 = 298 เมตร / วินาที 8. ถาเสนตรง y = mx + c ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 – 5 ที่จดุ (1, –2) จะได m มีคาเทากับความชันของเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 – 5 ที่จุด (1, –2) จาก
y
=
3x2 – 5
130 จะได
dy dx
=
6x
นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –2) เทากับ 6(1) = 6 ดังนั้น m=6 9. จาก จะได
y
=
x3
dy dx
=
3x2
นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1) เทากับ 3(1)2 = 3 เนื่องจาก ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) เทากับ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1) ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) คือ y–3 = 3(x – 2) y = 3x – 3 3x + y + 3 = 0 10. เนื่องจากเสนสัมผัสเสนโคงขนานกับแกน X ดังนั้น เสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากับ 0 และ ความชันของเสนโคง y = x3 – 3x ที่จุดสัมผัสมีคาเทากับ 0 ดวย จะได
dy dx
=
y
=
x4
dy dx
=
4x3
3x2 – 3
=
0
จาก 3x2 – 3 = 0 จะได x = –1 หรือ x = 1 แทนคา x = –1 จะได y = 2 แทนคา x = 1 จะได y = –2 ดังนั้น จุด (–1, 2) และ (1, –2) อยูบนเสนโคง y = x3 – 3x ที่เสนสัมผัสเสนโคงที่จุดนี้ขนานกับ แกน X 11. จาก จะได
นั่นคือ ความชันของเสนโคง คือ 4x3 จะได เสนตรงที่มีความชันเทากับ ดังนั้น
4x3
=
จะได
x
=
1 2 1 2
1 2
และสัมผัสเสนโคงที่จุดสัมผัส
แทนคา x =
1 2
131 จะได
y
=
นั่นคือ
จุด ( 1 ,
1 ) 2 16
1 ( )4 2
=
1 16
อยูบนเสนโคงที่มีความชันเทากับ
1 2
ดังนั้น สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด ( 1 ,
1 ) คือ 2 16 1 1 (x − ) 2 2 1 1 x− 2 4
1 16 1 y− 16 x 3 −y− 2 16
=
=
0
8x – 16y – 3
=
0
y−
=
เฉลยแบบฝกหัด 2.6 1. (1) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= =
2x + 3 (2x + 3)5
=
dy du ⋅ du dx d 5 d (u ) ⋅ (2x + 3) du dx
=
ดังนั้น
dy dx
(2) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= =
(5u4)(2) 10u4
=
10(2x + 3)4
= =
1 – 3x (1 – 3x)3
=
dy du ⋅ du dx d 3 d (u ) ⋅ (1 − 3x) du dx 2 (3u )(−3)
= = = ดังนั้น
dy dx
=
=
−9u 2 −9(1 − 3x) 2
=
u5
u3
132 (3) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= =
3 – 4x2 (3 – 4x2)4
=
dy du ⋅ du dx d 4 d (u ) ⋅ (3 − 4x 2 ) du dx 3 (4u )(−8x)
=
ดังนั้น
dy dx
(4) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= =
–32xu3
=
−32x(3 − 4x 2 )3
= =
2 – 3x + 4x2 (2 – 3x + 4x2)3
=
dy du ⋅ du dx d 3 d (u ) ⋅ (2 − 3x + 4x 2 ) du dx 2 (3u )(−3 + 8x)
= = = ดังนั้น
dy dx
(5) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
(6) ให
=
(24x − 9)u 2 (24x − 9)(2 − 3x + 4x 2 ) 2
= =
x3 – 2x (x3 – 2x)4
=
dy du ⋅ du dx d 4 d 3 (u ) ⋅ (x − 2x) du dx (4u 3 )(3x 2 − 2)
=
= =
(12x 2 − 8)u 3
dy dx
=
(12x 2 − 8)(x 3 − 2x)3
u
=
1 – 2x
จะได y โดยกฎลูกโซ จะได
u3
=
=
ดังนั้น
u4
=
=
1 − 2x
=
u4
1
u2
133 dy dx
= = = =
ดังนั้น (7) ให
dy dx
=
u
=
จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
=
= =
(8) ให
dy dx
=
u
=
จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= = = = =
ดังนั้น
dy dx
3x2 + 2
=
=
ดังนั้น
dy du ⋅ du dx d 12 d (u ) ⋅ (1 − 2x) du dx 1 (−2) 1 2u 2 1 − u −1 1 − 2x
=
3x 2 + 2
=
1
u2
dy du ⋅ du dx d 12 d (u ) ⋅ (3x 2 + 2) du dx 1 (6x) 1 2 2u 3x u 3x
3x 2 + 2
x2 – 3 3
x2 − 3
=
dy du ⋅ du dx d 13 d 2 (u ) ⋅ (x − 3) du dx 1 (2x) 2 3 3u 2x 3 3 u2 2x 3 3 (x 2 − 3) 2
1
u3
134 (9) ให u จะได s โดยกฎลูกโซ จะได ds dt
= =
2t2 – 1
=
ds du ⋅ du dt d −3 d (u ) ⋅ (2t 2 − 1) du dt 3 − 4 (4t) u 12t − 4 u 12t − (2t 2 − 1)
= = = ดังนั้น (10) ให จะได
(2t 2 − 1) −3
=
u −3
ds dt
=
u
=
t2 – 3t + 2
s
=
1 (t − 3t + 2) 2
=
ds du ⋅ du dt d −2 d 2 (u ) ⋅ (t − 3t + 2) du dt 2 − 3 (2t − 3) u −4t + 6 u3 −4t + 6 2 (t − 3t + 2)3
2
=
u −2
โดยกฎลูกโซ จะได ds dt
= = = ดังนั้น (11) ให จะได
ds dt
=
u
=
x2 + 2x
y
=
1
โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= = = =
ดังนั้น
dy dx
=
x 2 + 2x
=
dy du ⋅ du dx d − 12 d 2 (u ) ⋅ (x + 2x) du dx 1 − 3 (2x + 2) 2u 2 −(x + 1) u3 −(x + 1) (x 2 + 2x)3
u
−
1 2
135 (12) ให จะได
u
=
y
=
x2 – 2x + 3 1 3
x 2 − 2x + 3
=
u
−
1 3
โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= = = =
ดังนั้น (13) ให พิจารณา
dy dx
=
y
=
dy = dx d (x − 3)3 dx
จะได s = โดยกฎลูกโซ จะได ds dx
= = = =
ดังนั้น นั่นคือ
ds dx d (x − 3)3 dx
dy du ⋅ du dx d − 13 d 2 (u ) ⋅ (x − 2x + 3) du dx 1 − 4 (2x − 2) 3u 3 2 − 2x 33 u4 2 − 2x
3 3 (x 2 − 2x + 3) 4
(x – 3)3(2x + 1) (x – 3)3(2) + (2x + 1) และ
d (x – 3)3 dx
u = x–3
u3 ds du ⋅ du dx d 3 d (u ) ⋅ (x − 3) du dx 2 (3u )(1)
3u2 =
3(x − 3) 2
=
3(x − 3) 2
แทนคา (2) ใน (1) จะได dy dx
----------- (1)
=
(x – 3)3(2) + (2x + 1)[3(x – 3)2]
= =
2(x – 3)3 + (6x + 3)(x – 3)2 8x3 – 51x2 + 90x – 27
----------- (2)
136 (14) ให
u
จะได
y
=
2x + 1 1 − 2x
=
⎛ 2x + 1 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 1 − 2x ⎠
=
dy du ⋅ du dx d 3 d 2x + 1 (u ) ⋅ ( ) du dx 1 − 2x (1 − 2x)(2) − (2x + 1)(−2) 3u 2 [ ] (1 − 2x) 2 ⎡ ⎤ 4 3u 2 ⎢ 2⎥ ⎣ (1 − 2x) ⎦
3
u3
=
โดยกฎลูกโซ จะได dy dx
= = = = dy dx
ดังนั้น
(15)
y dy dx
=
2. ให จะได
=
=
12u 2 (1 − 2x) 2
⎛ 2x + 1 ⎞ 12 ⎜ ⎟ ⎝ 1 − 2x ⎠ (1 − 2x) 2
2
=
12(2x + 1) 2 1 ⋅ 2 (1 − 2x) (1 − 2x) 2
=
12(2x + 1) 2 (1 − 2x) 4
(2x + 3)3 (4x 2 − 1)8
d d (2x + 3)3 − (2x + 3)3 (4x 2 − 1)8 dx dx = (4x 2 − 1)16 d d (4x 2 − 1)8 (3)(2x + 3) 2 (2x + 3) − (2x + 3)3 (8)(4x 2 − 1)7 (4x 2 − 1) dx dx (4x 2 − 1)16 (4x 2 − 1)8
=
(4x 2 − 1)8 (3)(2x + 3) 2 (2) − (2x + 3)3 (8)(4x 2 − 1) 7 (8x) (4x 2 − 1)16
=
6(4x 2 − 1)(2x + 3) 2 − 64x(2x + 3)3 (4x 2 − 1)9
u = g( x ) และ y = F( x ) dy dy du = ⋅ dx du dx d = f ′(u ) ( 3x − 1) dx
= f (u )
137 = = = =
3.
จาก ดังนั้น
⎛ 1 − u 2 ⎞⎛ ⎞ 3 ⎟⎜ ⎜ ⎟ ⎜ (u 2 + 1) 2 ⎟⎜⎝ 2 3x − 1 ⎟⎠ ⎠ ⎝ ⎛ 1 − (3x − 1) ⎞⎛ ⎞ 3 ⎟⎜ ⎜ ⎟ ⎜ ⎜ ((3x − 1) + 1) 2 ⎟⎝ 2 3x − 1 ⎟⎠ ⎠ ⎝ 2 − 3x 3 ⋅ 9 x 2 2 3x − 1 2 − 3x 6 x 2 3x − 1
F( x ) =
f (g( x ))
F′( x ) =
f ′(g( x )) ⋅ g ′( x )
F′(2) =
f ′(g(2)) ⋅ g ′(2)
=
นั่นคือ
F′(2)
f ′(4) ⋅ 5
= 9 ⋅ 5 = 45
เฉลยแบบฝกหัด 2.7 1. (1) จาก จะได ดังนั้น
f(x) = f′(x) = f′′(x) =
5x2 – 4x + 2 10x – 4 10
(2) จาก จะได ดังนั้น
f(x) = f′(x) = f′′(x) =
5 + 2x + 4x3 – 3x5 2 + 12x2 – 15x4 24x – 60x3
(3) จาก
f(x)
=
3x4 – 2x +
x
จะได
f′(x)
=
12x3 – 2 +
1
ดังนั้น
f′′(x) =
(4) จาก
f(x)
=
จะได
f′(x)
=
ดังนั้น
f′′(x) =
หรือ
f′′(x) =
36x2 – 3
x−
–5
2 x
1 4 x3 2 + 4x 2 x
1 − 23 x + 2x −2 + 8x 3 2 − 53 − x − 4x −3 + 8 9 −2 4 − 3 +8 9 3 x5 x
138 = = = f′′(x) =
(5x2 – 3)(7x3 + x) (5x2 – 3)(21x2 + 1) + (7x3 + x)(10x) 175x4 – 48x2 – 3 700x3 – 96x
f(x)
=
จะได
f′(x)
=
ดังนั้น
f′′(x) =
x +1 x 1 − 2 x 2 x3
(5) จาก จะได ดังนั้น (6) จาก
(7) จาก
f(x) f′(x)
f(x)
=
จะได
f′(x)
=
ดังนั้น
f′′(x) =
3x − 2 5x 2 25x 2 −4 25x 3
ดังนั้น
f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x)
= = = =
x–5 + x5 –5x–6 + 5x4 30x–7 + 20x3 –210x–8 + 60x2
หรือ
f′′′(x) =
−210 + 60x 2 8 x
f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x)
= = = =
5x2 – 4x + 7 10x – 4 10 0
ดังนั้น
f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x)
= = = =
3x–2 + 4x–1 + x –6x–3 – 4x–2 + 1 18x–4 + 8x–3 –72x–5 – 24x–4
หรือ
f′′′(x) =
2. (1) จาก จะได
(2) จาก จะได ดังนั้น (3) จาก จะได
−72 24 − x5 x 4
139 3. จาก จะได
ดังนั้น 4. จาก จะได
ดังนั้น
f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x) f′′′(2)
= = = = =
3x2 – 2 6x 6 0 0
y
=
dy dx d2 y dx 2 d3 y dx 3 d4 y dx 4
=
6 x4 −24 x5 120 x6 −720 x7 5, 040 x8
= = =
5. (1) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 16t2 เมตร ในเวลา t วินาที ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากปลอยวัตถุไป 3 วินาที คือ s = 16(3)2 = 144 เมตร (2) จาก s = 16t2 ให v แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ จะได v =
ds dt
= 32t เมตร / วินาที
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32t เมตร / วินาที นั่นคือ ความเร็วขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ 32(2) = 64 เมตร / วินาที (3) ให a แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ จาก (2) v = 32t เมตร / วินาที จะได
a =
dv dt
= 32 เมตร / วินาที
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2 (4) จาก (3) ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t = 5 วินาที เทากับ 32 เมตร / วินาที2
140 6. (1) ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ t ถึงวินาทีที่ t + h คือ f (t + h) − f (t) h
= =
128(t + h) − 16(t + h) 2 − (128t − 16t 2 ) h 128h − 32th − 16h 2 h
= 128 – 32t – 16h ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ 2 ถึงวินาทีที่ 3 เทากับ 128 – 32(2) – 16(1) = 48 เมตร / วินาที (2) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 128t – 16t2 เมตร ในเวลา t วินาที ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากโยนวัตถุไปแลว 5 วินาที คือ s = 128(5) – 16(5)2 = 640 – 400 = 240 เมตร (3) จาก s = 128t – 16t2 ให v แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ จะได v =
ds dt
= 128 – 32t เมตร / วินาที2
ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 128 – 32t เมตร / วินาที นั่นคือ ความเรงในการเคลื่อนที่ของวัตถุขณะวินาทีที่ 4 เทากับ 128 – 32(4) = 0 เมตร / วินาที (4) ให a แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ จาก (3) v = 128 – 32t เมตร / วินาที จะได
a =
dv dt
= –32
เมตร / วินาที2
ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ –32 เมตร / วินาที2 นั่นคือ ความเรงของวัตถุขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ –32 เมตร / วินาที2
เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ก = 3 – 2x – x2 = –2 – 2x = –2(1 + x) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
1. (1) จาก จะได
f(x) f′(x)
141
–
+
x < –1 –1 x > –1 จะได และ ดังนั้น และ
f′(x) > 0 บนชวง f′(x) < 0 บนชวง f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง f เปนฟงกชนั ลดบนชวง
(–∞ , –1) (–1, ∞) (–∞ , –1) (–1 , ∞)
Y 4
f(x)
2 0
-4
4
X
-2 (2) จาก f(x) = 2x2 – x – 3 จะได f′(x) = 4x – 1 ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
+
– x<
1 4
1 4
x>
1 4
จะได
f′(x) > 0
บนชวง
( 1 , ∞)
และ
f′(x) < 0
บนชวง
(–∞, 1 )
ดังนั้น
f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง
และ
f เปนฟงกชนั ลดบนชวง
4
4 1 ( , ∞) 4 (–∞, 1 ) 4
142 Y 2 -2
f(x)
0
X
2
-2 -4 = x3 – x2 – 8x = 3x2 – 2x – 8 = (3x + 4)(x – 2) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
(3) จาก จะได
f(x) f′(x)
–
+ x< −4 3
−
4 3
−
4 <x<2 3
+ x>2
2
จะได
f′(x) > 0
บนชวง
(–∞ , − 4 )
และ
f′(x) < 0
บนชวง
( − 4 , 2)
ดังนั้น
f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง
(–∞ , − 4 )
และ
f เปนฟงกชนั ลดบนชวง Y
( − 4 , 2)
3
∪
(2, ∞)
∪
(2, ∞)
3
3
3
9 3 -3
0 -3 -9 -15
3
X
143 = 2x3 + 3x2 – 36x + 5 = 6x2 + 6x – 36 = 6(x + 3)(x – 2) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
(4) จาก จะได
f(x) f′(x)
–
+ x < –3 จะได และ ดังนั้น และ
–3
+ 2
–3 < x < 2
x>2
(–∞ , –3) ∪ (2, ∞) (–3, 2) (–∞ , –3) ∪ (2, ∞) (–3, 2)
f′(x) > 0 บนชวง f′(x) < 0 บนชวง f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง f เปนฟงกชนั ลดบนชวง Y 100 80 60 40 20
-5
-4
-3
-2
-1
0 -20
1
-40
(5) จาก จะได
f(x) f′(x)
= = =
x3 – 2x2 – 4x + 7 3x2 – 4x – 4 (3x + 2)(x – 2)
2
3
4
X
144 ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
–
+ x< −2 3
−
2 3
−
2 3
<x<2
จะได
f′(x) > 0
บนชวง
และ
f′(x) < 0
บนชวง
ดังนั้น
f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง
และ
f เปนฟงกชนั ลดบนชวง
+ 2
x>2
(–∞ , − 2 ) ∪ (2, ∞)
3 2 ( − , 2) 3 (–∞ , − 2 ) ∪ (2, ∞) 3 2 ( − , 2) 3
Y
5
0 -2
-5
2. (1) จาก จะได
f(x) f′(x)
= = = =
x2 – 8x+ 7 2x – 8 2(x – 4) 0
ถา f′(x) เพราะฉะนั้น x = 4 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 4 f′′(x) = 2 f′′(4) = 2>0 ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –9
5
X
จะไดวา
2(x – 4) = 0
145 Y
6 2 -1 0 -2
5
10
X
-6 -10 x3 – 3x + 6 3x2 – 3 3(x + 1)(x – 1) ถา f′(x) 0 จะไดวา 3(x + 1)(x – 1) = 0 เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 1 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 1 f′′(x) = 6x f′′(–1) = –6 < 0 f′′(1) = 6>0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 8 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(1) = 4
(2) จาก จะได
f(x) f′(x)
= = = =
Y 12 8
f(x)
4 -4
-2
0 -4
2
4
X
146 x3 – 3x2 – 24x + 4 3x2 – 6x – 24 3(x – 4)(x + 2) ถา f′(x) 0 จะไดวา เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 4 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2 และ 4
(3) จาก จะได
f(x) f′(x)
= = = =
3(x – 4)(x + 2) = 0
f′′(x) = 6x – 6 f′′(–2) = –18 < 0 f′′(4) = 18 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = 32 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –76 Y 60 40 20 -4
-3
-2
-1 0 -20
1
2
3
4
5
6
7
-40 -60 -80
x4 – 8x2 + 12 4x3 – 16x 4x(x + 2)(x –2) ถา f′(x) 0 จะไดวา 4x(x + 2)(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 0 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2, 0 และ 2
(4) จาก จะได
f(x) f′(x)
= = = =
X
147 f′′(x) = 12x2 – 16 f′′(–2) = 32 > 0 f′′(0) = –16 < 0 f′′(2) = 32 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 12 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = f(2) = –4 Y 20 f(x) 10 -4
-2
0
2
4
X
-10
= x4 – 4x3 + 8 = 4x3 – 12x2 = 4x2(x – 3) ถา f′(x) = 0 จะไดวา 4x2(x – 3) = 0 เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 3 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 3 f′′(x) = 12x2 – 24x f′′(0) = 0 f′′(3) = 36 > 0 ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(3) = –19
(5) จาก จะได
f(x) f′(x)
148 Y 20 f(x) 10 0
-2
-4
X
4
2
-10 -20 = x2 – 4x + 3 = 2x – 4 = 2(x – 2) ถา f′(x) = 0 จะได 2(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [0, 5] คือ 2 คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 2 และจุดปลายของชวง [0, 5] คือ x = 0 และ x = 5 f(2) = –1 f(0) = 3 f(5) = 8 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 8 ที่ x = 5 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –1 ที่ x = 2 Y 6
3. (1) จาก f(x) จะได f′(x)
f(x)
4 2 -4
-2
0 -2
2
4
6
X
149 (2) จาก f(x) จะได f′(x) ถา f′(x)
x3 – 2x2 – 4x + 8 3x2 – 4x – 4 0 จะได (3x + 2)(x – 2) = 0
= = =
เพราะฉะนั้น x =
−
2 3
หรือ x = 2
ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 3] คือ
−
2 3
และ 2
คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = − 2 , x = 2 และจุดปลายของชวง [–2, 3] คือ x = –2 3
และ x = 3 f( − 2 ) =
9.48
f(2) = f(–2) = f(3) =
0 0 5
3
ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 9.48 ที่ x = − 2 3
และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ 0 ที่ x = –2 และ x = 2 Y 10 6 2 -2 0 -2
-6
2
6
X
-6 (3) จาก f(x) จะได f′(x) ถา f′(x)
x4 – 2x3 – 9x2 + 27 4x3 – 6x2 – 18x 0 จะได 2x(2x + 3)(x – 3) = 0
= = =
เพราะฉะนั้น x =
−
3 2
หรือ x = 0 หรือ x = 3
ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 4] คือ
−
3 , 2
0 และ 3
150 คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = − 3 , x = 0, x = 3 และจุดปลายของชวง [–2, 4] 2
คือ x = –2 และ x = 4 f( − 3 ) = 2
18.56
f(0) = 27 f(3) = –27 f(–2) = 23 f(4) = 11 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 27 ที่ x = 0 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –27 ที่ x = 3 Y 30 20 10 -4
-2
0
2
4
6
X
-10 -20 -30 (4) จาก f(x) = x3 + 5x – 4 จะได f′(x) = 3x2 + 5 จากรูปสมการ f′(x) = 3x2 + 5 จะไดวา ไมมจี ํานวนจริง x ใด ๆ ที่ทําให f′(x) = 0 ดังนั้น ไมมีคาวิกฤตบนชวงปด [–3, –1] คํานวณหาคาของฟงกชัน f(x) ที่จุดปลายของชวง [–3, –1] คือ x = –3 และ x = –1 f(–3) = – 46 f(–1) = – 10 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 10 ที่ x = –1 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 46 ที่ x = –3
151 Y 40 20 0
-5
5 กราฟ f(–1) = –10 และ f(–3) = –46
-20
X
-40 -60
เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ข 1. (1) จาก จะได ถา เพราะฉะนั้น
f(x) f′(x) f′(x) x =
2x2 + x – 6 4x + 1 0 จะได 4x + 1 = 0
= = = −
1 4
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ f′′ (x) f′′ ( − 1 )
−
1 4
= =
4
ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ
4 4>0 1 f (− ) 4
=
−
49 8
Y 4 -2
-1
0 -4 -8
2
1
f(x)
X
152 (2) จาก จะได ถา เพราะฉะนั้น
f(x) f′(x) f′(x) x =
–x2 + 3x – 2 –2x + 3 0 จะได –2x + 3 = 0
= = = 3 2
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ f′′ (x) = f′′ ( 3 ) =
3 2
–2 –2 < 0
2
ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ
3 f( ) 2
=
1 4
Y 2 -2
-1
0
f(x) 1
2
-2 -4 (3) จาก f(x) = x3 – 3x2 จะได f′(x) = 3x2 – 6x ถา f′(x) = 0 จะได 3x(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 2 f′′ (x) = 6x – 6 f′′ (0) = –6 < 0 f′′ (2) = 6>0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 0 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –4
X
153 Y 2 -4
-2
0
2
-2
4
X
f(x)
-4
2x3 – 3x2 – 12x + 5 6x2 – 6x – 12 6(x – 2)(x + 1) ถา f′(x) 0 จะได 6(x – 2)(x + 1) = 0 เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 2 f′′ (x) = 12x – 6 f′′ (–1) = –18 < 0 f′′ (2) = 18 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 12 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –15
(4) จาก จะได
f(x) f′(x)
= = = =
Y 20 10 -4
-2
0 -10 -20
f(x) 2
4
X
154 2. เนื่องจากรัว้ ยาว 200 เมตร จะได 6x + 4y = y =
200 3 50 − x 2
ให A(x) เปนพื้นที่ของที่ดนิ รูปสี่เหลี่ยมผืนผา 3 แปลง เมื่อ x เปนความยาวของดานกวางของทีด่ นิ รูปสี่เหลี่ยมผืนผาของแตละแปลง จะได
A(x)
3 3x(50 − x) 2 9 150x − x 2 2
= =
ถา
A′(x) A′(x)
= =
เพราะฉะนั้น
x
150 – 9x 0 50 3 50 3
=
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน A คือ จาก จะได
A′(x) A′′ (x) A′′ ( 50 ) 3
จะได 150 – 9x = 0
= = =
150 – 9x –9 –9 < 0
นั่นคือ ฟงกชนั A มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x =
50 3
และมีคาเทากับ
A(
50 ) 3
= 1,250
ดังนั้น รั้วจะลอมพื้นที่ไดมากที่สุด 1,250 ตารางเมตร 3. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง จะได f(x) = x – x2 f ′(x) = 1 – 2x ถา f ′(x) = 0 จะได 1 – 2x = 0 เพราะฉะนั้น
x =
1 2
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ จาก จะได
1 2
f′(x) = f′′(x) =
1 – 2x –2
f′′( 1 ) =
–2 < 0
2
นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนนั้นคือ
1 2
1 2
และมีคาเทากับ f( 1 ) = 2
1 4
155 4. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง เนื่องจาก จํานวนจริงสองจํานวนบวกกันได 10 จะได x + y = 10 หรือ y = 10 – x ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลคูณของจํานวนจริงทั้งสอง จะได f(x) = x(10 – x) = 10x – x2 f′(x) = 10 – 2x ถา f′(x) = 0 จะได 10 – 2x = 0 เพราะฉะนั้น x = 5 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5 จาก f′(x) = 10 – 2x f′′(x) = –2 f′′(5) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 25 จาก x = 5 จะได y = 5 ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ 5 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 5 5. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง เนื่องจาก ผลคูณของจํานวนจริงสองจํานวนเปน –9 จะได
xy
=
–9
หรือ
y =
−
9 x
ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลบวกของกําลังสองของแตละจํานวนเมื่อ x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง จะได
f(x)
= =
9 x 2 + (− )2 x 81 x2 + 2 x 162 2x − 3 x
f′(x)
=
ถา
f′(x)
=
0
จะได
2x −
162 x3
= 0
2(x2 – 9)(x2 + 9) = 2(x – 3)(x + 3)(x2 + 9) = เพราะฉะนั้น x = –3 หรือ ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –3 และ
0 0 x=3 3
156 จาก
f′(x)
=
f′′(x) =
162 x3 486 2+ 4 x 2x −
f′′(3) = 8>0 f′′(–3) = 8>0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = –3 และ x = 3 มีคาเทากับ f(–3) = f(3) = 18 จาก x = –3 จะได y = 3 x = 3 จะได y = –3 ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ –3 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 3 6. ให C(t) เปนอุณหภูมิมีหนวยเปนองศาเซลเซียส เมื่อ t เปนเวลาหนวยเปนวินาที จะได C(t) = 10 + 4t – 0.2t2 C′(t) = 4 – 0.4t ถา C′(t) = 0 จะได 4 – 0.4t = 0 เพราะฉะนั้น t = 10 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน θ คือ 10 จาก C′(t) = 4 – 0.4t จะได C′′(t) = –0.4 C′′(10) = –0.4 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั C มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ t = 10 และมีคาเทากับ C(10) = 30 ดังนั้น ในการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีนี้อุณหภูมิจะขึน้ สูงสุดเมื่อ t = 10 วินาที และอุณหภูมิสงู สุดเปน 30 องศาเซลเซียส 7. ให V(x) เปนปริมาตรของกลอง เมื่อ x เปนความยาวของดานของรูปสีเหลี่ยมจัตุรสั ที่ตัดออก x
24 – 2x
x
จะได V(x) = (20 – 2x)(24 – 2x)x = 4x3 – 88x2 +480x V′(x) = 12x2 – 176x + 480 20 – 2x = 4(3x2 – 44x + 120) ถา V′(x) = 0 จะได 4(3x2 – 44x + 120) = 0
157 x =
44 − (−44) 2 − 4(3)(120) 2(3)
หรือ
x =
44 + (−44) 2 − 4(3)(120) 2(3)
x =
22 − 2 31 3
หรือ
x =
22 + 2 31 3
=
3.62
=
11.05
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน V คือ 3.62 และ 11.05 จาก V′(x) = 12x2 – 176x + 480 จะได V′′(x) = 24x – 176 V′′(3.62) = –89.12 < 0 V′′(11.05) = 89.2 > 0 นั่นคือ ฟงกชนั V มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 3.62 ดังนั้น x เทากับ 3.62 เซนติเมตร กลองจึงจะมีปริมาตรมากที่สุด 8. ให c(f) เปนปริมาณผลผลิตที่ไดหนวยเปนถังตอไร เมื่อ f เปนจํานวนปุยที่ใช หนวยเปนกิโลกรัม ตอไร จะได c(f) = 20 + 24f – f2 c′(f) = 24 – 2f ถา c′(f) = 0 จะได 24 – 2f = 0 เพราะฉะนั้น f = 12 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน c คือ 12 จาก c′(f) = 24 – 2f c′′(f) = –2 c′′(12) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั c มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 12 และมีคาเทากับ c(12) = 164 ดังนั้น จะตองใชปุย 12 กิโลกรัมตอไร จึงจะไดผลผลิตมากที่สุด 9. ถาพอคาตั้งราคาขายสินคาอยางหนึ่งชิน้ ละ ในหนึ่งสัปดาหเขาจะขายสินคาได ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 1 บาท เขาจะขายได ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 2 บาท เขาจะขายได #
ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ x บาท เขาจะขายได เขาขายสินคาราคาชิ้นละ 20 – x บาท
20 1,000 1,000 + 100 1,000 + 200 #
1,000 + 100x
บาท ชิ้น ชิ้น ชิ้น ชิ้น
158 ให f(x) เปนเงินที่ไดจากการขายสินคา เมื่อ x เปนเงินที่ลดราคาสินคา 1 ชิ้น จะได f(x) = (1,000 + 100x)(20 – x) = 20,000 + 1,000x – 100x2 f′(x) = 1000 – 200x ถา f′(x) = 0 จะได 1000 – 200x = 0 เพราะฉะนั้น x = 5 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5 จาก f′(x) = 1000 – 200x จะได f′′(x) = –200 f′′(5) = –200 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 22,500 ดังนั้น เขาควรจะตั้งราคาสินคาชิ้นละ 20 – 5 = 15 บาท จึงจะไดเงินจากการขายมากที่สุด 10. ให DECF เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาที่บรรจุในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก มีดานดานหนึง่ ยาว m หนวย และอีกดานหนึ่งยาว n หนวย ดังรูป A 150
D
n
F 90
B
150 F Y
C
รูป 1
m C
90
n 120 – a E a Z
รูป 2
จากรูป 1
∆ ADE คลายกับ ∆ ABC
จะได
AE AC 120 − m 120
n
D
120 – m E m
X
= = =
DE BC n 90 3 (120 − m) 4
ให S(m) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ m เปนความยาวของดานดานหนึง่ ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา
159 จะได
S(m)
= =
ถา
S′(m)
=
S′(m)
=
3 (120 − m)(m) 4 3 90m − m 2 4 3 90 − m 2
0
จะได
3 90 − m 2
= 0
เพราะฉะนั้น m = 60 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60 จาก
S′(m)
=
S′′ (m)
=
S′′ (60)
=
3 90 − m 2 3 − 2 3 − < 0 2
นั่นคือ ฟงกชนั S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ m = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700 จาก
m = 60
จะได n =
จากรูป 2
∆ XDE คลายกับ ∆ XZY
จะได
n 90
=
m 150
3 (120 − 60) 4
= 45
120 − a 150
---------- (1)
=
a 120
---------- (2)
=
3 90a − a 2 4
∆ ZCE คลายกับ ∆ ZYX จะได
จาก (1) และ (2) จะได
mn
ให S(a) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ a เปนความยาวของ จะได
S(a)
3 90a − a 2 4 3 90 − a 2
=
S′(a) = ถา
S′(a) =
จะได
3 90 − a 2
0 =
0
เพราะฉะนั้น a = 60 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60
EZ
160 จาก
S′(a)
=
S′′(a)
=
S′′(60) =
3 90 − a 2 3 − 2 3 − 2
ดังนั้น ฟงกชนั S มีคาสูงสุด นั่นคือ ฟงกชนั S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ a = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700 จาก a = 60
จะได
n =
90(120 − 60) 150
และ
m=
(150)(60) 120
= 36 = 75 ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผา มีดานกวางยาว 45 หนวย และดานยาว 60 หนวย หรือมีดานกวางยาว 36 หนวย และดานยาวยาว 75 หนวย 11. ใหพอคาผลิตสินคาขายได x ชิ้นใน 1 สัปดาห ขายชิ้นละ p บาท ราคาและจํานวนสินคาที่ขายไดมีความสัมพันธในรูปสมการ p = 100 – 0.04x รายไดจากการขายสินคาใน 1 สัปดาห คือ xp = x(100 – 0.04x) บาท ลงทุน 600 + 22x บาท ให f(x) เปนกําไรจากการขายสินคา เมือ่ x เปนจํานวนสินคาที่ผลิตไดใน 1 สัปดาห จะได f(x) = x(100 – 0.04x) – (600 + 22x) = –0.04x2 + 78x – 600 f′(x) = –0.08x + 78 ถา f′(x) = 0 จะได –0.08x + 78 = 0 เพราะฉะนั้น x = 975 บาท ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 975 จาก f′(x) = –0.08x + 78 จะได f′′(x) = –0.08 f′′(975) = –0.08 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 975 และมีคาเทากับ f(975) = 37,425 ดังนั้น ตองผลิตสินคาออกขายสัปดาหละ 975 ชิ้น จึงจะไดกําไรมากที่สุด
161 12. รถบรรทุกวิ่งระยะทาง 500 กิโลเมตร ดวยอัตราเร็วเฉลี่ย x กิโลเมตรตอชั่วโมง ตองใชเวลา
500 x
ชั่วโมง
เสียคาน้ํามันลิตรละ 24 บาท และใชน้ํามันในอัตรา ดังนั้น เสียคาน้ํามัน
x 2 500 )( )(24) 150 x
(24 +
24 +
x2 150
ลิตรตอชั่วโมง
บาท
และเสียเบีย้ เลีย้ งคนขับชั่วโมงละ m บาท 500m x
จะตองเสียเบี้ยเลี้ยงคนขับ
บาท
ให f(x) เปนเงินที่บริษทั ตองจายในการสงสินคา เมื่อ x เปนอัตราเร็วเฉลี่ยหนวยเปนกิโลเมตร ตอชั่วโมง =
500m x 2 500 + (24 + )( )(24) x 150 x
=
500m 288000 + + 80 x x x
f′(x)
=
−
ถา
f′(x)
=
0
จะได
−
จะได
f(x)
500m 288000 − + 80 x2 x2
500m 288000 − + 80 x2 x2
=
0
− 500m − 288000 + 80 x 2
=
0
x2 เพราะฉะนั้น
x =
−
25m + 3600 4
=
25m + 3600 4
หรือ
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f บนชวงปด [25, 80] คือ จาก
f′(x)
=
f′′(x) = f′′ (
−
x = 25m + 3600 4
500m 288000 − + 80 x2 x2
1000m 576000 + x3 x3
25m + 3600 ) 4
=
1000m + 576000 ⎛ 25m ⎞ + 3600 ⎟ ⎜ 4 ⎝ ⎠
3
> 0
25m + 3600 4
162 25m + 3600 4
นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x =
25m + 3600 4
ดังนัน้ บริษัทตองสั่งใหขับรถดวยอัตราเร็วเฉลี่ย
w
13.
d
กิโลเมตรตอชั่วโมง จึงจะประหยัดที่สดุ
เนื่องจาก s = kwd2 เมื่อ k เปนคาคงตัว จากรูป d2 = a2 – w2 จะได s = kw(a2 – w2) = kwa2 – kw3
a
ให s(w) เปนน้ําหนักสูงสุดที่คานรับได เมื่อ w เปนความกวางของคาน และ k เปนคาคงตัว จะได s(w) = wka2 – kw3 s′(w) = ka2 – 3kw2 ถา s′(w) = 0 = 0 จะได ka2 – 3kw2
เพราะฉะนั้น w =
ka 2 3k a2 3
w2
=
w2
=
− 3a 3
หรือ w =
3a 3
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน s คือ
3a 3
จาก
= =
ka2 – 3kw2 –6kw
=
−2 3ka
s′(w) s′′(w) s′′ (
3a ) 3
นั่นคือ ฟงกชนั s มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ w = จาก
w =
3a 3
จะได
<0 3a 3
d2 = d2 = d =
ดังนั้น ตองเลื่อยใหคานมีความกวาง
3a 3
2 3 3 ka 9 3a 2 a2 − ( ) 3 2 2 a 3 2 a 3
และมีคาเทากับ
เซนติเมตร และหนา
2 a 3
เซนติเมตร
163 14. ให P(f) เปนกําไรสุทธิหนวยเปนบาท เมื่อ f เปนปริมาณปุยทีใ่ ชหนวยเปนกิโลกรัมตอไร จะได P(f) = 400 + 20f – f2 P′(f) = 20 – 2f ถา P′(f) = 0 จะได 20 – 2f = 0 เพราะฉะนั้น f = 10 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน p คือ 10 จาก P′(f) = 20 – 2f P′′(f) = –2 P′′(10) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั P มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 10 และมีคาเทากับ P(10) = 500 ดังนั้น ตองใชปุย 10 กิโลกรัมตอที่ดิน 1 ไร จึงจะไดกําไรสุทธิสูงสุด และกําไรสุทธิสูงสุดจากผลผลิตตอไรเปน 500 บาท
เฉลยแบบฝกหัด 2.9 1. (1)
5 2 x +c 2
(2)
1 4 x +c 4
(3)
2 52 x +c 5
(4)
−
(5)
x2 + x + c
(6)
4 5 3 4 2 3 1 2 x + x + x + x +x+c 5 4 3 2
(7)
−
(8)
1 5 − x 5 + x 3 − 4x + c 5 3
(9)
2 x +c
(10)
−
2 3 − 2 +c x 2x
1 +c 4x 4
2 1 − +c x x
164
เฉลยแบบฝกหัด 2.10 1. (1) ∫ (x 4 + 3x 2 + 5x)dx
= =
∫ x dx + ∫ 3x dx + ∫ 5xdx ∫ x dx + 3∫ x dx + 5∫ xdx
=
x5 5x 2 + x3 + +c 5 2
(2) ∫ (2x 3 − 3x 2 + 6 − 2x −2 )dx = =
(3) ∫ (x10 − 13 )dx x
(4) ∫ ( 12 + 24 )dx x x
(5) ∫
xdx
4
2
4
2
∫ 2x dx − ∫ 3x dx + ∫ 6dx − ∫ 2x 2 ∫ x dx − 3∫ x dx + ∫ 6dx − 2∫ x 3
2
−2
dx
3
2
−2
dx
=
x4 2 − x 3 + 6x + + c 2 x
=
∫x
=
x11 1 + 2 +c 11 2x
=
∫x
=
∫x
=
−
=
∫ x 2 dx
=
2x 2 +c 3 2x x +c 3
10
dx − ∫ x −3dx
1
dx + ∫
2
−2
2 dx x4
dx + 2∫ x −4 dx
1 2 − 3 +c x 3x 1
3
= (6) ∫ (x
3 2
2 3
− x )dx
3 2
=
∫x
=
2x 2 3x 3 − +c 5 5
=
1 1 1 − 12 −2 dx dx x dx − ∫ x2 ∫ 2 x ∫ ∫ 2 x dx 1 1 − − x2 + c x 1 − − x +c x
5
(7) ∫ ( 12 − 1 )dx x 2 x
2 3
=
=
dx − ∫ x dx 5
165 (8) ∫ x 2 (x − 3)dx
(9) ∫
x (x + 1)dx
(10) ∫ ( x −3 2 )dx x
(11) ∫ (x 2 + 5x + 1)dx
(12) ∫ (6
x + 15)dx
(13) ∫ (x 3 + 5x 2 + 6)dx
(14)
6 ∫ ( x + 8 x )dx
=
∫ x dx − ∫ 3x dx
=
x4 − x3 + c 4
=
∫ x 2 dx + ∫ x 2 dx
3
2
3
1
5 2
3 2
=
2x 2x + +c 5 3
= =
∫x ∫x
=
−
= =
∫ x dx + ∫ 5xdx + ∫ 1dx ∫ x dx + 5∫ xdx + ∫ 1dx
=
x 3 5x 2 + +x+c 3 2
=
∫ 6x 2 dx + ∫ 15dx
= =
4x 2 + 15x + c
= =
∫ x dx + ∫ 5x dx + ∫ 6dx ∫ x dx + 5∫ x dx + ∫ 6dx
=
x 4 5x 3 + + 6x + c 4 3
= = = =
−2
dx − ∫ 2x −3dx
−2
dx − 2∫ x −3dx
1 1 + +c x x2 2 2
1
3
4x x + 15x + c 3
2
3
2
∫ 6x
−
1 2
−
1 2
1 2
dx + ∫ 8x dx 1 2
6 ∫ x dx + 8∫ x dx 1 2
3
16x 2 +c 12x + 3 12 x + 16x x + c
166 (15) ∫ (x 4 − 12x 3 + 6x 2 − 10)dx = =
∫ x dx − ∫ 12x dx + ∫ 6x dx − ∫ 10dx ∫ x dx − 12∫ x dx + 6∫ x dx − ∫ 10dx
dy = f′(x) dx dy ∫ dx dx
จะได
= =
y
=
f(x)
=
x2 +c 2
เนื่องจาก f(2)
=
2
จะได
2
=
22 +c 2
c
=
0
f(x)
=
x2 2
ดังนั้น
2
4
3
2
= x
y
จะได
3
x5 − 3x 4 + 2x 3 − 10x + c 5
= 2. ให
4
∫ xdx ∫ xdx x2 +c 2
เมื่อ c เปนคาคงตัวใด ๆ
3. (1) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ x2 – 3x + 2 นั่นคือ
dy dx
=
x2 – 3x + 2
จะได
y
=
∫ (x
y
=
ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y
2
− 3x + 2)dx
x 3 3x 2 − + 2x + c 3 2 3 2 = x − 3x + 2x + c 3 2
แตเสนโคงนี้ผา นจุด (2, 1) นั่นคือ เมื่อ x = 2 จะได y = 1 แทนคา x = 2 และ y = 1 ในสมการเสนโคง จะได
ดังนั้น
23 3 2 − (2 ) + 2(2) + c 3 2 c = 1 3 3 2 สมการเสนโคงดังกลาวคือ y = x − 3x + 2x + 1 3 2 3
1 =
167 (2) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 2x3 + 4x นั่นคือ
dy dx
=
2x3 + 4x
จะได
y
=
∫ (2x
y
=
ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y
3
+ 4x)dx
x4 + 2x 2 + c 2 4 = x + 2x 2 + c 2
แตเสนโคงนี้ผา นจุด (0, 5) นั่นคือ เมื่อ x = 0 จะได y = 5 แทนคา x = 0 และ y = 5 ในสมการเสนโคง จะได c = 5 x4 + 2x 2 + 5 2
ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y =
(3) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 6 + 3x2 – 2x4 นั่นคือ
dy dx
=
6 + 3x2 – 2x4
จะได
y
=
∫ (−2x
y
=
−
4
+ 3x 2 + 6)dx
2x 5 + x 3 + 6x + c 5
แตเสนโคงนี้ผา นจุด (1, 0) นั่นคือ เมื่อ x = 1 จะได y = 0 แทนคา x = 1 และ y = 0 จะได
ดังนั้น
2 − (1)5 + (1)3 + (6)(1) + c 5 33 − c = 5 5 สมการเสนโคงดังกลาวคือ y = − 2x + x 3 + 6x − 33 5 5
0
=
168 dv dt
=
a(t)
∫ dt dt
=
∫ (6 − 2t)dt
4. (1) จาก จะได
dv
=
6 – 2t
v = 6t – t2 + c1 จาก v(0) = 5 จะได c1 = 5 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 6t – t2 + 5 เมื่อ 0 ≤ t จาก จะได
ds dt ds ∫ dt dt
=
v(t)
=
∫ (6t − t
s = จาก
s(0)
=
−
+ 5)dt
t3 + 3t 2 + 5t + c 2 3
0
จะได c2 = 0 t3 − + 3t 2 + 5t 3
ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ (2) จาก จะได
dv = dt dv ∫ dt dt =
a(t)
∫ (120t − 12t
จะได
ds dt ds ∫ dt dt
=
v(t)
=
=
∫ (60t
2
เมื่อ
2
)dt
0 ≤ t ≤ 10
60t2 – 4t3
− 4t 3 )dt
s = 20t 3 − t 4 + c 2 จาก s(0) = 4 จะได c2 = 4 ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ 20t3 – t4 + 4 เมื่อ (3) จาก จะได
จาก
dv = dt dv ∫ dt dt =
a(t)
v
=
t 3 5t 2 + + 4t + c1 3 2
v(0)
=
–2
∫ (t
= 2
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ
0≤t≤3
120t – 12t2
=
v = 60t2 – 4t3 + c1 จาก v(0) = 0 จะได c1 = 0 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 60t2 – 4t3 เมื่อ จาก
3
6t – t2 + 5
= 2
≤
0 ≤ t ≤ 10
t2 + 5t + 4
+ 5t + 4)dt
จะได c1 = –2 t 3 5t 2 + + 4t − 2 3 2
เมื่อ
0 ≤ t ≤ 15
169 จาก จะได
จาก
t 3 5t 2 + + 4t − 2 3 2
ds dt ds ∫ dt dt
=
v(t)
=
s
=
t 3 5t 2 + + 4t − 2)dt 3 2 t 4 5t 3 + + 2t 2 − 2t + c 2 12 6
s(0)
=
=
∫(
–3
จะได c2 = –3
ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ
t 4 5t 3 + + 2t 2 − 2t − 3 12 6
5. (1) โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่ง a = –g = –9.8 เมตร / วินาที2 จะได
dv dt
=
–9.8
v = ∫ −9.8dt v = –9.8t + c1 โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่งดวยความเร็ว 98 เมตร / วินาที นั่นคือ ขณะ t = 0, v = 98 จาก v = –9.8t + c1 = 98 จะได c1 ดังนั้น v = –9.8t + 98 จาก
ds dt
=
v(t)
=
–9.8t + 98
จะได
s = ∫ (−9.8t + 98)dt s = –4.9t2 + 98t + c2 เมื่อ t =0 จะได s = 0 ดังนั้น c2 = 0 ดังนั้น สมการการเคลื่อนที่ของวัตถุ คือ s = –4.9t2 + 98t
(2) วัตถุขึ้นสูงสุด เมื่อ v = 0 จาก v = –9.8t + 98 จะได 0 = –9.8t + 98 t = 10 ดังนั้น วัตถุขึ้นไปสูงสุดเมื่อเวลาผานไป 10 วินาที
เมื่อ
0 ≤ t ≤ 15
170 (3) จาก (2) เมื่อ t = 10 จาก s = –4.9t2 + 98t จะได s = –4.9(10)2 + 98(10) s = 490 ดังนั้น ระยะทางสูงสุดที่วัตถุขึ้นไปไดคือ 490 เมตร (4) เมื่อ จาก จะได
s = 249.9 s = –4.9t2 + 98t 249.9 = –4.9t2 + 98t t2 – 20t + 51 = 0 (t – 17)(t – 3) = 0 นั่นคือ t = 3 หรือ t = 17 ดังนั้น วัตถุจะอยูสูง 249.9 เมตร เมื่อเวลาผานไป 3 วินาที และ 17 วินาที
6. รถไฟวิ่งดวยความเรง a =
dv dt
=
1 (20 − t) 4
t 4
จาก
dv dt
=
5−
จะได
v
=
∫ (5 − 4 )dt
v
=
5t −
ขณะ t = 0, v = 0 ดังนั้น
v
=
5−
t 4
t
t2 + c1 8
จะได c1 = 0 t2 8
=
5t −
=
(20) 2 5(20) − 8
ถา t = 20 จะได
v
v = 50 นั่นคือ วินาทีที่ 20 รถไฟกําลังแลนดวยความเร็ว 50 เมตร / วินาที จาก จะได
ds dt ds dt
=
v
=
5t −
s
=
∫ (5t −
s
=
= t2 8
t2 )dt 8 5t 2 t 3 − + c2 2 24
t2 5t − 8
171 ขณะ
t =0,
ดังนั้น
s
ถา
t = 20
จะได
จะได c2 = 0
s=0 =
5t 2 t 3 − 2 24
s
=
s
=
5 (20)3 (20) 2 − 2 24 2000 3
นั่นคือ เวลา 20 วินาที รถไฟแลนไดระยะทาง
2000 3
เมตร
ตอจากนั้นรถไฟแลนตอไปดวยความเร็วคงที่ 50 เมตรตอวินาที หลังจากออกจากสถานี 30 วินาที ก็คือ แลนดวยความเร็วคงที่ตอไปอีก 10 วินาที มีความเรง
ความเร็วคงที่ V = 50 10 วินาที
20 วินาที จาก
s = vt s = 50 × 10 s = 500 รถไฟแลนดวยความเร็วคงทีต่ อไปอีก 10 วินาที เปนระยะทาง 500 เมตร ดังนั้น หลังจากรถไฟออกจากสถานี 30 วินาที จะอยูห างจากสถานีเปน ระยะทาง เทากับ
2000 + 500 3
=
1166
2 3
เมตร
เฉลยแบบฝกหัด 2.11 4
1. ∫3 (x 3 + 3)dx
= = = =
4 x4 + 3x) 3 4 256 81 ( + 12) − ( + 9) 4 4 304 117 − 4 4 187 4 (
172 3
2. ∫1 (x 2 − 2x + 3)dx = = = = 1
3. ∫ −1 (4x 3 + 2x)dx = = = 4. ∫ −3 12 dx x −1
= = =
5. ∫ 2 (x 2 + 33 )dx x 4
= = = =
1
6. ∫ −1 (− x 4 + x 2 − 1)dx = = 1
7. ∫ 0 x(x 2 + 1)dx
3 x3 − x 2 + 3x) 1 3 1 (9 − 9 + 9) − ( − 1 + 3) 3 7 9− 3 20 3 (
(x 4 + x 2 )
1 −1
(1 + 1) – (1 + 1) 0 1 −1 (− ) x −3 1 1− 3 2 3 x3 3 4 − 2) 3 2x 2 64 3 8 3 ( − )−( − ) 3 32 3 8 2039 55 − 96 24 1819 96 (
1 x5 x3 + − x) −1 5 3 1 1 1 1 (− + − 1) − ( − + 1) 5 3 5 3 26 − 15
=
(−
1
=
∫
=
x4 x2 1 ( + ) 4 2 0 1 1 ( + )−0 4 2 3 4
= =
0
(x 3 + x)dx
173 1
8. ∫ 0 x 2 (x 2 + 1)2 dx =
∫
= 3
+ 2x)dx
2 x4 + x2 ) 0 12 16 ( + 4) − 0 12 16 3
=
(
= = 2
10. ∫ 0 x(x 2 + 1)2 dx
(x 6 + 2x 4 + x 2 )dx
(
=
2
0
x 7 2x 5 x 3 1 + + ) 7 5 3 0 1 2 1 ( + + )−0 7 5 3 92 105
=
9. ∫ 0 ( x 3
1
=
∫
=
(
2 0
(x 5 + 2x 3 + x)dx
x6 x4 x2 2 + + ) 6 2 2 0 32 ( + 8 + 2) − 0 3 62 3
= =
เฉลยแบบฝกหัด 2.12 1. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ 12
Y y = x2
8 4 -4
-2
0
2
4
X
174 ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2 จาก x = –3 ถึง x = 0 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูใ นชวง [–3, 0] 0 2 จะได A = ∫−3 x dx =
x3 0 3 −3
= =
0 – (–9) 9 ตารางหนวย
2. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ Y 4 y=x+1 2 -4
0
-2
2
4
X
ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x + 1 จาก x = –1 ถึง x = 1 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1] 1 จะได A = ∫ −1 (x + 1)dx = = =
1 x2 + x) −1 2 1 1 ( + 1) − ( − 1) 2 2
(
2
ตารางหนวย
175 3. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้
Y 8 y = 6 + x – x2 4
-4
0
-2
X
4
2
ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 6 + x – x2 จาก x = –1 ถึง x = 1 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1] 1 2 จะได A = ∫ −1 (6 + x − x )dx = = =
x2 x 3 1 (6x + − ) 2 3 −1 1 1 1 1 (6 + − ) − (−6 + + ) 2 3 2 3 34 ตารางหนวย 3
4. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ Y y = 9 – x2
8 4 -4
-2
0
2
4
X
176 ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 9 – x2 จาก x = –3 ถึง x = 3 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–3, 3] 3 2 จะได A = ∫ −3 (9 − x )dx =
x3 3 (9x − ) 3 −3
= =
(27 – 9) – (–27 + 9) 36 ตารางหนวย
5. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ Y 10 0
-5
5
X
-10 y = x 2 − 25
-20 -30 ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2 – 25 จาก x = –1 ถึง x = 3 เนื่องจาก f(x) ≤ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 3] 3 − ∫ (x 2 − 25)dx จะได A = −1 = = =
3 x3 − 25x) −1 3 1 −[(9 − 75) − (− + 25)] 3 272 ตารางหนวย 3
−(
177 Y
6.
2 -1 0
4
2
-2
X
6
y = f(x)
พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 0 ถึง x = 1 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 2 2
= 1 ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา 1 F(1) – F(0) = ∫ 0 f (x)dx
=
–1
ดังนั้น F(1) = –1 + 0 = –1 พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 1 ถึง x = 2 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× (2 + 1) 2
=
3 2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา ดังนั้น
2
F(2) – F(1)
=
∫
F(2)
=
3 − −1 2
1
f (x)dx
= =
3 2 5 − 2 −
พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) จาก x = 2 ถึง x = 3 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 1 2
=
1 2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา ดังนั้น
3
F(3) – F(2)
=
∫
F(3)
=
1 5 − − 2 2
2
f (x)dx
=
−
=
–3
1 2
พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 3 ถึง x = 4 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 1 2
=
1 2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา ดังนั้น
4
F(4) – F(3)
=
∫
F(4)
=
1 −3 2
3
f (x)dx
=
1 2
=
−
5 2
178 พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 4 ถึง x = 5 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 1 2
=
1 2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา 5
F(5) – F(4)
=
∫
∴ F(5)
=
1 5 − 2 2
4
f (x)dx
=
1 2
=
–2
ดังนั้น F(b) มีคา –1, − 5 , –3, − 5 , –2 เมื่อ b = 1, 2, 3, 4, 5 ตามลําดับ 2
2
7. เนื่องจากพื้นทีป่ ดลอม F′(x) กับแกน X บน [0, 2] เทากับ 5 2 จะได 5 ∫ 0 F′(x)dx = จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(2) – F(0) =
∫
2 0
F′(x)dx
F(2)
= 5+3 = 8 เนื่องจากพื้นทีป่ ดลอม F′(x) กับแกน X บน [2, 5] เทากับ 16 5 –16 จะได ∫ 2 F′(x)dx = จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(5) – F(2) =
∫
5 2
F′(x)dx
F(5)
= –16 + 8 = –8 เนื่องจากพื้นทีป่ ดลอม F′(x) กับแกน X บน [5, 6] เทากับ 10 6 10 จะได ∫5 F′(x)dx = จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(6) – F(5) = F(6)
= =
∫
6 5
F′(x)dx
10 – 8 2
187
เฉลยแบบฝกหัด 3.1 1. (1, 1)
อยูในกราฟของอสมการ 2x + y > 2
(–1, 3), ( 1 ,
1 ) 4 2
อยูในกราฟของอสมการ 2x + y < 2
(2, –2)
อยูบนเสนตรงซึ่งเปนกราฟของ 2x + y = 2
2. (1) x < 2
(2) Y
x=2
X
O (3) y
≤
y>3 Y
3
y=3 X
O (4)
Y
x
≥
–1
x = –1 Y y=3 X
O (5) 2x + 2y < 4 Y
O
(7) 3y – x
(6)
(0, 2) (2, 0)
≤
y + 2x > 2 Y (0, 2)
X
6
O
(8)
x
≤
Y (–6, 0)
X
(1, 0) 2y – 2 Y
(0, 2) O
X
O
X
(–2, 0)
O
(0, 1)
X
188
เฉลยแบบฝกหัด 3.2 1. (1)
Y
x = –1
(2)
x=1
Y y=2
X
O Y y – 2x = 2
(3)
X
O (4)
x+y=1
Y
(0, 2) (–1, 0)
Y
(5)
x + 3y = 3 2. (1) 2x + y x y (3) 2x + y 4x – y x (5)
X
O
3x + 2y x + 3y x y
≤ ≥ ≥ ≤ ≤ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥
(3, 0)
4 0 0 10 8 0 12 11 0 0
(6)
x=y 3 3 ( , ) 4 4
(0, 1) O
O
ไมมีบริเวณทีซ่ อนทับกันของ อสมการ 0 ≤ x ≤ 2 และ y ≥ 0 และ 2x – 3y ≥ 12
X (2) (4)
(6)
x–y x + 2y y 4x + y x + 3y x y 3x + y x+y 2x + 5y x y
(0, 1) (1, 0)
≥ ≤ ≥ ≤ ≤ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥
1 6 0 16 15 0 0 180 100 260 0 0
X y = –2
189
เฉลยแบบฝกหัด 3.3 1. (1)
P = 5x + 3y ≤ 80 2x + 4y 5x + 2y ≤ 80 ≥ 0 x y ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0, 40) 5x + 2y = 80 (0, 20)
O
(10, 15)
(16, 0)
2x + 4y = 80 (40, 0)
X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 0), (0, 20), (10, 15) และ (16, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 20) (10, 15) (16, 0)
5x 0 0 50 80
3y 0 60 45 0
ดังนั้น จุดมุม (10, 15) ใหคา P มากที่สุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 95 เมื่อ x = 10 และ y = 15
P = 5x + 3y 0 60 95 80
190 (2)
P = 15x + 10y 3x + 2y ≤ 80 2x + 3y ≤ 70 ≥ 0 x y ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0, 40) 3x + 2y = 80 หรือ 15x + 10y = 400 (0, 23 13 ) (20, 10) O
2 (26 , 0) 3
2x + 3y = 70 (35, 0) X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 0), (0, 23 1 ), (20, 10) และ ( 26 2 , 0) 3
3
เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 23 1 ) 3
(20, 10) ( 26 2 , 0) 3
15x 0 0
10y 0 233.33
P = 15x +10y 0 233.33
300 400
100 0
400 400
ดังนั้น จุดมุม (20, 10) หรือ ( 26 2 , 0) จะใหคา P เทากันคือ 400 3
นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 400 เมื่อ x = 20 และ y = 10 หรือ x = 26 2 3
และ y = 0 แตสังเกตวา เสนตรงที่ผานจุด (20, 10)
และจุด ( 26 2 , 0) 3
คือ
สมการ 3x + 2y = 80 หรือ 15x + 10y = 400 แสดงวายังมีอีกหลายจุดที่เปนคําตอบ
191 (3)
P = 35x1 – 25x2 2x1 + 3x2 ≤ 15 3x1 + x2 ≤ 12 ≥ 0 x1 x2 ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ X2 (0, 12) 3x1 + x2 = 12 (0, 5)
O
(3, 3) (4, 0)
2x1 + 3x2 = 15 ( 152 , 0) X1
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 0), (0, 5), (3, 3) และ (4, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x1, x2) (0, 0) (0, 5) (3, 3) (4, 0)
35x1 0 0 105 140
25x2 0 125 75 0
ดังนั้น จุดมุม (4, 0) ใหคา P มากที่สุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 140 เมื่อ x1 = 4 และ x2 = 0
P = 35x1 – 25x2 0 –125 30 140
192 (4)
P x+y 5x + 2y x y x y
=
2x + 3y 4 25 4 5 0 0
≥ ≤ ≤ ≤ ≥ ≥
กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0,
25 ) 2
5x + 2y = 25 x=4
(0, 5)
y=5
(3, 5)
(0, 4)
(4, 5 ) 2
x+y=4 O
(4, 0)
(5, 0)
X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 4), (0, 5), (3, 5), (4, 5 ) และ (4, 0) 2
เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 4) (0, 5) (3, 5) (4, 5 )
2x 0 0 6 8
3y 12 15 15 7.5
P = 2x + 3y 12 15 21 15.5
(4, 0)
8
0
8
2
ดังนั้น จุดมุม (3, 5) ใหคา P มากที่สุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 21 เมื่อ x = 3 และ y = 5
193 (5)
P x + 2y 3x + 2y x y
= ≤ ≤ ≥ ≥
100x + 80y 800 1200 0 0
กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0, 600) (0, 400)
O
3x + 2y = 1200 (200, 300)
(400, 0)
x + 2y = 800 (800, 0)
X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 400), (200, 300), (400, 0), และ (0, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 400) (200, 300) (400, 0)
100x 0 0 20000 40000
80y 0 32000 24000 0
P = 100x + 80y 0 32000 44000 40000
ดังนั้น จุดมุม (200, 300) ใหคา P สูงสุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 44000 เมื่อ x = 200 และ y = 300
194 (6)
P = 300x + 200y 6x + 6y ≤ 420 3x + 6y ≤ 300 ≤ 240 4x + 2y x ≥ 0 y ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ 4x + 2y = 240
Y (0, 120)
6x + 6y = 420 (0, 70) 3x+ 6y = 300 (0, 50) (40, 30) (50, 20) O
(60, 0)
(70, 0)
(100, 0)
X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 50), (40, 30), (50, 20), (60, 0) และ (0, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 50) (40, 30) (50, 20) (60, 0)
300x 0 0 12000 15000 18000
200y 0 10000 6000 4000 0
P = 300x + 200y 0 10000 18000 19000 18000
ดังนั้น จุดมุม (50, 20) ใหคา P สูงสุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 19000 เมื่อ x = 50 และ y = 20
195 2. (1)
C 3x + 4y x + 3y x y
= ≥ ≥ ≥ ≥
9x + 15y 25 15 0 0
กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y
(0,
25 ) 4
3x + 4y = 25 x + 3y = 15
(3, 4)
(0, 5)
(15, 0)
O
25 ( , 0) 3
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0,
25 ), (3, 4) 4
X
และ (15, 0)
เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (x, y) (0,
25 ) 4
(3, 4) (15, 0)
9x 0
15y 93.75
C = 9x + 15y 93.75
27 135
60 0
87 135
ดังนั้น จุดมุม (3, 4) ใหคา C ต่ําสุด นั่นคือ คาต่ําสุดของ C คือ 87 เมื่อ x = 3 และ y = 4
196 (2)
C 2x1 + x2 2x1 + 3x2 x1 x2
=
28x1 + 35x2 110 170 0 0
≥ ≥ ≥ ≥
กราฟของอสมการขอจํากัด คือ X2
(0, 110)
(0,
2x1 + x2 = 110
170 ) 3
2x1 + 3x2 = 170 (40, 30)
O
(55, 0)
(85, 0)
X1
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 110), (40, 30) และ (85, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (x1, x2) (0, 110) (40, 30) (85, 0)
28x1 0 1120 2380
35x2 3850 1050 0
ดังนั้น จุดมุม (40, 30) ใหคา C ต่ําสุด นั่นคือ คาต่ําสุดของ C คือ 2170 เมื่อ x1 = 40 และ x2 = 30
C = 28x1 + 35x2 3850 2170 2380
197 (3)
C 6y1 + 2y2 2y1 + 2y2 4y1 + 12y2 y1 y2
= ≥ ≥ ≥ ≥ ≥
40000y1 + 32000y2 12 8 24 0 0
กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y2
(0, 6) (0, 4)
6y1 + 2y2 = 12
(1, 3)
(0, 2) O
2y1 + 2y2 = 8 (3, 1)
(2, 0)
(4, 0)
4y1 + 12y2 = 24 (6, 0)
Y1
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 6), (1, 3), (3, 1) และ (6, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (y1, y2) (0, 6) (1, 3) (3, 1) (6, 0)
40000y1 0 40000 120000 240000
32000y2 192000 96000 32000 0
C = 40000y1 + 32000y2 192000 136000 152000 240000
ดังนั้น จุดมุม (1, 3) ใหคา C ต่ําสุด นั่นคือ คาต่ําสุดของ C คือ 136000 เมื่อ y1 = 1 และ y2 = 3
198 3. (1) 160000x + 80000y 90x + 54y หรือ 2x + y 5x + 3y
≤ ≤ ≤ ≤
2720000 1620
(เงินลงทุนซื้อเครื่องจักร) (พื้นที่สําหรับวางเครื่องจักร)
34 90
Y (0, 34) (0, 30)
2x + y = 34
(12, 10) O
(17, 0)
(18, 0)
5x + 3y = 90 X
(2) รายไดตอวัน P = 7500x + 4200y (x, y) (0, 0) (0, 30) (12, 10) (17, 0)
7500x 0 0 90000 127500
4200x 0 126000 42000 0
P = 7500x + 4200y 0 126000 132000 127500
โรงงานนี้ควรซื้อเครื่องจักรชนิด A และเครื่องจักรชนิด B อยางละ 12 เครื่อง และ 10 เครื่อง ตามลําดับ รายไดตอวันสูงสุดคือ 132000 บาท
199 4. (1)
x+y 10x + 30y
≤
x+y x + 3y
≤
≤
10 180
(จํานวนพนักงาน) (เวลาที่ใชในการจัดกลองขึ้นรถ)
หรือ ≤
10 18
Y (0, 10) (0, 6)
x + y = 10 x + 3y = 18
(6, 4)
O
(18, 0)
(10, 0)
X
(2) จํานวนกลองที่ขนสงไดตอวัน P = 30x + 70y (x, y) (0, 0) (0, 6) (6, 4) (10, 0)
30x 0 0 180 300
70y 0 420 280 0
P = 30x + 70y 0 420 460 300
บริษัทควรใชรถบรรทุกขนาดเล็กและขนาดใหญอยางละ 6 คัน และ 4 คัน ตามลําดับ จึงจะขนสงผลิตภัณฑใหไดจาํ นวนกลองมากที่สุด
200 5. (1)
1 1 x+ y 5 10
800000x + 500000y หรือ 2x + y 8x + 5y
≤
9
(เนื้อที่โครงการ)
≤
40000000 90 400
(เงินทุนสรางบานทั้งสองแบบ)
≤ ≤
Y (0, 90) (0, 80)
2x + y = 90
(25, 40) 8x + 5y = 400 O
(45, 0)
(50, 0)
X
(2) กําไร P = 100000x + 70000y (x, y) (0, 0) (0, 80) (25, 40) (45, 0)
100000x 0 0 2500000 4500000
70000y 0 5600000 2800000 0
P = 100000x + 70000y 0 5600000 5300000 4500000
เจาของโครงการหมูบานจัดสรรควรตัดสินใจสรางทาวนเฮาสอยางเดียว จํานวน 80 หลัง จึงจะไดผลกําไรสูงสุด ผลกําไรสูงสุดคือ 5,600,000 บาท
201 6. ให P เปนกําไร x เปนจํานวนเกาอี้ขาสั้นที่ผลิตในแตละวัน และ y เปนจํานวนเกาอี้ขายาวที่ผลิตในแตละวัน จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ P = 30x + 50y และ x + 2y ≤ 8 (เวลาที่ตองใชในการผลิตขั้นตน) 2x + 2y ≤ 10 (เวลาที่ตองใชในการผลิตขั้นที่สอง) ≥ 0 x y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y (0, 5) (0, 4)
2x + 2y = 10 (2, 3) x + 2y = 8
O
(5, 0)
(8, 0)
X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 0), (0, 4), (2, 3) และ (5, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 4) (2, 3) (5, 0)
30x 0 0 60 150
50y 0 200 150 0
P = 30x + 50y 0 200 210 150
จุดมุม (2, 3) ใหคา P มากทีส่ ุด ดังนั้น ในแตละวันถาใหไดกําไรมากที่สุดควรจะผลิตเกาอี้ขาสั้น จํานวน 2 ตัว และเกาอี้ ขายาว จํานวน 3 ตัว และจะไดกําไร 210 บาท
202 7. ให P เปนกําไร x เปนจํานวนจอภาพธรรมดาทีค่ วรผลิตตอสัปดาห และ y เปนจํานวนจอภาพแบนที่ควรผลิตตอสัปดาห จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ P = 1800x + 2200y และ x+y ≤ 300 (จํานวนจอภาพทั้งสองชนิดที่ผลิต) 3600x + 5400y ≤ 1,296,000 (ตนทุนการผลิต) ≥ 0 x y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y (0, 300)
x + y = 300
(0, 240) (180, 120) 3600x + 5400y = 1296000 O
(300, 0)
(360, 0) X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 0), (0, 240), (180, 120) และ (300, 0) และเมื่อแทนคาพิกัดของจุดมุมขางตนในฟงกชันจุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 240) (180, 120) (300, 0)
1800x 0 0 324,000 540,000
2200y 0 528,000 264,000 0
P = 1800x + 2200y 0 528,000 588,000 540,000
จุดมุม (180, 120) ใหคา P มากที่สุด ดังนั้น ในแตละสัปดาหควรจะผลิตจอภาพธรรมดา จํานวน 180 ชิน้ และจอภาพแบนจํานวน 120 ชิ้น จึงไดกําไรมากที่สุดคือไดกําไร 588,000 บาท
203 8. ให P เปนกําไร x เปนจํานวนชุดกลางวันที่ควรจะตัด y เปนจํานวนชุดราตรีที่ควรจะตัด จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ P = 300x + 500y และ 2x + y ≤ 16 (ผาสีพื้นที่ตองใช) x + 3y ≤ 15 (ผาลายดอกทีต่ องใช) ≤ 11 (ผาลูกไมที่ตองใช) x + 2y x ≥ 0 y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y (0, 16) 2x + y = 16 (0,
11 ) 2
(7, 2)
(0, 5)
x + 2y = 11
(3, 4) O
(8, 0)
x + 3y = 15 X (11, 0) (15, 0)
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 0), (0, 5), (3, 4), (7, 2) และ (8, 0) และเมื่อแทนคาพิกัดของจุดมุมขางตนในฟงกชันจุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) 300x 500y P = 300x + 500y (0, 0) 0 0 0 (0, 5) 0 2500 2500 (3, 4) 900 2000 2900 (7, 2) 2100 1000 3100 (8, 0) 2400 0 2400 จุดมุม (7, 2) ใหคา P มากทีส่ ุด ดังนั้น ชางตัดเสื้อควรจะตัดชุดกลางวัน 7 ชุด และชุดราตรี 2 ชุด จึงจะไดกําไรมากที่สุด คือมีกําไร 3,100 บาท
204 9. ให C แทนคาแรงทีต่ องจายใหคนงาน 2 คน x แทนจํานวนชัว่ โมงในการทํางานของคนงานคนแรก และ y แทนจํานวนชัว่ โมงในการทํางานของคนงานคนที่สอง จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ C = 25x + 22y และ x+y ≥ 5 (จํานวนตู) 3x + 2y ≥ 12 (จํานวนโตะ) ≥ 18 (จํานวนชั้นวางหนังสือ) 3x + 6y x ≥ 0 y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y 3x + 2y = 12
(0, 6)
x+y=5
(0, 5) (0, 3)
O
(2, 3)
(4, 1)
(4, 0) (5, 0)
3x + 6y = 18 (6, 0) X
จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 6), (2, 3), (4, 1) และ (6, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (x, y) 25x 22y C = 25x + 22y (0, 6) 0 132 132 (2, 3) 50 66 116 (4, 1) 100 22 122 (6, 0) 150 0 150 จุดมุม (2, 3) ใหคา C ต่ําที่สุด ดังนั้น ถาตองการใหเสียคาแรงนอยที่สุดเขาควรจะจางคนงานคนที่หนึง่ ทํางาน 2 ชั่วโมง และจางคนงานคนที่สองทํางาน 3 ชั่วโมง