PIE issue 9

Page 1

MAKING COLUMN FOR PIE

SPEEDY GRANDMA

ISSUE NINE : MARCH 2014

PIE ONLINE GALLERY

VARIETY ELEMENTS

APOSTROPHY S THE SYNTHESIS SERVER

SAHRED TOY

A VISUAL POETRY IN JAPAN PHOTO SET


02


PIE ONLINE MAGAZINE ISSUE 09 2014

SPEEDY GRANDMA APOSTROPHYS THE SYNTHESIS SERVER SAHRED TOY MAKING COLUMN FOR PIE BY READER A VISUAL POETRY IN JAPAN SPECIAL PHOTO SET ONLINE GALLERY

03

VARIETY ELEMENTS


Think before you speak.

04


Read before you think.

05


Heroism on comman senseless violence, and all the loathsome nonsense that goes by the name of patriotism - how passionately I hate them! Albert Einstein

Peace cannot be achieved through violence, it can only be attained through understanding.

Violence isn’t always evil. What’s evil is the infatuation with violence.

Ralph Waldo Emerson

Jim Morrison

06


PEACE

ommand, e, some goes patriotism

Anger is the enemy of non-violence and pride is a monster that swallows it up. Mahatma Gandhi

DITOR TALK สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ เริ่มจากการขออภัยสำ�หรับ ความล่าช้าของนิตยสารด้วยนะครับ PIE เล่มนี้เป็น เล่มแรกของปี 2014 และยังเป็นเล่มแรกที่เราเปิดให้ ผู้สนใจส่งงานเขียนคอลัมน์เข้ามาโชว์กัน จริงๆ แล้วผมควรมาเขียนเรื่องร่าเริงยินดีตามภาษาบท บรรณาธิการ แต่ด้วยบรรยากาศทางการเมืองใน ช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก มีทั้งเรื่องน่าสลดหดหู่ ทั้งการตายและเสียชีวิตที่ออกข่าวเพียงสองสามวัน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เห็นการสูญเสียของคนไทยจาก ความขัดแย้งทางการเมือง ตัวผมเองคิดมาตั้งแต่ เล็กๆ ว่าบ้านเมืองเราสงบสุขน่าอยู่ คนในชาติเป็น มิตรรักใคร่มีน้ำ�ใจกันเหมือนพี่น้องเพื่อนพ้องกัน อาจ จะเป็นเพราะความรู้น้อยของผมเองที่ทำ�ให้ผมมอง สังคมแบบตื้นเขินเช่นนั้น แม้ความคิดสร้างสรรค์จะ เป็นเรื่องที่ PIE เน้นมาเสมอ แต่ความคิดสร้างสรรค์ ดีๆ จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรในสังคมที่คนในสังคมแต่ละ คนไม่ฟังความคิดเห็นของกันและกัน ไม่พดู คุยด้วย เหตุผลแบบนี้ ยังไงก็ตามผมขอให้ความสงบสุขรีบ กลับคืนมาสู่ประเทศของเราไวๆ และขอแสดงความ เสียใจกับผู้ที่โดนผลกระทบไม่ว่าด้านใดจากความ รุนแรงนี้ด้วยครับ สุรเชษฐ์ ศิลปบรรเลง คนทำ�พาย

PIE ONLINE MAGAZINE www.pieeveryday.com : facebook.com/piemagazine2013 pieonlinemag@gmail.com : 08 0233 5492, 08 6918 6212 100/99 chaiyapruk village soi 55 Sukapibal 5 O-ngoen Saimai Bangkok 10220

07


08


CONTENTS PIE UPDATE SPEEDY GRANDMA MAKING COLUMN FOR PIE SHARED TOY A Visual Poetry in Japan SPECIAL PHOTO SET Apostrophy s ONLINE GALLERY

09


PIE UPDATE

Colorful Rebellion-Seventh Nightmare นิทรรศการศิลปะแสนสดใส Colorful Rebellion-Seventh Nightmare จากศิลปินจากแดนปลาดิบ Sebastian Masuda ผูก้ อ่ ตัง้ ร้าน 6% DOKIDOKI ร้านสุดจี๊ดที่คู่กับย่านฮาราจูกุมากว่า 20 ปี และมีดีกรีเป็นถึงอาร์ตไดเรกเตอร์ของศิลปินป๊อบสุดคาวาอิ๊ Kyary Pamyu Pamyu ไม่ต้องเดาก็รู้ว่างานของเขาสีสันจัดจ้านน่ารักขนาดไหน เหมือนกำ�ลังหลงเข้าไปยังโลกของปามิวแบบใน มิวสิควีดีโอของเธออย่างนั้นแหละ แต่นิทรรศการนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่ญี่ปุ่นนะจ๊ะ เขาบินไปจัดแสดงงานเดี่ยวครั้งแรกเขาไกลถึงมหานคร นิวยอร์ค ที่ Kianga Ellis Projects ในวันที่ 28 ก.พ.-29 มี.ค. นี้ ใครอยู่แถวนั้นก็ไปดูกันได้จ้า (คนเขียนไม่มีปัญญาไป T_T )

010


Unikko 50th Anniversary หากพูดถึงแบรนด์ Marimekko ทุกคนก็คงคุน้ ตากับแพทเทิล้ ลายดอกป๊อปปี้สีสดใสชื่อ Unikko ที่ไม่ว่าจะอยู่บนชุดสวย ถ้วยชาม ก็ดูน่ารักน่าใช้ไปซะหมด ใครจะรู้ว่า Unikko นั้น มีอายุถึง 50 ปีแล้ว ซึ่งในคอลเล็กชั่นใหม่นี้ยังมีเสื้อผ้า แอคเซสซอรีและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแบรนด์ ในแบบลิมิเต็ด อิดิชั่นอีกด้วย แอบเล่าสักหน่อยว่าเจ้าลายน่ารักนี้เกิดมา ตั้งแต่ปี 1964 จริงๆ แล้วคุณ Armi Ratia ผู้ก่อตั้ง แบรนด์ Marimekko เขามีความตั้งใจจะไม่ทำ�ลายดอกไม้ ลงบนผ้า เพราะความเชือ่ ทีว่ า่ ดอกไม้นน้ั งดงามกว่าเมือ่ อยูใ่ น ธรรมชาติ แต่เมือ่ เธอเห็นลายดอกป๊อปปีส้ แี ดงทีไ่ ด้แรงบันดาลใจ จากสวนหลังบ้านของ Maija Isola เธอก็เห็นถึงความใหม่ และโดดเด่นทันที ลาย Unikko สวยน่ารักลายนีถ้ งึ มาโด่งดัง อยูใ่ นโลกใบนี้ ติดตามวาระครบบรอบ 50 ปีของลาย Unikko ได้ที่ http://unikko.marimekko.com/

011


Tube Map Radio

ดูเผินๆ ก็คล้ายแผงวงจรไฟฟ้าธรรมดาสามัญ หากแต่นี่คือวิทยุสุดเก๋ที่ออกแบบโดย Yuri Suzuki ดีไซเนอร์และซาวด์อาร์ติสสัญชาติญี่ปุ่น ที่เกิดไอเดียปรับโฉมแผนที่รถไฟใต้ดินของ ลอนดอนให้มาอยู่บนแผงวงจรวิทยุ ใช้ตัววงจรชิ้นต่างๆ เป็นจุดสำ�คัญเด่นๆ ในลอนดอน แถม ลงชื่อสถานนีด้วยลงรายละเอียดยิบย่อยแบบต้องพึ่งแว่นขยายช่วยส่องกันเลย หน้าตาก็เป็น อย่างที่เห็นครับ เรื่องไอเดียบวกความถึกแบบงานฝีมือต้องยกให้พี่ยุ่นเขาเลย เก๋ไก๋ดีใช่ไหมล่ะ

SLAP IT LIGHTS UP ROOMS งานโปรดักต์ดีไซน์อารมณ์ขันแกมทะลึ่งเล็กๆ ของ ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ Joseph Begley กับโคมไฟ รูปก้นที่ให้ความรู้สึกสมจริงด้วยการทำ�จากซิลิโคน และมีทีเด็ดอยู่ที่การเปิด-ปิดไฟ เพียงแค่บีบไปที่ก้น (ตัวโคมไฟนะไม่ใช่ก้นของคุณ) ไฟก็จะเปิด ถ้าตีเบาๆ ไฟก็จะปิด มีให้เลือกถึง 8 สีด้วยกันคือ ขาว แดง น้ำ�เงิน ฟ้า เขียว เหลือง ส้ม ชมพู ไอเดียสนุก น่าเล่น แบบนี้ เรารู้ว่าคุณก็อยากได้ เสียดายน่าจะมีเสียงร้อง ประกอบสักหน่อยจะได้สมจริงสมจังกว่านี้ ติดตาม ได้ที่ www.josephbegley.co.uk

012


Cat Furniture

Cat Furniture กระแสน้องเหมียวยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง แต่จะทำ�อย่างไร หากไม่สามารถพาออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ ต้องเลี้ยงอยู่แต่ใน ห้องแคบๆ เจ้าเหมียวของคุณคงจะซึมเศร้าน่าดู แต่ Modular cat furniture ที่ออกแบบโดย Stefan Hofmann นี้อาจเป็น ตัวเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยให้คุณเลี้ยงแมวได้อย่างสบายใจ เพียงแค่ ติดตั้ง ห้องของคุณก็จะกลายเป็นสวนสนุกสุดบันเทิงของ เจ้าเหมียวทันที่ รับรองว่าเจ้าเหมียวของคุณต้องกระโดดโลดเต้น ปีนป่าย เริงร่า บ้าคลั่ง จนลืมมาออดอ้อนคุณเลยทีเดียว

013


Elephant Rose เป็นกระแสอย่างหนึ่งในการถ่ายภาพ นางแบบนายแบบในทุ่งกว้าง ในป่า โปร่งที่เท่ๆ นิ่ง เงียบ สงบ แต่ เอ๊ะ...ช้างบ้านั้นมาจากไหน นั้นคือ ความรู้สึกเมื่อเห็นงานของ JeanBaptiste Courtier ช่างภาพฝรัง่ เศส คนนี้ ในเซตภาพ ‘Elephant Rose’ ที่สองสิ่งสำ�คัญของภาพเซตนี้คือ ผู้หญิงที่นิ่งเศร้า กับช้างพลาสติก พองลมตัวใหญ่สีชมพู มันเหมือนการ ประชด ที่ผู้หญิงในรูปดูจะไม่สนใจ การมีอยู่ของเจ้าช้างตัวนี้เท่าไหร่ เพราะเธอไม่เห็นมัน, เธอแกล้งไม่สนใจ ความเด่นแบบเพี้ยนๆ ของมัน, เธอ เคยชินกับมันจนไม่สนใจ ไม่มีใครรู้ แต่ผมรูว้ า่ Jean-Baptiste Courtier เป็นช่างภาพที่น่าสนใจ

014


gareth pugh Autumn Winter 2014 มาดูงานแฟชั่นเท่สุดเพี้ยนของแฟชั่นดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ Gareth Pugh ก็ไม่รู้จะอธิบายความหลุดความมันส์ของ ตาคนนี้ยังไง เอาว่าแกซี้กับ Lady Gaga น่าจะพอเห็นภาพกันนะ มาดูงานของแกในเซต Autumn Winter 2014 ที่ปารีสแฟชั่นวีค ซึ่งจากที่ดูก็ลดความเพี้ยนลงมาเยอะจากงานก่อนๆ แถมกลับจะดูลงตัวพอดีมีสไตล์ขึ้นอีกด้วย ถึงเขาพยายามใช้สีขาวครีมสบายตาและดูเรียบง่าย แต่ก็ยังไม่ทิ้งลูกเล่นสนุกๆ ทั้งวัสดุและพื้นผิวประหลาดที่เป็น เอกลักษณ์ เห็นแล้วก็ประทับใจ แหม คนเก่งๆ นี่พัฒนากันไม่หยุดยั้งจริงๆ

015


016


KEEP ON THE GRASS FOLK MUSIC FESTIVAL # 2 เตรียมมาเสพดนตรีโฟล์คและบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ของคนรักดนตรีในงาน KEEP ON THE GRASS FOLK MUSIC FESTIVAL ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นที่ ภูอุทัย จังหวัดนครราชสีมา งานนี้ศิลปินอินดี้ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่มาโชว์กันเต็มที่ครับ ทั้ง มาโนช พุฒตาล, My Post Life, Buddhist Holiday, เจตมนต์ มละโยธา, เป้-อารักษ์, Youth Brush และอีกมาก ซึ่งบอกเลย ว่าศิลปินบางท่านนี่หาชมการเล่นสดยากมากครับ ลองไปเปลี่ยนบรรยากาศหนีความวุ่นวาย ในเมืองใหญ่และไปนั่งอิ่มเอมอิ่มใจกับเสียงดนตรีกันในวันเสาร์ที่ 8 มีนาคมนี้นะครับ ติดตามได้ที่ www.facebook.com/KeepOnTheGrassMusicFestival แล้วเราจะรู้ว่าดนตรีดีๆ มันอิ่มใจเพียงใด

017


PIE TALK

SPEEDY GRANDMA เปลี่ยนการเดินเล่นวันหยุดจากเครื่องปรับอากาศและป้ายลดราคาในห้าง สรรพสินค้ามาเดินเล่นในเขตชุมชน ชมเมืองเก่าย่านเจริญกรุง พ่วงกับ การดูงานศิลปะแบบเท่ๆ ดูบ้างที่ Speedy Grandma อาร์ตแกลเลอรี ย่านเมืองเก่าที่จัดหางานจากศิลปินเก๋ๆ มาโชว์กันเป็นประจำ� ด้วยฝีมือ ของเจ้าของและคิวเรเตอร์ทั้งสองท่านคือ ลี-อัญชลี อนันตวัฒน์ และ Thomas Menard เนื่องด้วยคุณ Thomas ไปท่องเที่ยวประเทศลาว แต่ไม่เป็นไรวันนี้เราจึงนัดมาคุยกับคุณ ลี-อัญชลี อนันตวัฒน์ แห่ง Speedy Grandma กัน

018


019


020


คุณลีจบสายกราฟฟิกดีไซน์แต่ไปเรียนต่อ แอนิเมชันที่ออสเตรเลีย

เราก็แสดงงานก่อนที่ Art Gorillas ถือพอร์ตเข้าไป คุยเลย มาคุยกับพี่ฝ้าย Art Gorillas ทีหลัง เขา จริงๆ ชอบทำ�ภาพประกอบนะ แต่ตอนนั้นโมชั่น บอกเห็นเราดูตั้งใจดี กราฟฟิกมันก็กำ�ลังมาเป็นสิ่งใหม่ในตอนนั้น ก็ เลยอยากไปหาที่เรียนโมชั่นกราฟฟิก แต่จะไป ตอนที่อยู่ออสเตรเลียมีความคิดจะเปิดอาร์ต อเมริกามันก็แพง เลยไปเรียนที่ออสเตรเลียเป็น แกลเลอรีหรือยัง คอร์สแอนิเมชันที่ RMIT ไม่เลย แต่มนั ก็ความรูส้ กึ ว่าอยากทำ�อะไรของตัวเอง โดยไม่ไปอิงกับวงการศิลปะที่มีกันอยู่แล้วมากนัก ไปทำ�งานศิลปะที่โน่นด้วย

ทำ�กับกลุ่มที่ชื่อ Tape Project คือในคอร์ส แอนิเมชันที่เราเรียนเด็กที่เรียนก็จะออกเนิร์ดๆ หน่อย แต่อีกคลาสหนึ่งเป็นพวกมีเดียอาร์ต ซึ่ง พวกนี้เนี่ยเป็นแก๊งในฝันเราเลย จะเป็นพวกที่ ชอบดูหนังฟังเพลงปาร์ตี้ ก็ไปเจอกันในปาร์ตี้แล้ว ชอบสไตล์กันเลยชวนกันทำ�งานศิลปะ งานของ พวกเขาก็ทำ�หลากหลายทั้งอินสตอลเลชั่น ทั้ง วีดีโอ ซาวด์ดีไซน์ ไม่จำ�กัดตายตัว ส่วนเราก็ทำ� ที่เราถนัด วาดภาพ ทำ�แอนิเมชัน สนุกมากเป็น ประสบการณ์ใหม่ เหมือนเราไปโตที่นั้น ได้เรียน รู้อะไรเยอะ

แล้ว Thomas Nemard ล่ะครับ ที่ทำ� Speedy Grandma ด้วยกัน เจอกันยังไง

เห็นงานของลี เซตที่วาดภาพประกอบรูป เพื่อนๆ เป็นตัวประหลาด

มันมาจากเรือ่ งผี คือ Thomas เขาฟังมาจากเพือ่ น คนไทยว่า มีคณุ ยายคนหนึง่ ทีเ่ ขาตายเพราะอุบตั เิ หตุ แล้วกลายเป็นผีที่ถนนนั้น เวลาที่ใครขับรถผ่านแล้ว มองกระจกหลังก็จะเห็นผีคุณยายคลานตาม เราก็ คุยกันเล่นๆ ว่า “Speedy Grandma” แบบคุณยาย สปีด ตอนนั้นก็คุยกันเล่นๆ แล้วก็ลืมกันไป พอถึง เวลาต้องตั้งชื่อแกลเลอรีก็นึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา ก็ฮาดี

เซตนั้นเริ่มจากเราไปอ่านงานการ์ตูนของ Yuichi Yokoyama แล้วชอบ เขาจะวาดคนแบบประหลาดๆ แปลกๆ ก็ลองอยากลองวาดแบบนี้ดู โดยเอา คาแร็คเตอร์ของเพื่อนสนิทเรานี่แหล่ะ เอามาลอง บวกกับสิ่งที่เราจินตนาการดู พอกลับมาเมืองไทย 021

สักปี 2012 นะ ไม่นาน ตอนนั้นเราก็กลับมาจาก ไปสอน มีเพื่อนโทรมาบอกว่ามีฝรั่งอยากคุยด้วย เรื่องศิลปะ เราก็ว่างพอดีเลยไปคุย พอคุยกันก็ไป เที่ยวกันต่อรู้สึกว่าคนนี้โอเค Thomas เขาก็บอกว่า เขาตัดสินใจจะอยู่เมืองไทยต่อ พอดีตอนนั้นเราก็ ทำ�บริษัทกราฟฟิกดีไซน์กับเพื่อนอยู่ที่นี่ (เจริญกรุง 28) เลยชวน Thomas มาแชร์ที่พักด้วย ในตึกนั้น ชั้นล่างมันยังว่าง เลยคิดกันว่าจะทำ�เป็นแกลเลอรี ที่มาของชื่อ Speedy Grandma


022


คุณ Thomas นี่เขาเรียนทางไหนมาครับ

เขาเรียนไฟแนนซ์มา แต่พ่อแม่เขาเป็นนักสะสม งานศิลปะ ส่วนตัวเขาก็จะสะสมงานพวกภาพ ประกอบ กราฟฟิกอาร์ต เป็นแบบชาวฝรัง่ เศส สะสมงานศิลปะ พอมาคุยกับเราก็ชอบทางเดียวกัน 023


แล้วแบ่งหน้าที่กับคุณ Thomas ยังไงครับ

ตอนนี้ทุกเดือนค่าเช่าก็ยังเข้าเนื้ออยู่นะ ก็จะแอบมีท้อ ไม่ได้แบ่งชัดเจนนะ ช่วยๆ กัน ก็มีบางเรื่องอย่าง บ้าง คิดว่าเอาตังค์ไปเก็บดีกว่าไหม แต่ก็คิดว่าทำ�มา เราจะเป็นคิวเรเตอร์ เพราะเราจะรู้จักศิลปินไทย แล้วก็ต้องลองให้เต็มที่จะมาเลิกตอนนี้ได้ไง ก็ต้องทำ� มากกว่าเขา รวมถึงเรื่องการติดต่อพูดคุยก็จะ ต่อ แล้วเราไม่มีลูกจ้างก็ต้องดูแลเองหมดเหนื่อยอยู่ สะดวกกว่า เราก็จะมีคนที่เราชอบงานอยู่แล้วก็จะ เหมือนกัน ไม่นานนี้เองได้ไปคุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่เขา โทรจองติดต่อไว้ก่อน แต่ก็มีบางที่ Thomas เขา เรียนเกี่ยวกับพวกคิวเรเตอร์ทางฝรั่งเศส เขาก็แนะนำ� จะบอกว่าอยากเห็นงานคนนั้นคนนี้ อยากให้มาโชว์ ว่าแกลเลอรีเล็กๆ ไม่ต้องเปิดทุกวันก็ได้ เพราะวัน งาน แต่หลักๆ เขาจะดูเรื่องบัญชีการบริหารต่างๆ ธรรมดาคนก็ไม่ได้เยอะ เราก็คิดว่าเป็นวิธีที่ดี อาจจะ ลดวันเปิดลง เอาให้ชัวร์ก็โทรมาก่อน ถามถึงบรรยากาศชุมชนรอบๆ หน่อยครับ

คนชอบบอกว่าหายาก แต่เราว่าก็ไม่นะ อาจเพราะ มันไม่ติดถนนใหญ่ จริงๆ มันก็เขามานิดเดียวเอง คนแถวนี้เขาก็เฮฮา ดื่มกินร้องคาราโอเกะกันถึงเช้า อยู่แล้วเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมาก อีกอย่างคือเรา ได้มาอยู่ตึกนี้ก่อนด้วยแหล่ะและบรรยากาศ ชุมชน ก็สบายๆ นะ เราชอบอยู่แล้วก็โอเค คุณลีชอบบรรยากาศถนนตรอกซอยเล็กๆ ใน กรุงเทพด้วยหรือเปล่า

คุณลีมองคนทำ�งานศิลปะบ้านเราเป็นยังไงบ้าง

รอบๆ ตัวที่เจอก็ดี ส่วนมากเป็นศิลปินที่อินกับสิ่งที่ ตัวเองทำ�และขยัน เราว่ามันเหมือนกันทุกที่นะมีหลาย แบบคือมีทั้งคนที่ตั้งใจทำ�งานจริงจังเก็บตัวหน่อย รอ คอนเน็คชั่นเข้ามาหรือศิลปินที่ออกไปหาคอนเน็คชั่น เรื่องตัวงานก็โอเคอยู่แล้ว เราไม่ได้มองว่างานคนไทย หรืองานต่างชาติ งานของฝรั่งแย่ๆ ก็เยอะ เมื่อก่อน เราทำ�ต้องสั่งพิมพ์ที่เกาหลีอะนะ

ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษนะ แต่พอกลับ มาเมืองไทยได้มาอยู่ตรงนี้ ก็ได้มีโอกาสเดินดูก็ ชอบ อย่างแถวนี้ก็มีตลาดน้อย มีชุมชน มีบ้านทรง แปลกๆ คลอง ต้นไม้ ก็มาสนใจช่วงที่มาอยู่ตรงนี้ แหล่ะ รู้สึกว่ากรุงเทพฯ ก็ยังมีอะไรให้ดูอีกเยอะ ถึง จะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว

อาร์ตแกลเลอรีขนาดเล็กในบ้านเราก็มีเยอะ แต่ เหมือนคนที่เข้ามาดูยังน้อยอยู่

Speedy Grandma ก็เปิดมาปีครึ่งแล้ว พบ ปัญาอะไรบ้าง

เห็นคุณลีทำ� Zine (หนังสือทำ�มือ) ด้วย

ในวันเปิดงานเราก็มองว่าเยอะนะ บางทีกเ็ ยอะเว่อร์เลย แต่วันปกติมันก็เป็นธรรมดาที่คนจะน้อย คนที่จะเลือก มาเดินดูงานศิลปะมันก็มีแต่ไม่มาก แบบไม่มีอะไรทำ� ว่างๆ ไปเดินดูอาร์ตแกลเลอรีดกี ว่าเนีย่ มีนะแต่นอ้ ยมาก ใช่ เราก็เคยจัดเวิร์คช็อปทำ�หนังสือทำ�มือด้วย สงสัย 024


025


026


เหมือนกันว่าทำ�ไมวัฒนธรรมการทำ�หนังสือทำ�มือ ในบ้านเราถึงหายไป เมื่อก่อนก็เห็นว่ามันบูมนะมี จัดงานใหญ่โต ในเมืองนอกก็พัฒนาไปมากเลยนะ ตอนนั้นก็มีคนสนใจพอสมควรแล้วเราก็ชอบด้วย สอนตั้งแต่วัฒนธรรมของ Zine ประวัติ วิธีการทำ� มันเป็นการสื่อสารที่อิสระนะ ทำ�อะไรก็ได้ที่อยาก เสนอโดยไม่จำ�เป็นต้องไปโชว์งานในแกลเลอรี คุณก็สามารถสื่อสารความคิดผ่าน Zine ได้ ใน ต่างประเทศจะมีร้านขาย Zine เยอะมาก เราเคย ไปร้านขาย Zine ที่เบอร์ลินชื่อ Motto เขาจะมี Zine หลายประเภทมากทั้งบทความวิชาการ ทั้ง รูปถ่าย งานศิลปะ เรียกว่ามีทุกอย่างที่ทำ�เป็นรูป เล่มหนังสือได้ เป็นสวรรค์ของ Zine เลย ตอน นี้เพื่อนที่เราสนิทเขาก็เปิดร้านทำ� Riso Print ซึ่ง Riso เนี่ยเขาก็ฮิตกันในหมู่กราฟฟิกฮิปเตอร์ เมืองนอกนะ คล้ายๆ โรเนียวแต่เป็นสี เมื่อก่อน เราต้องไปสั่งทำ�ที่เกาหลี เพิ่งมีลูกค้าคนแรกเป็น ศิลปินมาปริ๊นงานภาพประกอบของเขา

ทีผ่ า่ นชอบงานเซตไหนทีม่ าโชว์ท่ี Speedy Grandma บ้างครับ

ชอบหลายงานนะ ชอบงานของเหนือ (จักรกฤษณ์ อนันตกุล) เพราะขายดีมาก (หัวเราะ) Thomas เขาก็เก่งคือตอนแรกที่ตั้งราคากันเราก็คิดนะว่า ราคางานของเหนือจะถูกไปไหม แต่มันเป็นราคา สากลที่ศิลปินเมืองเขาขายงานปริ๊นนะ มันก็เป็น ราคาที่คนซื้อได้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ อย่าง บางทีเราไปเมืองนอกแล้วเจองานที่เราซื้อได้เราก็ ซื้อนะถ้าเราชอบแล้วมันก็เป็นการสนับสนุนให้คน ซื้องานศิลปะด้วย มันก็เป็นโมเดลที่ดีที่ให้เด็กๆ หรือคนที่เพิ่งทำ�งานใหม่ๆ ซื้อได้ แผนในอนาคตของ Speedy Grandma

ในปีนี้กำ�ลังคิดจะทำ� Artist Residency คือให้ ศิลปินต่างประเทศมาอยู่สักสองเดือนและทำ�งาน ไปด้วย อาจจะจัดสัมมนาให้เขาสักหนึ่งงาน พอ จบสองเดือนก็แสดงงาน ในหลายที่เขาก็ทำ�กัน ในบ้านเราที่เชียงใหม่ พัทยา ก็เริ่มๆ มีแล้ว คือ ดูคุณลีจะทำ�สิ่งต่างๆ ด้วยความรักศิลปะล้วนๆ การให้ศิลปินมาอยู่และทำ�งานไปด้วย จริงๆ แล้ว เลยนะครับ ตอนนี้ที่ทำ� Speedy Grandma เราก็ไม่ได้คิด เราไม่ได้รักในศิลปะหรืออะไรขนาดนั้น คือมันเป็น ขนาดจะเปลี่ยนแปลงสังคมโลกอะไรแบบนั้นอยู่ สิ่งที่เราทำ�แล้วสนุกมากกว่า สิ่งที่เราลองทำ�แล้ว แล้ว หลักๆ มันมากจากตัวเราที่ยังสนุกที่จะทำ� สนุกดี เหมือนตอนนี้ที่เราอยู่เมืองนอกที่เพื่อนๆ แม้ในตอนนี้มันก็มีอะไรที่ไม่สนุกอยู่ด้วยแหล่ะ แต่ มาชวนทำ�อะไรสนุกๆ ไม่ได้คิดเรื่องเงินเรื่องทอง รวมๆ เราก็อยู่กับมันได้ มันต้องใช้เวลามากกว่านี้ มาก แต่ตอนนี้ก็คิดนะ (หัวเราะ) หรือเปล่าถึงจะเห็นผลในระยะยาว 027


เราหาข้อมูลมา มีคนบอกว่าคุณลีเซอร์เรียลมาก

(ฮา) เราก็ปกตินะ แค่เราอาจจะมีวธิ คี ดิ ขำ�ๆ ของเรา ทีเ่ ราเก็ตของเราเอง คนอืน่ ก็งงๆ แล้วเราอาจจะเป็นตัวของตัวเองมากก็ไม่คอ่ ยได้แคร์วา่ คนอืน่ จะว่าอะไร ซึง่ เราก็คดิ ว่าความเป็นตัวของตัวเองมันสำ�คัญนะ เวลาเราไป สอนเราก็บอกเด็กทีเ่ รียนอยูต่ ลอด คือเด็กๆ หลายคนตอนนีอ้ าจจะยังไม่เจอ สไตล์ของตัวเอง อยากจะลองสไตล์นส้ี ไตล์โน้นก็ลองไปก่อนก็ได้ไม่เป็นไร แต่สดุ ท้ายก็ตอ้ งมาลองทำ�ลองหาสิง่ ทีต่ วั เองชอบ อย่าไปหลอกตัวเอง 028


www.facebook.com/SpeedyGrandma

029


MAKING COLUMN FOR PIE 030


นี่เป็นครั้งแรกที่ PIE ให้ผู้อ่านส่งผลงานเขียน เข้ามาลงในเล่ม ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็น อย่างดี ต้องขอบคุณทุกท่านที่ส่งผลงานดีๆ เข้ามานะครับและต้องขออภัยที่ไม่สามารถนำ� งานของทุกคนมาลงได้ ในเล่มนี้เราเลือกงาน มาลงหกชิน้ มีทงั้ รีววิ บทความ บทสัมภาษณ์ และการ์ตูนน่ารักๆ หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะ ชอบ ส่ ว นใครที่ อ่ า นแล้ ว สนใจส่ ง ผลงาน เขียนเข้ามาร่วมสนุกกับเราก็เชิญได้นะครับที่ pieonlinemag@gmail.com เรายังเปิด พื้นที่ตรงนี้ไว้เสมอ

APRIL STORY รักแท้ สุขใจ แสนเรียบง่าย by พี แป้นน้อย LONELY LADY BIKE by Nie, Fotobike UTT. เพียงหนึ่ง by สุชานาถ บูรณสันติกูล โลกใหม่ by วินิจ กุศลมโนมัย PART TIME MUSICIAN by กันดิศ ป้านทอง Marshmallow Diary by วิรพงศ์ พรหมราช

031


032


APRIL STORY รักแท้ สุขใจ แสนเรียบง่าย

by พี แป้นน้อย ppannoi@yahoo.com

เคยตกหลุมรักกันบ้างหรือเปล่า? นี้คงเป็นคำ�ถาม ที่ผู้กำ�กับตั้งใจอยากจะถามคนดูอย่างเราๆ และ แน่นอนว่าคำ�ตอบเหล่านั้นมักจะหนีไม่พ้นคำ�ว่า อืม คิดว่าเคยนะ, ก็ต้องเคยสิ หรือ อยากลองตกหลุม รักดูบ้างเหมือนกัน ภาพยนตร์รักเบาสบาย ผลงานจากผู้กำ�กับ ชาวญี่ปุ่นฝีมือดีอย่าง ชุนจิ อิวาอิ ที่พอได้ยินชื่อ แล้ว ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลงานของเขาคนนี้จะ ไม่เคยผ่านหูผ่านตาพวกเรามาก่อน ผู้กำ�กับที่สร้าง ชื่อเสียงจาก All About Lily Chou-Chou(2001) และ หนังรักที่เรียกน้ำ�ตาจากผู้ชมทั่วโลกไปอย่าง ท่วมท้นอย่าง Love Letter (1995) และแน่นอน ว่าผลงานชิ้นนี้ก็ยังคงรักษามาตรฐานความเป็นชุนจิ สไตล์ได้อย่างดี และไม่ทำ�ให้คนดูอย่างเราๆผิดหวัง หนังดำ�เนินเรื่องด้วยหญิงสาวนามว่า นิเรโกะ อุชุกิ สาวฮอกไกโด ที่ย้ายเข้ามาเรียนต่อมหา’ลัย ในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว สาวบ้านนอกคนหนึ่งที่ ยอมย้ายถิ่นฐานบ้านเกิดที่ตัวเองคุ้นชินมายังเมืองที่ ตัวเองแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน เพียงเพื่อมาตาม หาชายหนุ่มที่เธอหลงรัก เรื่องราวอาจฟังดูเพ้อเจ้อ 033

และไม่สมเหตุสมผล แต่มันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่ การตามหาใครสักคน เพราะมันอาจหมายถึงการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตเธอ หนังดำ�เนินเรื่อง ด้วยความเรียบง่าย ภาษาภาพที่ไม่หวือหวา แต่มี ลักษณะเฉพาะอย่างการเล่นภาพด้วยความฟุ้งฝัน ที่ได้โนโบรุ ชิโนดะ มือกำ�กับภาพคู่บุญของอิวาอิ มาช่วยเติมแต่งเรื่องราวความฝันของนิเรโกะให้ กลายออกมาเป็นภาษาภาพให้เราได้เห็นกัน หนัง มีความยาวเพียง 67 นาทีแต่หนังกับทิ้งความรู้สึก ไว้ให้เราอย่างล้นเหลือ หนังเริ่มต้นพาเราไปรู้จัก กับ นิเรโกะ ตั้งแต่การเริ่มย้ายเข้ามาอยู่หอพักใน โตเกียว ความเปิ่น ใส ซื่อ บวกกับความไม่มั่นใจ ในตัวเองของเธอ ทำ�ให้คนทีบ่ า้ น เกิดอาการเป็นห่วง เธอที่ต้องย้ายไปอยู่ห่างไกลพวกเขา แต่เป้าหมาย สำ�คัญที่อยู่ภายใต้จิตใจของเธอ มีแรงผลักดันมาก พอที่จะทำ�ให้เธอยอมทิ้งสิ่งเดิมๆ มาสู่สิ่งนี้ได้ ซึ่งก็ คือความรักที่ใจของเธอตามหามันมาตลอด และแล้วความตั้งใจต่างๆ ก็นำ�พาเธอมาพบกับ ชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกของเธอ ไม่สิ น่าจะเรียกว่า ตกหลุมรักถึงจะถูก แน่นอนว่าการตกหลุมรักมักจะ


ทำ�ให้เราหัวปักหัวปำ�ชนิดที่ให้ทำ�เรื่องบ้าบอแค่ไหนเราก็ยอมทำ�อย่างไม่มีข้อแม้ บท สนทนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเขา ทั้งการถามไถ่เรื่องที่เธอจบมาจากโรงเรียน มัธยมที่เดียวกันกับเขา หรือแม้แต่การเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็ดูจะทำ�ให้ชาย หนุ่มคนนั้นเกิดความรู้สึกบังเอิญเสียเหลือเกิน และแน่นอนว่าคนดูอย่างเราๆ หรือ แม้แต่ตัวเธอเองย่อมรู้ดีว่า นี้มันใช่เรื่องบังเอิญเสียที่ไหน ภาพที่ดูฟุ้งฝัน ลอยๆ ราวกับอยู่ในความฝันตลอดเวลา คงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่ผู้กำ�กับพยายามจะเล่น กับความรักของนิเรโกะ ที่มันเสมือนความฝัน เพราะมันคือความฝันที่เธอเฝ้าไขว่คว้า มันมาตลอด แม้แต่ร่มสีแดงที่เธอเลือกมาจากเขา (ร่มที่แลดูไม่สมประกอบเอาเสียเลย แถมยังดูไม่น่าจะกันฝนได้ด้วยซ้ำ�) แต่เธอกลับกางมันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสดใส แม้ว่ามันจะทำ�ให้เธอเปียกปอนขนาดไหนก็ตาม ฝนที่ตกหนักอาจจะไม่ได้หมายถึง มรสุมชีวิตที่ถูกถาโถม แต่มันคงตั้งใจตกลงมาเพื่อทำ�ให้เธอรู้สึกชื่นช่ำ�หัวใจ ร่มแดงที่ ไม่สมประกอบคันนั้น อาจหมายถึงความรักของเธอ ที่แม้ว่ามันดูเป็นการเพียงแอบรัก เขาข้างเดียว แต่แน่นอนว่า ไม่ว่ามันจะสมหวัง หรือจะผิดหวังสักแค่ไหน แต่การได้ พบเจอมัน ได้รับรู้ถึงพลังของมันเพียงเท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว คงไม่ต่างจากร่มสีแดงคันนั้น ที่แม้ว่ามันดูไม่สมประกอบ และไม่อาจตอบสนองฟังชั่นของมันได้ดีพอ แต่ฟังชั่นของ มันก็ยังคงเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันแดดกันฝน ไม่ต่างจากความรัก ที่บางครั้ง มันอาจจะ ทุกข์ และหลายครั้งก็นำ�พาความสุขมาให้เราชุ่มชื่นหัวใจ มันก็ยังคงเป็นความรักอยู่ หากเปรียบหนังเรื่องนี้เหมือนของอร่อย ก็คงจะเป็นขนมหวานที่ทานได้บ่อย แม้จะดู เหมือนไม่ให้คุณค่าทางสารอาหาร แต่ก็เป็นความหวานที่เราขาดไม่ได้ หวานหน่อยๆ แบบ Low fat ไม่ต่างจากความรัก

034


035


036


LONELY LADY BIKE by Nie, Fotobike UTT. / ll_ni_ll@hotmail.com

“ห๊า! ...ปั่นคนเดียวเหรอ?!” ทุกครั้งที่ปั่นจักรยานเสร็จบ่อยครั้งที่คนที่ไม่รู้จัก จะตกใจใส่หน้า คนโดนถามได้แต่ยืนทำ�หน้าเว๋อยังไม่ เข้าใจว่าทำ�ไมต้องตกใจ ปั่นจักรยานคนเดียวผิดกฏ หมายข้อไหน? คิดในใจว่าเมืองไทยยังเป็นเมืองที่ต้องมีเพื่อน ไป ไหนแห่กันไป ผู้คนทำ�อะไรคนเดียวไม่เป็น ต้องมีคน ไปด้วย ต้องมีคนคุยด้วย หรือจำ�เป็นต้องไปคนเดียวจริงๆ ยังไงก็ต้องแชท ทั้งวันเพื่อจะได้ไม่เหงา “นี่เมืองไทยเหงาขนาดนี้เลย เหรอ?!” หรือเราอาจจะเป็นกลุ่มคนประเภทมีฮิโมโกบินผิด ปกติ จึงส่งผลให้ระบบประสาททำ�งานเป็นส่วนรวม

037

ไม่เป็นก็อาจะเป็นได้ ล้อเล่นนะคะ จริงๆ แล้วว่างไม่ตรงกับกลุ่มพวก พี่ๆ ที่เขาปั่นค่ะ และการไปคนเดียวก็เป็นอะไรที่ ฟรีสไตล์ เพราะเราเป็นประเภทปัน่ ไปถ่ายไป นอกจาก เส้นทางประจำ�ทีถ่ า่ ยจนไม่มอี ะไรถ่ายแล้ว หรือต้องการ ฟิตซ้อมเพื่อลงแข่งก็จะตั้งหน้าปั่นอย่างเดียว สิ่งสำ�คัญสำ�หรับคนปั่นสายทางไกลคนเดียวคือ “ลิปมัน” ถ้าคุณเป็นคนชอบหายใจทางปากเวลา หอบเหนื่อย (จริงๆ ปั่นหลายคนก็ใช้นะฮ่า) เวลา หายใจเข้าออกมากๆ จะทำ�ให้ริมฝีปากแห้งแล้วก็จะ หงุดหงิดเป็นกังวล อีกอย่างคือไฟหน้า-หลัง ถ้าปั่นช่วงเลิกงาน บางคนกว่าจะเลิกงานปาเข้าไป 5 โมงเย็นก็มี


แล้วถ้าออกกำ�ลังกายโดยการปั่นไกล 40-50 กิโล ต่อวัน การที่จะมืดระหว่างทางมีมากยิ่งหน้าหนาว ยิ่งมืดไว หลายอุบัติเหตุอันเกิดจากการโดนชนข้างหลัง เข้าอย่างจังโดยไม่มีเวลาเตะเบรก ดังนั้น ”ไฟรถ” จึงมีความจำ�เป็นอย่างมาก เพื่อบอกตำ�แหน่งตัวเอง แก่รถจักรยานด้วยกัน รถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะ รถเก๋ง รถเมย์และรถหกล้อ (อันนี้ฮาร์ดคอร์สุดโดน แซงทีจักรยานจะปลิวไปกับแรงลม) ซึ่งราคาก็มี ตั้งแต่ 50 บาทไปจนถึงหลักหลายๆ ร้อยแล้วแต่ วาสนา อีกส่วนที่สำ�คัญคือ จิตใจ สำ�หรับผู้หญิง แนะนำ�ว่า หลีกเลี่ยงเส้นทางเปลี่ยว ไม่มีไฟทาง ไม่มีบ้านคน (พวกชอบปั่นไปเส้นทางวินเทจ) เมื่อ ค่�ำ แล้วนัน่ คือหนังคนละม้วนกับตอนฟ้าสว่างเลยนะคะ อันตรายเกิดขึน้ ได้เสมอ อย่าเอาชีวติ ตัวเองไปเสีย่ งค่ะ น้ำ�และขนมหวาน อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่าน้ำ�เป็น สิ่งจำ�เป็นถ้าปั่นทางไกลควรเป็นน้ำ�เกลือแร่และควร จิบน้ำ�เรื่อยๆ ตลอดเส้นทาง โดยต้องสังเกตภาวะ

ร่างกายถ้าเหนื่อยเกินไปก็เติมน้ำ�เข้าร่างกายบ้าง หรือถ้าเริ่มหน้ามืดวิงเวียนให้จอดแวะทานขนมหวาน จำ�พวกช๊อกโกแล็ตก็จะทำ�ให้รา่ งกายสดชืน่ กลับคืนมา หากไม่ไหวจริงๆ “อย่าอายที่จะเลี้ยวกลับ” และ ยอมรับว่าเราไม่ไหว ครั้งหน้ามีใหม่ค่อยกลับมาปั่น อย่าเอาชนะใครแต่จงรู้ความสามารถของร่างกาย ตัวเอง นอกจากนั้นการพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวัน ปัน่ เป็นสิง่ สำ�คัญอย่างยิง่ ยวด มิเช่นนัน้ จะเกิดอาการ เงิบ มึน วิ้งค์ อาเจียน เซถลา พาลจะทำ�ให้ล้มทั้ง จักรยานหากยังฝืน อย่ากลัวเลยค่ะ ถ้าทุกคนเตรียมพร้อมมาดี การปั่นคนเดียวไม่เบื่อหรอกค่ะ ไม่เหงาด้วย ชิลล์ จะตายไป เอาเพลงอัดลงมือถือเยอะๆ เลย อิน กับเพลง อินกับทุ่งนา ฟ้าสวยๆ และวิถีชาวบ้านที่ ปั่นผ่านนั้นน่ารักอย่าบอกใคร คุณไม่มีวันมองเห็น หรอกค่ะถ้าคุณขี่มอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์นั้นไวเกิน ไปจนคุณไม่มีเวลามองเห็นอะไรที่มันเป็นธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่น่ารักของบ้านเมืองเราหรอกค่ะ.... มาปั่นจักรยานกันนะ :)

038


039


040


เพียงหนึ่ง by สุชานาถ บูรณสันติกูล kar-fe135@hotmail.com

ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ ไกลห่างออกไป ไม่มี ใครรู้ว่ามีจุดสิ้นสุดหรือไม่ ประกอบด้วยสรรพสิ่งนับล้าน โลกใบนี้เป็นเพียงหนึ่งในนั้น อาจเป็นเพียงเถ้า ธุลีเมื่อเทียบกับจักรวาล ทว่าเพียงดาวเคราะห์ดวงนี้ ก็มีองค์ประกอบมากมายเกินกว่าคนๆ หนึ่งจะรับรู้ ได้ทั้งหมด ...และเราอยู่ตรงนี้... ท่ามกลางผู้คนนับล้าน เราได้ผ่านผู้คนนับพัน หรืออาจได้สัมผัสตัวตนของใครผ่านตัวอักษรที่ร้อย เรียงสู่สาธารณะ หากไม่สถิตในความทรงจำ�ก็ลบ เลือนหายไปตามกาลเวลา ...กระนัน้ กลับมีเพียงไม่กส่ี บิ คนทีเ่ ราเฝ้าตามหา... หรือบางที...อาจเป็นเพียง...คนๆ เดียว ในบรรดาสีสันนับล้าน ถูกหล่อหลอมผสมผสาน กลายเป็นเฉดสีเฉพาะตัวในใครคนหนึ่ง ใครหลาย คนอาจไม่ชอบสีนั้น หรือคนนับพันอาจหลงใหล 041

ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สิ่งที่ฉันรู้...มีเพียงว่า ฉันหลง รักแสงที่ส่องประกายจากตัวเธอมากที่สุด ไม่ใช่สีแดงเช่นดวงตะวัน ไม่ใช่สีน้ำ�เงิน อย่างท้องฟ้าราตรี ไม่ใช่สีดำ�ลึกล้ำ�ไร้สิ้นสุด ไม่ใช่สีขาวบริสุทธิ์ คงเป็นดั่งสีเหลืองหม่นของ แสงจันทร์ ในความเย็นชากลับแฝงไออุ่น ค่อยๆ แผ่จากเงามืดของเมฆหมอก...ความจริงเธออยู่ ตรงนั้นมาตลอด เพียงว่าโลกยังหมุนไม่ตรงองศา ที่จะมองเห็นเธอได้ก็เท่านั้น ...ยิ่งโลกรับรู้ถึงแสงของเธอ ก็เหมือนกับว่า ฉันจะต้องปล่อยเธอไป... ท่ามกลางคนนับล้าน ผ่านคนนับพันในชีวิต แม้ไปไกลถึงอีกสุดขอบทวีปกลับไม่พบ แต่เธอ กลับมาปรากฏตรงหน้า สถานที่ใกล้ตัวที่ฉันเคย ผ่านตลอดมา เพียงแต่เราไม่เคยได้พบกันก่อน หน้า...ก่อนที่เธอจะกลืนหายไปท่ามกลางผู้คน มากมายอีกครั้ง ฉัน...อยาก


โลกใหม่ by วินิจ กุศลมโนมัย honghayha@yahoo.com

ปี 2007 ผมเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา มีเป้าหมายไว้ว่าจะไปหาความรู้ทาง ด้านกระบวนการผลิตเครื่องประดับที่รัฐแคลิฟอเนีย เมืองซานฟรานซิสโก มีหลายสถาบันที่คิดไว้แต่ยัง ไม่ได้ตัดสินใจ สำ�หรับผู้มาใหม่นั้นมีเรื่องต้องให้ คิดให้ทำ�ให้เตรียมตัวอีกมาก ก่อนหน้านั้นผมเคย เดินทางมาที่ซานฟรานแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นเพียง แค่ระยะสั้น ทำ�ให้ยังไม่รู้จักเมืองนี้ดีพอ แต่ก็ไม่ เคอะเขินที่จะอยากทำ�ความรู้จักให้มากขึ้น หากพูดถึงซานฟรานซิสโกคนส่วนใหญ่ก็จะ นึกถึง Golden gate มันไม่ใช่ประตูทอง แต่ มันเป็นสะพานสีแดงหมาก ทัวร์จีนทัวร์เจ๊กอาจจะ พลาดได้หากไม่อ่านรายละเอียดของทัวร์มาก่อนธูป เทียนต่างๆ ทีน่ �ำ มาอาจจะไม่ได้ใช้ เพราะเซอไพรส์ กันตั้งแต่ลงรถทัวร์ สะพาน Golden gate นั้นใหญ่โตดูน่า เกรงขาม พาดจากฝั่งซานฟรานไปยังฝั่ง Sausalito เมืองเล็กๆ ที่ดูน่ารักนุ่มนิ่มจุ๋มจิ้ม ใครเดินเมืองนี้ แล้วไม่ยิ้มถือเป็นเรื่องผิดบาปเลยทีเดียว ผมเดิน ข้ามสะพาน Golden gate ด้วยความอยากรู้ อยากเห็นว่าหากอยู่กลางสะพานแล้วจะรู้สึกอย่างไร

สวยงามครับ ยิ่งเดินไปถึงจุดชมวิวอีกฟากแล้ว มองย้อนกลับมายังฝั่งซานฟรานทำ�ให้เห็นความ สวยงามของเมืองที่เราอยู่นับว่ามากโข หากไม่ เกรงใจ homeless แถวนั้นก็จะขออยู่ซะตรงนั้นเลย Golden gate ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ เห็นระยะไกลระยะใกล้ก็โรแมนติคไปคนละแบบ ขนาดไปกับเพื่อนยังนึกว่าเป็นแฟน บรรยากาศมัน พาไปได้ไม่เชื่อก็ลองดู ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่ารักอย่างบอกไม่ถูก จะเอามันส์ก็มีจะเอาชิวก็ได้ นั่งรถชมเมืองถือเป็น เรื่องที่ต้องทำ�เพราะบ้านน่ารักๆ เรียงรายเป็น ทิวแถวทั่วเมือง ชมไปฝันไปก็ไม่มีใครว่า เลือก ตามใจชอบว่าหลงรักหลังไหน นอกจากรถยนต์แล้ว ไฮไลท์อีกอย่างก็คือรถราง ตามจุดต่างๆ ของเมือง นี้จะมีรถราง ใครไม่ได้นั่งหรือไม่ได้ยืนเกาะรถราง ของเมืองนี้ก็จะถือว่าไม่เก๋ เขาอนุญาตให้ยืนเกาะ ครับ แต่ห้ามโหนหรือโยนตัวออกนอกรถ เกาะรถ แต่พองามถ้าโชคช่วยอาจจะได้ไปอยู่บนโปสเตอร์ ตามร้านขายของที่ระลึก ท่าสวยไม่สวยจะถูกบันทึก และขายไปทั่วโลกจะทำ�อะไรอย่าเอามันส์อย่างเดียว คิดถึงอนาคตลูกหลานด้วยครับ 042


043


044


คิดแล้วก็อิจฉาที่บ้านเมืองเขามีผู้นำ�ที่ดี มองเห็นว่าสิ่งนี้ควรอนุรักษ์ไว้ ผลก็คือนักท่องเที่ยวต่อคิวยาวเหยียดเพื่อที่จะได้นั่งหรือเพื่อที่จะไม่ได้นั่ง เพราะอยากยืนเกาะรถราง ชมวิวรับลมเย็นๆ ถ่ายรูปกันเป็นที่สนุกสนาน อาหารฝรั่งก็ไม่ได้อร่อยกว่าอาหารไทย แต่ทำ�ไมผู้นำ�เขากินเข้าไปแล้วมี วิสัยทัศน์ก็ไม่ทราบ การที่ได้มาอยู่เมืองนี้สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ของที่นี่ก็คืออากาศครับ อากาศที่นี่เย็นตลอดทั้งปีจะมีร้อนให้คิดถึงเมืองไทยบ้างก็ไม่นาน นอกจาก จะเย็นจนถึงหนาวแล้ว อากาศก็ยังบริสุทธิ์กว่าบ้านเราเพราะรถโดยสาร สาธารณะของเขาส่วนใหญ่ไม่ก่อมลพิษ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วเขามีรถ รางหลากหลายแบบ รถเมล์ของเขาหลายสายก็ใช้ไฟฟ้า บนหลังคารถเมล์ จะมีตัวเชื่อมกับสายไฟที่โยงไปทั่วเมือง การได้เดินในเมืองแบบนี้ก็เป็น ความสุขในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่การเดินในซานฟรานซิสโกคนมาแรกๆ อาจ จะไม่ชิน เพราะเมืองนี้ซึ่งบอกไปแล้วว่าอากาศเย็นจนถึงหนาวแถมยังมีลม แรงอีก ด้วยเหตุนี้นกั เรียนไทยทีน่ จ่ี งึ หน้าบานเพราะลมซานฟรานไม่ใช่เพราะ ขนมปัง ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองติดมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ฝั่งตะวันตกสุด ของแผ่นดินอเมริกา แถมบางพื้นที่ยังเป็นทางสูงชันแบบเนินเขา วันดีคืน ร้ายต้องเดินโต้และทวนลมหนาวขึ้นทางชัน (มาก) ลมหนาวๆ แรงๆ ดันไม่ให้เราไปด้านหน้าขณะที่ต้องเดินขึ้นเนินสูง คิดดูแล้วกันว่าจะสโลโมชั่นกันแค่ไหน บางวันเดินลงเนินชัน ลมแรงกลับ มาด้านหลังเท้านีต่ อ้ งซอยถีย่ บิ เพือ่ ติดดิสเบรคไม่ให้หน้าคว่�ำ ไมเคิล แจ็คสัน เอียงหน้าแต่นต่ี อ้ งเอียงหลังถ่ายน้�ำ หนักปรับสมดุลให้จงดี โลกใหม่ของผมนี้ มีอะไรให้ปรับตัวและเรียนรู้อีกมากจริงๆ.

045


046


PART TIME MUSICIANS บทสัมภาษณ์และภาพ : กันดิศ ป้านทอง

ท่ามกลางกระแสเพลงไทยในปัจจุบันที่มีออกมาอย่างมากมาย หลายแนว เมื่อช่วงปีที่แล้วพวกเขาได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับ วงการดนตรีในประเทศไทยไว้ด้วยการปล่อยเพลงสากลที่ร้อง โดยคนไทยทำ�เองโดยคนไทย วันนี้พวกเขาพร้อมแล้วที่จะมา ทำ�ความรู้จักกับทุกคน “Part Time Musicians” ศิลปินจาก ค่ายเพลงเล็กๆ ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ Rats Records

047


แนะนำ�สมาชิกในวง

PTM : นิค-ธาฤทธิ์ เจียรกุล (ร้องนำ�-กีต้าร์), แพท-วรรณรดา วิชัยธนารักษ์ (ร้องนำ�), อุน-คีตา วังขจรวุฒิศักดิ์ (กีต้าร์), จิน-วรเมธ มตุธรรมธาดา (กีต้าร์, ซินธ์), ปอม-ธนภณ สันติ วัฒนา (เบส), วิว-อธิยา วรวิจิตราพันธ์ (ไวโอลิน) 048


จุดเริ่มต้นของ Part Time Musicians

Ptm : จุดเริ่มต้นของพวกเรามันเริ่มมาจากจินกับ นิค สองคนทำ�เพลงกันที่บ้าน นิคจะทำ�หน้าที่แต่ง เพลงส่วนจินจะทำ�หน้าที่ดูแลเรื่องของดนตรีทั้งหมด พอทำ�เสร็จแล้วก็เลยลองให้นิคร้องดู เลยมานั่งคิด ว่าเราควรทำ�วงกันดีกว่า โดยในช่วงเวลาที่ทำ�เพลง ในตอนนั้นก็จะมีผู้ที่คอยช่วยเหลือเราอยู่สองคนคือ พี่ต้นและพี่แป๊ก Electric Neon Lamp ที่จะ คอยช่วยเหลือพวกเรามาตั้งแต่แรกจนถึงทุกวันนี้ พี่ๆ ทั้งสองคนก็จะคอยช่วยเหลือพวกเราอยู่เสมอ แนวเพลงของวงคือแนวอะไร

Ptm : Indie-folk กับ folk-pop ครับ

ทำ�ไมถึงแต่งเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ

Ptm : เรารู้สึกว่า พื้นฐานของพวกเราฟังเพลง ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่แรกแล้ว ทีนี้เราคิดว่าถ้าเรา จะเริ่มทำ�อะไรสักอย่าง มันเป็นสิ่งที่มันยากมาก นะสำ�หรับเรา คู่แข่งในตลาดวงการเพลงบ้านเรา ก็มีเยอะอยู่แล้ว และมันจะไม่มีประโยชน์เลยที่เรา จะมาทำ�เพลงตามใจใครคนอืน่ เหมือนตัวพวกเรา ประเมินตัวเองตัง้ แต่แรกเริม่ แล้วว่าเราทำ�อะไรอยู่ แล้วเราคาดหวังอะไรจากสิ่งที่เราทำ� เราคาดหวังแค่ ว่า จุดที่เรายืนอยู่มันไม่มีคนมายืนเบียดเรา แล้วก็ คิดง่ายๆ ว่าทำ�เพลงไทยตอนนี้เราก็คงสู้นักเขียน เพลงเก่งๆ คนอื่นไม่ได้ เลยเลือกที่จะทำ�แนว ดนตรีที่มีคนทำ�น้อยหน่อยแล้วก็เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาที่พวกเราคิดว่ามันลงตัวมากที่สุดสำ�หรับ ตัวเพลงของพวกเรา

การมีนักร้อง 2 คนของ Part Time Musicians

Ptm : ความรู้สึกแรกคือ เสียงนิคกับแพท มันเข้า กันได้ดีมาก แต่ถ้าให้มานั่งมองกันจริงๆ แล้วมัน เป็นแง่ของทฤษฏีแบบมั่วๆ ในความคิดของพวกเรา เองมากกว่า ที่ว่าผู้ชายจะไม่ค่อยชอบนักร้องหญิง และก็ผู้หญิงจะไม่ค่อยชอบนักร้องชายสักเท่าไร เรา ก็เลยคิดว่าจะทำ�เพลงยังไงดีให้คนจะชอบได้หมด ฐานคนฟังวงเราจะได้กว้างขึ้น เราก็เลยจับทั้งผู้ชาย และผู้หญิงมาร้องด้วยกันซะเลย แต่สุดท้ายคำ�ตอบ ก็เห็นได้ชัดครับ น้องแพทก็จะเป็นคนที่ป๊อปสุดใน วงครับ เวลาพวกเราไปเล่นแล้วเจอผู้หญิงกำ�ลัง ร้องเพลงอยูเ่ ราก็มองผูห้ ญิงก่อนเป็นอันดับแรก ส่วน นักร้องชายหล่อยืนหล่อๆ บนเวทีก็พอ (หัวเราะ) บริหารหน้าที่ของสมาชิกในวงกันอย่างไร

Ptm : เราจะมีการแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจนรู้ว่าใครต้อง รับผิดชอบส่วนไหนบ้าง ถึงเวลาก็มาซ้อมกัน จาก นั้นเมื่อทุกอย่างมันโอเคแล้วก็เริ่มอัดเพลงกันเลย สุดท้ายก็ออกมาเป็นงานชิ้นหนึ่ง Rats Records บ้านหลังใหญ่ของ Part Time Musicians

Ptm : ถ้าให้พูดถึงค่ายเพลงค่ายนี้มันเกิดจากการ ที่มันมีเว็บไซต์เว็บหนึ่งที่ชื่อ seaindie ครับ สมัยที่ พวกเราทำ�เพลงกันสองคน แล้วก็มีอีกวงหนึ่งคือวง Dot เป็นวงรุ่นพี่ที่เราเคยรู้จักกัน แล้วมาวันหนึ่ง เขาก็แอดเรามาในเฟสบุ๊ก แล้วเขาก็บอกว่าชอบงาน ของเรา พวกเราก็ชอบงานพวกเขา อยู่มาวันหนึ่ง

049


เขาก็คุยกับเราว่าอยากทำ�ค่ายเพลง เขารู้สึกว่าเขา ไม่รู้จะทำ�ไปทำ�ไมถ้ามีเขาแค่วงเดียว ก็ลองทำ�เล่นๆ กันดู ความรู้สึกแรกที่เพลงแรกของวงถูกปล่อย ออกไป (Vacation Time)

Ptm : อันดับแรกเลยต้องขอบคุณพี่ฤทธิ์ (Fat Radio) ด้วย ตอนนั้น Feedback มันดีมาก ตอน เพลงได้เข้าไปอยู่ในคลื่นก็ดีใจแล้วนะ เราว่าคงมีคน ฟังก็ต้องชอบกันอยู่บ้าง ถ้าจำ�ไม่ผิดจินบวชอยู่สึก ออกมา ยอดวิวในยูทูปก็ 80,000 วิว รู้สึกว่า พวกเราโชคดีโชคดีมากๆ ใครเป็นคนแต่งเพลงของวง Part Time Musicians

Ptm : นิคจะเป็นแกนหลักครับ แล้วช่วงหลังๆ ก็ จะมีน้องแพทแต่งเพลงด้วย นิคเขารู้สึกว่าไม่อยาก ให้เป็นมุมมองของนิคอย่างเดียวก็เลยเอามุมมองของ แพทด้วย ก็เลยสรุปเอาเป็นว่าผลัดกันแต่ง เพลงไหน ที่เราคิดว่าโอเคเราก็จะหยิบเพลงนัน้ มาทำ�เป็น Single ต่อๆ ไปของพวกเรา เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เป็นอย่างไร

Ptm : สองเพลงแรกที่ปล่อยออกไปจะเป็นเหมือน กับการพักผ่อน ซึ่งเป็นภาคต่อกัน อย่างเพลงแรก จะเป็นเพลงทีอ่ อกป๊อปๆ หน่อย แล้วพอมาเพลงที่ สองมันจะมีการเพิม่ ลูกเล่นลงไปจะเพิ่มซาวด์ดีไซน์ ต่างๆ เข้าไปด้วย คือจะแบบชี้นำ�แล้วก็มานั่งคิดว่า จะใส่ซาวด์อะไรลงไปบ้างให้คนรูส้ กึ อย่าง Vacation Time ก็จะเป็นเช้าสบายๆ แล้วก็ Would you Mind ก็จะเป็นช่วงเย็นๆ ที่คนจะนั่งเล่นกัน แล้วก็

จะมีเพลงที่สาม The Haunted House ที่ฉีกแนว ไปเลย พวกเรารู้สึกว่าสองเพลงแรกคนฟังเขาคงเชื่อ ว่าเรากำ�ลังทำ�อะไรอยู่แล้วล่ะะ เขาน่าจะรู้จักเรา ระดับหนึ่งแล้ว เราอยากทำ�อะไรที่มันเป็นเราร้อย เปอร์เซ็นต์เลย อาจจะฟังยากขึ้นนิดหน่อยแต่คิดว่า คนฟังคงชอบ พอสุดท้ายกลับมาในซิงเกิ้ลที่สี่เราก็ นำ�เพลงน่ารักๆ ของเราออกมา เพื่อบอกว่าพวกเรา เป็นคนมองโลกใบนี้หลากหลายมุมนะ เพลงล่าสุด ของพวกเราอย่างเพลง The Only One ก็เลยเป็น เพลงรักนั่นเองครับ (ยิ้ม)

ช่วงเวลาที่ประทับใจของวง Part Time Musicians

Ptm : น่าจะเป็นงานของ Have Your Heard พวกเรารู้สึกว่าเราโชคดีมากนะที่ได้ไปเล่นงานนี้ เราคิดว่าเราเป็นเหมือนแฟนต้ายุวทูตของประเทศ ไทยเลย การมีแผ่นเสียงเป็นของตัวเอง

Ptm : พวกเรารู้สึกดีมากที่ Fatblack record ที่เขาสนใจวงเรา และอยากให้เราลองทำ� แผ่นเสียงดู แล้วก็ในแง่ของพวกเรา พวกเราก็ จะทำ�เพลงเองทุกอย่างกันตัง้ แต่แรกอยูแ่ ล้วทัง้ อัดเอง มิกซ์เอง ปล่อยเองทุกอย่าง มันน่าภูมิใจ ที่อย่างน้อยงานเรามันอาจจะไม่ใช่งานทีด่ มี าก แต่มนั ก็ได้ลงแผ่นเสียง ดีใจมากครับ เป็นเรื่องที่ สุดยอดแล้วสำ�หรับพวกเรา มองภาพวงการเพลงบ้านเราปัจจุบันนี้ ไว้อย่างไร

Ptm : จริงๆ เรามองว่าปัจจุบันมันมีช่องทาง 050


เยอะมากเลยนะ แค่เราต้องจับทางให้ถกู มากกว่า เราเป็นคนที่แบบว่าไม่ได้ทำ�เพลงคอมเมอร์เชียล ก็ลองหาทางแบบของเราได้เอง สุดท้ายทุกคนก็ รับทีเ่ ราเป็นเราแบบนีไ้ ด้ แค่ตอ้ งหาตรงกลางให้เจอ ระหว่างดนตรีกับตลาดให้ได้ ถ้าหากหาตรงกลาง เจอทุกอย่างมันก็ลงตัว อีกอย่างเราว่าเงินมันขับ เคลือ่ นมากกว่าตัวศิลปะนะ ถ้าอยากให้คนมองว่า ทำ�งานศิลปะมากกว่ามันก็สามารถมองได้ แต่ส่วน ใหญ่จะมองว่าทำ�งานนี้มันต้องขายได้​้แน่นอนนะ เรื่องเงินมันก็ชะลอให้การทำ�งานของเรา ก็แล้วแต่ คนจะมองครับ แต่ถ้ามีใครมาให้เงินล้านหนึ่ง

พวกเราก็ทำ�เพลงไทยครับ แต่เราก็ยังมั่นใจอีกว่า ให้ทำ�ยังไงมันก็ไม่ป๊อปเพราะเราไม่ใช่คอมเมอร์ เชียล อีกอย่างเรามั่นใจว่าทำ�มาเสร็จพวกเรารับ ตัวเองไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่มี Part Time Musicians งาน Full Time ของแต่ละคนในปัจจุบันทำ�อะไร

นิค : ทำ�งาน Freelance พวกเพลงโฆษณาครับ แพท : เป็นนักศึกษาทั่วไปที่ตั้งใจเรียนตั้งใจสอบ และตั้งใจร้องเพลงบนยูทูปคะ (หัวเราะ) จิน : ซาวด์ดีไซน์เนอร์ ด้านเสียงต่างๆ ครับ ปอม : คงจะเล่นดนตรีกลางคืนอยู่เหมือนเดิม

051


วิว : เล่นไวโอลินคลาสสิค เป็น Freelance บ้าง เป็นคุณครูใจดีบ้างก็น่าจะอยู่กับดนตรีนี้แหละ อูน : เล่นดนตรีกลางคืนต่อไปครับ แล้วช่วงเช้าก็จะ ทำ�งานประจำ�ด้วยเป็นพนักงานประจำ�บริษทั ทัว่ ไปครับ

กลุ่มศิลปินนอกกระแสแบบนี้ จะมีพลังในการ ขับเคลื่อนวงการดนตรีได้มากแค่ไหน

Ptm : มันมีมากๆ ในแง่ที่กระตุ้นให้คนดนตรีได้ รู้สึกอะไรบางอย่าง มันก็แล้วแต่ว่าจะกระตุ้นได้ ในฐานะที่เป็นศิลปินนอกกระแสที่มีฐานคนฟังไม่มาก นานแค่ไหน การที่เราสร้างอะไรขึ้นมาใหม่แล้วมัน เราเห็นว่าวงการเพลงไทยตอนนี้มีวงดนตรีใหม่ๆ จะมีใครที่รับอะไรบางอย่างจากเรา มันทำ�ให้เกิด ทยอยออกเพลงมาเยอะมาก คำ�ถามในใจ อาจจะเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้เรา 052


ได้ฉุกคิด แล้วบางทีเราเองไปเจองานที่เด็กอายุน้อย โทษว่าทำ�ไมดนตรีใหม่ๆ มันไม่มีเลยวะ ก็ถ้าพูด กว่าทำ�ออกมาดีๆ แล้ว เราก็กลับมาตั้งคำ�ถามว่า กันตรงๆ เพราะคุณไม่ซื้อนั้นแหละ เขาจะเอาแรง ตอนนี้กูทำ�อะไรอยู่วะเนี้ย? ที่ไหนมาทำ�งานกันล่ะ เลยขอฝากเรื่องนี้ไว้หน่อย อยากให้ฝากกับคนฟังที่ฟัง Part Time Musicians หน่อย

ช่องทางติดต่อกับ Part Time Musicians

Ptm : Facebook ของวงเราเลยครับ เข้าช่อง Ptm : ฝากเรื่องลิขสิทธิ์ดีกว่า อยากให้คนฟังช่วย Search แล้วพิมพ์ว่า Part Time Musicians เจอ ซื้อสินค้าที่ถูกลิขสิทธิ์ เพราะเรารู้สึกว่าคนฟังชอบ แน่นอนครับ facebook.com/PartTimeMusicians 053


ไดอารี่ของคุณหมีมาร์ชเมลโล่ว์

MARSHMALLOW DIARY by วิรพงศ์ พรหมราช maushmallow@hotmail.com

Boat of Leave

ชีวิตคือการเดินทางอันแสนละเอียดอ่อน

054


Journey

หมูป่าบอกว่า “ยิ่งเดินทางมากเท่าไหร่ ตัวของเราจะยิ่งเล็กลงเท่านั้น” หมูป่าตัวโตเดินทางมามากมาย ฉันว่าอาจจริงก็ได้นะ ฉันจึงเริ่มออกเดินทาง

055


Sky

เทียบกับท้องฟ้า นกฮูกก็ตัวเล็กนิดเดียว...

056


Welcome to Winter

ฉันค่อยๆ เดินทางผ่านฤดูหนาวเพียงลำ�พัง..แต่คิดอีกที มันอาจไม่ใช่ก็ได้ ?

057


The Traveler

ระหว่างการเดินทางไกล ฉันทำ�ใครบางคนหล่นหาย หลุดลอยไปไกลแสนไกล จดจำ�เธอได้แค่ในอดีต แต่ไม่สามารถมองหน้าเธอได้อีกในอนาคต สิ่งที่เธอทิ้งไว้ให้คงเหลือแค่เพียงภาพจำ�เลือนราง แปลกตรงที่เมื่อวันเวลาผ่านไป ฉันยังเห็นเธอเป็นแสงเรืองรองอยู่ตรงนั้น

058


Midnight Rainbow

รุ้งตอนเที่ยงคืน สวยงามแม้มันไม่มีอยู่จริง

ส่งผลงานเขียนของคุณเข้ามาลงใน PIE ได้ pieonlinemag@gmail.com 059


PIE TALK

060


SAHRED TOY COME TO TOWN ต๊อด-อารักษ์ อ่อนวิลัย หรือ Sahred Toy (สเลดทอย) นักวาดภาพประกอบ ทีโ่ ด่งดังจากหนังสือ “อินดง อิเดีย” และในช่วงปีทผ่ี า่ นมางานของเขาวิง่ ว่อน ไปตามสื่อต่างๆ มากมาย แต่ก่อนที่เขาจะเป็นที่รู้จัก สิ่งที่เขาเป็นคือบุคคลที่ ไร้ตัวตน เรามานั่งคุยกับเขากันวันนี้ว่า เขาวาดตัวตนของเขาขึ้นมาอย่างไร และทำ�ไมตัวตนของเขาถึงสดใสและชัดเจนได้แบบนี้ 061


ต๊อดเรียนจบมาทางโปรดักส์ดีไซน์ เคยได้ทำ�ตามที่ เริ่มจากยังไงก่อน เรียนมาบ้างไหม พอออกมามีใครให้งานอะไรผมรับหมดในส่วนของ

เคยทำ�กับเพื่อนครับแต่เพื่อนไปเมืองนอกแล้ว จบมา ก็ทำ�กราฟฟิกครับทำ�งานประจำ� คือชอบวาดรูปนะ แต่ตอนนั้นคิดว่ามันจะเป็นอาชีพจริงๆ จังๆ ไม่ได้ เลยทำ�กราฟฟิกดีกว่า มันน่าจะหางานง่ายกว่า ต่อมา ก็โมชั่นกราฟฟิกพวกที่ประกอบเพลง จนวันหนึ่ง พี่ชายผมเขาซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อ “การลาออก ครั้งสุดท้าย” ผมอ่านแล้วอินกว่าพี่ชายอีก ผมเบื่อ ชีวิตที่มันเป็นลูปซ้ำ�ซากอยู่แล้ว ผมเกลียดวันจันทร์ มากเลยกับวันอาทิตย์ด้วยเพราะมันเป็นวันสุดท้ายที่ เราจะได้รื่นเริง และตอนเย็นวันอาทิตย์เวลาเปิดทีวี เจอ “บางรักซอยเก้า” คืออีกเดี๋ยวเราต้องนอนและ ตื่นไปทำ�งาน เคยเบื่อขนาดจะหนีไปบวชเลย พอ อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็ตัดสินใจลาออกเลย

กราฟฟิก อีกส่วนหนึ่งผมก็วาดรูปวาดๆๆ ลงใน บล็อค จนมีคนในสำ�นักพิมพ์แซลมอนเห็นงานผม เลยชวนเข้าไปวาดภาพประกอบ พอผมวาดโน่นวาด นีท่ แ่ี ซลมอนไปสักพักมันก็เริม่ มีคอนเน็คชัน่ จากอะเดย์ บ้างสมอลล์รูมบ้างก็ไปทำ�แอนิเมชันให้เขา ก็เริ่มมี คนรู้จักมากขึ้น งานมากขึ้นก็เริ่มๆ จะอยู่ได้ ตอนนั้นมีศิลปินที่ชอบไหม

มีครับ ชอบ Jeremy will ชอบเพราะงานเขามัน ง่ายและอยู่ ก็ลองวาดแบบเขาดู ศึกษางานเขา แต่ก็ยังไม่เจอสไตล์ตัวเองจนผมไปอินเดีย ตอน นั้นผมมีเงินก้อนหนึ่ง ก็คิดว่าเราอายุยี่สิบห้าชีวิต มันต้องบู๊ต้องลุยก็เลยว่าจะไปอินเดีย ตอนแรกคิด จะไปครึ่งปีเลยนะ กะว่าใช้เงินให้หมดเลย ด้วย ความที่ผมเบื่อกรุงเทพฯ ด้วยหลายๆ อย่าง เลย ตัดสินใจนานไหม ไม่นานเลยครับ ผมว่าคนทีค่ ดิ น้อยเนีย่ มันจะไม่ตอ้ ง คิดว่าไปต่างประเทศดีกว่า ที่ไปก็ไม่ได้คิดว่าจะ เอามาเขียนหนังสือนะ คือผมพอผมไปที่อินเดีย กลัวอะไรมาก ตอนออกมาก็ไม่ได้คดิ ด้วยว่าจะทำ� ผมก็เขียนเรื่องตลกๆ ที่ไปเจอมาลงเฟสบุ๊กแล้ว อะไรแต่กม็ งี านกราฟฟิกเข้ามาบ้าง ทำ�ไปทำ�มาก็เบือ่ กราฟฟิกอีก เวลาทีเ่ ราทำ�มันเหมือนไม่มตี วั ตน เพราะ แบงค์ (ณัฐชนน มหาอิทธิดล) เขาเห็นเขาก็เลย เราก็โดนบรีฟจากลูกค้าใช่ไหม ครัง้ หนึง่ ผมเคยไปดูงาน ชวนให้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอินเดีย จริงๆ ผม ในแกลเลอรีนานแล้วแหละ ตอนนัน้ เราก็โนเนมมากๆ ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นตลกหรือเปล่านะ แต่ผมชอบเล่า ทุกคนทีม่ าดูงานเขามองผ่านเราหมดเลย รูส้ กึ เหมือน เรื่องตลก ตกลงคืออยู่อินเดียสี่สิบห้าวัน เงิน หมด (หัวเราะ) แล้วก็กลับมาทำ�หนังสือ “อินดง เราไม่มตี วั ตน คิดว่าทำ�ไมเรามันถึงไร้ตวั ตนแบบนี้ อินเดีย” อยากมีตวั ตนบ้างเลยคิดอยากเป็นศิลปิน

062


063


064


การไปเที่ยวต่างประเทศในแบบต๊อดเป็นไงบ้าง

หนังสือ “อินดง อินเดีย” ก็ดังพอสมควรนะ

ผมคิดว่าการที่เราได้ไปต่างประเทศมันทำ�ให้ เราเปิดโลกจริงๆ นะ ผมก็ได้มาหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องสี สีที่ผมใช้ในงานทุกวันนี้ เป็นสีที่ผม ได้เห็นในอินเดียเลยนะ มันมีสิ่งน่าสนใจเต็มไป หมด ข้างทางเนี่ยมีคนมาวาดรูปพระนารายณ์ ที่ผนังแล้วข้างๆ มันเสือกมีคนเอารูปโปสเตอร์ เบ็นเท็นมาแปะ มันขัดแย้งมากๆ คือเวลาผมไป เที่ยวผมจะไม่ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเขา ไปกันนะ ผมชอบไปเดินตามตรอกซอกซอยดู ชีวิตคนที่อยู่ที่ใช้ชีวิตในที่ตรงนั้นจริงๆ มากกว่า ล่าสุดไปญี่ปุ่นผมก็ไปแบบนั้น มันก็เหมือนบ้าน เราอย่างที่ถนนข้าวสาร เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าตรง ถนนข้าวสารมันไม่ใช่บ้านเราจริงๆ อ่ะ มันเป็น ที่ที่เซตขึ้นมาให้ฝรั่งมาเที่ยวมาอยู่ บ้านเราจริงๆ ต้องแบบคลองเตย คลองภาษีเจริญ อะไรแบบนี้ ผมชอบไปทีแ่ บบนัน้ มากกว่าเวลาเจออะไรน่าสนใจ ก็จดไว้ ผมเป็นคนจอไดอารี่ จดมาตลอด ความจำ� ไม่ค่อยดี

ผมก็ไม่รู้นะว่ามันดังหรือเปล่า แต่ในความรู้สึกผม ผมว่าเล่มอินเดียยังไม่สุดเท่าไหร่นะ เพราะว่ามัน ไม่ใช่เราร้อยเปอร์เซนต์ แล้วเราก็ยังไม่เก่งขนาด ที่จะโชว์สไตล์หรือความเป็นตัวเองออกมาได้เต็มที่ แต่ก็โอเคที่อย่างน้อยเราก็ได้ทำ�มันออกมาแล้ว

แล้วเอาเรื่องที่เจอกลับมาเขียนหนังสือยากไหม

งั้นถามถึงเล่มใหม่หน่อย ไปญี่ปุ่น

ผมไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน ก่อนนี้ไม่คิดว่า ตัวเองจะเขียนได้ด้วย ก็คือพยายามเขียนไปเลย ตามที่คิดที่เจอมา เขียนแล้วส่งให้ทางแซลมอนดู เล่มอินเดียเนี่ยได้เขาช่วยเยอะมาก คือภาษาที่ ผมใช้มันเถื่อนอ่ะ มีคำ�หยาบเต็มไปหมด เขาก็ ลดทอนให้คนอ่าน อ่านแล้วโอเคขึ้น

065

ความรู้สึกเปลี่ยนไหม จากคนที่ไม่มีตัวตน เมื่อก่อน

ผมจำ�ความรู้สึกตอนหนังสือออกเล่มแรกได้นะ มัน คือเล่ม Talaboo จากคนคนหนึ่งที่ไม่เคยออกสื่อ มาก่อน ตอนนั้นผมนั่งรถเมล์เพลินๆ ก็คิดว่า กู แม่งเจ๋งว่ะ (หัวเราะ) แต่หลังจากนั้นมันก็นิ่งขึ้น คือสนุกกับงานนะครับ แต่เหมือนเรารู้แล้วมันเป็น ยังไง เหมือนตลอดชีวิตเราอยู่ในทะเลทรายแล้ว ไม่เคยเจอน้ำ�แข็งมาก่อน พอมาเจอมันก็ตื่นเต้น เพราะเราไม่เคยรู้ว่ามีอะไรแบบนี้อยู่ในโลก แต่เจอ อีกเราก็เฉยๆ แล้ว ผมว่าความรู้สึกแบบนี้ชีวิตนึง มันมีครั้งเดียวนะ จริงๆ ก็น่าเสียดาย คราวนี้เริ่มเป็นงานแล้ว คุยกับแบงค์ว่าจะไป ญี่ปุ่นแล้วกลับมาเขียนหนังสือ เริ่มมีการวางแผน ขึ้นแบบได้เที่ยวด้วย ได้งานด้วย รอบนี้ไป สิบสี่วัน ก็ไปกันสามคนครับกับ Art Jino นักเขียนอีกคนแล้วก็น้องที่ชื่อโบ ก็เที่ยวกับสอง คนนี้อยู่สองสามวันนอกนั้นผมก็ปลีกตัวไปเที่ยว


066


067


คนเดียวสไตล์ผม มั่วๆ สนุกดีที่ญี่ปุ่นนี้ไปไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะตาย เพราะที่นั้นเป็นมิตรมาก แต่ในด้านลบก็มีเยอะนะ ก็มีเรื่องให้มาเขียนเยอะ แล้วรู้สึกว่า แม่งเราเท่ว่ะ มาเที่ยวด้วยทำ�งานด้วย (หัวเราะ) เสร็จก็กลับไปคุยกับแบงค์ เขาก็ให้ไอเดีย ว่าเราเด่นเรื่องภาพก็ให้เล่าเรื่องด้วยภาพ ก็ปรึกษา กันช่วยกันคิด แต่ก็มีคนเขียนเรื่องญี่ปุ่นเยอะอยู่นะ

ญี่ปุ่น ก็คุยกันเหมือนกันว่ามันไม่น่าเบื่อเหรอวะ ก็ พยายามจะหาจุดที่เลี่ยงในแบบของเรา แต่จริงๆ เวลาที่ผมเขียนหนังสือเนี่ยไม่ได้ตั้งใจจะเขียนหรือทำ� แบบเลี่ยงใครนะ หรือทำ�ให้หนีจากเล่มไหน เพราะ มันจะไม่สนุก ผมจะพยายามทำ�ในแบบของผมเอง มากกว่า ต่างไม่ต่างก็ช่างมันอย่างน้อยก็เป็นตัวเรา แล้วตอนทำ�ก็สนุก ของผมก็คงเสื่อมกว่าของคนอื่น (หัวเราะ)

เราไม่เจแปนนะ เราโตเกียว (ฮา) เอาแค่สำ�นักพิมพ์ ประเทศไทยไม่เที่ยวบ้างเหรอครับ ของแซลมอนปีหนึ่งก็ประมาณสามเล่มแล้วที่เขียนเรื่อง กลายเป็นว่าทุกวันนี้ผมเที่ยวประเทศไทยน้อยเลยนะ 068


เลยยังไม่รู้จะเขียนอะไร คือผมจะสนิทกับพี่วิชัย มาตกุล ไปเที่ยวด้วยกันบ่อย แกก็ชวนอยู่ว่าเล่ม หน้าเนีย่ เขียนด้วยกันไหม ไปเทีย่ วและเขียนด้วยกัน และอีกอย่างคือการเขียนเรื่องในบ้านเรา แล้วเป็นผม เขียนเนี่ย มันอาจจะมีคนที่ดราม่าได้ เพราะเรื่องที่ อ่อนไหวของคนไทยมันมีมาก อาจจะไม่กล้าพูดไม่ กล้าเล่นมากเท่าไหร่ ถามถึงสัญลักษณ์ประจำ�ตัว “จู๋สีชมพู” หน่อย

จำ�ไม่ได้มันมายังไงเหมือนกันนะ เมื่อก่อนมันเถื่อน กว่านี้อีกนะครับ เถื่อนกว่านี้มากตามชื่อ สเลดทอย แหละครับ ตั้งแต่กลับจากอินเดียที่ผมบอกว่าเจอ สไตล์บางอย่าง ที่อยู่ๆ มันก็มาของมันเองเลยนะ เห็นแล้วเลยคิดว่าเราจะยึดสไตล์นี้ไว้ และพอเอามา วาดรูป เจ้าเนี่ยมันก็ดูเรียบง่ายขึ้น เรียบร้อยขึ้น น่ารักขึ้น ซึ่งผมก็ลองไปถามเพื่อนผู้หญิงนะ เขาก็ บอกว่าน่ารัก เขาว่าตลอดชีวิตเขา เขาไม่เคยพูดคำ� ว่าจู๋ต่อหน้าสาธารณชนแล้วมาพูดกับต๊อดได้ มันน่า จะโอเคนะ เราฟังก็โอเค ทั้งงานเขียน งานภาพประกอบ แอนิเมชัน เดินทาง ดูจะทำ�หลายอย่างมาก

งานพวกนี้มันมาจากความสนุกหมดเลยครับ งานที่ ผมคิดแล้วว่ามันน่าจะสนุกผมรับหมด แล้วต่อมาราย ได้มนั ก็เริม่ เพิม่ ขึน้ ตามมา มันก็เป็นสิง่ ยืนยันเหมือนกัน ว่าถ้าเราทำ�ในสิ่งที่เราชอบเนี่ยมันไปได้จริงๆ มันมี ทฤษฎีอนั นึงทีเ่ ขาบอกว่า ไม่วา่ อะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ถ้าเราทำ�มันได้ถึงหนึ่งหมื่นชั่วโมง เราจะเก่ง เก่ง แบบสุดยอดเลยนะครับ และปัญหามันอยู่ที่เราก็ไม่ สามารถทำ�สิ่งที่เราไม่ชอบนานขนาดนั้นได้จริงๆ มัน 069

จะเบื่อก่อน เพราะงั้นมันก็ต้องเป็นงานที่เกิดจาก ความชอบจริงๆ ก่อน ผมเชื่อในวิธีคิดนี้นะ เพราะสิ่งต่างๆ ที่ผมทำ� มันก็ค่อยๆ แตกออกมา เรื่อยๆ เป็นโน่นเป็นนี่มันก็มาจากตัวการ์ตูนที่เรา ชอบวาด เริ่มมีลูกค้าเจ้าใหญ่ขึ้น การทำ�งานเปลี่ยนไหม

ไม่เลย สนุกมาก ผมไม่เคยบอกเลยว่าจะเป็น ศิลปินทีไ่ ม่เอาคอมเมอร์เชียล ถ้างานคอมเมอร์เชียล มันสนุกแน่นอนผมรับ แต่เมื่อไหร่ที่เราทำ�แล้วเริ่ม อึดอัด เริ่มฝืนๆ รู้สึกว่าทำ�ออกไปแล้วไม่ดีแน่ก็จะ ไม่ทำ� เอาความสุขเป็นที่ตั้งครับ ช่วงหลังลูกค้า ชอบมาหาผมแล้วบอกว่าอยากได้แนวเสื่อมๆ แต่ ไม่เอาจู๋ ทุกคนพูดแบบนี้หมด ก็วาดอะไรเสื่อมไป หลายอย่างก็ไม่ผ่าน พอวาดภาพพี่หลุยส์ (บ.ก. Damn Magazine) ผ่านตลอดเลย (หัวเราะ) เห็นต๊อดไปบรรยายมาบ้างเหมือนกัน เด็กๆ รุ่นน้องเป็นไงบ้าง

ก็มีบางที่ ที่น้องเขาตั้งใจมาก พยายามหาความรู้ แต่บางทีก็นะ ตามปกติก็มีทั้งดีทั้งไม่ดี ปกติผม ไม่ค่อยกล้าพูดต่อหน้าคนเยอะๆ นะ แต่น้องๆ บางคนที่เขามาฟังแล้วตั้งใจเนี่ย เวลามองแววตา เขาแล้วมันมีพลังนะ มีเรื่องที่ผมพูดบ่อยคือเรื่องที่ อาจารย์ผมเคยสอนว่าให้เก็บเงินเดือนละหนึ่งพัน บาทไปซื้อหนังสือทุกเดือน หนังสือพวกนี้จะเป็น ครูเรา เมื่อเวลาผมหรือใครบรรยาย เด็กๆ ได้ฟัง มันก็เหมือนเป็น Short cut นะ ว่าคนคนนี้เจอ อะไรมาบ้าง ถ้าเราจะทำ�แบบนี้ต้องทำ�ยังไงบ้าง อย่างผมอ่านหนังสือ สตีฟ จ็อบส์ มันก็เหมือนผม


อ่านชีวิตเขาทั้งชีวิต หนังสือแบบนี้มันมีคุณมหาศาล อยากร่วมงานด้วย ส่วนงานที่อยากทำ�ตอนนี้คืองาน เลยนะ ถ้าเราเลือกถูกเล่ม สเกลใหญ่ๆ อย่างเป็ดยักษ์ของ ฟลอเรนทิน ฮอฟแมน อยากสร้างอะไรที่ง่ายมากๆ แต่ว่าเป็นขนาดที่ทุกคน ดูต๊อดเป็นคนบ้างานพอสมควร เห็นแล้วสะอึก ผมว่าไอ้เป็ดเนี่ย ศิลปินเขาคิดมาดี มากเลยครับ เพราะผมไม่คิดว่างานมันคืองานนะ มากเลยนะ ว่าเป็ดตัวนี้มันเป็นสากลมาก เข้าใจได้ ตอนทำ�งานประจำ�ผมขี้เกียจมาก เพราะเราไม่ได้ ทุกภาษา ซึ่งทุกคนที่เห็นเป็ดตัวนี้บอกว่านึกถึงวัยเด็ก ชอบอะไรมันมากมาย แต่งานตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ผม ทุกคน ชอบ เอาว่าตอนนี้ผมทำ�งานทุกวัน วาดรูปทุกวัน แต่ผมมองมันเป็นการวาดรูปเล่นเฉยๆ แล้วเราได้ ต๊อดคิดว่า มืออาชีพ สำ�หรับต๊อดคืออะไรครับ เงิน ผมเคยว่างนะ ว่างครึ่งวันแบบรองานอยู่มัน สำ�หรับผมนะ เอาง่ายๆ เลยนะครับ คือการสามารถ แบบจะบ้าอ่ะ ผมแม่งขาดงานไม่ได้ บางทีนง่ั ดูหนังนะ ทำ�งานทีไ่ ด้รบั มอบหมายได้ส�ำ เร็จ จริงๆ ผมคิดแค่นพ้ี อ ก็นั่งคิด เสียดายเวลาว่ะ ก็ปิดแล้วมาทำ�งาน ทำ�งานให้เสร็จให้ดี แต่ถ้าคิดในเชิงมืออาชีพที่เป็น เหมือนเป็นโรคกลัวจะไม่ได้พัฒนาตัวเอง ผมไม่เล่น รุ่นใหญ่อะไรแบบนี้ผมไม่ค่อยชอบนะ มันดูเกร็งเกินไป เกมส์ ไม่ดูบอล จริงๆ อยากติดเกมส์มากเลยนะ เข้าถึงยาก ผมอยากให้พื้นที่ของผมเนี่ย ยังสามารถ แต่เป็นโรคกลัวเสียเวลา เล่นอะไรกับเรื่องเสื่อมๆ ที่ผมสนุกได้ คุยอะไรแบบ ง่ายๆ ได้ ไม่ใช่คนที่ดูเหนือกว่าคนทั่วไป ต๊อดทำ�งานมีตารางเวลาไหมครับ

มันเป็นไปเองคือผมนอนตอนตีหนึ่ง สักเที่ยงคืนนี่ ผมจะหาหนังสืออ่านแล้ว ตีหนึ่งก็หลับพอดีแล้วตื่น เก้าโมงทุกวัน แต่ถ้าเป็นเรื่องงานผมก็ไม่มีระเบียบ มากนะ ไม่ได้วางแผนอะไรขนาดนั้นแต่ผมไม่ชอบ ดองงาน พองานมาก็จะทำ�เลย ถ้างานยังไม่เสร็จ ใครจะชวนไปเที่ยวไหน ออกเงินให้ฟรีผมก็ไม่ไป ขอทำ�งานให้เสร็จก่อน เป็นโรคจิต

อยากโชว์งานในแกลเลอรีบ้างไหม

เคยลองคุยๆ ครับ แต่ผมยังไม่กล้า ผมว่าผมยังไม่ ตกผลึกขนาดนั้น กลัวจะเป็นแบบหนังสือเล่มแรก (talaboo) ที่ออกไปแล้วเราไม่ค่อยชอบ แบบกูไม่น่า เลย ผมรู้สึกว่าผมเพิ่งเจอสไตล์ที่ทำ�อยู่เนี่ยมาไม่นาน เท่าไหร่เอง อยากให้มันถึงกว่านี้อีกหน่อย ผมดูอย่าง พวกรุ่นพี่ที่เขาเก่งๆ อย่างพี่ P7 หรือพี่กิ๊ฟ (รักกิจ ควรหาเวช) พวกพี่เขายังพัฒนาสไตล์ของตัวเองไป ตอนนี้มีศิลปินคนไหนที่อยากร่วมงานด้วยไหม เรื่อยๆ เหมือนพยายามก้าวข้ามความสำ�เร็จของ มีครับ ผมชอบงานพี่ Benzil a แต่กไ็ ม่เคยเจอพีเ่ ขานะ ตัวเองต่อไปอีกเรื่อยๆ รู้สึกว่าพวกพี่ๆ เขาเจ๋งมาก ผมไปคุยกับพี่เขาทาง Inbox ว่าชอบงานพี่เขา ผมก็พยายามที่จะกระตุ้นตัวผมตลอด ในห้องผมจะ 070


www.facebook.com/sahredtoy www.behance.net/sahredtoy7 เขียนคำ�ต่างๆ ไว้เต็มไปหมด เป็นคำ�ง่ายๆ อย่าง “จะไม่ทำ�อะไรที่ไร้สาระ” หรือ “ปลายปีนี้ ต้องทำ� อะไรให้ได้บ้าง” เป็นประโยคง่ายที่เราคุยกับตัวเอง ผมชอบคุยกับตัวเอง คอยเตือนตัวเองให้พัฒนา 071

“สเลดทอย” ในอีกสิบปีจะเป็นยังไง

ไม่กล้าคิดครับ อาจจะคิดแค่คร่าวๆ ไม่เยอะ ผมเป็นคนคิดน้อย คิดมากแล้วจะกลัว พยายาม ทำ�ไปเรื่อยๆ ดีกว่า


072


073


A Visual Poetry in Japan SPECIAL PHOTO SET by Suwanchart Suwanjaroen

74


75


76


77


78


79


80


81


82


เห็นใครๆ ก็ไปญี่ปุ่น PIE เล่มนี้เลยขอลงรูปญี่ปุ่นตาม กระแสกับเขาบ้าง (ขี้อิจฉาชาวบ้าน) เซตรูปสวยๆ นี้เป็น ผลงานของ คุณสุวรรณชาติ สุวรรณเจริญ (ไนท์) ครับ โดยเมื่อถามถึงแรงบันดาลใจหรือแนวคิด ไนท์ก็ตอบว่า “ผมไม่มีแรงบันดาลใจในการถ่ายรูปที่แน่นอน ผมคิดว่า แนวทางการถ่ายรูปของผมมันเปลี่ยนมาตลอดตั้งแต่เริ่ม ถ่ายและรวมถึงตามอุปกรณ์ที่ใช้ สถานที่ และเวลา แต่ก็ มีแก่นอยู่ว่าในจังหวะนั้นถ้าผมชอบอะไรหรืออะไรสะดุดตา ผมก็จะถ่าย โดยที่ไม่ได้เป็นการตั้งใจมองหาฉากที่อยาก ถ่ายหรืออยากเก็บโดยตรง อาจเป็นอะไรที่ดูมีเรื่องราว อะไรที่ดูแปลก น่าสนใจหรืออาจเป็นฉากที่แค่สวยเฉยๆ ในช่วงนี้ผมคิดว่าสิ่งที่สะดุดตาผมมากที่สุดคือรูปทรง สีและการจัดเรียงที่มันดันพอดีกันโดยความบังเอิญใน ตอนที่ผมสังเกตพอดี“

83


84


ซึ่งผมก็มองว่าเป็นคำ�ตอบของไนท์นั้นก็ฟังเข้าท่าดี เมื่อเรามองเห็นความ สวยงามอะไรบ้างอย่าง แทนที่จะมานั่งตั้งคำ�ถามหาข้อถูกผิดหรือค้นหา กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่ออธิบายเหตุผล เราควรรีบฉกฉวยความงามที่อยู่ ตรงหน้านั้นมาเก็บเอาไว้จะดีกว่า ก่อนที่มันจะหายไปและเราอาจจะไม่ได้ พบเจอมันอีก ขอบคุณไนท์มากๆ ที่ให้รูปสวยๆ มาลงใน PIE นะครับ

85


PIE TALK

086


Apostrophy s LIFE OF EXHIBITION เดีย๋ วนีม้ องไปตามห้างสรรพสินค้าเล็กใหญ่ไม่วา่ มุมไหนของเมืองก็มแี ต่งานอีเว้นท์ ออกร้านเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งงานเล็กกระทัดรัดด้วยจำ�นวนคนหลักสิบ จนไป ถึงงานบิ๊กบึ้มแสงสีเสียงเต็มพิกัดนับผู้คนก็หลักหมื่น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทาง โฆษณาที่กำ�ลังระบาดมาแรงในบ้านเรามาได้พักใหญ่แล้ว วันนี้เราจึงขอมาคุยกับ คุณเบียร์-พันธวิศ ลวเรืองโชค ผู้ก่อตั้ง Apostrophy’s บริษัท Exhibition Design ที่โด่งดังไปถึงต่างประเทศ

087


088


เริ่มสนใจงาน สถาปัตกรรมหรือ งานออกแบบ Exibition ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ

เริ่มตั้งแต่สมัยมัธยมเลยครับ ผมเป็นพวกชอบ ทำ�กิจกรรม ทำ�พวกซุ้ม พวกบูธต่างๆ แล้วเรา ก็ได้เป็นหัวหน้าเป็นคนที่จะต้องออกแบบก็ทำ�ให้ อยากเรียนทางนี้ และพอเข้ามหาวิทยลัย ช่วงนั้น มหา’ลัยธรรมศาสตร์เพิ่งจะเปิดคณะสถาปัตยกรรม ได้ปีที่สองเอง ทางคณะก็เชิญอาจารย์เก่งๆ มาสอน เยอะมาก และเป็นอาจารย์ที่หัวสมัยใหม่ ด้วย ความที่คณะเพิ่งก่อตั้ง ทางอาจารย์เขาก็พยายาม ที่จะสร้างกลุ่มนักศึกษาที่มีคุณภาพ และในต่าง ประเทศ การสอนวิชาสถาปัตฯ ช่วงนั้นจะเน้น ที่การคิดการค้นคว้า การมองสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม มาประกอบในงานและงานที่พวกผมทำ� ตอนเรียน ออกมามันไม่ต้องเป็นโมเดลตึกอาคาร อย่างเดียวก็ได้ มันสามารถเป็นหนังภาพยนตร์เป็น สื่ออื่นๆ อะไรก็ได้ แต่ต้องตอบโจทย์ นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมในคณะอย่างทำ�หนังสือ บูธต่างๆ ทำ� ภาพเคลื่อนไหว ทำ�พวกมีเดียต่างๆ ซึ่งพวกผมก็ ทำ�กันแบบจริงจังเลยนะ ไม่ใช่แบบเด็กสถาปัตฯ มาทำ�หนังสือ คือทำ�แบบเด็กที่ทำ�กราฟฟิกเลยไป ศึกษาเรื่อง Grid อะไรแบบนั้น อาจารย์ที่สอน ตอนนั้นเขาก็จะช่วยดูด้วย ผมจึงชอบงานหลายๆ อย่างและเป็นวิธีคิดที่ติดตัวมาตลอด

เมืองนอก ก็ฝันจะมีสตูดิโอเล็กๆ บ้าง สมัยนั้น บริษัทต่างชอบตั้งชื่อกันตามชื่อเจ้าของ แต่เราอยาก ตั้งชื่อที่มันแตกต่าง ตัว ’s (อะโพสโตฟี เอส) มัน แสดงความเป็นเจ้าของ และในตอนนั้นมันเป็นชื่อที่ ไม่ค่อยมีใครเขาใช้เท่าไหร่ แล้วเรื่องทำ�งานสถาปัตฯ จริงจังเมื่อไหร่

สักปีสาม ช่วงปิดเทอมครับ ผมก็ไปขอฝึกงาน ช่วงนั้นก็มีดีไซเนอร์เก่งๆ หลายคนอย่าง พี่แจ็ค ปิตพุ งศ์, อาจารย์ตน้ design Lab และอีกหลายคน ผมก็ขอไปฝึกงานกับพี่ๆ เขา และช่วงที่ผมเรียน ปริญญาโทก็เริ่มก่อตั้ง Apostrophy’s จริงจัง ก็รับ งานจากพี่ที่เราไปฝึกงานด้วย

งานช่วงแรกๆ เป็นไงบ้าง

จริงๆ แล้วช่วงแรกเนี่ย นอกจากงานสถาปัตฯ ที่ ผมทำ�กับพวกพี่แล้วยังมีอีกงานที่ถือว่าเป็นงานหลัก เหมือนกันคือ โมชั่นกราฟฟิก นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ได้ จากตอนอยู่มหา’ลัย แล้วในช่วงแรกพวกงานออก แบบใหญ่ๆ มันต้องมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง ซึ่งเราที่ยังเด็กเนี่ยอาจจะไม่ได้รับความเชื่อถือนัก งานโมชั่นกราฟฟิกเลยเป็นงานหลักๆ ในตอนนั้น โมชั่นกราฟฟิกแบบไหน

ทำ�ประกอบในงานต่างๆ ผมเคยทำ�โมชั่นกับพี่กบ BORED ด้วยในงาน Tiger Translate และเคย ชื่อ Apostrophy’s มาจากไหน ชื่อนี้มาตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนปีหนึ่งแล้วครับ พอผม ประกวดได้รางวัลของทาง Channel V และก็มี โอกาสที่ดีมากๆ เลย คืองานที่พี่หมู Ductstore เข้ามาเรียนออกแบบจริงจัง ก็เริ่มไปรู้จักสตูดิโอ 089


090


091


ชวนไปทำ�งานของ Max radio ตอนนั้นจัดที่ สยาม และงานแบ่งโซนเป็นสามเวทีผมก็ดูแลเวที หนึ่ง พี่เขาก็ให้โอกาสเรา ช่วงแรกๆ คนก็จะ รู้จักผมว่าทำ�โมชั่นมากกว่า ในตอนนั้นงานโมชั่น มันก็จะเป็นแนว Vector หรือไม่ก็แนวคล้ายกับ งานคอลลาจตัดแปะรูปและกราฟฟิกต่างๆ ผมก็ พยายามที่เอาโปรแกรมที่ใช้ในงานสถาปัตฯ มาใช้ อย่าง 3D max หรือ MAYA มาใช้ในงานโมชั่น แล้วมาเป็น Exibition Designer ได้ยังไง

Exhibition Design มันทำ�ให้ผมได้รวบรวม ศาสตร์หลายๆ อย่างทั้งเนื้อหา เทคนิค โมชั่น กราฟฟิก ไลท์ติ้งดีไซน์ เรื่องสถาปัตกรรม Space Design เอาสิ่งที่ผมชอบหลายๆ อย่าง มารวมกันได้ทดลองสิ่งต่างๆ ในงาน Exhibition Design ในช่วงนั้นงานมันก็เยอะนะ ผมจำ�ไม่ได้ ว่าชิ้นไหนก่อนหรือหลัง แต่จะมี Exhibition ตัวใหญ่ที่เราได้ทำ�คือ บูธในงาน ITU Asian มี พี่เขาเรียกไปทำ� เราก็งงๆ เพราะงานมันสเกล ค่อนข้างใหญ่มากแต่เราก็อยากทำ�มาก ใส่เต็ม เลย ทำ�เต็มที่ ผลออกมาก็ได้รับรางวัล มัน เหมือนงานที่ประชันกันในเอเซีย มีทั้งบูธของ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ประเทศต่างๆ ในเอเชีย ของ เราคนพูดถึงเยอะ ถามถึงการคิดงานบ้าง การเริ่มงานสักชิ้นหนึ่ง ของ Apostrophy’s เริ่มจากอะไรบ้าง

หาข้อมูล รีเสิร์ชก่อน เรายังเชื่อเรื่องนี้ว่าการ ออกแบบคือการแก้ปํญหา เราต้องหาข้อมูลก่อน

เพื่อจะดูว่าจะใช้อะไรในการแก้ปัญหานั้นๆ ถึง ตัวงานที่ออกไปจะดูสนุกแต่เบื้องหลังในการทำ� มันซีเรียสมากเหมือนกัน เพราะงานของเราส่วน มากทำ�กับแบรนด์ต่างๆ ที่ลูกค้ามีความคาดหวัง ที่จะทำ�ให้งานเขาสำ�เร็จ ใช้เม็ดเงินเขาอย่างคุ้มค่า ยิ่งเราจะทำ�ในสิ่งที่มันใหม่ แตกต่างจากสิ่งที่เคยมี เนี่ยยิ่งเป็นเรื่องยาก น้องๆ ที่เข้ามาทำ�งานกับเรา ก็ต้องคิดในแบบนี้ คือต้องมีเหตุผล เราอาจจะต่าง จากคนที่เป็นศิลปิน ตรงที่เราต้องเป็นกลาง ไม่ใช่ แค่เอาความชอบของเราตัดสิน น้องๆ ที่มาทำ�ก็ ต้องปรับตรงนี้ก่อน งานของ Apostrophy’s จึง มีความหลากหลาย ตั้งแต่ขาวเรียบคลีน จนไปถึง เยอะสนุก มันจะเป็นไปตามโจทย์ที่เราได้ ฟังดูซีเรียสมาก แต่งานที่ออกมาดูสนุก

จริงครับ น้องๆ ที่เข้ามาหลายคนก็จะไม่ไหว เพราะขั้นตอนมันก็มีความน่าเบื่อหรือมีความเป๊ะ อยู่ แต่มันก็จะมีช่องที่เราปล่อยได้ สนุกได้ พอ รีเสิรช์ หาข้อมูลเราก็จะมาประชุม Brian Strom กัน ให้ทุกคนได้โชว์ความคิดโชว์ไอเดียซึ่งต้องอยู่บน ความมีเหตุผล ดูคุณเบียร์เป็นคนมีระเบียบมาก

ครับ จริงๆ ก็ช่วง 2-3 ปีหลังนี้แหล่ะ แรกๆ ก็ ไม่มีเหมือนกัน ทั้งเรื่องเวลา งาน เอกสาร มัน มีจุดที่ว่าถ้าเราไม่เป็นระเบียบ จัดการกับความ วุ่นวายไม่ได้เนี่ย เรื่องงานก็จะล่าช้าลง เพราะ เราไปมัวเสียเวลาจัดการเรื่องความไม่เป็นระเบียบ นี่แหล่ะ เลยต้องเปลี่ยน 092


093


094


ปีๆ หนึ่ง งานเยอะแค่ไหนครับ

เป็นร้อยโปรเจ็กต์ครับ ในบริษัทผมเนี่ยมีคน ประมาณ 12 คน ดูงานตัวงานแล้วมันเหมือนจะ ใช้คนเยอะมากใช่ไหมครับ เราจะใช้วิธีการจ่าย งานกับบริษัทที่เป็นพาร์ทเนอร์กับเรา ซึ่งทำ�กัน มาหลายปีแล้วล่ะ หลายๆ ที่เขาทำ�กับเรามา หกเจ็ดปี มีความผูกพันกัน เป็นอะไรมากกว่า ซับพลายเออร์นะ คล้ายเป็นกลุ่มสหกรณ์มากกว่า หลักๆ เราจะคิดคอนเซ็ปต์งานก่อน แล้วก็จ่าย งานออกไป งานบางอย่างแบบโมชั่นหรือภาพ เคลื่อนไหวในงานเนี่ย เราก็ไม่ได้ทำ�แล้วนะ เพราะ งานในแต่ละสายจะมีความลึกซึ้งในแบบของมัน เราจึงไปคุยกับคนที่เขาเชี่ยวชาญในสายนั้นๆ จริงๆ ดีกว่า ในงาน Exhibition หนึ่งงานมันมี ส่วนประกอบเยอะมาก และยากมากทีเ่ ราจะเชีย่ วชาญ ในทุกด้าน ซึ่งเราว่าวิธีนี้น่าจะเหมาะกว่า แต่ก่อน จะมาเป็นระบบนี้ เราก็ทำ�เองมาก่อน ทำ�ทุกอย่าง มาก่อน รู้จักวิธีและรบบของสายงานต่างๆ เราถึง จะคิดงานและสื่อสารกับทีมอื่นๆ เข้าใจ

ลูกค้า ซึ่งเราก็พยายามไปเพิ่มความเชื่อถือในมุม ของงาน เตรียมพร้อมในเรื่องของข้อมูลและตัว งานให้ดีทำ�การบ้านให้เยอะ มันก็เป็นตัวช่วยที่ ทำ�ให้ลูกค้ามองข้ามเรื่องอายุของเราไปได้ อะไรคือเอกลักษณะเฉพาะของ Apostrophy’s ครับ

พูดยากเลย มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของภาพที่เห็น นะครับ มันเป็นเรื่องกระบวนการคิดมากกว่า อย่างเรื่องการหาข้อมูลและการตีความข้อมูล ต่างๆ หรือเรื่องที่เห็นชัดๆ หน่อยคือเราจะใช้ New Media เราจะให้แต่ละงานมี Movement ที่เล่นกับคนที่มางาน ให้ทุกคนที่มางานมีส่วนร่วม กับงานชิ้นนั้นเหมือนเป็นเจ้าของงาน ตามชื่อ ’s (Apostrophy’s) ที่ไปเติมหลังใครคนนั้นก็กลาย เป็นเจ้าของ งานของเราจะเสร็จสมบูรณ์ในวัน งานเท่านั้น ในวันที่ผู้คนเข้ามาในงาน งานถึงจะ เสร็จสมบูรณ์ แต่ละงานดูท่าจะหนักมาก ท้อบ้างไหม

ก็มีช่วงเหนื่อยเหมือนกันครับ แต่เวลาได้เห็นคน ปัญหาที่เจอหลักๆ เลย คือการสื่อสาร ทั้งกับด้าน ที่เขามางานที่เราทำ� เห็นเขาได้เล่นกับงานของเรา นอกบริษัทและด้านในของเราเอง เราทำ�งานดีไซน์ ได้ยินคนพูดถึงงานของเรามันก็มีความสุข อีก มันเป็นสิ่งที่ต้องสื่อสาร แล้วตัวงานมันต้องใช้คน อย่างหนึ่งคือช่วง สี่-ห้าปีหลังสื่อต่างประเทศพูด หลายฝ่าย ทั้งลูกค้า ทั้งส่วนต่างๆ วันๆ มันก็จะ ถึงงานของเราเยอะมาก พูดถึงเกือบทุกชิ้นเลย เต็มไปด้วยเรื่องการสื่อสาร ซึ่งอาจจะผิดพลาดได้ อย่างในเว็บ Designboom ของญี่ปุ่น อันนี้ก็ ง่าย และอีกเรื่องคือความเชื่อใจซึ่งเป็นสิ่งที่ยังเจอ เป็นแรงกระตุ้นที่ดี จริงๆ ในต่างประเทศเขา อยู่ตลอด ด้วยความที่เรายังเด็กด้วยมั้งครับสำ�หรับ รู้จัก Apostrophy’s มากกว่าในบ้านเราอีก ปัญหาที่พบบ่อยๆ ในการทำ�งานคืออะไรครับ

095


ตอนนี้งานอีเว้นท์ในบ้านเราจัดกันเยอะมาก คุณเบีร์ยคิดว่ามันเริ่มเยอะไปไหม

จริงครับ มันเริ่มที่จะเฟ้อและด้วยความที่มัน เยอะเนี่ย มันก็จะมีบางส่วนที่ออกมาแบบขาย มากๆ ขายจนดูไม่มีชั้นเชิง หรือเป็นงานที่ไม่ ค่อยมีคุณภาพ แต่ที่ผมคิดงานอีเว้นท์ในบ้านเรา มันก็จะมีเยอะขึ้นแหละ แต่เราจะทำ�ยังไงให้เรา รักษาคุณภาพของงานไว้ให้ได้ แผนในอนาคตของ Apostrophy’s

คิดไว้ว่าจะขยายออฟฟิศ อาจจะแยกฝ่ายต่างๆ ให้ชดั เจนฝ่ายคิด ฝ่ายรีเสิรช์ ฝ่ายหาแรงบันดาลใจ

อยากสร้างรากฐานของ Apostrophy’s ให้ดี และ อีกอันหนึ่งคืออยากไปเปิดสาขาในต่างประเทศ อาจเป็นมิลานหรือไม่ก็โตเกียว ในต่างประเทศเขามีวิธีคิดต่างจากเรายังไงบ้าง

เรื่องความรู้ครับ อย่างในอิตาลีเนี่ย เขามี ประวัติศาสตร์ของศิลปะมายาวนานมาก และเขา โดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เวลาเขาทำ�งานเขาจะขับ เคลื่อนด้วยความรู้ เขาจะไม่มั่ว เขาจะมองสิ่งที่ วัดผลได้ คืองานสำ�หรับเขาแค่สวยมันไม่พอ และ เขาไม่ทำ�งานตามกระแสแบบบ้านเรา จะโฟกัส เรื่องที่เขาสนใจชัดเจน และเน้นการพัฒนาแก้ไข 096


งานของตัวเขาเอง จนมันดีที่สุด ผมว่าวิธีคิด แบบนี้มันยั่งยืนกว่า

ในเมืองไทย” แล้วจะมีนักข่าวมา มันเหมือน เป็นการเรียกร้องความสนใจแบบง่ายๆ ไม่มี ชั้นเชิงไปหน่อย เมื่อในบ้านเรามันมีทุนมีทรัพยากร จุดเด่นและจุดด้อยของงานออกแบบ Exhibition แต่มันก็ต้องถูกใช้อย่างรอบคอบด้วย และการทำ� ในบ้านเราหน่อย ในสิ่งที่แปลกมันไม่รับประกันนะว่าจะสำ�เร็จหรือ จุดเด่นเลยคือเรื่องทรัพยากร บ้านเราหาวัตถุดิบ ส่งผลดีกับลูกค้าเสมอไป และถ้าสมมุติมีคนร้อย ต่างๆ มาใช้ได้ง่ายรวมถึงวัตถุดิบทางความคิด คนและมีเจ็ดสิบคนทำ�แล้วลูกค้าขาดทุน ต่อไป และทางวัฒนธรรมด้วย และงานคอมเมอร์เชียล ลูกค้าก็อาจจะไม่อยากลงทุนก็ได้ มันก็ส่งผลต่อ ในบ้านเราค่อนข้างมีทุนในการทำ� Exhibition วงการ หรือการกาง Reference เมืองนอก มัน เยอะพอสมควร ส่วนจุดด้อยเนี่ยมันจะมาจาก ก็เหมือนอาหารแหละครับ จะมาขายในบ้านเรามัน ตัวงานที่หลายคนทำ�โดยเน้นแค่ความแปลก ก็ต้องมีการปรุงแต่งด้วย ให้เหมาะกับคนบ้านเรา โดยทีไ่ ม่มแี นวคิดมารองรับ เชิงว่า “เป็นครัง้ แรก ไม่ใช่เอามาทั้งดุ้น 097


มีศิลปินที่ชอบไหมครับ

ชอบ nendo ครับ จำ�ได้สองสามปีก่อนที่ผมไปงานที่มิลาน บูธของเขายังเล็กๆ อยู่เลย ตอนนี้แทบทั้งมิลานแฟร์เป็ของ เขาเกือบหมด และก็ชอบงานของบริษัท Wonderwall ที่เขา ทำ� 100% Chocolate และร้าน Muji ส่วนกราฟฟิกดีไซน์ชอบ Stefan Sagmeister 098


งานอดิเรกครับ

ไม่ค่อยมีครับ ส่วนมากก็ทำ�งาน ช่วงหลังผมเริ่มกลับมาทำ�งาน ออกแบบ้านก็พาครอบครัวไปที่ไซต์งาน ผมเป็นคนไม่ค่อยสังคม อ๋อ ชอบดูหนังครับ หนังไซไฟ ชอบดูบรรยากาศ ดูการแต่งตัว สังเกตไอเดียของเขา มีงานบางตัวผมใช้หนังไปพรีเซนต์ลูกค้า ด้วย ช่วยให้ให้ลูกค้าเห็นภาพ 099

ตอนอายุห้าสิบคิดว่ายังทำ� อาชีพนี้ไหมครับ

ยังทำ�อยู่แน่นอนครับ

www.facebook.com/ apostrophys www.apostrophys.com


PIE ONLINE GALLERY ถึง ONLINE GALLERY ในเล่มนี้ออกจะน้อยไปนิดนะครับ ด้วย เนื้อที่จำ�กัดแต่ผลงานก็สวยงามดูดีแน่นอน ยังไงฝากน้องๆ พี่ๆ นักอ่าน นักสร้างสรรค์ส่งผลงานกันเข้ามาโชว์กันได้เรื่อยๆ นะครับ ช่องทางนี้จะเปิดให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์กันทุกๆ เล่ม ส่งผลงานกันเข้ามาที่ pieonlinemag@gmail.com ครับ

100


101


102


COLLAGECANTO

103

www.facebook.com/collagecanto Instagram COLLAGECANTO


NAKROB MOONMANAS facebook.com/nakrobmoonmarsnut m.nakrob@gmail.com

104


105


106


107


108


ภัคพร ชาญประสบผล facebook.com/pakaporn.chanprasobpon j.s.ho@hotmail.com

109


PIE TEAM : 080 233 5492, 0869186216 www.pieeveryday.com facebook.com/piemagazine2013 100/99 chaiyapruk village soi 55 Sukapibal 5 O-ngoen Saimai Bangkok 10220

110


111


SEE YOU SOON 112


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.