pie issue 3

Page 1

CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE ONLINE MAGAZINE

3

MAY 2013

REAL SONG FROM REAL SOUL LEK GREASY CAFE


02


WWW.PIEEVERYDAY.COM WWW.FACEBOOK.COM/PIEMAGZINE2013

03


LIKES

สวัสดีครับ ขอเริ่มหน้าแรกด้วยการขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่านก่อนดีกว่า จากที่ PIE เล่มสอง หน้าปก Yellow Fang ที่ผ่านมา มีผู้อ่านและ คนมากด Like เพจเฟซบุ๊กมากขึ้นเยอะทีเดียว ขอบคุณที่ให้ความสนใจและสละเวลามาอ่าน กันนะครับ ใน PIE แต่ละเล่มเราตั้งใจจะไปพูดคุย สัมภาษณ์คนทำ�งานสร้างสรรค์หลายแขนง ทั้งมีชื่อเสียงและไม่มีชื่อเสียงแต่มีความตั้งใจ ทุกครั้งที่ไปเราก็ได้อะไรดีๆ กลับมาเสมอ ทั้งมุมมอง แง่คิด กำ�ลังใจ และเรื่องราวที่ ทำ�ให้ต้องกลับมามองตัวเองหลายๆ ครั้ง สดๆ ร้อนๆ ในเล่มสามนี้ ทั้งพี่เล็ก Greasy Cafe, ทั้ง Mink’s และทุกๆ คนที่เราพูดคุย จะมีเนื้อหาบางส่วนที่ตรงกันอย่างประหลาดคือ การรู้จักตัวเอง อย่างการรู้ว่าชอบอะไร อยาก ทำ�อะไร แม้มันจะฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ ไม่ง่ายเลยสำ�หรับหลายๆ คน รวมถึงผมด้วย ความชอบเป็นเหมือนจุดเริ่มเล็กๆ ที่ง่ายและ

04

น่ารัก แต่กลับมีคุณประโยชน์คล้ายเป็นเข็มทิศเล็กๆ ในมือของนักเดินทางที่กำ�ลังเดินอยู่ในทะเลทราย ไกลโพ้น หรือมหาสมุทรกว้างใหญ่เวิ้งว้าง ซึ่งบางที ที่เกิดความสับสน หลงทิศ ผิดเป้าหมาย ก็หยิบเจ้า เข็มทิศความชอบออกมาดูได้เป็นระยะ หลังจากนั้นแม้จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ อย่างการเอาใจใส่ ศึกษา ความมุ่งมั่นพยายาม โอกาส จังหวะ ฯลฯ แต่จุดเริ่มก็มาจากเจ้าความ ชอบจุดเล็กๆ นี้ทั้งนั้น นิตยสาร PIE ก็เช่นกัน ที่เริ่มมาจากความชอบในการอ่าน การทำ�นิตยสาร และเราก็หวังว่าความชอบของเราจะส่งไปถึงผู้อ่าน ทุกท่านครับ ฝากอีกนิด หากผู้อ่านท่านใดมีความคิดเห็น เสนอแนะติชม ปรึกษาปัญาหัวใจ หรือจะมาพูดคุย กันเล่นๆ สามารถติดต่อเราได้ทาง pieonlinemag @gmail.com นะครับ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น สุรเชษฐ์ ศิลปบรรเลง คนทำ�พาย


EDITORAL STAFF

บรรณาธิการ สุรเชษฐ์ ศิลปบรรเลง กองบรรณาธิการ กฤษณะ โชคเชาว์วัฒน์ จารุวรรณ ดวงคำ� ภาพและศิลปกรรม PIE TEAM เว็บมาสเตอร์ ชวลิต กรุตนารถ คอลัมนิสต์ จินดารัตน์ จรัสรุ่งโรจน์, พัชรีพร ชูศรีทอง, Yuiji Yamamoto พิสูจน์อักษร บานเย็น ขันทอง PIE online magazine 100/99 สุขาภิบาล 5 ออเงิน สายไหม กรุงเทพฯ 10220 08-0233-5492, 08-6918-6212 E-mail : pieonlinemag@gmail.com www.facebook.com/piemagazine2013 www.pieeveryday.com

05


CONTENTS

44

28 08 LOOKS + TRENDS

MUSIC MOVIE & BOOK

AROUND IDEAS

LOVE PLACE

08 กวาดตามองหาเทรนด์เก๋ จากทั่วโลก 14 ไอเดียเด็ดๆ ของเจ๋งๆ ที่เท่ไม่เหมือนใคร

20 หนังสือ ภาพยนตร์ ดนตรีดีๆ น่าฟัง น่าชม น่าดู 28 ZAKKA SHOP 36 NEW ROAD ART & DECOR

06


50

102

MAY 2013

70 84 PIE TALK

PIE INSPIRATION

BASE CULTURE

READER WRITER

44 CELLIST LIFE 56 WE LOVE TINY LINE 70 MINK’S ALL I MADE IS EVERYTHING WE LOVE 84 LOOK AT THE SKY

102 REAL SONG FROM REAL SOUL LEK GREASY CAFE 124 PIE ONLINE GALLERY 138 ORIENTAL ATTRACTION 142 เราควรมีอิสรภาพมากแค่ไหน? 146 ARAKAWA UNDER THE BRIDGE 07


Look +TRENDs

The Abici Pantone Bike

เดี๋ยวนี้สีอะไรๆ ก็แพนโทน ทั้งอาหาร กระเป๋า แก้วน้ำ� หรือแม้แต่แบรนด์จักรยาน สไตล์วินเทจ สัญชาติอิตาลี Abici ก็เอากับเขาด้วย ทั้งสีเขียว สีฟ้า สีแดง และ สีเหลือง รับรองขี่กันเป็น แก๊งแล้วน่ารักสดใสแน่นอน แถมด้านข้างยังเขียนรหัสสี ให้ด้วย เผื่อใครสนใจแต่ไม่มี งบฯก็เอารหัสสีไปทำ�เอาได้ (ล้อเล่นนะจ๊ะ)

Cat Face Stockings!

ช่วงนี้กระแสแมวเหมียวมาแรง ม้ากกก และนี่เลย Cat Face Stockings! ถุงน่องน้องเหมียว ด้านหน้าเป็นหน้าแมว ด้านหลัง เป็นหาง สำ�หรับสาวกผู้รักแมว ทั้งหลาย เห็นแล้วต้องชอบ ก็มัน น่ารักกุ๊กกิ๊กสุดๆ เลยนี่นา

08


Ne-net x Wisut

หลังจากโกอินเตอร์ไปโด่งดังที่ญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน ล่าสุดตอนนี้พี่ตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร ได้มี โปรเจ็กต์ทำ�ร่วมกับ Ne-net แบรนด์เสื้อผ้าญี่ปุ่นชื่อดัง ออกคอลเล็กชั่นใหม่ ที่มีทั้งเสื้อยืดลาย มะม่วง และน้องเหมียวโดราจังสุดน่ารัก ทั้งเสื้อเชิ้ต ถุงเท้า ผ้าเช็ดหน้า และกระเป๋า วางจำ�หน่าย ไปเมื่อวันที่ 27 เมษายนนี้ แน่นอนว่าที่ประเทศญี่ปุ่นนะจ๊ะ เห็นแฟนๆ ต่อแถวกันยาวเหยียด น่าดีใจ แทนพี่ตั้มมากๆ ส่วนสาวกคนไทยอย่างเราอดใจรออีกนิด แอบได้ยินมาว่า มีที่ Club 21 ไงก็ลองไปถามหาดูกันนะ

09


Look +TRENDs

Andy Warhol Lost Pictures

หันไปทางไหนตอนนี้ก็มีแต่งานเกี่ยวกับ ป๋า Andy Warhol ล่าสุดช่างภาพ Steve Wood กับ 'Lost Then Found' นิทรรศการภาพถ่ายพอร์ตเทรต เมื่อครั้ง ที่เขาถ่ายให้กับวอร์ฮอล ในเดือนกันยายน ปี 1981 นี่ก็ผ่านมาแล้วถึง 30 ปี จะเก็บไว้ ดูคนเดียวก็กระไรอยู่ เขาและเพื่อนจึงนำ�ภาพ ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนนี้มาจัดแสดงขึ้นที่ 345 meatpacking ในนิวยอร์ก ระหว่าง วันที่ 3-12 พฤษภาคมนี้ ได้เห็นภาพแบบนี้ แฟน Andy Warhol คงจะดีใจไม่ใช่น้อย

010


Christian Dior from Andy Warhol (again)

ขอลงข่าวราชาป๊อปอาร์ตอีกสักเรื่อง กับการจับงานดรออิ้งดีเทลเก๋ของศิลปินป๊อป อาร์ต Andy Warhol ลงมาอยู่บนชุดและกระเป๋าของ Christian Dior ในคอลเล็กชั่น Autumm/Winter 2013 เดินเฉิดฉายบนรันเวย์ ในงาน Paris Fashion Week Fall 2013 แต่ละชุดตกแต่งด้วยการเพ้นต์และปักบนชุดทั้งขาวและดำ�อย่างหรูหรา เพื่อเป็นการ เฉลิมฉลองให้กับ The Andy Warhol Foundation for the Visual Arts

011


Look +TRENDs

Walkonthewildside Shop

เสื้อผ้าใส่สบายสไตล์ ECO เพราะสีย้อมเขาทำ�จากพืชผักผลไม้ครับ กับ Walkonthewildside Thailand อีกหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้าในหน้าเพจเฟซบุ๊ก เน้นอารมณ์เสื้อยึดใส่สบายไม่ทำ�ร้ายสิ่งแวดล้อม ไร้สารเคมี แต่สวย น่าใส่ครับ แถมยังมีบล็อกสนุกๆ ให้อ่านที่ walkonthewildblog.wordpress.com ที่มีเขียนตั้งแต่การทำ�ฝ้าย จนถึงเรื่องการทำ�แตงกวาดองเลย ติดตามที่ www.facebook.com/pages/Walkonthewildside-shop/ 142350719137072?fref=ts

012


adidas Consortium 30 Anniversary

ออกมาให้แฟนๆ สตรีตสนิกเกอร์ จับจองใช้สอยกันมานาน จนฉลอง ครบรอบ 30 ปีแล้ว สำ�หรับ adidas Consortium ครั้งนี้มาแบบสีพาสเทล ใสซอฟต์ มี 3 แบบให้เลือกสรร แต่ก็ ยังไม่ทิ้งซิกเนเจอร์เส้น 3 ขีด 3 สี ต่างกัน และถึงสีจะไม่ได้ดูสปอร์ตจ๋า แต่ก็น่ารักไปอีกแบบนะ สาวกรอ จับจองกันได้วันที่ 4 พฤษภาคมนี้

Navy Off cial

น่ารักน่าสวมใส่มากๆ ไปพบเจอในหน้า เพจเฟซบุ๊กมากับเพจชื่อ Navy Offcial สาวๆ สายชิลล์สบายๆ ทั้งหลายไม่ควร พลาด ทั้งถุงเท้า กระเป๋า เสื้อชั้นในที่ สวยทั้งผ้า ลวดลายต่างๆ การดีไซน์ และการถ่ายภาพ ที่ทั้งเปรี้ยว เก๋ แฟชั่น และน่ารักไปในตัว ติดตามได้ที่

www.facebook.com/navyofficial

013


AROUND IDEAS Rollware

มาสร้างลวดลายสวยเก๋บน แป้งพายกับ ‘Rollware’ โรล กลิ้งแป้งที่มีแพตเทิร์นหลากแบบ หลายลายน่ารัก น่าใช้ น่ากลิ้ง ทำ�เป็นเท็กซ์เจอร์บนแป้งที่อบ ออกมาเป็นแผ่นหรือจานรอง ก็ดูน่ารักไม่เบา แถมกินได้ด้วย งานนี้เป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์สุด ครีเอตที่คนทำ�ครัวต้องหลงรัก กับ The Piet Zwart Institute ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนออกแบบใน เนเธอร์แลนด์ จัดนิทรรศการ เขาประดิษฐ์ของทำ�ครัวเก๋ๆ ในชื่อ ALTERED APPLIANCES

Beertone

เบียร์ที่คุณดื่มสีอะไร อย่าบอกว่าสีเหลืองนะ เพราะทุกวันนี้เขามี Beertone กันแล้ว Beertone คือสุดยอดแพนโทนที่นักดื่ม ตามหา (ขนาดนั้นเลย) ก็แพนโทนเขามีทั้ง รหัสสีของเบียร์ ยี่ห้อ ปริมาณแอลกอฮอล์ เรียกว่าเอกซเรย์กันถึงแก่น ซึ่งเขาจัดท็อป เบียร์มากกว่า 200 ยี่ห้อจาก Switzerland รายละเอียดครบ เห็นแบบนี้แล้วคอแอลฯ ทั้งหลายคงอยากจะมีไว้ครองกันแล้วล่ะสิ จะได้ตามดื่มให้หนำ�ใจกันไปเลย เอ้า! ชนแก้ว

014


Canvas furniture by YOY design studio

ไม่ใช่แค่ภาพบนแคนวาสธรรมดา แต่มันคือเก้าอี้ที่นั่งได้จริงๆ นะ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก YOY design studio ดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น (อีกแล้ว) ที่ทำ�ให้เจ้าแคนวาสพริ้นต์ลายที่เหมือนจะธรรมดา ให้กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ขึ้นมาได้ ทั้งเก้าอี้ และโซฟา ต่อไปก็ไม่ต้องเปลืองเนื้อที่วาง ไม่ต้อง เปลืองไม้มาประกอบโต๊ะเก้าอี้แล้วสิ แค่พิงที่ผนังก็นั่งได้ แถมสวยและเก๋ไก๋อีกตะหากแน่ะ

Solar-Powered Window Socket

นับวันนวัตกรรมเพื่อประหยัดพลังงานจะมีมากขึ้น เรื่อยๆ ล่าสุดกับ Window Socket ออกแบบ โดย Kyuho Song & Boa Oh แผงโซลาร์เซลล์ ขนาดกะทัดรัด เพียงให้เจ้า Window Socket แผงโซลาร์ติดกับหน้าต่างใสๆ รับแดดแรงๆ ก็ เปลี่ยนมาเป็นพลังงานไฟได้อย่างง่ายดาย เอามา ติดแถวบ้านเราคงลดค่าไฟลงไปได้อีกเยอะเลย ก็แดดแรงซะขนาดนี้

015


AROUND IDEAS

Censored by Alvaro Escobar

ช่างภาพสายเลือดสเปน Alvaro Escobar ใช้เวลา 9 เดือนในประเทศจีน ตามเก็บภาพ ยานพาหนะที่คลุมผ้าไว้ ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ในชื่อเซตว่า Censored แปลว่า “คนจับผิด” โดยพี่เขาบอกว่าเป็นการสะท้อนแนวคิดทางสังคมของประเทศจีนที่ถูกผู้มีอำ�นาจครอบคลุมปิดบัง วิสัยทัศน์จากสื่อและการกระทำ�ต่างๆ ในชีวิตประจำ�วัน ซึ่งสำ�หรับตัวเขาเองมองว่าเป็นกฎ ที่ไร้สาระ โห…ลึกมาก Alvaro Escobar เป็นศิลปินถ่ายภาพที่เน้นแนวคิดเป็นหลักครับ ลองติดตามงานของเขาได้ที่ www.alvaro-escobar.com

016


Animal Head Hanger

ไม้แขวนเสื้อเป็นหนึ่งสิ่ง จำ�เป็นที่ทุกบ้านต้องมี ก็ต้องหาที่มันมีดีไซน์กัน หน่อย ต้องนี่ Animal Head Hanger 3 แบบ ทั้ง British Bulldog เก๋าๆ กับแก้วเบียร์, Calico Cat สุดน่ารัก และ Biggles Cat คุณแมวในมาดนักบิน ซึ่ง เพ้นต์โดย Annie Rehder Schultz น่ารักจริงอะไร จริง จนอยากได้น้องเหมียว ชิคาโกมาอยู่ในตู้ ก็น่ารักอ่ะ

Lourdes Air Booties

สาวกคนชอบเดินชอบช็อปฯไม่ต้อง บ่นเรื่องปวดเมื่อยระบมเท้ากันอีกต่อไป เพราะรองเท้าบู๊ตสุดเก๋ สีน่ารักของ พี่ยุ่นเขาได้ผลิตมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ Lourdes Air Booties เป็นรองเท้า บู๊ตสั้นๆ แถมยังน่ารัก เหมาะสำ�หรับ สาวๆ ที่หลงรักการเดินเป็นอย่างมาก เพราะสามารถปรับนวดผ่อนคลายเท้า ของคุณได้เพียงแค่เปิดสวิตช์ แต่เปิด สวิตช์ได้เพียง 15 นาทีนะ ถ้าจะนวด ยาวๆ ก็สามารถเสียบสาย USB ได้ น่าจะเหมาะกับสาวๆ ขาช้อปที่ต้อง เดินๆๆ เพราะนอกจากจะสบายแล้ว แถมยังดูดีอีกด้วย

017


AROUND IDEAS

Takashi Murakami in L.A.

นิทรรศการล่าสุดจากศิลปินรุ่นใหญ่ Takashi Murakami ที่โด่งดังสุดขีดเมื่อครั้งลายโมโนแกรมสีสันน่ารักของเขา ที่ทำ�ร่วมกับแบรนด์เนมสุดหรู Louis Vuitton มาปีนี้กับ นิทรรศการที่มีชื่อว่า “Arhat” ใน L.A. ซึ่งเป็นงาน เพ้นติ้งแบบ Contemporary ของมังงะ และอนิเมชั่นญี่ปุ่น ที่เขาสนใจอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งบางคนอาจดูก็อาจไม่คุ้นตา นัก ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยคือ Sculpture หลอนๆ และภาพ Superflat ดอกไม้บานยิ้มแฉ่งกับหัวกะโหลก ซึ่งก็อยู่ด้วยกัน ได้อย่างน่าประหลาด งานนี้จัดตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน-25 พฤษภาคม 2013 สาวกมุราคามิเตรียมลุย!

018


019


MUSIC MOVIE & BOOK

movie Welcome To The Punch

หนังตำ�รวจจับผู้ร้ายเข้มข้นจริงจังแต่เท่อย่าง Heat, Internal Affairs หรือหนังแก้แค้นสุดจี๊ดอย่าง Oldboy หนังแอ๊กชั่นในแบบจอร์น วู และภาพเหงาๆ ในหนังแบบหว่องกาไว ทั้งหลายเหล่านี้คือแรงบันดาลใจของผู้กำ�กับฯ และเขียนบท Eran Creevy (Shifty หนังทุนต่ำ�เรื่องแรกของเขาเคยได้เข้าชิงรางวัลบาฟต้า สาขาภาพยนตร์ เรื่องแรกยอดเยี่ยมในปี 2008) ที่นำ�มาสร้างเป็นหนังแอ๊กชั่นอาชญากรรมหักเหลี่ยมเฉือนคมเรื่องนี้คือ Welcome To The Punch ที่ถ่ายทำ�กันในลอนดอน เป็นเรื่องราวระหว่าง Jacob Sternwood (Mark Strong) โจรปล้น ธนาคาร ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของทางการอังกฤษ กับเจ้าหน้าที่ Max Lewinsky (Jame McAvoy จาก Wanted และ The X-Men Firt Class) ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจถึงความคิดของ Jacob อย่างทะลุปุโปร่ง แต่ก็ ไม่สามารถทำ�คดีได้เพราะมีเรื่องส่วนตัวกันอยู่ ทางผู้ใหญ่จึงไม่ให้ทำ�คดีเพราะเกรงว่าจะใช้อารมณ์ส่วนตัวในการ ทำ�งาน แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น การไล่ล่าชิงไหวชิงพริบสุดระทึกจึงเกิดขึ้นกับการขับเคี่ยวของการแสดงที่ เข้มข้น และฝีมือของผู้กำ�กับฯคนนี้จะเทียบชั้นกับผู้กำ�กับฯรุ่นพี่ได้ไหม 9 พฤษภาคมในโรงภาพยนตร์

020


music Treetop Flyers : The Mountain Moves

สายอินดี้โฟล์กร็อกขอเชิญฟัง The Mountain Moves อัลบั้มแรก ของห้าหนุ่มโฟล์กร็อกจากลอนดอน Treetop Flyers วงนี้มีเครดิตชนะ ในงาน Talent Competition ปี 2001 จากเทศกาลดนตรี Glastonbury Festival มาแล้ว อัลบั้มนี้ก็เป็นผลงานอัลบั้มเต็ม ชุดแรกเลยครับ ก่อนหน้านี้ทางวงก็ มีซิงเกิ้ลอัลบั้ม to bury the past และเพลงเพราะอย่าง ‘It’s About Time’ และจากที่ฟังเพลงใหม่ๆ อย่างเพลง Things Will Change แม้ว่าความโฟล์ก คันทรี่จะลดไปบ้าง เกือบๆ จะ อินดี้ร็อกแต่เมโลดี้ยังสวยงาม และฟังสบายครับ ส่วนเพลง อารมณ์กลางๆ อมเศร้าอย่าง เพลง Storm Will Pass หรือ Making Time ก็เยี่ยม ใคร ชอบเพลงแบบอเมริกันหน่อย น่าจะชอบกัน ถ้าจะฟังเพลง ร็อกขึ้นอีกนิดก็ She’s Gotta Run เพลงที่ชอบคือเพลง Postcards น่ารักฟั​ังสบาย ครับ รวมๆ Treetop Flyers เป็นวงอังกฤษที่มีความเป็น อเมริกันสูงทีเดียว เป็นวินเทจ อเมริกันซะด้วย

021


MUSIC MOVIE & BOOK

movie

022


My Sweet Orange Tree

หนังสืออ่านนอกเวลา My Sweet Orange Tree (ต้นส้มแสนรัก) วรรณกรรมเยาวชนสุดคลาสสิก ที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก ของนักเขียน ชาวบราซิล โจเซ่ วาสคอนเซลอน ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1968 ถูกนำ�ไป แปลกว่า 32 ภาษา ตีพิมพ์ใน 19 ประเทศทั่วโลก จนถึงวันี้ก็ 44 ปีแล้ว ได้ถูกนำ�ไปถ่ายทอดออกมาทั้งใน รูปแบบภาพยนตร์ฉายทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ฉายโรง และในรูปแบบ แอนิเมชั่นมาแล้วก็หลายครั้ง และใน ปีนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ถูกนำ�กลับมา สร้างใหม่ในรูปแบบของภาพยนตร์ จากการกำ�กับฯของ มาร์คอส เบอร์สตรีน และนำ�แสดงโดย Joao Guilherme Avila, Jose de Abreu, Caco Ciocler เล่าเรื่องราว ของ “เซเซ่” เด็กชายวัย 7 ขวบ เฉลียวฉลาดแสนซน ที่ต้องหลีกหนี จากโลกที่โหดร้ายจากความรุนแรง ที่เขาต้องเจอจากพ่อขี้โมโห ด้วย จินตนาการของตัวเอง กับงาน ด้านภาพที่สวยงามจับตาจับใจ แต่เรื่องราวจะประทับใจเหมือน ในหนังสือต้นฉบับหรือไม่นั้น 9 พฤษภาคมนี้พิสูจน์กันได้ในโรง ภาพยนตร์ (เฉพาะโรงภาพยนตร์ ในเครือเอเพ็กซ์)

book

Hello Tohoku / ปาลิดา พิมพะกร : Sunday Afternoon

พอรู้ว่า Sunday Afternoon กำ�ลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ เราก็รีบไปคว้ามาจากงานหนังสือแห่งชาติ เพราะติดใจใน สำ�นวนการเขียนแบบง่ายๆ แต่น่ารักและสนุกสนาน ที่ไม่ใช่ แค่เรื่องราวที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ภาพประกอบ เลย์เอาต์ ก็สวย น่ารักน่าหยิบอ่านเป็นที่สุด และด้วยความที่บ้าญี่ปุ่น อยู่เหมือนกัน เราจึงใคร่รู้เรื่องราวของประเทศนี้เพิ่มขึ้น อีกมากๆ อารัมภบทมาเนิ่นนาน เข้าเรื่องกันหน่อย Hello Tohoku เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ของพี่ฝน-ปาลิดา พิมพะกร ที่ว่าด้วยการมุ่งมั่นไปตามหาตุ๊กตาโคเคชิ ถึงถิ่นโทโฮคุของ ญี่ปุ่น ที่มีเรื่องราวระหว่างทางมากมาย ทั้งน่ารัก ซาบซึ้ง และมิตรภาพดีๆ ของคนญี่ปุ่น เช่น คุณลุงบนรถไฟ และ คุณป้าที่แอบให้ตุ๊กตามาฟรีๆ การบุกไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ ที่หายาก แถมยังได้ไปลองวาดตุ๊กตาโคเคชิอีกด้วย (>_<) เห็นความตั้งใจแบบนี้แล้ว ทำ�ให้เรารู้สึกอยากออกเดินทาง ไปยังโลกกว้างบ้างจัง

023


MUSIC MOVIE & BOOK

music

Cayucas : Big Foot

วงนี้เป็นวงของนาย Zach Yudin (มีกัน 5 คน) ในชื่อวง Cayucas กับอัลบั้มชุดแรก ‘Big Foot’ ฟังชุดนี้ฟังเพลิน ดีครับ เหมือนกับไปเที่ยวทะเล ตอนใต้แถบฮาวายอะไรแบบนั้น อย่างเพลง Ayawa ‘Kya, East Coast Girl และ Cayucos ที่ คึกคักสนุกสานใกล้เคียงอารมณ์ เพลงยุค 60’s ถึง 70’s แบบ ซัมเมอร์ๆ หน่อย เพลงที่ชอบเลย ชื่อ Bigfoot จะเนือยๆ จังหวะ พื้นเมืองช้าๆ แต่น่ารัก อีกเพลง ที่เมโลดี้สวยๆ คือเพลง Deep Sea ครับ แอบมีกลิ่นบอสซ่าเข้า มาด้วย ใครชอบแนวเซิร์ฟมิวสิก อินดี้ป๊อป ลองหาฟังดูนะ

024


INDIA DIARY อินดง อินเดีย / สเลดทอย : สำ�นักพิมพ์ Salmon Books

สำ�นักพิมพ์ Saimon Book สำ�นักพิมพ์ที่จัดหนังสือสนุก น่ารักออกมาสม่ำ�เสมอ และนี่ก็อีกเล่ม “INDIA DIARY อินดง อินเดีย” จาก “สเลดทอย” หรืออารักษ์ อ่อนวิลัย นักวาดภาพประกอบที่มีลีลาลายเส้นเฉพาะตัว เขาได้ไป ผจญภัยในประเทศอินเดียมาเป็นเวลาสี่สิบกว่าวัน ได้นำ� 55 เรื่องเด็ด ที่เราทั้งหลายอาจไม่รู้และคิดไม่ถึงว่ามันมี แบบนี้ด้วยเหรอ อย่างเรื่องการบอกว่า “ใช่” คนอินเดีย เขาจะส่ายหน้ากัน เรื่องน้ำ�โซดาแสนอร่อย บรรยากาศการ ไปเรียนภาษาที่อินเดีย หรือกระทั่งเรื่องซื้อแผ่นโป๊ในอินเดีย และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไปหาจากที่อื่นคงจะไม่เจอ นอกจาก ที่อินเดีย แถมถ่ายทอดออกมาในลีลาที่จัดจ้านทั้งด้านภาพ (แบบสุดมัน) ทั้งสีสันลายเส้น และภาษาที่อ่านแล้วสัมผัสได้ ถึงความปากจัด ช่างประชดประชันแสบๆ คันๆ แต่อ่านแล้ว มันส์! ติดใจจนวางไม่ลงเลยทีเดียว แถมใน PIE เล่มที่แล้ว สเลดทอยเขาก็ส่งผลงานมาโชว์ใน PIE online gallery ด้วยนะ ฝากขอบคุณไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ

025


MUSIC MOVIE & BOOK

movie The Great Gatsby

ธรรมดา แต่มีทั้งแบบ 3 มิติด้วย และยังได้รับเกียรติให้ ฉายเปิดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ครั้งที่ Baz Luhrmann ผู้กำ�กับฯท่านนี้เขาทำ�หนัง 66 ด้วย โดยผู้กำ�กับฯ Baz Luhrmann จะพาเรากลับ ค่อนข้างจะหวือหวาอลังการงานสร้างแต่มีสไตล์ (Romeo+Juliet, Moulin Rouge และ Australia) ไปสู่นิวยอร์กช่วงปี 1922 ยุคเฟื่องฟูของดนตรีแจ๊ส กับนักแสดง Leonardo Dicaprio เคยร่วมงาน และการค้าเหล้าเถื่อน เล่าเรื่องของ Nick Carraway (Tobey Maguire) นักเขียนหนุ่มที่ย้ายมาอยู่นิวยอร์ก กันมาแล้วจากเรื่อง Romeo+Juliet กลับมา ร่วมงานกันอีกครั้ง ร่วมด้วย Tobey Maguire บ้านติดกับ Jay Gatsby (Leonardo Dicaprio) เศรษฐีหนุ่มลึกลับผู้ชอบและคลั่งไคล้ปาร์ตี้ แล้วเขาก็ได้ (Spider-Man เวอร์ชั่นกำ�กับฯโดย Sam Rimi เข้าไปในโลกของ Jay มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับเขา ทั้ง 3 ภาค) และในครั้งนี้เขาเล่นท่ายากด้วยการ ทั้งความรัก ความเกลียดชัง การทรยศหักหลัง และ นำ�นิยายที่จัดว่านำ�มาดัดแปลงเป็นหนังยากที่สุด เรื่องหนึ่งคือ The Great Gatsby ของ F.Scott โศกนาฏกรรม เป็นประสบการณ์ที่เขาจะลืมไม่ลง รอดู Fitzgerald มาทำ�เป็นหนัง และไม่ใช่เพียงแค่หนัง ในโรงภาพยนตร์วันที่ 16 พฤษภาคมนี้

026


ยูโทเปียชำ�รุด / วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา : สำ�นักพิมพ์เม่นวรรณกรรม

อ่านหนังสือเล่มนี้สนุกสนานมาก ในความเลือนลางเลื่อนลอยของ บรรยากาศ เหมือนได้ลอยตัวชม เหตุการณ์อยู่เหนือตัวละครและจ้องมอง อยู่เงียบๆ ไม่เร่งรีบ ไม่เอะอะ ภาษาของ วิวัฒน์ อธิบายเสียงเบาบางในจิตใจ ลึกๆ ที่หลายคนแทบจะไม่ได้ยิน ความ รัก การโหยหา สิ่งที่ลืมเลือน รากที่ หยั่งลึกลงในความมืดของความทรงจำ� ความเจ็บปวด และสังคม “ยูโทเปีย ชำ�รุด” ทรุดโทรมผุกร่อนลงอย่างช้าๆ และหงอยเหงาลงเบื้องหน้าของเรา เรา ทำ�อะไรไม่ได้ มีความสุขบนความรู้สึกที่ อธิบายลำ�บากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ชอบความโรแมนติกที่ปวดร้าว พูด อะไรไม่ออกแน่ถ้าพบเจอกับตัวเอง เป็น หนังสือน่าอ่าน อ่านแล้วเหมือนได้อ่าน จิตใจของเราเอง จังหวะการเขียนของ วิวัฒน์เป็นจังหวะที่ท้าทาย คล้ายเจอ หญิงสาวที่ลึกลับมาด้วยเสน่ห์ ที่ยืนอยู่ ไม่ใกล้พอที่จะสัมผัสตัวแต่ก็ไม่ไกลเกินจะ หลบพ้นสายตานั้น อยากให้หลายคนได้ อ่านครับ “ยูโทเปียชำ�รุด” เก้าเรือ่ งสัน้ ดีๆ จากนักเขียน,บล็อกเกอร์และคอลัมน์นสิ ต์ คนนี้ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา

027


LOVE PLACE

ZAKKA SHOP

Zakka เป็นคำ�ที่มีต้นกำ�เนิดในดินแดนญี่ปุ่น หมายถึงของน่ารักกระจุกกระจิกต่างๆ ผมมา สะดุดกับคำ�นี้เมื่อเจอหน้าเพจเฟซบุ๊กหน้าหนึ่งที่ ใช้ชื่อว่า “Zakka Shop” ที่สะดุดตาตอนแรกจาก เดรสยาวเรียบสบายแต่น่ารักแบบสาวญี่ปุ่น และ เมื่อเลื่อนเม้าส์ไล่ตาไปตามเพจ ก็เห็นทั้งรองเท้า สมุดโน้ต เสื้อผ้าอีกหลายชิ้นที่ถูกนำ�เสนอออกมา อย่างสวยงามจากภาพถ่ายที่นวลตา ได้อารมณ์

028

เบาสบาย จึงไม่รอช้ารีบติดต่อไปพูดคุย ที่ร้าน กาแฟน่ารักแห่งหนึ่งแถวเอกมัย ซอย 24 กับ “นิด-พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง” ชายหนุ่มผู้ชื่นชอบของ วินเทจและรักการถ่ายภาพ และ “แนน วิภาวรรณ ธีระวัฒนศิริ” สาวน่ารักผู้ชื่นชอบทำ�งานแฮนเมด กุ๊กกิ๊ก ร้านกาแฟที่เรามาถึงนี่ แนนเล่าว่าทำ�มาก่อน


หน้านี้นานแล้ว ขายอาหารด้วย แต่เพิ่งจัดแต่ง ใหม่ได้ไม่นาน บรรยากาศร้านน่ารัก นั่งสบาย แอบตกแต่งด้วยมุมของทำ�มือ รองเท้า เสื้อผ้า จักรยาน และกาน้ำ�เก่าวินเทจ ผนังปูนที่แปะ รูปถ่ายจากฟิลม์ ในรูปก็เป็นสินค้าน่ารักๆ ของ ทั้งสอง ส่วนชั้นสอง หลังประตูกระจกที่เขียน Zakka Shop ก็เป็นห้องเล็กๆ สำ�หรับลูกค้าที่ อยากจะมาเลือกเสื้อผ้า ในห้องนี้ตกแต่งน่ารัก สบายๆ ด้วยของวินเทจที่นิดสะสมไว้ ขณะที่ เราเข้าไปก็มีลูกค้าต่างชาติกำ�ลังสนุกอยู่กับการ เล่นปาลูกดอกในร้าน เรานั่งรอสักพักเพื่อให้ เจ้าของร้านทั้งสองดูแลลูกค้าสักครู่ ก่อนจะ ปลีกตัวมานั่งคุยกับเรา

แนน : อยากทำ�เสื้อผ้าที่เราชอบ อยากมีเพจเป็น ของตัวเอง ชื่อ “Zakka Shop” ก็เข้าไปดูศัพท์ญี่ปุ่น อยากได้คำ�ที่เกี่ยวกับอะไรที่น่ารักๆ ญี่ปุ่นๆ หน่อย แล้วเจอคำ�นี้ มันพอดีกับความชอบของกระจุกกระจิก ของเรา อย่างนิดก็จะชอบซื้อของมือสอง เป็นของเก่า ส่วนแนนก็จะชอบพวกเสื้อผ้า แล้วของกระจุกกระจิก มันทำ�ให้บ้านดูน่าอยู่ ทำ�ให้เกิดแรงบันดาลใจ นิด : ผมจะชอบพวกของใช้รอบๆ ตัว ของเก่า ของมือสอง เวลาไปเจอรู้สึกมันมีค่า ทุกอย่างมันเป็น ชิ้นเดียว ผมคิดอย่างนั้น เลยชอบสะสม ใครเข้ามา เห็นของพวกนี้เขาก็จะทัก เฮ้ย อะไรวะเนี่ย...น่ารักว่ะ หาซื้อมาจากไหน ซึ่งของพวกนี้ทุกอย่างมีเรื่องราว 029


สักหน่อย ใน Zakka Shop ก็มีสมุดโน้ต กับรองเท้าทำ�มือ และเสื้อผ้าเป็นเดรสมือสอง ในอนาคตก็จะตัดเสื้อผ้าเองด้วย ซึ่งทั้งสอง กำ�ลังคิดหารูปแบบ ระดมความคิดและไอเดีย นิดนั่งเล่าถึงความชื่นชอบของเก่าอย่างสนุกสนาน ต่างๆ กันอยู่ เห็นว่าอาจจะเป็นสไตล์ญี่ปุ่นที่ เขาเริ่มชอบมาตั้งแต่เรียนเพาะช่าง นิดเล่าถึงการไป เรียบง่าย ใส่สบาย เดินคลองหลอด ตลาดไท สะพานควาย และอีกหลาย ซึ่งที่เราดูจากในหน้าเฟซบุ๊กแล้วน่าจะดี แหล่งที่ชุมนุนของเก่ามีสไตล์ที่เขาชื่นชอบ นิดจบมา เพราะเห็นเดรสมือสองที่ทั้งสองเลือกมาขายนั้น สายถ่ายภาพโดยตรง และทำ�งานประจำ�อยู่ระยะหนึ่ง ได้รับความสนใจแบบท่วมท้นทีเดียว ด้วยความ ก่อนออกมาเป็นฟรีแลนซ์ถ่ายภาพและทำ� Zakka Shop ที่เป็นมือสองมีไม่กี่ตัว หรือบางทีมีตัวเดียวแบบ เต็มตัว เราจึงถามถึงของน่ารักใน Zakka Shop เดียว แถมน่ารักน่าใส่ในราคาเป็นมิตร ขึ้นเฟส อีกอย่างผมเป็นคนชอบถ่ายรูป แนนชอบหาเสื้อผ้า งั้นลองเซตถ่ายรูปเสื้อผ้าลงอินเตอร์เน็ตดูว่ามีคนชอบ สไตล์เรารึเปล่า แล้วก็จะได้หารายได้จากตรงนี้ด้วย

030


แป๊บเดียวก็มีสาวๆ มาจับจอง เรียกว่าช้าหมด อดกันไป ทำ�เสื้อผ้ามือหนึ่งเลยก็ดีจะได้มีหลายตัว หน่อย นอกจากเดรสสวยๆ สีนุ่มละมุนแล้ว อีกสิ่ง ที่หลายคนจับจองกันมากคือรองเท้าทำ�มือนั่นเอง

อะไร ซื้อเก็บไว้ก่อน อาจจะทำ�สมุด ทำ�รองเท้า ล่าสุดเพิ่งทำ�ผ้าพันคอเสร็จไป ส่วนเดรสก็เหมือนกัน ลูกค้าหลายคนชอบเพราะไม่ค่อยซ้ำ�กับใคร ใส่แล้ว ไม่ชนกัน

แนน : รองเท้าของเรามีทำ�ตามออเดอร์ด้วย เลือกทรงรองเท้าได้สองแบบ แต่ผ้าก็แล้วแต่เลย สามารถเลือกลายผ้าได้ หรือใครมีผ้าสวยๆ ก็ส่ง ผ้ามาให้ก็ได้ ลูกค้าก็จะชอบเพราะมีคู่เดียวในโลก ไม่เหมือนใคร อย่างแนนเองเวลาไปเที่ยวที่ไหนเจอ ลายที่ชอบก็จะซื้อมาเก็บไว้ ยังไม่รู้เลยว่าจะไว้ทำ�

นั่งคุยได้สักพักนิดและแนนก็หยิบหนังสือขึ้นมา เล่มหนึ่ง คล้ายๆ พ็อกเก็ตบุ๊ก ยื่นมาให้ “เพิ่งทำ� เสร็จเลยค่ะ เห็นทาง PIE จะมาคุย ได้ดูคนแรกเลย” หยิบมาเปิดดู กรี๊ดมาก หนังสือนั้นคือแค็ตตาล็อก ทำ�มือของ Zakka Shop นั่นเอง ที่ทั้งเล่มเป็นงาน ถ่ายภาพสวยๆ น่ารัก แปะลงกระดาษหนาสวย 031


032


033


รวมโปรดักต์หลายชิ้นของทางร้าน มีทั้งเซตถ่ายกับ พร็อพและนางแบบ ซึ่งนิดบอกว่านางแบบฝรั่งในเล่ม ก็คือลูกค้าในร้านหรือคนรู้จัก เพราะประหยัดและ คุยง่าย สถานที่ก็หาเอาแถวๆ นี้ ขี่จักรยานไปเจอ และจำ�ไว้ว่าตรงไหนสวยแล้วก็ไปถ่าย นิดเล่าถึงการ ถ่ายรูปว่า

ดีกับเรา จะถามออกมาธรรมชาติๆ ส่วนเรื่องเสื้อผ้า ก็จะคิดว่าเหมาะกับพื้นหลังยังไง ต้องเห็นรายละเอียด ของชุดอะไรบ้าง มีเถียงๆ กับแนนบ้างบางทีถ่ายไกล ไปแนนบอกไม่เห็นดีเทลของชุด บางทีก็ไปถ่ายที่อื่น ไกลๆ เปลีย่ นบรรยากาศ อย่างผมไปรับงานฟรีแลนซ์ เดือนที่แล้วไปขอนแก่น ก็ยกเสื้อผ้าไปคนละถุงเอาไป ถ่ายด้วย

นิด : ผมชอบถ่ายรูปคน บางทีก็จะนั่งคุยกับลูกค้า พี่ทำ�อะไรเป็นยังไงบ้าง จะคุยกับเขาว่าเขาเป็นคน นอกจากของสวยๆ และการทำ�งานที่ที่มุ่งมั่น ยังไง ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเขาเป็นยังไง แล้วค่อย ตัง้ ใจ ทั้งสองยังมีมุมมองดีๆ ในการแต่งเนื้อแต่งตัว ถ่าย คือผมจะคุยกับเขาให้คุ้นเคยก่อน ให้เขารู้สึก ของวัยรุ่นสมัยใหม่มาบอกด้วย 034


แนน : เดี๋ยวนี้เขาแต่งตัวกันเป็นตัวของตัวเอง ไม่ค่อยตามแฟชั่นเท่าไหร่ แล้วการเป็นตัวของตัวเอง มันอยู่ได้นานกว่า มีการเอาของเก่ามารวมกับของใหม่ เอาแนวนี้มารวมกับแนวนั้น อย่างแนนเองก็ไม่อยาก แต่งตัวซ้ำ�กับใครเวลาไปไหน หรือบางทีแต่งตัวซ้ำ�ๆ มันดูน่าเบื่อ แต่ถ้าทุกคนแต่งตัวในแบบของตัวเอง มันดูทุกคนมีคาแร็กเตอร์ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง นิด : ผมว่ามันเปิดกว้าง หลากหลายสไตล์ ใครจะ อะไรก็ได้เสื้อผ้ามันหาไม่ยากแล้ว แต่ขอให้เป็นตัวเอง มันจะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงการใช้ชีวิตของแต่ละคน

เป็นการแสดงตัวเองออกมาทางการแต่งตัว Zakka Shop ร้านน่ารักที่เกิดจากสองวัยรุ่น ที่เต็มไปด้วยความตั้งใจและสไตล์ที่ชัดเจน ความ สามารถที่ต่างกันแต่มีความชอบที่เหมือนกัน ติดตามทั้งสองได้ที่เพจ www.facebook.com/ zakkashop.bindery นะครับ หรือจะตรงไปที่ร้าน นั่งพูดคุยในอารมณ์สบายๆ ก็ปากซอยเอกมัย 24 ในอนาคตนอกจากจะทำ�เสื้อผ้าสินค้าของตัวเองมาก ขึ้นแล้ว ทั้งสองยังแอบบอกว่า จะมอบของขวัญ ตอบแทนลูกค้าผู้น่ารักที่มาอุดหนุนด้วย 035


LOVE PLACE

NEW ROAD ART & DÉCOR

036


แม้วันเก่าจะกลับคืนมาไม่ได้ แต่เศษเสี้ยว บรรยากาศของวันวานและเรื่องราวบางอย่างยังคง หลงเหลืออยู่ สิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ของเก่า” และ มีผู้คนไม่น้อยที่หลงใหลในสิ่งของบางชิ้นที่มีอายุ มากกว่าผู้ใช้หลายต่อหลายปี วันนี้เราก็มีโอกาสพบ สองหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ตั้ม-เพิ่มพงษ์ อินทรกำ�ธรชัย และนุ้ย-ประไพ งามจรัสทรัพย์ ในบรรยากศร้าน เรียบเก๋ที่ถูกรายล้อมของเก่า อย่างโต๊ะ เก้าอี้ จาน ชาม ของแต่งบ้านที่แปลกตาแต่ต้องใจ นักสะสม หรือผู้หลงเสน่ห์ของเก่าไม่ควรพลาดกับร้าน New Road Art & Décor

เริ่มด้วยตั้ม ผู้ซึ่งหลงรักใจจักรยานเก่ามาตั้งแต่ สมัยมัธยมปลาย ก่อนจะเริ่มสะสมในช่วงที่เรียนอยู่ ในคณะประยุกต์ศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หลัง เรียนจบตั้มได้ลองเปิดร้านขายภาพเขียนที่สวนลุมฯ หุ้นกับเพื่อนเปิดร้านที่จตุจักร เป็นฟรีแลนซ์หาพร็อพ ให้กับโฆษณาบ้าง ละครบ้าง ก่อนที่จะมาลงแรง

ลงใจเปิดร้านขายของเก่า ณ ถนนเจริญกรุงแห่งนี้ และก็ได้นุ้ย แฟนสาว อาชีพออกแบบภายใน เข้ามา ร่วมช่วยกันสร้างร้าน New Road ให้เป็นจริงขึ้น “มันอาจจะเริ่มมากจากผมสนใจจักรยานโบราณ ก่อน ถ้าคันแรกสุดผมเจอในกรุงเทพฯ เป็นจักรยาน ราเลย์ ก็ไม่รู้ทำ�ไม เหตุผลอะไร ถึงมาชอบของเก่า เคยถามตัวเองเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าผม ชอบดูหนังสงคราม ชอบอ่านพวกประวัติศาสตร์ ก็เลยทำ�ให้เรารู้ว่าอะไรมาจากของเก่า เอามาใช้ได้​้ ไม่ใช่แค่ของเก่า ทุกสิ่งอย่าง องค์ความรู้ อะไร อย่างนี้” “ส่วนนุ้ยจะชอบเป็นประเภทพวกเครื่องแก้ว จาน ชาม คือไม่ได้อิงว่าจะต้องเป็นแบบของเก่า ขนาดตั้ม เพราะตั้มเขาจะศึกษาลึกมาก นุ้ยก็จะรู้จัก แบบผู้หญิงที่ชอบของกุ๊กกิ๊ก สวยงาม อะไรอย่างนี้” ผมกวาดตามองรอบๆ มองผนังปูนเปลือย สลับอิฐ คานไม้ขนาดกำ�ลังดี และของเก่าที่วางแบบ สบายตา ไม่รกแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นระเบียบ โทนสีของ 037


เฟอร์นิเจอร์และของในร้านต่างไล่สี่เอิร์ธโทน แดง น้ำ�ตาล นิ่ง สวย และมีเสน่ห์ เห็นถึงความตั้งใจ ของทั้งสองว่าใส่ใจในการแต่งร้านพอสมควร

เมื่อก่อนที่นี่เป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ตอนแรกเป็น บิลต์อินหมด รายละเอียดที่ร้านมันเยอะมาก ต้องอยู่ ดูแลตลอด แม้กระทั่งอิฐ คือเราก็ใส่ใจทุกรายละเอียด วางแนวไหน คอมโพสอะไร ต้องดูเองทุกอย่าง และให้ “ตั้งแต่เริ่มทำ�ร้านคือหยุดพวกงานเบื้องหลังเลย ประหยัดที่สุดแต่ก็ต้องดูดี คือใช้ของที่มีอยู่แล้วเอามา เพราะเคยทำ�ควบแล้ว พอไม่มใี ครเฝ้าร้านแล้วมันเละ ทำ�ปรับเปลี่ยน ใช้​้ของเก่าให้มันมีคุณค่าก่อนที่จะ 038


ซื้อใหม่ พยายามเก็บของที่มีอยู่เดิม อย่างเช่น คานไม้ ฝ้าเพดาน อะไรอย่างนี้ ก็เป็นของเดิม ส่วนโทนของร้าน ตอนจัดร้านเสร็จก็ยังงงๆ ไม่ได้ตั้งใจครับ อาจจะเป็นด้วยไม้ โดยบังเอิญ เก้าอี้ก็สีแดง วิทยุสีน้ำ�ตาล มันกลายเป็นโทน แบบนี้เอง”

ของในร้านก็เห็นว่าเป็นของเก่าที่ออกอารมณ์แบบ ไม้ๆ มีฉลุเบาๆ และประณีต (เห็นว่าอายุประมาณ 80-90 ปีแล้ว) จุดเด่นที่โต๊ะไม้กลางร้านที่วางประดับ ด้วยชุดชา แจกัน ถ้วยทั้งกระเบื้องและเซรามิก ความ เรียบนิ่งของงานไม้กับความน่ารักของถ้วยชามลายสวย สีนิ่มนี่มันเข้ากันจริงๆ ครับ เห็นตั้มว่าของส่วนใหญ่ 039


ในร้านจะส่งตรงมาจากอังกฤษและทางยุโรปครับ เพราะมีเพื่อนๆ อยู่ที่นั่นเยอะ นอกนั้นก็จะมีไปดู ตามอินเตอร์เน็ต จนถึงไปดูตามบ้าน ถามถึงสไตล์ ส่วนตัว ตั้มก็บอกว่าไม่ค่อยเจาะจงครับ พวกตู้ไทย ก็ชอบแต่เจอน้อย ตอนนี้ที่พักผมจะเก็บพวกตู้ไทย จะชอบงานช่างเอเชีย ช่างไทยมากกว่า ที่ยังไม่เอา มาลงที่ร้านเพราะยังเจอน้อยกว่า ช่วงเปิดร้านพอดี มีจังหวะที่ได้ของยุโรป มันก็เลยต้องยุโรป ตั้มยัง พูดถึงความใส่ใจและความต่างของการทำ�งานช่าง ในสมัยก่อนกับสมัยนี้ด้วย “งานสมัยก่อนไม่ค่อยจะ เป็นเชิงพาณิชย์ คืออาจจะเชิงพาณิชย์เหมือนกันแต่ ว่าด้วยเทคโนโลยี เครื่องจักรที่ใช้อาจจะไม่สามารถ ผลิตแบบ 1 นาทีได้กี่ตัวแบบสมัยนี้ แล้วคนสมัย ก่อนก็ไม่ได้เริ่งรีบเหมือนปัจจุบัน ที่บางครั้งมันเป็น อะไรที่หยาบ บางครั้งเราทำ�ตัวเร็ว ก็จะหลงลืม ความประณีตไปบ้าง อย่างโต๊ะตัวนี้ที่แกะไม้ ถึงจะ ไม่ได้ละเอียดอ่อนช้อยมากเหมือนตามหน้าบาน วัดไทย งานสมัยก่อนผมว่ามันยากที่จะลงทุนก๊อบ ไม่คุ้มทั้งเวลา ฝีมือ การเข้างาน เข้าเดือย” “อย่างโต๊ะ เก้าอี้ คือมันจะคล้ายทรงเชคโก อย่างบ้านเราเขาจะเรียกเหมารวมว่า ทรงเชคโก แต่พวกนี้จะเก่ากว่า จะมีรายละเอียดเป็นฉลาก กระดาษติดไว้ด้านใต้ อย่างตัวที่โชว์อยู่บนดิสเพลย์ พนักพิงเป็นไม้ดัด เป็นไม้เส้นเดียวแล้วดัดเลย มัน ไม่ใช่งานสมัยใหม่ที่มาต่อไม้กัน แล้วเอามาอบด้วย ความร้อน ใช้ไอน้ำ�ดัดแล้วเข้าบล็อกอัด คนที่มาซื้อ ถ้าเขาเข้าใจก็จะไม่อะไรมาก คนที่เล่นของเก่าเขา เรียกว่า เนื้อคู่ คือถ้าคนไม่เข้าใจอธิบายยังไงก็

ไม่เข้าใจ เขาก็จะตำ�หนิเราว่าทำ�ไมขายของแพง แต่ใน ทางกลับกัน คนเขารู้ เขาซ้ือ เขาพอใจ” ฟังความเห็นเรื่องยุคสมัยจึงหันไปถามนุ้ย เพราะ งานประจำ�ที่สาวคนนี้ทำ�อยู่มันน่าจะออกแนวทันสมัย โมเดิร์น “ถ้าถามส่วนตัวนุ้ยจะชอบงาน contemporary มากกว่า ไม่ได้ชอบแบบโมเดิร์นจ๋า และก็ต้องอัพเดต ตัวเองเรื่องดีไซน์ มันก็เหมือนจะขัดแย้งกันเอง แต่นุ้ย เชื่อว่าดีไซน์ใหม่ๆ ทุกวันนี้มันย้อนกลับไปหาอดีต เพราะล่าสุดดูงาน Milan Fair ดีไซน์ต่างๆ มันก็ เหมือนย้อนกลับไปในยุค ’80s เป็นสีพาสเทล อะไร แบบนี้ พอศึกษาไปเราก็จะเห็นว่าคนเราดีไซน์ก็จะมี พื้นฐานมาจากอดีต” เห็นรักของเก่ากันทั้งคู่ จึงขอถามซะหน่อยครับว่า คนที่ชอบเล่นของเก่านี่โหยหาอดีตจริงไหม หนุ่มสาว มองหน้ากันยิ้มๆ ตามด้วยเสียงของนุ้ยว่า “ก็จริงนะคะ” ตั้มก็ได้อธิบายต่อว่า “ก็คงใช่ เห็นคนพูดกันเยอะนะ บางทีผมก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าทำ�ไม พ่อแม่ผม ก็ไม่ได้สอนมาว่าให้ผมชอบของเก่า อาจเป็นเพราะว่า อยู่กับพ่อแม่ อากง อาม่า หรืออะไรบางอย่างที่เห็น การกระทำ� ความคิด คำ�สอน หรือที่เราซึมซับมา ผมเลี้ยงปลากัด 20-30 ตัว ผมก็เพิ่งทราบว่าอากง ผมก็เคยเลี้ยง เหมือนชอบถ่ายภาพขาวดำ� ก็ไม่มีใคร สอน ในห้องตอนเรียนก็แทบจะไม่มีใครสนใจ แต่ผม ถ่ายมาตั้งแต่ ม.ปลาย จนกระทั่งทำ�ห้องมืดข้างบน ตอนนี้รื้อไปแล้ว แต่อุปกรณ์ยังเก็บไว้อยู่ บางทีมันก็ ตอบยากนะ และมันจะมีพวกตามกระแส ก็เจอเยอะ อยู่เหมือนกัน มันก็ไม่ผิดหรอก บางทีเขาอาจจะเข้ามา

040


ศึกษา ผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผมคือตัวจริงนะ แต่ผมแค่สนใจในช่วงเวลาที่ผมชอบ ผมชอบงานไม้ ผมก็ทำ�เกี่ยวกับงานไม้ เหล็กผมยังไม่สนใจผมก็ยัง ไม่ซื้ออุปกรณ์ ส่วนเรื่องของทันสมัยอย่างคอมพิวเตอร์ ผมค่อนข้างโง่มาก ไอโฟนผมก็เพิ่งได้ใช้แต่เป็นรุ่นเก่า ถ้าให้พูดกันตรงๆ ผมก็จะให้นุ้ยเขาสอน ส่งยังไงเล่น ยังไง ผมไม่ได้แอนตี้นะ โฟโต้ช็อปอะไรอย่างนี้ผมก็ พอเล่นได้”

ตั้งแต่เด็กนะ ตอนเด็กๆ สมัย ม.ต้น สมัยนั้นเราก็ เต้นๆ แดนซ์ๆ ไป แต่พอโตขึ้นเราก็เริ่มชอบขึ้นมา”

ถึงตั้มและนุ้ยจะบอกว่าลูกค้าส่วนมากจะมีอายุ หน่อย แต่ผมเอง (ซึ่งมีความเข้าใจว่าตัวเองยังวัยรุ่น ^_^) ก็ติดใจของชิ้นเล็กๆ หลายชิ้นครับ ทั้งแว่นตา ยุค ’50s, แก้ว Duchess ลายเก๋จากอังกฤษ, กล้อง ถ่ายรูปฟิล์มขนาดจิ๋วที่อายุเกือบ 70 ปี, หีบที่ดูคล้าย หีบสมบัติโจรสลัดอายุกว่า 140 ปี, เหยือกจากอิตาลี “นุ้ยว่าบางทีการที่เราคุยกันได้อาจจะมีอะไรที่เรา และอีกมาก แม้ตั้มจะบอกว่าชอบของในยุค ’20-’30s จูนกันได้ ถ้าเป็นเรื่องเก่าคงเป็นเรื่องหนัง ชอบดูหนัง เป็นพิเศษ ซึ่งตั้มอธิบายว่า ของในยุคนั้นรู้สึกว่ามัน สงครามกับพ่อ ก็แปลกดีนะ แล้วก็ชอบฟังเพลงเก่า ไม่ได้มินิมัลจ๋า หรือมันก็ไม่ได้หลุยส์ซะทีเดียว รู้สึกว่า อะไรแบบนี้ มันก็แปลกที่ว่าเราก็ไม่ได้ชอบของเก่ามา กำ�ลังดี นอกจากของสวยๆ ในร้านแล้ว ตั้มยัง 041


: 97 ถ.เจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 www.facebook.com/newroadartanddecor, Email : new_road@hotmail.com, Tel : 08 1658 5339 New Road Art & Décor

042


แอบเตรียมการทำ�สินค้าของ New Road Art & Décor เองด้วย ซึ่งเขาบอกว่าเป็นช่วงเริ่มต้น ทดลองดูก่อน โดยเริ่มจากงานไม้เพราะพอทำ�ได้ และเริม่ ๆ ทำ�เก้าอีแ้ บบเก๋ๆ ออกมาบ้างแล้วด้วย

ได้บอกว่าเขาเป็นคนชอบของเก่าไม่ใช่แค่สะสม หรือวางไว้เฉย เขายังมีความสุขที่ได้ใช้และรักษา ทะนุถนอมสิ่งนั้นๆ ด้วย ปัจจัยสำ�คัญของการ สะสมของเก่า นอกจากราคาค่างวดแล้ว สิ่งที่ ผมรู้สึกมากๆ จากหนุ่มสาวคู่นี้คือ ความรักที่ นอกจากนี้ยังมีมุมมองจากวัยรุ่นชอบของเก่า ทั้งสองมีต่อสิ่งของแต่ละชิ้นในร้าน มีให้กัน ทั้งคู่เรื่องการรักษาของ ที่ทั้งสองบอกว่า ยิ่งมาทำ� และกัน และความทุ่มเทที่ทั้งสองมีให้กับร้าน ร้านขายของเก่ายิ่งทำ�ให้รู้คุณค่าของสิ่งของ และ แห่งนี้ ร้านที่เต็มไปด้วยความรัก ความหลงใหล ของเก่าที่มาขายนั้นก็ถูกตกทอดมาจากอดีต ซึ่งก็ ในสิ่งของที่มีเรื่องราว New Road Art & Décor ผ่านการใช้งานและรักษาจากคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งตั้ม เจริญกรุงซอยสาม ลองแวะไปชมกันดูนะครับ 043


PIE TALK

CELLIST LIFE

หลังจากงาน Mono Live in Bangkok มั่นใจว่าหลายคนคงเต็มอิ่มกับการโชว์ของวงดนตรี คุณภาพวงนี้กันแน่นอน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์มากๆ ของงานวันนั้นคือ มือเชลโลที่ออกมา เดี่ยวเชลโลเปิดเวทีวันนั้น “ยุ้ย เสาวคล ม่วงครวญ” มาฟังมุมมองของคนเชลโลที่เดินทาง กับเครื่องดนตรีชิ้นนี้มากว่ายี่สิบปีกัน

PIE : ตอนเริ่มเล่นดนตรีทำ�ไมถึงเลือกเล่นเชลโล พี่ยุ้ย : ตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้าน สมเด็จ คือวันหนึ่งที่พี่ได้ยินเสียงเพื่อนกำ�ลังซ้อม (หัวเราะ) รู้ภายหลังว่านั่นแค่สีสายเปล่า แล้วพอมา เจอตัว เห็นรูปร่างแล้วรู้ทันทีว่าใช่ อารมณ์แบบว่า ตกหลุมรักอ่ะ แต่ก่อนหน้านี้เป่าคลาริเน็ตอยู่ ตอน เข้ามหาวิทยาลัยก็สอบเครื่องเป่าเข้าไป ส่วนหนึ่ง ที่ทำ�ให้เรารักดนตรี เริ่มต้นที่พี่เห็นพ่อเป็นฮีโร่ คือพ่อพี่เขาเคยเป็นนักร้องลูกทุ่ง เคยทำ�วงดนตรี ลูกทุ่งชื่อเพชรสัมพันธ์ พี่ได้ยินเสียงเพลงฝรั่งเก่าๆ ที่พ่อเปิด พี่ได้ยินพ่อร้องเพลงลูกทุ่ง พี่ได้ฟังคำ� บอกเล่าของป้าๆ ลุงๆ ถึงการแสดงของพ่อ (หัวเราะ) ถ้วยทองจากรางวัลชนะเลิศการประกวดร้องเพลง จากคณะภิรมย์พร ที่พ่อได้มา มันเป็นความสุข ของพี่ที่ได้มองมัน (หัวเราะ) มาถึงมหาวิทยาลัย สอบเครื่องเป่าเข้าไปแล้วเปลี่ยนมาเล่นเชลโลทีหลัง เปลี่ยนตอนปีหนึ่งเลย ประมาณเทอมสอง ตอนนี้ พอไม่ได้เล่นคลาริเน็ตนานๆ ก็เป่าไม่ค่อยได้แล้ว สามวันจากนารีเป็นอื่น (หัวเราะ) 044

PIE : ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะเล่นเชลโลยาวเลย พี่ยุ้ย : ใช่ พอรู้ว่าตัวเองจะเล่นเครื่องนี้ก็ไป ปรึกษาครูที่บ้านสมเด็จคือ อ.พูนสุข กุหลาบวงษ์ เขาก็แนะนำ�ว่าให้ไปเรียนกับครูชาวอังกฤษคนหนึ่ง ก็คือ Mr.Andrew Healey ตอนนั้นเขาสอนเฉพาะ ปริญญาโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล และเขายัง ไม่มีลูกศิษย์มากมาย ทั้งประเทศเขามีลูกศิษย์ อยู่ 4 คน ที่เป็นคนไทย เราก็ไปขอเรียนกับเขา เป็นลูกศิษย์คนที่ 5 ของเขา เขาคิดค่าเรียน แค่ชั่วโมงละ 50 บาท เรียนกับอาจารย์คนนี้ เกือบ 6 ปีนะ ก็เป็นการวางพื้นฐานคลาสสิก PIE : พอจะได้ยินมาว่าพี่ยุ้ยเคยไปเล่นกับวง หลายแบบ ทั้งวงเล็กบ้างใหญ่บ้าง พี่ยุ้ย : ใช่ เพราะพี่ทำ�ไปตามความรู้สึก อยาก เล่นก็เล่น อยากทำ�ก็ทำ� ส่วนใหญ่ก็พูดคุยกัน พอถูกคอกันก็ง่ายที่จะร่วมงาน การเล่นดนตรี ด้วยกันก็เหมือนกับการที่เราจะเลือกคบใคร เป็นแฟนเหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะเคยมี


045


046


ประสบการณ์ พอเวลาจะเลิกเล่นมันลำ�บากเหมือน กันที่จะบอก ตอนหลังนี่ต้องคุยกันก่อน ต้องถูกคอ กันจริงจะได้เล่นกันยาวๆ PIE : เรียนการแสดงมาด้วย เริ่มยังไง พี่ยุ้ย : มันเริ่มมาจากที่พี่ได้ไปเล่นกับพี่ดินป่า จีวัน ที่เป็นจิตรกร แล้วเขาก็ชื่นชอบการแต่งเพลง แล้วช่วงนั้นครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ทำ�ละครเรื่อง ตม ทางช่อง 3 แล้วก็น�ำ เพลงของพีจ่ วี นั ไปประกอบ ละคร พอดีเราเล่นอยู่กับพี่จีวัน เราก็เลยได้เข้าไป เล่นตรงนั้นก่อน จากนั้นเราก็ได้งานอีเว้นต์จาก พี่นาย-มานพ มีจำ�รัส ที่เป็นลูกศิษย์ของครูเล็ก อีกทีนึง เวลามีงานอีเว้นต์อะไรเราก็ทำ�มาตลอด แต่ก็ยังไม่ค่อยได้เจอครูเล็กสักเท่าไหร่ จนมาวันหนึ่ง ครูเล็กได้เปิดร้านอาหารแล้วต้องการคนเล่นเชลโล มีคนโทรมาตามให้เราไปเล่นที่นั่น ร้านนี้อยู่ในซอย วัดระฆัง ตรงข้ามโรงละครภัทราวดีเธียเตอร์ ชื่อ Studio 9 ช่วงนั้นก็ได้คลุกคลีกับเพื่อนๆ ที่เป็น นักเต้น นักแสดง แล้วเวลาดูเขาแสดงเราก็รู้สึกว่า น่ามอง ดูเขาอินกันจังเลย แต่เวลาเราเล่นดนตรีบ้าง หน้าตาเราไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย จนมี เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “เวลาฉันหลับตาฟังเสียงเธอ มีพลังมากเลยแต่พอดูหน้าแล้วเซ็งว่ะ” (หัวเราะลั่น) แล้วทุกปีครูเล็กก็จะมีช่วงเวลาที่เปิดการสอน พี่ก็ เลยเฮ้ย...ลองดูโว้ย ก็เลยได้เข้าเรียน แล้วครูเล็ก เขาก็ให้ทุน โดยครั้งแรกเราจ่ายแค่ครึ่งเดียว แล้ว ค่อยๆ ซึมซับ มีความมั่นใจขึ้น แล้วทัศนคติเรา เริ่มเปลี่ยน เราเริ่มคิดบวกขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าทุกอย่าง เป็นไปได้ ครูเล็กบอกว่าอยู่ที่นี่ทุกอย่างต้องเป็นไปได้ และสิ่งที่เราเรียนรู้จากครูเล็กอีกอย่างคือ ศิลปะอยู่ที่ มุมมองและรสนิยม

PIE : การแสดงกับดนตรีคลาสสิกแตกต่างกันยังไง พี่ยุ้ย : เท่าที่สัมผัสนะ การแสดงจะเป็นเรื่องของการ ทำ�นามธรรมให้เป็นรูปธรรม อารมณ์ เปลี่ยนเป็นภาพ แต่ดนตรีคลาสสิกเป็นเรื่องของการจัดการรูปธรรม และสือ่ ออกมาเป็นนามธรรม ก็คอื เอาขัน้ ตอน ระบบ ระเบียบเปลีย่ นเป็นเสียง ซึง่ พีก่ ย็ งั ต้องฝึกอยูเ่ หมือนกัน PIE : เรียนการแสดงอยู่นานไหม พี่ยุ้ย : ลงทะเบียนเรียนแค่คอร์สเดียว หลังจากนั้น ก็ได้ทำ�งานกับครูเล็ก แล้วทุกครั้งเวลาได้ทำ�งานพี่ ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้นะ จากประสบการณ์จริงเลย อย่างงานที่โปรดักชั่นใหญ่หน่อยก็มีละครเวทีเรื่อง ร.รัก ล.ลิลิตพระลอ ไปเล่นเชลโลในละครเวที PIE : เป็นยังไงบ้าง พี่ยุ้ย : เป็นเพราะทุกครั้งที่เล่นที่นี่เราก็จะเป็นตัว ละคร อย่างพระลอเนี่ยเราก็เป็นเหมือนไก่ แต่เป็นไก่ ปีศาจ แสดงโดยใช้เสียงของเชลโลและการแต่งตัวออก ไปข้างหน้าเวทีเลย พอเวลาถึงฉากที่เป็นไก่ ถึงคิวเรา ก็ออกไป ไม่ได้มีบทพูดแต่ใช้เสียงเชลโลแสดงเป็นไก่ ตัวนั้น เพลงที่เล่นก็บิลด์จากบท ตามเนื้อหาในเรื่อง นั่นแหละ คือเรื่องพระลอเวอร์ชั่นออนทัวร์นี้มีพระลอ มีสองคน คือพระลอที่เป็นตัวนักรำ�ไทย แล้วก็มีพระลอ ที่เป็นนักไวโอลิน ส่วนไก่แก้วก็จะมีจะมีนักร้องโอเปร่า และไก่แก้วที่เป็นเชลโล PIE : เล่นดนตรีในละครเวทีมีการแต่งเพลงยังไง พี่ยุ้ย : มันเป็นเมโลดี้เดิม ส่วนใหญ่เขาจะใช้เพลง ไทยเดิมที่เป็นออริจินอล แล้วเอามาดัดแปลง ซึ่งที่นี่ จะให้อิสระมาก คือนักดนตรีได้คิดและตีความด้วย เช่นบอกว่ามันน่าจะเป็นท่อนนี้นะ ลองดัดแปลงให้ 047


เป็นตัวเรา แล้วก็ให้เหมาะกับตัวละคร นำ�มาปรับให้ เหมาะกับศักยภาพ แต่ต้องสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ออกมาได้ตรงตามเนื้อเรื่อง โดยมีผู้ตัดสินใจอีกทีคือ ผู้กำ�กับดนตรี อาจารย์อานันท์ นาคคง ผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านดนตรีไทย PIE : ระหว่างที่เรียนและเล่นกับครูเล็ก ก็ยังสอน ยังเล่นดนตรีกลางคืนกับคนอื่นอยู่ พี่ยุ้ย : ใช่ ก็ยังสอนอยู่ แต่ก็ไม่ได้เล่นกับวงทั่วไป เท่าไหร่ แต่ก็จะมีเล่นกับคนที่ทำ�อะไรแปลกๆ หน่อย เช่นเล่นกับมือกีตาร์ชื่อนายน้อย เขาออกอัลบั้มชื่อ “สวัสดีอะคูสติก” เขาไม่ได้เล่นกีตาร์แบบตีคอร์ด ปกติ เขาเอากีตาร์มาวางที่ตักแล้วใช้นิ้วตีเหมือนขิม เราก็มักจะอยู่กับพวกที่ทำ�อะไรแปลกๆ อีกคนก็เช่น เล้ง-ราชนิกร แก้วดี เป็นนักกายกรรม เราก็เล่น เชลโลประกอบกับการโหนผ้า PIE : พูดถึงการไปนิวยอร์กบ้าง พี่ยุ้ย : ตอนที่เล่นอยู่กับภัทราวดีเธียเตอร์ เป็นงาน อะเมซิ่งไทยแลนด์ ไปเล่นทั่วอเมริกาเลย ทัวร์ 6 รัฐ รวมทั้งนิวยอร์ก เราก็เลยได้วีซ่า 10 ปี หลังจาก ตรงนั้น แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเพื่อนๆ ก็ได้กันเยอะแยะ ตอนนั้นมีเป้าหมายอยากจะเรียน ปริญญาโทให้จบ อยากจะเอาใบปริญญามาฝาก พ่อแม่หน่อย แต่ว่ามันก็มีเหตุที่ทำ�ให้สามารถ PIE : ตอนที่ทัวร์ติดใจอะไร ทำ�ไมถึงอยากไปอีก พี่ยุ้ย : ตื่นตาตื่นใจดี ไม่ได้ติดใจอะไรมาก ไม่คิด ว่าจะกลับไปโดยเร็วเลย ก็แค่คิดว่าไว้มีตังค์แล้วค่อย มาอีก อยู่ๆ ก็มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่าเราทำ�อะไรคิดอะไร ออกมาแล้วมันเริ่มตัน จะเล่นอะไรก็เล่นเหมือนเดิม 048


049


เล่นอะไรก็เหมือนพระลอไก่แก้วอยู่อย่างนั้น เรารู้สึก ว่าเราตัน ต้องไปหาอะไรเพิ่มเติมแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าคนเก่งๆ เขาเล่นกันยังไง อยากให้มันถ่องแท้ ก็เลยหาลู่ทางไป พอดีพ่อกับแม่มีเพื่อนที่มีลูกสาวอยู่ ที่นิวยอร์ก ตอนนั้นแม่เป็นคนติดต่อเรื่องนี้ให้ พอไป ถึงก็มีทั้งดราม่าทั้งอะไรมากมาย จริงๆ พี่ไม่ได้มี เงินเก็บเยอะ พี่เล่นดนตรีมาเยอะ แต่ค่าใช้จ่ายมัน ก็เยอะเหมือนกัน ชีวิตศิลปินไทยก็รู้ๆ กันอยู่ ตอน แรกๆ ก็เหลือเงินน้อยแล้ว โอเคที่ได้พักฟรี แล้วเขา ก็ดูแลเรา แต่เราก็อยากจะมีเงินที่อยู่ในกระเป๋าของ เราบ้าง เราก็เลยต้องหางาน ไปทำ�งานร้านอาหาร แต่กว่าจะได้มาทำ�ที่ร้านนี่ก็หามาเยอะมาก หาอยู่ สองอาทิตย์ เดินเข้าเดินออกอยู่เป็นสิบๆ ร้าน เดิน ไปทั่วเลย ตอนที่ยังไม่ได้เนี่ยก็เริ่มอยากกลับบ้านแล้ว เริ่มรู้สึกมันไม่ได้ง่าย แต่ในที่สุดก็ได้ เขาก็ให้เป็น เด็กเก็บจานก่อน ทำ�เป็นบางวัน

มีระเบียบมาก อยากให้นึกถึงภาพร้านอาหารใน โรงแรมห้าดาวคือร้านนี้ คือการหยิบจับทุกอย่างจะ มีระเบียบ จะเดินเข้าทางไหน จะหยิบแก้ววางแก้ว ตรงไหน ช้อนซ้อมจะวางที่ไหนอะไรยังไง ทุกอย่าง เป๊ะมาก แล้วพี่...ก็เก็บแก้วมาแล้วทำ�ตกแตก ตอนนั้น มือไม้สั่นอ่อนไปหมดเลย แต่ภรรยาเจ้าของร้านใจดี เขาก็ช่วยนะ ให้ทำ�ต่อ พอคุยไปคุยมาทั้งสองคนก็ เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกับครูเล็ก ภัทราวดี ที่ไม่ได้เจอ กันมา 30 ปี มันเหมือนละครมากเลย เรารู้ทันทีว่า เขาช่วยเรา เขาจะเอาคนอื่นก็ได้เพราะทุกวันมีคน โทรมาหาเขาเพื่อที่จะสมัครงาน เขาก็ให้มาฝึกงานอีก แต่ว่าช่วงนี้ให้ไปเป็นพี่เลี้ยงของลูกเขาที่บ้านก่อนแล้ว ก็เอาเชลโลไปซ้อมได้ทุกวันตอนเย็น เด็กที่นู่นถ้า อายุไม่ถึง 15 ปี เขาไม่ให้อยู่คนเดียว ต้องมีผู้ใหญ่ อยู่ด้วย เราก็เอาเชลโลไปนั่งซ้อม โอโฮ...เป็นที่ฝึกซ้อม ได้อย่างดีเลย

PIE : แล้วตอนนั้นเอาเชลโลไปด้วย พี่ยุ้ย : เอาไปด้วย ตอนแรกเจ้าของร้านเขาก็ไม่ สนใจเรา เราเข้าไปสมัครเขาก็ถามว่าภาษาดีไหม เราก็บอกว่าภาษาไม่ได้ ประสบการณ์ก็ไม่มี เขาก็ ถามว่าแล้วตกลงมาทำ�อะไร เราก็ตอบว่าจริงๆ แล้ว เป็นนักดนตรีเล่นเชลโลอยู่ที่เมืองไทย ไม่เคยทำ�อย่าง อื่นเลย อยากจะมาลองหาอะไรทำ�เพื่อที่จะได้เงินเอา ไปเรียนเชลโลเพิ่ม แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง มันตลก มากเลย ตอนแรกเขาไม่สนใจ นั่งกินเหล้าจิบไวน์ก็ คุยไปแต่ไม่มองหน้า แต่พอบอกเป็นนักเชลโลปุ๊บเขา ก็มองหน้าเราแล้วถามว่า พรุ่งนี้ว่างไหมมาฝึกงาน แล้วก็บอกว่าต้องใส่ชุดฟอร์มอะไรยังไง แล้วก็มาฝึก พอวันที่สองเราทำ�แก้วแตกอีก (หัวเราะ) ที่นี่เขาจะ

PIE : แล้วตอนนั้นเริ่มเอาเชลโลออกไปเล่นบ้างรึยัง พี่ยุ้ย : ตอนนั้นก็ยัง เพราะยังเหนื่อยกับการฝึกงาน ร้านอาหารอยู่ เลิกประมาณห้าทุ่ม กลับถึงบ้านก็ เที่ยงคืน จากนั้นเราก็ได้ติดต่อกับเพื่อนที่เมืองไทยที่ เคยมาที่นิวยอร์ก เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง เขาก็ แนะนำ�ในเฟซบุ๊กว่า นี่เป็นกลุ่มของทางสายอาร์ตนะ เป็นกลุ่มที่มาทำ�งาน มาเรียนอยู่ที่นี่ เขาก็แนะนำ�ให้ เพื่อนกลุ่มที่นิวยอร์ก เขามีชื่อว่า TAA (Thai Artist Alliance) เป็นกลุ่มศิลปินไทย ที่ร่วมกับนักศึกษา ชาวไทยในนครนิวยอร์ก กลุ่มนี้รวมตัวกันสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะด้านต่างๆ เช่น การแสดง การออกแบบ การถ่ายภาพ ภาพยนตร์ เขาก็ชวนไปดูงานที่เขาจัดกัน เป็นงาน Street Art ของนิวยอร์ก ที่แมนฮัตตันจัด

050


ถนนนั้นจะมีการแสดงของแต่ละประเทศ เราก็ไป รอพบเพื่อนคนไทยด้วยกัน เขาก็ดูแลพาไปเลี้ยงข้าว จากนั้นเราก็เริ่มมีงาน ก็ได้รู้จักพี่เก๋-ศิริกุล ปัตตะโชติ สนิทกัน เขาเป็นอาร์ติสต์ เป็นจิตรกรสีน้ำ�สีอะครีลิก อยู่ที่นั่น ก็พาไปเที่ยวดูงานนู่นนี่ แล้วพอดีแฟนเขา เป็นนักจัดงาน Street Art ก็เลยชวนเราไปเล่นอีก งานครั้งนั้นก็ได้ประสบการณ์แล้วทำ�ให้เราได้ลง New York Time ภายในเดือนที่สองที่อยู่ที่นี่มันมหัศจรรย์ มาก แล้วจากนั้นก็มีงานมาเรื่อยๆ งานเกี่ยวกับอาร์ต แล้วก็ยังออกไปเล่นเองด้วย เป้าหมายก็ต้องการรักษา Skil ของเราไว้ และเรายังแสดงงานทีเ่ ราคิดเองด้วยได้ แล้วมันก็เป็นลู่ทางสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง PIE : หลังจากนั้นมีงานเล่นอะไรอีกครับ พี่ยุ้ย : ก็มีงานทำ�เพลงให้หนังสั้น เป็นงานที่ไม่ได้ ออกไปเพอร์ฟอร์ม เป็นการคิดงานอยู่ในห้องอัด ทำ�กับพี่หญิง-นิรมล รอสส์ เจ้าของผลงานหนังสั้น ศิลปินในกลุ่ม TAA ผู้ให้โอกาสพี่ได้ทำ�เพลงในนั้น ตอนหลังพี่หญิงก็ตามพี่มาช่วยถ่ายภาพและวิดีโอ มากมายเลย ซึ่งตอนก่อนจะกลับเขาก็จัดเทศกาล หนังสั้น ฉายหนังสั้นที่มีเพลงของเรา แต่ก็มีผลงาน ของคนอื่นด้วย

ก็จะมีหลายแขนงอยู่ด้วยกัน มีฟิล์ม มีอาร์ต มีดนตรี สมมติว่าเดือนนี้ใครจัดงานก็เป็น Head ส่วนคนอื่น ก็จะมาร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุนกัน จนขนาดว่าคืน สุดท้ายในเดือนที่หกที่พี่จะกลับพี่ก็ยังได้จัดคอนเสิร์ต พวกเขาก็สนับสนุนพี่ให้ได้ทำ�คอนเสิร์ตออกมาจริงๆ ในนิวยอร์ก พวกเขาช่วยหลายอย่าง ตั้งแต่หาสถานที่ ประชาสัมพันธ์ จัดสถานที่ วันแสดงก็มาดู มาเชียร์ PIE : ที่นิวยอร์กได้เรียนเชลโลบ้างไหมครับ พี่ยุ้ย : เรียนวิธีการ Improvisation บนเชลโล เรียน กับ Mr.Tomas ulrich เขาเป็นนักเชลโลสไตล์โมเดิร์น มาทราบในภายหลังว่าเขาอยู่ในระดับ Top เลยนะ พี่ดีใจมากที่ตัดสินใจเรียนกับ Tomas เพราะสิ่งที่พี่ได้ เรียนนั้นนอกจากจะเป็นวิธีการเล่นที่เป็นรูปธรรมแล้ว ยังมีเรื่องของทัศนคติ การรู้สึกดี และความภูมิใจใน ตัวเอง เขาให้เราเก็บสิ่งดีๆ ในตัวแล้วเขาก็ค่อยๆ เพิ่มพูนบางสิ่งที่เราขาด ทุกคาบเรียบก็เลยเหมือน ได้เข้าไปศึกษาธรรมะทางอ้อมก็ว่าได้ (หัวเราะ) ชอบมาก เหมือนคนเดินอยู่ในถ้ำ�มืดๆ แล้วจู่ๆ เห็น แสงไฟ อื้ม....ประมาณนั้น (หัวเราะ)

PIE : แล้วตอนอยู่ที่นิวยอร์กได้ฟอร์มวงไหม พี่ยุ้ย : ฟอร์มวงนะ เป็นวง 3 ชิ้น มีพี่ มีน้องเกศPIE : แล้วรู้สึกยังไงครับที่ไปเจอกลุ่มคนไทยที่ทำ�งาน เกศวรินทร์ ตันทวานิช เล่นฟรุต แล้วสมาชิกอีกคน ศิลปะที่อยู่เมืองนอก คือพี่บี-ปวิดา รุจทิฆัมพร เล่นเปียโน ซึ่งอยู่ที่นี่มา พี่ยุ้ย : พี่เห็นว่าพวกเขามีทัศนคติที่ดี ใจกว้าง นานแล้ว เขาเรียนจบดนตรีและใช้ชีวิตที่นี่ ตอนนั้น ให้เกียรติ และยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น เช่น เราตั้งชื่อไทยกันน่ารักๆ ว่า “แจ่ม NYC” เริ่มที่เจอ อะไรที่ดูไม่เข้าที่เข้าทางเขาก็จะใช้วิธีค่อยๆ โน้มน้าว พี่บีในงานศิลปะของ TAA ต่อมารู้จักกับน้องเกศ ให้มาในทางที่ควรจะเป็น จะไม่ทำ�ให้จิตใจบาดเจ็บกัน (หัวเราะ) เรารู้จักกันด้วย Facebook จากการที่พี่ แล้วก็ช่วยเหลือและสนับสนุน กลุ่มนี้ใหญ่ เกินยี่สิบคน โพสต์รูปในเฟซบุ๊กที่พี่แบกเชลโลอยู่ในแมนฮัตตัน 051


แล้วพี่เขียน Next Step จากรูปนั้นน้องเกศเขา เห็นเลยติดต่อพี่มา เห็นเราเขียนในนั้นว่าเราอยู่ ศิลปากร เขาก็คิดว่าเราเป็นรุ่นน้อง แต่เราไปเรียน ปริญญาโทที่ศิลปากร เขาก็เลยทักมา แล้วก็คุย กันว่า จากที่เขาลำ�บากมา ถ้าเขาช่วยเหลือใครได้ เขาก็อยากจะช่วย คือเขาอยู่มาก่อน 3 ปี ตอน แรกที่เขามามันเคว้งมากเลย เขาไม่รู้จักใคร ภาษา ก็ยังไม่ได้ เขาต้องเดินขึ้นเขาไปหาที่เรียน แล้วเป็น เด็กผู้หญิงด้วย น้องเกดช่วยพี่หาครูที่เหมาะสม ก็นั่นแหละ Tomas ก็เป็นเพื่อนของครูน้องเกด อีกที จากนั้นก็ได้ไปซ้อมดนตรีด้วยกัน ตอนหลัง ชวนพี่บีมาสมทบ ก่อตั้งวงด้วยความคิดที่อยากจะ ช่วยเหลือนักดนตรีคนไทยที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือต้องการคำ�ปรึกษา เราก็อยากให้มันจะเป็น ศูนย์กลาง PIE : เล่นเปิดให้วง Mono ได้ยังไง พี่ยุ้ย : เกิดจากเพื่อนที่เจอกันที่นิวยอร์กอีก เหมือนกัน ชื่อน้องพลัม-ณภัทร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ก็อยุ่ในกลุ่ม TAA เหมือนกัน เจอกัน ตอนที่พี่ไปทำ�เพลงให้หนังสั้นของพี่หญิง ซึ่งพลัม ก็ผู้บันทึกเสียงในหนังสั้น แล้ววันหนึ่งพี่ก็เฮ้ย...จะ เล่นเพลงหนึ่งให้ฟัง พี่แต่งเอง ก็เล่นๆ พลัมฟังจบ บอกพี่...ต้องอัดว่ะ เพลงนี้คือเพลงที่ชื่อว่าราตรี พออัดเสร็จพลัมก็เอาลง YouTube ให้ด้วย แล้ว พอดีว่าพลัมก็เป็นเพื่อนกับทาง Koichi ซึ่งเป็น หนึ่งในผู้จัดงาน เขากำ�ลังต้องการวงที่เป็นคนไทย เพื่อจะมาเล่นเปิดให้ Mono ไม่รู้ว่าเขาคุยกันยังไง กับพลัม พลัมก็ส่ง YouTube เพลงราตรีให้ Koichi ฟังแล้วชอบ ก็เลยโทรมาหาติดต่อให้ไปเล่น

PIE : แล้วเพลงราตรีนี่แต่งตอนไหน พี่ยุ้ย : ตอนอยู่เมืองไทยนี่แหละ แต่งตอนที่อยู่ซอย วัดระฆัง มันเป็นราตรีที่แม่น้ำ�เจ้าพระยา เมื่อสามสี่ปี ที่แล้ว ตอนแต่งก็อยู่กับเชลโล ในห้องแคบๆ ของเรา นี่แหละ แต่นึกถึงบรรยากาศตรงนั้น เพลงนี้แต่งเก็บ ไว้นานแล้ว ก็เอามาเล่นบ้างนะ PIE : แล้วเพลงนี้เล่าถึงเรื่องอะไร พี่ยุ้ย : ราตรีคือบทเพลงที่นำ�เรื่องของเวลากลางคืน มาเปรียบเปรย ย้ำ�เตือนความจริงของสังคมที่ตราบใด ยังมีเรื่องดีย่อมจะมีเรื่องร้ายปรากฏเสมอ เช่น ถ้ามี การแข่งขันทีไร เราเห็นคนชนะ ดีใจมีความสุข แต่ ในเวลาเดียวกัน ถ้าเราไม่ลืมนะ เราก็จะเห็นคนแพ้ เห็นเขาเศร้า (หัวเราะหึหึ) พี่เห็นมุมนี้บ่อยๆ PIE : ไม่ใช่อารมณ์เพลงคลาสสิก พี่ยุ้ย : ไม่ใช่เพลงคลาสสิก คือเรามีรากมาจาก คลาสสิก เราก็หยิบบางอย่างจากมันแล้วก็มาเรียงร้อย ให้มันเป็นเรื่องของเรา ก็ไมเคยถามใครนะว่า ไอ้ที่เล่น อยู่เนี่ยมันเรียกว่าอะไร แต่เพื่อนเราที่เป็นชาวเยอรมัน มาดูเราเล่นที่ซอยวัดระฆัง เขาก็บอกว่านี่มันเป็น คอนเท็มนะ ในเพลงก็จะการพูดด้วยที่เป็นภาษาไทย แต่เขาก็ฟังออกว่ามันซีเรียสใช่ไหม เขาไม่ได้เข้าใจ ภาษาไทย แต่เขารู้สึกได้ PIE : ตอนเล่นเปิด Mono เล่นเพลงอะไรบ้าง พี่ยุ้ย : ทางผู้จัด (so-on) เขาก็มีแนะแนวทางว่า มีเวลาให้ 20 นาทีนะ ชอบเพลงราตรีแล้วแหละ แต่ว่าตอนจบอยากให้มันสว่างหน่อย (หัวเราะ) เล่นทั้งหมด 5 เพลง มีเล่นเพลงคลาสสิก Suite

052


053


ของ J.S..Bach, O Soleme, เพลงทีแ่ ต่งเองก็มี ราตรี และรุ่งอรุณ ส่วนเพลงลูกทุ่งพี่เลือก เพลงปูไข่ไก่หลง มาเรียบเรียงในแบบของเรา แล้วก็ปิดท้ายด้วยการอัญเชิญบทเพลงพระราช นิพนธ์ชะตาชีวิต มาบรรเลงเพื่อเป็นขวัญและ กำ�ลังใจ PIE : มีเพลงที่แต่งเกี่ยวกับนิวยอร์กด้วย พี่ยุ้ย : อันนี้แต่งใหม่เลยก็คือ เพลงรุ่งอรุณ แต่ว่ามันเป็นรุ่งอรุณที่นิวยอร์ก (หัวเราะ) มัน เหมือนเป็นของฝาก ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะซื้อ ขนม ถ่ายภาพมา แต่เราเก็บเป็นเสียงมาให้ คนได้จินตนาการรุ่งอรุณของนิวยอร์กกัน PIE : ตอนแรกนี่พี่ยุ้ยบอกว่าไม่รู้จักวง Mono ด้วย พี่ยุ้ย : ไม่รู้จัก เราก็เฮ้ย...วงญี่ปุ่น Mono น้องๆ หลานๆ ก็ช่วยเสิร์ชหาจาก YouTube มาฟัง พอได้ดูได้ฟังก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง คล้ายกันนะ หลานๆ บอกว่าทรงผมทรงยัง เดียวกันเลย (หัวเราะ) แล้วพอได้ไปเล่นเจอ กับวง Mono จริงๆ พวกเขาก็เป็นกันเอง น่ารักมากๆ PIE : ผ่านมายี่สิบกว่าปี กับเชลโลเป็นไงบ้าง พี่ยุ้ย : มีความสุขมาก ไม่พูดถึงเรื่องตัวเงินนะ เพราะเชลโลพาพี่ไปในที่ต่างๆ พาไปรู้จักคน พี่ได้อะไรจากเชลโลเยอะเลย จริงๆ ที่ผ่านมา พี่ก็ไม่ได้เป็นคนมีเงินทองอะไรมากมาย แต่ พี่ก็ได้ไปในหลายๆ ที่ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไป เขาก็พาพี่ไปทุกที่เลย 054


<<< คุณปู่

PIE : ที่มาของเชลโลคู่กาย พี่ยุ้ย : ได้มาจาก Mr.Juris Lakutis นักเชลโลชาวลัตเวีย หัวหน้ากลุ่มเชลโลในวง Thailand Philharmonic Orchestra เขา เป็นครูตอนที่พี่ยุ้ยเข้าไปเรียน ปริญญาโทที่มหิดล และเขาได้มา จากอาจารย์ของเขาอีกที ตอน ที่เข้าไปเรียนกับเขาสักพักหนึ่ง เขาก็อยากให้เราใช้เครื่องดีๆ เขาบอกว่าเครื่องดนตรีที่ดีจะพา เราให้เล่นง่าย แล้วตอนนั้นเราก็ ไม่ค่อยมีเงิน ที่มีอยู่ก็ซื้อเชลโล ที่ตามมาตรฐานที่อาจารย์คิดเอา ไว้ยังไม่ได้เลย พอดีอาจารย์ได้ เชลโลตัวใหม่มา เขาก็เลยบอก 055

งั้นเอาตัวนี้ไป มีเงินเท่าไหร่ ก็ให้มา ค่อยๆ ผ่อนให้ด้วย เชลโลตัวนี้อายุตกสองร้อยปี พี่และเพื่อนๆ เรียกว่าคุณปู่ อยู่ด้วยกันตลอด ไปด้วยกัน ทุกที่ เคยมีคนถามหลายครั้ง ว่าขายมั้ย ก็ครั้งล่าสุดตอนที่ นิวยอร์ก ตอนที่ทำ�งานในร้าน อาหาร เจ้าของร้านถามว่าจะ ขายไหม จะได้ไม่ต้องมาเป็น รันเนอร์ เขาจะช่วยหาคนซื้อ ให้น่าจะได้ราคาสูง รวยเลยนะ ตอนนั้นตอบไปว่าขอเอาไว้ซ้อม ก่อนค่ะ ยังไม่ขายค่ะ แต่คิด ในใจว่ายังไงก็ต้องอยู่ด้วยกัน อุตส่าห์มาด้วยกันขนาดนี้แล้ว


PIE TALK

WE LOVE TINY LINE

056


ปลาย-ยอดฉัตร บุพศิริ นักวาดภาพประกอบสาวที่ได้เป็น 1 ใน 72 คน ที่โชว์ผลงานใน Bologna Children’s Book Fair ประเทศอิตาลี เมื่อปีที่แล้ว ที่มีมุมมองและความตั้งใจอยากทำ�หนังสือ ภาพสำ�หรับเด็ก เธอยังทำ�งานภาพประกอบออกมาอย่างสม่ำ�เสมอ รวมถึงบล็อกชื่อน่ารัก “We Lovetinyline” ที่อัดแน่นด้วยผลงานและบทสัมภาษณ์นักวาดภาพประกอบเจ๋งๆ ที่ เธอแปลมาจากสื่อต่างประเทศ ลองมาฟังความคิดน่ารักน่าสนใจของเธอกันครับ

PIE : เรียนประติมากรรม แล้วทำ�ไมถึงมาสนใจ ภาพประกอบ งานเขียน บทกวี ปลาย : เพราะว่าห่วยประติมากรรม เรียนห่วย มากเลย ตอนนั้นปั้น Portrait ดี ปั้นคนได้ แต่ว่า มันก็เป็นแค่ทักษะหนึ่ง แต่จริงๆ เราเป็นคนมอง แบบ 2 มิติ ไม่ได้มอง 3 มิติ พอดีเพื่อนเลือก เรียนประติมากรรม ก็เลยเลือกเรียนตามเพื่อน งานหนัก แล้วก็ได้เจอกับวัสดุหลายแบบ ปั้น หล่อปูน เชื่อมเหล็ก เราก็เชื่อมไม่ค่อยเป็น ไม่มี หัวทางด้าน 3 มิติ ทำ�ออกมาแล้วมันแบน PIE : แล้วอะไรเป็นตัวจุดประกาย ปลาย : น่าจะเป็นการอ่านงานของพี่ประกาย ปรัชญา ก็คือชอบ ชอบบทกวี ตอนเรียนอยู่ปี 2 ปี 3 19-20 ปี รู้สึกว่าที่เขาเขียนมันมีภาพและ มีสี และเรารู้สึกว่าอยากถ่ายทอดออกมาเป็น ภาพบ้าง ก็เลยเริ่ม เหมือนกับเราทำ�อย่างหนึ่ง ได้ไม่ดี เราถ่ายทอดสิ่งที่มีในตัวออกมาไม่ได้ เรื่องปั้นเราก็ห่วย มันก็ไม่ใช่ ก็เลยหันมาทาง เขียนแล้วก็วาด แล้วก็ได้ไปเข้าค่ายของ CMYK แล้วก็ทำ�นิตยสารนั้นออกมา เราจะทำ�คอลัมน์ ภาพประกอบแล้วก็บทกวีนะ ก็เลือกบทกวีที่ชอบ แล้วเอามาทำ�ภาพประกอบ ก็จะมีงานสะสมมา ระยะหนึ่ง ตอนนั้นก็เป็นสีน้ำ�ค่ะ

PIE : เลยเริ่มทำ�ภาพประกอบมาเรื่อยๆ ปลาย : ค่ะ แล้วตอนนั้นจำ�ได้อยู่นะว่าที่อัมรินทร์ เขาเปิด เหมือนเป็นคอร์สเวิร์กช็อปนักวาดภาพ ประกอบ ก็ไปเข้าร่วม แต่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่เข้าใจ ว่ามันต้องทำ�ยังไง มันคืออะไร มันต้องพัฒนายังไง คือที่ไปเนี่ยก็ไปกินฟรีน่ะ เขาดีมากเลยนะ คือจะ มีวิทยากรมาให้ แล้วก็มีหนังสือนิทานให้มาดูเป็น ตัวอย่าง แล้วก็อธิบาย แล้วก็มีขนมให้เรากินฟรี เราก็เฮ้ย ดีจังเลย ได้กินฟรี ก็ไปทุกอาทิตย์เลย แต่ไม่ได้งาน แต่มันก็เหมือนกับว่าเป็นความชอบ อย่างหนึ่ง สนใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง PIE : ไป Sandwich Studio ที่ญี่ปุ่นได้ยังไง ปลาย : เพื่อนชวน (อีกแล้ว) “น้ำ�” คือคนที่ไปด้วย ชวน ก็ลองส่งดู คือส่งไปทางพี่คุ่น (ปราบดา หยุ่น) พี่คุ่นก็ส่งไปทางนาวะซัง (Kohei Nawa) เจ้าของ Sandwich Studio เลือกอีกที แต่ปลายว่าใครส่ง เขาก็รับทุกคนแหละ จริงๆ เขาให้โอกาส PIE : เป็นยังไงบ้างประสบการณ์ที่ได้ ปลาย : ที่นั่นเป็นระบบม้ากมาก คือมันก็ออก เชิงธุรกิจนิดหนึ่ง เพราะเขาเป็นศิลปินอาชีพแล้ว ก็ต้องมีการประสานงานกับทุกทิศทุกทางเลย ทีมงาน เขามือโปรมาก มีเลขาฯ 2 คนมั้ง รวมไปถึงการ 057


058


059


จัดการพื้นที่ อุปกรณ์ การขนส่ง การจัดการคน แล้วก็ได้ไปที่ MOT (Museum of Contemporary Art Tokyo) ที่โตเกียว สถานที่มันใหญ่มาก แล้วมัน วุ่นวายพลุกพล่านมาก ทำ�ไมเราไม่เคยเจออะไรแบบนี้ คือหอศิลป์ที่เมืองไทยไม่ได้จัดการแบบนี้แน่ๆ PIE : ได้เห็นเบื้องหลังการโชว์งานที่นั่น ปลาย : ใช่ สนุกมาก งานที่เห็นว่าเซตง่ายๆ แต่ความจริงๆ มันไม่ได้ง่ายเลย PIE : ยังไงบ้าง ปลาย : หลายอย่าง วิธีการ ความใส่ใจ ความ เนี้ยบ อย่างเช่นพลาสติกปูพื้น ก็ปูแล้วปูอีก บางที เราคิดแบบคนไทยนะว่า ไม่จำ�เป็นต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง อย่างจะย้ายเก้าอี้ ถ้าเป็นเรา ก็แค่เอาเชือกฟางมัด แล้วก็ยกไปอีกที่ แต่นี่คือไม่ได้ ต้องมัดเชือกฟางแล้ว คุณก็ต้องเอากระดาษมาห่อ ห่อเสร็จแล้วแต่ลืมว่า มีเก้าอี้กี่ตัว ก็ต้องแกะห่อออกมานับ แล้วก็ห่อใหม่ แล้วก็เขียน เราก็คิดว่าทำ�ไมมันวุ่นวายอย่างนี้

PIE : แล้วที่ Bologna Children’s Book Fair ก็เป็น 1 ใน 72 คน งานเราได้ไปโชว์ตามที่ต่างๆ เป็นยังไงบ้าง ปลาย : งานไปแต่ปลายก็ไม่ได้ไปด้วย ที่ปลายไปคือ อิตาลี ก็ตื่นเต้นมาก พ่อแม่บอกว่าให้เอาพี่ชายไปด้วย พี่ชายก็ได้ไปเที่ยวด้วยค่ะ ก็สนุกนะ มันจะยิ่งใหญ่ อะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้ มีแต่นักวาดเต็มไปหมด แล้วก็ สำ�นักพิมพ์เต็มไปหมดเลย แล้วทุกคนก็ไปเสนองาน ทั้งนักวาดเก่านักวาดใหม่ มันเยอะ มันดูน่าตื่นเต้น ปลายก็เตรียมแค่ผลงานชุดแรกๆ ไปน่ะค่ะ ซึ่งจริงๆ มันไม่ได้เหมาะกับหนังสือเด็กเท่าไหร่ เรารู้สึกได้ PIE : งาน Bologna Children’s Book Fair 2012 ส่งไปตอนแรกกะว่ามีลุ้นมั้ย ปลาย : ไม่ได้ลุ้นน่ะค่ะ คือมันเป็นงานใหญ่ แค่อยาก จะมีส่วนร่วม แต่ไม่คิดว่าจะได้หรอก งานของปลายก็ ไม่เชิงว่าเป็นหนังสือเด็ก แต่รู้สึกว่าที่นั่นเขาเปิดกว้าง จริงๆ

PIE : แล้วทำ�ไมต้องเป็นรู​ูปผมเปีย PIE : พลาสติกนี่เขาปูกันเปื้อนหรือครับ เกี่ยวกับ ปลาย : เกิดจากตอนเรียนประติมากรรม ปลาย งานมั้ย ทำ�ธีสิสเป็น Installation เป็นงานแขวน ถักสายไฟ ปลาย : ก็เกี่ยวกับงานแหละ ปูกันเปื้อนเพื่อไม่ให้ เป็นรูปแมงกะพรุน รูปปลา เป็นการถักเปียซ้ำ�ไป รอยเท้าเราทำ�พื้นเลอะ เราก็คิดว่าปูเยอะไปหรือเปล่า ซ้ำ�มา รู้สึกว่าทำ�แล้วมันสามารถทำ�อย่างนี้ไปได้เรื่อยๆ ในความรู้สึกเราก็คิดว่าไม่จำ�เป็นน่ะ แต่มันก็คงจำ�เป็น สนุกดี สำ�หรับเขา PIE : ช่องทางเสนองานสไตล์นี้ PIE : ก็เป็นการใส่ใจของเขา ปลาย : ช่องทางตอนนี้เหรอ ก็เฟซบุ๊กไง เต็มเลย ปลาย : ใส่ใจ เนี้ยบ แต่ปลายกลับมาก็ไม่ได้เนี้ยบ แล้วก็จะมีตอนที่ไป Bologna ก็จะ Add Friends ตามเขานะ นิสัยไทยมาก พวกนักวาดสเปนกับอิตาลีไว้เยอะมาก แล้วก็เริ่ม 060


061


062


063


064


เห็นว่ามันมีประกวดโน่นนี่เต็มไปหมดเลย แต่ว่าเขา ใช้คนละภาษาซึ่งเราไม่รู้ ถ้าเราไม่ได้ใช้เฟซบุ๊กจะ ไม่มีช่องทางนี้เลย เพราะเฟซบุ๊กมันจะขึ้นมาเลย ว่าเราสนใจนักวาดภาพประกอบ มันก็จะขึ้นข่าว แบบนี้มาให้เรา ถ้าเราเข้าเว็บธรรมดามันก็ต้องใช้ Google Translate ซึ่งมันลำ�บากกว่าจะหาเจอ แล้วก็เห็นล่าสุดมีน้อง Orangoing ในเพจนี้แหละ ที่เขาส่งชุดนอนในฝันประกวดของ Topipittori แล้ว ได้รับเลือก แต่ไม่ได้รางวัลอะไรตอบแทน แต่ได้โชว์ ว่าเป็นงานที่ได้รับคัดเลือก คือนักวาดไทย น้องๆ นักศึกษาเขาก็มีของ แล้วสมัยนี้มันหาช่องทางปล่อย ของได้ง่ายกว่าสมัยก่อนเยอะเลย PIE : แต่การประกวดอย่างที่ส่งๆ ส่วนมากก็ของ ต่างประเทศ ปลาย : ของไทยมีอัมรินทร์ แล้วก็นานมี คือปลาย ก็ไม่เคยส่ง เพราะเหมือนว่าต้องเขียนเรื่องประกอบ ด้วยมั้ง แล้วยังไม่มีเรื่องพอที่จะเล่า อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ภาพที่สนใจตอนนี้ปลายก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเข้า กับบรรยากาศไทยๆ รึเปล่า ก็เลยไม่ได้ส่ง

แต่เหมือนกับว่าช่วงนี้ก็นิ่งๆ ไป ไม่ค่อยได้อัพอะไร เพิ่ม เพราะรู้สึกว่ามันถึงจุดหนึ่งแล้ว ข่าวสารมันท่วม หัวเราเกินไป เราไปใส่ใจ ไปโฟกัสอะไรที่มันอยู่นอก ตัวเรามากเกินไป มันมึนน่ะค่ะ ก็เลยหยุดอัพแป๊บนึง PIE : ในบล็อกเห็นแปลบทสัมภาษณ์ของนักวาด ภาพประกอบเมืองนอก อ่านแล้วเป็นยังไงบ้าง ปลาย : เขานอบน้อมดี อย่างคุณ Sempé ที่ทำ�ลง The New Yorker รู้สึกว่าเป็นคนที่น่ารัก เหมือนกับ เขามีทัศนคติกับงานของเขาเอง เขาเป็นคนที่ใส่ใจ รายละเอียดเล็กๆ ชอบวาดตึกรามบ้านช่องสูงๆ แล้ว ก็วาดคนตัวเล็กๆ แล้วก็วาดแสง ชอบๆ รู้สึกว่าเขา เคารพบรรณาธิการมาก ดีค่ะ อ่านแล้วรู้สึก เออ นี่แหละมืออาชีพ ซึ่งเรายังไปไม่ถึง

PIE : เริ่มงานสักชิ้น จะทำ�ภาพประกอบให้หนังสือ ปกนี้ จะเริ่มยังไง ปลาย : ก็วายป่วงมาก (หัวเราะ) สมมติทำ�ปก หนังสือสักเล่มนึง ก็อ่านคร่าวๆ ก็จะบอกเขาว่า เรื่องมันจะเป็นประมาณนี้นะ อาจจะถามว่าเป็น บรรยากาศแบบไหน บางปกเขาก็อยากได้อะไรที่มัน PIE : มีผลงานและงานเขียนในบล็อกด้วย เป็นใต้ท้องน้ำ� มี Element แปลกๆ มันก็ยังงงๆ ปลาย : ตอนแรกก็เริ่มเขียนเองก่อน ก็ตั้งแต่ตอนทำ� อยู่แหละ แต่ว่าก็ต้องคุยระหว่าง บ.ก. กับพี่คนที่ เฟซบุ๊ก We Lovetinyline เพราะตั้งใจว่าอยากจะเก็บ ออกแบบปก สะสมภาพประกอบที่เราชอบ แล้วแชร์ให้คนอื่นได้ดู ไปๆ มาๆ ได้เขียนลงมติชน ก็เลยเป็นจุดเริ่ม PIE : แล้วงานที่ทำ�ส่วนตัวล่ะ เริ่มยังไง ปลาย : ส่วนใหญ่จะเริ่มจากวัสดุ เหมือนบางอย่าง PIE : ชื่อบล็อก We Lovetinyline นี่มาจากไหน มันอธิบายออกมาเป็นคำ�พูดไม่ได้น่ะค่ะ จะสเกตช์ ปลาย : ก็คือชอบงานเส้นๆ ชอบมาก แล้วเราก็หวัง ด้วยการเขียนก็ไม่ได้ หรือว่าสเกตช์เป็นดินสอคร่าวๆ ว่าทุกคนจะชอบด้วย ก็เลยเป็น We Lovetinyline มันก็ไม่ออก ไม่รู้ว่าจะทำ�ยังไงดี ก็พยายาม ตอนนี้ 065


ทำ�ดูหลายๆ แบบ ว่าอันไหนที่ตรงกับในใจที่มัน พูดไม่ได้ที่สุด แล้วก็ทำ�ต่อจากนั้นไปเรื่อยๆ คือ ไร้ซึ่งการวางแผนมากๆ คืออะไรใกล้เคียงอารมณ์ เราที่สุด ก็ไปต่ออันนั้น

หน้าตาผีๆ มืดๆ ตาโหลๆ สีทึมๆ แต่เขารู้สึก ว่ามันเป็นหนังสือศิลปะ ให้เด็กมีทางเลือก เล่มนี้ ชอบเพราะเรื่องมันตลกดี เหมือนคนที่เป็นพ่อเขา มีหน้าที่สร้างพระอาทิตย์ด้วยการใช้หอกเป่า วันนึง เขาหลับไปแล้วลูกสาวแอบไปทำ�บ้าง พระอาทิตย์ ก็เลยล้นโลก พอเขาตื่นมาเขาก็เลยต้องมาฉี่ดับ พระอาทิตย์ ก็เลยว่ามันเพี้ยนดี แต่ถ้าเราแต่ง เรื่องเองคิดว่าคงซอฟต์กว่านี้

PIE : เรื่องเทคนิคที่ใช้ ปลาย : สีน้ำ� คอลลาจ หมึกจีน แต่ก็มีบางงาน ที่เอาทุกอย่างมารวมกัน เป็นคนชอบลองทุกอย่าง สามารถทำ�ได้หลายเทคนิค มันสำ�คัญที่ว่าแต่ละ เทคนิคสามารถสื่อสิ่งที่เราคิดตอนนั้นได้หรือเปล่า เท่านั้นเอง PIE : แล้วหนังสือที่อยากทำ�เองนี่ถึงไหนแล้ว มีเรื่องใหม่หรือยัง ปลาย : เป็นเรื่องเดิม แต่รู้สึกว่าเทคนิคที่ใช้มัน ยังไม่ถึงสักที ยังไม่รับกับที่เรารู้สึกว่าบทกวีมัน ถึงตรงนั้นสักที ที่ตอนแรกทำ�เป็นสีน้ำ�น่ะค่ะ พอมาดูตอนนี้คือมันไม่ใช่ PIE : ก็คือเรื่อง “ต่อเมื่อเรือฝันของฉันกลับบ้าน” ปลาย : ใช่ค่ะ อาจจะคิดมากไปก็ได้ เพราะเห็น คนอื่นเขาบอกว่า ทำ�หนังสือภาพ ปีหนึ่งนี่เขาก็ เสร็จแล้ว แต่ของเรานี่คิดเยอะไปมั้ย จริงๆ ไม่ ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้หรือเปล่า คือตอนแรก จากสีน้ำ� พอได้ไปเจอกับสำ�นักพิมพ์ Orecchio Acerbo เนี่ย (หยิบหนังสือของสำ�นักพิมพ์นี้ขึ้นมา) คือคิดไว้ว่าอยากจะเสนอเรื่องนี้กับที่นี่แหละ แต่คือ ที่นี่สไตล์เขาเป็นแบบศิลปะโหดน่ะ แบบเป็นเด็ก 066

PIE : ปลายชอบอ่านงานเขียนของใคร ปลาย : มีหลายคน แต่ไม่ออกชื่อดีกว่า ถ้าบอก ไปมันก็เหมือนกับว่าเราชอบแนวนี้ แต่จริงๆ มัน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่ได้อ่านงานของใครมาก อ้อ…นึกออกแล้ว สุวรรณี สุคนธา ตอนนี้อ่าน หนังสือแปล แล้วก็อ่าน เหยื่ออธรรม เล่ม 2 เพราะมีคุณหมอในเฟซบุ๊กเนี่ยค่ะ ใจดี กรุณา ส่งมาให้อ่าน แล้วเหมือนกับว่าเป็นการส่งต่อ ให้คนต่อไปด้วย อ่านจบแล้วก็ส่งต่อให้คนอื่น เป็นเหมือนหนังสือหมุนเวียน PIE : แล้วถ้าเป็นงานหนังสือภาพของบ้านเราล่ะ ปลาย : ก็มีพี่อ้อย (วชิราวรรณ ทับเสือ) งาน น่ารัก แล้วก็มีพี่เอ๋ (นันทวัน วาตะ) พี่เอ๋จะออก เป็นสารคดี เขาจะวาดงานน่ารัก เป็นเด็กไปดูนก ธรรมชาติ แต่พี่อ้อยงานเขาจะโฟกัสที่เด็ก หน้าตา คาแร็กเตอร์มันจะนุ่มนวล พี่เขาทำ�ให้อัมรินทร์ ด้วย สำ�นักพิมพ์ก้อนเมฆ และอีกหลายที่


PIE : ที่ไปงานนิทรรศการที่ต่างประเทศหรืองาน ที่เคยไปดู เทียบกับบ้านเราแล้วเป็นยังไง ปลาย : วงการภาพประกอบของบ้านเราปลายก็ ไม่ได้รู้กว้างค่ะ เพราะภาพประกอบมันมีหลายแนว ภาพประกอบหนังสือเด็ก ภาพประกอบแฟชั่น ภาพ ประกอบที่สามารถเอาไปใส่ได้ทุกโปรดักต์ ที่หอศิลป์ ที่ประดับฝาผนังใหญ่โต ปลายไม่สามารถตอบได้ ครอบคลุม แต่ถ้าถามว่างานสัปดาห์หนังสือที่ไทย กับที่ Bologna ต่างกันยังไง ก็คือที่ Bologna เขา ไม่ได้เน้นการขายหนังสือ เขาแค่เหมือนเอาไปโชว์ ว่าสำ�นักพิมพ์เราปีนี้ออกอะไรใหม่บ้าง อาจจะแค่ 5 เล่ม แล้วก็สำ�นักพิมพ์มาติดต่องานกัน นักวาด ก็ไปเสนองาน มันไม่ได้มีฮาร์ดเซลส์ มีแมสคอต มาชูป้าย เน้นเปิดพื้นที่ให้คนทำ�งาน นักเขียน นักวาดภาพประกอบได้มาเจอกัน มีบางบูธที่ขาย บ้างแต่ไม่ใช่หัวใจหลักของงาน หัวใจหลักของงาน คือ เชิญศิลปินจากประเทศที่หมุนเวียนในแต่ละปี เช่น ปีนี้เป็นสวีเดน ก็จะเชิญศิลปินของสวีเดน แล้วจัดอีเว้นต์ทั้งในนิทรรศการหรือตามจุดต่างๆ ใน Bologna เขาให้ความสำ�คัญกับทุกส่วน ครบวงจรเลย PIE : ทำ�หนังสือภาพสำ�หรับเด็ก รักเด็กมั้ย ปลาย : เฉยๆ นะ แต่ชอบสังเกตเด็กว่า เวลา เด็กเล่นกับอีกคนหนึ่งแล้วไปตีอีกคนหนึ่ง เราก็ จะคิดว่าทำ�ไมทำ�แบบนั้นล่ะ งง เออ แปลกดี ปลายเคยสอนเด็กนะ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ สอนอยู่ ปีกว่า สอนวาดรูป เด็กๆ วุ่นวายมาก จริงๆ

ควรจะเข้าใจเด็ก เข้าใจธรรมชาติของเด็ก คือจะ ทำ�งานได้ดี ปลายก็แอบสังเกตแต่ว่าไม่ได้เข้าไปมี ส่วนร่วม ซึ่งไม่ดีนะ จริงๆ ก็ควรจะเข้าไปคลุกคลี เยอะๆ เวลาไปเมืองนอกก็แอบถ่ายรูป แต่เมืองนอก เขาจะซีเรียสเรื่องนี้ เขาไม่ให้ถ่ายรูป PIE : ทำ�ไมพูดถึงสเปนกับอิตาลีบ่อยมาก ปลาย : หลังจากประมวลภาพประกอบคร่าวๆ แล้ว ก็พบว่างานของ 2 ประเทศนี้เข้ากับอะไรบางอย่าง ของเรา อ่านภาพแล้วมันตอบสนองอะไรบางอย่างใน ใจได้ มันเป็นวิธีการเลือกเรื่อง ส่วนใหญ่เขาจะเลือก เกี่ยวกับวรรณกรรมเยอะ เราชอบแบบนั้น สีก็ไม่ได้ เด็กจ๋า ฉูดฉาด สีมันจะคลุมโทน แต่เป็นเพราะว่า ประเทศเขาเกี่ยวกับเรื่องฤดูด้วยแหละมั้ง สีมันจะเป็น โทนสีแบบยุโรปน่ะค่ะ คือที่ไทยไม่มี ซึ่งเราอาจจะ ชอบในสิ่งที่เราไม่มี คิดว่าอย่างนั้นค่ะ PIE : อยากทำ�อย่างอื่นบ้างไหม เห็นคนทำ�สายนี้ เปลี่ยนไปทำ�กราฟิกบ้าง ขายเสื้อผ้าบ้าง ปลาย : อ๋อ กราฟิก คือตอนนี้ทำ�งานกับคอมฯ แทบจะไม่ได้ จริงๆ ก็ไม่ใช่คนที่ใช้โปรแกรมทำ�งาน อยู่แล้ว ตอนน้ีตาแพ้แสง มันมีอยู่ช่วงหนึ่งปวดตา ปวดหัว เพราะเราเจอแสงจ้าจากคอมพ์มากเกินไป ตอนแรกนึกว่าสายตาสั้น ก็เลยไปตัดแว่น ปรากฏว่า เขาก็ดูๆ ประมาณหมอแมะด้วย แล้วเขาก็จับๆ ผมว่าตาคุณน่ะไม่เป็นไร แต่ตาคุณแพ้แสง แล้วก็ จริงๆ นะ พอไม่จ้องคอมฯมาก ไม่สู้แดดแรงก็หาย ไม่ปวดหัว คือทำ�งานกับกระดาษมันไม่เป็นไร 067


PIE : มีนักวาดภาพประกอบที่ ชื่นชอบมั้ยครับ ปลาย : Joanna Concejo ตอนนี้มีคนนี้คนเดียวที่ยังอยู่ในใจ คนนี้จะโลกส่วนตัวสูงมาก จนเรา แบบว่า มีโลกแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่ เคยเห็นนักวาดคนไหนที่ทำ�ได้อย่างนี้ เป็นชาวโปแลนด์ ที่ตอนนี้ย้ายมาอยู่ ฝรั่งเศส อ๋อ แล้วก็มีอีกคนหนึ่งเป็น

คนสเปน Sara Morante คนนี้ จะทำ�งานภาพประกอบวรรณกรรม อันนี้จะไม่ใช่งานสำ�หรับเด็ก PIE : มีหนังที่ชอบมั้ย ปลาย : หนังน่ะมี เป็นเรื่องเดียวที่ ถ้าถามตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ กลับไปดูได้ เรื่อยๆ แต่ไม่ได้เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ชื่อเรื่อง Krajinka ของผู้กำ�กับฯ Martin Sulik เป็นหนังก็เกี่ยวกับวัยเด็ก การกลับบ้าน โดนทุกฉากเลย 068


PIE : เคยอ่านที่เขียนเป็นบทกวี ปลาย : งานเขียนใหม่ๆ เอามาจากคู่มือเดินทาง ไทย-จีน เป็นหนังสือสอนภาษา แล้วเราเห็นว่ามัน เป็นมีสอนประโยคภาษาจีน ซึ่งแต่ละประโยคก็ไม่ เกี่ยวกัน หลายๆ ประโยคเราอ่านแล้วเอาแต่ละ ประโยคมาเรียงกันใหม่ กลายเป็นงานของเราเอง อะไรแบบนี้ สนุกดี คิดว่ามันเป็นอารมณ์เดียวกัน กับงานคอลลาจ เหมือนต่อจิ๊กซอว์ PIE : มีเทคนิคอะไรที่อยากลองทำ�มั้ย ปลาย : จริงๆ อยากทำ�ภาพพิมพ์ ตอนก่อน มาเรียนประติมากรรม มันมีให้เลือก 2 อย่าง

คือประติมากรรมกับภาพพิมพ์ ได้ทดลองเรียน ภาพพิมพ์มันจะได้เท็กซ์เจอร์หลากหลายมาก ทั้งไม้ ทั้งภาพพิมพ์โลหะ มันสนุกนะ แต่ว่าต้อง มีอุปกรณ์พร้อม แล้วใช้ทุนสูง ซึ่งเรียนจบไปแล้ว ถ้าคุณไม่มีห้องก็ทำ�ไม่ได้ ก็จะได้แบบบ้านๆ คือ อยากกลับไปทำ� PIE : อนาคตข้างหน้าวางแผนอะไรไว้มั่ง ปลาย : ยังไม่ได้วางแผนเลยค่ะ อยากไปเทก คอร์สสั้นๆ เกี่ยวกับภาพประกอบ แต่ไม่ได้อยาก ต่อ ป.โท หรืออะไรแบบนั้น ตอนนี้อยากไปสเปน หรือไม่ก็อิตาลีนี่แหละ

www.facebook.com/we.lovetinyline 069


070


PIE TALK

MINK’S ALL I MADE IS EVERYTHING WE LOVE

พี่มิ้งค์-เทพสวรินทร์ ตะเพียรทอง และพี่เบิร์ต-เอกชัย กล่อมเจริญ คู่รัก เจ้าของแบรนด์สุดน่ารัก Mink’s แบรนด์โปรดักต์เล็กที่เริ่มจากในโลก อินเตอร์เน็ต ด้วยความเก๋ น่ารัก ที่เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกของทั้งสอง โปรดักต์ของ Mink’s ได้รับการบอกต่อไปไกลจนถึงต่างประเทศ ทั้งยัง ออกหนังสือ D.I.Y. น่ารัก กับสำ�นักพิมพ์ OOM Lifestyle Book ของ คุณอุ้ม-สิริยากร และกำ�ลังจะเปิดร้านน่ารักที่เอกมัยซอย 10 ในเร็ววันนี้ เรามาฟังความคิด แรงบันดาลใจจากคู่รักคู่นี้กัน

071


072


PIE : Mink’s เกิดขึ้นมาได้ยังไง มิ้งค์ : เกิดขึ้นมาจากการที่เบิร์ตเขาเย็บกระเป๋าให้ มิงค์ใบหนึ่ง แล้วกระเป๋าใบนั้นมันมียี่ห้อชื่อว่า Mink’s เราก็เลยมาคิดกันว่า น่าจะลองทำ�ของให้คนอื่นเขา เอาไปให้กับคนที่เขารักบ้าง PIE : ก่อนหน้าที่จะมี Mink’s ทำ�อะไรกันมาก่อน มิ้งค์ : ทำ�โฆษณา เบิร์ต : ผมก็เป็นฟรีแลนซ์ มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ แต่ก็ทำ�เล่นๆ ไม่ได้สานต่อ PIE : ช่วงแรกๆ Mink’s เป็นยังไง เบิร์ต : เริ่มจากทำ�เป็นจิวเวลรี่ก่อน แต่เป็นจิวเวลรี่ ทองเหลืองฉลุลาย มิ้งค์ : แล้วก็ขยับมาเป็นจิวเวลรี่ไม้ เสร็จแล้วก็เป็น นาฬิกา พวก Accessories ไม้ เบิร์ต : ถ้าจะเป็น Mink’s เต็มตัวที่คนรู้จักก็น่าจะ เป็นนาฬิกา แล้วหลังจากนาฬิกาก็จะมีอย่างอื่นต่อมา อีกเยอะเลย มิ้งค์ : ตอนนี้ก็จะมีพวก Accessories อะไรอย่างนี้ นาฬิกา สร้อยคอ แล้วก็จะมีพวกเฟอร์นิเจอร์ของ แต่งบ้าน PIE : แบ่งหน้าที่กันยังไง เบิร์ต : ผมเป็นคนทำ� คุณมิ้งก็จะคอยดูเหมือนเป็น อาร์ตไดฯ ดูว่าสวยหรือยัง จริงๆ แล้วก็ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ�ทุกอย่าง เราก็จะเขียนแบบกันเอง ดีไซน์ กันเอง แล้วก็ทำ�เอง PIE : เห็นมีคำ�จำ�กัดความว่า all i made is มิ้งค์ : เพราะว่าเราทำ�เองตั้งแต่เริ่มต้นทุกอย่าง

เบิร์ต : มันเริ่มต้นมาจากผมทำ�ของให้คุณมิ้งค์ เหมือนกับว่าเราทำ�ของให้คนที่เรารัก ก็คือเราทำ�ของ จากความรัก พอมาเป็น Mink’s ก็เหมือนว่าสิ่งที่เรา ทำ�ใช้ เราไม่ได้ทำ�เพื่อจะเอากำ�ไร คือมันเป็นสิ่งที่เรา รักด้วย ทำ�ในสิ่งที่เรารักให้กับคนที่เขาอยากเอาไปให้ คนอื่น หรือเอาไปใช้เอง มิ้งค์ : เพราะจริงๆ โปรดักต์ของ Mink’s แนวคิด หรือว่าเวลาเราจะออกโปรดักต์ใหม่ เช่น เราอยากได้ อันนี้ก็ลองทำ�ขึ้นมา อย่างที่บ้าน ในห้องเรานี่ของ หรือเฟอร์นิเจอร์เราก็ทำ�กันเองหมด เบิร์ต : ชอบอย่างไหนก็ทำ� เราจะไม่ใช่แบบเห็น เขาฮิตอะไรเราก็ทำ� เราชอบหรือว่าอยากได้โปรดักต์ แบบไหนก็ลองทำ�ใช้เองก่อน พอใช้แล้วโอเค ก็คิดว่า น่าจะมีคนชอบ ก็ลองทำ�ขาย PIE : โปรดักต์ส่วนใหญ่มีไม้เป็นส่วนประกอบ มิ้งค์ : เพราะเราสองคนชอบงานไม้ เบิร์ตก็ถนัดทาง ด้านเกี่ยวกับไม้ครับ เพราะเมื่อก่อนก็ทำ�เฟอร์นิเจอร์ เบิร์ต : ใช้ไม้หลายชนิด เพราะว่าของเรา เราไม่ได้ ทำ�แบบตัดไม้อะไรมาก็ได้แล้วมาทาสี เราจะเป็นแบบ ว่าอยากได้โปรดักต์ชิ้นนี้ จะไปหาไม้ที่มีสีนี้ จะเลือกไม้ เพราะเราจะไม่ทาสีบนไม้เลย PIE : เคยอ่านมา เห็นบอกว่าตอนแรกลงทุนกัน น้อยมาก เบิร์ต : ใช่ จริงๆ ตอนแรกไม่ได้หวังว่าจะมีคน สนใจเยอะ มิ้งค์ : กะว่าจะทำ�เล่นๆ เพราะทำ�งานประจำ�กัน ตอนหลังคนเริ่มชอบเยอะขึ้น ลงทุนไม่ถึง 10,000 บาท เพราะเราขายในเฟซบุ๊กด้วย มันจะไม่มีค่าเช่าร้าน ไม่มีค่าตกแต่ง 073


PIE : ตัวที่คนเริ่มพูดถึงเยอะนี่คือนาฬิกา เบิร์ต : ใช่ นาฬิกา คงเพราะเป็นโปรดักต์ที่ ใหม่ แบรนด์นาฬิกาในเมืองไทยยังไม่ค่อยมี ถ้าพูดถึงแบรนด์ทำ�นาฬิกาที่เป็นชื่อของตัวเอง ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนำ�เข้ามา เหมือนกับเป็น ของใหม่ คนก็จะ เอ้ย สนใจ มันดูแตกต่าง จากพวกแบรนด์อื่นๆ มิ้งค์ : เราเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ทำ�นาฬิกา หน้าปัดไม้ อีกอย่างคือคอนเซ็ปต์ของเราจะเป็น มินิมัล เรียบง่าย เพราะฉะนั้นมันจะเข้าถึงได้ กับทุกกลุ่ม PIE : ถามถึงดีไซน์ของ Mink’s มิ้งค์ : มีบางคนบอกว่าเหมือน Muji แต่ว่าเรา จะต่าง คือ Muji เขาจะมินิมัล เรียบ ของเรา จะผสมความน่ารักเข้าไปด้วย เราจะมีลูกเล่น อย่างเช่น นำ�สัตว์มาเป็นโปรดักต์ของเรา คือ ของเราจะมีดีเทลเล็ก น่ารักๆ เบิร์ต : เป็นเรียบง่ายเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ได้ เท่อย่างเดียว PIE : ขายต่างประเทศด้วย มิ้งค์ : ตอนนี้เอาไปวางที่ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส มาเลเซีย สิงคโปร์ กำ�ลังจะมีไปท่ีฮ่องกงกับจีน เราไปออกงาน BIG+BIH ด้วยค่ะ เขาเห็นแล้ว สนใจ เขาติดต่อมาเอง PIE : แบบนี้ลำ�บากมั้ย ต้องทำ�โปรดักต์มากขึ้น เบิร์ต : สมัยก่อนตอนแรกผมทำ�เอง ตอนหลัง มีคนเริ่มสนใจเยอะก็ต้องมีคนมาช่วย

PIE : สตูดิโออยู่ที่ระยอง ทำ�ไมไม่อยู่กรุงเทพฯ เบิร์ต : เมื่อก่อนผมอยู่กรุงเทพฯ ตอนเริ่มทำ�แรกๆ แต่เราต้องการจะขยับขยาย ทำ�อยู่ที่บ้านก็ไม่กล้า เลื่อยไม่เสียงดัง ก็เลยย้ายไประยอง มิ้งค์ : ที่ระยองคือบ้านพี่เอง ตอนนี้เราทำ�เป็น โรงงานเล็กๆ เราต้องการพื้นที่ในการทำ�หลายๆ อย่าง ต่างจังหวัดมันก็ชิลล์ๆ สบายๆ ด้วย อยู่ กรุงเทพฯจะไปไหนแต่ละทีจะยุ่งยากกว่า ต้อง วางแผน PIE : ถามถึงปัญหาในการทำ�งานหน่อย มีปัญหา อะไรที่เจอบ่อยๆ มั้ย เบิร์ต : เพราะเราทำ�แบบไม่ซีเรียสมาก ถ้าจะมี ปัญหาก็จะแบบ เอ้ย...บางอย่างทำ�ออกมาแล้วมัน คลาดเคลื่อนเล็กน้อย แต่ว่าเราก็แก้ได้ ปรับได้ มิ้งค์ : ถ้าเราอยากได้เราก็จะทำ�เอง อย่างนาฬิกา คือเราก็ไม่มีความรู้เรื่องนาฬิกามาก่อนเหมือนกัน ก็แกะนาฬิกาออกมาดู ทดลอง ศึกษาเองทุกอย่าง ที่ทำ� ประกอบเครื่องเอง มันก็จะเป็นขั้นตอนที่ยาก ในตอนแรกๆ กว่านาฬิกาข้อมืออันนี้จะลงตัว ทำ�ยังไงไม่ให้ไม้มันหักง่าย หรือไม่งอ เบิร์ต : ปกติเวลาผมจะทำ�อะไรก็จะรีเสิร์ชว่าทำ� อย่างนี้เขาใช้เทคนิคอะไรที่จะทำ�ให้มันออกมาดี ของพวกนี้มันไม่มีสอนอยู่แล้ว เราก็ต้องลองทำ� และทดลองใส่ไปสักพักหนึ่ง PIE : โปรดักต์แบบมินิมัล เรียบง่าย คนไทยชอบ กันมั้ย มิ้งค์ : ตอนแรกเราก็คิดว่าของเราคงจะเป็น เฉพาะกลุ่ม เพราะตอนที่เราทำ�แรกๆ ที่เราขาย 074


075


คนที่มากดไลค์ก็จะเป็นพวกที่ชอบงานศิลปะ เด็ก ที่เรียนศิลปะ ดีไซเนอร์ แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะว่าหลังๆ เราขยายฐาน จะมีกลุ่มพวกเด็กๆ หรือรุ่นพ่อเขาก็มาซื้อของเรา เขาก็ส่งแมสเสจมาว่า ชอบ เพราะมันเรียบดี เบิร์ต : จริงๆ ความเรียบง่ายผมว่ามันจะอยู่ที่ไหน ก็ได้ ใครใช้ก็ได้ มันเหมือนเรามีห้องโล่งๆ เราทำ� อะไรที่มันเรียบๆ มันก็เข้าได้

และของประดิษฐ์ง่ายๆ แล้วพอดีบริษัทที่ติดต่อมา เป็นบริษัทที่นำ�เข้า MT Tape จริงๆ เขาก็ซื้อพวก ตัวตัดของเราไปขายที่ร้านเขาอยู่แล้ว และเขาก็เป็น แฟนคลับเราด้วยนะ (หัวเราะ)

PIE : แล้ว Mink’s สนใจทำ�โปรดักต์อย่างอ่ืนบ้างมั้ย อย่างเสื้อผ้า จานชาม เบิร์ต : จริงๆ Mink’s ที่ผมคิดไว้คือ อยากทำ� ทุกอย่างเลย ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบทำ�โน่นทำ�นี่ PIE : เห็นกำ�ลังจะทำ�เวิร์กช็อป อยากทำ�งานเซรามิก อยากทำ�งานแก้ว ก็เล่นๆ มิ้งค์ : กำ�ลังจะมีเดือนหน้า 18 พฤษภาคม เกี่ยวกับ ไปเรื่อยๆ ครับ การประดิษฐ์ของ พวกลิ้นชักกล่อง สอนพวกพับกล่อง มิ้งค์ : อยากทำ�ให้ Mink’s เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ 076


เช่น อยากใส่เสื้อผ้าก็มีของ Mink’s ของแต่งบ้าน นาฬิกาข้อมือก็ของ Mink’s PIE : ถามถึงหนังสือหน่อย Mink’s D.I.Y เริ่มยังไง มิ้งค์ : พี่อุ้มเขาส่งข้อความมาในเฟซบุ๊ก เราไม่ รู้จักกันมาก่อนเลย เขาบอกว่าติดตาม Mink’s อยู่ คนที่ทำ�งานในบริษัทอุ้ม ทุกคนก็ซื้อนาฬิกาของ Mink’s หมดเลย (ยิ้ม) เขาเห็นว่าตอนนั้นเราโพสต์ ของที่เราประดิดประดอยเองเล่นๆ ในหน้าเพจด้วย พี่อุ้มก็เลยถามว่า สนใจมาทำ�หนังสือด้วยกันมั้ย PIE : แล้วคุยคอนเซ็ปต์หนังสือว่ายังไง เบิร์ต : จริงๆ ก่อนหน้านั้นเขามีออกมาเล่มหนึ่ง แล้วครับ เป็นอีกแบรนด์หนึ่ง คือ Things to make and do สอน D.I.Y เหมือนกัน และก็ เหมือนกับเขาต้องการที่จะหาแบรนด์ที่ทำ� D.I.Y เพื่อที่จะทำ�เล่ม 2 เขาก็เลยชวนเรา PIE : พูดถึงร้าน Mink’s ที่กำ�ลังจะเปิดหน่อย วางคอนเซ็ปต์ไว้ยังไงบ้าง มิ้งค์ : จริงๆ ตอนแรกเราเคยคิดไว้ว่าอยากเปิด ที่สยาม แต่ไม่เอา เพราะที่สยามคือพื้นที่มันเล็ก เราอยากได้พื้นที่กว้างๆ เพราะจุดประสงค์ของการ เปิดร้านของเรา เราอยากให้ลูกค้าหรือคนที่ชอบ Mink’s มารวมตัวกันท่ีนี่ แล้วเราก็มีโซนที่ขายเป็น คาเฟ่เล็กๆ ไว้ด้วย ให้เขามานั่งเล่น หรือว่าต่อไป ก็คงจะมีจัดเวิร์กช็อป ให้มี Community กันด้วย เบิร์ต : มีเวิร์กช็อป หรืออาจจะมีจัดอีเว้นต์ดนตรี พี่มิ้งค์ : ใช่ มีเล่นไลฟ์ด้วย เพราะเบิร์ตเขาก็อยู่ ค่ายที่ญี่ปุ่นด้วย เขาทำ�เพลง

PIE : แล้วเรื่องของที่จะเอามาลงในร้านล่ะครับ พี่มิ้งค์ : ของที่เราทำ�เองทุกอย่าง และอาจจะมีของ เพื่อนๆ ฝากขายบ้าง PIE : จะเสร็จประมาณเมื่อไหร่ครับ มิ้งค์ : ตอนนีเ้ หลือตกแต่งภายในไม่เกิน 2 อาทิตย์คะ่ เบิร์ต : จริงๆ อาทิตย์นี้น่าจะเสร็จ แต่ว่าติดช่วง สงกรานต์ น่าจะเสร็จประมาณต้นเดือนพฤษภาคม PIE : พี่เบิร์ตเล่นดนตรีด้วย ในชื่อ Hummingbert Stereo เห็นว่าไปอยู่ค่ายเพลงที่ญี่ปุ่น เบิร์ต : ก็เล่นดนตรีแล้วอัดทำ�เองที่บ้าน แล้วก็โพสต์ ลงใน Myspace ก็มีทางญี่ปุ่นเขาสนใจ เขาก็เมลมา ชวนว่ามาทำ�ด้วยกันมั้ย ออกกับค่าย Schole แต่ว่า ยังไม่มีอัลบั้มเต็ม จะออกเป็นอัลบั้ม Compilation PIE : ก็อาจจะมีอัลบั้มเต็มด้วย เบิร์ต : จริงๆ เขาทวงมาเกือบทุกเดือน จะปีหนึ่ง แล้ว แต่ยังไม่มีเวลา PIE : เป็นเพลงสไตล์ เบิร์ต : เป็นเพลงบรรเลง ส่วนมากก็เป็นอะคูสติก และ Ambient สไตล์ใกล้เคียงกับโปรดักต์ของเรา มีให้ฟังใน Sound Cloud เข้าไปแล้วก็เสิร์ชคำ�ว่า Hummingbert เพลงตอนนี้ก็เยอะแล้ว ส่วนมาก เป็นเพลงบรรเลง มีร้อง cover บ้าง แต่งเองบ้าง มิ้งค์ : มีเพลงแต่งเอง ของแบรนด์เราที่มีเพลงชื่อว่า Mink’s ด้วย เบิร์ต : เหมือนกับว่าเราทำ� Ad อะไรก็จะใส่เพลง ที่เราแต่งเองลงไปด้วย 077


078


PIE : หยิบจับอะไรก็จะออกมาในแนวนี้ ละมุนละไม เบิร์ต : จริงๆ ของเยอะมากครับ แต่พวกของ เบิร์ต : ถ้ามานั่งที่ร้าน Mink’s ก็จะรู้เลยว่ามันเป็น Stationary เพิ่งออกมาได้ไม่นาน เพิ่งทำ�มาได้ ยังไง ในร้านจะมีซีดีเพลงญี่ปุ่นขายด้วย เลือกกัน ประมาณปีหนึ่ง มาเอง เลือกจากที่เราชอบ ที่เราฟัง PIE : ถามถึงนาฬิกา อันนี้ไม้อะไรครับ PIE : มีแผนทำ� Photobook ด้วย มิ้งค์ : อันนี้ไม้ Zebrano ด้วยลายของมันที่เหมือน มิ้งค์ : มีล่าสุดที่เราวางแผนไว้ว่าจะทำ� ตอนที่เรา ม้าลาย ไปเที่ยวญี่ปุ่น เราก็ชอบถ่ายรูป เลยคิดว่าอยากทำ� Photobook ได้ไปถ่ายรูปหน้าร้านต่างๆ เพราะเรา PIE : แต่ละอันก็จะมีลายต่างกันออกไป เบิร์ต : ใช่ๆ ลายจะไม่เหมือนกัน ชอบพวกจัดร้านสวยๆ ที่โน่น ร้านน่ารักเยอะ มิ้งค์ : ตอนนี้เราก็พยายามหาไม้แปลกๆ มา อยาก ให้คนไทยรู้จักไม้อะไรอย่างนี้ด้วยค่ะ ส่วนใหญ่จะรู้จัก PIE : งานของ Mink’s ก็มีอารมณ์ญี่ปุ่นอยู่ ไม้สน ไม้สัก ไม้แดง อะไรประมาณนั้น พอสมควรเลย มิ้งค์ : ใช่ๆ งานของเราคนญี่ปุ่นเขาก็ชอบ ตอนนี้ เบิร์ต : อันนี้เป็นไม้แอช (นาฬิกาข้อมือสีขาวรุ่น ขายที่ญี่ปุ่นก็ค่อนข้างจะดี ส่วนที่ชอบญี่ปุ่นเพราะว่า BLACK & WHITE silicone strap) แล้วเราก็เอามา หนึ่งมันมินิมัล สไตล์เรียบๆ ง่ายๆ เราชอบสไตล์ไม้ ย้อมให้ไม้มันขาวขึ้น เรารู้สึกว่ามันมีเอกลักษณ์ เบิร์ต : เพราะว่าญี่ปุ่นเขาชอบธรรมชาติ โปรดักต์ PIE : แล้วอันนี้ล่ะที่เป็นรถบรรทุก (MT Truck) เป็นไม้ เราก็ชอบไม้เหมือนกัน เรียบๆ ง่ายๆ เบิร์ต : จริงๆ อันนี้ผมมีคอนเซ็ปต์มาจากการที่เรา จะมีที่เสียบดินสอเป็นรูปบ้าน (Pencil Village) ก็มา PIE : ถามถึงเรื่องวงการโปรดักต์บ้านเราบ้าง คิดว่า คิดต่อว่ามีบ้านแล้วก็จะมีเมือง มีรถ เหมือนให้โต๊ะ มีข้อดีข้อไม่ดียังไงบ้าง ทำ�งานธรรมดา กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เพราะอย่าง เบิร์ต : ถ้าพูดถึงเดี๋ยวนี้ ผมว่ามีดีไซเนอร์ที่เก่งๆ ทุกวันนี้ก็มีคนที่ชอบแบรนด์เรา ก็จะรอแล้วก็ซื้อไป มีโปรดักต์ที่ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ จากเมื่อก่อน เขาจะถ่ายรูปโต๊ะทำ�งานมาให้ดูว่ามี Mink’s อยู่ ที่มีแต่เอาของมาขาย เดี๋ยวนี้เริ่มมีคนที่ทำ�งานเอง เป็นหมู่บ้าน มีรถ มีตัวสัตว์วาง รูปทรงที่เราใช้จะ เป็นแบบงาน Craft ในเฟซบุ๊ก ก็น่าจะดี คึกคักขึ้น ง่ายๆ เข้าถึงได้กับทุกคน ไม่ใช่รูปทรงแบบแปลกๆ มีแบรนด์เล็กๆ ดีๆ เยอะ ไม่แน่อีกหน่อยอาจจะ คือรูปทรงธรรมดา แต่เราจะสามารถเอามาทำ�ให้ คล้ายๆ แบบญี่ปุ่นก็ได้ มันน่ารักได้ ส่วนตัวผมชอบงานโปรดักต์ที่แบบ เฮ้ย! คิดได้ยังไง คือมันแค่นี้เอง ใกล้ๆ ตัวเรา PIE : ถามโปรดักต์ทีละชิ้นดีกว่า อะไรที่ดูง่ายๆ แต่คนทั่วไปคิดไม่ถึง 079


PIE : มีงานที่มีสีสดใสบ้างมั้ย มิ้งค์ : มีค่ะ ก็เป็นนาฬิการุ่นนี้แหละ แต่ว่าเป็น สีแพนโทน เราไล่สีตามรหัสแพนโทนเลย เบิร์ต : สีของสายนาฬิกาก็หายากอยู่ ต้องค่อยๆ หาครับ บางทีสีนี้ไม่มีเราก็ค่อยๆ หาเพิ่มไปเรื่อยๆ เท่าที่หาได้ ก่อนหน้านี้ก็มีอีกรุ่นชื่อ SWEETs อันนั้น หน้าปัดข้างในก็จะเป็นไม้ย้อมสีเดียวกับสาย ก็ขายดี เหมือนกัน

เห็นว่าคนนี้เขาทำ� แล้วเราก็อยากดูเท่บ้าง แต่พอทำ� ออกมาแล้วมันไม่ใช่ ทำ�เพราะเท่กับทำ�เพราะชอบ คุณค่าของของมันต่างกัน คือที่ทำ�งานไม้เพราะว่า process ทุกอย่างและที่มันทำ�ออกมาแล้วประสบ ความสำ�เร็จ เพราะว่าเรารักมันจริงๆ หาสิ่งที่ตัวเอง ชอบให้เจอก่อน

PIE : เวลาเลือกซื้องานโปรดักต์ เลือกจากอะไรกันบ้าง เบิร์ต : ราคามาก่อน คือสวยแค่ไหนแต่ราคามันไม่ได้ PIE : คบกันมากี่ปีแล้ว ก็ไม่เอา ดูจากราคา กับดูว่ามันตรงกับที่เราอยากได้ มิ้งค์ : 3 ปีค่ะ พอๆ กับเริ่ม Mink’s อยากใช้ มิ้งค์ : เพราะว่าเราทำ�ของเอง เราจะรู้ว่าราคาแบบนี้ PIE : เปลี่ยนชื่อแบรนด์ไม่ได้แล้ว มันเกินไป ล่าสุดจะไปหาซื้อของมาแต่งร้าน สุดท้าย มิ้งค์ : ไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) เดินไปเดินมาก็รู้สึกว่า ทำ�เองก็ได้นะ (หัวเราะ) เบิร์ต : จริงๆ แบรนด์ชื่อ Mink’s ก็มีความหมาย เบิร์ต : ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปซื้อ แต่พอไปแล้ว โคมไฟ ของมันอยู่นะครับ ไม่สวย เก้าอี้พนักพิงไม่สวยแต่ว่าขาสวย สุดท้ายก็ไม่ได้ มิ้งค์ : จริงๆ มันเป็น Mink แล้วก็ ’s ซึ่งแปลว่า อะไรกลับมา ของของมิ้งค์ PIE : พูดถึงการทำ�งาน D.I.Y หน่อย PIE : นี่ไม่มีของของพี่เบิร์ตเลยเหรอครับ มิ้งค์ : มันมีเสน่ห์นะ คือการที่เราได้ทำ�ของอะไร มิ้งค์ : ไม่มี (หัวเราะ) สักชิ้นด้วยตัวเอง ตั้งแต่กระบวการแรกที่เราคิด จนถึง เบิร์ต : ไม่มีของของพี่ เพราะว่าเราใจตรงกันอยู่ ลงมือทำ� แล้วที่สำ�คัญคือ ตอนทำ�เสร็จเราจะรู้สึกภูมิใจ แล้วครับ กับมัน เบิร์ต : คือโปรดักต์ที่เราทำ�เองกับที่ออกมาจาก PIE : พูดถึงน้องๆ ที่อยากจะทำ�โปรดักต์ของ โรงงาน ต่อให้รูปร่างเหมือนกัน แต่ว่าคุณค่ามันก็ ตัวเอง ควรจะทำ�ยังไง ต่างกัน คือด้วยความที่เรารู้ว่ามันเป็นงานแฮนด์เมด มิ้งค์ : หนึ่งเลยคือต้องเริ่มจากสิ่งที่เราชอบก่อน กว่ามันจะได้ออกมาแต่ละอัน ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เบิร์ต : ถ้าเราชอบอะไร เราก็มักจะทำ�สิ่งนี้ได้ดี ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถ้าถามผม ผมว่าอย่าไปทำ�เพราะว่าเห็นเป็นกระแส มิ้งค์ : นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราอยากทำ�หนังสือ 080


สอน D.I.Y เพราะเราอยากให้คนรุ่นใหม่หันมาทำ� อะไรด้วยตัวเอง เบิร์ต : ซึ่งบางทีเขาอาจจะเห็นอันนี้ฮิต ก็เลยไปซื้อ บางอย่างมันไม่ต้องซื้อก็ได้ ทำ�เองแล้วเอาไปให้คน ที่เรารัก เหมือนที่ผมให้ อยากให้เขาได้​้ความรู้สึกนั้น หนังสือ D.I.Y ที่ออกไปบางอย่างก็เป็นโปรดักต์ที่เรา ทำ�ขาย มิ้งค์ : เราก็ไม่หวง เบิร์ต : ใช่ หลายคนถามว่าพี่ไม่หวงเหรอ มิ้งค์ : คือเราอยากให้ทุกคนลองทำ�เอง ให้ได้รู้ถึง ความสุขตรงนี้ด้วยกัน

เบิร์ต : ใช่ เขาก็บอกว่าถ้าทำ�ของออกมาชิ้นหนึ่ง มันควรจะใส่ใจ ญี่ปุ่นค่าเงินเขาสูงกว่าเรา เขาจะ ซื้ออะไรก็อยากได้ของที่มีคุณภาพ PIE : แล้วทางประเทศอื่นฟีดแบ็กเป็นยังไง ดีมั้ย มิ้งค์ : สิงคโปร์ก็ชอบของเรามาก แล้วที่มาเลเซียก็ ขายดี ฮ่องกง ล่าสุดที่เซี่ยงไฮ้เขาจะจัด Exhibition ให้เรา เหมือนเป็นงานรวมแบรนด์ดีไซนต่างๆ จะมีโซน ให้เราด้วย ก็คล้ายๆ งาน BIG & BIH ของบ้านเรา เพราะเขาบอกว่าพวกดารานักร้องของฮ่องกงเขาก็ใส่ นาฬิกาของเรา

PIE : ตั้งแต่เริ่ม 2 ปี เป็นที่รู้จักเร็วเหมือนกัน PIE : จะมีของใหญ่ๆ มั้ย เช่น เก้าอี้ คิดว่าเพราะอะไร เบิร์ต : จริงๆ ตอนนี้ของก็น่าจะเป็นพวกโต๊ะทำ�งาน เบิร์ต : ด้วยโปรดักต์ แล้วก็เรื่องราคาที่ไม่สูงมาก ชั้นวางของ ราวแขวนเสื้อ แต่พวกนี้ก็อาจจะต้องรอ มิ้งค์ : ราคาไม่น่าจะใช่นะ เพราะไปขายต่างประเทศ ให้ร้านเสร็จก่อน เพราะว่าคนก็คงอยากดูของจริง เราก็จะปรับราคาให้มันสูงขึ้น ด้วยดีไซน์นะ จริงๆ แล้ว มากกว่า งานมินิมัลมันไม่ค่อยมี ซึ่งอย่างเมื่อก่อนจะมีพวกวินเทจ ก็จะทำ�อะไรที่เกี่ยวกับวินเทจ แต่ถ้าอะไรที่มันเรียบง่าย PIE : ผลิตได้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ ใครๆ ก็ชอบ ที่บอกว่ามีลูกค้ารุ่นคุณพ่อ เขาซื้อนาฬิกา มิ้งค์ : ก็พอผลิตได้ค่ะ เพราะตอนแรกเขาจะไป แล้วถ่ายรูปส่งมาให้ดูอะไรแบบนี้ แล้วก็เด็กๆ ที่มาซื้อ ทำ�ที่จีน แล้วเขาก็คิดถึงเรื่องคุณภาพ ญี่ปุ่นข้อดีคือ ก็บอกว่ามันเรียบดี ความเนี้ยบแล้วก็ไม่เคยเกี่ยงเรื่องราคา เราอาจจะทำ� ได้ไม่เยอะหรือเร็วไม่เท่าจีน ถูกไม่เท่าจีน แต่ว่าเขา PIE : เรื่องแผนในอนาคตหน่อยครับ เน้นเรื่อง Quality มิ้งค์ : มี Photobook ตอนไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ร้านที่กำ�ลัง จะเปิด แล้วก็ขยายแตกไลน์ไป เช่น ทำ�เสื้อผ้า เซรามิก PIE : เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำ�ให้งานดีไซน์บ้านเขา เบิร์ต : พยายามให้ Mink’s เป็นไลฟ์สไตล์ เหมือนกับ มันแข็งแรง มีบ้านหลังหนึ่ง ของทุกอย่างในบ้าน ถ้าเป็น Mink’s มิ้งค์ : อาจจะเป็นเพราะว่าที่ญี่ปุ่นของแพงก็ได้ ได้เราว่าก็คงดี แต่คุณภาพดี 081


082


www.facebook.com/minkislove soundcloud.com/hummingbert 083


084


LOOK AT THE SKY

085


086


ใครไม่เคยเอากล้องหรือมือถือถ่ายรูปท้องฟ้าบ้าง... ผมคิดว่าหลายๆ คนคงเคยทำ� รวมทั้งตัวผมเอง ด้วย แต่ถ้ามานั่งถามสาเหตุแรงบันดาลใจคงตอบ ยากครับ ฟ้าเป็นสิ่งที่อยู่กับมนุษย์ทุกคนมาช้านาน ศิลปินบางคนวาดรูปท้องฟ้า นักดนตรีบางคน เขียนเพลงให้ฟ้า หลายๆ คนฝากสายตาพักไว้ที่ฟ้า นานสองนาน พวกเราเงยหน้ามองฟ้ากันมากมาย หลายครั้งจนไม่อาจนับไหว แต่ไม่เคยเบื่อ เพลง บางเพลงฟังได้บางเวลา หนังบางเรื่องดูได้บาง อารมณ์ แต่ฟ้ามีหลายหน้า ฟ้ามีชีวิต จึงบิดเบือน เปลี่ยนแปลงได้หลายกระบวนท่า ไม่ว่าเวลาเหงา เวลาเบื่อ เวลาท้อ เวลายิ้ม เวลาสดใส ยามใดมอง ไปได้อะไรบางสิ่ง สิ่งนั้นอธิบายไม่ออก บอกเป็น คำ�พูดลำ�บาก แต่รู้ว่าฟ้าให้เรา ให้เรามาเสมอ และ ตลอดไป...ลองเงยหน้าขึ้นดูสิ วันนี้ฟ้าสวย

087


CLOUD INSPIRATION

088


089


SKY ON FILMS

ANOTHER EARTH หนังดีจากเทศกาล Sundance จะเป็นยังไง ถ้าบนท้องฟ้ายังมีโลกอีกใบที่เหมือนกับโลกที่เราอยู่ทุกอย่าง รวมทั้ง มีตัวเราอีกคนอยู่ที่นั่นด้วย Rhoda Williams นางเอกของเรื่องเธอ ต้องการจะพบและพูดคุยกับตัวเองสักครั้งในชีวิต เผื่อจะทำ�ให้ปมในใจ ของเธอได้รับการคลี่คลาย SKYLINE ลำ�แสงสีฟ้าจากท้องฟ้า พุ่งตรงมายังพื้นโลก มาพร้อมกับสิ่งที่ไม่ พึงประสงค์ หากเผลอ จ้องมองที่ลำ�แสงแล้ว ละก็ทุกสิ่งก็จะปลี่ยนไป แล้วเรื่องราวที่ไม่คาดฝัน ก็ตามมา


TAKE SHELTER นาย Curtis ชอบจ้องมองไปบน ท้องฟ้า และเห็นสัญญาณเตือน อะไรบางอย่างที่ไม่สู้ดีนักกำ�ลัง จะเกิดขึ้น เขาบอกกับใครก็ไม่มี ใครเชื่อ ทุกคนต่างมองเหมือน เขาคิดเพ้อไปเองคนเดียว เป็น หนังรางวัล Critic’s Week และ Fipresci Awards จาก เทศกาลหนังเมืองคานส์ ปี 2011

ALWAYS SUNSET ON THIRD STREET ภาพครอบครัวของคูณซูซูกิ ยืนข้างรถหัวกบ มองท้องฟ้า ยามเย็นที่มีพระอาทิตย์กำ�ลัง จะตกดินส่องแสงเป็นประกาย สีทองที่มีโตเกียวทาวเวอร์ที่ เพิ่งสร้างเสร็จอยู่ไกลๆ ในฉาก สุดท้ายของเรื่องไห้อารมณ์ ความรู้สึกที่อบอุ่นและงดงาม

ฟ้าทะลายโจร ฉากดวลปืนสุดเท่ระหว่าง เสือดำ�กับเสือมเหศวร กลาง ทุ่งสีทอง และท้องฟ้ายาม เย็นที่มีดวงอาทิตย์ดวงโต ที่มาจากการวาดขึ้นมาเป็น ฉากหลังสุดงดงาม


VANILA SKY ท้องฟ้าสีวานิลลาอัน สวยงามนวลตา ที่อยู่ ตรงหน้าของเดวิดในฉาก สุดท้าย มันคือความจริง หรือว่าเป็นเพียงแค่ใน ความฝัน

MELANCHOLIA บนท้องฟ้า ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ ที่กำ�ลังเข้าใกล้โลกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ ทุกคนในเรื่องต่างก็หวังว่ามันจะผ่านไป แต่จัสติน (เคิร์สเตน ดันสต์ คว้ารางวัล ดารานำ�หญิงที่คานส์ปี 2011) ซึ่งกำ�ลัง จะเข้าพิธีแต่งงาน เธอกลับไม่คิดอย่างนั้น ทุกครั้งที่เธอมองฟ้า เธอรู้สึกได้ว่ามันเป็น ท้องฟ้าที่หม่นเศร้า เวลามันช่างเหลือน้อย ลงทุกที และเธอก็คิดถูกเสียด้วย

UPSIDE DOWN หนังโรแมนติกแฟนตาซีที่ โลกถูกแบ่งเป็นสอง มีเพียง ท้องฟ้าเชื่อมระหว่างสอง โลก แต่ก็กั้นกลางระหว่าง “อดัม” หนุ่มซึ่งอยู่ในโลก เบื้องล่าง กับ “อีเดน” สาว ที่อยู่บนโลกเบื้องบน ถึงจะมี กฎข้อห้ามระหว่างสองโลก มากมายแค่ไหน อดัมก็ทำ�ให้ รู้ว่าฟ้าไม่อาจกั้นความรัก ของเขาได้ 092


E.T. : ภาพแรกๆ ที่นึกออกของหนังเรื่องนี้คงไม่พ้นภาพเด็กน้อยขี่จักรยาน โดยมีเจ้า E.T. อยู่ตรงตะกร้าหน้า ลอยผ่านดวงจันทร์ มันคลาสสิกจริงๆ

093


ฟ้ายังฟ้าอยู่ - SMILE BUFFALO ฟ้ายังฟ้าอยู่ ฟ้ายังดูสดใส ฟ้ายังฟ้าอยู่ ฟ้าไม่เลือนจากไป ฟ้ายังฟ้าอยู่ มั่นใจ พรุ่งนี้ต้องมีสิ่งที่ดีกว่า เดินฝ่าเมฆฝน ยืนดูอยู่บนยอดเขา ฟ้าคอยอยู่

เพลงเต็มฟ้า

SONG IN THE SKY

ดูดาว - วงตาวัน ฟ้า ฟ้าบนฟ้าคงมีแต่ดาวให้เรานั่งมอง ฟ้า ฟ้าดูหมอง มีเมฆกลมๆ ลอยอยู่เป็นร้อย เหมือน เหมือนคนเหงาที่คอยแต่ดาว เฝ้าแต่นั่งมอง มองจนลับลอยไปกับตา เหมือนดังกับเธอ เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม - ทีโบน เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ฮึม...

สายล่อฟ้า - อัสนี วสันต์ ไม่เคยกลัวฝนและไม่กลัวฟ้า ยืนบนที่สูงสูงเท่ากับฟ้า แปลบปลาบลำ�แสง ทแยงเป็นทาง ยืนตรงเข้าขวาง ขวางทางผู้เดียว

ฟ้า - SCRUBB ฟ้า... ก็ยังคงเป็นฟ้า อาจมีลมมีฝนและเปลี่ยนสีไป หมอกที่มาบางครั้งอาจมีมากไป แค่เพียงเธอให้เวลาผ่าน ฟ้าจะเป็นเหมือนเดิม

ฟ้าจ๋าฟ้า - NEW SCHOOL ฟ้าฟ้าเอ๋ยฟ้าสีคราม ใครไม่ไยเจ้าเลยไม่ว่าเจ้าจะร้องครวญคราง ยามเมื่อตอนที่พระอาทิตย์ส่องแสง ที่พระอาทิตย์ส่องแสง

ใครบางคนจากบนฟ้า - FLURE ใครบางคนจากบนฟ้า ขีดโชคชะตาให้เราได้พบกัน ให้เธอมายืนอยู่ตรงนี้ และฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้ สุขด้วยกันทุกวัน

094


ภายใต้ท้องฟ้าสีดำ� - GREASY CAFE จงปิดตาลง และหยุดภาพนี้ ที่มีเราอยู่ ลองปิดตาดู และปล่อยให้ความรู้สึก พาเราหนีไป ภายใต้ท้องฟ้าสีดำ�

ฤดูร้อน - PARADOX ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเคย ฤดูร้อนไม่มีเธอ เหมือนก่อน เหมือนเก่าขาดเธอ

คู่กัน - TRIUMPHS KINGDOM ใครว่าฝนต้องคู่กับฟ้า ฉันว่าไม่หรอกนะ ทีดาวน้อยยังลอยเต็มฟ้า ดาวซิคู่กับฟ้า ไม่จริงมั้ง ต้องเป็นเมฆขาว ลอยเป็นทางทอดยาวกว่าที่ปลายฟ้า

เสียดาย - เบิร์ด ธงไชย ท้องฟ้ามันครึ้ม มันครึ้มออกอย่างนี้ มันเหงาทุกที ที่ได้มอง ใจมันหาย เสียงฟ้ามันร้อง หยาดฝนหล่นเป็นสาย ยิ่งหวั่นไหว ยิ่งทำ�ให้สับสน

ฟ้า - TATTOO COULOR ฟ้า ถ้าไม่ส่งมา ให้เธอมีใจ บอกกันซักคำ�เป็นไร ว่าเหตุใด ต้องมาทำ�ร้ายกัน

ปลายสายรุ้ง - PARADOX หา หาเธออยู่ไหน แหงนมองดูท้องฟ้ากว้าง วันที่ฟ้าสีคราม เปลี่ยนเป็นฤดูกาล อบอุ่น รอให้เธอบินกลับมา

ขอบฟ้า - BODYSLAM ได้แต่เหลียวมองไปสุดฟ้าไกล มันช่างน่าเสียดายที่เราไปไม่ถึงขอบฟ้า

ฟ้าส่งเธอมา - PALMY ฟ้าคงส่งให้ฉันมาเกิด ให้พบเธอ ฮา.... ฟ้ากำ�หนดเส้นทางเส้นหนึ่งให้เราได้เจอ ให้เรารักกัน ร่มสีเทา - วัชราวลี บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้ เดี๋ยวก็มืดแล้วก็สว่าง อาจจะมีฝนก่อเป็นพายุ หรือลมลอยปลิวอยู่แค่นั้น สุขที่เคยเดินทางตามหามานาน ไม่ได้ไกลที่ไหน (อยู่แค่นี้เอง) อำ�พลาง (ฟ้ามืด) - PRY ฟ้ามืดจึงเห็นดวงสวย มีความเศร้าช่วยให้เข้าใจ ชีวิตจึงต้องอดทนไว้ เพื่อให้ฝันไม่ตาย

095


1

2

3

5

4

6

7

8

9

WE CAN FLY. 1. ปาร์แมน 2. เพาเวอร์ พัฟฟ์ เกิร์ลส์ 3. โดราเอมอน

4. เจ้าหนูอะตอม 5. มาริโอ้ 6. แฮร์รี่ พอตเตอร์ 096

7. คาร์ล เฟรดริกเซน 8. หนุมาน 9. กันดั้ม


10

11

12

13

14 15

20 16

18

19

17

10. ซุน โกคู 11. Nyan Cat 12. นีโอ เดอะแมทริก 13. Iron Man

14. ปีเตอร์แพน 15. ดัมโบ้ 16. ซูเปอร์แมน 17. ไมเคิล จอร์แดน 097

21

18. บูริน 19. นินจา ฮาโตริ 20. กัตจัง 21. Ultra Man


SKY AND ...?

ดาว บี้ นักเรียน

ทะเล วาว นักเรียน

ก้อนเมฆ จุนยี นักเรียน

ก่อนเมฆ เกมส์ นักเรียน

เครื่องบิน โอ๊ค พนักงานบริษัท

นก เดี่ยว พนักงานบริษัท

ก้อนเมฆ ติ้ว นักเรียน

ฝน ต้าร์ นักเรียน

ดาว โบ้ นักศึกษา

สายลม แนนซี่ พนักงานบริษัท

ทะเล กวาง นักศึกษา

ทะเล เจี๊ยบ พนักงานบริษัท

เครื่องบิน เอื้อม พนักงานธนาคาร

ทะเล ปุ๊ก พนักงานธนาคาร

ความร้อน ต้า พนักงานบริษัท

098


ท้องฟ้าคู่กับอะไร

ก้อนเมฆ ปู แม่บ้าน

ทะเล ต๋อง พนักงานบริษัท

ทะเล พีท พนักงานบริษัท

ดาว สจ๊วต พนักงานบริษัท

เมฆ ตู่ พนักงานบริษัท

นก ซิกซ์ วิศวกร

ดิน ชัย รปภ.

ทะเล กุ๊กกิ๊ก พนักงานบริษัท

ดาว อาย นักศึกษา

เมฆ แบงค์ พนักงานบริษัท

สายลม เดียว ผู้ช่วยกุ๊ก

แสงแดด ตี๋ ธุรกิจส่วนตัว

ภูเขา พี นักเรียน

ก้อนเมฆ มัดหมี่ นักเรียน

นก อ้อม พนักงานพาร์ตไทม์

099


0100 100


คุณชอบฉันแบบไหน แบบเศร้าๆ แบบสดใส แบบคลุมเครือ แบบแจ่มแจ้ง แบบสบายๆ แบบโกรธเกรี้ยว แบบเงียบๆ แบบที่โรแมนติก แบบลึกลับ .... หรือเพราะฉันอยู่เคียงข้างคุณเสมอ จากฟ้า

0101 101


PIE INSPIRATION

102


REAL SONG FROM REAL SOUL LEK GREASY CAFE

103


104


LOOK

เราว่าการถ่ายภาพมันก็คือหนึ่งในวิธีการ ถ่ายทอด การที่เราเริ่มถ่ายภาพแนวสารคดี มันให้ความจริงกับเรามากเลย เพราะว่าเรา ไม่สามารถไปให้เขาทำ�แล้วทำ�อีกได้ มันคือสิ่ง ที่กำ�ลังเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องตื่นเต้นมาก และ มันทำ�ให้เราเรียนรู้ เราจะต้องสังเกตตลอด และเวลาถ่ายรูปจะชอบให้คนรู้สึกว่ามองไม่ เห็นเรา จะไม่ให้เขาหันมามองกล้อง มาเล่น กับกล้อง เหมือนกับอยู่เงียบๆ ตรงนั้น แล้ว ค่อยๆ บันทึกภาพไป เหมือนเราไม่มีตัวตน

เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตเราไม่ค่อยกล้ามองคนที่มาดู เท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะไม่เอ็นจอยนะ เราเอ็นจอย มาก และเราก็อนิ กับเพลงด้วยส่วนหนึง่ แต่การ ทีจ่ ะมาจ้องหน้าทุกคนนีเ่ ราเขินตายเลย ตอนนี้ ก็เริม่ ชินบ้างแล้ว แต่เมือ่ ก่อนจะทำ�อะไรไม่ถกู

เราชอบถ่ายคนมากๆ เพราะคนแต่ละคนมี ความน่าสนใจแตกต่างกัน เราว่าใบหน้าคน… สมมุติว่าเราไปถ่ายคนทิเบต หรือว่าถ่ายคน ศรีลังกา ใบหน้าของเขาจะมีคาแร็กเตอร์อะไร บางอย่างอยู่ ยิ่งถ้าเป็นคนธรรมดาเขาจะโพส ไม่ค่อยเป็น และเขาก็จะมีความสดมากๆ ใน ดวงตาหรือในใบหน้าของเขา เราว่ามันสำ�คัญ มาก ต่อให้ไปถ่าย Landscape ที่มันสวยมาก แต่เราจะแฮปปี้มากกว่าถ้ามีคนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ ทำ�ไม เราจะไม่ชอบถ่ายแลนด์สเคปเปล่าๆ สักเท่าไหร่

เราว่าการสังเกตสิ่งรอบตัววันหนึ่งมันได้เอา กลับมาใช้นะ เราเชื่อว่าเป็นแบบนั้น เพียงแต่ว่า เราสังเกตมัน หรือว่าเราอยู่กับมันนานแค่ไหน มันไม่ใช่การแบบ …จะพูดเรื่องสวนรถไฟแต่ มา 5 นาทีแล้วก็ไปน่ะ เอ้ย เราได้เห็นแล้ว… มันไม่ใช่ มันน่าจะอยู่ตรงนั้นหลายๆ ชั่วโมง หรือเปล่า หรือมาบ่อยๆ จะได้ค่อยๆ สัมผัส สิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่อย่าไปรีบมาก อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ แม้แต่เราคิดว่าวินาทีนี้ มันเป็นแบบนี้แน่ๆ แต่จริงๆ สิ่งที่เราเห็น กับสิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจจะไม่ได้คล้องจองกัน สักเท่าไหร่ก็ได้ มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เรา เห็นจริงๆ หรือเปล่า อาจจะ เฮ้ยจริงๆ ไม่ได้ เป็นแบบนั้น อย่าเพิ่งด่วนสรุปตัดสินอะไร หรือตัดสินใคร

105


LISTEN

ถึงจะไม่ได้เปิดเพลงมันก็มีเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา เยอะอยู่แล้ว เรารู้สึกว่า เออ บางอารมณ์เราก็อยาก ฟังเพลงแหละแต่ไม่ใช่ตลอด เราไม่ค่อยหาเพลงใหม่ๆ หรืออะไรใหม่ๆ มาฟัง เราไม่รู้เรื่องเว็บไซต์ว่าเข้าเว็บนี้ แล้วมันจะมีเเพลงอัพเดตนะ สมมติเราไปเล่นคอนเสิร์ต กลับมา หรือว่ามีช่วงเลนคอนเสิร์ตติดๆๆ กัน พอช่วง ว่างเราจะไม่อยากฟังเพลงเลย อาจจะฟังที่อัดมาจาก คอนเสิร์ต เช็กว่าเสียงมันโอเคมั้ย แค่นั้นเองครับ แต่ว่า ปกติแล้วจะไม่ค่อยอยากฟัง เรามีความสุขมากตอนไป ทิเบต แล้วฟังเสียงที่มันเกิดขึ้นตรงนั้นจริงๆ เสียงลม เสียงน้ำ� เสียงอะไรเรื่อยเปื่อยเลย มันคือความเงียบที่ มันดังมาก แล้วมันเป็นเสียงที่ไม่ได้ปรุงแต่ง เป็นภูเขา สุดลูกหูลูกตา แล้วจะมีแค่เสียงลม

ก็พยายามเรียกมัน ก็มีเจ้าของเดินออกมาสองคน เขาก็ยืนมองหน้าเรา เราก็ถามว่า พี่ครับ หมามัน เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เห็นมันเห่า เขาก็มองหน้า เราฉุนๆ แล้วก็เดินไป เรารู้สึกว่า เลี้ยงแล้ว ตัดสินใจ ว่าจะเลี้ยงหมาก็ดูแลหน่อย มันเป็นมลพิษทางเสียง เหมือนกันนะ แต่เราไม่ได้รังเกียจหมาเลยนะ เราแค่ ไม่ค่อยแฮปปี้กับเจ้าของที่เขาไม่ค่อยดูแล

ในกรุงเทพฯก็เป็นการยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างมีหนึ่งในเสียงที่เราไม่ชอบจริงๆ เลย บ้านเรามัน ไม่ได้มีห้องอัดเสียง เพราะฉะนั้นเราจะเลือกเวลาช่วง ค่ำ�ๆ ซึ่งเราก็ไม่ได้อัดแบบตีกลองเสียงดังโครมคราม อะไรนะ เราแค่อัดกีตาร์ เสียงที่เกิดขึ้นประจำ�คือเสียง รถผ่านบ้าง เสียงมอเตอร์ไซค์ผ่านบ้าง อันนี้เราไม่ได้ เป็นเจ้าของซอยก็เข้าใจนะ ว่าเขาไม่ได้ แต่มันอาจจะ เป็นแค่ รู้สึกว่า โธ่เอ๊ย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ขับมาทำ�ไม ตอนนี้ และอีกเสียงหนึ่งที่เราไม่ค่อยชอบเลย คือเสียง หมาที่มันเห่าไปเรื่อย คือเรารู้สึกว่าเจ้าของทำ�อะไรอยู่ จริงๆ แล้วปล่อยให้หมาเห่าขนาดนั้นได้ยังไง เห่าตลอด เวลา เราก็คิดว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่า ก็เลยเดินไปแล้ว

ตอนแต่งเพลงอาจจะเป็นแค่เมโลดี้นิดๆ หน่อยๆ เราจะไม่ค่อยเขียนเนื้อเพลงขึ้นมาก่อน จะอยู่ที่ เมโลดี้เลยว่า เมโลดี้มันเหวี่ยงไปขนาดไหน แล้วเรา มีเรื่องอะไรที่ตรงกับเมโลดี้นี้ไหม แต่ก็ไม่แน่เสมอไป อย่างเพลง “ความบังเอิญ” อย่างเนี้ย มันบังเอิญ เกิดขึ้นจริงๆ แล้วเราทำ�เพลงแบบนั้นไม่ได้แล้ว มัน บังเอิญมาแล้วพรวดพราดไปเลย เข้ามาดูนิดหน่อย แก้คำ�โน้นคำ�นี้นิดหน่อย หรือเพลงอย่าง “31 ธันวา” นี่ภาพมันก็ออกมาเลย แต่หลายๆ เพลงมันเหมือน กับเขียนไปแล้วแต่มันติดแค่ท่อนฮุกหรือท่อนอะไร สักท่อน มันก็เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเหมือนกันนะ บางที

106

ชอบ Damien Rice เรารู้สึกว่าเขาจริง และเรา รู้สึกว่าเขาแทบจะเป็นแค่คนหนึ่งคนกับกีตาร์หนึ่งตัว ก็พอแล้ว แล้วมันเป็นเรื่องของพลังข้างในกับสิ่งที่เขา เล่าแล้วล่ะ ว่าเขาทำ�ออกมาแล้วเราสัมผัสได้ วิธีร้อง หรืออะไรก็ตาม เราว่าเขาเก่งมากนะ เขาจริงใจดี


107


108


เราจะชอบนึกถึงภาพมาก่อน ไม่ได้มาก่อน มาพร้อมๆ กัน เราจะชอบนึกว่า มันเป็นภาพมากกว่า สมมติเหตุกาณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น เราจะพยายามนึกภาพของ ห้องๆ นั้น หรือสถานที่นั้นๆ ว่ามีรายละเอียดอะไร เหมือนเพลง “ละอองแสง” มันเป็นการโอบกอดครั้งสุดท้าย เวลาทำ�งาน อย่างเป็นน้องที่ช่วยเล่น เราก็แค่ส่งเพลงให้ฟัง แล้วก็ลองแกะๆ กันดู ไม่ได้อะไรมาก แต่อย่างเอ็มวีเนี่ย มันจะเริ่มจากการที่...คือต้องส่งให้ฟัง ก่อนอยู่แล้ว เหมือนกับว่าเขาอยากทำ�มั้ย ถ้าไม่อยากทำ�ก็ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ การที่เราจะเอาเพลงนี้ทำ�เขาต้องทำ�ให้เรา ซึ่งมันไม่ใช่ครับ ถ้าเขาไม่อยากทำ�ก็ ไม่เป็นไร มันไม่ได้เป็นเรื่องการเสียฟอร์มอะไรเลย เป็นแค่เขาไม่อิน ก็ไม่เป็นไร เหมือนอย่างเต๋อ (นวพล ธำ�รงรัตนฤทธิ์) แอบรู้สึกว่าอยากให้เต๋อทำ�เอ็มวี สักเพลงหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าเป็นเพลง “ละอองแสง” เรารู้สึกว่าจังหวะจะเข้า กับเต๋อ แต่เรารู้สึกว่าเพลง “หมุน” ท่อนกลางมันโครมครามมาก เราเลยไม่ ค่อยแน่ใจว่าเต๋อจะชอบ แล้วเต๋อมาพร้อมกับไอเดียนี้แหละ นักบินอวกาศกับ คนที่อยู่ในโลกใบนี้ แล้วก็เวลา 53 ปี เราแบบ…เต๋อ จริงเหรอ เรานึกไม่ออก ว่าจะเป็นยังไงวะ การรอคอย 53 ปี มันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอ แต่เราคิดว่า เต๋อคงมองอีกแบบหนึ่งไปเลย มันไม่ต้องเอาความเป็นจริง มันเอาแค่อารมณ์ แค่นั้นเอง เราก็เลย งั้นเต๋อก็ลองทำ�แล้วกัน แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันอีก เต๋อเขา ไปอิตาลี ไปเกาหลี อะไรต่อมิอะไร ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยจนเอ็มวีเสร็จ พอเต๋อ บอกว่าเสร็จแล้ว เราก็บอกว่างั้นส่งมาให้ดูหน่อยแล้วกัน พอดูแล้วเรียบร้อยเลย โอเค เราว่าเราเข้าใจกันแล้ว งานของศิลปินไทย Desktop Error ก็ดีมากนะ หรือล่าสุด Stoondio เราไป งานสีสันฯ แล้วเขาก็เอามาให้ฟัง เราว่าเขาเท่ดี ซึ่งมันอาจจะมีวงอีกเยอะเลย ที่เราไม่รู้จักแน่นอน

109


LIVE

เล่นสดเราจะคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าเรา ซึ่งนั่น ก็คือคนดู โอเคในลิสต์เพลงที่เล่นในหลายๆ ที่มัน อาจจะคล้ายกันจริง เพลงหัวเพลงท้าย หรืออะไร ต่างๆ คล้ายๆ กัน แต่ในลำ�ดับระหว่างทางเราจะ พยายามดูว่าสถานที่นั้นเป็นยังไง ถ้าเป็นไปได้นะจะ ชอบอย่างนั้นมากกว่า เขียนสดเลยว่า คนประมาณนี้ เราน่าจะไล่ลำ�ดับของอารมณ์เพลงยังไง อย่างเพลง “สิ่งเหล่านี้” แน่นอน ทุกครั้ง และเรา ก็ดีใจนะที่คนเข้าใจว่าเราพูดอะไร เราเล่าอะไรอยู่

เราจะไม่ค่อยเล่น cover ถ้าเราเล่น cover เป็นเพราะว่าเราอยากเล่นจริงๆ แต่จะไม่ได้มา จากเจ้าของร้านหรือใคร อ่ะ สมมติว่าวันนี้เล่น 15 เพลง เล่น cover 8-9 เพลงนะ เรารู้สึกว่า มันเป็นการไม่เคารพกันอย่างสิ้นเชิง คือเราเข้าใจ ว่าเจ้าของร้านอยากให้ลูกค้ามีความสุข เราเข้าใจ จริงๆ แต่ในหลายๆ ที่ที่ไปเล่นมันได้พิสูจน์อะไร บางอย่างว่า ลูกค้าของร้านคุณเนี่ยครับ เขาก็อยาก ฟังวงนั้นๆ อย่างเดียวเหมือนกัน สมมติว่าเราจะไป ดูวง A เราคงอยากฟังเพลงของเขา เราจะไปให้วง A ไปเล่นเพลงของวง B ทำ�ไม เขาก็มาอยู่ตรงหน้า เราแล้วนะ ทำ�ไมเราไม่ดู ก็ดูเพลงที่เขาเล่นไปสิ ดูสิ่งที่เขาคิด ดูสิ่งที่เขาแสดงออกไป 110

เรื่องเพลงที่เล่นบ่อยๆ เราไม่เบื่อนะ ก็ถามคนในวง นะว่า เฮ้ย เบื่อหรือเปล่า ก็ไม่เบื่อกัน เราก็แอบคิด มากเหมือนกัน ว่าอาจจะเบื่อกันหรือเปล่า ก็ถามครับ เช็กตลอด เราชอบเล่นในสถานที่เล็กๆ คือเขายก iPad ขึ้นมา ถ่ายมันจะถึงจมูกเราแล้ว อะไรอย่างเงี้ย แล้วมันเป็น เรื่องตื่นเต้นมาก สมมติเราพูดอะไรแล้วเขาเห็นอยู่ ตรงนี้เลย มันรับส่งกันเห็นๆ ไปเลย จะไม่ค่อยชอบ เล่นเวทีใหญ่มาก แล้วคนก็อยู่ไกล เราว่ามันไม่ค่อย ใกล้กันน่ะ เราว่ามันคิดถึงกันนะ อย่างเวลาจะไปเล่น ที่พิษณุโลก เราก็คิดถึงนะ เราอยากเจอ เพราะฉะนั้น ให้เราอยู่ใกล้ๆ กันสิ ให้เราอยู่ไกลกันทำ�ไมล่ะ สมมติ ว่าเราชอบคนคนหนึ่ง เราก็อยากอยู่ใกล้ๆ เขาใช่ หรือเปล่า แล้วจะเล่นไกลๆ กันทำ�ไม เล่นเดี่ยวหรือกับวงแฮปปี้หมดครับ มันคนละแบบ เพราะมีบางร้านหรือบางสถานที่ที่ให้เล่นอะคูสติก เราแอบรู้สึกว่า เอ๊ะ มันติดในเรื่องของงบฯหรือเรื่อง อะไรหรือเปล่า เขาก็บอกว่าเปล่าๆ เขาอยากให้เล่น อะคูสติกจริงๆ พอเราไปเล่นที่อื่น เจอคนจังหวัดอื่นๆ ก็เลยลองถามคนที่มาดูว่า จริงๆ แล้วชอบดูแบบไหน เขาก็ตอบแบบ 50-50 ล่ะครับ 50 ก็บอกว่าชอบดู อะคูสติก อีก 50 ก็บอกว่าชอบดูแบบเต็มแบรนด์


เจอคนดูที่เขาอินเราก็อินด้วย เคยไปเล่น รู้สึกว่า จะเป็นแถวลาดพร้าวนี่แหละ แล้วเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ซึมๆ เหมือนเขาน้ำ�ตาคลอๆ พอเล่นเสร็จแล้วเรา เอื้อมมือไปตบไหล่เขา หรือแบบบางคนยืนร้องไห้ เราอยากลงไปกอดเขาเลยล่ะ เออ แบบ...เฮ้ย ไม่เป็นไรนะ เราคิดว่าเราก็เจอมาเหมือนกัน เขา อาจจะเจอสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นกับเราไปแล้ว แต่มัน เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา อะไรแบบนี้ เราว่าบางทีคนเรา มันก็แค่ต้องการกำ�ลังใจ และเราก็คิดว่ามันไม่ใช่ เรื่องที่ต้องเสียเงินเสียทอง มันเป็นการให้กำ�ลังใจ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันมีค่าสำ�หรับบางคนจากบางคน

เราไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียงอะไรเลย เรา แค่รู้สึกว่ามันดีขึ้นแค่นั้นเอง คนฟังมากขึ้น เราเคย คิดตอนช่วงอัลบั้มแรกว่า เราแค่ขอให้ สมมติเล่นๆ นะครับ ว่าประเทศไทยมีคน 10 คน เราอยากให้ คน 10 คนนี้ได้ยินก่อน ถ้าเขาไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะมีหนึ่งคน สองคนที่ชอบ เราก็ดีใจมากแล้ว แค่ให้มันถูกกระจายออกไป แล้วตอนนี้เข้าใจว่ามัน ถูกกระจายออกไปได้มากขึ้น และคนก็ได้รับรู้กันว่า อ๋อ มีวงนี้ด้วยนะ

111


การทำ�งานของเรา ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ ซื่อตรงสุดๆ แล้วไม่ต้องคิดเรื่องว่าจะต้อง ทำ�เพลงนี้ให้คนชอบ ต้องทำ�เพลงฮิต คือเรา ไม่เก่งพอในเรื่องนี้อยู่แล้ว ว่าเราจะเขียนเพลง ให้มันฮิต เพราะฉะนั้นลืมเรื่องนี้ไปเลย

112


113


JOURNEY

เราว่าแต่ละที่ แต่ละประทศมันก็คนละแบบนะ อย่างประเทศลาว ที่เราเคยไป มันเขียว มากเลยนะ คิดดูสิว่าเรานั่งรถกระบะระหว่างทางน่ะครับ ข้างเขา ไม่แน่ใจว่าจากเวียงจันทน์​์ ขึ้นไปที่หลวงพระบางหรือเปล่า เราเห็นชาวเขาไกลๆ นะ เป็นเด็กผู้หญิงอายุยังน้อยอุ้มลูก ท่อนบนก็เปลือยเป็นเรื่องปกติ อยู่กลางหุบเขา เราว่า โห มันธรรมชาติมากเลย มันก็มี ความสวยงามของมัน ทั้งทิเบต อังกฤษ อิตาลี อะไรอย่างนี้ เราไม่ได้ไปมาเยอะมาก เราแค่โชคดีที่ได้ไปด้วยงานหรือด้วยอะไรบางอย่าง เลยได้ไปตรงนั้น เรารู้สึกว่าประเทศ แต่ละประเทศมันเหมือนคนแต่ละคนน่ะครับ อย่าไปคาดหวังครับ แค่ค่อยๆ เปิดหัวใจดู สิ่งที่เขาเป็นหรือประเทศที่เขาเป็น หรือบรรยากาศที่มันเกิดขึ้น แค่นั้นเอง อย่าไปคาดหวัง ว่าเราจะต้องไปเจออะไร แค่เราเตรียมหัวใจไป เรื่องการเดินทางนอกแผนที่มันมาจากการเร่ิมทำ�อัลบั้ม แล้วมันไปไม่รอดมั้ง มันแต่ง ต่อไม่ได้ เลยรู้สึกว่าเราอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ต้องออกไป เราว่าเรื่องหลายๆ เรื่องมันต้องพึ่ง แผนจริงๆ นะ มันต้องมีการวางแผนจริงๆ ทีมฟุตบอล ต่อยมวย กีฬาต่างๆ มันน่า จะมีแผนนะ แต่เราว่าเรื่องบางเรื่องในชีวิต เสียเวลา ทำ�เลยดีกว่า หมายความว่า พึ่งสัญชาตญาณตัวเองดีกว่า บางเรื่องนะครับ ไม่ใช่ทุกเรื่อง อย่างเรื่องความรักก็ได้ เราว่าบางทีมันไม่ได้หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองเสมอไป คนแต่ละคนมันก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เขาเป็น เราก็ค่อยๆ ทำ�ความเข้าใจ การทำ�อัลบั้มมันเป็นเรื่องของรายละเอียดระหว่างทางจริงๆ และในแต่ละอัลบั้มมันก็คือ การอัพเดตข้อมูลชีวิตว่าเราเจออะไรมา อัลบั้ม 3 อาจจะไม่มีเรื่องของการผิดหวังมากมาย เพราะเราไม่ได้เจอเรื่องแบบนั้นเท่าไหร่ อาจจะเป็นเรื่องของการออกเดินทาง การให้กำ�ลังใจ ที่มากขึ้น มันไม่ได้มาเป็นสูตรว่า อัลบั้มที่ 3 เราจะพูดเรื่องนี้กัน มันกลายเป็นแบบว่า พอกางเพลงออกมาสิบกว่าเพลงหรือยี่สิบเพลงเนี่ย ทิศทางมันมาทางนี้หมดเลย เราก็เลย เหมือนกับว่า ก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ก็ได้ ไม่มีการปักธงอะไรเอาไว้เลย เราไม่เคยปักธง อะไร พอมันไม่ได้คาดหวังก็เลยไม่เสียใจว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดี แต่พอมันดันเกิดเรื่องดี ก็เป็นเรื่องที่ดีใจมาก 114


115


116


บอกว่ามันมีโปรเจ็กต์หนึ่งซึ่งกุ้งอยากทำ�มาก เป็นการเอาเอ็มวี “หมุน” มาฉายในโรงหนัง เราก็ เฮ้ย เอ็มวีเนี่ยนะเอามาฉายในโรงหนัง เลยเหรอ กุ้งก็บอก ใช่ๆ แต่ว่ามันมีเรื่องอื่น ด้วย กุ้งก็เลยเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟัง สนใจมั้ย เราก็เลยถามว่าแล้วคุยกับเต๋อแล้ว หรือยัง ก็บอกว่าได้คุยกับพี่เต๋อแล้ว เราก็เลย บอกว่า ถ้าเต๋อเอาก็เอาสิ น่าจะสนุกดีมั้งถ้า มันเป็นไปได้ เพราะว่ามันเป็นเอ็มวีน่ะ มัน จะได้ฉายในโรงจริงๆ เลยเหรอ จอมันใหญ่ มากเลยนะ กุ้งก็บอกว่าใช่ แต่มันจะมีการ พูดคุยและก็เอาหนังเรื่องอื่นของพี่เต๋อมาด้วย เราว่าก็น่าจะดีเหมือนกันนะ แต่เราแค่แอบ ห่วงว่าบัตรแพงไปหรือเปล่า ห่วงคนที่จะมา บัตร 800 นี่มันแทบจะคอนเสิร์ตใหญ่เหมือน *เราเป็นไม่ชอบไปส่งคนที่สนามบิน เราว่ามัน กันนะ และที่นั่งมันก็มีแค่ 136 ที่ด้วย เขาก็ เศร้า แต่เราชอบไปรับนะ ถ้าให้เราไปรับ โอเค บอกว่าไม่อยากทำ�ให้ใหญ่ เราก็เออ แล้วคน จะดีใจด้วย ขับรถไปด้วยกัน พอไปส่งแล้วก็ ดูเขาจะได้อะไรกลับไปบ้าง เรากับเต๋อทำ� ขับรถกลับบ้านคนเดียว แล้วฝนก็ชอบตก เออ เต็มที่แหละ แต่เราแค่กลัวว่าเขาจะได้กลับไป สมัยก่อนเราเจอบ่อยมาก อาจจะนั่งกลับบ้าน ไม่พอหรือเปล่ากับจำ�นวนเงินที่เขาเสียไป ด้วยแท็กซี่หรืออะไรก็ตาม แล้วมันจะเหงามาก เงิน 800 ไม่น้อยนะ มันอาจจะน้อยมาก สำ�หรับบางคน แต่เราว่ากับคนหลายๆ คน เราชอบไปรับ ไม่ชอบไปส่ง 800 บาทก็เยอะนะ เขาอาจจะต้องเก็บเงิน งาน เล็ก+เต๋อ ที่โรงหนังเฮ้าส์ มันเริ่มมาจาก ต้องเจียดเงิน แทนที่เขาจะไปใช้อย่างอื่นใน เอ็มวี “หมุน” อยู่ดีๆ วันหนึ่งเราไปดูหนังกับ ชีวิตที่มันมีความสำ�คัญมากกว่าก็ได้ แต่เขา แฟน เรื่อง Wish Us Luck แล้วเจอกุ้งที่ทำ� ก็ต้องมาเสียตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราแค่ห่วงว่า เขาได้รับไปพอหรือเปล่า แค่นั้นเองครับ แฟต เรดิโอ เขาก็บอกว่ามาดักเจอพี่ กุ้งก็ เราอยากทำ� Exhibition ภาพถ่าย จริงๆ แล้ว ก็อยากให้มันเกิดขึ้นต้นปีหน้า หรือกลางปีหน้า เราอยากทำ�จริงๆ เราว่ามันเป็นเรื่องที่เราอยาก ให้คนเห็นหรือว่าได้ยินสิ่งที่เราเจอมา ตอนไป ทิเบต มีทั้งภาพถ่ายและเพลงที่เอาเสียงที่เรา ได้ยินมามิกซ์รวมกัน เป็นเสียงบรรยากาศ เสียง ธรรมชาติ ผู้คน ซึ่งเพลงมันเสร็จมาตั้งหลายปี แล้ว แล้วรูปมันก็เสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้อัดขยาย ขนาดนั้น แต่ทุกอย่างมันรอให้เกิดขึ้นอย่างเดียว มันเป็นระเบิดเวลาแค่นั้นเอง จุดเมื่อไหร่มันก็ ระเบิดเมื่อนั้นน่ะครับ การถ่ายภาพเราก็ยังรัก มันมาก ยังรักที่จะทำ� ถึงช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ ถ่ายรูป แต่ก็มีล่าสุดได้ไปถ่ายหนังมาหน่อย ถ่ายภาพนิ่งภาพยนตร์ ก็สนุกดี

117


MIND

เราไม่ชอบเอาเปรียบใคร เราไม่ชอบให้ใครมา เอาเปรียบด้วย แล้วเราก็ชอบในการเคารพความคิด หรือเคารพคนอืน่ สำ�คัญมาก เพราะถ้าเราให้ความ เคารพในมันสมองหรือความคิดของคนอื่นแล้ว เรื่องการเอาเปรียบมันจะหายไป แต่ถ้ามันมาเรื่อง การเอาเปรียบก่อนการเคารพคนอื่นก็จะหายไป

ขายกัน 4-5 หมื่น แต่โอเคแหละ บางยี่ห้อมันก็คง ดีมาก ด้วยวัสดุที่ผลิตหรืออะไรก็ตาม แต่อย่ามามั่ว แบบว่า ได้รถมาคันหนึ่งไม่ได้แพงมาก แล้วก็ขายมัน สิบเท่าตัว …เฮ้ย คนเราจะรวยจากการขายจักรยาน คันเดียวขนาดนั้นเลยเหรอ แบ่งกันใช้ดีกว่ามั้ย ก็เอา กำ�ไรไปเถอะไม่เป็นไร เพราะว่ามันเสียเวลานะ ไป ตามหา แต่ว่าอย่าทำ�กันอย่างนั้นเลย แพงไป มันไม่ น่าจะเป็นสิบ ยี่สิบ ร้อยเท่าตัวขนาดนั้น

สมมติว่าคนคนหนึ่งเป็นดีไซเนอร์ มาออกแบบ สิ่งพิมพ์ให้กับวงๆ หนึ่ง เวลางานสร็จแล้ว ดูแล้ว มันไม่ยากหรอก ใครก็มองว่า โธ่เอ้ย แบบนี้ใครๆ นิสัยของตัวเองที่เราไม่ชอบคือ ใจร้อน ขี้หงุดหงิด ก็คิดได้ แต่ก่อนที่เขาจะคิดออกมาแบบนี้ เขาผ่าน อะไรอย่างนี้ แต่มันดีขึ้นแล้ว เราจะเป็นคนที่เจอเรื่อง อะไรแล้วจะหงุดหงิด แต่ก็พยายามกระทืบความรู้สึก กระบวนการอะไรมาล่ะ อย่าดูถูกมันสมองกัน เราไว้แล้วว่า เออ…อย่าเลย ไม่มีอะไรหรอก แค่เรา ทุกวันนี้เอาเปรียบซะจนกลายเป็นมาตรฐาน เป็น พยายามเข้าใจคนอื่นบ้างแค่นั้นเอง บางทีคนบางคน อาจจะทำ�เรื่องให้เราไม่พอใจมากๆ มันก็เป็นแค่การ ปกติ พยายามเข้าใจเขา ว่าที่เขาทำ�แบบนี้เพราะอะไร ซึ่งมันยากมาก แต่ว่าเราก็พยายามมากๆ ตอนนี้เราเริ่มสนใจในเรื่องของที่ดิน สมมุติว่ามี ที่ดินในซอยๆ หนึ่ง คยซื้อมา 8 แสนบาท เวลา ผ่านไป 20 ปี มูลค่ามันเพิ่มขึ้น เข้าใจได้ สมมติ เราว่าทำ�เรื่องง่ายๆ ให้มันง่ายๆ แค่นั้นเอง จริงใจใน ว่าราคา 2 ล้าน ถ้ามีคนซื้อราคา 4 ล้าน ที่อื่นๆ สิ่งที่เราทำ�อยู่มากๆ จะทำ�ให้มันยากทำ�ไมไม่เข้าใจ ที่เหลืออยู่ก็จะขึ้นตาม 5 ล้านบ้าง 6 ล้านบ้าง ชื่อ Greasy Cafe ไม่ได้รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนนะ เพราะได้ห้องหัวมุมหรืออะไร…งี่เง่ามาก รู้สึกว่าเราจะทำ�งานตรงนี้โดยที่ยังมีคนฟังเพลงเรา พูดเรื่องจักรยานก็ได้ อันนี้ก็น่าโมโหมาก ของเก่า ได้นานแค่ไหนดีกว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องของการที่ อะไรก็ตามนี่แหละ เราไปเจอที่ตลาดรถไฟ เวลา เราอยากทำ�อีก 10 ปี …อ้าว แล้วถ้าเกิดปีหน้าคน ถามราคาแล้วเราจะโมโหมาก เอาอะไรส่วนไหนของ เริ่มไม่อยากฟังแล้วจะทำ�ยังไงล่ะ การกำ�หนดไม่ได้ สมองมาคิดตั้งราคาขนาดนั้น จักรยาน 1 คัน เกิดจากตัวเราครับ ล่าสุดเนี่ยคนมาโพสต์ในเฟซบุ๊ก 118


สัก Greasy Cafe อ่ะ เราแบบ …โห เราไม่รู้จะ พูดอะไร แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดไม่ชอบขึ้นมาจะทำ�ไง เราแค่เป็นห่วงมาก แค่นั้นเอง เราตกใจ เราไม่ได้ มีความรู้สึกปลาบปลื้มว่า โอโห เป็นไงล่ะ ไปสัก เราแค่ห่วงมากครับ เราห่วงมากจริงๆ ถ้าวันหนึ่ง เขาไม่รู้สึกแล้วล่ะ ทำ�ยังไง ความจริงมันเป็นสิ่งที่เราจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย หมายความว่าความจริงมันก็คือความจริงน่ะครับ ต่อให้เราเชื่อว่าน้ำ�ร้อนมันเย็นแค่ไหน กินเข้าไป มันก็ลวกปากอยู่แล้ว ความเชื่อบางอย่าง มันอยู่ ได้แค่นั้นน่ะ มันไม่สามารถขึ้นมาเป็นความจริงได้

119


120


SPEACIAL QUSTION

PIE : ความรักมีข้อดี ข้อเสียยังไงบ้าง พี่เล็ก : จุกอ่ะ ตอบไม่เป็นเลย PIE : ข้อดีก่อน พี่เล็ก : มันก็ทำ�ให้ชีวิตเราตื่นเต้นมั้ง มันก็ทำ�ให้เรารู้ว่ามีคนรักเรา ซึ่งนั่นมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เราว่าคนบางคนอาจรู้สึกแย่ เพราะ อยู่แบบปราศจากคนท่ีรักเลย อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ มีเยอะนะ เราก็เคยเป็น แล้วพอถ้ามีคนคนหนึ่งสนใจในสิ่งที่เราพูด ห่วงใยใน สิ่งที่เราทำ� รับฟังอะไรต่างๆ เราว่ามันเป็นเรื่องดีมากเลยนะ มันมี ความสุขอยู่แล้วน่ะครับ แต่มันก็จะมีดีเทลอีกแหละว่า พอมันโอเค แล้ว แทบจะทุกอย่างนะครับ มันมี 2 ด้านเสมอ เราแค่ยอมรับในสิ่ง ที่ไม่ใช่สิ่งที่สวยงามของคนคนนั้นได้หรือเปล่า อีกมุมหนึ่ง อะไรแบบนี้ PIE : ข้อเสียล่ะพี่ พี่เล็ก : (คิดนาน) อืม…ไม่กล้าตอบเลยอ่ะ ข้อเสียมันคืออะไรล่ะ ข้อเสีย อือหืมมมม (หยุดคิด) ไม่รู้อ่ะ เราคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่อง ของการที่…เราไม่รู้ว่ามันจะเอามาพูดกับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า เรารู้สึก ว่าเวลาคนสองคนตัดสินใจที่จะเป็นแฟนกันแล้ว อย่ามุ่งแต่โทษอีก ฝ่ายหนึ่ง เวลามีเรื่องทะเลาะกัน คิดถึงตัวเองเลย เราผิดหรือเปล่า เราผิดอะไร เราผิดแค่ไหน เราอาจจะเป็นคนที่ทำ�ให้เกิดเรื่องนี้ก็ได้ อย่าเพิ่งโทษว่า อ้าว ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะคุณทำ�อย่างนี้ อย่าโทษ คนอื่น โทษตัวเองก่อนเลย เรื่องอะไรก็ตามในชีวิต โดยเฉพาะเรื่อง ความรัก พยายามนะ เราเชื่อว่ามันยาก มันยากจริงๆ บางทีแบบ เฮ้ย เราว่าเราไม่ผิด อ้าว เขาก็คิดเหมือนกันน่ะ เขาก็ว่าเขาไม่ผิด แต่พยายามเถอะ ใจเย็นๆ นิดนึง ยากมาก แต่พยายามทำ�เถอะว่า เออ ในที่สุดแล้วเราอาจจะเป็นคนเริ่มก็ได้ แล้วก็ขอโทษ แค่นั้นเอง จบ กอดกันมีความสุขแล้ว

121


122


123


PIE ONLINE GALLERY

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

124


LOST IN THE WILD

สรรค์ชัย ชื่นสกุลพงศ์ freelance photography

LHIM PHOTOGRAPHY

www.facebook.com/lhimphotography lhumlhim.tumblr.com/ e-mail : lhumlhim@gmail.com 08-1644-5853 - แบงค์

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

125


PASTELLER

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

126


Tel : 08-6033-4578 pasteller@hotmail.com www.facebook.com/PASTELLER PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

127


Mind Sunny Days PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

128


www.facebook.com/pages/Mild-Sunny-Days/532825760064554 e-mail : nidoto29@gmail.com PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

129


“Space”

สื่อถึงตัวเองที่ต้องการเปลี่ยนทุกอย่าง ให้เป็นไปตามที่ต้องการ

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

130


ศิรดา คุ้มวงดี อายุ 24 ปี จบจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาถ่ายภาพ email : sirada.khum@gmail.com

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

131


PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

132


พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

ภาพจากกล้องฟิล์มตัวเล็กน่ารักมีชื่อเรียกว่า Olympus Trip 35 เป็นภาพถ่ายเบื้องหลัง แฟชั่นโชว์ (ฺBackStage) pornprawitphotography@gmail.com

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

133


PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

134


ศุภางค์ หล่อวัฒนตระกูล (แหวน)

อายุ 22 ปี จบการศึกษา ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์ ม.บูรพา งานอดิเรก ถ่ายภาพและรับงานถ่ายภาพบ้างแล้วแต่คนจ้างค่าาา ป.ล. ภาพที่ส่งมาเป็นภาพจากกล้องฟิล์ม canon ql17 Gll ฟิล์มที่ใช้ kodak200 ** เบอร์ติดต่อ 08-6825-4219 sking_9@hotmail.com

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

135


น้ำ�

e mail : naamcool@yahoo.com Tel : 08-6995-4640 facebook : Naam Rin Fanpage : www.facebook.com/BANGKOKBINDERY

PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

136


ขอจบ PIE online gallery เล่มนี้แต่เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณทุกคนที่ส่งงานเข้ามานะครับ ส่งผลงานดีๆ กันเข้ามาเยอะๆ นะครับ ที่ pieonlinemag@gmail.com เจอกันเล่มหน้านะ PIE MAGAZINE CREATIVE WORKING & LIVING LIFESTYLE

137


READER WRITER

ORIENTAL ATTRACTION หากใครมีโอกาสติดตามแฟชั่นระดับอินเตอร์มา โดยตลอดน่าจะพอสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า นอกจาก เรื่องราวของเสื้อผ้าที่แปรผันไปตามซีซั่นและกาลเวลา แล้ว รูปร่างหน้าตาและความนิยมในตัวนางแบบเองก็ เปลี่ยนแปลงแบบมาไวไปไวไม่ต่างกัน และก็น่าจะเป็น อะไรที่มองเห็นได้ชัดแบบไม่ต้องชี้โพรงให้กระรอกดูว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือช่วงนาทีทองของสาวเอเชียเรา เป็นที่สุดในรอบหลายทศวรรษเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่า จะมองไปทางไหน ทั้งรันเวย์ นิตยสาร หรือแคมเปญ 138

ต่างๆ ก็จะมีสาวหน้าหมวย ผมดำ� ปะปนอยู่กับ นางแบบนานาชาติให้เราเห็นอยู่เป็นระยะๆ แถมใน ช่วงหลังๆ มานี้ก็เริ่มจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วยสิ ทำ�ไมจึงเป็นเช่นนั้น? เป็นเวลานานนับทศวรรษที่เรามักบูชาความงามใน รูปแบบเดียวและแบบเดิมๆ คือความคิดที่ว่าหญิงสาว ในอุดมคติควรมีผิวขาวอมชมพู ผมยาวสลวยสีบลอนด์ เป็นประกาย นัยน์ตาสีฟ้าดูน่าหลงใหล และรูปร่างที่ มีส่วนโค้งเว้าพองาม ฯลฯ สาวที่มีรูปลักษณ์แตกต่าง


จากพิมพ์นิยมจึงมักต้องเก็บตัวอยู่เงียบๆ ในซอก มุมเล็กๆ ของโลก หรือไม่ก็พยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้ใกล้เคียงกับความสวย แบบที่คนอื่นวางมาตรฐานเอาไว้ให้มากที่สุด บ้าง ก็ว่าความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นมาจากเศรษฐกิจที่ แปรเปลี่ยนและขั้วอำ�นาจ (การใช้จ่าย) ซึ่งแน่ละ หลังจากที่เศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศของทวีป ยุโรปเกิดหยุดชะงัก ประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่น จีน เกาหลี และสิงคโปร์ ต่างก้าวขึ้นมาเป็นตลาด ใหญ่อันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา ที่แน่นอนว่า ผู้ที่จับจ่ายส่วนใหญ่คือผู้หญิง และผู้หญิงในแถบนี้ ขอนิยามง่ายๆ ว่า เป็นสาวหมวยเกือบ 100%! ดังนั้นคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายกว่า (แม้จะไม่ โรแมนติกเอาซะเลย) ว่า เมื่อพวกหล่อนต้องการ จะซื้อกระเป๋าสวยๆ สักใบ รองเท้าแซบๆ สักคู่ หรือเดรสสุดหรูสักชุดหนึ่ง การได้เห็นภาพของ ผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกัน ยืนพรีเซ้นต์

อยู่ใกล้ๆ จะทำ�ให้พวกนางเข้าใจและมโนฯเอาเอง ได้ว่า ถ้าฉันใส่ก็น่าจะ(สวย)ประมาณนี้ล่ะวะ! แต่ถ้าจะพูดในแง่อื่นๆ นอกจากเรื่องเงินๆ ทองๆ ถามว่ามีมั้ย ก็ตอบได้อย่างเต็มปากด้วยเช่นกัน ว่ามี เพราะเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารไม่ได้ถูก จำ�กัดเหมือนกับเมื่อหลายสิบปีก่อน การได้มอง เห็นผู้หญิงสวยๆ จากพื้นที่อื่นๆ ในโลกบ้าง ก็จะทำ�ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจกันได้เองโดยอัตโนมัติ ว่าที่เคยคิดนั้นอาจจะคับแคบเกินไปสำ�หรับโลก กว้างๆ ใบนี้ จริงอยู่ฝรั่งตาน้ำ�ข้าวนั้นสวย แต่นั่น แปลว่าสาวอินเดีย สาวละติน สาวแอฟริกัน หรือ สาวญี่ปุ่นไม่สวยงั้นหรือ? ก็เปล่า เหมือนจะถาม ว่าประเทศอิตาลีสวยมั้ย ใครๆ ก็ตอบได้ว่าสวย แต่ภูเก็ตและภูกระดึงเราก็ใช่จะแพ้เขาที่ไหน แค่โปรโมตน้อยกว่ากันหน่อยเท่านั้นละ… กลับเข้าเรื่อง …เชื่อว่านี่เองคือเหตุผลบางส่วน ที่ทำ�ให้สาวเอเชียได้ทียึดครองรันเวย์จากสาวชาติ 139


อื่นๆ บ้าง เริ่มจากแม่นาง Liu Wen อดีตไกด์สาว ชาวแผ่นดินใหญ่ที่มาได้ดิบได้ดีในวงการนางแบบ หลายคนพอฟังชื่อและเห็นหน้าเห็นตาอาจจะโวย ว่าพูดเรื่องเก่าไปมั้ย เนื่องจากเธอเลยจุดแจ้งเกิด มานานโขหลายซีซั่นแล้ว แต่ต้องเท้าความถึงเธอ สักหน่อย เนื่องจากเธอคนนี้นี่ละที่เป็นผู้บุกเบิก กรุยทางให้สาวหน้าหมวยทั้งหลายได้มีที่ยืนบน รันเวย์ระดับโลกช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เพราะจะว่า ไปแล้ว หลังจาก Ling Tan สาวหน้าสวยร้ายจาก มาเลเซีย ไต่เต้ามาจนถึงอันดับท็อปได้ในช่วงยุค 90’s และ Ai Tominaga สาวญี่ปุ่นที่ทั้งสวย ทั้งเท่ และมีสไตล์จัดจ้านดีเหลือเกิน ซึ่งดังเป็น พลุแตกสมัยปี 2000 ต้นๆ นั้น ก็ไม่เห็นจะมี นางแบบเอเชียคนไหนสามารถฝ่าด่านนางแบบ ผมบลอนด์หุ่นอ้อนแอ้นจากบราซิลและรัสเซีย ไปได้เลย ดีกรีความเจ๋งของ Liu Wen นั้นมิใช่ เป็นเพียงนางแบบผมดำ�เดินเป็นน้ำ�จิ้มแก้เลี่ยน ซะที่ไหน แต่ยังเจ๋งถึงขนาดว่า ตั้งแต่เธอเข้า วงการมา ก็แทบจะไม่มีแบรนด์ดังแบรนด์ไหน

ไม่จ้างเธอเลยสักราย อีกทั้งเธอยังได้รับเลือกให้เป็น พรีเซ็นเตอร์ประจำ�ให้กับเครื่องสำ�อางระดับยักษ์อย่าง Estèe Lauder และเป็นสาวเอเชียคนแรกที่ได้เดิน อย่างสง่าผ่าเผยในโชว์สุดอลัง ที่ทุกคนรอคอยอย่าง Victoria’s Secret อีกด้วย จากนั้นบรรดาสาวผมดำ�ก็เรียงรายมาปรากฏโฉม ให้เราได้เห็นกันจนตาลาย ไม่ว่าจะเป็น Sui He สาว หมวยหน้าหวานที่นอกจากจะเป็นนางแบบคนโปรดของ แบรนด์อเมริกันอย่าง Ralph Lauren แล้ว เธอยัง เจริญรอยตาม Liu Wen นางแบบรุ่นพี่ไปติดๆ ด้วย การกรีดกรายบนรันเวย์ของ Victoria’s Secret เธอ โดดเด่นด้วยผิวขาวผ่องเป็นยองใย ดวงตากลมโตรับ กับคิ้วหนาๆ ดูโฉบเฉี่ยว รวมถึงเรือนผมที่ดำ�ขลับเป็น เงางามดุจเจ้าหญิงในนิทาน, Du Juan หมวยเฉี่ยว จากเซี่ยงไฮ้ ที่ผันตัวจากนักเต้นบัลเลต์สู่นางแบบมือ อาชีพ จะ Chanel, Valentino, YSL หรือ Roberto Cavalli เธอก็เจิมมาหมดแล้วทุกโชว์ รวมถึงปกสุดแซบ อย่าง Vogue China นางก็เก็บแต้มได้เรียบแบบนับ คะแนนแทบไม่ทัน, Fei Fei Sun คนโปรดของเหล่า

140


ดีไซเนอร์ ด้วยใบหน้าโฉบเฉี่ยวกับลุคที่สามารถ ปรับเปลี่ยนได้หลากหลายในพริบตา คือมีทั้งความ หรูหรา ความเท่ ความเป็นธรรมชาติ หรือแม้แต่ จะแต่งให้ดูย้อนยุคดุจแจ๊กกี้ โอ แห่งฝั่งตะวันออก เธอก็ทำ�มาหมดแล้ว, Shu Pei Qin สาวหน้าสวย แปลกที่เนื้อหอมไม่เบา กับลุคที่ยิ่งดูก็ยิ่งแปลกตา ถึงขนาดว่าได้ร่วมงานกับแบรนด์บิ๊กๆ ในทุกซีซั่น และสไตล์ส่วนตัวแม้ในวันที่อยู่ห่างจากรันเวย์ แต่ความเก๋ของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด, Ji Hye Park สาวเกาหลีที่ไม่ต้องศัลย์ แต่ก็ดัง ด้วยดวงตาคู่เรียวที่ Elie Saab และ Dolce & Gabbana ต่างชื่นชอบ, Ming Xi จีนแท้ทั้ง สัญชาติและหน้าตา ขึ้นปกมาแล้วทั้ง Numero, Vogue, Marie Claire รวมถึงแคมเปญของ Givenchy ประกบร่วมกับนางแบบนายแบบต่าง เชื้อชาติอย่างทัดเทียมกัน, Lina Zhang สาว (หน้า) เก๋อีกคนที่เผยโฉมบนปก Harper’s Bazaar และ i-D มาแล้ว ยังไม่รวมถึงรันเวย์ต่างๆ ทั้ง Lanvin, Burberry และ Balmain ซึ่งล้วนแต่เป็น

แบรนด์หัวกะทิก็ยังคัดเลือกให้เธอมาเป็นหนึ่งใน กองทัพนางแบบด้วยเช่นกัน ฯลฯ ขนาดแค่สาธยายสั้นๆ ยังไม่รู้เลยว่าจะจบลงตรง ไหน เพราะยังมีอีกเยอะที่พื้นที่ไม่เอื้ออำ�นวยให้กล่าว ถึงสักเท่าไหร่ นั่นทำ�ให้เราเห็นว่านิยามของความงาม ย่อมแปรเปลี่ยนได้ตามยุคสมัยและตามความพึงใจ ของผู้มอง และถึงวันหนึ่งนิยามความงามที่นิยมความ หมวยก็อาจมีวันลดน้อยลงเพื่อแบ่งพื้นที่ให้กับผู้หญิง ที่มีความงามในรูปแบบที่ต่างออกไป เป็นธรรมชาติ ไม่ต่างจากแฟชั่นบนงานออกแบบกระเป๋า รองเท้า หรือเสื้อผ้าอาภรณ์ เพียงแต่ความงามของผู้หญิงนั้น ไม่มีวันล้าสมัย ...และก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ยังมีอะไรอีกเยอะที่ยังไม่ได้เมาธ์มอยให้ฟังกันอย่าง เต็มอรรถรส งวดหน้าจะขอเล่าเรื่องของ Oriental Attraction เพิ่มเติม แต่ในคราวนี้จะเป็นเรื่องราว ของดีไซเนอร์สายเลือดเอเชียที่ก้าวเข้าสู่ระดับโลก ได้อย่างเต็มภาคภูมิ และงานดีไซน์ราคาแพงที่ได้ แรงบันดาลใจมาจากศิลปวัฒนธรรมของชาวเอเชีย ซึ่งเชื่อว่าเหล่าแฟชั่นนิสต้าจะไม่อยากพลาดแน่นอน! 141


READER WRITER

142


เราควรมีอิสรภาพมากแค่ไหน? อีกครั้งที่ฉันนั่งหน้าคอมพ์เวลาตีสี่กว่าๆ เพื่อเขียน คอลัมน์ ทำ�ไมต้องเวลาย่ำ�รุ่งขนาดนี้ ฉันก็ยังตอบตัวเอง ไม่ได้เสียที อาจเป็นเพราะความเงียบที่กำ�ลังได้ที่ ความคิด ที่กำ�ลังลื่นไหล หัวสมองกำ�ลังเปิดโล่ง พร้อมให้อะไรต่อ มิอะไรไหลออกจากสมองก้อนเล็กๆ ไล่ลงมาทางลำ�คอ หัวไหล่ทั้งสองข้างขยับส่งแรงผ่านช่วงแขนไปที่ปลายนิ้ว สมองและปลายนิ้วทำ�งานพร้อมกันอย่างสอดประสานบน แป้นพิมพ์ (บางคนเรียก “คีย์บอร์ด” แต่ฉันมักสับสน ชอบนึกถึงเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง มากกว่าคิดว่ามันเป็น ฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์) จนปรากฏเป็นตัวหนังสือบน หน้าจอ ตัวหนังสือที่คุณกำ�ลังอ่านอยู่นี้ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเกิดจากการออกคำ�สั่ง และอยู่ภายใต้การบังคับ ของสมองและจิตใจของผู้เขียน ตัวหนังสือที่กำ�ลังร่าเริง ปรากฏเด้งขึ้นทีละตัวสองตัวบนโปรแกรมเวิร์ดจึงไร้ซึ่ง อิสรภาพในตัวเอง ในขณะที่การเขียนคอลัมน์นี้ก็ไม่ค่อยมีอิสระเช่นกัน เพราะอยู่ในความควบคุมของเดดไลน์ หรือเส้นตาย เหมือนเส้นนี้มีกับระเบิดฝังอยู่อย่างน้อยไม่ต่ำ�กว่าสิบลูก เพราะหากยื่นเท้าไปแตะเส้นดังกล่าวเมื่อไหร่ เป็นอันว่า ต้องขาขาดและจบชีวิตแบบศพไม่สวย นั่นคือความรู้สึก ที่ฉันมีต่อเส้นที่ว่า แต่กับเส้นอื่นๆ ฉันกลับไม่รู้สึก เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นขนมจีน เส้นพาสต้า ฯลฯ เส้นเหล่านี้ นอกจากไม่น่ากลัวแล้วยังอร่อยและอิ่มท้องอีกต่างหาก แถมมีหลายเส้นให้เลือก อย่างเส้นก๋วยเตี๋ยว แยกย่อย เป็น เส้นเล็ก เส้นกลาง เส้นใหญ่ เส้นหมี่ขาว บะหมี่ และวุ้นเส้น เรามีอิสระประมาณหนึ่งในการเลือกว่าจะ กินเส้นแบบไหนเวลาไปร้านก๋วยเตี๋ยว

จะสังเกตว่า ฉันมักโยงถึงคำ�สองคำ�ตลอด สองย่อหน้าที่ผ่านมา ทั้ง “อิสระ” และ “ไม่อิสระ” คำ�ถามคือ คนเราควรมีอิสรภาพมากแค่ไหน บางคน อาจจะแย้งขึ้นมาว่า ถามอะไรโง่ๆ ก็อยากมีมาก ที่สุดเท่าที่จะมากได้นั่นแหละ วันๆ ไม่ต้องทำ�อะไร ไร้พันธนาการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว การงาน การเงิน เดินเปลือยกายโทงๆ ได้ยิ่งดี อยากทำ�อะไร ก็ทำ�ได้ตามอำ�เภอใจ ตำ�บลอารมณ์ และจังหวัดความ รู้สึก แต่ถ้ามนุษย์เป็นแบบนี้ทุกคนโลกคงวุ่นวาย สับสน อลหม่าน แทนที่จะได้อยู่กันอย่างสงบสุข เมื่อพิจารณา ตามนี้แล้ว การมีอิสระแบบเต็มขั้นคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ น่าจะมีแบบพอประมาณ ประมาณไหนดี พระเอกหนังเรื่อง Into the wild เป็นมนุษย์ที่ เกลียดระบบทุนนิยมเข้าไส้ หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาบริจาคเงินเก็บทุกบาททุกสตางค์แก่องค์กรการ กุศล ตัดบัตรทุกชนิดประเภทที่เกี่ยวกับการเงินและ ที่มีหลักฐานระบุตัวตนทิ้งไป แบ็กแพ็กออกจากบ้าน โดยไม่มีเงินติดตัวสักเขียว (สีของแบงค์ดอลลาร์) เขา ปวารณาตัวเองว่าจะอยู่ให้ได้โดยปราศจากพันธะเรื่อง เงินๆ ทองๆ จะมุ่งเข้าสู่ป่าเขาลำ�เนาห้วย ไปใช้ชีวิต ร่วมกับธรรมชาติที่แฝงไว้ซึ่งความงามอันบริสุทธิ์ ไร้ การประดิษฐ์และปรุงแต่ง ตัวหนังนั้นงดงามสมความ ตั้งใจคนดูอย่างฉันจริงๆ หากใครไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ มาก่อนฉันอาจใจร้ายกับคุณสักหน่อย เพราะจะบอก ว่าตอนสุดท้ายพระเอกตาย ตายเพราะความป่าเถื่อน ตามชื่อเรื่องนั่นแหละ ธรรมชาติที่แท้จริงย่อมไม่เคย ปรานีใคร ถ้าเราตัดไม้ทำ�ลายป่า ผลที่ตามมาอาจ 143


หมายถึงน้ำ�ท่วมอย่างสาสมอ่วมอรทัย สัตว์ใหญ่ ย่อมกินสัตว์เล็ก เสือไม่ใช่แมวย่อมไม่ทิ้งลายนักล่า ตลอดกาล แต่ใน Into the wild พระเอกไม่ได้ ถูกเสือกัดตายหรือถูกน้ำ�ซัด แต่เพราะกินพืชมีพิษ เข้าไป เป็นความผิดพลาดเกี่ยวกับการเรียกชื่อและ ขาดการศึกษาตำ�ราพืชพรรณอย่างละเอียดถ่องแท้ บางครั้งการออกตามหาอิสรภาพอาจต้องอาศัยองค์ ความรู้บางอย่างที่ครอบคลุมรัดกุม ถ้ามุ่งแต่จะเอา อิสรภาพเป็นที่ตั้งอย่างเดียวอาจจะไม่รอด แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นฉันก็อดชื่นชมในตัวพระเอกหนังเรื่องนี้ไม่ได้ ในวิถีขบถและความกล้าหาญแบบคนหนุ่ม เขาเป็น อิสระจากระบบทุนนิยมได้จริงถึงแม้จะเป็นเวลา สั้นๆ แต่ทุกนาทีของชีวิตช่วงนั้นน่าจะถูกเติมเต็ม ด้วยคุณค่าและการบรรลุถึงความหมายบางอย่าง บางครั้งสังคมก็ต้องการคนแบบนี้ เพราะหากพากัน ใช้ชีวิตเคร่งครัดอยู่แต่ในแบบแผน กฎเกณฑ์ และ ขนบธรรมเนียมเดียวกันไปทั้งหมด การเปลี่ยนแปลง หรือปฏิวัติไม่ว่าระดับเล็กๆ หรือใหญ่ๆ คงไม่มีวัน เกิดขึ้น โลกใบนี้ก็จะหยุดนิ่ง ไร้การเปลี่ยนแปลง กรณีที่สอง เป็นเรื่องของตัวละครหนุ่มนักเขียน ซัล พาราไดซ์ (Sal Paradise) จากภาพยนตร์และ หนังสือ On the road เป็นเรื่องที่มีฉากหลังเป็น

สังคมอเมริกายุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หนุ่มสาว หัวก้าวหน้าบางกลุ่มตั้งคำ�ถามถึงความหมายที่แท้จริง ของการมีชีวิต (และเหตุใดต้องลงเอยด้วยสงคราม *ความคิดเห็นของผู้เขียน) ผ่านการใช้ชีวิตที่แหกทุก กฎเกณฑ์ เป็นอิสรเสรีสุดเหวี่ยงบนท้องถนน ซัล พาราไดซ์ และกลุ่มเพื่อน เป็นตัวแทนของหนุ่มสาว แห่งยุค พวกเขาดวด ดื่ม เสพอย่างเมามายหนักหน่วง มีเซ็กซ์กัน ออกเดินทาง และฟังดนตรีแจ๊ส แต่เมื่อ หมดยุครุ่งเรืองของการใช้จ่ายเสรีภาพแล้ว พวกเขาก็ ต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง ซัลนำ�ประสบการณ์ ที่ได้มาแปรรูปเป็นงานเขียนเลี้ยงตัวเอง อเมริกาเป็น ดินแดนแห่งอิสรเสรี รูปปั้นเทพีเสรีภาพที่ยืนตระหง่าน เป็นประจักษ์พยานคำ�กล่าวนี้ได้ดี จึงไม่แปลกที่ซัลและ กลุ่มเพื่อนสามารถใช้ชีวิตได้สุดเหวี่ยงขนาดนั้นในช่วง วัยรุ่นโดยไม่แคร์ใครๆ หรือสิ่งใด ลองเปลี่ยนมาเป็น ประเทศไทย คงถูกสังคมรุมประณามสาปแช่งไม่เหลือ ชิ้นดี ไอ้พวกไร้สาระ เที่ยวเตร่ไปวันๆ หนังสือหนังหา ไม่รู้จักเรียน การงานไม่รู้จักทำ� พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน ลามไปถึงนั่นเลยล่ะ ยิ่งพ่อแม่ได้รับรู้ถึงพฤติกรรมอัน สุดสวิงริงโก้ของลูกจอมเฮี้ยวขึ้นมาอาจหัวใจวายวันละ สิบๆ หน พร้อมๆ กับร้องห่มร้องไห้พึมพำ� เมื่อไหร่ มันจะเป็นผู้เป็นคน (ตามแบบที่สังคมคาดหวัง) เสียที

144


สังคมไทยเป็นสังคมที่บ้าเรื่องการแข่งขันทาง การศึกษา มากกว่าบ้าเรียนเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ ที่แท้จริง กล่าวคือ ลูกหลานคนไทยต้องได้เรียน หนังสือในโรงเรียนดีๆ ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ และอย่างน้อยต้องจบปริญญาตรี ถึงจะเป็นเครื่อง รับประกันว่าหนูจะมีงานที่ดีทำ� มีเงินเดือนสูงๆ และ เป็นเจ้าคนนายคน ดูเป็นแบบแผนและสูตรสำ�เร็จที่ สวยหรู แต่คำ�ถามคือ ถ้าเป็นเจ้านายกันหมดแล้ว ใครจะเป็นลูกน้องแผนกต่างๆ ที่เป็นฟันเฟืองใน การทำ�งานให้สำ�เร็จ สังคมจะขับเคลื่อนไปด้วยดีก็ ด้วยกลุ่มคนที่มีอาชีพที่หลากหลาย มีผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละด้าน มีช่างตัดเย็บเสื้อผ้าเก่งๆ มีพ่อครัว แม่ครัวมือหนึ่ง มีสถาปนิกเก๋าๆ มีเกษตรกรที่มี ประสิทธิภาพ แต่ความเป็นเลิศจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้ เวลาและการฝึกฝน ผู้ปกครองต้องมีความเข้าใจและ ส่งเสริมลูกๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ วิธีที่ควรจะเป็นก็คือปล่อย ให้ลูกๆ ได้มีอิสระทางความคิดบ้าง อยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร ช่วยรับฟังพวกเขาด้วย อย่าเคี่ยวเข็ญ มากเกินไป จริงๆ ก็มีคนพูดถึงประเด็นนี้แล้วซ้ำ�แล้ว ซ้ำ�เล่า แต่ฉันก็จะพูดอีกจนปากเปียกปากแฉะ พูดจน มันเป็นผลขึ้นมาจริงๆ ถึงจะยอมหยุด

กรณีที่สาม เมื่อฉันได้อ่านหนังสือ “การลาออก ครั้งสุดท้าย” ของภาณุมาศ ทองธนากุล ผู้ชายคนนี้ รักอิสระไม่แพ้พระเอกหนัง Into the wild และรัก การเขียนเหมือนซัล พาราไดซ์ ความฝันของเขาคือ อยากเป็นอิสระจากการทำ�งานประจำ�และการเงิน กรณีของคุณภาณุมาศอาจเป็นตัวอย่างของการใช้ อิสรภาพอย่างพอเหมาะ ไม่เฮี้ยวไม่ซ่าและไม่ประมาท กับชีวิต แต่ก็ไม่ได้ก้มหัวให้กับกฎกรอบเดิมๆ เขา เพียรพยายามอยู่หลายปีจนมีเงินเก็บก้อนใหญ่ได้สำ�เร็จ เขาเรียนรู้เพิ่มเติมที่จะใช้เงินทำ�งาน หรือนำ�เงินไป ต่อยอดเพื่อสร้างความมั่งคั่ง พร้อมๆ กับพัฒนา คุณภาพชีวิตไปด้วย เมื่อเขาลาออกจากงานแล้ว เขาสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นชีวิต ที่เขาเลือกเอง เขาได้เป็นนักเขียนสมใจ และทิ้ง ข้อความปิดท้ายหนังสือเล่มดังกล่าวไว้ว่า “อิสรภาพ คือ การถูกขังในกรงที่เรารัก” และบางทีอิสรภาพอาจหมายถึงการมีเสรีภาพ ในการเลือก เลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำ� เลือกที่ จะเชื่อ เลือกที่จะคิด เลือกที่จะใช้ชีวิตตามเจตจำ�นง ของตัวเราเอง (โดยไม่เดือดร้อนผู้อื่น) ซึ่งก็คือการ เป็นไทแก่ตัวนั่นเอง 145


READER WRITER

ARAKAWA UNDER THE BRIDGE

การทำ�งาน ตำ�แหน่ง เจ้านาย ลูกน้อง โปรเจ็กต์ ราคาหุ้น ราคาน้ำ�มัน ลูกค้า การจราจร ค่าเช่า บัตร เครดิต สิ่งเหล่านี้กลายเป็นคำ�ที่ลอยแน่นอยู่ในฝุ่นควัน ของคนเมืองทั้งหลาย แล้วดูเหมือนเราทั้งหลายจำ�ต้อง สูดควันเหล่านี้เข้าไปอยู่ทุกวันๆ จะด้วยความเต็มใจ หรือจำ�ทนก็ตาม เคยมีสักครั้งไหมที่อยากทิ้งสิ่งเหล่านี้ ออกจากชีวิตบ้าง เพื่อเพิ่มช่องว่างให้เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และเวลาในการทำ�สิ่งที่ตัวเองชอบ

146

เสียงบ่นระคนอยู่ในใจผมก็เดินไปเจอหนังสือ การ์ตูนเล่มหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรื่องคล้ายเพลงดังจากวงร็อก ที่ผมคุ้นหู “Arakawa Under the Bridge” เรื่อง ของชายหนุ่มผู้กำ�ลังก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ประสบความ สำ�เร็จในชีวิต ทั้งฉลาด เป็นทายาทบริษัทใหญ่โต มีทั้งเงินทอง ชื่อเสียง แถมหน้าตาดี ที่ไปประสบ เหตุการณ์พลิกผันจนทำ�ให้เขาต้องไปอยู่กับพวกคน ที่อาศัยอยู่ใต้สะพานข้างแม่น้ำ�ใหญ่แห่งหนึ่ง


ถ้าเป็นแค่คนจรจัดธรรมดาเรื่องนี้คงไม่มีอะไร น่าเอามาพูดถึง แต่พวกคนที่ชายหนุ่มคนนี้ไปเจอ ต่างแปลกประหลาดพิสดารทั้งทางกาย วาจา ใจ ทีเดียวครับ เริ่มจากหญิงสาวน่ารักที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ซึ่งคิดว่าตัวเองเป็นชาวดาวศุกร์, ผู้ใหญ่บ้านที่ใส่ชุด กัปปะไว้ตลอดเวลา และยังเน้นย้ำ�ด้วยว่าเขาเป็น กัปปะจริงๆ, ชายหนุ่มนักดนตรีที่ใส่หน้ากากรูป ดาวไว้เสมอ, คนที่เรียกตัวเองว่าซิสเตอร์หรือแม่ชี แต่เป็นชายล่ำ�บึ้ก ชำ�นาญการใช้อาวุธ และอีก มากมายหลายคนเพี้ยน แม้เวลาที่คนเหล่านี้ทำ�อะไรเพี้ยนๆ อย่างกิน ปลาสดๆ เล่นเพลงบ้าๆ บอๆ หรือพูดจาดื้อแพ่ง ไร้เหตุผลจะดูน่าปวดหัวอยู่บ้าง แต่เวลาผมอ่านหรือ ดูแอนิเมชั่นของการ์ตูนเรื่องนี้หลายๆ ครั้งผมรู้สึก สบายใจอย่างประหลาด อาจจะเป็นเรื่องง่ายอย่าง บรรยากาศริมน้ำ�ของการ์ตูนเรื่องนี้ จนไปถึงบทพูด ที่กินใจคนสังคมบริโภคตามๆ กันอย่างผม เพราะ คนเพี้ยนๆ เหล่านี้ ถึงแม้จะดูผิดแปลกจากคน ปกติไปบ้าง แต่พวกเขาก็แปลกด้วยใจรักและเชื่อ ในความเป็นตัวเอง และการมีเงินมหาศาล การมี บริวารและชื่อเสียงไม่ได้อยู่ในหัวของคนเหล่านี้เลย และสิ่งที่ในสังคมบริโภคเชิดชูเหล่านี้สำ�หรับพวกเขา แล้วเทียบไม่ได้เลยกับการอยู่อย่างมีอิสระ สิ่งเหล่านี้ ทำ�ให้เรามองว่าเขาผิดปกติ ทั้งที่จริงสิ่งที่เราทำ�ก็อาจ จะผิดปกติในสายตาของเขาเช่นกัน การ์ตูนเรื่อง Arakawa Under the Bridge นี้ เขียนโดยฮิคารุ นาคามูระ ตั้งแต่ปี 2005 โน่นแล้ว

แต่เพิ่งเอามาพิมพ์ในบ้านเราได้ไม่นานครับ และการ์ตูนเรื่องนี้ก็โด่งดังถึงขั้นทำ�เป็นแอนิเมชั่น ฉายทางทีวี และเป็นภาพยนตร์เข้าโรงฉายมาแล้ว ส่วนผลงานต่อมาของคุณฮิคารุ นาคามูระ ก็ไม่ ธรรมดานะครับ หลายๆ คนคงเห็นกันมาบ้างแล้ว กับการล้อเล่นที่ดุดันในลายเส้นแสนสบายในเรื่อง Saint Young Men ที่เล่นหนักขนาดเอาศาสดา ของสองศาสนาใหญ่มากลายเป็นคนเดินดินอยู่ใน สังคมญี่ปุ่นยุคปัจจุบันแบบเราๆ โดยที่เนื้อเรื่องคือ พระพุทธเจ้าและพระเยซูอยากลงมาพักร้อนบนโลก มนุษย์และเช่าห้องเช่าเล็กๆ อยู่ด้วยกัน ท่านศาสดา ทั้งสองต้องเจอและแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ใน แต่ละวัน งานของคุณฮิคารุ นาคามูระ ช่วยสะกิดใจแบบ คนเมืองของผมหลายครั้งครับ ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ เราทำ�กันเป็นกิจวัตรนั้นทำ�เพื่ออะไร เพื่อใคร และ ใช่ทางทีค่ วรแล้วหรือเปล่า ความวุน่ วายเหน็ดเหนือ่ ย อยู่ทุกวันในสังคมเร่งรีบนี้ คุ้มค่ามากแค่ไหน ได้ อะไรเสียอะไรไปบ้าง ถ้าคราวหน้าผมเดินผ่านคลอง ที่ไหน จะลองมองหากัปปะดูสักตัว เพื่อเขาจะพา ผมเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่กันอย่างเรียบง่าย และใกล้ชิด ถึงจะมีคนเพี้ยนๆ บ้าๆ บอๆ บ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะผมก็ไม่ใช่คนสติดีเท่าไหร่อยู่แล้ว นี่นะ เผื่อผมจะมีโอกาสทิ้งความไม่จำ�เป็นไปจาก ชีวิตบ้าง เพื่อเพิ่มช่องว่างให้เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และเวลาในการทำ�สิ่งที่ตัวเองชอบ... อย่างการอ่าน การ์ตูนสนุกๆ สักเรื่องนึงไง

147


148


พบกับแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ดีๆ แบบนี้ได้ทุกๆ ต้นเดือนที่

www.pieeveryday.com

หรือ www.facebok.com/piemagazine2013

149


See You Soon. 150


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.