add-m6-2-finished

Page 1

คณิ ตศาสตร์เพิม เติม ชั นมัธยมศึกษาปี ที 6

เล่ม 2


สารบัญ หนา บทที่ 1 ลําดับอนันตและอนุกรมอนันต ผลการเรียนรูที่คาดหวัง ขอเสนอแนะ กิจกรรมเสนอแนะ ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ก เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ข เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ก เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ข

1 2 10 14 15 20 25 38 51

บทที่ 2 แคลคูลัสเบื้องตน ผลการเรียนรูที่คาดหวัง ขอเสนอแนะ กิจกรรมเสนอแนะ ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ก เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ข เฉลยแบบฝกหัด 2.2 เฉลยแบบฝกหัด 2.3 เฉลยแบบฝกหัด 2.4 เฉลยแบบฝกหัด 2.5 เฉลยแบบฝกหัด 2.6

61 62 75 97 99 102 106 113 115 119 126 131


หนา

เฉลยแบบฝกหัด 2.7 เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ก เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ข เฉลยแบบฝกหัด 2.9 เฉลยแบบฝกหัด 2.10 เฉลยแบบฝกหัด 2.11 เฉลยแบบฝกหัด 2.12 บทที่ 3 กําหนดการเชิงเสน ผลการเรียนรูที่คาดหวัง ขอเสนอแนะ ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท เฉลยแบบฝกหัด 3.1 เฉลยแบบฝกหัด 3.2 เฉลยแบบฝกหัด 3.3

137 140 151 163 164 171 173

179 180 183 184 187 188 189


20

เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ก 1. (1) a2 = a3 = a4 = a5 = ดังนั้น (2) a2 = a3 = a4 = a5 = ดังนั้น

a1 + 2 – 1 = 0 + 2 – 1 = 1 a2 + 3 – 1 = 1 + 3 – 1 = 3 a3 + 4 – 1 = 3 + 4 – 1 = 6 a4 + 5 – 1 = 6 + 5 – 1 = 10 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 1, 3, 6, 10 1 + 0.05a1 = 1 + 0.05(1000) = 51 1 + 0.05a2 = 1 + 0.05(51) = 3.55 1 + 0.05a3 = 1 + 0.05(3.55) = 1.1775 1 + 0.05a4 = 1 + 0.05(1.1775) = 1.058875 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1000, 51, 3.55, 1.1775, 1.058875

(3) a2 = 6a1 = 6(2) = 12 a3 = 6a2 = 6(12) = 72 a4 = 6a3 = 6(72) = 432 a5 = 6a4 = 6(432) = 2592 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 12, 72, 432, 2592 (4) a3 = a2 + 2a1 = 2 + 2(1) a4 = a3 + 2a2 = 4 + 2(2) a4 + 2a3 = 8 + 2(4) a5 = ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1, 2, 4, 8, 16

= = =

4 8 16

(5) a3 = a2 + a1 = 0+2 a4 = a3 + a2 = 2+0 a5 = a4 + a3 = 2+2 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 0, 2, 2, 4

= = =

2 2 4

2. (1) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน 2 (2) เปนลําดับเรขาคณิต มีอตั ราสวนรวมเปน –1 (3) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน –2 (4) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน

1 3

(5) ไมเปนทั้งลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต


21 3. (1) d = 4 – (–2) = 6 เนื่องจาก an ∴ an

= = = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an

(2) d =

1 ⎛ 1⎞ −⎜− ⎟ 6 ⎝ 6⎠

เนื่องจาก ∴

1 3

=

an an

a1 + (n – 1)d –2 + (n – 1)6 6n – 8 = 6n – 8

= = = =

พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (3) d =

1 13 − 11 2

เนื่องจาก ∴

an an

=

5 2

a1 + (n – 1)d 1 1 − + (n − 1) 6 3 3 n − + 6 3 2n − 3 6 2n − 3 6

= =

a1 + (n – 1)d

=

17 5n + 2 2 5n + 17 2 5n + 17 2

= พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =

11 + (n − 1)

5 2

(4) d = 22.54 – 19.74 = 2.8 เนื่องจาก an = = ∴ an = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =

a1 + (n – 1)d 19.74 + (n – 1)(2.8) 2.8n + 16.94 2.8n + 16.94

(5) d = (x + 2) – x = 2 = เนื่องจาก an = ∴ an = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =

a1 + (n – 1)d x + (n – 1)2 x + 2n – 2 x – 2 + 2n


22 (6) d = (2a + 4b) – (3a + 2b) = –a + 2b = a1 + (n – 1)d เนื่องจาก an = (3a + 2b) + (n – 1)(–a + 2b) ∴ an = 3a + 2b – na + 2nb + a – 2b = 4a – na + 2nb พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 4a – na + 2nb 4. จะได

5p – p = 6p + 9 – 5p 4p = p+9 3p = 9 p = 3 จะได สามพจนแรกของลําดับนี้คือ 3, 15, 27 ลําดับนี้มีผลตางรวมเปน 12 ดังนั้น สี่พจนตอไปของลําดับนี้คือ 39, 51, 63, 75

5. ใหลําดับนี้มีสามพจนแรกคือ a – d, a, a + d จะได a–d+a+a+d = 12 ---------- (1) 3 3 3 และ (a – d) + a + (a + d) = 408 ---------- (2) จาก (1) 3a = 12 a = 4 จาก (2), a3 – 3a2d + 3ad2 – d3 + a3 + a3 + 3a2d + 3ad2 + d3 = 408 3a3 + 6ad2 = 408 3 2 = 408 3(4) + 24d 24d2 = 408 – 192 d2

=

216 24

= 9 d = 3 หรือ –3 ถา d = 3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 1, 4, 7, 10, 13, ... ถา d = –3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 7, 4, 1, –2, –5, ... 6. (1) r

=

−6 −3

=

2

เนื่องจาก an = a1rn–1 = (–3)2n–1 ∴ an พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (–3)2n–1


23 −5 10

=

เนื่องจาก

an

=

a1rn–1

an

=

⎛ 1⎞ 10 ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠

n −1

⎛ 1⎞ 10 ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠

n −1

(2) r

=

พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =

1 2

5 4 1 4

=

5

เนื่องจาก

an

=

a1rn–1

an

=

⎛ 1 ⎞ n −1 ⎜ ⎟5 ⎝4⎠ ⎛ 1 ⎞ n −1 ⎜ ⎟5 ⎝4⎠

(3) r

=

พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (4) r

=

5 3 5 6

=

2

เนื่องจาก

an

=

a1rn–1

an

=

⎛ 5 ⎞ n −1 ⎜ ⎟ (2) ⎝6⎠ ⎛ 5 ⎞ n −1 ⎜ ⎟ (2) ⎝6⎠

พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (5) r

=

1 12 2 − 9

=

3 8

เนื่องจาก

an

=

a1rn–1

an

=

⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞ ⎜ − ⎟⎜ − ⎟ ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠

n −1

⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞ ⎜ − ⎟⎜ − ⎟ ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠

n −1

พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (6) r

=

เนื่องจาก ∴

a 2 b2 ab3

an an

=

a b

=

a1rn–1

=

⎛a⎞ (ab ) ⎜ ⎟ ⎝b⎠ 3

n −1


24 = พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =

an b4− n an b4− n

7. (1) ให a1 = –15 และ a5 = –1215 จะได a5 = a 1r4 = –1215 –15r4 = –1215 r4 = 81 r = –3 หรือ r = 3 ดังนั้น สามพจนที่อยูระหวาง –15 กับ –1215 คือ 45, –135, 405 หรือ –45, –135, –405 (2) ให a1 =

4 3

27

และ a5 =

จะได a5 = a 1r4 = 4 4 r 3

=

4

r = r =

64 27

64 27 64 81 256 3 4

ดังนั้น 3 พจนที่อยูระหวาง

หรือ r = 4 3

กับ

27 64

3 4

คือ 1,

3 9 , 4 16

8. ให a เปนจํานวนทีน่ ําไปบวก จะได 3 + a, 20 + a, 105 + a เปนลําดับเรขาคณิต ดังนั้น

20 + a 3+ a

=

400 + 40a + a2 = 68a = a จํานวนที่นําไปบวกคือ

= 5 4

105 + a 20 + a

315 + 108a + a2 85 85 68

=

5 4

หรือ –1,

3 , −9 4 16


25

เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ข 1. (1) ลูออก n an

1 1

2 0

3 –1

4 0

5 1

6 0

7 –1

7

8

8 0

9 1

10 0

an 1.5 1 0.5

n

0 1

2

3

4

5

6

4 0

5 0.2

9

10

7 –0.142

8 0

-0.5 -1 -1.5

(2) ลูเขา n an

1 1

2 0

3 –0.333

6 0

9 –0.111

an 1.2 1 0.8 0.6 0.4 0.2

n

0 -0.2 0 -0.4

5

10

15

20

25

30

10 0


26 (3) ลูเขา n an

1 2 3 2.5 1.666 1.25

4 1

5 6 7 8 9 10 0.833 0.714 0.625 0.555 0.5 0.454

an 2.5 2 1.5 1 0.5 0

10

0

30

20

n

(4) ลูออก n an

1 2

2 2

3 2.666

4 4

5 6 7 8 9 10 6.4 10.666 18.285 32 56.888 102.4

an 60 50 40 30 20 10

n

0 0

2

4

6

8


27 (5) ลูออก n an

1 0

2 4

3 0

4 8

5 0

6 12

7 0

8 16

9 0

10 20

an 40 35 30 25 20 15 10 5

n

0 0

5

10

15

20

(6) ลูเขา n 1 an 3.5

2 3.75

3 4 5 6 7 8 9 10 3.875 3.937 3.968 3.984 3.992 3.996 3.998 3.999

an 4.1 4 3.9 3.8 3.7 3.6 3.5

n

3.4 0

2

4

6

8


28 (7) ลูเขา n 1 an 4

2 2

3 1

4 0.5

5 0.25

6 0.125

7 8 9 10 0.0625 0.03125 0.015625 0.0078125

an 9 8 7 6 5 4 3 2 1

n

0 0

2

4

6

8

(8) ลูเขา n 1 an 0.666

2 0.816

3 4 5 6 7 8 9 10 0.873 0.903 0.922 0.934 0.943 0.950 0.955 0.960

an 1.2 1 0.8 0.6 0.4 0.2

n

0 0

5

10

15

20


29 (9) ลูออก n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an –1.333 1.777 –2.370 3.160 –4.213 5.618 –7.491 9.988 –13.318 17.757 an 20 15 10 5

n

0 -5

0

2

4

6

8

10

12

-10 -15

(10) ลูเขา .n an

1 0.25

0.35

2 3 4 5 6 7 8 9 10 0.333 0.3 0.222 0.147 0.090 0.053 0.031 0.017 0.009

an

0.3 0.25 0.2 0.15 0.1 0.05

n

0 0

2

4

6

8

10

12


30 2. ไมเห็นดวย เพราะเปนการสรุปที่ไมถูกตอง ถา x n และ ⎛x ⎞ lim ⎜ n ⎟ n →∞ y ⎝ n⎠

lim x n

=

yn

ไดนนั้ ขอตกลงเบือ้ งตนเกีย่ วกับ

n →∞

lim y n

เปนลําดับ การที่จะกลาววา

lim x n

n →∞

และ

lim y n

n →∞

n →∞

จริงกอน ขอกําหนดเบื้องตนนั้นคือ

lim x n

n →∞

และ

lim y n

n →∞

ตองหาคาได

ในกรณีนี้ ตองจัดรูป an และ bn กอนการใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต ดังนี้ จาก

2n 4 − n 2

lim(2 −

n →∞

1 ) n2

lim

8 3n

=

= =

2 3

8 1 lim n →∞ 3 n 8 (0) 3

= =

0

ดังนั้น ลําดับ an =

8 3n

8n 7n

⎛8⎞ ⎜ ⎟ ⎝7⎠

จะได

=

8n n →∞ 7 n lim

⎛8⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ 7 ⎝ ⎠

n

เปนลําดับลูเขา n

⎛8⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ 7 ⎝ ⎠

=

หาคาไมได เพราะ

ดังนั้น ลําดับ an = (3)

1 ) n2 13 lim(3 + 4 ) n →∞ n

lim(2 −

n →∞

=

(2) จาก

n4 1 2− n2 lim n →∞ 13 3+ n4 n →∞

lim

n →∞

=

1 n2 13 3+ n4 2−

= 2 และ lim(3 + 13 ) = 3

2n 4 − n 2 n →∞ 3n 4 + 13

ดังนั้น

3. (1)

=

3n 4 + 13

และเนื่องจาก

1 ) n2 13 n 4 (3 + ) n4

n 4 (2 −

8n 7n

n

8 7

>1

เปนลําดับลูออก

= 1 เมื่อ n เปนจํานวนคู และ (−1) = –1 เมื่อ n เปนจํานวนคี่ ดังนั้น ลําดับ an = (–1)n ไมมีลิมิต และเปนลําดับลูออก (−1) n

n

ตองเปน


31 (4)

⎛1⎞ lim 3 ⎜ ⎟ n →∞ ⎝2⎠

n

=

⎛1⎞ 3lim ⎜ ⎟ n →∞ 2 ⎝ ⎠

= =

3(0) 0 ⎛1⎞ 3⎜ ⎟ ⎝2⎠

ดังนั้น ลําดับ an = (5) เนื่องจาก จะได

n

เปนลําดับลูเขา

= 4 และ

lim 4

n →∞

1⎞ ⎛ lim ⎜ 4 + ⎟ n →∞ n⎠ ⎝

lim

n →∞

=

(6) จาก

6n − 4 6n

และเนื่องจาก จะได

4+

n →∞

=0 1 n →∞ n

n →∞

4+0 4 1 n

เปนลําดับลูเขา

6n 4 − 6n 6n

= lim1

1 n

lim 4 + lim

= = ดังนั้น ลําดับ an =

n

= 1 และ

⎛ 6n − 4 ⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ ⎝ 6n ⎠

= =

ดังนั้น ลําดับ an =

=

1–

2 3n

⎛ 2 ⎞ lim ⎜ ⎟ = 0 n →∞ 3n ⎝ ⎠ 2 ⎞ ⎛ lim ⎜1 − ⎟ n →∞ ⎝ 3n ⎠ 2 lim1 − lim n →∞ n →∞ 3n

= =

1–0 1

6n − 4 6n

เปนลําดับลูเขา

(7) เมื่อ n มีคาเพิ่มขึ้น คาของพจนที่ n ของลําดับนี้จะเพิ่มขึ้น และไมเขาใกลจํานวนใด จํานวนหนึ่ง ดังนั้น ลําดับ an =

3n + 5 6

n n +1

n

(8) จาก

และเนื่องจาก จะได

=

⎛ ⎝

n ⎜1 +

lim1

n →∞

⎛ n ⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ n + 1 ⎝ ⎠

เปนลําดับลูออก

1⎞

1+

⎟ n⎠

= 1 และ =

1

= lim

n →∞

1 n

= 0

⎛ ⎞ ⎜ 1 ⎟ lim ⎜ ⎟ n →∞ ⎜⎜ 1 + 1 ⎟⎟ n⎠ ⎝

1 n


32 lim1

=

n →∞

lim1 + lim

n →∞

ดังนั้น ลําดับ an = (9) เนื่องจาก

=

1 1+ 0

=

1

n n +1

4 5n = 0 และ nlim →∞ n 2 n2 ⎛ 4 + 5n ⎞ = lim ⎜ ⎟ 2 n →∞ ⎝ n ⎠

lim

= 0 lim

n →∞

= = ดังนั้น ลําดับ an = (10) จาก

2n − 1 3n + 1

lim

n →∞

เปนลําดับลูเขา

⎛ 1⎞ ⎟ n⎠ ⎝ = ⎛ 1⎞ n ⎜3 + ⎟ ⎝ n⎠ ⎛ 1⎞ lim ⎜ 2 − ⎟ = 2 n →∞ ⎝ n⎠

2n − 1 3n + 1

3n 2 − 5n 7n − 1

เปนลําดับลูออก

(12) จาก

7n 2 5n 2 − 3

=

จะได

lim 7

n →∞

7n 2 n →∞ 5n 2 − 3 lim

3+

และ

7n 2 3 ⎞ ⎛ n2 ⎜ 5 − 2 ⎟ n ⎠ ⎝

n

1⎞

lim 3 + ⎟ n →∞ ⎜⎝ n⎠

=

7 5−

3 ⎞ ⎛ lim ⎜ 5 − 2 ⎟ n ⎠ ⎝ lim 7

= 7 และ =

n

1

เปนลําดับลูเขา

(11) an =

และเนื่องจาก

=

1

1⎞ ⎛ lim ⎜ 2 − ⎟ n⎠ ⎝ 1⎞ ⎛ lim ⎜ 3 + ⎟ n →∞ n ⎝ ⎠ 2 3

=

2n − 1 3n + 1

2−

n →∞

= ดังนั้น ลําดับ an =

4 5n + lim 2 2 →∞ n n n

0+0 0

n⎜2 −

และเนื่องจาก จะได

4 + 5n n2

1 n

เปนลําดับลูเขา

n →∞

จะได

n →∞

n →∞

n →∞

3 ⎞ ⎛ lim ⎜ 5 − 2 ⎟ n →∞ n ⎠ ⎝

3 n2

= 5

= 3


33 7

= ดังนั้น ลําดับ an = (13) จาก

4n 2 − 2n + 3 n2

และเนื่องจาก จะได

=

lim 4 =

n →∞

5

7n 2 5n 2 − 3

เปนลําดับลูเขา 2 3 + n n2 2 = lim n →∞ n

4−

4,

⎛ 4n 2 − 2n + 3 ⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ n2 ⎝ ⎠

= = = =

ดังนั้น ลําดับ an = (14)

4n 2 − 2n + 3 n2

3 = n2 2 3 ⎞ ⎛ lim ⎜ 4 − + 2 ⎟ n →∞ n n ⎠ ⎝

0 และ

lim

n →∞

lim 4 − lim

n →∞

n →∞

0

2 3 + lim 2 →∞ n n n

4–0+0 4 เปนลําดับลูเขา

1 ⎞ ⎛ 1 n2 ⎜ 3 − 2 ⎟ 3− 2 3n − 1 n ⎠ ⎝ n จาก = = 10 10n − 5n 2 ⎞ 2 ⎛ 10 −5 n ⎜ − 5⎟ n ⎝n ⎠ 1 ⎞ ⎛ ⎛ 10 ⎞ และเนื่องจาก nlim 3 − 2 ⎟ = 3 และ lim ⎜ − 5 ⎟ ⎜ n →∞ ⎝ n →∞ n ⎠ ⎠ ⎝ 1 ⎞ ⎛ lim ⎜ 3 − 2 ⎟ n →∞ ⎛ 3n 2 − 1 ⎞ n ⎠ ⎝ = จะได nlim ⎜ ⎟ →∞ 10n − 5n 2 ⎛ 10 ⎞ ⎝ ⎠ lim ⎜ − 5 ⎟ n →∞ n ⎝ ⎠ 3 − = 5 2 ดังนั้น ลําดับ an = 3n − 1 2 เปนลําดับลูเขา 10n − 5n 2

(15) เนื่องจาก จะได

1 1 = 0 และ nlim = 0 →∞ n n +1 1 1 1 ⎞ ⎛1 lim − lim = lim ⎜ − ⎟ n →∞ n n →∞ n + 1 n →∞ n n +1⎠ ⎝ lim

n →∞

= = ดังนั้น ลําดับ an =

1 1 − n n +1

0–0 0

เปนลําดับลูเขา

= –5


34 (16) จาก จะได

3n +1 5n + 2

3n +1 5 ⋅ 5n +1

=

3n +1 n →∞ 5n + 2 lim

1⎛ 3⎞ lim ⎜ ⎟ n →∞ 5 5 ⎝ ⎠

n +1

=

1 ⎛3⎞ lim ⎜ ⎟ →∞ n 5 ⎝5⎠ 1 (0) 5

n +1

=

(17) จาก

2n −1 + 3 3n + 2

และเนื่องจาก จะได

n +1

3 5n + 2

=

เปนลําดับลูเขา

⎛ 1 2 n −1 ⎞ ⎟ lim ⎜ ⎛⎜ ⎞⎟ ⎟ n →∞ ⎜⎝ 27 ⎝ 3 ⎠ ⎠

2n −1 + 3 n →∞ 3n + 2

= = = =

ดังนั้น ลําดับ an = (18) จาก

และเนื่องจาก จะได

lim

n →∞

2

n −1

+3 3n + 2

⎛ n ⎜1 − ⎝ = ⎛ n ⎜1 + ⎝ 1 lim(1 − ) n →∞ n n −1 n +1

ดังนั้น ลําดับ an =

n +1

0

2n −1 3 + n+2 n −1 27 ⋅ 3 3

lim

n −1 n +1

=

=

= ดังนั้น ลําดับ an =

1⎛ 3⎞ ⎜ ⎟ 5⎝ 5⎠

=

= 1

n −1 +

1 n +1 3

⎛ 1 ⎞ ⎟ lim ⎜⎜ n →∞ ⎝ 3n +1 ⎟⎠

⎛ 1 2 n −1 1 ⎞⎟ lim ⎜ ⎛⎜ ⎞⎟ + ⎜ n n →∞ ⎝ 27 ⎝ 3 ⎠ 3 +1 ⎟⎠

1 ⎛2⎞ lim ⎜ ⎟ →∞ n 27 ⎝3⎠ 1 (0) + 0 27

n −1

+ lim

n →∞

1 n +1

3

0 เปนลําดับลูเขา 1 ⎞ ⎟ n⎠ 1 ⎞ ⎟ n⎠

=

= 1 และ

= =

1

n +1

และ

27

⎛ lim ⎜ 1 − ⎝ ⎛ lim 1 + n →∞ ⎜ ⎝

n −1

⎛2⎞ ⎜ ⎟ 27 ⎝ 3 ⎠ 1

n →∞

1 n 1 1+ n 1−

lim(1 +

n →∞

1 ⎞ ⎟ n⎠ 1 ⎞ ⎟ n⎠

เปนลําดับลูเขา

1 n

)

= 1

= 0


35 (19) จาก

n2 −1 4n

และเนื่องจาก จะได

= lim 1 −

n →∞

n2 −1 lim n →∞ 4n

1 n2

= 1 และ lim

n →∞

= n2 −1 4n

4n − 1 2

จะได

⎛ 1 ⎞ lim ⎜⎜ 4 − 2 ⎟⎟ n ⎠ ⎝

n →∞

4n − 1 2

lim

n →∞

=

( −1)n n

(22) an =

8n 2 + 5n + 2 3 + 2n

1 n2

4−

=

1 n2

⎛ 2 2 ⎞ 2 + 3 1+ 3 n⎜ 2 + 3 1+ 3 ⎟ n n ⎠ ⎝ ⎛ 2 ⎞ = 2 และ nlim ⎜ 2 + 3 1 + 3 ⎟⎟ = 3 →∞ ⎜ n ⎠ ⎝

=

(21) an =

4

เปนลําดับลูเขา

=

2n + 3 n 3 + 2

ดังนั้น ลําดับ an =

1 n2

n 4−

=

2n + 3 n 3 + 2

และเนื่องจาก

= 4

lim 4

1 1 ⎞ ⎛ lim ⎜1 − 2 ⎟ 4 n →∞ ⎝ n ⎠ 1 1 4 1 4

=

ดังนั้น ลําดับ an =

1 n2

4 n →∞

1−

=

1−

=

4n

=

(20) จาก

1 n2

n 1−

4n − 1 2

2n + 3 n 3 + 2

เปนลําดับลูเขา เปนลําดับลูออก

4− lim

n →∞

1 n2

2 + 3 1+

2 n3

⎛ 1 ⎞ lim ⎜ 4 − 2 ⎟ n ⎠ ⎝ ⎛ 2 ⎞ lim ⎜ 2 + 3 1 + 3 ⎟ n →∞ n ⎠ ⎝ n →∞

2 3

เปนลําดับลูเขา


36 4. (1) ไมจริง เชน ลําดับ an = n และ ลําดับ bn = –n เปนลําดับลูออก แตลําดับ (an + bn) = n – n = 0 เปนลําดับลูเขา (2) จริง การพิสูจนโดยขอขัดแยง (proof by contradiction) ทําไดดังนี้ สิ่งที่กําหนดใหคือ ลําดับ an เปนลําดับลูเขา และ ลําดับ bn เปนลําดับลูออก สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เนื่องจากลําดับ an และลําดับ (an + bn) เปนลําดับลูเขา จึงไดวา lim a และ n →∞

lim(a n + b n )

n →∞

พิจารณา และ ดังนั้น

หาคาได ให

lim a n

n →∞

lim(a n + b n − a n )

=

lim(a n + b n − a n )

=

n →∞

n →∞

lim b n

n →∞

= A และ

lim(a n + b n )

n →∞

=B

lim b n

n →∞

lim(a n + b n ) – lim a n

n →∞

n →∞

= B–A หาคาได ซึ่งทําให ลําดับ bn เปนลําดับลูเขา

เกิดขอขัดแยงกับสิ่งทีก่ ําหนดให จึงสรุปวา ขอความที่สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เปนเท็จ นั่นคือ (an + bn) ตองเปนลําดับลูออก 5. (1)

lim P(1 +

n →∞

r n ) 12

=

เนื่องจาก ดังนั้น an = (2) จาก an = กําหนด

1+

P lim(1 + n →∞

r > 1 12

r ⎞ ⎛ P ⎜1 + ⎟ ⎝ 12 ⎠

n

r ⎞ ⎛ P ⎜1 + ⎟ ⎝ 12 ⎠

r

ดังนั้น

r n ) 12

r ⎞ ⎛ lim ⎜1 + ⎟ n →∞ ⎝ 12 ⎠

n

หาคาไมได

ไมเปนลําดับลูเขา

n

=

1.5 100

=

0.015

สิ้นเดือนที่ 1 จะได a1 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

สิ้นเดือนที่ 2 จะได a2 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

2

สิ้นเดือนที่ 3 จะได a3 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

3

สิ้นเดือนที่ 4 จะได a4 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

4

สิ้นเดือนที่ 5 จะได a5 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

5

สิ้นเดือนที่ 6 จะได a6 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

6

=

9011.25

= 9022.51 = 9033.79 = 9045.08 = 9056.39 = 9067.71

n


37 สิ้นเดือนที่ 7 จะได a7 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

7

สิ้นเดือนที่ 8 จะได a8 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

8

สิ้นเดือนที่ 9 จะได a9 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

9

สิ้นเดือนที่ 10 จะได a10 =

⎛ 0.015 ⎞ 9000 ⎜ 1 + ⎟ 12 ⎠ ⎝

= 9079.05 = 9090.39 = 9101.76

10

= 9113.13

ดังนั้น สิบพจนแรกของลําดับ คือ 9011.25, 9022.51, 9033.79, 9045.08, 9056.39, 9067.71, 9079.05, 9090.39, 9101.76, 9113.13 6. (1) ให an เปนงบรายจายปกติทถี่ ูกตัดลงเมื่อเวลาผานไป n ป A แทนงบรายจายปกติเปน 2.5 พันลานบาท สิ้นปที่ 1

จะได a1

=

A−

สิ้นปที่ 2

จะได a2

=

4

สิ้นปที่ 3

จะได a3

5

จะได an

100

A−

20 ⎛ 4

⎜ A⎟ 100 ⎝ 5 ⎠

2

2

= =

⎛4⎞ ⎜ ⎟ A ⎝5⎠

4 5

A 2

=

⎛4⎞ ⎜ ⎟ A ⎝5⎠

=

⎛4⎞ ⎜ ⎟ A ⎝5⎠

3

n

ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป n ป งบรายจายเปน (2) งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 1 เปน

=

(A)

20 ⎛ 4 ⎞ ⎛4⎞ ⎜ ⎟ A− ⎜ ⎟ A 100 ⎝ 5 ⎠ ⎝5⎠

#

สิ้นปที่ n

20

4 5

⎛4⎞ 2.5 ⎜ ⎟ ⎝5⎠

(2.5) 2

งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 2 เปน

⎛4⎞ ⎜ ⎟ (2.5) ⎝5⎠

งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 3 เปน

⎛4⎞ ⎜ ⎟ (2.5) ⎝5⎠

งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 4 เปน

⎛4⎞ ⎜ ⎟ (2.5) ⎝5⎠

3

n

พันลานบาท

= 2

พันลานบาท

= 1.6

พันลานบาท

= 1.28 พันลานบาท

4

= 1.024 พันลานบาท

ดังนั้น งบรายจายในสี่ปแรก หลังถูกตัดงบเปน 2, 1.6, 1.28 และ 1.024 พันลานบาท ตามลําดับ (3) เนื่องจาก

4 5

< 1

จะได

⎛4⎞ lim 2.5 ⎜ ⎟ n →∞ ⎝5⎠

ดังนั้น ลําดับของงบรายจายนี้เปนลําดับลูเขา

n

= 0


38

เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ก 1. (1) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1

=

S2

=

S3

=

1 2 1 1 + 2 6 1 1 1 + + 2 6 18

2 3 13 18

= =

n −1

1 1 1 1⎛1⎞ + + + ... + ⎜ ⎟ 2 6 18 2⎝ 3⎠ ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 2 , 13 , 2 3 18

Sn

=

(2) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = 3 = 3+2 S2 S3 Sn

5

=

19 3

3+2+4

=

3 + 2 + 4 + ... + 3 ⎛⎜ 2 ⎞⎟ 3 ⎝3⎠

3

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 3, 5,

...,

=

=

3n − 1 4 ⋅ 3n −1

= 3n − 1 4 ⋅ 3n −1

, ...

⎛ ⎛2⎞ 9 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎜ ⎝3⎠ ⎝ ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 9 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ... ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎝ ⎠

n −1

=

19 , ..., 3

n

(3) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1

=

S2

=

S3

=

1 2 1 5 + 2 2 1 5 25 + + 2 2 2

=

3

=

31 2

1 5 25 1 1 + + + ... + (5) n −1 = − (1 − 5n ) 2 2 2 2 8 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 3, 31 , ..., − 1 (1 − 5n ) , .... 2 2 8

Sn

=

⎞ ⎟⎟ ⎠


39 (4) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1

=

S2

=

S3

=

Sn

=

1 2 1 1 + (− ) 2 4 1 ⎛ 1⎞ 1 +⎜− ⎟ + 2 ⎝ 4⎠ 8

1 4 3 8

= =

1 ⎛ 1⎞ 1 (−1) n −1 + ⎜ − ⎟ + + ... + 2 ⎝ 4⎠ 8 2n

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ

=

2 + (–1) + (–4) + ... + (5 – 3n)

=

n (7 − 3n) 2

n (7 − 3n) , ... 2

(6) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ =

S2

=

S3

=

Sn

=

3 4 3 9 + 4 16 3 9 27 + + 4 16 64

(7) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = 0 = 0+3 S2

21 16 111 64

= =

3 9 27 ⎛3⎞ + + + ... + ⎜ ⎟ 4 16 64 ⎝4⎠

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ

⎞ ⎟⎟ ⎠

1 –3

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ...,

S1

n

n 1 1 3 1⎛ ⎛ 1 ⎞ ⎞ , , , ..., ⎜⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟⎟ , ... 2 4 8 3⎝ ⎝ 2 ⎠ ⎠

(5) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ = 2 S1 S2 = 2 + (–1) = S3 = 2 + (–1) + (–4) = Sn

1⎛ ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − ⎜ − ⎟ 3 ⎜⎝ ⎝ 2 ⎠

=

n

=

3 21 111 , , , ..., 4 16 64

=

3

⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞ 3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝4⎠ ⎟ ⎝ ⎠ n ⎛ ⎛3⎞ ⎞ 3 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ... ⎜ ⎝4⎠ ⎟ ⎝ ⎠


40 S3

=

0+3+8

Sn

=

0 + 3 + + 8 + ... + (n2 – 1) = ∑ (i 2 − 1) =

=

11 n

i =1

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n (8) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = –1 S2 = –1 + 0 S3 = –1 + 0 + 9 Sn

=

= =

3

+ 3n 2 − 5n 6

2n 3 + 3n 2 − 5n 6

, ...

–1 8

n 3 3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n 2 ∑ (i − 2i ) = 12 i=1 4 3 2 –1, 8, ..., 3n − 2n − 9n − 4n , ... 12

–1 + 0 + 9 + ... +

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, (9) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1

=

S2

=

S3

=

Sn

=

1 10 1 1 − + 10 100 1 1 1 − + − 10 100 1000 −

=

n

=

1⎛ ⎛ 1⎞ ⎜1 − ⎜ − ⎟ 11 ⎜⎝ ⎝ 10 ⎠

n

⎞ ⎟⎟ ⎠

n 1 9 91 1⎛ ⎛ 1⎞ ⎞ − , − , − , ..., − ⎜⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟⎟ , ... 10 100 1000 11 ⎝ ⎝ 10 ⎠ ⎠

(10) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดี ังนี้ S1 = 100 S2 = 100 + 10 S3 = 100 + 10 + 1 Sn

=

1 1 1 ⎛ −1 ⎞ + − + ... + ⎜ ⎟ 10 100 1000 ⎝ 10 ⎠

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ

9 100 91 − 1000

=

= =

110 111 1000 ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − n ⎟ 9 ⎝ 10 ⎠ 1000 ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − n ⎟ , ... 9 ⎝ 10 ⎠

100 + 10 + 1 + 0.1 + ... + 103 – n =

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 100, 110, 111, ...,


41 (11) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มีดังนี้ S1 = 1 S2 = 1–2 = 1–2+3 S3 S4 = 1–2+3–4 S5 = 1–2+3–4+5 S6 = 1–2+3–4+5–6

= = = = =

–1 2 –2 3 –3

ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... 2. (1)

1 1 1 1⎛1⎞ + + + ... + ⎜ ⎟ 2 6 18 2⎝ 3⎠

n −1

+ ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี r = 1 2

ดังนั้น อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขาที่มีผลบวกเปน

1−

1 3

=

1 3

ซึ่ง | r | < 1

3 4

(2) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 9 (3) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ

1 , 2

3,

31 , ..., − 1 (1 − 5n ) , ... 2 8

ลําดับนี้ไมมีลิมิต

ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (4) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน

1 3

(5) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ...,

n (7 − 3n) , ... 2

ลําดับนี้ไมมีลิมิต

ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (6) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 3 (7) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n

3

+ 3n 2 − 5n 6

, ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต

ดังนั้น อนุกรมทีก่ ําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (8) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, –1, 8, ...,

3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n 12

, ... ลําดับนี้

ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (9) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน (10) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน

1 11 1000 9 −

(11) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมทีก่ ําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก


42 3. (1) จะได

4 + 1 8 + 1 16 + 1 + + + ... 9 27 81

1 ⎛ 4 8 16 ⎞ ⎛1 1 ⎞ + + ... ⎟ + ⎜ + + + ... ⎟ ⎜ + 9 27 81 9 27 81 ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 4 1 9 + 9 2 1 1− 1− 3 3 4 ⎛ ⎞ ⎛ 1 ⎞⎛ 3 ⎞ ⎜ ⎟ (3) + ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝9⎠ ⎝ 9 ⎠⎝ 2 ⎠ 4 1 + 3 6 3 2

= = = = =

(2) อนุกรม

3+

จะได

3 3 3 3 1 + + + ... + n −1 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 2 2 4 8 2 3 3 3 3 3 = 3 + + + + ... + n −1 + ... 1 2 4 8 2 1− 2 3 = 1 2

= (3) เมื่อ x เปนจํานวนจริง จะได

1 2+x

2

+

1

เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ เนื่องจาก x2

0 ดังนัน้ 2 + x2

+

2 2 (2 + x )

6 1 2 3 (2 + x )

+ ... +

1 2 n (2 + x )

1 2+x

2

1 ≤ 2 2 2+x 1

2 ซึ่งทําให

<1 1

ดังนัน้

1 2+x

2

+

1 2 2 (2 + x )

+

1 2 3 (2 + x )

+ ... +

1 2 n (2 + x )

+ ...

= =

4.

i

0.9

= =

ดังนั้น

0.9999... 0.9 + 0.09 + 0.009 + 0.0009 + ...

9 9 9 9 + 2 + 3 + 4 + ... 10 10 10 10 9 9 9 1 + 2 + 3 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิต ที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 10 10 10 10 9 9 9 9 10 + + + ... = 1 10 102 103 1− 10 ⎛ 9 ⎞⎛ 10 ⎞ = ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝ 10 ⎠⎝ 9 ⎠

=

เนื่องจาก

2 2+x 1 1− 2 2+x 1 2 x +1

+ ...


43

จะได 5. (1)

i

0.9

= 1 = 1

i i

0.21

= =

0.212121... 0.21 + 0.0021 + 0.000021 + ...

=

21 21 21 + + + ... 102 104 106 21 102 1 1− 2 10 2 ⎛ 21 ⎞ ⎛ 10 ⎞ ⎟ ⎜ 2 ⎟⎜ ⎝ 10 ⎠ ⎝ 99 ⎠

= =

(2)

i

i

0.610 4

=

21 99

= =

0.6104104... 0.6 + 0.0104 + 0.0000104 + 0.0000000104 + ...

=

6 104 104 104 + + + + ... 10 104 107 1010 104 4 6 + 10 10 1 − 1 103 6 104 + 10 9990 5994 + 104 9990 6098 9990

= = = = (3)

i i

7.256

=

7 33

= =

7.25656... 7 + 0.2 + 0.056 + 0.00056 + 0.0000056 + ...

=

2 56 56 56 + + + + ... 10 103 105 107 56 3 2 7 + + 10 10 1 − 1 102 2 56 7+ + 10 990 198 + 56 7+ 990

= = =

7+


44 = = (4)

i i

4.387

= =

4.38787... 4 + 0.3 + 0.087 + 0.00087 + 0.0000087 + ...

=

3 87 87 87 + + + + ... 10 103 105 107 87 3 3 4 + + 10 10 1 − 1 102 3 87 4+ + 10 990 297 + 87 4+ 990 384 4 990 192 4 495

= = = = = (5)

i i

0.073

0.07373... 0.073 + 0.00073 + 0.0000073 + ...

=

73 73 73 + + + ... 103 105 107 73 103 1 1− 2 10 73 990

= i

2.9

4+

= =

=

(6)

254 990 127 7 495 7

= =

2.999 ... 2 + 0.9 + 0.09 + 0.009 + ...

=

9 9 9 + 2 + 3 + ... 10 10 10 9 2 + 10 1 1− 10 9 2+ 9

= = =

2+

3


45 6. เพราะวา 1 + x + x2 + x3 + ... + xn–1 + ... =

2 3

และเนื่องจาก a1 = 1 , r = x 2 3

=

1 1− x

2 – 2x

=

3

=

จะไดวา ∴

x

1 2

7. จาก a1 + a1r + a1r2 + a1r3 + ... = และ a1 – a1r + a1r2 – a1r3 + ... = จาก (1), จาก (2), (3) + (4), จาก (3) จะได

3 2 3 4

a1 1− r a1 1+ r

จะได จะได

3 2 3 4

= =

2a1 + 3r 4a1 – 3r 6a1 ∴ a1

= = = =

3 3 6 1

r

=

3− 2 3

---------- (1) ---------- (2) ---------- (3) ---------- (4)

=

1 3

=

25 2

=

5 2 2

8. (1) รูปสี่เหลี่ยมจัตรุ ัสรูปแรกมีดานยาว 5 หนวย ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สองยาว

2

⎛5⎞ ⎛5⎞ ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ ⎝2⎠ ⎝2⎠

ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สองมีเสนรอบรูปยาว (2) ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สามยาว

2

10 2

2

หนวย

หนวย

⎛5 2 ⎞ ⎛5 2 ⎞ ⎜⎜ ⎟⎟ + ⎜⎜ ⎟⎟ ⎝ 4 ⎠ ⎝ 4 ⎠

2

5 2

=

หนวย

รูปสี่เหลี่ยมจัตรุ ัสรูปที่สามมีเสนรอบรูปยาว 10 หนวย 2

2

⎛5⎞ ⎛5⎞ ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ ⎝4⎠ ⎝4⎠ รูปสี่เหลี่ยมจัตรุ ัสรูปที่สี่มีเสนรอบรูปยาว 5 2 หนวย

ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สี่ยาว

=

5 2 4

จะได ผลบวกของเสนรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเปน 20 + 10

หนวย 2

+ 10 + 5 20

=

2 2 20(2 + 2)

1−

= 9. ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปแรก เทากับ 30 นิ้ว ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สอง เทากับ 15 นิ้ว ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สาม เทากับ

15 2

นิ้ว

2

+ ...


46 ผลบวกของความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดคือ 30 + 15 + 15 + ... 2 30 1 1− 2

=

= 60 ∴ ผลบวกความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดมีคา 60 นิ้ว 10. การแกวงครั้งแรกจากจุดไกลสุดดานหนึ่งไปอีกดานหนึง่ ไดระยะทาง 75 เมตร การแกวงครั้งที่สองไดระยะทาง 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ เมตร ⎝5⎠

การแกวงครั้งที่สามไดระยะทาง การแกวงครั้งที่สี่ไดระยะทาง

2

⎛3⎞ ⎛3⎞ ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟ ⎝5⎠ ⎝5⎠

⎛3⎞ ⎛3⎞ ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟ ⎝5⎠ ⎝5⎠

2

= 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ เมตร ⎝5⎠ 3

= 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ เมตร ⎝5⎠

ระยะทางที่ไดจากการแกวงครั้งใหมเปนเชนนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น เรือไวกิ้งจะแกวงไปมาตั้งแตเริ่มตนจากจุดสูงสุดเปนระยะทางเทากับ 2

3

3 ⎞ ⎛3⎞ + ⎜ ⎟ + ... ⎟ ⎟ 5 ⎝5⎠ ⎝5⎠ ⎠

75 + 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + 75 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + ... = 75 ⎜1 + 3 + ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ⎝5⎠

⎝5⎠

⎜ ⎝

⎝5⎠

=

2

⎛ ⎞ ⎜ 1 ⎟ 75 ⎜ 3 ⎟ ⎜⎜ 1 − ⎟⎟ ⎝ 5⎠

= 75 ⎛⎜ 5 ⎞⎟ ⎝2⎠

= 187.5

เมตร

11. (1) ให an เปนระยะทางที่สารพิษแพรกระจายตอจากตําแหนงเดิมเมื่อเวลาผานไป n ป กําหนด a1 = 1500 , a2 = 900 , a3 = 540 สังเกตวา 900 = 540 = 3 1500

900

5

สมมติให an เปนลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรกเปน 1500 และมีอัตราสวนรวมเปน ให S10 เปนผลบวกของระยะทางที่สารพิษแพรกระจายไปไดเมื่อสิ้นปที่สิบ จะได

S10

= =

1500 + 900 + 540 + ... + 1500 ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ⎝5⎠ 10 ⎛ ⎛3⎞ ⎞ 1500 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝5⎠ ⎟ ⎝ ⎠ 3 1− 5

9

3 5


47 = =

10 ⎛ 5 3 ⎞ (1500 ) ⎜⎜1 − ⎜⎛ ⎟⎞ ⎟⎟ 2 ⎝ ⎝5⎠ ⎠

⎞ ⎟⎟ ⎝5⎠ ⎠ 10

3750 ⎜⎜1 − ⎜⎛ 3 ⎟⎞ ⎝

= 3727.325 เมื่อสิ้นปที่สิบ สารพิษจะแพรกระจายไปได 3727.325 เมตร (2) เพราะวา ผลบวกอนันตของอนุกรมนี้เทากับ

1500 3 1− 5

= 3750

ดังนั้น สารพิษจะแพรกระจายไปไดไกลทีส่ ุด 3,750 เมตร ซึ่งไปไมถึงโรงเรียน 12. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม Sn =

(

a1 1 − r n 1− r

) =

⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 1⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎝ ⎠ 1−

2

=

3

S1 = 1 S3 = S5 = S7 = S9 = S11 =

2

2 ⎛2⎞ ⎛2⎞ 1 + + ⎜ ⎟ + ... + ⎜ ⎟ 3 ⎝3⎠ ⎝3⎠

9 211

81 2059 729 19171 6561 175099 59049

+ ...

⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎝ ⎠

S2 =

19

n −1

= 2.1111

S4 =

= 2.6049

S6 =

= 2.8244

S8 =

= 2.9219

S10 =

5 3 65 27 665

243 6305 2187 58025 19683

= 1.6666 = 2.4074 = 2.7366 = 2.8829 = 2.9479

= 2.9653

เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 1 จะได 2 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.2 จะได 2.8 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.05 จะได 2.95 ≤ Sn < 3 จะได n ที่นอ ยที่สุด ตามเงือ่ นไขขางตนเปน n = 3, n = 7 และ n = 11 ตามลําดับ 13. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม โดยใชเครื่องคํานวณ จะได S1

=

1

S2

=

3 2

1 1 1 1 + + + ... + + ... 2 3 n

=

1.500


48 S3

=

11 6

=

1.833

S4

=

25

=

2.083

S5

=

137

=

2.283

S6

=

49

=

2.450

S7

=

363

=

2.592

S8

=

=

2.717

S9

=

7129

=

2.828

S10

=

7381

=

2.928

S11

=

83711 27720

=

3.019

S12

=

86021 27720

=

3.103

S13

=

1145993 360360

=

3.180

S14

=

1171733 360360

=

3.251

S15

=

1195757 360360

=

3.318

S16

=

2436559 720720

=

3.380

S17

=

42142223 12252240

=

3.439

S18

=

14274301 4084080

=

3.495

S19

=

275295799 77597520

=

3.547

12

60

20

140 761 280

2520

2520


49

ดังนั้น

n n n

S20

=

55835135 15519504

=

3.597

S21

=

18858053 5173168

=

3.645

S22

=

19093197 5173168

=

3.690

S23

=

444316699 118982864

=

3.734

S24

=

1347822955 356948592

=

3.775

S25

=

34052522467 8923714800

=

3.815

S26

=

34395742267 8923714800

=

3.854

S27

=

312536252003 80313433200

=

3.891

S28

=

315404588903 80313433200

=

3.927

S29

=

9227046511387 2329089562800

=

3.961

S30

=

9304682830147 2329089562800

=

3.994

S31

=

290774257297357 72201776446800

=

4.027

ที่นอยทีส่ ุด เมื่อ Sn มากกวา 2 คือ 4 ที่นอยทีส่ ุด เมือ่ Sn มากกวา 3 คือ 11 ที่นอยทีส่ ุด เมือ่ Sn มากกวา 4 คือ 31

14. (1) ไมถูกตอง เพราะ 1 + 2 + 4 + 8 + 16 + 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนุกรมนี้มีอัตราสวนรวมเปน 2 ซึ่ง | 2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได (2) ไมถูกตอง เพราะ 1 – 2 + 4 – 8 + 16 – 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนุกรมนี้มีอัตราสวนรวมเปน –2 ซึ่ง | –2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได


50 15.

Sn

a1 (1 − r n ) 1− r

=

⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞ 160 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝2⎠ ⎟ ⎝ ⎠

2110 =

1−

n 16.

=

3 2

5

ใหพจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตเปน a และมีอัตราสวนรวมเปน r จะได a + ar = –3 ar4 + ar5

และ

=

− 1

แกระบบสมการขางตน จะได r = ถา r =

1 2 1

ถา r = –

2

2

16

หรือ – 1

2

แลวจะได a = –2 แลวจะได a = –6

ผลบวก 8 พจนแรกของอนุกรมนี้เทากับ 18.

3

255

ทั้งสองกรณี

64

เดิมมีแบคทีเรีย 1000 ตัว เมื่อเวลาผานไป 1 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย

120

เมื่อเวลาผานไป 2 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย

⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠

เมื่อเวลาผานไป 3 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย

⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠

100

(1000) = 1200 ตัว

3

ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป t ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย เมื่อ t = 10 จะได a10 =

10

⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠

(1000)

2

(1000) = 1440 ตัว (1000) = 1728 ตัว

⎛ 120 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 100 ⎠

t

(1000)

6191 ตัว


51

เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ข 4

1. (1) ∑ 2i i =1 52

(2) ∑ ( i + 2 )

=

2+4+6+8

=

(1 + 2) + (2 + 2) + (3 + 2) + ... + (50 + 2) + (51 + 2) + (52 + 2)

i =1 4

(3) ∑ (10 − 2k ) =

(10 – 2) + (10 – 4 ) + (10 – 6) +(10 – 8)

(4) ∑ ( i

(12 + 4) + (22 + 4) + (32 + 4) + ... + (182 + 4) + (192 + 4) + (202 + 4)

k =1 20

2

i =1

+ 4)

=

5

2. (1) ∑ 3j = 3(1) + 3(2) + 3(3) + 3(4) + 3(5) j=1

= 3 + 6 + 9 + 12 + 15 = 45 = 8 + 8 + 8 + ... + 8

50

(2) ∑ 8 k =1

(3)

50 จํานวน = 8 x 50 = 400 12(1 – 3) + 22(2 – 3) + 32(3 – 3) + 42(4 – 3) ∑ i ( i − 3) = = –2 – 4 + 0 + 16 = 10 k+4 2+ 4 3+ 4 4+ 4 5+ 4 6+ 4 = + + + + ∑ 4

2

i =1

(4)

6

k =2

2 −1 3 −1 4 −1 7 8 9 6+ + + +2 2 3 4 197 12

k −1

= = (5)

5

∑(k k =1

(6)

10

2

+ 3)

i =1

(12 + 3) + (22 + 3) + (32 + 3) + (42 + 3) + (52 + 3)

= =

4 + 7 + 12 + 19 + 28 70

10

i =1 10

= ∑i i =1

=

6 −1

=

∑ (i − 2) = ∑ (i 3

5 −1

3

3

− 6i 2 + 12i − 8 ) 10

10

10

i =1

i =1

− 6∑ i 2 + 12∑ i − ∑ 8 i =1

2

⎛ 10 (10 + 1) ⎞ ⎛ (10 )(10 + 1) ⎞ ⎛ 10 ⎞ ⎜ ⎟ − 6 ⎜ (10 + 1)( 20 + 1) ⎟ + 12 ⎜ ⎟ − 80 2 2 ⎝6 ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠

= 3025 – 2310 + 660 – 80 = 1295


52 (7)

15

∑ ( i + 5)

15

∑i

=

15(16)

=

195

=

20

i =1

(8)

15

=

+ ∑5

i =1

20

∑ ( 2i + 1)

i =1

2

9

∑ ( 2i + 1) – ∑ ( 2i + 1)

i =10

i =1 20

=

i =1

2∑ i i =1

(9)

+ 5(15)

20

9

9

i =1

i =1

i =1

+ ∑1 – 2 ∑ i – ∑1

=

2(20)(21)

= =

420 + 20 – 90 – 9 341

2

15

15

∑(k

=

∑ ( k + 5) (k − 5) k =1

k =1 15

2

− 25 ) 15

2

k =1

k =1

=

15(16)(31)

= =

1240 – 375 865

6

3. (1) 1⋅3 + 2⋅4 + 3⋅5 + ... + n(n + 2) + ... 1 1 1 1 + + + ... + 4 5 6 n

4. (1)

2+ 1

+

n

∑ 6i = i =1

1 3+ 2

∑ n ( n + 2) n =1 n

+

1

i=4 ∞

∑ ar

4+ 3

n

6∑ i i =1

=

⎛ n ( n + 1) ⎞ 6⎜ ⎟ 2 ⎝ ⎠

=

3n(n + 1)

p+i

i =0 n

∑ 2i i =1 ∞

=

∑3 n =1

+ ... +

1

∑i

=

1 1 1 1 + + + ... + + ... 3 6 12 3 ( 2n −1 ) 1

=

=

(4) 2 + 4 + 6 + ... + 2n

(6)

– 15(25)

=

(3) arp + arp + 1 + arp + 2 + ... + arp + q + ...

(5)

–9

2

∑ k – ∑ 25

=

(2)

2(9)(10)

+ 20 –

1 n + n −1

1 ( 2n −1 )

+ ...

= ∑ n =2

1 n + n −1


53 (2)

k

∑ ( 2i + 1)

=

i =1

(3)

m

∑3⋅ 4

i

n

∑ (i i =1

2

− i)

i =1

i =1

⎛ k ( k + 1) ⎞ 2⎜ ⎟+k 2 ⎝ ⎠

= =

k2 + k + k k2 + 2k

=

3∑ 4i

m

i =1

=

3(4 + 42 + 43 + ... + 4m)

=

⎛ ( 4 ) (1 − 4m ) ⎞ ⎟ 3⎜ ⎜ 1− 4 ⎟ ⎝ ⎠

=

4m + 1 – 4 n

n

i =1

i =1

=

∑ i 2 −∑ i

=

n(n + 1)(2n + 1) – n(n + 1) 6 2 n(n + 1) ⎛ 2n + 1 ⎞ ⎜ 3 − 1⎟ 2 ⎝ ⎠ n(n + 1) ⎛ 2n + 1 − 3 ⎞ ⎜ ⎟ 2 3 ⎝ ⎠ n(n + 1)(2n − 2) 6 n(n + 1)(n − 1) 3 3 n −n 3

= = = = = 5. (1)

k

=

i =1

(4)

k

2∑ i + ∑ 1

10

=

1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1) + ...

∑ n ( n + 1) n =1 10

=

2

n =1

(2)

n =1

=

10(11)(12) 10 (11) + 6 2

= =

385 + 55 440

1 ⋅ 4 ⋅ 7 + 2 ⋅ 5 ⋅ 8 + 3 ⋅ 6 ⋅ 9 + ... + n(n + 3)(n + 6) + ...

= =

10

∑n + ∑n

10

∑ n ( n + 3)( n + 6 ) n =1 10

10

10

n =1

n =1

n =1

∑ n 3 + 9∑ n 2 + 18∑ n


54

(3)

=

⎛ 10 (11) ⎞ 9 (10 )(11)( 21) 18 (10 )(11) + ⎜ ⎟ + 6 2 ⎝ 2 ⎠

= =

3025 + 3465 + 990 7480

2

2 1(2 + 3) + 4(4 + 3) + 9(6 + 3) + 16(8 + 3) + ... + n (2n + 3) + ...

= =

10

∑ n ( 2n + 3) 2

n =1 10

10

2∑ n 3 + 3∑ n 2 i =1

(4)

=

⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21) 2⎜ ⎟ + 6 ⎝ 2 ⎠

= =

6050 + 1155 7205

2

12 + 32 + 52 + 7 2 + ... + (2n − 1) 2 + ...

= = =

10

∑ ( 2n − 1) n =1 10

∑ (4n n =1 10

2

2

− 4n + 1) 10

10

n =1

n =1

4∑ n 2 − 4 ∑ n + ∑1 n =1

(5)

n =1

=

⎛ (10 )(11) ⎞ ⎛ 10(11)(21) ⎞ 4⎜ ⎟ + 10 ⎟ − 4⎜ 6 2 ⎝ ⎠ ⎝ ⎠

= =

1540 – 220 + 10 1330

⎛ 1⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1⎞ 1⎜ 1 + ⎟ + 2 ⎜ 1 + ⎟ + 3 ⎜ 1 + ⎟ + ... + n ⎜ 1 + ⎟ + ... ⎝ 1⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎝ 3 ⎠ ⎝ n⎠

= ∑ n ⎛⎜1 + 1 ⎞⎟ ⎝ n⎠ 10

n =1

10

= ∑ ( n + 1) n =1

10

10

n =1

n =1

= ∑ n + ∑1 =

10 (11)

= 65 6. (1)

1 ⋅ 2 ⋅ 3 + 2 ⋅ 3 ⋅ 4 + 3 ⋅ 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1)(n + 2) + ... + 10 ⋅ 11 ⋅ 12

=

10

∑ n ( n + 1)( n + 2 ) n =1

2

+ 10


55 =

(2)

10

10

10

n =1

n =1

n =1

∑ n 3 + 3∑ n 2 + 2∑ n

=

⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21) 2 (10 )(11) + ⎜ ⎟ + 6 2 ⎝ 2 ⎠

= =

3025 + 1155 + 110 4290

2

1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + ... + n(n + 1) + ... + 99 ⋅ 100

=

99

∑ n ( n + 1) n =1

= = = =

99

99

n =1

n =1

∑ n2 + ∑ n

99 (100 )(199 ) 6

+

99 (100 ) 2

328350 + 4950 333300

(3) จํานวนเต็มระหวาง 1 ถึง 100 ทีห่ ารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 คือ 7, 11, 15, ... , 99 24

อนุกรม 7 + 11 + 15 + ... + (4n + 3) + ... + 99 เขียนแทนดวย ∑ ( 4n + 3) n =1

24

จะได ∑ ( 4n + 3)

=

24

24

n =1

n =1

4∑ n + ∑ 3

n =1

4 ( 24 )( 25 )

=

2

+ ( 24 )( 3)

= 1200 + 72 = 1272 ผลบวกของจํานวนเต็มทัง้ หมดระหวาง 1 ถึง 100 ทีห่ ารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 เปน 1272 7. (1)

n

1

⎛1

1 ⎞

=

Sn

1 ⎞ ⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 ⎜ 1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝3 4⎠ ⎝ n n +1⎠ n 1 = 1− n +1 n +1 20 21

i =1

= =

S20 = (2)

n

∑ i ( i + 1)

n

1

i =1

∑ ( 2i − 1)( 2i + 1) i =1

Sn

=

∑ ⎜⎝ i − i + 1 ⎟⎠

=

1 n ⎛ 1 1 ⎞ − ∑ ⎜ ⎟ 2 i =1 ⎝ 2i − 1 2i + 1 ⎠

1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞⎤ ⎛ 1 − ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ ⎟⎥ ⎢ 2 ⎣⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ 5 7 ⎠ ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ ⎦


56 = S20 =

1⎛ 1 ⎞ ⎜1 − ⎟ 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 20 41

(3) ให Sn

=

จะได a1

=

a2

=

a3

=

n

n

=

2n + 1

1

∑ i ( i + 1)( i + 2 ) i =1

1 1⋅ 2 ⋅ 3 1 2⋅3⋅ 4 1 3⋅ 4 ⋅5

= = =

1⎛ 1 1 ⎞ − ⎜ ⎟ 2 ⎝ 1⋅ 2 2 ⋅ 3 ⎠ 1⎛ 1 1 ⎞ − ⎜ ⎟ 2 ⎝ 2 ⋅3 3⋅ 4 ⎠ 1⎛ 1 1 ⎞ − ⎜ ⎟ 2 ⎝ 3⋅ 4 4⋅5 ⎠

#

Sn

=

=

a1 + a2 + a3 + ... + an =

= S20 = (4)

n

1 ∑ i =1 i ( i + 2 )

Sn

1 n ( n + 1)( n + 2 )

an

=

⎞ 1⎛ 1 1 − ⎜⎜ ⎟ 2 ⎝ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎟⎠

⎛ ⎞⎤ 1 ⎡⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 1 − ⎢⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜⎜ ⎟⎟ ⎥ 2 ⎢⎣⎝ 2 6 ⎠ ⎝ 6 12 ⎠ ⎝ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎠ ⎥⎦

⎞ 1⎛1 1 ⎜⎜ − ⎟ 2 ⎝ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎟⎠ 1⎛1 1 ⎞ ⎜ − ⎟ 2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠

=

=

115 462

1 n ⎛1 1 ⎞ ∑ ⎜ − ⎟ 2 i =1 ⎝ i i + 2 ⎠

=

1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞⎤ ⎛1 ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟⎥ ⎢ 2 ⎣⎝ 3 ⎠ ⎝ 2 4 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ n n + 2 ⎠⎦

=

1⎡ 1 1 1 ⎤ 1+ − − ⎢ 2 ⎣ 2 n + 1 n + 2 ⎥⎦

=

⎞ 1⎛3 2n + 3 ⎜⎜ − ⎟⎟ 2 ⎝ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎠

S20 =

1⎛3 43 ⎞ ⎜ − ⎟ 2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠

=

325 462

8. (1) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้ Sn = 1 + 2⋅2 + 3⋅22 + 4⋅23 + ... + n⋅2n–1

---------- (1)

(1) × 1 , 2Sn =

1⋅2 + 2⋅22 + 3⋅23 + ... + (n – 1)⋅2n–1 + n⋅2n

(1) – (2), –Sn =

1 + (2 – 1)2 + (3 – 2)22 + (4 – 3)23 + … + (n – n + 1)2n-1 – n⋅2n

5

---------- (2)


57 =

1 + 2 + 22 + 23 + ... + 2n–1 – n⋅2n

–Sn

=

1(1 − 2n ) − n ⋅ 2n 1− 2

–Sn Sn จะได S10

= = = = =

–1(1 – 2n) – n⋅2n (1 – 2n) + n⋅2n (1 – 210) + 10⋅210 –1023 + 10240 9217

(2) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้ Sn

=

(1) × (2),

1 Sn = 5 4 Sn = 5

(1) – (2),

= 4 Sn 5

=

4 Sn 5

=

Sn

= S10 =

จะได 9. (1)

2n + 1 n ( n + 1) 2

ให Sn

2

1 1 1 1 ---------- (1) 1 ⋅ + 2 ⋅ 2 + 3 ⋅ 3 + ... + n ⋅ n 5 5 5 5 1 1 1 1 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + ... + (n − 1) ⋅ n + n ⋅ n +1 ---------- (2) 5 5 5 5 1 1 1 1 1 + (2 − 1) ⋅ 2 + (3 − 2) ⋅ 3 + ... + (n − (n − 1)) ⋅ n − n ⋅ n +1 5 5 5 5 5 1 1 1 1 1 + + + ... + n − n ⋅ n +1 5 52 53 5 5 n 1⎛ ⎛1⎞ ⎞ ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ 5 ⎜⎝ ⎝ 5 ⎠ ⎟⎠ 1 − n ⋅ n +1 1 5 1− 5 1 1 1 (1 − n ) − n ⋅ n +1 4 5 5 5 1 1 (1 − n ) − n ⋅ 16 5 4 ⋅ 5n 5 1 1 (1 − 10 ) − 16 5 2 ⋅ 59

=

1 1 − 2 2 n ( n + 1)

=

3 5 7 2n + 1 + + + ... + 2 2 1 ⋅ 4 4 ⋅ 9 9 ⋅ 16 n ( n + 1)

=

⎛ 1 1 ⎞ ⎛1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎜ ⎟ − + − + + − ... ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ n 2 ( n + 1)2 ⎟ ⎝1 4 ⎠ ⎝ 4 9 ⎠ ⎝ ⎠

=

1−

=

n 2 + 2n

1

( n + 1)

( n + 1)

ผลบวก n พจนแรก เปน

2

2

n 2 + 2n

( n + 1)

2


58 2 −1 + 1⋅ 2 1 ⎞ ⎛ 1 ⎛ − ⎜1 − ⎟+⎜ 2⎠ ⎝ 2 ⎝ 1 1− n +1

=

(2) ให Sn = =

ผลบวก n พจนแรก เปน ∞

10. (1) เนื่องจาก ∑ e

−(n −1)

=

n =1

Sn

n +1

⎛1⎞ ∑ ⎜⎝ e ⎟⎠ n =1

n −1

1 e

1 1− n lim e n →∞ 1 1− e

=

n →∞

1

1 1 1 1+ + + ... + 2 n e e e −1 1 ⎞ ⎛ 1⎜1 − n ⎟ e 1−

lim Sn

n +1 − n n n +1 1 1 ⎞ − ⎟ n n +1 ⎠

=

=

1−

3− 2 2− 3 + + ... + 2⋅ 3 3⋅2 1 ⎞ ⎛ 1 1⎞ ⎛ − ⎟ + ... + ⎜ ⎟+⎜ 3⎠ ⎝ 3 2⎠ ⎝

e

=

e −1

e e −1

ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ (2) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 3, –5, 11, ... อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูออก (3) Sn =

9

+

9

+

9

+ ... +

9

100 1002 1003 100n 9 ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − n⎟ ⎠ = 1 ⎛1 − 1 ⎞ = 100 ⎝ 100 ⎜ ⎟ 1 11 ⎝ 100n ⎠ 1− 100 1⎛ 1 ⎞ 1 = lim Sn = lim ⎜ 1 − ⎟ n n →∞ 11 n →∞ 11 ⎝ 100 ⎠ 1

ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ (4) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ เนื่องจาก

lim

n →∞

5n n +1

5 2

,

10 15 3

,

4

,

20 5

11

,

= 5

ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 5

25 6

, ...,

5n n +1

, ...


59 (5)

∞ 2n + 1 ∑ n =1 n 2 (n + 1) 2

Sn = = lim Sn n →∞

=

⎞ ∞ ⎛ 1 1 − ∑ ⎜ ⎟ n =1⎜⎝ n 2 (n + 1) 2 ⎟⎠

⎛ 1 ⎞ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎛ 1 − + − + − + ... + − ⎜ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ n 2 (n + 1) 2 ⎟⎟ ⎝ 22 ⎠ ⎝ 22 32 ⎠ ⎝ 32 42 ⎠ ⎝ ⎠ 1−

=

1 (n + 1) 2

⎛ ⎞ 1 lim ⎜1 − 2 ⎟⎟ n →∞ ⎜ ⎝ (n + 1) ⎠

= 1

ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1 (6) Sn = = lim Sn n →∞

1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞ ⎛ ⎛ 1 − − − ⎜1 − ⎟+⎜ ⎟ ⎟+⎜ ⎟ + ... + ⎜ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝ 3 4⎠ n +1 ⎠ ⎝ ⎝ n 1−

=

1

n +1

1 ⎞ ⎛ lim ⎜1 − ⎟ n →∞ n +1 ⎠ ⎝

= 1

ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1 (7) อนุกรมที่กําหนดใหเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = เนื่องจาก | r | < 1 อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขา

16 5

และ r =

4 5

16

และมีผลบวกเทากับ

(8)

∞ 1 ∑ 2 n =1 4n − 1

Sn = = lim Sn

n →∞

a1 1− r

=

5 1−

4

= 16

5

1 ∞ 2 ∑ 2 n =1 (2n + 1)(2n − 1) ∞ = 1 ∑ ⎛⎜ 1 − 1 ⎞⎟ 2 n =1⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ 1 ⎛⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ 1 ⎞⎞ ⎛ 1 − ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ ⎟⎟ ⎜ 2 ⎝⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ 5 7 ⎠ ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ ⎠ 1⎛ 1 ⎞ ⎜1 − ⎟ 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 1⎛ 1 ⎞ 1 1− = lim = ⎜ ⎟ n →∞ 2 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 1

=

ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ

2


60 11. ใหอนุกรมนี้คอื a1 + a2 + a3 + ... + an + ... โดยที่ an = 2n – 5 15

จะได ผลบวกของ 15 พจนแรกของอนุกรมนี้ คือ ∑ a n = n =1

= =

15 ∑ (2n − 5) n =1 15 15 2 ∑ n– ∑ 5 n =1 n =1 ⎛ 15(16) ⎞ 2⎜ ⎟ –15(5) ⎝ 2 ⎠

= 240 – 75 = 165 12. (1) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวคือ 16, 24, 32, ..., 192 เพราะวา an = a1 + (n – 1)8 จะได 192 = 16 + (n – 1)8 n

=

⎛ 192 − 16 ⎞ ⎜ ⎟ +1 8 ⎝ ⎠

n

=

23

จาก

Sn

=

จะได

S23

=

n (a1 + a n ) 2 23 (16 + 192) 2

= 2392 ดังนัน้ ผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวเทากับ 2392 (2) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 คือ 10, 11, 12, ..., 198 ซึ่งมี 189 จํานวน จะได

S189

=

189 (10 + 198) 2

= 19656 ผลบวกของจํานวนเต็มทีอ่ ยูระหวาง 9 กับ 199 เปน 19656 จะไดผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารไมลงตัวเปน 19656 – 2392 = 17264 13. (1) e (2) π (3) ln 2


102 จาก f ( x ) = x 2 + 4x ให A เปนพืน้ ที่ปดลอมดวยกราฟของ −4

∫ f (x ) dx −

A =

−5

=

–4

3

1

0

∫ f (x ) dx +

−4

3 x + 2x 2 ) – ( ( x + 2x 2 ) 3 –5 3 7 32 7 + + 3 3 3 46 ตารางหนวย 3

(

=

=

กับแกน X จาก x = –5 ถึง x = 1

y = x 2 + 4x

∫ f (x ) dx 0 0 x )+(

–4

3

3

+ 2x 2 )

1 0

เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ก 1. (1)

x −2 x →4 x − 4 lim

x f(x) (2)

lim

3.9 0.25158 x−2

x →2 x 2 + x − 6

x f(x) (3)

x f(x) (4)

ex − 1 x →0 x lim

x f(x)

= 1

–0.1 0.95163

3.999 0.25002 1 5

= 0.2 หรือ 1.99 0.20040

= 0.33 หรือ

0.9 0.36900

ดังตาราง

3.99 0.25016

1.9 0.20408

x −1 lim 3 x →1 x − 1

1 4

= 0.25 หรือ

1 3

x f(x)

4.001 0.24998

4.01 0.24984

4.1 0.24846

ดังตาราง 1.999 0.20004

x f(x)

2.001 2.01 2.1 0.19996 0.19960 0.19608

ดังตาราง

0.99 0.33669

0.999 0.33367

x f(x)

1.001 0.33300

1.01 0.33002

1.1 0.30211

ดังตาราง –0.01 0.99502

–0.001 0.99950

x f(x)

0.001 1.00050

0.01 1.00502

0.1 1.05171


103 (5)

sin x x →0 x lim

x f(x) x f(x) (6)

lim x ln x

x →0 +

x f(x) 2. (1) (2)

1

0.5

0.1

0.05

0.01

0.84147

0.95885

0.99833

0.99958

0.99998

–1

–0.5

–0.1

–0.05

–0.01

0.84147

0.95885

0.99833

0.99958

0.99998

0.001 –0.00691

0.0001 –0.00092

0.00001 –0.00012

= 0 ดังตาราง

lim f (x)

= 2

lim f (x)

= 3

x →1− x →1+

ดังนั้น (4) เนื่องจาก ดังนั้น (5) f(5) 3. (1) เนื่องจาก ดังนั้น

(3)

ดังตาราง

0.1 –0.23026

(3) เนื่องจาก

(2)

=1

0.01 –0.04605

lim f (x) ≠ lim f (x) x →1+

x →1−

lim f (x)

x →1

lim f (x)

=

lim f (x)

= 4

x →5−

x →5

lim f (x)

=

lim f (x)

= 3

x →0−

x →0

=

4

lim f (x)

=

2

x →3+

lim f (x)

x →5+

= 4

ไมนิยาม

lim f (x)

x →3−

หาคาไมได

lim f (x)

x →0+

= 3


104 (4) เนื่องจาก ดังนั้น

lim f (x) ≠ lim f (x)

x →3−

x →3+

lim f (x)

x →3

หาคาไมได

(5) f(3) = 3 4. (1) (2)

lim g ( t )

= –1

lim g( t )

= –2

t →0−

t →0+

(3) เนื่องจาก ดังนั้น (4) (5)

lim g ( t ) ≠ lim g(t)

lim g( t ) หาคาไมได

t→0

lim g(t) t →2−

= 2

lim g( t )

= 0

t →2+

t →0+

t →0−

(6) เนื่องจาก

lim g(t) ≠ lim g ( t )

t →2−

t →2 +

lim g ( t ) หาคาไมได

ดังนั้น

t→2

(7) g(2) = 1 (8) เนื่องจาก ดังนั้น 5. (1) (2)

lim g(t)

t →4−

lim g(t)

t →4

lim f (x)

=

–1

lim f ( x )

=

0

x →1−

x →1+

(3) เนื่องจาก ดังนั้น

=

lim f ( x )

x →1+

lim f ( x ) หาคาไมได

x→1

= 3

= 3

lim f (x) ≠

x →1−

lim g(t)

t →4+


105 6. (1) (2)

lim f (x) x →2−

=

2

lim f (x)

=

–2

x →2+

(3) เนื่องจาก ดังนั้น (4) (5)

lim f (x)

x →2

lim f ( x )

= 0

lim f ( x )

= 0

x →−2−

x →−2+

(6) เนื่องจาก ดังนั้น 7. (1)

lim f (x) ≠ lim+ x →2− x →2

หาคาไมได

lim f ( x )

=

lim f ( x )

=

x →−2−

x →−2

f(x)

lim f ( x )

x →−2+

=

0

0

lim (1 + x)

x →4−

เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) = 1 + x ไดดังนี้ Y

6

y = 1+ x 4 2 -2

0

2

-2 จากกราฟ จะไดวา lim f (x)

x →4−

=

5

4

6

X


106 (2)

lim f (x)

x →2

เมื่อ

f(x)

=

x + 1, x ≤ 2 2, x>2

เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) ไดดังนี้ 6

Y

4

f(x)

2 0

-2

4

2

X

6

-2 จากกราฟ จะไดวา ดังนั้น

lim f (x) x →2−

= 3

lim f (x)

หาคาไมได

x →2

=

lim f (x)

x →2+

2

เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ข 1. (1)

lim (3x 2 + 7x − 12)

x →0

= =

ดังนั้น (2)

lim (3x 2 + 7x − 12)

x →0

lim (x 5 − 2x)

x →−1

= = = = = =

lim 3x 2 + lim 7x − lim 12

x →0

x →0

x →0

3 lim x + 7 lim x − lim 12 2

x →0

x →0

2

3(0) + 7(0) – 12 –12 –12 lim x 5 − lim 2x

x →−1

x →−1

lim x − 2 lim x 5

x →−1 5

(–1) – 2(–1)

x →−1

x →0


107

ดังนั้น (3)

lim (x 5 )(x − 2)

x →5

ดังนั้น (4)

lim (x + 3)(x 2 + 2)

lim (x + 3)(x 2 + 2)

x →−1

⎡ x +1 ⎤ lim x →3 ⎢⎣ 2x − 5 ⎥⎦

ดังนั้น (6)

lim (x 5 )(x − 2)

x →5

x →−1

ดังนั้น (5)

lim (x 5 − 2x)

x →−1

⎡ x +1 ⎤ lim ⎢ x →3 ⎣ 2x − 5 ⎥⎦

⎡ x 2 − 25 ⎤ lim ⎢ x →−5 ⎣ x + 5 ⎥⎦

= = = = = = = = = = = = =

(7)

⎡ x 2 − 25 ⎤ lim ⎢ x →−5 ⎣ x + 5 ⎥⎦

⎡ x +1 ⎤ lim ⎢ 2 x →1 ⎣ x − x − 2 ⎦⎥

lim x 5 ⋅ lim (x − 2)

x →5

x →5

5

(5 )(5 – 2) 9,375 9,375 lim (x + 3) ⋅ lim (x 2 + 2)

x →−1

x →−1

2

(–1 + 3)((–1) + 2) (2)(3) 6 6 lim ( x + 1)

x →3

lim (2 x − 5)

x →3

=

3 +1 2(3) − 5

=

4

=

4

=

⎡ ( x − 5)( x + 5) ⎤ lim ⎢ x →−5 ⎣ ( x + 5) ⎥⎦

=

ดังนั้น

–1 + 2 1 1

lim (x − 5)

x →−5

= =

–5 – 5 –10

=

–10

=

x →1 lim (x 2 x →1

lim (x + 1)

− x − 2)


108

ดังนั้น (8)

lim

x →1 ⎢⎣ x 2

x +1

⎤ − x − 2 ⎦⎥

⎡ x2 − x − 2 ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 ⎢ x 2 + 4x + 3 ⎥ ⎣ ⎦

=

1+1 1 −1 − 2

=

2 (−2)

=

–1

=

–1

=

ดังนั้น (9)

⎡1 − x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 1 − x ⎣ ⎦

12 + 4(1) + 3

2 8

=

−1 4

=

−1 4

=

⎡ 1− x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 1 − ( x ) 2 ⎣ ⎦

=

⎡ ⎤ 1− x lim ⎢ ⎥ x →1 (1 − x )(1 + x ) ⎣ ⎦

=

(10)

12 − 1 − 2

=

x⎤ ⎥ ⎣ 1− x ⎦

lim (x 2 + 4x + 3)

=

=

lim (x 2 − x − 2)

x →1

x →1

=

⎡ x2 − x − 2 ⎤ lim x →1 ⎢ x 2 + 4x + 3 ⎥ ⎣ ⎦

2

⎡ 1 ⎤ lim ⎢ x →1⎣1 + x ⎥⎦ 1 1+ 1 1 2

1− ดังนั้น xlim ⎢ →1

=

1 2

⎡3 − x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →9 9 − x ⎣ ⎦

=

⎡ 3− x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →9 9 − ( x ) 2 ⎣ ⎦

=

⎡ ⎤ 3− x lim ⎢ ⎥ x →9 (3 − x )(3 + x ) ⎣ ⎦

=

⎡ 1 ⎤ lim ⎢ x →9 ⎣ 3 + x ⎥⎦


109 = = ดังนั้น (11)

⎡3 − x ⎤ lim ⎢ ⎥ x →9 9 − x ⎣ ⎦

⎡2− x +3 ⎤ lim ⎢ ⎥ x →1 ⎣ x −1 ⎦

=

1 6

=

⎡2 − x + 3 ⎤ ⎡2 + x + 3 ⎤ lim ⎢ ⎥⋅⎢ ⎥ x →1 ⎣ x −1 ⎦ ⎣2 + x + 3 ⎦

=

⎡ ⎤ 4 − ( x + 3) lim ⎢ ⎥ x →1 ( x − 1)(2 + x + 3 ) ⎣ ⎦

= = = ⎡

=

lim 3 ( x 2 − 1) 2

=

3

=

3

( lim ( x 2 + 1)) 2

3

(−1) 2

x →0

ดังนั้น 2. (1)

⎡ ⎤ 1− x lim ⎢ ⎥ x →1 ( x − 1)(2 + x + 3 ) ⎣ ⎦ ⎡ ⎤ −1 lim ⎢ x →1⎣ 2 + x + 3 ⎥⎦ −1 = −1 4 2 + 1+ 3

2− ดังนั้น xlim ⎢ →1 ⎣

(12)

x+3⎤ ⎥ x −1 ⎦

1 3+ 9 1 6

lim 3 ( x 2 − 1) 2

x →0

= = =

1 4 lim ( x 2 + 1) 2

x →0

x →0

1 1

x+4 x →−4− x + 4 lim

เนื่องจาก x < –4 และ x เขาใกล –4 ดังนั้น

lim

x →−4−

x+4 x+4

= = =

lim

x →−4−

−(x + 4) (x + 4)

lim (−1)

x →−4−

–1


110 (2)

2x 2 − 3x x→1.5 2x − 3 lim

จาก f(x) =

2

2x − 3x 2x − 3

⎡ 2x 2 − 3x ⎤ จะไดวา lim − ⎢ ⎥ x→1.5 ⎣⎢ 2x − 3 ⎦⎥

2x 2 − 3x 2x − 3

เมื่อ

x≥

3 2

2x 2 − 3x −(2x − 3)

เมื่อ

x<

3 2

⎡ − x(2x − 3) ⎤ lim ⎢ ⎥ x→1.5− ⎣ (2x − 3) ⎦

= =

⎡ 2x 2 − 3x ⎤ lim + ⎢ ⎥ x→1.5 ⎢⎣ 12x − 31 ⎥⎦

lim (− x)

x→1.5−

=

–1.5

=

⎡ − x(2x − 3) ⎤ lim + ⎢ ⎥ x→1.5 ⎣ (2x − 3) ⎦

=

lim x

x→1.5+

= 2x 2 − 3x x→1.5 2x − 3

ดังนั้น (3)

1.5

หาคาไมได

lim

⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x⎦ x→0+ ⎣ x

เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0 ⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x→0+ ⎣ x x ⎦

ดังนั้น

⎡1 1⎤ lim ⎢ − ⎥ x→0+ ⎣ x x ⎦

= =

lim 0

x→0+

= (4)

0

lim x + 4

x→−4

x+4

=

lim x + 4

=

จาก f(x) =

x+4

เมื่อ

x ≥ −4

−(x + 4)

เมื่อ

x < −4

จะไดวา x→−4−

= =

lim − (x + 4)

x→−4−

–(–4 + 4) 0


111 lim

x → −4 +

ดังนั้น (5)

lim x + 4

x→−4

lim x + 4

x→−4+

= = =

–4 + 4 0 0

= =

− ( x − 2) x → 2 − ( x − 2) lim (−1)

=

–1

= =

x−2 x →2+ x − 2 lim 1

=

1

x−2 x →2 x − 2 lim

ดังนั้น

lim

x →2−

lim

x−2 x−2

x →−2+

ดังนั้น (6)

=

x+4

x−2 x−2

x−2 x →2 x − 2 lim

lim

x →2−

lim

x →2+

หาคาไมได

⎡1 1 ⎤ lim− ⎢ − ⎥ x →0 x x⎦ ⎣

เนื่องจาก x < 0 และ x เขาใกล 0 ดังนั้น

⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x⎦ x →0− ⎣ x

⎡ 1 ⎛ 1 ⎞⎤ lim ⎢ − ⎜ − ⎟ ⎥ x →0− ⎣ x ⎝ x ⎠ ⎦ ⎡1 1⎤ lim ⎢ + ⎥ x →0− ⎣ x x ⎦ 2 lim x →0− x

= = =

ดังนั้น 3. (1)

⎡1 1 ⎤ lim ⎢ − ⎥ x⎦ x →0− ⎣ x

หาคาไมได

lim f (x)

x →2−

เนื่องจาก x < 2 ดังนั้น lim− f (x) x →2

= =

lim (x − 1)

x →2−

2–1

=

1


112 (2)

lim f (x)

x →2+

เนื่องจาก x > 2 ดังนั้น lim+ f (x)

=

x →2

lim (x 2 − 4x + 6)

x →2+

(2)2 – 4(2) + 6 2

= = (3) เนื่องจาก

lim f (x) ≠

ดังนั้น 4. (1)

lim f (x)

x →2−

x →2+

หาคาไมได

lim f ( x )

x →2

lim f (x)

x →0+

เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0 ดังนั้น lim f (x) = lim x 2 + + x →0

x →0

02 0

= = (2)

lim f (x)

x →0−

=

(3) เนื่องจาก ดังนั้น (4)

=

lim f (x)

x →0+

=

lim f (x)

x →0−

lim f ( x ) = 0

lim f (x) x →2−

=

lim f (x)

x →2+

= = =

(6)

0

x →0

= = (5)

lim x

x →0−

lim x x →2−

2

22 4

lim 8 − x

x →2+

8–2 6

lim f (x)

x →2

เนื่องจาก ดังนั้น

lim f (x) ≠ lim+ f (x) x →2− x →2 lim f (x)

x →2

หาคาไมได

= 0


113

เฉลยแบบฝกหัด 2.2 1. (1) f(x) = 3x – 1 ที่ x=0 จะได f(0) = 3(0) – 1 = –1 lim f (x) = lim (3x − 1) = 3(0) – 1 = –1 และ x →0 x →0 นั่นคือ

= f(0)

lim f (x)

x →0

ดังนั้น ฟงกชนั f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 (2) f(x) =

x−4 x 2 − 16

ที่ x = 4

เนื่องจาก f(4) ไมนยิ าม ดังนั้น ฟงกชนั f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 4 (3) f(x) =

x2 −1 x3 −1

ที่ x = 1

เนื่องจาก f(1) ไมนยิ าม ดังนั้น ฟงกชนั f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 1 (4) f(x) = จะได

x

ที่ x = 0

f(x) =

x

เมื่อ x ≥ 0

–x

เมื่อ x < 0

จาก f(x) = x ดังนั้น f(0) = 0 ------------ (1) f (x) = lim+ f (x) = 0 เนื่องจาก xlim →0− x →0

ดังนั้น

lim f (x)

x →0

จาก (1) และ (2) จะไดวา

= 0 lim f (x)

x →0

------------ (2) = f(0)

ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 (5) f(x) =

x +1 x +1

ที่ x = –1

เนื่องจาก f(–1) ไมนยิ าม ดังนั้น ฟงกชนั f ไมตอเนือ่ งที่ x = –1


114

2. (1) f(x) =

7x – 2

เมื่อ x ≤ 1

kx2

เมื่อ x > 1

พิจารณาที่จดุ x = 1 จะได f(1) = 7(1) – 2 = 5 = และ xlim f (x) →1−

=

5

= k(1)2 = k เนื่องจาก ฟงกชันนี้จะตอเนื่อง เมื่อ xlim f (x) = →1−

x →1+

lim+ f (x)

x →1

ดังนั้น

k

(2) f(x) =

=

7(1) – 2 lim+ kx 2

x →1

5

kx2

เมื่อ x ≤ 2

2x + k

เมื่อ x > 2

พิจารณาที่จดุ x = 2 จะได f(2) = f (x) และ xlim →2− lim f (x)

x →2+

= =

lim (7x − 2) x →1−

k(22) = 4k = lim kx 2 x →2− = =

4k lim (2x + k)

x →2+

= 4+k เนื่องจาก f เปนฟงกชันตอเนื่อง จะได 4k = 4+k 3k = 4 4 ดังนั้น k = 3

lim f (x)

= f(1)


115

เฉลยแบบฝกหัด 2.3 1. (1) y = x2 – 3x ที่จุด (3, 0) f (3 + h) − f (3) h →0 h 2 (3 + h) − 3(3 + h) − 0 lim h →0 h 9 + 6h + h 2 − 9 − 3h lim h →0 h 2 h + 3h lim h →0 h h(h + 3) lim h →0 h

ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ = = = =

lim

= 3 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ 3 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ y–0 = 3(x – 3) y = 3x – 9 3x – y – 9 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ 3x – y – 9 = 0 (2) y = 5x2 – 6 ที่จุด (2, 14) f (2 + h) − f (2) h →0 h 2 5(2 + h) − 6 − 14 lim h →0 h 5(4 + 4h + h 2 ) − 20 lim h →0 h

ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ = = = =

lim

20 + 20h + 5h 2 − 20 h h →0 h (5h + 20) lim h h →0 lim

= 20 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ 20 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ y – 14 = 20(x – 2) y – 14 = 20x – 40


116 20x – y – 26 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ 20x – y – 26 = 0 (3) y = x – x2 ที่จุดซึ่ง x = 1 2

1 2

1 1 1 − = 2 4 4 1 1 f ( + h) − f ( ) 2 2 ความชันของเสนโคงที่จุด ( 1 , 1 ) เทากับ hlim →0 h 2 4 1 1 1 ( + h) − ( + h) 2 − 2 4 lim 2 = h →0 h 1 1 1 ( + h) − ( + h + h 2 ) − 4 4 lim 2 = h →0 h 2 −h = lim h →0 h

เมื่อ x =

จะได y =

=

1 1 2 −( ) 2 2

=

0

ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด ( 1 , สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด 1 4 –1 4

1 ) เทากับ 2 4 1 1 ( , ) คือ 2 4

0

1 0(x − ) 2

y–

=

y

= 0

ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง x = 1 คือ y – 2

(4) y =

x2 + 2 x

ที่จุดซึ่ง x = 1

เมื่อ x = 1

จะได y =

12 + 2 1

f (1 + h) − f (1) h →0 h 2 ⎡ (1 + h) + 2 ⎤ − 3⎥ ⎢ 1+ h lim ⎢ ⎥ h →0 h ⎢ ⎥ ⎢⎣ ⎥⎦ (1 + h) 2 + 2 − 3(1 + h) lim h →0 h(1 + h)

ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ = =

= 3 lim

1 4

= 0


117 =

1 + 2h + h 2 + 2 − 3 − 3h h →0 h(1 + h)

=

h2 − h h →0 h(1 + h) h(h − 1) lim h →0 h(1 + h) h −1 lim h →0 1 + h

= =

lim

lim

= –1 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ –1 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 3) คือ y – 3 = –1(x – 1) x + y–4 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง x = 1 คือ x + y – 4 = 0 (5) y = 1 + 2x – 3x2 ที่จุด (1, 0) f (1 + h) − f (1) h →0 h 2 (1 + 2(1 + h) − 3(1 + h) ) − 0 lim h →0 h 1 + 2 + 2h − 3(1 + 2h + h 2 ) lim h →0 h

ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) เทากับ = = = = =

lim

3 + 2h − 3 − 6h − 3h 2 lim h h →0 2 −4h − 3h lim h →0 h − h(3h + 4) lim h →0 h

= –4 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ – 4 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ y – 0 = – 4(x – 1) 4x + y = 4 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ 4x + y – 4 = 0 (6) y =

6 x +1

ที่จุด (2, 2)

ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) เทากับ

lim

h →0

f (2 + h) − f (2) h


118

ดังนั้น

6 −2 (2 + h ) + 1 lim = h h →0 6 − 2(h + 3) = lim h →0 h(h + 3) 6 − 2h − 6 = lim h →0 h(h + 3) −2 = lim h →0 h + 3 2 = − 3 ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ − 2 3

สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ y–2

=

2 − (x − 2) 3

3y – 6 = –2x + 4 2x + 3y – 10 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ 2x + 3y – 10 = 0 2. เนื่องจากเสนตรง y = ax มีความชันเทากับ a ถาเสนตรง y = ax ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 + 8 แสดงวา เสนตรงกับเสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากัน เนื่องจาก ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) เทากับ = = = = =

3(1 + h) 2 + 8 − 11 h →0 h 3(1 + 2h + h 2 ) − 3 lim h →0 h 3 + 6h + 3h 2 − 3 lim h →0 h h(3h + 6) lim h →0 h lim (3h + 6) lim

h →0

= 6 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) คือ 6 ดังนั้น a = 6

f (1 + h) − f (1) h →0 h lim


119

เฉลยแบบฝกหัด 2.4 1. (1) f(x) = f′(x) = = = =

3x2 f (x + h) − f (x) h 3(x + h) 2 − 3x 2 lim h →0 h 2 3x + 6xh + 3h 2 − 3x 2 lim h →0 h lim 6x + 3h lim h →0

h →0

= 6x ดังนั้น f′(x) = 6x (2) f(x) = f′(x) = = = =

x2 – x f (x + h) − f (x) h →0 h (x + h) 2 − (x + h) − (x 2 − x) lim h →0 h 2 2xh + h − h lim h →0 h lim 2x + h − 1 lim

h →0

= 2x – 1 ดังนั้น f′(x) = 2x – 1 (3) f(x) = x3 f′(x) = = = =

f (x + h) − f (x) h →0 h (x + h)3 − x 3 lim h →0 h 2 3x h + 3xh 2 + h 3 lim h →0 h 2 lim 3x + 3xh + h 2 lim

h →0

= 3x2 ดังนั้น f′(x) = 3x2 (4) f(x) = f′(x) =

2x3 + 1 f (x + h) − f (x) h →0 h

lim


120 = = =

2(x + h)3 + 1 − (2x 3 + 1) h →0 h 2 6x h + 6xh 2 + 2h 3 lim h →0 h 2 lim 6x + 6xh + 2h 2 lim

h →0

= 6x2 ดังนั้น f′(x) = 6x2 (5) f(x) = f′(x) = = = = = ดังนั้น f′(x) = (6) f(x) = f′(x) = = = = = ดังนั้น f′(x) = (7) f(x) = f′(x) =

1 x

f (x + h) − f (x) h 1 1 − (x + h) x lim h →0 h ⎞ 1⎛ h lim ⎜ − ⎟ h →0 h ⎝ x(x + h) ⎠ 1 lim − h →0 x(x + h) 1 − 2 x 1 − 2 x 1 x2 f (x + h) − f (x) lim h →0 h 1 1 − 2 2 (x + h) x lim h →0 h ⎞ 1⎛ 2xh + h 2 lim ⎜ − 4 ⎟ 3 2 2 h →0 h ⎝ x + 2x h + x h ⎠ 2x + h lim − 4 h →0 x + 2x 3 h + x 2 h 2 2 − 3 x 2 − 3 x lim h →0

1

x3

lim h →0

f (x + h) − f (x) h


121 1 3

1 3

1

1

(x + h) − x h

=

lim

=

(x + h) 3 − x 3 (x + h) 3 + (x + h) 3 x 3 + x 3 lim ⋅ 2 1 1 2 h →0 h (x + h) 3 + (x + h) 3 x 3 + x 3 (x + h) − x lim 2 1 1 2 h →0 3 3 3 h[(x + h) + (x + h) x + x 3 ] 1 lim 2 1 1 2 h →0 3 3 3 (x + h) + (x + h) x + x 3 1

= = = ดังนั้น f′(x) =

h →0

2

1

1

2

2

3x 3 1 3x

2 3

2. สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 5) คือ y−5 f ′(2)( x − 2) = f ′(2)( x − 2) + 5 y = จากสมการเสนสัมผัสเสนโคงที่โจทยกําหนดให คือ 3x − y = 1 y = 3x – 1 f ′(2)( x − 2) + 5 = 3x − 1 ดังนั้น f ′(2)

=

3( x − 2) x−2

=

3

3. จุดสัมผัส คือ จุด (3, –1) ความชันของเสนโคง y = f(x) ที่จุด (3, –1) เทากับ f′(3) = 5 จะได สมการของเสนสัมผัสเสนโคง คือ y – (–1) = 5(x – 3) y+1 = 5x – 15 5x – y – 16 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคง y = f(x) ที่จุด x = 3 คือ 5x – y – 16 = 0


122 4. ให f(r) = πr2 (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมี เมื่อความยาวของรัศมี เปลี่ยนจาก r เปน r + h คือ f (r + h) − f (r) h

= = =

1 π(r + h) 2 − πr 2 ) ( h 1 ⋅ π(2rh + h 2 ) h 2πr + πh ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร

(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพืน้ ที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมีขณะรัศมียาว r เซนติเมตร คือ f (r + h ) − f (r ) h h →0 lim

=

lim π(2r + h)

=

π lim 2r + h

=

2πr

h →0

h →0

ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร

5. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีความยาวของดานเทากับ x ดังนั้น f(x) = x2 (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน ในชวงดานยาว x เซนติเมตร ถึงดานยาว x + h เซนติเมตร คือ

f (x + h) − f (x) h

= = =

(x + h) 2 − x 2 h 2xh + h 2 h

2x + h ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร

ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดานในชวง x = 10 ถึง x = 12 เทากับ 2(10) + 2 = 22 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพืน้ ที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว x เซนติเมตร คือ

f (x + h) − f (x) h →0 h

lim

=

lim 2x + h h →0

= 2x ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ 2(10) = 20 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร


123 6. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาที่มีความยาวของดานเทากับ x ดังนั้น

f(x) =

3 2 x 4

(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานใน ชวงดานยาว x เซนติเมตร คือ x + h เซนติเมตร คือ f (x + h) − f (x) h

1 3 3 2 ( (x + h) 2 − x ) h 4 4 1 3 ( (2xh + h 2 )) h 4 3 (2x + h) ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร 4

= = =

ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน ในชวง x = 10 ถึง x = 9 เทากับ = =

3 (2(10) + (−1)) 4 3 (20 − 1) 4 19 3 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร 4

(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพืน้ ที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานในขณะ ดานยาว x เซนติเมตร คือ f (x + h) − f (x) h →0 h

lim

= =

lim h →0

3 (2x + h) 4

3 x 2

ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร

ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ = 7. ให N = f(t) =

3 (10) 2 5 3 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร

8 t +1

อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t ใด ๆ คือ lim h →0

f (t + h) − f (t) h

= = =

8 8 − (t + h) + 1 t + 1 lim h →0 h ⎤ − 8h 1⎡ lim ⎢ ⎥ h → 0 h ⎣ t 2 + 2 t + ht + h + 1⎦

8 t + 2t + 1 2


124 ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t = 3 เทากับ = 8. จากสมการ PV = 6000 จะได

P =

8 3 + 2(3) + 1 1 กรัม / นาที − 2

2

เมื่อ P เปนความดัน V เปนปริมาตร

6000 V

อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ขณะมีปริมาตร V ใด ๆ คือ f (V + h) − f (V) lim h →0 h

= = =

6000 6000 − V lim V + h h →0 h 1 −6000h lim [ ] h →0 h V(V + h) 6000 − 2 V

ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ในขณะ V = 100 เทากับ =

−6000 1002

–0.6 กรัม / ตารางเซนติเมตร / ลูกบาศกเซนติเมตร

9. ให y = f(x) = 2x2 – 3 อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ f (x + h) − f (x) h

= =

2(x + h) 2 − 3 − (2x 2 − 3) h 2 4xh + 2h = 4x + 2h h

(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.2 เทากับ 4(2) + 2(0.2) = 8.4 (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.1 เทากับ 4(2) + 2(0.1) = 8.2 (3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.01 เทากับ 4(2) + 2(0.01) = 8.02 (4) อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ lim

h →0

f (x + h) − f (x) h

=

lim 4x + 2h

h →0

= 4x ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 2 เทากับ 4(2) = 8


125 1 x

10. ให y = f(x) =

อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ f (x + h) − f (x) h

=

1⎡ 1 1⎤ − ⎥ ⎢ h ⎣ (x + h) x ⎦

=

1 ⎡ x − (x + h) ⎤ h ⎢⎣ x(x + h) ⎥⎦ 1 − 2 x + xh

=

(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 5 เทากับ 1 − 2 4 + 4(1)

=

1 20

(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.1 เทากับ 1 − 2 4 + 4(0.1)

=

5 82

(3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.01 เทากับ 1 − 2 4 + 4(0.01)

=

25 401

(4) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ คือ f (x + h) − f (x) h →0 h lim

= =

1 lim − 2 h →0 x + xh 1 − 2 x

ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 4 เทากับ 11. ปริมาตรของกรวยกลมตรง =

1 16

1 2 πx y 3

เมื่อ x เปนรัศมีของฐานของกรวยกลมตรง y เปนความสูงของกรวยกลมตรง (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับรัศมีของฐาน (x) เมื่อสวนสูง (y) คงตัว คือ f (x + h) − f (x) lim h →0 h

= = = =

1 1 π(x + h)2 y − πx 2 y 3 lim − 3 h →0 h πy lim (2xh + h 2 ) h →0 3h πy lim (2x + h) h →0 3 2 πxy หนวยปริมาตร / หนวยความยาว 3


126 (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับสวนสูง (y) เมื่อรัศมีของฐานคงตัว (x) คือ f (y + h) − f (y) h →0 h lim

1 2 1 πx (y + h) − πx 2 y 3 lim 3 h →0 h 2 πx ⋅h lim h →0 3h πx 2 lim h →0 3 πx 2 หนวยปริมาตร / หนวยความยาว 3

= = = =

12. จากสมการ r =

k s2

เมื่อ k > 0 เปนคาคงตัว

อัตราการเปลี่ยนแปลงของ r เทียบกับ s ในขณะ s ใด ๆ คือ lim

h →0

f (s + h) − f (s) h

k k − 2 2 (s + h) s lim h →0 h 2 1 ⎡ ks − k(s + h)2 ⎤ lim ⎢ 2 ⎥ h →0 h ⎢ s (s + h) 2 ⎥ ⎣ ⎦ 2 1 ⎡ −2skh − kh ⎤ lim ⎢ 4 ⎥ h →0 h ⎢ s + 2s3h + s 2 h 2 ⎥ ⎣ ⎦ −2sk − kh lim h →0 s 4 + 2s3h + s 2 h 2

= = =

=

เฉลยแบบฝกหัด 2.5 1. (1)

dy dx

=

0

(2)

dy dx

=

3x 2 +

(3)

dy dx

=

3x2 – 3

(4)

dy dx

=

–10x + 1 +

(5)

ds dt

=

20t4 – 6t + 1

1 3

1 x

+

1 2 x3

=

2k − 3 s


127 (6)

ds dt

=

12t2 + 18t + 1

(7)

dy dx

=

3x2 + 6x + 2

(8)

dy dx

=

–4x3 + 12x2 – 6x + 12

(9)

dy dx

=

3x2 + 1

(10)

dy dx

=

2 2x − 2 x

(11)

dy dx

=

(12)

dy dx

=

(13)

ds dt

=

1 12 + 2 t

(14)

dy dx

=

5 4 3x 2 − 2 + 3 x x

(15)

ds dt

=

55t 2 1 3 + 1+ 3 2 2t 2 2t 2

(16)

dy dx

=

6x + 3 –

(17)

dy dx

=

(18)

dy dx

=

2 15 12 − 2− 6− 7 x x x

(19)

dy dx

=

18x (3x 2 + 1)2 6

(1 − 3x) 2

9

(20)

dy dx

=

27

54 − 3 x x 2

−4x 2 − 2x − 20 (x 2 − 5)2

3 3 2x 2

1

+ 8x + 8x 2

14x 8 + 4x 7 − 14 x 6 − 2x 3 − 2x 2 + 2x ( x + 1) 2


128 2. (1) f(x)

=

2x 3 −

f′(x)

=

6x 2 +

1 x 1 3

2x 2

1 2

13 2

=

f′(1)

=

6+

(2) f(x)

=

1 5 1 3 1 2 x − x + x − 4x + 5 5 3 2

f′(x) f′(1)

= =

x4 − x2 + x − 4

1–1+1–4

(3) f(x)

=

(2x2 – 3x + 1)(x – x2)

f′(x) = f′(–1) =

–8x3 + 15x2 – 8x + 1 8 + 15 + 8 + 1 =

=

=

f′(x)

=

f′(2)

=

3. (1) g(x)

=

xf (x)

g′(x)

=

x ⋅ f ′(x) + f (x) ⋅

g′(4)

=

g′(4)

=

(2) g(x)

=

g′(x)

=

g′(4)

=

g′(4)

=

32

2x − 1 x +1 3

(4) f(x)

=

–3

x 2 + 2x + 1 3 = 1 9 3

1

2 x 1 4 ⋅ f ′(4) + f (4) ⋅ 2 4 3 −10 + 4 37 − 4 f (x) x x ⋅ f ′(x) − f (x) x2 4 ⋅ f ′(4) − f (4)

−23 16

42


129 4. จาก จะได ดังนั้น 5. จาก จะได

y

=

x3 – 5x + 2

dy dx

=

3x2 – 5

y

=

–4x + 2x2 – 3x4

dy dx

=

–4 + 4x – 12x3

y

=

–x + x2

dy dx

=

–1 + 2x

ความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (2, 0) เทากับ 3(2)2 – 5 = 7

นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –5) เทากับ –4 + 4(1) – 12(1)3 = –12 ดังนั้น สมการของเสนตรงซึ่งสัมผัสเสนโคง ที่จุด (1, –5) คือ y – (–5) = –12(x – 1) y+5 = –12x + 12 12x + y – 7 = 0 6. จาก จะได

เนื่องจาก ความชันของเสนโคง ที่จุด (a, b) เทากับ 3 จะได 3 = –1 + 2a a = 2 จาก y = –x + x2 จะได ดังนั้น 7. จาก จะได

b = b = a = 2 และ

–2 + 22 2 b=2

s

=

t3 – 2t + 5

ds dt

=

3t2 – 2

นั่นคือ ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t ใด ๆ คือ 3t2 – 2 ดังนั้น ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t = 10 วินาที เทากับ 3(10)2 – 2 = 298 เมตร / วินาที 8. ถาเสนตรง y = mx + c ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 – 5 ที่จดุ (1, –2) จะได m มีคาเทากับความชันของเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 – 5 ที่จุด (1, –2) จาก

y

=

3x2 – 5


130 จะได

dy dx

=

6x

นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –2) เทากับ 6(1) = 6 ดังนั้น m=6 9. จาก จะได

y

=

x3

dy dx

=

3x2

นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1) เทากับ 3(1)2 = 3 เนื่องจาก ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) เทากับ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1) ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) คือ y–3 = 3(x – 2) y = 3x – 3 3x + y + 3 = 0 10. เนื่องจากเสนสัมผัสเสนโคงขนานกับแกน X ดังนั้น เสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากับ 0 และ ความชันของเสนโคง y = x3 – 3x ที่จุดสัมผัสมีคาเทากับ 0 ดวย จะได

dy dx

=

y

=

x4

dy dx

=

4x3

3x2 – 3

=

0

จาก 3x2 – 3 = 0 จะได x = –1 หรือ x = 1 แทนคา x = –1 จะได y = 2 แทนคา x = 1 จะได y = –2 ดังนั้น จุด (–1, 2) และ (1, –2) อยูบนเสนโคง y = x3 – 3x ที่เสนสัมผัสเสนโคงที่จุดนี้ขนานกับ แกน X 11. จาก จะได

นั่นคือ ความชันของเสนโคง คือ 4x3 จะได เสนตรงที่มีความชันเทากับ ดังนั้น

4x3

=

จะได

x

=

1 2 1 2

1 2

และสัมผัสเสนโคงที่จุดสัมผัส

แทนคา x =

1 2


131 จะได

y

=

นั่นคือ

จุด ( 1 ,

1 ) 2 16

1 ( )4 2

=

1 16

อยูบนเสนโคงที่มีความชันเทากับ

1 2

ดังนั้น สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด ( 1 ,

1 ) คือ 2 16 1 1 (x − ) 2 2 1 1 x− 2 4

1 16 1 y− 16 x 3 −y− 2 16

=

=

0

8x – 16y – 3

=

0

y−

=

เฉลยแบบฝกหัด 2.6 1. (1) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= =

2x + 3 (2x + 3)5

=

dy du ⋅ du dx d 5 d (u ) ⋅ (2x + 3) du dx

=

ดังนั้น

dy dx

(2) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= =

(5u4)(2) 10u4

=

10(2x + 3)4

= =

1 – 3x (1 – 3x)3

=

dy du ⋅ du dx d 3 d (u ) ⋅ (1 − 3x) du dx 2 (3u )(−3)

= = = ดังนั้น

dy dx

=

=

−9u 2 −9(1 − 3x) 2

=

u5

u3


132 (3) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= =

3 – 4x2 (3 – 4x2)4

=

dy du ⋅ du dx d 4 d (u ) ⋅ (3 − 4x 2 ) du dx 3 (4u )(−8x)

=

ดังนั้น

dy dx

(4) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= =

–32xu3

=

−32x(3 − 4x 2 )3

= =

2 – 3x + 4x2 (2 – 3x + 4x2)3

=

dy du ⋅ du dx d 3 d (u ) ⋅ (2 − 3x + 4x 2 ) du dx 2 (3u )(−3 + 8x)

= = = ดังนั้น

dy dx

(5) ให u จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

(6) ให

=

(24x − 9)u 2 (24x − 9)(2 − 3x + 4x 2 ) 2

= =

x3 – 2x (x3 – 2x)4

=

dy du ⋅ du dx d 4 d 3 (u ) ⋅ (x − 2x) du dx (4u 3 )(3x 2 − 2)

=

= =

(12x 2 − 8)u 3

dy dx

=

(12x 2 − 8)(x 3 − 2x)3

u

=

1 – 2x

จะได y โดยกฎลูกโซ จะได

u3

=

=

ดังนั้น

u4

=

=

1 − 2x

=

u4

1

u2


133 dy dx

= = = =

ดังนั้น (7) ให

dy dx

=

u

=

จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

=

= =

(8) ให

dy dx

=

u

=

จะได y โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= = = = =

ดังนั้น

dy dx

3x2 + 2

=

=

ดังนั้น

dy du ⋅ du dx d 12 d (u ) ⋅ (1 − 2x) du dx 1 (−2) 1 2u 2 1 − u −1 1 − 2x

=

3x 2 + 2

=

1

u2

dy du ⋅ du dx d 12 d (u ) ⋅ (3x 2 + 2) du dx 1 (6x) 1 2 2u 3x u 3x

3x 2 + 2

x2 – 3 3

x2 − 3

=

dy du ⋅ du dx d 13 d 2 (u ) ⋅ (x − 3) du dx 1 (2x) 2 3 3u 2x 3 3 u2 2x 3 3 (x 2 − 3) 2

1

u3


134 (9) ให u จะได s โดยกฎลูกโซ จะได ds dt

= =

2t2 – 1

=

ds du ⋅ du dt d −3 d (u ) ⋅ (2t 2 − 1) du dt 3 − 4 (4t) u 12t − 4 u 12t − (2t 2 − 1)

= = = ดังนั้น (10) ให จะได

(2t 2 − 1) −3

=

u −3

ds dt

=

u

=

t2 – 3t + 2

s

=

1 (t − 3t + 2) 2

=

ds du ⋅ du dt d −2 d 2 (u ) ⋅ (t − 3t + 2) du dt 2 − 3 (2t − 3) u −4t + 6 u3 −4t + 6 2 (t − 3t + 2)3

2

=

u −2

โดยกฎลูกโซ จะได ds dt

= = = ดังนั้น (11) ให จะได

ds dt

=

u

=

x2 + 2x

y

=

1

โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= = = =

ดังนั้น

dy dx

=

x 2 + 2x

=

dy du ⋅ du dx d − 12 d 2 (u ) ⋅ (x + 2x) du dx 1 − 3 (2x + 2) 2u 2 −(x + 1) u3 −(x + 1) (x 2 + 2x)3

u

1 2


135 (12) ให จะได

u

=

y

=

x2 – 2x + 3 1 3

x 2 − 2x + 3

=

u

1 3

โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= = = =

ดังนั้น (13) ให พิจารณา

dy dx

=

y

=

dy = dx d (x − 3)3 dx

จะได s = โดยกฎลูกโซ จะได ds dx

= = = =

ดังนั้น นั่นคือ

ds dx d (x − 3)3 dx

dy du ⋅ du dx d − 13 d 2 (u ) ⋅ (x − 2x + 3) du dx 1 − 4 (2x − 2) 3u 3 2 − 2x 33 u4 2 − 2x

3 3 (x 2 − 2x + 3) 4

(x – 3)3(2x + 1) (x – 3)3(2) + (2x + 1) และ

d (x – 3)3 dx

u = x–3

u3 ds du ⋅ du dx d 3 d (u ) ⋅ (x − 3) du dx 2 (3u )(1)

3u2 =

3(x − 3) 2

=

3(x − 3) 2

แทนคา (2) ใน (1) จะได dy dx

----------- (1)

=

(x – 3)3(2) + (2x + 1)[3(x – 3)2]

= =

2(x – 3)3 + (6x + 3)(x – 3)2 8x3 – 51x2 + 90x – 27

----------- (2)


136 (14) ให

u

จะได

y

=

2x + 1 1 − 2x

=

⎛ 2x + 1 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝ 1 − 2x ⎠

=

dy du ⋅ du dx d 3 d 2x + 1 (u ) ⋅ ( ) du dx 1 − 2x (1 − 2x)(2) − (2x + 1)(−2) 3u 2 [ ] (1 − 2x) 2 ⎡ ⎤ 4 3u 2 ⎢ 2⎥ ⎣ (1 − 2x) ⎦

3

u3

=

โดยกฎลูกโซ จะได dy dx

= = = = dy dx

ดังนั้น

(15)

y dy dx

=

2. ให จะได

=

=

12u 2 (1 − 2x) 2

⎛ 2x + 1 ⎞ 12 ⎜ ⎟ ⎝ 1 − 2x ⎠ (1 − 2x) 2

2

=

12(2x + 1) 2 1 ⋅ 2 (1 − 2x) (1 − 2x) 2

=

12(2x + 1) 2 (1 − 2x) 4

(2x + 3)3 (4x 2 − 1)8

d d (2x + 3)3 − (2x + 3)3 (4x 2 − 1)8 dx dx = (4x 2 − 1)16 d d (4x 2 − 1)8 (3)(2x + 3) 2 (2x + 3) − (2x + 3)3 (8)(4x 2 − 1)7 (4x 2 − 1) dx dx (4x 2 − 1)16 (4x 2 − 1)8

=

(4x 2 − 1)8 (3)(2x + 3) 2 (2) − (2x + 3)3 (8)(4x 2 − 1) 7 (8x) (4x 2 − 1)16

=

6(4x 2 − 1)(2x + 3) 2 − 64x(2x + 3)3 (4x 2 − 1)9

u = g( x ) และ y = F( x ) dy dy du = ⋅ dx du dx d = f ′(u ) ( 3x − 1) dx

= f (u )


137 = = = =

3.

จาก ดังนั้น

⎛ 1 − u 2 ⎞⎛ ⎞ 3 ⎟⎜ ⎜ ⎟ ⎜ (u 2 + 1) 2 ⎟⎜⎝ 2 3x − 1 ⎟⎠ ⎠ ⎝ ⎛ 1 − (3x − 1) ⎞⎛ ⎞ 3 ⎟⎜ ⎜ ⎟ ⎜ ⎜ ((3x − 1) + 1) 2 ⎟⎝ 2 3x − 1 ⎟⎠ ⎠ ⎝ 2 − 3x 3 ⋅ 9 x 2 2 3x − 1 2 − 3x 6 x 2 3x − 1

F( x ) =

f (g( x ))

F′( x ) =

f ′(g( x )) ⋅ g ′( x )

F′(2) =

f ′(g(2)) ⋅ g ′(2)

=

นั่นคือ

F′(2)

f ′(4) ⋅ 5

= 9 ⋅ 5 = 45

เฉลยแบบฝกหัด 2.7 1. (1) จาก จะได ดังนั้น

f(x) = f′(x) = f′′(x) =

5x2 – 4x + 2 10x – 4 10

(2) จาก จะได ดังนั้น

f(x) = f′(x) = f′′(x) =

5 + 2x + 4x3 – 3x5 2 + 12x2 – 15x4 24x – 60x3

(3) จาก

f(x)

=

3x4 – 2x +

x

จะได

f′(x)

=

12x3 – 2 +

1

ดังนั้น

f′′(x) =

(4) จาก

f(x)

=

จะได

f′(x)

=

ดังนั้น

f′′(x) =

หรือ

f′′(x) =

36x2 – 3

x−

–5

2 x

1 4 x3 2 + 4x 2 x

1 − 23 x + 2x −2 + 8x 3 2 − 53 − x − 4x −3 + 8 9 −2 4 − 3 +8 9 3 x5 x


138 = = = f′′(x) =

(5x2 – 3)(7x3 + x) (5x2 – 3)(21x2 + 1) + (7x3 + x)(10x) 175x4 – 48x2 – 3 700x3 – 96x

f(x)

=

จะได

f′(x)

=

ดังนั้น

f′′(x) =

x +1 x 1 − 2 x 2 x3

(5) จาก จะได ดังนั้น (6) จาก

(7) จาก

f(x) f′(x)

f(x)

=

จะได

f′(x)

=

ดังนั้น

f′′(x) =

3x − 2 5x 2 25x 2 −4 25x 3

ดังนั้น

f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x)

= = = =

x–5 + x5 –5x–6 + 5x4 30x–7 + 20x3 –210x–8 + 60x2

หรือ

f′′′(x) =

−210 + 60x 2 8 x

f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x)

= = = =

5x2 – 4x + 7 10x – 4 10 0

ดังนั้น

f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x)

= = = =

3x–2 + 4x–1 + x –6x–3 – 4x–2 + 1 18x–4 + 8x–3 –72x–5 – 24x–4

หรือ

f′′′(x) =

2. (1) จาก จะได

(2) จาก จะได ดังนั้น (3) จาก จะได

−72 24 − x5 x 4


139 3. จาก จะได

ดังนั้น 4. จาก จะได

ดังนั้น

f(x) f′(x) f′′(x) f′′′(x) f′′′(2)

= = = = =

3x2 – 2 6x 6 0 0

y

=

dy dx d2 y dx 2 d3 y dx 3 d4 y dx 4

=

6 x4 −24 x5 120 x6 −720 x7 5, 040 x8

= = =

5. (1) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 16t2 เมตร ในเวลา t วินาที ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากปลอยวัตถุไป 3 วินาที คือ s = 16(3)2 = 144 เมตร (2) จาก s = 16t2 ให v แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ จะได v =

ds dt

= 32t เมตร / วินาที

ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32t เมตร / วินาที นั่นคือ ความเร็วขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ 32(2) = 64 เมตร / วินาที (3) ให a แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ จาก (2) v = 32t เมตร / วินาที จะได

a =

dv dt

= 32 เมตร / วินาที

ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2 (4) จาก (3) ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t = 5 วินาที เทากับ 32 เมตร / วินาที2


140 6. (1) ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ t ถึงวินาทีที่ t + h คือ f (t + h) − f (t) h

= =

128(t + h) − 16(t + h) 2 − (128t − 16t 2 ) h 128h − 32th − 16h 2 h

= 128 – 32t – 16h ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ 2 ถึงวินาทีที่ 3 เทากับ 128 – 32(2) – 16(1) = 48 เมตร / วินาที (2) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 128t – 16t2 เมตร ในเวลา t วินาที ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากโยนวัตถุไปแลว 5 วินาที คือ s = 128(5) – 16(5)2 = 640 – 400 = 240 เมตร (3) จาก s = 128t – 16t2 ให v แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ จะได v =

ds dt

= 128 – 32t เมตร / วินาที2

ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 128 – 32t เมตร / วินาที นั่นคือ ความเรงในการเคลื่อนที่ของวัตถุขณะวินาทีที่ 4 เทากับ 128 – 32(4) = 0 เมตร / วินาที (4) ให a แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ จาก (3) v = 128 – 32t เมตร / วินาที จะได

a =

dv dt

= –32

เมตร / วินาที2

ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ –32 เมตร / วินาที2 นั่นคือ ความเรงของวัตถุขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ –32 เมตร / วินาที2

เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ก = 3 – 2x – x2 = –2 – 2x = –2(1 + x) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้

1. (1) จาก จะได

f(x) f′(x)


141

+

x < –1 –1 x > –1 จะได และ ดังนั้น และ

f′(x) > 0 บนชวง f′(x) < 0 บนชวง f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง f เปนฟงกชนั ลดบนชวง

(–∞ , –1) (–1, ∞) (–∞ , –1) (–1 , ∞)

Y 4

f(x)

2 0

-4

4

X

-2 (2) จาก f(x) = 2x2 – x – 3 จะได f′(x) = 4x – 1 ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้

+

– x<

1 4

1 4

x>

1 4

จะได

f′(x) > 0

บนชวง

( 1 , ∞)

และ

f′(x) < 0

บนชวง

(–∞, 1 )

ดังนั้น

f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง

และ

f เปนฟงกชนั ลดบนชวง

4

4 1 ( , ∞) 4 (–∞, 1 ) 4


142 Y 2 -2

f(x)

0

X

2

-2 -4 = x3 – x2 – 8x = 3x2 – 2x – 8 = (3x + 4)(x – 2) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้

(3) จาก จะได

f(x) f′(x)

+ x< −4 3

4 3

4 <x<2 3

+ x>2

2

จะได

f′(x) > 0

บนชวง

(–∞ , − 4 )

และ

f′(x) < 0

บนชวง

( − 4 , 2)

ดังนั้น

f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง

(–∞ , − 4 )

และ

f เปนฟงกชนั ลดบนชวง Y

( − 4 , 2)

3

(2, ∞)

(2, ∞)

3

3

3

9 3 -3

0 -3 -9 -15

3

X


143 = 2x3 + 3x2 – 36x + 5 = 6x2 + 6x – 36 = 6(x + 3)(x – 2) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้

(4) จาก จะได

f(x) f′(x)

+ x < –3 จะได และ ดังนั้น และ

–3

+ 2

–3 < x < 2

x>2

(–∞ , –3) ∪ (2, ∞) (–3, 2) (–∞ , –3) ∪ (2, ∞) (–3, 2)

f′(x) > 0 บนชวง f′(x) < 0 บนชวง f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง f เปนฟงกชนั ลดบนชวง Y 100 80 60 40 20

-5

-4

-3

-2

-1

0 -20

1

-40

(5) จาก จะได

f(x) f′(x)

= = =

x3 – 2x2 – 4x + 7 3x2 – 4x – 4 (3x + 2)(x – 2)

2

3

4

X


144 ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้

+ x< −2 3

2 3

2 3

<x<2

จะได

f′(x) > 0

บนชวง

และ

f′(x) < 0

บนชวง

ดังนั้น

f เปนฟงกชนั เพิ่มบนชวง

และ

f เปนฟงกชนั ลดบนชวง

+ 2

x>2

(–∞ , − 2 ) ∪ (2, ∞)

3 2 ( − , 2) 3 (–∞ , − 2 ) ∪ (2, ∞) 3 2 ( − , 2) 3

Y

5

0 -2

-5

2. (1) จาก จะได

f(x) f′(x)

= = = =

x2 – 8x+ 7 2x – 8 2(x – 4) 0

ถา f′(x) เพราะฉะนั้น x = 4 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 4 f′′(x) = 2 f′′(4) = 2>0 ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –9

5

X

จะไดวา

2(x – 4) = 0


145 Y

6 2 -1 0 -2

5

10

X

-6 -10 x3 – 3x + 6 3x2 – 3 3(x + 1)(x – 1) ถา f′(x) 0 จะไดวา 3(x + 1)(x – 1) = 0 เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 1 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 1 f′′(x) = 6x f′′(–1) = –6 < 0 f′′(1) = 6>0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 8 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(1) = 4

(2) จาก จะได

f(x) f′(x)

= = = =

Y 12 8

f(x)

4 -4

-2

0 -4

2

4

X


146 x3 – 3x2 – 24x + 4 3x2 – 6x – 24 3(x – 4)(x + 2) ถา f′(x) 0 จะไดวา เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 4 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2 และ 4

(3) จาก จะได

f(x) f′(x)

= = = =

3(x – 4)(x + 2) = 0

f′′(x) = 6x – 6 f′′(–2) = –18 < 0 f′′(4) = 18 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = 32 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –76 Y 60 40 20 -4

-3

-2

-1 0 -20

1

2

3

4

5

6

7

-40 -60 -80

x4 – 8x2 + 12 4x3 – 16x 4x(x + 2)(x –2) ถา f′(x) 0 จะไดวา 4x(x + 2)(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 0 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2, 0 และ 2

(4) จาก จะได

f(x) f′(x)

= = = =

X


147 f′′(x) = 12x2 – 16 f′′(–2) = 32 > 0 f′′(0) = –16 < 0 f′′(2) = 32 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 12 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = f(2) = –4 Y 20 f(x) 10 -4

-2

0

2

4

X

-10

= x4 – 4x3 + 8 = 4x3 – 12x2 = 4x2(x – 3) ถา f′(x) = 0 จะไดวา 4x2(x – 3) = 0 เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 3 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 3 f′′(x) = 12x2 – 24x f′′(0) = 0 f′′(3) = 36 > 0 ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(3) = –19

(5) จาก จะได

f(x) f′(x)


148 Y 20 f(x) 10 0

-2

-4

X

4

2

-10 -20 = x2 – 4x + 3 = 2x – 4 = 2(x – 2) ถา f′(x) = 0 จะได 2(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [0, 5] คือ 2 คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 2 และจุดปลายของชวง [0, 5] คือ x = 0 และ x = 5 f(2) = –1 f(0) = 3 f(5) = 8 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 8 ที่ x = 5 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –1 ที่ x = 2 Y 6

3. (1) จาก f(x) จะได f′(x)

f(x)

4 2 -4

-2

0 -2

2

4

6

X


149 (2) จาก f(x) จะได f′(x) ถา f′(x)

x3 – 2x2 – 4x + 8 3x2 – 4x – 4 0 จะได (3x + 2)(x – 2) = 0

= = =

เพราะฉะนั้น x =

2 3

หรือ x = 2

ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 3] คือ

2 3

และ 2

คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = − 2 , x = 2 และจุดปลายของชวง [–2, 3] คือ x = –2 3

และ x = 3 f( − 2 ) =

9.48

f(2) = f(–2) = f(3) =

0 0 5

3

ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 9.48 ที่ x = − 2 3

และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ 0 ที่ x = –2 และ x = 2 Y 10 6 2 -2 0 -2

-6

2

6

X

-6 (3) จาก f(x) จะได f′(x) ถา f′(x)

x4 – 2x3 – 9x2 + 27 4x3 – 6x2 – 18x 0 จะได 2x(2x + 3)(x – 3) = 0

= = =

เพราะฉะนั้น x =

3 2

หรือ x = 0 หรือ x = 3

ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 4] คือ

3 , 2

0 และ 3


150 คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = − 3 , x = 0, x = 3 และจุดปลายของชวง [–2, 4] 2

คือ x = –2 และ x = 4 f( − 3 ) = 2

18.56

f(0) = 27 f(3) = –27 f(–2) = 23 f(4) = 11 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 27 ที่ x = 0 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –27 ที่ x = 3 Y 30 20 10 -4

-2

0

2

4

6

X

-10 -20 -30 (4) จาก f(x) = x3 + 5x – 4 จะได f′(x) = 3x2 + 5 จากรูปสมการ f′(x) = 3x2 + 5 จะไดวา ไมมจี ํานวนจริง x ใด ๆ ที่ทําให f′(x) = 0 ดังนั้น ไมมีคาวิกฤตบนชวงปด [–3, –1] คํานวณหาคาของฟงกชัน f(x) ที่จุดปลายของชวง [–3, –1] คือ x = –3 และ x = –1 f(–3) = – 46 f(–1) = – 10 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 10 ที่ x = –1 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 46 ที่ x = –3


151 Y 40 20 0

-5

5 กราฟ f(–1) = –10 และ f(–3) = –46

-20

X

-40 -60

เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ข 1. (1) จาก จะได ถา เพราะฉะนั้น

f(x) f′(x) f′(x) x =

2x2 + x – 6 4x + 1 0 จะได 4x + 1 = 0

= = = −

1 4

ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ f′′ (x) f′′ ( − 1 )

1 4

= =

4

ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ

4 4>0 1 f (− ) 4

=

49 8

Y 4 -2

-1

0 -4 -8

2

1

f(x)

X


152 (2) จาก จะได ถา เพราะฉะนั้น

f(x) f′(x) f′(x) x =

–x2 + 3x – 2 –2x + 3 0 จะได –2x + 3 = 0

= = = 3 2

ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ f′′ (x) = f′′ ( 3 ) =

3 2

–2 –2 < 0

2

ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ

3 f( ) 2

=

1 4

Y 2 -2

-1

0

f(x) 1

2

-2 -4 (3) จาก f(x) = x3 – 3x2 จะได f′(x) = 3x2 – 6x ถา f′(x) = 0 จะได 3x(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 2 f′′ (x) = 6x – 6 f′′ (0) = –6 < 0 f′′ (2) = 6>0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 0 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –4

X


153 Y 2 -4

-2

0

2

-2

4

X

f(x)

-4

2x3 – 3x2 – 12x + 5 6x2 – 6x – 12 6(x – 2)(x + 1) ถา f′(x) 0 จะได 6(x – 2)(x + 1) = 0 เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 2 f′′ (x) = 12x – 6 f′′ (–1) = –18 < 0 f′′ (2) = 18 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 12 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –15

(4) จาก จะได

f(x) f′(x)

= = = =

Y 20 10 -4

-2

0 -10 -20

f(x) 2

4

X


154 2. เนื่องจากรัว้ ยาว 200 เมตร จะได 6x + 4y = y =

200 3 50 − x 2

ให A(x) เปนพื้นที่ของที่ดนิ รูปสี่เหลี่ยมผืนผา 3 แปลง เมื่อ x เปนความยาวของดานกวางของทีด่ นิ รูปสี่เหลี่ยมผืนผาของแตละแปลง จะได

A(x)

3 3x(50 − x) 2 9 150x − x 2 2

= =

ถา

A′(x) A′(x)

= =

เพราะฉะนั้น

x

150 – 9x 0 50 3 50 3

=

ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน A คือ จาก จะได

A′(x) A′′ (x) A′′ ( 50 ) 3

จะได 150 – 9x = 0

= = =

150 – 9x –9 –9 < 0

นั่นคือ ฟงกชนั A มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x =

50 3

และมีคาเทากับ

A(

50 ) 3

= 1,250

ดังนั้น รั้วจะลอมพื้นที่ไดมากที่สุด 1,250 ตารางเมตร 3. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง จะได f(x) = x – x2 f ′(x) = 1 – 2x ถา f ′(x) = 0 จะได 1 – 2x = 0 เพราะฉะนั้น

x =

1 2

ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ จาก จะได

1 2

f′(x) = f′′(x) =

1 – 2x –2

f′′( 1 ) =

–2 < 0

2

นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนนั้นคือ

1 2

1 2

และมีคาเทากับ f( 1 ) = 2

1 4


155 4. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง เนื่องจาก จํานวนจริงสองจํานวนบวกกันได 10 จะได x + y = 10 หรือ y = 10 – x ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลคูณของจํานวนจริงทั้งสอง จะได f(x) = x(10 – x) = 10x – x2 f′(x) = 10 – 2x ถา f′(x) = 0 จะได 10 – 2x = 0 เพราะฉะนั้น x = 5 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5 จาก f′(x) = 10 – 2x f′′(x) = –2 f′′(5) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 25 จาก x = 5 จะได y = 5 ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ 5 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 5 5. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง เนื่องจาก ผลคูณของจํานวนจริงสองจํานวนเปน –9 จะได

xy

=

–9

หรือ

y =

9 x

ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลบวกของกําลังสองของแตละจํานวนเมื่อ x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง จะได

f(x)

= =

9 x 2 + (− )2 x 81 x2 + 2 x 162 2x − 3 x

f′(x)

=

ถา

f′(x)

=

0

จะได

2x −

162 x3

= 0

2(x2 – 9)(x2 + 9) = 2(x – 3)(x + 3)(x2 + 9) = เพราะฉะนั้น x = –3 หรือ ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –3 และ

0 0 x=3 3


156 จาก

f′(x)

=

f′′(x) =

162 x3 486 2+ 4 x 2x −

f′′(3) = 8>0 f′′(–3) = 8>0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = –3 และ x = 3 มีคาเทากับ f(–3) = f(3) = 18 จาก x = –3 จะได y = 3 x = 3 จะได y = –3 ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ –3 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 3 6. ให C(t) เปนอุณหภูมิมีหนวยเปนองศาเซลเซียส เมื่อ t เปนเวลาหนวยเปนวินาที จะได C(t) = 10 + 4t – 0.2t2 C′(t) = 4 – 0.4t ถา C′(t) = 0 จะได 4 – 0.4t = 0 เพราะฉะนั้น t = 10 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน θ คือ 10 จาก C′(t) = 4 – 0.4t จะได C′′(t) = –0.4 C′′(10) = –0.4 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั C มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ t = 10 และมีคาเทากับ C(10) = 30 ดังนั้น ในการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีนี้อุณหภูมิจะขึน้ สูงสุดเมื่อ t = 10 วินาที และอุณหภูมิสงู สุดเปน 30 องศาเซลเซียส 7. ให V(x) เปนปริมาตรของกลอง เมื่อ x เปนความยาวของดานของรูปสีเหลี่ยมจัตุรสั ที่ตัดออก x

24 – 2x

x

จะได V(x) = (20 – 2x)(24 – 2x)x = 4x3 – 88x2 +480x V′(x) = 12x2 – 176x + 480 20 – 2x = 4(3x2 – 44x + 120) ถา V′(x) = 0 จะได 4(3x2 – 44x + 120) = 0


157 x =

44 − (−44) 2 − 4(3)(120) 2(3)

หรือ

x =

44 + (−44) 2 − 4(3)(120) 2(3)

x =

22 − 2 31 3

หรือ

x =

22 + 2 31 3

=

3.62

=

11.05

ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน V คือ 3.62 และ 11.05 จาก V′(x) = 12x2 – 176x + 480 จะได V′′(x) = 24x – 176 V′′(3.62) = –89.12 < 0 V′′(11.05) = 89.2 > 0 นั่นคือ ฟงกชนั V มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 3.62 ดังนั้น x เทากับ 3.62 เซนติเมตร กลองจึงจะมีปริมาตรมากที่สุด 8. ให c(f) เปนปริมาณผลผลิตที่ไดหนวยเปนถังตอไร เมื่อ f เปนจํานวนปุยที่ใช หนวยเปนกิโลกรัม ตอไร จะได c(f) = 20 + 24f – f2 c′(f) = 24 – 2f ถา c′(f) = 0 จะได 24 – 2f = 0 เพราะฉะนั้น f = 12 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน c คือ 12 จาก c′(f) = 24 – 2f c′′(f) = –2 c′′(12) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั c มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 12 และมีคาเทากับ c(12) = 164 ดังนั้น จะตองใชปุย 12 กิโลกรัมตอไร จึงจะไดผลผลิตมากที่สุด 9. ถาพอคาตั้งราคาขายสินคาอยางหนึ่งชิน้ ละ ในหนึ่งสัปดาหเขาจะขายสินคาได ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 1 บาท เขาจะขายได ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 2 บาท เขาจะขายได #

ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ x บาท เขาจะขายได เขาขายสินคาราคาชิ้นละ 20 – x บาท

20 1,000 1,000 + 100 1,000 + 200 #

1,000 + 100x

บาท ชิ้น ชิ้น ชิ้น ชิ้น


158 ให f(x) เปนเงินที่ไดจากการขายสินคา เมื่อ x เปนเงินที่ลดราคาสินคา 1 ชิ้น จะได f(x) = (1,000 + 100x)(20 – x) = 20,000 + 1,000x – 100x2 f′(x) = 1000 – 200x ถา f′(x) = 0 จะได 1000 – 200x = 0 เพราะฉะนั้น x = 5 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5 จาก f′(x) = 1000 – 200x จะได f′′(x) = –200 f′′(5) = –200 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 22,500 ดังนั้น เขาควรจะตั้งราคาสินคาชิ้นละ 20 – 5 = 15 บาท จึงจะไดเงินจากการขายมากที่สุด 10. ให DECF เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาที่บรรจุในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก มีดานดานหนึง่ ยาว m หนวย และอีกดานหนึ่งยาว n หนวย ดังรูป A 150

D

n

F 90

B

150 F Y

C

รูป 1

m C

90

n 120 – a E a Z

รูป 2

จากรูป 1

∆ ADE คลายกับ ∆ ABC

จะได

AE AC 120 − m 120

n

D

120 – m E m

X

= = =

DE BC n 90 3 (120 − m) 4

ให S(m) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ m เปนความยาวของดานดานหนึง่ ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา


159 จะได

S(m)

= =

ถา

S′(m)

=

S′(m)

=

3 (120 − m)(m) 4 3 90m − m 2 4 3 90 − m 2

0

จะได

3 90 − m 2

= 0

เพราะฉะนั้น m = 60 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60 จาก

S′(m)

=

S′′ (m)

=

S′′ (60)

=

3 90 − m 2 3 − 2 3 − < 0 2

นั่นคือ ฟงกชนั S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ m = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700 จาก

m = 60

จะได n =

จากรูป 2

∆ XDE คลายกับ ∆ XZY

จะได

n 90

=

m 150

3 (120 − 60) 4

= 45

120 − a 150

---------- (1)

=

a 120

---------- (2)

=

3 90a − a 2 4

∆ ZCE คลายกับ ∆ ZYX จะได

จาก (1) และ (2) จะได

mn

ให S(a) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ a เปนความยาวของ จะได

S(a)

3 90a − a 2 4 3 90 − a 2

=

S′(a) = ถา

S′(a) =

จะได

3 90 − a 2

0 =

0

เพราะฉะนั้น a = 60 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60

EZ


160 จาก

S′(a)

=

S′′(a)

=

S′′(60) =

3 90 − a 2 3 − 2 3 − 2

ดังนั้น ฟงกชนั S มีคาสูงสุด นั่นคือ ฟงกชนั S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ a = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700 จาก a = 60

จะได

n =

90(120 − 60) 150

และ

m=

(150)(60) 120

= 36 = 75 ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผา มีดานกวางยาว 45 หนวย และดานยาว 60 หนวย หรือมีดานกวางยาว 36 หนวย และดานยาวยาว 75 หนวย 11. ใหพอคาผลิตสินคาขายได x ชิ้นใน 1 สัปดาห ขายชิ้นละ p บาท ราคาและจํานวนสินคาที่ขายไดมีความสัมพันธในรูปสมการ p = 100 – 0.04x รายไดจากการขายสินคาใน 1 สัปดาห คือ xp = x(100 – 0.04x) บาท ลงทุน 600 + 22x บาท ให f(x) เปนกําไรจากการขายสินคา เมือ่ x เปนจํานวนสินคาที่ผลิตไดใน 1 สัปดาห จะได f(x) = x(100 – 0.04x) – (600 + 22x) = –0.04x2 + 78x – 600 f′(x) = –0.08x + 78 ถา f′(x) = 0 จะได –0.08x + 78 = 0 เพราะฉะนั้น x = 975 บาท ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 975 จาก f′(x) = –0.08x + 78 จะได f′′(x) = –0.08 f′′(975) = –0.08 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 975 และมีคาเทากับ f(975) = 37,425 ดังนั้น ตองผลิตสินคาออกขายสัปดาหละ 975 ชิ้น จึงจะไดกําไรมากที่สุด


161 12. รถบรรทุกวิ่งระยะทาง 500 กิโลเมตร ดวยอัตราเร็วเฉลี่ย x กิโลเมตรตอชั่วโมง ตองใชเวลา

500 x

ชั่วโมง

เสียคาน้ํามันลิตรละ 24 บาท และใชน้ํามันในอัตรา ดังนั้น เสียคาน้ํามัน

x 2 500 )( )(24) 150 x

(24 +

24 +

x2 150

ลิตรตอชั่วโมง

บาท

และเสียเบีย้ เลีย้ งคนขับชั่วโมงละ m บาท 500m x

จะตองเสียเบี้ยเลี้ยงคนขับ

บาท

ให f(x) เปนเงินที่บริษทั ตองจายในการสงสินคา เมื่อ x เปนอัตราเร็วเฉลี่ยหนวยเปนกิโลเมตร ตอชั่วโมง =

500m x 2 500 + (24 + )( )(24) x 150 x

=

500m 288000 + + 80 x x x

f′(x)

=

ถา

f′(x)

=

0

จะได

จะได

f(x)

500m 288000 − + 80 x2 x2

500m 288000 − + 80 x2 x2

=

0

− 500m − 288000 + 80 x 2

=

0

x2 เพราะฉะนั้น

x =

25m + 3600 4

=

25m + 3600 4

หรือ

ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f บนชวงปด [25, 80] คือ จาก

f′(x)

=

f′′(x) = f′′ (

x = 25m + 3600 4

500m 288000 − + 80 x2 x2

1000m 576000 + x3 x3

25m + 3600 ) 4

=

1000m + 576000 ⎛ 25m ⎞ + 3600 ⎟ ⎜ 4 ⎝ ⎠

3

> 0

25m + 3600 4


162 25m + 3600 4

นั่นคือ ฟงกชนั f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x =

25m + 3600 4

ดังนัน้ บริษัทตองสั่งใหขับรถดวยอัตราเร็วเฉลี่ย

w

13.

d

กิโลเมตรตอชั่วโมง จึงจะประหยัดที่สดุ

เนื่องจาก s = kwd2 เมื่อ k เปนคาคงตัว จากรูป d2 = a2 – w2 จะได s = kw(a2 – w2) = kwa2 – kw3

a

ให s(w) เปนน้ําหนักสูงสุดที่คานรับได เมื่อ w เปนความกวางของคาน และ k เปนคาคงตัว จะได s(w) = wka2 – kw3 s′(w) = ka2 – 3kw2 ถา s′(w) = 0 = 0 จะได ka2 – 3kw2

เพราะฉะนั้น w =

ka 2 3k a2 3

w2

=

w2

=

− 3a 3

หรือ w =

3a 3

ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน s คือ

3a 3

จาก

= =

ka2 – 3kw2 –6kw

=

−2 3ka

s′(w) s′′(w) s′′ (

3a ) 3

นั่นคือ ฟงกชนั s มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ w = จาก

w =

3a 3

จะได

<0 3a 3

d2 = d2 = d =

ดังนั้น ตองเลื่อยใหคานมีความกวาง

3a 3

2 3 3 ka 9 3a 2 a2 − ( ) 3 2 2 a 3 2 a 3

และมีคาเทากับ

เซนติเมตร และหนา

2 a 3

เซนติเมตร


163 14. ให P(f) เปนกําไรสุทธิหนวยเปนบาท เมื่อ f เปนปริมาณปุยทีใ่ ชหนวยเปนกิโลกรัมตอไร จะได P(f) = 400 + 20f – f2 P′(f) = 20 – 2f ถา P′(f) = 0 จะได 20 – 2f = 0 เพราะฉะนั้น f = 10 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน p คือ 10 จาก P′(f) = 20 – 2f P′′(f) = –2 P′′(10) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชนั P มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 10 และมีคาเทากับ P(10) = 500 ดังนั้น ตองใชปุย 10 กิโลกรัมตอที่ดิน 1 ไร จึงจะไดกําไรสุทธิสูงสุด และกําไรสุทธิสูงสุดจากผลผลิตตอไรเปน 500 บาท

เฉลยแบบฝกหัด 2.9 1. (1)

5 2 x +c 2

(2)

1 4 x +c 4

(3)

2 52 x +c 5

(4)

(5)

x2 + x + c

(6)

4 5 3 4 2 3 1 2 x + x + x + x +x+c 5 4 3 2

(7)

(8)

1 5 − x 5 + x 3 − 4x + c 5 3

(9)

2 x +c

(10)

2 3 − 2 +c x 2x

1 +c 4x 4

2 1 − +c x x


164

เฉลยแบบฝกหัด 2.10 1. (1) ∫ (x 4 + 3x 2 + 5x)dx

= =

∫ x dx + ∫ 3x dx + ∫ 5xdx ∫ x dx + 3∫ x dx + 5∫ xdx

=

x5 5x 2 + x3 + +c 5 2

(2) ∫ (2x 3 − 3x 2 + 6 − 2x −2 )dx = =

(3) ∫ (x10 − 13 )dx x

(4) ∫ ( 12 + 24 )dx x x

(5) ∫

xdx

4

2

4

2

∫ 2x dx − ∫ 3x dx + ∫ 6dx − ∫ 2x 2 ∫ x dx − 3∫ x dx + ∫ 6dx − 2∫ x 3

2

−2

dx

3

2

−2

dx

=

x4 2 − x 3 + 6x + + c 2 x

=

∫x

=

x11 1 + 2 +c 11 2x

=

∫x

=

∫x

=

=

∫ x 2 dx

=

2x 2 +c 3 2x x +c 3

10

dx − ∫ x −3dx

1

dx + ∫

2

−2

2 dx x4

dx + 2∫ x −4 dx

1 2 − 3 +c x 3x 1

3

= (6) ∫ (x

3 2

2 3

− x )dx

3 2

=

∫x

=

2x 2 3x 3 − +c 5 5

=

1 1 1 − 12 −2 dx dx x dx − ∫ x2 ∫ 2 x ∫ ∫ 2 x dx 1 1 − − x2 + c x 1 − − x +c x

5

(7) ∫ ( 12 − 1 )dx x 2 x

2 3

=

=

dx − ∫ x dx 5


165 (8) ∫ x 2 (x − 3)dx

(9) ∫

x (x + 1)dx

(10) ∫ ( x −3 2 )dx x

(11) ∫ (x 2 + 5x + 1)dx

(12) ∫ (6

x + 15)dx

(13) ∫ (x 3 + 5x 2 + 6)dx

(14)

6 ∫ ( x + 8 x )dx

=

∫ x dx − ∫ 3x dx

=

x4 − x3 + c 4

=

∫ x 2 dx + ∫ x 2 dx

3

2

3

1

5 2

3 2

=

2x 2x + +c 5 3

= =

∫x ∫x

=

= =

∫ x dx + ∫ 5xdx + ∫ 1dx ∫ x dx + 5∫ xdx + ∫ 1dx

=

x 3 5x 2 + +x+c 3 2

=

∫ 6x 2 dx + ∫ 15dx

= =

4x 2 + 15x + c

= =

∫ x dx + ∫ 5x dx + ∫ 6dx ∫ x dx + 5∫ x dx + ∫ 6dx

=

x 4 5x 3 + + 6x + c 4 3

= = = =

−2

dx − ∫ 2x −3dx

−2

dx − 2∫ x −3dx

1 1 + +c x x2 2 2

1

3

4x x + 15x + c 3

2

3

2

∫ 6x

1 2

1 2

1 2

dx + ∫ 8x dx 1 2

6 ∫ x dx + 8∫ x dx 1 2

3

16x 2 +c 12x + 3 12 x + 16x x + c


166 (15) ∫ (x 4 − 12x 3 + 6x 2 − 10)dx = =

∫ x dx − ∫ 12x dx + ∫ 6x dx − ∫ 10dx ∫ x dx − 12∫ x dx + 6∫ x dx − ∫ 10dx

dy = f′(x) dx dy ∫ dx dx

จะได

= =

y

=

f(x)

=

x2 +c 2

เนื่องจาก f(2)

=

2

จะได

2

=

22 +c 2

c

=

0

f(x)

=

x2 2

ดังนั้น

2

4

3

2

= x

y

จะได

3

x5 − 3x 4 + 2x 3 − 10x + c 5

= 2. ให

4

∫ xdx ∫ xdx x2 +c 2

เมื่อ c เปนคาคงตัวใด ๆ

3. (1) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ x2 – 3x + 2 นั่นคือ

dy dx

=

x2 – 3x + 2

จะได

y

=

∫ (x

y

=

ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y

2

− 3x + 2)dx

x 3 3x 2 − + 2x + c 3 2 3 2 = x − 3x + 2x + c 3 2

แตเสนโคงนี้ผา นจุด (2, 1) นั่นคือ เมื่อ x = 2 จะได y = 1 แทนคา x = 2 และ y = 1 ในสมการเสนโคง จะได

ดังนั้น

23 3 2 − (2 ) + 2(2) + c 3 2 c = 1 3 3 2 สมการเสนโคงดังกลาวคือ y = x − 3x + 2x + 1 3 2 3

1 =


167 (2) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 2x3 + 4x นั่นคือ

dy dx

=

2x3 + 4x

จะได

y

=

∫ (2x

y

=

ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y

3

+ 4x)dx

x4 + 2x 2 + c 2 4 = x + 2x 2 + c 2

แตเสนโคงนี้ผา นจุด (0, 5) นั่นคือ เมื่อ x = 0 จะได y = 5 แทนคา x = 0 และ y = 5 ในสมการเสนโคง จะได c = 5 x4 + 2x 2 + 5 2

ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y =

(3) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 6 + 3x2 – 2x4 นั่นคือ

dy dx

=

6 + 3x2 – 2x4

จะได

y

=

∫ (−2x

y

=

4

+ 3x 2 + 6)dx

2x 5 + x 3 + 6x + c 5

แตเสนโคงนี้ผา นจุด (1, 0) นั่นคือ เมื่อ x = 1 จะได y = 0 แทนคา x = 1 และ y = 0 จะได

ดังนั้น

2 − (1)5 + (1)3 + (6)(1) + c 5 33 − c = 5 5 สมการเสนโคงดังกลาวคือ y = − 2x + x 3 + 6x − 33 5 5

0

=


168 dv dt

=

a(t)

∫ dt dt

=

∫ (6 − 2t)dt

4. (1) จาก จะได

dv

=

6 – 2t

v = 6t – t2 + c1 จาก v(0) = 5 จะได c1 = 5 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 6t – t2 + 5 เมื่อ 0 ≤ t จาก จะได

ds dt ds ∫ dt dt

=

v(t)

=

∫ (6t − t

s = จาก

s(0)

=

+ 5)dt

t3 + 3t 2 + 5t + c 2 3

0

จะได c2 = 0 t3 − + 3t 2 + 5t 3

ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ (2) จาก จะได

dv = dt dv ∫ dt dt =

a(t)

∫ (120t − 12t

จะได

ds dt ds ∫ dt dt

=

v(t)

=

=

∫ (60t

2

เมื่อ

2

)dt

0 ≤ t ≤ 10

60t2 – 4t3

− 4t 3 )dt

s = 20t 3 − t 4 + c 2 จาก s(0) = 4 จะได c2 = 4 ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ 20t3 – t4 + 4 เมื่อ (3) จาก จะได

จาก

dv = dt dv ∫ dt dt =

a(t)

v

=

t 3 5t 2 + + 4t + c1 3 2

v(0)

=

–2

∫ (t

= 2

ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ

0≤t≤3

120t – 12t2

=

v = 60t2 – 4t3 + c1 จาก v(0) = 0 จะได c1 = 0 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 60t2 – 4t3 เมื่อ จาก

3

6t – t2 + 5

= 2

0 ≤ t ≤ 10

t2 + 5t + 4

+ 5t + 4)dt

จะได c1 = –2 t 3 5t 2 + + 4t − 2 3 2

เมื่อ

0 ≤ t ≤ 15


169 จาก จะได

จาก

t 3 5t 2 + + 4t − 2 3 2

ds dt ds ∫ dt dt

=

v(t)

=

s

=

t 3 5t 2 + + 4t − 2)dt 3 2 t 4 5t 3 + + 2t 2 − 2t + c 2 12 6

s(0)

=

=

∫(

–3

จะได c2 = –3

ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ

t 4 5t 3 + + 2t 2 − 2t − 3 12 6

5. (1) โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่ง a = –g = –9.8 เมตร / วินาที2 จะได

dv dt

=

–9.8

v = ∫ −9.8dt v = –9.8t + c1 โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่งดวยความเร็ว 98 เมตร / วินาที นั่นคือ ขณะ t = 0, v = 98 จาก v = –9.8t + c1 = 98 จะได c1 ดังนั้น v = –9.8t + 98 จาก

ds dt

=

v(t)

=

–9.8t + 98

จะได

s = ∫ (−9.8t + 98)dt s = –4.9t2 + 98t + c2 เมื่อ t =0 จะได s = 0 ดังนั้น c2 = 0 ดังนั้น สมการการเคลื่อนที่ของวัตถุ คือ s = –4.9t2 + 98t

(2) วัตถุขึ้นสูงสุด เมื่อ v = 0 จาก v = –9.8t + 98 จะได 0 = –9.8t + 98 t = 10 ดังนั้น วัตถุขึ้นไปสูงสุดเมื่อเวลาผานไป 10 วินาที

เมื่อ

0 ≤ t ≤ 15


170 (3) จาก (2) เมื่อ t = 10 จาก s = –4.9t2 + 98t จะได s = –4.9(10)2 + 98(10) s = 490 ดังนั้น ระยะทางสูงสุดที่วัตถุขึ้นไปไดคือ 490 เมตร (4) เมื่อ จาก จะได

s = 249.9 s = –4.9t2 + 98t 249.9 = –4.9t2 + 98t t2 – 20t + 51 = 0 (t – 17)(t – 3) = 0 นั่นคือ t = 3 หรือ t = 17 ดังนั้น วัตถุจะอยูสูง 249.9 เมตร เมื่อเวลาผานไป 3 วินาที และ 17 วินาที

6. รถไฟวิ่งดวยความเรง a =

dv dt

=

1 (20 − t) 4

t 4

จาก

dv dt

=

5−

จะได

v

=

∫ (5 − 4 )dt

v

=

5t −

ขณะ t = 0, v = 0 ดังนั้น

v

=

5−

t 4

t

t2 + c1 8

จะได c1 = 0 t2 8

=

5t −

=

(20) 2 5(20) − 8

ถา t = 20 จะได

v

v = 50 นั่นคือ วินาทีที่ 20 รถไฟกําลังแลนดวยความเร็ว 50 เมตร / วินาที จาก จะได

ds dt ds dt

=

v

=

5t −

s

=

∫ (5t −

s

=

= t2 8

t2 )dt 8 5t 2 t 3 − + c2 2 24

t2 5t − 8


171 ขณะ

t =0,

ดังนั้น

s

ถา

t = 20

จะได

จะได c2 = 0

s=0 =

5t 2 t 3 − 2 24

s

=

s

=

5 (20)3 (20) 2 − 2 24 2000 3

นั่นคือ เวลา 20 วินาที รถไฟแลนไดระยะทาง

2000 3

เมตร

ตอจากนั้นรถไฟแลนตอไปดวยความเร็วคงที่ 50 เมตรตอวินาที หลังจากออกจากสถานี 30 วินาที ก็คือ แลนดวยความเร็วคงที่ตอไปอีก 10 วินาที มีความเรง

ความเร็วคงที่ V = 50 10 วินาที

20 วินาที จาก

s = vt s = 50 × 10 s = 500 รถไฟแลนดวยความเร็วคงทีต่ อไปอีก 10 วินาที เปนระยะทาง 500 เมตร ดังนั้น หลังจากรถไฟออกจากสถานี 30 วินาที จะอยูห างจากสถานีเปน ระยะทาง เทากับ

2000 + 500 3

=

1166

2 3

เมตร

เฉลยแบบฝกหัด 2.11 4

1. ∫3 (x 3 + 3)dx

= = = =

4 x4 + 3x) 3 4 256 81 ( + 12) − ( + 9) 4 4 304 117 − 4 4 187 4 (


172 3

2. ∫1 (x 2 − 2x + 3)dx = = = = 1

3. ∫ −1 (4x 3 + 2x)dx = = = 4. ∫ −3 12 dx x −1

= = =

5. ∫ 2 (x 2 + 33 )dx x 4

= = = =

1

6. ∫ −1 (− x 4 + x 2 − 1)dx = = 1

7. ∫ 0 x(x 2 + 1)dx

3 x3 − x 2 + 3x) 1 3 1 (9 − 9 + 9) − ( − 1 + 3) 3 7 9− 3 20 3 (

(x 4 + x 2 )

1 −1

(1 + 1) – (1 + 1) 0 1 −1 (− ) x −3 1 1− 3 2 3 x3 3 4 − 2) 3 2x 2 64 3 8 3 ( − )−( − ) 3 32 3 8 2039 55 − 96 24 1819 96 (

1 x5 x3 + − x) −1 5 3 1 1 1 1 (− + − 1) − ( − + 1) 5 3 5 3 26 − 15

=

(−

1

=

=

x4 x2 1 ( + ) 4 2 0 1 1 ( + )−0 4 2 3 4

= =

0

(x 3 + x)dx


173 1

8. ∫ 0 x 2 (x 2 + 1)2 dx =

= 3

+ 2x)dx

2 x4 + x2 ) 0 12 16 ( + 4) − 0 12 16 3

=

(

= = 2

10. ∫ 0 x(x 2 + 1)2 dx

(x 6 + 2x 4 + x 2 )dx

(

=

2

0

x 7 2x 5 x 3 1 + + ) 7 5 3 0 1 2 1 ( + + )−0 7 5 3 92 105

=

9. ∫ 0 ( x 3

1

=

=

(

2 0

(x 5 + 2x 3 + x)dx

x6 x4 x2 2 + + ) 6 2 2 0 32 ( + 8 + 2) − 0 3 62 3

= =

เฉลยแบบฝกหัด 2.12 1. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ 12

Y y = x2

8 4 -4

-2

0

2

4

X


174 ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2 จาก x = –3 ถึง x = 0 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูใ นชวง [–3, 0] 0 2 จะได A = ∫−3 x dx =

x3 0 3 −3

= =

0 – (–9) 9 ตารางหนวย

2. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ Y 4 y=x+1 2 -4

0

-2

2

4

X

ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x + 1 จาก x = –1 ถึง x = 1 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1] 1 จะได A = ∫ −1 (x + 1)dx = = =

1 x2 + x) −1 2 1 1 ( + 1) − ( − 1) 2 2

(

2

ตารางหนวย


175 3. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้

Y 8 y = 6 + x – x2 4

-4

0

-2

X

4

2

ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 6 + x – x2 จาก x = –1 ถึง x = 1 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1] 1 2 จะได A = ∫ −1 (6 + x − x )dx = = =

x2 x 3 1 (6x + − ) 2 3 −1 1 1 1 1 (6 + − ) − (−6 + + ) 2 3 2 3 34 ตารางหนวย 3

4. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ Y y = 9 – x2

8 4 -4

-2

0

2

4

X


176 ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 9 – x2 จาก x = –3 ถึง x = 3 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–3, 3] 3 2 จะได A = ∫ −3 (9 − x )dx =

x3 3 (9x − ) 3 −3

= =

(27 – 9) – (–27 + 9) 36 ตารางหนวย

5. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ Y 10 0

-5

5

X

-10 y = x 2 − 25

-20 -30 ให A แทนพืน้ ที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2 – 25 จาก x = –1 ถึง x = 3 เนื่องจาก f(x) ≤ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 3] 3 − ∫ (x 2 − 25)dx จะได A = −1 = = =

3 x3 − 25x) −1 3 1 −[(9 − 75) − (− + 25)] 3 272 ตารางหนวย 3

−(


177 Y

6.

2 -1 0

4

2

-2

X

6

y = f(x)

พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 0 ถึง x = 1 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 2 2

= 1 ตารางหนวย

จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา 1 F(1) – F(0) = ∫ 0 f (x)dx

=

–1

ดังนั้น F(1) = –1 + 0 = –1 พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 1 ถึง x = 2 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× (2 + 1) 2

=

3 2

ตารางหนวย

จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา ดังนั้น

2

F(2) – F(1)

=

F(2)

=

3 − −1 2

1

f (x)dx

= =

3 2 5 − 2 −

พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) จาก x = 2 ถึง x = 3 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 1 2

=

1 2

ตารางหนวย

จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา ดังนั้น

3

F(3) – F(2)

=

F(3)

=

1 5 − − 2 2

2

f (x)dx

=

=

–3

1 2

พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 3 ถึง x = 4 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 1 2

=

1 2

ตารางหนวย

จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา ดังนั้น

4

F(4) – F(3)

=

F(4)

=

1 −3 2

3

f (x)dx

=

1 2

=

5 2


178 พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 4 ถึง x = 5 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 × 1× 1 2

=

1 2

ตารางหนวย

จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา 5

F(5) – F(4)

=

∴ F(5)

=

1 5 − 2 2

4

f (x)dx

=

1 2

=

–2

ดังนั้น F(b) มีคา –1, − 5 , –3, − 5 , –2 เมื่อ b = 1, 2, 3, 4, 5 ตามลําดับ 2

2

7. เนื่องจากพื้นทีป่ ดลอม F′(x) กับแกน X บน [0, 2] เทากับ 5 2 จะได 5 ∫ 0 F′(x)dx = จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(2) – F(0) =

2 0

F′(x)dx

F(2)

= 5+3 = 8 เนื่องจากพื้นทีป่ ดลอม F′(x) กับแกน X บน [2, 5] เทากับ 16 5 –16 จะได ∫ 2 F′(x)dx = จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(5) – F(2) =

5 2

F′(x)dx

F(5)

= –16 + 8 = –8 เนื่องจากพื้นทีป่ ดลอม F′(x) กับแกน X บน [5, 6] เทากับ 10 6 10 จะได ∫5 F′(x)dx = จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(6) – F(5) = F(6)

= =

6 5

F′(x)dx

10 – 8 2


187

เฉลยแบบฝกหัด 3.1 1. (1, 1)

อยูในกราฟของอสมการ 2x + y > 2

(–1, 3), ( 1 ,

1 ) 4 2

อยูในกราฟของอสมการ 2x + y < 2

(2, –2)

อยูบนเสนตรงซึ่งเปนกราฟของ 2x + y = 2

2. (1) x < 2

(2) Y

x=2

X

O (3) y

y>3 Y

3

y=3 X

O (4)

Y

x

–1

x = –1 Y y=3 X

O (5) 2x + 2y < 4 Y

O

(7) 3y – x

(6)

(0, 2) (2, 0)

y + 2x > 2 Y (0, 2)

X

6

O

(8)

x

Y (–6, 0)

X

(1, 0) 2y – 2 Y

(0, 2) O

X

O

X

(–2, 0)

O

(0, 1)

X


188

เฉลยแบบฝกหัด 3.2 1. (1)

Y

x = –1

(2)

x=1

Y y=2

X

O Y y – 2x = 2

(3)

X

O (4)

x+y=1

Y

(0, 2) (–1, 0)

Y

(5)

x + 3y = 3 2. (1) 2x + y x y (3) 2x + y 4x – y x (5)

X

O

3x + 2y x + 3y x y

≤ ≥ ≥ ≤ ≤ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥

(3, 0)

4 0 0 10 8 0 12 11 0 0

(6)

x=y 3 3 ( , ) 4 4

(0, 1) O

O

ไมมีบริเวณทีซ่ อนทับกันของ อสมการ 0 ≤ x ≤ 2 และ y ≥ 0 และ 2x – 3y ≥ 12

X (2) (4)

(6)

x–y x + 2y y 4x + y x + 3y x y 3x + y x+y 2x + 5y x y

(0, 1) (1, 0)

≥ ≤ ≥ ≤ ≤ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥ ≥

1 6 0 16 15 0 0 180 100 260 0 0

X y = –2


189

เฉลยแบบฝกหัด 3.3 1. (1)

P = 5x + 3y ≤ 80 2x + 4y 5x + 2y ≤ 80 ≥ 0 x y ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0, 40) 5x + 2y = 80 (0, 20)

O

(10, 15)

(16, 0)

2x + 4y = 80 (40, 0)

X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 0), (0, 20), (10, 15) และ (16, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 20) (10, 15) (16, 0)

5x 0 0 50 80

3y 0 60 45 0

ดังนั้น จุดมุม (10, 15) ใหคา P มากที่สุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 95 เมื่อ x = 10 และ y = 15

P = 5x + 3y 0 60 95 80


190 (2)

P = 15x + 10y 3x + 2y ≤ 80 2x + 3y ≤ 70 ≥ 0 x y ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0, 40) 3x + 2y = 80 หรือ 15x + 10y = 400 (0, 23 13 ) (20, 10) O

2 (26 , 0) 3

2x + 3y = 70 (35, 0) X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 0), (0, 23 1 ), (20, 10) และ ( 26 2 , 0) 3

3

เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 23 1 ) 3

(20, 10) ( 26 2 , 0) 3

15x 0 0

10y 0 233.33

P = 15x +10y 0 233.33

300 400

100 0

400 400

ดังนั้น จุดมุม (20, 10) หรือ ( 26 2 , 0) จะใหคา P เทากันคือ 400 3

นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 400 เมื่อ x = 20 และ y = 10 หรือ x = 26 2 3

และ y = 0 แตสังเกตวา เสนตรงที่ผานจุด (20, 10)

และจุด ( 26 2 , 0) 3

คือ

สมการ 3x + 2y = 80 หรือ 15x + 10y = 400 แสดงวายังมีอีกหลายจุดที่เปนคําตอบ


191 (3)

P = 35x1 – 25x2 2x1 + 3x2 ≤ 15 3x1 + x2 ≤ 12 ≥ 0 x1 x2 ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ X2 (0, 12) 3x1 + x2 = 12 (0, 5)

O

(3, 3) (4, 0)

2x1 + 3x2 = 15 ( 152 , 0) X1

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 0), (0, 5), (3, 3) และ (4, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x1, x2) (0, 0) (0, 5) (3, 3) (4, 0)

35x1 0 0 105 140

25x2 0 125 75 0

ดังนั้น จุดมุม (4, 0) ใหคา P มากที่สุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 140 เมื่อ x1 = 4 และ x2 = 0

P = 35x1 – 25x2 0 –125 30 140


192 (4)

P x+y 5x + 2y x y x y

=

2x + 3y 4 25 4 5 0 0

≥ ≤ ≤ ≤ ≥ ≥

กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0,

25 ) 2

5x + 2y = 25 x=4

(0, 5)

y=5

(3, 5)

(0, 4)

(4, 5 ) 2

x+y=4 O

(4, 0)

(5, 0)

X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 4), (0, 5), (3, 5), (4, 5 ) และ (4, 0) 2

เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 4) (0, 5) (3, 5) (4, 5 )

2x 0 0 6 8

3y 12 15 15 7.5

P = 2x + 3y 12 15 21 15.5

(4, 0)

8

0

8

2

ดังนั้น จุดมุม (3, 5) ใหคา P มากที่สุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 21 เมื่อ x = 3 และ y = 5


193 (5)

P x + 2y 3x + 2y x y

= ≤ ≤ ≥ ≥

100x + 80y 800 1200 0 0

กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y (0, 600) (0, 400)

O

3x + 2y = 1200 (200, 300)

(400, 0)

x + 2y = 800 (800, 0)

X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 400), (200, 300), (400, 0), และ (0, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 400) (200, 300) (400, 0)

100x 0 0 20000 40000

80y 0 32000 24000 0

P = 100x + 80y 0 32000 44000 40000

ดังนั้น จุดมุม (200, 300) ใหคา P สูงสุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 44000 เมื่อ x = 200 และ y = 300


194 (6)

P = 300x + 200y 6x + 6y ≤ 420 3x + 6y ≤ 300 ≤ 240 4x + 2y x ≥ 0 y ≥ 0 กราฟของอสมการขอจํากัด คือ 4x + 2y = 240

Y (0, 120)

6x + 6y = 420 (0, 70) 3x+ 6y = 300 (0, 50) (40, 30) (50, 20) O

(60, 0)

(70, 0)

(100, 0)

X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 50), (40, 30), (50, 20), (60, 0) และ (0, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 50) (40, 30) (50, 20) (60, 0)

300x 0 0 12000 15000 18000

200y 0 10000 6000 4000 0

P = 300x + 200y 0 10000 18000 19000 18000

ดังนั้น จุดมุม (50, 20) ใหคา P สูงสุด นั่นคือ คาสูงสุดของ P คือ 19000 เมื่อ x = 50 และ y = 20


195 2. (1)

C 3x + 4y x + 3y x y

= ≥ ≥ ≥ ≥

9x + 15y 25 15 0 0

กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y

(0,

25 ) 4

3x + 4y = 25 x + 3y = 15

(3, 4)

(0, 5)

(15, 0)

O

25 ( , 0) 3

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0,

25 ), (3, 4) 4

X

และ (15, 0)

เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (x, y) (0,

25 ) 4

(3, 4) (15, 0)

9x 0

15y 93.75

C = 9x + 15y 93.75

27 135

60 0

87 135

ดังนั้น จุดมุม (3, 4) ใหคา C ต่ําสุด นั่นคือ คาต่ําสุดของ C คือ 87 เมื่อ x = 3 และ y = 4


196 (2)

C 2x1 + x2 2x1 + 3x2 x1 x2

=

28x1 + 35x2 110 170 0 0

≥ ≥ ≥ ≥

กราฟของอสมการขอจํากัด คือ X2

(0, 110)

(0,

2x1 + x2 = 110

170 ) 3

2x1 + 3x2 = 170 (40, 30)

O

(55, 0)

(85, 0)

X1

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 110), (40, 30) และ (85, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (x1, x2) (0, 110) (40, 30) (85, 0)

28x1 0 1120 2380

35x2 3850 1050 0

ดังนั้น จุดมุม (40, 30) ใหคา C ต่ําสุด นั่นคือ คาต่ําสุดของ C คือ 2170 เมื่อ x1 = 40 และ x2 = 30

C = 28x1 + 35x2 3850 2170 2380


197 (3)

C 6y1 + 2y2 2y1 + 2y2 4y1 + 12y2 y1 y2

= ≥ ≥ ≥ ≥ ≥

40000y1 + 32000y2 12 8 24 0 0

กราฟของอสมการขอจํากัด คือ Y2

(0, 6) (0, 4)

6y1 + 2y2 = 12

(1, 3)

(0, 2) O

2y1 + 2y2 = 8 (3, 1)

(2, 0)

(4, 0)

4y1 + 12y2 = 24 (6, 0)

Y1

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ (0, 6), (1, 3), (3, 1) และ (6, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (y1, y2) (0, 6) (1, 3) (3, 1) (6, 0)

40000y1 0 40000 120000 240000

32000y2 192000 96000 32000 0

C = 40000y1 + 32000y2 192000 136000 152000 240000

ดังนั้น จุดมุม (1, 3) ใหคา C ต่ําสุด นั่นคือ คาต่ําสุดของ C คือ 136000 เมื่อ y1 = 1 และ y2 = 3


198 3. (1) 160000x + 80000y 90x + 54y หรือ 2x + y 5x + 3y

≤ ≤ ≤ ≤

2720000 1620

(เงินลงทุนซื้อเครื่องจักร) (พื้นที่สําหรับวางเครื่องจักร)

34 90

Y (0, 34) (0, 30)

2x + y = 34

(12, 10) O

(17, 0)

(18, 0)

5x + 3y = 90 X

(2) รายไดตอวัน P = 7500x + 4200y (x, y) (0, 0) (0, 30) (12, 10) (17, 0)

7500x 0 0 90000 127500

4200x 0 126000 42000 0

P = 7500x + 4200y 0 126000 132000 127500

โรงงานนี้ควรซื้อเครื่องจักรชนิด A และเครื่องจักรชนิด B อยางละ 12 เครื่อง และ 10 เครื่อง ตามลําดับ รายไดตอวันสูงสุดคือ 132000 บาท


199 4. (1)

x+y 10x + 30y

x+y x + 3y

10 180

(จํานวนพนักงาน) (เวลาที่ใชในการจัดกลองขึ้นรถ)

หรือ ≤

10 18

Y (0, 10) (0, 6)

x + y = 10 x + 3y = 18

(6, 4)

O

(18, 0)

(10, 0)

X

(2) จํานวนกลองที่ขนสงไดตอวัน P = 30x + 70y (x, y) (0, 0) (0, 6) (6, 4) (10, 0)

30x 0 0 180 300

70y 0 420 280 0

P = 30x + 70y 0 420 460 300

บริษัทควรใชรถบรรทุกขนาดเล็กและขนาดใหญอยางละ 6 คัน และ 4 คัน ตามลําดับ จึงจะขนสงผลิตภัณฑใหไดจาํ นวนกลองมากที่สุด


200 5. (1)

1 1 x+ y 5 10

800000x + 500000y หรือ 2x + y 8x + 5y

9

(เนื้อที่โครงการ)

40000000 90 400

(เงินทุนสรางบานทั้งสองแบบ)

≤ ≤

Y (0, 90) (0, 80)

2x + y = 90

(25, 40) 8x + 5y = 400 O

(45, 0)

(50, 0)

X

(2) กําไร P = 100000x + 70000y (x, y) (0, 0) (0, 80) (25, 40) (45, 0)

100000x 0 0 2500000 4500000

70000y 0 5600000 2800000 0

P = 100000x + 70000y 0 5600000 5300000 4500000

เจาของโครงการหมูบานจัดสรรควรตัดสินใจสรางทาวนเฮาสอยางเดียว จํานวน 80 หลัง จึงจะไดผลกําไรสูงสุด ผลกําไรสูงสุดคือ 5,600,000 บาท


201 6. ให P เปนกําไร x เปนจํานวนเกาอี้ขาสั้นที่ผลิตในแตละวัน และ y เปนจํานวนเกาอี้ขายาวที่ผลิตในแตละวัน จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ P = 30x + 50y และ x + 2y ≤ 8 (เวลาที่ตองใชในการผลิตขั้นตน) 2x + 2y ≤ 10 (เวลาที่ตองใชในการผลิตขั้นที่สอง) ≥ 0 x y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y (0, 5) (0, 4)

2x + 2y = 10 (2, 3) x + 2y = 8

O

(5, 0)

(8, 0)

X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 0), (0, 4), (2, 3) และ (5, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 4) (2, 3) (5, 0)

30x 0 0 60 150

50y 0 200 150 0

P = 30x + 50y 0 200 210 150

จุดมุม (2, 3) ใหคา P มากทีส่ ุด ดังนั้น ในแตละวันถาใหไดกําไรมากที่สุดควรจะผลิตเกาอี้ขาสั้น จํานวน 2 ตัว และเกาอี้ ขายาว จํานวน 3 ตัว และจะไดกําไร 210 บาท


202 7. ให P เปนกําไร x เปนจํานวนจอภาพธรรมดาทีค่ วรผลิตตอสัปดาห และ y เปนจํานวนจอภาพแบนที่ควรผลิตตอสัปดาห จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ P = 1800x + 2200y และ x+y ≤ 300 (จํานวนจอภาพทั้งสองชนิดที่ผลิต) 3600x + 5400y ≤ 1,296,000 (ตนทุนการผลิต) ≥ 0 x y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y (0, 300)

x + y = 300

(0, 240) (180, 120) 3600x + 5400y = 1296000 O

(300, 0)

(360, 0) X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 0), (0, 240), (180, 120) และ (300, 0) และเมื่อแทนคาพิกัดของจุดมุมขางตนในฟงกชันจุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) (0, 0) (0, 240) (180, 120) (300, 0)

1800x 0 0 324,000 540,000

2200y 0 528,000 264,000 0

P = 1800x + 2200y 0 528,000 588,000 540,000

จุดมุม (180, 120) ใหคา P มากที่สุด ดังนั้น ในแตละสัปดาหควรจะผลิตจอภาพธรรมดา จํานวน 180 ชิน้ และจอภาพแบนจํานวน 120 ชิ้น จึงไดกําไรมากที่สุดคือไดกําไร 588,000 บาท


203 8. ให P เปนกําไร x เปนจํานวนชุดกลางวันที่ควรจะตัด y เปนจํานวนชุดราตรีที่ควรจะตัด จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ P = 300x + 500y และ 2x + y ≤ 16 (ผาสีพื้นที่ตองใช) x + 3y ≤ 15 (ผาลายดอกทีต่ องใช) ≤ 11 (ผาลูกไมที่ตองใช) x + 2y x ≥ 0 y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y (0, 16) 2x + y = 16 (0,

11 ) 2

(7, 2)

(0, 5)

x + 2y = 11

(3, 4) O

(8, 0)

x + 3y = 15 X (11, 0) (15, 0)

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 0), (0, 5), (3, 4), (7, 2) และ (8, 0) และเมื่อแทนคาพิกัดของจุดมุมขางตนในฟงกชันจุดประสงค จะไดคา P ดังนี้ (x, y) 300x 500y P = 300x + 500y (0, 0) 0 0 0 (0, 5) 0 2500 2500 (3, 4) 900 2000 2900 (7, 2) 2100 1000 3100 (8, 0) 2400 0 2400 จุดมุม (7, 2) ใหคา P มากทีส่ ุด ดังนั้น ชางตัดเสื้อควรจะตัดชุดกลางวัน 7 ชุด และชุดราตรี 2 ชุด จึงจะไดกําไรมากที่สุด คือมีกําไร 3,100 บาท


204 9. ให C แทนคาแรงทีต่ องจายใหคนงาน 2 คน x แทนจํานวนชัว่ โมงในการทํางานของคนงานคนแรก และ y แทนจํานวนชัว่ โมงในการทํางานของคนงานคนที่สอง จะเขียนฟงกชนั จุดประสงคและอสมการขอจํากัดไดดังนี้ C = 25x + 22y และ x+y ≥ 5 (จํานวนตู) 3x + 2y ≥ 12 (จํานวนโตะ) ≥ 18 (จํานวนชั้นวางหนังสือ) 3x + 6y x ≥ 0 y ≥ 0 โดยที่ x และ y เปนจํานวนเต็ม เขียนกราฟของอสมการขอจํากัดโดยใช x และ y เปนจํานวนจริงไดดงั รูป Y 3x + 2y = 12

(0, 6)

x+y=5

(0, 5) (0, 3)

O

(2, 3)

(4, 1)

(4, 0) (5, 0)

3x + 6y = 18 (6, 0) X

จุดมุมที่ไดจากอสมการขอจํากัดคือ จุด (0, 6), (2, 3), (4, 1) และ (6, 0) เมื่อแทนคาพิกดั ของจุดมุมขางตนในฟงกชนั จุดประสงค จะไดคา C ดังนี้ (x, y) 25x 22y C = 25x + 22y (0, 6) 0 132 132 (2, 3) 50 66 116 (4, 1) 100 22 122 (6, 0) 150 0 150 จุดมุม (2, 3) ใหคา C ต่ําที่สุด ดังนั้น ถาตองการใหเสียคาแรงนอยที่สุดเขาควรจะจางคนงานคนที่หนึง่ ทํางาน 2 ชั่วโมง และจางคนงานคนที่สองทํางาน 3 ชั่วโมง


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.