การพัฒนาชีวิตเพื่อความสุขในปัจจุบัน

Page 1



การพัฒนาชีวิต เพื่อความสุขในปจจุบัน

วศิน อินทสระ (จากรายการ “ธรรมและทรรศนะชีวติ ”)


คํานํา ชีวิตเปนสิ่งทีพ่ ัฒนาได ทีพ่ ฒ ั นาแลวยอมเปนไปเพื่อความสุขทั้งในปจจุบันและภายหนา พัฒนาดวยการฝกกาย วาจา ใจใหสุจริต คือประพฤติดี ไมเบียดเบียนตนและผูอื่น การไมเบียดเบียน คือ ความสํารวมในสัตวทั้งหลายเปนสุขในโลก (อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก ปาณภูเตสุ สฺโม)


พุทธอุทาน 25/86 มนุษยเราไรความสุข เพราะเบียดเบียนกันบาง เบียดเบียนตนเองบาง เพราะไมไดฝก ไมไดพัฒนาตน กลาวกันวา มนุษยเปนสัตวประเสริฐ ควรจะเติมใหถูกตองสมบูรณวา “มนุษยที่ฝกตนแลวเปนผูประเสริฐ” (ทนฺโต เสฏโมนุสฺเสสุ) ที่ไมฝกตนหาประเสริฐไม ซ้ํายังรายยิ่งกวาสัตวประเภทอื่นเสียอีก เพราะมีเครื่องมือที่มีสมรรถภาพสูงในการทํารายผูอื่น เสือวาราย ยังฆาคนไดไมมากเทาคนฆากันเอง คนที่ยังไมไดฝกจึงรายกวาเสือ แตที่ฝกใหมีคณ ุ ธรรมดีแลวประเสริฐกวาเทวดาและมนุษยดว ยกัน ดังพระพุทธพจนวา “วิชฺชาจรณสมฺปนฺโนโส เสฏโ เทวมานุเส ผูส มบูรณดวยความรูดี และความประพฤติดี ประเสริฐที่สุดในหมูเทวดาและมนุษย” การฝกตนใหเปนคนดี มีความสัมพันธกันมากกับความสุขในปจจุบัน สังคมที่มีคนชั่วมาก ก็ยอ มจะมีทุกขมาก เพราะคนทําชัว่ หาความสุขไดยาก (น หิ ตํ สุลภํ โหติ สุขํ ทุกฺกฏการินา) ตรงกันขาม คนทําดี ยอมหาความสุขไดงาย เมื่อคนดีรวมกันอยูม ากๆ ความสุขก็เพิ่มพูนขึน้ ดังพระพุทธพจนวา “ธีโร จ สุขสํวาโส ٛ าตีนํ ว สมาคโม การอยูรวมกับคนดี ทําใหเกิดสุข เหมือนอยูในหมูญาติที่ดี” “อทสฺสเนน พาลานํ นิจฺจเมว สุขี สิยา บุคคลจะพึงอยูเปนสุขไดเปนนิตย เพราะไมพบเห็นคนพาลหรือไมคบหาสมาคมกับคนพาล” คนพาลในตัวเราก็มี คือคราวใด ใจเปนพาล คราวนั้น เราก็เปนคนพาล บางทีเรามัวระวังคนพาลขางนอก จนลืมนึกถึง คนพาลขางใน คือความชั่วตางๆ ในตัวเรา กลาวคือ ความโลภ โกรธ หลง ที่พระพุทธเจาทรงเรียกวา คนพาลภายใน ศัตรูภายใน ขาศึกภายในซึ่งนําทุกขมาใหเราครั้งแลวครั้งเลา เบียดเบียนสุขของเราครั้งแลวครั้งเลา การพัฒนาชีวิตเพือ่ ความสุขในปจจุบัน จึงจําเปนตอง ขจัดขัดเกลาศัตรูภายในของเราดวยความตัง้ ใจและสม่ําเสมอ แมทีละนอยก็ตาม จึงจะบรรลุเปาหมายไดอยางแนนอน ดวยความปรารถนาดีอยางยิง่ วศิน อินทสระ


สารบัญ 25 มิถุนายน 2542 28 มิถุนายน 2542 29 มิถุนายน 2542 30 มิถุนายน 2542 1 กรกฎาคม 2542 2 กรกฎาคม 2542 5 กรกฎาคม 2542 6 กรกฎาคม 2542 8 กรกฎาคม 2542 9 กรกฎาคม 2542 12 กรกฎาคม 2542 13 กรกฎาคม 2542 14 กรกฎาคม 2542 15 กรกฎาคม 2542 16 กรกฎาคม 2542 19 กรกฎาคม 2542 20 กรกฎาคม 2542

1 6 10 15 19 24 28 34 39 44 48 53 57 61 66 70 74


25 มิถุนายน 2542 สวัสดีทานผูฟง ที่เคารพทุกทาน นี่คือรายการ “ธรรมและ ทรรศนะชีวิต” ตั้งแตวนั จันทร - วันศุกร เวลาเดียวกันนี้ สองทุม สามสิบหานาทีโดยประมาณ ผม วศิน อินทสระ จะไดมาพบกับทานผูฟงในรายการนี้ วันนีเ้ ปนวันศุกรที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2542 นะครับ การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั หรือเพื่อการ อยูเปนสุขในปจจุบัน ขอพูดโดยวิธีการตั้งคําถามขึ้นมากอน คือ “การพัฒนาคืออะไร” เราจะตอบงายๆ ก็คอื “การกระทําที่เปนเหตุ ใหบางสิ่งบางอยางเจริญเติบโตขึ้นหรือขยายตัวออก เชน ตนพืช พัฒนาขึ้นมาจากเมล็ดพืช ในสภาพแวดลอมที่เหมาะสม ลูกไกเติบโต ขึ้นมาจากฟองไข และก็จะออกมาเปนตัวเมื่อแมไกฟก ดีแลว หรือไดเครื่องมือทางวิทยาศาสตรที่ทําใหเหมือนหรือคลายกับที่แมไกทํา เรื่องราวตางๆ เจริญเติบโตอยูในใจของผูประพันธกอนแลวออกมาเปนบทประพันธ ใครๆ ที่มาเห็นกรุงเทพฯ ตางก็เห็นวากรุงเทพฯ พัฒนาไปมากจนเกือบจําไมได ไปไหนไมถูกถา 3 - 4 ป หรือ 5 - 6 ป มาเห็นสักครั้งหนึ่ง ไปไหนไมถูก คนมากขึน้ บางทีก็เพียงเทอมเดียว 4 เดือน 5 เดือนไปไมถูกแลว เคยไปทางเกาแลวทางมันเปลี่ยนไปยังไงไมทราบ คนมากขึ้นตัวเมืองขยายออกจนเปนเรื่องรกรุงรัง ไมสงบเรียบรอย การจราจรติดขัดอยางใหญหลวง เพราะความมากหรือความเจริญเติบโตขึ้นอยางรวดเร็วแตดอยคุณภาพ การพัฒนาตองคํานึงถึงคุณภาพดวย ไมใชวาใหเจริญเติบโตขึ้นใหขยายออกโดยไรคุณภาพ ตองมีคุณภาพดวยถึงจะดี สิ่งที่สําคัญกวาก็คือ “ผลของการพัฒนานัน้ เปนอยางไร” คือวา รก รุงรัง ยุงเหยิง หรือวาสงบ เปนระเบียบเรียบรอยนาชื่นชม หรือเปนอยางไรมันก็ขึ้นอยูก ับคุณภาพ ถาดอยคุณภาพก็ยุงเหยิง สับสน ถามีคุณภาพดีก็จะสงบเรียบรอย ถาในที่ประชุมแหงหนึ่งมีคนมาประชุมกันเปนจํานวนมาก แตสงบเรียบรอยดีเพราะวาคนมีคณ ุ ภาพ ก็สงบเรียบรอย แตวา ถาเอาพวกนักเลงสุรามากินเหลาคุยกันแคสัก 4 - 5 คน มันก็จะ หนวกหูไปทั้งหอง ถาเปนหองประชุมก็จะหนวกหูไปทั้งหองประชุม การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั หรือในอนาคต ก็ตามเราก็จะตองพัฒนาคนหรือพัฒนาตนใหมีคุณภาพ อันที่จริง “เราพัฒนาใครไมได ถาเขาไมพฒ ั นาตนเอง” ชีวิตที่ดีคือชีวติ ที่มีคุณภาพ ชีวิตจะมีคุณภาพไดตองมีคณ ุ ธรรม คุณธรรมจะมีไดก็ดว ยการฝกฝนอบรม วันนีก้ ็จวนจะเขาพรรษา เดือนหนาก็จะเปนเดือนเขาพรรษา มีผูปรารภเรื่องการบวชกันมากขึ้นนะครับ บวชในพรรษา พอแมอยากจะใหลูกบวชเพื่อสนองคุณมารดาบิดา แมกเ็ ปนหวง บางทีถาลูกชายแตงงานไปแลว 1 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


แมเปนหวงวาจะไดบุญนอยไป ขางฝายภรรยาอยากจะไดบุญมากจากการที่สามีบวช ก็เลยคอนขางจะ กุลีกุจอกันในการที่จะชวยเหลือในการบวชของลูกชายหรือสามี แลวบางคนก็อยากถาม จะโทรฯ ไปถามทานผูรูวา เมื่อลูกชายแตงงานแลวคอยบวช โบราณเขาบอกวา บุญจะไดกับภรรยาเสียหมดแลวแมจะไมไดบุญ เปนความจริงแคไหนเพียงไร เพราะฉะนั้น แมหลายคนอยากจะใหลูกบวชเสียกอนแตงงานเพื่อวาแมจะไดบุญเต็มที่ ไดเต็มเม็ดเต็มหนวย ภรรยาบางคนอยากจะไดบญ ุ เหมือนกัน ก็เลยบวชใหแมแลวบอกวา อาว! บวชใหเมียบางสิ เลยบวชอีกที บวชใหเมีย ความคิดแบบนี้เปนความคิดที่โบราณแลว เพราะวาบวช โปรดพอโปรดแม ผมคิดวานาจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม พอแมหรือภรรยาก็ตามนาจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม คืออยาไปคิดจะเอาบุญจากทีพ่ ระบวชเลย ขอใหคิดเสียใหมวา “พระที่บวชเขาไปนัน้ จะไดอะไร” แตอยาไปคิดวาแมจะไดอะไร ภรรยาจะไดอะไร ขอใหคดิ วาพระที่เขาไปบวชทานจะไดอะไร ไดธรรมะสักเทาไร ไดปญญาสักเทาไร ควรจะตัง้ เข็มเอาไววาไปบวชเพื่อจะไดธรรมะ เพื่อจะไดปญญาเอามาใช ถาจะสึกเราก็จะไดเอามาใชในชีวิตฆราวาสเอามาใชในชีวติ ประจําวัน ถาลูกบวชแลวเปนคนดี ตอนที่อยูเปนพระก็เปนพระที่ดี สึกมาแลวก็เปนฆราวาสที่ดี นั่นแหละคือพอแมไดบญ ุ บุญมันอยูตรงนั้น เมียก็ยิ่งไดบุญใหญเลยถาเผื่อไดสามีดี ก็ยิ่งเปนบุญใหญเลย ใครๆ ก็อิจฉา ใครๆ ก็อยากได ใครๆ ก็บอกวามีบุญ ผูหญิงคนนั้นมีบุญที่ไดสามีดี มันมีบุญตรงที่ไดดี แมก็ไดลูกดี ภรรยาก็ไดสามีดี บุญมันอยูตรงนั้น มันไมไดอยูทวี่ าลูกหมผาเหลือง แลวก็แมไดบุญ ไมรูวาบวชแลวหมผาเหลืองแลว ไปทําอะไรอยูใ นวัดถาบวชแลวไปนั่งแกนาฬิกาอยูในวัด จะไดบุญอะไร สักแตวาหมผาเหลือง เพราะฉะนั้น พอแม ญาติพนี่ องหรือภรรยาที่ตองการใหลูกบวชในหนาเขาพรรษานี้ ควรจะคิดเสียใหม แทนที่จะคิดวาเราจะไดบุญสักเทาไหร จะไดบุญสักกี่เปอรเซ็นต ภรรยาจะไดสักกี่เปอรเซ็นตเปนหวงกันเหลือเกิน แมจะไดสักกี่เปอรเซ็นตอยาไปหวงเรื่องนัน้ เลยครับ หวงเรื่องพระบวชไปแลวไปทําอะไร ถาเผื่อวาไปศึกษาพระธรรมวินัยอบรมตนใหเปนคนดี เปนพระที่ดี สึกออกมาแลวเปนคนดีเอาธรรมะเอาปญญาที่ไปร่ําเรียนนั่นแหละมาใชในชีวิตประจําวัน นั่นคือยอดของบุญ อยาไปเปนหวงเลยวาพระหมผาเหลือง จะเกาะชายผาเหลืองลูกไปสวรรควิมานอะไร อยาไปคิดเลยครับ มันเกาเหลือเกินแลว ไมมเี หตุผลอะไรที่จะเกาะชายผาเหลืองลูก เพื่อไปสวรรคไปวิมานอะไร ใหลูกเขาบวชเพื่อตัวเองเถอะ ไมตอ งบวชโปรดพอโปรดแมหรอก ใหเขาโปรดตัวเองใหไดเถอะ ใหเขาเปนคนดี ใหเขาพนจากอบายเถอะ ยังไงก็ใหพน จากอบายมุข บางคนบวชแลวตั้งหลายปสึกออกมาก็ฝก ใฝอบายมุขทุกอยาง แลวจะไดบุญอะไร บางทานบวชอยูก็ไปเปนพระเสเพลก็มี แลวจะไปไดบุญอะไร 2 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เพราะฉะนั้น ก็ขอใหคิดกันใหมสําหรับบุญที่จะทํา แมตอ งทําเอาเอง ภรรยาก็ตองทําเอาเอง อยากไดบุญตองทําเอาเอง อยาไปหวังพึ่งบุญจากที่พระบวชเลย พระบวชก็ใหไปบวชเพื่อจะฝกอบรมตนใหเปนคนดี แลวก็จะเปนคนมีบุญ ไมใชเพื่อจะโปรดพอโปรดแมอะไร มันไมสมเหตุสมผลพูดกันไปอยางนั้น เวลานั้นเราไมไดเรียนหนังสือ คนโบราณไมไดเรียนหนังสือ คนที่จะเรียนหนังสือตองไปเรียนในวัด บวชแลวไดเรียนหนังสือ ไดรูหนังสือ ไดรผู ิดรูถูก ไดรูดรี ูชั่ว แลวก็ทําใหพอแมสบายใจนอนตาหลับ นั่นคือโปรดพอแม มันเปนอยางนั้นหรือเปลา สําเร็จผลประโยชนตามนัน้ หรือเปลา ถาไดสําเร็จตามนั้นก็ถือวาโปรดแลวตองโปรดตัวเองกอน บางคนก็มาลา มาลาผูพูดนี่แหละ มาลาผมไปบวชใน ฐานะที่เคารพนับถือ บอกวาบวชแลวเพื่อจะไดเปนหนึ่งในพระ รัตนตรัย ผมบอกวา ทําไมเปนหนึ่งในพระรัตนตรัยเร็วนัก สักแตวาไปบวชหมผาเหลืองแลวก็เปนหนึ่งในพระรัตนตรัย อยางนัน้ หรือ ลองทองสังฆคุณใหดสู ิ ตามสังฆคุณผูที่จะเปนพระรัตนตรัย อยูใ นรัตนตรัยตองเปนพระอริยะ ตองเปนพระอริยเจาตั้งแตพระโสดาบันขึ้นไปนั่นแหละเปนหนึ่งในพระรัตนตรัย เปนสงฆ เปนสังฆะ แตถาบวชเปนสมมุตสิ งฆนี่ยัง เพราะยังไมเปนหนึ่งในพระรัตนตรัย เปนแตเพียงผูพ ยายามปฏิบตั ิเพื่อจะเปนคนดีหรืออยางนอยก็เพื่อที่จะเปนหนึ่งในพระรัตนตรัยในโอกาสขางหนา เหมือนกับวาเราตองทําความเขาใจกันใหถูกตอง ไมใชสักแตวาทํากันพอเปนพิธีหรือวาถือกันมาอยางไร เปนเถรสองบาตรไปได สมัยนี้มันเปนสมัยที่เราควรจะรูอะไรโดยเหตุผล มันมีหนังสือเยอะแยะที่จะอานทําความเขาใจได อยาไปถืออะไรที่มันไมมีเหตุผล ไมสมเหตุสมผลอยูเลย มันจะไมไดประโยชน อันนีผ้ ม ขอปรารภเรื่องการบวชในพรรษา วันตอไปอาจจะพูดบางอีกนะครับ ก็แลวแตเรื่องราวที่ไดไปประสบพบเห็นหรือไดยินไดฟงเขา ทีนี้ก็ขอบอกไปสําหรับเรื่องที่ผมคางเอาไวครับ ถาคนเราจะพัฒนาชีวิตใหดกี ็คือชีวิตที่มีคณ ุ ภาพ ชีวิตทีด่ ีก็คือชีวิตที่มคี ุณภาพ ชีวิตที่จะมีคุณภาพไดก็ตองมีคุณธรรม คุณธรรมจะมีไดกด็ วยการฝกฝนอบรมถึงจะมีคุณธรรมได ฝกฝนอบรมใหเปนคนที่มีความรูดี มีความสามารถดี มีความประพฤติดี ที่พระพุทธเจาทานใชคําวา วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เปนผูสมบูรณดวยวิชชาและจรณะ คือมีความรูดี มีความประพฤติดี แลวถามีความรูดีถึงที่สุด 3 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


มีความประพฤติดีถึงที่สุด ก็จะ โส เสฏโٛ เทวมานุเส คือวาเปนผูทปี่ ระเสริฐที่สุดทั้งในหมูเ ทวาและมนุษย หมายความวา มีความรูดีที่สุดและมีความประพฤติดีที่สุด มันมีหลายขั้นหลายตอน แตอยางไรก็ตาม มันก็ตอง เริ่มไปจากเล็กๆ นอยๆ ธรรมดาสามัญกอน เริ่มเรียนวิชาตางๆ ที่จะดํารงชีวิต หรือที่จะนํามาใชกับชีวติ วาวิชาแตละวิชามันก็มีคณ ุ อยูแลวในตัว ถาเรารับรูหลายวิชาก็จะเปนการเก็บเอาคุณนั้นๆ มารวมไวในตัว เชนวา ประวัติศาสตรทําใหเรารอบรูเพิ่มพูนไหวพริบวรรณกรรมทําใหรื่นรมย คณิตศาสตรฝกเราใหเปนคนละเอียดถี่ถวน ปรัชญาทําใหเราเขาใจความจริงตางๆ อยางลึกซึ้งกวางขวาง ทําใหผูเรียนเปนผูมีใจกวางไปดวย ตรรกศาสตรปรัชญา ทําใหโลกทัศนที่กวางออกไป ไมมองอะไรแงเดียว many views คือมองอะไรหลายดาน ตรรกศาสตรทําใหคิดอยางมีเหตุผล แลวก็จริยธรรมหรือศีลธรรมอบรมเราใหรักความสงบ อยางนี้เปนตน ตามที่ยกตัวอยางมานี้จะเห็นวา วิชาตางๆ มีคุณอยูในตัว ถาเราเรียนทั้งประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย จึงไดวางหลักสูตรไวหลายสาขาวิชา ผูเรียนตองนึกถึงวาวิชาที่เรียนในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยเปนพื้นฐาน เปนเพียงพื้นฐานหรือแนวทางเทานั้น ก็เหมือนกับรากฐานของตึกหรือโครงสรางของบาน เพราะวิชาการนั้นๆ จะเต็มบริบูรณหรือสูงสงเพียงไร ก็ขึ้นอยูก บั การคนควาเติมเต็มของผูเรียน เมื่อเรียนจบแลว มนุษยเรานี่จะดีไดหรือวาจะไดดี จะตองมีการศึกษาและไดรับการอบรมที่ดี ดูเหมือนวาประการหลังนี้มีความสําคัญกวาประการแรก คือการฝกฝนอบรม จะมีความสําคัญมากกวาการศึกษาเลาเรียน พูดถึงจุดเริ่มตนของการอบรมที่สําคัญที่สุดก็คือบาน คือ ครอบครัว ในครอบครัวที่อยูในสภาพเรียบรอย นอยนักที่เด็กจะ เกเร เด็กนี่เลียนแบบแลวก็ติดนิสยั อยางใดอยางหนึ่งไดงาย โดย เฉพาะอยางยิ่งนิสัยใจคอของพอแมหรือคนใกลชิด มีสุภาษิตกรีกโบราณอยูบทหนึ่งวา “ถามีทาสอยูคนเดียวแลวก็ใหลูกของทานหมกมุนอยูกับทาสตลอดเวลาแลว ในไมชาทานจะมีทาสสองคน” หมายความวาในไมชา ลูกของทานก็จะมีกริ ิยา วาจา เหมือนทาสไปดวย ทํานองเดียวกัน มีสุภาษิตสเปนบทหนึ่งวา “ถาเผื่อทานอยูในหมูสุนัขบาไปนานๆ ลงทายทานก็จะหอน” เราเคยใหเด็กไปอยูกับสุนัขบาแลวเด็กมันก็เปนเหมือนกับสุนัขบา แตทีนี้ลองดูกลับกัน เวลาสุนัขบามาอยูกบั คน ทําไมสุนัขมันไมเหมือนคนนะ ทําไมมันไมเปลี่ยนเปนคนบาง ทําไมมันก็ยังเปนสุนัขอยู ตั้งแตเล็กๆ นะ มันมาอยูก ับคนตั้งแตมันยังเล็กๆ มันไมเปนคน แลวพอคนไปอยูกับสุนัขมันก็เดิน 4 ขา เหมือนสุนัข ทําไมสุนัขมันไมเดิน 2 ขาเหมือนคนบาง ก็ลองคิดดู 4 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


พระพุทธเจาตรัสวา ยํ เว เสวติ ตาทิโส คบคนเชนไร ก็จะเปนคนเชนนัน้ เมื่อเราเติบโตขึ้นตองพยายามคบหาสมาคม กับคนที่ดี เพื่อไดถายทอดลักษณะที่ดีของเขา การคบคนดีจะเปนคุณประโยชนกับเราไปตลอดชีวิต ขอยกตัวอยางนิดหนึ่ง ชาโต บริยัง นักการเมืองคนสําคัญคนหนึ่งของฝรั่งเศสนับถือประธานาธิบดี จอรช วอชิงตัน ของสหรัฐอเมริกามาก อุตสาหเดินทางดวยความยากลําบากไปเพือ่ เห็น จอรช วอชิงตัน ดวยการเห็นเพียงครัง้ เดียว ชาโต บริยัง ถายทอดเอาคุณลักษณะของจอรช วอชิงตัน ไดมาก ทานไดเขียนเอาไวในหนังสือเลมหนึ่งของทานวา นัยนตาของจอรช วอชิงตัน ที่ทอดมายังขาพเจานัน้ ทําใหขาพเจามีความอบอุนไปตลอดชีวิต การทอดสายตาของคนดีและคนมีประโยชนนั้นใหความอบอุนและความชื่นสุขแกผูเขาใกลไดอยางแนนอน เพียงแตไดเห็น เซอร วอลเตอร สก็อต เทานั้น เฮเลน คันนิ่งแฮมส ไดรับประโยชนอยางเหลือหลาย ทําใหทานเปนนักประพันธที่ดีขึ้นมาได คนดีเมื่อเราเขาใกล ทําใหเรารูส ึกอยากเปนคนดี อยากเปนคนสงบ แตคนสงบเมื่อเราเขาใกล เราไดยนิ เขาพูดทําใหเรารูสึกรักสงบนี่เปน ตัวอยางนะครับ * การพัฒนาชีวิตเพื่อความสุขในปจจุบนั เรียบเรียงจากการบรรยายธรรมของอาจารยวศิน อินทสระ ในรายการ “ธรรมและทรรศนะชีวิต” ระหวางวันที่ 25 มิถุนายน - 20 กรกฎาคม 2542

5 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


28 มิถุนายน 2542 ถาเราเปนคนเชนไร ก็ทําใหคนอื่นเขามีความรูสึกอยางนัน้ ในเบื้องแรก แลวคบไปก็จะไดถายทอดคุณสมบัติที่ดี ถาเผื่อเราเปนคนราย เราก็ถายทอดเอาคุณสมบัติรายๆ เหมือนกัน ถาเขาพรอมที่จะราย ในการฝกฝนพัฒนาตนเอง นอกจากเราอาศัยคนอื่นชวยอบรมฝกฝนแลว การฝกฝนตนเองมีความสําคัญอยางยิ่ง โดยเฉพาะการฝกฝนตนเองใหเอาชนะอํานาจฝายต่ํา เราไมยอมทําสิ่งที่ฝนมโนธรรมของตน คนที่ชนะตนเองไดนับเปนคนประเสริฐแทจริง มโนธรรมก็คือความรูสึกผิดชอบชั่วดี คนเรามีความรูสึกไมเหมือนกัน มโนธรรมของคนปากับ มโนธรรมของคนดี ไดรับการศึกษาดีแลวก็ไมเหมือนกันมโนธรรมของปุถุชนกับมโนธรรมของพระอริยะก็ไมเทากัน ความรูสึกผิดชอบชั่วดีของคนจึงไมเหมือนกัน เคยคุยกับคนบางคน เมื่อเชานี้มีแขกมาพบเกี่ยวกับเรื่องการพิมพหนังสือ ก็พูดเรื่องการประทุษรายกัน ผมบอกวาในเรื่องการประทุษรายกันนี่ ถาเผื่อคนเรามาคิดเสียวาแทนการฆาคนอื่น เรามาฆาความโกรธเสีย ฆาความโกรธในใจของเราเสียมันก็หมด ปญหา แตที่ไปฆาเขาก็เพราะโกรธ เคียดแคน ชิงชัง แทนที่จะไปฆาคนอื่นซึ่งมันลําบากกวาตั้งเยอะ เราก็ฆาความโกรธเสีย มีคนมาถามพระพุทธเจาวา ฆาอะไรเสียไดจึงอยูเปนสุข พระพุทธเจาก็ตรัสวา “ฆาความโกรธเสียไดจะอยูเปนสุข ฆาความโกรธเสียไดแลวไมเศราโศก” เขาก็บอกวา แหม ถาคนคิดไดอยางนี้กนั ทั้งหมด สังคม ก็สงบเรียบรอย มันจะตองคอยๆ คิด คอยๆ ทํา มันจะตองสดับธรรม ตองไดฟงธรรม ไดสดับธรรม ไดฝกฝนตนในทางธรรมบางจึงจะ ทําได ไมงั้นทําไมได มันคอยแตจะทําตามความเคียดแคนชิงชังอยู เรื่อย สังคมมันเลยไมเรียบรอยสักทีหนึ่ง แตถาหันมาเลนงานกับตนเหตุของมัน มันก็งายขึน้ เยอะ อยางที่ผมเคยเปรียบเทียบขอนํามาพูดอีก เพื่อใหเขากับเหตุการณอนั นีว้ า ถาเราเอาไมไปแหยสุนัข สุนัขมันก็จะกัดปลายไม กัดปลายไมคนแหยก็สนุก มันสบาย เพราะตัวไมเดือดรอน เห็นสุนัขกัดปลายไม ก็แหยก็เลนสบาย แตถาเอาไมไปแหยเสือ เสือมันไมกัดปลายไมที่แหยหรอก มันจะกระโจนกัดคนแหย นัน่ แหละ เพราะวาเสือมันฉลาด มันกําจัดที่ตนเหตุ ตนตอของความรําคาญของมันทีเดียว ถาเผื่อกัดปลายไม

6 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ไมนั้นมันพังไปผุไป หักไป คนมันหาไมใหมได แตถาไปกระโจนกัดไอคนแหยนนั่ นะ มันจะหนี ไมงั้นมันก็ตาย มันตายแลวก็เปลี่ยนไมไมไดเรียกวา ตนตอของมัน มันกําจัดที่ตน ตอของมัน เพราะฉะนั้น คนที่ไปฆาคนอื่นเพราะความโกรธ เราโกรธคนนั้น อีกหนอยก็ตองมีคนทําใหโกรธอีก มีคนอื่นที่จะทําใหโกรธอีกก็ตองไปฆาเขาอีก ไอตนตอมันอยูที่จิตใจของเรา ใจโกรธ ของเรา ถาไปฆาตนตอของมันฆาที่ใจโกรธนั้นเสีย ตอนหลังจะไมมีใครมาทําใหใจโกรธไดก็ไมตองไปฆาใคร ก็คุยกันเรื่องทํานองนี้นะครับรูสึกวาเขาก็สบายใจที่ได ฟงสิ่งดีๆ แลวก็ฝกใหชนะตนเอง หรือเอาชนะความโกรธ ได ประโยชนแทบุญเหลือ ฝกฝนตนใหเปนคนขยันหมั่นเพียร ถือหลักของพระพุทธเจาที่วา “คนขยันมีชวี ิตอยูวันเดียวหรือปเดียว ประเสริฐกวาคนเกียจครานมีชีวิตอยูถึงรอยป” มีชีวิตอยูอ ยางเกียจคราน รอยปก็ไมมปี ระโยชน สูคนขยันมีชีวติ อยูปเดียวไมได มีชีวิตอยู ตอไปอีก 1 ป แตวาเปน 1 ปที่เต็มไปดวยประโยชน กับคนที่ อยูไปตั้งรอยป แตมันเปนรอยปที่ไมมีประโยชน อยูปเดียวดีกวา ก็ใชเวลาใหเปนประโยชน เพราะวาเวลาที่ลวงไปแลวไมหวนกลับมาอีก เสียไปแลวก็เปนอันวาเสียไปเลย คาของเวลาอยูท ี่เราใชมันใหเปนประโยชน คนไมทําอะไรชีวิตก็สึกหรอไปเปลาๆ ดังนั้น คนขยันเมื่อชีวิตลวงไปก็นําเอาประโยชนตดิ ไป ดวยเจานายบางทานของเราคนสําคัญในอดีต เชน สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ซึ่งไดรับเกียรติวาเปนพระบิดาของประวัติศาสตรไทย ดูเหมือนวาพระองคจะไมมีเวลาวาง ชนิดที่เรียกวาอยูเฉยๆ หรือวาทําอะไรที่ไรสาระ เวลานอกราชการหรือ เวลาที่ทรงวางจากการทํางานสวนใหญจะทรงใชไปในทางทรงอานหนังสือแลวก็ทรงเขียนหนังสือ ทรงทําพระองคเปนนักศึกษาอยูตลอดเวลา โดยที่ทรงถือคติประจําพระองควา “เชาเรียนเปนวิทยาทาน ค่ําตองหาความรูตอ มิฉะนัน้ มันจะหมด” คนที่นึกวาตัวรูพอแลวเปนคนตายแลวเปนๆ คือตายทั้ง เปน เพราะวาโลกหมุนอยูทกุ นาที เราตองเรียนตามมันไปจึงจะอยูกับโลกโดยไมโงได เนื่องจากทรงทําพระองคเปนนักศึกษาอยู ตลอดเวลานั่นเอง จึงทําใหทรงเปนผูรอบรูเรื่องราวตางๆ อยาง นาอัศจรรย นาพิศวง ก็ความรูทรงไดจากการทรงศึกษาอยางมิรหู ยุดหยอนนี่ ก็ไดเปนประโยชนทั้งแกงานในหนาที่ราชการและประโยชนทั่วไป ดังที่ปรากฏอยูในงานพระนิพนธตางๆ จํานวนมากมายที่แพรหลายอยูแลว กรมพระยาดํารงราชานุภาพเปน นักปราชญผูยงิ่ ใหญทานหนึง่ ของเมืองไทย ประวัติของทานนาสนใจมาก ไดเคยเขียนประวัติของทานไวหลายปแลว ตั้งแตป 2533 เกือบ 10 ป แลวก็ใชเวลาวางใหเปนประโยชน อยาเอาเวลาไปทิ้งเสียเปลาๆ อยาฆาเวลาเสีย หลายคนบอกวาทําเพื่อฆาเวลา 7 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


นาเสียดาย ถาเราฆาเวลาบอยๆ อีกหนอยเวลาจะฆาเรา เราตองใหเกียรติแกเวลา นับถือเวลาบูชาเวลา ใชเวลาใหเปนประโยชน แลวเวลาจะใหรางวัลแกเราอยางมาก คนที่ทํางานมากอาจไมไดเปนคนสําคัญทุกคนนะครับ แตคนสําคัญทุกคนตองทํางานมากและขยันเสมอ คาของคนวัดกันที่ผลของงาน และความดีประจําตน เวลลิงตันเปนคนสําคัญคนหนึ่ง เวลลิงตันเปนคนอังกฤษที่รบ ชนะนโปเลียน ปรากฏวาเปนคนขยันมาก คนที่สามารถรบชนะ นโปเลียนไดเปนคนที่ขยันมาก แลวเวลลิงตันก็เปนคนขยัน รบชนะนโปเลียนที่วอเตอรลู ปรากฏวาเปนคนขยันมาก อานและ คัดลอกเรื่องราวไวตั้งแตอายุ 10 ป ทราบวายังเก็บเอาไวจนกระทั่ง บัดนี้ เคยอานประวัติคนสําคัญหลายคน จะเริ่มตนชีวิตเมื่ออายุ 13 มันก็เปนเรื่องประหลาด เนหรูเขียนจดหมายถึงลูกสาวอินทิรา เลาถึงประวัติศาสตรโลกตั้งแตอินทิราอายุ 10 ขวบ จดหมายนั้น ก็มีอิทธิพลใหทานอินทิรา คานธี สนใจตอการเมือง ประวัติศาสตร แหงมนุษยชาติตั้งแตยังเยาว และก็เปนผลใหอินทิราเปนผูนําของ อินเดียเปนเวลาชานาน โบราณทานวา “พอบานไดรับความนับถือในบานของตน พระราชาไดรบั ความนับถือในแวนแควนหรือประเทศของตน แต นักปราชญไดรับความนับถือทัว่ โลก” เพราะฉะนั้น คนที่ยิ่งใหญทาง วิชาการหรือเปนนักปราชญ มีความยิ่งใหญทางวิชาการจนไดรับ การยกยองวาเปนนักปราชญจะยิ่งใหญไปทั่วโลก ไมใชยิ่งใหญเฉพาะ ในประเทศของตนหรือเฉพาะในบานของตนเทานั้น อันนี้เกี่ยว กับเรื่องการฝกฝนตนเอง พระยาอนุมานราชธน หรือเสฐียรโกเศศ ถาอานประวัติทานจะรูเลยวาทานฝกฝนตนเองอยางไร ฝกฝนตนเองมาก อันนี้ผมก็เลาอะไรตออะไรใหฟงเกีย่ วกับเรื่องการพัฒนา การพัฒนาเพือ่ ความสุขในชีวิตปจจุบนั ทีนี้ก็ลงลึกอีกสักหนอย มาตามแนวทางพุทธโดยตรง ที่วาเราจะตองฝกฝนพัฒนาอะไรบาง ในการฝกฝนอบรม พัฒนาเพือ่ ความสุขในชีวิตปจจุบนั ที่พระพุทธเจาทานทรงเรียกวา “ภาวนา” ที่เราเรียกกันอยูวา “พัฒนา” ทุกวันนี้พระพุทธเจาทานเรียกวา “ภาวนา” ทรงสอนใหมีภาวนา 4 อยาง ประการแรก คือ “กายภาวนา” ฝกฝนอบรมกาย การฝกฝนอบรมกายนี้มนั เกีย่ วกับปจจัยสี่ คือใหมีความรูใ นเรื่องโภชนาการพอพึ่งตัวได เลือกกินอาหารมีคุณภาพ ราคา พอประมาณ หรือหลัก “กินเพื่ออยู” ไมใช “อยูเพื่อกิน”

8 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


แลวก็กินเพราะหิวไมใชกินเพราะอยาก คือวาไมตามใจลิน้ ถาตามใจลิน้ ก็ จะสิ้นเปลืองเงินมากเกินไป แลวก็ยังเปลืองตัวดวย บางทีก็ทําใหอว นเกินไปหรือเปนโรคบางอยางสืบเนื่องมาจากกินไมเปน แนวทางกินอยูอ ยางพอดี ใหมีความทุกขนอ ย แกชา และอายุยืน พระพุทธเจาตรัสสอนพระเจาปเสนทิโกศลวา มนุชสฺส สทา สติมโต มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน ตนุกสฺส ภวนฺติ เวทนา สณิกํ ชีรติ อายุ ปาลยํ “คนที่มีสติทุกเมื่อ รูจักประมาณในการบริโภคหรือในโภชนะที่ไดแลว เวทนาของทานก็เบาบาง หรือวามีทุกขเวทนาเบาบาง ทุกขเวทนานอย” สณิกํ ชีรติ อายุ ปาลยํ แปลวา แกชา คือไมแก แกชา อายุยืน เรื่องทางกินนี่ ทางโภชนาการเขาก็พูดกันมาก ที่หนึ่งเรื่องอาหาร คนสวนมากไมไดรับการศึกษาเรื่องนี้เทาไรนัก ไมคอยมีกินบาง พอมีกนิ ก็เลยกินใหญ คนที่มีอันจะกินก็เพลิดเพลินในการกิน มันสนุก สนุกในการกิน ก็ไมไดตระหนักรูว ามันเปนกิเลสอยางหนึ่ง นี่ถาเผื่อตามใจตัวเองมากเกินไป เรื่องเสื้อผา เรื่องที่อยูอาศัยก็ทํานองเดียวกัน เรามุงเอา ความสําเร็จประโยชนสวมใสสบาย ดูสบายสําหรับเราเปนสําคัญ เราไมใชเพือ่ จะอวดใคร หากเราทําใจไดอยางนี้ เราก็จะทําแตพอดีไดทุกอยาง ทุกอยางตองไปตั้งตนที่ใจ ยารักษาโรคนัน้ ก็มีจํานวนมาก โรคก็มีมากถาเรายอมสละเวลาเพียงวันละเล็กนอย ศึกษาความรูเรือ่ งโรคเรื่องยา พอพึ่งตัวเองไดบางจะลดปญหาลงไปไดมากมาย ทั้งปญหาของเราเองและปญหาสังคม โรงพยาบาลลนเพราะคนสวนใหญไมมีความรู ไมหา ความรูเพื่อชวยตนเอง โรงพยาบาลเอกชนตั้งขึ้นมากมายเพื่อสนองความตองการของประชาชน แตกแ็ พงเหลือหลาย ชาวบานซื้อยากิน ปละประมาณ 80,000 ลานบาท 80% เปนยาจากตางประเทศ 30,000 กวาตํารับ 20% เปนยาไทยหรือยาสมุนไพร 3,000 กวาตํารับ นี่ขอมูลจากการใหสัมภาษณของแพทยและเภสัชกรใน รายการเวทีชาวบาน วันศุกรที่ 26 พฤศจิกายน 2536

9 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


29 มิถุนายน 2542 เรื่องที่กําลังคุยกับทานผูฟงอยูในชวงนีก้ ็คือ เรื่องการพัฒนาชีวิตเพื่อความสุขในปจจุบัน เรื่องอาหาร เรื่องยา เรื่องอะไรนี่ ถาเผื่อเราไดหาความรูเอาไวบางก็ดีนะครับ ก็จะเปนประโยชนพงึ่ ตนเองได ถาไมเหลือวิสยั จริงๆ ไมเหลือเกินจริงๆ ก็ไมตองหาหมอ เปนการแบงเบาภาระของหมอพยาบาล แลวก็ประหยัดคาใชจาย ชวยประหยัดเสียหนอยเถอะครับ ถาเผื่อวาชาวบานเรามาสนใจพวกนี้บา ง คาใชจายเรื่องสาธารณสุขมูลฐานก็จะเปนการปองกันสิ่งไมดีที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตไดพอสมควร ถาเหลือเกินจริงๆ ถึงไดคอยไปอาศัยหมอ เคยอานเหมือนกัน หมอเขาบอกวามีเปอรเซ็นตสูงมากคนที่ไปโรงพยาบาลหรือไปหาหมอ ปกติถามีความรูทางสาธารณสุข มูลฐานในเรื่องการกิน การอยู การอะไรตางๆ ไมจําเปนตองไปหาหมอ เวลานี้โรงพยาบาลก็ลนแลวลนอีก ไมไหว บางคนก็ไปตั้งแตเชาเอารองเทาไปจอง ฉันจอง ไปตั้งแตเชาตี 5 ตี 4 กวาจะไดตรวจเสร็จก็บาย 2 โมงก็มี ก็นาเห็นใจมากเลยครับทุกฝาย ทั้งผูปวย ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล บางคนก็เกือบจะไมตองไปหาหมอเลย เพราะวามีความรูทางนี้ พอรักษาตนเองได ยังจะพอเปนประโยชนตอครอบครัว พอดีพอรายก็ไมจําเปนตองไปหาหมอ อันนี้สําหรับ ผูที่ฟงอยูในวัยที่พอจะรักษาตนเองได ถาเปนคนเฒาคนแกบางทีความชรามันทําใหอวัยวะตางๆ มันทรุดโทรมไป ถึงอยางไรก็อาจจะตองพึ่งหมอบางตามสมควร ตามกาลเวลา เหมือนกับรถเกามันก็ชํารุดทรุดโทรมไปถึงอยางไรมันก็ตองเขาอูซอม ถาเปนรถใหมถารักษาดี ขับดี เขาเช็คตามระยะทางตามกิโลฯ มันก็จะรักษาไวได ไมไปเฉี่ยว ไปชน ไมไปทําอะไรใหมันเดือดรอนเสียเองมันก็จะไมเปนอะไร อันนี้ผมก็ขอทบทวนเรื่องยานิดหนึ่ง เมื่อวานที่พูดเพราะ วาเวลาจํากัด พูดถึงเรื่องชาวบานซื้อยากินปละประมาณ 80,000 ลานบาท แลวก็ 80% เปนยาจากตางประเทศ 30,000 กวาตํารับ ไมใชนอยนะครับยาจากตางประเทศ เราตองจายเงินไปตางประเทศ แลว 20% เปนยาไทยหรือสมุนไพรก็มี 3,000 กวาตํารับ อันนี้ขอมูลจากการใหสัมภาษณของแพทยและเภสัชกร ในรายการเวทีชาวบาน วันศุกรที่ 26 พฤศจิกายน 2536 ผมก็จดเอาไวนะครับ ดูทีวีรายการนีแ้ ลวก็จดเอาไวตั้งแตป 2536 หลายปมาแลว 5 ปมาแลว 6 ป 7 ป การพัฒนาในประการที่ 2 คือ “การอบรมศีลภาวนา” 10 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


การอบรมนี่กห็ มายถึง การอบรมกาย วาจา ใหอยูใ นศีล คือมีความประพฤติดี มีมารยาทงาม ดูดี นาเคารพนับถือ นาเลื่อมใส นารัก นาเชื่อถือไววางใจ อันนี้คือสาระสําคัญของศีล อบรมตนใหเปนคนเชนนัน้ ใหมีกิรยิ ามารยาทดี เชาขึ้นมาจะสมาทานศีล 5 ศีล 10 ก็ได ศีล 8 ก็ได สมาทานก็คอื ตั้งใจ ตั้งใจดวยตัวเอง ทําดวยตัวเองไมตองไปรับจากพระก็ได สมาทานตอหนาพระพุทธรูป ก็ได หรือตั้งใจเอาเฉยๆ ก็ได ศีล 5 ก็รูกันอยูแ ลว ศีล 8 ก็รูกันอยูแ ลว ศีล 10 ก็คือ กุศลกรรมบถ 10 ทางกาย 3 ทางวาจา 4 ทางใจ 3 ก็คือเวนทุจริตทางกาย วาจา ใจ นั่นเองครับ ทางกาย 3 ก็คือ เวนปาณาติบาต เวนอทินนาทาน เวนกาเมสุมิจฉาจาร ทางวาจา 4 ก็คือ เวนมุสาวาท เวนพูดเท็จ เวนพูดสอเสียด เวนพูดคําหยาบ เวนพูดเพอเจอ ทางใจ 3 ก็คือ เวนอภิชฌา โลภอยากไดของผูอื่น เวนพยาบาทปองรายผูอื่น แลวก็เวนมิจฉาทิฏฐิ เห็นชอบตามทํานองคลองธรรม อันนี้เปนศีลแลวก็ประพฤติธรรมก็คือที่ตรงกันขาม ใหเปนคนดี นอกจากเวนความชั่วแลวก็ใหทําความดีดว ย แมวาศีลเราจะขาดไปบาง บางวันก็ขาดไปบาง กะรุง- กะริ่งไปบางก็ยังดีกวาคนไมมีศีลจะขาด มันมีบางขาดบางก็ยังดีกวาคนไมมีศีลจะขาด ขอใหมีเอาไว มีไมครบทุกขอก็ใหมีบางขอก็ได แลวก็เพิ่มขอที่เรามีได ใหมีคุณภาพดีขึ้นเขมขนขึ้น ชาวบานคนหนึ่งมีอาชีพหาปลากินและขาย คือหาปลากิน ดวยขายดวย วันหนึ่งก็ไปหาพระ พระทานบอกใหรับศีล 5 เขา บอกวาเขารับศีล 5 ไมไดหรอก เดีย๋ วจะตองไปหาปลากินแลว แลวก็ขายดวย พระทานบอกวารับไวเถอะ รับศีล 5 ไวเถอะ กอนไปถึงที่หาปลาเอ็งอาจจะถูกงูกัดตายก็ได ถาเผื่อมีศีลเอาไวกด็ ี ก็นึกถึงศีลของตน ในตอนนั้นตอนตายเรามีศีลไดสมาทานศีลเอา ไวแลวก็กอนจะไปถึงที่หาปลาถาเผื่อตายเสียกอน ถูกงูกดั ตายเสีย ตอนนั้นมันก็ดีกวาไมมีศีล อันความตายนัน้ มีไดทุกเวลานะ คืออันนีไ้ มรูวามันจะเกิด ขึ้นเมื่อไหร เพราะฉะนั้น เชาขึ้นมาเราก็ตั้งใจรักษาศีล เทาที่เราจะรักษาได ก็ไดขอหนึ่งหรือไดเทาไรก็เทานั้น การรับศีล เอาไวแมวาจะรักษาไดบางไมไดบางก็ชางเถอะ คนมีศีลดีกวาคนไมมศี ีลเลย เหมือนกับคนนุงผาขาดแหละครับ ใสเสื้อขาดดีกวาคนไมมีเสื้อผานุงเลย หรือวานุงผาแตไมมีเสื้อใสก็ยังดีกวาคนไมมีผานุง มันขาดไปบางแตก็ดกี วาไมมี เพราะการมีศลี ทําใหเรามั่นใจในตนเอง มีความสุขใจเมื่อนึกถึงวาเราไดเปนสิ่งทีค่ วรเปน ทำสิ่งที่ควรทํา เวลามีศีลมากกวาเวลาที่ศีลขาดนะครับ สมมุติวาศีลมันไปขาด เอาตอนบาย ก็ตั้งใจใหม บางทีมนั ก็มี 4 - 5 วัน

11 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


แลวไปขาดเอา วันหนึ่ง เราก็ไปสมาทานใหมก็ไปขาดอีก มีไปอีก 7 วัน พอวันที่ 8 ไปขาดมันก็ยังดี เพราะฉะนั้นก็ใหตั้งใจมีเอาไว จะขาดบางก็ไมเปนไร ก็เหมือนกับเราหาทรัพย บางทีเราหาทรัพยไปแลวก็จาย ทรัพย ไดมาบางจายไปบาง ไดมาแลวก็จายไปบาง ทีนี้ถา เราจาย ไมทว มรายได รายจายไมทวมรายไดก็ใชได ถารายไดยังมากกวา รายจาย เรามีรายไดเหลือเก็บสะสมเอาไวหลายๆ วันก็จะมีมากขึน้ อันนี้เกีย่ วกับเรื่องศีล แตวาสาระสําคัญจริงๆ ก็คือความ ประพฤติที่ดี มารยาทดี ดูดี นาเคารพนับถือนาเลื่อมใส กิริยาวาจาดี ประพฤติดี นี่เปนหัวใจสําคัญของศีลในสวนที่เปนอภิสมาจาร ระบบที่วาดวยความประพฤติที่ดี หรือสมบัติผูดี ประการที่ 3 คือ “จิตตภาวนา” เปนเรื่องสําคัญ การฝกอบรมจิต หรือการพัฒนาจิต “จิตตสิกขา” ในบานเรานี้ “จิตตสิกขา” นอยเกินไป วาไปแลวในสังคมของเรานี่ “จิตตสิกขา” นอยไป เราเนนย้ํากันแตเรื่องการใหทานหรืออยางมากก็คือการรักษาศีล การรักษาศีล ถาไมมีจิตตสิกขา แลว การรักษาศีลก็เปนไปไดยาก ศีลมันคอยจะขาดอยูเรื่อย มันขลุกๆ ขลักๆ อยูเรื่อย ผมไดกลาวไวแลวในขางตนนะครับวาทุกอยางตั้งตนทีใ่ จ ถาฝกใจใหดีแลวทุกอยางก็จะดี ฝกจิตอบรมจิต ใหสงบใหตงั้ มั่น ใหบริสุทธิ์ใหควรแกการงาน ทานใชคําวา สมาหิตํ แปลวา ตั้งมั่น ไปสูทางที่บริสุทธิ์ กมฺมนิยํ ควรแกการงาน คือหมายความวา จิตแนนอนออนโยน คลายดินน้ํามันหรือดินหมาด จะปนใหเปน รูปใดก็ได จะคิดเรื่องใดก็คดิ ได จะไมคิดเรื่องใดก็ไมคิดได มีทานผูหนึ่งฟงรายการนี้อยูเ สมอๆ หรือดูเหมือนจะ ประจํานะครับบอกชอบภาษาบาลีมาก ชอบฟงแลวก็อยากจะเรียน ก็นาอนุโมทนานะครับไดฟงภาษาบาลีแลวรูสึกวาไพเราะอยากจะเรียน ก็คอยเรียนคอยไป คอยๆ เรียนไปคอยๆ รูไปทีละนิดทีละหนอย พอ สมาหิตํ มั่นคง ปริสุทฺธํ บริสุทธิ์ กมฺมนิยํ ควรแก การงาน หรือหมายความวาจะใหคดิ จิตอยูในอํานาจมันไมดื้อ กมฺมนิยํ คือ จิตไมดื้อ มันจะใหคิดอยางไรก็คดิ ไมใหคิดอยางไรก็ไมคิด แลวก็ทําใหเปนคนมีทุกขนอยแกชาแลวก็อายุยืน อยางทีพ่ ระพุทธเจาตรัสวา “จิตของผูใดตัง้ มั่นไมหวั่นไหว ประดุจ ศิลา ผูใดอบรมจิตดีแลวความทุกขจะมาถึงผูนนั้ ไดอยางไร” ความทุกขไมคอยจะมาถึงผูท ี่อบรมจิตดีแลว

12 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ผูที่อบรมจิตดีแลวจะเปนกันเองกับชีวิต เปนกันเองกับความตายและความพลัดพรากสูญเสีย ทานที่เปนเชนนี้จะมีดวงตาพิเศษอยู จะมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดา (ผูที่ไมไดฝกจิตมา) มองไมเห็น คือวาทานเริ่มจะมองเห็นความไมเที่ยง ความเปนทุกข และความไมมีตวั ตน ไมใชตัวตนในสิ่งทั้งปวง คุณลักษณะของบุคคล เชนนี้ ก็จะออกมาเปนวา เปนคนที่มีความอดทน ความสุภาพ ความสดชื่นเบิกบาน ความออนนอมถอมตน เอื้อเฟอเผื่อแผ มี จิตใจมัน่ คงดังที่คนธรรมดาไมมี หรือมีไดยาก เพราะวาไมไดฝกใจ ถาฝกจิตใหดีแลวเราจะไดรับผลเหลือหลายมากมาย ประการที่ 4 “ปญญาภาวนา” อบรมปญญา คือวาอบรมจิตนั่นเองใหมีปญ  ญา รูจักวาควรทําอะไร ควรเวนอะไร สิ่งที่ควรทํา ทําอยางไร สิ่งที่ควรเวน เวนอยางไร How to ไมใชรูวา อะไรเปนอะไรอยางเดียว ตองรูวิธีทํากับมันวา จะทํากับใคร รวมความวารูวาอะไรเปนอะไร แลวก็ควรปฏิบัติตอสิ่งนั้นอยางไร นี่เปนใจความสําคัญของพุทธศาสนาทีเดียวครับ ที่รูวา อะไรเปนอะไร และควรปฏิบตั ิตอสิ่งนั้นอยางไร อันนี้ถาเรายังไมรูวาอะไรเปนอะไร เราก็จะไมพนทุกขที่ เกิดจากการเบียดเบียนของกิเลส ศาสนาจะชวยเราไดมากในสวนนี้ สวนศีลธรรม เพียงชวยใหมนุษยไมเบียดเบียนกัน ศีลธรรม ชวยแกปญหาในระดับหนึ่งแตจะไปกอปญหาอีกระดับหนึ่งก็ได เชนวา อยากไดบญ ุ ทําบุญ ก็ไปทุมเททําบุญกับบางที่ บางทาง บางแหง อันนั้นก็เปนศีลธรรม การเอื้อเฟอ การบริจาค อะไรมัน ก็เปนศีลธรรม แตวามันจะกอปญหาถาเผื่อวาในที่นนั้ จัดการเรื่องเงินเรื่องทองอะไรไมเปนระเบียบไมเปนระบบไมดี มันจะเกิดปญหาเรื่องเงินขึ้นมา หรือวาความเอื้อเฟอกัน เอื้อเฟอกันไปเอื้อเฟอกันมาก็เกิดความรัก ความผูกพันกันขึ้น บางคนก็กังวลในเรื่องนี้ อันนี้เปนเรือ่ งในระดับศีลธรรม ความเอื้อเฟอกัน มันเปนในระดับศีลธรรม ทีนี้ตองเอาศาสนาในระดับสูงกวานั้น ทีเ่ รียกวาในระดับ “ปรมัตถธรรม” มาชวย คือวาใหรวู ามันเปนเชนนั้นเอง ดอกกุหลาบ ที่มันมีหนาม กานมันมีหนาม ทีนี้ความดีของดอกกุหลาบก็มีอยู มันเปนสิ่งที่ใหความชื่นใจ รื่นรมยของดอกกุหลาบ แตวา ถาเรา จับไมเปนมันก็จะไปโดนหนามแลวเจ็บ เพราะฉะนั้น จึงตองมีความฉลาดเพียงพอ จับดอกกุหลาบ ไดโดยไมตอ งโดนหนามมันตํา เพราะวาจะเลือกจับตรงที่มนั ไมมี หนาม หรือวาเอาผาหอมือ หรือเอาผาหอเสีย แลวถาเราจะจับโดนหนาม หนามมันก็ไมตํามือ อยางนี้เรียกวาใชไดประโยชนจากดอกกุหลาบโดยที่ไมใหดอกกุหลาบมันตํามือ

13 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อันนี้คือความรูความเขาใจในเรื่องศีลธรรมและเรื่องที่อยูเหนือศีลธรรมคือ ปรมัตถธรรม เพราะมันเปนเชนนัน้ เอง รูความเปนเชนนั้นเอง รูว า อะไรเปนอะไร ถาเรารูวาอะไรเปนอะไรเราก็ควรปฏิบัตติ อสิ่งนั้นอยางไร แลวเราก็ปฏิบัติไดถูกตอง ก็จะไดประโยชน จากสิ่งที่เขาไปเกี่ยวของโดยที่เรารูวิธีทํา วิธีปฏิบัติก็ไดรับประโยชน สวนที่เปนโทษที่มันมีอยูก ็ทาํ อันตรายไมได เพราะเหตุที่เรารูจักทํา แตถาคนไมรูจกั ทํา ไมเอาความรูในระดับศาสนาคือระดับ ปญญาภาวนามาใช แมจะมีศีลธรรมก็ไมพนทุกข เพราะวาความรูในระดับศีลธรรมมันจะชวยใหเราอยูรวมกันเปนสุข ความเขาใจความประพฤติในระดับศีลธรรมจะชวยใหเราอยูรวมกันเปนสุข แตวามันจะไมพนจากความทุกขใจที่เรากอขึ้นเอง เพราะฉะนัน้ ตองเอาความรูในระดับศาสนามาใช

14 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


30 มิถุนายน 2542 โดยธรรมดาเราจะไมรูจกั สิ่งตางๆ วามันเปนอะไร แตวา เรารูจักความเกี่ยวของของมัน หรือวารูจักความสัมพันธของมัน แตวาตัวมันเองจริงๆ เราไมคอยรูวามันคืออะไร พอแสวงหาความ สัมพันธของมัน เราก็จะพอรูส ิ่งนั้นวาเปนอะไร เชนวา เราไปพบคนคนหนึง่ เราไมรูวาเปนอะไร พอบอก วาเขาสอนอยูที่โรงเรียน เราก็รูวาเขาเปนครู คือเขาไปสัมพันธ กับงานที่เขาทําคือสอนอยูโรงเรียนหนึ่ง แลวเขาก็บอกวาเขามีลูก 3 คน เปนผูชาย 2 คน ผูหญิง 1 คน เราก็รูวาเขาเปนพอเรา รูวาเขาเปนพอจากการที่เราบอกวาเรามีลูก อยางนี้เปนตน นี่คือเรารูความสัมพันธเรียกวา relative รูโดยความจริงทีม่ ันสัมพันธ แตวาตัวมันเองจริงๆ เราไมคอยรูวามันคืออะไร เพราะวาสิ่งทั้งหลายเรารูตัวแทของมันยาก เรารูแตสวนสัมพันธของมัน เพราะฉะนั้น ถาเราไมรูตัวของมันและไมรสู วนสัมพันธ ของมัน เราก็ปฏิบัติกับสิ่งนั้นไดยาก คือไมรูวาควรจะทําอยางไรกับ สิ่งนั้น มันเปนที่พระพุทธเจาทานใชคําวา สังขตธรรม มันเปนสิ่งที่มปี จจัยตรงแตขนึ้ อยูกับเหตุปจ จัย มันไมเปนตัวของตัวเอง ซึ่งจะตองใชปญญาเจาะ เพราะถาไมมปี ญญาก็เจาะไมได ตองใชปญ  ญาเจาะ อยางเขาพูดวา 1 + 1 = 1 one + one = one เราจะหมายความถึงอะไร ธรรมดาเรารูกันหรือเราเรียนกันวา 1 + 1 = 2 ทุกครั้งไป นีเ่ ปนความจริงทางคณิตศาสตร แตพอมาถึงความจริงทางปรัชญาเขาบางที 1 + 1 = 1 ตัวอยางเชนวา เราเอาน้ํา 2 หยดมาหยดเขาในที่เดียวกัน จากทางซายมือหยดหนึ่ง จากทางขวามือหยดหนึ่ง แลวมาหยดลงในขันเดียวกัน ก็แปลวา 1 + 1 หนึ่งหยดบวกหนึ่งหยดเทากับหนึ่ง ดังนี้กม็ ี หรือวาความรักของคน 2 คน ความรักของคนหนึ่งกับความรักของอีกคนหนึ่งมารวมกัน ก็เลยกลายเปนหนึ่ง แตวามีความเปนหนึ่งเดียว สองคนมาเปนหนึ่งเดียว หรือวามีรางกาย ตางกันแตก็มีจติ อยางเดียวกัน อยางนี้ทานเรียกวา 1 + 1 = 1 อยางนี้เปนตนนะครับ แตสิ่งเหลานี้มนั เปนเรื่องที่เราจะตองใชปญญา พูดถึง เรื่องพวกนี้มเี รื่องจะคุยดวยเยอะครับ มันเปนเรื่องของปรัชญา เรื่องของอะไรพวกนี้ รวมถึงพุทธธรรมดวยซึ่งทานพูดไวเยอะ เอาเถอะครับเพื่อไมใหเสียเวลามากเกินไป ผมก็จะขอผานไป ก็เนนย้ําหรือวาทบทวนใหฟง วาสิ่งทั้งหลายมันเปนสิ่งสัมพันธ แตเรารูตัวของมันยากวามันเปนอยางไร มันคืออะไรเราจึงปฏิบัติยาก ถาเรารูวามันเปนอยางไร เราก็สามารถจะรูวาเราควรปฏิบัติกับสิ่งนั้นอยางไรก็ผานไปนะครับ 15 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ผูที่อบรมตนดีแลวโดยภาวนาทั้ง 4 นี้ ก็จะพัฒนาชีวิต ไปไดเรื่อยๆ สูงขึ้นไปทีละนอย จะวิวัฒนาการคอยเปนคอยไป อาจจะโดยไมรูสึกตัวนะครับ คอยเปนคอยไป โดยไมรูสึกตัว เจาตัวอาจจะรูส ึกแลวก็เรียกวาไมไดพัฒนาอะไร ไมมีอะไร แตวาพอเหลียวไปดูขางหลัง บางทีเขาเดินมาไกลแลวแตโดยไมรูสึกตัว ความทุกขในชีวิตจะคอยๆ ลดลง ความสุขจะคอยๆ เพิม่ ขึ้น คนที่ อบรมตนดีแลวอยางนีน้ ะครับ แมจะทําชัว่ บางเหมือนกับผูที่ยังไมไดอบรม แตไดรับผลไมเทากัน คือไดรับนอยกวาเพราะเปนผูที่มี คุณธรรม มีจิตใจกวาง อยูดวยเมตตา เปนคุณตอสรรพสัตวหาประมาณมิได สวนผูที่ไมไดอบรมกาย ไมไดอบรมศีล ไมไดอบรมจิต ไมไดอบรมปญญา มีใจคับแคบ ใจต่ํา มีปกติอยูเปนทุกขแมกับเรื่องเล็กนอย ทําชัว่ เล็กนอยอาจนําความทุกขมหาศาล อาจถึงตกนรกก็ไดเหมือนเรือเพียบอยูแ ลว เอากอนหินเทากําปนเพียงกอนเดียวใสลงไปก็จมได บางคนทําอยางเดียวกันแตไดรับผลไมเหมือนกันมันอยูทพี่ ื้นฐานทางจิตใจของคน ไดประสบสิ่งเดียวกันแตวาความคิดของคนไมเหมือนกัน ผลที่ออกมามันก็จะไมเหมือนกัน บางทีมันขึ้นอยูกับความคิดของเรามันปรุงแตง ความคิด ปรุงแตง บางอยางมันเปนความจริงแตบางอยางมันเปนแตเพียง ความคิดเทานั้น ดังเชนวา ใครเขาเอามีดมาแทงเรามันเจ็บ เราเจ็บจริง อยางนี้ถือวาเจ็บจริง แตถาเกิดใครเขานินทาเขาแลวเรารูสึกเจ็บ อันนั้นเปนความคิดไมใชความจริง ถาเราไมคิดมันก็ไมเจ็บ ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเจ็บมาก ถาไมคิดก็ไมเจ็บ อยางนี้ก็เปนแตเพียงความคิด คนที่เขานินทาเหมือนกัน บางคนก็รูสึกเฉยๆ บางคนก็เจ็บมาก แลวบางคนก็ละทิ้งออกไปได ไมรับสิ่งนั้น มันก็สบาย ผมจะขออธิบายตอไปนะครับ ถึงเรื่องที่อยูในขอบเขต ของปญญาภาวนาและจิตตภาวนา คือเรื่องที่ผมจะพูดตอไปนี้ หลายขั้นหลายตอน หรือวาหลายหัวขอ แตก็อยูในขอบเขตของ จิตตภาวนาและปญญาภาวนา ขอที่ 1 คือ เพื่อความสําเร็จในการงาน หมายถึงความสําเร็จในชีวติ ดวย เราจะตองมี R และ D หรือพูดเปนภาษาไทยก็เทากับ ว กับ พ ก็คือ research and development คือ วิจัยและพัฒนา เราตองวิจยั ตนเองทั้งขอเสียและขอดีตามความเปนจริง แกไขขอเสียสงเสริมขอดี มองตนอยางเปนธรรม อยางที่คนอื่นควร จะมองเราหรืออยางที่เรามองคนอื่น แลวเราจะมีคณ ุ ภาพโดดเดน เพราะเรามีคุณลักษณะอันนี้ โปรดจําไวนิดหนึ่งวาเราจะมีคุณภาพ โดดเดนก็ดว ยคุณลักษณะอันนี้ แมไมตั้งใจจะเหนือใคร แตมนั จะ เหนือเอง 16 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เหนือโดยคุณภาพ ซึ่งผูอื่นตัดสินให ความสําเร็จงอก งามของการงานมีไดดว ยการทําจริงแลวทําอยางถูกตอง ไมใชเพียง แตอยาก อันนี้คือ R กับ D คือ research and development ตองวิจัยและพัฒนา ขอที่ 2 จุดหมายของการทํางาน นอกจากเรื่องเงินมาเลี้ยงชีพแลว เราก็ควรจะมีจดุ หมายอืน่ ดวย บางคนมุงเอาเงินอยางเดียว จุดหมายอื่น มีตัวอยางดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาความรูความสามารถใหยิ่งๆ ขึ้นไป การงาน เปนการเรียนรูที่ดีที่สุดอยางหนึ่ง เปนประสบการณตรง งานจะสอนเราเองในสิ่งที่เรายังไมรูไมสามารถ 2. เพื่อสรางสรรคอุปนิสัยอันดีงามใหดยี ิ่งขึ้น คุณธรรม คือ ความเลอเลิศของอุปนิสัย คนมีคุณธรรมคือคนที่มีอุปนิสัยดีงาม 3.เราทํางานเพือ่ สั่งสมบุญหรือทํางานเอาบุญ เพื่อประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ไมตองแยกการทํางานกับการ ปฏิบัติธรรมออกจากกัน เราเองมาเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน เปน Identification เอามาเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน บางคนก็บอกวามัวแตทํางานไมไดปฏิบัตธิ รรม ไมมีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะวาตองทํางานอยูทุกวัน ไมมีวันหยุด ก็ขอเรียนวาใหเอาการทํางานนั่นแหละ เปนการปฏิบัติธรรม คือทํางานใหถกู ตองที่ทานทํางานอยูในแวดวงของทาน ปฏิบัติใหถูกตองตอบุคคลตางๆ ที่อยูในครอบครัว ที่อยูในที่ทํางาน ที่อยูลอมรอบตัวของทานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม 4.การทํางานเพื่อพัฒนาชีวติ ใหขึ้นสูระดับสูงแลวหา ความสุขจากการทํางานอันไมมีโทษ ถาทานอุทิศตนเพื่อความสุขของ สังคม ชีวิตทานจะมีคาหาประมาณมิไดและก็แนใจไดวา ความสุข นั้นจะยอนกลับมาหาทาน แมทานจะไมตอ งการมันก็ตาม แตมัน เปนกฎของธรรมชาติ คนเห็นแกตวั จะไมไดรับความสุขที่แทจริง แตคนที่อุทศิ ตนเพื่อประโยชนแกผูอื่น เพื่อประโยชนแกสังคมก็จะ มีความสุขในชีวิตแลวชีวิตก็จะมีคณ ุ คาหาประมาณมิได อันนี้ใหไว 4 ขอนะครับ สําหรับจุดหมายในการทํางาน นอกจากเพื่อใหไดเงินมาเลี้ยงชีพแลว ก็ควรจะมีจุดหมายอื่นสัก 4 อยาง ตามที่กลาวมาแลว เพือ่ พัฒนาความรูความสามารถ เพื่อสรางสรรคอุปนิสัยใหดงี ามเพื่อสั่งสมบุญ และเพื่อพัฒนาชีวิต ใหขึ้นสูระดับสูง ขอที่ 3 เพื่อความสุขของชีวิต

17 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ทานควรจะตองปลูกฝงจิตสํานึกและจิตใตสํานึกใหดีงาม อยูเสมอ ความคิดเปนสิ่งสําคัญ เปนตัวเริ่มตนแหงการสรางอุปนิสัยและอนาคต อนาคตเราเริ่มตนดวยความคิด แลวตามมาดวยการกระทํา แลวตอไปก็จะเปนนิสัย ตอไปก็จะเปนอุปนิสัย แลวก็เปนชะตาชีวิตหรืออนาคต ตอนนี้ทานจะเห็นไดวาเราเริม่ สรางอนาคตดวยความคิดของเรา คนคิดตางกัน อนาคตก็ตางกัน เพราะวาสิ่งทีส่ รางสรรคจากความคิดนั้นตางกัน เคยยกตัวอยางวาเด็ก 2 คน มีปญหาอยางเดียวกัน คือวา ตองการจะหาสตางคเพื่อจะไปซื้อขาวกิน เด็กคนหนึ่งก็งดั แงะ รถยนตเพื่อหาสตางคไปซื้อขาวกิน เด็กคนหนึง่ ไปรับจางเขาลาง รถยนตที่ปม เด็กคนหนึ่งก็งดั แงะเรื่อยๆ ไป เด็กคนหนึ่งก็รับจางลางรถเรื่อยไป และทํางานสุจริตอยูตลอด โดยความคิดที่ตางกัน แลวในบั้นปลายเด็กที่ไปงัดแงะรถยนตก็ตดิ คุกอยูห ลายป แลวเด็กอีกคนหนึ่งก็คอยๆ ดีขึ้นๆ จนเปนเจาของปมน้ํามัน อยางนี้ลองคิดดูวาความคิดที่ตางกันมันสรางอนาคตใหคนตางกันไดอยางไร เพราะฉะนั้น เรื่องแรกสิ่งสําคัญที่สุดทานจะตองสราง ความคิดใหดที ี่สุด จะตองจัดสรรความคิด หรือตกแตงความคิด สรางความคิดอะไรของทานใหดที ี่สุด เห็นวาความคิดเปนสิ่งสําคัญ ไมใชไมสําคัญ เปนสิ่งสําคัญ คนจะแตกตางกันจริงๆ ในระยะเวลาที่ หางออกไป 5 ป 10 ป 20 ป ก็ดว ยความคิดนี่เอง คนที่ทํางาน ยิ่งใหญไดตองมีความคิดที่ยิ่งใหญ ไมงั้นก็ทําไมได

18 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


1 กรกฎาคม 2542 วันเวลาลวงไปเรื่อยๆ ก็ควรจะใหไดรับประโยชนไปดวย เพื่อประโยชนที่ติดไปดวยกับวันเวลาที่ลวงไปก็ได เลยผานใหรูสึก เสียดายเวลาที่ผานไป คือวาแทนทีใ่ หกาลมันกินเราขางเดียว เราก็ กินกาลเสียบาง แตวาใชกาลใหเปนประโยชน เมื่อกาลเปนประโยชน ก็ถือวาชีวิตไมเปนโมฆะ คือไมสูญเปลา ไมเสียเปลา มีเรื่องแทรกขึน้ มานิดหนึ่ง ผมกลับมาจากขางนอกเพิ่งมาถึงเมื่อสักครูเองครับ ก็ไดรับโนตทางโทรศัพท ทางบานโนตไวใหแลวก็มีผูฟง ผูฟงทั้งวิทยุ ทั้งหนังสือบาง ก็ขอรองใหพูดเรื่อง “โยนิโสมนสิการ” ใหฟงสักหนอยไดพอเขาใจ อันนี้ตองขอบคุณ นะครับทีอ่ ุตสาหโทรฯ มา ผมขอปวารณาไวดว ยนะครับวาใครจะใหอธิบายเรื่องอะไรเล็กๆ นอยๆ หรือยังของใจอยู ก็ขอใหโทรฯ เขามาถามได โทรฯ ฝากไวแบบนี้กไ็ ด ถาไมพบผมนะครับก็โทรฯ ฝากไวอยางทานผูนี้ ผมก็ไมทราบวาเปนใคร แตวาไดรับโนตก็เอามาดวยความยินดี สมมุติวาทานสงสัยคําไหน หรือตองการใหอธิบายธรรมะขอไหนทีย่ ังสงสัยอยูเล็กๆ นอยๆ ก็แฟกซเขามาได “โยนิโสมนสิการ” ตามตัวแปลวา การทําไวในใจโดยแยบคาย คําวา โยนิโส นั้นแปลวา โดยแยบคาย มนสิการ แปลวา การทําไวในใจ การก็คือการกระทํา มนสิ ในใจ โยนิโสมนสิการ การทําไวในใจโดยแยบคาย บางทีในตําราก็มีคําวา “อุบาย” เขามาดวย หมายถึง อุบายที่แยบคาย คําวา อุบายในภาษาไทย กับอุบายในธรรมะ ไมเหมือน กัน อุบายในภาษาไทยดูเหมือนจะเปนเลหก ระเทหอะไรทํานองนั้น แตวาอุบายในธรรมะ หมายถึงวิธกี าร method เพราะฉะนั้น บางแหงทานจะวาทําไวในใจดวยอุบายอันแยบคาย ก็ใหถือเอาความวา ทําไวในใจดวยวิธีที่แยบคาย ก็มีหลายอยาง ถาแปลใหเปนไทยแทๆ ก็คือคิดเปน “โยนิโสมนสิการ” แปลวา คิดเปน ก็ตรงกันขามกับคนคิดไมเปน ทานผูฟงก็คงเคยเห็นคนที่คดิ ไมเปน มันคิดไมเปน เรื่อง นี้ถาคิดเปนมันก็ไมทําอยางนี้ ก็ไมคิดอยางนี้ แตเพราะมันคิดไมเปน มันไปคิดอยางนั้น นี่เรียกวาไมมโี ยนิโสมนสิการ ยกตัวอยางทีว่ า เด็ก 2 คน ประสบปญหาเดียวกัน ขาดแคลนเงินทองที่จะไปซื้อขาวกิน เด็กคนหนึ่งไปรับจางลางรถ เช็ดรถที่ปมน้ํามัน ไปอยูท ปี่ มน้ํามันก็ทํางานสุจริตขึ้นไปเรื่อย ก็จนไดดิบไดดใี นทีน่ นั้

19 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เด็กคนหนึ่งก็ไปงัดแงะรถยนตดวยคิดวาเปนทางงายที่จะหาเงิน ไปงัดแงะรถยนต ไปลักเล็กขโมยนอย ในที่สุดอนาคตมันก็ไปอยูในคุก นี่คนหนึ่งคิดไมเปน คือไมมโี ยนิโสมนสิการ เด็กคนหนึง่ เขาคิดเปน ความคิดเปนกับความคิดไมเปนทําใหคนเราแยกทางกัน แยกวิถีชีวิตกัน ขอซ้ําอีกทีหนึง่ ครับวา ความคิดทําใหเกิดการกระทํา มัน เปน action แลวก็เปน habit คือเปนนิสัย นิสัยเปนทางสรางอุปนิสัย มันจะสรางชะตาชีวิตคน หรืออนาคต เปน destiny มันจะสรางอนาคตคน พอเริ่มคิดผิด มันก็จะแตกตางกัน อนาคตมันตองแตกตางกันแน นี่คือตัวของโยนิโสมนสิการ ขอยกตัวอยางตอไปอีกวา เราคิดหาสาเหตุของปจจัย หรือ วามีอะไรเกิดขึ้น มันมีผลเกิดขึน้ แลวเราลองสาวหาเหตุดวู า มัน เกิดจากอะไร อยางนี้มันตองมีเหตุแตวาบางทีเราหาเหตุไมพบ บางคนก็บอกวา ไมรูวาเปนเพราะอะไรจึงเปนอยางนี้ ไมรูเปนเพราะ อะไร มันตองมีเหตุแตเราสาวหาเหตุไมพบ แลวบางทีเราก็คิด แยกแยะออกไปเปนวิพากษนะครับ วิพากษวา สิ่งนี้มันมีสวนประกอบของอะไรของมันบาง ที่มันมาเปนอยางนี้ นักเรียนบางคนชอบแกะวิทยุเลน ตอมาแกก็เปนชางแกวิทยุ แกโทรทัศน เด็กๆ จะชอบแกะดูพอไดอะไรมาก็แกะดู มาแยกแยะสวนประกอบเพือ่ เขาใจวาอันนี้มันประกอบขึ้นมาอยางไร ถาเปนธรรมะก็แนวคิดเรื่องขันธ 5 ชีวิตของคนเราประกอบดวยขันธ 5 แยกแยะสวนประกอบของชีวิตออกไปก็เปน ขันธ 5 อยางนี้ก็เรียกวา คิดแบบแยกแยะสวนประกอบ อันนี้ก็ เปนโยนิโสมนสิการ แลวก็คิดแบบรูเทาทันธรรมดา เชน เรื่อง ไตรลักษณนะครับ โอย มันเปนอยางนั้นเองแหละ มันไมเที่ยง มันเปนทุกข มันเปนอนัตตา มันเปนเชนนั้นแหละชางมันเถอะ พอมีอะไรเกิดขึ้นมันจะทําใหใจเราเปนทุกขหนักมากเลย ก็ชางมันเถอะไมเปนไรหรอก มันก็เปนอยางนั้น มันไมเที่ยง มันไมอยูห รอก สุขก็ไมอยู ทุกขก็ไมอยู เฉยๆ ก็ไมอยู อะไรๆ มันก็ไมอยู มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไมตองหวงอะไรมันมากหรอก แบบนี้ เขาเรียกวาคิดเปน คิดแบบไตรลักษณ ผมยกตัวอยางอีกสักขอนะครับ เชนวา เราคิดแกปญหา มาตามแนวอริยสัจ อริยสัจก็มีอยู 4 ขอ คือ เหตุกับผล ทุกข มันเปนผล เกิดทุกขขึ้นมาเราก็ตองสาวหาเหตุวามันเกิดจากอะไร ทุกขมันเปนตัวปญหา เราก็สาวหาเหตุของปญหา วาอะไรมันเปนเหตุของปญหา แลวก็ปญหามันเกิดไดมันตองดับได แตวาการที่มันจะดับไดดีมนั ตองทําถูกวิธี อันนั้นคือมรรค นั่นคือการปฏิบัติให ถูกวิธี แลวก็ไปดับปญหา

20 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


นั่นคือนิโรธ นี่คือความคิดเปนทั้งนั้น เลยครับ มันมีหลายอยางครับ ผมยกตัวอยางมาเพียงเล็กนอย อันนี้ขอตอบทานผูถามเรื่องโยนิโสมนสิการเพียงเทานีก้ อนนะครับ ขอตอเรื่องการพัฒนาชีวิตเพือ่ ความสุขในปจจุบัน เมื่อ วานนีพ้ ูดมาถึงหัวขอที่ 3 ที่วา “เพื่อความสุขของชีวติ เราจะตองปลูกฝงจิตสํานึกและจิตใตสาํ นึกของเราใหดีงามอยูเ สมอ” แลวก็แสดงใหเห็นความสําคัญของความคิด วาความคิดเปนสิ่งสําคัญ เปนตัวเริ่มตนของการสรางอุปนิสัยและอนาคตตามที่ผมพูดมา เมื่อสักครูนี้นะครับ มีสุภาษิตทางพุทธศาสนาอยูขอหนึ่ง กลาววา มโน ปุพพฺ งฺคมา ธมฺมา สิ่งทั้งหลายมีจติ เปนหัวหนา สําเร็จมาดวยใจแลว แตใจ หรือวาใจคิดอยางไรมันตองเปนไปอยางนัน้ เปนไปตามที่ ใจคิด แตตองคิดบอยๆ และลงมือกระทําดวย เห็นเขาไปแปลเปนภาษาอังกฤษวา “All that we are is the result of what we have thought.” แปลตามตัววา “สิ่งทั้งหลายที่เราเปนอยูนนั้ เปนผลของสิง่ ที่เราไดเคยคิดไว” อันนี้ก็ตองเหตุปจจัยพรอม ไมใชคิดประเดี๋ยวประดาวจะได มันเปนบางคน มีคนเปนจํานวนมากที่เขาไดประสบความสําเร็จตามที่เขาคิดไว “All that we are is the result of what we have thought.” บางคนก็คิดวันนีจ้ ะใหไดวันนีม้ ันไมได มันตองคิดบอยๆ แลวก็สั่งสมเหตุ คิดแลวก็ทําเหตุตามที่คิด เหตุมันก็คอยๆ กอตัวขึ้นมากขึ้น ก็จะไดไปตามเหตุ เพราะเหตุมนั กอใหเกิดผล ตองใหเกียรติกับเหตุผล รูจักใหเกียรติกับเหตุผล อยาใจรอนครับ นี่ผม ก็ย้ําอยูเ สมอ บางทานก็เบื่อที่จะฟงแลวก็ได เพราะวาผมมักจะพูดอยูเ สมอวาอยาใจรอนครับ ลองทําอะไรดวยใจเย็น แลวถาเรามีความสุขดวยการกระทํา จะไดเมื่อไรก็ชางมันเถอะ เราไมสันโดษ ในเหตุ “เราไมสันโดษในเหตุ” หมายความวา เราทําเหตุไวเรื่อย แตวาเราสันโดษในผล เราไมเรงผล ผลจะใหเราเมือ่ ไรก็ชางเถอะ ไมไปเหนี่ยวรั้งวาเราจะตองไดผลวันนี้ พรุงนี้ มะรืนนี้ ปหนาอะไร จะใหเมื่อไรก็เมื่อนั้นไมแครกับเรื่องผล เพราะวาเราจะทําเหตุอยูเสมอ คนอยางนีแ้ หละครับจะเปนเจาแหงความสุข แลวก็ทํางานดวยความสงบ ประณีตเรียบรอย ทานดูการทํางานของตนไมก็ได ธรรมชาติมันสอนเราอยู ทุกวัน ดูการทํางานของตนไม มันทํางานทั้งกลางวันกลางคืนครับ แตมันสงบ สงบเงียบ ความสงบเงียบของตนไมไมใชไม ทํางาน มันทํางาน ทํางานทั้งวันทัง้ คืน แลวก็กรําแดด กรําฝน ทําอะไรตออะไร เปนประโยชนแกมนุษยมากเลย ถาเผื่อโลกนี้ไมมี ตนไม ลองนึกดูวาเปนอยางไร ลองนึกภาพดูวาถาโลกนี้ไมมีตนไม ไปที่ไหนเห็นตนไม มีตนไมอยูร อบๆ บาน ขับรถมีตนไมสองขาง ทางรูสึกมันสดชื่น รมเย็น เปนสุข แตวาตนไมไมเคยเรียกรอง อะไรจากใคร คงทํางานเรียบๆ สงบนิ่งอยู 21 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ขอที่ 4 รักษาจิตใหสงบอยูเสมอ ราบเรียบอยูเสมอ คือไมวาอะไรจะเกิดขึ้น ยอมรับทุกสิ่งทุกอยาง ไมวารูสกึ วาเปนสิ่งที่เลวที่สุด หรือแยที่สุดสําหรับเรา ขอซ้ําอีกทีนะครับคือวา แมวาเราจะรูสึกวาแยที่สุดหรือเลวที่สุดสําหรับเรา แตเราก็ยอมรับไดทุกสิง่ ทุกอยาง คือ “Accepting the worst” คือยอมรับสิ่งที่คิดวามันเลวรายที่สุด เมื่อรูสึกวามันเลวรายที่สุดเรารับได แลวมีอะไรที่เราจะรับไมได หรือใหคิดตอไปวา สิ่งที่เราคิดวาเลวรายแลวยังมีสิ่งที่เลวรายกวานี้อกี แตเรายังไมไดพบ เปนโชคดีที่เรายังไมไดพบ มันมีสิ่งที่เลวรายกวานี้อีก คนอื่นเขากําลังไดรับอยู แตเราไมไดพบ หรือวาเราไปพบสิ่งที่ดี ประสบสิ่งที่ดี ก็ขอใหคิดวามันนาจะมีสิ่งที่ดีกวา นี้ แตวาตอนนี้เรายังไมไดพบ เราก็ควรจะทําใหดยี ิ่งๆ ขึ้นไปจน ถึงที่สุด พระพุทธเจาไมสรรเสริญการหยุดอยูในความดี เราตองทําความดีใหยิ่งๆ ขึ้นไป เขาเรียกวา อสนฺตุฏٛ ิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ คือไมสันโดษในกุศลธรรม คือ ไมพอใจในความดีที่ทําอยูเพียงเทานั้น ตองทําตอไป ทําใหดยี ิ่งขึ้น ที่สําคัญก็คือขอย้ําในขอนีว้ า พยายาม รักษาจิตใหสงบอยูเ สมอ อันนี้ทานจะกําชัยชนะ หรือวาประสบชัยชนะ ทานจะชนะโลกโดยการที่ทานรักษาความสงบไวไดเสมอ ไมวา อะไรจะเกิดขึน้ โดยการศึกษา ขอใหเราทําตัวเปนนักศึกษาตลอดเวลา การศึกษานี้ ไมเพียงแตศึกษาเรื่องในหนังสืออยางเดียว มันศึกษาจากเหตุการณ จากสิ่งแวดลอม จากคนรอบขาง จากสิ่ง ทั่วไปที่เราไดประสบพบเห็น เราก็เอาออกมาศึกษาไดทั้งหมดเลย เรายอมรับมันไวเพื่อการศึกษา บางคนเขาทําอยางนั้นไดจริงๆ คือ คนใกลชิด คน ใกลเคียง คนรูจัก จะรูวาเขาเปนคนอยางไร จะรูวาเราทําอยางนั้นไดจริงๆ คือเขารับมันไวเพื่อการศึกษา แลวก็ไมสะดุงสะเทือนกับเหตุการณตางๆ ไมวาอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนวาเหมือนไมมีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่คนอืน่ ดิ้นกันเหลือเกินหรือวาเดือดรอนกันมากมาย แตคนเหลานี้คงสงบนิ่งอยูไดเพราะวาเขาคิดวายอมรับมันไวเพื่อ การศึกษา อันนี้ก็คดิ เปนนะครับ “คิดเปน” อยูในโยนิโสมนสิการเหมือนกัน ขอที่ 5 “ใหมีความรูความเชีย่ วชาญจริงในวิชาอยางใด อยางหนึ่งเปนแกนหลักเอาไว”

22 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เพื่อใหอยางอืน่ มาเกาะไดงาย แลวก็เพิ่มพูนขึ้นโดยเร็ว เปนคนมีหลัก มีแกนสารภายใน ไมใชเปนคนไมเอาถาน ไมเอาไหน ที่ทานเรียกเปน idiom วา “Good for nothing” หรือวาไม เอาถาน ไมเอาไหน หรือวามันเปนเปดไป บินไมไดมนั ไมดีอะไร สักอยางหนึ่ง เพราะฉะนั้น ก็พยายามใหทสี่ ุด พยายามจริงที่จะมีความ รูใหเชี่ยวชาญในวิชาอะไรสักอยางหนึ่งเปนแกนหลักเอาไววา “To know everything in something” รูทุกสิ่งทุกอยางในบางสิ่งบางอยาง วาในสิง่ นั้นรูทุกอยางในวิชานั้น ในขอบขายของสิ่งนั้น เพื่อใหอยางอืน่ มาเกาะไดงายแลวก็เพิ่มพูนขึ้นโดยเร็ว เปนคนมีหลัก อยางถาทานรูภาษาใดสักภาษาหนึ่งดีๆ นะครับ คนนีอ้ ยากจะเรียนบาลี ก็เคยปรึกษาเคยปรารภนะครับ ถาเผื่อทานรูภาษาอังกฤษดีๆ มาเรียนบาลีไมนานหรอกครับ ถาอาจารยผูสอนรูภาษาอังกฤษดวย แลวก็รูภาษาบาลีดวยก็จะเร็วขึ้นมากเลย เร็วขึ้นหลายเทาตัวเลย เพราะวามันจะมีหลายอยางที่คลายคลึงกัน เพราะฉะนั้น ถาทานรูอะไรใหรูจริง ใหดี ใหเกง เปนหลักไปสักอยางหนึ่ง พอไปเรียนภาษาที่ 2 ภาษาที่ 3 จะไมยาก แตถาเปนภาษาแรกที่ทานเรียน ภาษาตางประเทศหรือภาษาที่ 2 ไมใชภาษาเดิมนะ เปนภาษาแรกจะยากมาก ถาทําอยางที่ผมเรียนใหทราบแลวก็ทําตนเปนคนมีหลัก แลวเมื่อเรามีสงิ่ อื่นเขามาเกาะกับหลักมันก็อยูกับหลักแลวก็เปนคนมีแกนสารอยูภายใน ดูก็รูวามีแกนสารอยูภายในจะพูดจะจา จะแสดงความคิดเห็นอะไรมันบอกออกมา “สากจฺฉาย ปฺٛ า เวทิตพฺพา พระพุทธเจาทานวาอยางนัน้ นะครับ วา “จะรูวาเปนคนมีปญญาหรือไมดวยการสนทนา ดวยการพูดจากัน” ไมใชเปนคน “Good for nothing” ไมใชไมเอาไหน ขอที่ 6 ยอมรับคําตําหนิติเตียนอยางหนาชืน่ ตาบาน เปนคนวางาย ซึ่งเปนมงคลขอหนึ่ง

ขอบคุณและพรอมที่จะแกไข เมื่อเห็นวาควรแกไข

คนวางายกับคนหัวออนไมเหมือนกัน คนหัวออนคือเปน คนที่ชักจูงไปไหนไดงายและไมมีหลักการ ไมมีเหตุผลไมมีหลักการ แตคนวางายนี่ เขาจะเปนคนที่มเี หตุผลและมีหลักการ ถาผิด หลักการแลวเขาไมเอา ดูเขาเปนคนวางายสอนงาย แตถา ผิด หลักการแลวเขาไมเอา จะไมเลนดวย นี่คือลักษณะของคนวางาย แตไมใชคนหัวออน

23 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


2 กรกฎาคม 2542 ขอที่ 7 การเอาชนะตนเอง การเอาชนะตนเอง และพยายามเอาชนะตนเอง ไมดใี จ ไมภูมิใจโดยการหลอกตนเอง เอากันตามความเปนจริง ไมหลอก ตัวเอง คนบางพวกบางคนก็หาความสุขจากการหลอกตัวเอง แลวก็หลอกตัวเองยังไมพอ ก็ยังไปหลอกคนอื่นดวย ก็รสู ึกวาสนุก ดีทาํ นองนั้น แตก็จะมีผลรายมากกับตัวเองในภายหลัง แลวก็ การหลอกตัวเองนี้ก็จะเปนการปดกัน้ หนทางของความกาวหนา เราตองยอมรับความจริงทุกๆ ดานแลว เราก็จะกาวหนา ไปในทางของเราเอง เชนวา ชายกาวหนาไปในทางของผูชาย แลวก็ผูหญิงกาวหนาไปในทางของผูหญิง ตามความเหมาะสมและตามความถนัดของตน มนุษยทุกคนเทาเทียมกันโดยความเปนมนุษย แตก็แตกตางกันในหลายๆ อยาง ไมมีสถานที่แหงใดที่จะรับผูหญิงเขามาเปนยามรักษาการณ ทํานองเดียวกัน ก็คงจะไมมีโรงเรียนอนุบาลแหงใดที่ตองการจะรับครูผูชายมาสอนอนุบาล ถาเราสังเกตจะเห็นวาครูอนุบาลสวนมากมักเปนผูหญิงแทบทั้งนั้น ก็ใหเราทํางานตามความเหมาะสม ความถนัดของเรา เราเกิดมา ถนัดในทางใดก็ทําไปในทางนั้นใหถึงที่สุด ใหดีที่สุด คอยสํารวจความถนัดของตัวเอง คนจะทําอะไรไดดี จะกาวหนา จะมีความสุขก็เพราะไดทําในสิ่งที่ตัวเองถนัดแลวก็พอใจ ในนิทานของฝรั่งเขามี เบนจามิน ฮ็อบ เปนคนเขียน เรื่อง ชางตัดหิน (จากหนังสือ สายธารทิพย) เขาเขียนเลาเอาไววา มีชางตัดหินผูซึ่งไมพอใจกับตัวเองในสภาพชีวิตของตัวเอง วันหนึ่ง เขาก็เดินผานบานพอคาผูมั่งคั่ง ก็มองผานประตูหนาบานที่เปดอยู ก็มองเห็นทรัพยสินหรูหรามากมาย และแขกเหรื่อ ก็มีเกียรติ เขาก็คิดวาพอคาคงจะมีอํานาจมากทีเดียว ชางตัดหินก็ครุนคิดแลวก็เกิดความริษยาขึน้ มาอยางยิ่ง ก็ปรารถนาที่จะเปนเหมือนพอคา เราจะไดไมตองใชชีวิตเปนเพียงชางตัดหินอีกตอไป แลวเขาก็ตองประหลาดใจอยางยิ่ง เพราะวาทันใดนั้นเขาก็เปนพอคา ผูชื่นชมความหรูหราฟุม เฟอยแลวก็อาํ นาจกวาที่เคยคิดไว ผูที่มีความมั่งคั่งกวาเขาพากันริษยาและไมชอบหนาเขา แตไมนานนักก็มีขุนนางคนหนึ่งผานมา พรอมกับมีผูรับใช และทหารคุมกัน ทุกคนไมวาจะมั่งคั่งแคไหน ตองนอบนอมคํานับเมื่อขบวนผานมา ชางตัดหินผูนกี้ ็คิดวาขุนนางผูนี้คงจะมีอํานาจ มากทีเดียว

24 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


“ฉันอยากเปนขุนนาง” แลวเขาก็กลายเปนขุนนาง ผูคนรอบขางก็ยังเกรงเขาดวย ทัง้ ยําเกรง ทั้งชิงชังเพราะวาตองนอมคํานับเมื่อเขาผานมา วันนัน้ อากาศรอนมาก ขุนนางรูสึกอึดอัดอยูบ นเกีย้ วที่มี ลวดลายสวยงาม เขาแหงนหนามองดูดวงอาทิตยซึ่งสองแสงอยาง งามสงาบนทองฟา โดยที่ตัวเขาไมมีผลกระทบอะไรตอดวงอาทิตย ดวงอาทิตยคงมีอํานาจมากทีเดียว “ฉันอยากจะเปนดวงอาทิตย” ชางตัดหินคิดตอไป แลวเขาก็กลายเปนดวงอาทิตยสองแสงแผด เผาทุกวัน แตแลวเมื่อเมฆมืดครึ้มกลุมใหญเคลื่อนตัวมากั้นกลาง ระหวางดวงอาทิตยกับโลก ดวงอาทิตยจึงสองแสงไปไมไดอีกตอไป เมฆพายุนนั้ คงมีอํานาจมากทีเดียว “ฉันอยากเปนเมฆ” แลวเขาก็ กลายเปนเมฆแผคลุมไปทั่วทองทุง แตไมนานนักเขาก็ถูกแรงลมมหาศาลพัดไป เขาตระหนัก วาเปนกระแสลม ก็อีกนั่นแหละเขาอยากเปนเหมือนลม แลวเขา ก็ไดเปนตามที่ปรารถนา เขากลายเปนกระแสลม พัดหลังคาปลิววอน พัดตนไมลม คนที่อยูใตกระแสลมพากันหวาดกลัวแลวก็ชิงชังเขา แตหลังจากนัน้ ไมนานนัก เขาพัดมาปะทะอะไรบางอยาง ที่ไมขยับเขยื้อนเลย ไมวาเขาจะพัดแรงแคไหน โขดหินมหึมา นั่นเองครับ แตขณะที่โขดหินตั้งตระหงานอยูตรงนั้น เขาไดยนิ เสียง คอนทุบ สิ่วกะเทาะโขดหิน แลวก็รูสึกตัวเองถูกเปลี่ยนรูปไป อะไรจะมีอํานาจมากกวาฉันผูเปนโขดหินนะ เขานึก เขาชําเลือง มองดูเห็นรางชางตัดหินอยูไกลออกไปขางลาง ชางตัดหินนั่นเอง ที่มีอาํ นาจมากกวาโขดหิน ทานผูฟงที่เคารพครับ นี่เปนหนังสืออานของฝรั่ง เบนจามิน ฮ็อบ เปนผูเขียน จากหนังสือสายธารทิพย ก็นา คิดดีวาคนที่อยากเปนอะไรตออะไรซึ่งไมใชตัวเอง ไมใชตัวของตัวเอง เห็นอะไรก็อยากไดอยากเปนไปหมด แลวในที่สุดก็ตองกลับมาเปนอยางที่ตัวเปน คือชางตัดหินนัน่ เอง นาสังเกต นาคิดนะครับ เปนนิทานคติที่นาสนใจทีเดียว เพราะฉะนั้น ผมจึงสรุปในที่นี้วา ใหเรากาวหนาไปในทาง ของเรา ไปตามความเหมาะสมและความถนัด สําหรับมนุษยทุกคน มีความเทาเทียมกันโดยการเปนมนุษย แตวาจะมีความแตกตางกัน มากในเรื่องอื่นๆ ในเรื่องตางๆ มากมาย เราก็ยอมรับความแตกตาง

25 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ทานเคยไดยนิ คําวา ตถาคโต ตถาคต พระตถาคต ที่พระพุทธเจาใชเรียกตนเอง เวลาเรียกพระองคเอง พระองคมัก เรียกวา ตถาคต ตถาคตนั้นแปลได 2 อยาง อยางหนึ่งแปลวา ผูมาสูความจริง ตถํ อาคโต ผูมาสูความจริงอีกประการหนึ่ง ตถาคโต คือผูไปอยางนั้น ไปอยางนั้นคือ ไปอยางที่ฉนั ไป เปนอยางที่ฉันเปน มีคนมาถามพระองคเสมอ เวลาพระองคนงั่ อยูใตตนไม ทานเปนเทวดาหรือเปลา เปนพรหมหรือเปลา เปนกษัตริยหรือเปลา เปนพราหมณหรือเปลา เปนอะไร เปนอะไรทานก็ปฏิเสธหมด ทานบอกวา เราเปนพุทโธ เปนตถาคโต เปนอยางที่ฉันเปน ถาคนเราเปนจํานวนมากมีความคิดนี้ไดวาเปนอยางที่ เราจะเปนเทาที่เราจะเปนได มันก็สบายใจดี เปนตัวของตัวเอง be yourself เปนตัวของทานเองเถอะ จะเปนอยางไรๆ ก็ขอใหเปน ตัวของทานเอง ขอที่ 8 ละทิ้งความรูสึกวาเปนพวกเรา พวกเขา ถามีพวกเราก็ตองมีพวกเขา ถามีพวกเขาก็ตองมีพวกเรา แลวก็ถามีพวกเราขึ้นมาเมื่อไรละก็ สิ่งที่จะมากกวาก็คือพวกเขา ตองมากกวาพวกเรา มีบางคนเนนย้ําเรื่องปาฐกถา เนนย้าํ เรื่อง We feeling คือวา ใหสรางความรูสึกวาพวกเรา แปลวา ใหรักพวกพอง อันนี้ก็ไมเถียง คนเราโดยสัญชาตญาณ ที่ 1 ก็คือ สัตวโลกยอมรักตัว ที่ 2 ก็คือ รักพวกพอง เปนสัญชาตญาณเดิมของสัตวโลก ถาเผื่อเราขยายขอบเขตใหกวางออกไปก็คือวาตัด We feeling ออกไป ถาจะเปนพวกเราก็เปนพวกเรา ทั้งหมด คนทุกคนเปนพวกพองของเรา สัตวโลกทั้งปวงเปนพวกพองของเรา ขยายขอบเขตใหทุกคนเปนพวกเรา หรือเมตตาสากล ที่พระพุทธเจา ทรงใชคําวา สพฺพาวนฺตํ โลกํ แผเมตตาไป มีจิตประกอบดวยเมตตาแผไปยังโลกทั้งปวง ไมจํากัด เราพิจารณาคุณสมบัติของคนพิจารณาวาเขาเปนพวกใคร มาจากไหน ทีนี้ก็ขอใหทาํ เครื่องหมายพิเศษก็ไดนะครับ ขอใหเรา พิจารณาคุณสมบัติของคนมากกวาพิจารณาวาเขาเปนพวกใคร มา จากไหน ถาเผื่อเลนพวกกันแบบนี้ ในที่ทํางานตางๆ คนไมมีพวก ก็ตาย ถาหัวหนางานมาจากสํานักหนึ่งหรือมาจากที่แหงหนึ่ง สําเร็จ มาจากที่แหงหนึ่งแลวก็รับหรือวาใหเกียรติ รักแลวก็พอใจกับแต พวกที่มาจากที่นั่น ถามาจากที่อื่นก็ปฏิเสธหรือวารับก็อยางเสียไมได โดยไมพจิ ารณาถึงคุณสมบัติอยางนี้คือ “อคติ” คนที่มีคุณสมบัติก็ตายหมด ก็รับแตพวกพองที่มีคณ ุ สมบัติบาง ไมมีคุณสมบัตบิ าง ก็เลี้ยงกันไปเพราะเห็นวาเปนพวกพอง อยางนี้สังคมไปไมรอด สังคมย่ําแย เพราะฉะนั้น ก็ขอรองวาใหพิจารณาคุณสมบัติของคนมาก กวาวาเขาเปนพวกของใคร เรามาจากไหน 26 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อีกขอหนึ่ง ผูมชี ีวิตคู จะตองมีหลักธรรมคือความอดทน ใจกวาง และความรักความปรารถนาดีตอกัน ความเขาใจกันสําคัญ กวาความรักระหวางเพศ ซึ่งเปนสิ่งไมยั่งยืน เราตองตัดสินความผิดพลาดของอีกฝายหนึ่งดวยเมตตา ไมใชดว ยโทสะ พูดใหเห็นเปนเรื่องขําขันไปเสียบางก็ได อยาไปจริงจังมากนักเลย ตระหนัก อยูเสมอวามนุษยเราผูที่ดีพรอม ไมมีความบกพรองเลย ไมมีหรือมีนอยมากเกือบจะหาไมได เราจะรูสึกมีความสุขอยางมากเมื่อไดรับทราบวา ใครสัก คนหนึ่งพิจารณาตัดสินความบกพรองของเราไปดวยเมตตาปรานี เราจะรูสึกรักเขา เห็นเขาเปนที่พงึ่ และเปนมิตร ทําไมเราจึงเพิกเฉย ไมผูกมิตรดวยวิธีเชนนี้ เปนวิธีงายๆ ที่จะนึกไดดวยวิธีที่วาให รูสึกเห็นใจขอบกพรองของเขา ตักเตือนเขาดวยความเมตตาปรานี อยางนี้ก็จะไดประโยชนในการครองชีวิต ไมวาจะเปนชีวิตคู หรือ ชีวติ เพื่อนก็ตามก็จะไดประโยชน

27 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


5 กรกฎาคม 2542 วันนีก้ ็จะพูดถึงการพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั ดวย ความซื่อสัตยสุจริต และความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตยสุจริต ความหมายของคํานี้ตรงกันขามกับความเจาเลห เจาเลหหรือมายาแสดงกิริยาอาการไมสมกับความเปนจริง คือหลอกใหคนอื่นเขาใจผิดเพื่อมุงประโยชนของตน ดวยเหตุทวี่ ามาจากใจมันคด คือวาตัดความคดความเจาเลหออกไปได เราก็จะเหลือแตความซื่อตรงแลวก็ซื่อสัตย ตัวอยาง นกกระยางเจาเลห เลานิทานใหฟง นะครับ วันหนึ่ง เจานกกระยางเจาเลห ไปทําอุบายจะกินปลาโดยไม ตองเหนื่อยแรงจับ เห็นหนองน้ําแหงหนึ่งซึ่งมันยืนหลับตานิง่ อยู ที่ริมหนองน้ํา หัวหนาปลากําลังกระเสือกกระสนดิน้ รนใหพนจาก หนองน้ําทีแ่ หงขอด เห็นนกกระยางยืนหลับตานิ่งอยู ไมสนใจที่จะ จับปลากินเลย ผิดวิสัยของนกกระยางทัว่ ไป จึงขอรองใหนาํ ตน และบริวารไปที่ที่มีแหลงน้ําพออยูได นกกระยางก็ปฏิเสธ บอกวา อยามารบกวนเวลาขากําลังจําศีลภาวนา ปลานี่เชื่อสนิทวานกกระยาง มีศีล จึงออนวอนครั้งแลวครั้งเลา ในที่สุด นกกระยางก็ทาํ ทีเปน รับปาก เหมือนกับขัดไมไดดวยความเอ็นดู จึงคาบปลาไปที่ตนไมแลวก็กนิ ปลาตามที่ตองการ คนเจาเลหมีพฤติกรรมคลายๆ นกกระยางนะครับ ในสังคมของเราก็มีอยูมาก มีทั้งบรรพชิต มีทั้งคฤหัสถ ตองระวัง กันไวเหมือนกัน คนเจาเลหเหมือนนกกระยางเจาเลห ศาสตรของ มนุษยชาติเราจะพบมนุษยเจาเลหอยูมากมายเกินครึ่ง สวนคนซื่อตรงนั้นคอนขางจะยาก เราจะเปนคนมีเลหกลเหมือนเม็ดกรวด เม็ดทราย หรือวาจะเปนคนหายากเหมือนเพชรนิลจินดาก็สุดแทแตจะวาไป สุดแลวแตเราจะเลือกเอาจะเปนคน เจาเลหหรือเปนคนซื่อสัตย ถาเปนคนเจาเลหก็อยูงาย อยูไมยากอยูทไี่ หนก็อยูได กลิ้งไปกลิ้งมา มะนาว 2 - 3 ตะกราปาไมถกู หรือมะกอก 3 ตะกราปาไมถูกอยางที่วา กัน ทิ้งไปทิ้งมา ลิ้นก็ พลิ้วไปพลิ้วมาเปนคนเจาเลห อยางที่พระพุทธเจาตรัสวา คนที่ไมมีหิริโอตตัปปะ ไมมคี วามละอาย แลนไปเอาหนาอยูงาย เปนอยูง าย หิริมตา จ ทุชชฺ ีวํ นิจจฺ ํ สุจิคเวสินา คนที่มหี ิริมีความละอายแลวก็แสวงหาสิ่งที่สะอาดอยูเสมอ เปนอยูยาก

28 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


พระพุทธเจาทานตรัสเอาไวอยางนี้ เปนอยูย าก ก็ถาเจาเลหเสียหนอยมันก็เปนอยูงาย เปนคนซื่อตรงมันก็เปนอยูยาก ถาจะเอามือลวงลงไปในขาวตม แลวก็ดงึ มือตรงๆ ขึ้นมา ขาวตม มันก็ไมตดิ ขึ้นมา มันตองงอมือเสียหนอยหนึ่งใหเหมือนกับทัพพี มันก็ตดิ ขาวตมขึ้นมา คนที่จะมีชวี ิตอยูงายและไดลาภ ไดสักการะ ไดอะไรตออะไร มันก็คดๆ งอๆ หนอย ซื่อๆ ตรงๆ ก็ไมคอยได อะไร มนุษยเจาเลหม ักเปนคนหลอกใหผูอื่นหลงผิด โดยกิริยา อาการบาง โดยวาจาบาง อยางที่พูดกันวา “ปากอยางใจอยาง” ปากอยางใจอยางนี่มันก็แลวแตเจตนาดวยนะครับ คือวา ถาเจตนาจะหลอกเขานี่มันใชไมได แตถาเจตนาทีจ่ ะปลอบใจเขา มันก็ใชได แลวแตเจตนาดวย เชนวาเราไปงานศพ เราก็ไมไดเศราโศกเพราะวาเราปลงไดแลว มีธรรมะ ปลงได แตเราก็บอกวาเสียใจดวยนะ อยางนี้ ก็คลายๆ ปากอยางใจอยาง แตวา ใชได ถือวาเราปลอบใจเขา ไมไดเจตนาจะหลอกลวง ปากอยางใจอยางที่เจตนาจะหลอกลวง นั่นแหละใชไมไดไมดี ในสมัยพุทธกาล นายเปสสะ บุตรของนายควาญชาง กราบทูลพระพุทธเจาวา “ขาแตพระองค เมื่อมนุษยรกชัฏอยูอยาง นี้เปนกากเดนอยูอยางนี้ โออวดมีมายากันอยูอยางนี้ มนุษยนี้ก็ รกชัฏเขาใจยาก สวนสัตวเดรัจฉานเปนผูต ื้นเขาใจงาย” ตอจากนัน้ นายเปสสะบุตรของนายควาญชางก็ไดเลาถวายพระผูมีพระภาคเจาวา เขาเปนคนฝกชาง เมื่อฝกมันก็แสดงอาการโออวด อาการโกง ความคดความงอทั้งหมดใหปรากฏในสวนมนุษย หรือทาสกรรมกรของเขาพูดอยางหนึ่งทําอยางหนึ่งก็จิตคิดอยางหนึ่ง แตพระผูมีพระภาคเจาทรงฝกคนใหเปนผูส งบได เขากราบทูลพระพุทธเจาอยางนี้ก็เพราะวา ตอนนั้นเขาไป เฝาพระผูมีพระภาคเจา ก็มีภิกษุสงฆแวดลอมอยูเปนหมูใหญ แตก็ สงบนิ่งเรียบรอย เขาเห็นขอนี้เปนอัศจรรย พระผูมีพระภาคก็ ไดทรงทราบสิ่งที่มีประโยชนและไมมีประโยชนแกสัตวทั้งหลาย เขา กราบทูลวาพระผูมีพระภาคไดทรงทราบสิ่งที่มีประโยชนและไมมี ประโยชนแกสตั วทั้งหลาย พระผูมีพระภาคเจาก็ทรงเห็นดวยกับคําทูลของนายเปสสะ ทุกประการ แตก็ตรัสวามีบุคคลอยู 4 จําพวก คือ 1. ทําตนใหเดือดรอน ขวนขวายในการทําตนใหเดือดรอน 29 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


2. ทําผูอื่นใหเดือดรอน ขวนขวายในการทําใหผูอื่นเดือดรอน 3. ทั้งทําตนใหเดือดรอนและทําผูอื่นใหเดือดรอน พรอม ทั้งขวนขวายเพื่ออยางนั้นดวย 4. ไมทําตนและไมทําผูอื่นใหเดือดรอน พรอมทั้งขวนขวาย เพื่ออยางนั้นดวย คือขวนขวายเพื่อไมทําตนใหเดือดรอน ไมทํา ผูอื่นใหเดือดรอน แลวก็เปนผูหมดอยาก ดับสนิท เย็น เสวยแต ความสุขอยูในปจจุบัน แลวก็ตรัสถามนายเปสสะวา พอใจบุคคลพวกไหน นายเปสสะก็ทลู วา พอใจบุคคลพวกที่ 4 คือ พวกทีไ่ มทําตนใหเดือดรอนไมทําผูอื่นใหเดือดรอน หมดอยาก ดับสนิท เย็น เสวยความสุขอยูในปจจุบัน เรื่องนี้ก็นาคิดนะครับ ความคดความโกง ความไมซื่อสัตยสรางปญหาใหกับตนเอง สังคม บานเมืองมากมาย สุดที่จะ จาระไนได ปญหาคอรรับชัน ปญหาคาของเถื่อน คายาเสพติด ซึ่งปราบกันไมหวาดไมไหว ก็ไปจากความคดความโกงนี่แหละ ความไมซื่อสัตยนแี่ หละ “ไมคดพอดัดไดแลวก็ดัดงายกวาคนคด” บางทีก็จําเปน ตองใชไมคดก็มี บางทีมันก็จาํ เปนตองใชไมคด คือวามันซื่ออยูก็ ดัดใหมันคดเพื่อจะไดใชอยางที่มันคด แตคนคดนี่ไมไดเรื่อง ทําไม จึงวาอยางนัน้ ทําไมจึงวาไมคดดัดงายกวาคนคด เพราะวาไมเนี่ย เราทํามันขางเดียว แตวาคนคดเขาตองรวมมือกับเราดวย ถาเขา ไมรวมมือก็ดดั เขาไมได ไมสําเร็จ เหมือนดัดหางหมา พูดให สุภาพหนอยก็ดัดหางสุนัข วางั้นเถอะ คนที่มีนิสัยซื่อสัตยอยูบางแลว การสอนใหซื่อสัตยหรือไดสิ่งแวดลอมที่เอื้ออํานวยใหซื่อสัตย เขาก็ซื่อสัตยไดเร็วแลวก็มั่นคง สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศไดทรงนิพนธเอาไววา “ใจซื่อถือสัตยมั่น ความสัตยชวยอุดหนุน ซื่อสัตยยอมเปนบุญ ภัยพิบตั ิตา งได

มีคุณ เมื่อราย ภายภาค หนาเอย กลับรายกลายดี”

นี่ความซื่อสัตย ลักษณะของคนที่ซื่อสัตยนเี้ ปนอยางไร 30 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


1. ถือเอาความจริงเปนที่ตั้ง แลวก็ความจริงนั้นตองเปน ประโยชนและเปนธรรม คือยุติธรรม เปนสัจจานุรกั ษ ไมใชสัจจาภินิเวส ศัพทยากไปหนอยนะครับเดี๋ยวคอยอธิบาย 2. แสดงตนตามความเปนจริง ระวังไมแสดงตนเกินจริง แสดงตนตามความเปนจริง เปนอยูตามฐานะของตน ไมโออวดแต ก็ไมทําตนต่ําเกินไป มีสุภาษิตอยูบทหนึ่งวา สาธุ รูโป จ ปาสํโส ทวารตฺตเยน สจฺจวา แปลวา ผูมีความซื่อสัตยดวยไตรทวาร ไตรทวารก็คือ กาย วาจา ใจ เปนคนดี ควรไดรับการสรรเสริญ สาธุ รูโป แปลวา เปนคนดี จ ปาสํโส เปนคนที่ควรไดรับการสรรเสริญ ความจริงที่บัณฑิตทานยกยองแลวก็ยอมใหกลาวไดก็คือวา ความจริงที่เปนประโยชน ถาไมเปนประโยชนเปนไปเพือ่ เบียดเบียนตน เบียดเบียนผูอื่นใหเดือดรอน ทานวาไมตองพูดก็ได ดังที่พระพุทธเจา ไดตรัสไววา “พระองคไมตรัสพระวาจาที่แมจะจริงแตไมมีประโยชน” จริงแตไมมีประโยชน แมวาจาที่จริงและมีประโยชน พระองคก็ทรงเลือกเวลาตรัส นอกจากนี้ยังตองเปนวาจาทีย่ ุติธรรมดวย ความยุติธรรม เปนอยางไร ทุกคนรูจักดี แตเราพอใจในการรับมากกวาพอใจในการ ให เพราะฉะนั้น พระวังคีสเถระไดกลาวคําสุภาษิตตอพระพักตรของพระพุทธเจาวา สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏٛ  ิตา แปลวา สัตบุรุษ คือคนดีทั้งหลาย เปนผูตงั้ มั่นอยูในสัจจะที่เปนประโยชนและเปนธรรม คือยุติธรรม ก็เปนสัจจานุรกั ขี หรือสัจจานุรักข คือรักษาไวเทาที่เปนจริง อะไรเห็นดวยปญญาวาไมจริงก็ทิ้งไป ไมยึดถือไวใหรุงรัง มีนักวิทยาศาสตรเปนตัวอยางแทนผูที่เปนสัจจานุรักขี เปน “Protector of the truth” สัจจานุรักขี ทฤษฎีทางวิทยาศาสตรที่เคยเชื่อกันมากอน แตตอมาไดทดลองพบขอเท็จจริงใหม เขาก็แถลงออกมาใหมคือทฤษฎีใหม ของเกาก็ลมไป ไมไดยดึ มั่นถือมัน่ วาเคยเชื่อถือกันมาอยางนี้ แลวก็ตองเชื่อถือกันตอไปอยางนี้เปลี่ยนแปลงไมได แกไขไมได พวกนี้พวกสัจจาภินิเวส สัจจาภินเิ วสพวกยึดมั่นถือมัน่ ดวยอุปาทาน วาเคยยึดถือ กันมาอยางนีท้ ิ้งไมได ขนบธรรมเนียมประเพณี มันอาจจะตั้งขึน้ เพื่อแกปญหาเฉพาะหนา หรือเพื่อประโยชนของคนบางกลุมใน บางยุคบางสมัย แตพอลวงกาลผานสมัยแลวก็หมดความจําเปนที่จะตองรักษาไว แตผูสืบทอดไมรูเจตนารมณของบรรพบุรุษไมรูเหตุของขนบธรรมเนียมประเพณี จึงยึดไวตอไป 31 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ยิ่งนานวันก็ยิ่งมากขึ้น เพราะลวงมาหลายชัว่ อายุคน แตละชวงอายุคนก็บัญญัติขึ้นมา ใหมๆ ทับถมกันลงไป โดยที่ของเกาก็ไมกลาเลิก ของใหมกจ็ ําเปนเพราะสมควรแกเหตุ เพราะสมควรแกเหตุการณ จึงรุงรังไปดวยพิธีรีตอง เปนเรื่องหนักไมใชเรื่องเบา บางทีก็เปนเพราะความเขลาของมนุษยเองนะครับ พระพุทธเจาจึงตรัสสอนไววา มา ปรมฺปราย อยารับเชื่อ อยาถือเพราะเหตุที่เคยถือสืบๆ กันมา ทั้งนี้ก็เพื่อปองกัน สัจจาภินิเวสนั่นเอง ทานจดจําเอาไวสั้นๆ ยอๆ ก็ได สัจจานุรกั ขี Protection of the truth แปลวา รักษาไวเฉพาะที่เปนความจริง สัจจาภินเิ วส นั้นมัน Doctrinarism พวกยึดถือประเพณีรีตอง เคยถือกันมาเคยทํากันมาอยางไรก็ทํากันตอไปอยางนั้น พระพุทธเจาทรงเปนบุคคลประเภทที่ ถาเรียกตามภาษา ปรัชญาสมัยปจจุบัน ก็เปนพวก Existentialist คือทรงกลาปฏิเสธของเกาแลวก็แสวงหาทางใหมที่ดกี วาอยูเสมอ มิฉะนั้นแลวจะทรง กลาปฏิรูปปฏิวัติสังคมอินเดียนั้นเสียใหมไดอยางไร หรือวากลาบิน กลาบินสูง บินสูงขึ้นไปนําพรรคพวกบินสูงขึ้นไป ไมเที่ยวบินอยู ตามยอดหญาอยางที่เคยบิน นกนางนวลมันก็เทีย่ วหากินอยูตามริมทะเล ก็ไดกินเศษเนื้อเศษปลาที่ชาวประมงเขาโยนใหมัน ก็มีนกนางนวลตัวหนึ่งชื่อ โจนาธาน ก็บนิ สูงขึ้นไปเหมือนนกอื่นๆ พยายามหัดบิน บินสูงขึ้นไป บินไปในทะเลกวาง ในโลกกวาง ก็เปนทีต่ ิเตียนของนกนางนวลตัวอืน่ ๆ แตวานกนางนวลโจนาธานมันใจแข็ง หัดบิน เรื่องอะไรที่จะตองกระเตาะกระแตะ อยูที่ชายทะเลชายฝงกินเศษเนื้อเศษปลาที่ชาวประมงเขาโยนให ไปหากินเอาเองดีกวา ก็หดั บิน นกนางนวลตัวอื่นก็เตือนบินไมไดหรอก อยาไปหัดใหมันยากเลยเดีย๋ วตกทะเลตาย โจนาธานมันก็ไมฟง มันหัดบิน ถลาลมขึ้นไป หัดบินจน บินได บินได บินไดดี ปลื้มใจมาก ดีใจมาก โจนาธานนกนางนวล ตัวเดียวที่บินไดเหมือนกับนกเหยี่ยว นกอินทรี ลองคิดดู นอกนั้นก็เทีย่ วบินเตาะแตะอยูตามชายฝงนั่นแหละ ก็เที่ยวหากินเศษ เนื้อเศษปลาอยูตามชายฝงนัน้ แหละ หากินอยางอื่นไมได นกนางนวลโจนาธาน ก็เปนตัวอยางในสังคมมนุษยมนุษยสวนมากก็พอใจแตเรื่องเทาที่เปนอยู เคยเชื่อถือกันมาอยางไร เคยทํากันมาอยางไร เคยอะไรกันมาอยางไรก็ทํามันไปอยางนั้น ไมนึกวามันจะมีสิ่งที่ดีกวาทําไดดีกวา ถาพระพุทธเจาเปนอยางพวก

32 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


พราหมณสมัยนั้น ไมปฏิรูป ไมปฏิวัต ไมเปน Existentialis เราก็คงไมไดรบั พุทธศาสนา พุทธศาสนาก็ไมเกิดขึน้ พระภิกษุไทยที่เปนพุทธสาวกในเบื้องหลังที่เปน Exis-tentialist เชนเดียวกับพระพุทธองค คือวาเดินตามรอยพระบาท ที่พอจะยกมาเปนตัวอยางไดสัก 2 รูป สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หรือพระองคเจามนุษยนาคมาณพ เปนพระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 เปนพระอนุชาในรัชกาลที่ 5 มีพระชนมอยูในระหวาง พ.ศ. 2403 - 2464 ประสูติวันที่ 12 เมษายน 2403 แลวก็สิ้นพระชนมวันที่ 2 สิงหาคม 2464 รูปหนึ่ง แลวก็ทานพุทธทาส ภิกษุอกี รูปหนึง่ นามเดิม เงื่อม พานิช อยูจงั หวัดสุราษฎรธานี ลูกพอคาในตลาดไชยา มีชีวิตอยูใ น พ.ศ. 2449 เกิดวันที่ 27 พฤษภาคม 2449 - 2536 มรณภาพ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 เปนพระราชาคณะที่ชั้นธรรมที่พระธรรมโกษาจารย

33 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


6 กรกฎาคม 2542 เมื่อวานนี้ผมก็พูดถึงพระเถระ 2 รูป วาที่มีลักษณะ เปน Existentialist Existentialism นี้มีลักษณะในภาษาไทย ภาษาปรัชญาวา “อัตถิภาวนิยม” Existentialism แปลวา ความมีอยู เทากับ อัตถิ มีอยู เปนอยู ก็โดยสาระสําคัญของปรัชญาสายนี้ ก็คือการถือเอาเสรีภาพ เปนสาระสําคัญของมนุษย เพลโตบอกวา สาระสําคัญของมนุษยคือ เหตุผล แต นักปรัชญาสาย Existentialism เนนวา เสรีภาพเปนสาระสําคัญของมนุษย เพราะวามนุษยแมจะมีเหตุผล ถาไมมีเสรีภาพก็ใชเหตุผล ไมได แตเราจะใชเหตุผลไดก็ตอเมือ่ เขามีเสรีภาพ แลวก็ผมไดพดู ถึงเรื่องหลายเรื่องเมื่อวานนี้ ทานผูฟงก็คงจะจําไดหมดแลวไมตอง พูดซ้ําอีก แลวก็ไดยกตัวอยางภิกษุไทยอยางนอย 2 รูป ที่เปน ผูชอบความกาวหนา ชอบความเปลี่ยนแปลง ไมยึดมัน่ อยูก ับรูปแบบเดิมๆ ก็กลาวถึงสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิร- ญาณวโรรส ถือวาเปน “พระบิดาแหงการศึกษาพุทธศาสนาสมัย ใหม” แลวก็ทานอาจารยพุทธทาสภิกขุ หรือพระธรรมโกษาจารยแหงสวนโมกขผลาราม ไชยา สุราษฎรธานี ที่เปนผูบุกเบิกยกระดับการฟง ยกระดับการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธทั้งหลาย เปดหูเปดตาใหกาวขึน้ ไปสูภ ูมิปญญา คือกอนหนานี้สวนมากก็สอนกันอยูแตเรื่องศีล ก็พอใจแลว หรือวาอยางมากก็แคเรื่องสมาธิก็พอใจแลว ปญญาก็สอนไมใชไมสอน แตวาไมไดเนนกันมาก เวลาเราฟงเทศนงานศพสังเกตดูวา ทานผูเทศนก็จะเนน เรื่องศรัทธาและศีล เพราะผูตายนัน้ เปนผูที่มีศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนา แลวก็มีศลี ปฏิบัติธรรมในทํานองนีน้ ะครับ แตวาทีจ่ ะพูดถึงปญญาหรือยกระดับคนขึน้ ไป ถึงปรีชาญาณนั้นคอนขางจะหาไดยาก พุทธศาสนาในบานเราจึงมักจะวนเวียนย่าํ เทาอยูที่เดิม หรือวาไมกาวไปขางหนา ไมไตบันไดขึน้ ไปใหถึงที่สุด มักจะวนเวียนย่ําเทาอยูใ นพิธีรีตอง แกปญหาชีวิตดวยสังฆทาน คือวามีความทุกขอะไรขึ้นมาก็ถวายสังฆทาน มีเรื่องเดือดรอนขึ้นมาก็ ถวายสังฆทาน เปนการแกปญหาชีวิตแทบจะทุกอยาง แตวาถาตามหลักพุทธศาสนาแลว เราจะตองใชปญญา หมายความวาตองสาวหาสาเหตุ หาเหตุที่เกิดของความทุกขนั้นวามันเกิดมาจากอะไร สาวหาเหตุแลวพิจารณาแลวใชปญญาเขาไปแกปญหา มันก็จะแกได ไมใชวามีความทุกขอะไรแลวก็แกปญหาดวยการทําสังฆทาน จนกระปองสังฆทานเต็มไปหมดเลยทีก่ ุฏิพระเสร็จแลวก็แกปญหาชีวติ ไมได

34 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อันนี้ผมไมไดคัดคานการถวายสังฆทาน แตวาในการแก ปญหาชีวิตนัน้ มันแกดวยการถวายสังฆทานเพียงอยางเดียวนั้น มันไมสําเร็จ ตองแกที่เหตุของมันทั้งนั้น พระสงฆไทยทั้งสองรูปที่อางมานะครับ ไดทําใหการศึกษาคนควาและการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนากาวหนาไปเปนอันมาก ดวยความเปนอัจฉริยะและความเสียสละของทานอนุชน รุนหลังไดอาศัยปรีชาญาณของทานเปนอันมาก ทานทั้งสองเปนผูไมตาย เพราะวามีผลงานเปนอมตะ เวลานี้นักธรรมก็เรียนตําราของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสอยูแทบทั้งนัน้ แหละครับทั่วประเทศ ไดเรียนตําราที่สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงรจนาเอาไว ทั้งสวนที่เปนธรรมะ ทั้งสวนที่เปนพุทธประวัติ ทั้งสวนที่เปนพุทธศาสนสุภาษิตทั้งสวนที่เปนวินยั ที่ทานเรียกวา วินัยมุข พุทธประวัติเขียนใหม ทันสมัยหรือเปนผลงานเรื่องอื่นๆ นักธรรมเอก นักธรรมโท ทานรจนา ทั้งนั้น ที่เรียนกันอยูทุกวันนี้ เปนเวลากีป่ มาแลว ทานสิ้น พระชนมเมื่อป พ.ศ. 2464 เกือบ 80 ปแลวยังใชของทานอยูใชกอนที่ทานจะสิ้นพระชนม ลองนึกดูครับ แลวก็ทานอาจารยพุทธทาส ก็รจนาหนังสือไวมากมาย รจนาเขียนทั้งพูดทั้งเขียนตํารา วิจัยธรรมเอาไวมากมาย อนุชนรุนหลังก็เปนหนี้ทานไมมีที่สิ้นสุด เปนตัวอยางทีด่ ีเหลือเกิน คนรุนหลังก็ควรถือเปนแบบอยางดําเนินตาม โดยเฉพาะ อยางยิ่งก็ควรจะศึกษาวา ในชีวิตเดียวทานไดสรางผลงานอันเปน ประโยชนมหาศาลแกสังคมไดอยางไร ในชีวติ เดียว ชีวติ ของคน คนเดียวไดสรางงานที่เปนประโยชนมหาศาลแกสังคมไดอยางไร ลองศึกษาดู แลวถาอนุชนรุนหลังจะดําเนินตาม ทานก็คงจะปติ ปราโมทยไมนอยเลยทีเดียว ทีนี้ผมก็ขอยอนกลับมาพูดถึงเรื่องความซื่อสัตยตอไป สักหนอยนะครับ เพื่อรักษาความซื่อตรงเอาไวใหได เราจะตองมีปจจัยหนุนความซื่อตรงเอาไว 3 ประการ ดังนี้ ประการที่ 1 สามารถดํารงชีวิตอยูไดดวยตนเอง คิดพึ่งตนเองอยูเสมอนะครับ ยืนอยูบนขาของตนเองได ถาเราพึ่งตนเองไมไดตองอยูภ ายใตการครอบงําของผูอื่นแลว ถาเขาไมซื่อสัตย เราอาจตองไมซื่อสัตยไปดวย เพราะวาเราพึ่งตัวเองไมไดและถาไปทํางานกับนายที่ไมซื่อสัตย แลวเราก็พึ่งตัวเองไมได ตองพึ่งเขา เราก็ตองทํางานที่ไมซื่อสัตยตามเขาไปดวย แตถาออกมาจากรมเงาของเขาแลวเราอยูไ มได แตถาเราพึ่งตนเองได ถาเรารูวานายไมซื่อสัตย เราก็ไมอยูด วย

35 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อยางที่เคยเลาใหฟงถึงเรื่องลูกศิษยของอาจารยที่อาจารย มีกลโกง หลอกใหพระราชาบูชายัญเพื่อเอาชีวิตสัตว ชีวิตคนมาเพื่อบูชายัญ แลวลูกศิษยก็ถามวา บูชายัญในคัมภีรที่เราเคย เรียนมามีหรือ ไถชีวิตของตนเพื่อเอาชีวติ ของผูอื่น อาจารยบอก ไมมี เจามันยังเด็กนัก ยังโง นี่คือวิธีไดทรัพยของเรา วิธีเลี้ยงชีพของเรา ลูกศิษยเปนคนฉลาด เปนคนดีแลวก็ฉลาด ก็บอกวา ถาอยางนั้นทานอาจารยทําไปเถอะ ผมไมเอา ผมไมทําดวย ไมเอาดวย ผมไปแลวก็ไป อยางนี้นะครับ ประการที่ 2 ไมคิดเอาเปรียบใคร ใหความเปนธรรมแกผูอื่นอยูเสมอ คนอยางนี้นะครับรูจักเอาใจเขามาใสใจเรา ถาจะมีการ ตอสูก็จะตอสูกบั ผูที่ตอสูกันได ไมเอาเปรียบ หรือไมตอสูผูที่ออนแอ กวา ไมรังแกผูที่ออ นแอกวา หรือผูที่ไมมีทางตอสู ในดานความคิดนะครับ ความคิดของคนเรานี่ไมเหมือน กัน แตเรื่องหลักๆ ก็จะเหมือนกัน เชนวา ตองการใหผูอนื่ ปฏิบัติตอตนดวยความซือ่ สัตยสุจริต อันนี้คือความตองการ หรือวามีเมตตากรุณาเรียกรองความเมตตากรุณา เราตองการเมตตากรุณา ตองการความยุติธรรม แตวาเรามักจะตองการจากผูอ ื่นมากกวาที่ จะใหกับผูอื่น ประการที่ 3 มีหิริโอตตัปปะ คือรูจักละอายตอบาป

ตอความชั่ว มีความซื่อสัตยตอตนเอง ตอผูอื่น

อันนี้เพื่อจะรักษาความซื่อสัตยเอาไว เราจะตองมีปจจัย หนุนที่สําคัญ 3 ประการนะครับ มิเชนนั้นเราอาจจะรักษาความ ซื่อสัตยไวไมได ความซื่อสัตยเปนลักษณะดีที่สําคัญอยางหนึ่งของมนุษย มนุษยเรามีลักษณะที่ดบี างชั่วบาง คือไมมีลักษณะใดเดนชัดออกมา คนที่ไมมีลักษณะนี้เปนคนคบยาก เพราะวาไมรูวาเขาเปนคนอยางไร คนที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งมันดูได แลวก็คบงายกวาคนไมมี ลักษณะ ซึ่งเปนคนคบยาก แลวก็หาความเจริญไดยากดวย คนที่ ไมมลี ักษณะ หาความเจริญไดยากดวย เพราะวามันจะเปนฟาง ลอยไปตามน้ํา น้ําขึ้นก็ลอยขึน้ ไปตามน้ํา น้าํ ลงก็ลอยลงไปตามน้ํา คุณลักษณะทีด่ ีจะดํารงอยูในความซื่อสัตยสุจริตเสมอ แมจะเห็นวาคนอื่นๆ พากันทอดทิ้งคุณธรรมอันนี้เสียแลวก็ตาม เปนคนนาเชื่อถือแลวในที่สุดก็ไดรับการเชื่อถือจริงๆ บางทีเมื่อตายไปแลวยังไดรบั การยกยองเปนเทพเจาอีก เชน เทพเจากวนอู เปนเทพเจาแหงความซื่อสัตยในเรื่องสามกกของจีนนะครับ นี่ความซื่อสัตย ทานมหาตมะ 36 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


คานธี เลาไวในชีวประวัติของทานวา ทานในสมัยเด็กอยูชั้นประถม ไดดูละครเรื่อง ทาวหริศจันทร ผูเสียสละทุกอยางถึงกับยอมตนลงเปนทาสเพียงเพื่อรักษาสัจจะ ทานคานธีประทับใจเรื่องนีม้ ากแลวก็ถือเอาเปนเยีย่ งอยางในการดําเนินชีวิต ดวยความเสียสละ รักษาความสัตยตลอดมา ลักษณะที่ดี ดีกวาความรูนะครับ ตัวอยางเชน ความ รอบคอบหรือคนที่รอบคอบละเอียดลออ ทํางานประณีต แมความรูจะนอยกวา แตจะดีกวาคนทีม่ ีความรูแตสะเพรา หยาบ ทํางาน บกพรองอยูเสมอ อันนี้ขอย้ําอีกทีนะครับวา คนที่มีลักษณะดี ดีกวาคนที่มคี วามรู แลวก็มีคุณสมบัติดี เชน ความรอบคอบ ความละเอียดลออ ทํางานประณีต แมจะมีความรูนอยกวาแตจะดีกวา คนที่มีความรูแตสะเพรา หยาบ ทํางานบกพรองอยูเสมอ อันนี้เปนเรื่องทีน่ าจะพิจารณา นาสังเกต ตั้งขอสังเกตเอาไวเสมอ มันเปนอัตลักษณ Character นะครับ เขาเรียกอัตลักษณคือลักษณะประจําตัวของคน คนที่มีลักษณะดีนี่มนั ยากทีจ่ ะลบเอาไปได แมจะมีสิ่ง ยั่วยวน แมจะมีสิ่งที่ทําใหเขวออกไปนอกทาง แตเนื่องจากลักษณะของเขาเปนคนที่เขมแข็งเด็ดเดีย่ ว มันยากทีจ่ ะทําใหเขาเขวออกไปนอกทางได เขาเปนเหมือนดวงดาว คือโคจรไปตามวิถีของตน สวนพวกที่เปนใบไมรว งก็แลวแตลมจะพัดไป ลมพัดลมเพ ที่เขาวา แลวแตลมจะพัดไป แตคนที่เปนดวงดาวจะโคจรไปตามวิถีของตน ก็เปนคนที่มีลักษณะนาคบนาไวใจ บอเกิดของลักษณะคนอยางนอยก็มีอยู 3 ประการ ดังนี้ 1. การอบรมในบาน 2. การคบหาสมาคม 3. การฝกฝนตนเอง บอเกิดลักษณะคน 3 ประการนี้ ไดนํามาจากขอคิดของ ทานอาจารยหลวงวิจิตรวาทการ ในปาฐกถาเรื่อง “ลักษณะคน” เปนการรวมปาฐกถาของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ในบอเกิดแหงลักษณะทั้ง 3 ประการ การฝกฝนตนเอง สําคัญที่สุด เพราะวาคนเราถาไมยอมฝกฝนตนเองเสียแลว แมการ อบรมในบานจะดี มีคนรอบขางดี คนอื่นคอยๆ สูงขึ้นไปแตผไู ม ฝกฝนตนเองก็คงเปนไมเตี้ยอยูนนั่ เอง แตถาเขาหมั่นฝกฝนตนเอง และไดปจ จัยอีก 2 อยางหนุนเขาดวย ก็จะสูงยิ่งขึ้น

37 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


พระพุทธองคทรงเห็นความสําคัญของเรื่องนี้จึงตรัสไววา “ในหมูมนุษยดวยกันผูที่ฝกฝนตนแลวเปนผูที่ประเสริฐที่สุด” พระพุทธพจนที่วา ทนฺโต เสฏโٛ มนุสฺเสสุ ในบรรดามนุษยดว ยกันผูทฝี่ กฝนตนแลวเปนผูที่ประเสริฐที่สุด คือถาไมตั้งใจฝกฝนตนเองแลว แมจะมีพอแมดี การอบรมในบานดีมันก็เลว ถาตั้งใจฝกฝนตนเองแลว เขาจะเอาดีได แลวก็ดีไดมากๆ ทีเดียว ในบรรดาคนที่ฝกฝนตนเองทั้งหลาย ขอพูดอยางเชิดชู เกียรติ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งทานเปนผูหนึ่งในบรรดาผูที่ ฝกฝนตนเองอยางดีเยี่ยม ไดประสบความสําเร็จในชีวติ ดวย ความเพียรพยายาม ความซือ่ สัตยสุจริต ดวยการฝกฝนตนเอง การศึกษาเบื้องตนจริงๆ ที่เรียกวาไดเขาโรงเรียน การศึกษาเบื้องตน จริงๆ คือ เปรียญ 5 ประโยค นอกจากนั้นก็เปนการฝกฝนตนเอง ทัง้ หมด จนเปนผูที่มีความรูอยางนาอัศจรรยคนหนึ่งของเมืองไทย การอบรมในบานก็ดี การจัดสิ่งแวดลอมใหดกี ็ดี ก็เพียงแตเผื่อวา เขาจะดีไดเพราะเหตุนั้น พระพุทธองคไดตรัสไววา “บุคคลบางคนจะไดยนิ คําสอน ของพระพุทธเจาหรือไมไดยนิ ไมไดฟงก็ตาม ก็เปนคนดีได” ทานใช คําวา “มาสูคลองแหงกุศลธรรมได” แลวก็บางคนจะไดยนิ หรือ ไมไดยนิ ก็เปนคนดีไมได มาสูคลองแหงกุศลธรรมไมได บางคน เมื่อไดยินไดฟง จึงจะดี ถาไมไดยนิ ไดฟงก็พลาดโอกาสที่จะดี พระพุทธองคทรงแสดงธรรมมุงเอาคนพวกที่ 3 นี้ แลวก็คน 2 พวกแรกจึงพลอยไดยนิ ไดฟงไปดวย ทานมุงเอาบุคคลพวกที่ 3 นะครับ บางคนเมื่อไดยินไดฟงจึงจะดี ถาไมไดยนิ ไดฟงก็พลาดโอกาส ที่จะดี สวน 2 พวกแรกนัน่ ไมเอา เปนแตเพียงพลอยไดฟง ไปเทานั้นเอง ไมไดฟงเราก็ดีได บางพวกไดฟงเขาก็ดีไมได พวกที่ 1 นี้เปนพวกที่มีกิเลสเบาบาง คือวาไมไดยนิ ไดฟง ก็ดีได มีกุศลที่ไดสั่งสมมาแลวมาก พึ่งตนเองได พวกที่ 2 เปนพวกที่มกี ิเลสหนา มีมานะความทะนงตน รุนแรง ถือเอาแตความพอใจของตนเปนประมาณ เปนมาตรฐาน ในการกระทําตางๆ เปนคนหัวดื้อ วายากสอนยาก พวกที่ 3 พวกนี้เปนพวกที่มบี ุญกุศลอยูพอประมาณ มี กิเลสพอประมาณ สามารถชักจูง เขาจะถูกชักจูงไปไดทั้งฝายดี และฝายชัว่ เหมือนกับดินครับ เหมือนกับดินธรรมดาถาเผื่อถูก น้ําเขามันก็เหลว ถาถูกแดดเขามันก็แข็ง เพราะวามันเปนไปตาม สิ่งแวดลอม ก็เปนหวงคนพวกนี้ครับ จึงไดมีการแสดงธรรม สอน ธรรม เพื่อเขาจะไดไมหลงตกไปทางฝายชัว่

38 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


8 กรกฎาคม 2542 เรื่องที่คุยคางไวเมื่อวานนี้กบั ทานผูฟงก็คือ เรื่องความ ซื่อสัตยสุจริต ก็ไดคุยมาหลายหัวขอแลวนะครับ เชนวา ความ ซื่อสัตยเปนลักษณะดี อันสําคัญอยางหนึ่งของมนุษย แลวก็บอเกิด ของลักษณะคน ซึ่งมีอยู 3 ประการ คือ การอบรมในบาน การ คบหาสมาคม แลวก็การฝกฝนตนเอง เมื่อวานนี้ไดเนนหนักในเรื่อง การฝกฝนตนเอง แลวการอบรมในบานนี่ก็มีความสําคัญมากนะครับ เพราะวาการอบรมในบานเปนหนวยที่เล็กที่สุด แลวก็คนที่มีอทิ ธิพล มากที่สุดก็คือพอแม เด็กก็คอยดูพฤติกรรมของพอแม ถาพอแม อยูในระเบียบวินัยและก็อยูในศีลธรรมอันดี เด็กเขาก็เปนแบบนัน้ ไดงาย อยางที่นกั ปรัชญาผูยิ่งใหญคือ ทานโสเครตีส ไดพูดวา “จริยธรรมนั้นสอนไมยาก ถามีตัวแบบ แตวาที่สอนยากก็เพราะไมมีตัวแบบ คือหาตัวแบบไดยาก” เปนทํานองนั้น เมื่อวานนีว้ ันพุธผมไปบรรยายถวายความรูก ับพระนักศึกษา ปริญญาโท ทานก็ปรึกษาเรื่องปญหาเยาวชน ทานถามวาทําอยางไรเยาวชนถึงจะเปนคนดี ผมก็เรียนตอบวา ธรรมดาเขาก็บอก กันวาใหเริ่มสอนเด็กตั้งแตอายุยังนอย ตั้งแตอนุบาล ชั้นประถม มัธยม แตตามความเห็นผม ผมเห็นวา ใหผูใหญดีกอน แลวถา ผูใหญยังไมดีโอกาสที่จะใหเด็กดีนั้นยาก ถึงจะสอนไปอยางหนึ่ง โรงเรียนสอนไปอยางไร สอนไปอยางดีวาอยางนั้นเถอะ แตวา ถาเผื่อผูใหญยังไมดี ก็ยังเปนแบบที่ไมดีอยู จะใหเด็กดีนนั้ ยาก เพราะวาเด็กจะโตขึ้นทุกวัน แกโตขึ้นทุกวัน แลวแกโตเปนผูใหญ พอเปนผูใหญขึ้นมาก็มาอยูใ นกลุมผูใหญ ถาผูใหญไมดสี ิ่งแวดลอม ไมดีกย็ ากที่จะใหเด็กดีได เรื่องเสื่อมเสียในสังคมนี่ผูใหญสรางขึ้นเยอะนะครับ เชนวา สิ่งที่ยวั่ ยวนเด็กใหไปเกเร ไปประพฤติเสือ่ มเสีย สถานอะไรที่ตางๆ นั่นนะ ผูใหญสรางทั้งนั้น เด็กเอาปญญาที่ไหนไปสราง แมแต ยาเสพติดนั่นเองผูใหญก็เปนคนทําใหเด็กเขาไปเสพ แลวลองนึกดู ใหดีๆ เถอะครับ ถาหากผูใหญรับผิดชอบตอสังคม เห็นใจเด็ก รับผิดชอบตอเยาวชนจริงๆ แลวเขาก็จะไมทํา ไมทําสิ่งที่เสื่อมเสีย ก็ทํานองนี้นะครับ การอบรมในบาน เพราะวาที่บานนั้นเปนนิทรรศการ เปนนิทรรศการประจําวันที่เด็กไดเห็นอยูเปนประจําวัน มันฝงลึก นะครับ ผมเคยรูจักเด็กหลายคนที่สภาพครอบครัวย่าํ แย แลว ก็สภาพจิตใจเด็กยับเยินเพราะวาไดเกีย่ วของกับเยาวชนใน มหาวิทยาลัยโดยก็ไดทราบสุข ทุกข อะไรของพวกเขา

39 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ถาเราจะใหเด็กดีตองเริ่มตนที่ผูใหญครับ ไมใชเด็กก็ ถูกนะครับ เด็กจะตองรับผิดชอบเหมือนกัน ไมใชเด็กไมตอ งรับ ผิดชอบ แตวาตองเริม่ ตนที่ผูใหญ ผมขออางอีกครั้งหนึ่งนะครับ ดูเหมือนมีทานผูจัดรายการ วิทยุโทรทัศนดวย ไปถามทานอาจารยพุทธทาส วาตองทําอยางไร ถึงจะใหเด็กดี ทานอาจารยพุทธทาสก็บอกวา ตองใหแมมันดีกอน นี่พูดตามที่ทานพูดนะครับ วาตองใหแมมนั ดีกอน แตวาผมก็ขอ เพิ่มเขามานิดหนึง่ วาตองใหพอแมเขาดีกอน เพราะฉะนั้นทางนัยนี้ คือวามันตองเริ่มตนที่ผูใหญ ถาเริ่มตนที่ปูยาตายายมาเลยก็ยิ่งดี นะครับ ในการอบรมในบานนี่สําคัญ ไดมองเห็นสิ่งนี้มานานพอสมควรตามวัยของตน การอบรมในบาน ถาเผื่อผูใหญในบานของเราใหเด็กไดฟงเทศนฟงธรรมเสียบาง คือวาแกจะรูเรื่องหรือไมรูเรื่องก็แลวแต แตก็ใหแกไดฟง ใหไดยนิ ใหไดฟง บางบานนี่เราใหฟงตั้งแตเด็กเลยครับ เด็กเล็กๆ ใหฟงรูเรือ่ งไมรูเรื่องแลวแต ผูใหญในบานก็คอยอธิบายเพิ่มเติมใหฟง แลวเด็กแกก็เปนอุปนิสัย เปนนิสัย ไดนิสัยเปนอุปนิสัยมาในสิง่ นั้นก็ไมขดั ขืน ไมแข็งกระดางในการที่จะแสวงหาความรู หรือในการทีจ่ ะฟงเรื่องศีลธรรม เรื่องธรรมะ เรื่องการประพฤติตัว อะไรตางๆ เพราะวาดัดมาตั้งแตเล็ก ไมออนดัดงาย เพราะฉะนั้น การอบรมในบานสําคัญมากเลยนะครับ ประการที่ 2 การคบหาสมาคม พระพุทธเจาทานตรัสวา คบคนใดก็เปนเชนคนนัน้ ยํ เว เสวติ ตาทิโส คบคนใด ก็เปน เชนคนนัน้ ถาเราคบหาสมาคมกับกลุมบุคคลที่ซื่อสัตยสุจริต ก็วาเปนคนมั่นอยูใ นซื่อสัตยสุจริต จิตใจมัน่ คง ยืนหยัดอยูกับความถูกตองหรือความซื่อสัตย ทั้งนี้เราก็ไมกลาที่จะไปลวงละเมิดความซื่อสัตยสุจริต แตถาเผื่อในกลุมในหมูเขาก็ทุจริตกันเปนสวนมาก การที่เราทุจริตบางก็ไมเปนไร คนอื่นเขาก็ทํากันอยูใ นกลุมในหมู ในพวก อยางนี้ครับ การคบหาสมาคมนี่ถาเราอยูในกลุมไหนก็มกั จะเปน อยางนั้นเปนเชนเดียวกับกลุมนัน่ แหละ ถาเผื่อธาตุตางกันหรือ อธิมตุ ติตางกัน อัธยาศัยตางกัน อุปนิสัยตางกัน มันก็เขากันไมไดสนิทหรอก มันไมเปนกลุมนั้นหรอก ไมเขากลุมนั้น เขากลุมนั้นไมได ถาเขากลุมมันตองเปนพวกคลายๆ กัน

40 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เพราะฉะนั้น ถาเราตองการที่จะใหเปนคนที่มีลักษณะดีแลวมีความซื่อสัตย สุจริต มีความขยันหมั่นเพียร มันก็ตองเขากลุมที่เปนอยางนั้น พยายามจัดตัวเองเขากลุมที่เปนอยางนัน้ ก็จะไดประโยชน ก็จะสําเร็จประโยชนในการที่จะพัฒนาตนดวยคุณธรรม เพื่อความสุขความเจริญในชีวิตปจจุบนั อันนี้ก็ขอผานไปนะครับ มาเริ่มในประเด็นที่วา เมื่อเราได เห็นความสําคัญของความซื่อสัตยอยางนีแ้ ลว สิ่งที่ควรทําอยางยิ่ง ก็คือการฝกฝนตนเองใหเปนคนซื่อสัตย ซื่อสัตยตออะไรบาง ก็ซื่อสัตยตอตนเองตอผูอื่น แลว ก็ตอหนาที่การงาน คบหาสมาคมกับคนซื่อสัตยไวเสมอตามที่ กลาวแลวนะครับ แลวก็อบรมคนในบานใหมีความซื่อสัตยสุจริต เชนเดียวกัน ไมวาจะไดมามากสักเทาไร แตถาไมซื่อสัตย เห็นวามันไมสุจริตไมเอา ตองสืบดู ตองสืบดูวาไดมาอยางไร ถาคนในครอบครัวหรือคนในบานไดลาภไดเงินมากอนใหญตองสืบดูวาไดมาอยางไร ถาเห็นวาไดมาโดยไมสุจริต ไมเอา ตองทําโดยวิธีประการใดประการหนึ่งที่จะสละ สละสิ่งนั้นไป เพราะเปนลาภที่ไมชอบธรรมหรือเปนลาภที่ไมควรได ถาเปนพระทานเรียกวา นิสสัคคิยปาจิตตีย คือเปน อาบัติปาจิตตียแ ลว ตองนิสสัคคิยะ คือตองสละ ตองสละ เชนวาไปไดจีวรมาโดยไมถูกตองตามวินยั จีวรผืนนั้นเปนนิสสัค-คิยปาจิตตีย คือวาพระรูปนั้นเปนอาบัตปิ าจิตตีย จีวรนั้นเปนนิสสัคคิยะแปลวาตองสละไป ทิ้งไป แลวก็ตวั เองก็เปนปาจิตตียถาไมสละปลงอาบัติไมตก หมายความวา ถาไมสละจีวรผืนนั้นไป อาบัติปาจิตตียน ั้นปลงไมตก พอสละไปแลวก็ปลงอาบัติได เรียกวา พระปลงอาบัติ ปาจิตตียตวั นั้นปลงได แลวก็กลับบริสุทธิ์อยางเดิม แตถายังไมสละจีวรผืนนั้น ถือวาอาบัติตัวนั้นยังไมตก ยังติดตัวอยูอยางนั้น โดยเฉพาะในวงวัด หรือในวงพระสงฆก็ยิ่งเครงครัดในเรื่องนีม้ ากขึ้น ยิ่งตองเครงครัด ในสุจริตมากยิ่งขึน้ เพื่อวาไมใหมกี ารทุจริตเพิ่มขึ้นในวงการพระสงฆ เพราะมันเปนเรื่องขายหนา เรื่องขายหนาไมเฉพาะขายหนากันเอง ขายหนาชาวบานดวย ผมตองขออภัยนะครับ ที่จะเลาเรื่องสวนตัวนิดหนึ่ง ใน ตอนนี้ตองขยายไปนิดหนึ่ง เมื่อผมเดินทางจากอเมริกาไปยุโรป นะครับ เมื่อประมาณป 36 หลายปมาแลว คืนหนึ่งขณะที่พักอยูที่โคเปนเฮเกน ไดนั่งสนทนากับภิกษุรูปหนึ่งผูซ ึ่งเคยอยูเวอรจิเนีย ที่อเมริกา 4 ป แลวทานก็พูดขึ้นมาวา คนอเมริกันเปนคนที่ซื่อสัตย สุจริต มีระเบียบวินัยดี บานเมืองจึงเจริญ ไดรวดเร็วและมีระเบียบวินยั มาก

41 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เรื่องนี้บางคนก็ไมเห็นดวยนะครับ คือวา บางคนกลับเห็นตรงกันขามวาในอเมริกาก็ไมมีระเบียบวินยั ไมมีความซื่อสัตยสุจริตเหมือนกัน โจรขโมยก็มีแยะ เต็มบาน เต็มเมือง อเมริกาก็กําลังมีปญหาสังคมอยางรายแรงเหมือนกัน ตรงนี้ผมเองไมมีประสบการณมากพอที่จะวิจารณเรื่องนี้ ไดแตวาขอเลาใหฟงถึงในเรือ่ งที่คุยกับพระในคืนนั้น ผมไดตั้งปญหาขึ้นวา ทําไมสังคมไทยเรา พุทธศาสนาก็ดี วัฒนธรรมก็ดีสอนใหคนซือ่ สัตย เนนย้ําในเรื่องนี้มานานกวาอเมริกา แตทําไมผลออกมาจึงไมเหมือนกัน คือทําไมยังมีคนไมซื่อสัตยอยู เปนอันมาก หลังจากนัน้ นะครับ ก็นั่งวิเคราะหกันอยูน าน จึงพอ สรุปไดวา ปจจัยแวดลอมไมเหมือนกัน คือ Condition หรือ เงื่อนไขตางๆ ไมเหมือนกัน แมคําสอนจะเหมือนกัน แตผลที่ออกมาไมเหมือนกัน การปรับสิ่งที่รองรับใหเหมาะสมกับคําสอนหรือหลักการ จึงเปนสิ่งสําคัญประการหนึ่ง คือเราไมเพียงแตสอน อยางเดียว เราตองพยายามปรับสิ่งรองรับ ใหมันสอดคลองกับ คําสอนจึงจะสามารถใหคนปฏิบัติตามคําสอนนั้นไดสะดวกขึ้น ยกตัวอยางนะครับ ถาเราตองการใหคนนั่งสมาธิ มัน ตองจัดสิ่งแวดลอมใหสงบดวย สิ่งแวดลอมตองสงบพอสมควรดวย ถาสิ่งแวดลอมอึกทึกครึกโครม แลวเราก็ตองการใหเด็กหรือผูใ หญนั่งสมาธิ ทําจิตใหสงบ มันทําไดยาก อันนี้คือสิ่งแวดลอมมีอิทธิพลและมีความสําคัญตอการที่เขาจะทําอะไรใหสําเร็จประโยชนตามทีป่ ระสงค เพราะฉะนั้น จึงพอจะสรุปไดวา ระเบียบวินัย หลักการแลวก็สิ่งแวดลอมหรือสิ่งที่พอจะใหสอดคลองกันได มันจะชวยเหลือกัน ทําใหคนทําอะไรไดสะดวกมากขึ้น ถาจัดสิ่งแวดลอมใหดีก็ทําใหคนดีงายขึ้น แลวคนดีก็ทําใหสิ่งแวดลอมดีเพิ่มขึ้น ตองอาศัยกันทั้งสองอยาง ระบบกับคนมันตองเอื้อกันทัง้ สองอยาง ระบบดีทําใหเราไดคนดี คนดีกท็ ําใหเราไดระบบดี ความซื่อตรงตอตนเอง คือไมยอมทําอะไรที่รูสึกวามันผิดมันไมถูกตอง เรามีอุดมคติมั่นคง ขอยกตัวอยางคนในประวัตศิ าสตรทานหนึ่งครับ คือ ลูเทอร มารติน ลูเทอร มีชีวิตอยูในระหวาง ค.ศ. 1483 – 1546 (พ.ศ. 2026 - 2089) อายุ 63 ป เปนชาวเยอรมัน เปนผูตั้งนิกายโปรเตสแตนต บางทีก็ใชคําวา ลูเทอรัน ซึ่งหมายถึงนิกายโปรเตสแตนตของเยอรมนี เรียกตามชื่อของลูเทอร

42 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


สมัยที่ทานลูเทอรปฏิรูปศาสนานั้นประมาณ พ.ศ. 2064 ความเปนไปในคริสตจักรเหลวแหลกเต็มที จนทานลูเทอรทนไมไหว ทานบวชเปนพระอยูแ ตยังเปนพระผูนอย ความเปนอยูของพระที่หรูหราฟุมเฟอย การแยงตําแหนงสังฆราชกัน ใครไดเปนก็รวยทันที ใครมีเงินมากก็ซื้อเสียงไดมาก ก็ไดเปนสังฆราช บางคราวไดรับเลือกเพราะเงิน เด็กอายุ 12 ป ไดรับเลือกเปนสังฆราชเพราะ พอชวย พอทุมเงินใหสินบนผูเลือกหวังวาเมื่อลูกไดเปนสังฆราช แลว อยางไรเสียก็เรียกคืนไดหมด เพราะฐานะของพระสังฆราชสมัยนั้นร่ํารวยมาก ชีวิตของพระสังฆราชกรุงโรมโออายิ่งกวา พระมหากษัตริย ทุกอยางที่วัดจะมุงผลเปนเงินทั้งนัน้ ในสังคมของเราเวลานี้ สังคมไทยนีแ่ หละครับ ระวังใหดีเถอะครับ ควรจะระวังเรื่องทํานองนี้ดว ยครับ วัดในเมืองไทยเวลานีจ้ ัดงานจัดการอะไรก็มุงเงินทั้งนั้น สิ่งที่ทานลูเทอรเหลือทนจริงๆ ก็คือ สังฆราชไดตั้ง บทบัญญัติใหมวา ใครตองการลางบาป ใหเอาเงินไปใหวัดตั้งอัตราไวดว ยวา บาปหนักเทาไหร จะตองใชเงินเทาไหร แลวตัง้ สาขา ธนาคารไวในเมืองตางๆ สําหรับอํานวยความสะดวกในการรับเงิน ลางบาป การลางบาปในคริสตศาสนานั้นแตเดิมเคยใชบัญญัติใหใช วิธีการตางๆ เชน อยูกรรม ธุดงค สารภาพบาป ใชกับคฤหัสถ ดวย ลูเทอรตอตานบัญญัติของสังฆราช โดยการเขียนหนังสือ ดวยการปาฐกถาใหชาวคริสตเห็นวาบทบัญญัติของสังฆราชนั้นไม ถูกตอง มีคนเห็นดวยมาก แตเวลานัน้ อํานาจของพระสังฆราชและ ผูใหญในคริสตศาสนายังมีอยูเหลือหลาย มีศาลพระที่จะตัดสินคนที่ ศาสนาเห็นวานอกลูนอกทาง โดยเฉพาะอยางยิ่งกลาคัดคานคําสั่ง ของพระสังฆราช พระเจาแผนดินก็เปนอันหนึง่ อันเดียวกันกับ พระสังฆราช พระสังฆราชวาอยางไรก็ตองอนุโลมตาม

43 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


9 กรกฎาคม 2542 ขอใหดูตอไปวาลูเทอรจะทําอยางไร ลูเทอรในฐานะเปนพระผูนอ ยถูกเรียกไปชําระความที่ รัฐสภา มีทหารแกคนหนึ่งบอกกับทานลูเทอรวา “ระวังใหดีนะทาน คราวนี้ทานจะตองตอสูอยางรายแรงยิง่ กวาพวกเราผูเปนทหารที่เคยตอสูในสนามรบมาแลว” ลูเทอรตอบวา “ฉันแนใจ ฉันแนใจวาจะเอาความรูสึกอันแทจริงของฉันเปนเครื่องยึดเหนี่ยวเสมอ” โปรดสังเกตตรงนี้นะครับ ทานบอกวา “ฉันเอาความรูสกึ ที่แทจริงของฉันเปนเครื่องยึดเหนี่ยวอยูเสมอ” คือจะไมพดู อะไรที่ผิดกับความรูสึกที่แทจริง รัฐสภาชี้แจงวา “ถาลูเทอรไมกลับคําพูดเสีย เขาจะตองถูกตัดศีรษะ” ลูเทอรตอบวา “อยางขาพเจาจะมีศีรษะเพียงศีรษะเดียวเลย แมจะมีสัก 500 ศีรษะก็จะยอมใหตัดทัง้ หมด แตจะใหพูดผิดไปจากความรูสึกนั้นไมได” นี่คือคนที่มีความซื่อสัตยตอความรูสึกของตนเอง พอลูเทอร ออกจากรัฐสภา ก็มีกองทหารที่เห็นดวย โดยเฉพาะอยางยิ่งก็คือ กองทหารแซกโซเนต ซึ่งเปนถิ่นเกิดโดยชาติภมู ิของทานลูเทอร ไดมาหอมลอมแลวก็พาตัวไปไวที่ปราสาทแหงหนึ่ง ณ ที่นั้นครับ ลูเทอรก็ตั้งเปนกองบัญชาการสําหรับตอสูกับสังฆราช ซึ่งไดออก คําสั่งอะไรออกมา ในที่สุดลูเทอรตั้งนิกาย ผมเลายอๆ นะครับ ตั้งนิกายโปรเตสแตนตไดสําเร็จ เพราะวามีคนเขาดวย เปนอันมากและไดมองเห็นวา คริสตศาสนาที่แทจริงนั้นเปนอยางไร สิ่งที่ พระสังฆราชทํานั้นเปนอยางไร นี่คือลักษณะของผูที่มีความซื่อสัตยหรือซื่อตรงตอตนเอง ในที่สุดศาลก็ทําอะไรลูเทอรไมได ลูเทอรไปอยูที่ปราสาท นั้นเขียนบทความ ในทีส่ ุด ก็แปลคัมภีรไบเบิลออกมาใหประชาชน ไดทราบวาคําสอนของพระเยซูที่แทจริงนัน้ เปนอยางไร ทานก็ตั้ง นิกายโปรเตสแตนตไดสําเร็จ แลวก็เปนคนสําคัญมาจนบัดนี้ โปรเตสแตนตกแ็ ปลวาคัดคานนะครับ

44 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อันนี้เปนเรื่องของบุคคลสําคัญคนหนึ่งของโลก ที่ประวัติ- ศาสตรไดบันทึกเอาไว ในฐานะเปนผูที่มีความซื่อสัตยตอตนเอง แลวก็มีความซื่อตรงตอหนาที่ของตน ในฐานะที่เปนพระตองแสดง ความแทจริง แสดงสิ่งที่แทจริงตอประชาชน ทีนี้มาถึงการซื่อสัตยตอผูอื่นนะครับ สําคัญอยางไร เราจะเห็นไดจากการที่เมื่อผูอื่นไมซื่อตรงตอเรา คดโกงเรา เราจะเห็น ชัดเพราะวามันจําเปน ความซื่อตรงจําเปนและสําคัญ เพราะถาเวลาเราโกงคนอื่นไมซื่อตรงตอคนอื่นเราไมเห็น แตเมื่อโดนเขาเองบางก็จะรู ก็มีเรื่องบอยๆ เกี่ยวกับลูกหนีก้ ับเจาหนี้ กูห นี้ไปแลวไมใช ทั้งดอกทั้งตน เจาหนี้บางคนก็โกงลูกหนี้ โดยวิธีใหเซ็นชื่อการกูไว แลวก็กรอกตัวเลขเอาเอง ลูกหนี้เปนคนยากจน จําตองยอมทําตาม สัญญาที่เสียเปรียบทุกอยาง แตก็เจ็บอยูลึกๆ บางคนก็โกงไมใชคืนดวยความเจ็บใจ บางรายเจาหนี้ดแี ตลูกหนี้คด ทําใหเจาหนี้ปวดใจไปเหมือนกัน คนในสังคมของเราไมคอยไวใจกัน ก็ดวยเหตุที่ระแวงใน ความไมซื่อตรงของอีกฝายหนึ่ง บางคราวถาเกิดทานหวังอนุเคราะห แมวาทานจะหวังอนุเคราะหเขา แตไมมีใครกลารับความอนุเคราะห เพราะไมไววางใจในความซือ่ สัตยของทาน ตัวอยางเชนวา เห็นสองสามีภรรยาอุมลูกตัวเล็กๆ อยูกลางแดดเหมือนวาจะพาไปหาหมอ ถาเผื่อทานแวะเขาไปเพื่อจะรับไปสงถาเขาไปในทิศทางเดียวกัน เขาก็ไมกลาไปแลวก็ไมยอมพูดดวย เราจะโทษเขาก็ไมได เพราะวาคนทุจริตทีแ่ ฝงมาในคราบของคนดีก็ มีอยู เขาตองระแวงไวกอน ทําใหคนสุจริตจริงๆ เสียโอกาสในการที่จะทําความดี ในการชวยเหลือเพื่อนมนุษยดวยกัน ในโอกาสที่ควรจะชวยเหลือได ผูที่เปนอาจารยสอนอยูในมหาวิทยาลัยบางคราวเห็นนิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทีส่ อนอยู อาจารยไมมีเครื่องแบบ ไมมเี ครื่องหมายวาเปนอาจารยอยูท ี่นั่น เห็นนิสติ นักศึกษาหอบตําราเต็มอก ทาทางหนักอยากจะชวยเหลือ แตไมกลารับไป เพราะอนุมานเอาวาเขาคงไมกลาไปดวย คนสวนมากจึงไมคอยกลาทําความดีในเรื่องนี้ เปนการปดโอกาสของคนที่ซื่อสัตยจริงๆ นะครับ ที่ตองการจะทําความดีดว ยความสุจริตจริงๆ รวมความวา มนุษยเราระแวงตอกัน เพราะความไมซื่อตรงตอกันเปนตนเหตุมากอน ตอมาจึงตั้งขอ สมมุติฐานมองในแงราย มองในแงลบไวกอน ตองขออภัยอีกครั้งหนึ่งนะครับ คือจะเลาเรื่องสวนตัว สักนิดหนึง่ เมื่อครั้งที่ผมอายุประมาณ 30 มีผูใหญบางคนก็เปน รุน พี่ บอกผมวา มองคนในแงรายไวกอนจะถูกเสมอ

45 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เมื่อไมมีแงรายจะใหมองแลวจึงมองในแงดี เขาเปน Extreme-pessimist จริงๆ คือเปนคนที่มองโลกในแงรา ยอยางสุดโตงจริงๆ ผมไมเคยเชื่อถือคําสอนแบบนี้ ผมชอบมองอะไรๆ ตามที่เปนจริง ตามคําสอนของพระพุทธเจา ผมเปนสาวกของพระพุทธเจาแลวก็จะไมเชื่อใครที่มีคําสอนขัดแยงกับพระพุทธเจา ถาเผื่อวาคนเราอยูในสังคมแลวมองกันแบบนี้ อนาคตดีไมได นะครับ เราก็จะอยูดว ยความเปนทุกขอยูตลอดเวลา ผมวาควรจะ กลับกันเสียมองคนในแงดีเอาไวกอน ถาเผื่อไมมีแงดีใหมองแลว จึงมองในแงราย อยางนัน้ มันจะมีความสุขกวา มีความสบายกวา ตั้งเยอะเลย แตเรื่องที่นาควรจะเปนจริงๆ ก็คือวา มองตามความเปน จริง หรือวา ยถาภูตญาณทัสสนะ คือวาใหเห็นตามที่เปนจริง ตามที่เปนจริงอยางไรก็มองไปอยางนั้น คราวนี้มาถึงซื่อตรงตอหนาที่ มันเปนเรื่องสําคัญมาก คนบางคนมักจะมีลักษณะไมดีอยู 2 อยาง คือ 1. บกพรองในหนาทีข่ องตน 2. ไปจุกจิกวุน วายในเรื่องที่ไมใชหนาที่ของตน คนที่มีลักษณะอยางนีจ้ ะเอาดีอะไรไมได คือวาดีแตติ คนอื่น แตพอใหตนทําเขาบางก็ทําอะไรไมได ถาเขาเปนคนตรงตอ หนาที่ เมื่อไดรับหนาที่ใดแลวก็ทําหนาที่นนั้ อยางดีที่สุด ไมวา เล็กหรือใหญเพียงใด เขาเปนคนมีประโยชนเพราะเขาทําหนาที่ มนุษยเรานะครับเกิดมามีหนาที่มากอยาง คนที่ดีที่สุดก็คอื คนที่ ทําหนาที่ของตนสมบูรณทสี่ ุด โปรดพิจารณาพระพุทธพจนตอไปนี้ นะครับ จากพระไตรปฎก เลมที่ 25 ขอ 31 “อันใดเปนหนาที่เขากลับทอดทิ้งสิ่งนั้นเสีย ไปขวนขวาย ทําในสิ่งที่ไมใชหนาที่ ความชั่ว ความเศราหมอง ยอมเจริญขึ้นแกเขาผูป ระมาทอยูเชนนัน้ สวนผูมคี วามเพียรมีสติสมั ปชัญญะ พิจารณาตน ทํากิจของตนอยางตอเนื่อง ความชั่วความเศราหมองยอมสูญสิ้นไป” พระพุทธพจนดีมากเลยครับ ไพเราะมาก ถาเขาทอดทิ้ง สิ่งที่เปนหนาที่เสีย ไปขวนขวายสิ่งที่มิใชหนาที่ ความชั่วความ เศราหมองก็จะเกิดขึ้นมา เจริญตามขึ้นมา แตวาถาเขาเปนผูมี ความเพียร มีสติสัมปชัญญะ เปนผูพิจารณาตนอยู แลวก็ทาํ กิจของตนอยางตอเนื่องสมบูรณ ความชัว่ ความเศราหมองก็จะสูญสิ้น ไป

46 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เมื่อเราไปทําหนาที่ดีแลวไมตองกังวลนะครับวาใครจะติใครจะ ชมอยางไร ขอใหทําไปเถอะแลวก็จะดีเอง คนที่เลือกติเราโดยไม ทําหนาที่ของตนนัน่ แหละ อีกหนอยก็จะไมมใี ครคบแลวก็จะเสื่อมเอง ขอใหเราทําใจใหมั่นคงในหนาที่ของเราใหดี ทําใหดีเอา ไวดว ยความเพียรพยายาม การปฏิบัติธรรมโดยนัยหนึ่งคือการทํา หนาที่ ปฏิบัติธรรมในหนาที่นั่นเอง ไมตองอางวาไมมีเวลาที่จะปฏิบัติธรรม เพราะวาการปฏิบัติหนาที่โดยชอบธรรม เปนการทํา ความดีเปนการปฏิบัติธรรมอยูในตัวแลว เมื่อเรารูสึกวาไดทําหนาที่ ของเราดีแลว เราจะรูสึกมีความปลอดภัย เปนความสุขทีบ่ ริสุทธิ์ และมีผลดี เรียกวา ใหความสุขในขณะที่ทําและในภายหนา ตอน งานเห็นผลหรือไดเสวยผลของงาน เหมือนกับชาวสวนนะครับ ปลูกตนไมเอาไว ไดรับความสุขทั้งในเวลาปลูกตนไม และเมื่อ ตนไมนั้นมีดอกมีผลแลว

47 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


12 กรกฎาคม 2542 ความซื่อสัตยสุจริต สําหรับความสุจริตนั้นก็ใหถือเอา ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ตามหลักกุศลกรรมบถ 10 เปนทางดําเนิน กุศลกรรมบถ แปลวา ทางของกุศลกรรม หรือทางแหงการทําความดี ทานแบง เปนกายสุจริต 3 วจีสจุ ริต 4 แลวก็มโนสุจริต 3 กายสุจริต 3 ก็คือ เวนจากการฆา เวนจากการขโมย

เวนจากการประพฤติผิดในกาม

วจีสุจริต 4 ก็คือ เวนจากการพูดเท็จ เวนจากการพูด สอเสียด เวนจากการพูดคําหยาบ เวนจากการพูดเพอเจอ มโนสุจริต 3 ก็คือ เวนจากการโลภ อยากไดของของ ผูอื่น เวนจากความพยาบาทปองรายผูอื่น แลวก็เวนจากความเห็น ผิดที่เรียกวา มิจฉาทิฏฐิ รวมเปน 10 พยายามรักษาไวใหไดมากที่สดุ เทาที่ กําลังความสามารถจะทําได แลวก็ใหประณีตยิง่ ๆ ขึ้นไป กุศล- กรรมบถ 10 นี่ ทานถือวาเปนมนุษยธรรม แลวก็เปนเครือ่ งลูบไล ที่หอมไมรูหาย ดีกวาอาภรณภายนอก ดังพระพุทธพจนทวี่ า “ศีล เปนอาภรณประเสริฐที่สุด” ภาษาบาลีวา “สีลํ อาภรณํ เสฏٛ ํ ศีลเปนอาภรณที่ประเสริฐที่สุด” นอกจากนี้ตองถือเอาสุจริตในอาชีพไวใหมั่นคง ที่เรียกวา สัมมาอาชีวะ ครบเปนองคศีลในอริยมรรคที่เรียกวา “อธิศีลสิกขา” ก็คือ สัมมาวาจา 4 สัมมากัมมันตะ 3 สัมมาอาชีวะ 1 สัมมาวาจา 4 คือ วจีสุจริต 4 นั่นเอง สัมมากัมมันตะ 3 คือ กายสุจริต 3 แลวก็สัมมาอาชีวะ 1 รวมเปน 8 ทานเรียกวา อาชีวัฏฐกศีล หรือ อาชีวัฏฐมกศีล แปลวา ศีลซึ่งมีอาชีวะ เปนที่ 8 คือ 8 ทั้งสัมมาอาชีวะ ศีลนี้นิยมรับกันในการเขากรรมฐาน คิดวาดีเพราะวาเปนศีลในองคอริยมรรค คือในองคอริยมรรคทานจัดเปนปญญา เปนศีล เปนสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ทานจัดเปนปญญาสิกขา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ทานจัดเปนศีลสิกขา แลวสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเปนจิตตสิกขา ปญญา ศีล แลวก็จติ จิตตสิกขาทานจัดเปนสมาธิ 48 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ความไมสุจริตนั้น มีแตจะนําทุกขภัยมาสูตน คนตางชาติ มาติดคุกอยูใ นเมืองไทยก็มี คนไทยไปติดคุกอยูตางประเทศก็มี เพราะไมสุจริตนั่นเอง อธิบดีกรมราชทัณฑไดใหสมั ภาษณทางทีวีชอง 3 เมื่อวันศุกรที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 ในรายการสุภาพบุรุษ นะครับ บอกวา คนตางชาติมาติดคุกอยูใ นเมืองไทย 80 กวาชาติ แลวก็ 1,700 กวาคน สวนมากก็เปนกรณียาเสพติด คือวาคา ยาเสพติด นํายาเสพติดออก อันนี้ก็ขอมูลจากที่อธิบดีกรมราชทัณฑ ใหสัมภาษณตามที่ผมไดเรียนใหทราบแลว อันนี้ก็จะเห็นวาความไมสุจริต หรือทุจริตนั้นไดนําภัย นําความไมดีมาสูชีวิตอยางไร สวนความสุจริตนั้นก็จะนําความสุขสวัสดีมาสูชีวิต แมจะลําบากบางแตก็ใหครองตนอยูในสุจริตแลวเราก็จะไดเห็นคุณคาของสุจริต พูดถึงเรื่องการตัดสินใจ หรือการตกลงใจที่ลําเค็ญที่สุด ในชีวิตของคนเราซึ่งมีอยู 2 คราวดวยกัน คือคราวที่ 1 ก็คือ การ ตัดสินใจเลือกอาชีพ ก็อาจจะเนื่องมาจากการตัดสินใจในการเรียน ดวยก็ได หรือการเรียนนั้นทําใหตัดสินใจในการเลือกอาชีพ เพราะ วาเรียนมาในทางนั้น ก็ตองตัดสินใจประกอบอาชีพในทางนั้น ใน ทางที่ตัวเรียนมา แตบางคนก็ไมไดประกอบอาชีพในทางทีเ่ รียนมาทาง ทีเ่ รียนมากลายเปนอาชีพรอง ไปประกอบอาชีพในทางอื่นอยางนี้ก็มี การตัดสินใจคราวที่ 2 ก็คือ การตัดสินใจเลือกบุคคลมา เปนคูครอง หรือคูชีวิต ซึ่งจะมาเปนมารดาหรือบิดาของลูก ถาตัดสินใจถูกทั้งสองคราวก็จะรุงเรือง มีความสุขประสบ ความสําเร็จในชีวิต แตถาตัดสินใจผิดครั้งใดครั้งหนึ่งก็แปลวาได เพียงครึ่งเดียว สําหรับผูที่ตัดสินใจไมแตงงาน คือวาอยูเปนโสด ตลอดชีวิตมันก็หมดปญหาขอที่ 2 ไป ในการเลือกคูครอง ซึ่งเลือก ยาก มีคนเขาพูดอยูเ สมอไดยินเสียงพูดอยูเสมอวา ยากกวาถูก ล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เขาวาอยางนั้น มนุษยเราจะประสบความสําเร็จในการประกอบอาชีพ ทุกอยาง ถาเขามีความพอใจหรือมีความเพลิดเพลินในอาชีพทีเราทํา เขาควรจะเลือกงานอาชีพที่เหมาะสมกับอุปนิสัย ความสามารถของ ตน เงินเดือนแพงๆ จะไมทําใหเขามีความสุขขึ้น ถางานนั้นเขาตองฝนใจทํา ความสุขในการทํางานมีคามากกวาเงิน

49 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


แตก็นาเสียดายที่ในสังคมของเรามีคนหิวเงินมากกวาหิวงานมากมายเหลือเกิน อันนี้บางสวนก็เปนความจําเปนในการครองชีพ ทําใหเปนเชนนัน้ หรือวาความจําเปนในการครองชีพหรือวาที่จะหามาไมเพียงพอกับความจําเปน ก็นาเห็นใจอยูเหมือนกัน แตวาสิ่งหนึ่งที่เราจะตองคํานึงและสํานึกอยูเสมอคือวา ทํางานใหมีความสุข ใหสนุกในการทํางาน พยายามเลือกงานที่ทําแลวรูสกึ เปนสุขหรือสนุกในการทํางาน มันก็เปนรางวัลไปในตัว ถึงจะไดเงินเดือนนอยหนอย แตมันก็เปนรางวัลไปในตัว เจ.เอส. มิลล ชาวอังกฤษ เปนนักปราชญชาวอังกฤษ เปน ทั้งนักจริยศาสตร และนักปรัชญา มีชีวิตอยูใ นระหวางป ค.ศ.1806 - 1873 อายุ 67 ป ซึ่งทานไดกลาวไววา “ความไมเหมาะสมกับหนาที่การงานในวงการอุตสาหกรรม นับวาเปนความเสียหายมหาศาลที่สุดในสังคมมนุษย” คือวา เมื่อไมเหมาะสมกับหนาที่การงานแลว มันทําใหคนอูงาน ทําใหไมอยากทํางาน มันก็เปนความเสียหาย สําหรับการตัดสินใจในการแตงงาน กอนแตงงานทุกคน คิดวาตนตัดสินใจเลือกถูกตองแลว แตทีนี้เนื่องจากมนุษยเรา เปลี่ยนแปลงอยูเสมอ แลวก็เปลี่ยนแปลงงายอยูกนั ไปๆ อีกคนหนึ่ง อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางดี พัฒนาขึ้นมาก อีกคนหนึ่งยังอยูที่เดิม ชองวางจึงคอยๆ หางออกไป บางรายอีกคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป มากเหมือนกัน คือเปลี่ยนแปลงไปในทางต่ํา ในทางเสื่อมเสีย ใน ทางชัว่ คนหนึ่งยังอยูในที่เดิมหรือสูงขึ้น ชองวางก็คอยๆ หางออก ไปเหมือนกัน ถาคูสมรสมีธรรมประจําใจก็พออยูกนั ไปได โดยการใหอภัยและทําหนาที่ แตถาไมมีธรรมในใจแลว ความทุกขทรมาน ความแตกแยกลมสลายในครอบครัวก็จะเกิดขึน้ เพราะฉะนั้น คูสมรสสําหรับทานที่เลือกแตงงานพยายามมีธรรม 4 อยางใหเสมอกัน คือ มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ และมีปญญา ที่ทานเรียกวา สมชีวธรรม คือใหมีดวยกัน มีศรัทธาดวยกัน มีศลี ดวยกัน มีจาคะดวยกัน แลวก็มีปญญาดวยกัน แมวาจะไมเทากัน แตก็มีสิ่งนี้อยูเหมือนกัน การทีจ่ ะมีใหเทากันเปนการยาก แตก็มีอยูเ หมือนกันแตไมจําเปนตองเทากันก็ได ตอไปขอใหพจิ ารณาบอยๆ ใหเห็นโทษของมิจฉาชีพและ คุณของสัมมาชีพ แลวก็ควรทําอาชีพใหเปนกุศลโดยการตั้งเจตนา ไวใหดี ทุกอาชีพทําใหเปนกุศลได โดยการตั้งใจใหดี ตั้งใจใหเปน กุศล แปลวา ทําอาชีพใหเปนกุศล แมคนขับรถเมล คนแจวเรือจาง ถาเขาคิดเปนนะครับ เขาจะไดกศุ ลในอาชีพ

50 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ไดบุญในอาชีพ คือวาทําบุญในอาชีพนัน่ เอง คือวา คิดสงเคราะหผูโดยสารนั้นใหปลอดภัย ใหมีความสุขในการเดินทาง แลว ยิ่งอาชีพที่เปนบุญอยูแลว เชน อาชีพครูบาอาจารย อาชีพอะไรทีบ่ ริการประชาชนเปนอาชีพที่เปนบุญอยูแลว ถาไดอยาง นั้นมันก็จะยิ่งดียิ่งขึ้น ยิ่งเปนโอกาสในการที่เราจะทําจิตใหเปนกุศล แลวก็ไดบญ ุ มากขึ้น ไมวา จะประกอบอาชีพอะไร พอจิตขึ้นสูระดับสูง งานก็มคี ุณภาพดี คนก็มีความสุข ผลงานหรือเงินที่ไดรับ เรียก ในภาษาธรรมวาสามีบริโภค สามีบริโภคอันนี้เปนศัพทเฉพาะในทางธรรมของพระที่ทาน หมายถึงการบริโภคปจจัยของผูมีคุณธรรมสูง ไมเปน เถยยบริโภค คือ ขโมยเขากิน อิณบริโภค คือเปนหนี้เขากิน แลวก็ ทายัชชบริโภค เปนทายาทรับมรดกกิน เถยยบริโภค แปลวา ขโมยเขากิน คําเหลานีค้ วรใชกับการบริโภคของภิกษุมากอน เถยยบริโภค หมายถึงการบริโภคของภิกษุผูทุศีลธรรม แลวก็บริโภคปจจัย 4 ของประชาชน เมื่อทุศีลไรธรรมก็เปนการขโมยปจจัยของผูมีศีลมีธรรมมาบริโภค สําหรับฆราวาสก็คือ คนที่ทุจริต คอรรับชันบริโภค

นั่นเรียกวาเปนเถยยบริโภคเหมือนกัน

อิณบริโภค คือเปนหนีเ้ ขากิน หมายถึง บริโภคโดยไมพิจารณาเสียกอน ไมเขาใจจุดมุงหมายของการบริโภค บริโภคอยางเปนทาสของลิ้น ตามใจลิ้น เปนพระก็คือไมพจิ ารณา เปน ชาวบานก็คือบริโภคแบบตามใจลิ้น ก็ใหพิจารณาเนืองๆ ใหเห็น โทษของการติดรส อยางในชาดกที่เลาถึงสัญชัย คนเฝาสวน ก็นําเนื้อสมัน มาไดเพราะการติดรสของเนื้อสมัน วันนีเ้ วลาไมพอที่ผมจะเลาเอาไว พรุงนี้ผมจะเลาเรื่องนีใ้ หฟงคั่นสักตอนหนึ่ง ทายัชชบริโภค หมายถึง การเปนทายาทบริโภค หมายถึง บริโภคของภิกษุผูมีศีลมีธรรม ฆราวาสผูประกอบอาชีพสุจริตไดลาภมาโดยสุจริต ก็เปนทายัชชบริโภค บริโภคอยางเปนทายาท สามีบริโภคนั้นการบริโภคปจจัยของผูมีคณ ุ ธรรมสูง ผูใหเปนหนี้บญ ุ คุณของผูรับผิดกับธรรมดาทั่วไป ที่ผูรับจะเปนหนี้ บุญคุณของผูให แตวาผูที่มีคุณธรรมสูงนั้นเปนผูรบั ผูใหตองเปน หนี้บุญคุณของผูรับ ที่วาทานไดกรุณารับเอาไว แลวก็เปนบุญของผูให 51 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อีกอยางหนึ่ง เราควรจะตั้งปญหาถามตัวเองใหบอยวา “ควรเปนอยูอยางไรจึงจะไมขาดทุน ในความเปนคนหรือความเปน มนุษย” คําตอบมีอยูในขอหนึ่งในหลายๆ ขอก็คือวา ความทุกขมันลดลง จนเราเปนทุกขกับใครไมเปน ความทุกขครอบงําไมได เขามาแลวก็ถูกสปริงออกไปหมด เราเปนกันเองกับความผิดหวัง ความสูญเสีย ความพลัดพราก ความเจ็บไข และความตาย เปนกันเองจนถึงกับเปนเกลอกันกับสิ่งเหลานี้ เกลอ เพือ่ น เกลอนะครับ ภาษาทางใตนี่ เราชอบ เปนเกลอกัน คนที่เกิด วันเดียว เดือนเดียว ปเดียวกัน ชอบพอกัน เปนเกลอกัน แตถา มีใครสักคนหนึ่ง มั่งมีศรีสุข มีพรั่งพรอมทุกสิ่งทุกอยาง เรียกได วาประสบความสําเร็จในชีวติ แตเขาผูนั้นยังมีความทุกขทว มหัวอยู จะเรียกวาเขาขาดทุนหรือไดกําไรในความเปนคน ขอใหชวยคิดเปนการบานเปนการวัดดูกไ็ ด แตวาถาถามผม ผมวาขาดทุน เขาขาดทุนในการที่เปนมนุษย ผมขอย้ําในประโยคขางหนาอีกทีนะครับวา “ขอใหเรา พยายามทําตนใหเปนกันเองกับความผิดหวัง ความสุข ความ พลัดพราก ความเจ็บไขและความตาย” เปนกันเองจนถึงกับเปน เกลอกับสิ่งเหลานี้

52 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


13 กรกฎาคม 2542 เรื่องการติดรสคือไมสํารวมลิ้น เปนทาสของลิ้น เพราะวา ติดในรสจนลําบากในเรื่องการติดในรส ก็ใหพิจารณาเนืองๆ ใหเห็นโทษของการติดในรส วันนี้จะนําเรื่องชาดกเหลานี้มาเลาใหฟง เรื่องแรกคือ เรื่องเนื้อสมันกับคนเฝาสวน เรื่องมีอยูวาคนเฝาสวนของพระราชาเมืองพาราณสีชื่อสัญชัย วันหนึ่ง มีเนื้อสมัน ตัวหนึ่งหลงเขามาในสวนนั้น เห็นสัญชัยแลวก็หนีไป ฝายสัญชัยคนเฝาสวน ก็ปลอยมันตามสบาย คือไมไดไลมันออกจากสวน มันจะอยูก ็ใหอยู มันจะไปก็ตามใจมัน เนื้อสมันจึงเทียวไปเทียวมาที่สวนนั้นเสมอๆ ปกติคนเฝาสวนนะครับจะนําดอกไมและผลไมไปถวายพระราชาทุกวัน วันหนึ่ง พระราชาไดตรัสถามวา “มีอะไรแปลกใหมบางใน อุทยาน” สัญชัยคนเฝาสวนตอบวา “ไมเห็นอะไรอื่นนอกจาก เนื้อสมันตัวหนึ่งเทียวไปเทียวมาอยู” พระราชาตรัสถามวา จะจับเนื้อสมันมาใหไดไหม สัญชัยคนเฝาสวนตอบวา ถาไดน้ําผึ้งสักจํานวนหนึ่งก็จะสามารถจับได พระราชาพระราชทานน้ําผึ้งใหคน เฝาสวนตามที่ปรารถนา สัญชัยไดน้ําผึง้ แลวเทีย่ วสืบเสาะดูวา เนื้อสมันตัวนัน้ ได ไปที่ใด แลวก็นําน้ําผึ้งไปทาใบไมใบหญาบริเวณนัน้ แลวแอบดูอยู เนื้อสมันมาที่นั้น กินใบไมใบหญาที่ทาน้ําผึ้งไว ติดใจในรสน้ําผึ้ง ถูก ความกระหายในรสผูกมัดไมไปทีอ่ ื่นวนเวียนอยูเ ฉพาะในสวนนั้น สัญชัยคนเฝาสวนรูวาเนื้อสมันติดในรสเสียแลว จึงคอยๆ แสดงตนเขาไปใกลทีละนอย ทีแรกๆ เนื้อสมันวิ่งหนีไป แตวันตอๆ มาเมื่อมันคุนเขาและก็เห็นวาคนเฝาสวนไมไดทําอันตราย มันจึง คุน เคยทีละนอย จนถึงกลากินหญาและใบไมในมือของสัญชัย คนเฝาสวนรูวา เนื้อสมันคุนเคยในตนแลว จึงใหกั้นถนน ดวยเสื่อลําแพนจนถึงพระราชวัง หักกิ่งไมทิ้งไวในที่นั้นๆ สะพายกระบอกน้ําผึ้ง หนีบกําหญาไวที่รักแร เกลี่ยหญาทาน้าํ ผึ้งไวขางหนาเนื้อสมันนั้นตลอดทางไปจนถึงพระราชวัง เมื่อเนื้อสมันไปถึง พระราชวังแลว ก็ใหปด พระทวารไว เนื้อสมันเห็นคนมากตกใจกลัว วิ่งไปรอบๆ พระราชวัง พระราชาเสด็จมาจากพระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นเนือ้ สมันนั้นกําลังวิ่งวนอยู จึงตรัสวา “ธรรมดาเนื้อสมันจะไมไปในที่ ซึ่งเคยเห็นคนถึง 7 วัน” คือถามันเห็นคนครั้งหนึง่ แลวมันจะไมไปที่ตรงนั้นถึง 7 53 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


วัน แลวก็จะไมไปในที่ซึ่งถูกคุกคามตลอดชีวิต เนื้อสมันตัวนัน้ อาศัยอยูในปารกชัฏแทๆ แตเพราะความเมาในรสผูกพันแลว จึงมาวิ่งวนอยูในทีน่ ี้ ในโลกนีน้ าจะไมมีอะไรทีเ่ ลวกวาการติดรสเปนแนแท การติดที่อยูก ็ดี การติดบุคคลก็ดี ไมเลว เทาการติดรส สัญชัยคนเฝาสวนตอนเนื้อสมันที่อาศัยอยูในปาใหมาอยูในอํานาจไดเพราะรสแทๆ นี่เรื่องเนื้อสมันกับสัญชัยคนเฝาสวนนะครับ เนื้อสมันถูก จับได เพราะติดในรสน้ําผึ้งที่สัญชัยทาใบไมใบหญาเอาไว ขอตอไปก็เปนเรื่องของติสสะกุมาร มีเรือ่ งเลาเอาไววา ในเมืองราชคฤห มีลูกชายเศรษฐีคนหนึง่ มีทรัพยมาก ชื่อติสสะกุมาร วันหนึ่งไปวัดเชตวัน ฟงพระธรรมเทศนาของผูมี พระภาคเจาแลว เกิดความเลื่อมใส ประสงคจะบวชจึงทูลขอ บรรพชา พระศาสดาทรงหามเสีย เพราะมารดาบิดายังไมอนุญาต ติสสะกุมารเมือ่ ออนวอนบิดามารดาไมเปนผล จึงนอนอดอาหาร ประทวง ฝายมารดาบิดาคิดวาลูกจะอดไดสักกีว่ ัน เมื่อถูกความหิวบีบคั้น เขาคงจะบริโภคเอง แตติสสะกุมารอดอาหารอยูไ ดถึง 7 วัน ในวันที่ 7 มารดาบิดาคิดวา ระหวางการบวชกับการตายของลูก ควรจะเลือกเอาการบวช เพราะแมจะจากไปแตยังจะพอเห็นกันไดบาง ทานทั้งสองจึงยอมใหติสสะกุมารบวช พระผูมี พระภาคเจาพระราชทานอุปสมบทแกติสสะกุมาร และประทับอยู ณ วัดเชตวัน พระติสสะไดตามเสด็จไปสาวัตถีดวย คือจากราชคฤห ไปสาวัตถี ทําสมาทานธุดงควัตรทั้ง 13 ขออยางเครงครัด เชนวา ถือผาบังสุกุลจีวร เทีย่ วบิณฑบาตตามลําดับกอน คนทั้งหลายเรียกทานวา พระติสสะผูถือบิณฑบาตเปนนิจ ทานปรากฏใน พระพุทธศาสนาปานประหนึ่งวาพระจันทรเพ็ญในทองฟา ตอมามีงานนักขัตฤกษในกรุงราชคฤห มารดาบิดาของ พระติสสะ ไดนําเครื่องประดับชุดที่พระติสสะเคยประดับมาติดที่อกของตนแลวพูดตอไปวา “ในงานตางๆ บุตรของเราเคยตกแตงรางกายดวยเครื่องประดับชุดนี้ พระสมณโคดมไดพาลูกชายคนเดียวของเราไปเมืองสาวัตถีเสียแลว เดีย๋ วนี้ลกู ชายของเรานั่งอยูที่ไหน ยืนอยูที่ไหน นอนอยูที่ไหน” ทานทั้งสองรองไหรําพันอยูอยางนี้ มีนางวรรณทาสี นางวรรณทาสีนี่แปลวา หญิงชั้นต่ํา นะครับ หญิงชั้นต่ําคนหนึ่งเขาไปในเรือนของเศรษฐีและเศรษฐินี นั้นเห็นภรรยาของเศรษฐีรองไหคร่ําครวญอยู จึงถามวารองไหเรื่อง อะไร เศรษฐินีเลาเรื่องความทุกขของตนใหฟงเพราะปยวิปโยค 54 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


นางวรรณทาสีถามวา ติสสะกุมารลูกของทานชอบอะไรบาง เศรษฐินีไดเลาใหนางวรรณทาสีฟงโดยสิ้นเชิงวา บุตรของตนชอบอะไรบาง นางวรรณทาสีเรียนใหเศรษฐินีทราบวา ถาใหทรัพย เสบียงอาหารเพียงพอแกนางพอที่จะใหนางทําอะไรๆ ตามใจปรารถนาแลว นางจะนําพระติสสะเถระกลับคืนมาใหจนได เศรษฐินีดใี จนัก มอบสิ่งของและเงินทองที่นางตองการใหไปพรอมดวยบริวารไปอาศัยอยูที่ถนนสายหนึ่ง ซึ่งเปนที่โคจรภิกขาจารของพระติสสะ ในวันแรก นางไดถวายขาวตมที่มีรสเลิศกระบวยหนึ่ง และไดถวายอาหารอื่นๆ ที่มีรสอรอย ซึ่งสืบทราบมาแลววาเปนที่ พอใจของพระติสสะ ตั้งแตสมัยยังเปนคฤหัสถ ในวันตอมา นิมนต ใหนั่งในเรือนถวายภิกษาที่ประณีตมีรสอรอยเปนที่พอใจอยางยิ่ง ของพระติสสะ ทําอยูอยางนีเ้ ปนประจํานานพอสมควร จนรูแนวา พระติสสะติดพันมัน่ คงอยูในรสแลว ตกอยูในอํานาจของตนแลว วันหนึ่ง แกลงทําเปนไขนอนอยูในหองเมือ่ พระเถระมาถึง คนใชไดรบั บาตรของทาน นิมนตใหนั่งในเรือน เมื่อพระเถระไม เห็นนางวรรณทาสีนั้นจึงถามวา อุบาสิกาไปไหน คนรับใชเรียนวา นางเปนไขออกมาไมได อยากเห็นพระคุณเจา ขอนิมนตเขาไปในหองเพื่ออนุเคราะหนางดวยเถิด พระเถระผูติดรสเสียแลวจึงทําลายวัตรสมาทานของตน เขาไปถึงที่นอนของนางวรรณทาสีนั้น นางแจงเรื่องทีต่ นมาที่นี่แลวประเลาประโลมดวยคําหวาน จนพระเถระผูเมาในรสแลวยอมสึกออกมาเปนคฤหัสถ นางมัดไวในอํานาจของตนดวยรส ใหนั่งในยานพาหนะพากลับกรุงราชคฤห เรื่องนี้ปรากฏอื้อฉาวไปทั่วทั้งกรุงสาวัตถีและราชคฤห การติดรสทําใหลืมศักดิ์ถึงเชนนี้ นี่ก็เรื่องของพระติสสะ ผูซึ่งออนวอนพอแมเพื่อจะบวช ยอมอดขาวอดน้ําอยู 7 วัน เกือบตาย จนพอแมเห็นแกชีวติ ยอม ใหบวช บวชแลวก็มาติดรส แลวก็ตองสึกออกไปดวยเลหก ลหรือ เลหเหลี่ยมของนางวรรณทาสี มีตออีกเรื่องหนึ่งครับ เรื่องภิกษุแกหลายรูป ภิกษุแก เหลานั้น เมื่อเปนคฤหัสถเปนกระฎมพีอยูในเมืองสาวัตถี กระฎมพี แปลวา ผูมงั่ คั่งนะครับ มัง่ คั่งมีทรัพยมาก เปนสหายกัน ทําบุญ รวมกัน ฟงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจาเสมอๆ วันหนึ่ง คิดวาพวกเราแกแลวอยูครองเรือนก็ทําประโยชนอะไรไมได ควรจะบวชประพฤติพรหมจรรย บําเพ็ญ สมณธรรม คิดดังนี้แลวขอบวชในสํานักพระพุทธเจา แตเนือ่ งจากแกมากแลวไมอาจเลาเรียนธรรมได 55 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ใหคนสรางบรรณศาลา ศาลาที่มุงดวยใบไมคลายๆ อารามไวอยูรว มกัน เมื่อไปบิณฑบาตก็ไปบิณฑบาตตามเรือนของบุตรและภรรยาของตนนัน่ เอง ในบรรดาภิกษุทั้งหมดนัน้ มีภิกษุอยูรูปหนึง่ ภรรยาเกา ของทานชื่อมธุรปาณิกา แปลวารสมืออรอย ฝมือทําอาหารดีมาก นางมีอปุ การะแกภกิ ษุเหลานั้นทุกรูป ภิกษุเหลานั้นก็ชอบใจในฝมือ ของนาง เพราะฉะนั้น เมื่อไดอาหารพอสมควรแลวก็ไปนั่งฉันอยูที่ เรือนมธุรปาณิกา ความสนิทสนมและความเมาในรสไดผูกมัดภิกษุ เหลานั้นอยางเหนียวแนน วันหนึ่ง นางทํากาลกิริยาดวยโรคปจจุบัน ภิกษุชรา กอดคอกันรองไหพร่ํารําพันอยูในบรรณศาลา นั่นวา

เหลานั้นเสียใจมาก

“อุบาสิกาผูมีรสมืออรอยทํากาละเสียแลว เราจะไดคนอยางนี้ที่ไหนอีก เราไมอาจหาอาหารที่อรอยในเรือนอื่น นอกจากเรือนมธุรปาณิกา” ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในเรื่องธรรมศรัทธาถึงเรื่องของภิกษุเหลานั้น พระศาสดาเสด็จมาแลวตรัสวา “ภิกษุทั้งหลาย ไมเพียง แตในบัดนี้เทานั้นที่ภกิ ษุแกเหลานี้ตองเศราโศกกับความตายของ มธุรปาณิกา แมในกาลกอนก็เคยคร่ําครวญอยูในสมัยที่มธุรปาณิกา และภิกษุเหลานั้นเกิดในกําเนิดของกา คือเกิดเปนกา นางกาเทีย่ วไปริมฝงมหาสมุทร บังเอิญคลื่นมหาสมุทรซัดใหนางจมลงไปในมหาสมุทรทํากาละแลว ภิกษุแกเหลานีเ้ กิดเปนการองไหคร่ําครวญ พยายามอยูวาพวกเราจะนํานางกาขึ้นมาจากมหาสมุทร จึงพากันวิดน้ําในมหาสมุทรดวยจะงอยปาก ถึงความลําบากเปนหนักหนา รําพันกันวา เพื่อนเอย ตาของเราลาแลว ปากของพวกเราก็ซีดแลว พวกเราเลิกเสียเถิด วิดตอไปไมสําเร็จเพราะวาหวงน้ําใหญยังเต็มอยูอยางเดิม พระศาสดาไดตรัสสอนภิกษุตอไปวา พวกเธออาศัยปา คือ ราคะ โมหะ และโทสะ จึงตองทุกขอยางนี้ พวกเธอควรตัดปา คือ ราคะ โทสะ และโมหะเสีย ภิกษุทงั้ หลายเธอทั้งหลายจง ตัดกิเลสดุจบาป ตัดปาคือกิเลส แตอยาตัดตนไม ภัยยอมเกิดจาก ปาคือกิเลส ทานทั้งหลายจงตัดปาคือกิเลสเสียเถิด แตอยาตัดตนไม (ตนไมธรรมชาติ) ตัดปาแตอยาตัดตนไม

56 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


13 กรกฎาคม 2542 เรื่องการติดรสคือไมสํารวมลิ้น เปนทาสของลิ้น เพราะวา ติดในรสจนลําบากในเรื่องการติดในรส ก็ใหพิจารณาเนืองๆ ใหเห็นโทษของการติดในรส วันนี้จะนําเรื่องชาดกเหลานี้มาเลาใหฟง เรื่องแรกคือ เรื่องเนื้อสมันกับคนเฝาสวน เรื่องมีอยูวาคนเฝาสวนของพระราชาเมืองพาราณสีชื่อสัญชัย วันหนึ่ง มีเนื้อสมัน ตัวหนึ่งหลงเขามาในสวนนั้น เห็นสัญชัยแลวก็หนีไป ฝายสัญชัยคนเฝาสวน ก็ปลอยมันตามสบาย คือไมไดไลมันออกจากสวน มันจะอยูก ็ใหอยู มันจะไปก็ตามใจมัน เนื้อสมันจึงเทียวไปเทียวมาที่สวนนั้นเสมอๆ ปกติคนเฝาสวนนะครับจะนําดอกไมและผลไมไปถวายพระราชาทุกวัน วันหนึ่ง พระราชาไดตรัสถามวา “มีอะไรแปลกใหมบางใน อุทยาน” สัญชัยคนเฝาสวนตอบวา “ไมเห็นอะไรอื่นนอกจาก เนื้อสมันตัวหนึ่งเทียวไปเทียวมาอยู” พระราชาตรัสถามวา จะจับเนื้อสมันมาใหไดไหม สัญชัยคนเฝาสวนตอบวา ถาไดน้ําผึ้งสักจํานวนหนึ่งก็จะสามารถจับได พระราชาพระราชทานน้ําผึ้งใหคน เฝาสวนตามที่ปรารถนา สัญชัยไดน้ําผึง้ แลวเทีย่ วสืบเสาะดูวา เนื้อสมันตัวนัน้ ได ไปที่ใด แลวก็นําน้ําผึ้งไปทาใบไมใบหญาบริเวณนัน้ แลวแอบดูอยู เนื้อสมันมาที่นั้น กินใบไมใบหญาที่ทาน้ําผึ้งไว ติดใจในรสน้ําผึ้ง ถูก สัญชัยคนเฝาสวนรูวาเนื้อสมันติดในรสเสียแลว จึงคอยๆ แสดงตนเขาไปใกลทีละนอย ทีแรกๆ เนื้อสมันวิ่งหนีไป แตวันตอๆ มาเมื่อมันคุนเขาและก็เห็นวาคนเฝาสวนไมไดทําอันตราย มันจึง คุน เคยทีละนอย จนถึงกลากินหญาและใบไมในมือของสัญชัย คนเฝาสวนรูวา เนื้อสมันคุนเคยในตนแลว จึงใหกั้นถนน ดวยเสื่อลําแพนจนถึงพระราชวัง หักกิ่งไมทิ้งไวในที่นั้นๆ สะพายกระบอกน้ําผึ้ง หนีบกําหญาไวที่รักแร เกลี่ยหญาทาน้าํ ผึ้งไวขางหนาเนื้อสมันนั้นตลอดทางไปจนถึงพระราชวัง เมื่อเนื้อสมันไปถึง พระราชวังแลว ก็ใหปด พระทวารไว เนื้อสมันเห็นคนมากตกใจกลัว วิ่งไปรอบๆ พระราชวัง พระราชาเสด็จมาจากพระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นเนือ้ สมันนั้นกําลังวิ่งวนอยู จึงตรัสวา “ธรรมดาเนื้อสมันจะไมไปในที่ ซึ่งเคยเห็นคนถึง 7 วัน” คือถามันเห็นคนครั้งหนึง่ แลวมันจะไมไปที่ตรงนั้นถึง 7 57 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


วัน แลวก็จะไมไปในที่ซึ่งถูกคุกคามตลอดชีวิต เนื้อสมันตัวนัน้ อาศัยอยูในปารกชัฏแทๆ แตเพราะความเมาในรสผูกพันแลว จึงมาวิ่งวนอยูในทีน่ ี้ ในโลกนีน้ าจะไมมีอะไรทีเ่ ลวกวาการติดรสเปนแนแท การติดที่อยูก ็ดี การติดบุคคลก็ดี ไมเลว เทาการติดรส สัญชัยคนเฝาสวนตอนเนื้อสมันที่อาศัยอยูในปาใหมาอยูในอํานาจไดเพราะรสแทๆ นี่เรื่องเนื้อสมันกับสัญชัยคนเฝาสวนนะครับ เนื้อสมันถูก จับได เพราะติดในรสน้ําผึ้งที่สัญชัยทาใบไมใบหญาเอาไว ขอตอไปก็เปนเรื่องของติสสะกุมาร มีเรือ่ งเลาเอาไววา ในเมืองราชคฤห มีลูกชายเศรษฐีคนหนึง่ มีทรัพยมาก ชื่อติสสะกุมาร วันหนึ่งไปวัดเชตวัน ฟงพระธรรมเทศนาของผูมี พระภาคเจาแลว เกิดความเลื่อมใส ประสงคจะบวชจึงทูลขอ บรรพชา พระศาสดาทรงหามเสีย เพราะมารดาบิดายังไมอนุญาต ติสสะกุมารเมือ่ ออนวอนบิดามารดาไมเปนผล จึงนอนอดอาหารประทวง ฝายมารดาบิดาคิดวาลูกจะอดไดสักกีว่ ัน เมื่อถูกความหิวบีบคั้น เขาคงจะบริโภคเอง แตติสสะกุมารอดอาหารอยูไ ดถึง 7 วัน ในวันที่ 7 มารดาบิดาคิดวา ระหวางการบวชกับการตายของลูก ควรจะเลือกเอาการบวช เพราะแมจะจากไปแตยังจะพอเห็นกันไดบาง ทานทั้งสองจึงยอมใหติสสะกุมารบวช พระผูมี พระภาคเจาพระราชทานอุปสมบทแกติสสะกุมาร และประทับอยู ณ วัดเชตวัน พระติสสะไดตามเสด็จไปสาวัตถีดวย คือจากราชคฤห ไปสาวัตถี ทําสมาทานธุดงควัตรทั้ง 13 ขออยางเครงครัด เชนวา ถือผาบังสุกุลจีวร เทีย่ วบิณฑบาตตามลําดับกอน คนทั้งหลายเรียกทานวา พระติสสะผูถือบิณฑบาตเปนนิจ ทานปรากฏใน พระพุทธศาสนาปานประหนึ่งวาพระจันทรเพ็ญในทองฟา ตอมามีงานนักขัตฤกษในกรุงราชคฤห มารดาบิดาของ พระติสสะ ไดนําเครื่องประดับชุดที่พระติสสะเคยประดับมาติดที่อกของตนแลวพูดตอไปวา “ในงานตางๆ บุตรของเราเคยตกแตงรางกายดวยเครื่องประดับชุดนี้ พระสมณโคดมไดพาลูกชายคนเดียวของเราไปเมืองสาวัตถีเสียแลว เดีย๋ วนี้ลกู ชายของเรานั่งอยูที่ไหน ยืนอยูที่ไหน นอนอยูที่ไหน” ทานทั้งสองรองไหรําพันอยูอยางนี้ มีนางวรรณทาสี นางวรรณทาสีนี่แปลวา หญิงชั้นต่ํา นะครับ หญิงชั้นต่ําคนหนึ่งเขาไปในเรือนของเศรษฐีและเศรษฐินี นั้นเห็นภรรยาของเศรษฐีรองไหคร่ําครวญอยู จึงถามวารองไหเรื่อง อะไร เศรษฐินีเลาเรื่องความทุกขของตนใหฟงเพราะปยวิปโยค 58 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


นางวรรณทาสีถามวา ติสสะกุมารลูกของทานชอบอะไรบาง เศรษฐินีไดเลาใหนางวรรณทาสีฟงโดยสิ้นเชิงวา บุตรของตนชอบอะไรบาง นางวรรณทาสีเรียนใหเศรษฐินีทราบวา ถาใหทรัพย เสบียงอาหารเพียงพอแกนางพอที่จะใหนางทําอะไรๆ ตามใจปรารถนาแลว นางจะนําพระติสสะเถระกลับคืนมาใหจนได เศรษฐินีดใี จนัก มอบสิ่งของและเงินทองที่นางตองการใหไปพรอมดวยบริวารไปอาศัยอยูที่ถนนสายหนึ่ง ซึ่งเปนที่โคจรภิกขาจารของพระติสสะ ในวันแรก นางไดถวายขาวตมที่มีรสเลิศกระบวยหนึ่ง และไดถวายอาหารอื่นๆ ที่มีรสอรอย ซึ่งสืบทราบมาแลววาเปนที่ พอใจของพระติสสะ ตั้งแตสมัยยังเปนคฤหัสถ ในวันตอมา นิมนต ใหนั่งในเรือนถวายภิกษาที่ประณีตมีรสอรอยเปนที่พอใจอยางยิ่ง ของพระติสสะ ทําอยูอยางนีเ้ ปนประจํานานพอสมควร จนรูแนวา พระติสสะติดพันมัน่ คงอยูในรสแลว ตกอยูในอํานาจของตนแลว วันหนึ่ง แกลงทําเปนไขนอนอยูในหองเมือ่ พระเถระมาถึง คนใชไดรบั บาตรของทาน นิมนตใหนั่งในเรือน เมื่อพระเถระไม เห็นนางวรรณทาสีนั้นจึงถามวา อุบาสิกาไปไหน คนรับใชเรียนวา นางเปนไขออกมาไมได อยากเห็นพระคุณเจา ขอนิมนตเขาไปในหองเพื่ออนุเคราะหนางดวยเถิด พระเถระผูติดรสเสียแลวจึงทําลายวัตรสมาทานของตน เขาไปถึงที่นอนของนางวรรณทาสีนั้น นางแจงเรื่องทีต่ นมาที่นี่แลวประเลาประโลมดวยคําหวาน จนพระเถระผูเมาในรสแลวยอมสึกออกมาเปนคฤหัสถ นางมัดไวในอํานาจของตนดวยรส ใหนั่งในยานพาหนะพากลับกรุงราชคฤห เรื่องนี้ปรากฏอื้อฉาวไปทั่วทั้งกรุงสาวัตถีและราชคฤห การติดรสทําใหลืมศักดิ์ถึงเชนนี้ นี่ก็เรื่องของพระติสสะ ผูซึ่งออนวอนพอแมเพื่อจะบวช ยอมอดขาวอดน้ําอยู 7 วัน เกือบตาย จนพอแมเห็นแกชีวติ ยอม ใหบวช บวชแลวก็มาติดรส แลวก็ตองสึกออกไปดวยเลหก ลหรือ เลหเหลี่ยมของนางวรรณทาสี มีตออีกเรื่องหนึ่งครับ เรื่องภิกษุแกหลายรูป ภิกษุแก เหลานั้น เมื่อเปนคฤหัสถเปนกระฎมพีอยูในเมืองสาวัตถี กระฎมพี แปลวา ผูมงั่ คั่งนะครับ มัง่ คั่งมีทรัพยมาก เปนสหายกัน ทําบุญ รวมกัน ฟงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจาเสมอๆ วันหนึ่ง คิดวาพวกเราแกแลวอยูครองเรือนก็ทําประโยชนอะไรไมได ควรจะบวชประพฤติพรหมจรรย บําเพ็ญ สมณธรรม คิดดังนี้แลวขอบวชในสํานักพระพุทธเจา แตเนือ่ งจากแกมากแลวไมอาจเลาเรียนธรรมได 59 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ใหคนสรางบรรณศาลา ศาลาที่มุงดวยใบไมคลายๆ อารามไวอยูรว มกัน เมื่อไปบิณฑบาตก็ไปบิณฑบาตตามเรือนของบุตรและภรรยาของตนนัน่ เอง ในบรรดาภิกษุทั้งหมดนัน้ มีภิกษุอยูรูปหนึง่ ภรรยาเกา ของทานชื่อมธุรปาณิกา แปลวารสมืออรอย ฝมือทําอาหารดีมาก นางมีอปุ การะแกภกิ ษุเหลานั้นทุกรูป ภิกษุเหลานั้นก็ชอบใจในฝมือ ของนาง เพราะฉะนั้น เมื่อไดอาหารพอสมควรแลวก็ไปนั่งฉันอยูที่ เรือนมธุรปาณิกา ความสนิทสนมและความเมาในรสไดผูกมัดภิกษุ เหลานั้นอยางเหนียวแนน วันหนึ่ง นางทํากาลกิริยาดวยโรคปจจุบัน ภิกษุชรา กอดคอกันรองไหพร่ํารําพันอยูในบรรณศาลา นั่นวา

เหลานั้นเสียใจมาก

“อุบาสิกาผูมีรสมืออรอยทํากาละเสียแลว เราจะไดคนอยางนี้ที่ไหนอีก เราไมอาจหาอาหารที่อรอยในเรือนอื่น นอกจากเรือนมธุรปาณิกา” ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในเรื่องธรรมศรัทธาถึงเรื่องของภิกษุเหลานั้น พระศาสดาเสด็จมาแลวตรัสวา “ภิกษุทั้งหลาย ไมเพียง แตในบัดนี้เทานั้นที่ภกิ ษุแกเหลานี้ตองเศราโศกกับความตายของ มธุรปาณิกา แมในกาลกอนก็เคยคร่ําครวญอยูในสมัยที่มธุรปาณิกา และภิกษุเหลานั้นเกิดในกําเนิดของกา คือเกิดเปนกา นางกาเทีย่ วไปริมฝงมหาสมุทร บังเอิญคลื่นมหาสมุทรซัดใหนางจมลงไปในมหาสมุทรทํากาละแลว ภิกษุแกเหลานีเ้ กิดเปนการองไหคร่ําครวญ พยายามอยูวาพวกเราจะนํานางกาขึ้นมาจากมหาสมุทร จึงพากันวิดน้ําในมหาสมุทรดวยจะงอยปาก ถึงความลําบากเปนหนักหนา รําพันกันวา เพื่อนเอย ตาของเราลาแลว ปากของพวกเราก็ซีดแลว พวกเราเลิกเสียเถิด วิดตอไปไมสําเร็จเพราะวาหวงน้ําใหญยังเต็มอยูอยางเดิม พระศาสดาไดตรัสสอนภิกษุตอไปวา พวกเธออาศัยปา คือ ราคะ โมหะ และโทสะ จึงตองทุกขอยางนี้ พวกเธอควรตัดปา คือ ราคะ โทสะ และโมหะเสีย ภิกษุทงั้ หลายเธอทั้งหลายจง ตัดกิเลสดุจบาป ตัดปาคือกิเลส แตอยาตัดตนไม ภัยยอมเกิดจาก ปาคือกิเลส ทานทั้งหลายจงตัดปาคือกิเลสเสียเถิด แตอยาตัดตนไม (ตนไมธรรมชาติ) ตัดปาแตอยาตัดตนไม

60 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


14 กรกฎาคม 2542 วันนีจ้ ะดําเนินตอไป ในเรื่องการพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั วันนีจ้ ะพูดเรื่องการพัฒนาชีวติ ดวยความพากเพียร พยายาม หรือความขยันหมัน่ เพียรเพื่อความสุขในปจจุบนั และความสุขในอนาคตดวยก็ได มีสุภาษิตมากหลายที่แสดงถึงความดีงามของความเพียร หรืออานิสงสของความเพียร เชนวา บุคคลจะลวงทุกขไดดว ยความ เพียร หมายถึงไมวาจะเปนทุกขเล็กทุกขนอยหรือทุกขใหญก็ลว ง ไดดว ยความเพียรทั้งนั้น ทั้งความทุกขทางเศรษฐกิจ ในเรื่องความยากจน ความทุกขในเรื่องการเจ็บไขไดปวย จนถึงความทุกขใหญคือความทุกขในสังสารวัฏเราก็สามารถจะบรรลุไดหรือลวงไปได ดวยความเพียรพยายามอยางสม่ําเสมอเอาจริงเอาจัง มีสุภาษิตของฝรั่งอยูบทหนึง่ เขาบอกวา “Nothing in the world can take the place of persistent” นี่ก็แปลวา “ไมมีสิ่งใดในโลกที่จะแทนที่ความเพียรได” คือหมายความวา การทีม่ ีมันสมองดีกด็ ี มีรางกายแข็งแรงดีก็ดี ความมั่งคั่งร่ํารวยก็ดี หรือแมแตความเปนอัจฉริยะของคน ถาเผื่อไรความเพียร เสียแลว สิ่งเหลานั้นก็จะไรผล คือทําอะไรไมได หรือบางทีก็อาจจะนําไปสูภัยพิบัติ เชนความมั่งคั่งร่ํารวย ถาเกิดไมมีความเพียรเปนตัวประกอบ เรามั่งคั่งมาไดอยางไร ถาเผื่อมั่งคั่งมาไดดว ยการรับ มรดก ถาเผื่อไมมีความเพียร หรือเกียจครานไมทนั ไรมันก็หมดไปสิ้นไป ไดแตนอนทอดถอนอยูเหมือนนกกระเรียนที่ทอดถอนอยูใ นหนองน้ําทีไ่ มมีปลาแลว อันนี้ก็มีตวั อยางใหเห็นกันอยูมากมาย ในสมบัติ 4 ที่มนุษยเราพึงจะมีก็คือ คติสมบัติ ไดกําเนิดดี อุปธิสมบัติ ไดรางกายดี กาลสมบัติ ถูกกาล ถูกเวลา ปโยคสมบัติ ไดความเพียรดี สมบัติดังกลาวนี้ความเพียรดีเปนสิ่งที่สําคัญที่สุด ถึงไดกาํ เนิดดี ไดรางกายดี ไดกาลดี กาลเวลาคือกาลสมบัตินะครับ ไดกาลเวลาเหมาะทีว่ าจะทําอะไรตออะไร แตถาไรความเพียรเสียแลวก็เหลว อยางอื่นก็พลอยเหลวไปดวย แมวาอยางอืน่ จะมีนอย คติสมบัติจะมีนอ ย อุปธิสมบัติก็ไมอํานวยเทาไร แตถามีความเพียรเปนตัวนําก็สามารถที่จะทําใหสําเร็จไปได เพราะฉะนั้น ตัวความเพียรเปนตัวสําคัญมาก เราพัฒนา ชีวิตเพื่อความเปนสุขในปจจุบันดวยความพากเพียรพยายาม ดวย ความขยันหมัน่ เพียรไมทอถอย 61 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ที่พระพุทธเจาทานตรัสวา “เรา สรรเสริญธรรม 2 อยาง คือ ความไมสนั โดษในกุศลธรรม และความไมถอยกลับในความเพียร” อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมึ ความไมถอยกลับในความเพียร คือรุกไปขางหนา กาวไปขางหนาเรื่อยไป ความเพียรพยายามในทางทีช่ อบ เปนลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดียิ่งอยางหนึ่งของมนุษย อาจจะเริ่มตนมาจากสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ หรือปญญาที่ถูกตอง เพราะวาถาเห็นผิดไปแลว ความเพียรก็จะพลอยผิดไปดวย เชนวา ความเพียรของโจร พวกโจรนี่ก็มีความเพียรเหมือนกัน แตก็เปนความเพียรที่ผิดที่ทานเรียกวา มิจฉาวายามะ สําหรับผูที่มุงความเจริญกาวหนา ความเกียจครานควร จะถูกกําจัดหรือถูกขับออกไปเปนสิ่งแรก ศัตรูที่รายแรงของมนุษย ก็คือความเกียจคราน เปนศัตรูที่รายแรงของมนุษย แลวก็ความ เสื่อมตางๆ ก็จะตามความเกียจครานเขามา ความเพลิดเพลินในอบายมุขก็เปนสหพันธของความเกียจ คราน คําวาสหพันธนี่หมายความวา ไปดวยกัน มีความผูกพันกันอยู ความเพลิดเพลินในอบายมุขเปนสิง่ ที่ผูกพันกันอยูกับความ เกียจคราน หรือวาเปนเหตุเปนผลของกันและกัน มันเปน causality ไมใช cause & effect คือวามันเปนเหตุแลวก็เปนผลของกัน และกัน วาความเกียจครานเปนเหตุ ความฝกใฝในอบายมุขเปนผล ก็ได เสร็จแลวความฝกใฝในอบายมุขนี่เปนเหตุ ใหความเกียจคราน เปนผล มันเปนเหตุเปนผลซึ่งกันและกัน เหมือนผลไมกับตนไม ไกกับไขอยางนี้เขาเรียกวา causality ความเปนเหตุเปนผลของกันและกัน ความเพียรชวยเสริมคนที่มีวชิ าความรูนอยใหเทียม หนาคนที่มีวิชามาก หรืออาจจะล้ําหนาคนที่มีปริญญาสูงๆ แตมัว เกียจครานหรือวาประมาทอยูก็ได ระหวางคนมีวิชามาก มีความ รูมาก มีปริญญาสูง แตวาเมือ่ เสร็จแลวก็นอนกอดปริญญาอยู ไมไดทําปริญญานั้นใหเปนประโยชนตามที่สมควรแกปริญญา หรือ ศักดิ์ศรีของปริญญานั้นๆ นึกวาเมื่อเรียนจบปริญญาแลวก็เปน อันจบกัน ไมตองขวนขวายไมตองหาความรูเพิ่มเติม ไมตองบากบั่น พยายามอะไรตอไป ถือวาเรียนสําเร็จแลวจบแลว ที่จริงการศึกษาเลาเรียนไมมวี ันจบ มันจบไมได มันตองเรียนกันเรื่อยไป คนควาหาความรูกันเรื่อยไป ก็ยิ่งขุดลงไปยิง่ ขุดคุยลงไป ยิ่งมีสิ่งที่จะตองเรียนมากจะตองรูมาก เพราะฉะนัน้ คนที่รูมากจึงมีความรูสึกวารูนอยอยูเสมอ อยางที่ทานโสเครตีส นักปราชญที่ยงิ่ ใหญของกรีกหรือเปนปรมาจารยที่ยิ่งใหญทางปรัชญาทานบอกวา 62 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


“สิ่งเดียวที่ขาพเจารูคือขาพเจาไมรูอะไร” คือแสวงหาไปก็รูสึกวามันรูน อยลงทุกที สิง่ ที่ยังไมรูมีอีกเยอะ มีมากกวาสิ่งที่เรารูแลว ทานลองคิดดูนะครับ 1 ป ของคนที่มีความเพียรดีกวา 10 ป หรือ 100 ป ของคนที่เกียจคราน คนที่อวดวาตนมีความรูความฉลาดแตไมไดทําอะไรก็ไมมีประโยชนอะไร เคยเห็นบางคนตั้งแตผมยังอยูในปฐมวัย ตั้งแตผมยังเด็กอยู เห็นบางคนเขาพูดสารพัดอยาง รูสารพัดอยาง นัน่ ก็รู นี่ก็รู โนนก็รู เขาวาแตทําอะไรไมไดสักอยาง เมื่อถึงคราวที่จะทําก็ทําอะไรไมไดสักอยาง เรียกวา Good for nothing เรียกวาไมเอาถาน ทําอะไรก็เปนเปดไปหมดเลย บินก็ไดแตไมเหมือนนก ขันก็ไดแตไมเหมือนไก วายน้ําก็ไดแตก็ไมเหมือนกับปลา อะไรทํานองนี้นะครับ เราควรจะทําความเพียรใหสม่ําเสมอเหมือนไฟสุมขอน ไมใชไฟไหมฟาง แลวก็เมื่อเปนอยางนี้ ความเกียจครานในชีวิตเราก็จะถูกเผาใหหมดไปเหมือนกัน ถูกตบะคือความเพียรนั้นเผาใหหมดไปเหมือนไฟสุมขอน หมั่นทําความเพียรดีกวา แลวก็พยายามทําสิ่งที่ยากสักหนอยนะครับ ถาเผื่อวา ตองการไดรับสิ่งที่รับยาก ก็พยายามทําสิง่ ที่ยากสักหนอย ทุกฺกรํ กโรติ ทําสิ่งที่ทําไดยาก ทุชชฺ ยํ ชยติ เอาชนะสิ่งที่เอาชนะได โดยยาก ทุชฺชยํ ชหาติ สิ่งที่ละไดโดยยาก ทุกฺขมํ ขมติ อดทน ในสิ่งที่อดทนไดยาก เราก็จะไดรับสิ่งที่เรียกวา ทุลฺลภํ ลภติ ไดสิ่งที่คนอื่นไดโดยยาก มันตองทําสิ่งที่ทําไดยากสักหนอย ถาเปนพระสงฆ เปนพระสงฆสวดปาติโมกขนี่สวดไดยาก มีพระทําไดนอยในวัดหนึง่ บางทีไมมีเลยสักรูปหนึ่งในวัดหนึ่งที่จะสวดปาติโมกขได บางวัดก็มี 2 รูป 3 รูป วัดใหญๆ หนอย บางวัดก็ตองไปคอยวัดอืน่ เขาทําปาติโมกข เพราะวาทีว่ ัดไมมีใครสวดปาติโมกขได ก็ตองพยายาม ถาเปนพระสงฆก็ตองพยายามทําสิ่งที่ทําไดยากใหได สวดศพ สวดมนต ฉันเพล อะไรนี่ใครก็สวดได ไมตองไปขวนขวายมากก็ได แตวามันก็เปนรายได ก็อาจจะเปน motive มันมีสิ่งจูงใจใหทํา แตก็ตองทําบางละถาเผื่อวาไมมีพระที่จะทําตรงนี้ก็ไมมพี ระที่จะคอยบริการชาวบานที่จะไปทํางานศพ อะไรพวกนี้ แตวางานที่ทํายาก เชน การสวดปาติโมกขเปนงานที่ ทํายาก ไดรับเกียรติจากพระผูใหญ เพราะวาทําสิ่งที่ทําไดยาก ตองเหน็ดเหนื่อย เวลาสวดปาติโมกขนี่เหนือ่ ย แลวก็ตองสวดอยางเร็วประมาณ 45 นาที โดยเฉลี่ยเวลาก็ 45 นาที แตวาไมมีอะไรทีจ่ ะยากเกินกวาความเพียรพยายาม ภูเขาจะสูงสักเทาไหร แตถาเราปายปนขึ้นไปเรื่อยๆ อีกสักหนอยยอดเขาก็อยูใ ตฝาเทาของบุคคลผูนั้น ภูเขาสูงสักเทาไรก็แพความเพียรของบุคคลที่ปนขึ้นไปแลวก็ไปยืนอยูบ นยอดเขา 63 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


เพราะฉะนั้น การที่ใชความเพียรทําสิ่งที่ทําไดยาก อะไรทีท่ ําไดงายคนอืน่ เขาทําไดเยอะ เราอาจจะเวนเสียก็ได ไมทําก็ได ถามีคนทีท่ ําไดเยอะอยูแ ลว ไปทําในสิ่งที่ทําไดยากสักหนอย มันทาทายดีดว ย เพื่ออุดหนุนใหมีความเพียร ก็ควรจะสนใจอานพระพุทธ- ภาษิต และสุภาษิต แมจะเปนสุภาษิตของชาติตางๆ ที่สงเสริมกําลังใจในเรื่องนี้ หรือวาตัวอยางบุคคลที่มีความเพียรแลวประสบความสําเร็จ สุภาษิตทีย่ กมาขางตนที่วา วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ บุคคลลวงความทุกขไดดว ยความเพียร แลวก็ขอใหเชื่อมัน่ แตวาเราจะตองมีปญญาดวย มีปญญาสํารวจวาเราจะใชความเพียรไปในทางอะไรถึงจะดี ปญญานี่เปนตัวควบคุมธรรมทุกอยาง ธรรมะทุกขอตองไดรับการควบคุมดวยปญญา เอาปญญาเปนแสงสวางเปนดวงประทีป ปญญาเปนสิ่งที่สองเหมือนแสงประทีปในที่มืด ใหมองเห็นอะไร ตออะไรวาควรจะทําอยางไรกับสิ่งนั้นๆ แมแตความเพียรพยายาม ความอดทน ถาเรามีความเพียรพยายามและความอดทน แตขาดปญญา บางทีความเพียรพยายามหรือความอดทนนั้น บางทีมันไดผลนอยหรือไรผลไปเลย เราคลายๆ วาอดทนเหมือนวัวเหมือน ควายไป อยางที่เลากันวา ทานอาจารยชาเดินไปตรวจวัด ก็มพี ระลูกวัดอยูรูปหนึ่ง หลังคากุฏิรั่วทานก็ไมซอ ม ทานอาจารยชาไปเจอเขาก็ถามทําไมไมซอม พระทานบอกวา “ฝกความอดทน” ฝนตกก็รั่วลงมานองไปหมด ฝกความอดทน ทานอาจารยชาก็บอกวา ทนแบบนี้มนั ก็ทนเปนเหมือนวัวเหมือนควาย ไมไดสงเสริมใหเปนอยางนี้ หลังคารั่วก็ตองซอม รั้วพังก็ตองซอม ประตูมันผุพังก็ตองซอมเพื่อใหอยูใ นสภาพที่ดี ไมใชเอามาอางวาเพื่อฝกความอดทน ไมอยางนั้นเราก็ไปยืนในโคลนเพื่อวาฝกความ อดทน ขอตอไปในเรือ่ งความเพียร 4 อยางที่ควรมีไวเสมอ ก็คือ อันนี้ผมก็ยมื เขามาเต็มตัวนะครับ วาระวังความชั่วที่ยังไมเกิดอยาใหเกิดขึน้ เขาเรียก สังวรปธาน การระวังนี้ก็ตองอาศัย สังวร 5 อยาง ดังนี้ 1. ปาติโมกขสังวร แปลวา สํารวมในปาติโมกข คําวา ปาติโมกขนี่ความหมายกวางนะครับ คือวาตั้งกฎเกณฑใหกับตัวเอง ไวบางในการทําอะไรไมทําอะไร อันนีส้ ําหรับฆราวาส การสราง กฎเกณฑใหกบั ตนเองไวบางในการทําอะไรไมทําอะไร คือวามี วินยั ในตัวเอง เคารพตอวินยั และกฎเกณฑของสังคม ซึ่งเราไดเห็นดวยปญญาเรียกวากฎเกณฑนนั้ มีเหตุผล 64 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


โดยทั่วไปคนใดที่มีวนิ ัยในตนเองดีแลว สภาพภายนอกเขาเปนของเบา เปนของไมหนัก สภาพบังคับภายนอกหรือวินัยภายนอกเปนของไมหนัก คลายๆ เถาวัลย มันไมใชเครือ่ งมัดสําหรับชางที่มีกําลัง แตก็เปนเครื่องผูกมัดนกเล็กๆ ได แตมัดชางไมได เพราะฉะนั้นกฎเกณฑตั้งพันอยางก็ไมมีปญหาสําหรับผูที่มีวินยั ในตนเอง หรือบังคับใจตนเองไดแลว ชนะใจตนเองไดแลว

65 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


15 กรกฎาคม 2542 สังวรที่ 2 ที่ทานเรียกวา สติสังวร เรียกอีกชือ่ หนึ่งวา อินทรียสังวร แปลวา สํารวมอินทรีย 6 สํารวมดวยอะไร ก็สํารวม ดวยสติ เพราะฉะนั้น จึงเรียกวาสติสังวร หรืออินทรียสังวร เปน ไวพจนของกันและกัน อินทรีย 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เราสํารวมดวยสติ มีสติ ไมใหบาปอกุศลรั่วไหลเขาสูจิตในขณะที่ ตาเห็นรูป หูฟงเสียง เปนตน กระแสเหลาใดในโลกนี้ ผูมีปญญา ก็กั้นกระแสกิเลสนั้นดวยสติ สติ เตสํ นิวารณํ กั้นกระแสดวยสติ สกัดเอาแตบุญกุศลเขาไปในจิต คือวายอมใหบญ ุ กุศลเขาไปแลวก็ปองกันบาปอกุศลไว เหมือนทหารยามหรือยามเฝาประตูปองกันบุคคลที่ไมควรใหเขาไป แลวอนุญาตใหบคุ คลที่ควรเขาไปไดเขาไป พระพุทธองคจึงตรัสวา สติ โลกสฺมิ ชาคโร สติเปนธรรมเครื่องเตือนอยู สติเปนยาม ยามนี่หลับไมได หลับแลวก็โดนเอาความผิด ผูใหญเอาผิด หลับไมได ตองตื่นอยูตลอดเวลาที่ เปนยาม หลับยามไมได สติ โลกสฺมิ ชาคโร สติเปนธรรมเครื่องตื่นอยูในโลก ก็คือยามนั่นเองที่ปองกันบาปอกุศลไมใหเขาไปในจิต แลวก็อนุญาตใหบุญกุศลเขาไป ตัวอยางที่พระพุทธเจาตรัสวา เห็นสิ่งใด ฟงสิ่งใด บาป อกุศลเกิดขึ้นก็ไมควรดู ไมควรฟง เห็นสิ่งใด ฟงสิ่งใด แลวบุญ กุศลเกิดขึ้นก็ควรดูควรฟงสิ่งนั้นวา กลิ่น รส ทางอารมณ ทํานองเดียวกัน นี่คือหลักของอินทรียสังวร หลักของสติสังวร คราวนี้ผมจะขอตั้งประเด็นนิดหนึ่งวา อินทรียสังวรหรือ สติสังวรกับปญหาเศรษฐกิจ ปญหาสังคม ปญหาเศรษฐกิจ ทานลองนึกดูนะครับ ถาเผื่อวาเรา หรือคนใดก็ตามทีต่ ั้งอยูในอินทรียสังวร คือระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดวยดีแลว ปญหาเศรษฐกิจก็จะแกได ปองกันไดแลว ก็แกไขได เราสูญเสียเศรษฐกิจไปมากมาย เพราะวาคนตามใจตัวเอง หรือวาตามใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เอาใจไวไมอยู ทําใหเศรษฐกิจพังกันไปเปนแถบๆ ฟนไดยาก การประหยัดก็มีไมได การอดออมก็มีไมได เพราะวาไมยอมอดสิ่งที่ควรอด ก็มีแตความจะตองการสนองความตองการอยางเดียว

66 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ก็มีบางคนที่สามารถที่จะดํารงชีวิตไดดีดวยความสํารวมอินทรีย จนถึงกับผูใกลชิดบางคน พูดวา “ถาดํารงชีวิตอยางบุคคลผูน ั้นแลว ถึงเศรษฐกิจโลกจะ ลมละลายอยางไร บุคคลผูนั้นก็สามารถจะอยูได” นี่ก็คือวา เห็นตัวอยางในทางที่วา เราควรจะดํารงชีวิตอยูอ ยางไร เพื่อจะใหแกปญหาเศรษฐกิจ ปองกันปญหาเศรษฐกิจ ก็เพราะเหตุทวี่ ามีอินทรียสังวร อันนี้ผมพูดอยูเ สมอครับ มีอินทรียสังวรก็จะโยงไปถึงปญหาเศรษฐกิจแลวก็ปญหาสังคม ปญหาสังคมเวลานี้ก็มีมากเหลือเกินครับ มีการฆากันตาย มีการฆาตัวเองมากมาย ก็ไมคอยไดอานหนังสือพิมพเทาไหร นะครับผูพูด เพราะไดฟงจากวิทยุบาง ไดฟงจากมีผูเลาใหฟงบางวา สองสามวันนีก้ ็คอนขางจะมีเรื่องที่นาตกใจอยูเยอะ เรื่องการฆากัน ตายอันนีก้ ็เพราะขาดอินทรียสังวร คือไมสํารวมอินทรียนั่นเอง คือ วาไปตามใจความรูสึกบางอยางเรียกวาขาดสติ ขาดสติยั้งคิดก็ไป ฆาคนอื่น ผมไดพูดอยูเ สมอวา ถาเราไมพอใจแลวไปฆาคนอื่น เราก็ตองตามฆากันอยูเรื่อยไป ใครทําอะไรใหไมพอใจก็ไปฆาเขา ฆาแลวก็มีคนอืน่ ที่ทาํ ใหไมพอใจอีก ก็ตองไปฆาอีก ก็ตองตามกันอยูน ั่นแหละ ไมรูกี่คนตอกีค่ น ไมมีที่สิ้นสุด สิ่งที่ควรฆาอยางยิ่งก็คือ ความโกรธในใจของเรานั่นแหละ ใชสติใชปญญาพิจารณาใหเห็นโทษของความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ ของตัว แลวก็ฆาความโกรธเสีย ฆาความโกรธเสียมันงายนิดเดียว วิธีแกปญหานี่มันงายนิดเดียว แลวก็ไมยอมทํา ไมยอมฆาความโกรธ ไมฆาความเคียดแคนชิงชังที่เกิดขึ้นในใจเรา มันงายนิดเดียว แตเราไปทําสิ่งที่มันยากกวาตั้งเยอะ คือวาไปฆาคนอื่น บางทีก็ไปฆาเพื่อน หรือบางคนก็ไปฆาคูรัก มันทํายากกวาตั้งเยอะ กับการที่จะฆาความโกรธของตัวเสีย ผมก็ยนื ยันอยางนี้นะครับ คิดอยางนี้ เพราะฉะนั้น ถาเราสํารวมอินทรียมีสติ เปนเครื่องรักษา มีสติ กระแสของกิเลสใดๆ ในโลกนี้ กระแสกิเลสเหลานั้นปองกันไดดว ยสติ สติ เตสํ นิวารณํ ปองกันไดดวยสติ ฆาความโกรธเสีย บางคนก็ฆาเขาดวยความริษยา แลวก็วางแผนแลวก็ทําเปนขั้นเปน ตอน มันลําบาก แตสิ่งที่ทําไดงายกวาคือ ฆาความริษยาเสีย เอาสติดึงมันมาดูอยูใกลๆ แลวใชปญ  ญาฟนมันลงไป เอาสติดึงมันมาดูใกลๆ วามันคืออะไร แลวมันมีคณ ุ อยางไร มีโทษอยางไร มันมีปญหาอยางไร มันมีคุณ มีโทษ อยูอยางไรในสิ่งนั้นแลวก็เอาปญญาฟนมันเสียก็เทานั้น ทํางายกวาตั้งเยอะเลย แตวาคนสวนมากก็ไมทํา กลับไปทําสิ่งที่ทํายากแลวก็เปนความชัว่ ดวย ไมใชเปนความดี ไมใชทํายากแลวเปนความดี ซึ่งแมถาเปนความดีถาทํายากก็ตองทํา

67 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ทีนี้มันเปนความชั่วแลวทํายากดวย ไปทําทําไม เมื่อไมไดสดับธรรมของพระอริยะ ไมแววเสียงกูข องพระอริยะ ไมแววเสียงธรรมของพระอริยะเลย ในชีวติ ประจําวันก็มแี ตเรื่องกิน เรือ่ งเรียน เรื่องแสวงหาวัตถุมาปรนเปรอตนเอง ไมไดแววเสียงธรรมของพระอริยะ ก็เลยไมสามารถที่จะรั้งตัวเองไวได ไมสามารถที่จะควบคุมตนเองได การสํารวมอินทรีย หรือสติสังวร นี่ก็เปนการควบคุมตนเอง บังคับตนเอง ควบคุมตนเองแคนั้นเอง เพราะฉะนั้น มีความจําเปนอยางยิ่งในการที่จะควบคุมตน เองเพื่อปองกันปญหาเศรษฐกิจ ปญหาสังคม ก็ใชธรรมะอยางนี้ แหละครับ ใชธรรมะกับสติสังวร อินทรียสังวร มันแกปญหาได จบเลย ปองกันก็ไดดว ย แกกไ็ ดดว ย สังวรประการที่ 3 ทานเรียกวา วิรยิ สังวร แปลวา ระวังความชั่วดวยความเพียร

ระวังบาปดวยความเพียร

ขอนี้ก็ตรงกับพระบาลีหรือพระพุทธพจนที่วา อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหาย ฉนฺทํ ชเนติ วายมติ วิริยํ อารภติ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ปทหติ แปลวา ก็พยายาม ปรารภ ความเพียร วิริยํ อารภติ ประคองจิต ประคองจิตใหตั้งมั่นไวเพื่อไมใหบาปอกุศลที่ยังไมเกิด ไมเกิดขึ้น วิริยสังวร ขอความจาก มัคควิภงั คสูตร ก็พยายามใหจติ อยูกับบุญกุศล เพราะวาถาวางจากบุญกุศลแลว จิตมันจะนอมไปในบาป ถากุศลเกิดขึ้นก็ใหรีบทํา กุศลเกิดขึ้นในการทําบุญก็ใหรีบทํา ครึ่งหนึ่งเปนบาปครึง่ หนึ่งเปนบุญไมเคยมีในจิต จิตมันจะเกิดขึน้ ขณะละอยาง หมายความวาอยางใดเกิดขึน้ อยางนัน้ ก็เกิดขึ้นเต็มที่ ไมมีที่วาครึ่งหนึ่งเปนบาป ครึ่งหนึ่งเปนบุญ ถาบาปมันครองจิตอยู บุญก็เกิดไมได ถาบุญมันครองจิตอยู บาปมันเกิดไมได เพราะฉะนั้น ถากุศลเกิดขึ้นในการทําบุญใหรีบทํา ถา ปลอยเวลาชาไปจิตจะตกไปจะนอมไปในบาป อยางที่พระพุทธเจา ตรัสเอาไววา ทนฺธํ หิ กรโต ปุٛ ฺٛ ํ ปาปสฺมึ รมตี มโน วาเมือ่ ทําบุญชาๆ จิตก็จะยินดีในบาป ฉะนั้นใหรีบทํา หากบาปมันเกิดขึน้ บาปอกุศลเกิดขึ้นในจิตก็อยารีบทํา ใหรีรอไวกอน นับ 1 10 นับ 1 - 100 นับ 1 - 1,000 ก็ได นับ 1 - 10 มันอาจจะนอยไป นับ 1 - 1,000 ก็ได แตวาถากุศลจิตเกิดขึ้นตองรีบทํา ถาคิดจะทําบุญก็รีบทําไปเลย อยาชักชาเพราะชักชาแลวจิตมันกลับ จิตมันเปนสิ่งที่กลับกลอก ผนฺทนํ จปลํ จิตตฺ ํ วาจิตนี้เปนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไดเร็ว หวัน่ ไหวงาย ทุรกฺขํ ทุนฺนวิ ารยํ หามไดยาก มันเปนอยางนั้น เพราะฉะนั้น ก็ตองรีบทํา เมือ่ เกิดกุศลจิตก็ตองรีบทํา นี่ก็เปนวิริยสังวร ความระวังดวยความเพียร คือวาคนเรานี่ถาเผื่อวามีความเพียรอยู มีความกลาหาญในการที่จะทําอะไรที่เปนกุศลอยู บาปมันเกิดยาก มันเกิดไมได เวลามันหมดไป ดวยเรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องทําความดี ความเกียจครานบังเกิดไมไดเหมือนกัน 68 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


ขันติสังวร ระวังบาปอกุศลดวยความอดทน เราแบง ความอดทนออกเปน 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. อดทนตอความลําบากตรากตรําในการงาน ตามหนาที่ ไมยอทอ ขยันขันแข็ง บางคนนี่ขยันจริงๆ ขยันมีความอดทน ตรากตรําลําบาก เทาไหรก็สู สูงานไมยอทอ ไมยอมใหบาปคือความเกียจครานเขา ครอบงําได ขยันจริงๆ ไมอยูวาง ความเกียจครานเปนอกุศลธรรม ซึ่งเราจะกีดกันออกไปไดดว ยความเพียร และความอดทนในการ ทํางาน แมจะลําบากตรากตรําบางก็ยอม ถามวาเหนื่อยไหม ก็ตอบวาเหนื่อย ทํางานก็ตองเหนื่อย ไมเหนื่อยไดยงั ไง ทํางานตองเหนื่อย ก็เปนธรรมดาเห็นเปนเรื่องธรรมดา พอหยุดมันก็หายเหนื่อย แตผลงานอยู ทีนี้ถาขี้เกียจนอนอยูเ ฉยๆ นอนนานๆ เขาก็เหนื่อยเหมือนกัน ไมใชไมเหนื่อย นอนจนเหนื่อย อยูเฉยๆ มันขี้เกียจ มันก็เหนื่อยเหมือนกัน แตวามันไมมอี ะไรติดไป ไมมีผลงานเพราะฉะนัน้ ก็ทํางานดีกวา เคยมีผูมาเลาใหฟง แลวผมก็ถามวา ถาไมเรียนชีวิต มันจะลวงไปมั้ย? เขาตอบวาก็ลวงไป ถาเรียนชีวิตมันลวงไปไหม ก็ลวงไป ถาไมเรียนชีวิตมันลวงไปแลวไมไดอะไร แตวาถาเรียน ชีวิตมันลวงไปแตวาเราไดสิ่งที่เราเรียนไปดวย เอาอยางไหนดีกวา หรือวาทอถอยจะไมเรียน จะไมเรียนก็ถามวา ถาไมเรียนแลวอายุ จะถึง 40 ไหม ก็ถึงนะอายุ 30 ถาไมเรียน อีก 10 ปก็อายุ 40 ทีนี้ ถาเรียนอายุก็ถึง 40 เหมือนกัน แตวาชวงเวลา 10 ป ของคน เรียนกับคนไมเรียน ผลมันจะตางกันมาก อยางคนทํางานกับคนไม ทําชวงเวลา 10 ป ผลจะตางกันมาก เพราะฉะนั้น ถึงจะลําบากตรากตรําบางก็ตองยอม เพราะวาการทํางานมันก็ตองลําบาก เหน็ดเหนื่อย นั่งทําเหนื่อยนัก นอนทําก็ได ไมเปนไร ถาเผื่อนอนได นอนทําก็ได อยางนี้นะครับ

69 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


16 กรกฎาคม 2542 วันนีก้ ็จะตอไปถึงเรื่องที่ 2 ความอดทนตอความเจ็บปวย อดทนตอความเจ็บปวยหรือทุกขเวทนาอาพาธ ซึ่งเปนสิ่ง ที่มีอยูประจําของกาย คือวาเมื่อยังมีรางกายอยู ความเจ็บปวยก็ เปนของตองมีแมจะไมมีโรคจร แตโรคประจําของเราก็มีอยูในแต ละวัน เชน ความหิว ความกระหาย ปวดเมื่อย ปวดอุจจาระ ปสสาวะ แลวก็เมื่อยขบ เมื่อนัง่ นาน ยืนนาน เดินนาน นอนทาเดียวนานๆ อันนี้ก็ถอื วาเปนความอดทนตอความเจ็บปวย ที่ทา น เรียกวา อธิวาสนขันติ แปลวา อดทนตอความเจ็บปวย มีความอดทนอีกชนิดหนึ่งเปนขอ 3 เรียกวา ตีติกขาขันติ คือวา ทนตอความเจ็บใจ ทนตออารมณที่มายั่วยวนตางๆ เชน ยั่วใหโลภ ใหโกรธ ใหหลง ใหริษยา พยาบาท รวมความวา อดทนตอกิเลสทั้งหลายทั้งที่เราพอใจและไมพอใจ บางอยางเราพอใจแตวามันไมเปนความถูกตอง เราก็ตอง อดทน อดทนตอความพอใจ เราพอใจแตวามันเปนการทําให คนอื่นเดือดรอน เราไมแสวงหาความสุขบนความทุกขของผูอื่น เพราะวามันระคนไปดวยเวร เราไมเบียดเบียนคนอื่นแลวก็ไม เบียดเบียนตนเอง เฉพาะบางอยาง แตวาบางอยางเราไมพอใจ และก็ไมถูกตอง คือเราไมพอใจดวยไมถูกตองดวย คือวา เบียดเบียนคนอื่นบาง เบียดเบียนตนเองบาง บางอยางเราไมพอใจแตวามันเปนกุศลก็ตองฝนใจทํา ฝนใจทําในสิ่งที่เราไมพอใจจะทําแตวามันเปนความดี มันเปนบุญกุศล อันที่เราพอใจแลวก็เปนความดีก็ไมตองฝนใจอยูแลว เราก็ตองทําจะทําไดมากขึ้น รวมความวา เราจะตองมีความอดทน เราอยูในโลกนี้ มันตองมีความอดทน ไมเรื่องใดก็เรื่องหนึง่ ไมสิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง มันหลีกเลี่ยงไมได เราตองอดทนทั้งอดทั้งทน บางทีก็ทนอดเอา เชน ของแสลงกินลงไปมันก็แสลง ทนอดเอง เพื่อสวัสดิภาพและสุขภาพอนามัย ทนไดอดได นีเ่ ปนตนนะครับ ที่เกี่ยวกับเรื่องความอดทน ก็มี อาสวะ ที่เกีย่ วกับความ ชัว่ หรือกิเลสเปนจํานวนมากที่เกิดขึ้นเพราะความไมอดทน การ อดทนตออารมณนี่ก็เปนสิ่งสําคัญมาก ทําใหเราอยูอยางผูที่ชนะได มิฉะนั้นเราก็แพอยูเรื่อย แพตัวเองอยูเ รื่อย

70 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


สังวรประการที่ 5 คือ ญาณสังวร ก็คือระวังบาปดวย ญาณ คือความรู หมายถึง รูเทาทัน รูเทาเอาไวทัน รูทันเอา ไวแก รูเทาทัน เมื่อรูวาควรทําอยางไรกับอะไร แลวก็ควรทํา เพียงไรจึงจะพอดี ทําไมนอยเกินไปไมมากเกินไป นอยเกินไป ไมสําเร็จประโยชนเหมือนกับน้ํามีนอยเกินไป ไมพอดืม่ เปน อัพโพหาริก มีเหมือนไมมี แตทีนี้มันมีมากเกินไปก็เสียประโยชนโดยไมจําเปน เหมือนกับเราจะซักผา แลวผงซักฟอกมันนอยเกินไป มันก็ไมพอทีจ่ ะทําใหผาสะอาด แตถามีมากเกินไป มันมากไปโดยไมจําเปน แลวทําใหซักยากดวย เปลืองน้ํามาก ซักยาก หลายน้ําแลวก็ผงซักฟอกยังออกไมหมด ก็เปนเพราะวามันมีมากเกินไปเกินจําเปน หรือวาธรรมะ ธรรมะก็มีสวนที่มันเกินจําเปน เราก็ไม ตองไปสนใจก็ไดเพราะเห็นวามันเกินจําเปน บางคนก็สนใจธรรมะ นอยเกินไป หรือไมพอแกความจําเปน บางคนก็ไปสนใจแตธรรม ที่เปนสวนเกิน มันมากเกินไป ก็เกินความจําเปน ก็เสียเวลาไปเปลา เพราะประโยชนมนั ไมคุมกับเวลาที่เราเสียไป อยางนี้ก็เรียกวา ขาดญาณสังวร ไมรู ขาดความรู ขาดความเขาใจ ถาเรารูวาอะไรเปนอะไร อะไรควรจะทําอะไรกับอะไร เพียงใด จึงจะพอดี แลวเราก็ทําไดโดยพอดี ทําแตพอดี ตองรูจักพลิกแพลง ยักยายถายเท ไม fix ไมตายตัว ใหมนั flexible หนอย คือยืดหยุน ได ไมใชทําอะไรทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ เคยทํากันมาอยางไรก็ทาํ อยางนั้นไปตอ ขาดความรูค วามเขาใจไป มันก็ทําใหขาดไปบางเกินไปบาง ไมพอดี ความพอดีดเี สมอ แตทั้งนี้เราตอง มีความรู ประการตอไป ทานพูดถึงเรื่องการระวัง ระวังความชัว่ ที่ยังไมเกิด ไมใหเกิดขึ้น ดวยสังวร 5 อยาง ประการตอมา ก็คือ เพียรละความชัว่ หรือบาปที่เกิดขึ้นแลว เรียกวา ปหานปธาน ดวยการเห็นโทษบรรเทาแลวก็ละ คนเราจะละสิง่ ใดตองพิจารณาใหเห็นโทษมันกอน แลวก็คอยบรรเทา คือคอยบรรเทาลงจนไดในที่สุด จนละไดในทีส่ ุด เชน คนจะเลิกบุหรี่ หยุดเหลา เลิกเลนการพนัน เบื้องแรกก็ตองพิจารณาใหเห็นโทษของมันกอน แลวก็คอยๆ บรรเทาก็ละไดในที่สุด คือตองการจะเลิกความถือตัวถือตน ความทะนงตน เราก็มาประพฤติอยูในความออนนอมถอมตน อันนี้กต็ องเห็นโทษของความถือตัวถือตน ความถือเราถือเขา แลวก็คอยๆ ลดความถือตัวถือตน ถือเราถือเขา แลวก็บรรเทาความถือตัวถือตน ถือเราถือเขา แลวมาอยูตรงกลาง ตรงกลางตรงนี้ก็คืออุเบกขา อุเบกขานั้นไมใชวางเฉยอยางเดียวโดยไมทําอะไร แตวา เวนอคติ คือวา ไมมีอคติตอสิ่งนั้น ทําสิ่งตางๆ ไปตามเหตุผล ไมมีอคติ ไมทําไปดวยโทสาคติ ไมทําไปดวยฉันทาคติ ไมทําไปดวยโมหาคติ ไมทําไปดวยภยาคติ 71 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อยางนี้เขาเรียกวา ยืนอยูตรงกลาง ละอคติได อยางนีก้ ็เปนการละความชั่ว เพียรในการละความชั่ว เปน ปหานปธาน คอยๆ บรรเทาลงแลวก็ละมันไป มีคนถามเสมอนะครับวาไดปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมมา นานแลว จะรูไดอยางไรวาเราปฏิบัติไดถึงไหนแลว ละอะไรไดบาง ก็ไดตอบไปวา ลองนึกดูวาตองการจะลดละกิเลสตัวไหน ตองการจะบําเพ็ญธรรมขอไหน ลองสังเกตวากิเลสที่ตองการละ มันเบาบางเพียงใด ธรรมที่ตองการบําเพ็ญนั้นเสื่อมลง คงอยูหรือวาเจริญขึ้น เมื่อตรวจดูดวยความเปนธรรม ก็รูไดดว ยตนเอง คนอื่น ก็ตอบใหเราไมไดหรอกครับ เขาก็ดูจากพฤติกรรมของเราวาธรรมะมีอยูใ นบุคคลผูนั้นเพียงไร หรือไมก็ดูอยูในพฤติกรรมของเขา แตวาคนทีจ่ ะรูจ ริงๆ ก็คือตัวของเรา ดูจากพฤติกรรม ถาคนอื่นเราก็ดจู ากพฤติกรรม วามีธรรมะอยูเพียงไรหรือไมมี หรือวาถาเราจะไปสนใจธรรมะสูงๆ ก็ได แตวาก็ตองระวังวามันมีอยูใ นเราเพียงไร หรือวาเรากระทบอะไรไมได พอกระทบแลวเราก็เหมือนงูถูกตีที่หางอะไรอยางนี้ มันก็แสดงวาเราไมไดรับประโยชน จากสิ่งนัน้ เราไมสงบ เราไมสามารถที่จะดํารงอยูในสภาวะในฐานะที่เหมาะสมได กระโดดไปบินไป อยางนี้ก็แสดงวาธรรมยังไมมี เพราะฉะนั้น เราตองดูที่ตัวของเราเอง คนอื่นเขาก็ดจู าก พฤติกรรมในเวลาที่จะกระทบอะไรตออะไรตางๆ ทีนี้การเลิก ลด ละ สิ่งชั่ว ก็ตองใชความเพียรพยายาม ใชความขมใจ ตองตัดใจจากสิ่งนั้นไมใชนอ ย ถาวาสิ่งชั่วรายทั้งหลายมันมีเสนหยวั่ ยวนใหทํา โดยเฉพาะอยางยิ่งคนทีท่ ํามานาน จนเปนนิสัย ยาเสพติดใหโทษนั้นเลิกยากเหลือหลาย มีหลายอยางเปนของเสพติด สําหรับบางคนแลวก็เลิกยาก สําหรับคนนั้นในที่สุดแมแตบุหรี่และเหลา ก็เปนสิ่งที่เลิกยากสําหรับบางคน แตวาเปนสิ่งเลิกงายสําหรับบางคน เหมือนที่เคยพูดวา เสนหญาเชือกเสนเล็กๆ นั่นก็สามารถจะมัดนกตัวเล็กๆ ได แตวาจะเอาไปผูกชางผูกมาไมได เถาวัลยอนั เล็กๆ เอาไปผูกนกเล็กๆ ได มัดขามันอยู แตวา ผูกชางมันผูกไมได เพราะฉะนั้น เรื่องพวกนี้สําหรับบางคนมัน ก็เลิกยาก บางคนก็เปนไขมันในเลือดสูง หมอก็บอกวา สูบบุหรี่ไมไดนะ สูบไมได มันยิ่งสูบ อดไมได เอาชนะมันไมได ก็คงตองสูบตอไป สูบตอไป ไขมันก็สูงไปเรื่อยๆ เพราะเหตุที่วาละมันไมได เอาชนะมันไมได มันเปนสิ่งเสพติดที่เลิกยากสําหรับคนนั้น เหมือน กับนกที่เอาเถาวัลยผูกขามันก็ผูกอยู แตถาคนคนนั้นมันเปนชาง เดินทีเดียวมันก็ขาดหมดแลว เถาวัลยนั้นนะ พอกาวขาเดินมันก็ หลุดหมดแลว มันก็ขาดหมด แตวาคนเรานี่ถาพยายามมันก็ไม เกินวิสัย พยายามตัง้ ใจมันก็ไมเกินวิสัย

72 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


อันนี้พูดถึงเพียรละในสิ่งที่เราไมตองการ หรือสิ่งที่รูสึกวา เปนความชั่วที่เกิดขึ้นแลวใหสนิ้ ไปใหหมดไป ประการที่ 3 เพียรทํากุศลทีย่ ังไมเกิดใหเกิดขึ้น เรียกวา ภาวนาปธาน คุณขอนี้ก็อาศัยการพิจารณาใหเห็นคาของสิ่งนั้น แลวก็ลงมือทํา แลวก็ทําติดตอ ไมใชเพียงแตคดิ ขอใหลงมือทํา และบางคนเขามีคุณสมบัติอันนี้คือวา พอคิดแลวก็ทํา ไมเพียงแต คิด คิดแลวก็ทําไปเลย แลวก็ทําติดตอ ลงมือทําแลวก็ทําติดตอหรือวาทําเหมือนไฟสุมขอน ไมใชทําแบบไฟไหมฟาง มันคุกรุนอยูตลอดเวลา แลวก็อยาทําแบบจับจด คือวาจับๆ วางๆ พยายามทําใหสม่ําเสมอ เปนไปติดตอ สตตํ ภิกขฺ ุ สมาหิโต มีจิตใจมั่นคง ทําติดตอเหมือนน้ําหยดลงตุมทีละหยด นานเขาก็เต็มตุม การรั่วซึมทีละนิดทีละนอยก็ทําใหหมดได เพราะฉะนั้น พระพุทธองคจึงทรงสอนใหหมั่นสั่งสมบุญทีละนอย ตามพระพุทธภาษิตทีว่ า “อยาดูหมิน่ บุญวามีจํานวนนอยจะไมมาถึง ดูแตหมอน้ําเถิด เต็มไปดวยหยาดน้ําทีละหยดฉันใด น้ําหยดทีละหยดอาจทําใหเต็มตุมไดฉันใด นักปราชญสั่งสมบุญทีละนอย นานเขา ก็เต็มไปดวยบุญฉันนั้นเหมือนกัน” อันนี้เปนเรื่องของภาวนาปธาน แปลวา เพียรพยายาม ทํากุศลทําความดีใหเกิดขึ้น

73 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


19 กรกฎาคม 2542 ชวงนี้กําลังพูดถึงความเพียร 4 อยางนะครับ คือความ เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไมเกิดไมใหเกิดขึน้ เพียรละบาปอกุศลที่ เกิดขึ้นแลว เพียรทํากุศลที่ยังไมเกิดใหเกิดขึ้น เมื่อวันศุกรทแี่ ลว ไดพูดถึงเรื่องนี้อยูนะครับ แลวก็มาจบลงในขอความที่เปนพระพุทธ สุภาษิตที่วา “อยาดูหมิน่ บุญวามีจํานวนนอยจะไมมาถึง ก็ดูแต หมอน้ําเถิดเต็มไปดวยหยาดน้ําทีละหยด น้าํ หยดทีละหยดอาจทํา ใหหมอน้ําเต็มไดฉนั ใด นักปราชญสั่งสมบุญทีละนอยนานเขาก็จะ เต็มไปดวยบุญ เปนผูมีอัตภาพที่เต็มไปดวยบุญ แลวก็กลายเปน ผูมีบุญ คนที่สะสมเงิน เก็บเขาทีละเล็กทีละนอยนานเขาก็เปน ผูมีเงิน มีเศรษฐทรัพยดี เขาเรียกวา เศรษฐี เศรษฐีก็คือมีเศรษฐะ เศรษฐะก็คือผูมีคุณทรัพยดี เศรษฐีมีเงินมีทรัพยสมบัติ เพราะ ฉะนั้น คนที่สะสมบุญก็เต็มไปดวยบุญ คนที่เต็มไปดวยบาปก็สะสม บาปเชนเดียวกัน สั่งสมบาปทีละนอยก็เต็มไปดวยบาป สําหรับเรื่องบุญนั้น บางคราวพระพุทธเจาตรัสกับภิกษุ คนอื่นวา “เธอทั้งหลาย บุญนี้เปนชื่อของความสุข สุขสฺเสตํ อธิวจนํ ยทิทํ ปุٛ ฺٛ ํ คําวาบุญนีเ้ ปนชื่อของความสุข คือวาเปนไวพจนของคําวาความสุข คนที่มบี ุญก็จะมีความสุขไดงาย ทุกขไดยาก เปนทุกขยากแตวาเปนความสุขไดงาย เพราะวาภายในจิตใจนั้นเปย มไปดวยบุญ เอิบอาบไปดวยบุญ” เพราะฉะนั้น สุโข ปุฺٛ สฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญ เปนเหตุนําสุขมาให เปนเหตุใหเกิดสุข เพราะฉะนั้น เมื่อจิตใจมันเอิบอาบไปดวยบุญ เหมือนกับฟองน้ําที่ชุมอยูดวยน้ํา หาโอกาสที่จะจุดไฟใหตดิ มันยาก ถามันยังชมอยูด วยน้ํา ใจที่ชมุ อยูดวยบุญ โอกาสที่จะไปทําบาปมันก็ยาก หรือวาไปกอสิ่งที่ทําใหเกิดบาปมันก็ยากเพราะวาเอิบอิม่ ไปดวยบุญ หนาตาก็ดูเปนผูมีบุญ กวาหนาตาจะเปนผูมีบุญเขาก็ตองสั่งสมบุญ บางคนก็เปนคนมีเงินมากก็พูดเสียงดัง พูดเสียงดังไดมีเงินมาก บางทีไปในทีป่ ระชุมบางแหง ก็เอะ! ฟงๆ ดูแลวคนนี้พูดเสียงดังจัง แลวก็มีเสียงอะไรมากใน ที่ประชุม หลังจากเลิกประชุมแลวก็ลองไปสืบถามดูวาเขาเปนใคร ทํางานอะไร เปนอยางไร ผูใ กลชิดก็บอกวา เขาเปนคนมีเงินเยอะ อะไรทํานองนั้น แลวก็พูดเสียงดัง มีเรื่องเลาใหฟง เรื่องหนึ่งนะครับ ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ชายผูหนึ่งเปนคนยากจน วันหนึ่ง ก็ฟงธรรมของพระพุทธเจาเรือ่ งบุคคล 4 จําพวก คือ พวกที่ 1 ทําบุญใหทานดวยตนเอง หรือวาทําความดี ดวยตนเองแตไมชักชวนผูอื่น เขายอมไดทรัพยสมบัติ แตไมได บริวารสมบัติ 74 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


พวกที่ 2 ไมใหทานดวยตนเอง แตชกั ชวนผูอื่น ก็จะได บริวารสมบัติ แตไมไดโภคสมบัติ พวกที่ 3 ไมใหทานดวยตนเอง แลวก็ไมชักชวนผูอื่น

ก็จะไมไดทั้งโภคสมบัติ แลวก็บริวารสมบัติ

พวกที่ 4 ใหทานดวยตนเองและชักชวนผูอื่น ก็จะไดทั้ง โภคสมบัติและบริวารสมบัติ ชายผูนั้นตองการผลคือ ตองการใหไดผลทั้งสองทั้งทรัพย สมบัติและบริวารสมบัติ เมื่อฟงธรรมของพระพุทธเจาจบแลวก็เขา ไปเฝาพระพุทธเจา แลวทูลอาราธนาใหไปเสวยอาหารที่บา นของ ตนพรอมดวยภิกษุสงฆ พระพุทธเจาตรัสวามีภิกษุมากรูปดวยกัน เราก็กราบทูลวาเราขอนิมนตทั้งหมด มาเทาไหรก็ขอนิมนตทั้งหมด ทานผูมีพระภาคก็ทรงรับโดยดุษณี ดุษณีก็คือนิ่งนะครับ รับดวย อาการนิ่ง เขาก็เขาไปในหมูบาน ประกาศใหคนทั้งหลายทราบวา ไปนิมนตภิกษุสงฆที่พระพุทธเจาทรงเปนประมุขมาเสวยภัตตาหาร ในวันรุงขึ้น ทานผูใดศรัทธาจะถวายเทาใด ดวยวัตถุเชนไร เชน ขาวสาร น้ํามัน น้ําผึ้ง เปนตน ก็ขอใหบริจาคตามกําลังทรัพย ตามกําลังศรัทธา จะไดนํามาจัดรวบรวมของเหลานั้นไวดวยกัน แลวหุงตมในทีเ่ ดียวกัน แลวก็ถวายทาน มีเศรษฐีอยูคนหนึ่งนะครับ เห็นบัณฑิตผูนนั้ มาถึงหนาราน ของตน ไมชอบใจวาเจาคนนี้ไมนิมนตพระใหพอแกกําลังของตน ตองมาเที่ยวชักชวนชาวบานทั้งหมด แลวก็ไดใหของไปอยางขัดไมได ใหอยางละนิดอยางละหนอย คือเมื่อจะใหขาวสารก็เอานิว้ 3 นิ้วหยิบใหหนอยหนึ่ง เมื่อจะใหถวั่ เขียวก็ทําอยางนั้นเหมือนกัน ใชนิ้ว 3 นิ้วหยิบให เมื่อจะใหเนยใสหรือน้ําออย เปนตนนะครับ น้ําออยที่เปนน้ําก็เอียงขวดใหตดิ ปากหมอ แลวก็หยดให 2 - 3 หยดเทานั้น พฤติกรรมของเศรษฐีนี้ทําใหคนทั้งหลาย ตั้งชื่อเขาวา พิฬาลปาทกเศรษฐี แปลวา เศรษฐีตีนแมว พิฬาล คือแมว ปาทกะ แปลวา ตีน เทา เศรษฐีตีนแมว หรือวา มือเบาเหมือนเทาแมว อุบาสกผูเปนบัณฑิตคนนั้น เอาวัตถุตางๆ ที่คนอื่นใหแลว ก็รวบรวมไวดว ยกัน แตวาแยกของเศรษฐีไวตางหาก เศรษฐีดู อาการของบุรุษนั้นแลวก็คดิ วาทําไม ทําไมหนอ เจาคนนี้จึงแยกของ ของเราไวแผนกหนึ่งตางหาก จึงใหคนใชคนหนึ่งตามไปดูวา เขาจะ เอาของเหลานั้นไปทําอะไร อยางไร

75 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


บุรุษผูเปนบัณฑิตนั้นเอาของเศรษฐีผสมลงไปในภาชนะ ทุกๆ ภาชนะ จํานวนของที่เหมือนกัน พรอมกับกลาววาขอผลที่ยิ่งใหญจงมีแกเศรษฐีเถิด คนรับใชเห็นอาการเชนนั้นแลวก็นําไปบอกแกเศรษฐี ในวันรุงขึ้นเศรษฐีก็เหน็บกริชติดตัวไปดวย ตั้งใจไววา ถาชายคนนั้นกลาวโทษอะไร ก็จะฆาชายคนนั้นเสีย เศรษฐีไปยืน อยูในโรงครัว เมื่อถึงเวลาถวายอาหารพระสงฆ บุรุษผูเปนบัณฑิต ก็ไดประกาศขึน้ วา ขาแตพระองคผูเจริญ ขาพระองคชักชวนมหาชนถวาย ทานในครั้งนี้ ไดรับการรวมมือจากคนเปนอันมาก แตละคนไดให ของมากบางนอยบางตามกําลังของตน ขอผลอันไพศาลจงมีแก คนเหลานั้นทุกคนดวยเถิด เศรษฐีไดยินคํานั้นแลวคิดวา เรามาที่นี่ดวยตั้งใจวาจะฆา บุรุษคนนั้นเสีย ถาเขาเอยชื่อของเราวาเศรษฐีคนโนน หยิบขาวสาร เปนตน ดวยนิว้ มือแลวก็ให แตบรุ ุษเอาไทยธรรมตางๆ มารวมกัน แลวประกาศวา ขอใหผลอันยิ่งใหญมีแกผูบริจาคทุกคน ไมเลือกวาใหมากหรือใหนอย หากเราไมใหคนอยางนีใ้ หอภัยอาชญาแหงเทพเจาก็จะตกลงบนศีรษะของเรา เศรษฐีคิดอยางนี้แลวก็หมอบลงแทบเทาของผูที่เปนบัณฑิต แลวก็ขออภัย พรอมดวยเลาเรื่องทั้งหมดใหฟง พระผูมีพระภาคเจาทรงทราบเรื่องนั้นจากเศรษฐีแลวจึง ตรัสวา “ไมควรดูหมิ่นบุญวานอย หมั่นสะสมบุญทีละนอย คนที่ หมั่นสะสมบุญทีละนอยยอมเต็มไปดวยบุญ เหมือนน้ําหยดลงทีละ หยด มันก็เต็มหมอไดเต็มตมได” อันนี้เปนเรื่องที่นํามาเลาใหฟงที่พระพุทธเจาตรัสปรารภ เรื่องบุญ วาอยาดูหมิน่ บุญวาจํานวนนอย แตบางคนก็นอกจากการใหทานแลว ก็มีการรักษาศีลดวยการฟงธรรม ก็ชักชวนผูอื่นใหไดรักษาศีล ใหไดฟงธรรมดวย มันก็เหมือนกัน คือนอกจากทําดวยตนเองแลว ก็ไดชักชวนผูอื่นใหไดฟงธรรม ใหไดสดับธรรมดวย วิธีใดวิธีหนึ่ง ขวนขวายในการทีจ่ ะใหผูอื่นไดสดับธรรม อยางนี้ก็เรียกวาชักชวนผูอื่นใหไดรับประโยชนอยางทีต่ นไดรับ คือวาเราไดรับประโยชนอันใดแลว ก็นึกถึงผูอื่นวาควรจะไดรับประโยชนเชนนั้นบาง ก็เริ่มทํากิจกรรมที่เปนเหตุใหผูอนื่ ไดรับประโยชนอยางที่ ตนไดรับ อันนี้ก็เรียกวามีจติ ใจเผื่อแผทํานองเดียวกับทีบ่ ุรุษผูนี้ กระทํา โดยการชักชวนใหคนทัง้ หลายมาถวายทานแดพระสงฆ ทํานองเดียวกัน เพราะฉะนั้น ถารูวาสิ่งใดเปนบุญแมจะเล็กนอยก็ควรทํา มีสุขเปนผลเปนกําไร นานวันเขาก็จะมากขึ้น 76 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั

ทําแลวก็มีความสุขเปนผล เปนกําไร


ทําบัญชีบุญไวบางก็ดีนะครับ วาไดทําบุญอะไร ไดทํา อยางไร เราก็ทําบัญชีไวบางแลววางๆ ก็มาพลิกดู มาพลิกดูบัญชีบุญก็รูสึกวาภูมิใจดีเหมือนกัน ปลื้มใจดี ทําใหรูสึกปลื้มใจดี แตวาอยาไปทําบัญชีบาป บัญชีบาปไมตองไปทํา เพราะวาพระพุทธเจาทานไมไดสอนใหเราระลึกถึงบาป สอนใหเราระลึกถึงบุญ ถึงความดีที่ทํา ในอนุสติ 10 นะครับ อนุสติ 10 สิ่งที่ควรระลึก 10 อยาง ก็ไมมีเรื่องไมดีเลย ไมมีเรื่องบาป เรื่องไมดีใหลืมเสีย อะไรที่เปนความดีที่เปนบุญก็ใหระลึกบอยๆ แลวจิตใจของเราก็จะชุมชื่น ก็อยากจะทําอีก ตามหลักธรรมดามีวา คนเราเมื่อทําสิ่งใดแลวไดรับความสุขก็อยากจะทําสิ่งนั้นซ้ําอีก ก็ทําความดีแลวก็ระลึกถึงความดีแลวก็ไดรบั ความสุขก็อยากจะทําอีก อันนี้ก็ทําบัญชีบุญเอาไวบาง เอาไวดูบอยๆ จะไดชื่นใจ สวนบัญชีบาปไมตองทํา เผลอไปทํา บาปหรืออะไรก็ลืมๆ เสียบาง อยาจําเอาไว เพราะวาไมเปนผลดีตอจิตใจ โดยเฉพาะอยางยิ่งถาเวลาใกลตาย ควรจะนึกถึงแตความดี เทานัน้ เรียกวา อาสันนกรรม คือกรรมที่ระลึก หรือกระทํากอนที่จะตาย มีอิทธิพลตอชีวิตในภายหนามากทีเดียว ความเพียรประการที่ 4 เพียรรักษาความดีทที่ ําแลวไมให เสื่อม ทานเรียกวา อนุรักขนาปธาน แลวก็พยายามใหเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป การรักษาความดีนอี้ าศัยความไมประมาทนะครับ เพราะวาความประมาทเปนมลทินของผูรักษาทุกอยาง พระพุทธเจาตรัสวา ปมาโท รกฺขโต มลํ “ความประมาทเปนมลทินของผูรักษา” ไมวารักษาอะไร ถาประมาทแลวจะรักษาไมได การทําความดีนับวายากแลวนะครับ แตวาการรักษาความดีจะยากกวา เพราะวาใจเราคอยแตจะตกไปอยูในอํานาจ ฝายต่ําอยูเสมอ เหมือนเรือทีล่ อยไปตามน้ํา ก็ตองแจว ตองพาย ตองถอ หรือวาติดเครื่องยนตตอตานกระแสน้ําจึงจะแลนทวนกระแสน้าํ ขึ้นไปได เพราะเราตองใชพลังแรงกายแรงใจมากกวาพายเรือไปตามกระแสน้ํา แมเราจะเปนคนดีนะครับ ซึ่งเปนการงายทีจ่ ะทําความดี ดังที่พระพุทธเจาตรัสวา สุกรํ สาธุนา สาธุ คนดีทําดีไดงาย แตการรักษาความดีก็ยังเปนเรื่องยาก เพราะวายิ่งเปนคนดีมากขึ้น เทาไร สิ่งยั่วยวนทีจ่ ะใหเราเสียก็ยิ่งละเอียดซับซอนมากขึ้นเทานัน้ เลหกลมายาของมารก็จะลึกซึ้งมากขึ้น ลาภ ยศ สรรเสริญ ชื่อเสียงมีมากขึ้น คนหอมลอมปอยอมากขึ้น หนทางตางๆ มากขึ้น จนทําใหแยกไมออกวาใครเปนมิตรแทมิตรเทียม ใครหวังดีใคร หวังราย ใครจงรักภักดีจริง ใครหวังประโยชนชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ อันเปนผลของความดีที่เราอุตสาหทํามานั้น ถาไมระวังจริงๆ แลว มันทําใหเราเมา พอเมาแลวก็ลืมตัว ลืมตัวแลวความชั่วรายตางๆ ก็ไดโอกาส ทําใหเราเสียคน คนเรามาเสียเอาตอนที่ขึ้นสูฐานะสูง มากแลวก็มีอยูไมใชนอย 77 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั


นี่แหละครับการรักษาความดีเปนเรื่องยาก เพราะวามี สิ่งยั่วยวนมากยิ่งขึ้นสูที่สูงมากเทาไหร ยิ่งมีสิ่งยั่วยวนมากขึ้น ลองนึกเทียบดูก็ไดครับ การหาทรัพยนับวายากแลว แตการรักษาทรัพยใหเพิ่มพูนยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะวารายจายมีมาก บางคน ติดลบ ขอนี้ฉันใดนะครับ การทําความดีและการรักษาความดีก็ ฉันนั้น คนเรามีกิเลสเปนเหตุใหเศราหมองและทําชั่วนั่นเปนตัวมาลบความดีที่เราทํา ก็ทําใหเราขาดทุนอยูเรื่อย บางคราวก็พอ เสมอตัว บางคราวก็พอเหลือเปนบวก เหลือเปนลบ ถาเปนความเสียหายใหญๆ ก็เปนรายจายครั้งใหญ ก็เหมือนกับหาทั้งปใชวันเดียวหมดเกลี้ยงไมมีเหลือ กําไรก็ไมมี ก็เลยกลายเปนขาดทุน ซะเลย บางทีกก็ ลายเปนบทเรียนที่ขมขื่นเพราะความประมาทของเราโดยแท แตในทางกลับกันนะครับ ถาเปนความดีทยี่ ิ่งใหญ อริยคุณ คุณของความเปนพระอริยเจา ก็เปนผลบวกที่ยิ่งใหญเหมือนกัน แมจะเคยชั่วมามากบางที่ติดบัญชีลบ พอไดอริยคุณขึ้นมา ความชั่วที่เคยทําถูกลบออกหมด ยังเหลือผลดีเปนกําไรชีวิต อีกมาก เปรียบเหมือนคนที่เคยเปนหนี้มามาก พอไดลาภกอนใหญมาหนเดียวดวยเหตุใดเหตุหนึ่ง นอกจากจะใชหนีห้ มดแลวยังมี เงินเหลืออีกมากสําหรับใชจา ยเลี้ยงตนไปตลอดชีวิต

78 การพัฒนาชีวติ เพื่อความสุขในปจจุบนั



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.