บทบรรณาธิการ
ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำ�เนินงานด้านพันธกิจสัมพันธ์ กับสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเล็งเห็นความสำ�คัญของชุมชนท้องถิ่นอำ�เภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐมซึ่ง เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีวัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และประวัติศาสตร์ความเป็นมา อันยาวนาน ในการนี้เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารประจำ�ท้องถิ่นอำ�เภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ให้เป็นที่แพร่หลาย รวมถึงเปิดโอกาสในการแสดงความคิดเห็นและเพิ่มช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของ มหาวิทยาลัยมหิดลมากยิ่งขึ้น ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ จึงขอเปิดตัววารสารเล่มใหม่ล่าสุด โดยใช้ชื่อว่า “เพลินพุทธมณฑล” สำ�หรับเผยแพร่แก่ชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นรวมถึงผู้ที่สนใจทั่วไป ซึ่ง วารสารเพลินพุทธมณฑล มีกำ�หนดจัดทำ�ปีละ ๓ ฉบับ (ราย ๔ เดือน) ทั้งนี้ ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษาขอเชิญ ชวนผู้บริหาร คณาจารย์ หน่วยงานท้องถิ่น หรือผู้ที่สนใจทั่วไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งข้อมูลข่าวสารหรือ บทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารเพลินพุทธมณฑล สำ�หรับนำ�เสนอข้อมูลข่าวสารและสาระที่น่าสนใจและเป็น ประโยชน์แก่ชุมชนท้องถิ่นอำ�เภอพุทธมณฑลต่อไป บรรณาธิการ
เพลินพุทธมณฑล
ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ (ตุลาคม ๒๕๕๘ – มกราคม ๒๕๕๙) ISSN ๒๔๖๕-๔๕๖๖ บรรณาธิการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล กองบรรณาธิการ นางสาวพัชรี ศรีเพ็ญแก้ว นางสาววรรณิดา อาทิตยพงศ์ ออกแบบปก นายสุทธิพงษ์ ตะเภาทอง ออกแบบรูปเล่ม พิชญาพรรณ ฐิตาสยะวงศ์ จัดพิมพ์โดย ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา สำ�นักงานคณบดี ชั้น ๗ อาคารสิริวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ๙๙๙ ถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ตำ�บลศาลายา อำ�เภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ๗๓๑๗๐ การติดต่อ โทรศัพท์ ๐ ๒๔๔๑ ๔๔๐๑ – ๘ ต่อ ๑๗๓๑ โทรสาร ๐ ๒๔๔๑ ๔๔๑๐ Email: lats.mu@hotmail.com กำ�หนดเผยแพร่ ปีละ ๓ ฉบับ (ราย ๔ เดือน) พิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด สามลดา โทรศัพท์ ๐ ๒๘๙๕ ๒๓๐๐ – ๓, ๐ ๒๔๖๒ ๐๓๘๐
**หากสนใจร่วมส่งบทความหรือข้อมูลข่าวสาร เพื่อเผยแพร่ในวารสาร “เพลินพุทธมณฑล”
สามารถส่งเนื้อหาพร้อมข้อมูลติดต่อกลับได้ที่ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ อีเมล lats.mu@hotmail.com (กรณีเขียนด้วยลายมือสามารถส่งข้อมูลได้ทางโทรสาร เบอร์ ๐ ๒๔๔๑ ๔๔๑๐) ประกอบด้วยชื่อคอลัมน์ ชื่อบทความ ชื่อผู้เขียน เนือ้ หา และภาพประกอบ ความยาวไม่เกิน ๒ หน้ากระดาษ A4 (กรณีสง่ เฉพาะข้อมูลข่าวสาร ให้สง่ เนือ้ หาความยาวไม่เกินครึง่ หน้า กระดาษ A4 พร้อมภาพประกอบ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โทร ๐ ๒๔๔๑ ๔๔๐๑ – ๘ ต่อ ๑๗๓๑)
1
สารบัญ
บทบรรณาธิการ.................................................................๑ ส�ำราญกมลเริงรสพจนกานท์...........................................๓
พงษ์อรรถพร วีรพรพงศ์ (นามปากกา)
ภาพเก่าเล่าเรื่อง..................................................................๔
พระราชทานนาม “มหาสวัสดี”
อภิลักษณ์ เกษมผลกูล
ศาลายาในหน้าประวัติศาสตร์:.............................................๕
๑๒๐ ปี ย้อนรอยเส้นทางประวัติศาสตร์ กับการเดินทางของพระอินทราธิบาลสู่ “ศาลายา” อภิลักษณ์ เกษมผลกูล
คุยกับคนดัง: .............................................................................. ๘
คุยกับนายอ�ำเภอพุทธมณฑล “นายอังกูร สุ่นกุล” วรรณิดา อาทิตยพงศ์
ลานชุมชน: ...............................................................................๑๒
เมื่อผักตบชวา (จากคลองนราภิรมย์) ให้ค่า มีคุณ วรรณิดา อาทิตยพงศ์
ร้อยเรื่องราว: ....................................................................... ๑๗
เรียนรู้ ต่อยอด บูรณาการ เพื่อพัฒนาชุมชน วรรณิดา อาทิตยพงศ์
ชาวพุทธมณฑล: ...................................................................๒๑ สวัสดีปีใหม่ พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง
ศิลปินแห่งชาติพุทธศักราช ๒๕๔๓ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์) วรรณิดา อาทิตยพงศ์
ข่าวสารมหาวิทยาลัยมหิดล ........................................ ๒๒ เกร็ดวิถีชีวิต: .................................................................๒๓
ประเพณีตักบาตรท้องน�้ำวัดสุวรรณาราม นายแพทย์วัฒนา เทียมปฐม
เล่าสู่กันฟัง: ............................................................................ ๒๕
งานวันรวมพลังผู้อาวุโสพุทธมณฑล
ประภา คงปัญญา
เรื่องเล่าชาวคลองโยง: ...................................................... ๒๗
บ้านนอก
วลี สวดมาลัย
แนะน�ำหนังสือคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล..... ๒๘ ข่าวประชาสัมพันธ์อ�ำเภอพุทธมณฑล...........................๒๙ ศาลายาผ่านเลนส์............................................................๓๑
2
ส�ำราญกมลเริงรสพจนกานท์
พระศรีศากยะทศพลญาณ
ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ ประทานพร พงษ์อรรถพร วีรพรพงศ์
๏
พระศรี ศากยะ ทศ พลญาณ ประธาน พุทธ มณฑล สุทรรศน์
พุทธะโรจน์เรื้อง สวัสดิ์จรัสฉลอง ทิศพิสิฐวิจิตรตระกอง หยั่งสุริยะจ้า ในศุภสถานทิพย์นี้ เขตวิเศษวิสุทธิ์บวร วิวรรธน์นิรันดร สาธุจิตประสิทธิ์ให้
เรืองรอง เลิศหล้า กรรมรัศมิ์ แจ่มแจ้งเจิมใจ ศรีนคร ว่าไว้ ดิลก ห่างสิ้นเศษผง
๏ พรสรรค์สวรรค์วรพิสุทธิ์ พรแพร้วพระแผ้วจิรธำ�รง ๏ พรเพริศประเสริฐจตุรพิธ พรพรรควิศิษฏ์ถิรประทาน
ลุวิมุตติมนุญพงศ์ สิริสมเกษมศานต์ ศุภมิตรเจริญนาน สุมนัสพระธรรมธร
๏ ถิ่นทองศาลายา รักษาปัญญากร ๏ ถิ่นทองคลองโยงนั้น สายธารสานธรรมไซร้ ๏ ถิ่นทองมหาสวัสดิ์ ตำ�บลมีตำ�นาน
แดนวิชาอดิศร ป้องประเทศปกเกศไทย โยงผูกพันอย่างยิ่งใหญ่ เส้นทางลัดนมัสการ ชนพิพัฒน์ชาติไพศาล แหล่งคนดีมีจรรยา
๏ คืออำ�เภออันอุดมสมบูรณ์นัก คือแหล่งค้นแหล่งเรียนรู้ภูมิปรัชญา ๏ กี่ร้อยปีอำ�เภอนี้ก็เปี่ยมสุข กี่รุ่นแล้วที่สืบสานขับขานชัย
พุทธพิทักษ์ธรรมภิบาลคอยรักขา พุทธนำ�พาธรรมนำ�ทางสว่างใจ พุทธดับทุกข์ธรรมดักมารต้านทานได้ พุทธสุกใสธรรมนุสนธิ์ทุกคนเทอญ ๚ะ๛
3
ภาพเก่าเลาè เรื่อง
พระราชทานนาม “มหาสวัสดี” อภิลักษณ์ เกษมผลกูล
ส�ำเนาต้นฉบับตัวเขียนหมายรับสั่งรัชกาลที่ ๔ เรื่อง พระราชทานชื่อคลองมหาสวัสดี และคลองเจดีย์บูชา ปัจจุบันเก็บรักษา ณ ฝ่ายเอกสารโบราณ ส�ำนักหอสมุดแห่งชาติ ในปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๕ หลังจากที่ขุดคลองเสร็จแล้ว ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อคลองที่ขุดใหม่ว่า “มหาสวัสดี” เพื่อให้คู่กันกับคลอง “เจดียบูชา” ดังความปรากฏในหมายรับสั่ง รัชกาลที่ ๔ ดังนี้ “อนึง เพลาบ่าย ๔ โมงเสท นายนอยต�ำรวจวังมาสังวา ด้วยเจาพระยารวิวงษมหาโกษาธิบดีรับพระบรมราชโองการ ไสเกลาฯ ทรงพระกรรุณาโปรฏเกล้าฯ ด�ำรัษเหนือเกล้าสังวาคลองวัดไชยพฤกษมาลาขุดทลุออกไปล�ำแม่น�ำเมือง ณคอรไช ศรีนั้น ยังหาไดพระราชทานชื่อคลอง บัดนีพระราชทานชือวา คลองมหาสวัสดีจะไดคูกันกับคลองเจดีย”
4
ศาลายาในหนาé ประว ั ติศาสตรì
ศ า ล า ย า ใ น ห นé า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต รì
๑๒๐ ปี ย้อนรอยเส้นทางประวัติศาสตร์ กับการเดินทางของพระอินทราธิบาลสู่ “ศาลายา”
อภิลักษณ์ เกษมผลกูล
ศ า ล า ย า ใ น ห นé า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต รì เมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ พระ อินทราธิบาล นายเสนองานประภาคาร เดินทางไปตรวจราชการในส่วนที่รับผิดชอบ ณ เมืองนครไชยศรี โดยออก เดินทางระหว่างวันที่ ๑๓ - ๒๒ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๕ (พ.ศ. ๒๔๓๙) ในการนี้พระอินทราธิบาลได้เดินทางผ่าน บ้านศาลายา และได้บันทึกสภาพภูมิประเทศและความเป็นอยู่ของราษฎรไว้พอสังเขปใน “รายงานระยะทางเมือง นครไชยศรี” อันจักเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ศาลายา รายงานฉบับนี้ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ ณ หอ จดหมายเหตุแห่งชาติพระนคร เลขที่เอกสาร หจช. ม.ร.๕ ม/๒๙/๑ ต้นฉบับรายงานระยะทางเมืองนครไชยศรี ของพระอินทราธิบาล ระยะทางเมืองนครไชยศรี ม. ๒.๑๔/๖ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๕
ข้ า พระพุ ท ธเจ้ า พระอิ น ทราธิ บ าล นายเสนองาน ประภาคาร ฃอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่า ละอองธุลีพระบาท ด้วยฃ้าพระพุทธเจ้าได้กราบถวายบังคมลา แล้วไปตรวจราชการตามหัวเมืองมณฑลนครไชศรีแลเมืองราช บูรีนั้น ได้ท�ำระยะทางกราบบังคมทูลพระกรุณาดังมีต่อไปนี้ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๕ เวลา ๒ ทุ่ม พร้อมกัน ได้ออกเรือไปตามล�ำคลองบางกอกน้อย เวลา ๒ ทุ่ม ๒๕ มินิต ถึงน่าโรงต้มฝิ่นเก่า เวลา ๔ ทุ่ม ๓๕ มินิต เข้าคลองมหาสวัสดี เวลา ๕ ทุ่ม จอดที่น่าโรงพักพลตระเวรต�ำบลบางระนก แขวง กรุงเทพฯ มีเรือราษฎรประมาณ ๔๐ ล�ำ จอดอยู่ด้วย ได้ถาม นายเป้า นายพลตระเวรๆ บอกว่าที่นี่มีพลตระเวร ๑๑ คน น่า ที่ฃองพลตระเวรนี้ส�ำหรับรับส่งเรือราษฎรในเวลากลางคืน ถ้า เรือราษฎรเฃ้ามาให้รอจอดอยู่ก่อนเมื่อถึงก�ำหนด แล้วมีพล ตระเวรไปส่งเรือราษฎร ก�ำหนดนั้นแล้วแต่คราวน�้ำที่จะไปได้ แต่เวลากลางวันนั้นบางทีก็ไปตรวจตามล�ำคลองบ้าง ที่โรงพัก นั้นมุงหลังคาสังกสีมีระเบียงรอบ มีปืนสะไนเตอ ๑๐ กระบอก เวลา ๕ ทุ่ม ๓๐ มินิต พลตระเวรเป่าแตรสัญญาให้เตรียม ตัวออกเรือพร้อมกับราษฎร มีพลตระเวรแปดคนลงเรือสมปั้น พายตามไปส่งด้วย เวลา ๗ ทุ่ม ๒๐ มินิตถึงศาลากลางย่าน
5
ที่มีน�้ำแห้งต้องถ่อค�้ำเรือไปจนเวลา ๘ ทุ่ม ถึงต�ำบลหนองฟันแดง เรือติดไปไม่ได้ มีเรือราษฎรลูกค้าต่างๆ มีเรือเฃ้าเปนต้นติดอยู่ ประมาณ ๑๐๐ ล�ำเสด ตั้งแต่ศาลายาประมาณ ๑๐๐ เส้น เปนที่ตื้นมาก เรือราษฎรบางล�ำมาติดอยู่ถึง ๕ วัน แล้วยังไปไม่ได้ มีความล�ำบากมาก
ครไชยศรี สมัยรัชกาลที่ ๕
มืองน การประหารชีวิตโจรที่แขวงเ
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๕ เวลา เช้าน�้ำแห้ง เรือยังไปไม่ได้ อยู่ที่ต�ำบลหนองฟันแดง แขวงเมืองนครไชศรี แล้วขึ้นไป ที่โรงนาของราษฎรซึ่งอยู่ใกล้ที่เรือจอด ได้พบนายพึ่ง นายฉ�่ำ กับราษฎรชาวนาหลายคนเล่าความให้ฟังว่า เดิมมีความเดือดร้อน จริงๆ เพราะมีผู้ร้ายปล้นชุกชุม ผู้ร้ายปล้นเรือแลไล่กระบือเปนต้น ตั้งที่พลตระเวรส�ำหรับรับส่งเรือราษฎร แล้วผู้ร้ายตามล�ำคลอง ก็เงียบอยู่ แต่บนดอนที่ไกลจากล�ำคลองนั้นมีผู้ร้ายปล้นบางเดือนถึง ๙, ๑๐ รายบ้าง ตั้งแต่เจ้าเมืองคนใหม่มาว่าราชการให้คน เที่ยวตรวจจับผู้ร้ายถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังตรวจจับอยู่เสมอ ในสี่เดือนที่ล่วงมาแล้วนี้ผู้ร้ายค่อยสงบลง การหากินของราษฎรในคลองนี้มีท�ำ นาอย่างเดียว แลที่เนื้อนานั้นเปนของพระองค์เจ้าแลราษฎรที่ท�ำนานั้นก็เป็นฃ้าพระองค์เจ้าโดยมาก ครั้นเวลา ๘ ทุ่ม น�้ำฃึ้นแล้ว ออกเรือมาตามล�ำคลอง และเหนเสาโทรเลขเอนอยู่ ๒ -๓ ต้น ดูน่ากลัวจะไม่ทนต่อไป เปนเพราะรอยกระบือลงคลองท�ำให้ตลิ่งพัง เกือบถึงเสาโทรเลขประมาณ ๑-๒ ศอกบ้าง เวลาย�่ำรุ่งถึงโรงพักพลตระเวรปากคลองมหาสวัสดีเหมือนกับโรงพักพลตระเวนก่อน
ภาพเมื่อแรกมีน้ำ�ประปาใช้ข
องชาวมณฑลนครไชยศรี รา
วสมัยรัชกาลที่ ๖
6
วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๕ เวลาย�่ำรุ่งแล้วกับ ๑๐ มินิต ออกจากปากคลองมหาสวัสดีมาตามล�ำน�้ำเมืองนครไชศรี เวลาย�่ำรุ่งแล้ว ๒๐ มินิต แวะจอดเรือที่วัดงิ้วราย ขึ้นไปหาพระทรัพย เจ้าอธิการ ได้ถามถึงศุขทุกของพระแลราษฎร พระทรัพยเล่า ความให้ฟังว่ามีพระสงฆ์อยู่ ๒๙ รูป พระทรัพยมีความร�ำคานอยู่ด้วย พระในวัตนี้ห้ามปรามไม่ค่อยจะฟัง คือพระบางองค์ไม่เอา ใจไส่จะเล่าเรียน บางองค์บวชอยู่ ๓ พรรษา ยังอ่านหนังสือไม่ได้ แลชอบการเล่นต่างๆ มีเรือสมปั้นยาวเป็นต้น จะไปไหนค้างถึง ๔ - ๕ คืน ก็ไม่ได้ลา แต่ราษฎรนั้นเมื่อก่อนก็มีความเดือษร้อนเพราะผู้ร้ายชุกชุมเต็มทีจนจะนอนบนเรือไม่ได้ ตั้งแต่เจ้าเมืองคน ใหม่มาว่าราชการให้ตรวจจับค่อยสงบลงบ้าง ยังมีอยู่บ้างคือเมื่อเดือนเมษายน ร.ศ. ๑๑๕ มีผู้ร้ายปล้นกระบือนายฉิมต�ำบลลาน ตากผ้า ๑ ราย ที่ต�ำบลบางพร ๑ ราย เวลาเช้า ๔ โมง แล้วออกเรือไปตามล�ำน�้ำเห็นบ้านในต�ำบลงิ้วรายมี ๒ หมู่ใหญ่ บ้านหมู่ ๑ มีการท�ำนาแลท�ำหม้อหวดฃายเปนต้น หมู่ ๑ ท�ำนาแลปลูกกล้วยกับอ้อยฃายเป็นต้น เวลาเช้า ๔ โมงกับ ๒๐ มินิต ถึงวัดโคกตาน แล้วขึ้นไปหาพระเกิด เจ้าอธิการๆ เล่าความให้ฟังว่ามีผู้ร้ายปล้น ๒ ราย เหมือนค�ำพระทรัพยพูด เวลานั้นนายอ�่ำ นายจิ๋ว ชาว บ้านโคกตานนั่งอยู่ที่นั่นด้วย ได้เล่าความถึงนายอากรค่าน�้ำ ปี ร.ศ. ๑๑๔ ฃ่มฃี่ราษฎรเก็บค่าน�้ำเกินอัตรา คือมีเครื่องปานาติบาท แต่ ๒ สิ่ง ก็จดในใบเสร็จเปน ๓ สิ่ง แล้วเรียกค่าน�้ำเต็ม ๓ สิ่ง อิกอย่าง ๑ บังคับให้ราษฎรสาบาลว่าปีนี้ได้จับเครื่องมือปานาติ บาทสิ่งใดถึงเครื่องมือจะไม่มีของตนเองไปจับของที่อื่นก็ต้องเสียอากรตามอัตรา อิกอย่าง ๑ ให้สาบาลแทนบุตรภรรยาว่าไม่ได้ ไปจับเครื่องมือปานาติบาทถ้าสาบาลไม่ได้ต้องยอมเสีย ครั้นจะไม่ยอมจะไปฟ้องร้องก็คงเสียค่าธรรมเนียมความมากกว่าที่จะเสีย ให้นายอากร จึงยอมเสียเงินให้นายอากรดีกว่า เวลาบ่าย ๔ โมง ๕๐ มินิต ออกเรือล่องลงมาถึงปากคลองเจดีย์บูชา ต�ำบลบ้าน เหนือปากคลองนี้มีบ้านเรือนราษฎรประมาณ ๓๐๐ หลัง มีการค้าฃายต่างๆ มีการท�ำนาปานาติบาทด้วยโพงพางเปนต้น แล้วพบ พระยามหาเทพฃ้าหลวงเทศาภิบาลมาจากกรุงเทพฯ แล้วจอดเรืออยู่กับพระยามหาเทพที่ปากคลองเพราะน�้ำแห้งยังไปไม่ได้ เวลา ๙ ทุ่ม ๒๐ มินิต ออกเรือเฃ้าคลองเจดีบูชาแลอิก ๑๐ มินิต ถึงโรงพักพลตระเวรของผู้ว่าราชการเมืองนครไชยศรีตั้งไว้ แต่เดิมมี เพียงขุนรองปลัดกับผลตระเวร ๑๒ คน แต่โรงพักนั้นมุงหลังคา จากมีน่าที่เหมือนกับพลตระเวนในคลองมหาสวัสดี
(เนื้อความต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องราวการตรวจราชการในเมืองนครปฐม ซึ่งจะขอไม่กล่าวในที่นี้)
7
คุยกับคนดัง
คุ
ย
กั
บ
ค
น
คุยกับนายอ�ำเภอพุทธมณฑล
“นายอังกูร สุ่นกุล”
คุ
ย
กั
บ
ค
น
ดั
ง
วรรณิดา อาทิตยพงศ์
ดั
ง
พูดถึง “นายอ�ำเภอ” เชือ่ ว่าหลายคนคงคุน้ เคยกับค�ำนีด้ ี ด้วยทุกจังหวัดแบ่งออกเป็นอ�ำเภอ แต่ละ อ�ำเภอเราต่างก็รู้ว่ามีนายอ�ำเภอประจ�ำอยู่ เราเห็นที่ว่าการอ�ำเภอ บ้านพักนายอ�ำเภอ ไม่ไกลจากทาง ผ่านบ้านเราเท่าไรนัก แต่เมื่อเจอค�ำถามว่านายอ�ำเภอท�ำอะไร? เชื่อว่าคงมีหลายคนเช่นกันที่บอกไม่ถูก ยอมรับว่าเราเองก็ (เคย) เป็นหนึง่ ในนัน้
เพลินพุทธมณฑล ฉบับปฐมฤกษ์นี้ ผศ.ดร. อภิลักษณ์ เกษมผลกูล คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล พาคุณผู้อ่านไปรู้จักกับนายอ�ำเภอคนใหม่ถอดด้ามของพุทธมณฑล ชวนนายอ�ำเภอคุยเรื่องชีวิต วัยเยาว์ กว่าจะมาเป็นนายอ�ำเภอ ความประทับในอ�ำเภอพุทธมณฑล ฯลฯ แล้วเราจะได้รู้จักกับ นายอ�ำเภอในแง่มุมที่ไม่เคยมองมาก่อน
“ระหว่างที่เรียนปริญญาโทไปได้ ๑ ปี กรมการปกครองก็เปิดสอบนายอ�ำเภอ ผมก็ไปสอบ คนสอบก็ร่วม ๓๐,๐๐๐ คนได้ ผมตั้งใจและเตรียมตัวเป็นปี เพราะว่ายังไงชีวิตนี้ต้องเป็นให้ได้ปลัดอ�ำเภอ เพราะพ่อเขาฝันอยากให้ลูกเป็นนายอ�ำเภอ” ชีวิตส่วนตัว ท่านนายอ�ำเภอเป็นคนจังหวัดอะไร เกิดที่ไหนครับ ผมเกิ ด เชี ย งใหม่ โตยะลา พั ฒ นาที่ สุ ร าษฎร์ ธ านี เปลี่ ย นบทบาทที่ ก รุ ง เทพฯ ครั บ คุณแม่เป็นคนเชียงใหม่ พ่อรับราชการแล้วย้ายไปอยู่ที่ยะลา ตอนผมเกิดแม่กลับไปเยี่ยมญาติ ที่เชียงใหม่ ก็เลยไปเกิดที่เชียงใหม่แต่กลับมาอยู่ที่ยะลา อยู่ได้ประมาณ ๗-๘ ปี ก็ย้ายตามพ่อ รับราชการมาอยู่ที่สุราษฎร์ธานี จึงเรียนหนังสือที่สุราษฎร์ธานีจนจบมัธยมต้น มัธยมปลายกลับ มาเรียนที่กรุงเทพฯ ส่วนปริญญาตรีไปเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พอจบเรียนจบก็ต่อปริญญาโททันทีที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แล้วท�ำไมท่านนายอ�ำเภอตัดสินใจเรียนคณะรัฐศาสตร์ ตอนแรกอยากเป็นต�ำรวจ เพราะพ่อเป็นต�ำรวจ ผมก็ได้สัมผัสกับการท�ำงานของพ่อ ได้เห็นชีวิตการท�ำงานของต�ำรวจ เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากจะเป็น พอเรียนมัธยมก็ใฝ่ฝัน ที่จะสอบเข้านายร้อยต�ำรวจ แต่โชคไม่ดีสายตาสั้น ก็เลยมานั่งคิดว่าอะไรที่เหมาะกับ ตัวเอง ก็พบว่าชอบงานลักษณะที่ได้ท�ำอะไรในต่างจังหวัด อยากจะรับราชการท�ำงาน ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ไกลๆ คล้ายๆ กับตอนเด็กก็คิดเรื่องแต่งเครื่องแบบเท่ๆ ก็เลยไปเรียนรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
8
หลั ง จากนั้ น ก็ ม าคิ ด ต่ อ ว่ า จบรั ฐ ศาสตร์ จ ะไปท�ำอะไร พ่ อ เป็ น ต�ำรวจ เพราะฉะนั้ น ชี วิ ต เขาก็ จ ะผู ก พั น กั บ ปลั ด อ�ำเภอ นายอ�ำเภอ แล้วเขาก็รู้มาว่าถ้าเรียนรัฐศาสตร์ ก็ต้องไปสอบเป็นปลัดอ�ำเภอ แล้วก็ไต่เต้าเป็นนายอ�ำเภอต่อไป เพราะฉะนั้น หลังจากที่จบรัฐศาสตร์มาก็ตั้งเป้าว่า ชีวิตนี้จะต้องสอบเป็นปลัดอ�ำเภอให้ได้ แต่ในขณะนั้น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปิดสอบปลัดอ�ำเภอ ๔ ปี ต่อ ๑ ครั้ง ซึ่งตอนที่ผมจบปริญญาตรีมายังไม่เปิดสอบ ระหว่างรอเปิดสอบ เลยตัดสินใจสอบเข้า ปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างที่เรียนปริญญาโทไปได้ ๑ ปี กรมการปกครองก็เปิดสอบนายอ�ำเภอ ผมก็ไปสอบ คนสอบก็ร่วม ๓๐,๐๐๐ คนได้ ผมตั้งใจและเตรียมตัวเป็นปี เพราะว่ายังไงชีวิตนี้ต้องเป็นให้ได้ปลัดอ�ำเภอ เพราะพ่อ เขาฝันอยากให้ลูกเป็นนายอ�ำเภอ ผมก็สอบได้ที่ ๕๔
คนสอบ ๓๐,๐๐๐ คนแล้วรับกี่คนครับ ในยุคนั้นยังมีการกระจายอ�ำนาจอยู่ โดยจะขึ้นบัญชีไว้ประมาณ ๕,๐๐๐ คน คนที่ได้สอบได้ ๑,๐๐๐ คนแรกจะเรียกเป็น ปลัดอ�ำเภอ ซึ่งจะเรียกบรรจุภายใน ๒ ปีแรก ทยอยเรียกครั้งละประมาณ ๓๐๐ คน ส่วนคนที่ได้ล�ำดับ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ก็ไปเป็น ปลัดองค์การบริหารส่วนต�ำบล เพราะฉะนั้น เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๙ พอผมสอบได้ ก็ได้บรรจุรุ่นแรกเลย เพราะสอบได้ที่ ๕๔ ตอนบรรจุครั้งแรก ทางกรมก็ได้ แต่งตั้งให้ไปเป็นปลัดนายอ�ำเภอที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็มาอยู่ที่อ�ำเภอปราณบุรี ถือว่าเป็นอ�ำเภอแรกที่ได้สัมผัสชีวิตของ ความเป็นปลัดนายอ�ำเภอ เป็นอยู่ ๒ ปี
ไปรับต�ำแหน่งนายอ�ำเภอครั้งแรกที่อ�ำเภออะไร เป็นนายอ�ำเภอครั้งแรกที่อ�ำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ก่อนที่จะมาอ�ำเภอพุทธมณฑล
แล้วตอนที่อยู่ที่สุรินทร์มีความประทับใจ หรือมีวีรกรรมอะไรเกิดขึ้นที่โน่นบ้าง อ�ำเภอเขวาสินรินทร์เป็นอ�ำเภอใหม่ที่แยกมาจากอ�ำเภอเมือง จึงอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ห่างจากอ�ำเภอเมืองเพียง ๑๘ กิโลเมตร สิ่งที่ผมประทับใจในอ�ำเภอเขวาสินรินทร์ก็คือในอดีตดินแดนแถบนี้อุดมไปด้วยขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม ประเพณีของอาณาจักรขอมโบราณ เพราะฉะนั้นจุดเด่นของอ�ำเภอก็คือตรงนี้ ซึ่งบรรพบุรุษขอมเขามีไว้ และรุ่นหลานก็ พยายามจะสานต่อ ทั้งทางด้านการท�ำผ้าไหมและการท�ำเครื่องเงินมะเกือม ภาษาเขมรเรียกว่าเป็น “มะเกือม” แต่ว่าพอ เพี้ยนเป็นภาษาไทยแล้วก็มาเป็น “ประค�ำ” คือเป็นเครื่องเงินที่มีลักษณะเป็นเม็ดๆ ใช้เป็นเครื่องประดับ สร้อยคอ ก�ำไล กระเป๋า นอกจากนี้ยังมีการละเล่นพื้นบ้าน “กันตรึม” ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ผมประทับใจแล้วก็ได้ไปสัมผัสที่จังหวัด สุรินทร์เพราะว่าในชีวิตไม่เคยอยู่อีสาน ไม่เคยเรียนไม่เคยท�ำงานที่อีสาน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไป แล้วอีกสิ่งที่ประทับใจก็คือ เมื่อผมไปรับต�ำแหน่งได้ไม่กี่เดือนก็ปรากฏว่าพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ท่าน ได้เสด็จที่อ�ำเภอเขวาสินรินทร์ ท่านทรงโปรดเครื่องเงินมาก แล้วท่านก็ได้มาทรงฝึกการตีเครื่องเงินที่นั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ ประทับใจเพราะว่าพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จมา ถือว่าเป็นเกียรติภูมิของคนเขวาสินรินทร์
ความรู้สึกเมื่อมารับต�ำแหน่งนายอ�ำเภอที่นี่ แล้วพอเข้ามาอยู่จริงๆ ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผมมาที่อ�ำเภอพุทธมณฑล ผมก็ไม่รู้มาก่อน เพราะว่าเดิมทีผู้ใหญ่วางผมไว้ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วช่วง ก่อนค�ำสั่งออกผมก็คิดว่าผมน่าจะได้ไปอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วพอค�ำสั่งออกมาก็กลายเป็นอ�ำเภอพุทธมณฑล ซึ่งยอมรับว่าตกใจครับ เพราะรู้สึกว่าอ�ำเภอพุทธมณฑลเป็นอ�ำเภอใหญ่ ก็ค่อนข้างงงเหมือนกันว่าท�ำไมผู้บังคับบัญชาไว้ วางใจผมถึงขนาดนั้น เพราะว่าไม่คาดคิดแล้วก็ไม่ได้คาดหวัง ซึ่งก็คิดว่าในเมื่อผู้บังคับบัญชาไว้วางใจให้มาท�ำหน้าที่ตรงนี้ ก็คงต้องท�ำหน้าที่ให้ดีที่สุดไม่ให้ผู้บังคับบัญชาและชาวพุทธมณฑลผิดหวัง
9
แล้วพอได้ท�ำงานมาแล้วตอนนี้ รับต�ำแหน่งมาประมาณเดือนเศษๆ ได้มีอะไรที่ประทับใจ หรืออยากที่จะค้นหา เพิ่มเติมเกี่ยวกับอ�ำเภอพุทธมณฑลบ้าง ผมมาวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน วันนี้วันที่ ๑๘ ธันวาคม ก็ ๑ เดือนกับ ๒ วัน พอดี การที่ได้มาอยู่อ�ำเภอพุทธมณฑล สิ่งหนึ่ง ที่ผมมองก็คือแค่ชื่ออ�ำเภอก็ถือว่าเป็นสิริมงคลส�ำหรับตัวผมแล้ว ในมุมมองของผม อ�ำเภอพุทธมณฑลเป็นอ�ำเภอที่ค่อนข้างเป็น เมืองส�ำคัญของชาติก็ว่าได้ เพราะเป็นทั้งศูนย์กลางของพุทธศาสนา การศึกษา และยังเป็นเมืองปริมณฑลที่อยู่ติดกับกรุงเทพ มีเส้นทางการคมนาคมที่สะดวก สามารถที่จะเชื่อมต่อไปได้ทางเหนือและใต้ รวมทั้งสถานที่ส�ำคัญต่างๆ ก็มาตั้งอยู่ในอ�ำเภอ พุทธมณฑลเป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้เมืองค่อนข้างโตเร็วและมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งจุดนี้เป็น จุดที่ผมประทับใจในอ�ำเภอพุทธมณฑล
❝มีค�ำโบราณเขาบอกว่า นายอ�ำเภอต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เก่งสักเรื่อง❞ ความประทับใจหลังการรับต�ำแหน่งมาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เห็นอะไร แล้วก็อยากที่จะเริ่มท�ำอะไร ต้องกลับมามองดูว่าบทบาทของนายอ�ำเภอนั้นมีบทบาทอย่างไร จะท�ำอะไรได้บ้าง นายอ�ำเภอตามพระราชบัญญัติระเบียบ บริหารราชการแผ่นดินนั้น จะมีหน่วยงานหลักๆ ก็คือ ส่วนที่หนึ่ง ท�ำภูมิภาคให้ไปรวมอยู่ที่จังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น ผู้บริหารสูงสุด ส่วนที่สองก็คืออ�ำเภอ ซึ่งมีนายอ�ำเภอเป็นผู้บริหารสูงสุด แล้วต่อจากนั้นก็จะมีต�ำบล มีหมู่บ้าน ต�ำบลก็จะมีก�ำนัน หมู่บ้านก็จะมีผู้ใหญ่บ้าน ส�ำหรับพื้นที่ของอ�ำเภอพุทธมณฑลมี ๓ ต�ำบล ๑๘ หมู่บ้าน ถือว่ามีขนาดของเขตการปกครองไม่ใหญ่แต่ความเจริญ ความศิวิไลซ์สูง แต่จะมีหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับนายอ�ำเภอจริงๆ นั้นไม่กี่หน่วยงาน โดยทั่วไปก็จะมีส่วนราชการ เช่น พัฒนาชุมชน สาธารณสุข สัสดี การปกครอง และเกษตรที่ขึ้นกับนายอ�ำเภอโดยตรง อย่างต�ำรวจก็ขึ้นกับส่วนกลาง กองบัญชาการภาค ๗ แล้วก็นอกจากนั้นหน่วยงานส�ำคัญพวกกรมยุทธศึกษาทหารเรือ มีสถานศึกษาต่างๆ ก็ไม่ได้ขึ้นกับนายอ�ำเภอ แต่ว่าภารกิจ ของนายอ�ำเภอที่กระทรวงก�ำหนดมานี้จะต้องเป็นผู้ประสาน คือประสานส่วนหน่วยงานต่างๆ ทุกส่วนที่อยู่ในพื้นที่ภายในอ�ำเภอ ให้มาร่วมกันท�ำงานภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาล ให้บังเกิดประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งนโยบายของรัฐบาลก็คือทุกกระทรวง ทบวง กรม นายอ�ำเภอก็ต้องท�ำหน้าที่ทุกกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมันมีค�ำโบราณเขาบอกว่า นายอ�ำเภอต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ ไม่เก่งสักเรื่องลักษณะจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องท�ำต่อไปก็คือการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลทุกเรื่อง แต่ในการ ขับเคลื่อนก็คงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ภาคีต่างๆ ทั้งหมด คงต้องร่วมคิดร่วมท�ำ เพราะว่าเวลาจะเดินไปถึง ฝั่งส�ำเร็จทุกส่วนนั้นก็ต้องค่อยๆ ขับเคลื่อน แต่สิ่งที่ต้องท�ำแน่นอนคือนโยบายของรัฐบาล ซึ่งผมมาอยู่ที่นี่ก็พบนโยบายของ รัฐบาลหลายเรื่อง เยอะมาก ผมก็เลยเอามาสรุปสั้นๆ ซึ่งคิดว่าหลังปีใหม่ผมก็คงจะให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางก�ำนัน ผูใ้ หญ่บา้ น แล้วก็ระบบการปกครองส่วนท้องถิน่ ได้มองภาพชัดแล้วก็ร่วมกันขับเคลื่อน โดยจัดเป็น ๕ ป ๑๑ ปลอดครับ ๕ ป ได้แก่ ปรองดอง ปฏิรูป ประชาธิปไตย ปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ และปากท้อง ๑๑ ปลอด ได้แก่ ๑. ปลอดยาเสพติด ๒. ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ๓. ปลอดอบายมุข ๔. ปลอดการค้ามนุษย์ ๕. ปลอดผู้มีอิทธิพล ๖. ปลอดภัยทุกเทศกาลและทุกฤดูกาล ๗. ปลอดทุจริต ๘. ปลอดผู้ยากไร้ผู้ด้อยโอกาส ๙. ปลอดขยะและสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
10
❝ผมเชื่อว่า น�้ำทุกหยดล้วนมีต้นน�้ำ คนทุกคนล้วนมีที่มา❞ สุดท้ายนะครับ เห็นแนวคิดดีๆ ในการพัฒนาอ�ำเภอพุทธมณฑลแล้วก็เห็นประสบการณ์การท�ำงานของ ท่านนายอ�ำเภอ อยากทราบว่าต้นแบบในการด�ำเนินการหรือว่าต้นแบบในการท�ำงานของนายอ�ำเภอเป็นใคร อยากที่จะให้นายอ�ำเภอลองเล่าให้ฟัง พูดถึงต้นแบบของชีวิตการท�ำงาน ถ้าได้สัมผัสได้อยู่กับผู้บริหารท่านไหนก็จะซึมซับมานะครับ ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ ขึ้นเป็นเลขานุการของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ๓ ท่าน ซึ่งผมก็คงต้องให้เครดิตท่าน เพราะว่าผมเชื่อว่า “น �้ำทุกหยดล้วนมีต้นน�้ำ คนทุกคนล้วนมีที่มา” ที่ผมมีตัวตนทุกวันนี้ได้ก็เพราะว่าผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะหลักๆ ๓ ท่านนี้ ที่เปรียบเสมือนเป็นทั้งครูและ ผู้บังคับบัญชาที่ให้การสนับสนุน เกื้อหนุนการท�ำงาน ท่านแรกต�ำแหน่งสุดท้ายท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่าน พลอากาศเอกคงศักดิ์ วันทนา เคยเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ แล้วผมก็ได้เป็นเลขานุการของท่านเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๔๙ ในยุคที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประมาณหนึ่งปีเศษๆ ท่านที่ ๒ ก็คือท่านวีระยุทธ เอี่ยมอําภา ท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร และต�ำแหน่ง สุดท้ายท่านเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และท่านที่ ๓ ก็คือท่าน เชิดศักดิ์ ชูศรี ท่านเป็นผู้ว่าราชการ จังหวัดพะเยา แล้วก็ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ก็ไปเกษียณ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี คือทั้ง ๓ ท่านนี้ ผมอยู่กับท่านรัฐมนตรีคงศักดิ์ วันทนา ๑ ปี อยู่ กับท่านวีระยุทธ ๔ ปี แล้วก็อยู่กับท่านเชิดศักดิ์ ๓ ปี รวมทั้งหมด ๘ ปีที่อยู่กับผู้ใหญ่ทั้ง ๓ ท่าน ซึ่งทั้ง ๓ ท่านมีความคล้ายกัน ที่ มองเห็นก็คือความสุขุม รอบคอบ และจิตที่มีเมตตาธรรมต่อผู้ใต้ บังคับบัญชา การท�ำงานก็ค่อนข้างจริงจังแต่เรียบง่ายและประหยัด เพราะฉะนั้ น ช่ ว งเวลาที่ อ ยู ่ กั บ ผู ้ บั ง คั บ บั ญ ชาทั้ ง ๓ ท่ า นนี้ ก็ ไ ด้ หล่อหลอม ผมก็อาจจะซึมซับแนวความคิด แนวการท�ำงานของทั้ง ๓ ท่านมา ก็ถือว่าเป็นบุคคลต้นแบบก็ว่าได้นะครับ. ๑๐. ปลอดโรคระบาด โรคยอดฮิตช่วงที่ผ่านมาก็คือไข้เลือดออก แล้วก็ในช่วงเดือนที่ผ่านมาอ�ำเภอพุทธมณฑลขึ้น เป็นอันดับ ๑ ของจังหวัดนครปฐมจาก ๗ อ�ำเภอ ผมมานี่ก็ให้ทางสาธารณสุขเขาจัดทีมรณรงค์ ล่าสุดเมื่อ ๓ วันที่แล้วไป ประชุมกับทางสาธารณสุขอ�ำเภอ เขาบอกว่าตัวเลขลดลง ก็แสดงว่าทุกพื้นที่ก็ได้ขับเคลื่อนกันอย่างจริงจัง และ ๑๑ ก็คือปลอดทุกข์ ปลอดทุกข์ก็คือทางอ�ำเภอได้จัดให้มี “ศูนย์ด�ำรงธรรม” ของอ�ำเภอพุทธมณฑลซึ่งจะเป็น หน่วยที่จะรับเรื่องราวร้องทุกข์ ความเดือดร้อนทุกเรื่องก็มาร้องเรียนได้ที่ศูนย์ด�ำรงธรรม โดยศูนย์ด�ำรงธรรมจะมีหน้าที่เป็น แกนกลางในการแก้ไขปัญหา* สรุปว่าภารกิจที่ต้องท�ำนั้นคงต้องขับเคลื่อนตามนโยบายของทางรัฐบาลเป็นวาระแรก ส่วนการขับเคลื่อนภายใน อ�ำเภอก็คงต้องฟังทุกภาคส่วนว่าแต่ละภาคส่วนมีไอเดียที่อยากจะท�ำอะไร แล้วอ�ำเภอก็พร้อมที่จะเดินไปด้วยกันกับทุกภาค ส่วน ซึง่ ของอ�ำเภอก็จะมีเวทีประชุมอยูบ่ อ่ ยๆ เพราะฉะนัน้ ตรงนีก้ จ็ ะเป็นเวทีทจี่ ะเปิดรับฟังความคิดเห็นของแต่ละภาคส่วนได้ เดื อ นหน้ า ก็จ ะจัด ประชุม สัญจรไปที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ครับ ก็คงต้องบอกว่า การท�ำงานยุคนี้ต้องท�ำงานแบบ ประชารัฐ (ประชา+รัฐ) ประชาก็คือประชาชน รัฐก็คือภาครัฐ ซึ่งนอกจากจะมีภาครัฐ ภาคประชาชนแล้วก็ต้องเอาภาค เอกชนเข้ามาด้วย แล้วก็รวมทั้งผู้ทรงความรู้ต่างๆ ปราชญ์ชาวบ้าน นักวิชาการ คณาจารย์ก็ต้องมาให้ความคิดเห็นในการ ด�ำเนินเรื่องต่างๆ ที่หลากหลาย รวมทั้งองค์กรที่อยู่ข้างนอกก็ต้องช่วยกัน ก็คงไม่คิดเองว่าต้องเอาอย่างนี้อย่างนั้น แต่คง ต้องเป็นความคิดเห็นที่มาจากการมีส่วนร่วมของทุกๆ ภาคส่วน
11
ลานชุมชน
เมื่อผักตบชวา (จากคลองนราภิรมย์) ให้ค่า มีคุณ วรรณิดา อาทิตยพงศ์
หากลองทอดสายตาไปยังริมคลอง นอกจากทิวทัศน์ริมคลอง อันเป็นเอกลักษณ์ บ้านไม้ ศาลาท่าน�ำ้ โดดเด่น สายน�ำ้ ไหลเอือ่ ยเฉือ่ ย และที่ไม่พ้นสายตาคือ สวะกอเขียวที่ลอยละเรื่อย คุ้นตา ส�ำหรับคน ไกลก็ดูสวยงามไปอีกแบบ แต่ส�ำหรับคนใน สิ่งนี้อาจจะถูกมองเป็น ศัตรูชัดๆ ใช่แล้ว เราก�ำลังพูดถึง “ผักตบชวา” ผักตบชวาเป็นพืชทีม่ ถี นิ่ ก�ำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ โดยผักตบชวา ในประเทศไทยนั้นมีผู้น�ำเข้ามาจากเกาะชวา (ประเทศอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน) ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที ่ ๕) ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ โดยเจ้านายฝ่ายในทีต่ ามเสด็จประพาส ประเทศอินโดนีเซีย ได้เห็นพืชชนิดนี้มีดอกสวยงาม จึงน�ำกลับมาปลูก ในประเทศไทย และใส่อ่างดินเลี้ยงไว้หน้าสนามวังสระปทุม จนกระทั่ง เกิดน�้ำท่วมวังสระปทุมขึ้น ท�ำให้ผักตบชวาหลุดลอยกระจายไปตาม แม่นำ�้ ล�ำคลองทัว่ ไป และแพร่พนั ธุอ์ ย่างกว้างขวาง จนคนไทยทัว่ ประเทศ พบเห็นและรู้จักกันเป็นอย่างดี ใครจะคิดว่าจากอ่างดินหน้าบ้าน จะกระจายไปถึงแหล่งน�้ำทั่ว ประเทศ แม่น�้ำ คู คลอง ทั้งสายใหญ่ สายเล็ก ได้ต้อนรับผักตบชวาน้อง ใหม่กันถ้วนทั่ว ผักตบชวาจึงจัดเป็น “เอเลี่ยน สปีชี่ส์” หรือ “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น” ที่เข้ามาแพร่ระบาดรุกรานจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศใน ประเทศไทย มีการแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ใน ๑ เดือน ผักตบชวา เพียง ๑ ต้น อาจขยายพันธุ์ได้มากถึง ๑,๐๐๐ ต้น ถึงแม้น�้ำจะแห้งจน ต้นตายแต่เมล็ดของมันก็ยังมีชีวิตต่อไปได้นานถึง ๑๕ ปี และทันทีที่ เมล็ดได้รับน�้ำที่เพียงพอ ก็จะแตกหน่อเป็นต้นใหม่ต่อไป จนก่อให้เกิด ความเสียหายต่อแหล่งน�้ำหลายประการ อาทิเช่น ขัดขวางการระบาย และการไหลของน�้ำ กีดขวางการจราจรทางน�้ำ ท�ำให้ปริมาณออกซิเจน ในแหล่งน�้ำลดลง ตลอดจนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ศัตรูพืชบางชนิด และ ทวีความรุนแรงจนเป็นปัญหาระดับประเทศ ท�ำให้รัฐบาลต้องเสียงบประมาณในการก�ำจัดผักตบชวาจ�ำนวนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่ ประเทศไทยเท่านั้น อีกกว่า ๕๐ ประเทศทั่วโลกก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน ประเทศไทยเองเริ่มมีการก�ำจัดผักตบชวามาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๖ ถึงขนาดมีการออกพระราชบัญญัติส�ำหรับก�ำจัดผักตบชวา พ.ศ. ๒๔๕๖ ปัจจุบันมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ได้เข้า มาช่วยเหลือในการก�ำจัด เช่น น�ำไปผลิตเป็นของใช้ อาหารสัตว์ ท�ำปุ๋ย ฯลฯ
12
หากจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ปัญหาผักตบชวาก็ยังคงมีอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะหมดไปง่ายๆ ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่า ผักตบชวา ก็ได้กลาย เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชิวิตของชาวริมน�้ำไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมหิดลนัก ข้ามสะพาน ข้ามคลองมหาสวัสดิ ์ ผ่านสะพานข้ามคลองโยงจะพบกับชุมชน วัดมะเกลือ เป็นชุมชนเล็กที่อยู่ติดริมคลองนราภิรมย์ ซึ่งเป็น คลองที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ตั้งอยู่ที่อ�ำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นคลองทีก่ นั้ กลางระหว่างจังหวัดนครปฐม และจังหวัดนนทบุรี คลองนราภิรมย์เคยเป็นแหล่งน�้ำหล่อเลี้ยงชีวิต ของคนริมสองฝัง่ คลอง จนกระทัง่ เมือ่ เกิดนำ�้ ท่วมใหญ่ป ี ๒๕๕๔ ผักตบชวามหาศาลจึงถูกพัดพามาจนแน่นเต็ม ล�ำคลอง น�้ำเริ่มเน่าเสีย แถมคนที่นี่ยังไม่ช่วยกันรักษา สิ่งแวดล้อม ก�ำจัดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ส�ำหรับคนนอกอย่างเราๆ เห็นผักตบชวาใบเขียว ออกดอกสีมว่ งสดใสก็สวยงามไปอีกแบบ แต่อย่างทีบ่ อก ส�ำหรับคนในนั้นถือเป็นภาวะหวานอมขมกลืนอย่างบอก ไม่ถูก จะสลัดก็ไม่หลุด ไม่ว่าจะท�ำอย่างไรผักตบชวาก็ยัง ระบาดอยู่ ก็ต้องอยู่ร่วมกับผักตบชวาให้ได้ต่อไป แต่จะเป็นอย่างไรถ้าแทนที่จะมุ่งเสียงบประมาณกับ การก�ำจัดเพียงอย่างเดียว แล้วหันมาหาประโยชน์จากผัก ตบชวาไปด้วย
เมื่อผักตบชวา ให้ค่า มีคุณ ? ปัจจุบัน ปัญหาผักตบชวาที่แพร่หลายเต็มล�ำน�้ำ คู คลอง จนกลายเป็นมลภาวะทางน�้ำ กลายเป็นปัญหาใหญ่ใน การสัญจร อีกทั้งท�ำให้น�้ำไหลไม่สะดวก เกิดการเน่าทับถม ท�ำให้ล�ำคลองตื้นเขิน มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์สัตว์ ทดลองแห่งชาติ ร่วมกับชุมชนคลองนราภิรมย์ ต�ำบลคลอง โยง อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ร่วมกันหาแนวคิด ในการน�ำผักตบชวามาใช้ประโยชน์ โดยมีคณ ุ วลี สวดมาลัย ประธานกลุ ่ ม คนรั ก ษ์ ถิ่ น บ้ า นวั ด มะเกลื อ เป็ น ผู ้ ริ เ ริ่ ม หา ทางฟื้นฟู เริ่มจากคนไม่รู้ หมั่นหาข้อมูลจนรู้ว่าคุณสมบัติ พิเศษของ ผักตบชวา คือ น�้ำหนักเบา แห้งเร็ว ไม่ดูดซับ ความชื้น ประกอบกับทราบข่าวทางศูนย์สัตว์ทดลองแห่ง ชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ก�ำลังหาวัสดุที่จะน�ำมาท�ำที่รอง นอนของสัตว์ทดลอง จากเดิมที่ใช้ซังข้าวโพดน�ำเข้าจาก ต่างประเทศที่มีราคาแพง
13
คุณวลี จึงมีความคิดน�ำผักตบชวามาอบแห้งและน�ำไปเสนอขาย และไม่คาดคิดว่า ผักตับชวานี้จะขายได้ แถมราคาดีอีก ด้วย คุณวลีและชาวบ้านที่นี่จึงได้อาชีพใหม่ เก็บผักตบชวามาตากแห้งส่งขายเดือนละ ๓,๐๐๐ กิโลกรัม นับตั้งแต่มีการแปรรูป ผักตบชวาเป็นวัสดุรองนอน สามารถก�ำจัดผักตบชวาได้ถึง ๑๐๐,๐๐๐ กิโลกรัมต่อเดือน แค่เวลา ๑ ปี น�้ำในคลองนราภิรมย์ก็ใส สะอาด สัตว์น�้ำเริ่มอยู่อาศัยได้ มีผักตบชวาให้เห็นเฉพาะใต้ถุนแต่ละบ้านที่เลี้ยงไว้เก็บขาย และไม่ใช่แค่คุณภาพน�้ำดีขึ้นเท่านั้น คุณภาพชีวิตของคนริมสองฝั่งคลองที่นี่ก็ดีขึ้น บรรยากาศแห่งความเป็นมิตร เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยที่รื่นรมย์ก็เกิดขึ้นตามมา อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้เพื่อพัฒนายังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ล่าสุดนักศึกษาชั้นปีที่ ๔ สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดท�ำ “โครงการแปรรูปผักตบชวาเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษเพื่อสร้างรายได้ให้แก่กลุ่มแม่บ้านและเกษตรกร ชุมชนวัดมะเกลือ” ซึ่งเป็นผลงานในรายวิชาบูรณาการภาษาและวรรณคดีไทยเพื่อการพัฒนา ประจ�ำปีการศึกษา ๒๕๕๘ โดยได้ ร่วมมือกับศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ วิจัยหาข้อสรุปเพื่อสร้างสรรค์กระดาษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อเสนอทางเลือกใน การแปรรูปผักตบชวาซึ่งเป็นพืชน�้ำที่หาได้ง่ายในชุมชนวัดมะเกลือ จากพืชน�้ำที่ไม่มีประโยชน์กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษที่ สามารถวางจ�ำหน่ายได้ และสร้างรายได้ให้แก่กลุ่มแม่บ้านและเกษตรกรในชุมชนวัดมะเกลือ อันจะเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง คณะผู้จัดท�ำและคนในชุมชนวัดมะเกลือ เพื่อเป็นการปูทางให้แก่กลุ่มแม่บ้านและเกษตรกรชุมชนวัดมะเกลือได้มีทางเลือกในการ สร้างรายได้เสริมและเป็นแนวทางในการลดปริมาณผักตบชวาในคลองนราภิรมย์ สิ่งที่น่าสนใจคือพวกเขาเลือกที่จะน�ำองค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้เล่าเรียนมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างผลงานนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ ต่อชุมชนรอบมหาวิทยาลัย
กระดาษผักตบชวา ทางเลือกใหม่? เริ่มจากลงพื้นที่ส�ำรวจปัญหาผักตบชวาในคลองนราภิรมย์ เก็บ ข้อมูลและศึกษาวิธีการท�ำกระดาษจากผักตบชวา รวมไปถึงสร้างความ คุ้นเคยกับคนในชุมชนวัดมะเกลือ จากนั้ น ทดลองหาวิ ธี ก าร ส่ ว นผสมในการหมั ก และจ�ำนวน วันหมัก เพื่อให้ได้ลักษณะของเยื่อกระดาษที่ต้องการ รวมถึงลงพื้นที ่ ชุ ม ชนวั ด มะเกลื อ เพื่ อ ตรวจสอบความเปลี่ ย นแปลงของเส้ น ใย ผักตบชวา หลังจากผ่านกระบวนการหมักในระยะเวลาต่างๆ ได้แก่ หมัก ๗ วัน, ๑๔ วัน และ ๒๘ วันตามล�ำดับ เมื่อได้ผลที่ต้องการ ก็ลงพืน้ ทีช่ มุ ชนอีกครัง้ เพือ่ ชักชวนกลุม่ แม่บา้ นและเกษตรกรมาร่วมกัน ท�ำผลิตภัณฑ์กระดาษ โดยในครั้งนี้มีการใส่สีและลวดลายจากวัสดุ ธรรมชาติ เช่นกลีบดอกบัว เพื่อเพิ่มความสวยงามอีกด้วย ทั่วไป
อ่านๆ ดู เผลอๆ อาจนึกไปว่าเหมือนโครงงานวิทยาศาสตร์
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าลืมว่านี่เด็กสาขาวิชาภาษาไทย พวกเขามี ฟังก์ชั่นพิเศษแถมท้ายมาด้วย ไม่เพียงจะทดลองหมักเยื่อผักตบชวาด้วยกลวิธีการหมัก ๒ วิธี คือ หมักด้วยโซดาไฟและน�้ำสัปปะรดเท่านั้น (น�้ำสัปปะรดท�ำให้เยื่อ มีความยุ่ยดีกว่า) หากยังมีการท�ำแพคเกจผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นการเพิ่ม มูลค่าอีกด้วย พร้อมกันนั้นยังเพิ่มเรื่องราวให้ผลิตภัณฑ์โดยน�ำข้อมูล ทางคติชน วรรณกรรม และวรรณคดีมาบูรณาการร่วมกับผลิตภัณฑ์ได้ อย่างน่าสนใจ
14
“ผักตบ” ในวรรณคดีไทย ในวรรณคดี ไ ทยหลายเรื่ อ งมี พู ด ถึ ง ผั ก ตบ หลายคนคงนึ ก ภาพตามเป็นภาพผักตบชวา แต่จริงๆ แล้วผักตบที่พูดถึงนั้นคือ ผัก ตบ(ไทย) ที่นับวันน้อยคนนักที่จะรู้จัก ผักตบ(ไทย) ซึ่งมีอยู่คู่ชาวไทย มาแต่เดิม ส่วนผักตบชวานั้นเพิ่งเข้ามาจากชวา ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ด้วยความผักตบชวาขยายพันธุ์ออกไปตามแหล่งน�้ำต่าง ๆ ได้อย่าง รวดเร็วมาก ในขณะที่ ผักตบ(ไทย) ซึ่งมีอยู่แต่เดิมนั้นขยายพันธุ์ได้ ช้ามาก และมีข้อจ�ำกัด คือไม่สามารถลอยไปตามน�้ำได้เหมือนผักตบ ชวา ปัจจุบันจึงพบขึ้นอยู่ในที่ชื้นแฉะเพียงไม่กี่แห่ง คนไทยน้อยคนจะ มีโอกาสได้พบเห็นผักตบ(ไทย) ยิ่งการน�ำมาประกอบอาหารในฐานะ ผักยิ่งน้อยลงไปอีกหลายเท่า จึงอาจกล่าวได้ว่าผักตบ(ไทย) กลาย เป็นผักดั้งเดิมที่ถูกลืมก็ว่าได้
ผักตบ(ไทย)
คนไทยยุคเราๆ อาจหลงลืม แต่ในวรรณคดีหลายเรื่องยังมี การกล่าวถึง ผักตบ(ไทย) อยู่ แสดงให้เห็นว่าผักตบ(ไทย) อยู่คู่กับ วิถีชีวิตริมน�้ำของชาวไทยมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเลย ทีเดียว
ในไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ในพญาลิไทย วรรณคดี สมัยสุโขทัย มีกล่าวถึงผักตบในฉัททันตสระซึ่งเป็นสระใหญ่ ๑ ใน ๗ สระในป่าหิมพานต์ และเป็นที่อยู่ของพญาช้างฉัททันต์ ว่า “ฉัททันตสระ เป็นสระน�้ำในป่าหิมพานต์ มีพื้นที่ประมาณ ๖,๐๐๐,๐๐๐ วา บริเวณใกล้เคียงมีป่าผักตบอยู่รอบๆ ความกว้างประมาณ ๘,๐๐๐ วา ถัดป่าผักตบนั้นมาชั้น นอกมีป่าดอกบัว ๗ อย่าง ได้แก่ นิลลุบล, ดอกรัตตุบล, รัตตุบล, เสตุบล, จงกลณี, ดอกบัวแดง, ดอกบัวขาว และดอกกระมุท ดอกบัวทั้ง ๗ นั้นอยู่รวมกันติดกับดอกผักตบเป็นหมู่แลดูงดงามยิ่ง” นอกจากนี้ยังปรากฏในตอนที่กล่าวถึงมหาฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ที่เปล่งออกจากพระสรีรกายของพระพุทธเจ้า ว่า “พระรัศมีอันหนึ่งแลมีพรรณเขียวงามดั่งดอกอังชัน แลดั่งดอกนี ลุบล แลดอกผักตบ ดังแววนกยูงแลปีกแมลงภู่” ผักตบ(ไทย) มีใบรูปหัวใจปลายเรียวแหลม มีหูใบแหลม ดอกเกิดเป็นช่อกระจุก โผล่ออกมาตรงก้านใบ มีกลีบเลี้ยงหุ้มช่อ ดอกเอาไว้ ดอกมีสีน�้ำเงินอมม่วง นับว่าเป็นสีงดงามเป็นที่ชื่นชมของคนไทยในอดีต
15
นอกจากนี้ ในจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ยังจารึกเรื่องราวที่กล่าวถึงผักตบ โดยกล่าวถึงนางสงกรานต์ นางหนึ่งที่ทัดดอกสามหาว (ดอกผักตบ) คือ นางมโหธรเทวี ซึ่งเป็นนางสงกรานต์วันเสาร์มีลักษณะ “ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)”
บูรณาการความรู้ สร้างเรื่องราวให้ผลิตภัณฑ์ กระดาษจากผักตบชวา ได้กระดาษโล่งๆ มาอย่าง เดียวก็คงไม่เก๋ นักศึกษาเลือกหยิบข้อมูลด้านวรรณคดี วรรณกรรม และคติ ช นมาใช้ ใ นการเพิ่ ม เรื่ อ งราวให้ ผลิตภัณฑ์กระดาษจากผักตบชวาของตนให้น่าสนใจขึ้น แม้ผักตบที่กล่าวถึงในวรรณคดีจะเป็นผักตบไทย แต่ก็ ปฏิเสธไม่ได้ว่าผักตบอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน รวมไป ถึงผักตบชวาก็เช่นเดียวกัน ทางกลุ ่ ม นั ก ศึ ก ษาได้ เ ลื อ กข้ อ มู ล เรื่ อ งนางมโห ธรเทวี ทั ด ดอกสามหาว (ดอกผั ก ตบ) มาออกแบบ เป็ น ลวดลายของการ์ ด ส�ำหรั บ เพิ่ ม มู ล ค่ า ให้ กั บ ผลิตภัณฑ์กระดาษห่อของขวัญจากผัก ตบชวา รวมไปถึงท�ำเป็นการ์ดอวยพร อี ก ด้ ว ย ได้ ทั้ ง คุ ณ ค่ า จากวั ส ดุ ใ กล้ ตั ว และเรื่ อ งราวภู มิ ป ั ญ ญาวั ฒ นธรรม สอดแทรกอยู่อีกด้วย ผั ก ตบชวาจากคลองนราภิ ร มย์ ในวันนี้ จึงมีทั้งเรื่องราว ความเป็นมา มี ทั้ง “คุณ” และ “ค่า” ที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ วัชพืชน�้ำที่รังแต่จะสร้างปัญหาอีกต่อไป
16
ร้อยเรื่องราว
เรียนรูé ตèอยอด บูรณาการ เพื่อพัฒนาชุมชน
วรรณิดา อาทิตยพงศ์
งจัดเตรียมงาน ปนความตื่นเต้น ลั ำ � ก ่ ที ษา ก ศึ ก ั ยน ว ด้ ไป ก คั ก ึ งค อ ห้ อก บรรยากาศน ลอดหนึ่งภาคการศึกษา เทต ม ่ ุ ารท ก หม ไ ี ยด ว ้ ปด นไ า ่ ะผ อจ เสน ำ � กระวนกระวายใจว่าวันนี้การน จะออกดอกผลในวันนี้
นั ก ศึ ก ษาได้ น�ำองค์ ค วามรู ้ ด ้ า น ศิ ล ปศาสตร์ ส าขาวิ ช าภาษาไทย มาใช้ ใ น การออกแบบบรรจุ ภั ณ ฑ์ ส ร้ า งอั ต ลั ก ษณ์ ให้ แ ก่ ข นมหวานร้ า นเจ๊ โ ส่ ย ซึ่ ง เป็ น ร้ า น เก่ า แก่ ชื่ อ ดั ง ในตลาดดอนหวาย โดยใช้ ความรู ้ ด้ า นการแต่ ง กาพย์ เพิ่ ม เรื่ อ งราว ให้ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ และบู ร ณาการด้ า นการ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ใช้ได้จริงโดดเด่ น และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ ในรูปเจ๊โส่ย “แม่ ทู น หั ว ” ของกลุ ่ ม เดิ น ทางมาชม การน�ำเสนอผลงานของนั ก ศึ ก ษา ด้ ว ย ความภาคภูมใิ จในผลงานของลูกๆ
เมื่ อ วั น ที่ ๒๕ ธั น วาคม ๒๕๕๘ ที่ ผ ่ า น มา นักศึกษาชั้นปี ๔ สาขาวิชาภาษาไทย คณะ ศิ ล ปศาสตร์ มหาวิ ท ยาลั ย มหิ ด ล ได้ น�ำเสนอ ผลงานในรายวิชาบูรณาการภาษาและวรรณคดี ไทยเพื่อการพัฒนา ประจ�ำปีการศึกษา ๒๕๕๘ นักศึกษาแต่ละกลุ่มได้น�ำเสนอผลงานที่ใช้ระยะ เวลาตลอด ๑ ภาคการศึกษาในการประยุกต์ใช้ องค์ความรู้วิชาต่าง ๆ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างผลงานนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ โดย เน้นพัฒนาภูมิปัญญาเดิมที่มีอยู่ในชุมชนรอบ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้สอดคล้องกับการน�ำ ผลงานไปใช้ได้จริง ทั้งนี้ผลงานของนักศึกษามี ทั้งหมด ๑๕ โครงการ ตัวอย่างเช่น
โครงการ “บรรจุภัณฑ์ จากขนมไทยโบราณสู่สินค้าขึ้นชืส่อร้ขอางอัตลักษณ์” งตลาดน�้ำดอนหวาย
17
มองเผินๆ ก็เหมือนลวดลายขวดแก้วธรรมดาๆ หากแท้จริงแล้วมีที่มาที่น่าสนใจ เนื่องจากทางกลุ่ม ได้เก็บลวดลายประติมากรรมจากวัดสาลวัน มรดก ทางศิลปะของชาวศาลายา มาถอดเป็นลายกราฟฟิก พัฒนาเป็นลวดลายบรรจุภัณฑ์น�้ำองุ่นสมุนไพร ของกลุ่มแม่บ้าน ท�ำให้นักศึกษาและชุมชนได้ร่วม กันออกแบบบรรจุภณ ั ฑ์ทสี่ ร้างอัตลักษณ์ให้ชมุ ชน เป็นการบูรณาการความรู้ด้านศิลปศาสตร์ ให้เกิด ประโยชน์แก่ชมุ ชนโดยรอบมหาวิทยาลัย
ประติมากรรม าย ล ด ว าล น ฒ ั พ าร ก โครงการ งุ่นสมุนไพร) อ ำ ้ � (น ์ ฑ ณ ั ภ ุ จ ร ร าบ น สู่การพัฒ
ช่องทางหนึง่ ในการเผยแพร่ความรูผ้ า่ นสติกเกอร์ไลน์ ด้วยความที่เป็นเด็กเอกไทยเลยต้องการที่จะเผยแพร่ความรู้ ด้านวรรณคดีไทยเรือ่ ง “กาพย์เห่ชมเครือ่ งคาวหวาน” โดยใช้บท ชมเครื่องหวาน ปรากฏชื่อของหวานที่เราไม่คุ้นหูและเกือบจะ เลือนหายไปในสังคม อย่างเช่น ลุดตี ่ ล�ำเจียก รังไร ช่อม่วง จ่า มงกุฎ น�ำขนมหวานมาเป็นตัวสติกเกอร์แทนอารมณ์ตา่ งๆ ของ คูส่ นทนาได้อย่างน่ารักและน่าสนใจ มีแผนวางขายในไลน์สโตร์ เร็วๆ นี้
โครงการสติ๊กเกอร์ไลน์ ชุด ขนมหวาน จาก กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
โครงการ ก สู่การเล่าเรื่องราววัฒารเพิ่มมูลค่าฟางเหลือใช้ในนา นธรรมข ภายใต้แนวคิด ‘ขอ้างวผ่านกระดาษฟางแปรรูป ขวัญข้าว’
“ของขวัญข้าว” น�ำฟางข้าวที่เหลือใช้ในชุมชน มาแปรรูปเป็นกระดาษฟางข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนั้น ก็เล่าเรื่องวัฒนธรรมข้าวผ่านทางลวดลายบน กระดาษฟาง ได้แก่ลายพระแม่โพสพ เฉลว และมโหตร กระดาษที่ได้นั้นสามารถน�ำมาใช้เป็นการ์ดอวยพร กระดาษ ห่ อ ของขวั ญ หรื อ บรรจุ ภั ณ ฑ์ ข ้ า วได้ เป็ น การบู ร ณาการ องค์ ค วามรู ้ เ กี่ ย วกั บ วิ ช าต่ า งๆ ให้ เ กิ ด ประโยชน์ แ ก่ ชุ ม ชน นาสุนทรี ต�ำบลงิว้ ราย
18
พวงมโหตร คือ พวงอุบะที่ประดิษฐ์จากการ น�ำกระดาษว่าว กระดาษสา หรือกระดาษแก้ว มา พับแล้วใช้กรรไกรตัดสลับไปมาให้เป็นพวงห้อยเป็น ชั้นๆ เป็นงานช่างหรืองานฝีมือประเภทหนึ่งที่มีการ สั่งสม ถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยสู่ลูกหลานในท้อง ถิ่น นอกจากนี้พวงมโหตรยังเกี่ยวข้องกับคติชนใน ด้านความเชื่อ ซึ่งคนสมัยก่อนเชื่อว่า เป็นสิริมงคล ซึ่ ง สามารถเห็ น ได้ ต ามวั ด ในชนบทที่ น�ำพวง มโหตรมาประดั บ ตกแต่ ง สถานที่ ต ่ า งๆ ตาม งานบุญงานประเพณี งานรืน่ เริงต่างๆ พวงมโหตร เป็นหนึ่งในศิลปวัฒนธรรม โครงการการจัดการท�ำ ที่ใกล้จะสูญหายไป และไม่เป็นที่รู้จักมากนัก พวงมโหตรสร้างสรรค์ เนื่ อ งจากเป็ น การถ่ า ยทอดผ่ า นความทรงจ�ำ ภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่าง เพื่อฟื้นฟู โดยผู้สูงอายุในชุมชนและยังไม่มีการรวบรวม ยั่งยืน หรือบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร อีกทั้งวัสดุ อุปกรณ์ทใี่ ช้ในการท�ำพวงมโหตรยังไม่มคี วามคงทนถาวรและเสือ่ มสลายได้งา่ ย ทางกลุ่มจึงได้จัดท�ำผลิตภัณฑ์ในการประดิษฐ์พวงมโหตรเพื่อจ�ำหน่าย เพื่อเผย แพร่ความรูใ้ นการท�ำพวงโหตรและอนุรกั ษ์ศลิ ปะการท�ำพวงมโหตรอีกช่องทางหนึง่ และที่ ส�ำคัญเป็นตัวอย่างในการสร้างอาชีพและสร้างผลก�ำไรให้คนในชุมชน ไม่เพียงเท่านั้น ยังจัดกิจกรรมเผยแพร่การท�ำพวงมโหตรตามโรงเรียนในชุมชน โดยรอบอีกด้วย ผลที่ได้คือน้องนักเรียนชั้นประถม โรงเรียนวัดงิ้วราย ได้น�ำความรู้เรื่องการ จัดท�ำพวงมโหตรไปใช้ในการจัดแสดงผลงาน และยิ่งไปกว่านั้นจากค�ำบอกเล่าของคุณครู อารีย ์ คุณครูโรงเรียนวัดงิว้ ราย เล่าว่า เด็กนักเรียนชายคนหนึง่ ถึงขัน้ บอกว่า จะเอาความรูน้ ี้ ไปท�ำพวงมโหตรในงานบวชของตนเองเมื่อโตขึน้ ทัง้ นักศึกษาและผู้นงั่ ชมต่างก็ประทับใจไป ตามๆ กัน
19
นอกจากนี้ยังมีโครงการที่น่าสนใจอีกหลายโครงการ ที่ล้วนเป็นโครงการที่เน้นพัฒนาวัฒนธรรมและภูมิปัญญาดั้งเดิมที่มีอยู่ ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ในแง่มุมใหม่และใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็น โครงการแปรรูปผักตบชวาเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษ เพื่อสร้าง รายได้ให้แก่กลุ่มแม่บ้านและเกษตรกรชุมชนวัดมะเกลือ โครงการการประยุกต์ใช้ “วรรณคดีนิราศ” ในฐานะทุนทางวัฒนธรรมเพื่อ ส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ของผูป้ ระกอบการท้องถิน่ ในชุมชนบ้านใหม่ หรือโครงการหนังสัน้ ศาลายาน่าเทีย่ ว เพือ่ ส่งเสริมการท่องเทีย่ ว ในอ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นต้น จบงานน�ำเสนอในวันนั้นด้วยรอยยิ้มดีใจปนโล่งใจของบรรดานักศึกษา บวกกับรอยยิ้มภาคภูมิใจของทั้งบรรดาแม่ยก นักศึกษาและอาจารย์ประจ�ำวิชา สิ่งที่ทุ่มเทมาตลอดระยะเวลาหลายเดือนออกดอกผลงดงาม พร้อมกันนั้น สิ่งที่ได้ตามมาไม่ใช่ แค่คะแนนที่จะท�ำให้ผ่านรายวิชาไปได้ หากยังรวมถึง การได้เข้าไปคลุกคลีและสร้างส�ำนึกที่ดีร่วมกันต่อวัฒนธรรมและรากฐาน ของชุมชน การได้ท�ำอะไรให้ชุมชนที่ตนเข้ามาอาศัยและเล่าเรียนตลอดสี่ปี ตลอดจนความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักศึกษากับคนใน ชุมชน ดังที่คุณวลี สวดมาลัย ประธานกลุ่มคนรักษ์ถิ่นบ้านวัดมะเกลือ แถมไว้ในตอนท้ายว่า “การเรียนรู้วันนี้ คงไม่จบเท่าที่วันนี้”
20
ชาวพุทธมณฑล
สวัสดีปีใหม่
พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง
ศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๓ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์) วรรณิดา อาทิตยพงศ์
ช่วงเช้าของวันที ่ ๖ มกราคม ๒๕๕๙ ผศ.ดร.อภิลกั ษณ์ เกษมผลกูล คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และอาจารย์เก๋ แดงสกุล อาจารย์ประจ�ำสาขาวิชาภาษาไทย คณะศิ ล ปศาสตร์ มหาวิ ท ยาลั ย มหิ ด ล เดิ น ทางไปสวั ส ดี ปี ใ หม่ พลเรื อ ตรี ม งคล แสงสว่ า ง เจ้ า ของเสี ย งเห่ เ รื อ สุดคลาสสิกคนหนึ่งของเมืองไทย เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคย กั บ เสี ย งเห่ ข องท่ า นมาตั้ ง แต่ เ ด็ ก ผ่ า นเสี ย งตามโทรทั ศ น์ ที่ถ่ายทอดสดงานพระราชพิธี ครั้งนี้เราได้มีโอกาสมาคุยกับ ท่ า นโดยตรง เมื่ อ ไปถึ ง บ้ า นท่ า นซึ่ ง อยู ่ ใ นต�ำบลศาลายา อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย มหิดล ศาลายานัก ท่านเดินออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วย ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง เป็นศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๓ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์) ปัจจุบันอายุ ๗๕ ปี (พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เข้ารับราชการครั้งแรกใน แผนกเรือกล กอง เรือเล็ก กองทัพเรือ เมื่อขณะเข้ารับราชการนั้นเป็นระยะที่มีการฟื้นฟูประเพณีการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารค เมื่อกองทัพ เรือประกาศรับสมัครข้าราชการในกองทัพเรือมาฝึกหัดเห่เรือ พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง ซึ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์และชอบร้องเพลงมา ตั้งแต่เด็ก จึงสมัครเข้ารับการฝึกหัดและได้รับคัดเลือกเป็นคนหนึ่งในจํานวน ๕ ราย และได้รับการถ่ายทอดจากพันจ่าเอกเขียว ศุขภูมิ ซึ่งเป็นพนักงานนําเห่ในขณะนั้นและใกล้เกษียณอายุราชการ ต่อมากองทัพเรือจัดประกวดแข่งขันการเห่เรือ และพลเรือตรี มงคล แสงสว่าง ได้รับรางวัลชนะเลิศและรับมอบเป็นตัวยืนในการเห่เรือ จนกระทั่งเมื่อพันจ่าเอกเขียว ศุขภูมิ เกษียณราชการในปี ๒๕๑๑ พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง จึงได้รับหน้าที่พนักงานเห่สืบต่อมา งานแรกในชีวติ ของพลเรือตรีมงคล คือ พระราชพิธสี มโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ในปี ๒๕๒๕ รัฐบาลจัดให้มงี านเฉลิมฉลอง และมีพระราชพิธี ยิ่งใหญ่ คือการเสด็จพระราชดําเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง จึงได้แสดง ความสามารถในการเห่เรือเป็นครัง้ แรกและได้รบั มอบหมายให้เป็นพนักงานเห่ทกุ ครัง้ ทีม่ พี ระราชพิธสี าํ คัญตลอดมา และงานสุดท้าย ของท่านคือ การเห่ขบวนเรือพระราชพิธี ในการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ แต่ใช่ว่าทุกครั้งที่เสด็จพระราชดําเนินทางชลมารค จะราบรื่นเสมอไป พลเรือตรีมงคล เล่าว่า ในช่วงปี ๒๕๓๙ อยู่ดีๆ ก็มี พายุในตอนที่ท่านมาประจ�ำการ ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ได้เสด็จลงเรือ แต่ทรงประทับอยู่ที่พระที่นั่งราชกิจ แต่ ก่อนที่จะประทับนั้นฉัตรและผ้าม่านร่วงลงน�้ำ ทหารและฝีพายต้องว่ายน�้ำลงไปเก็บ และในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชด�ำเนินจริงๆ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีพายุและฝนตกหนักมาก ในช่วงแรกท่านก็เห็นว่าเมฆด�ำตั้งเค้ามาทางปากอ่าว พอเรือเริ่ม ออกตัวมา เมฆก็เริ่มอ้อมออกทางขวาเริ่มวน ท่านก็ไม่แน่ใจว่าเกิดได้อย่างไร เมื่อถึงสะพานพระปิ่นเกล้าทั้งพายุและฝนกระหน�่ำ
21
จนมองอะไรไม่เห็น พัดทุกอย่างกระจัดกระจาย เพียงแค่ระยะเวลาประมาณ ๕ นาที แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงนิ่ง มาก ท่านเล่าให้ฟังย้อนถึงความหลังอันน่าตื่นเต้นในครั้งนั้น ท่านเกษียณอายุราชการและส่งไม้ต่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้มาสืบต่อหน้าที่ ในปี ๒๕๔๔ แต่ปัจจุบันก็ยังเป็นที่ปรึกษาให้คณะ กรรมการจัดงานอยู่ แม้ว่าปีนี้ท่านจะอายุ ๗๕ ปีแล้ว แต่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงเหมือนเพิ่งจะเกษียณมาใหม่ๆ ท่านเล่าให้ฟังด้วยน�้ำเสียง เปื้อนยิ้มว่า ท่านไม่มีโรคประจ�ำตัวและดูแลรักษาสุขภาพตัวเองอย่างดี ท่านเล่าว่าออกก�ำลังกายโดยการปั่นจักรยานจากบ้านไป มหาวิทยาลัยมหิดลทุกวัน ประมาณวันละ ๑ ชั่วโมง พร้อมกันนั้นก็ดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารการกิน ทั้งนี้เพราะท่านมีเป้าหมาย ใหญ่ให้รอคอย “นึกๆ แล้วก็อยากเสี่ยงสักครั้ง ขอทิ้งท้ายได้ไหมก่อนตาย ขอเห่ได้ไหม เพราะสภาพร่างกายเรายังไหว เราไม่ได้ปล่อย” ถ้อยค�ำที่ทรงพลังจับใจเรา อายุที่ล่วงเลยมาเกือบค่อนศตวรรษ ท�ำอะไรจิตใจที่มุ่งมั่นจะท�ำในสิ่งที่ตนรักและความรักความ ทุ่มเทที่มีต่องานอย่างแรงกล้าไม่ได้เลยจริงๆ พาให้นึกถึงคุณจิโร โอเอะ ชายชราผู้อุทิศตัวเองให้ซูชิ กล่าวถึงงานของตน ในสารคดี บันดาลใจ Jiro dream of Sushi “จะเลิกท�ำเมื่อไรน่ะหรือ? กับงานที่เราทุ่มเทหนักมากขนาดนี้น่ะเหรอ? ผมรักในงานของผม และทุ่มเทชีวิตให้กับงาน แม้ว่าผมจะอายุ ๘๕ ปีแล้วก็ตาม”
ข่าวสารมหาวิทยาลัยมหิดล
พลเรือตรีมงคล แสงสว่างก็เช่นเดียวกัน.
มหิดลอินเตอร์ สานฝันเยาวชนอุดมปัญญาน�ำพาสุขสู ชè ุมชน วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล นับเป็นสถาบันอุดมศึกษาหนึ่งที่เปิดการเรียนการสอน ในหลักสูตรภาษาอังกฤษ หรือ International Programs ภายใต้ก�ำกับมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีภารกิจ หลักในการจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ ตลอดจนการท�ำนุบ�ำรุงศิลปวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาก�ำลังคนที่มีคุณภาพเข้าสู่สังคม สร้างนวัตกรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งในประเทศไทยได้บูรณาการภารกิจทั้งสี่ด้านเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ต่อบัณฑิตและสังคม โดยรวม ส่วนงานบริการวิชาการนั้นได้เริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากงานบริการวิชาการโดยเน้นงานบริการหรืองานอาสา สมัครเป็นหลัก มาเป็นการท�ำงานร่วมกับภาคีในพื้นที่แบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและเป็นหุ้นส่วนระยะยาวมากขึ้น รวมทั้งมีการน�ำความรู้ทางวิชาการมาบูรณาการกับการท�ำงานเพื่อสังคม หรือที่เรียกว่าพันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัย กับสังคม (University Engagement) อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นระบบมากขึ้น มหาวิทยาลัยจึงมีบทบาทเป็นอย่าง มากในการพัฒนาการกินดีอยู่ดี แก้ปัญหาสังคม รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนและสังคม โครงการพันธกิจสัมพันธ์เพือ่ สังคม (Social Engagement) นับเป็นการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมภาพลักษณ์และ เผยแพร่ชื่อเสียงให้เกิดภาพพจน์ที่ดีเป็นที่ยอมรับในชุมชนและสังคม อาทิเช่น โครงการกิจกรรมอบรมภาษาอังกฤษ ให้แก่เยาวชน โครงการยุวชนพุทธมณฑลรักการอ่าน และโครงการ โรงเรียน วัด ชุมชน สานสัมพันธ์ เพื่อชุมชน อุดมปัญญา ที่จัดโดยหน่วยงานพันธกิจสัมพันธ์กับสังคม วิทยาลัยนานาชาติ เป็นต้น วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ก�ำหนดเป้าหมายตามนโยบายหลักด้านพันธกิจมหาวิทยาลัย กับสังคม (Social Engagement) โดยการบูรณาการการท�ำงานเชิงวิชาการร่วมกับชุมชน หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ร่วมคิดร่วมท�ำแบบหุ้นส่วน เกิดประโยชน์ร่วมกันแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มีการใช้ความรู้ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และ เกิดผลกระทบต่อสังคมที่ประเมินได้ เพื่อน�ำชุมชนอุดมปัญญาน�ำพาสังคมอุดมความสุขอย่างยั่งยืนต่อไป
22
เกร็ดวิถีชีวิต
เ ก ร็ ด ชี วิ ต วั ด สุ ว ร ร ณ
ประเพณีตักบาตรท้องน�้ำ วัดสุวรรณาราม๑
นายแพทย์วัฒนา เทียมปฐม๒
เ ก ร็ ด ชี วิ ต วั ด สุ ว ร ร ณ
ประเพณีตักบาตรท้องน�้ำจัดขึ้นที่วัดสุวรรณาราม หมู่ที่ ๑ ต�ำบลศาลายา อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม มากว่า ๕๐ ปี เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระครูวิชัยวุฒิคุณ (หลวงพ่อดี สุวณฺโณ) เป็นเจ้าอาวาส โดยการริเริ่มของ นายถาวร เทียมปฐมไวยาวัจกรวัดในขณะนั้น โดยจัดขึ้นในวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค�่ำ เดือน ๑๒ ซึ่งตรงกับวันลอยกระทง ในช่วงเช้าประมาณ ๐๘.๐๐ น. ณ บริเวณคลองมหาสวัสดิ์ หน้าวัดสุวรรณาราม โดยเป็นการท�ำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่พระคงคา และอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตในคลองมหาสวัสดิ์ เนื่องจากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์คนที่อาศัยอยู่ริมคลอง มหาสวัสดิ์จมน�้ำตายกันหลายรายและชาวบ้านเชื่อว่าการที่มีคนจมน�้ำตายวิญญาณผู้ตายจะสิงสถิตอยู่ในบริเวณนั้นจนกระทั่ง มีคนจมน�้ำตายบริเวณนั้นอีกวิญญาณเดิมจึงจะได้ไปเกิดใหม่ ดังนั้นการจัดพิธีตักบาตรท้องน�้ำจึงเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านในการ ท�ำให้ประชาชนทีอ่ ยูร่ มิ คลองมีความระมัดระวังบุตรหลานไม่ให้ตกนำ�้ ตายหลังจากการจัดประเพณีนขี้ นึ้ มา ปรากฏว่ามีคนจมน�ำ้ ตาย น้อยลงมาก ในช่วงเวลานั้น พระวัดสุวรรณารามจะออกบิณฑบาต มีทั้งสายเดินและสายเรือ สายเรือจะใช้เรือบดหรือเรือส�ำปั้นเพรียว ซึ่งเป็นเรือขนาดเล็ก พระนั่งกลางล�ำเรือได้รูปเดียว มีบาตรและส�ำรับวางไว้ข้างหน้า พระที่พายเรือต้องมีความช�ำนาญมากเพราะ เป็นเรือเล็กจมได้ง่าย ในวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒ ประชาชนที่มาท�ำบุญที่วัดสุวรรณารามส่วนใหญ่ จะน�ำเรือที่ใช้ในชีวิตประจ�ำวันมีทั้งเรือขนาด ใหญ่ เช่น เรือมาด เรือชะล่า หรือเรือขนาดเล็ก เช่น เรือส�ำปั้น เรืออีแปะ หรือเรืออีป๊าบ (หรือเรือจู๊ด) ชาวบ้านส่วนหนึ่งจะน�ำเรือ รับพระพร้อมด้วยบาตรและส�ำรับ เรือที่มีขนาดเล็กรับได้ ๑ รูป เรือล�ำใหญ่รับได้ ๒-๓ รูป ชาวบ้านจะเป็นผู้พายเรือให้พระนั่ง ส�ำหรับผู้ที่ใส่บาตรจะอยู่ในเรือ ซึ่งจะจอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งหรือบนท่าเรือ เมื่อเรือพระมาถึงก็จะน�ำอาหารคาวหวานตักใส่รวมทั้ง ถวายดอกไม้ ธูปเทียน และปัจจัย
๑ ๒
อภิลักษณ์ เกษมผลกูล. (๒๕๕๔). อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางสาวสมศรี เทียมปฐม. หน้า ๒๑ - ๒๔. อดีตผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และประธานสภาวัฒนธรรมอ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
23
ประเพณีตักบาตรท้องน�้ำ บริเวณหน้าวัดสุวรรณาราม เมื่ อ ๔๐ - ๕๐ ปี ก่ อ น ประเพณี นี้ มี ผู ้ ม าร่ ว มงานเป็ น จ�ำนวนมากจะเห็นเรือเต็มคลองมหาสวัสดิ์หลายร้อยล�ำ ประกอบกับ วั ด สุ ว รรณาราม ในช่ ว งนั้ น เป็ น ช่ ว งที่ ป ระชาชนมี ค วามศรั ท ธาต่ อ พระครูวิชัยวุฒิคุณ (หลวงพ่อดี สุวณฺโณ) มาก มีคนศรัทธาบวชที่วัด สุวรรณารามในช่วงเข้าพรรษาจ�ำนวนมากกว่า ๑๐๐ รูป เป็นประจ�ำ และในช่ ว งวั น เพ็ ญ กลางเดื อ น ๑๒ ซึ่ ง เป็ น ช่ ว งออกพรรษาได้ เ พี ย ง ๑ เดือน ยังมีพระภิกษุอยู่หลายสิบรูป จึงมีญาติพี่น้องมาร่วมท�ำบุญ เป็นจ�ำนวนมาก ปั จ จุ บั น ไม่ มี พ ระบิ ณ ฑบาตทางน�้ ำ ในอ�ำเภอพุ ท ธมณฑลแล้ ว เนื่องจากพระที่เคยพายเรือได้เริ่มมีอายุมากไม่สามารถบังคับเรือได้ดี ท�ำให้มีโอกาสล่มได้บ่อย ส่วนประเพณีตักบาตรท้องน�้ำประชาชนก็เริ่มมา น้อยลง เนื่องจากปัจจุบันมีทางรถยนต์ที่สะดวก จึงใช้เรือน้อยลงเรื่อยๆ ประกอบกับจ�ำนวนพระภิกษุของวัดสุวรรณารามลดลงมากจึงมีญาติโยม มาท�ำบุญน้อยลง การจัดประเพณีดังกล่าวนอกจากจะเป็นการท�ำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้ พ ระแม่ ค งคาและผู ้ ที่ เ สี ย ชี วิ ต ในคลองมหาสวั ส ดิ์ แ ล้ ว ยั ง เป็ น การ อนุรักษ์ประเพณีที่มีการจัดท�ำกันมานานมากกว่าครึ่งศตวรรษและเป็น การอนุรักษ์เรือและวิถีชีวิตริมคลองมหาสวัสดิ์ให้คงอยู่ตลอดไป องค์การ บริหารส่วนต�ำบลศาลายาได้ร่วมกับวัดสุวรรณารามผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ชมรมการท่ อ งเที่ ย วการเกษตร อ.พุ ท ธมณฑล จ.นครปฐม และสภา วัฒนธรรมอ�ำเภอพุทธมณฑล ได้เริ่มอนุรักษ์ประเพณีดังกล่าว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๒ ท�ำให้ประเพณีนี้มีผู้มาร่วมงานมากขึ้น ซึ่งต่อไปน่าจะ กลายเป็นประเพณีในระดับจังหวัดต่อไป
24
เล่าสู่กันฟัง
เ
ล่
า
สู่
กั
น
ฟั
ง
ฟั
ง
งานวันรวมพลัง
ผู้อาวุโสพุทธมณฑล เ
ล่
า
สู่
กั
ประภา คงปัญญา
น
สวั ส ดี ค ่ ะ ท่ า นผู ้ อ ่ า น ก่ อ นอื่ น ขอแนะน�ำคอลั ม น์ “เล่ า สู ่ กั น ฟั ง ” ก่ อ นนะคะ คอลั ม น์ นี้ เ ป็ น การน�ำเสนอเรื่ อ งราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในอ�ำเภอพุทธมณฑล และความรู้ด้านอาหาร โภชนาการ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ส�ำหรับเรื่องราวในฉบับแรก ขอประเดิมด้วยเรื่องเล่าที่สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้สูงวัยชาวพุทธมณฑลค่ะ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา นับว่าเป็นวันดีอีกวันหนึ่งของผู้อาวุโสพุทธมณฑล เพราะเป็นวันที่ตัวแทนผู้สูงวัย จากต�ำบลต่างๆ มาร่วมแสดงพลังท�ำดีเพื่อพ่อของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หวั ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ งานนีจ้ ดั ขึน้ ทีอ่ าคารสุชพี ปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยการมีส่วนร่วม ระหว่างเครือข่ายชมรมผู้สูงอายุอ�ำเภอพุทธมณฑล มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายด้านสุขภาพ และเครือข่ายที่ท�ำงานด้านความสุข ได้แก่ บ้านดอกบัว ของ ศ.เกียรติคุณพญ.คุณสาคร ธนมิตต์ งานเริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่จึงมี การจัดเตรียมอาหารเช้าเพื่อเติมพลังผู้สูงอายุที่มาร่วมงานด้วยน�้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋แสนอร่อย เมื่อผู้สูงอายุที่เข้าร่วมงานได้ลง ทะเบียนและนั่งประจ�ำกลุ่มโดยแยกตามชมรมผู้สูงอายุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงพิธีถวายพระพรและพิธีเปิดงาน งานวันนี้ได้ พิธีกรคู่ที่รับส่งกันอย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด ไม่ขัดเขิน นับว่าพิธีกรมืออาชีพกันจริงๆ คือ เรือตรีธรรมรัตน์ อรุณสินประเสริฐ และ คุณวาสินี เชื้อวงษ์ ทั้งยังได้รับเกียรติจากนายอังกูร สุ่นกุล นายอ�ำเภอพุทธมณฑล มาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมกับตัวแทน ชมรมผู้สูงอายุพุทธมณฑลขึ้นเวทีร่วมพิธีถวายพระพรและพิธีเปิดพร้อมกับท่านนายอ�ำเภอด้วย เมื่อจบพิธีเปิดงานแล้วก็เข้าสู่กิจกรรมเชิดชูผู้อาวุโสของพุทธมณฑล ซึ่งก่อนวันจัดงานคณะกรรมการได้คัดเลือกผู้อาวุโสของอ�ำเภอพุทธมณฑล ที่ ด�ำเนิ น ชี วิ ต ตามหลั ก ทรงงานของพระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว คื อ เป็นผู้มีความเพียร คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม ประหยัด เรียบง่าย และ ด�ำเนิ น ชี วิ ต อย่ า งมี ค วามสุ ข ตามปรั ช ญาเศรษฐกิ จ พอเพี ย ง รางวั ล ที่ มอบให้ กั บ ผู ้ อ าวุ โ สครั้ ง นี้ ม าจากบ้ า นดอกบั ว โดยเป็ น แนวคิ ด ของ ศ.เกี ย รติ คุ ณ พญ.คุ ณ สาคร ธนมิ ต ต์ ที่ ต ้ อ งการแสดงความชื่ น ชม ผู้อาวุโสในพุทธมณฑลเพื่อยกย่องและให้เกียรติกับผู้อาวุโสในชุมชน ในวันงานได้มีการมอบรางวัลให้กับผู้อาวุโสที่ได้รับคัดเลือกเป็นรางวัล พิเศษ ๒ รางวัล พร้อมเกียรติบัตร คือ คุณป้าสังวาลย์ ดวงสร้อยทอง ได้รับรางวัล ชื่นชมเป็นพิเศษในกลุ่มผู้สูงวัยที่อายุมากกว่า ๖๕ ปี ส่วน คุณป้าระเบียบ สวัสดิจ์ ู ได้รบั รางวัลชืน่ ชมเป็นพิเศษในกลุม่ ผูส้ งู วัยอายุ ๔๕–๖๕ ปี นอกจากนีย้ งั ได้มอบเกียรติบตั รให้กบั ผูอ้ าวุโสที่ เข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้อีก ๖ ท่านด้วย รางวัลผู้อาวุโสชื่นชมยังรวมไปถึงรางวัลที่มอบให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหา มกุฏราชวิทยาลัยที่มีคุณสมบัติเหมือนกับรางวัลของผู้อาวุโส เป็นรางวัล ชื่นชมพิเศษพร้อมทุนการศึกษาจ�ำนวน ๒ ทุน และมอบ เกียรติบตั รให้กบั นักศึกษาทีเ่ ข้าร่วมการคัดเลือกอีก ๔ คน นักศึกษาทีไ่ ด้รบั ทุนการศึกษาคือ คุณสุธดิ า เจริญชัยนันท์ และพระองอาจ ปัญฺญาทีโป ในช่วงเวลาของการมอบรางวัลเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความชื่นชมยินดีกันถ้วนหน้า เพราะได้ยินเสียงปรบมือ ดังก้องไปทั่วทั้งงาน
25
ต่อมาเป็นช่วงเวลาของอาหารสมองเสริมความรู้และจุดประกายความคิดให้กับผู้สูงวัยในเวทีเสวนา “โครงการต้นแบบ พุทธเกษตรตามแนวทางภูมิรักษ์ธรรมชาติ : ความร่วมมือระหว่างผู้อาวุโส ชุมชน และมหาวิทยามหามกุฏราชวิทยาลัย” ผู้ร่วม เสวนาประกอบด้วยคุณณัฐนภนต์ หงษ์ศรีจินดา เรือตรีธรรมรัตน์ อรุณสินประเสริฐ และคุณลุงประทุม สวัสดิ์น�ำ ปราชญ์ชาวบ้าน เวทีนี้เป็นการจุดประกายแนวคิดให้เกิดตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการสร้างพื้นที่เปิดในชุมชนเป็นศูนย์การเรียนรู้พัฒนาอาชีพ โดยน�ำวิถีธรรมชาติเข้ามาปรับเปลี่ยนระบบนิเวศ สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ของการแบ่งปันระหว่างผู้อาวุโสในชุมชนกับเยาวชน เพื่อสร้างการเชื่อมต่อของภูมิปัญญา การน�ำแนวคิดการพัฒนาอันเนื่องจากพระราชด�ำริโครงการแก้มลิง แกล้งดิน มาประยุกต์ ใช้ในพื้นที่ให้เกิดวิถีเกษตรแนวใหม่ เช่น การปลูกผักบนต้นกล้วย การปลูกตะไคร้หอมเป็นแนวรั้ว การใช้ต้นกล้วยเป็นเรือน เพาะช�ำพืชผักสวนครัว เป็นต้น ผู้สูงวัยที่ได้ร่วมรับฟังบางท่านก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ บางท่านก็ขมวดคิ้ว จึงคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้ คงต้ อ งใช้ เ วลาในการท�ำความเข้ า ใจร่ ว มกั น อี ก หลายครั้ ง เพื่ อ ให้ เ กิ ด การลงมื อ ปฏิ บั ติ จ ริ ง ได้ ด้ ว ยพลั ง กาย พลั ง ใจ และ ประสบการณ์อันทรงคุณค่าของผู้อาวุโสพุทธมณฑลที่ต้องการจะฝากสิ่งดีๆ ไว้เป็นทางเลือกแห่งอนาคตของลูกหลานชาวพุทธ มณฑล งาน “พุทธเกษตร” คงเกิดขึ้นสมดั่งเจตนารมย์ได้ในที่สุด เมื่อจบเวทีพุทธเกษตรก็เข้าสู่ช่วง “กิจกรรมสร้างสรรค์ระลึกถึงความดีของพ่อ” เริ่ ม ต้ น ด้ ว ยการแสดงเห่ เ รื อ โดยพลเรื อ ตรี ม งคล แสงสว่ า ง ศิ ล ปิ น แห่ ง ชาติ ต่ อ ด้ ว ย กิจกรรมขยับร่างกาย โดยอาจารย์วรพล อ�ำภาพรรณ จากนั้นเป็นการแสดงจากตัวแทน ผู ้ สู ง วั ย จากชมรมผู ้ สู ง อายุ ต ่ า งๆ ในอ�ำเภอ พุทธมณฑลจัดชุดการแสดงมาโชว์มีทั้งการร้อง ร�ำ เต้ น อย่ า งสนุ ก สนาน แต่ แ ฝงไว้ ด ้ ว ย ความหมายของการท�ำความดีเพือ่ พ่อของแผ่นดิน บางชมรมร่ ว มร้ อ งบทเพลงเทิ ด พระเกี ย รติ พระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว อย่ า งไพเราะ จั บ ใจ บางชมรมจั ด ชุ ด การแสดงเพื่ อ พ่ อ ที่ แต่ ง ตั ว กั น มาอย่ า งลื มวัยกันเลยทีเดียว ทุกชุด การแสดงเรียกเสียงปรบมือและเสียง หัวเราะจากผู้ร่วมงาน น�ำความสุขใจมามอบให้กับทุกคน ยังไม่หมดเท่านี้เพราะว่ายังมี วงดนตรีคุณสุมานัส กรรณเลขา มาขับกล่อมเพลงพระราชนิพนธ์และเพลงต่างๆ ที่สร้าง ความสุขให้กับผู้ร่วมงานกันถ้วนหน้า หลังจากจบการแสดงผู้ร่วมงานก็ได้เวลาร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ที่มาจากฝีมือผู้สูงวัยจากชมรมผู้สูงอายุแต่ละแห่ง ทั้งรสชาติและกลิ่นหอมชวน หิวกันไปทั้งงาน เช่น น�้ำพริกเห็ดและผักสด ผักลวก จัดมาบนถาดใบตองที่พับ จั บ จี บ อย่ า งสวยงาม เป็ น ฝี มื อ จากชมรมผู ้ สู ง อายุ ลี ล าวดี สี ข าว คลองโยง ๑ ไข่พะโล้หอมน่าทานจากชมรมผู้สูงอายุบ้านวัดสุวรรณ ผัดหมี่แสนอร่อยจาก ชมรมผู ้ สู ง อายุ ต�ำบลมหาสวั ส ดิ์ แกงเขี ย วหวานลู ก ชิ้ น ปลานุ ่ ม ๆ จากชมรม ผู้สูงอายุโรงพยาบาลพุทธมณฑล และก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นรสเลิศจากศูนย์ผู้สูงอายุ มะลิซ้อน ตบท้ายด้วยผลไม้เพื่อสุขภาพจากกลุ่มอาสาป้านง อ�ำเภอพุทธมณฑล ในงานนี้ไม่ได้มีเพียงแต่กิจกรรมบนเวทีเท่านั้น ยังมีนิทรรศการจากภาคีเครือข่าย ต่างๆ มาร่วมส่งเสริมความรู้การดูแลสุขภาพให้กับผู้สูงอายุ และที่น่าชื่นชมอย่าง ยิ่งคือความร่วมมือของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบลต่างๆ ที่จัดกิจกรรมดีๆ มาเสริมให้ครบเครื่องครบครัน สร้างความสุข ทั้งกายและใจ เช่น การฝังเข็ม การนวดคลายเส้น เป็นต้น ถึงแม้ว่างานนี้จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของการรับต�ำแหน่งประธาน เครือข่ายชมรมผู้สูงอายุอ�ำเภอพุทธมณฑลของพลเรือตรีสัมพันธ์ ภู่ไพบูลย์ และเป็นครั้งแรกของความร่วมมือระหว่างเครือข่าย ชมรมผู้สูงอายุอ�ำเภอพุทธมณฑลกับสถาบันการศึกษาต่างๆ คณะท�ำงานก็มีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะจัดงานให้เป็นแบบอย่างของ การเชิดชูผู้สูงวัย ซึ่งปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นบทเรียนที่จะน�ำไปสู่การแก้ไขและพัฒนา เพื่อให้การจัดงานดีๆ เช่นนี้เป็นโอกาสของการแสดงความร่วมมือร่วมใจจากหลายๆ ฝ่าย ที่จะสร้างสรรค์งานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้สูงวัยของ พุทธมณฑลในทุกๆ ปีต่อไป
26
เรื่องเล่าชาวคลองโยง
เ รื่ อ ง เ ล่ า ช า ว ค ล อ ง โ ย ง
บ้านนอก
วลี สวดมาลัย
เ รื่ อ ง เ ล่ า ช า ว ค ล อ ง โ ย ง “บ้านนอก” ค�ำนี้เราไม่รู้หรอกว่าในพจนานุกรมแปลว่าอะไร เราจึงพาท่านมารู้จักกับบ้านนอกของเรา บ้าน นอกของเราอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครนัก ปัจจุบันใช้เวลาการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ ๑ชั่วโมง เมื่อ สักประมาณ ๔๐-๕๐ ปีมาแล้ว มีคนถามว่าวันหยุดนี้จะไปไหน เราจะตอบว่า “กลับบ้านนอก” ตอนนี้เราจะพาท่านมารู้จักกับบ้านนอกของเรากันก่อนนะ บ้านนอกของเราอยู่ในเขตปกครองของจังหวัด นครปฐมและนนทบุรี มีคลองเป็นเส้นทางคมนาคม ถ้าไม่ใช้เรือเราก็จะเดินไปมาหาสู่กัน คลองก็จะมีคลองเจ๊ก, คลองซอยล่าง, คลองซอยบน, คลองศาลาแดง, คลองสิบ, คลองวัดเส, คลองเจ้า, คลองสหกรณ์, คลองโยง, คลองวัดต้นเชือก คลองมหาสวัสดิ์, คลองทวี และคลองขวาง เป็นต้น อันนี้แล้วแต่ว่าจะไปไหน เช่นถ้าจะไปศาลายา เราก็จะใช้คลองขวางมาออกที่คลองมหาสวัสดิ์เพื่อขึ้นต่อรถไฟหรือรถยนต์ได้
บ้านนอกเราก็มีโรงเรียนนะ สมัยพ่อแม่เรา (ตอนนี้ท่านอายุ ๘๐ กว่าแล้ว) มีสอนถึงชั้นประถมสี่ (สูงสุด) แม่เล่าให้ฟังว่าจบ ป.๔ ก็เป็นครูได้แล้ว แต่แม่ไม่อยากเป็น ต่อมารุ่นฉันเรียนก็มีถึงประถมเจ็ด (ภูมิใจ ภูมิใจ ฉันเป็นนักเรียน ป.๕, ป.๖, ป.๗ รุ่นแรกของโรงเรียน) ปัจจุบันนี้มีถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เป็นโรงเรียนขยายโอกาส (ฉันไม่ค่อยเข้าใจนัก เอาเป็นว่ามีตั้งแต่อนุบาล - ม.๓ แล้วกัน) สมัยฉันเรียน เริ่มเรียนตั้งแต่ชั้น ป.๑ นั่งเรียนบนศาลาวัด (สนุกดี) บนศาลาก็จะมีอยู่ประมาณ ๒ - ๓ ห้อง อยู่ตามมุม ต่างๆ ของศาลา เสาศาลาเป็นไม้ต้นใหญ่มาก แต่ละห้องก็จะมีกระดานด�ำแผ่นใหญ่ตั้งไว้ ไม่แน่ใจว่ามีป้ายห้องหรือไม่ นักเรียน จะมองเห็นกันหมด ส่วนเวลาเรียนฉันก็จ�ำไม่ได้แน่ว่าเข้าเรียนกี่โมง เลิกเรียนกี่โมง แต่ก็จะเรียกว่าเข้าเรียนเช้าและตอนบ่าย เวลา พักกินข้าวก็จะเรียกว่าพักกลางวัน ระหว่างเรียนเช้า - บ่าย ถ้าคุณครูนึกได้ก็จะปล่อยให้พัก อันนี้เรียกว่า “พักน้อย” ก็คือเวลา พักให้ไป “ดื่มน�้ำปัสสาวะ” บางวันคุณครูก็ลืมปล่อยให้พักน้อย ก็จะมีนักเรียนที่ต้องการพัก นักเรียนจะยกมือไว้จนกว่าคุณครูจะ อนุญาตให้พูดได้ เด็กก็จะบอกคุณครูด้วยเสียงดังว่า “คุณครูขาหนูขออนุญาตไปดื่มน�้ำปัสสาวะค่ะ” คุณครูก็จะยิ้มแล้วสอนต่อไป สักพัก แล้วบอกนักเรียนว่า “อ้าวนักเรียนใครต้องการไปดื่มน�้ำปัสสาวะครูอนุญาต ส่วนคนอื่นที่ไม่ต้องการดื่มน�้ำปัสสาวะก็พักได้” ข้อความเหล่านี้มันอยู่คู่กับโรงเรียนของเราจริงๆ นะ คุณครูส่วนใหญ่เป็นคุณครูที่มีภูมิล�ำเนาที่อื่น คุณครูใหญ่ก็จะพาไปฝากตามบ้านคนในชุมชนถ้าเป็นครูหญิง ส่วนถ้าเป็น ครูชายก็จะพักวัด อ้อ มีคุณครูที่เป็นคนที่อื่นแต่มาสอนจนได้ภรรยาที่ชุมชนมี ๒ คน คือคุณครู เทพ บุญสม ท่านเป็นครูใหญ่ และ คุณตี๋ฉันจ�ำนามสกุลไม่ได้ ตอนฉันเรียน ป.๑ มีคุณครูประจ�ำชั้นชื่อ ช�ำนาญ ธัญญาวัฒนา ท่านเป็นคนศาลายา เวลามาสอนท่านจะขับเรือมาเองจาก ศาลายา ความประทับใจของฉันต่อคุณครูช�ำนาญ วันหนึ่งฉันไม่ได้ไปโรงเรียนจ�ำไม่ได้ด้วยเหตุผลอันใด จ�ำได้แต่ว่าคุณครูเดินมา หาที่บ้านแล้วอุ้มฉันไปโรงเรียน ความรู้สึกดีๆ ที่ฉันมีต่อโรงเรียนมันคงเกิดขึ้นตอนนั้นแน่เลย หลังจากนั้นฉันไม่เคยขาดเรียนอีกเลย ฉันชอบการไปโรงเรียนมาก โตขึ้นอยากเป็นครูแบบครูช�ำนาญ การลงโทษของครู ครูจะเรียกนักเรียนที่ท�ำผิดทุกคนออกมายืนหน้าชั้น แล้วครูก็จะบอกความผิดของแต่ละคนให้เจ้าตัวรู้ เด็กในห้องก็จะเรียนรู้ไปด้วย แล้วครูจะตี (ท�ำโทษ) ครูจะให้เด็กยืนกอดอก คุณครูจะตีทีละคน มากน้อยไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าความ ผิดของแต่ละคน ไม้ที่ใช้ตีเรียกว่า “ไม้เรียว” ไม้เรียวนี้คุณครูไม่ได้เอามาเองหรอกนะ เด็กๆ จะเป็นคนหามาไว้ประจ�ำในห้องเรียน ส่วนใหญ่จะท�ำจากกิ่งไม้ไผ่ (ไม้ไผ่จะมีปุ่มตรงรอยต่อของข้อ เด็กๆ ต้องพยายามเกลาให้เรียบที่สุด เพราะถ้าโดนตีแล้วตรงข้อมา
27
กระทบเนื้อ จะเจ็บมาก) ก็แปลกดีนะเตรียมไม้ไว้ท�ำโทษตัวเองก็ยังต้องเตรียม แต่ดูทุกคนก็ไม่เดือดร้อนอะไร เต็มใจภูมิใจในการ จัดหามา แบบต้องสวยดีกว่าของเพื่อนเวลาตีจะได้ไม่หัก ไม้เรียวนี้จะเหน็บไว้ที่ชายคาศาลาของแต่ละห้อง เด็กๆ จะมาโรงเรียนกันเอง ไม่ต้องมีพ่อแม่ ผู้ปกครองมาส่ง คุณครูก็ไม่ต้องไปยืนรับหน้าโรงเรียน การเดินทางของนักเรียน พอจะแบ่งสายดังนี้ ๑) สายดอน, สายคลองสิบ (ปัจจุบันคือ ต�ำบลหนองเพรางาย อ�ำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี) ๒) สายคลองซอย, คลองเจ๊ก (ปัจจุบันคือ หมู่ ๓ หมู่ ๗ ต�ำบลคลองโยง อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม) อันนี้จะเดิน ลัดทุ่งนามาโรงเรียน ๓) สายคลองขวาง (ปัจจุบันคือ ริมคลองนราภิรมย์ พื้นที่จังหวัดนนทบุรีและนครปฐม) ก็จะเดินเลียบริมคลองทั้งสองฝั่งมา ทางเดินก็จะเป็นทางดินที่คนเดินจนเป็นช่องข้ามสะพานไม้ที่มีทางน�้ำเข้าบ้านคนเป็นบางช่วง ข้างทางด้านหนึ่งก็จะเป็นคลอง อีกด้านหนึ่งก็จะเป็นป่าสะแก และกอต้นหนามแมงดอ (อันนี้น่ากลัว) ผู้ใหญ่จะบอกว่าให้ระวังไว้อย่าให้หนามแมงดอต�ำได้ (หมายถึงทิ่มเข้าไปในเนื้อตัว) เพราะมันจะหักวิ่งเข้าไปจนถึงกระดูก จะปวดมาก เท่าที่จ�ำได้ยังไม่เคยเห็นใครโดนหนามแมงดอ สักคน ๔) เด็กตลาด (อยู่ฝั่งตรงข้ามวัด พื้นที่จังหวัดนนทบุรี) เด็กตลาดจะดูพิเศษกว่าเด็กอื่นๆ ที่กล่าวมา เสื้อผ้าหน้าตาจะดู สะอาดสะอ้าน หน้าตาจิ้มลิ้ม ไม่ขะมุกขะมอมเหมือนเด็กสายอื่นๆ ด้วยมีพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นพ่อค้า คหบดี อาหารส่วนใหญ่เด็กจะกินข้าวเช้ามาจากบ้าน และจะเตรียมอาหารกลางวันมากินกันเอง ส�ำหรับคนบ้านไกล พ่อแม่ก็จะ เตรียมใส่ปิ่นโตมา ถ้าดูดีหน่อย (เท่) ก็จะมีกล่องข้าว (เป็นภาชนะอะลูมิเนียม เป็นกล่องสี่เหลี่ยม มีที่ใส่กับข้าวอยู่ในกล่องนี้ด้วย) ส่วนฉันและเด็กตลาดก็จะวิ่งกลับมากินข้าวที่บ้าน ไม่ต้องห่อข้าวมากินที่โรงเรียน กินข้าวเสร็จก็จะเล่นอยู่ในบริเวณวัดนั่นแหละ อาทิ ทอยเส้น, อีตัก, หมากเดิน, ตาขะเหย่ง โหดหน่อยก็เล่นตี่จับ (อันนี้ต้องเล่นหลายคนและใช้ก�ำลังเยอะมาก) ครูจะปล่อย (เลิกเรียน) พร้อมๆ กันทุกชัน้ ถ้าชัน้ ไหนยังไม่เลิกก็กลับบ้านไม่ได้ตอ้ งรอกัน เส้นทางกลับก็เหมือนขามาโรงเรียน รู้ยังบ้านนอกฉันอยู่ไหน ถ้ายังไม่รู้ขอต่อฉบับหน้านะ
แนะน� ำ หนั ง สื อ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เด็กบ้านนอก
พุทธมณฑลวัฒนา ๖๐ ปี นายแพทยวì ฒ ั นา เทียมปฐม คลังปัญญาแหงè ชาวพุทธมณฑล พัชรี ศรีเพ็ญแก้ว
“พุทธมณฑลวัฒนา” เป็นหนังสือที่หน่วยวิชาการเชิง สร้างสรรค์และชุมชนสัมพันธ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล ร่วมกับโรงพยาบาลพุทธมณฑลจัดพิมพ์ขึ้น เพื่อแสดง มุฑิตาจิตในโอกาสเกษียณอายุราชการ ของนายแพทย์วัฒนา เทียมปฐม ซึ่งเป็นบุคคลผู้เป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพยกย่อง ของชาวอำ�เภอพุทธมณฑล ในฐานะเป็นผู้มีคุณูปการต่ออำ�เภอ พุทธมณฑลอย่างยิ่งในหลายประการ ทั้งด้านการสาธารณสุข และด้านสังคมและวัฒนธรรม เนื้อหาภายในหนังสือเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประเพณี วัฒนธรรม มรดกทางธรรมชาติ และข้อมูลที่น่าสนใจของอำ�เภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อให้สามารถเป็นข้อมูลเบื้องต้นใน การศึกษาเรียนรู้ หรือสำ�หรับบุคคลที่สนใจได้มีโอกาสถ่ายทอดและต่อยอดองค์ความรู้ต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสืบค้นข้อมูลสามารถเข้าใช้บริการได้ที่ห้องสมุด ชั้น ๒ อาคารสิริวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 28 โทรศัพท์ ๐ ๒๔๔๑ ๔๔๐๑ – ๘ ต่อ ๑๒๐๑ ในวันและเวลาราชการ
ข่าวประชาสัมพันธ์ อ�ำเภอพุทธมณฑล
การจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์
ของอ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
คณะกรรมการอำ�นวยการจัดงานพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก ให้กระทรวงมหาดไทยขอความร่วมมือจังหวัดทุกจังหวัดจัดพิธีบำ�เพ็ญกุศลพระศพสมเด็จพระ ญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในส่วนภูมิภาค วัน ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา และให้ทุกอำ�เภอจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพื้นที่อำ�เภอละ ๑ แห่ง เพื่อให้คณะสงฆ์พุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดจนประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ได้มีส่วนร่วมในการถวายความ อาลัยและร่วมรำ�ลึกถึงพระคุณูประการที่มีต่อบวรพุทธศาสนา รวมทั้งมีโอกาสร่วมในพิธีถวายดอกไม้จันทน์ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศและความอาลัยในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก พร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ ในส่ ว นของอำ � เภอพุ ท ธมณฑลนั้ น ได้ กำ � หนดจั ด พิ ธี ถ วายดอกไม้ จั น ทน์ ในวั น ที่ ๑๖ ธั น วาคม ๒๕๕๘ ณ วัดมะเกลือ หมูท่ ่ี ๔ ตำ�บลคลองโยง อำ�เภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม โดยมีนายอังกูร สุน่ กุล นายอำ � เภอพุ ท ธมณฑล เป็ น ประธานประกอบพิ ธี ว างดอกไม้ จั น ทน์ และพิ ธี เ ผาดอกไม้ จั น ทน์ ซึ่ ง การ จั ด พิ ธี ได้ มี ก ารจั ด แสดงมหรสพสมโภชงานออกพระเมรุ การแสดงโขนกลางแปลง ตอนตามกวาง ยกรบ จากวิทยาลัยนาฏศิลปศาลายา มีผู้เข้าร่วมในพิธีประกอบด้วยพระสงฆ์จากทุกวัดในพื้นที่อำ�เภอ พุทธมณฑล หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์การ ปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมด้วยข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานในสังกัด กำ�นัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ กลุ่มพลัง มวลชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่อำ�เภอพุทธมณฑล ประมาณ ๒,๐๐๐ คน
พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นขาœ ราชการที่ดีและพลังของแผ นè ดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘
29
การจัดงานเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ�ำเภอพุทธมณฑลจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ โดยจัดพิธีลงนามถวายพระพร พิธีถวายพระพรชัยมงคล และพิธีถวายเครื่องราชสักการะ ในวันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ หอประชุมโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระต�ำหนักสวนกุหลาบมัธยม) และพิธีจุดเทียนถวาย พระพรชัยมงคลในภาคค�่ำ ณ เทศบาลต�ำบลศาลายา เทศบาลต�ำบล คลองโยง องค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นต�ำบลมหาสวั ส ดิ์ โดยมี น ายอั ง กู ร สุ่นกุล นายอ�ำเภอพุทธมณฑล เป็นประธานในพิธี มีผู้เข้าร่วมพิธี ประกอบด้ ว ยหั ว หน้ า ส่ ว นราชการ ผู ้ บ ริ ห ารสถานศึ ก ษา หั ว หน้ า หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อม ด้วยข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานในสังกัด ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ กลุ่มพลังมวลชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่อ�ำเภอ พุทธมณฑล
30
31
32