" All journeys have secret destinatio-ns of which the traveler is unaware. " – Martin Buber -
ทุกการเดินทางมีจุดหมายปลายทางซ่อนอยู่ จุดหมายที่นักเดินทางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย
มาร์ติน บูเบอร์
( ค.ศ.1878-1965 ) ชาวยิว บรรณาธิการ
พิชญา เพ็งจันทร์ กองบรรณาธิการ
ปาริฉัตร แทนบุญ แก้วเกล้า แก้วบรรจง ธนวรรณ แสงวิสุทธิ์ ชยุตม์ พระสงฆ์
ออกแบบปกหน้า / หลัง
กมนนัทธ์ คำ�ดา
ภาพปก
The Walking Backpack
นักเขียน / นักวาด
กิตติพงษ์ หาญเจริญ ภัทรานิษฐ์ พัฒน์ธนพร ภัณฑิรา ทรงกิจทรัพย์ สุธรรม จีระศิลป์ นภรณ์ ดีนอก ศานนท์ หวังสร้างบุญ ณัชฎา คงศรี ปาลีพัชร โสภณ นิรัติศัย บุญจันทร์ กมนนัทธ์ คำ�ดา ปาริฉัตร แทนบุญ แก้วเกล้า แก้วบรรจง
พิสูจน์อักษร
สินิทธ์ ปนุตติกร สหธร เพชรวิโรจน์ชัย ธีรภัทร์ เจนใจ สุพิชญ์ รักสกุล พิชญา เพ็งจันทร์ ชนิกา สุธัมมสภา เจนวริน นฤขัตพิชัย นภกาญจน์ เชาวลิต กษมา ยาโกะ นิภาพร กอบกุลกังสดาล ธนวรรณ แสงวิสุทธิ์ ณัฐกาญจน์ สัตยากวี
ภูษิต ชนพิมาย
FONTs : supermarket / Quark / TH Baijam EDPenSook / Arabica / WDB Bangna Little Lord Fontleroy NF / Junegull
contact us
facebook.com/ownerationmag ownerationmag@gmail.com
READ O-N
www.ebooks.in.th/ownerationmag issuu.com/ownerationmag
ออกเดินทาง หากการออกเดินทางเพียงล�ำพัง ท�ำให้ เรามีเวลาทบทวนชีวิตตัวเอง เราก็ควรออกเดิน ทางคนเดียวดูสักครั้ง. . . ยังจ�ำได้ ตอนสมัยเป็นเด็ก ฉันมีความ สุขทุกครั้งที่ ได้ออกเดินทาง โดยเฉพาะเวลา ไปถึงจุดหมายปลายทาง ฉันยิ่งมีความสุขกับ สถานที่เหล่านั้น แต่เวลาผ่านไป เมื่อฉันโตขึ้น ฉับกลับ พบว่าฉันมีความสุขได้ตั้งแต่ระหว่างการเดิน ทางแล้วล่ะ และความสุขระหว่างทางนั้น ดู เหมือนว่ามันจะมีปริมาณมากกว่าความสุขที่ ปลายทางเสียอีก จึงไม่แปลกที่ฉันจะประทับใจ เรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ ฉันได้อ่านบันทึกการเดินทางอันน่าชวนหลงใหล พร้อมรูปถ่ายสวยๆ ที่เขาตั้งกล้องถ่ายเองกับ มือ ด้วยสไตล์การถ่ายรูปที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร ท�ำให้ ‘ปั้น’ และเพจ The Walking Backpack เป็นที่รู้จักในสังคม ออนไลน์อย่างรวดเร็ว และในที่สุดเรื่องราว ของเขาก็ถูกถ่ายทอดออกไปสู่สังคมจริงๆ ใน รูปแบบหนังสือ ที่ชื่อว่า ‘ The Walking Backpack ออกเดินแล้ว อย่าหันหลังกลับ ’
คุณอาจจะรู้จักหนุ่มอารมณ์ดียิ้มเก่ง คนนี้มาบ้างแล้ว แต่ O-N Magazine ฉบับนี้ จะพาคุณไปรับรู้เรื่องราวจากปากของเขาในอีก หลายประเด็นที่ต่างออกไป ซึ่งบางค�ำถาม ปั้น ได้บอกกับเราว่า “ไม่เคยมี ใครถามผมแบบนี้มา ก่อนเลยครับ” แต่นั่นไม่ ได้ท�ำให้เขาปฏิเสธที่จะ ไม่ตอบค�ำถามเรา กลับท�ำให้เขารู้สึกสนุกที่จะ ตอบด้วยซ�้ำ และนี่แหละ! เป็นสัญญาณบอกกับเรา ว่า เขาคือนักเดินทาง นักผจญภัยโลก ตัวจริง ไม่ผิดแน่! ก่อนตัดสินใจออกเดินทางคนเดียว ลองเปิดใจให้เรื่องราวของชายหนุ่มคนนี้ เป็น เพื่อนร่วมทางของคุณ จะดี ไหม? “แท้ที่จริงชีวิตไม่ ได้แคบ เราเองต่างหากที่มองมันแคบ ลองออกเดินทาง...เพื่อเปิดใจมองโลก ของเราให้กว้างขึ้นกันนะ!” พิชญา เพ็งจันทร์ บรรณาธิการ waylaway1990@gmail.com
A Plant I Love
พืชพรรณที่ฉันชื่นชม
เรื่องและภาพ : กิตติพงษ์ หาญเจริญ
TOMATO มะเขือเทศ
เธอจะเชื่อมั้ย ? ถ้าฉันบอกเธอว่า…ที่ผ่านมา พวกเรา เคยกินแต่มะเขือเทศที่ ไม่อร่อย ตะ ดุก ตุ่ก ตุ๊ก ตุก ดู๊...... เปิด ม่าน นางเอกของเราในตอนนี้ คือ ‘ มะเขือเทศ ‘ แม่สาวคนนี้ โดดเด่นที่ความเปรี้ยว~ความชุ่ม~ความฉ�่ำ พร้อมด้วยรูปทรงสีสันที่หลากหลาย แต่กลับเติบโตด้วยลีลาของ สาวน้อยขี้อ้อน ผู้หาที่พักพิงอิงแอบแนบชิด แม้เดือนแรก เด็กหญิงมะเขือเทศ จะดูเป็นหนูน้อย ยืนตัวตรง เหมือนพืชทั่วๆ ไปแต่พอเข้าเดือน 2 เท่านั้นแหละ ความง้องแง้งก็เริ่มปรากฎ นางเริ่มเอนตัว ไปเกาะคนนั้น พันคนนี้ ยิ่งนางไหน เกิดเองตามธรรมชาตินะ นางยิ่งเกาะ แกะตามรกตามพง ชนิดที่ตาไม่ดี แทบไม่รู้เลยล่ะ ซึ่งถ้าเรา ปลูกเองเป็นต้นๆ นางก็จะไม่มีอะไรให้เกาะให้แกะ จะปล่อยนางเลื้อยลากดิน ก็จะเก็บลูกยาก เค้าเลยชอบเอา เสามาพยุง แล้วหาเชือกมาผูกมัดนางกับเสาไว้ด้วยกัน แต่เราพบว่า ถ้าเอาเชือกห้อยจากด้านบน แล้วค่อยๆพันนาง ม้วนขึ้นเชือกไปทีละนิด ดูจะสวยงามและสอดคล้องกับธรรมชาติ ของนางมากกว่า บางคนบอกว่า ถ้าปลูกในกระถาง จนโตใน ระดับที่เริ่มง้องแง้งแล้ว ก็จับกระถางคว�่ำแล้วแขวนห้อยจาก ข้างบนเอาก็ ได้ ...ฟังแล้วน่าลองจัง จุดอ่อนไหวจะอยู่ที่เดือน 3 ยามนางเริ่มออกดอก เหลืองพอมาถึงตอนนี้ พยายามอย่าให้น�้ำโดนใบ ไม่งั้นนาง อาจป่วยออดๆแอดๆได้ เพราะ สาวน้อยก�ำลังจะเป็นคุณแม่ นางจะใช้พลังงานทั้งหมดในการสรรสร้างลูกๆของเธอ เราจึง ต้องเอาใจใส่นางมากขึ้นอีกหน่อย ถ้าให้ดี จะเอาดินถมรอบ
4
โคนต้นที่มีรากโผล่เพิ่มมาก็ยังได้ อ้อ ลืมบอกไป ..แฟนของนาง คือ แครอท นะจ๊ะ ถึง กิ่งแครอทจะไม่แข็งแรงพอจะให้สาวน้อยมะเขือเทศเกาะแกะ แต่คู่นี้เกื้อหนุนกันได้ดี ปลูกใกล้ชิดกันได้เลย ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เราเคยกินกันแค่ มะเขือเทศท้อ ราชินี สีดา แล้วเราก็เข้าใจว่า นั่นคือทั้งหมดที่มะเขือเทศมีบน โลกนี้ แต่เธอรู้มั้ย มันน่ามหัศจรรย์แค่ ไหน ตอนที่ฉันมาพัน พรรณแล้วพบว่าเรามีเมล็ดมะเขือเทศมากกว่า 100 พันธุ์เก็บไว้ ในตู้เย็น มีหลายทรง หลายไซส์ ทั้งลูกเล็ก ลูกกลาง ลูก ใหญ่ ทั้งทรงกลม ทรงรี ทรงอ้วนแป้น ทรงแบนแฉก ทรง ยาว บางอันมีแหลมตรงก้นด้วยนะ สีก็ ไม่ ได้มีแค่แดง ยังมี แสด ส้ม เหลือง ชมพู ม่วง แม้กระทั่งด�ำก็มี สี ไล่เฉดก็มี สี ลายสลับก็มี แต่ที่เด็ดกว่านั้น คือ ‘รสชาด’ ฉันเองก็ ไม่รู้ว่าเพราะ อะไรนะ แต่ฉันพบว่า แม้พันธุ์ที่รสชาดอยู่ ในเกณฑ์ ”ไม่อร่อย” ก็ยังเข้มข้นเต็มลิ้นกว่าที่เคยกินมา นั่นท�ำให้ฉันรู้ทันทีว่า อ๋อ... ที่ผ่านมา เราเคยกินแต่มะเขือเทศไม่อร่อย กินแต่จืดๆเปรี้ยวๆ นี่เอง ดังนั้น ใครที่บอกว่าไม่ชอบกินมะเขือเทศ ฉันอยากให้ เธอลองเอาพันธุ์ของพันพรรณไปปลูกดูก่อน แล้วเธอจะรู้ ...ว่า มะเขือเทศ …พิเศษแค่ ไหน ถ้าความหลากหลาย คือ ความงดงาม อย่างที่หลายคนว่า มะเขือเทศ คงเป็นสาวน้อยที่งดงามที่สุดคนนึง บนดาวเคราะห์ดวงนี้
A Life I See
แหวกม่านความเชื่อ
เรื่อง : ภัทรานิษฐ์ พัฒน์ธนพร
5
A Thing I Dream
คอนแทคเลนส์ชั่วพริบตา เรื่อง : วานิลลา ภาพ : รอหัน
“โอย! พรุงนี้มีสอบตั้งหลายวิชา แตยังไม ไดอานหนังสือเลยสักหนา ตายแนๆ ทำไงดี?” ก็ ไมตองทำยังไงหรอกคะ แค ใสคอนแทคเลนสชั่วพริบตาระหวางอานหนังสือ เพียง เทานี้ขอมูลทุกอยางก็จะถูกบันทึกเขาสูคลังสมอง เปนอยางดี แมจะดูผานๆ เพียงหนึ่งครั้งก็ตาม ที่บอกวาทุกอยาง นี่คือทุกอยางจริงๆ นะ ไม ใชแคเฉพาะในตำราอยางเดียว เพราะเมื่อไหร ที่คุณใสคอนแทคเลนสชนิดนี้แลว ตาของคุณจะมี คุณสมบัติเหมือนกลองถายรูปคมชัด เก็บและจำ ทุกรายละเอียด ไมวาจะเปนภาพวิวทิวทัศนธรรมชาติ หรือสินคามากมายหลายชนิดที่วางเรียง รายอยู ในซูเปอรมารเก็ต คุณจำไดหมดแหละวา ชิ้นไหนวางอยูมุมไหน และวางอยู ในทาไหนดวย
6
แตหากคุณพาตัวเองไปอยู ในสถานการณที่ ไมนาจดจำ เชน เจอแฟนเกาที่คุณยังรักเขาอยูสุดหัวใจ (แหวะ น้ำเนา- -*) เดินอยูกับแฟนคนปจจุบันของเขา ภาพบาดตาบาดใจนั้นก็ จะตราตรึงอยูกับคุณไปตลอด แมจะพยายามลืมมันมาก แค ไหนแลวก็ตาม ยังไงก็ขอให โชคดีกับการใชนะคะ ประโยชนของมัน มีมากกวาขอเสียนะเออ :D
ขอควรรู: ถึงแมจะถอดคอนแทคเลนสชั่วพริบตาออกแลว ขอมูลที่ถูกบันทึกไว ในคลังสมอง ก็จะไม ไดรับการกระทบกระเทือนใดๆ ทั้งสิ้นนะจะ มันถูกเซฟเอาไวแบบถาวรไวเลยแหละ!
My Idol
ธรรมศาสตร์ รังสิต มาดูซิว่าเพื่อนๆ ชาวธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เขามี Idol ในดวงใจเป็นใครกันบ้างนะ? " ไอดอลของไกด์ คือ Jina ครับ เป็นผู้หญิงคนนึง ที่ ไกด์ตกหลุมรัก เขาอย่างสนิทใจตั้งแต่แรกเจอ (หัวเราะ) Jina เป็นแรงบันดาลใจใน การปั่นจักรยานเดินทางในลาว จนกลับมาไทย กว่า 1700 กิโลเมตร การปั่นจักรยานก็เหมือนการฝึกความอดทน ที่จะหาค�ำตอบที่ ใจเรา ต้องการน่ะครับ " ไกด์ ศรีนคร ละครศรี (Guide Voyage) คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ชั้นปีที่ 3
" ไอดอลที่ชื่นชอบ คือ พี่ โดม จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม (พี่ โดม The star) ครับ เพราะพี่เขาเป็นบุคคลที่ท�ำหน้าที่ ได้ดีทั้งหน้าฉากและหลังฉาก หน้า ฉากพี่ โดมเป็นคนที่มีทักษะในการแสดงและการร้องเพลงที่เป็นมืออาชีพ มากๆ ร้องเพลง ร้องเพลงเพราะม๊ากกก การแสดงก็เก่ง และจากการได้ รู้จักพี่ โดมเป็นการส่วนตัว พี่ โดมเป็นพี่ที่น่ารัก คุยง่าย ตลกเฮฮา เป็นกัน เองมากๆ และที่ส�ำคัญพี่ โดมเป็นคนที่กตัญญูกับบุพการีมาก พี่ โดมถือว่า เป็นไอดอลในใจของผมคนนึงเลยแหละ " ตี๋ กฤษณะ โมสิน คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ชั้นปีที่ 2
" ไอดอลของเซล คือ พี่ โอปอล ปณิสรา ครับ (หัวเราะ 5555) เพราะพี่ โอปอล เป็นคนที่มีความพยายามและความตั้งใจในทุก เรื่องทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน จนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมาก มีความ มั่นใจและเชื่อมั่นในตัวอง แต่ก็ ให้เคารพผู้ ใหญ่ด้วย พี่ โอปอลจึง เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตเลยครับ " เซล พงศ์ภูนาถ รุ่งเรือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ชั้นปีที่ 2
MOTTO : " ฮ่าฮ่า ขอบคุณพี่ๆ ที่ ให้ โอกาส ค่ะ " นัก(ฝึก)เขียนตัวน้อย ผู้สัมภาษณ์ : ฝ้าย นภรณ์ ดีนอก คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ ชั้นปีที่ 3
{
Tell me and I forget. บอกฉัน ฉันจะลืม Teach me and I remember. สอนฉัน ฉันจะจำ� Involve me and I learn. แต่ถ้าให้ฉันได้ทำ� ฉันจะเรียนรู้ - Benjamin Franklin -
The Owner “ผมดี ใจทุกครั้งที่มีคนสนใจเรื่องราวของผมครับ” ตลอดการสัมภาษณ์ เราเห็นแววตาแห่งความสุขของ ปั้น-จิรภัทร พัวพิพัฒน์ ระหว่าง ที่เล่าเรื่องการเดินทางคนเดียวให้เราฟัง เพราะเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวสไตล์ Backpack ของเขาน่าสนใจ จนเข้าตา ส�ำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง กลายมาเป็นหนังสือ “The Walking Backpack ออกเดินแล้ว อย่าหัน หลังกลับ” นับเป็นความโชคดีที่ OWNERATION Magazine มี โอกาสได้สัมภาษณ์เขาช่วงที่กลับ มาเมืองไทยระยะสั้นๆ เพื่อมางานหนังสือ ก่อนที่เขาจะกลับไปเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขา วัสดุศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ต่อในเทอมสุดท้ายที่สิงค์ โปร์ ถัดจากบรรทัดนี้ มาร่วมส�ำรวจความคิด จากการเดินทาง ของเขา
ปั้น - จิรภัทร พัวพิพัฒน์ เจ้าของ Facebook Page : The Walking Backpack
ด ิ ค ม า ว ค จ สำ�รว ง า ท น ิ ด เ ร า ผ่านก สัมภาษณ์ & เรียบเรียง : สหธร เพชรวิโรจน์ชัย
ภาพ : The Walking Backpack , 9chaballoon
ท�ำไมถึงเลือกการเดินทางโดยไม่มีแบบแผน?
มันคือสไตล์การเดินของผมครับ ผมมอง ว่าการเดินทาง คือ การพักผ่อน ที่อาจไม่ ได้สะดวก สบายเหมือนนอนอยู่ริมชายหาด ทานอาหารอร่อยๆ แต่มันคือการผจญภัย ไปเจอในสิ่งที่เราไม่เคยเจอ ซึ่ง ส่วนใหญ่ ไม่มีแบบแผน ทุกอย่างเกิดขึ้นตามสภาพของ ธรรมชาติ เป็นการเปิดรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาทุกครั้ง
ผมได้แรงบันดาลใจจากหนังประเภทผจญภัย ที่ตัวละครหลัก จะไม่มีการวางแผนชัดเจน แล้วเนื้อเรื่องด�ำเนินไปเรื่อยๆ ตามการเดินทาง ของตัวละคร ผมสงสัยว่า ถ้าไม่วางแผนการเดินทาง จะเกิดสถานการณ์ เลวร้ายที่สุดกับเราอย่างไร เนื่องจากเป็นการเดินทางครั้งแรก ผมเลยให้ โจทย์ตัวเองไปว่า เรามีเงิน มีเสื้อผ้า ที่เหลือไปหาเอาข้างหน้า ทั้งหมดนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
}
มันไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นสิ่งที่ทำ�ให้เรียนรู้ชีวิต
ไม่เชิงครับ คือ ผมเป็นเด็กผู้ชาย มี เพื่อนไปด้วย แต่ที่คิดว่าไม่ homesick เพราะ ที่สิงคโปร์มีกิจกรรมให้ท�ำเยอะมาก เรียกว่า ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ต้องมีอะไรให้ท�ำตลอดเวลา เป็นชาติที่ hyper active มาก คนที่ โน่นอยู่ ว่างไม่ ได้ ต้องหาอะไรท�ำตลอดเวลา เช่น เล่น กีฬา จัดกิจกรรม รวมตัวท�ำโปรเจคต่างๆ ซึ่ง แล้วแต่ความสนใจของแต่ละคน
>
ทราบมาว่าการเดินทางครั้งแรกจริงๆ คือ ตอนไปเรียนที่สิงคโปร์ ตอนนั้นไม่มีอาการ homesick เลยหรอ?
>
>
{
ช่วยอธิบายการเดินทางสไตล์ walking backpack ให้ฟังหน่อย?
ประสบการณ์การเดินทางคนเดียวครั้งแรกเป็นอย่างไร? ครั้งแรกที่ออกเดินทางคนเดียวเพราะไม่มี ใครไปด้วย ช่วงนั้นอยู่ ใน ช่วงสอบ เพื่อนทุกคนก�ำลังยุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือ แต่ผมอยากไปเที่ยว ก็ ตัดสินใจไปเลย ผมพกไปแค่เงิน เสื้อผ้า และความรู้ว่าเดินทางอย่างไร เกาะที่ จะไปด�ำน�้ำอยู่ที่ ไหน นอกนั้นไม่มีอะไรเลย แต่ทุกอย่างก็ราบรื่น ได้ท�ำในสิ่งที่ ต้องการ และได้เจอเพื่อนใหม่เพิ่ม 2 คน ชื่อ คริส กับ ซาร่า ทั้งสองคนนี้เปิดโลกให้รู้ว่า โลกนี้มีวัฒนธรรมการเดินทางอยู่ มันไม่ ใช่ แค่การพักผ่อน แต่เป็นสิ่งที่ท�ำให้เรียนรู้ชีวิต การเดินทางไม่ ใช่เรื่องราวของ ที่พักราคาถูก หรือการไปถ่ายรูปกับแลนด์มาร์ค แต่คือ การพบเจอคน การ เรียนรู้วัฒนธรรมของเพื่อนร่วมทาง แล้วเอาประสบการณ์ของทุกคนมารวมๆ กัน เป็นเรื่องราวของการเดินทางส�ำหรับครั้งนั้นๆ
> ล่าสุดไปยุโรปมา เล่าให้ฟังหน่อย? เหนื่อยมากครับ ไป 9 ประเทศ ซึ่งผมยังไม่ ได้นับเลยว่าไป ทั้งหมดกี่เมืองกันแน่ ผมไม่เคยไปยุโรปมาก่อน เคยอ่านแต่ ในหนังสือ ท�ำให้อยากรู้ว่า หน้าตาจริงของเมืองเป็นเหมือนอย่างที่เราอ่านหรือเปล่า เวลาเดินทางก็ศึกษาเส้นทางจากแผนที่ แล้วเดินทางไปเรื่อยๆ โดยที่ ผมก็ ไม่รู้ว่า เมืองต่อไปจะเป็นที่ ไหน รู้เพียงว่าเมืองนี้ติดกับเมืองอะไร เท่านั้น ทั้งทริป ผมมีแผนอย่างดียว คือผมซื้อตั๋วเครื่องบินราคาถูกล่วง หน้าจากบาเซโลน่าไปกรุงโรม จุดเริ่มต้นคืออัมสเตอร์ดัม มีเวลา 20 วัน หาวิธีอย่างไรก็ ได้ ให้ ไปถึงบาเซโลน่า จากนั้นหาวิธีกลับยังไงก็ ได้ ให้ ไปถึง อัมสเตอร์ดัมอีกครั้ง รวมทั้งหมดเป็นเวลา 45 วัน เป็นทริปที่มหาโหดเลย แต่รู้สึกตื่นเต้น สนุกมาก และสิ่งที่ประทับใจที่สุด คือการค้นพบว่า มัน เหมือนสิ่งที่ผมคาดเอาไว้มาก คือ เมืองมันเจริญ มีสิ่งสวยงามมากมาย และทุกคนใช้ชีวิตแบบมีอารยธรรม
การเดินทางปั้นใช้เงินจากไหน?
>
ส่วนใหญ่เป็นเงินจากการท�ำงานพิเศษของ ผม ตั้งแต่การสอนพิเศษ, งาน part time, การฝึกงาน อย่างช่วงนี้ก็รับถ่ายรูปวันเสาร์อาทิตย์ บางส่วนก็จาก คุณแม่ครับ ท่านสนับสนุนให้ ไปเที่ยว เวลาเดินทางจึง ต้องจัดสรรเงินในการเดินทางดีๆ อะไรที่ประหยัดได้ ผมก็จะประหยัดให้ ได้มากที่สุด ที่พักก็ขอแบบถูกและ ปลอดภัยไว้ก่อน ส่วนเวลาไปไหนมาไหนก็เน้นการเดิน เท้า ปั่นจักรยาน และก็รถโดยสารสาธาณะ 9
{
เวลาเห็นวิถีชีวิตคนอื่นจะเกิด คำ�ถามว่า ทำ�ไมเขาถึงทำ�แบบนี้? เขาทำ�อย่างนั้นเพราะอะไร?
เวลาปั้นไปเที่ยว ในหัวคิดอะไรอยู่?
} >
ใช่ครับ ผมว่ามันไม่เหมือนเพื่อนที่เรารู้จักตอน มัธยม ประถม แต่ระหว่างการเดินทาง มันเป็นมิตรภาพ ส�ำหรับการเรียนรู้ เขามาจากไหน? ท�ำไมวัฒนธรรมเขา เป็นแบบนี้? สิ่งส�ำคัญคือเพื่อนที่เจอระหว่างทาง เราอาจ ไม่เจอกัน 3-4 ปี แต่กลับมาเจอกันอีกครั้ง เราก็ยังคุยกัน เหมือนเจอกันครั้งแรก กลับมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กัน สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการเดินทาง คือ การเรียน รู้จากเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม วิถีการใช้ชีวิตของ เขา ผมเรียนรู้ว่าคนทุกคนมีทั้งแง่ดีและแง่เสียครับ ออกสี เทาๆ มีทั้งขาวและด�ำ ผมพยายามมองหาข้อดีของทุกคน เพราะว่าคนทุกคนมีทั้งดีและแย่
>
ส่วนใหญ่พยายามเปิดรับและตั้งค�ำถามครับ เพราะเราคิดว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ วิถีชีวิตของคน เวลาเห็นวิถีชีวิตคนอื่นจะเกิดค�ำถามว่า ท�ำไมเขาถึงท�ำแบบนี้ เขาท�ำอย่างนั้นเพราะอะไร เราพยายามเข้าใจ กับมัน ผมเป็นคนมีค�ำถามในหัวตลอดเวลาครับ แล้วก็จะไปถามจากคน รอบข้างที่พบเจอ ซึ่งจริงๆ ผมก็มีความกลัวอยู่นะ แต่ตราบใดที่เรามี ค�ำถามที่อยากรู้ เราก็ต้องถามเขา อีกอย่างมันเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เหมือนกัน ถ้าคุณเจอคนอื่น คุณก็ต้องทักทาย คนเดินทางส่วนใหญ่เป็น แบบนี้แหละครับ อยากมีเพื่อนใหม่ อยากรู้จักวัฒนธรรมคนอื่น
แสดงว่าการทักทายท�ำให้เกิดมิตรภาพระหว่างทาง?
ถ้าเปรียบเทียบการเดินทางเป็นคนหนึ่งคน จะเปรียบเทียบ เป็นใคร?
ความคิดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของคน ไทยคือ การพักผ่อน อาหารอร่อย โรงแรมนอน สบาย จับจ่ายซื้อของ แต่ผมก็ ไม่ซีเรียสนะ ตราบ ใดก็ตามที่การไปเที่ยว คุณได้ ไปเรียนรู้ โลก ได้ ไป เจออะไรใหม่ๆ
>
คริสที่อยู่ ในหนังสือบอกว่า การ backpack คนเดียวเป็นเรื่องปกติ ปั้นคิดว่าท�ำไมคนไทย ถึงยังไม่กล้าออกไป backpack คนเดียว
(นิ่งคิด) ผมชอบผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อว่า Sir Richard Branson เป็นนักธุรกิจชาวอังกฤษ เจ้าของ Virgin Group ชีวิต ของเขาคือการเดินทางตลอดเวลา เขาบอกว่า โลกนี้เหลือสถิติ ในการท�ำลายน้อยมากแล้ว หนึ่งในนั้นคือ การนั่งบอลลูนร้อน รอบโลก ถ้าเกิดกิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในการผจญภัย แล้วท�ำให้ชื่อ ของเขาติดอยู่ ในประวัติศาสตร์ โลก เขาก็จะท�ำ และเขาก็ท�ำ ส�ำเร็จเสียด้วย ก่อนเขาจะไป เขาเขียนจดหมายหาลูกสาวไว้ว่า “ท�ำอะไรก็ ได้ แต่อย่าลืมอย่างหนึ่งว่า ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ที่สุด” ผมว่าการเดินทางเป็นแบบนั้น หาอะไรที่แตกต่างกับสิ่งที่เรามี อยู่ ไม่หยุดนิ่ง ผมชอบในความคิดของเขา
> ถ้าเกิดว่าเป็นตัวแทนของ ททท. ลองช่วยคิดสโลแกนเชิญ ชวน ให้คนมาออกมาเที่ยว backpack คนเดียว จะแต่ง ว่าอย่างไร? ถ้าเป็นสโลแกน (นิ่งคิด) คงเป็น “มองเมืองไทย ด้วยตาดวงใหม่” อาจจะเป็นตาดวงเดิมแต่วิธีการเปลี่ยนไป อาจไม่ต้องขับรถ แต่นั่งรถไฟแทน ผมว่าเมืองไทยเป็นจุดสุด ยอดในเรื่องศูนย์กลางของการเดินทางของโลกเลยนะ
ท�ำไมคิดว่าเมืองไทยเป็นจุดสุดยอดในเรื่องศูนย์กลางของการเดิน ทางของโลกล่ะ?
>
ประเทศไทยเป็นเมืองที่ ได้รับความนิยมมาก อย่างถนน ข้าวสารเรียกว่าเป็นจุดศูนย์กลางของการ backpack โลกเลยก็ว่าได้ เพราะคนทุกคนที่เริ่มเดินทางใน Southeast Asia ที่ข้าวสาร ถึง แม้กรุงเทพจะมีชื่อเสียงด้านลบค่อนข้างเยอะ แต่ชาวต่างชาติมอง เมืองไทยค่อนข้างเป็นจุดศูนย์กลางของสิ่งดีๆ หลายๆ อย่าง เช่น วัฒนธรรม อาหาร แต่ ในทางเดียวกัน เรามีเรื่องโสเภณี เรื่องของ ยาเสพติด ที่ชาวต่างชาติทุกคนเดินทางมาเพื่อหาประสบการณ์นั้น เหมือนเราไปอัมสเตอร์ดัม เพราะเรารู้ว่ามีกัญชาที่ถูกกฎหมาย เรา อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ผมว่ามันส�ำคัญที่เราจะต้องยอมรับ ว่าประเทศเรามันมี ปัญหาอย่างนี้จริงๆ เราต้องห้ามปิดตรงนี้
ชาวต่างชาติที่คุณเจอ เขาถามอะไรเกี่ยวกับเมืองไทยบ้าง? ทุกอย่างครับ อย่างล่าสุดที่ถูกถามบ่อยมาก คือ เรื่องการเมือง ผม ก็อธิบายไปว่าเป็นประชาธิปไตยนี่แหละ แต่ ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ อีกเรื่องคือ สาวประเภทสอง มันเป็นเรื่องที่ฝรั่งไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าพูดถึงสิทธิเสรีภาพ ของสาวประเภทสอง กฎหมายประเทศไทยยังไม่ยอมรับ แต่ถ้าพูดถึงสังคม เรามีการยอมรับในการอยู่ร่วมกัน เราเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในการอยู่ร่วมกัน ต่างชาติเขาไม่เข้าใจเพราะประเทศเขาไม่มีอย่างนี้ มันเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ครับ คุณมีสิทธิที่จะเป็นอะไรก็ ได้ตามที่คุณต้องการ เราควรจะภูมิใจในเรื่องนี้
> ปั้นรู้สึกอย่างไร กับค�ำพูดที่ว่า การเดินทางคนเดียว มันดูบ้า ไร้สาระ ติสท์? ผมยังยืนยันนะครับว่าผมไม่ ได้ติสท์แตกอะไร ยังสบายดี (หัวเราะ) ถ้าเกิดมี ใครได้อ่านหนังสือ มีคน หลายคนบอกผมว่า พ่อแม่ทุกคนมักมีความคิดว่า “การ เที่ยวเป็นการสิ้นเปลือง” ผมมองว่าถ้าไปเที่ยวชอปปิง สวยๆ ถ่ายรูปกับสถานที่ต่างๆ อาจเรียกเป็นการสิ้น เปลืองได้ แต่ผมมั่นใจว่าการเดินทางทุกครั้งเราได้เรียนรู้ บทเรียนนอกห้องเรียน ที่ส�ำคัญมาก ที่ ในห้องเรียนไม่มี สอน มันเป็นบทเรียนที่เริ่มตั้งแต่การเข้ากับคนในสังคม การเรียนรู้วัฒนธรรมของคนต่างชาติ และที่ส�ำคัญสุดคือ การเอาตัวรอดในชีวิต เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง ตามปกติเราเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองน้อยมากครับ ในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ทุกคนอยู่ ในสังคมที่ ไม่ค่อยมีเวลา จะมานั่งคิด แต่ถ้าได้ออกไปในที่ที่เราไม่รู้จักใครเลย แล้ว อยู่คนเดียว บางทีเราเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองว่า แบบนี้เรา ไม่ชอบนะ เราเป็นคนแบบนี้นี่เอง ท�ำไมเราไม่เคยรู้เลยว่า เรามีความรู้สึกแบบนี้ต่อสิ่งเหล่านี้ นอกจากการเดินทางจะสอนเรื่องราวภายนอกตัว เรา ยังสอนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง มันเป็นเวลาที่ ให้เรา ทบทวนตัวเอง เพราะงั้นผมว่าการเดินทางไม่ ใช่สิ่งที่สิ้น เปลือง ท�ำเถอะครับ ยังมีอะไรที่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ตัวเองและโลกอีกเยอะครับ
{
ผมเรียนรู้ว่าคนทุกคนมีทั้งแง่ดี และแง่เสียครับ ออกสีเทาๆ มีทั้งขาวและดำ�
}
มาที่ผลงานของปั้นกันบ้าง เพจ The Walking Backpack มีที่มาอย่างไร เพจนี้เปิดเมื่อมิถุนายน 2556 ตอนนั้น ซื้อกล้องถ่ายรูปมาใหม่ รูปมันเยอะ เริ่มมีรูปสวยๆ ไม่รู้จะลงที่ ไหน ก็เลยเปิดเพจเล่นกับเพื่อนๆ แค่นั้น แหละครับ
แล้วคิดว่าเหตุผลอะไรที่ท�ำให้เพจดังขึ้นมา?
>
ทั้งหมดมันเริ่มจาก กระทู้พันทิป “1 ปี เดินทาง 6 ประเทศ” ผมว่าทุกคนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มีความคิดใน ใจว่า “เห้ย อยากไปท�ำแบบนี้ อยากไปเดินทาง” แต่ ไม่เคยมี คนกล้าออกไปท�ำ แล้วสิ่งที่ผมไปท�ำก็ ไม่ ได้ล�ำบาก ผมเป็น นักเรียน มีวันหยุดเยอะ ก็เลยออกไปเที่ยว
> จากเพจ มาสู่หนังสือ “The Walking Backpack ออก เดินแล้ว อย่าหันหลังกลับ” ได้อย่างไร?
ยังคิดจะเขียนต่ออีกไหม?
>
ผมกลัวจะเรียนไม่จบครับ พยายามจะเรียนหนังสือให้ จบก่อน ก็คงอีกสักพักครับ
พอมีคนเริ่มสนใจ ก็มีส�ำนักพิมพ์ติดต่อมา ผมเองก็ เห็นว่า เรื่องราวพอจะรวมเล่มเป็นหนังสือ 1 เล่มได้เหมือน กัน ก็ลองเขียนดูครับ เป็นการเขียนหนังสือครั้งแรกด้วยครับ เขียนอยู่ 4-5 เดือน ขุดทุกอย่างที่อยู่ ในความทรงจ�ำออกมา ตอนที่พิมพ์เสร็จออกมาเป็นเล่มดี ใจมาก ผมไม่ ได้ถูกฝึกให้ เป็นนักเขียน ผมเรียนวิทย์ ท�ำให้พบว่า การเขียนหนังสือเป็น สิ่งที่ยากมาก เพราะผมเป็นคนที่เขียนอะไรยาวๆ ไม่ค่อยได้ เราโตมากับ Facebook, Instragam ที่เขียนอะไรไม่เกิน 3 บรรทัด ท�ำให้ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ล�ำบากมาก
> สังเกตรูปที่ถ่ายมา ท�ำไมต้องหันหลังด้วย เพื่อความเท่เหรอ? เวลาไปเที่ยว ผมก็ชอบถ่ายรูป และอยากให้มีตัวเองอยู่ ในรูป แต่ถ้าหันมา คนก็จะดูหน้าตา หรือเสื้อผ้ามากกว่า แล้ว อีกอย่างหน้าตาเวลาเดินทางจะโทรมมาก อย่างรูปหน้าปกหนังสือ สังเกตดีๆ ผมใส่ รองเท้าแตะนะ ตอนนั้นเพิ่งตื่น ผมเลยหัน หลังเหมือนดูวิว และใช้เป็นท่านี้จนเป็นประจ�ำ ซึ่งรูปที่ถ่ายมาผมจะตกแต่งผ่านโปรแกรม Lightroom กับ Photoshop ก่อน ผมคิดว่า มันเป็นศิลปะเหมือนกัน และอีกอย่างต้อง ยอมรับว่า คนเราชอบอะไรที่มีการปรุงแต่ง ไม่งั้นมันไม่น่าสนใจ จึงต้องมีการแต่งรูปนิด หน่อยครับ
ในหนังสือบอกว่า ค�ำถามที่คุณถามคนอื่น บ่อยๆ คือ “ถ้าหยุดเวลา แล้วย้อนเวลากลับ ไปได้ คุณจะเปลี่ยนอะไรในชีวิตคุณ” เรา เลยอยากถามให้คุณตอบเองบ้าง?
>
(นิ่งคิดนาน) ในช่วงชีวิตของผม ผม ท�ำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว แต่ก็มีบางครั้งที่ ท�ำให้หลายๆ คนเสียใจ ไม่ ใช่เพราะว่าผม พฤติกรรมไม่ดี แต่เป็นช่วงวัยนั้นที่เราอาจมี วุฒิภาวะไม่ถึง ถ้ากลับไปได้ ผมอยากกลับไป ใช้เวลากับคุณพ่อให้มากขึ้น เพราะคุณพ่อเสีย ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ ไปเรียนที่สิงคโปร์ก็มีเวลา ให้ท่านไม่มาก และอยากกลับไปสร้างความ สัมพันธ์กับแฟนที่เราเลิกไปแล้วให้ดีขึ้น
{
มีประโยคหนึ่งในหนังสือที่คุณนิยามตัวเองว่า “เป็น คนพเนจรที่ตามล่าหาอนาคตที่สดใส” อนาคตที่ว่า คืออะไรครับ? จริงๆ ที่มาของประโยคนี้ คือ มันเป็นสถานะ facebook ของผมที่เขียนกับเพื่อนๆ ประมาณ 2-3 ย่อหน้า พูดถึงช่วงชีวิตตอนนั้น ที่พ่อแม่ของเราทุกคน จะบอกว่า ต้องล�ำบากตอนนี้ แล้วเราจะสบายภายใน อนาคต ตอนประถมต้องล�ำบากเพื่อสอบเข้ามัธยม ตอนมัธยมต้องล�ำบากเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอน มหาวิทยาลัยต้องตั้งใจเรียน เพื่อได้งานดีๆ พอมีงาน ดีๆ ก็ต้องท�ำงานเพื่ออนาคต พอมีอนาคต ก็ต้องล�ำบาก ท�ำงานเพื่อลูก! คือกลายเป็นว่า เราทุกคนมองเพื่อ อนาคตตลอดเวลาเลยอะ แล้วอนาคตที่สดใสมันอยู่ตอน ไหน เราถูกผลักดันให้มองไปถึงสิ่งที่ลอยอยู่ ในอากาศ อุดมคติบางอย่างที่สังคมตั้งเอาไว้
{
}
ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ผมทำ�ถูกต้อง คือ พยายาม มีความสุขในทุกเวลาให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามทำ�ในสิ่งที่ฝัน พร้อมๆ กับหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ
คือผมมองว่า เราทุกคนมีความคิดแบบนี้จน เราลืมไปว่า ชีวิตมีกระบวนการที่เราสามารถมีความสุข ตลอดเวลา คือไอ้ความสุขที่เราพยายามไปหา ผมว่ามัน คงมีอยู่ แต่สิ่งที่ส�ำคัญที่สุด ระหว่างที่คุณพยายามเดิน เข้าหาความฝันคุณ อย่าลืมที่จะมีความสุขกับมันไปด้วย ตั้งแต่การดื่มกาแฟ อ่านหนังสือตอนเช้า มีความสุขกับ สิ่งเล็กๆ ท�ำดีๆกับคนรอบข้างเรา มันเป็นสิ่งที่เราห้าม ลืมที่จะเตือนตัวเองครับ
>
อย่างผมเป็นคนชอบถ่ายรูป ทุกวันผมก็เลยติด กล้องถ่ายรูปเอาไว้ ระหว่างทางผมได้ 3 รูป ก่อนกลับ พระอาทิตย์ตก ก็ถ่ายรูปสวยๆ อีกสักหน่อย ผมคิดว่า มันอยู่ด้วยกันได้ เรามีกระบวนการหาความสุขได้ตลอด เวลาครับ การหวังที่จะไปสบายในวันหน้า มันยาก เรา หาความสุขเล็กๆน้อยๆ ไปทุกวันดีกว่า ผมว่าบางทีคน เราก็ลืมว่าชีวิตของเรา จุดมุ่งหมายของมันคืออะไรกัน แน่
แล้วตอนนี้คุณเจอความสุขในอนาคตที่ว่านั่นหรือยัง? ผมว่าผมยังเด็กมากครับ แล้วผมยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ มาก แต่ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ผมท�ำถูกต้องคือ พยายามมีความสุขในทุกเวลาให้ ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามท�ำในสิ่งที่ฝัน พร้อมๆ กับหน้าที่ของ เราไปเรื่อยๆ ผมก็หวังว่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องในการใช้ชีวิต และต้องเรียนรู้ ต่อไป “ ผมมองว่าอนาคตอันสดใส ไม่มีอยู่จริง ผมมองว่าความ สุข คือปัจจุบันครับ ”
เป็นวัยรุ่นห้ามสบาย บทความ : sorsala
14
พรีเซนต์ | ชีวิต
เพราะชีวิตคือการเดินทาง บทความ : IMATOMS
ความเป็นมนุษย์
A Dish I Cook
ซุปไก่เพิ่มพลัง เรื่องและภาพ : ปอลอพอ / twitter : @paleepats_
เราใช้ชีวิตแบบเด็กหอมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะอายุ 10 ขวบเสียอีก แต่ ไม่มีช่วงวัยไหนคิดถึงบ้านเท่าช่วงวัยที่เรียนมหาวิทยาลัยอีกแล้ว อาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการเรียน ท�ำรายงาน อ่านหนังสือสอบ เวลาโหยหาการกลับบ้าน นอกจากจะคิดถึงพ่อแม่ ที่รออยู่แล้วก็ยังคิดถึงกับข้าวที่บ้านเป็นอันดับต้นๆ แม่ชอบอวดว่าจะท�ำเมนูโปรดของเราไว้ ให้รีบกลับบ้านมากิน หนึ่งในนั้นก็คือ ‘เมนู ซุป ไก่ ใส่มันฝรั่ง’ เดินทางกลับบ้านมาเหนื่อยๆ กลายเป็นหายเหนื่อย กินซุปไก่ของแม่ที ไรรู้สึกมีพลังมีเรี่ยวมีแรงเพิ่มขึ้นทุกที เลือกใช้เนื้อไก่ส่วนที่ชอบได้เลย เนื้อสะโพกติดน่องก็นุ่มอร่อย แต่ต้องเลาะเนื้อไก่ออกจากกระดูกแล้วหั่นเป็นชิ้นให้สวยงาม เราหั่นเองที ไร เนื้อกับหนังหลุดออกจากกันเปิดเปิง เลยเลือกใช้ปีกบนแทนหรือที่เราเรียกติดปากว่าน่องเล็ก ใช้ง่ายกว่า กินอร่อย เหมือนกัน ความหวานจากผักทั้งหลายที่เลือกใส่จะช่วยให้น�้ำซุปอร่อยกลมกล่อมแบบไม่ต้องพึ่งพาซุปก้อนหรือผงปรุงรสอะไรเลยล่ะ ก่อนอื่นจัดแจงล้างปีกบนไก่ ให้สะอาดเสียก่อน จากนั้นหั่นผักทั้งหลายเตรียมไว้... ข้าวโพด หั่นเป็นแว่นให้แทะกินได้ แครอทกับมันฝรั่ง หั่นเป็นชิ้นพอค�ำ ส่วนผักที่เปื่อยยุ่ยง่ายยิ่งต้องหั่นชิ้นใหญ่หน่อย เช่น หัวหอมใหญ่ หั่นเป็นแว่นหยาบๆ ก็พอ ต้มน�้ำสะอาดครึ่งค่อนหม้อด้วยไฟแรงไปเลย บุบรากผักชีพอแตกใส่ลงไป พอน�้ำเดือดจัดใส่ปีกบนไก่ รอจนไก่เริ่มสุกก็ทยอยใส่ผัก เริ่มจากผักที่เปื่อยยากก่อน คือ ข้าวโพด แครอท มันฝรั่ง ไล่ ไปจนถึงหัวหอมใหญ่ ปรุงรสด้วยเกลือป่นแล้วหรี่ ไฟลงจนเหลือไฟอ่อน ค่อยๆ เคี่ยวไปให้ทั้งไก่และผักเปื่อยนุ่มเข้าเนื้อ แอบชิมน�้ำซุปดูได้ ถ้ายังไม่ปรากฏรสเค็ม อนุญาตให้เติมเกลือป่นอีกนิด ปิดฝาหม้อ 16
แล้วปล่อยทิ้งไว้ ไปอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ รดน�้ำต้นไม้ ออกก�ำลังกายได้เพลินๆ แต่ถ้าใครว่างๆ จะแวะเวียนมาช้อนฟองขุ่นที่ลอยฟ่องออกเป็นระยะก็จะช่วยให้ ได้ น�้ำซุป ใสแจ๋วน่ากินยิ่งขึ้น ใช้เวลาเคี่ยวไปสัก 1 ชั่วโมงทุกสิ่งในหม้อก็น่าจะเปื่อยนุ่ม กลมกล่อมเข้ากันดี ปิดไฟ ตักใส่ถ้วย โรยพริกไทยป่นอีกนิดก่อนเสิร์ฟ แต่ถ้าใคร ยังไม่รีบกินก็เคี่ยวต่อไปอีกสักพักได้ แต่ต้องระวังไม่ ให้น�้ำแห้งจนเกินไป เราชอบท�ำซุปไก่หม้อใหญ่เก็บไว้กินได้หลายมื้อแต่ก็ ไม่มีเบื่อ เพราะเป็น เมนูที่แปลงไปได้หลายรูปแบบ นอกจากจะกินกับข้าวสวยร้อนๆ เป็นมื้อที่หนักแน่น แล้ว ถ้าต้มมะกะโรนี ใส่ลงไปด้วยก็จะกลายเป็นซุปมะกะโรนี ไก่แสนอร่อย ชวนให้ นึกถึงมื้อกลางวันในวัยเด็กที่อบอุ่นคุ้นลิ้น หรือจะซดซุปไก่ร้อนๆ คู่กับขนมปังปิ้ง หอมกรุ่นพร้อมด้วยกาแฟอุ่นๆ อีกแก้วก็คงเป็นมื้อเช้าที่เยี่ยมไปเลย
ส่วนผสม น�้ำสะอาด
1
ลิตร
มันฝรั่ง
2
หัว
ปีกบนไก่
10
ชิ้น
หัวหอมใหญ่
2
หัว
รากผักชี
1
ราก
เกลือป่น ประมาณ 1/2 – 1 ช้อนชา
ข้าวโพดหวาน 1
ฝัก
พริกไทยป่น เล็กน้อย
แครอท
หัว
1
Tips : • ถ้าต้องการน�้ำซุปที่เข้มข้นกลมกล่อมยิ่งขึ้นให้ต้มน�้ำซุปด้วย โครงไก่ก่อน ควรล้างโครงไก่ ให้สะอาดและเอาไขมันที่ติดมา ออกให้หมด • ถ้าชอบรสอมเปรี้ยวให้ ใส่มะเขือเทศเพิ่ม ส่วนผักอื่นๆ สามารถเพิ่มลดปริมาณได้ตามชอบ 17
A Short Story I Write เรื่อง : นิรัติศัย บุญจันทร์ ภาพ : Kamonnut Kamda facebook.com/khidwad
[ สะพานคู่ขนาน ]
น านมาแล้วกับรองเท้าผ้าใบสีขาว จะว่า ไปมันเคยเป็นสีขาว แต่ตอนนี้จะไม่เป็นสีขาวอีก รอย
พื้น ยางเก่าจนแข็ง ดอกยางสึกกับคราบโคลนแห้ง เกาะรอบพื้นยาง รองเท้าคู่เก่า แต่มันไม่ครบคู่เพราะ อีกข้างหนึ่งของมันที่เป็นรองเท้าหนังกลับขาดเปื่อยจน เกล็ดหนังฟูลอก นิ้วโป้งชรานั่นก็เผยอออกมาหน้าตา เฉย รองเท้าเดสเซิร์ทส้นหนาที่เคยเป็นไม้ ทุกอย่าง หลุดลุ่ยบนเท้าทั้งสองของชายผู้นี้ ใบหน้าไม่ต่างอะไร กับรองเท้านั่น มันแสดงออกถึงความยุ่งเหยิงและสงบ นิ่ง ความสุขและความเศร้า ความหวังและไร้ความ หวัง ความรู้สึกสองอย่างเท่าๆ กันในเรือนร่างที่หุ้ม ด้วยเสื้อเชิ้ตสีน�้ำเงินที่แทรกด้วยคราบด�ำ กางเกงสแล็คยับยู่ยี่สีอย่างกับคลองแสนแสบ เขาเป็นชายไร้ บ้าน ที่บางคนเรียกว่าจรจัด มันนานมาแล้วที่ชายชราได้เอาใต้สะพาน ประสานมิตร (เป็นสะพานข้ามคลองแสนแสบถนน อโศก) ที่นั่นมืด ชื้นและเงียบสงบ ขณะหนุ่มสาว ออฟฟิศเดินกันน่องแข็งอยู่ ไม่เกินร้อยก้าว มันเป็นที่ที่ ไม่มี ใครอยากมา และอยากรับรู้ว่ามันมันมีจริงบนโลก
18
ชายชรามีเพื่อนร่วมทางอีกคนซึ่งเป็นหนุ่มที่ แต่งตัวเป็นหญิง มันต่างกับตุ๊ดแต๋วกะเทยแรดตรงที่ ว่าเขาเสียสติ ฤดูหนาวที่เข้ามาแผ่ ไอเย็นไปรอบ มันเคลือบ ไปทั้งผิวน�้ำคลองจนเป็นไอหมอกขาวโพลน เวลาด�ำ เนินไป ไม่มีมนุษย์ตนไหนจะรู้ว่าไอ้ ใต้สะพานที่เรา เหยียบมีมนุษย์พันธุ์เดียวกันนอนกอดกองหนังสือพิมพ์ ฟรีก๊อปปี้ แถมยังขยุ้มเป็นก้อนยัดไว้ ในเสื้อ ชายชรา กับชายเสียสติ อยู่กับคนละฟากตอม่อประหนึ่งแบ่ง เขตการปกครองไว้แล้ว
“ไม่มีเพื่อนเหรอ?” ชายเสียสติถาม
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากมี” ชายชราตอบ
“แล้วเมียละ?”
ชายชราสั่นหัว ความเงียบและหนาวเหน็บ เข้าปกคลุมครู่หนึ่ง
“หนูอยากรู้ว่าไอ้ข้างบนนั้นเป็นยังไง”
“นั่นมันนรก!”
ชายเสียสติไม่เข้าใจ
“ฉันเคยอยู่บนนั้น อยู่มานานจนเบื่อ ฉันไม่ ได้ อยากจะหาความส�ำเร็จ เงิน หรือต�ำแหน่งบ้าๆ นั่น ฉันแค่อยากอยู่ ในที่เงียบๆ แล้วมองดูคนข้างบนนั้นด้วย ความเวทนาแค่นั้นเอง” “แล้วถ้ามันไม่ดี ท�ำไมคนถึงอยู่กันเยอะแยะล่ะ ลุง” ชายเสียสติสงสัย “เอ็งลองไปเที่ยวบนนั้นสักวันสองวันสิ...นี่มันก็ เกือบบ่ายแล้วนะ นายถามจนเลยเวลานอนซะแล้วว่ะ” ชายชราเอี้ยวตัวนอนริมก�ำแพง ความสงสัยของชายเสียสติยังกรุ่นอยู่ ในสมอง ตรรกะตื้นเขินบอกว่าตัวเขาเป็นเช่นคนธรรมดา เช้าวัน รุ่งขึ้น เขาใส่ชุดเดรสสีแดงที่สวยที่สุดที่เขามี รองเท้า แตะช้างดาว แล้วทาลิปสติกสีแดงปาดแหว่งบนริม ฝีปาก เขาใช้ผืนน�้ำคลองเป็นกระจก ผมกระเซิงเป็ง สังกะตังเช่นบ๊อบ มาร์เลย์ เขายิ้มกว้างให้ชายชราผู้ หลับใหลก่อนเดินผ่านท่อใหญ่ แล้วปีนขึ้นสะพานด้าน บน เขาท�ำเหมือนคนต่างจังหวัดที่ก�ำลังไปพารากอน ความรู้สึกบอกเขาว่าข้างหน้าต้องงดงาม ... เนื้อตัวที่ ไม่ ได้ โดนน�้ำสะอาดของเขาส่งกลิ่น โชยไปทั่ว โลกข้างบนไม่ต้อนรับความสวยจากเบื้อง ล่าง เขาทักทายกับชายหนึ่งที่ต้องตา กระนั้นทุกคน เดินถอยหากแล้วสาปแช่ง “ไอ้คนบ้า” “ไม่เอานะอย่า มาใกล้ลูกฉัน” เขาเพียงพยายามเป็นส่วนหนึ่งของผู้คน ด้านบน แต่ ไม่มี ใครตอบรับเขา ชุดแดงอาบด้วยเหงื่อ ในฤดูหนาว เนื้อตัวหมดแรง เขาได้เพียงคุกเข่าอยู่เชิง สะพาน ไม่อยากกลับไปให้ชายชราซ�้ำเติมความผิด พลาดที่ท�ำไป
ทางสิ้นสุดที่ตอม่อเก่าๆ โทรมๆ “เป็นไงล่ะ! ไปเห็นนรกมา” ชายชรากล่าวทัก พลางอ่านหนังสือพิมพ์ปีมะโว้ “หึหึ” เขาแสร้งข�ำ แล้วปล่อยความบอบช�้ำ ผ่านเสียงร้องไห้กับน�้ำตา ชายชรายิ้มแห้งๆ แล้วอ่าน หนังสือพิมพ์ต่อ ไม่นานหลังจากชายผู้เสียสติสร้าง เรื่อง ริอ่านขึ้นเทียบมนุษย์ด้านบน เทศกิจก็เข้าจับเขา แม้ดื้อดึงเพียงใดก็ถูกระบองทุบจนกล้ามเนื้อเขียวเป็น จ�้ำ แล้วร่างหมดสติก็ถูกลากขึ้นไปบนสะพาน ไม่มี ใคร หรือสาวออฟฟิศสักคนสนใจใคร่ครวญ มีก็แต่เสียงพูด เบาๆ กับคนรู้จัก “จับๆ ไปให้หมด ไอ้พวกคนบ้าพวกนี้อยู่ ไป เป็นตัวปัญหาเปล่าๆ”
“ดี เทศกิจจะได้มีงานท�ำบ้าง”
แก้วหูลั่นดังของชายเสียสติไม่อาจฟังประโยค สุดท้ายของคนด้านบน คนเดินสะพานเดินผ่านเขา ประหนึ่งก้อนเนื้อเพื่อเอาไปท�ำสเต็กซึ่งคงมีค่ากว่าร่าง แทบสิ้นสตินี้ ชายชรามีบัตรประชาชนและเอกสาร เขา ไม่ ใช่คนบ้า เขาเพียงหาความสงบเท่านั้น แล้ววันหนึ่ง ก็มีชายหนุ่มเสียสติหลงมายังตอม่อสะพานอีกคน
“อยากรู้นะลุง ว่าข้างบนนั้นมันเป็นยังไง?”
“อยากรู้ก็ ไปดูเองสิ” ชายชราตอบพร้อม ยิ้มท้าทาย
เขานั่งน�้ำตาอาบแก้ม ไม่นานก็มี ใครหลายคน โยนเหรียญบาทลงตรงหน้า เงินไม่มีค่าอะไรส�ำหรับเขา มันเป็นการกระหน�่ำซ�้ำแทงเข้าขั้วจิตใจ เขาพาร่างที่หิว โซกับเวลาสองวันของความพยายามที่สูญเปล่า ทาง คู่ขนานของสะพานคงยากเกินจะเชื่อมถึงกัน การเดิน
19
A Photo I Shoot
Still... ÁÇÅÍÒ¡ÒÈà¤Å×è͹·Õèà¡Ô´ÅÁ ÁÇÅàÁ¦¡Ãзºáʧà¡Ô´ÊÕÊѹ ÁÇŹéÓ¡Ãзº¡Ñ¹à¡Ô´à¡ÅÕÂǤÅ×è¹ áµ‹·Ç‹Ò ¤ Ç Ò Á ½˜ ¹ ÂѧàËÁ×͹à´ÔÁ.
20
ค�ำและภาพ : มนุษย์ห้องใต้หลังคา.
A Poem I Feel
กลอนและภาพ : แก้วเกล้า
เพื่อต่อต้านความเคยชิน
21
Personal Font
ลายมือ : สินิทธ์ ปนุตติกร
สิ่งที่รู้ ≠ สิ่งที่เห็น
22
A Book I Read
เรื่องและภาพ : Boymang
หนุ่มนักโบกกับสาวขี้บ่น -1 คืนนั้นผมเลิกงานแล้วรีบเดินทางกลับบ้านทันที หลังจากอาบน�้ำช�ำระรูขุมขนจน สะอาดแล้ว จึงท�ำสิ่งที่รอคอย คือการจัดกระเป๋าเดินทางเพื่อใช้ชีวิตนอกบ้าน 3 วัน 2 คืน แน่นอนว่าเวลาท่องเที่ยว ผมมักติดหนังสือไปอ่านเสมอ ซึ่งเล่มที่หยิบมาวันนั้นคือ หนุ่มนักโบกกับสาวขี้บ่น เพียงแค่ชื่อก็น่าสนใจ บวกกับปกพิมพ์ ใหม่สีเขียวเข้ม (สี โปรดของ ผม) ท�ำให้ตัดสินใจทันทีว่า ต้องพกเล่มนี้ ไปอ่าน -2 หนุ่มนักโบกกับสาวขี้บ่นเป็นบทบันทึกการเดินทางกึ่งสารคดีของเพื่อน 5 คน เล่าเรื่องการโบกรถจากสามย่านไปเกาะสมุย ผ่านนักเขียนสามท่าน คือ สมจุ้ย เจตนาน่าสนุก, ตุ้มพุทรา และ วายร้ายสีแดง หนังสือมีเรื่องจริงผสมกับจินตนาการ เพราะหนึ่ง ในนั้นมิได้เดินทางไปด้วยจริงๆ เพียงแต่ผู้เขียนอยากให้เขาไป เพื่อสร้างเป็นตัวสร้างสีสันในการเดินทาง ด้านการเขียน แม้ว่าจะแยกส่วนกันเป็นตอนๆ แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ต่อเนื่องไม่มีสะดุด สร้างอารมณ์ ให้ผู้อ่านเป็นร่วมใน การเดินทาง รวมถึงการเขียนสามคนท�ำให้มีส�ำนวนและลีลาที่ต่างกัน ผู้อ่านจะไม่เบื่อการเขียนสไตล์ ใดสไตล์หนึ่ง หลักๆ ผู้อ่านจะเห็นความล�ำบากของการโบกรถ ผสมกับความสนุกจากการผจญภัยแบบไร้แบบแผน ค�่ำไหนนอนนั่น อยาก เที่ยวไหนก็ โบกรถไป เบื่อก็ โบกกลับ การเจอเพื่อนเก่า นอนบ้านญาติ และสารพัดเรื่องราวแปลกๆ ที่เหล่าผู้เขียนจะนึกออก แน่นอนว่าเมื่ออ่านจบมันกระตุ้นให้เราอยากออกไปเดินทางบ้าง อยากโบกรถเที่ยว อยากแบ็คแพ็ค อยากพบความล�ำบาก อยากเสี่ยงกับอันตราย และอยากลองคุกกี้กัญชา! -3หลังจากจัดกระเป๋าเสร็จ ผมแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นหลัง เดินออกไปยังถนนใหญ่หน้าปากซอย ยืนเก้งๆ กังๆ ริมถนน มอง หารถยนต์เป้าหมาย ไม่นานผมก็เห็นรถคันนึงวิ่งมา จึงยื่นมือออกไปข้างหน้าบนถนน รถคันนั้นค่อยๆ ชะลอความเร็วมาข้างตัว ผมเปิดประตูรถแล้วก้มหัวลงพูดกับคนขับ “ไปสนามบินดอนเมืองครับ” ลุงแก่ๆ ตัวผอมในชุดสีฟ้าอ่อนพยักหน้าตอบรับ แล้วยื่นมือไปกดเครื่องค�ำนวณค่าเดินทาง ตัวเลข 35 สีแดงขึ้นบนจอ ผมขึ้นนั่งเบาะหลังอย่างสบายใจ หยิบหนังสือ “หนุ่มนักโบกกับสาวขี้บ่น” ขึ้นมาอ่าน อืม... ถ้าผมได้อ่านเล่มนี้ก่อนไป ไม่แน่... ทริปลาวครั้งนี้ ผมอาจจะโบกรถไป ก็เป็นได้!
23
A Movie I Watch
เรื่อง : GUMBEAR facebook.com/optimistic.note
กล้าก้าว
เคยไหมที่อยู่ดีๆ ภาพของเราที่ก�ำลังตะลุยไปในป่าดง พงไพร ปีนขึ้นเขา พุ่งกระโจนลงห้วยโผล่ขึ้นมาในความคิดของเรา ระหว่างที่นั่งเฉยๆ เคยไหมที่ค�ำบอกเล่าเรื่องราวในวันหยุดสุดสัปดาห์ของเรา จะสุดสะวิงริงโก้เกินความจริงกว่านั่งดูซีรีย์อยู่บ้าน ‘วอลแตร์ มิตตี้’ เป็นคนเมืองอีกคนที่ ไม่กล้าและไม่มี โอกาสไปได้ ไกลกว่าละแวกบ้าน ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ที่คนเมืองอย่างเรามักจะใช้เป็นเกาะก�ำบัง จากการเลือกพักผ่อนอยู่บ้านมากกว่าจะออกไปผจญภัยต่างบ้านต่าง เมือง The Secret Life Of Walter Mitty ภาพยนตร์ที่ว่าด้วย ชีวิตผู้ชายที่สุดจะเรียบ ซ�้ำซาก มักจะฝันกลางวันถึงสิ่งที่ตนอยากท�ำ แต่ ไม่กล้าท�ำ เขาท�ำงานอยู่ ในนิตยสาร Life ในแผนกฟิล์มเนกาทีฟ จนเมื่อถึงคราวที่ Life จะตีพิมพ์เป็นฉบับสุดท้าย ฟิล์มรูปที่ 25 ที่ ช่างภาพยืนยันว่าจะต้องเป็นรูปภาพส�ำหรับขึ้นหน้าปกได้หายไป มิตตี้ จึงต้องออกเดินทางเพื่อน�ำมันกลับมา เมื่อชีวิตคนเราเดินมาถึงช่วงชีวิตเกือบจะเป็นวัยกลางคน เมื่อเรามีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ความกล้าที่จะเสี่ยงมักจะถูก โยนทิ้งไป ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงการเสี่ยงก้าวออกจากบ้าน ไปในที่ ใหม่ๆ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ จนเมื่อมี โอกาสใดๆ สะกิดเรา พาเรา ออกไป เราพบ เราเห็น จึงเริ่มตั้งค�ำถามกับตัวเองว่า วันๆ เรามัวท�ำ อะไรอยู่ ผมรู้สึกอย่างหนึ่งเมื่อดูหนังจบ ใช่! มันเป็นความบังเอิญที่ มิตตี้ ได้พาตัวเองออกท่องโลก แต่มันก็เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นความกล้าจากการตัดสินใจของเขาทั้งหมด เป็น ภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งในชีวิต ที่ภาพแต่ละช็อตนั้นท�ำให้ผมเผลอหยุด หายใจ แต่ละโลเคชั่นระหว่างการเดินทางของมิตตี้นั้นแทบจะเรียกได้ ว่าเป็นภาพ ‘Unseen World’ มีจุดน่าสังเกตภายในหนังเรื่องนี้อยู่สองข้อ ที่คาดว่าเป็น ความตั้งใจที่จะสื่อสารของผู้ก�ำกับ
หนึ่ง - ในหลายๆ ฉากจะพบว่ามีวลี หรือประโยคแฝงอยู่ ตามผนังหรือป้าย ซึ่งหากไม่สังเกตดีๆ ก็จะคิดว่าเป็นป้ายทั่วๆ ไป แต่ข้อความเหล่านั้นล้วนมีความหมายที่ดี และ มีความหมายต่อหนัง มากๆ สอง - ช่วงที่เป็นการเดินทางของมิตตี้ ผู้ก�ำกับเลือกที่จะใช้ ขนาดภาพ Extra Long Shot เป็นภาพขนาดกว้างมากๆ ถ่ายจาก ระยะไกล ท�ำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ความตื่นตาตื่นใจของโลเคชั่น ซึ่งค�ำว่า ‘กว้าง และ ยิ่งใหญ่’ ดูน่าจะน้อยเกินไปหากลองได้ชมเอง โดยมุมกล้องมักจะถ่ายให้เห็นทิศทางการมองของมิตตี้ ว่า เขาเอาแต่ มองเส้นทางข้างหน้า แทบไม่เห็นว่าเขาวอกแวกดูวิวข้างทางเลย จากทั้งสองข้อนี้น่าจะพอไกด์ ให้ทั้งคนที่เคยดูและไม่เคยดู เข้าใจถึงสิ่งที่ผู้ก�ำกับพยายามจะสื่อสาร อีกประเด็นหนึ่งที่หนังสื่อสารได้ชัด คือ เรื่องราวชีวิตของ เรา ในช่วงแรกมิตตี้ ไม่สามารถอธิบายถึงสิ่งที่น่าสนใจในตัวได้ จน กระทั่งในตอนท้าย หลังจากผ่านจากท่องเที่ยว ( โดยบังเอิญ ) เขา จึงมั่นใจในตัวเองขึ้น ไม่มีความรู้สึกที่จะต้องเรียกร้องความสนใจจาก ใคร เพราะประสบการณ์ที่เขาเผชิญส่งเสียงดังมากพอที่จะท�ำให้ ใครๆ สนใจ มันไม่ส�ำคัญเลยว่าคุณจะละเมอเพ้อพกให้คนอื่นฟังอย่างไร ไม่ส�ำคัญว่าใครจะล่วงรู้ว่ามันเป็นเพียงภาพฝันกลางวันของเรา เพราะคนที่เรารู้สึกเขินและละอายเพราะเขารู้ความจริง ก็คือ ‘ตัวเรา เอง’ “ความสวยงามที่แท้จริงไม่เรียกร้องความสนใจ” อีก หนึ่งประโยคจาก The Secret Life Of Walter Mitty ที่ตบหน้าคน ยุคโซเชียลได้แรงพอตัว และท�ำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ควรค่าแก่การชม สักครั้งหนึ่ง
A Song I Listen
เรื่อง : Wallflower T. ภาพ : waytime
ก่อนเดินทางคนเดียว
ถึงเธอ เพื่อนร่วมทางของฉัน
ตอนที่เธออ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ รถไฟที่เธอนั่งก็คง แล่นห่างไปไกลจากจุดที่ฉันยืนส่งเธอแล้ว (แหงล่ะ ก็ฉันเป็นคน สั่งให้เธอเก็บจดหมายไว้อ่านบนรถไฟนี่นา) ที่เลือกเขียนความ รู้สึกมากกว่าพูดออกมาตรงๆ คงเป็นเพราะฉันแสดงความรู้สึก ไม่เก่งล่ะมั้ง ไม่ ใช่ว่าอายที่จะพูดนะ แต่ฉันว่าเรื่องบางอย่างจะ ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่าเวลาที่มันเป็นตัวหนังสือ และเวลาที่ คนเราอยากบอกอะไรกับใครสักคน มันก็ควรจะถูกถ่ายทอดออก มาในรูปแบบที่ดีที่สุดส�ำหรับช่วงเวลานั้น จริงไหม? ตอนเขียนจดหมายฉบับนี้ ฉันนั่งดูรูปของเราไปด้วย แปลกดีที่ฉันไม่ค่อยได้เปิดดูรูปสวยๆ เท่าไหร่ แต่ดันชอบดูรูป หลุดๆ ที่ถ่ายเล่นกัน มีอยู่รูปหนึ่งเธออ้าปากนิดๆ หน้าโคตร เหวอเลย ฮ่าๆ แต่มันกลายเป็นรูปที่ฉันชอบมากที่สุดไปซะแล้ว เพราะรูปนั้นท�ำให้ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่ ได้อยู่กับเธอ... สงสัยฉัน จะจดจ�ำผู้คนระหว่างทางได้จากสิ่งที่ท�ำร่วมกันล่ะมั้ง ดังนั้นเวลา ที่นึกถึงเธอ ฉันก็คงคิดถึงช่วงเวลาที่เราเดินเล่นด้วยกัน เพราะมัน เป็นช่วงเวลาที่เราได้ท�ำความรู้จักกันเยอะที่สุด ได้พูดคุย ได้เดิน ฟังเพลงไปด้วยกัน ได้สะกิดเรียกให้ดูความสวยงามของสิ่งที่อยู่ ข้างทาง และต่อจากนี้ ไม่ว่าจะไปที่ ไหนฉันก็คงคิดถึงเธอ ฉันคิด ว่าการเดินทางไปไหนกับใครสักคนเป็นเรื่องที่ท�ำให้มีความสุขแต่ ก็เศร้าไปในเวลาเดียวกันนะ เพราะถ้าได้กลับมาที่นี่อีกครั้งในวัน ข้างหน้า ฉันก็คงคิดถึงตอนที่มีเธอยืนอยู่ข้างๆ ก่อนหน้านี้ฉันเคยถามเธอว่า เราคิดดีแล้วใช่ ไหมที่ ตัดสินใจแยกกันไปตามทางที่ตัวเองเลือก เธอบอกฉันว่าไม่รู้ เหมือนกันว่ามันจะดีจริงๆรึเปล่า รู้แค่ว่าถ้าเรายังฝืนเดินทาง
ด้วยกันต่อ ก็คงมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมานั่งเสียดายทีหลังที่ ไม่ ได้ท�ำ อะไรที่ตัวเองอยากท�ำจริงๆ เพียงเพราะอยากรักษาค�ำว่า “เรา” เอาไว้ ตอนนั้นที่ฉันเงียบไปก็ ไม่ ใช่ว่าโกรธเธอหรอก แต่เพราะ รู้อยู่แก่ ใจว่าเธอพูดถูก ในเมื่อจุดหมายปลายทางของเราต่าง กัน แยกกันไปตั้งแต่ตอนนี้ก็คงดีกว่า เพราะยังไงวันที่ต้องจาก กันก็มาถึงอยู่ดี ที่ผ่านมาเราอาจจะเคยมีความฝันแบบเดียวกัน แต่ตอนนี้เราต่างเติบโตและเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าไม่มี ใคร อยากให้อะไรเปลี่ยนไปหรอก แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ ได้ หรือบางที...คนเราเดินทางมาเจอใครสักคน ณ ช่วงเวลาหนึ่งของ ชีวิตก็เพื่อจะได้สร้างความทรงจ�ำร่วมกัน และจากกันไปในสักวัน หนึ่ง... ขอบคุณมากนะที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงวันนี้ เธอเอง ก็คงไม่ลืมช่วงเวลาที่ผ่านมาง่ายๆ หรอกเนอะ เราผ่านอะไรด้วย กันมาตั้งเยอะ ได้ ไปเที่ยวด้วยกัน ได้ท�ำอะไรสนุกๆ บางทีก็ หลงทางด้วย ทะเลาะกันก็บ่อย แต่เรายังรักที่จะเดินทางด้วย กันเสมอ ฉันอาจจะเคยเดินทางกับคนอื่นมาแล้วหลายครั้ง แต่ อยากให้รู้ว่าการเดินทางกับเธอคือช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุด ถ้าไม่มีเธอเรื่องราวเหล่านั้นก็คงไม่เกิดขึ้น และชีวิตฉันก็คงไม่มี อะไรให้จดจ�ำมากขนาดนี้ พอเธออ่านมาถึงตรงนี้ ฉันก็คงก�ำลังขึ้นรถไฟอีกสาย หนึ่งเพื่อออกเดินทางต่อไป ถึงแม้ว่าการเดินทางคนเดียวจะ ท�ำให้เหงา แต่ก็ต้องมีอะไรรออยู่ข้างหน้าแน่ๆ ฉันคงได้เจอ เพื่อนร่วมทางหน้าใหม่อีกมากมาย แต่ฉันจะไม่ลืมเธอแน่นอน ขอให้ โชคดีกับเส้นทางที่เลือกนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย
แรงบันดาลใจจากเพลง “A Step You Can’t Take Back” ( ost. Begin Again ) - Keira Knightley
25
Away From Thailand
INDIA
อินเดีย & อเมริกา
Follow Miter
เรื่องและภาพ : aposaof
คุณ : No! Auto: Ok, ok more extra 30rs.
คุณ : No extra Auto: No No!
คุณ: เดินไปเรียกคันใหม่ Auto: Madam Madam OK go go!
เอาล่ะ วันนี้จะเล่าวิธีการโดยสารAuto rickshaw โดยไม่ถูกโกง หรือ ถูกโกงน้อยที่สุด (ก็ยังดี) สมมุติว่าคุณจะไป MG ROAD (แหล่งรวม ชอปปิ้งหรือสยามสแควร์ ของเมืองบังกะลอร์) และนี่คือบทสนทนา ระหว่าง คุณ และ Auto rickshaw
ลงจากรถมาเรียกคุณเลย ด้วยความ เป็ น คนต่ า งชาติ เ ลยต้ อ งต่ อ รองกั น คอแห้ ง สั ก หน่อย แต่ถ้าคุณอยู่นานจนคุ้น คุณจะเป็นคน ต่อรองกับ Auto rickshaw มากกว่าที่ Auto rickshaw จะต่อรองคุณซะอีก เช่น Mg Road follow meter only ,No extra จบภายใน ประโยคเดียว ระหว่างทางคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ บนหลังงู เลื้อยอยู่บนสนามแข่งRally เส้นทาง เป็นหลุม Auto บางคันไม่มี โช็คอัพ (ถ้าท้องอยู่ ก็อาจแท้งได้) ไม่แคร์เส้นขีดแบ่งเลนใดๆ ใกล้ชิด รถคันอื่นแบบห่างกันเพียงฝ่ามือเดียวเบรคแบบ กระชั้นชิดในเวลาเดียวกัน เพื่อที่หลังจากนั้นจะ เลื้ อ ยออกซ้ า ยหรื อ แซงขวาเพื่ อ หลบหลุ ม โดย ไม่มีการเปิดไฟเลี้ยวหรือมองกระจกข้างใดๆทั้ง สิ้น จากนั้นเราจะได้ยินเสียงแตรหรือเสียงเบรค รถข้างหลังแบบชัดเจน วินาทีเหล่านั้นสามารถ ท�ำให้เราได้ตระหนักหวนระลึกถึงคนที่เรารักได้ ไม่น้อยเลยทีเดียว สุดท้ายเราก็ ได้มาถึง Mg road โดยสวัสดิภาพ ราคามิเตอร์ทั้งหมดคือ 70 รูปี และเนื่องจากแบงค์ย่อยหายาก คุณอาจจะมี แต่แบงค์ 100 รูปีเท่านั้น
คุณ : Mg road Auto: 200 rs. (รูปี)
คุณ : (จ่ายเป็นแบงค์ 100 รูปี) Auto : Madam, No change (ไม่มีเงินทอน)
คุณ : No! Follow meter only Auto: 150 rs.
แล้วกูจะต่อท�ำไมวะเนี่ยยยยยย!!!!!!!
คุณ : No! Auto: Ok One and half (แปลว่าค่ามิเตอร์เท่าไหร่จะเพิ่มไปอีกครึ่งหนึ่ง)
หากคุณก�ำลังหาอะไรแปลกใหม่ ให้กับชีวิต และก�ำลังถาม หาว่าคุณเกิดมาท�ำไม … นอกจากรถโดยสารเคลื่อนที่เร็วหมายเลขแปดของกรุงเทพ แล้ว ทางเราขอส่งรถ Auto rickshaw (คล้ายรถตุ๊กตุ๊กไทย) เข้า ประกวด สายด่วนแตรดัง เบรคดี ขับคล่องทุกช่องแคบมาให้คุณลอง นั่ง นอกจากนั้น มาลองวัดทักษะความใจแข็งของคุณได้จากการต่อรอง ราคา เมื่อคุณมาอยู่ ณ เมืองภาระตะแห่งนี้ สิ่งแรกที่คุณจะต้องท�ำใจ ให้ ได้ คือ ความที่คุณเป็นชาวต่างชาติในสายตาของพวกเขา เราก็ ไม่ ต่างอะไรกับเนื้ออาหารชั้นดีที่คอยแต่จะโดนเชือดเฉือนทุกวิถีทาง ทุก อย่างจะถูกอัพราคาจะเป็นสองเท่าทันที ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ sim card การซื้อตั๋วรถทัวร์ หรือแม้แต่การเรียกรถ Auto rickshaw ก็ตาม
*** มิเตอร์เริ่มต้น 25รูปี (เมืองบังกาลอร์)
USA
เรื่องและภาพ : Rin Jenwarin
หน้ากากของผู้ชม
" Give a man a mask and he'll become his true self " - joker
สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกๆ คน วันนี้รินจะมาขอเล่าเรื่องประสบ การณ์ที่ ได้ ไปดูบรอดเวย์ที่หลุดโลกมากๆ เรื่องหนึ่งในระหว่างที่ ได้ ไป นิวยอร์กเมื่อช่วงซัมเมอร์ก่อนเปิดเรียนนะคะ ละครเวทีบรอดเวย์คือ ละครกลุ่มละครเวทีระดับโลกในมหานครนิวยอร์ก ละครบรอดเวย์ หนึ่งเรื่องเช่นเรื่อง The Lion King, Wicked หรือ Mama Mia! จะมี โรงละครส�ำหรับแต่ละเรื่องเป็นของตัวเอง ตัวอย่างเช่น The Lion king จะมี โรงที่เล่นเรื่องเดิมทุกวัน และเรื่องอื่นๆ จะเล่นที่ โรง ของเรื่องตัวเองทุกๆ วัน ฉะนั้นละครที่เป็นของบรอดเวย์นั้นไม่ ใช่เพียง คนกลุ่มๆ เดียวที่เล่นละครหนึ่งเรื่องในเวลา 3 เดือนแล้วเล่นเรื่องต่อ ไปเหมือนกับที่รัชดาลัยที่ประเทศไทยค่ะ ถ้าหากทุกคนลองนึกภาพด้านในโรงละครปกติ ทุกคนก็จะนึกถึงโถง ขนาดใหญ่ที่มีเวทีอยู่ด้านหน้า และมีที่นั่งเป็นแถวเรียงกันขึ้นไปใช่ ไหม คะ แต่ละครบรอดเวย์เรื่อง ‘SLEEP NO MORE’ ที่รินจะพูดถึง นี้ เป็นละครที่ต่างจากละครเวทีทั่วๆ ไปเป็นอย่างมาก เพราะแทนที่ จะเป็นโรงละครปกติ ซึ่งจะมีเวที มีที่นั่งเป็นแถวๆ แต่ โรงละครเรื่องนี้ กลับเป็นตึก 5 ชั้น ทั้งตึก! สงสัยกันล่ะสิ “หา? โรงละครเป็นตึก 5 ชั้น? แล้วจะดูกันยังไงล่ะ?” ค�ำตอบก็คือ เราจะต้องเดินดูเรื่องราวด้วยตัวเอง The McKrittick Hotel คือ ชื่อของโรงละครที่ว่านี้ เป็นโรงแรมเก่าที่ถูกเปลี่ยนโฉม ด้านในเกือบทั้งหมดให้กลายเป็นเวทีที่เหมาะส�ำหรับเรื่อง Sleep No More นั่นเองค่ะ
เมื่อผู้ชมยืนเป็นแถวเรียงรายเพ่ือจะรอเข้า รับชมละคร เหล่าพนักงานโรงแรม (นักแสดง) จะ แจกหน้ากากสีขาวให้ทุกคนใส่ กฎก็คือ เมื่อคุณ ได้เข้าสู่ โลกแห่งละครแล้ว ห้ามถอดหน้ากาก และห้ามพูด - แต่คุณจะวิ่งไปห้องไหนก็ ได้ ชั้น ไหนก็ ได้ ดูอะไรก็ ได้ เมื่อไหร่ก็ ได้ แล้วแต่ ใจเรา อยาก เราสามารถนั่งอยู่ห้องเดิมเพื่อดูว่าเกิดอะไร ขึ้นในห้องนี้บ้าง หรืออยากจะวิ่งตามตัวละคร (ผู้ ไม่ ใส่หน้ากาก) หนึ่งตัวเพื่อดูว่าเขาไปท�ำอะไรบ้าง ก็ ได้เช่นกัน เพราะละครเรื่องนี้เป็นเรื่องๆเดียวกัน แต่ตัวละครแต่ละตัวนั้นมีเรื่องราวย่อยของตนเอง ออกมาที่เล่นไปพร้อมๆ กัน แล้วแต่ว่าเราจะได้ ไป พบเจอตัวละครไหนที่เวลาใด จะระหว่างเรื่องจะมึ ทั้งฉากงานเลี้ยงที่นักแสดงทุกคนมารวมตัวอยู่ ใน ที่เดียวกัน และมีทั้งฉากเดี่ยวที่ตัวละครอยู่เพียง ล�ำพัง ตอนในทุกคนก�ำลังจะสงสัยอยู่ ในใจว่า “อ้าว แบบนี้เราก็ดูได้ ไม่หมดทั้งเรื่องน่ะสิ?” ถูกต้องแล้ว ค่ะ! นี่คือเสน่ห์ของ Sleep No more เพราะเป็น เรื่องที่เมื่อเข้าไปดูแล้ว ทุกคนจะได้อะไรออกมาไม่ เหมือนกัน เป็นประสบการณ์ที่เป็นเพียงของเราคน เดียว ในสิ่งที่เราสนใจอยากรู้จริงๆ แต่ ไม่ต้องห่วง นะคะว่าเข้าไปดูแล้วจะไม่คุ้ม เพราะการแสดงใน หนึ่งคืน ทีมนักแสดงจะเล่นเรื่องเดิมวนอย่างติดต่อ กันถึงคืนละสามครั้งโดยที่ ไม่มีการคั่นระหว่างรอบ เพื่อให้คนดูได้มองเห็นมุมอื่นๆ ในเรื่องเดิมนี้มากขึ้น อีกด้วย คล้ายๆ กับเวลาเราดูหนังเรื่องเดิมซ�้ำแล้ว ได้มองเห็นรายละเอียดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างหนึ่งที่ท�ำให้ Sleep No more เป็นละครที่หลุดโลกอย่างสุดๆ ก็คือ ละครเรื่อง นี้ ไม่มีค�ำพูดค่ะ นักแสดงทุกคนใช้ท่าทางในการ สื่อสารออกมาทั้งหมด ภาษากายเป็นภาษาที่ ไม่ ว่าใครๆ ก็เข้าใจได้ การสื่อสารนั้นจึงไร้ซึ่งขอบเขต จริงๆ จึงนับได้ว่าละครเรื่องนี้เป็นละครที่ผู้ชมได้รับ สารผ่านทั้ง 5 ประสาทสัมผัส - รูป รส กลิ่น เสียง และ สัมผัส - โดยแท้จริง เป็นละครที่เมื่อคุณกลับ มาถึ ง ห้ อ งแล้ ว ยั ง คงคิ ด วนค� ำ นึ ง ถึ ง มั น จนนอน ไม่ หลับตามชื่อเรื่องบอกเลยค่ะ ทุกคนพร้อมที่จะเข้าสู่ คืนอันไร้ซึ่งการนอนหลับหรือยังคะ? เกร็ดความรู้ : ที่ทีมผู้สร้างให้ผู้ชมใส่หน้ากากเพราะต้องการ สลายตัวตนให้เราหายกลายเป็นอากาศที่ ไม่มี ใครมาตัดสิน ท�ำให้ เราดึงธรรมชาติของเราออกมา ให้เรากล้าค้นหาในสิ่งที่เรา กระหายอยากรู้มากยิ่งกว่าเดิม 27
Another Language
ภาษาอังกฤษ & มลายู
พกศัพท์ไปนอก Sawasdee English
บทความ : Faraway
สวัสดีคะคุณผูอาน O-N Magazine ที่นารักทุกทาน พบกันอีกแลวนะคะกับ Sawasdee English ^^ เมื่อฉบับที่แลว เราพูดถึงการ Recycle การใช Have กับ Do ไป แตฉบับนี้เราจะเหินฟาไปเรียนรูคลังศัพทสำหรับการออกนอกประเทศกันคะ อยางแรกเลยไปตางประเทศเราใช go abroad / go overseas นะคะ ไม ใช go inter หรือบางคนใชคำนี้ เพื่อใหรูวา ดังไปทั่วโลก แตภาษาอังกฤษที่ถูกตองใช go global คะ ( go inter เปนคำที่วัยรุนไทย only ใชกันฝรั่งฟงอาจจะงงไดนะคะ ) มาเขาเรื่องกันดีกวาคะ หลายคนไมคอยไดเดินทาง ยิ่งไปตางประเทศไมตองพูดถึง --กลัว!!! ทั้งภาษาที่เราพูดไม ไดและความ แตกตางที่เราไมคุนเคย เลยไดแต ไป see my friend off at the airport สงเพื่อนที่สนามบิน ( ไม ใช send นะคะ เพราะ send ใชสงสิ่งของเทานั้นคะ ) แตถาเรามี โอกาสได ไป สิ่งแรกที่เราตองเตรียมสำหรับไปตางประเทศ คือ Passport - หนังสือเดินทาง พรอมกับ Boarding Pass – ตั๋วเครื่องบิน เปนหลักฐานติดตัวพรอมผานชองสำหรับ Departure - ผู โดยสารขาออก เพื่อจะได ไปเดินผานชอง Arrival - ผู โดยสารขาเขา เขาไปยังประเทศเปาหมายของเราคะ แตกวาจะไดเขาประเทศของคนอื่นเนี่ย ทุกคนจะ ตองผานจุดวัดใจที่เรียกวา ตม.!! ดานตรวจคนเขาเมือง หรือ Immigration กันกอนนั่นเองคะ ทั้งๆ ที่เราไม ไดทำผิดอะไรเลยยย (เสียงสูง 55+) และเขาประเทศคนอื่นอยางถูกตอง แตจะผานจุดนี้ที ไรก็แอบกลัวไม ได ใชมั๊ยคะ อยาไปกลัวคะ!! สั่นสู ไปเลย ^^ ดวยภาษาอังกฤษอัน Professional - มืออาชีพ ของเรา ฮิ้วววววว คำถามที่เรามักจะไดยินจากพี่ๆ ตม. หนาโหดอยางแรกเลยก็คือ “Could I see your passport, please?” เราก็อยา ยืนยิ้มทำหนางงนะคะ รีบยื่น Passport ของเราใหพี่แกดูไวๆ แต โดยดี และถาหนาเรากับหนาใน Passport มีสำเนาถูกตองพี่แกก็ จะเบาใจไปหนอยนึง แตอาจจะซักขอมูลของเราอีกเล็กนอย เชน “Where will you be staying?” - “คุณจะพักที่ ไหน” เราก็ ตอบไปเลยวา “I will be staying at …place - สถานที่ที่เราพัก…” หรือ “How long do you plan to stay here?” “คุณจะพักนานแค ไหน” ก็ตอบไปเลยวา “I plan to stay here for + จำนวนวัน เชน 3 days/ a week” สวนคำถามอื่นๆ ที่ อาจจะถูกถาม เชน “What’s the purpose of your trip today?” - “เปาหมายในการเดินทางของคุณคืออะไร” ถาเรามาเที่ยว ก็ตอบไดเลยวา “I’m coming for travelling.” เปนตนคะ
เห็นมั้ยคะ ไมยากเกินความสามารถ แคตั้งใจฟงดีๆ ตอบสั้นๆ กระชับ ให ได ใจความ แคนี้ก็สามารถเดินผานจุดทดสอบภาษาอังกฤษดานแรกไปไดแลว ที่เหลือก็ ใชความ Professional ของเราอีกเชนเคย ลุยดาบหนาเลยนะคะ สูๆ คะ :)
28
สุดทายไหนๆ นิตยสารฉบับนี้ก็เนนเรื่องการเดินทางซะขนาดนี้ เราจะหมกตัวอยูบานอุดอูดูซีรียเกาหลีกันทำไม ออกไปเดินทางหาประสบการณครั้งแรกในชีวิตกันดีกวา “ เพราะชีวิต ใชซะ! ” เอาภาษาอังกฤษไปใชดวยนะคะ ลุยโลดคะ!!!!!
" ฉันชื่อ . . ." หรรษาภาษามลายู
บทความ : ณ ทรายขาว
กลับมาพบกันอีกแลวนะคะ สำหรับคอลัมนหรรษาภาษามลายู ในครั้งที่แลวพวกเราไดเรียนรูวิธีหรือ ประโยคบอกรักเปนภาษามลายูกันไปแลว มาในคราวนี้เราจะมาเรียนรูถึงประโยคการแนะนำตัวเองเปนภาษา มลายูกันบางนะคะ ( ความจริงเรานาจะเรียนเรื่องนี้กอนหรือปาวฟระ กอนที่จะไปบอกรักคนอื่นเคา 555 ) สำหรับในภาษามลายูนั้น เวลาที่เราจะบอกคนอื่นวาเราชื่ออะไร เราจะใชคำพูดวา Nama Saya... อานวา นา-มา ซา-ยา... และใหตามดวยชื่อของเราเอง ซึ่งจะแปลความวา ฉันชื่อ... โดยที่คำวา Nama อานวา นา-มา แปลวา ชื่อ สวนคำวา Saya อานวา ซา-ยา แปลวา ฉัน และที่จุดๆ ไว ใหพวกเราใสชื่อของตัวเองตามลงไปไดเลยคะ เชน สมมติวา เพื่อนๆ ชื่อ ไมค ก็ ใหพูดแนะนำตนเองเปนภาษามลายูวา Nama Saya Mike ก็จะอานวา นา-มา ซา-ยา ไมค ซึ่งจะแปลวา ฉันชื่อไมค เพียงเทานี้ก็เรียบรอยแลวคะ หรือหากเพื่อนๆ ชื่อหนูดี เพื่อนๆ ก็สามารถแนะนำตัวเองเปนภาษามาลายูไดวา Nama Saya NuDee อานวา ซา-ยา นา-มา หนูดี แปลวา ฉันชื่อหนูดี เปนตน
เปนยังไงบางคะ สำหรับการแนะนำตนเองเปนภาษามลายูสั้นๆ ในวันนี้ งายมากเลยใช ไหมคะ อยากใหเพื่อนๆ ลองนำประโยคเหลานี้ ไปฝกพูด ฝกคุยกันดูบอยๆ เพราะมันจะทำเราก็จะเกงขึ้นเรื่อยๆ คะ แลวพบกันใหม ในครั้งตอไปนะคะ สำหรับตอนนี้สวัสดีคะ ^-^ 29
พื้นที่เล็กๆ
เรื่องและภาพ : nropapin
[ แบก แพ็็ค เก้อ ] มีคำจำกัดความมากมาย..ที่บอกความหมายของแบ็คแพ็คเกอรไว ไดอยางนาสนใจ แตสำหรับฉันความหมายเหลานั้นดูหางไกล เกินกวา..จะลงมือทำ แลวความคิดเปลี่ยนไป..เมื่อฉันไดลองพาตัวเองไปดู รู และอยูกับมันจริงๆ สักครั้ง ฉันกลับนิยามมันในแบบของตัวเองที่แสนงาย และใกลที่จะไปถึง ฉันแค... แบก กระเปาสะพายไวขางกายใหคลองตัวที่สุด เผื่อไวเดินไกล วิ่งซาย กระโดดขวา จะได ไมมีภาระเกินตัว แพ็ค ปจจัยใหนอยที่สุด เอาที่สำคัญ เทาที่จำเปน กับการดำรงชีวิตใหอยูรอดปลอดภัยตลอดทริป เกอ เมื่อเจอสิ่งที่ ไมคาดฝนอยูตรงหนา ฉันอาจหลงทาง โดนหลอก หรือพบมิตรภาพที่งดงาม เสียงหัวเราะ ความประหลาดใจ น้ำตาที่เออจนไหล ใหเสนหบางอยาง ที่ ไมมี ไกดบุคเลมไหนตอบไดตายตัว สถานการณเดียวกัน อาจมีวิธีแก ไข และการใหคำตอบที่แตกตางกันไป ใครเลาจะลวงรู..จนกวาจะไปลองดูดวยตัวเอง ฉันอยากใชพื้นที่เล็กๆ ตรงนี้ ชวนเธอสักครั้ง ไปแบก แพ็ค และ เกอ..เพื่อหานิยามในแบบของตัวเราเองกัน !!
30
A Picture I Draw
ภาพ : เงาเมฆ
y a W r u o Beyond Y
31
Next issue > > >
O-N l 03 2014 NOVEMBER เร็วๆ นี้ :)