02
WWW.PIEEVERYDAY.COM WWW.FACEBOOK.COM/PIEMAGZINE2013
03
READ ME READ MORE
สวัสดีครับ ปกเล่มนี้หวานแหววดีไหมครับ ขอบคุณพี่เหนือและน้องขมิ้นเจ้าของผลงานที่ อนุญาตให้เราเอารูปมาทำ�ปก PIE เล่มนี้ เก่ง แถมใจดีกันทั้งคู่เลย เริ่มเข้าสู่หน้าฝนแล้ว ผู้อ่านทุกท่านเตรียม ใจเตรียมตัวหรือยัง เตรียมที่จะรถติด เตรียม ที่จะไปไหนมาไหนลำ�บาก เตรียมที่จะเสื้อผ้า ไม่แห้ง เตรียมยาแก้หวัด เตรียมรองเท้าพัง เตรียมน้ำ�หลาก เตรียมจะเหงา เตรียมที่จะ นั่งมองฝนอยู่บ้านอ่าน PIE online magzine (เย้) ถึงจะฤดูที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่ รับรองว่านิตยสารของเราไม่เปลี่ยนไปแน่นอน ในเล่มนี้ผมก็มีความประทับใจหลายอย่าง อย่างหนึ่งเลยคือ บุคคลที่เราเลือกไปสัมภาษณ์ ในเล่มล้วนแต่น่ารัก มีฝีมือและประสบการณ์ น่าสนใจ แถมยังอัธยาศัยดีเป็นอย่างยิ่ง ดีจน เกิดปัญหาตามมาว่า คุยสนุกติดพันกันจนลืม เวลา สุดท้ายทีมงานแกะเทปถึงกับธาตุไฟแตก ลมปราณตีกลับทรุดตัวลงหน้าคอมฯ ไปหลาย รอบกันเลยทีเดียว ก็ทำ�ไงได้ล่ะครับ ของเขา ดีจริงๆ นี่นา น่าเสียดายเหมือนกันในหลายๆ
04
บทสนทนาที่ต้องฝืนใจตัดออก เพื่อความกระชับ สบายตา และอ่านไม่เหนื่อย ผมเคยลองนั่งคิด เหมือนกันว่า การอ่านมันจะเหนื่อยอะไรนักหนา มีคำ�พูดจากคนรอบข้างหลายคนลอยอยู่รอบหัว ของผมมานานแล้วในเรื่องที่ว่า คนไทยไม่ชอบอ่าน หนังสือ ชอบดูรูป วัยรุ่นขี้เกียจอ่าน อย่าว่าแต่ วัยรุ่นเลย เพื่อนฝูงรอบตัวผมหลายคนก็ไม่ค่อย ได้อ่านหนังสือเหมือนกัน คิดจะลองย่อจะลอง ตัดเนื้อหาให้สั้น ง่าย กระชับ ฉับไว ก็ไม่มีความ เก่งกล้าสามารถพอที่จะกลั่นกรองออกมาให้ผู้อ่าน ได้อย่างลงตัวครบถ้วน จึงขออภัยด้วยที่จะรบกวน ให้ผู้อ่าน ทนอ่านกันหน่อยนะครับ นิตยสาร PIE ของเราก็เดินทางมาถึงเล่ม ที่สี่แล้ว ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ให้การสนใจ ขอบคุณทุกคนที่สละเวลาให้เราได้สัมภาษณ์พูดคุย ขอให้สนุกกับความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ ดีๆ กันนะครับ ไว้เม้าธ์กันเล่มหน้า ถ้าโชคชะตา ไม่กลั่นแกล้งนะ :) สุรเชษฐ์ ศิลปบรรเลง คนทำ�พาย
EDITORAL STAFF
บรรณาธิการ สุรเชษฐ์ ศิลปบรรเลง กองบรรณาธิการ กฤษณะ โชคเชาว์วัฒน์ จารุวรรณ ดวงคำ� ภาพและศิลปกรรม PIE TEAM เว็บมาสเตอร์ ชวลิต กรุตนารถ คอลัมนิสต์ จินดารัตน์ จรัสรุ่งโรจน์, พัชรีพร ชูศรีทอง, Yuiji Yamamoto พิสูจน์อักษร บานเย็น ขันทอง PIE online magazine 100/99 สุขาภิบาล 5 ออเงิน สายไหม กรุงเทพฯ 10220 08-0233-5492, 08-6918-6212 E-mail : pieonlinemag@gmail.com www.facebook.com/piemagazine2013 www.pieeveryday.com
05
CONTENTS
40
50 10 UPDATE + NEWS
AROUND IDEAS
LOOKS + TRENDS
MUSIC MOVIE & BOOK
08 SUPERSWEET LIVE! PRESENTS THE DODOS DAY FEST 10 กวาดตามองหาเทรนด์เก๋ จากทั่วโลก
16 ไอเดียเด็ดๆ ของเจ๋งๆ ที่เท่ ไม่เหมือนใคร 22 หนังสือ ภาพยนตร์ ดนตรีดีๆ น่าฟัง น่าชม น่าดู
06
78
116
JUNE 2013
64 98 LOVE PLACE
30 WE LOVE TURNTABLE 40 LOHAMEKA STUDIO OF JEWELRY ART
PIE TALK
50 PET ILLUSTRATOR KAMIJN 64 PLASTIC PLASTIC 78 JACKKRIT ANANTAKUL MAKE A DIFFERENT WAY
BASE CULTURE
98 THINKING NONSENCE
PIE INSPIRATION
116 KOICHI SHIMIZU SOUND ADVENTURER 136 PIE ONLINE GALLERY
READER WRITER
150 ORIENTAL ATTRACTION #2 154 A SHORT FILM ABOUT LOVE 07
UPDATE + NEWS
SUPERSWEET Live! Presents the Dodos Day Fest
ผ่านไปแล้วกับงาน SUPERSWEET Live! Presents the Dodos Day Fest ที่จัดไปเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา คอนเซ็ปต์ของงานในครั้งนี้ คือการจำ�ลอง เฟสติวัลกลางเมืองหลวง มีศิลปินร่วม ออกแบบมากมาย อาทิ พงพัฒน์ จิรกิติ กราฟิกดีไซเนอร์ สมบุญ กริ่งไกร สไตลิสต์ ชื่อดัง และดูโอกราฟิกดีไซเนอร์-นักวาด ภาพประกอบ “every-every” บรรยากาศภายในงานดูคึกคัก เป็น กันเอง โดยมี Production Designer จิโร่ เอ็นโดะ และทีมงานกว่าสิบชีวิต สร้าง เมืองที่มีทั้งถนน บ้าน ร้านค้า และรถราง ในซานฟรานซิสโก ที่วัยรุ่นทั้งหลายที่มา ก็ได้เพลิดเพลินไปกับการซื้อซีดี อาหาร ถุงผ้าระบายสี และกิจกรรมสนุกๆ ส่วนดนตรี เริ่มงานช่วง Acoustic จากวงดอกไม้บาน วงอะคูสติกหลากชิ้นจากโคราช ที่ได้ย้ง จาก Chladni Chandi และเบิร์ด จาก Desktop Error มาช่วยทำ�ให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้น ต่อด้วย BeforeChamp ที่ขนเอฟเฟ็กต์ ต่างๆ มาเต็มเพื่องานนี้โดยเฉพาะ และไฮไลต์ ของช่วงอะคูสติกนี้คงหนีไม่พ้น The Dodos
ที่พวกเขาใช้เครื่องดนตรีเพียง 2 ชิ้น คือ กีตาร์โปร่งและกลอง โดยแมริค นักร้องนำ� บอกว่า เขาจะเน้นเล่นเพลงเก่าเสียส่วนใหญ่ ในช่วงนี้ และจะเก็บเพลงใหม่ๆ ไว้ช่วง Electric พิเศษและเต็มอิ่มกว่างานไหนๆ ที่ พวกเขาเคยเล่นมา ช่วงบ่ายถึงเย็นด้านหน้า ฮอลล์ ยังมีตลาดนัดขายสินค้าสนุกๆ และ ซุ้มกิจกรรมมากมาย ทำ�ให้การพักก่อนช่วง Electric นั้นคึกคัก ยังมีดีเจชื่อดัง อาทิ อู Daytripper และ Coconut Project มาช่วยสร้างสีสันสนุกสนาน ตกเย็นเป็นช่วง Electric วงแรกคือ Bear-Garden มาเป็น 2 ชิน้ คือเบสและกลอง พวกเขาเลือกทำ�เพลง ใสๆ ให้กลายเป็น minimal แบบทดลอง ต่อด้วย Basement Tape วงนี้คงไม่ต้อง พูดกันเยอะครับ เพราะเป็นที่ปลาบปลื้มของ หลายคนอยู่แล้ว ต่อด้วย The Dodos (อีกรอบ) ที่เปิดงานด้วย Black Night และต่อด้วยเพลงใหม่จากอัลบั้ม Carrier ซึ่งจะออกตอนปลายเดือนสิงหาคมนี้แบบ 5 เพลงรวด ก่อนจะเข้าเพลงฮิตอย่าง Longform และ Jodi ทั้งแมริคและมือกลอง โลแกน ต่างก็โชว์ฝีมือกันอย่างเต็มที่ นี่คืออีกหนึ่งงานที่ SUPERSWEET Live! ที่หลากหลาย ทั้งดนตรี ศิลปะ ความ มัน และความสนุก ประสบการณ์ดีๆ แบบนี้ มีอีกกี่ทีก็ห้ามพลาดครับ
08
09
Look + TRENDS
Converse Hawaiian Print
อำ�ลาหน้าร้อนด้วยกันกับ converse ที่เขาเพิ่งออก คอลเล็กชั่นลายพริ้นต์ดอกไม้ และพืชพรรณเขตร้อน ในชื่อ Chuck Taylor All Star “Hawaiian Print” ที่แน่นอน ว่ากลิ่นฮาวายลอยตลบอบอวล ครับ จัดออกมาทั้งเป้น่ารักๆ และรองเท้าหุ้มข้อ ซื้อมาเดินเล่น ในบ้านเราก็ยังไม่สายครับ เพราะ ยังร้อนระอุกันอยู่เลย จำ�หน่าย ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้
Popsicle Coin Purse by Kate Spade
เข้าช่วงต้นของหน้าฝนแล้ว แต่อากาศก็ยังร้อนกันแบบสุดๆ มาเพิ่มความสดชื่นสดใสใส่ตัวด้วย ไอศกรีมหนาวเย็นสักแท่ง แต่ไม่ต้อง กลัวจะเลอะเทอะนะ เพราะเป็นกระเป๋า ไอศกรีมสำ�หรับสาวๆ สุดน่ารักจาก Kate Spade ที่ทำ�ออกมาหลากสี ผิวมันเงาสวยเก๋ น่าชิม น่าใช้ นึกถึง ภาพตอนหยิบเจ้ากระเป๋าสตางค์ แท่งไอศกรีมนี้ออกมาจากกระเป๋าถือ ใบใหญ่ ก็น่าจะเรียกรอยยิ้มและความ สดชื่นได้อย่างแน่นอน
010
Femke Agema : Elders
บวกฝีไม้ลายมือเข้ากับจินตนาการสุดล้ำ�ได้อย่างลงตัวกับดีไซเนอร์ชาวดัตช์ Femke Agema ที่จัดแคมเปญสุดอาร์ตมาตอกย้ำ�คอนเซ็ปต์เสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ได้อย่างพิสดาร ก่อนหน้านี้เธอ นำ�เสนอคอนเซ็ปต์พิสดารมาพอสมควร เรียกว่าเป็นงานศิลปะซะมากกว่า แต่พอมาดูเสื้อผ้าใน คอลเล็กชั่นนี้ก็หายใจโล่งขึ้นเยอะ เพราะเธอปรับปรุงจนใส่ง่ายสบายตัวไม่ติสต์แตก แต่ทำ�ให้รู้ว่า ไอเดียและแรงบันดาลใจแปลกประหลาดก็ลดทอนมาเป็นอะไรง่ายๆ เข้าถึงได้อย่างพอดีจริงๆ
011
Look + TRENDS
Unseen Photographer of the Rolling Stones
ทำ�ไมพวกช่างภาพถึงชอบแอบเก็บภาพถ่าย สวยๆ ไว้โดยไม่บอกใครกันนัก ล่าสุดก็ควานหา กันจนพบอีกแล้ว กับภาพของวงร็อกในตำ�นาน The Rolling Stones จาก Erix Swayne ช่างภาพฝีมือดีที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 2007 เซต ภาพถ่ายนี้เขาได้ถ่ายไว้ใตั้งแต่ช่วงปี ‘60s โน่นแน่ะ ซึ่งถูกค้นพบโดยลูกชายของเขาเอง ในสตูดิโอทำ�งานของเขา ไม่เพียงแต่ภาพถ่าย สุดคลาสสิกของวงหินกลิ้งนี้เท่านั้น แต่ยังมี ภาพถ่ายของเหล่านางแบบสุดเปรี้ยวในยุคนั้น อีกด้วย ภาพเท่ๆ เหล่านี้กำ�ลังจะถูกนำ�มา แสดงนิทรรศการที่ Pround Galleries ในเชลซี ระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน-28 กรกฎาคม นี้ครับ
012
Armani Cafe
นอกจากเทศกาลหนังสุดยิ่งใหญ่ ของโลก ตอนนี้แบรนด์อิตาลีสุดหรู Giorgio Armani ก็ได้เปิดตัว ภัตตาคารสุดหรูเก๋ไก๋ที่เมืองคานส์ ของฝรั่งเศสเช่นกัน โดยมีคอนเซ็ปต์ ว่า the first in the world of its kind ที่ตกแต่งหรูหราด้วย เฟอร์นิเจอร์โดย Armani/Casa ทั้งหมด รวมทั้งชา Armani/Dolci และช็อกโกแลตหลายรส, น้ำ�แร่ สปาร์กลิ้งขวดสวยเรียบเก๋ ในนาม Armani เช่นกัน สาวก Armani ทั่วโลกต้องไม่พลาด เพราะเขาตั้งใจ ทำ�ให้ร้านนี้เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด ในการเที่ยวเมืองแห่งภาพยนตร์ แห่งนี้ด้วย
mt masking tape installation
กระแส mt tape มาแรงเสียจริง แน่ละ ก็ความน่ารักกุ๊กกิ๊กมันไม่เข้าใคร ออกใครนี่นา ล่าสุด Iyama Design Studio ของประเทศญี่ปุ่น เลยเกิด ไอเดียในการทำ�งาน Installation ขึ้นมา โดยนำ�เจ้า mt tape ไปติด กับสิ่งของต่างๆ ทั้งจักรยาน ประตู ผนัง และเพดานห้อยลงมาให้เห็น ลวดลายและสีสันจัดเต็มอลังการ เรียกว่าติดกันแบบไม่กลัวเปลือง ไม่เสียดายกันเลย สาวก mt อย่าง เราๆ เห็นแล้วก็คันไม้คันมือ อยาก หยิบมาแปะกับเขามั่ง ก็มันน่ารักอ่ะ
013
Look + TRENDS
Louis Vuitton Travel Guide
หนังสือนำ�เที่ยวจากแบรนด์หรู Louis Vuitton ที่แนะนำ�ทริป การเดินทาง สี่เล่ม สี่ประเทศ ทั้งปารีส นิวยอร์ก ลอนดอน และ เกาะอีสเตอร์ จะไปเที่ยวแบบ Louis Vuitton ทั้งทีจะแค่ถ่ายรูป สถานที่มาเขียนแบบธรรมดาได้ซะที่ไหน ทาง Louis Vuitton เขา ก็จับเอาอาร์ติสต์และนักวาดภาพประกอบมาวาดรูปสวยๆ ลงในเล่ม จนเห็นแล้วแทบกรี๊ด ยิ่งในเล่ม London นี้ ได้นักวาดภาพประกอบ จากแดนปลาดิบ Natsko Seki โดยที่เธอต้องไปใช้ชีวิตในลอนดอน เพื่อเก็บอารมณ์และข้อมูล เริ่มจากกการเดินดูรอบๆ เมือง ถ่ายภาพ และนำ�สิ่งที่เห็นและพบเจอมาถ่ายทอดเป็นภาพประกอบ ซึ่งก็เป็น สถานที่ที่มีความโดดเด่น เช่น Tate Modern, Regent’s Canal ขอบอกว่าสวยมาก
014
mink’s store creative space & cafe
mink’s แบรนด์โปรดักต์น่ารัก น่าใช้สไตล์มิ้งค์ที่เราแอบชอบมา นาน ได้ฤกษ์เปิดตัวแล้ว นอกจาก จะมีโปรดักต์ของมิ้งค์แล้วก็ยังมี คาเฟ่ให้ไปนั่งเล่นกันชิลล์ๆ ด้วย และยังมีของคัดสรรที่พี่เบิร์ตกับ พี่มิ้งค์เลือกมาเองกับมือจาก ญี่ปุ่น เช่น เข็มกลัดน้องมิรัยจัง อยากได้ๆ แวะเวียนกันไปได้ที่ เอกมัย ซอย 10 อยู่ติดกับร้าน ประตูสีฟ้า เปิดวันอังคาร-ศุกร์ 11.30-20.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 10.30-20.00 น. เห็นของในร้าน แล้วพูดได้คำ�เดียวว่า ต้องไป ให้ได้นะ
Canon EOS 100D : lighten better
ชาว DSLR ทั้งหลาย เบื่อแบกกล้องหนักๆ กันหรือยัง จะไปเก็บภาพบนเขา ในป่า สถานที่ต่างๆ แต่ต้องหอบกล้อง หนักอึ้งไปด้วย วันนี้ทาง Canon ได้ปล่อยเจ้า EOS 100D มาแก้ปัญหาปวดไหล่ให้กับพวกเราแล้ว โดยเจ้า EOS 100D ตัวนี้มีความพิเศษที่มันมีขนาดเล็กและน้ำ�หนักเบาที่สุดในโลก คือประมาณ 370 กรัม หรือเท่าๆ กับน้ำ�อัดลม 1 กระป๋อง เท่านั้น ส่วนคุณภาพและฟังก์ชั่นอื่นๆ ยังคงโดนใจเช่นเดิม กับเซ็นเซอร์ Hybrid CMOS AF II ที่รองรับการโฟกัสภาพ ที่รวดเร็วและติดตามวัตถุได้แม่นยำ�ขึ้น ฟังก์ชั่น Extra Effect Shot ที่ให้ผู้ถ่ายสนุกกับฟิลเตอร์ครีเอทีฟต่างๆ และฟังก์ชั่นใหม่ๆ อีกเพียบ จิ๋วแต่แจ๋วแบบนี้ห้ามพลาดนะจ๊ะ หาข้อมูลได้ที่ศูนย์บริการ Canon ทุกสาขาเลย
015
AROUND IDEAS Cat Style Pen
ในยุคที่อะไรๆ ก็แมว คนเลี้ยงแมว คาเฟ่แมว โปรดักต์แมวก็เลยเพียบ ไปด้วย มีสารพัดแมว แล้วก็อย่าลืม ปากกาแมวเหมียวด้วยล่ะ และนี่คือ ปากกาแมวน้อยยืดตัวบิดขี้เกียจ จากญี่ปุ่น ที่ออกมา 7 สี น่ารัก น่าใช้ จริงๆ ปากการูปแมวก็มี เยอะ แต่เจ้านี่เวลาไม่ใช้มันคล้ายๆ กับของวางประดับซะมากกว่า เรียกว่าแค่วางอยู่บนโต๊ะเฉยๆ ก็ยังโอเค แต่ไม่รู้ว่ามองบ่อยๆ แล้วจะขี้เกียจตามหรือเปล่านะ ติดตามที่ www.rakuten.co.jp
Milktape : USB Cassette Tape
USB น่ารักที่แอบเท่ ที่ทำ�ออกมาในรูปแบบ เทปคลาสเซ็ตสีขาวนวลดูคลาสสิก ที่เจ้า USB มีสีขาวสะอาดตา เพราะเขาตั้งใจจะให้เราได้ เขียนข้อความน่ารักๆ ลงไป เหมือนเราอัดเทป ให้แฟนสมัยก่อนนั่นเอง หรือจะแปะสติ๊กเกอร์ บนตัวเทปก็ดูน่ารักไปอีกแบบ แถมมีกล่องใส่ เหมือนเทปจริงๆ เป๊ะ เสียดายที่ความจุจะ น้อยไปหน่อย แค่ 128 mb แต่ถ้าลองใส่ เพลงเพราะๆ ไปมอบให้คนที่คุณแอบปลื้ม รับรองว่าเขาต้องยิ้มแก้มปริกันแน่นอน
016
Honest Pinocchio : Pencil sharpener
ใครๆ ก็คงเคยได้ยินนิทานเจ้าหุ่นกระบอกจมูกยาว Pinocchio แต่เพิ่งเคยเห็นกบเหลาดินสอ Pinocchio จากการออกแบบโดย Pistacchi Design ใช้งานก็ง่าย เพียงเอาดินสอเสียบเข้าทางจมูกก็จะกลายเป็น Pinocchio จมูกยาวจอมโกหก พอเหลาดินสอไปเรื่อยๆ แล้วเศษดินสอจะไปอยู่ในปาก เอาออกมาทิ้งก็ สะดวกมากๆ วัสดุที่ใช้ก็เป็นไม้ ดูแล้วสบายตาน่ารักมาก ทาง Pistacchi Design ยังมีของน่ารัก อีกหลายอันเลย ติดตามที่ www.pistacchi-design.com เลยจ้า
Vespa Chair
ชาวเรโทรคนรักเวสป้าเห็นแล้ว ต้องกรี๊ดกับ Vespa Chair ที่ออกแบบโดย Bel&Bel ดีไซเนอร์สัญชาติบาร์เซโลนา เก้าอี้ตัวนี้แปะด้านหลังของ เบาะนั่งด้วยโครงแบบหน้ารถ เวสป้าแบบคลาสสิก แถมด้าน ข้างไฟหน้าก็ยังสามารถเปิด ได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั่งสบาย แต่ยังเท่สุดๆ มีไว้ที่บ้านหรือ ออฟฟิศก็เก๋ไก๋ไม่แพ้กันครับ ที่สำ�คัญไม่เปลืองน้ำ�มันและ ไม่ต้องใส่หมวกกันน็อกด้วย
017
AROUND IDEAS
The little free library
The little free library ห้องสมุดขนาดกะทัดรัด ไอเดียล้ำ� ของ Stereotank ศิลปิน Installation ที่จัดวางอยู่ที่บริเวณถนนในเมืองนิวยอร์ก เจ้าห้องสมุดนี้เป็นโครงสร้างเป็นรูปแท็งก์์น้ำ�พลาสติกสีเหลือง และไม้ไม่กี่ชิ้น ที่สนุกคือผู้คนที่เดินผ่านไปมาสามารถมุดเข้าไปอ่านหนังสือด้านในได้ และยังมีช่องให้มองลอด ออกไปด้วย ดูแล้วคล้ายๆ เรือดำ�น้ำ�เหมือนกัน ส่วนหนังสือด้านในก็หยิบยืมและแลกเปลี่ยนกันฟรีๆ เลย ไอเดีย เก๋ล้ำ� น่าสนใจแบบนี้ อยากให้มีในบ้านเราบ้างจัง
018
Match All The Pantone Colors
ลงรูปถ่ายล้ำ�ๆ มาก็เยอะ แต่โปรเจ็กต์ใหม่ของ Paul Octavious ช่างภาพจาก Illinois ในชื่อ The Pantone Project เป็นการนำ�สีของแพนโทนไปจับคู่สีเทียบกับสิ่งที่เขาพบเจอทุกวันในชีวิตประจำ�วันรอบๆ ตัว ทั้งสิ่งของ ดอกไม้ สิ่งแวดล้อม เพราะสีต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็มักจะเกิดจากสิ่งรอบตัวเรานี่แหละ
019
AROUND IDEAS
020
Vibrantly Colored Facades of Beach Hotels in Venice
ภาพโรงแรมสีสันสวยงามของ Luigi Bonaventura ช่างภาพ ชาวอิตาเลียน ในชื่อเซตว่า “Behind The Edge” ภาพถ่ายของ โรงแรมในหาด Jesolo เมืองเวนิส สะดุดตาด้วยสีสันของโรงแรมและ การใช้องค์ประกอบซ้ำ�ๆ เขาชื่นชอบสีสันที่ละมุนตาของสีและอาคาร สไตล์ย้อนยุค โครงสร้างของสถาปัตยกรรมที่คล้ายกับภาพกราฟิก ที่เราไม่ได้เห็นในชีวิตจริงกันบ่อยนัก ดูแล้วกระตุ้นให้เกิดจินตนาการ ดีจัง เห็นภาพสวยๆ แบบนี้แล้วก็อยากจะไปดูกับตาตัวเองสักครั้ง
021
MUSIC MOVIE & BOOK
music
Laura Marling ALBUM : Once I Was an Eagle
นักถึงสาวผมทองที่ยืนถือกีตาร์โปร่งร้องเพลงในสไตล์แบบ Joni Mitchell ในยุคนี้ก็ต้อง Laura Marling ครับ การันตีด้วยรางวัล Best Female Solo Artist จาก Brit Awards ปี 2011 และเข้าชิงในสาขาเดิมในปี 2012 ปีนี้สาวลอนดอนโฟล์กคนนี้กลับมาในอัลบั้มใหม่ Once I Was an Eagle ที่ อัดแน่นด้วยเพลงโฟล์กหลากหลายอารมณ์ถึงสิบหกเพลง ทั้งเพลงช้านุ่มอย่าง เพลง Once และ Little Bird เพลงนี้เธอเล่นกีตาร์เด็ดมาก เล่นออกไปทาง ฟิงเกอร์สไตล์ หรือแบบที่เนื้อเพลงน่าสนใจอย่าง Undine ซึ่งชื่อนี้คือเทพแห่ง สายน้ำ�ในตำ�นานเก่าแก่ เพลง Pray for Me ก็ดีครับ เป็นเพลงที่เธอเขียนถึง ความรักในแบบที่ออกจะผิดหวังและสิ้นหวังสักหน่อย สไตล์คึกคักออกสำ�เนียง บูลส์คันทรี่ก็ดีครับ ในเพลง Master Hunter และเพลง Devil’s Resting Place ที่เสริมด้วยเครื่องสายและซินธ์ออกพื้นเมืองๆ ก็อย่างที่บอก หลากหลาย เลยครับ อัลบั้มสื่อต่างประเทศหลายสำ�นักเทคะแนนกันไม่ยั้งทีเดียว ยิ่งเวลาดู เธอเล่นสดกับกีตาร์โปร่งคู่ใจแล้วสุดยอดครับ ถึงฝีมือการเล่นกีตาร์ของเธอ จะดีเยี่ยม เรียกว่าไม่ต้องมีอะไรมามารับมาหนุนก็เอาอยู่ แต่ทีเด็ดคือเนื้อเพลง และการร้องที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีเยี่ยมและไพเราะของเธอ ลองหาฟังกันนะ Laura Marling อัลบั้ม Once I Was an Eagle ครับ
022
movie ONLY GOD FORGIVES
Only God Forgives เป็นหนังที่เข้าประกวด สายหลักชิงรางวัลปาล์มทองคำ�เทศกาลเมือง คานส์ ปี 2013 นี้ และยังเป็นหนังที่ทำ�ให้เกิด กระแสความคิดเห็นแตกออกเป็นสองฝั่งจน เป็นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมากในงานครั้งนี้ มีทั้งชื่นชอบมากๆ และไม่ปลื้มเอาเสียเลย Only God Forgives เป็นการกลับมาร่วมงานกัน อีกครั้งระหว่างผู้กำ�กับฯ Nicolas Winding Refn กับ Ryan Gosling หลังจากเรื่อง Drive ซึ่งผู้กำ�กับฯเคยคว้ารางวัลผู้กำ�กับฯ ยอดเยี่ยมบนเวทีเทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2011 จากเรื่องนี้มาแล้ว เรื่องนี้ผู้กำ�กับฯได้ ยกกองมาถ่ายทำ�กันในกรุงเทพฯ เกือบทั้งเรื่อง อีกทั้งยังใช้ทีมงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย พร้อมมีนักแสดงของบ้านเราร่วมแสดงด้วย เช่น “รฐา โพธิ์งาม” หรือ “ญาญ่าญิ๋ง” และ “วิทยา ปานศรี” จากศพไม่เงียบ แถมหนัง ตัวอย่างเวอร์ชั่นแรกก็ยังใช้เพลง “เธอคือ ความฝัน” เวอร์ชน่ั มิวสิกบ๊อกซ์ของ “วงพราว”
ประกอบด้วย โดยหนังจะเล่าเรื่องราว ของ Julian (Ryan Gosling) ผู้ที่เปิด คลับมวยไทยเพื่อบังหน้าธุรกิจผิดกฎหมาย ต้องมาชำ�ระความแค้นให้น้องชายที่ถูกฆ่า โดยช้าง (วิทยา ปานศรี) ตำ�รวจเกษียณ อายุฉายาเทพแห่งการล้างแค้น ตามคำ�สั่ง ของผู้เป็นแม่ (Kristin Scott Thomas) ของเขา ติดตามดูกันวันที่ 27 มิถุนายนนี้ แล้วก็จะได้รู้กันว่าจะชอบมากมายหรือจะ เมินหน้าหนีกันไปเลย
023
MUSIC MOVIE & BOOK
movie Inside Llewyn Davis
Ethan Cohen และ Joel Cohen เป็นผู้กำ�กับฯสองพี่น้องที่สร้างผลงานคุณภาพและกวาดรางวัลสายภาพยนตร์ มาแล้วมากมายหลายเวที (Fargo, The Big Lebowski, No Country For Old Men และ True Grit) ผลงาน กำ�กับฯและเขียนบทล่าสุดของทั้งคู่ Inside Llewyn David เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของ Llewyn David (รับบทโดย Oscar Isaac) นักดนตรีและนักแต่งเพลงโฟล์กยุคหกศูนย์ ในนิวยอร์ก ผู้มากด้วยฝีมือและพรสวรรค์ ผู้ให้แรงบันดาลใจ กับใครๆ มากมาย ซึ่งในเรื่อง Llewyn David ยังเพิ่งเริ่มที่จะหาทางพิสูจน์ตัวเองและผลงานของเขา ความสับสน ความเหงา และความหวัง ถูกลำ�เลียงผ่านดนตรีโฟล์ก และบรรยากาศในหนังถูกย้อมออกมาอย่างสวยงาม (มาก) รวมถึงทิวทัศน์แบบย้อนยุค หนังเรื่องนี้ยังมีนักแสดงคุณภาพอีกหลายคน เช่น Carey Mulligan (น่ารักมาก), John Goodman, Garrett Hedlund และ Justin Timberlake ช่วงนี้สองผู้กำ�กับฯก็พาหนังออกฉายตาม เทศกาลหนังต่างๆ ก่อนที่จะฉายจริงช่วงธันวาคมปีนี้ น่าจะถูกใจทั้งคอหนังและคอดนตรีบ้านเราแน่นอน
024
music Savages
ALBUM Silence Yourself
บอกว่าเป็นวงโพสต์พังก์ แน่นอนว่า เพลงก็ต้องเร้าใจเมามึนแน่นอน และ เจ๋ง เท่ เด็ด ดิบ กับสี่สมาชิกวงโพสต์ จริงๆ แล้วเพลงก็ไม่ต่างกันมากมาย พังก์์อังกฤษ Jehnny Beth (ร้องนำ�), จะต่างที่รายละเอียดซะมากกว่าครับ Gemma Thompson (กีตาร์) Ayse ส่วนตัวชอบเพลง She Will เพราะ Hassan (เบส), Fay Milton (กลอง) กีตาร์เท่ สำ�เนียงออกวินเทจๆ เพลง ในนาม Savages ช่วงปีที่แล้วผมเคยฟัง เพลง I Am Here และ Husbands ของ Hit Me เล่นสดนี่หลอนมาก ทั้งการ วงนี้ ก็ตกหลุมรักและรอคอยตลอดมาครับ ร้องและดนตรีมันดี เพลง Shut Up ก็เด็ด ทั้งการร้องและเบสก็เท่ทีเดียว ยิ่งได้ดูการเล่นสดที่เท่ทั้งเพลงทั้งลุคยิ่ง ประทับใจ ถึงบางทีจะนึกถึงป้า Karen O อีกเพลงที่ nosie กระจายก็ City’s Full ครับ ใครชอบสายหนืดๆ เหนียว วง yeah yeah yeahs ที่บวกกับ Lan Curtis วง Joy Division แต่ซาวนด์ดนตรี ฟิลลิ่งเต็ม ก็เพลง Waiting For A Sign ลองหาฟังกัน อัลบั้มแรกในชื่อ แบบ noise และเสียงเอคโค่วิ้งๆ รวมถึง การเล่นสดในแบบหม่นดาร์กก็มากพอที่จะ Silence Yourself วงสาวเท่ post ทำ�ให้ผมตามฟังวงนี้เรื่อยมาครับ อย่างที่ punk ที่น่าลิ้มลอง ในชื่อ Savages
025
MUSIC MOVIE & BOOK
movie MAN OF STEEL
Superman ซูเปอร์ฮีโร่สุดคลาสสิกที่อยู่ในความ ทรงจำ�ของผู้ชมทั่วโลกมายาวนาน จากหนังสือ การ์ตูนสุดฮิต ต่อด้วยซีรี่ส์ทางทีวี และก้าวมาถึง การเป็นหนังหลายต่อหลายครั้ง และนี่เป็นความ พยายามครั้งล่าสุดที่จะนำ�บุรุษเหล็กผู้นี้กลับมา ขึ้นจออีกครั้ง โดยผู้ที่จะมารับบท Superman ในครั้งนี้ก็คือ Henry Cavill (เคยรับบทนำ�จาก เรื่อง Immortals) มาพร้อมกับชุดใหม่ที่มีสิ่ง สำ�คัญบางอย่างเปลี่ยนไป นั่นก็คือกางเกงใน สีแดงตัวนั้นได้หายไปแล้ว (ไม่นะ...ไม่) ยังมีดารา รุ่นใหญ่ร่วมแสดงอย่าง Kevin Costner มา รับบทพ่อบุญธรรมบนโลก และ Russell Crowe ในบทพ่อที่แท้จริงบนดาว Krypton แล้วในครั้งนี้ ยังได้ Christopher Nolan (ผู้กำ�กับฯที่ทำ�ให้ Batman กลับมาอย่างมึดมนและเข้มข้นเป็นที่สุด) มาเป็นผู้อำ�นวยการสร้างและร่วมเขียนบทกับ David s. Goyer โดยมอบหน้าที่กำ�กับฯให้กับ Zack Snyder (ผู้กำ�กับฯเรื่อง 300 และหนัง กระเทาะเปลือกชีวิตฮีโร่เรื่อง Watchmen ที่ดูจบ ถึงกับจุก) ที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราวของ Clark Kent/Superman ที่ถูกส่งจากดาว Krypton มายังโลก และมีคำ�ถามอยู่ในใจว่า ทำ�ไมเขาต้อง มาอยู่ที่นี่ แล้วเขาจะใช้พลังพิเศษเหนือมนุษย์ที่ เขามี ช่วยปกป้องบ้านหลังใหม่แห่งนี้กับคนที่เขา รักให้ปลอดภัยจากวายร้ายผู้รุกรานได้หรือไม่ ต้องไปชมกันในโรงภาพยนตร์ 13 มิถุนายนนี้ ดูจากรายชื่อทีมงานแล้วต้องบอกว่าฮีโร่ของเรา ในภาคนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
026
book
โลกมุนรอบแมว Love Around the cat ปราย พันแสง : สำ�นักพิมพ์ freeform
หลังจากแอบติดตามอ่านเรื่องของเจ้าแมาตัวนี้ในแฟนเพจของ พี่ปราย พันแสง มานาน ตอนนี้หนังสือของเจ้าหลงก็ออกมาให้เรา ได้อ่านกันสักที ในชื่อ “โลกมุนรอบแมว Love Around the cat“ เรื่องราวของ “เจ้าหลง” แมวจรจัดตัวหนึ่งที่หลงเข้ามาในร้านหนังสือ ฟรีฟอร์มโลนลีปาย จนเกิดเป็นเรื่องราวน่ารักๆ มากมาย จากความ สงสารก่อตัวขึ้นมาเป็นความรัก ความผูกพัน และด้วยพฤติกรรมเพี้ยนๆ ของเจ้าเหมียวตัวนี้ที่ทำ�ให้เรายิ้มและหัวเราะ แต่ก็ถึงขั้นต้องเสียน้ำ�ตาได้ เหมือนกัน (ตอนเจ้าหลงป่วย) เพราะทุกๆ บทใน Love Around the cat ทำ�ให้เรายิ่งผูกพันกับเจ้าหลงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พออ่านมาจนจบ ไม่แปลกใจเลยว่าทำ�ไมเจ้าแมวเหมียวทั้งหลายถึงได้เป็นที่รักของผู้คน ได้มากมายขนาดนี้ ทาสแมวทั้งหลายไม่ควรพลาด
027
MUSIC MOVIE & BOOK
A Little History of Philosophy เขียนโดย Nigel Warburton แปลโดย ปราบดา หยุ่น, รติพร ชัยปิยะพร สำ�นักพิมพ์ ไต้ฝุ่น อย่าเพิ่งรีบหันหน้าหนี แม้คำ�ว่า “ประวัติศาสตร์” และ “ปรัชญา” จะเป็นคำ�ที่แน่นหนามีอำ�นาจ จนผลัก ให้หลายคนต้องถอยไปตั้งหลัก แต่ A Little History of Philosophy หรือในชื่อไทยว่า “ประวัติศาสตร์ปรัชญา ฉบับกะทัดรัก“ หนังสือดีที่ย่อเรื่องราว เข้มข้นให้กะทัดรัด พกพาใส่สมองได้ อย่างสะดวก นอกจากความกะทัดรัดแล้ว ความสนุกของหนังสือเล่มนี้สำ�หรับผม คือการร้อยเรียงเนื้อหาจากนักปรัชญา ชาวตะวันตกแบบรุ่นสู่รุ่น ไล่กันไปตั้งแต่ โซเครตีส, อริสโตเติล กันเลย ซึ่งมีทั้ง ความสอดคล้อง ความขัดแย้ง เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไปตามสภาพสังคม สิง่ แวดล้อม จนถึงอารมณ์ส่วนตัวของนักคิดแต่ละคน อาจเป็นเพราะผูเ้ ขียน (Nigel Warbuton) เป็นอาจารย์ที่เขียนหนังสือปรัชญาเบื้องต้น ไปจนถึงเขียนบล็อกและทวิตเตอร์ การ เขียนของเขาจึงง่ายต่อการอ่านและ เพลินเพลิดเป็นกันเองในการเล่าเรื่อง แต่ก็แน่นอนว่าเรื่องของปรัชญาและการ คิดเป็นชนิดของการอ่านที่ทำ�ให้สมองอิ่ม ขอบคุณนักเขียนที่ปรุงรสจัดจ้านมาให้ แบบพอดีกินไม่ถึงกับอืด อ่านไปจึงได้รู้ว่า เรื่องใดจะง่ายจะยากมันอยู่ที่คนเล่านี่เอง
028
book
PIC : www.facebook.com/aire.bkk
aire EP ALBUM : inhale slowly, exhale shortly
music
ถึงวันนี้ทางเลือกในการฟังเพลงบ้านเราจะ มีเพิ่มขึ้น แต่ถ้านับกันในระดับสากลก็ยังแอบ จ๋อยๆ อยู่ครับ ยิ่งถ้าวัดกับประเทศที่ดนตรี เฟื่องฟูอย่างญี่ปุ่น เรียกว่าความหลากหลาย จำ�นวน ช่องทาง อยู่ในระดับที่ต่างกันเยอะ ที่กล่าวยาวมาก็เพื่อเสนอวงดนตรีวงนี้ครับ aire (ไอเร่) วงดนตรีสัญชาติไทย-ญี่ปุ่น ที่ ปลายปีที่แล้วพวกเขาเคยติดอันดับชาร์ตเพลง และศิลปินที่น่าจับตาในปี 2013 ในคลื่น Fat Radio และหลายคนอาจจะเคยฟังพวกเขา เล่นในงานดนตรีสุดเจ๋ง Stone Free Music Festival ครั้งที่สอง วันนี้ซาวนด์ดนตรี instrumental rock ของพวกเขาทั้งห้า ไปวางเป็นอีพีอัลบั้มอยู่ที่ร้านขายซีดีชั้นนำ�
029
อย่าง Tower Records และ HMV ในประเทศญี่ปุ่นแล้วครับ กับค่ายเพลง Parabolica Records ในชื่ออัลบั้มว่า Inhale slowly, exhale shortly ในอีพีตัวนี้ เพลงของพวกเขามาในสาย สวยงามทีเดียวครับ เมโลดี้ในเพลงลื่นไหล เป็นเหมือนเนื้อร้อง จังหวะที่สลับเปลี่ยน กันขึ้นลงทำ�ให้เพลงบรรเลงของพวกเขา ไม่ได้ฟังแล้วน่าเบื่อง่วงเหงาแต่อย่างใด กลับสนุกสนานเร้าใจ จนถึงเมามันกันไปเลย พาร์ตดนตรีแต่ละชิ้นเข้มข้นทีเดียวครับ ยิ่งการเล่นสดนี่เรียกว่าใส่กันยับ ฟิลลิ่ง ดีมากๆ ใครชอบดนตรีโพสต์ร็อก โมเดิร์น ร็อก instrumental ผมว่าต้องลองเลย ติดตามพวกเขาได้ที่ www.facebook. com/aire.bkk หรือ www.youtube. com/user/airebkk
LOVE PLACE
WE LOVE TURNTABLE ในช่วงนี้การฟังเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงกำ�ลังกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำ�งาน หรือวัยเลิกทำ�งาน ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่ร้านที่เกี่ยวกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่จะ 030
ตอบสนองความต้องการของนักฟังเหล่านี้ก็มีน้อยเหลือเกิน แต่ลึกเข้าไปในซอยวิภาวดีรังสิต 64 แยก 9 ยังมีร้านสำ�หรับคนที่รักเครื่องเล่นแผ่นเสียง ชื่อว่า We Love Turntable เป็นร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ใต้อาคาร ภูมิใจเพลส บริเวณข้างๆ ร้านก็มีบรรยากาศร่มรื่น เพราะปกคลุมไปด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ เราเข้าในร้าน เพื่อไปพบกับคุณกฤษณ์ ชื่นขำ� เจ้าของร้าน We Love Turntable ผู้ที่สามารถให้เราเข้าถึงและเข้าใจ เจ้าเครื่องเล่นแผ่นเสียงได้ดีขึ้น 031
ภายในร้านขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นแผ่นเสียง มากมายหลายรุ่นหลายราคาให้ได้เลือกชม มีทั้งไทยและ เทศ ทั้งสไตล์คลาสสิกหายาก และแผ่นที่ผลิตขึ้นมาใหม่ อุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องเล่นแผ่นเสียง ไม่ว่าจะเป็นหัวเข็ม หลายรูปแบบ แอมป์หลอดรุ่นคลาสสิก แอมพลิฟายด์ และลำ�โพง จัดวางอย่างเป็นสัดส่วน ระหว่างเดินชมของ ต่างๆ ในร้าน พลันสายตาก็มาสะดุดกับตู้ปลา ที่มอง ดูใกล้ๆ ก็พบว่ามีแผ่นเสียงอยู่ในนั้น สอบถามดูก็ได้ คำ�ตอบว่าเป็นการโชว์ให้เห็นว่ามีอุปกรณ์ที่ใช้กันน้ำ�ให้ กับส่วนที่เป็นกระดาษ (lable) ที่ติดอยู่บนแผ่นเสียง ไม่ให้เปียกน้ำ�เวลาเราทำ�ความสะอาดแผ่น และใกล้ๆ 032
กันยังมีชุดเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่สามารถเปิดแผ่นลอง ฟังได้เลย หลังจากเดินชมร้านอยู่สักพักก็ได้มาคุยกับ พี่กฤษณ์ ก่อนจะคุยกันพี่เขาก็ออกตัวพูดติดตลกว่า จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่เจ้าของร้าน แต่คือเจ้าแมวเหมียว ขนฟูตัวล่ำ�ที่หมอบสงบนิ่งอยู่ใกล้ๆ ไม่สนใจใครตัวนี้ ต่างหากที่เป็นเจ้าของตัวจริง จากวิศกรโทรคมนาคมผู้มีใจรักในการฟัง แล้วมาเป็น เจ้าของร้านนี้ได้ยังไง คุณกฤษณ์ก็ช่วยเล่าที่มาให้ฟังว่า “เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผมก็ฟังเพลงแบบธรรมดานี่แหละ ก็เริ่มไปเล่นแอมป์หลอดกับเพื่อน เป็นแอมพลิฟายด์
ที่ใช้ระบบสุญญากาศ เล่นมาได้สักห้าปี แต่ ช่วงนั้นก็ทำ�งานเป็นวิศวกรอยู่ก็ไม่ได้ทำ�ตรงนี้ จริงจัง แค่คิดว่าจะซื้อเครื่องเสียงดีๆ มาฟังสัก ตัวหนึ่ง พอดีเริ่มประสบปัญหาว่าเริ่มหาซื้อของ ยากขึ้น อะไหล่มันก็ไม่ค่อยมี แล้วไปเจอพี่ที่เขา ทำ�ตรงนี้อยู่แล้วกำ�ลังจะเลิก ก็เลยทำ�ต่อจากเขา คือเขาเอาเครื่องเล่นแผ่นเสียงเข้ามาตรวจเช็ก สภาพแล้วก็ขายอย่างเดียว แต่เขาจะทำ�เป็น ล็อตๆ มาทีละห้าเครื่องสิบเครื่อง คือไม่ได้ทำ� ต่อเนื่อง มีของเข้ามาก็ขายไป ตอนที่เริ่มทำ�ที่นี่ ผมก็โดนคำ�ถามจากเพื่อนๆ ว่า จะไปขายให้ ใครวะ แต่เราก็มองในแง่ที่ว่า ก็ดีไง ถ้ามันไม่มี ใครทำ�ก็น่าจะขายได้ เราก็จะทำ�กันอยู่สามสี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นวิศวกรกันหมด เริ่มจากเครื่องเล่น แผ่นเสียงแล้วก็ขยับขยายไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องของ อะไหล่ หัวเข็ม ผมมองว่าโอกาสที่มันจะมี 3 อย่าง ในที่เดียวเนี่ยมันอยาก คือ ขาย ซ่อม แล้วก็เล่น มันก็จะเป็นกลุ่มที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้สูง จริงๆ ถ้าดูรา้ นใหญ่ๆ หลายทีส่ ว่ นมากมีของอยูห่ า้ หกชิน้
เวลาของเสียก็ไปให้ที่อื่นซ่อม ถ้าของเราส่วนใหญ่ เราจะทำ�กันเองที่นี่ มันก็เลยเกิดเป็นตรงนี้ขึ้นมา เพราะเวลาที่เราไปซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียงตามร้าน เขาก็จะให้ข้อมูลได้แค่ระดับหนึ่ง เพราะว่าเขาเป็น คนขายไม่ใช่คนเล่น หรือเขาซ่อมไม่ได้ บางทีของ ที่ซื้อมาเนี่ยอายุมันก็พอสมควร ส่วนใหญ่จะอยู่ ระหว่างปี ’70s-’80s เพราะฉะนั้นโอกาสจะเสีย มันก็มี แต่พอเสียขึ้นมาก็ต้องส่งร้านซ่อม เราก็โดน ตัวละพันสองพัน คือทำ�กันเองไม่ได้ ของที่หาได้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกตัวมันจะใช้ได้” สำ�หรับแผนการจัดการที่ We Love Turntable ไม่ได้มีแผนอะไรที่ซับซ้อน แต่ก็ชัดเจนในจุดยืน “เราแค่อยากเป็นร้านสะดวกซื้อของเครื่องเล่น แผ่นเสียง มีแผ่นเสียง มีแอ๊กเซสซอรี่ เครื่องเสียง แล้วก็แอมป์หลอด จริงๆ แล้วอยากจะเพิ่มเรื่อง ของหลอดเข้าไปเพราะมันเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว ประเด็นก็คือมันอยู่ที่ว่าของพวกเนี่ยใครจะหาได้ ในราคาที่เหมาะสม เพราะมันไม่ได้มีขายทั่วไป 033
บางอย่างมันก็ค่อนข้างจะหายาก ส่วนใหญ่จะมา พวกนี้มันถูกพัฒนา ถูกสร้างขึ้นมาให้มีคุณภาพ จากญี่ปุ่น อเมริกา เป็นหลัก แล้วก็อาจจะมีของ ค่อนข้างสูง ตอนนี้ผมมองว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียง มันไม่ได้เป็นของชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง มันลงมาถึง สะสมในประเทศเป็นบางส่วน” ชาวบ้านแล้ว เพราะด้วยตัวเครื่องเล่นเองราคาก็ น่าสงสัยอยู่ว่า เมื่อก่อนสิ่งที่เป็นอุปสรรคสำ�หรับ สามสี่ห้าพันบาท ราคาพอๆ กับดีวีดีในปัจจุบันนี้ นักเล่นเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็คงจะไม่พ้นเรื่องของ โดยตัวแผ่นเสียงเอง ถ้าเกิดไม่ได้ฟังแผ่นเสียงเกรด ราคา แต่ทำ�ไมตอนนี้จึงมีผู้คนหันมาเล่นกันมาก สะสมหรือว่าของหายาก ราคามันก็จะอยู่ที่สองสาม ขึ้น คุณกฤษณ์ได้อธิบายให้เราฟังว่า “ความจริง ร้อยบาท ก็ไม่ได้ต่างจากซีดี แต่ว่าคุณภาพเสียง วิวัฒนาการของคนที่เล่นเครื่องเสียง เมื่อสิบกว่า ก็อาจจะเป็นอีกแนวหนึ่ง” ปีที่แล้วคนส่วนใหญ่ก็จะเริ่มจากโฮมเธียเตอร์ แต่ โฮมเธียเตอร์ดูหนังมันได้ความมัน แต่ไม่ได้ความ ระหว่างที่คุยกับคุณกฤษณ์อยู่นั้น ก็จะมีลูกค้าที่ เพราะ แล้วหนังที่ดีๆ เราก็คงไม่ได้ดูกันบ่อยๆ โทรเข้ามาถามเรื่องเครื่องเล่นแผ่นเสียงและแผ่นเสียง อยู่เรื่อยๆ บรรยากาศในร้านก็คึกคักขึ้นตามลำ�ดับ เป็นสิบรอบแน่ๆ ซอฟต์แวร์เรื่องหนังผมว่ามัน ยังมีข้อจำ�กัดอยู่ เช่น ถ้าเป็นแผ่นแท้ก็มาช้าแล้ว มีลูกค้าเดินเข้าหมุนเวียนเข้ามาดูอะไหล่ เครื่องเล่น แผ่นเสียง นั่งเลือกแผ่นเสียง และทดลองฟังเสียง ก็แพง เป็นแผ่นก๊อบก็เสียงไม่ดี และอุปกรณ์ ต่างๆ ราคาจะลงเร็ว สามเดือนออกรุ่นใหม่แล้ว กันอย่างเพลิดเพลินอยู่เป็นระยะๆ จากโฮมเธียเตอร์ก็เริ่มรู้สึกว่าอยากฟังเพลงจริงจัง สำ�หรับผู้ที่มีความสนใจอยากจะมีเครื่องเล่น เขาก็ต้องแยกมาอีกชุดหนึ่งเพื่อที่จะฟังเพลง มันก็จะไปสู่แผ่นเสียง คล้ายกับว่ามันย้อนยุคไป แผ่นเสียงไว้ไปตั้งฟังที่บ้านสักเครื่อง ก็มีคำ�แนะนำ� ดีๆ จากคุณกฤษณ์ในการเลือกซื้อ “อันดับแรก เรื่อยๆ เพราะว่าคุณภาพของเสียง ถ้าเรามอง อยากให้ดูว่าตัวไหนที่เห็นแล้วมันปิ๊ง เห็นแล้วรู้สึก เป็นศิลปะ อะไรที่เป็นของเก่า มันเหมือนงาน แฮนด์เมด มันจะค่อนข้างมีคุณภาพ ถ้าเป็นของ ชอบ เอาตัวที่เราถูกชะตา เสร็จแล้วข้อที่สองลอง กลับมาดูเรื่องระบบ ก็จะมี 2 ระบบ เป็นออโต้ ใหม่มันเหมือนกับเกรดอุตสาหกรรม ปั๊มๆๆๆ สองสามปีก็จะไปหมด เหมือนมือถือ แต่พวก กับแมน่วล แมน่วลหมายความว่าคุณต้องวางเข็มเอง แอมป์ เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เกิดขึ้นมาในยุค เล่นเสร็จคุณต้องยกเก็บเอง ถ้าเป็นออโต้ ก็จะมี ’70s, ’80s, ’90s นี่ สมัยนั้นมันเป็นยุคที่ของ 2 แบบ เซมิกับฟูล เซมิก็คือคุณต้องวางเข็มเอง
034
035
เล่นเสร็จมันเก็บให้ ปิดเครื่องแล้วมันก็จะหยุดให้ แบบสองคือ กดปุ่มแล้วมันวางให้ แล้วมันก็เก็บ ให้เรา ก็มาดูว่าเวลาเราเลือกแบบแมน่วล ของ พวกนีผ้ มอยากมองเป็นเรื่องของศิลปะ เป็นงาน อดิเรก ถ้าเกิดว่าเป็นคนฟังเพลงแล้วไม่ได้ทำ�อะไร ไปด้วย อยากนั่งฟังเพลงจริงๆ คุณก็เล่นแมน่วล แต่ถ้าคุณเป็นคนฟังไปทำ�โน่นทำ�นี่ไปด้วย ก็ควร จะเลือกแบบออโต้ เพราะถ้ามันไม่เก็บให้มันจะ ทำ�ให้หัวเข็มหักได้ ดูว่าเราอยู่ในกลุ่มไหน 036
ข้อสาม เรามาดูระบบหมุนหลักๆ ปัจจุบันนี้เรา จะคุยกันแค่สองอย่าง คือสายพานกับไดเร็กไดรฟ์ สายพานจะให้น้ำ�เสียงนุ่มนวล ส่วนไดเร็กไดรฟ์จะ ค่อนข้างแข็ง เพราะฉะนั้น ถ้าเราฟังเพลงเก่าๆ เรา ก็อาจจะเล่นสายพาน ถ้าเราฟังเพลงไม่เก่ามากก็ไป เล่นไดเร็กไดรฟ์ ซึ่งความชอบส่วนตัวไปเปลี่ยนกันยาก เราต้องเลือกระบบให้ตรงกับตัวเอง เพราะฉะนั้นลูกค้า ต้องเป็นคนเลือก แต่เราเป็นคนให้ข้อมูล ว่าของอะไร ที่ดีที่สุด”
สำ�หรับมือใหม่อย่างผมเกิดคำ�ถามขึ้นมาว่า ถ้าได้ เครื่องเล่นแผ่นเสียงมาแล้วมันจะใช้งานได้เลยรึเปล่า คุณกฤษณ์ก็ให้ความกระจ่างว่า “จริงๆ เครื่องเล่น มันต้องการโฟโนสเตจ คือตัวที่ขยายสัญญาณจาก หัวเข็ม ส่วนใหญ่มันจะมี 3 แบบ คือแอมพลิฟายด์ รุ่นเก่าๆ ที่มีช่องโฟโนฯให้กด ถ้าแอมพลิฟายด์มี โฟโนฯ ก็คอื เอาไปเสียบฟังได้เลย แต่ถา้ แอมพลิฟายด์ ไม่มีโฟโนฯ ก็ต้องซื้อโฟโนฯไปอีกตัว แต่เครื่องเล่น สมัยใหม่ๆ ส่วนมากจะมีโฟโนฯในตัว ก็เอาไปเสียบ
กับแอมพลิฟายด์ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าเรามีเครื่อง เล่นแล้วมีโฟโนฯ เราไปต่อกับอะไรที่บ้านก็ได้ ที่มัน ส่งเสียงได้ก็ฟังได้เลย” ก่อนกลับพี่กฤษณ์ก็ทิ้งทายให้อีกนิดว่า “ผมไม่ค่อย ห่วงเรื่องเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรอก มันค่อนข้างเป็น อะไรที่อยู่ได้นาน แต่ผมห่วงตัวแผ่นเสียงมากกว่า ไม่ใช่ว่าแผ่นเสียงมันอยู่ไม่ได้นาน แต่ว่าราคาของ แผ่นเสียงมันยังสูงอยู่ เพราะฉะนั้นการซื้อเครื่องเล่น 037
แผ่นเสียงพร้อมแอมพลิฟายด์พร้อมเล่นเนี่ย พอผ่านไป 3 เดือน ราคาที่ลงทุนไปกับแผ่นเสียง มันอาจจะมากกว่าราคาเครื่องเป็นสิบเท่า ยกตัวอย่างเช่น ใน 2 ปีคุณมีเครื่องเล่นซีดี 1 เครื่อง แต่คุณมีแผ่นซีดีเท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าชอบฟังเพลง อยากฟังเสียงที่มีคุณภาพ อยากให้โฟกัส ในเรื่องแผ่นเสียงด้วย ว่ามีเพลงที่เราชอบฟังไหม ราคาสูงไหม แล้วเราจะหาซื้อได้ไหม” 038
ได้ความรู้เรื่องเครื่องเล่นแผ่นเสียงเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย จากที่รู้มาแค่ผิวๆ สำ�หรับ ใครที่กำ�ลังมองหาเครื่องเล่นแผ่นเสียงไว้ฟังที่บ้านสักตัว ก็ลองแวะมาเลือกดูและ ทดลองฟังกันได้ที่ We Love Turntable อาจจะได้ของที่ถูกใจคุณติดไม้ติดมือ กลับไปพร้อมกับคำ�แนะนำ�ดีๆ จากคุณกฤษณ์ด้วย 039
LOHAMEKA STUDIO OF JEWELRY ART
Precious metal หมายถึงชนิดของโลหะที่มีค่าตั้งแต่เงินขึ้นไปอย่าง ทอง แพลทินัม คำ�ๆ นี้แปลป็นไทยง่ายว่า โลหะมีค่า ซึ่งเป็นชื่อของสตูดิโอและโรงเรียน สอนทำ�เครื่องประดับของ คุณวินิจ กุศลมโนมัย ศิลปิน Contemporary Art Jewelry ที่ศึกษาวิธีการทำ�เครื่องประดับจากซานฟรานซิสโก คุณวินิจหรือ คุณฮงได้ร่วมแสดงงานนิทรรศการและเข้าร่วมการประกวดงานจิวเวลรี่มาแล้ว หลายครั้ง แถมยังเป็นอาจารย์พิเศษด้วย วันนี้เราจะมาขอความรู้ความเห็น และมุมมองที่เขามีต่องานเครื่องประดับทั้งในบ้านเราและต่างประเทศกัน
040
LOVE PLACE คุณวินิจเริ่มจากเรียนวิชาถ่ายภาพ แต่รู้สึกไม่ชอบจึง ได้ตามหาถึงแขนงวิชาศิลปะที่ตัวเองชื่นชอบ จากการ ไถ่ถามรุ่นพี่ ค้นคว้าศึกษา จนไปสนใจวิชาออกแบบ เครื่องประดับ และได้ไปเรียน Diploma Programs ที่ซานฟรานซิสโก ในโรงเรียน Revere Academy of Jewelry Arts ซึ่งเป็นโรงเรียนของนักทำ�จิวเวลรี่ ชื่อ Alan Revere “ผมจะไม่ค่อยดูโรงเรียนเท่าไหร่
041
เช่น บางทีมหาวิทยาลัยใหญ่ แต่อาจารย์ไม่ได้มีชื่อเสียง โรงเรียนผมไม่ได้ ใหญ่มาก แต่ว่าเปิดมานานแล้ว เขาเป็นเจ้าของโรงเรียน แล้วเขาก็สอนเอง Alan จบมาจากเยอรมนี ที่เมือง Pforzheim แต่ละประเทศมันจะมีเมือง เครื่องประดับ เช่น ประเทศอังกฤษ คือเบอร์มิงแฮม เยอรมนี คือ Pforzheim เขาเก่งทางด้านงานทอง ดีไซน์ของเขาจะมีความร่วมสมัย ยังอยูใ่ นหมวด พวกงานโลหะและก็ยงั มีความคลาสสิก ใช้เพชรใช้พลอยบ้าง แต่ไม่ได้เป็น งานแมสเหมือนทีเ่ ราเห็นตามห้าง งานของเขาจะมีคอนเซ็ปต์เข้ามา” แม้งานศิลปะส่วนตัวของคุณวินิจจะมีความเป็นอาร์ตสูง แต่การเรียน จิวเวลรี่ของเขาในช่วงแรกกลับเน้นความเป็นช่างฝีมือมาก “โรงเรียนผม ไม่ได้เน้นสอนเรื่องแนวความคิด สอนเรื่องเทคนิคทำ�เครื่องประดับเหมือน 042
โรงเรียนอื่นๆ เขาทำ� แต่ที่เลือกเพราะผมรู้สึกว่า อาจารย์คนนี้เก่ง และเราดูจาก Profile ของเขา ผมคิดว่าเมื่อเรามีีเทคนิคที่ดีแล้ว เราอยากทำ� อะไรก็ทำ�ได้ ผมยกตัวอย่างในโรงเรียนฝั่งยุโรป บางโรงเรียนจะเน้นสอนแนวความคิด แต่วิธีทำ� ไม่แข็ง ตอนนั้นผมไปอายุค่อนข้างเยอะแล้ว เรียนมหาวิทยาลัยมา แล้วก็ซิ่วไปต่อที่โน่น เรา รู้อยู่ว่าเราชอบอะไร แต่สิ่งที่ผมขาดคือเทคนิค การทำ�เครื่องประดับ เพราะไม่เคยเรียนมาก่อน เราเรียนรู้ว่าเราอยากได้เทคนิคนะ เมื่อเราได้ เทคนิคแล้ว ตอนนั้นเราโตระดับหนึ่งแล้วที่พอ จะรู้ว่าเราชอบอะไร เพราะฉะนั้นถ้าผมวิ่งเข้าไป โรงเรียนที่สอนเน้นแนวความคิด ผมจะไม่สามารถ ทำ�ชิน้ งานด้วยตัวเองได้เลย เพราะอย่างที่ “โลหะ มีค่า” ผมก็เน้นเทคนิคไม่เน้นแนวความคิดแบบ ลงลึก แต่จะเป็นการให้แรงบันดาลใจมากกว่า เพราะวิชา Jewelry Making คือวิชาทำ� เครื่องประดับ ถ้าคุณทำ�เครื่องประดับไม่ได้ มันผิดจุดประสงค์ตั้งแต่แรกแล้ว”
แนวความคิดไม่ใช่สิ่งที่สอนกันสามหรือสี่อาทิตย์ จะเข้าใจ มันมาจากประสบการณ์ชีวิต นี้เป็นคำ�ที่ คุณวินิจพูด ซึ่งผมว่ามันก็จริงและดูจะเป็นเรื่องที่ ถึงขั้นซีเรียสในมุมมองของวงการเครื่องประดับ ของต่างประเทศ คุณวินิจยกตัวอย่างประกอบ เช่น งานประกวดบางงานถึงขั้นมีเงื่อนไขว่า ชิ้นงาน ของผู้ส่งเข้าประกวด ห้ามมีอิทธิพลของอาจารย์ หรือชิ้นงานที่ส่งเขาประกวดห้ามมีอิทธิพลของ ศิลปินอื่นๆ เรียกว่าต้องชัดเจนกันเลยทีเดียว ไต่ถามความเป็นมาจนมาถึงเรื่องโรงเรียนสอน เครื่องประดับที่มีอายุใกล้ครบสี่ขวบของคุณวินิจ “โลหะมีค่า” คุณวินิจเล่าไปตามลำ�ดับ “ก็เริ่มจาก คนที่ไม่มีความรู้อะไรเลย โลหะแต่ละตัวจุด หลอมเหลวเท่าไหร่ เคยได้เห็นเวลาซื้อเครื่อง ประดับแล้วมีปั๊มว่า 925 มั้ย มันจะมีตัวเลข 925 750 แล้วก็จะมีชื่อแบรนด์ ตัวเลขนั้นมันคือ อะไร ความรู้พวกนี้ผมก็จะสอน ยกตัวอย่างเช่น 925 คือเงิน Sterling Silver มีเงินอยู่แค่ 043
92.5% อีก 7.5 คือทองแดง อะไรอย่างนี้ อย่างทอง 18 กะรัต มีทองอยู่แค่ 75% ที่เหลือ เป็นเงินบวกทองแดง ทำ�ไมต้องรู้ หนึ่งเวลาซื้อ เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราซื้อมีโลหะอะไรบ้าง ราคา มันน่าจะต้องประมาณเท่าไหร่ หรือรู้ว่าทอง 18K สมมติลูกค้าสั่งทำ�แหวนทอง 18K เราต้องรู้ว่ามี โลหะเท่าไหร่ อัตราส่วนเท่าไหร่ เราจะได้ผสม ใช้ได้เอง ถ้าผมอยากทำ�เงิน Sterling Silver ผมต้องเอาเม็ดเงิน 92.5 กรัม หลอมรวมกับ เม็ดทองแดง 7.5 กรัม มันเป็นเรื่องพื้นฐาน Beginning ก็จะสอนเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าหลอม จะอยู่ใน Advance เพราะว่าโลหะแต่ละตัว จุดหลอมเหลวไม่เหมือนกัน การเชื่อมทำ�ยังไง เชื้อเพลิงมีอะไรบ้าง เลื่อย เจาะ และวิธีการ เลือกใบเลื่อย เป็นเรื่องดีเทลหมดเลย อย่าง Beginning จะไม่มีการทำ�ชิ้นงานฟู่ฟ่า จะได้ เรียนรู้วิธีการทำ�ชิ้นงานง่ายๆ แต่ว่าได้ซ้อม ฝึกมือในเรื่องรายละเอียดสตูดิโอทั้งหมด 044
และจะได้ทำ�แหวนแบบเกลี้ยงๆ ขัดเงาเป็นยังไง ทำ�แหวนไซต์นิ้วของตัวเองยังไง ถ้าเป็น Intermedia ก็จะมีเทคนิคเพิ่มเติม เช่น ทำ� texture ลงบนโลหะ คือแต่ละวิชา ตั้งแต่ Beginning, Intermedia, Advance มันจะยากขึ้น และทุกครั้งที่เราเรียน เราก็จะได้ฝึก Skill เพิ่มขึ้น สำ�หรับผมนะ ถ้าเรา Skill ดี เวลาทำ�อะไรมันก็ง่าย ถ้าเราแม่นแล้วเวลา ทำ�งานจะได้ไม่มานั่งกังวลเรื่องทักษะ ถึงตอนนั้น ก็เอาเวลาไปคิด พอคิดปุ๊บอยากทำ�อะไรทำ�ได้เลย” ฟังแบบนี้อย่าเพิ่งมึนงงกันนะครับ จากที่ถามมา คอร์สเริ่มต้นใช้เวลาสามวันเท่านั้น นั่นคือสามวัน ทำ�แหวนเกลี้ยงๆ ได้แน่นอน คุณวินิจยังกล่าวว่า มันเหมือนมายากลนั่นแหละ จริงๆ ถ้ารู้เทคนิคแล้ว มันไม่ยาก และคนที่มาเรียนก็มีหลายวัยหลากอาชีพ ตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงหมอฟัน ทนายความยังมีเลย บางคนก็มุ่งจะทำ�เพื่อขาย หรือบางคนก็เน้นไป ทางงานอดิเรก พัฒนาทักษะ ใช้เวลาว่าง
045
แม้จะมีงานสอนแต่คุณวินิจก็ยังมีเวลาให้งานศิลปะ ที่ตัวเองรัก ซึ่งงานของคุณวินิจก็มีความทันสมัย แปลกตา ทั้งรูปทรงและสีสัน ด้วยวัสดุใหม่และ วิธีการที่หลุดออกจากงานจิวเวลรี่แบบเดิมๆ และ มีความเก๋แบบแฟชั่นผสมอยู่ อย่างเช่นงานเครื่อง ประดับให้กับผู้ด้อยโอกาส โดยการทำ�สร้อยที่ร้อย ด้วยกระพรวนจำ�นวนมาก สีสันสดใส ที่คุณวินิจ ตั้งใจออกแบบให้กับผู้พิการทางสายตา ผลงานนี้ ได้เข้ารอบในงานที่เยอรมนี ที่อินเดียก็เคยเชิญ 046
ให้ไปแสดงด้วย รวมถึงงานประกวด Suspending in Pink ที่ให้นักทำ�เครื่องประดับส่งผลงานสีชมพู เข้ามา งานของคุณวินิจก็เข้ารอบ 30 คนสุดท้ายที่ได้ ตระเวนไปโชว์ ท้ังอังกฤษ เยอรมนี ปารีส อเมริกา และออสเตรเลีย เคยเข้ารอบงานประกวดการออกแบบ Talente อีกหนึ่งงานใหญ่สายที่ออกแบบหลากแขนง ที่มีกติกาสุดโหดว่าส่งผลงานเข้ามาได้ครั้งเดียวในชีวิต อย่างล่าสุดก็มงี านทีร่ ว่ มแสดงกับเพือ่ นคนไทยทีฝ่ รัง่ เศส ในชื่องาน Le pool p. “วันนั้น Timing นั้น ผมรู้สึก
อะไร ผมคิดอะไรอยู่ แล้วถ้าผมสามารถดึงมันออก มาเพื่อทำ�งานได้ เราก็จะดึงเรื่องที่เรากำ�ลังสนใจ งานนี้มันเริ่มจากเพื่อนคนไทยที่ฝรั่งเศส เรียนโฟโต้ อยู่ที่ปารีส แล้วเขามีกลุ่มเพื่อนที่เรียนศิลปะด้วยกัน แต่ละคนก็ทำ�งานต่างสาขา เช่น Photo, Sculpture, Installation, VDO, Film เพื่อนที่โน่นเขาก็มีโปรเจ็กต์ ชือ่ ว่า Le pool p. ก็คอื จะแสดงงานทีป่ ารีส หนองคาย แล้วก็ที่กรุงเทพฯ เขาก็เชิญพวกผมที่เป็นเพื่อนทาง ฝั่งไทย ให้เป็นศิลปินรับเชิญในกลุ่มเขา พวกผมทาง
คนไทยก็จะมีประมาณ 3-4 คน ช่วงนั้นเราก็อยู่กัน ท่ามกลางธรรมชาติ แม่น้ำ�โขง ได้เข้าป่าไปเจอพืชที่ เกิดมาไม่เคยเห็น ผมชอบ Form มัน มองว่าในชีวิต เราเคยเจอฟอร์มอะไรแปลกๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน แล้วมันจะรู้สึกตื่นเต้น ผมก็เลยคิดคอนเซ็ปต์ขึ้นมาว่า New Species” ได้้คุยกันเรื่องศิลปะอย่างออกรสก็ต้องย้อนกลับมา ถึงประเด็นศิลปะในบ้านเมืองเราสักหน่อย พอคุยกัน 047
048
เรื่องแรงบันดาลใจก็ได้ฟังความน่าสนใจ ทีเดียวครับ “เมืองนอกอาหารสมองเยอะ เดินออกนอกบ้านก็มีอะไรมากระตุ้นชีวิตแล้ว แต่อย่างบ้านเราก็อย่างที่บอกมันไม่มีอาหาร สมอง หิวข้าวเราก็กินข้าว สมองมันก็ต้องการ แต่สมองมันแสบกว่า คือมันไม่บอกว่ามัน ต้องการ เราต้องหาให้มันเอง อย่างบ้านเรา มันไม่มีตรงนี้ แล้ว demand ก็น้อย ทำ�ให้ เด็กรู้สึกว่าทำ�ไปก็ไม่ได้รับการตอบสนอง” นอกจากนี้คุณวินิจยังให้ความรู้ประดับ สมองผมอีกหลายเรื่อง อย่างเรื่อง เทศกาล Schmuck งานแฟร์อลังการที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อ ศิลปินเครื่องประดับในเมืองมิวนิก เรื่องเพื่อน ศิลปินหลายสาขา และทิ้งท้ายด้วยการใช้ เครื่องประดับของคนไทย “คนที่มีความเป็น ตัวของตัวเองยังมีน้อย ผมพูดรวมๆ เลยนะ ผมอยากให้มันกว้างขึ้น หลากหลายมากขึ้น อยากเห็นคน 10 คน แต่งตัวไม่เหมือนกัน สักคน เราจะเห็นการดำ�เนินชีวิตหลากหลาย ขึ้น ผมว่ามันสนุก แล้วมันได้ต่อยอด เป็น ตัวของตัวเองมากขึ้น เพราะผมเชื่อนะว่า อย่างเครื่องประดับของผมมีคนอยากใส่ เพราะฉะนั้นลองทำ�ในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ�สิ มันไม่ได้เดือดร้อนใคร ลองดู” 049
PET ILLUSTRATOR
KAMIJN ขมิ้น - เพียงขวัญ คำ�หรุ่น เด็กสาวน่ารัก กับโปรเจ็กต์น่าสนใจ Pet Export Project ที่ทำ�ให้งานภาพประกอบของเธอเป็นมากกว่า การวาดรูปเพียงลำ�พัง แต่เป็นส่งความสุขใน การวาดรูปของเธอไปถึงเจ้าของสัตว์เลี้ยง อีกหลายคน หลายประเทศ หลายรอยยิ้ม
050
PIE TALK
051
PIE : จบภาพพิมพ์แล้ว ทำ�ไมไม่ทำ�ภาพพิมพ์
อะไรแบบนี้น่ะค่ะ ขมิ้นทำ�งานภาพพิมพ์แบบ ไม่ใช่ ขมิ้น : เพราะเราไม่มีแท่นพิมพ์ ไม่สะดวก และคิด เชิง 2 มิติ แต่เป็น 3 มิติ กึ่งจัดวาง Installation ว่าจบภาพพิมพ์แล้วจะต้องทำ�งานภาพพิมพ์เสมอไป เราก็เลยลองสมัครส่งเข้าไปดู ปรากฏว่าเข้ารอบ เราสามารถทำ�อะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าเรามีความสุข ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการวาดก็ตาม ง่ายด้วย วาดได้ PIE : ได้ประสบการณ์อะไรบ้าง ตลอดเวลาทุกที่ ขมิ้น : ได้ไปอเมริกา 20 วันค่ะ เขาจะพาไปดู มิวเซียมต่างๆ ไปเที่ยวที่แกรนด์แคนยอน ประทับใจ PIE : เป็นหนึ่งในโครงการ Young Artists หลายอย่าง ก่อนนี้เราก็จะเห็นงานของศิลปินใน Talent 2012 ด้วย หนังสือเท่านั้น แต่พอเวลาที่เราไปเจอของจริงมัน ขมิ้น : ใช่ค่ะ เขาจะมีโครงการประกวดมาทุกปี ยิ่งกว่า มันมีอะไรให้ดูหลายมิติ เราได้สัมผัสหลาย อยู่แล้ว แต่เราเรียนสาขาภาพพิมพ์ก็ไม่ได้คิดว่ามัน มิติ ได้เรียนรู้อะไรมากกว่าในหนังสือ แล้วก็มีความ จะเข้ารอบ เพราะส่วนมากโครงการประกวดอันนี้ รู้สึกแอบเสียดายว่า ตอนเรียนบางทีเราไม่ได้ตั้งใจ เขาจะให้เฉพาะงาน 2 มิติ คนที่เรียนภาพเพ้นต์ แต่พอเรามาเจองานจริงๆ เราก็คิดว่า 052
ถ้าตอนเรียนเราศึกษาให้มากกว่านี้ แล้วเราไปเจอกับ งานจริง มันจะมีประโยชน์กับเรามากกว่านี้ แต่ตอน ดูงานต่างๆ ก็จะมีอาจารย์ที่ไปกับเราอธิบายว่า งาน ชิ้นนี้ เวลาเราเห็นแล้วเรารู้สึกยังไง มีองค์ประกอบ แบบไหน อาจารย์ก็จะให้เราพูดก่อนว่าทัศนคติของเรา เป็นยังไง แล้วเขาก็จะบวกเพิ่มเข้าไปว่ามันเป็นอย่างนี้ ก็ได้ แล้วก็เคารพความคิดของทุกคน เขาไม่ได้คิดว่า ความคิดของเขาเป็นที่หนึ่ง เขาจะฟังคนอื่นและเพิ่มเติม ให้ความรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ลงไป
PIE : งานพาณิชย์มันก็ต้องมีโจทย์
ขมิ้น : ใช่ค่ะ ไม่ซีเรียส คือการเป็นนักเขียนภาพ ประกอบไม่ใช่ว่าวาดตามใจตัวเองเสมอไป คือเรามี สไตล์เป็นของตัวเอง แต่ว่าเราก็ต้องสามารถวาดตาม ที่เขากำ�หนดไว้ให้ตามโจทย์ได้ หนูว่าอันนี้ถึงจะเป็น นักเขียนภาพประกอบ แต่หนูไม่แน่ใจว่าเด็กที่เพิ่งจบ หรือที่เขาอยากเป็นนักเขียนภาพประกอบ ไม่รู้ว่าเขา คิดแบบหนูหรือเปล่า เพราะว่าเขาเห็นไอดอล มันจะ มีนักเขียนภาพประกอบหลายแบบ อย่างของขมิ้นมัน จะเป็นแบบเขียนตามหัวข้อหนังสือ แล้วเขาก็จะเอา PIE : พอเรียนจบ ทำ�อะไรต่อ ไปทำ�หนังสือนิทาน ก็ต่างกับนักเขียนภาพประกอบ ขมิ้น : พอจบออกมาปุ๊บ เราจะมีความคิดสองอย่าง ที่เขาเขียนคาแร็กเตอร์ของเขามานาน จนมีคนสนใจ ก็คือ จะเรียนปริญญาโทดีมั้ย หรือว่าจะทำ�งาน แต่ แล้วก็เอาคาแร็กเตอร์ของเขาไปประกอบตามบัตร เรารู้สึกว่าเราอิ่มกับการที่เราเรียนมาแล้ว การเรียนต่อ ตามกระเป๋า ตามสินค้าต่างๆ อะไรแบบนี้น่ะค่ะ มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่สำ�หรับขมิ้น ขมิ้นอยากหา ถ้าเป็นนักเขียนภาพประกอบหนังสือแบบนี้จะไม่ค่อย อะไรที่มันมากกว่าที่เรียนมาในรั้วมหาวิทยาลัยค่ะ มีคนรู้จักสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกว่าอยากมุ่งไปทางนี้ เหมือนกับว่าเราอยากไปเผชิญโลกข้างนอกมากกว่า เราก็เลยเลือกที่จะทำ�งาน PIE : แบบนั้นเหมือนเป็นอาร์ติสต์มากกว่า ขมิ้น : ใช่ๆ คล้ายๆ กับโลเล หรือวิศุทธิ์ พรนิมิตร PIE : เริ่มด้วยการทำ�อะไร แบบนั้นน่ะค่ะ ขมิ้น : ก็วาดรูปไปเรื่อยๆ จนมีพี่ผู้หญิงที่เขาเป็น บ.ก.อยู่ที่สำ�นักพิมพ์สายรุ้ง เขาเห็นงานเราจากธีสิส PIE : วาดแมวเยอะมาก งานตอน Young Artists ว่าเราทำ�แมว แล้วเขาก็ชอบแมวด้วย แล้วบังเอิญว่า Talent 2012 ชื่อ “ปมสุข” ก็เป็นเรื่องแมว เขารู้จักกับพี่เกิ้ง (สุริยะ ฉายะเจริญ) เขาก็เลยตาม ขมิ้น : ตั้งแต่สมัยเรียนเลย ตอนที่แบ่งภาควิชา จีบ บอกว่าจะให้น้องคนนี้มาเขียนภาพประกอบ ภาพพิมพ์ เขาก็จะมีให้เราเลือกว่าเราอยากจะทำ�งาน หนังสือให้เขา เราก็เลยได้ทำ�กับเขา เกี่ยวกับอะไร ก็รู้สึกว่าอยากจะทำ�งานเกี่ยวกับแมว เพราะที่บ้านเลี้ยงแมวเยอะ สิบกว่าตัว แล้วก็เลี้ยง PIE : เป็นยังไงบ้างได้มาทำ�งานจริงจัง มาตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยรู้สึกว่ามันกลายเป็นความผูกพัน ขมิ้น : มีความสุข เพราะมันเป็นความฝันว่าอยาก เรามองว่าแมวมันไม่ใช่สัตว์เลี้ยง มันเป็นเพื่อน เป็น เป็นนักเขียนภาพประกอบหนังสืออยู่แล้ว พอเราได้ทำ� ครอบครัวเดียวกับเรา แล้วเวลาเราเห็นพฤติกรรม ในสิ่งที่เราฝันมันก็รู้สึกอิ่ม ของเขา มันมีลักษณะบางอย่างเหมือนกับคน มี 053
อารมณ์ นิสัย ไม่ต่างกัน เราก็เลยเอาเรื่องนี้มาทำ� ในงานศิลปะภาพพิมพ์ของเรา ตอนเรียนก็ทำ�งาน ออกมาเป็นแมวหมดเลย
บอกว่าเหมือนหมวกวันเกิด ถ้ามีแมว 2 ตัว ก็จะวาด ให้ 2 ตัว มีอันหนึ่งที่มีทั้งหมาและก็แมวเยอะมาก ที่ไม่ใช่แมวก็วาดได้
PIE : เล่าโปรเจ็กต์ Pet Export Project หน่อย
PIE : วาดไปกี่ตัวแล้ว
ขมิ้น : ขมิ้นเป็นคนไม่ชอบอยู่ว่างๆ อยากจะวาด อะไรไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าเราอยากจะทำ�โปรเจ็กต์อะไร สักอย่างขึ้นมาในสิ่งที่เราชอบวาดอยู่แล้ว วาดแมว วาดสัตว์ ก็เลยคิดว่าถ้าเราวาดรูป แต่ว่าวาดขึ้นมา เฉยๆ มันก็จะไม่มีแรงกระตุ้นให้เราทำ�ทุกวัน แต่ ถ้าเราใช้วิธีขอรูป เหมือนกับใครก็ได้ที่อยากจะเป็น ส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์เรา ให้แท็กรูปสัตว์เลี้ยงของ เขามาให้เราแล้วก็บอกชื่อบอกประเทศ เราก็จะวาด ให้เขา แล้วหลังจากที่เราวาดเสร็จก็จะเอาไปแสดง งานต่อไป หรือถ้าเขาสนใจอยากจะซื้อออริจินอล ของเขาเก็บไว้ก็ส่งไปให้เขาด้วย แต่ก็จะมีคนที่พอ เราวาดเสร็จเขาก็จะขอเป็นไฟล์ เราก็จะส่งเป็นไฟล์ ให้เขาเอาไปพริ้นต์ PIE : คนที่ส่งมามีประเทศไหนบ้าง
ขมิ้น : ก็มีคนไทย แต่จะน้อยหน่อย มีสวีเดน อังกฤษ นอร์เวย์ อเมริกา มาเลเซีย ฯลฯ บนรูป จะเป็นชื่อของเจ้าตัว กับชื่อประเทศ ที่หน้าอกเสื้อ
ขมิ้น : ตอนนี้วาดไป 82 ตัวค่ะ วางแผนไว้ว่าจะวาด ประมาณ 100 ชิ้น หรืออาจจะ 100 กว่าๆ เพราะ เวลาเราวาดเสร็จเราก็แท็กรูปเข้าในอินสตาแกรม พอมี คนอื่นเห็นเขาก็จะมาขอให้วาดเรื่อยๆ PIE : เริ่มทำ�มานานหรือยัง
ขมิ้น : เริ่มตั้งแต่ช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ และก็จบเมื่อมันครบจำ�นวนที่วางไว้ พอจบแล้วเรา ก็จะเริ่มหาสถานที่ว่าเราอยากจะแสดงงานที่นี่ PIE : ก่อนหน้านี้ก็ไปแสดงงาน “รูปภาพในบ้าน หลังที่ 1” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม
ขมิ้น : ใช่ค่ะ อันนั้นเป็นโปรเจ็กต์แสดงกัน 7 คนค่ะ ที่หลังแรกบาร์ ขมิ้นเอางานที่เป็นชุดเกี่ยวกับธรรมะไป แสดงที่ร้านเหล้า
PIE : ภาพที่เป็นตรายาง รูปแมวเดินจงกรม
ขมิ้น : ใช่ค่ะ ส่วนมากจะเป็นเพ้นต์สีน้ำ� เพราะ สะดวก จริงๆ จะมีโปรเจ็กต์ของทางวิชาภาพพิมพ์ PIE : ทำ�ไมถึงวาดออกมาในแบบพอร์เทรต ที่เขาเพิ่งจัด เขาอยากให้ศิษย์เก่าที่จบภาพพิมพ์ หรือคนที่ทำ�งานภาพพิมพ์ให้ส่งงานภาพพิมพ์ไปให้เขา (ครึ่งตัว) คล้ายภาพเหมือนของคนเลย ขมิ้น : อาจจะเป็นเพราะขมิ้นคิดว่าสัตว์เลี้ยงกับคน แล้วเขาก็จัดแสดง เราก็เลยทำ�ภาพพิมพ์ไป พอเรา ก็ไม่ต่างกัน มีพฤติกรรมหลายอย่างที่คล้ายๆ กัน ไม่มีอุปกรณ์ก็คิดว่าจะทำ�ยังไงดี ก็เลยใช้วิธีการ ก็เลยอยากจะวาดออกมาในแนวเหมือนถ่ายรูปคน แสตมป์ลงไป ขมิ้นไปสั่งให้เขาทำ�เป็นตราปั๊มยาง พอร์เทรต ที่ใส่หมวกปาร์ตี้มีความสุข บางคนก็ แล้วก็ปั๊มลงไป เป็นรูปแมวเดินจงกรม 054
055
PIE : ถามถึงความสนใจงานศิลปะของคนไทย
PIE : สัตว์เลี้ยงมีความหมายยังไงกับขมิ้นบ้าง
ขมิ้น : อาจเป็นเพราะว่าขมิ้นอยู่ในวงการนี้ อยู่แล้ว คนที่เขาสนใจงานศิลปะก็คือคนที่เรียนมา หรือว่าได้ซึมซับสิ่งเหล่านี้มา แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ สนใจก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ เหมือนกับคนที่เขาต้องทำ�งานหามรุ่งหามค่ำ� อย่างคนที่ขายดอกไม้ที่ปากคลองตลาด จะไป คุยเรื่องศิลปะกับเขาก็อาจจะไม่รู้เรื่อง หรือเขา PIE : งานที่จะแสดงมีรูปแบบยังไง ขมิ้น : กำ�ลังคิดอยู่ว่าจะเอาใส่กรอบดีมั้ย หรือว่าจะ อาจจะรู้เรื่องในแบบของเขา ซึ่งบางทีถ้าเรา ใส่เป็นถุงพลาสติกแล้วก็ติดกับผนังไปเลย หลังจาก ถามเรื่องดอกไม้กับเขามันก็เป็นศิลปะของเขา วาดเสร็จจะกลับมาคิดดูอีกที อยากได้ที่แสดงงาน วิธีการจัด แต่ของเรามันต่างกัน เป็นร้านอาหาร ขมิ้น : เขาเป็นมากกว่าสัตว์เลี้ยง เป็นเพื่อน เป็น ครอบครัว เพราะถ้าเราสังเกตคนที่เขาเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ตาม เขาจะรักมาก เหมือน เป็นลูก ขมิ้นคิดว่าทุกคนที่สัมผัสตรงนี้ เหมือนกับว่า เราคิดเหมือนกัน ว่าเขาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา
056
PIE : แล้วถ้าเป็นชนชั้นกลางปกติล่ะ แบบไม่ลำ�บาก PIE : งานอดิเรก
ขมิ้น : อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ยื่นศิลปะไปให้ ขมิ้น : ปกติวาดรูป ถ้าเบื่อห้องก็จะไปหาร้านกาแฟ เขาหรือเปล่า เขาถึงไม่สนใจ เขาอาจจะสนใจก็ได้ แล้วก็วาดรูปที่ร้านกาแฟ ไปเที่ยวก็คือไปเชิงแบ็กแพ็ก ที่ป่า ที่เกาะ แต่ไปแล้วสุดท้ายก็คือไปวาดรูป ส่วน เพียงแต่ว่าเราคิดไปเองก่อนว่าเขาคงไม่สนใจ หนังสือของขมิ้นจะแบ่งเป็นช่วงค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน สมัยเรียนจะชอบอ่านนิยายหรือวรรณกรรม แต่ถ้า PIE : คนที่ส่งรูปมาให้ขมิ้นวาด ก็น่าจะเป็นคน เป็นช่วงนี้เราทำ�งานภาพประกอบ ก็จะหาหนังสือที่มี ที่ไม่ได้วาดรูป รูปภาพที่เหมือนกับว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เรา เช่น ขมิ้น : ใช่ค่ะ ไม่ได้วาดรูป เขารู้สึกว่าเขามี สัตว์เลี้ยงแล้วเขาก็อยากให้เราวาดให้เขา พอเรา ของวิศุทธิ์ พรนิมิตร หรือว่า ชีวิตคืออะไร จะเป็น วาดไปเขาก็ตื่นเต้น ชอบ ดีใจมาก ซึ่งบางทีขมิ้น แนวธรรมะ คือเป็นคนที่ชอบศึกษาธรรมะ แล้วมัน คิดว่าเขาดีใจมากขนาดนี้เลยเหรอ ที่คิดไว้ว่าอยาก ก็อ่านง่าย เป็นภาพประกอบที่เข้าใจได้ง่าย ไปแสดงงานที่ร้านอาหาร ก็เพราะถ้าเราแสดงงาน ที่หอศิลป์ เหมือนกับว่าเราก็จำ�กัดคนดูเหมือนกัน PIE : ธรรมะมีผลกับการทำ�งานยังไง เพราะคนที่จะเข้าไปดูงานที่หอศิลป์ก็จะเป็นคนที่ ขมิ้น : ทำ�ให้เรามีสติมากขึ้นในการทำ�งาน แล้วก็ เขารู้จักหรือว่าอยู่ในวงการศิลปะ คนทั่วไปเขาคง ไตร่ตรองอะไรได้มากขึ้น เวลาที่เราไม่มีสติบางทีเรา ไม่เข้าไปอยู่แล้ว เพราะไม่รู้จะเข้าไปทำ�ไม แต่ถ้า วาดแล้วใช้สีพลาด หรือทำ�ไปตามความไวของมือ เราไปแสดงตามร้านอาหาร หรือร้านกินดื่มที่มีงาน แต่ถ้าเรามีสติ เราจะรู้ว่าต่อไปจะใช้ยังไง แล้วเราเอา ศิลปะไปประดับได้ อย่างน้อยที่สุดคนที่เขาไม่ได้ ธรรมะมาใช้กับชีวิตประจำ�วัน เหมือนกับว่าก่อนที่เรา เรียนมาแต่เขามาเห็นภาพ พอเขาได้ดูภาพๆ นั้น จะคิด หรือว่าเราเจอสิ่งแวดล้อม เจอคน เราจะคิด มันก็ต้องให้อะไรบางอย่างกับเขา หรือเขาก็อาจจะ ก่อนว่า ถ้าเราเป็นเขาเราจะทำ�แบบนั้นมั้ย หรือสิ่งที่ คิดอะไรกับภาพนั้นเหมือนกัน สมมุติคุยกับเพื่อนว่า เขาทำ�ถ้าเราคิดว่ามันไม่ดีเราจะทำ�ยังไง เราจะคิด ดูภาพนั้นสิ ตลกเนอะ เหมือนกับว่าเราควรที่จะเป็น ไตร่ตรองมากขึ้น มีสติมากขึ้น ถ้ามีเวลาว่างๆ ตาม ฝ่ายยื่นอะไรให้เขา มากกว่ารอให้เขาเดินมาหาเรา วันหยุดจะชอบไปปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าสุนันทวนาราม กาญจนบุรี ก็คือจะไปนอนที่นั่น ทำ�วัดเช้า-เย็น หรือเปล่า ปกติเป็นฟรีแลนซ์ แต่มันจะมีงานที่เขานัดส่งเล่ม PIE : อย่างนี้หอศิลป์ก็ทำ�ให้ศิลปะไกลจากผู้คนน่ะสิ ดูงานเมื่อไหร่ ขมิ้นสอนศิลปะเด็กด้วย ขมิ้น : ถ้าสำ�หรับขมิ้นคิดว่าใช่ เพราะในหอศิลป์ งานศิลปะบางอันแพงมาก แตะต้องไม่ได้ สูงส่ง PIE : แล้วสอนศิลปะเด็กที่ไหน ซึ่งขมิ้นไม่ได้คิดแบบนั้น บางทีศิลปะมันก็เป็นอะไร ขมิ้น : สอนที่ Ardel Gallery of Modern Art ที่พุทธมณฑลสาย 2 แล้วก็มีสอนตามบ้าน ที่อยู่กับเราอยู่แล้วในชีวิตประจำ�วันทุกอย่าง 057
058
059
PIE : สอนเด็กๆ ยากมั้ย
ขมิน้ : ไม่ยากค่ะ สนุกดี เด็กก็เหมือนผูใ้ หญ่ในฉบับย่อ ทีเ่ ราสามารถดัดได้ เด็กเขามีความคิดของตัวเอง บางคน ไม่แสดงออกมา บางคนแสดงออกมา จริงๆ แล้วเด็กก็ ไม่ตา่ งจากผูใ้ หญ่เลย เขารับสารอะไรเหมือนกันหมด เพียงแต่วา่ อะไรทีม่ นั ไม่ดเี ราสามารถปรับให้เขาได้ PIE : สอนผู้ใหญ่ยากกว่า
ขมิ้น : ใช่ เพราะผู้ใหญ่มีอัตตาเยอะ PIE : ภาพประกอบช่วงนี้มีแมวเยอะ สไตล์น่ารักเยอะ ขมิ้นมีความเห็นว่ายังไง
PIE : งานที่เป็นคอนเซ็ปต์ กับงานที่เป็นเหตุการณ์ ที่เราเจอจริงๆ ชอบแบบไหน
ขมิ้น : ทุกๆ อย่างที่ทำ� ไม่ว่าจะเป็นงานช่วงไหน จริงๆ มันก็มาจากประสบการณ์หรือสิ่งแวดล้อม เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันจะเป็นบันทึกที่ผ่านมา ผ่านไป เหมือนจดไดอารีว่ นั ที่ 1 2 3 แต่วา่ อันนี้ เป็นธีสสิ เหมือนกับว่าเราจะต้องหลอมรวมทุกอย่าง ให้เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ ตกตะกอนมาเป็นงานจำ�นวน ชุดนีน้ ะ่ ค่ะ PIE : แล้วแต่โอกาสของมัน
ขมิ้น : ใช่ค่ะ สมมุติว่าเราอยากจะทำ�โปรเจ็กต์ใหญ่ ขมิ้น : อาจจะเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่มักจะชอบอะไร ขึ้นมามันก็ไม่ต่างอะไรจากธีสิส เหมือนอันนี้ที่เป็น ที่มันดูง่าย สบายตา ดูแล้วมีความสุข เพราะฉะนั้น Pet Export Project เป็นแนวสัตว์เลี้ยงให้คนรักสัตว์ อะไรที่ดูมีสีสันสดใส หรืออะไรที่น่ารัก มันจะดึงดูด เหมือนกัน เขาก็มีความสุขเราก็มีความสุข แต่งาน คนได้มาก “ปมสุข” มันจะเกี่ยวกับชีวิตของเรา สภาพแวดล้อม ของเรา จนกลายมาเป็นแมวเล่นอยู่ในความสุข แต่ PIE : แล้วไม่กลับไปทำ�งานที่ต้องตีความแบบ “ปมสุข” ไม่ได้คิดอะไร แล้วเหรอ
ขมิ้น : จริงๆ แล้วงานทุกอย่างมันก็ผ่านการตีความ มานะคะ แต่ว่าในชุด “ปมสุข” เนี่ย มันเป็นช่วงที่เรา เรียน เหมือนกับว่ามันเป็นหัวข้อในการเรียน มันเป็น ธีสิส เราก็เลยต้องมุ่งอันนั้นอย่างเดียว แต่พอเราออก มาใช้ชีวิตปกติ อย่างที่ขมิ้นวาดอยู่ทุกวัน มันก็จะเป็น เหมือนไดอารี่ประจำ�วัน เหมือนเป็นบันทึก เราก็วาด ออกมาเป็นรูป เหมือนอย่างอันนี้ (หยิบงานมาให้ดู) ไปที่จามจุรีสแควร์ จะมีคนตาบอดพาเดิน เหมือนกับว่า ให้เราเป็นคนตาบอดด้วย พอเราออกมาเราก็เก็บความ รู้สึกออกมาวาดเป็นรูป 060
PIE : งานที่ร่วมแสดงที่ผ่านๆ มา
ขมิ้น : นิทรรศการ M etropolitan เพิ่งจบไป เหมือนกัน แสดงกัน 19 คน มันจะเป็นกลุ่ม 19 ที่ขมิ้นแสดงกับเพื่อน ปีนี้เป็นปีที่ 2 เป็นหัวข้อ Metropolitan เป็นหัวข้อคนเมือง ความเป็นเมือง ขมิ้นก็เลยคิดว่าจะวาดแมวสามีภรรยา ที่มีความ ฟุ้งเฟ้อ ตัวหนึ่งก็จะมีเครื่องรางของขลัง มีทองที่ แขวนคออยู่ แต่่แทนที่จะเป็นพระ ก็เป็นหน้าตัวเอง เหมือนกับว่านับถือความเป็นตัวเอง คิดว่าตัวเอง เป็นใหญ่ ส่วนตัวแมวผู้หญิงก็จะเป็นเพชรเป็นพลอย
061
062
PIE : ขมิ้นชอบสไตล์งานของใครบ้างไหม
ขมิ้น : ขมิ้นไม่ค่อยจำ�ชื่อ แต่ว่าเวลาที่เราดูหรือหา ข้อมูลงาน เราก็จะเก็บเอาข้อดีของแต่ละคนที่เราชอบ มาพัฒนางานของเราเอง คือไม่ได้ดูแค่ภาพประกอบ อย่างเดียว พวกงานอาร์ตหรือว่างานประติมากรรม ทุกอย่าง เราก็ดูหมด แล้วก็เก็บมา อาจจะเป็นต้น ความคิดที่เราอยากจะทำ�อะไรสักอย่างหนึ่งต่อไป PIE : หนัง เพลง ชอบแบบไหน
ขมิ้น : ได้หลายแนว ก็เหมือนกับหนังสือ มันจะ เป็นแต่ละช่วงวัย ตอนเรียนก็จะชอบฟังแนวอย่าง Desktop Error หรืออย่างวง Goose หรือจะเป็น แบบที่เล่นดนตรีอย่างเดียว มีแต่บรรเลง แต่ถ้าเป็น ช่วงนี้ก็จะชอบฟังอิเล็กทรอนิกส์ ป๊อปๆ หน่อย มีหลายแนว PIE : หนังที่ชอบ
ขมิ้น : เมื่อวานเพิ่งไปดูมาแล้วชอบ เรื่อง 3096 Days ที่เป็นเด็กผู้หญิงโดนลักพาตัวไปกักขังในห้อง สามพันกว่าวัน แล้วหนีออกมาได้ มันเป็นแนวกดดัน ใช้อารมณ์เครียดๆ ขมิ้นชอบหนังดราม่า หนังอะไรที่ มันเป็นชีวิตจริง ชอบดูหนังแอนิเมชั่นเหมือนกัน เช่น Toy Story แล้วก็หนังของ Ghibli Studio
PIE : ปกติเป็นคนสังคมมั้ย
ขมิ้น : ถ้ามีปาร์ตี้ หรือเปิดงาน ไปหมด เหมือน กับว่าคนเรามีหลายมิติ ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนวาดรูป สงบ เราจะต้องนั่งมีสมาธิ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ถึงเวลาที่มันมีความสุขมันก็มีความสุข ส่วนที่มัน สงบก็สงบ อะไรแบบนี้ค่ะ PIE : มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษมั้ย
ขมิ้น : ตอนนี้อยากไปเวียดนามมาก เพราะเพิ่ง ทำ�งานภาพประกอบเกี่ยวกับอาเซียนมา เราหา ข้อมูลแล้วก็วาด เป็นหนังสือของสำ�นักพิมพ์สายรุ้ง จะเป็นความรู้ของอาเซียนหมดเลย แต่จะเป็นใน เชิงภาพประกอบ โดยที่มีแมวเป็นตัวละคร PIE : มีรายละเอียดต่างๆ ของประเทศนั้นๆ
ขมิ้น : ใช่ค่ะ เราเป็นคนวาดเราก็ต้องหาข้อมูล แล้วรู้สึกว่าเวียดนามเป็นเมืองที่สงบ น่ารัก ก็เลย อยากไป เขามีโบราณสถาน หรือสถาปัตยกรรม ที่เขายังเก็บไว้อยู่ มันน่าสนใจ PIE : สิ่งที่ได้จากการทำ�งานภาพประกอบ
ขมิ้น : เราได้สังเกตตัวเราเอง สังเกตโลกภายนอก สิ่งแวดล้อมด้วย เพราะว่าการที่เราจะวาดรูปอะไร ออกมาสักรูป มันไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็วาดขึ้นมาเลย PIE : แผนอนาคต แต่เราต้องมีแรงบันดาลใจหรือว่าแรงผลักดันจาก ขมิ้น : ไม่รู้เป็นความฝันหรือเปล่านะคะ อยากอยู่ อะไรบางอย่างก่อน เราถึงจะวาดมันออกมาเป็นรูป บ้าน เขียนภาพประกอบ ว่างๆ ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด หนึ่งได้ แม้กระทั่งเราเดินในซอย เจอหมาตัวหนึ่ง คือเราไม่อยากต้องมานั่งกังวลวุ่นวายกับชีวิตเมืองหลวง นอนอ้วน เราอาจจะรู้สึกว่ามันนอนน่ารักมาก ที่จะต้องเจอคนมากมาย หรือว่าแข่งขัน มีสวน มี เราก็เก็บหมาตัวนั้นมาวาดเป็นรูป www.facebook.com/kamijn ต้นไม้ เข้าเมืองบ้างมาเจอเพื่อน 063
PIE TALK
PLASTIC PLASTIC ป้อง-ปกป้อง จิตดี และเพลง-ต้องตา จิตดี สองพี่น้องดูโอนักดนตรี ในชื่อวงน่ารักว่า PLASTIC PLASTIC ที่ปล่อยเพลงน่าฟังอย่าง Elastic, วันศุกร์ และคลิปวิดีโอคัฟเวอร์เจ๋งออกมาหลายคลิป หลายคนที่รู้จักสอง คนนี้อาจจะติดใจในความกุ๊กกิ๊กน่ารักของตัวเพลงและวิดีโอของวง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า สาวน้อยอย่างน้องเพลง เป็นมือคีร์บอร์ดแบ๊กอัพและร้องคอรัสทั้งในการแสดงสดและในห้องอัดให้กับวงอย่าง Scrubb ส่วนป้อง พี่ชาย ก็ทำ�ในส่วนเรียบเรียง เบื้องหลัง ทั้งผลงานตัวเองและคนอื่นๆ แถมวิดีโอน่ารักๆ ที่เราชมกันก็มาจากฝีมือของ ทั้งสองถ่ายเอง คิดเอง เล่นเองอีกด้วย ความสามารถเยอะแบบนี้ เราลองมารู้ถึงที่มาที่ไปของทั้งสองกัน PIE : เริ่มเล่นดนตรีกันตอนไหน
เพลง : ตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ พ่อแม่ชอบอยู่แล้ว แม่ชอบให้ร้อง พ่อก็เล่นกีตาร์ ก็ชอบกันทั้งบ้าน เลยตั้งชื่อว่า “เพลง” แม่ก็ร้องเพลงให้ฟังมาตั้งแต่ เด็กๆ เลย แล้วมาเรียนเปียโนจริงจังตอน 4 ขวบ แต่ก็ร้องเพลงมาเรื่อยๆ ป้อง : ผมก็ตีกลองมาก่อน มาเรียนกลองตอน ป.3 ก็เรียนไปเรื่อยๆ กลองก็พอตีได้ระดับหนึ่ง คิดลูกคิดอะไรได้ ก็เล่นไปเรื่อยๆ จนเข้า มหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนมาเล่นกีตาร์อย่างเดียว PIE : ตอนนั้นป้องก็มีวงกับเพื่อน
ป้อง : ใช่ครับ เล่นเพลงร็อกทั่วไป ตอนมัธยม 064
จะตีกลองอย่างเดียว แต่ก็เล่นกีตาร์ด้วย เหมือนตอน มัธยมคนเล่นกลองน้อย ผมก็ไปตีกลอง เพลง : คือช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เราไม่คุยกันเลย ประมาณมัธยม เพลงอยู่ ม.ต้น แล้วพี่ป้องอยู่ ม.ปลาย เพราะพี่ป้องจะร็อกหนักๆ (ป้อง : เมทัลๆ) พี่ป้องจะ มีเพื่อนๆ มาเล่นดนตรีกันที่บ้าน แล้วตีกลองเสียงดัง ตอนนั้นเพลงก็ร้องเพลงอยู่คนเดียว เล่นเปียโนเบาๆ ประกวดร้องเพลงคนเดียว ไม่ยุ่งกันเลย PIE : เพลงก็ประกวดมาอยู่เรื่อยๆ
เพลง : ก็เรียนเปียโน เรียนร้องเพลงจริงจัง ทาง โรงเรียนก็ส่งไปประกวด ประกวดของรายการเด็ก น่ะค่ะ พี่ป้องก็ไม่สนใจ
065
อีกวันหรือสองวันนี่แหละ ต้องส่งเพลงแล้ว ก็คิดกัน วันนั้นเลยตอนกลางคืน เพลงที่ใช้ประกวดก็คือ เพลง Elastic ที่เป็นซิงเกิลแรก แล้วก็ได้เข้าชิง 5 วงสุดท้าย ก็ได้ไปเล่นที่ Siam Discovery
ป้อง : เขาจะสายร้องเพลง โชว์พลัง เพลง : สายคลาสสิกค่ะ PIE : แบบ Yamaha
เพลง : ใช่ค่ะ Yamaha เนี่ยแหละ แล้วก็ ประกวด Yamaha Thailand Music Festivel ทุกปีเลย
PIE : ซึ่งตอนนั้นก็มีกัน 2 คน ป้องเล่นกีตาร์ เพลง เล่นเปียโน
PIE : ที่จะมาอยู่ Believe Record ไปประกวด อะไรมา
เพลง : ตอนนั้นเป็นของคลื่น 98.5 Good FM แต่ตอนนี้คลื่นเขายุบไปแล้วค่ะ เขาให้ทำ�เพลงส่ง ประกวด ก็คือตอนนั้นพี่ป้องเขาก็ฟังเพลงซอฟต์ ลงแล้ว เขาเริ่มไม่ร็อกแล้ว ตอนนั้นพี่ป้องอยู่ปี 3 ป้อง : ไม่มีใครฟังแล้วตอนนั้น พอเข้า มหาวิทยาลัยไม่มีใครเล่นด้วย เพลง : พี่ป้องฟังเพลงซอฟต์ลง แล้วเพลงก็อยู่ คนเดียวมานานแล้ว ตอนนั้นเพลงก็ไปเจอข่าวการ ประกวดนี้ในอินเตอร์เน็ต ก็เลยกะจะลองทำ�เพลง กับพี่ป้อง คือตอนแรกก็คิดว่าจะชวนพี่ป้องดีมั้ย เพราะกลัวว่าชวนพี่ป้องแล้วพี่ป้องจะชวนเพื่อน ตอนแรกจะไม่บอก แต่ตอนหลังก็บอก พี่ป้อง ก็โอเค PIE : แล้วป้องล่ะ น้องชวนแล้วคิดว่ายังไง
ป้อง : ก็ดีครับ ง่ายดี ทำ�งานที่บ้านง่ายๆ คุยกันรู้เรื่อง บางทีทำ�เป็นวงคุยกันยาก มันมี หลายคน อีกคนก็จะเอาอย่างนี้ๆ
เพลง : ค่ะ ตอนไปแข่งรอบชิงชนะเลิศ ต้องไปเล่นสด ก็เล่นกันอยู่ 2 คน ตอนแรกก็กลัว คือวงอื่นเขามา เต็มกันหมด ป้อง : มีกลอง มีเบส มีเครื่องเป่า เพลง : ใช่ แล้ววงอื่นเขาเหมือนเกณฑ์คนมาดู มาเชียร์ เรามาหงอยๆ กัน 2 คน PIE : แล้วผลออกมาคือ
เพลง : ตอนนั้นก็ชนะค่ะ แต่มันมีเรื่องเล่าอยู่คือ ตอนนั้นจับสลากได้วงสุดท้าย การประกวดมันจะมี กฎให้เล่น 3 เพลง คือ หนึ่ง-เพลงที่แต่งเอง สองเพลงอะไรก็ได้ สามคือเอาเพลงอะไรมาก็ได้ แต่ต้อง เอามาทำ�เป็นแนวที่เราจับฉลากได้มาเล่น ซึ่งตอนที่ จับสลากมันมีแนวฮิปฮอป ลูกทุ่ง แดนซ์ ร็อก แล้วก็ อาร์แอนด์บี คือทำ�ไม่ได้เลยสักแนว ยกเว้นอาร์แอนด์บี ที่โอเคที่สุดแล้ว เพราะเพลงเรียนร้องเพลงมา ก็เอามา ใช้ได้บ้าง แล้วจับสลากก็ได้จับวงสุดท้าย เหลืออาร์ แอนด์บีพอดี คือถ้าได้ลูกทุ่ง เพลงก็คงไม่แข่ง PIE : แล้วตอนนั้นเล่นเพลงอะไร
เพลง : เพลงยินดีที่ไม่รู้จัก แล้วตอนประกวดเรา ได้วงสุดท้าย ก็ดีใจนะที่ได้วงสุดท้าย ต่อจากเรา เล่นเสร็จจะมีวงโปเตโต้มาเล่น แล้วพอวงที่ 4 เล่นจบ เขาเอาเก้าอี้ออกหมดเลย คนรอบๆ ก็มุงกันเข้ามา
PIE : เตรียมตัวกันนานมั้ย
เพลง : โอ้โห คือตอนที่เพลงเจอการประกวดนี้ 066
เพราะว่าจะมาดูวงโปเตโต้ ตอนที่เราเล่นเสียงคนก็ ดังมาก เพราะคนเยอะมาก คือมารอดูวงโปเตโต้แต่ ก็ได้มาดูเราด้วย คนเชียร์ก็เลยเยอะ ตอนประกาศ ผลคนก็เชียร์เยอะ ป้อง : เพราะเขาได้ดูวงเดียว (หัวเราะ) ตอนนั้นก็ มีพี่มอย (สามขวัญ ตันสมพงษ์) ที่เป็น General Manager ที่ Believe Record เป็นกรรมการ เขาก็เลยชวนมา
PIE : นานมั้ย กว่าเขาจะโทรมา
เพลง : ไม่นาน 1-2 วัน PIE : แล้วเรารู้สึกยังไง
เพลง : ดีใจ ตอนนั้นก็มีวงที่เรารู้จักอย่าง 25 Hours, Musketeers PIE : แล้วพอมาเจอพี่ๆ เขาชอบอะไรในตัวเรา 067
068
เพลง : เขาก็คงชอบ...แบบว่าแปลก แล้วก็ยังไม่มี ศิลปินผู้หญิงในค่าย เป็นพี่น้อง อะไรอย่างนี้ PIE : ชื่อวงครับ
เพลง : ชื่อวงนี่ตอบยากมาก เพราะว่าตอนที่จะส่ง เพลงประกวดน่ะค่ะ ตอนนั้นเขาให้คิดชื่อวงแล้วให้ ส่งก่อนเที่ยง ตอนนั้นเที่ยงครึ่งแล้วก็ยังไม่ได้ส่งเลย คิดช้า แต่คิดชื่อเพลงแล้วว่า Elastic แล้วจะใช้ชื่อ วงอะไรดี ก็เหมือนกับมีคำ�ว่า Plastic อยู่ในเพลง ก็เลยเอาเป็น Plastic แต่ว่าคำ�เดียวมันไม่เท่ เอา เป็น 2 คำ�ดีกว่า ป้อง : เพราะมีกัน 2 คน อะไรอย่างนี้ เพลง : แล้วก็ถ้าจะอธิบายความหมายจริงๆ ก็เหมือน Plastic มันเป็นของไม่ตายตัว มันจะ เป็นอะไรก็ได้ เหมือนเราที่ง่ายๆ ของง่ายๆ ดนตรีง่ายๆ PIE : พอเข้ามาทำ�งานใน Believe Record เป็นยังไงบ้าง การทำ�งานที่เป็นศิลปิน
เพลง : สนุกดีค่ะ ที่ Believe Record เขา ไม่ได้ฟิกซ์อะไร เขาอยากให้เราเป็นเราที่สุด อย่าง ทำ� MV เพลงวันศุกร์ เขาก็ยังให้เราถ่ายเอง เพลง ก็ให้เราทำ�เอง คือเขาอยากให้เราเป็นเราที่สุด ก็ สบายๆ ดี พี่ๆ ก็น่ารัก PIE : คิดนานมั้ยเพลงที่ออกมา แต่งกันนานมั้ย
เพลง : จริงๆ ตอนคิดแป๊บเดียว ถ้ามันปิ๊งขึ้นมา อย่างเพลงวันศุกร์ คืนเดียวเอง ป้อง : แต่ Arrange ก็ว่ากันอีกทีนึง
PIE : แบ่งหน้าที่กันยังไง
เพลง : ส่วนใหญ่พี่ป้องจะเป็นคนแต่งเมโลดี้ ทำ�นอง ถ้า Arrange เพลงก็ช่วยบ้าง เปียโนใส่ ยังไง ถ้าเป็นเนื้อร้องส่วนใหญ่จะเป็นเพลงค่ะ PIE : ตอนนี้ยังเรียนกันอยู่หรือเปล่า
เพลง : พี่ป้องเรียนจบแล้ว เพลงเรียนอยู่ ปี 3 ศิลปกรรม จุฬาฯ เอกเปียโน พี่ป้องจบ สถาปัตยกรรม ที่จุฬาฯ เหมือนกัน PIE : แล้วไม่อยากทำ�ด้านสถาปัตยกรรมเหรอ
ป้อง : ก็ทำ�ๆ อยู่ ลองดู ตอนนี้ลองอยู่หลายอย่าง ว่าอยากทำ�อะไรจริงๆ (หัวเราะ) PIE : เป็นศิลปินแล้ว ไปเล่นสดครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง
ป้อง : เล่นกัน 2 คน ที่ Gateway รู้สึกงงๆ เพลง : ใช่ แล้วมันเป็นครั้งแรกที่ต้องทำ�ตัว เป็นศิลปิน ตอนนั้นก็เกร็งๆ ทำ�อะไรไม่ค่อยถูก ก็ร้องไป คนมาสัมภาษณ์ก็ตอบไม่ค่อยถูก PIE : แต่เดี๋ยวนี้ก็ออกไปเล่นสดเยอะขึ้น
ป้อง : เดี๋ยวนี้ก็มีชุดใหญ่ชุดเล็ก เหมือนมีวงสำ�หรับ งานใหญ่ๆ มันก็ต้องมี เพลง : เหมือนมีแบ๊กอัพด้วย PIE : ที่ไปเล่นๆ มามีเหตุการณ์ประทับใจบ้างมั้ย
เพลง : Big Mountain ดีใจมากที่เราได้ไปเล่น เป็นเวทีใหญ่ คือไม่ได้คิดว่าจะได้ไป แล้วก็ไม่คิดว่า จะได้เล่นเวทีนี้ พอได้เล่นเวทีใหญ่ก็เลยได้เล่นเป็น 069
วงเปิด วงแรกบ่าย 3 พอถึงตอนนั้นก็แดดร้อน แล้วเขาเล่นตรงเวลาด้วย ตอนแรกก็คิดว่าขอให้มัน เลทหน่อยเถอะ ป้อง : ให้คนมาเยอะขึ้นอีกหน่อย เพลง : คนก็มีนิดหน่อย มากางร่มอะไรแบบนี้ แล้วพอใกล้ๆ เวลาบ่าย 3 แดดร่ม แล้วคนก็มา กันเต็มเลย พอคอนเสิร์ตจบ ฝนตกหนักเลย คือ ตอนที่เรากำ�ลังเล่นอากาศกำ�ลังดี สรุปว่าเล่นเวลานี้ ดีที่สุดเลย PIE : เห็นคัฟเวอร์เพลงเยอะเลย ทำ�ไมถึงคัฟเวอร์ เพลงเก่า
พ่อกับแม่ว่าเอาเพลงอะไรดี ป้อง : กว่าจะเลือกได้ คัดกันสุดๆ เพลง : ใช่ๆ (หัวเราะ) PIE : ออกมาน่ารักดี
ป้อง : คือตอนนั้นเรายังไม่มีเพลงใหม่ แต่ปล่อยเพลง Elastic ออกมาแล้วคัฟเวอร์ ที่ทำ�อันแรกคือเพลง ชิด ของ Ten To Twelve ตอนนั้นว่าง เป็นช่วงน้ำ�ท่วม ไม่รู้จะทำ�อะไร ออกจากบ้านก็ไม่ได้ คือที่บ้านไม่ได้ น้ำ�ท่วมนะ แต่ว่ามันไม่ค่อยมีอะไรทำ� งานก็ไม่มี เพลง : ก็เลยลองทำ�เล่นๆ ตอนแรกกะว่าจะทำ�แค่เพลง แล้วก็ใส่เป็นรูปเฉยๆ แต่ว่าเพลงก็คิดว่า ลองทำ�เป็น MV มั้ย
เพลง : คือไม่อยากทำ�เพลงคัฟเวอร์เเหมือนคนอื่น ไม่อยากเอาเพลงดังๆ มาทำ� เพราะคนทำ�กันเยอะ ก็เลยอยากทำ�อะไรแปลกนิดนึง แต่เพลงก็เป็นคน PIE : แล้วใครถ่าย ที่ชอบเพลงเก่าอยู่แล้ว พี่ป้องก็ชอบ แล้วก็ถาม ป้อง : ก็ทำ�กันเองที่บ้าน ถ่ายกันเอง เอา iPhone ถ่าย 070
071
072
เพลง : แต่ก็ไม่คิดว่าคนจะชอบ แล้วพอกระแส มันดี ก็เลยทำ�เพลงอื่น ป้อง : จริงๆ ไม่ได้อยากเป็นวงคัฟเวอร์ ก็ทำ�ขำ�ๆ รอซิงเกิลออก เพลง : ที่ทำ�ออกมาแต่ละอันต้องคิด คือไม่อยาก ให้มันเป็นคัฟเวอร์ ที่มาเล่นแล้วก็ตั้งกล้องถ่าย ทุก อันต้องคิด พอตอนหลังๆ เริ่มคิดไม่ออก (หัวเราะ) PIE : ดูแล้วนิสัยจะต่างกัน
เพลง : พี่ป้องเขาจะเงียบๆ อย่างมาที่ Believe Record เพลงก็จะเฮฮา สังสรรค์ นี่ก็จะแบบ กลับบ้านดีกว่า
PIE : อัลบั้มเต็ม
เพลง : ก็ทำ�ไปเรื่อยๆ จริงๆ มีเพลงเยอะมาก คือครบ 10 แล้ว แต่ว่าบางอันก็จะแบบ เพลงครบ แล้วแต่เนื้อเพลงยังไม่มี บางอันมีอินโทรมาแล้ว ป้อง : แต่ไม่มีเพลง (หัวเราะ) แต่รู้ว่าเพลงมันจะ ไปทิศทางนี้ ประมาณนี้ เพลง : บางเพลงก็ครบหมดแล้ว แต่เนื้อเพลงเป็น ภาษาอังกฤษ คือต้องลองถามทางค่ายก่อนว่าโอเคมั้ย ถ้าจะปล่อยเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าเพลงนั้น เคยแต่งเนื้อร้องเป็นภาษาไทยแล้วมันไม่ค่อยเข้า PIE : ดูภาพรวมแล้วจะออกมาแนวไหน
เพลง : ก็ไม่ใช่ใสๆ ฟังสบาย คือมีคนบอกว่าวงเรา PIE : ทำ�งานด้วยกัน ทะเลาะกันบ้างมั้ย ใสๆ กุ๊กกิ๊ก ฟังสบาย ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้น เพลง : ส่วนใหญ่เพลงจะตาม เพราะคิดว่าพี่ป้อง 100% คืออยากให้ฟังแล้วมันดูู…ฮึ้ย ไม่ใช่ฟังแล้ว เขาคิดดีแล้ว พี่ชอบอะไรเพลงก็ว่าโอเค ก็ชอบ โอ้โห นุ่ม เหมือนกัน ป้อง : มีซาวนด์แปลกๆ หน่อย มีความสร้างสรรค์ ฟังแล้วสะดุดหน่อย แต่ก็อยู่ในความฟังง่ายระดับหนึ่ง PIE : แล้วป้องล่ะ เพลง : แต่ก็ไม่ใช่แบบนุ่มไปเลย ป้อง : ก็จะมีบ้าง เพลง : พี่ป้องจะสายดาร์ก คือบางทีพี่ป้องจะอยาก PIE : มีไอดอลบ้างมั้ย ดาร์กอ่ะ เพลง : จริงๆ เพลงก็ไม่ได้มีเป็นคน แต่ก็มีวงที่ชอบ ป้อง : คนนี้เขาก็จะโลกสวยเกินไป อยู่ เป็นวงญี่ปุ่นชื่อวง Chocolatre น่ารักมาก MV เพลง : คือบางทีเพลงแต่งเนือ้ ร้องมา พีป่ อ้ งก็จะแบบ เขาก็เป็นวาดรูปหมด แล้วเพลงก็ชอบพวกงาน Art ฟังแล้วโลกสวยไป อะไรอ่ะ ไม่เอา (หัวเราะ) อะไรอย่างนี้ด้วย แล้วเพลงเขาน่ารัก คือนักร้องเขา ป้อง : อย่างซาวนด์ดนตรี ผมจะชอบอะไรที่ฟัง ก็เล่นเปียโน ตอนนี้กำ�ลังบ้าญี่ปุ่น แล้วดูหลอนๆ นิดนึง แปลกๆ เสียงกีตาร์ลอยๆ เพลง : เป็นแบบป๊อปๆ วินเทจ แต่เพลงจะฟังแนว PIE : ป้องล่ะ ญี่ปุ่น ใสๆ อะไรอย่างนี้ แล้วพอมารวมกันก็อยู่ ป้อง : ชอบ BMX Bandits เจ้าพ่ออินดี้ป๊อปยุคเก่า ตรงกลางพอดี คือไม่ดาร์กไป ไม่แบ๊วไป แต่จริงๆ ก็ชอบหลายวง อย่าง Camera Obscura 073
แนวเพลงจะคล้ายๆ วง She&Him ผมจะชอบอะไร ประมาณนั้นครับ แล้วก็ Acid House Kings เพลงเขาชอบวง Clammbon ด้วย เป็นวงเก่าสไตล์ เหมือนวง Chocolatre แต่ว่าเก่ากว่า เขาเคยมา feat. กับพี่ตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร เพลง : เขาเป็นนักร้องผู้หญิงที่ร้องแล้วก็เล่นเปียโน เหมือนกัน แล้วเหมือนตอนนั้นเขามาเล่นเปียโน แล้วพี่ตั้มก็วาดรูป PIE : สิ่งที่คิดว่ายากในการทำ�อัลบั้ม
เพลง : แต่งเนื้อไม่ค่อยเก่ง ป้อง : เหมือนผมจะชอบทำ�ดนตรีกันมากกว่า เนื้อร้องจะคิดไม่ออก
อินสตาแกรม plengtongta แล้ววันๆ ก็อยู่กับดนตรี และศิลปะ เหมือนชีวิตมีอยู่แค่นี้ (หัวเราะ) วาดมา ประมาณ 2 ปี ป้อง : ดูจากพัฒนาการได้นะ เพลง : รูปแรกแบบ อะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ) PIE : ทำ�ไมถึงสนใจด้านนี้
เพลง : อยู่ๆ ก็วาดเอง เมื่อก่อนในอินสตาแกรม เพลง ก็ถ่ายรูป แล้วอยากเปลี่ยน อยากให้อินสตาแกรมมีแต่ รูปวาด คือตอนนี้ไม่มีรูปตัวเองเลย รูปถ่ายก็มีแต่ก็เป็น รูปการ์ตูนอยู่ดี แล้วก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเป็นอินสตาแกรม ของเพลง PLASTIC PLASTIC ด้วย คืออยากให้คนชอบ ที่รูปวาด ถ้าไปเที่ยวก็จะถ่าย แต่ไม่ได้ถ่ายวิว ถ้าไป เที่ยวก็อัพเฟซบุ๊กแทน แต่อินสตาแกรมนี้ห้าม ไม่ขึ้น รูปตัวเอง บางคนที่มา Follow เขา ก็ไม่รู้จักวงเรา ชอบงานวาดอย่างเดียว
PIE : แล้วปรึกษาใคร เพลง : ก็มีปรึกษาพี่วัท (วรรธน์ ภิญโญวาณิชกะ) วง Ewery เขาแต่งเนื้อเพลงเก่ง เพลงวันศุกร์ พี่เขา ก็ช่วย แต่สำ�หรับบางคนมันก็ง่าย เราไม่ได้สายนั้น PIE : ป้องล่ะ ป้อง : ชอบขี่จักรยาน PIE : ไม่ทำ�เพลงบรรเลงล่ะ เพลง : เพลงก็ขี่นะ แต่เพลงไม่ได้บอก (หัวเราะ) ป้อง : จริงๆ เราก็อยากทำ�นะ ป้อง : ชอบขี่ในเมืองไปกับเพื่อนทุกวันเสาร์ ไปเที่ยว เพลง : ก็จะมีเพลงบรรเลง เหมือนเป็นอินโทรอัลบั้ม เมื่อก่อนขี่บ่อย แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ขี่ อะไรอย่างนี้ เพลง : ที่ Believe Record ก็มีแก็งจักรยาน ตอนนั้น ที่ขี่ไปไกลๆ คือไปลาว เอาจักรยานขึ้นรถไฟไปลงที่ PIE : แล้วอัลบั้มจะมีเมื่อไหร่ จังหวัดหนองคาย ไปกัน 10 กว่าคนค่ะ มีพี่บอล ป้อง : ก็อยากให้ได้ในปีนี้ อาจจะปลายปี สครับ เป็นหัวหน้า แล้วก็พี่ๆ ที่ฝึกงาน ศิลปินก็มี ไป 5 วันค่ะ ลงที่หนองคายแล้วก็ปั่นไปเวียงจันทน์ PIE : แต่จะมีซิงเกิ้ลออกมาก่อน ตอนนั้นช่วงมกราคม อากาศกำ�ลังดี 18 องศา ป้อง : มีครับ ตอนนี้กำ�ลังทำ�อยู่อีก 1-2 เดือน PIE : แล้วป้อง นอกจากขี่จักรยานแล้วมีอะไรอีก
PIE : งานอดิเรก
เพลง : ตอนนี้เพลงชอบวาดรูป วาดทั้งวัน มีใน
ป้อง : ช่วงนี้กำ�ลังบ้ากล้องฟิล์ม ตอนปีหนึ่งซื้อกล้อง ดิจิตอล ตอนปีห้าซื้อกล้องฟิล์ม (หัวเราะ) 074
PIE : ชอบอะไรที่เป็นวินเทจ
ป้อง : ก็ชอบครับ จักรยานก็เป็นวินเทจ
บนเวทีครับ เขิน แล้วก็เหมือนกับ…สมมติว่าเราเป็น โปรดิวเซอร์ เราเห็นคนที่เราทำ�ให้ แล้วก็ไปดันเขา
PIE : อ่านหนังสือ ดูหนังบ้างมั้ย
PIE : ตอนนี้ก็เรียนรู้เรื่องงานเบื้องหลัง
ป้อง : ก็ดู แต่ไม่เยอะ เพลง : เพลงก็ชอบนะ เพลงชอบสะสมหนังสือ น่ารักๆ มันจะมีหนังสือแปลกๆ ที่บางทีก็ฝากคน ซื้อ หรือหนังสือ ชีวิต 150 ซม. มันเหมือนชีวิต ตัวเอง (หัวเราะ) จริงๆ ชอบ a book บางทีไป ก็ไปเหมามา แล้วก็ชอบไปคิโนะคูนิยะ ไปดูตรง โซนที่เป็นหนังสือ Art หนังสือน่ารักๆ
ป้อง : ก็ทำ�อยู่บ้าง ทำ�เพลงประกอบโฆษณา เป็น เพลงจิงเกิ้ล อะไรอย่างนี้น่ะครับ ก็รับงานต่อจาก พี่ๆ เขามาทำ� ต่างจากการทำ�เพลงของเราหน่อย อันนี้คือไม่เป็นตัวเองเลย ต้องตามเขาล้วนๆ PIE : แล้วเพลงล่ะ
เพลง : จริงๆ ก็อยากทำ�ดนตรีต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ ไม่ได้อยากเป็นเบื้องหลัง ต่อไปพี่ป้องก็อาจจะไปทำ� เบื้องหลังแล้ว แต่เพลงก็ยังอยากทำ�อยู่ อยากเป็น PIE : ความใฝ่ฝันของทั้งคู่ ป้อง : ผมอยากทำ�เบื้องหลังศิลปิน ผมไม่อยากอยู่ ศิลปิน แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นงานหลัก เพราะตอนนี้เพลง 075
ก็สอนเปียโนอยู่ด้วย คือก็รับสอน มีเด็กมาเรียนที่บ้าน แล้วจริงๆ อยากทำ�พวกงานศิลปะ อยากไปเรียนต่อ แล้วทำ�งาน แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีพื้นฐาน คือวาดมั่ว อยู่ อยากไปเรียนจริงจัง ก็ใฝ่ฝันนะว่าอยากเปิดเป็น โปรดักต์ของตัวเอง เช่น เป็นร้านขายเสื้อผ้า อะไร อย่างนี้ แต่เป็นดีไซน์ของเรา เพลงชอบของจุ๊กจิ๊ก
เพลงก็ไม่เป็นอยู่ดี บางทีเพลงก็ชวนนะว่าพี่ป้องทำ� เพลงกัน พี่ป้องก็บอกว่าไม่มีอารมณ์ ทำ�ตอนนี้ก็ไม่ดี อะไรอย่างนี้ PIE : ศิลปินในค่ายชอบใคร
ป้อง : ชอบพี่โต (สิงโต นำ�โชค) พี่เขากันเองมากครับ ยังไงก็ได้ แล้วทักษะเขานี่สุดๆ เห็นแบบนั้น เวลาร้อง PIE : รีบออกเพลงใหม่ได้แล้ว เขาเป๊ะมาก ทักษะทั้งการเล่น การร้อง การแต่งเพลง เพลง : เพลงก็บอกให้พี่ป้องทำ� พี่ป้องก็ไม่ทำ�สักที เพลง : ใช่ เขาเป็นคนง่ายๆ ตอนนั้นพี่ป้องเขาจะ ทำ�เพลงโฆษณาให้พี่โต เหมือนกับว่าเขาชอบเพลงของ PIE : หลักๆ อยู่ที่ป้องใช่มั้ย PLASTIC PLASTIC เขาก็เลยอยากให้ทำ�ออกมาแนวนี้ เพลง : ใช่ หลักๆ คือพี่ป้อง คนที่เริ่มคิดอะไรขึ้นมา พี่โตก็มาทำ�ที่บ้าน แล้วก็ชิลล์ พี่ป้องบอกให้โดดน้ำ�ก็โดด จริงๆ เพลงก็คิดขึ้นมาได้แหละ แต่ว่าถ้าจะทำ� จะอัด (หัวเราะ) 076
ภาพวาดน่ารัก ฝีมือเพลง
077
078
PIE TALK
Jackkrit Anantakul make A different WAY เหนือ-จักรกฤษณ์ อนันตกุล อีกหนึ่งกราฟิกดีไซเนอร์ไทยที่มีสไตล์งานชัดเจน และได้ปรากฏชื่อลงในนิตยสาร ดีไซน์คุณภาพต่างแดนหลายเล่มในตอนนี้ ด้วยความหลงใหลในการทดลองสิ่งใหม่ๆ เราจึงได้เห็นงานของเขาใน หลากหลายแขนง ทัง้ การใช้ตวั อักษร ตัวการ์ตนู คาแร็กเตอร์ งานวาดมือ งานวิดโี อ หรือแม้กระทัง่ งานเพลง ทีล่ ว้ น แต่สดใหม่ ซึ่งทุกความน่าสนใจนี้เกิดขึ้นง่ายๆ เพียงแค่เข้าใจความชอบของตัวเองอย่างแท้จริง PIE : เริ่มทำ�งานกราฟิกยังไงครับ
พี่เหนือ : ตอนแรกไม่ได้ชอบกราฟิก เรียนอินทีเรีย แล้วก็ย้ายมาเรียนกราฟิก รู้สึกว่าตอนนั้นอยากเป็น ช่างภาพด้วย ลังเลอยู่ แล้วไปเจอพี่ๆ นิเทศศิลป์ เขาเรียนกัน แล้วเขาทำ�แพ็กเกจถุงน้ำ�แข็ง ทำ� Mock-up ขึ้นมา เราก็คิดว่าทำ�ได้ขนาดนี้เลยเหรอ ก็เลยย้ายมาเรียน เพราะอินทีเรีย การออกแบบการ สร้างมันต้องใช้เวลา เรียนออกแบบบ้านมันก็ยังโอเค สนุกดี แต่พอเป็นโรงแรมชักไม่มันแล้ว เราเป็นคน อยากเห็นอะไรปุ๊บ ได้เลย เรารู้สึกว่าตอนนั้นมัน ติดอยู่กับหนังสือ พวกหนังสือออกแบบ หนังสือ อินทีเรีย เราต้องไปดูงาน ดูวัสดุของเขา รู้สึกว่า คิดอะไรนอกกรอบไม่ได้ จะมีอยู่งานนึงที่เราทำ�ได้ดี คืออันที่อาจารย์ให้โจทย์ว่า ให้เลือกเพลงมาแล้วเอา มาใช้ออกแบบดาดฟ้า เรารู้สึกว่านั่นคืองานที่ดีที่สุด ของเรา เราเป็นพวกชอบใช้จินตนาการด้วย อาจจะ
ไม่เหมาะกับอินทีเรียที่มันเป็นเรื่องของฟังก์ชั่น PIE : สมัยเรียนฟังเพลงอะไรบ้าง
พี่เหนือ : ตอนช่วง ม.3 จะสะสมพวก The Olarn Project แล้วก็ หิน เหล็ก ไฟ พอมันถึงยุคที่เป็น อัลเทอร์เนทีฟ ก็มารู้จัก Modern Dog รู้จัก Manic Street Preachers เริ่มเปลี่ยนมาชอบพวกโมเดิร์นร็อก ตอนนั้นก็เริ่มชอบปกเทป ปกซีดีด้วย ชอบปกพี่ป้าง (นครินทร์ กิ่งศักดิ์) อัลบั้มแรกไข้ป้าง เราว่ามันสวยดี แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีอาชีพนี้ นึกว่ามันเป็นอะไรสักอย่าง ที่อยู่ๆ ก็ออกมาเลย (หัวเราะ) ตอนเรียนกราฟิกเรา ก็ไม่ชอบพวกหนังสือกราฟิกนะ รู้สึกว่าถ้าเราทำ�งาน จะไปทำ�ซ้ำ�กับเขาก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไปดูพวกงาน Fine Art เราชอบ Gilbert & George เป็นคู่เกย์ ที่ทำ� Silk Screen ใหญ่มาก เรารู้สึกว่างานเขาเป็น คอลลาจ (Collage) แล้วมันพูดถึงสังคม คือเราคิด 079
ไปเองนะ แต่ก็เชื่อว่าถ้าเราคิดเองและหาเหตุผลเอง เราอาจจะได้อะไรใหม่ขึ้นมา เราคิดว่าการคอลลาจ มันคือการหยิบเอาสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งมาบวกกัน เหมือน 1+1 ได้ 2 มันได้ค่าใหม่ขึ้นมา ก็เริ่ม สนใจพวกนี้ แล้วก็ไปสนใจพวกงานของ DADA งานทดลองวิดีโอ ธีสิสก็ทำ�วิดีโอทดลอง คือเอา ภาพวิดีโอเสียๆ สื่อต่างๆ ที่มันเสีย เน้นที่เรื่อง ของทีวีกับสัญญาณ แล้วเอาไปผนวกกับเราอยาก ทำ�ดนตรี เล่นกับพวกของเสียมานานแล้ว เวลามัน จูน มันบิด คล้ายๆ เวลาเราทำ�เพลงแล้วเราบิด เราก็เลยใช้วิธีการเดียวกันผสมกัน ด้วย Process เดียวกันทั้งภาพและเสียง PIE : งานแนวทดลองพวกนี้ไปศึกษามาจากไหน
จังหวะกลองมันก็เหมือนจุดที่จุดเป็นจังหวะๆ คือ อาจารย์เขาจะให้เราอธิบายสิ่งที่เราชอบให้ได้ก่อน แล้วมันจะเริ่มวิเคราะห์ออกมาว่าสิ่งที่ชอบมันคืออะไร ส่วนภาพที่ถ่ายเสียเราชอบเพราะเป็นภาพที่คนถ่าย หรือร้านเขาไม่อัดกัน แต่พอเราไปอัดเราจะเห็นว่า มันมีสเปซบางอย่างที่เกิดในความที่มันเสีย ภาพที่ มันอาจจะโอเวอร์เกินไปจนขาวมาก รู้สึกว่ามันมี สเปซ แล้วแอนิเมชั่นที่เราชอบก็เป็นเทคนิคต่างๆ อาจารย์วิชญ์เขาก็เลยบอกว่า งั้นให้ทดลองดู ตั้ง กระบวนการในการถ่ายรูป แล้วไปแมตช์กับวัตถุ ต่างๆ เช่น ถ้าเราเลือกมาว่าเราจะถ่ายอะไรที่เป็น จังหวะ เราก็จะเลือกไปถ่ายอะไรที่มันเป็นวงกลม เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นจุด อย่างเรื่องสเปซ เราก็ ถ่ายตอนที่เราอ้าปากตะโกนอยู่โดยที่เราไม่ได้มอง กล้อง ใช้เป็นสเปซ แล้วพอมันได้รูปทั้งหมดมาก็ มาฟังเพลง ถึงท่อนไหนที่มีจังหวะ เราก็โยนภาพ ที่เป็นวงกลมลงไป แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปเอง โดยที่เราไม่ได้ไปควบคุมมัน มันก็เลยเกิดงาน ทดลองอีกแบบ
พี่เหนือ : ช่วงนั้นพอดีที่ ม.กรุงเทพ มีอาจารย์รุ่น ใหม่ๆ เข้ามา เช่น อาจารย์วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์, อาจารย์มะลิ (be>our>friend), อาจารย์ติ๊ก (สันติ ลอรัชวี), อาจารย์อาร์ท (สุรัติ โตมรศักดิ์) กลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มทดลอง สอนพวก Process ก็จะสอน เหมือนปริญญาโท เน้นที่กระบวนการว่านักเรียน ชอบอะไร แล้วเอาไปวิเคราะห์ออกมา หลังจากนั้น PIE : ล้ำ�มาก เราก็เลยถูกสอนและสะสมมาในตัว มันก็เลยเป็น พี่เหนือ : เราก็เลย อ๋อ วิธีคิดมันเป็นอะไรก็ได้ อัตโนมัติในการคิด สมมติวา่ เราชอบอันนี้เราต้องถามก่อนว่าเราชอบ เพราะอะไร อย่างเวลาเราดูหนังเรื่องหนึ่ง เราไม่ PIE : ยกตัวอย่างหน่อยครับ จำ�เป็นต้องเข้าใจเหมือนกับที่เขาเขียนไว้ว่าหนังเป็น พี่เหนือ : ตอนนั้นเรียนกับอาจารย์วิชญ์ แล้วก็ แบบนี้ สมมุติเราเจอจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง แล้วเราก็ อาจารย์ติ๊ก เขาบอกว่าให้นักเรียนเลือก 3 สิ่งที่ชอบ เฮ้ย…มันเป็นแบบนี้หรือเปล่าวะ แล้วเราขยายมันต่อ อะไรก็ได้ เราก็เลือก Radiohead, ภาพถ่ายที่มัน ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ หนังหนึ่งเรื่องมันจะมีความคิด เสีย แล้วก็แอนิเมชั่น เขาก็จะถามว่า 3 อย่างนี้ มากมายเลยที่ถูกแตกออกมา ฉะนั้น เป็นดีไซเนอร์ ชอบเพราะอะไร เราก็บอกว่าที่ชอบ Radiohead มันเหมือนต้องเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นก่อน แต่ว่า ก็เพราะว่าเราฟังแล้วรู้สึกว่าดนตรีมันมีส่วนประกอบ ตอนหลังหลักสูตรมันก็จะเปลี่ยนไป เพราะว่าเด็ก เหมือนงานกราฟิก คือฟังตรงนี้ก็เหมือนเป็นเส้นเสียง จะตกงาน (หัวเราะ) แต่เราโชคดีอย่างหนึ่งคือ 080
จบมาปุ๊บเราได้ทำ�งานที่ Ductstore the design guru มา 1 ปี โดยที่ตอนนั้นเราไม่ได้ชอบกราฟิก พี่หมู (นนทวัฒน์ เจริญชาศรี) เรียกไป ทำ�ให้เรา เริ่มรู้ว่า เวลาเราทำ�งานสวยๆ มันต้องใช้ตัวอักษร (Typography) ในการจัดการข้อมูล ถ้าเกิดทำ� Typo ไม่ดีงานมันก็เละ
PIE : ทำ�ไมถึงออกจาก Ductstore
PIE : อยู่ Ductstore ได้อะไรบ้าง กระบวนการคิด เปลี่ยนมั้ย
พี่เหนือ : ใช่ ประมาณ 4 ปี ที่ทำ�ในชื่อ Design Reform Council ตอนนั้นอาจารย์อาร์ทเขาทำ� Pecha Kucha แล้วให้เราไปพูดครั้งแรก จากนั้น เราก็ได้รู้จักพี่ปุ่น (ธัญสก พันสิทธิวรกุล) ที่ทำ� เกี่ยวกับพวกหนังอินดี้ พี่ปุ่นก็ชวนว่า อยากจะทำ� Exhibition ร่วม เขาก็ชวนผม แล้วก็ชวนพี่เกี้ยมอี๋ (บุญชัย อภินทนาพงศ์) ที่เป็นเพื่อนพี่โลเล พอคุย กันเสร็จแล้วพี่ปุ่นก็หายไป ก็เลยเหลือ 2 คน ผม ก็ถามว่า เอาไงต่อดีพี่ เขาก็บอกว่าเราต้องลุยต่อ ก็เลยได้ไปแสดงที่ร้าน Happy Monday แล้วอยาก ทำ�เพลง แต่รู้สึกว่าเสียงเราแย่ แต่ว่าเรามีไอเดีย ทำ�เพลงแล้ว ไหนๆ เราทำ�ปกเทปของคนอื่นมาแล้ว ทำ�ไมเราจะทำ�ของตัวเองไม่ได้ เราก็เริ่มทำ�มิวสิกวิดีโอ ของตัวเอง ทำ�เพลงของตัวเอง แล้วก็ทำ�ขึ้นบนเว็บ Myspace เป็นเพลงแนว Electronica ทดลองๆ หน่อย ก็เอาอันนี้ไปแสดงร่วมกับพี่เกี้ยมอี๋ พี่โลเลมา เล่นเบสให้ พี่ P7 มาสแคลชแผ่นให้ ก็สนุกสนานกัน พอดีร้าน Happy Monday มันอยู่ใกล้ๆ กับค่าย Smallroom แล้วพี่เขามาดูงาน เขาก็เลยติดต่อมา เราก็เลยได้ทำ� MV ให้เขา
พี่เหนือ : พี่หมูเขาจะรู้ว่าเราอาร์ติสต์มากๆ เขาก็ไม่ ให้ทำ�อะไรที่มันแมสเท่าไหร่ เขาจะให้ทำ�แต่ปกเทปน่ะ อันแรกเลยคือ Belter 1.0 จะเป็นคอลลาจ ซึ่งตอนนั้น Ductstore เขาจะเป็นเส้น vector แต่เราจะทำ�งาน คอลลาจ แล้วก็ปกซีดีของวง PRU แต่ตอนนั้นเราก็ เป็นดีไซเนอร์ แต่คอนเซ็ปต์พี่น้อยเขาจะคิดร่วมกับ พี่หมูอีกทีหนึ่ง PIE : แล้วทำ�งานกับพี่หมูเป็นยังไงบ้าง
พี่เหนือ : เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เรียนรู้ ตั้งแต่ สมมติถ้ามีศิลปินมาให้ทำ� เราก็ดูคาแร็กเตอร์ ของเขา เขาจะมีรูปถ่ายมาให้ผมดู แล้วให้ไปเลือก เสื้อผ้าจากในแม็กกาซีน ก็วางคอนเซ็ปต์เสื้อผ้าไว้ เสร็จแล้วก็เอาคอนเซ็ปต์ reference นี้ให้สไตลิสต์ ทำ�อีกทีหนึ่ง เขาก็จะไปหาเสื้อผ้ามาให้ แล้วก็ทำ� mock-up ขึ้นมา ให้ทำ�เกือบเหมือนจริงเลย แล้ว พวกทำ�ปกเทปเนี่ย ข้อมูลตัวหนังสือต่างๆ มันจะ เยอะมาก ทำ�ให้เรารู้ว่าเราจะจัดข้อมูลยังไงให้มัน ดูลงตัวกับดีไซน์เรื่องการอ่าน ทำ�ให้เราเริ่มสนใจ พวก Swiss Style พวกงานที่เป็น Grid มันก็เลย ทำ�ให้เราเข้าใจดีไซน์มากขึ้น หลังจากนั้นเวลาทำ�งาน อะไรเราก็จะรู้แล้ว อ่ะ มีโจทย์มาให้ เราต้องคิด ภาพรวมว่ามันจะออกมาเป็นอย่างนี้ๆ
พี่เหนือ : เราก็อยากออกไปสู่โลกกว้าง ก็ออกโดยที่ ไม่มีเงินเก็บอะไรเลยนะ แล้วก็ต่อสู้มาประมาณ 4 ปี ก็จะเจอประสบการณ์แบบ โดนโกงบ้าง ไม่จ่ายเงิน ทำ�ฟรี แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ PIE : เป็นช่วงที่ทำ�ฟรีแลนซ์
PIE : ทำ� MV ไปกี่ตัว
พี่เหนือ : 2 ตัวครับ ตัวที่ 2 เขาไม่ใช้ มันคงอาร์ท เกินไป (หัวเราะ) มันเป็น Error เลย ตอนนั้นทำ�ให้ วง Lemon Soup 081
PIE : แล้วตัวแรกเป็นของศิลปินคนไหน
พี่เหนือ : เป็นของ Leisure Song น้องตุ๊กตา (จมาพร แสงทอง) เราก็จะทำ�ทั้งหมดเลย ตั้งแต่ ไปซื้อเสื้อผ้า ถ่ายรูป ตอนนั้นเราใช้ Flash กับ Photoshop ทำ� Frame by Frame ให้น้องเขา ไปยืนอยู่บนกำ�แพงขาว แล้วก็ให้ขยับทีละเฟรม ถ่ายรูป แล้วก็ไดคัตตัวน้องเขา ตอนนั้นก็ 1,000 กว่ารูป น่ังรีทัชในโฟโต้ช็อป
แต่เขาชอบก็เลยเลื่อน ให้เวลา 2 เดือน ทำ�โมชั่น 10 กว่าเพลง แบบว่าทำ�ทุกอย่าง แล้วตอนนั้นพวก Motiongrapher จะใช้ตัวคอนโทรลเป็น M oudule 8 แต่เราไม่มี เราก็ใช้ Quick Time (หัวเราะ) ก็ฟัง มือกลอง แล้วก็กดตาม ช่วงไหนไม่ตรงเราก็แอบขยับ พี่เล็ก Groovy Enfant ก็มาบอกว่า เหนือ มึงบอกกู ก็ได้นะ เดี๋ยวกูให้โปรแกรม (หัวเราะ) แล้วก็มาทำ�ตัว แพ็กเกจซีดีให้เขา
PIE : พี่เป็นคนถึก
PIE : แล้วช่วงที่พี่เหนือเป็นฟรีแลนซ์อยู่ ทำ�อะไรบ้าง
พี่เหนือ : (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นเราทำ�จนมันไว (เปิด MV ดู) ตอนแรกเราก็ดีไซน์ว่าอยากได้ห้องที่ เป็นพื้นไม้ แล้วเช่าที่ไม่ได้ก็เลยใช้ไม้ไอศกรีม (หัวเราะ) เอามาตัดเรียงแล้วถ่าย MV ตัวนี้เขาแฮปปี้ เลยให้ทำ� ตัวต่อไป (เปิด MV อีกตัว) อันนี้คือตัวที่เขาไม่ใช้ แต่เขาก็เคลียร์ทุกอย่างให้เรา ค่าโปรดักชั่นก็เป็นแสน เพราะเขาเช่าโรงถ่าย เป็นครั้งแรกที่ทำ�กับทีมงานเยอะๆ ปกติทำ�คนเดียว ชื่อเพลง “ถูกหรือผิด” เราก็เลยทำ�ให้ มันเหมือนกับความไม่ชัดเจน ตอนนั้นตั้งใจว่าอยากทำ� MV ที่อีก 10 ปี แล้วย้อนกลับมาดูว่า เฮ้ย...มันมี MV แบบนี้อยู่นะ แต่มันก็เป็นความดื้อของเราด้วย PIE : แล้วที่คอนเสิร์ตของคุณเพชร โอสถานุเคราะห์
พี่เหนือ : ที่ออกแบบคอนเสิร์ตให้คุณเพชร โอสถานุเคราะห์ เราก็ทำ�ตั้งแต่เวที โมชั่นกราฟิก โปสเตอร์ ทุกอย่างเลย ใช้วิธีการคิดจากที่ทำ�กับ Ductstore เพราะเรารู้ว่าทำ�งานกับเพลงมันมีสไตล์ มี Direction ของมัน เราก็คิดต่อจากตรงนั้น เวทีที่ออกแบบให้เขา ก็คือจะมีหน้าคน แล้วเวลาโมชั่นขึ้นมามันจะเปลี่ยน บริบทให้กลายเป็นสิ่งต่างๆ ด้วยแสง ด้วยอะไรต่างๆ ตอนนั้นเขาก็ชอบ ตอนแรกอีกไม่กี่เดือนเขาจะแสดง 082
พี่เหนือ : ทำ�ภาพประกอบ ตอนนั้นทุกคนก็ชอบนะ แต่ว่าเราไม่ชอบ เราชอบทดลอง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเราทำ�คอลลาจ แล้วก็มีพี่อีกคนหนึ่งเขาก็ทำ� คอลลาจเหมือนกัน ก็เลย…เออ กูไม่ทำ�แล้ว (หัวเราะ) เดี๋ยวชนกัน ก็เลยเปลี่ยน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคอลลาจ เนี้ยบๆ ผสมๆ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ชอบอยู่ดี แล้วบางทีก็ ไปทำ� Drawing หนังสือเขาก็จะถามว่า เหนือเป็น อะไรหรือเปล่า คือเราก็เข้าใจทีหลังว่า นักวาดภาพ ประกอบอย่างพี่โลเล เขาวาดอย่างนี้มานานแล้ว เขา พลิกนิดหนึ่งแต่ว่าก็ยังดูเป็นเขาอยู่ คือเขาเจอของเขา แล้ว แต่เรายังไม่เจอ แล้วก็มี Myspace เนี่ยแหละ ที่ทำ�ให้รู้จักกับเพื่อนต่างชาติ เอาเพลงไปรีมิกซ์ใหม่ แล้วก็ทำ�ให้เราเริ่มอยากเรียนภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้ เรียน แต่ก็พยายามคุยกับเขา แล้วหลังจากทำ� MV พอดีที่ You Work For Them เขาจะทำ�คอนเสิร์ต เพราะว่า Michel Paul Young เขาได้รับเลือก จากวง U2 ให้เป็นศิลปินไปทำ� Visual เขาก็หา ดีไซเนอร์อยู่ เพื่อนก็เลยชวน เราก็เอาสิ เพื่อนคนนี้ เขาทำ�งานอยู่ที่ You Work For Them อยู่แล้ว แล้วเขาก็รู้จักกับเรา แต่จริงๆ เราไม่ชอบทำ�พวก Motion (หัวเราะ)
083
PIE : แล้วพี่เหนือทำ�งานกับเขาได้มุมมอง
PIE : ที่โดนเลือกมาทำ�คอนเสิร์ตให้ U2 ตอนนั้น เป็นยังไงบ้าง
พี่เหนือ : จะมีดีไซเนอร์ 3 คน รวม Michel ก็เป็น 4 คน ดีไซเนอร์แต่ละคนก็จะมีสไตล์ของแต่ ละคน อย่างเราชอบแนวคาแร็กเตอร์ ชอบแอนิเมชั่น อีกคนก็ชอบเป็นกราฟิก พอเราเป็น Vector เราก็ ดีไซน์ตัว Vector ให้เป็นคาแร็กเตอร์ ปั่นจักรยาน รอบเวที อะไรแบบนี้ เขาก็ปล่อยให้เราคิดไป Bono มาเห็น เขาก็บอกว่าอยากจะปั่นจักรยานออกมา สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่าเขาใช้หรือเปล่า (หัวเราะ) แต่เรา ก็ทำ�ทุกวัน ได้เรียนรู้วิธีการทำ�งานว่าเขาทำ�ยังไง คือเขาจะไม่มาแก้ ไม่มาเปลี่ยน เขาจะเป็นแบบ โอเค อย่างนี้ใช่ PIE : มีแต่ใช่กับไม่ใช่
พี่เหนือ : ใช่ แล้ว Michel เขาก็จะแบบ…โอเค You ทำ�แนวนี้ก็ทำ�แบบนี้ PIE : Michel Paul Young เขามีประวัติยังไง
พี่เหนือ : เขามาจากอเมริกา ค่อนข้างมีชื่อเสียง เป็นดีไซเนอร์ที่ทำ�กราฟิกที่เป็นโมชั่น แล้วก็ทำ� You Work For Them ขึ้นมา เขาน่าสนใจตรงที่ เขาแก่กว่าเรา 1 ปี เขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยนะ เขาเริ่มเรียนรู้จากตัวเอง ตอนนั้นเรื่องเว็บไซต์์กำ�ลังมา เขาอยากรู้ว่ามันคืออะไรเขาก็ไปหัดทำ� ตอนนั้นเขา อายุ 18-19 เองมั้ง แล้วบริษัทเว็บไซต์ที่หนึ่งเขาเห็น เขาก็บินมาสัมภาษณ์ แล้วก็ให้ Michel Paul Young ไปเป็น Art Director ที่บริษัทนั้น ก็ทำ� เกี่ยวกับเว็บไซต์ พออายุ 21 เขาก็ทำ� You Work For Them ขึ้นมา ทำ�กับพาร์ตเนอร์อีกคนหนึ่ง เราก็ เอ้ย…ตอนเราอายุ 21 เราทำ�อะไรอยู่วะ แต่ว่าเขาเริ่มมีชื่อเสียงแล้วตั้งแต่ตอนนั้นมา 084
ประสบการณ์อะไรมาบ้าง
พี่เหนือ : ตอนเราเข้าไปทำ�งานใหม่ๆ 2-3 สัปดาห์ แรกจะไม่ค่อยเข้าใจ เขาจะมีคอนเซ็ปต์ให้ออกแบบ Vector, Element Art หรืออะไรพวกนี้ จำ�ได้ว่า คอนเซ็ปต์เกี่ยวกับงานหลุยส์ เราก็เข้าใจว่าจะต้อง ออกแบบให้เป็นหลุยส์ เป็นเลื้อยๆ เขาก็บอกว่าไมใช่ เราก็เลยลองทำ�วิธีอื่นหลายๆ อย่าง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ เราก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ…ยังไง เขาก็เลยเปิดงานให้ดู อันหนึ่ง คอนเซ็ปต์ชุดนี้ที่ขายมันเกี่ยวกับนกอินทรี แต่นกอินทรีของเขาเป็นนกที่เป็นสี่เหลี่ยมแฉกๆ แต่ว่า ดูแล้วเป็นนกอินทรี เราก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ มันก็คือ วิธีการเปลี่ยนมุมมองใหม่ ถ้าเราไปติดกับสิ่งที่เราเคย เห็นมา เราก็จะทำ�แต่อย่างนั้นอย่างเดียว พอเรา เปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นอะไรก็ได้ แต่ว่าคีย์ของมัน คือนกอินทรี มันจะเป็นแฉกๆ ก็ได้ แต่ว่ามันย้อน กลับไปถึงนกอินทรีได้ มันก็เลยทำ�ให้เราเข้าใจ อ๋อ… ไม่ใช่แล้ว เราก็เลยทำ�อะไรที่บ้าๆ แต่ว่ายังอยู่ในคีย์ ของมัน มุมมองมันก็เปลี่ยนไป PIE : แล้วมาชอบ Font ตอนไหน พี่เหนือ : ตอนแรก You Work For Them เขา จะดังเรื่อง Element Art, Stock Art แล้วอยากจะ เปลี่ยนมาขายพวกฟ้อนต์ให้เยอะขึ้น ก็เลยมีดีไซเนอร์ ต่างประเทศส่งฟ้อนต์เข้ามาเยอะขึ้น เราก็เลยได้ทำ� พรีเซ็นต์ฟ้อนต์แต่ละตัวให้เขา ซึ่งรูปแบบมันจะไม่ เหมือนกัน เราก็ได้สังเกตแล้วสนใจ จนเริ่มออกแบบ ฟ้อนต์ของตัวเองด้วย แรกๆ ก็ยังติดอยู่ในโครงสร้าง เราเลยลอง Drawing วาดตัวอักษร วาดตัว A ก็ วาดมันซ้ำ�ๆ อยู่นั่นแหละ จนเราคิดว่า ตัว A มัน เขียนอย่างอื่นได้หรือเปล่า เหมือนเขียน ก.ไก่ เริ่มทำ� ซ้ำ�ๆ เยอะๆ แล้วมันก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ว่า ก่อนที่
มันจะเป็นรายละเอียดต่างๆ มันก็เกิดจากตัวเขียน ก่อน ก็เริ่มเข้าใจว่า จริงๆ พื้นฐานของตัวอักษร มันมาจากการเขียน ถูกพัฒนามาเป็นดีไซน์ ถูก ตัดทอนต่างๆ มันก็อยู่ที่เครื่องมือด้วย พอไปใช้ กับพวกแม่พิมพ์ต่างๆ มันก็จะต้องถูกออกแบบให้ เป็นแบบนั้นๆ เพราะว่ามันจะขังหมึก ตัวพิมพ์หิน เขาต้องออกแบบอีกอย่าง พอเป็นตัวตะกั่วก็ต้อง ออกแบบอีกอย่าง แต่พอมาถึงยุคดิจิตอล มันเป็น offset แล้วมันยังไงก็ได้ จนเกิดตัวหนังสือเยอะขึ้น เราก็เลยค่อยๆ เรียนรู้ว่าวาดอย่างนี้ได้หรือเปล่า
PIE : วิธีการยังไง
พี่เหนือ : สมมุติว่าเราทำ�แบบนี้ซ้ำ�ๆ กัน ก็ พยายามหาว่า เฮ้ย มันจะเรียบได้หรือเปล่า ถ้ามัน เรียบแล้วเราจะไปจัดการมันยังไงให้มันดูเด่นได้ อาจจะเป็นเรื่องสีที่ต่างกัน ทำ�ให้มันดูน่าสนใจขึ้น อะไรแบบนี้ เราก็ไปพูดให้นักเรียนฟัง ช่วงที่เขา เปลี่ยนผ่านจากช่วงที่เขาดรอว์อิง แล้วเข้าสู่วิชา กราฟิกดีไซน์ เราก็บอกว่า จริงๆ พาวเวอร์ของ กราฟิกเนี่ย (เปิดภาพโลโก้ร้านตัดผม) อันนี้คือร้าน ตัดผมใช่มั้ย แต่มันบอกได้ถึงสไตล์ของร้านด้วย แบบตัวอักษรที่เขาเลือก ถ้าคุณวาดรูปอย่างเดียว คุณก็ต้องวาดแชนเดอเลียร์หรือ Element ต่างๆ PIE : นี่หมกมุ่นเลยนะครับ พี่เหนือ : (หัวเราะ) จริงๆ มันเยอะมากครับ มัน แต่กราฟิกดีไซน์มันมีแค่นิดเดียวแล้วมันเข้าใจ จะถึงจุดที่มันทำ�ซ้ำ�แล้วเริ่มตัน ก็จะเป็นช่วงที่เราจะ มันคือพลังแห่งการสื่อสาร อย่างงานอันนี้ (ฟ้อนต์ ในน้ำ�) เรารู้สึกว่าตัวอักษรมันมีเสียง มันมีพลัง พยายามหาวิธีการใหม่ๆ เหมือนเอาชนะตัวเอง 085
เปล่งออกมา ก็เลยพรีเซ้นต์แบบนี้ อย่างตัวนี้ก็ทำ�ให้เราได้งาน จากต่างประเทศเหมือนกัน เราก็ค้นพบว่าเรามีความสุขอย่างนี้ ความสุขในการวาดอะไรง่ายๆ ดูสบายๆ ไม่ได้มีความสุขกับ การฝนทีละเส้น 086
PIE : แล้วกับลูกค้าเมืองนอกมาเป็นยังไง
พี่เหนือ : ง่ายกว่าการที่ทำ�งานกับคนไทยเยอะ ส่วน มากเขาจะเห็นในเว็บไซต์เรา เขาก็จะบอกว่าเราชอบ งานสไตล์นี้ของคุณนะ แล้วก็อยากให้คุณออกแบบเสื้อ ให้หน่อย ค่าใช้จ่ายเท่านี้โอเคมั้ย แล้วก็มีเดดไลน์เวลา เราก็ทำ�ให้ตรงไทม์ไลน์ แล้วก็ส่ง โอเคไม่โอเคยังไงก็ ว่ากันอีกทีนึง ปกติถ้าทุกอย่างโอเค เราก็จะส่งไฟล์ไป ให้เรียบร้อย แต่ยังไม่บอกเขานะ เขาก็อีเมลมาบอกว่า เออ เดี๋ยวเขาโอนเงินให้นะ พอโอนเงินเสร็จแล้วคุณ ค่อยส่งไฟล์ไปให้ เราก็คิดในใจ…ส่งไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว (หัวเราะ) เราก็ชินว่า ทำ�งานกับคนไทยก็จะแบบ ส่งไฟล์ไปก่อนแล้วค่อยทวงเงินทีหลัง
PIE : ตัวที่เป็นปก Wallpaper เราก็ชอบ คาแร็กเตอร์นั้นมันเกิดมาได้ยังไง
พี่เหนือ : จริงๆ Dieter Rams เขาจะมินิมัลมากๆ เราก็สงสัยว่า เอ๊ะ Wallpaper ทำ�ไมเขาถึงให้เรา ทำ�งานนี้ เพราะโดยปกติงานเราจะเยอะ เราก็คิดว่า เฮ้ย…สงสัยมันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เราจะ บาลานซ์ยังไง ด้วยความเป็นซิกเนเจอร์ของเราด้วย ก็เลยเห็นแว่นเขา แล้วเราก็ใส่มือเข้าไป เหมือนคน ปิดตา แค่นั้นเอง เรารู้สึกว่า เออ มันแค่นี้ก็ได้นี่ แล้วมันออกมาพร้อมกับปกของ CG+ ซึ่งต่างกัน แบบสุดขั้ว เราเชื่อว่าทุกคนมีหลายด้าน แต่ก็มีด้าน หนึ่งที่เราชอบพวกนี้ ดูเท่ๆ คือมันเหมือนกับมีความ เป็นเด็กอยู่ในตัว แล้วก็มีความที่ชอบแหวน ชอบ อะไรแบบนี้ หรือแม้กระทั่งชอบร็อก เราใส่เสื้อร็อก PIE : แล้วฟ้อนต์ไทยล่ะ พี่เหนือ : พอเราทำ�ภาษาอังกฤษเยอะขึ้น เราเร่ิมมอง แต่ใส่กางเกงสีขาว ถุงเท้าลาย (หัวเราะ) มันก็เลย มันเป็น Element มองเป็นภาษาหนึ่งที่เป็นทั้งภาพและ เกิดรูปแบบขึ้นมา ที่ เออ...ก็ชอบอย่างนี้ ฉะนั้นมัน ภาษาในตัว ภาพที่มันอ่านได้ แล้วภาพนั้นมันก็เสนอ เลยมีกลิ่นของเรา สิ่งที่เราจะพูดได้ด้วยอารมณ์ของมัน รู้สึกว่าภาษาไทย คนยังกลัวกับมันอยู่ เราก็เลยพยายามจะใช้วิธีการนั้น PIE : แล้วทำ�ไมหลังๆ หันมาวาดมือเยอะ ที่เราเข้าใจภาษาอังกฤษ มาทำ�งานรูปแบบภาษาไทย พี่เหนือ : เพราะว่าเราทำ�คอมพิวเตอร์มากๆ ก็ โดยไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเป็นโครงสร้างภาษาไทย เราก็ อยากกลับไปสู่ธรรมชาติ เราเห็นพวกเฟรมรูปต่างๆ พยายามที่จะไม่กลัวที่จะใช้มัน พยายามที่จะเล่นกับมัน แล้วจะกลัว ไม่กล้าวาด เราจะกล้าวาดกับกระดาษ อย่างงาน “เก็บตก” ก็เล่นกับมันว่า “เก็บตด” อะไร มากกว่า ก็เอาวะ ก่อนที่เราจะไปเสียเงินซื้อเฟรม แบบนี้ เวลาเราได้คำ�หรือคอนเซ็ปต์อะไรมาเราจะท่อง เราก็วาดกับกระดาษให้อยู่ก่อน ก่อนที่เราจะไปล้มลุก มันไว้ในใจอยู่ตลอด คิดกับคำ�ๆ นั้น ว่าเรารู้สึกอะไร คลุกคลานในเฟรม กับมัน แล้วก็เล่น พลิกแพลงมัน แต่ที่น่าประหลาดใจ คือ มีน้องคนหนึ่งเขาโพสต์รูปนี้แล้วเขาร้องไห้ เราก็ PIE : ต่อไปก็จะลงเฟรม เฮ้ย ทำ�ไม คือ ณ ภาวะตอนนั้นเขาเครียด แล้วมา พี่เหนือ : ตอนนี้เริ่มเปลี่ยน คือมันไม่ต้องลงเฟรม เห็นอันนี้ เขามองเป็นคำ�ว่า “เก็บกด” เพราะว่าเรา ก็ได้ วาดบนกระดาษก็เป็นงานได้เหมือนกัน อยู่ที่ตัว พยายามเล่นกับโครงสร้าง มันอยู่ที่ภาวะของคนคนนั้น เรามากกว่า พอถึงจุดหนึ่งก็อาจจะลองไปลงเฟรมดู เพราะเรารู้สึกว่าเฟรมมันมีความหนา มันถูกยกขึ้นมา ด้วยที่จะเห็นคำ�ไหนก่อน ถ้าทะลึ่งๆ ก็จะเห็นเป็น ให้ดูเด่น รู้สึกว่าถ้าเราจะไปลงตรงนั้น…มันจะหลุด เก็บตด (หัวเราะ) 087
จะเกินออกมาได้หรือเปล่า ตอนนี้ก็เหมือนทดลองวาด ไปเรื่อยๆ PIE : มันดูเป็นที่เฉพาะ
พี่เหนือ : ใช่ๆ มันดูเจาะจงมากๆ แต่พอเราวาด กระดาษ เราก็หยิบกระดาษ A4 มาแล้วก็ดรอว์อิง ได้เรื่อยๆ มันมีอิสระของมัน PIE : งานที่ทำ�ลงในนิตยสาร Monocle เขาเห็นงานพี่ จากที่ไหน
พี่เหนือ : เห็นจากในเว็บไซต์ Behance มันจะรวม ฟรีแลนซ์เยอะมาก เราก็จะได้งานจาก Behance เยอะมาก เล่มนั้นเขาทำ�เรื่องเมืองไทย ก็คงเหมือนว่า อ่ะ รัฐบาลไทยจ้างไปแล้วก็…หาดีไซเนอร์ไทยดีกว่า แล้วเขาก็ reference มาว่า เขาชอบงานนี้ที่เราขายอยู่ ก็เลยให้ทำ� งานนี้มันก็จะมีเวลาจำ�กัด เขาอีเมลมาว่า ส่งงานนี้ในเวลา 6 โมงเย็นของลอนดอน ก็เที่ยงคืน ของเรา พอเขาตรวจงานเสร็จประมาณตี 2-3 เขาก็ อีเมลกลับมา มันก็จะมีไทม์ไลน์ที่แน่นอน PIE : แล้วที่ลงหนังสือของญี่ปุ่นล่ะ
พี่เหนือ : ญี่ปุ่นก็ไปเจอใน Behance เหมือนกัน แล้วเขาติดต่อมา
ภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ภาษาเกาหลี เขาจะเป็นเว็บที่… สมมุติมีงานเข้ามาทาง ubies แล้วเขาเสนอเราไป เขาจะเป็นนายหน้าในการคุยเรื่องสัญญาต่างๆ เรา ก็โอเค รู้สึกว่าดีด้วย เพราะว่ามีคนจัดการให้ เขา ติดต่อมาว่าอยากสัมภาษณ์ อยากมาคุยด้วย แล้ว เขาก็จะให้เราลิสต์ว่ามีดีไซเนอร์คนไหนน่าสนใจบ้าง เราก็ลิสต์ๆ ไปแล้วให้เขาไปดูเอง หลังๆ ก็จะมีต่าง ประเทศเข้ามาแล้วให้เราลิสต์ไปให้ เราก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย สงสัยอีกหน่อยต้องทำ�เว็บไซต์ที่รวมดีไซเนอร์ แล้วทำ� feature ขึ้นมา PIE : เว็บไซต์ที่รวมดีไซเนอร์ไทย
พี่เหนือ : ใช่ เพราะว่าพอเปิด AEC เราเริ่มรู้สึกว่า ปีที่แล้วมันเริ่มคึกคัก แต่ในขณะที่เมืองไทย รััฐบาล เขาไม่ได้สนใจเรื่องดีไซน์ เราว่าเขาไปมุ่งเน้นที่การ ผลิต มันอาจจะไม่ถูกไปซะทีเดียว อย่างสมมุติถ้าเรา สร้างแบรนด์ เราสามารถสร้างแบรนด์ของประเทศได้ ด้วยการ อ่ะ…สมมุติว่าสินค้านี้มาจาก Swiss เราจะ รู้สึกว่าดีไซน์มันต้องดีอยู่แล้ว มันก็สร้างเรื่องมูลค่า ขึ้นมา เราก็มองว่า โอเคไม่เป็นไร เขาไม่ทำ�ให้เรา ก็ทำ�กันเองแล้วกัน ก็ช่วยผลักดันกันเอง PIE : ถามถึงการเป็นอาจารย์หน่อย
พี่เหนือ : สอนมา 2 ปีได้ เราก็ไปสอนพวก PIE : เป็นสัมภาษณ์ Time Base กับพี่เกี้ยมอี๋ แล้วก็สอน Information พี่เหนือ : ทาง ubies เขากำ�ลังทำ�โปรเจ็กต์รวบรวม Graphic จริงๆ เราชอบ info นะ เราก็รู้สึกว่าได้ ดีไซเนอร์ในเอเชีย คือคนญี่ปุ่นคนนี้เขาจะอยู่ที่ลอนดอน เรียนรู้จากงานของนักเรียนด้วย เราไปสอนในฐานะ แล้วก็มีทีมงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เขาหาดีไซเนอร์ทั้งหมดมา เราเป็นกราฟิกดีไซน์ เรามองข้อมูล แล้วย่อยมัน เพื่อจะทำ�เว็บไซต์นึงที่คล้ายๆ Behance แต่มันจะมี ออกมายังไงให้เป็นงานที่สื่อสารเข้าใจง่าย การสอน สัมภาษณ์ มีอะไรต่างๆ ด้วย เป็นโปรเจ็กต์แลกเปลี่ยน หนังสือมันเหมือนการแก้ปัญหาชนิดหนึ่ง คือเด็ก ก็คือเอาคอลัมน์ในนิตยสาร CG+ ของไทยไปแปลเป็น 40 คน แต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน เราจะจัดการ 088
คนนี้ยังไง จะเข้าใจตัวเขายังไง คนนี้ทำ�งานอยู่ใน PIE : อาชีพกราฟิกดีไซน์แบบที่มีสไตล์ชัดเจนมัน กรอบตลอด แต่เราจะให้เขาหลุดจากกรอบได้ยังไง มีตลาดให้ทำ�มั้ย พี่เหนือ : มีนะ แต่ว่ามันต้องใช้เวลา ในมุมมองของเรา ทุกอาทิตย์เราจะแก้ปัญหา เรารู้สึกว่ามันดีขึ้น อย่างพี่กิ๊ฟ (รักกิจ ควรหาเวช) พี่ตั้ม (พฤษ์พล มุกดาสนิท) ก็เปิดตลาดให้เห็นว่า ตอนนี้ PIE : เด็กที่เรียนส่วนใหญ่มีปัญหาอะไร พี่เหนือ : ในยุคนี้ไม่เหมือนยุคที่พวกเราจะชอบ กราฟิกสามารถไปทำ�เป็นไอคอนหนึ่งแล้ว แต่อีกมุมหนึ่ง อะไรแล้วลงลึกกับมัน เหมือนตอนนั้นจะหาซื้อเทป คือมันต้องพัฒนาขึ้นไปอีก อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่า ก็แพง จะซื้อทีก็คิดแล้วคิดอีก แต่พอเป็นยุคนี้มี เราจะทำ�ยังไงให้แบรนด์ของประเทศมันมีได้ ในการเปิด AEC เราก็แพลนไว้เหมือนกันว่า เราจะทำ�ยังไงให้ตัวเรา YouTube มี Facebook ทุกอย่างมันเข้ามาไว เขาก็จะ เอ้ย…ชอบอันนี้ด้วยๆๆ แต่ว่าเขาไม่รู้ว่า แข็งแรงขึ้น อ่ะ…ทำ�ไมเมืองนอกถึงจ้างเรา โดยที่เขาไป เขาชอบเพราะอะไร แล้วเขาจะชอบแป๊บนึงแล้วก็ จ้างคนอื่นได้ เพราะเขาเคารพในลายเซ็น ในซิกเนเจอร์ หันไปชอบอันอื่น ก็เลยกลายเป็นว่าเขาหาประเด็น PIE : ดีไซเนอร์ควรมีลายเซ็นเฉพาะตัว ในการออกแบบยาก พี่เหนือ : บางงานมันควรจะมี เพราะลูกค้าต้องการ อีโก้ของเราตรงนั้น งานบางงานเราควรจะถอดลายเซ็น PIE : ควรใช้เวลามากกว่านี้ พี่เหนือ : ใช่ ถ้าชอบเกาหลี ชอบเพราะอะไร แล้ว ของเรา อย่างเช่น งานนิทรรศการ Hear Here ถ้าเรา รากของเกาหลีมันมาจากไหน เขาเป็นมายังไง แล้ว ไปวาดเป็นแบบเรามันก็ไม่ตรงโจทย์ เขาก็มองเห็นว่าเรา จุดเปลี่ยนมันเป็นยังไง แล้วเขาก็จะอแดปไปใช้กับ ถนัดเรื่องเสียง งานทดลองกับตัวอักษร เราก็ใช้จุดนั้น เหมือนเรามีแค็ตตาล็อกของเราเยอะ เรามีงานที่เป็นงาน วิธีคิดของเขาได้ วาด งานที่เป็น Typo งานที่เป็นวิดีโอ แต่ทุกอย่างมันมี ความคิดลิงค์กันอยู่ เราก็จะเลือกเอา อันนี้เหมาะสม อันนี้ใช่ ไม่ใช่ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องตลาดมันต้องใช้เวลา ระยะหนึ่ง จากเมื่อก่อนที่คนไม่เข้าใจกราฟิกดีไซน์ อย่าง พ่อแม่เรา ก็คิดว่า เหนือทำ�อะไร ทำ�ไมจะต้องลำ�บาก ขนาดนี้ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เห็นงานนี้แล้ว รู้ว่าอันนี้งานเรา แต่ถ้าถามเราว่าตลาดในเมืองไทย…เรา หวังตลาดเมืองนอก แต่ว่ามันก็ต้องต่อสู้ PIE : มันก็ยังอยู่ในวงแคบ มันจะเป็นวงกว้างได้ยังไง
พี่เหนือ : ตอนนี้สังเกตการถาม นักเรียนเมืองนอกเขา ถามเราว่า เราออกแบบภาษาอังกฤษอย่างนี้ มีแนว 089
090
ความคิดยังไงโดยที่ไม่มีความรู้เรื่องภาษา เราตอบว่า เราก็ใช้ความที่เราไม่รู้นี่แหละ เขาก็ถามต่อ แล้วเรา ไปเจออะไรมา เขาไล่ถามหมดเลยนะ พ่อแม่ทำ�งาน ศิลปะหรือเปล่า โตมายังไง เรียนอะไร ภาพอะไรที่ ทำ�ให้เกิดแรงบันดาลใจ แต่เขาจะไม่ถามว่า งานดีไซน์ อะไรที่ทำ�ให้เกิดแรงบันดาลใจ เพราะตอนนี้มันเกิด เว็บไซต์แบบ Pinterest เกิด Tumblr เกิดอะไรต่างๆ ที่มีงานให้ดูมากมาย เขาอาจจะเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ แต่เขาชอบภาพถ่ายภาพนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจาก ภาพถ่ายนี้ เขาไม่ได้ไปเจองานออกแบบกราฟิกแบบนี้ แล้วอยากทำ�แบบนี้ ฉะนั้นจุดนี้ที่เรามองว่าจะทำ�ยังไง ให้เมืองไทยคิดแบบนี้ได้ จะทำ�ยังไงให้เราข้ามจุดตรง นี้ได้ อย่างบางคนชอบ Swiss Style ชอบ Modern คุณจะทำ�งานยังไงให้ออกมาเป็นโมเดิร์นสไตล์ที่ โอ๊ย… โคตรโมเดิร์นเลย แต่ในทางกลับกัน เมืองนอกเขาไม่ได้ ทำ�แบบนั้น เขามองว่า โมเดิร์นมันให้อะไรกับคุณ แล้วคุณคิดยังไงกับมัน แม้รากของมันมาจากตรงนี้ แล้วจะแหกคอกมันยังไง ฉะนั้นถ้าดีไซเนอร์เมืองไทย เข้าใจตรงจุดนี้ มันก็จะหลุดกรอบจาก reference อย่างเราดูงานของฮ่องกงนะ โห…คิดอะไรวะ เรียน ที่ไหนมาวะ เขาสอนอะไร (หัวเราะ) เรารู้สึกว่ามันมี ความสดอยู่ในนั้น ดีไซเนอร์เมืองไทยเก่งนะ มีฝีมือ
แต่ถ้ามีความสดขึ้นมา มันก็จะมีอะไรที่ชัดเจน พอ ชัดเจนปุ๊บตลาดมันก็จะกว้างขึ้น คนอยู่อังกฤษอยาก ได้งานแบบนี้ เขาต้องจ้างเรา เขาไม่ได้จ้างดีไซเนอร์ ที่…เฮ้ย ฉันอยากได้อย่างนี้ คุณทำ�งานแบบนี้ได้มั้ย เขาจะเลือกเอาว่าคนนี้ทำ�งานแบบนี้ๆ PIE : แต่คนไทยยังติด reference กันอยู่
พี่เหนือ : ใช่ บางคนเขาถามว่า ไม่มี reference แล้วไปทำ�งานกับลูกค้ายังไง เวลาเราไปคุยงาน เราจะ สเกตช์ไปเลย 80% อย่างทำ� Hear Here เนี่ย เขาให้ โจทย์มาว่า อยากทำ� Exhibition หนึ่งที่เกี่ยวกับเสียง ขึ้นมา แล้วอยากให้เราออกแบบตัวอักษร ออกแบบ Visual ที่มันสื่อได้ถึงเสียง เราก็ไปคิดมาว่าจะทำ�อะไร แล้วก็รู้สึกกับเสียงยังไง ตัวอักษรมันจะไปเกี่ยวข้องยังไง เขาให้เวลาเรา 3 วัน เราก็คิดว่า ถ้าเข้าไปคุยก็น่าจะมี อะไรสักอย่างเข้าไปแสดงถึงสิ่งที่เราคิด ก็เลยทำ�พรีเซ้นต์ ขึ้นมา อันนี้คือสิ่งที่เราคิดกับตัวอักษรว่ามันจะเป็นแบบนี้ ได้นะ ในเรื่องของ Noise เรื่องของอะไร เราก็ทำ�ออกมา ให้เขาเห็น Symbolic อะไรที่มันเกี่ยวข้อง คือสเกตช์ ไอเดียสิ่งที่เราคิดไว้ออกมา แล้วเวลาใช้งานมันจะใช้ ยังไงล่ะ ก็ทำ�ออกมาให้เห็นภาพเลย 091
เจอจุดที่เราแฮปปี้ เท่ากับเราได้กระโดดข้ามตัวเรา พี่เหนือ : เราจะสกรีนระดับหนึ่ง เราไม่มีนามบัตร ตรงนั้นไปแล้ว ถ้าอยากรู้จักเราก็เข้าเว็บไซต์ไป จะไม่อยากรู้จัก เยอะ แต่ก็ทำ�โปรโมตในเฟซบุ๊ก PIE : ต่อไปอนาคตอยากทำ�อะไรบ้าง พี่เหนือ : อยากทำ�โปรดักต์ของตัวเองนะ อย่างเสื้อผ้า PIE : เลือกลูกค้ามาระดับหนึ่ง แล้วมีคิดไม่ตรงกัน อาจจะเป็นปลอกหมอน ตุ๊กตา มันอาจจะไม่ได้ขายดี บ้างมั้ย แต่เรามองการตลาดว่า คนอาจจะไม่เข้าใจกราฟิกเยอะ พีเ่ หนือ : จะมีหลุดมาอยูเ่ หมือนกัน ไม่รเู้ อาเบอร์มา แต่คนเข้าใจในโปรดักต์ คนจับต้องได้ ซื้อไปใช้ที่บ้านได้ จากไหน (หัวเราะ) คุณเหนือ อยากให้ทำ�อย่างนี้ๆ แล้วสิ่งนั้นมันจะซึมซับเข้าไป ตัว JK มันก็จะแข็งแรงขึ้น เข้ามาคุยได้มั้ยคะ โอเคก็เข้าไปคุย ผมก็จะมี iPad สมมุติลูกค้าอยากได้งานลักษณะอย่างนี้มันก็ง่ายขึ้น อธิบายว่าผมทำ�งานแบบนี้ วิธีคิดผมเป็นแบบนี้นะ เขาก็เข้ามาหาเรา ลูกค้าต่างประเทศเขาก็เห็นอะไรที่ จุดประสงค์ของผมคือทำ�งานให้มันดี จุดประสงค์ มันเป็นรูปธรรม เขาอาจจะชอบจากโปรดักต์ก่อน แล้ว ของเราคือจุดประสงค์เดียวกัน ถ้าคุณโอเคกับภาษา ค่อยเรียนรู้ว่า มันคือ Illustration มันคือ Typography ของเราก็จะแฮปปี้ด้วยกัน แต่ถ้าไม่โอเคก็เป็นคนอื่น อะไรแบบนี้ ดีกว่า (หัวเราะ) ก็จะมีเหมือนกัน ทำ�งานกับคน รู้จัก เขาอาจจะเข้าใจเราในมุมมองอีกแบบ แต่เขา PIE : งานอดิเรกทำ�อะไรบ้าง อาจจะไม่เข้าในมุมมองของกราฟิกดีไซน์มาก อันนี้ พี่เหนือ : ก็ทำ�หลายอย่างนะ วาดรูป ฟังเพลง เล่น เราก็ต้องบาลานซ์ เพราะตอนเด็กๆ เราก็เคยเป็น กีตาร์ ดูหนังสือ บางทีอยากไปว่ายน้ำ�ก็ไป เพราะว่าอยู่ แบบ…พี่ ถ้าแบบนี้ผมไม่ทำ�นะ พอโตขึ้นเรามอง กับดีไซน์มากๆ ก็ต้องหลุดจากดีไซน์บ้าง อดิเรกอาจจะ ย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า เราไม่ดีที่ทำ�อย่างนั้น คือ กลับมาดูหนังสือดีไซน์ แต่เรารู้สึกว่ามันเยอะไปหรือเปล่า ลูกค้าคนนั้นเขามีความฝันว่าอยากให้กิจการเขา (หัวเราะ) เป็นแบบนี้ แล้วถ้าเราอยากทำ�งานที่เราอยากทำ� อย่างเดียว มันเหมือนกับเราเห็นแก่ตัวเกินไป PIE : ดีไซเนอร์ที่ชอบ ทั้งไทยและต่างประเทศ ฉะนั้นควรจะคุยกับเขาก่อนดีกว่า สร้างความฝัน พี่เหนือ : ของไทยเราชอบพี่ TNOP เราชอบงานเขา ของเขาให้สำ�เร็จ เราสามารถถอดความเป็นตัวเรา ตั้งแต่ตอนเด็ก คิดว่าคนนี้เก่งเนอะ ต่างประเทศก็ ออกไปนิดนึงได้หรือเปล่า ถ้ามีคนให้เราทำ�ลูกทุ่ง Stefan Sagmeister แล้วก็คนที่ออกแบบปกเทปให้ เราอาจจะไม่ชอบลูกทุ่งก็ได้ แต่ว่าในจุดนั้นมันอาจ Radiohead ชื่อ Stanley Donwood มีอะไรน่าสนใจ ถ้าเราต้องทำ� เราไม่มีทางเลือกแล้ว แล้วเราจะทำ�ยังไงให้มันดี ฉะนั้นเราก็จะหาวิธีการ PIE : ช่วงนี้มีงานอะไรอีก ทดลองทำ�มันก่อน ไอ้สิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ดีมันอาจ พี่เหนือ : เอ้อ มีงานนี้ ที่ทำ�ให้ Desktop Magazine จะมีอะไรน่าสนใจก็ได้ เราจะปรับมันยังไง ถ้าเรา มันเป็นนิตยสารของออสเตรเลีย แล้วฉบับที่กำ�ลังจะ PIE : แล้วพี่เหนือมีวิธียังไง ถ้าเจอลูกค้าไม่ค่อยดี
092
093
ออกเป็นฉบับที่เอาดีไซเนอร์เพื่อนบ้านมาตีความ เป็นออสเตรเลีย มี 6 ประเทศ แล้วเขาเลือกเรา เป็นดีไซเนอร์ไทย แต่เราก็ไม่เคยไปออสเตรเลีย (หัวเราะ) PIE : แล้วทำ�ยังไงครับ พี่เหนือ : เราก็เลยพยายามจะเข้าใจ ซื้อหนังสือ ออสเตรเลียมาอ่าน แต่เคยดูหนังเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ ออสเตรเลีย เป็นเรื่องเกี่ยวกับฆาตกรรมในหุบเขา อะไรสักอย่าง มันน่าจะมีความดาร์กอยู่ในตัว 094
เราก็ไม่รู้จะทำ�อะไร เขียนคำ�ว่าออสเตรเลียไปแล้วกัน (หัวเราะ) แล้วในคำ�ก็ใช้ Element ไทยๆ ผสมกับพวก ชนเผ่า Aborigine เข้าไป แล้วก็ให้มันเป็นตัวอักษร โดยที่เราบอกเขาว่า เรานึกถึงการออกเสียงแล้วมันมี สำ�เนียงที่เป็นไทยอยู่ Element ไทยๆ แต่พูดออกมาเป็น ออสเตรเลีย ตอนแรกเราไม่ได้สนใจคนนี้ เขาอีเมลมา… คนบ้าอะไรชื่อ Help (หัวเราะ) เราก็โอเคๆ ก็ลืมไปแล้ว แล้วเราก็ไปซื้อแม็กกาซีนเล่มนี้มาโดยบังเอิญนะ เราชอบ เล่มนี้นะ ลงงานยุคเก่าๆ มันน่าสนใจดี แล้วก็พลิกไปดู หน้า Editor อ้าว คนนี้นี่หว่า เราก็ โอ้ โอเคๆ (หัวเราะ)
เพราะมันมีบางทีของานเราไป แล้วก็เงียบหายไปเลย อย่างมีที่ดูไบขอไป เราก็ส่งไปให้ แล้วเขาก็เงียบหาย ไปเลย ก็เลยคิดว่าหลอกเราหรือเปล่า แต่มีเว็บไซต์ มีสตูดิโอน่าเชื่อถือ บางทีอีเมลมันมาเยอะตั้งแต่ต้นปี มีคนเกาหลี คนญี่ปุ่น ที่มาทำ�ธุรกิจกับคนไทย คือ มันตื่นตัวจนเราก็ตกใจเหมือนกัน เราคุยกับคนญี่ปุ่น ที่เขาทำ�เสื้อผ้าขายในเมืองไทย แล้วอาทิตย์ก่อน ubies เขาเอาแม็กกาซีนมาให้ แล้วก็มาคุยเรื่องโปรเจ็กต์ ว่าเขาทำ�เนื้อหาแบบนี้ๆ นะ เราก็คุยกับเขา เขาก็ บอกว่ามันตื่นตัวมากเลย แต่ของในไทยยังนิ่ง เงียบ
มากเลย (หัวเราะ) แต่เหมือนกับพอมีอินเตอร์เน็ตมัน ก็กว้างขึ้น เมื่อก่อนจะรู้จักกับใครต้องผ่านนิตยสาร แต่เดี๋ยวนี้แป๊บเดียวเอง มันเปลี่ยนไปแล้ว PIE : ดีไซเนอร์ที่ดีควรมีอะไรบ้าง พี่เหนือ : มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ได้โจทย์มา เห็นข้อมูลนั้นและเข้าใจมันจริงๆ แล้วเปลี่ยนข้อมูล เหล่านั้นให้เป็นดีไซน์
095
096
097
BASE CULTURE
THINKING
098
ความคิด / ไร้สาระ
NONSENSE
099
YAMMMMMMMMY
YAMMMMY
0100 100
YAMMY
Y
0101 101
START
ON THE WAY
+
+
+
0102 102
+
ON THE WAY
FINISH
0103 103
POLITE
water
0104 104
JOYFULLY
soda
0105 105
IMAGINE LYRICS BY JOHN LENNON
0106 106
IGAMNIE LYIRCS BY JHON LNENON
0107 107
I AMNIE L IRC BY HON L NON
0108 108
I AM
0109 109
o sec
5 sec
9 sec
12 sec
15 sec
17 sec
0110 110
TIME LIFE 20 sec
0111 111
0112 112
CHOOSE TO LISTEN
0113 113
NONSENSE NONSENSE NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
THINKING
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONNON- SENSE SENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
0114 114
NONSENSE NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
NONSENSE
:( ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ หาความคิดดีๆ ไม่เจอเลย คิดออกแต่เรื่องไร้สาระ สับสนกับปัญหาหรือเราไม่มีปัญญา นั่งคิดมาหลายนาที หลายชั่วโมง หลายวัน จนถึงขั้นหลายเดือน ก็คิดไม่ออก คิดออกแต่เรื่องไร้สาระ คิดออกแต่เรื่องไร้สาระ คิดออกแต่เรื่องไร้สาระ คิดออกแต่ไร้สาระ คิดออกแต่ไร้สาระ คิดแต่ไร้สาระ คิดไร้สาระ คิดไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ :)
0115 115
116
PIE INSPIRATION
KOICHI SHIMIZU SOUND ADVENTURER ทางเดินของดนตรีนอกกระแสในบ้านเรา ดูจะเป็นหนทางที่แคบและ ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีศิลปินอีกหลายคนที่พยายาม ถางทางสร้างเสียงเพลงใหม่ๆ ให้กับวงการดนตรีอยู่บ้าง หนึ่งใน นั้นคือ “โคอิจิ ชิมิสึ” นักออกแบบเสียงชาวญี่ปุ่น และผู้บุกเบิกค่าย เพลงอินดี้ซาวนด์มีเอกลักษณ์ SO::ON Dry FLOWER ที่ยังคง เดินไปพร้อมเสียงดนตรีในแบบที่เขาเชื่อมากกว่า 10 ปีแล้ว
117
PIE : คุณโคอิจิเกิดที่ญี่ปุ่น เมืองอะไรครับ
KOICHI : อยู่เมืองชื่อโคฟุ ยามานาชิ อยู่ข้างๆ โตเกียว ใกล้กับภูเขาฟูจิ เดินทางครึ่งชั่วโมงก็ถึง
5 ปี ก็ 15 ปีแล้ว ก็ไม่เคยคิดว่าจะอยู่นานแค่ไหน แต่แป๊บเดียวมันก็ 10 ปีแล้ว ต่อไปจะอยู่นานแค่ไหน ก็ไม่รู้
PIE : บรรยากาศเมืองเป็นยังไงบ้าง
PIE : ช่วงแรกที่มาอยู่เมืองไทยเป็นยังไงบ้าง
KOICHI : ก็เป็นบ้านนอกหน่อย จริงๆ ข้าม ภูเขาหนึ่งลูกจากโตเกียวมาก็ถึงแล้ว แต่ว่ามันเป็น บ้านนอกนะ มันมีแต่ภูเขา ธรรมชาติ เมืองเล็กๆ อารมณ์เหมือนโคราชเนี่ยแหละ มองไปทางไหนก็ เห็นแต่ภูเขา 360 องศาเลย เหมือนเป็นเมืองที่ อยู่ในภูเขา เงียบสงบดีนะ ผมอยู่ที่นั่นถึงอายุ 18 ตอนเด็กๆ ก็เป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งทั่วๆ ไป เล่นกีฬา เล่นดนตรี ไม่ค่อยได้เที่ยว เพราะไม่มี ที่เที่ยว ไปโรงเรียนเสร็จก็ไปบ้านเพื่อนเล่นดนตรี พอมืดก็กลับบ้าน ไม่ได้ไปเฮฮากับเพื่อน PIE : แล้วเป็นไงมาไงถึงได้มาอยู่เมืองไทย
KOICHI : ช่วงแรกยังเด็กๆ ก็แบบเซอร์ๆ มีเริ่มแต่ง เพลงตัวเอง เพื่อนๆ ที่เป็นเพื่อนจนถึงปัจจุบันก็รู้จักกัน ตั้งแต่ตอนนู้น เพื่อนรุ่นเราที่เป็นนักดนตรี ตอนนั้นก็มี Siam Secret Service พี่ป๊อด Modern Dog ตอนนั้น เราสนิทกับคนที่อยู่ใน Bakery พี่สมเกียรติ, นภ พรชำ�นิ, Yokee Playboy แล้วก็ Joey Boy ก็แบบแฮงก์ด้วยกัน ก็ใช้ชีวิตแบบว่าเที่ยวมากกว่า เรียนด้วย ทำ�งานด้วย แต่เน้นเที่ยว (หัวเราะ) PIE : อยู่มาทั้งญี่ปุ่นและเมืองไทย สองประเทศนี้มี ความแตกต่างกันยังไงบ้าง
KOICHI : มันต่างนะ คือธรรมชาติของคนมันต่างกัน KOICHI : ตอนนั้นมีแฟนคนไทย ตอนไปเรียน ทำ�ให้อะไรที่ออกมาจากคนของแต่ละที่มันก็ไม่เหมือนกัน ซาวนด์เอ็นจิเนียริ่งที่อเมริกา ก็เจอผู้หญิงคนไทย ความรู้สึก วิธีการใช้ชีวิต คอนเซ็ปต์ของชีวิต มันก็ต่างกัน แล้วก็เป็นแฟนกัน หลังจบไฮสคูลก็เลยลองมาที่นี่ดู ทุกอย่างเลยนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต่างกันแบบคนละโลก ตอนแรกมาเที่ยว ก็ชอบ ก็อยู่สักพักหนึ่ง ครั้งแรก เพราะเป็นคนเอเชียด้วยกัน ก็มีอะไรที่ใกล้เคียงกันบ้าง ก็ราวสี่ห้าปีได้มั้ง แล้วก็กลับไปอยู่ญี่ปุ่นอีกประมาณ แต่ว่าการให้ความสำ�คัญกับบางเรื่องอาจไม่เหมือนกัน ห้าหกปี แล้วก็กลับมาอยู่ที่นี่อีกที ทีนี้อยู่ยาวเลย ก็ดีอย่างเสียอย่าง อยู่ที่นี่ก็สบายแต่บางทีก็สบายเกินไป มันก็ไม่ดี (หัวเราะ) อยู่ท่ีนู่นมันก็มีระเบียบ แต่บางที PIE : ตอนนี้อยู่เมืองไทยกี่ปีแล้ว ก็เครียดเกินไป ไม่มีอะไรพอดี คนญี่ปุ่นก็อยากมาที่นี่ KOICHI : คราวนี้อยู่ 10 ปีแล้ว รวมครั้งแรก เยอะนะ เพราะว่าเขาชอบความสบายของที่นี่ คนไทย 118
ก็อยากไปดูอะไรที่เป็นระเบียบของญี่ปุ่น ถ้าระหว่าง ว่าแนวอะไร แต่ถ้าเป็นเพลงช่วงปี 1967 หรือ 1968 นีผ่ มซื้อหมดเลย ตรงกลางญี่ปุ่นกับไทย ผมว่าพอดี PIE : ต้องเอามารวมกัน
KOICHI : ใช่ บางทีที่ญี่ปุ่นมันก็ฮาร์ดคอร์เกินไป ยิ่งอยู่โตเกียวเนี่ยมันเครียดเกินไป ไม่เหมาะกับ การใช้ชีวิตแบบครีเอทีฟสักเท่าไหร่ ถ้าอยากเป็น อาร์ติสต์ที่อยากมีเวลาคิดงานตัวเองแบบสบายๆ ก็ไม่อยากแนะนำ� เพื่อนๆ เราที่ญี่ปุ่นก็ย้ายออก ไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมด เพราะค่าครองชีพก็ถูก แล้วก็มีเวลา สุขภาพจิตก็ดี แต่ในโตเกียว ถ้าจะ ขายงานหรือดูงานของคนอื่นเนี่ย เป็นที่ที่สุดยอด PIE : เริ่มฟังเพลงจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่
KOICHI : เริ่มตอนสิบแปดสิบเก้า ตอนไปอเมริกา แต่ก่อนหน้านั้นก็ฟังนะ ตอนอยู่บ้านนอกที่ญี่ปุ่น ยุคนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ถ้าจะฟังเพลงก็ต้องซื้อ ซีดีหรือไม่ก็ฟังจากวิทยุ แล้วซีดีที่นำ�เข้ามาก็ค่อนข้าง น้อย ร้านซีดีก็มีแต่ร้านเล็กๆ มีร้านเช่าซีดี เช่า วันละ 30 บาท แต่ก็ไม่เยอะ ความรู้เราก็ยังแคบ ซื้อ Sex Pistols นี่คิดว่านี่คือพระเจ้าของร็อกเลย แล้วพอไปเรียนที่นิวยอร์กมันเจอทุกอย่าง รู้สึกโลก มันเปิด มันบ้าฟังเพลงมาก พอดีใกล้ๆ โรงเรียน มีร้านซีดีมือสอง ขายถูกมาก แผ่นละ 30 บาท ซื้อทุกวันเลย ยุคนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ก็พยายาม ดูปกหลังซีดี จะมีบอกว่าออกปีอะไร ผมไม่สนใจ
PIE : แล้ววงที่เปลี่ยนโลกการฟังเพลงของโคอิจิ คือวงอะไร
KOICHI : Nirvana นี่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง อันแรกเหมือนกัน ตอนที่อยู่ญี่ปุ่นเราก็เชื่อว่าแนว เมทัลเป็นอะไรที่เท่ที่สุด แล้วพอไปอเมริกาปุ๊บ พอดี ชุด Nevermind ตอนนั้นมันออกมา พอได้ดูเอ็มวี เพลง Smells Like Teen Spirit แล้วแบบ แม่งเท่ว่ะ (หัวเราะร่วน) แล้วตอนนั้นในอเมริกา Nirvana ก็บูม มาก แบบอยู่ดีๆ มันก็เกิดขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเราก็ฟัง Metallica, Slayer อะไรอย่างนี้ แต่อยู่ดีๆ เอ๊ะ ความเท่แบบนี้มันใช่รึเปล่า ก็เริ่มรู้สึกว่า Nirvana มันเป็นอะไรที่แบบ มันแจ๋ว มันเท่ น่าสนใจ PIE : ก็เรียกได้ว่าเป็นวงที่ทำ�ต้องคิดกับดนตรีมากขึ้น
KOICHI : ใช่ๆ พอฟัง Nirvana เสร็จเราก็อยาก จะศึกษาดนตรีว่ามีอะไร ยังไงบ้าง แล้วผมก็ค่อยๆ ไล่กลับไปฟังเพลงเก่าๆ พังก์ก็ฟังอยู่แล้ว แต่ว่าพังก์ ที่ฟังๆ มามันค่อนข้างแคบ อย่าง Sex Pistols, The Clash อะไรอย่างนี้ พอฟัง Nirvana ปุ๊บ เราก็อยาก รู้ว่ามีอะไรอีก ซีแอตเทิลมันมีอะไร สมัยก่อนซีแอตเทิล มีดนตรีแบบไหน แล้วก็มีพวก My Bloody Valentine ก็ออกมาใกล้ๆ กัน แล้วผมก็เริ่มสนใจพวกนอยซ์ (noise) ก็ไล่กลับไปฟังเพลงเก่าๆ 119
清水 浩一 Koichi Shimizu
120
PIE : แล้วพอจะจำ�วงแรกๆ ที่ชอบได้ไหม
KOICHI : แรกๆ Bon Jovi ก็ฟังนะ แต่ว่า Slayer เราไปดูคอนเสิร์ต เป็นคอนเสิร์ตครั้งแรก ที่เราไปดูคอนเสิร์ตวงเมืองนอก ได้ดูแล้วแบบ โอโฮ้ อเมริกานี่ต้องเป็นที่ที่น่ากลัวแน่ๆ (หัวเราะ) เวทีมันก็ตั้งเหมือนนรกเลยนะ แล้วเสียงก็ดังมาก แต่เราก็ประทับใจมากนะ แล้วตอนไปอเมริกา เนี่ยก็อยากไปดูวงเมทัล แต่พอไปซื้อตั๋วหน้างานก็ไม่กล้าเข้าไป มีแต่ผู้ชายมีรอยสัก กล้ามใหญ่ๆ เข้าไปนี่ตายแน่ๆ (ขำ�) แล้วพอดีเริ่มฟัง Nirvana ก็ไปดูงานอินดี้ร็อกของที่นู่น รู้สึกว่าอันนี้น่า จะปลอดภัยกว่าหน่อย มีแต่เด็กเนิร์ดๆ แล้วก็ผอมๆ (หัวเราะ) ตอนนั้นเราก็ไปดูคอนเสิร์ต พวกอินดี้เยอะมาก PIE : แล้วไปปิ๊งกับแนวอิเล็กทรอนิกส์ได้ยังไง
KOICHI : มีเพื่อนคนนึง เจอที่โรงเรียนตอนเรียนซาวนด์เอ็นจิเนียร์ เขาก็เป็นโปรดิวเซอร์ ฮิปฮอป เขาชอบซื้อแผ่นเสียงแล้วก็มีเครื่องมือดีๆ เยอะ เราก็ไปหาเขา ตอนแรกเราก็ช็อกไง เขาไม่ใช้กีตาร์แล้วก็ทำ�เพลง ใช้แผ่นเสียงดึงแซมเปิลมาแล้วก็ทำ�เพลง ดูแล้วโอโฮ...อันนี้ทันสมัย ที่สุดแล้ว (หัวเราะ) เจอสายอิเล็กทรอนิกส์หรือแซมปลิ้งมิวสิก หลังจากนั้นผมก็ทิ้งกีตาร์เลย เพื่อนคนนี้ปัจจุบันก็ยังสนิทกันอยู่ PIE : NO กีตาร์เลย
KOICHI : (หัวเราะ) คือเราประทับใจว่า เราไม่จำ�เป็นว่าต้องเป็นนักดนตรีที่เล่นเก่งๆ เล่นยากๆ แต่ก็ยังทำ�เพลงได้ แล้วตอนนั้นแนวนี้มันเพิ่งเกิด มันใหม่มาก ฟังเพลงก็ตื่นเต้นนะ เพลงมันแนว ใหม่ดี แต่ก็ยังฟังร็อกอยู่นะ แต่ตั้งแต่ตอนนั้นเราก็หยุดเล่นกีตาร์เลย PIE : ยังฟังร็อกแต่เติมอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา
KOICHI : ใช่ ถึงตอนนี้ก็ฟังทั้งร็อกกับอิเล็กทรอนิกส์ บางทีก็ชอบร็อกมากกว่า บางทีก็ชอบ อิเล็กทรอนิกส์มากกว่า มันก็จะสลับไปมาอย่างนี้ แต่พอกลับมาเมืองไทยก็เริ่มกลับมาเป็นกีตาร์ พวกโพสต์ร็อก มันเป็นแนวร็อกแต่ก็แปลกดี ทำ�ให้เริ่มกลับมาชอบกีตาร์อีก แต่ประมาณสามสี่ปี มาเนี่ยผมเริ่มเบื่อกีตาร์แล้ว ตอนนี้ผมก็บ้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่จริงๆ สองแนวนี้ก็มีอะไรที่เชื่อมกัน ได้อยู่นะ ผมชอบอิเล็กทรอนิกส์ที่อารมณ์เป็นร็อก
121
PIE : มีคนเรียกโคอิจิว่าเป็นซาวนด์อาร์ติสต์
KOICHI : คือบางทีก็มีคนถามว่าทำ�อาชีพอะไร บางทีก็บอกว่าเป็นซาวนด์อาร์ติสต์ มันไม่รู้จะบอก ยังไง นักดนตรีก็ไม่ใช่ โปรดิวเซอร์บางทีก็ไม่ใช่ ออร์กาไนเซอร์บางทีก็ใช่ แต่บางทีก็ไม่ใช่ ซาวนด์ อาร์ติสต์ก็ศิลปินที่เกี่ยวกับซาวนด์ เราคิดง่ายๆ ไม่มีความหมายลึกซึ้ง แต่ชื่อนี้มันก็ชัดเจนดี PIE : มาเรื่อง SO::ON Dry FLOWER บ้าง เกิดขึ้นมายังไง
KOICHI : ตอนผมมาเมืองไทยแรกๆ ก็เจอเพื่อนแล้ว ก็จัดอีเว้นต์ปาร์ตี้ด้วยกัน ใช่ชื่อว่า SO::ON เริ่มจาก ตรงนั้น ก็จัดปีละสามสี่ครั้ง ครั้งแรกจัดที่ About Cafe ก็จัดอยู่หลายปีนะ ก็เจอเพื่อนๆ เจออาร์ติสต์ รุ่นใหม่ๆ เจอพวกวง Goose อะไรพวกเนี้ย แล้วก็ ชวนมาเล่นอีเว้นต์เรา ก็เลยคิดว่าน่าจะมีซีดีออกบ้าง ก็ทำ�ซีดีขาย เริ่มเป็นฟังก์ชั่นค่ายขึ้นมา ก็แค่นี้เลย ปัจจุบันก็เหมือนกัน จัดอีเว้นต์เป็นหลัก วงไหนดี น่าสนใจก็ออกซีดี เราไม่อยากตั้งใจที่จะเป็นแบบ ค่ายชัดเจนที่มีระบบอะไร ก็มีแต่เรากับนักดนตรี ถ้าเราจะบอกว่าเป็นค่ายบางทีมันกดดันเกินไป PIE : ตั้งแต่ทำ�มานี่กี่ปีแล้ว
KOICHI : 10 ปีแล้ว พอมาเมืองไทยครั้งที่สองปุ๊บ ก็ทำ�เลย คนเริ่มรู้จักจริงๆ ก็ประมาณสี่ห้าปีให้หลัง ก่อนหน้านั้นก็เป็นอีเว้นต์เล็กๆ อีเว้นต์อันเดอร์กราวนด์ แต่ถ้าเริ่มฟังก์ชั่นเป็นค่ายก็ประมาณ 5 ปีหลัง PIE : SO::ON มีวิธีคัดเลือกศิลปินยังไงบ้าง
KOICHI : จากที่เราชอบ จากเดโมที่เด็กๆ เอามา ให้ฟัง และส่วนมากก็จะเป็นรุ่นน้องของวงที่มีอยู่ 122
ตอนนี้ เด็กลาดกระบังจะเยอะ ตั้งแต่ Goose ก็เรียนลาดกระบัง วง Desktop Error ก็เป็น รุ่นน้องเขา แล้วก็วงใหม่ Two Million Thanks ก็เป็นรุ่นน้อง Desktop Error หรือ Into The Air อีกวงหนึ่งก็คือเพื่อนของ Desktop Error ส่วนมาก ก็จะมาจากรุ่นน้องๆ อย่างวงอัศจรรย์จักรวาลเรา เจอใน My Space แต่ว่าที่เราออกไปข้างนอก แล้วจีบมานี่น้อยมาก ส่วนมากเราอยากรู้จักก่อน เป็นเพื่อนกันก่อน บางทีงานดีแต่นิสัยเข้ากันไม่ได้ ก็ไม่เอา PIE : แนวเพลงส่วนใหญ่ของ SO::ON เป็นสไตล์ อะไร
KOICHI : ที่มีเยอะส่วนใหญ่ก็จะเป็นกีตาร์ร็อก มีโฟล์ก แล้วก็อิเล็กทรอนิก้า หลักๆ ก็จะมีสาม แนวนี้ แต่จริงๆ มันคืออะไรก็ได้ บางทีก็มีเร็กเก้ บางทีเราก็อยากทำ�ฮิปฮอปนะ แต่ก็ยังไม่เจอใคร ที่ถูกใจ แต่แนวดนตรีนี่เราเปิดกว้างมาก PIE : แล้วตอนนี้ SO::ON มีวงทั้งหมดกี่วง
KOICHI : มีเยอะนะ แต่วงที่ทำ�งานอยู่ตรงนี้ จริงๆ ก็สามสี่วงมั้ง Desktop Error, Plot และ Two Million Thanks นี่เป็นวงน้องใหม่ แล้วก็ Into The Air วงอื่นก็จะอยู่เมืองนอกบ้างอะไรบ้าง ในอัลบั้ม Compilations Ghosted Note.2 ล่าสุดมีสิบกว่าเพลง ครึ่งหนึ่งยังเล่นได้อยู่ตอนนี้ แต่อีกครึ่งหนึ่งยังเล่นไม่ได้เพราะสมาชิกบางคน ก็อยู่เมืองนอก PIE : หลายๆ คนจะมองว่า SO::ON เป็นค่าย เพลงโพสต์ร็อก
KOICHI : ก็ไม่แปลกนะ เพราะเพ่ิงจัดคอนเสิร์ต Toe กับ Mono แต่ดนตรีเราก็ไม่ค่อยมีกลิ่นโพสต์ ร็อกสักเท่าไหร่หรอก โพสต์ร็อกจ๋าๆ เลยมันไม่มีนะ มันจะมีค่ายอื่นอย่าง Finalkid จะมีความเป็นโพสต์ ร็อกมากกว่าเราอีก อย่างส่วนตัวนะ เราเองมันก็ ไม่ค่อยได้ฟังโพสต์ร็อกแบบจริงๆ จังๆ ขนาดนั้น ฟังแค่เป็นบางวง ไม่เยอะ เราฟังอาจจะสิบกว่าปีที่ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้แตะเลย ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ แต่รู้สึกว่ามันมีอะไรชอบมากกว่า ตอนได้ดูคอนเสิร์ต Toe หรือ Mono เราก็ชอบนะ สนุก เขาเล่นมันมาก แต่ถ้าคนนอกมองว่าเราเป็นค่ายโพสต์ร็อกอย่างเดียว สำ�หรับผมมันไม่ใช่ PIE : ไม่ใช่ค่ายโพสต์ร็อก
KOICHI : แต่ทุกคนในค่ายก็ชอบโพสต์ร็อกกันนะ
แต่ก็ไม่ได้ฟังกันขนาดนั้น อย่าง Desktop Error ฟังโพสต์ร็อกไหม ก็ไม่นะ อย่างมือกลองวง Plot เนี่ยชอบฟังโพสต์ร็อก ที่ฟังขนาดจริงจังเลยนี่ถือ ว่าน้อย แต่อาจจะเป็นภาพของค่ายเราที่เกิดขึ้น มาในช่วงกระแสโพสต์ร็อกพอดี แล้วเราก็เอากลิ่น จากโพสต์ร็อกมาเยอะด้วยเหมือนกัน อย่างพวก ไดนามิกของเพลง แต่เราก็พยายามที่จะฉีกออก จากเส้นทางของโพสต์ร็อกจริงๆ PIE : แล้วแนวเพลงที่สนใจคืออะไรครับตอนนี้
KOICHI : อิเล็กทรอนิกส์ก็ชอบ ชอบร็อกแบบ คลาสสิกหรือไม่ก็ทดลองไปเลย เช่น พวกนอยส์ ไม่งั้นก็ Pink Floyd แบบโบราณๆ แล้วถ้าเป็น ร็อกก็จะชอบเพลงที่มีเนื้อร้อง ไม่ค่อยได้ฟังเพลง บรรเลงเท่าไหร่ พวกบรรเลงก็จะฟังเป็นเพลงแจ๊ส 123
PIE : หน้าที่หลักของโคอิจิใน SO::ON ทำ�อะไรบ้าง
KOICHI : ทำ�ให้ค่ายมันหมุน ถ้าทำ�อัลบั้มบางทีก็เป็นโปรดิวเซอร์ ดูแลโปรดักชั่น อัดให้ มิกซ์ให้ โปรดิวซ์ให้ แล้วก็กำ�หนดทิศทางของค่ายว่าจะทำ�อะไรต่อ แล้วก็จัดอีเว้นต์ เป็น ออร์กาไนเซอร์ ทำ�ทุกอย่าง แต่การทำ�เพลงก็จะแบ่งนักดนตรีกับเราก็ครึ่งๆ คือดนตรีเนี่ย ผมจะไม่ค่อยยุ่ง จะปล่อยเขาเลย ถ้าออกมาดีโอเคผมจะไม่ยุ่งอะไรมาก แต่ตอนเวลาเริ่มอัด เราก็จะเข้าไปค่อนข้างแบบยุ่งหน่อย ก็จะบอกว่ามันต้องเล่นอย่างนี้ๆ แต่ว่าตัวหลักๆ ของ เพลงเราจะไม่ยุ่ง ถ้าไม่ชอบก็จะบอกว่าไม่ชอบ ก็รอให้เขาทำ�จนเพลงดี แต่เราไม่ใช่แบบ เปลี่ยนคอร์ดอย่างนี้เป็นแบบนี้สิ จะไม่บอก ก็จะให้อิสระเต็มที่ 124
บรรยากาศวันนั้นคนก็เยอะพอที่จะมีกำ�ลังใจทำ�ต่อ สถานที่เขาก็ดี About Cafe เราชอบ อยู่เยาวราช KOICHI : ผมอยากให้แค่อยู่ต่อได้ ตอนนี้มัน แต่ยุคนั้นยังไม่มี My Space หรือ Facebook อยู่ได้แต่ก็ยังยืนไม่ได้ มันแทบจะเป็นงานอดิเรก ของทุกคนซะมากกว่า อย่างน้อยไม่อยากให้หายไป เราก็ใช้หนังสือพิมพ์โปรโมตงาน เขาก็ช่วยลงให้ อยู่ต่อเรื่อยๆ ได้ก็ดี เราก็ไม่ได้หวังอะไรมากจาก คนก็มาดูเยอะ ตอนนั้นเราแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทางนี้ แต่ถ้าเราเริ่มจริงจัง คิดการตลาดอะไรอย่างนี้ จัดอีเว้นต์ยังไง แค่แบบหาเครื่องเสียงมาตั้งแล้วก็ เล่นกันเลย สนุกๆ สไตล์อย่างนี้อาจจะยาก กลายเป็นกดดันใช่ไหม ก็พยายามอย่าให้เหนื่อยเกินไป อยู่ได้ไปเรื่อยๆ PIE : แล้วครั้งล่าสุดที่จัดเป็นยังไงบ้าง ก็ดีและต้องสนุกกับมัน KOICHI : กับ Toe ก็คนดูเยอะ บัตรขายหมด PIE : ขอถามเรื่องจัดคอนเสิร์ตแบบจริงๆ จังๆ บ้าง แต่ Toe นี่เราตกใจนะ ทำ�ไมถึงดังขนาดนี้ใน KOICHI : คอนเสิร์ตนี่เริ่มจากอีเว้นต์ คือเราชอบ ประเทศไทย แล้วซีดีก็ไม่เคยออกที่นี่ คนก็ติดตาม การเล่นสด การฟังเพลงดนตรีสด แนวอะไรก็แล้วแต่ จาก YouTube ก็อาจจะเป็นวงเดียวจากญี่ปุ่นที่ ถ้าไม่ได้ดูเล่นสดก็ไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่ถ้าดูเล่นสด ทำ�ได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านั้นจัดวง Mono บัตรก็ ในซีดีอาจจะไม่ดี แต่ถ้าเล่นสดดีผมก็จะชอบ เราเชื่อ หมด แต่สเกลงานมันจะเล็กกว่าของ Toe ในการเล่นสด ตอนแรกก็จัดเล็กๆ คนดูร้อยสองร้อย PIE : ครั้งต่อไปจะเอาวงอะไรมาเล่นครับ ก็ค่อยๆ ขยาย KOICHI : ช่วงนี้ยัง อาจจะประมาณเดือนสิงหาฯ ช่วงนี้เราต้องกลับไปเข้าห้องอัดทำ�อัลบั้มก่อน ก็มี PIE : จำ�ครั้งแรกที่จัดงานได้ไหม KOICHI : ครั้งนั้นมีวงอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ 3 วงที่ต้องทำ� มี Desktop Error, Two Million ไทยมาเล่นด้วยกัน บอกไปไม่รู้จะรู้จักกันหรือเปล่า Thanks แล้วก็ Plot ตอนนี้เขียนเพลงเสร็จแล้ว พร้อมที่จะอัดเสียง ปีนี้พยายามจะออกอัลบั้มเยอะ ก็มี Nolens.Volens มี Spida Monkey แต่ว่า หน่อย เพราะค่ายครบรอบ 10 ปี ก็พยายามที่ Spida Monkey เล่นแนวทดลองนะ อันนี่ก็เจ๋ง บวกกับทวน (ทวนทอง นิยมชาติ) อันนี้เราจำ�ได้ จะให้มีอะไรเกิดขึ้น ให้มีอะไรพิเศษหน่อย พอดี เลยสิบปีที่แล้ว ทวนที่เคยอยู่ Day Tripper ตอนนั้น Desktop Error ต้องไปเล่นที่ญี่ปุ่นเดือนสิงหาฯ เขาเล่นนอยส์ไง แล้วก็ประกอบกับ Spida Monkey เราก็พยายามจะทำ�ให้เสร็จก่อน แล้วก็เอาแผ่นไป เล่นด้วยกันสุดยอดมาก มีวง Stylish Nonsense, ขายที่นู่นด้วย เฟสติวัลที่นู่น เป็นงานเล็กๆ งาน พี่แก๊ป ทีโบน แต่เวลาไปชวนวงพวกนี้เราก็บอกว่า มิวสิกแคมป์ อยู่แถวเกียวโต คล้ายๆ งาน Stone เฮ้ยพี่ ช่วยทำ�อะไรที่แบบว่าทดลองแปลกๆ หน่อย Free แต่ของญี่ปุ่นเป็นงานเฟสติวัลแบบ D.I.Y. แบบที่ไม่เคยเล่น มันก็ออกมาสนุก ปาร์ตี้ครั้งแรก ไม่ใหญ่แต่ว่าบรรยากาศดีมาก อยู่ในภูเขา มีสระ ก็มีดีเจนะ เขาเป็นมือกลองของ Mogwai มาเป็น ว่ายน้ำ�ด้วย (หัวเราะ) มีตั้งแต่เด็กวิ่งเล่น มีคนแก่ ดีเจให้ อันนี้เป็นเหตุผลแรกที่เราได้รู้จัก Mogwai แล้วก็วัยรุ่น มาเป็นครอบครัว แล้วกางเต็นท์นอน PIE : อยากให้ SO::ON เป็นยังไงต่อไป
125
PIE : มาเรื่อง SOL SPACE มันคืออะไร
KOICHI : ก็คือพื้นที่ว่างๆ โอเพ่นเสปซ สามารถ ทำ�อะไรก็ได้ บางคนก็เช่าจัดอีเว้นต์ จัดคอนเสิร์ต บางคนก็จัดนิทรรศการ หรือทำ�เวิร์กช็อปก็ได้ คือ เราเอาสเปซให้เช่า นี่ก็เพิ่งจัดคอนเสิร์ตไป ตอนแรกๆ ที่จัดงานที่ About Cafe เราก็รู้สึกว่าอยากมีที่ของ ตัวเอง ไม่ต้องใหญ่มาก ไซด์ก็เท่าๆ About Cafe แต่เป็นที่ที่จัดสะดวกหน่อย เราย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วพอดี มีพื้นที่ว่าง ตอนแรกตรงนี้ยังไม่มีอะไร มีแต่ที่เปล่าๆ ผมกับเพื่อนคนหนึ่งที่ทำ�งานด้วยกันร่วมหุ้นกันแล้วก็ สร้างมันขึ้นมา ก็ดูแล้วแบบมันไม่แพงมาก บางทีเรา ก็ให้เช่าเป็นที่ถ่ายรูป ถ่ายหนังบ้าง ก็คือจะถ่ายหนัง ที่ง่ายๆ บางทีก็เป็นที่แคสติ้ง อันนั้นคือสายธุรกิจ หน่อย เก็บค่าเช่าเพื่อที่จะมาจ่ายค่าเช่าที่นี่อีกที แต่ถ้างานเกี่ยวกับศิลปะก็พยายามเก็บค่าเช่าให้ถูกๆ ถ้าเป็นการจัดอีเว้นต์ ผมว่าที่นี่ก็โอเค เปิดเสียงดัง ได้สบายเลย
PIE : ทำ�เพลงประกอบภาพยนตร์ด้วย
KOICHI : นั่นคืออาชีพหลักของเราเลยนะ ทำ�เพลง ประกอบโฆษณากับทำ�เพลงประกอบภาพยนตร์เนี่ย เราต้องหาตังค์ด้วยไง ทำ�ค่ายเพลงนี่ให้เงินเยอะ จัดคอนเสิร์ตก็ได้ไม่มากหรอก แต่บังเอิญ Toe กับ Mono โอเคขายดีหน่อย เราก็ต้องทำ�บริษัทเนี่ย (PumPumPumPum Sound Studio) หลักๆ ก็ทำ�เพลงโฆษณา ทำ�ทุกวัน PIE : เพลงประกอบภาพยนตร์ล่ะครับ
KOICHI : เราทำ�น้อยนะ ก็ทำ�ให้พี่ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง ทำ�ตั้งแต่ Invisible Wave ทำ�ให้เกือบ ทุกเรื่องนะ บางทีก็ทำ�สกอร์ บางทีก็ซาวนด์ดีไซน์ 126
แต่เรื่องล่าสุด Head Shot (ฝนตกขึ้นฟ้า) ผม ไม่ได้ทำ� ตอนนั้นไม่ว่าง แล้วก็พี่เจ้ย-อภิชาติพงษ์ ตั้งแต่ แสงศตวรรษ ลุงบุญมี ก็ทำ�นิดหน่อย และ หนังสั้น แต่ของพี่เจ้ยนี่เราช่วยครีเอตแมตทีเรียล แล้ว ให้ทางนู้นจัดการต่อ แล้วก็มีพี่จุ๊บ-อาทิตย์ อัสสรัตน์ คนที่ทำ� Wonderful Town แล้วก็ Hi so อันนี้เราก็ ทำ�สกอร์ มีเรื่องบางกอกกังฟู ของยุทธเลิศ เราก็ทำ� สกอร์ แล้วพวกผู้กำ�กับฯอินดี้ ล่าสุดก็เรื่อง Karaoke Girl ที่เอาไปฉายเมืองนอก เป็นผู้กำ�กับฯหญิง (วิศรา วิจิตรวาทการ) นี่ก็ทำ�สกอร์ PIE : ทำ�งานกับผู้กำ�กับฯแต่ละคนมีความแตกต่าง กันยังไงบ้าง
KOICHI : วิธีทำ�งานไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็จะให้ อิสระมาก เขาไม่ฟันธงว่าอยากได้ยังไง เขาปล่อยเลย มันเป็นวิธีการแบบอาร์ติสต์มาก คิดอะไรก็ทำ�ขึ้นมา เลย อย่างพี่เจ้ยเขาจะไม่อธิบายอะไรมาก เอาหนัง มาให้ดูแล้วทำ�ขึ้นมาก่อน ต้องใช่จินตนาการ แปดสิบ เก้าสิบเปอร์เซนต์ก็จะไม่ผ่าน บางทีไม่เอาเลยร้อย เปอร์เซ็นต์ก็มี คือพี่เขาค่อนข้างมีอะไรอยู่ในหัว ชัดเจน แต่ไม่บอกว่าต้องการแบบไหน เขาจะปล่อย เราคิดแล้วมาดู แต่กับพี่ต้อมก็ใกล้กัน เขาจะพูด คร่าวๆ ว่าอยากได้ประมาณนี้นะ แต่จะบอกว่าอย่า เชื่อเรานะ คิดอะไรก็ทำ�ขึ้นมาได้ พอทำ�เสร็จสมมติ ไม่ชอบ เขาก็จะบอกว่าไม่ชอบตอนไหนก็จะให้ไปแก้ ก็จะง่ายหน่อย แต่จริงๆ ก็ไม่ง่ายนะ พี่จุ๊บค่อนข้าง ชัดเจนว่าอยากได้แบบไหน พี่จุ๊บเขาจะต้องการ อะไรที่เป็นเพลงจริงๆ แต่ถ้าพี่เจ้ย จะแบบไม่ใช่เป็น เพลง แต่มันคือซาวนด์ดีไซน์ ซึ่งอันนี้ยาก ปวดหัว เลยแหละ (หัวเราะ) แต่ก็สนุกนะ เราก็ได้อะไรเยอะ มันเครียดมาก แต่ก็สนุก ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี
PIE : ชอบเรื่องอะไรบ้างที่ทำ�เพลงประกอบมา
KOICHI : ชอบทุกเรื่องนะ แสงศตวรรษก็ชอบ แล้วก็ชอบนางไม้ PIE : แสงศตวรรษนี่แก้เยอะไหม
KOICHI : แสงศตวรรษนี่ไม่แก้ แต่เขาทิ้งทุกอย่าง ที่ผมทำ�มา แล้วพอดีเขาเลือกอันหนึ่งที่ผมไม่ได้ ตั้งใจทำ�มาให้เรื่องนี้ เขาเจอในฮาร์ดดิสก์ เฮ้ย เอาอันนี้แหละ (หัวเราะร่วน) เวลาเราตั้งใจทำ� ให้เข้ากับหนังผู้กำ�กับฯอาจจะไม่ชอบ มันคงไม่มี อะไรน่าตื่นเต้น คิดดูว่ายากไหมล่ะ เราต้องทำ� อะไรสักอย่างที่เข้ากับหนังแต่ก็เหมือนจะไม่เข้า
อันนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก ต้องทำ�อะไรให้ผู้กำ�กับตกใจ ตอนนางไม้นี่แบบ พี่ต้อมทิ้งทุกอย่าง เขาทิ้งสิ่งที่ผม ทำ�อันแรก ตอนวันสุดท้ายที่กำ�ลังมิกซ์ เขาตัดสินใจ ว่าไม่ใช้สกอร์เพราะเขาไม่ชอบ ปล่อยเงียบเลย ผมก็ รู้แล้วว่าเขาไม่เอาแล้ว แต่ตอนนั้นมีเวลาว่าง 2 วัน ผมก็ชวนเพื่อนไปเล่นสดที่ห้องอัด แล้วก็อัดยาว แล้ว ก็ตัดๆๆๆ ก็เอาไปให้พี่ต้อมฟัง บอกพี่ต้อม คงไม่ทัน แล้วนะ แต่ผมอยากให้พี่ฟัง เขาก็ เฮ้ยเอาๆๆๆๆ คือแบบนาทีสุดท้ายจริงๆ PIE : แล้วยังมีผู้กำ�กับฯคนไหนอีกที่อยากทำ�งาน ด้วยเป็นพิเศษ 127
128
KOICHI : ใครก็ได้ ผมแค่อยากทำ�เพลงหนักๆ ลงในหนังบ้าง ปกติสกอร์ที่ทำ�ก็จะเป็นแบบชิลล์ๆ สบายๆ ช้าๆ ขอแบบพังก์ก็ได้ เทคโนก็ได้ อะไร ที่แบบมีบีทแรงๆ หนักๆ ต้องการปลดปล่อย คือ ตอนนี้เวลาผู้กำ�กับฯมาคุยกับเราส่วนมากก็จะเป็น แบบแอมเบี้ยนต์ (Ambient) ผมก็ชอบนะ แต่บางที ก็เบื่อ แล้วเครื่องมือที่ใช้อยู่ตอนนี้มันค่อนข้างเหมาะ กับอะไรแรงๆ แต่ก็เข้าใจว่าหนังไม่ได้ต้องการเพลง พวกนี้เท่าไหร่ เพราะถ้าเพลงมันโอเวอร์เกินภาพมัน ก็ไม่เหมาะ ก็อยากทำ�อะไรที่ทดลองๆ หน่อย
นักร้องที่ไม่ดังเลยนะ อารมณ์เหมือน Tom Waits ด้วย สไตล์การร้องของเขา หนังเล่าเรื่องชีวิตของเขาและจบ ตรงที่เขาเสียชีวิต แล้วก็สารคดีของนักร้องชื่อ Daniel Johnston เป็นนักร้อง Lo-Fi ยุคแรก เรื่องนี้สนุก คนนี้ เมื่อก่อนดังมากเลย เป็นนักร้องอินดี้ของอเมริกา เขาใช้ LSD มากไปเลยเป็นบ้า อย่างตอนที่เขาไปเล่นในอเมริกา ขากลับขณะทีพ่ อ่ เขาขับเครือ่ งบินอยู่ ซึง่ ตัวเขานัง่ อยูข่ า้ งๆ อยู่ดีๆ เขาก็ดึงกุญแจออกแล้วปาออกนอกหน้าต่าง ทำ�ให้เครื่องบินตก แต่ยังโชคดีที่เครื่องบินไปติดกับ ต้นไม้ ตัวเขาและพ่อรอดชีวิตมาได้ ชีวิตแบบสุดๆ แล้วเพลงก็เพราะมากเลยนะ มันเป็น Lo-Fi แบบยุค ใช้คลาสเซ็ตเทปโบราณๆ แล้วก็อัด ที่ Kurt Cobain PIE : แล้วส่วนตัวโคอิจิชอบดูหนังแบบไหน ชอบใส่เสื้อ Hi, How Are You อันนี้คือปกอัลบั้ม KOICHI : ผมชอบหนังดราม่านะ ที่ไม่ใช่แอ๊กชั่น ทดลองก็ได้ คอมเมอร์เชี่ยลก็ได้ เรื่องหนังนี่ีมันกว้าง ของเขา รูปการ์ตูนบนปกอัลบั้มก็เป็นฝีมือของเขา มากเลยที่ชอบ อย่าง God Father ชอบ Coppola, เขาเป็นนักวาดการ์ตูนด้วย เป็นฮีโร่ของ Kurt Cobain Kubrick ถ้าประหลาดๆ ก็ Alejandro Jodorowsky และของหลายๆ คน คนที่ทำ�เรื่อง El Topo แล้วก็ The Holy Mountain เป็นผู้กำ�กับฯของอเมริกาใต้ เรื่อง El Topo เป็น PIE : จะมีอัลบั้มของตัวเองบ้างไหม หนังที่เปลี่ยนความคิดของผมตอนเด็กๆ เป็นหนังยุค KOICHI : กำ�ลังทำ�อยู่ แต่เหมือนจะไม่เสร็จ เริ่มรู้สึก ’70s น่าดูนะ เจ๋ง มันบ้า แต่ก็ไม่ได้บ้าอย่างเดียว ว่าถ้างานตัวเองมันวางกำ�หนดการไม่ได้ จะไม่มีกดดัน มันมีความหมายลึกๆ มีความตลก แล้วก็มีความโรค แต่ถ้าเป็นของคนอื่นเราค่อนข้างกดดันว่าต้องเสร็จตามนี้ จิตนิดๆ เพลงมันก็ดี การแสดงก็ดี บทก็แปลกมาก คือมีความรับผิดชอบสูงมาก แต่ถ้าเป็นของตัวเองไม่ไป หนังคัลต์ (cult film) ก็ชอบนะ Ei Topo ก็คัลต์ ไหนเลย แล้วเราก็จะชอบทำ�ให้คนอื่นก่อน อย่างเวลา และก็มีคัลต์ญี่ปุ่น จำ�ชื่อไม่ค่อยได้ มันเยอะ ทำ�ๆ เพลงตัวเองอยู่ ถ้ามีงานของคนอื่นแทรกเข้ามา จะหยุดๆ ทำ�ให้คนนู้นคนนี้ แต่ปีนี้ผมอยากทำ�ให้เสร็จ PIE : เป็นคนชอบความตื่นเต้น เพราะถ้าไม่ทำ�ต่อ ต่อไปก็คงไม่ได้ทำ�แน่ๆ แต่ก็มันยาก KOICHI : หนังของโอสุก็ชอบ เป็นสไตล์นิ่งๆ จริงๆ ตอนนี้ผมกลับบ้านปวดหัวทุกวัน บางทีทำ�เพลง แต่ไม่ใช่นิ่งจนง่วงนอน จะมีเรื่องราวชวนติดตาม เสร็จก็ไม่เอา ทิ้ง ยังไม่ใช่ เพราะเป็นคนขี้เบื่อด้วย เรื่อง Tokyo Story นี่เจ๋ง หนังสารคดีก็ชอบ สารคดี เรามีความสุขในการช่วยคนอื่น คือความสุขของตัวเอง เกี่ยวกับดนตรี มีเพื่อนแนะนำ�ให้ดูเรื่อง Benjamin มาจากไหน มาจากช่วยคนอื่น ทำ�ให้ตัวเองแล้วไม่รู้ว่า Smoke มันเกี่ยวกับนักร้อง ชื่อ Benjamin เป็น ตัวเองอยากได้อะไร เวลาทำ�เพลงหนังเนี่ยเร็วเลย 129
ได้สิบเพลงทำ�อัลบั้มได้เลย แต่ถ้าใช้ชื่อตัวเองยัง นึกไม่ออกเลย อาจจะเป็นเพราะไม่มีกำ�หนดเวลา ด้วยมั้ง เลือกมากด้วย เสียงที่ผมชอบมันเลือกมาก ถ้าเป็นของตัวเองมีอะไรที่ไม่ชอบนิดหนึ่งก็ไม่เอา (หัวเราะ) PIE : ตอนนี้ฟังเพลงแนวไหนอยู่บ้าง
KOICHI : ตอนนี้ฟังเทคโนเยอะ แต่ไม่ใช่เทคโน เต้นๆ เป็นเทคโนลึกๆ หน่อย ช่วงนี้เราอินกับอะไร ที่ค่อนข้างไม่ออร์แกนิก ไม่ใช่ดนตรีสด อันนั้นเรา เรียกว่าออร์แกนิก แต่ช่วงนี้เราชอบอะไรที่แบบลูปๆ มินิมัล ตอนนี้กลับไปฟังพวกแจ๊สแบบ Bil Evans นี่เราฟังเยอะที่สุดนะตอนนี้ อันนี้เวลาอยู่คนเดียว ที่ห้อง ร็อกจ้าๆ นี่ไม่ค่อยได้ฟัง แต่มีคนนึงที่ชอบ ชื่อ Bon Iver เป็นผู้ชายคนหนึ่ง แล้วก็มีแบ็กอัพ หลายคน แต่อัลบั้มเพราะมาก เป็นชาวอเมริกัน แล้วก็ James Blake อันนี้ก็ออกแนวอิเล็กทรอนิกส์ แต่มีร้อง สุดยอด อยากดูเล่นสดที่สุดเลยคนนี้นะ
130
PIE : ก็จัดเองเลยสิครับ
KOICHI : ชวนแล้วเขาไม่ยอมมา จริงๆ เขามาถึงญี่ปุ่นแล้วก็ไม่ยอมลงมาถึงเมืองไทย ผมว่าคนไทยอยากดูเยอะมากเลยนะ James Blake เพื่อนผมไปดูมาเมื่อปีที่แล้วที่ฟูจิร็อก ที่ญี่ปุ่น มี Radiohead, The Stone Roses มีหลายวง เขาบอกคนนี้เจ๋งสุด ยังเด็กอยู่ เลย ยี่สิบสามยี่สิบสี่ยังสดอยู่เลย ลองไปดู YouTube สิ เจ๋ง สามชิ้นนะ แต่มันมาก PIE : แล้วศิลปินไทยชอบใครตอนนี้
KOICHI : ผมชอบของค่ายตัวเอง ผมชอบ นภัทร สนิทวงศ์ กำ�ลังทำ�อัลบั้มอยู่ ตอนแรก เป็นโฟล์ก ตอนนี้เป็นโฟล์กร็อก มีกลอง มีเบส มีกีตาร์ เขาอยู่อเมริกา ทำ�ที่นู่นแล้วก็ส่งมา ให้เรา เพลงเพราะ แล้วก็วง Yellow Fang ผมชอบมากเลย มันสมดุลนะ เพลงเพราะ เล่นก็ดี ลุคก็ดี Desktop Error นี่เราก็ชอบ ชุดใหม่น่าฟังนะ กำ�ลังจะอัด พวกเขาก็อายุ เยอะขึ้น เริ่มจะนิ่งๆ เพลงจะติดหูมากกว่า ชุดที่แล้ว แต่มันไม่ใช่ป๊อปนะ มันชัดเจนขึ้น อาทิตย์หน้าก็จะอัดแล้ว อีกเดือนสองเดือนก็ คงได้ฟัง แล้วก็ชอบพี่พราย (ปฐมพร ปฐมพร) ชอบมาก เขามาเล่นที่ Sol Space เมื่อสอง เดือนที่แล้ว ดูแล้วเกือบร้องไห้เลย แล้วก็ชอบ Friday (หัวเราะ) จริงๆ ผมชอบป๊อปๆ ก็มี ก็ฟังหมด มีความป๊อปสูงเหมือนกัน แต่ก็ ต้องมีความเป็นร็อกนิดนึง
131
PIE : วงการเพลงไทยกับญี่ปุ่นมีความ แตกต่างกันยังไงบ้าง
PIE : เวลามีความสุขนึกถึงเพลงอะไร
KOICHI : ความสนุกน่ะเท่ากัน แต่ความกว้าง สเกลต่างกัน ที่นู่นวงเยอะมาก ที่เล่นก็เยอะมาก ด้วย การฟังดนตรีอินดี้เป็นเรื่องธรรมดาของที่นั่น ทุกสถานีรถไฟก็จะมีวงดนตรีที่เล่นสด ตั้งแต่วง มีชื่อจนถึงวงที่ไม่รู้จัก วันนึงสามสี่วง เล่นทุกวัน แต่บางทีมันก็เยอะเกินไป ที่นู่นการแข่งขันจะสูง สุดท้ายก็ต้องคุณภาพดีเพื่อที่จะรอด เด็กๆ ก็เล่น ดีนะ มีความรู้เยอะ และก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ
KOICHI : เวลาเรามีความสุขเราไม่ค่อยนึกถึงเพลง เท่าไหร่ เวลามีความสุขคือค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ แวดล้อมตรงนั้น ไม่ได้ต้องการอะไรเข้ามาในหัว เท่าไหร่ แต่เวลาเหงาเราจะนึกถึงเพลงนะ เพลงก็จะ เข้ามาในหัวเยอะ แต่เวลาสนุกเพลงอะไรมันก็โอเค PIE : แล้วเวลาเศร้านึกถึงเพลงอะไร
KOICHI : ช่วงนี้ก็ Bill Evans เพลง My Foolish Heart คือมันไม่ใช่เศร้า มันเป็นความเหงา เวลาอยู่ ห้องคนเดียวแล้วจะชอบฟัง แต่ถ้าปีนี้ก็ Bon Iver PIE : แล้วที่เมืองไทยเป็นยังไง เพลง Holocene ฟังห้าร้อยกว่ารอบแล้วมั้ง คือช่วงนี้ KOICHI : ที่เมืองไทยก็กว้างขึ้น แต่ที่เมืองไทย เราเพิ่งย้ายไปอยู่อพาร์ตเม้นต์เล็กๆ แล้วห้องที่ย้าย มันขาดที่เล่นโชว์ มีน้อยมาก มีอยู่ไม่กี่ร้านที่วง ไปอยู่นั่นก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแต่ไอโฟน พยายามจะ อินดี้ไปเล่นได้ สุดท้ายก็แพ้ เพราะมันไม่ค่อยมี ไม่ใช้อินเตอร์เน็ตที่นั่น ไม่ทำ�งาน แล้วก็ไม่อ่านอีเมล ที่เล่น และไม่ได้ตังค์ แต่ไม่ได้ตังค์นี่เรื่องธรรมดา อะไรทั้งสิ้น นอนฟังเพลงอย่างเดียว รู้สึกว่าเราไม่ได้ ที่ญี่ปุ่นก็มีที่เล่นแล้วไม่ได้ตังค์ ขนาดวงดังๆ ยัง ตั้งใจฟังเพลงแบนี้มานานแล้ว ปกติอยู่ที่นี่เราก็ฟังเพลง ต้องเสียตังค์เพื่อที่จะได้เล่น อันนี้ผมว่าในเอเชีย จาก YouTube บ้าง มันมีภาพจนเราไม่ได้ตั้งใจกับ เหมือนกันหมด แต่อย่างน้อยมันมีที่เล่นก็ดี แต่ เสียงร้อยเปอร์เซ็น แต่เวลาอยู่ที่ห้องแล้วก็เปิดเพลงฟัง ที่นี่ที่เล่นน้อย แล้วสุดท้ายนักดนตรีใหม่ๆ ก็คิดว่า เออรู้สึกแบบ ไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานาน ก็นึกถึงตอน เฮ้ย...จะทำ�ทำ�ไมว่ะ แล้วก็ค่อยๆ หายไป อันนั้น เด็กๆ คือเราตั้งใจฟังเพลงจริงๆ ตอนนั้นชีวิตมันไม่มี น่าเสียดายวงไทยดีๆ อายุประมาณสามสิบส่วน อะไรทำ�นอกจากฟังเพลง เวลาอยู่ที่ห้องความรู้สึกนี้ มากก็จะเลิกกันนะวงอินดี้ เพราะว่าทำ�ไปก็ไม่มี มันก็ดีนะ Facebook ก็ไม่ต้องดู ฟังเพลงอย่างเดียว อะไรเกิดขึ้น อันนี้น่าเสียดาย ความรู้สึกแบบนี้บางทีมันก็จำ�เป็น บางทีก็ปิดมือถือเลย
132
133
134
135
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
136
PIE ONLINE GALLERY
กมลชนก ภาณุเวศย์ (เมย์) May&Clay ceramics studio (+66)90-145-9050 e-mail : ideapendent@hotmail.com https://www.facebook.com/MayandClayCeramicsStudio PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
137
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
138
ภควันทน์ สาระกิจ e-mail : terterbutter@gmail.com http://www.facebook.com/Phakhawann PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
139
อีกแบบ ดีไซน์ (ikbaep design)
คือสตูดิโอเล็กๆ ที่สร้างสรรค์งานโดยผสมผสานงานกราฟิก / วัฒนธรรม / วัตถุดิบท้องถิ่น ให้เป็นชิ้นงานต่างๆ ด้วยใจที่รักงานออกแบบกราฟิกและงานแฮนด์เมด จึงนำ�มาผสมผสาน บวกกับวัฒนธรรม วัตถุดิบท้องถิ่น จึงเกิดเป็นงาน Handmade Fusion
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
140
น.ส.อลงกรณ์ เมินทุกข์ อีกแบบ ดีไซน์ e-mail : mod.mode@hotmail.com https://www.facebook.com/ikbaepdesignstudio PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
141
แทนรัก ไพโรจน์บริบูรณ์ (บอลลูน) เรียน ครุฯสถาปัตย์ ลาดกระบัง
“I make imagination” หนูสร้างจินตนาการให้เป็นจริง จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าในโลกนี้มีอีกมิติที่เรามองไม่เห็น มิติที่ทำ�ให้เรา มีความคิดสร้างสรรค์ มิติที่ทำ�ให้เรากล้าคิด และกล้าแสดงออก นั่นคือ “มิติของจินตนาการ” ที่ทำ�ให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ อย่างไม่มีขอบเขตใดๆ มาขว้างกั้น และไม่มีวันผิด
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
142
เพื่อนๆ และคนทั่วไปจะรู้จักในนามว่า ALFIE (แอลฟี่) ผลงาน ที่ทำ�ได้แรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าและก้อนเมฆค่ะ เคยสงสัย มาตลอดว่าด้านบนมันมีอะไร เวลามองขึ้นไปก็ชอบจินตนาการว่า มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อาจมี สถานท่องเที่ยวที่ไม่มีใครรู้ก็เป็นได้ จึงสร้างเป็นผลงานออกมาให้ ทุกคนได้ลองคิด ได้ลองจินตนาการกันดู ให้ได้ลองฝันกันนะคะ
www.instagram.com/balloonws www.b-alfie.tumblr.com www.facebook.com/alfiestore
08-0599-8116 e-mail : tanrukp@gmail.com
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
143
MILD
Supang Lowwattranatrakul Vanzvnz Photography http://www.facebook.com/pages/ Vanzvnz-Photography/236062199814161 http://vanzvnz.wordpress.com/ e-mail : sking_9@hotmail.com 08-6825-4219 (แหวน)
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
144
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
145
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
146
Marshmallow วิรพงศ์ พรหมราช Graphic Designer/ illustrator 08-3773-4535 e-mail : maushmallow@hotmail.com เราเล่าเรื่องที่เราเจอมาหรือรู้สึก ผ่านตัวการ์ตูน คงคล้ายๆ กับบางคน ที่เขียนสเตตัสหรือเขียนไดอารี่
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
147
ขอจบ PIE online gallery เล่มนี้แต่ เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณทุกคนที่ส่งงาน เข้ามานะครับ ส่งผลงานดีๆ เข้ามากัน เยอะๆ ที่ pieonlinemag@gmail.com เจอกันเล่มหน้านะ
สวิตต์ พรรณรังษี (โจ้) Freelance Photography S A VV I T Photography http://www.facebook.com/savvitphotography Instagram : savvit e-mail : savvit@hotmail.com Tel : 08-3590-2566
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
148
PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE
149
READER WRITER
ORIENTAL ATTRACTION #2 จากที่เกริ่นไว้คราวก่อนว่าด้วยเรื่องความแรง ของกระแสตะวันออก ที่เบิกทางด้วยนางแบบสาว หน้าหมวยที่ไม่จำ�เป็นต้องปกปิดปรับปรุงความหมวย ของตนเพื่อให้เข้าโหมดสาวสวยแบบชาวตะวันตกอีก ต่อไป เพราะสาวเอเชียต่างก็ขึ้นมายืนอยู่ในจุดเดียวกัน กับเหล่าสาวงามตะวันตกได้อย่างสมเกียรติทัดเทียมกัน ในระดับนานาชาติแล้ว แต่ถ้าจะให้พูดเรื่องเปลือกๆ แค่ผมดำ� หน้าหมวย ผิวขาวเหลืองแต่เพียงอย่างเดียว เห็นทีจะไม่ได้ เพราะในแง่ของฝีไม้ลายมือ ความ สามารถ ความคิดสร้างสรรค์ และศิลปะบนพื้นที่การ ออกแบบ ชาวเอเชียเราก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน เริ่มจากดีไซเนอร์สายเลือดเอเชียที่พุ่งผงาดเข้า สู่วงการแฟชั่นระดับสากลเป็นว่าเล่นเมื่อ 2-3 ปีที่ ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ในมหานครที่เป็นแหล่งรวมผู้คนทุกชาติพันธุ์ ตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ยันแคเนเดียน อย่างบิ๊กแอปเปิ้ล มหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นอีก หนึ่งศูนย์กลางแฟชั่นชนิดที่ใครใฝ่ฝันอยากจะเบนเข็ม ไปสายงานทางด้านนี้ก็มีอันต้องใช้นิวยอร์กเป็นทั้งจุด เริ่มต้น เป็นโรงเรียนฝึกฝน ไปจนถึงเป็นจุดหมายกัน แทบทั้งนั้น ยิ่งถ้าเป็นเสื้อผ้าสไตล์มินิมัลหรือสไตล์ สปอร์ต ยิ่งจำ�เป็นจะต้องหาจุดยืนสวยๆ ใน New York Fashion Week ที่จัดขึ้นทุกซีซั่นให้จงได้ (เว้นแต่มาร์ค จาคอบส์ คนเดียวเท่านั้นกระมัง 150
ที่มีดีไซน์เยอะแล้วเยอะอีก แต่กลับไม่มีเสียงก่นด่า จากชาวนิวยอร์กเกอร์ซักกะซีซั่น จนถึงขนาดมีคนใน แวดวงแฟชั่นนิวยอร์กเคยเอ่ยแบบแอบขำ�แอบเอาจริง ว่า “ยูไม่มีสิทธิ์จะทำ�เสื้อผ้าเยอะๆ มาขายในนิวยอร์ก ได้หรอก ยกเว้นยูจะเป็นมาร์ค จาคอบส์…เออเว้ย! ให้มันได้ยังงี้) แต่ถึงจะเป็นมาร์ค จาคอบส์ หรือคาลวิน ไคลน์ ที่ขึ้นชื่อว่ามีดีไซน์เพื่อนิวยอร์กเกอร์โดยแท้ ก็ยังต้อง แบ่งพื้นที่ให้กับเหล่าดีไซเนอร์ชาวเอเชียที่เข้าไปทำ�มา ค้าขึ้นในมหานครที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างเข้มข้น ดุดันแห่งนี้ เชื่อว่าชาวไทยที่สนใจเรื่องราวของแฟชั่นจะ ต้องรู้จักหรืออย่างน้อยๆ ก็คุ้นชื่อ Thakoon กันบ้าง แหละ ส่วนถ้าใครไม่รู้ก็ควรรู้ไว้ว่าเขาคนนี้คือดีไซเนอร์ สายเลือดไทยที่มีถิ่นกำ�เนิดในเมืองไทย ก่อนจะหอบผ้า หอบผ่อนตามครอบครัวไปอยู่ที่สหรัฐฯ เมื่ออายุได้เพียง 9 ปี แล้วก็ดังเป็นพลุแตกเมื่อมีผลงานเข้าตาคนดังและ ผู้ทรงอิทธิพลในวงการ ซึ่ง “ผู้ทรงอิทธิพล” ที่ว่านี้ก็คือ สตรีหมายเลขหนึ่ง มิเชล โอบาม่า, ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์ รวมถึงแบรนด์อเมริกันจ๋าอย่าง GAP และ แอนนา วินทัวร์ บ.ก.แห่งนิตยสาร Vogue อเมริกา ผู้เป็นที่ร่ำ�ลือกันว่าเธอเนี้ยบและเฮี้ยบจนดีไซเนอร์รุ่น เก๋าหลายรายยังเข็ดขยาด ก็ยังติดใจและผลักดันให้ หนุ่มไทยคนนี้ขึ้นสู่จุดที่ดีไซเนอร์หน้าใหม่ทั้งหลายเกิน กว่าจะกล้าใฝ่ฝัน ซึ่งถ้าใครได้ดู September Issue
Alexander Wang stylishminds.wordpress.com
คงทราบดี ตามด้วย Alexander Wang หนุ่มเชื้อสาย ไต้หวันที่มาแรงไม่แพ้กัน ชายหนุ่มผมยาวผู้นี้มีความ โดดเด่นมากเรื่องสไตล์กรันจ์เท่ๆ เน้นสีดำ� ขาว และ เทา มีผลงานเข้าตามาหลายซีซั่นติดๆ กันตั้งแต่แรก แถมยังฮอตขึ้นเรื่อยๆ จนในวงการตอนนี้ไม่มีใครไม่ รู้จัก นอกจากแบรนด์ที่ใช้ชื่อตัวเองแล้ว เขายังมีไลน์ T by Alexander Wang ที่มีราคาย่อมเยากว่าหน่อย ในดีไซน์เรียบเท่อย่างเท่าเทียมกัน และยังได้รับความ ไว้วางใจถูกรับเลือกให้เป็นดีไซเนอร์คนใหม่ของแบรนด์ ยักษ์ใหญ่อย่าง Balenciaga ส่วน Jason Wu เองก็ ไม่น้อยหน้า หลังจากผ่านชีวิตมาเยอะในวัยเพียง 31 ทั้งเรียนด้านแกะสลักจากญี่ปุ่น ไปจนถึงทำ�ชุดให้
ตุ๊กตาใส่ เขาได้เข้าร่วมการประกวดดีไซน์เสื้อผ้าและ ได้รับรางวัลชนะเลิศในปี 2008 ก่อนที่มิเชล โอบาม่า จะเลือกใส่ชุดของเขาหลายต่อหลายครั้งในงานสำ�คัญ ครั้งประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับลูกสาวมหาเศรษฐี อิวังก้า ทรัมป์, แอมเบอร์ วาเลตต้า และแจนยัวรี โจนส์ แล้วชื่อของ Jason Wu ก็ติดโผอยู่ในดีไซเนอร์ ระดับหัวกะทินับแต่นั้น, Peter Som หนุ่มชาวฮั่นที่ เกิดในซานฟรานซิสโก แม้จะมีสไตล์ไม่ค่อยจะมินิมัล ตามกระแสหลักของชาวอเมริกันเท่าไหร่นัก แต่ดีไซน์ แบบเซ็กซี่เฟมินีนที่ดูหรูหราและเย้ายวนอย่างมีคลาส กลับตรงใจแฟชัน่ นิสต้าสาวหลายๆ คน รวมถึง สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน, แคลร์ เดนส์, ไดแอน ครูเกอร์ 151
และคามิลลา เบลล์ ก็ถ้าไม่เก่งจริง ไม่สวยจริง ไม่เซ็กซี่สง่างามจริง คงจะไม่มีทางได้ร่วมงานกับ แบรนด์ Bil Blass แน่ๆ ละ ที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ Phil ip Lim หนุ่มที่มีสไตล์การออกแบบเน้นความ คูลเข้าว่า คือสวยเท่แบบไม่ต้องพยายามอะไรมาก กางเกงทรงที่ดูธรรมดาๆ เมื่อผ่านฝีมือการออกแบบ ของผู้ชายคนนี้กลับดูเท่ เก๋ และ “มีอะไรๆ” ขึ้นมา ทันทีโดยไม่มีเหตุผล อีกทั้งเขายังฝังกลิ่นอายแบบ สตรีตลงไปในคอลเล็กชั่น ทำ�ให้แต่ละชิ้นสามารถ หยิบมาใส่ได้ทุกวันและทุกโอกาส หลังจากที่แจ้งเกิด ในคอลเล็กชั่น Fall 2006 มาจนถึงวันนี้ กราฟความ สำ�เร็จของเขาก็ยังคงพุ่งไม่หยุด เพราะนอกจากจะเปิด ช็อปในสหรัฐฯ ทั้งที่นิวยอร์กและแอลเอแล้ว เขายัง ขยับขยายแบรนด์มาถึงประเทศในแถบเอเชียอย่าง ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วย ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สำ�หรับดีไซเนอร์ที่เพิ่งจะเข้าสู่วงการและมีแบรนด์เป็น ของตัวเองมาได้แค่ 7 ปี! และ Derek Lam อดีต ผู้ช่วยของ Michael Kors ในช่วงยุค ’90s ยุครุ่งเรือง ของแบรนด์ ก่อนจะหันมาสร้างชื่อให้กับตัวเองในปี 2003 พร้อมโชว์แรกใน New York Fashion Week (ตามสเต็ปสำ�คัญที่กล่าวไว้ในคราวแรก) ซึ่งชุดเดรส กางเกงขาบาน และการเลือกใช้วัสดุที่หลากหลาย ของเขานี่เองที่ทำ�ให้เขาครองใจสาวๆ ผู้รักการแต่งตัว ไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย ตามด้วยไลน์รองเท้าและ เครื่องประดับของตัวเองที่ประสบความสำ�เร็จไม่แพ้กัน ฯลฯ นี่เป็นแค่ตัวอย่างของดีไซเนอร์เอเชียรุ่นใหม่ที่ กำ�ลังมาแรง ยังไม่นับบรรดานักออกแบบเก๋าเกม
ที่อยู่มานานนมจนคนแทบจะลืมไปแล้วว่าพวกเขาก็ สืบเชื้อสายจากตะวันออกด้วยเช่นกัน อย่าง Anna Sui และ Vera Wang เป็นต้น รวมถึงดีไซเนอร์เอเชียที่แม้ จะยืนพื้นทำ�งานอยู่ในแถบประเทศบ้านเกิดเมืองนอน ของตัวเองแต่ก็สามารถสร้างชื่อได้กระฉ่อนไปไกลถึง ต่างแดนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Yohji Yamamoto, Limi Feu, Doo Ri และแนวโน้มนักเรียนที่เรียนดีไซน์ ในสถาบันชื่อดังต่างๆ เกินกว่าครึ่งมีเชื้อสายมาจาก ทางตะวันออกแทบทั้งหมด หลักฐานอีกชิ้นที่บ่งบอกและยืนยันได้ดีว่าศิลปะแบบ เอเชียถือเป็นมรดกทางการออกแบบที่ใช่เพียงจะมีแต่คน หัวดำ�ต้องบำ�รุงรักษาไว้เท่านั้น เพราะถ้าได้สังเกตใน แต่ละคอลเล็กชั่นของช่วงปีที่ผ่านมา (และอีกหลายปี ก่อนหน้า) ดีไซน์แบบเอเชียเรานั้นได้ถูกนำ�มาถ่ายทอด ลงบนผืนผ้าและดีไซน์สมัยใหม่ด้วยฝืมือของนักออกแบบ แถวหน้า ไม่เว้นแม้แต่ทางฝั่งยุโรปมาโดยตลอด อาทิ ชุดกิโมโนและรองเท้าแบบญี่ปุ่นโบราณถูกนำ�มาตีความ ใหม่ภายใต้คอลเล็กชั่นแบรนด์ที่ถือได้ว่าเป็นผู้กำ�หนด ทิศทางแฟชั่นโลกอย่าง Prada, ลายพริ้นต์แบบ ดอกไม้ญี่ปุ่นบนแพตเทิร์นสไตล์เอเชียของ Etro, Ann Demeulemeester นี่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากชุด กิโมโนญี่ปุ่น แต่นำ�มาดัดแปลงโดยใช้ผ้าที่บางเบากว่า ปล่อยชายแขนเสื้อให้ยาวระโยงระยางแล้วคาดทับด้วย เข็มขัดใหญ่ๆ คล้ายผ้าคาดเอวแบบญี่ปุ่นโบราณ ถ้านึก ภาพไม่ออกขอแนะนำ�ให้นึกถึงเอ็มวีเพลง Frozen ของ มาดอนน่า นั่นละใช่เลย, ส่วน Emilio Pucci เองก็ ชัดเจนมาก เพราะยกมาหมดทั้งทวีป ตั้งแต่เสื้อคลุม
152
Prada Spring 2013 www.vogue.com แขนกว้างแบบผูกเอวแบบยูกาตะ รองเท้าพันข้อส้นตัน สลักลายมังกร และเสื้อคอจีนที่ใช้ผ้าปักแทนกระดุมแบบ จีนแท้ๆ และการใช้ด้ายปักลายบนเสื้อเป็นภาษาไทย, Haider Ackermann แบรนด์สุดเท่ที่ทำ�สูทกางเกงผ้าไหม โดยใช้ไอเดียจากแดนตะวันออกแทบทั้งคอลเล็กชั่น หรือ แม้แต่แบรนด์ระดับพระกาฬอย่าง Lanvin เองก็แอบ แทรกกลิ่นอายแบบเอเชียด้วยจัมพ์สูทสีดำ� เรียบเก๋ ที่ไม่ จำ�เป็นต้องพิมพ์ลายนกกระสาก็รู้ว่าได้แรงบันดาลใจมา จากญี่ปุ่นแน่นอน ฯลฯ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ใช่จะเป็นการเอ่ยอย่างหลงตัวเองว่า ชาติเอเชียเรามีวัฒนธรรมและชั้นเชิงการออกแบบที่เหนือ กว่าซะที่ไหน แต่ที่อยากพูดถึงก็เพราะว่ามันเป็นเรื่อง
ธรรมดาที่โลกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง ค่านิยมและ ความนิยมย่อมมีการสับเปลี่ยนเวียนวนกันไปเรื่อยๆ เพราะความมีอัตลักษณ์ช่างเป็นเรื่องที่แตกต่างแต่ งดงามดีแท้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าอะไรดีที่สุด ในโลก และอะไรดีกว่าหรือด้อยกว่าสิ่งใด เพียงแต่ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากคนเอเชียจะหันมาเห็นค่า ความงามในรูปแบบของตัวเองก็ต่อเมื่อคนต่างบ้าน ต่างเมืองเดินมาชี้นิ้วให้เห็น และมันก็เป็นเรื่องแปลกตา และน่าสนุกดีที่ได้เห็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ต่างพากันหันมาหยิบของเก่ามาเล่าใหม่ในแบบของ ตัวเองซึ่งก็ทำ�ได้น่าสนใจไม่น้อยเลยว่ามั้ยล่ะ?
153
READER WRITER
A SHORT FILM ABOUT LOVE 1 เราเจอกันครั้งแรกเมื่อเย็นย่ำ�ที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง เรื่องราวระหว่างฉันและเขาเริ่มต้นในสถานที่แสน โรแมนติกอะไรอย่างนั้น ฉันทบทวนความสัมพันธ์เก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เขาเป็นหัวหอกสำ�คัญเกี่ยวกับ ภาพยนตร์สายลึก (ลับซับซ้อน) หรือเรียกกันเท่ๆ ว่า หนังอาร์ตหนังอินดี้นั่นแหละ เขามาจัดนิทรรศการ เกี่ยวกับภาพยนตร์ ก็แหงสิ เขาทำ�งานสายนั้นจะให้เขา มาจัดแสดงศิลปะมวยไทยรึยังไง ขณะที่เดินดูกรอบรูป สี่เหลี่ยมที่แขวนบนผนังหอศิลป์แห่งนั้น กรอบแล้ว กรอบเล่า เมื่อเจอหนังหรือข้อมูลที่น่าพึงใจ ฉันเผลอ ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว ใครมาเห็นเข้าอาจคิดว่าฉัน เป็นบ้า บ้าที่ยิ้มอยู่คนเดียว ยิ่งถ้าฉันแสดงกิริยาอื่น อย่างการหัวเราะ หรือพูดกับตัวเองด้วยแล้ว ฉันคง เป็นคนบ้าโดยสมบูรณ์แบบ ก่อนกลับฉันแวะไปที่โต๊ะ ลงทะเบียนแล้วเขียนคอมเม้นต์เล็กๆ น้อยๆ ลงบน สมุดเยี่ยม พี่เขา (ที่นั่งประจำ�โต๊ะ) ชวนฉันคุยอย่าง 154
เป็นกันเอง เขาสารภาพว่าแอบขำ�ที่เห็นฉันยิ้มให้ รูปภาพและรู้สึกดีที่มีคนปลื้มงานที่เขาจัด แล้วก็บอก ชอบหุ่นอันแบบบางและปราดเปรียวของฉัน บทสนทนา ยาวยืดไปจนถึงการแลกเบอร์โทรและอีเมล เราคุยกัน ติดลมจนกระทั่งหอศิลป์ปิด ฉันลืมไปเลยว่าเมื้อกี๊กำ�ลัง จะกลับบ้าน เหมือนรถเมล์จะหมดแล้ว พี่เขาอาสา ขับรถไปส่ง ฉันตอบตกลง ตายแล้วฉันกลายเป็น ผู้หญิงใจง่ายไปแล้วเหรอเนี่ย! ขณะนั่งในรถพี่เขาเปิดเพลงคลอไปด้วย ไม่ใช่เพลง ไทยหรือเพลงสากลแบบที่คุ้นเคย แต่เป็นเพลงหลอนๆ เย็นๆ ปนเศร้า ฟังไม่ได้ศัพท์จับใจความไม่ออก แต่ฟุ้ง ไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกบางอย่าง ตายๆ มีเพลง แบบนี้บนโลกด้วยเหรอ ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นยูทู้บ เพิ่งเกิด แล้วฉันก็โตมาพร้อมวัฒนธรรมการไรท์ซีดี ด้วยนะ ส่วนรสนิยมการฟังเพลงก็ทั่วๆ ไป คือรู้จัก แต่เพลงป๊อบหรือร็อกสเมนสตรีม “พี่เปิดเพลงของอยู่ใครคะ”
“ซิกูร์รอส” พี่เขาหมายถึง Sigur Rós ฉันผงก ศีรษะ “อ๋อเหรอคะ เพลงแปลกดี ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เพราะมาก ช่วยไรท์ให้สักแผ่นได้มั้ยพี่” เขาตอบ ตกลง แล้วพี่เขาเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องเพลงหลัง จากคุยจ้อเรื่องหนังมาสักพัก แต่ละวงที่พี่เขาพูดถึง ฉันได้แต่บอดใบ้ไปไม่เป็นเพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาคุย จึงทำ�ตัวเป็นผู้ฟังที่ดีจนกระทั่งรถเคลื่อนไปถึงหน้า บ้านฉัน ก่อนจากกันเขายื่นซีดีให้สองแผ่น เป็น Bob Dylan’s Greatest Hits หนึ่ง และอัลบั้ม Make Another World ของ Idlewild อีกหนึ่ง รู้ทีหลัง ว่าแผ่นแรกเป็นของศิลปินระดับตำ�นานอย่างที่คุณๆ ทราบกันดี อีกแผ่นเป็นของวงร็อกจากสกอตแลนด์ เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงพี่เขาได้แง้มกะลาที่ครอบหัวฉัน ออกทีละน้อย โลกของศิลปะภาพยนตร์และดนตรีมัน กว้างขวางและท้าทายฉันยิ่งนัก--ฉันคิด และแน่นอน ฉันศรัทธาในตัวเขาได้ในเวลาสั้นๆ บวกกับที่ฉันได้
อ่านงานเขียนหรือหนังสือเล่มที่เขาเป็นบรรณาธิการ มันยิ่งตอกย้ำ�การทำ�งานหนักชนิดอุทิศตัวตนและ ความรู้ความสามารถของพี่คนนั้น บ่ายวันหนึ่งพี่เขาแวะมาหาฉันที่ออฟฟิศ พร้อม หนังสือเจาะลึกผลงานของผู้กำ�กับฯระดับเซียน (ที่ฉัน ไม่รู้จักและไม่คุ้นแม้แต่ชื่อเดียว) ไหนจะแผ่นดีวีดี หนังเด่นๆ ของผู้กำ�กับฯแต่ละคน และตำ�ราเขียนบท หนังเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของวิลเลียม โกลด์แมน อีกหนึ่งเล่ม ฉันซาบซึ้งมาก แต่ด้วยความที่พื้นฐาน ด้านภาพยนตร์และภาษาอังกฤษของฉันอยู่ในระดับ ต่ำ�เตี้ย ของล้ำ�ค่าเหล่านั้นจึงกลายเป็นทั้งยาขมและ ของประดับห้องนอนฉันในเวลาต่อมา กว่าจะเข้าอก เข้าใจสารในสิ่งเหล่านั้นก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี ฉัน ถึงได้ตระหนักว่างานจำ�พวกศิลปะหลายครั้งต้องอาศัย ทั้งเวลาและวุฒิภาวะ ตลอดจนความสามารถในการ ใช้ภาษาและความสามารถอื่นๆ ในการทำ�ความ 155
กามนิตหนุ่ม ด้วยเป็นหนังละเมียดละมุนในแง่ของ การเล่นกับอารมณ์คนดู โดยไม่ใช้เล่ห์กลมารยาด้าน ภาพหรือเทคนิคหวือหวา ตรงกันข้าม กลับใช้ความ เป็นธรรมชาติแทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่แสงที่เหมือน ไม่ได้จัดฉาก เสื้อผ้า และอุปกรณ์ประกอบฉากอื่นๆ ดูเรียบง่ายสมจริงไปหมด เขาใช้ประโยชน์จากการใช้ ที่ว่าง ความเงียบ ระยะห่าง และการรอคอย ให้เกิด ประโยชน์มากที่สุด ไปพร้อมๆ กับมีจุดหักมุมแบบ เนียนๆ เป็นระยะ และที่สุดของที่สุดคือ หนังเล่นกับ การ “มอง” และ “ถูกมอง” รวมทั้งการเล่าเรื่องผ่าน เฟรมภาพได้อย่างไม่คาดคิดและน่าทึง่ โดยเฉพาะตอนจบ ที่ฉันชอบอีกอย่าง คือมันเป็นหนังอาร์ตที่ดูรู้เรื่อง มากๆ สารที่ผู้กำ�กับฯต้องการสื่อมีความชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องเดาต้องสืบ จะดูเอาเนื้อเรื่องเฉยๆ หรือตีความ 2 หาสัญลักษณ์อะไรยังไงก็สามารถทำ�ได้ ส่วนเนื้อหาว่า ไม่กี่วันมานี้ ฉันรื้อแผ่นดีวีดีที่พี่คนนั้นเคยให้ไว้ จากชั้นเก็บของ มาปัดฝุ่นแล้วใส่เข้าไปในเครื่องเล่น ด้วยเรื่องของรักต่างวัยแบบ The reader, ได้อารมณ์ เนิบนิ่งเหงาเศร้าสร้อยแบบ In the mood for love ยิ้มคนเดียว (อีกแล้ว) ดีใจที่ยังดูได้ แผ่นไม่สะดุด อย่างที่คิด (เพราะดองไว้นานมาก) นอนดูด้วยความ เป็นหนังรักต่างมุมมองระหว่างพระเอกนางเอก คล้ายๆ ไม่คาดหวังใดๆ แค่เข้าใจก็บุญแล้ว หนังเรื่องนี้ชื่อว่า (500) Days of summer คือมันมีกลิ่นของหนังรัก “A short film about love” หนังโปแลนด์ ปี 1988 ทำ�นองนี้อย่างละนิดละหน่อยอบอวลอยู่เป็นระยะ หรือ แม้แต่คนที่ชอบ Once หรือ Lost in translation กำ�กับฯโดย Krzysztof Kieślowski เป็นอีกหนึ่งผู้ กำ�กับฯที่ฉันกดไลค์ให้ทันทีเมื่อหนังจบ รวดเร็วปาน น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากเย็น เมื่อเทียบกับ เข้าใจ เหมือนตอนที่เป็นเด็กประถมหนึ่ง ฉันและ เพื่อนๆ ลงความเห็นว่ารูปโมนาลิซ่าที่แขวนเยื้อง กระดานดำ�เกือบชิดเพดานในห้องเรียน คือสิ่งน่ากลัว ชนิดหนึ่ง นางคือผีเฝ้านาที่มาสิงในโรงเรียน (คิดแบบ เด็กบ้านนอกที่ใกล้ชิดท้องไร่ท้องนา) จึงไม่มีใครกล้า อยู่ในห้องเรียนเพียงลำ�พัง ฉะนั้นการถูกกลั่นแกล้งที่ ร้ายแรงที่สุดในวัยประถมหนึ่ง คือถูกขังเดี่ยวไว้กับนาง โมนาลิซ่าช่วงพักเที่ยงหรือหลังเลิกเรียนแบบสองต่อสอง คิดแล้วยังสยองไม่หาย โตขึ้นมาพอรู้จักลีโอนาร์โด ดา วินชี ถึงได้รู้อะไรเป็นอะไร ยิ่งสมัยที่หนังสือดา วินชี โค้ดดังมากๆ ยิ่งกระจ่าง รหัสลับผีเฝ้านาโด่งดังและ ขายดีไปทั่วโลก แดน บราวน์ ผู้แต่งจึงรับทรัพย์อื้อซ่า
156
ทุกเรื่องแล้ว ฉันยกให้ “A short film about love” เป็นที่หนึ่งในด้านความสด ดิบ สมจริง ประหยัดและ ฉลาดในการเล่าเรื่อง การทำ�หนังสักเรื่องให้ออกมา แบบนี้ได้ห่างไกลจากคำ�ว่าง่ายอยู่พอสมควร แต่ลางเนื้อ ชอบลางยา หนังดีของใครก็ของคนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ จะมาถกเถียงให้เมื่อยตุ้ม อ้อ หนังเรื่องนี้มีให้ดูใน ยูทู้บ พร้อมซับอังกฤษ พอหนังจบลงนอกจากจะคลั่งไคล้ใหลหลงในตัว ผู้กำ�กับฯผู้ล่วงลับ ฉันอดนึกถึงเจ้าของแผ่นหนังเรื่องนี้ ไม่ได้ ปัจจุบันเขาย้ายจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ต่างจังหวัด และกำ�ลังทำ�หนังเรื่องแรกในชีวิต เขาดิ้นรนจนได้ทำ� เพราะมันเป็นความฝันสูงสุดของเขา ด้วยงบประมาณ ที่จำ�กัดจำ�เขี่ยจนต้องมานั่งตัดต่อด้วยตัวเอง เป็นกรณี ศึกษาสะท้อนความจริงของวงการหนังไทย ในแง่ของ การหางบประมาณทำ�หนัง โดยเฉพาะการขอแรง สนับสนุนจากภาครัฐ ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตคนทำ�หนัง
ในบางประเทศจะอาภัพไปถึงเมื่อไหร่ ทุกวันนี้ฉันกับพี่เขาไม่ค่อยได้ติดต่อกันด้วย หลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัวฉันเองเป็นหลัก ตอนนั้นฉันยังเด็กมาก ยินดีปรีดากับมิตรภาพที่เกิดขึ้น บางครั้งฉันอ่อนไหว แต่ก็สรุปไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ ของเราเรียกว่าอะไร เขาดีกับฉัน เมตตา เอื้อเฟื้อ ฉันมากๆ แล้วฉันก็พังมันเสีย ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พอฉันคิดได้ อยากกลับไปเป็นเหมือนก่อน แต่เขาก็ ไม่เหมือนเดิมแล้ว ความสัมพันธ์ที่อธิบายไม่ได้ครั้งนี้ ฉันจัดให้อยู่ในประเภทหนังรักเล็กๆ อีกเรื่องหนึ่งที่ ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักส่วนตัว เพราะบางครั้งคนเราต่างก็ต้องมีหนังสั้นเกี่ยวกับ ความรัก (A short film about love) เป็นของตัวเอง แอบซ่อนไว้ หลายคนอาจมีมากกว่าหนึง่ เรือ่ ง และบาง เรื่องอาจจะดราม่าและเศร้าลึกยิ่งกว่าเรื่องราวบนหน้า จอเสียอีก
157
148
พบกับแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ดีๆ แบบนี้ได้ทุกๆ ต้นเดือนที่
www.pieeveryday.com
หรือ www.facebok.com/piemagazine2013
149
See You Soon. 150