วิธีทําจิตใหบริสุทธิ์ วศิน อินทสระ
3 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
คํานํา คนเราประกอบดวยสวนสําคัญ 2 สวน คือ กายและจิต คนบริสุทธิ์เพราะจิตบริสุทธิ์ ไมใชเพราะ กาย กายนั้นโดยธรรมชาติเปนสิ่งปฏิกูล โนมไปในทางชํารุดทรุดโทรม จะแกไขอยางไร บํารุงดีเทาไร ใน ที่สุดก็ตองแตกดับ เหมือนเลี้ยงไฟไวดวยน้ํามัน พอน้ํามันหมดไฟก็ดับ ไมเคยรูสึกตอผูบํารุงเลี้ยงเลย สวนจิตนั้น เมื่อบํารุงรักษาดี ก็มีแตเจริญรุงเรือง ผองแผว บริสุทธิ์ ผองใส นําความสุขมาใหผู ฝกฝนอบรม จนไมมีทุกขหลงเหลืออยูเลย หนังสือเลมนี้ วาดวยวิธีทําจิตใหบริสุทธิ์ ตามแนวที่พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงสอนไวในสัพพาสว สังวรสูตร คัมภีรมัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก พระไตรปฎก (ฉบับบาลี) เลมที่ 12 ภาษาที่ใชในหนังสือเลมนี้ เปนสํานวนพูด เพราะลูกศิษยไดถอดจากเทปคําบรรยายออกอากาศ ทางวิทยุกระจายเสียง โดยที่ผูพูดไมไดตัดแตงใหเปนสํานวนภาษาหนังสือเลย ขอขอบใจคณะศิษยผูมีฉันทะอุตสาหะในการทําใหหนังสือเลมนี้ออกมาได อยางที่ทานเห็นอยูนี้ ขอขอบคุณสํานักพิมพที่เห็นคุณคาในการเผยแผพระพุทธศาสนา และวิถีชวี ิตอันดีงาม ขอขอบคุณทาน ผูอานที่ใหกําลังใจแกผูเขียนเสมอมา ขอใหทุกคนปราศจากเวรภัย โรคาพาธ อันตรายทั้งปวง มีความสุข ความเจริญในวิถชี ีวติ อัน ถูกตองดีงามตลอดไป ดวยความปรารถนาดีอยางยิ่ง วศิน อินทสระ 14 มิถุนายน 2545
4 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
อารัมภบท สวัสดีครับ ทานผูฟงทุกทานครับ นี่คือรายการธรรมะและทรรศนะชีวิต มาพบกับทาน ผูฟงตั้งแต วันจันทรถึงวันศุกรนะครับ โดยผม วศิน อินทสระ จะไดนําธรรมะตางๆ มาคุยกับทาน ผูฟง รวมทั้ง ทรรศนะชีวติ เทาที่เห็นสมควรจะนํา มาคุยกัน วันนี้จะคุยกับทานผูฟงเรื่องวิญญาณ วิญญาณนี้ตามตัวแปลวา รูแจง คําวา วิ แปลวา แจง หรือ ตาง สวน ญาณ ก็แปลวา รู ความรู ก็มีหลายอยาง บางทีก็เรียกตามแหลงที่เกิดของวิญญาณ เกิดทางตา ก็เรียก วิญญาณทางตา ก็คือความรูทางตา เชน จักขุวิญญาณ เกิดทางหูก็เรียกวา โสตวิญญาณ คือความรูทางหู นั่นเอง รูอะไร ก็รรู ูปารมณทางตา รูสัททารมณคือเสียง ทางหู เปนตน วิญญาณอีกชนิดหนึ่งเรียกวา ภวังค- วิญญาณ หรือวิญญาณที่เปนสวนที่เก็บกรรม กรรมดีหรื อกรรมชั่วตางๆ ก็รวมกันอยูในภวังค-วิญญาณเปนอุปนิสัย เปนนิสัย เปนอัธยาศัย คือ สิ่งที่เราไดทําแลว ไดคิดแลว ไดรูสึกแลว บางทีเรานึกวามันหายไปแลว แตความจริงมันไมได หายไปไหน มันลงไปสะสม กันอยูในภวังควิญญาณ หรือเรียกวา Unconcious mind หรือจิตใตสํานึก ทีนี้ก็วิญญาณทางตา ทางหู เรียกวา จักขุ-วิญญาณ โสตวิญญาณ ก็เปนวิถีวิญญาณ วิญญาณความรู แจงอารมณที่ไปตามจักษุบาง ตามโสตคือหูบาง อาศัยสิ่งใดเกิดก็เรียกตามสิ่งที่อาศัยเกิด ที่ทานเปรียบ เหมือนไฟฟาง คือ ไฟที่เกิดจากฟาง ไฟที่เกิดจากแกลบก็เรียกไฟแกลบ เกิดจากไมเรียกวาไฟไม ก็ไฟนั่น แหละ มีคนสงสัยวา คําวา จิตบาง มโนบาง วิญญาณบาง มีหลายชื่อเรียกเหมือนกันหรือตางกัน มีคํากลาววา จิตฺตํ มโนวิฺญาณนฺติ อตฺถโต เอกํ คําวา จิต มโน วิญญาณ มีความหมายอยางเดียวกัน ดวยใจความก็เปนอยางเดียวกัน เพราะฉะนั้นไมตองแยก ไมตองพยายามวิเคราะหศัพท แลวตี ความหมาย ไปตามการวิเคราะห ไมตองพยายามผาเสนผม เอาวาคํานี้ทานเรียกจิตบาง มโนบาง วิญญาณบาง มนัสบาง เรียกไดหลายอยาง
5 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
บางคนเชื่อเรื่องตายแลวไปเกิด อันนี้พูดเรื่องวิญญาณที่ไปเกิดมาเกิด ถามวาคนที่เกิดในชาติกอน มาเกิดในชาตินี้ หรือวาตายแลวไปเกิดในชาติใหม อะไรไปเกิดมาเกิด ตอบวาวิญญาณนี่แหละไปเกิดมา เกิด บางคนบอกวา เมื่อกอนนี้เคยเชื่อเรื่องตายแลวเกิด หมายถึง 100% คือ ยังมีความสงสัยอยูบาง ตอมาก็เชื่อวาตายแลวเกิด 100% เหตุที่เชื่อก็ดวยเหตุบางอยาง คือเชื่อในสัพพัญุตญาณของพระพุทธเจา วา พระพุทธเจาทรงรับรองเรื่องนี้ ประการที่ 2 ก็อาศัยสังเกตพิจารณาสิ่งตางๆ โดยแยบคาย คือ โดยโยนิโสมนสิการ ประการที่ 3 มีขอความมากมายในตําราทั้งชั้นพระไตรปฎก ทั้งชั้น อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา รวมทัง้ ปกรณพิเศษตางๆ ก็ไดระบุถึงวิญญาณไดระบุถึงจิต คือ เรื่องตายแลวเกิดเอาไวมาก ก็เลยเชื่อ 100% จริงอยูนะครับในกาลามสูตร มีขอ ความที่วา มาปฏกสัมปทาเนนะ อยาเชื่อโดยการอางตํารา แตก็ คงไมไดหมายความวาปฏิเสธตําราทั้งหมด เพียงแตวาไมใหเชื่อตามตําราเทานั้น คือวาใหพิจารณาตํารา บาง ตําราก็อาจ จะผิดไดเหมือนกัน เพราะวาตําราก็มีคนแตงขึ้น คนแตงตําราก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได ไมใชวาจะถูกตองเสมอไป เพราะฉะนั้น ผูอานก็ตองพยายาม พินิจพิจารณาใชปญญาของตนเองบางตาม สมควร มิฉะนั้นแลวเราจะศึกษา เลาเรียนกันไปทําไมมากมาย ถาเผื่อวาไมใชเพื่อจะมีโอกาสไดใชปญญา ของเราเองบางตามสมควร แตก็ไมอวดดีเกินไปจนไมยอมเชื่อตําราใดๆ เสียเลย ตํารานั้นกวาจะเปนตํารา ขึ้นมาได ทานผูรูทานก็คิดแลวคิดอีก เรียบเรียงแลวเรียบเรียงอีก ไตรตรองแลวไตรตรองอีกกวาจะออกมา เปนตําราได แตก็นั่นแหละครับ มันก็มีตําราที่ใชไดบาง ใชไมไดบาง เราก็ใชปญญาพิจารณาตําราอีกที หนึ่ง เมื่อไดตําราที่เปนหลักฐานแลว ก็หมั่นตริตรองตํารานั้น โดยโยนิโส- มนสิการ ดวยการนํามา สอบสวนพิจารณาความเปนไปในชีวิตมนุษย ซึ่งมี ปกติขึ้นลงไมเสมอกันดวยประการตางๆ ประการ สําคัญก็คือวา เราเชื่อใน พระปญญาตรัสรูของพระพุทธเจา และเชื่อวาเรื่องทํานองนี้พระพุทธเจาจะตอง ตรัสไวจริง ไมมีประโยชนอะไรที่พระองคจะหลอกหรือวาพูดไมจริง
6 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ในพระไตรปฎกบางแหงไดกลาวถึงพระอานนททูลถามพระพุทธเจา วาที่เรียกวาภพนั้นคือ อยางไร พระพุทธเจาก็ตรัสยอนถามวา อานนท หาก กรรมอันสําเร็จจากกามธาตุไมมี กามภพจะมีหรือไม พระอานนทก็ทูลตอบวา มีไมได พระพุทธเจาก็ตรัสย้ําวา อิติ โข อานนฺท กมฺมํ เขตฺตํ วิฺ าณํ พีชํ ตณฺหา สิเนโห นี่แหละอานนท กรรมเปนเหมือนเนื้อนา กรรมเปนเหมือน เนื้อดิน วิญญาณเปนเหมือนพืช ตัณหา เปนเหมือนยางในพืช ขอสรุปลงวา พุทธศาสนิกชนสวนใหญยอมรับ เชือ่ วาวิญญาณหรือจิตเปนสิ่งที่มีอยูจริง และมีอยู 2 อยาง หรือ 2 ระดับ หรือ 2 ประเภทก็ได คือ วิญญาณที่บริสุทธิ์แลว หมายถึง วิญญาณของพระอรหันต ซึ่งเมื่อทานสิ้นชีวิตไป วิญญาณก็จะดับครั้งสุดทายแลวก็ไมเกิดขึ้นอีก ประการที่ 2 ก็เรียกวาที่ยังไม บริสุทธิ์หรือวิญญาณของผูที่ยังมีกิเลส ยังตองทองเที่ยว ระหกระเหินอยูในสังสารวัฏฏ ประสบสุขบาง ทุกขบาง ใน พระไตรปฎก ขุททกนิกาย กลาวถึงบุคคลหรือวิญญาณ 2 ประเภท อันนี้ก็ในกรณียเมตต สูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ พระไตรปฎก เลมที่ 25 หนาตนๆ 2 ประเภท คือ ภูตาและสัมภเวสี ภูตา หมายถึง พระอรหันต สัมภเวสี หมายถึง วิญญาณหรือบุคคลที่ยังวนเวียนตายเกิดอยู ตั้งแตพระอนาคามีลงมาจนถึงสัตว ทั้งหลายทุกประเภท ทั้งหมดทุกภพ ทุกภูมิ นอกจาก พระอรหันต นอกนั้นเปนสัมภเวสีหมด คนที่คิดวาสัมภเวสีคือวิญญาณที่เที่ยวแสวงหา ที่เกิด ถาในความหมายที่วายังตองเกิดอีก อันนี้ก็ถูก แตไมใชเห็นผีและบอกวานี่สัมภเวสี ไมใช อันนั้นเขาเกิดแลว เกิดเปนอยางที่เราเห็นนั่นแหละ วิญญาณที่ ยังแสวงหาภพที่เกิด ยังไมหมดกรรม ตองประสบสุขบางทุกขบาง ตองขอรับความชวยเหลือจากมนุษย บางเปนครั้งคราวไป บางคราวมนุษยชวยเหลือ เขาก็ไดรับความ สุขไป บางคราวก็คอย มนุษยไมได ชวยเหลือ เขาก็ตองคอยตอไป วิญญาณที่ยังไมบริสุทธิ์ ยังระหกระเหิน สุขบาง ทุกขบาง วนเวียน อยูในสังสารวัฏฏ วิญญาณที่ อาศัยอยูในรางของพวกเราก็มีเชนเดียวกัน สวนใหญก็เปนความทุกขมากกวาความสุข สัตวทั้งหลายที่มี วิญญาณยังหมักหมมอยูดวยกิเลส ก็ตอ งระหกระเหินไปในความทุกขนานาประการ เมื่อใดที่วิญญาณ บริสุทธิ์แลว เมื่อนั้นก็จะพบความสุขสงบก็สบาย 7 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ทีนี้ถาจะตั้งคําถามวาทําอยางไรวิญญาณจึงจะบริสุทธิ์ วิญญาณนี้ หมายถึงจิต ทําอยางไรจิตจึงจะ บริสุทธิ์ ไมใชวิญญาณในความหมายของ ชาวบานที่วาเรรอนอะไรอยางนั้น ทําอยางไรวิญญาณหรือจิตจึง จะบริสุทธิ์ ก็จะมาถึงเรื่องวิธีที่จะพัฒนาวิญญาณ พัฒนาจิตไปสูความบริสุทธิ์ ในพระสูตรบางพระสูตร เชน สัพพาสวสังวรสูตร ในมัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก พระไตรปฎก เลมที่ 12 ไดกลาวไววา วิธีที่จะทําใหจิตหรือวิญญาณบริสุทธิ์นั้น มี 7 วิธี ดังจะไดกลาวตอไป 1. ทัสสนะ ทัสสนะ คือ การไดดูไดเห็นอะไร ตองมี โยนิโสมนสิการ ใหพจิ ารณาอยางแยบคาย พิจารณาโดย ตลอดถึงตนตอ ถึงเหตุเกิดเหตุดับ ไมเพียงแตดูหรือ เห็นเฉยๆ มีผลในทางทําใหคลายความติดได เรียกวา ดูเปน การเห็นนี่สําคัญ เพราะวันหนึ่งๆ เราใชตาเยอะเลย เห็นสิ่งนั้นบางสิ่งนี้บาง เห็นแลวทําใหเกิดบุญ บาง เกิดบาปบาง เห็นแลวทําใหเกิดโทสะบาง เห็นแลวทําใหเกิดโลภะบาง เห็นแลวทําใหเกิดเมตตาบาง เกิดปญญาบาง อันนี้มันอยูที่โยนิโสมนสิการ อยูทกี่ ารรูจักพิจารณา วาควรจะคิดอยางไร คิดใหเปน คน เห็นสิ่งเดียวกัน หรือวาไดฟงสิ่งเดียวกัน คนที่คิดเปนไดประโยชนจากการเห็นการฟง คนที่คิดไมเปนก็จะ ไมไดประโยชนจากการเห็นจากการฟง คนที่คิดเปนไดประโยชนหมด เอามา ใชประโยชนไดหมดไมมี เหลือ ลองคิดดูสิ่งที่เปนรูปธรรมงายๆ ของที่เราใช แลว เวลาที่มันเสียแลวซอมไมเปน เราก็ทิ้งมันไป คน ที่เขาซอมเปน ทําเปน คิดเปน เขาเอาไปซอมใชได หรือเขาไมซอม เขาเอาไปทําอยางอื่น เอาไป ขายก็ยังไดเงิน เอาไปดัดแปลงทําสิ่งนั้นสิ่งนี้ได เขาทําเปน คนที่ทําไมเปน ก็ทําไมได เหมือนๆ กัน ขอนี้ ฉันใด ขอนั้นก็เหมือนกัน ถือวาไดเห็นแลว ไดฟงแลว ไดรูแลว มีเรื่องราวเกิดขึ้นในชีวิต ไมวาจะเปน เรื่องใด เขาเอามาคิดเปนประโยชนไดหมด เหมือนคนซอมเกง ของที่คนอื่นใชไมได เขาเอาไปใชไดหมด มันดีครับ คือ ทุกขไมเปน มีเหตุการณอะไรเกิดขึ้น มีคนถามวาเปนยังไง คิดไหม กังวลไหม เปนทุกขไหม ทุกขไมเปน ไมรูจะทุกขไปทําไม อยางนี้ชีวิตก็จะเปนชีวิตที่ดี
8 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
2. สังวร สังวร คือ สํารวมอินทรีย 6 สํารวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมใหยินดียินราย ไมใหอภิชฌา ความ อยากได หรือโทมนัส ความเสียใจ เมื่อเห็นรูปดวยตา เปนตน วางใจอยูในอุเบกขา ใหสักแตวาเห็นหรือได ยิน ไมยึดมั่นถือมั่นดวยตัณหาอุปาทาน อยางนี้เรียกวา สังวร สํารวม ที่จริงในชีวิตประจําวันของเรา ก็ยอมจะไดเห็น ไดฟง ไดสูดกลิ่น ไดลิ้มรส ไดถูกตองสัมผัส หรือ โผฏฐัพพะ รูอารมณตางๆ ซึ่งนาพอใจบาง ไมนาพอใจบางเปนธรรมดา แตวาเปนไปไมไดที่เราจะไดเห็น ไดฟง ไดสูดกลิ่น ไดลิ้มรส ไดถูกตองโผฏฐัพพะ หรือสัมผัส ที่นาพอใจประการเดียว มันตองมีที่ถูกใจ บางไมถูกใจบาง เปนที่พอใจบางไมเปนที่พอใจบาง เปนธรรมดา เราหาม ไมได และหวังไมไดดวยวา ขอใหเราไดเห็นแตสิ่งที่ นาปรารถนา นาพอใจ ไดฟงแตคําหรือเรื่องราวที่นาพอใจ ไดดมกลิ่น ลิ้มรส ได สัมผัสที่นาปรารถนา นาพอใจ แตประการเดียว ยอมเปนไปไมได แมเราจะขอรองวิงวอนอยางไรก็เปนไป ไมได ที่สําคัญคือ เรามาแกไขเอาที่จิตใจของเรา คือ ถาเห็นวามันเปนขยะมูลฝอย ก็เปลี่ยนใหเปนปุยเสีย ถาเห็นวามันเปนมะนาวเปรี้ยว ก็เหยาะน้ําตาลลงไป เพิ่มน้ําลงไป ใหมันเปนมะนาวหวานเสีย มีวิธีทํา อยางนี้แหละครับ เรามาเปลี่ยนแปลงแกไขเอาที่ใจ ขอเปรียบใหดูวา โลกนี้เหมือนทะเลใหญ มันมีคลื่นอยูตลอดเวลา มันเปนไปไมไดที่เราจะไมถูก คลื่นของโลก ทางที่เราจะทําไดก็คือวา เราสราง เรือใหใหญ ใหมั่นคง และเราเปนตนหนที่เฉลียวฉลาด เปนนายเรือที่เกง รูทิศทางลม รูอะไรสารพัดอยาง และสามารถนําเรือของเราฝาคลื่นลมไปไดโดย ปลอดภัย ไมใหอับปางลงระหวางทาง อัตภาพนี้พระพุทธเจาเปรียบเหมือนเรือ สิฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ ดูกอนภิกษุ เธอจงวิดเรือคืออัตภาพนี้ สิตฺตา เต ลหุเมสฺสติ เรือที่เธอวิดน้ําออกแลวจักพลันถึงไดเร็ว รางกายของเราเปรียบเหมือนเรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กายเปรียบเหมือนเรือ นายเรือก็คือใจของ เรา เราตองประคับประคองสิ่งเหลานี้ ไปใหดี ฝาคลื่นลมไปในทะเลใหญ คือ สังสารวัฏฏนี้
9 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
การสํารวมอินทรียก็เปนวิธีหนึ่งที่จะพัฒนาจิตและวิญญาณเปน ตบะอยางหนึ่ง ในมังคลัตถทีปนี หรือในมงคล 38 ที่วาดวยตปกถา กถาที่วาดวยตบะ ทานยกเอาการสํารวมอินทรียขึ้นมาวาเปนตบะ ก็คือ เผากิเลส หนาที่ของเราก็คือวา รักษาจิตไวใหเปนปกติ เมื่อรักษาจิตเปนปกติแลว ถึงจะไดพบไดเห็นไดฟง ไดอะไรที่นาปรารถนาบางไมนาปรารถนาบาง มันก็ถือเปนเรื่องธรรมดา การสํารวมอินทรียไมไดหมายความวา ไมตองดู ไมตองเห็น ไมตองสูดดม ไมตองลิ้มรส ไมตอง ถูกตองโผฏฐัพพะ ก็ทําไปตามปกติ แตวาทําโดยประการที่ไมใหบาปอกุศลรั่วไหลเขาสูจิต เพราะการ เห็นการฟง เปนเหตุ ไมใหอภิชฌา โทมนัสเกิดขึ้น เพราะการไดเห็นไดฟง สามารถ จะควบคุมได นี่คือ การสํารวมอินทรียเปนการฝกหรือการคุมครองอินทรีย ก็มีวิธตี างๆ มากมายในการที่จะคุมครองอินทรีย เคยคุยกับคนติดบุหรี่มากอน บอกทานผูนั้นวาเลิกบุหรี่ไมยาก ไมตองไปผอนเลิก ขอสูบวันละ มวนกอนหลังอาหาร ไมตองอยางนั้น คือเลิกก็เลิกไปเลย ทานผูนั้นเขาพูดนาสงสาร วาพยายามเหลือเกิน แลวที่จะเลิกแตก็เลิกไมได บางคราวอดอาหารถึง 7 วัน เพื่อใหเลิก พอถึง 7 วันก็มาทานขาว เขาก็เอาขาว กับบุหรี่มาให ก็ขอสูบบุหรี่กอนแลวจึงทานขาว ไมใชของเลิกงาย จะฝกอยางไรใหเลิกมันได ไมใชไมรูวา มันมีโทษ ก็มีทานผูใหญหลายทานที่คุนเคยก็สิ้นชีวิต ไปกับบุหรี่ เปนโรคถุงลมโปงพอง นอนนั่งก็เหนื่อย สิ้นชีวิตไปดวยอาการอยางนั้น ก็ไมทราบเหมือนกันวาทําไมเลิกไมได การฝกใจใหมีความเขมแข็ง แนว แนวาเมื่อจะทําสิ่งใดแลวทําได เมื่อจะไมทําสิ่งใดก็ไมทําได นี่ก็คอนขางจะยากหนอย ตองมีจิตใจเปน มหัตมะ แปลวา มีจิตใจอุดมดวยคุณ สั่งสมอบรมจิตใจที่ประกอบดวยคุณ เปยมไปดวยคุณตางๆ ที่ฝกดี แลว เคยทราบวาเขาฝกมาสําหรับขี่ไปในที่ทุรกันดาร มันกระหายน้ํามาก พอเอาน้ําไปใกลๆ ปากแลว เขาตีกลองขึ้นมา มันเปนมาศึกก็ผละออกจากน้ําทันทีเลย แลวก็วิ่งไปตามที่ผูขี่บังคับมันนี่คือมาที่เขาฝกดี แลว ยอมไมดื่มน้ํา ในสมัยพุทธกาล มีชางเชือกหนึ่งของพระเจาปเสนทิโกศลไปตกหลมแลวทําอยางไรก็ไมขึ้น ก็มี นาย หัตถาจารยที่ฉลาดบอกวา มันเปนชางศึก เพราะฉะนั้นตองตีกลองศึก เขาก็ไปตีกลองศึกใกลๆ ใหได ยิน ชางก็รวบรวมพลังทั้งหมดถอนตัวขึ้นมาจากหลมได 10 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ภิกษุทั้งหลายไปบิณฑบาตแลวก็ไดทราบเรื่องนี้ ก็นํามากราบทูลพระพุทธเจา พระผูมีพระภาคเจา ก็ตรัสวา เธอทั้งหลายจงถอนตนขึ้นจากหลมดวยความไมประมาท หลมคือกิเลสตางๆ เหมือนกับชางตัว นั้น นี่ก็อยูที่การฝกที่จะทําอะไรหรือไมทําอะไร การฝกอินทรีย อินทรีย ในโลกนี้มีทั้งคุณและโทษ ดีก็ มี ไมดีก็มี มีประโยชนกม็ ี ไมมีประโยชนก็มี อินทฺ ฺริยานิ มนุสสฺ านํ อินทรียของมนุษยในโลกนี้ หิตาย อหิ ตาย จ มีประโยชนบางไมมีประโยชนบาง อรกฺขิตานิ อหิตาย ที่ไมรักษาก็ไมเปนประโยชน รกฺขิตานิ หิ ตาย จ ที่รักษาก็เปนประโยชน ฉะนั้น อินทรียมันเปนของกลางๆ ถาเราตองการ จะใหมันเปนประโยชน ก็ตองรักษา ตองคุมครอง ตองฝกเทาที่จะฝกได ใหเปนไปตามที่ตองการตาม ที่ปรารถนา แลวก็จะไดประโยชนเปนอันมาก เราตอง ยินดีที่จะฝก บางทีมันก็ตองมีการเจ็บปวดบางเปนธรรมดา แตก็ตองอดทน ถาไมอดทนก็ฝกไมได 3. ปฏิเสวนะ ปฏิเสวนะ คือ การพิจารณาปจจัย 4 กอน กอนที่เราจะบริโภคใชสอย ปจจัย 4 ก็คือ อาหาร เครื่องนุงหม ที่อยูอาศัย ยารักษาโรค ปจจัย 4 ทานสอนใหเราพิจารณาวา เราบริโภค ใชสอย ไมใชเพื่อเลน ไมใชเพือ่ เมา ไมใชเพื่อความ หรูหรา แตวาบริโภคใชสอยก็เพื่อใหชีวิตนี้ดํารงอยูได เพื่อปองกันหนาวรอน เหลือบยุง ปองกันอันตราย ตางๆ ที่จะพึงเกิดขึ้น เรื่องอาหารเปนปจจัยที่สําคัญกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย สิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง ตองอาศัยอาหารเปนอยู โดยเฉพาะอยางยิ่งก็คือ กวฬิงการาหาร อาหาร คือ ขาวและน้ํา หรือเรียกกพฬึงการาหารก็ไดครับ นอกจากนี้แลวก็มีผัสสาหาร อาหาร คือ ผัสสะ มโนสัญเจตนาหาร อาหาร คือ ความตั้งใจหรือ ความ จงใจ วิญญาณาหาร อาหาร คือ ความรู อาหาร 4 นี้ ไดพูดไวในรายการอื่นอยาง ละเอียด ในที่นี้ก็จะไมพูดละเอียด 11 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ขอ 1 อาหาร เปนสิ่งสําคัญของสัตวโลกทุกจําพวกทุกชนิดตอง อาศัยอาหารอยางใดอยางหนึ่งใน 4 อยาง อยางมนุษยเราและสัตวโลก สัตวเดรัจฉาน อาศัยอาหารที่สําคัญก็คือ ขาว น้ํา เราขาดไมได ขาด อาหารไดหลายวัน แตขาดน้ําสัก 2 - 3 วัน ก็คงจะตายแลว เพราะรางกายของเรานี้ สวนประกอบที่เปนน้ํา มีมาก ถารีดเอาน้ําออกใหหมด ก็จะซีดตัวเบา บางคนก็ไปลดความอวน เขาก็ไปเอาน้ําออกแลวก็ดูเหมือน จะลดได แตพอออกจากสถานที่นั้นแลวก็อวนเหมือนเดิม การที่เราบริโภคอาหาร ทานสอนวาก็เพื่อใหมีชีวิตอยูได กินเพื่ออยู ไมใชอยูเพื่อกิน กินอาหาร เหมือนน้ํามันหยอดเพลา เพลาเกวียนเพลารถ พอใหรถมันไปได รางกายนี้ก็เปนสรีรยนต ยนตคือสรีระ ใหพอเปนไปได ใหพอมีความสุขพอสมควร ใหพอทํางานทําการอะไรได ก็เปนสัปปายะอยางหนึ่งของ มนุษย ทานเรียกวาเปนอาหารสัปปายะ มีอาหารเปนที่สบาย สัปปายะ แปลวา สบาย สบายในที่นี้ ไมได หมายความวา ที่เราชอบ แตในที่นี้หมายความวามันเหมาะกับรางกาย ไมแสลงแกโรค เรียกวา อาหารสัป ปายะ แตละคนก็จะไมเหมือนกัน บางคนกินเผ็ดไมไดก็ตองงดไป บางคนกินเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เปนโรค กระเพาะ ก็ตองเวนอาหารนั้น เราถือหลักวา ประหยัดในการกิน ประหยัดก็คือวา ไมใหเสียเปลา ไมกินทิ้งกินขวาง ไมใหอิ่ม เกินไป รางกายก็จะเบาสบาย เหลืออีก 4 - 5 คําจะอิ่ม ก็ใหดื่มน้ําแทน นี่เรียกวากินอาหารแตพอดี ไม ฟุมเฟอย แตไมถึงกับขาดแคลน ถาเรานึกจะฟุมเฟอยในเรื่องเสพอาหารเมื่อไหร ก็ใหนึกถึงคนที่เขาไมมี จะกิน หรือเด็กที่ขาดแคลนอาหารอยูเปนจํานวนมาก จริงอยู เราซื้อดวยเงินของเรา เรามีสิทธิ์ที่จะกิน เทาไหรก็ได แตวามันมีโทษอยางนอย 2 สถาน สถานที่ 1 คือ มีโทษแกรางกายของเรา สถานที่ 2 ผลาญ ทรัพยากรของสังคม ผลาญทรัพยากรของมนุษย เพราะวามันเกินจําเปน เรียกวา อยูเกิน กินเกิน นอกจาก มันจะมาอยูในรางกายของเราแลว มันก็เรียกวาไปผลาญทรัพยากรของสังคมใหสิ้นไป ถาเรากินแต พอประมาณ กินแตพอดี ก็เหลืออยูกับสังคม เปนประโยชนกับคนที่ขาดแคลน การระวังเรื่องอาหารก็เปนการปองกันโรคไปดวยในตัว วาโรคที่ยังไมเกิดก็จะไมเกิดขึ้น หรือโรค ที่เกิดขึ้นแลวก็จะบรรเทาเบาบางลงไป มีโรคหลายอยางที่เกิดขึ้นเพราะอาหาร หมอก็แนะนําใหคุมอาหาร ใหระวังในเรื่องอาหาร ถาระวังไดก็ลดโรคภัยลงไดเยอะ โรคภัยเขาทางปาก คือ ถาเราไมระวังการกิน โรคภัยก็เกิดขึ้น เพราะอาหารเปนเหตุ กินไมเปน 12 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ทุกขภัยออกจากปาก ถาเราไมระวังปาก ทุกขภัยก็เกิดขึ้น ปากของเราที่พูดออกไป พูดอะไรไมดี ก็ นําทุกขภัยมาใหตัว นี่เรื่องอาหารนะครับ ประหยัดในการกิน ใชปจจัย 4 ขอที่ 1 คือ กินอาหารอยางประหยัด ประหยัด คือไมใหสูญเปลา ไมกินครึ่งทิ้งครึ่ง กินอยูแตพอดี ไมตองอยูดีกินดี ไมตองหาความสุขจากการกิน แตวา หาความสุขจากการทํางาน จากการทําประโยชน จากการบําเพ็ญคุณงามความดี กินเพื่อใหมีชีวิตอยูไดเพื่อ จะทําประโยชนได ขอ 2 เสื้อผา จุดประสงคในการใชเสื้อผาตองดูจุดประสงคในการใชเสื้อผาใหเปน primary need คือ เปนความตองการขั้นตน ก็คือเพื่อตองการปกปดสิ่งที่ควรละอาย และเพื่อใหเกิดความเรียบรอยขึ้น ไม เปนที่รังเกียจของผูอื่น ใหสะอาด ไมตองราคาแพงก็ได เวลานี้ก็มีปญหาเรื่องเด็กวัยรุนที่ใชเสื้อผากันที่ทําใหมีการวิพากษวิจารณกันขึ้นในสังคมวาเด็ก ของเราเปนอะไรไปหรือ เขาเรียกแฟชั่น คานิยม ทําใหใชเสื้อผาไมเหมาะสม บางสวนที่ควรจะใชมากก็ใช นอยเกินไป บางสวนที่ควรจะใชใหนอยลงเขาก็ใชมาก เชนวา บางสวนก็ยาวเกินไป บางสวนก็ สั้น เกินไป ที่จริงมันทําใหพอดีได แตมันเปนแฟชั่น กลัวคนอื่นจะวาลาสมัย ไมมีความเปนตัวของตัวเอง วันหนึ่ง ผานหนาโรงเรียนตอนบายๆ เห็นเด็กลงจากรถทั้งผูหญิง ผูชายใสเสื้อยืดกางเกงยีนส เหมือนกันหมดเลย แสดงวาใครไมไดใสเสื้อยืดกางเกงยีนสจะเขาพวกไมได สมัยกอนมีอีก ใสรองเทายาง สะพายยาม แตตอนหลังนี้หายไป เหลือแตเสื้อยืดกางเกงยีนส นักศึกษาของเราเปนผูใชมันสมอง แตถา เขาใชสมองไมเปน เปนตัวของตัวเองไมได ผูใหญก็ไมแนะนําใหเขาเปนตัวของตัวเอง เด็กก็ตองไปตาม ประสาเด็ก ก็เคยมีบางคราว พวกศิลปนก็ไวหนวดยาวไวผมยาว บางทีลูกเขาก็เปนศิลปน ก็วาทําไมตองตาม สังคม ทําไมเราไมเปนผูนํา ลองดูวาศิลปนที่ไมตองไวผมยาวรุงรัง ตัดผมสั้น นุงหมใหเรียบรอย ลองดูวา ถาประสบความสําเร็จแลว คนเขาจะเอาอยางไหม มันอยูที่ผลสําเร็จของเรา ทีนี้บังเอิญวาคนที่ประสบ ผลสําเร็จ เขาไวผมยาวรุงรังไวหนวดยาว ทาทางเปนคนสกปรก อะไรทํานองนั้น พอประสบความสําเร็จ คนก็เอาอยาง แตไมไดหมายความวาพอเอาอยางแลวตัวจะประสบผลสําเร็จอยางเขา 13 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ทําไมเราจึงไมหัดเปนผูนําที่ดีเสียบาง ก็ปรากฏวาเด็กคนนั้นทําตามได เปนศิลปนแตสะอาด ไม ตองไวผมยาว ตัดผมสั้น โกนหนวด แตงตัวเรียบรอย ก็ไดรับความนิยมในหมูนั้น แมในหมูครูบาอาจารย เขาก็นิยม วาเปนตัวของตัวเอง เปนผูนําไปอีกอยางในความเรียบรอย แตบางทีเด็ก วัยรุนของเราขาดคน แนะนํา ก็ไมมีใครแตกแถวออกมา มีสมัยหนึ่ง 30 - 40 ปมาแลว เขานุงกางเกงขาบาน บานมากๆ ก็ไปเดินตลาด กางเกงมันก็ขาดหมด แมบางคนสภาพของตนไมควร ก็ไปทําตาม อยางเขา คนที่เขามีตึกหรูหรา บานปูพรม เขาจะนุงลากสัก เทาไหรก็ได ทีนี้เราเดินตลาด ซึ่งมีแตขี้โคลนแลวก็นุงกางเกงขาบานและยาวอยางเขา มันตองใหรองเทา เหยียบมันถึงจะทันสมัย ริมกางเกงก็ขาดหมด มันโกตรงไหน ก็แปลวาไมใชมันสมองเลย ใชแตแฟชั่น คานิยมทําตามกันไป นักปราชญบอกวามนุษยเปนสัตวที่มีเหตุผล เปน Reasonal Being เราก็ควรจะคิดอะไรดวยเหตุผล วาทําไมจึงตองทําอยางนั้น ทําไมจึงไมตองทําอยางนั้น คิดใหได ไมใชคนอืน่ เขาทําอยางไร ตองทําอยาง คนอื่นเขาไป สติปญญาเอาไปใชอะไรหมด ขอ 3 เสนาสนะ แปลวา ที่อยูอาศัย ก็เปนสิ่งจําเปนของชีวิต สมัยกอนเราอยูถ้ํา มนุษยเรายังไมรูจัก ปลูกสรางที่อยูอาศัย ก็ไดอาศัยถ้ํา ตามธรรมชาติ หรืออยูโคนไม ในนิสสัย 4 ของพระ นิสสัย คือ สิ่งที่ตองพึ่งพาอาศัย ขอที่วาดวยที่อยูอาศัย ทานก็ใชวา รุกฺขมูล เสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุตฺสาโห กรณีโย บรรพชานี้อาศัยรุกขมูลเสนาสนะ เสนาสนะ คือ โคนตนไม เธอพึงทําความอุตสาหะในเสนาสนะคือโคนไมตลอดชีวิต และก็มีธุดงคอยูขอหนึ่ง สําหรับผูถือธุดงค คือ อยูโคนไมเปนวัตร รุกขมูลทีช่ าวบานเรียกสั้นๆ วา รุกขมูล หรือทองถ้ํา ลอมฟาง แตนั่นเปนที่อยูอาศัยของบรรพชิตผูบําเพ็ญพรหมจรรย เพื่อความพนทุกข ถามีอดิเรกลาภ คือ สิ่งที่มีผูสรางถวาย เชน เปนเพิง หรือบานเรือนก็ได เปนเสนาสนะที่อยูอาศัย แตก็ ไมใหหรูหราเกินไป ใหเรียบงายสําหรับพระสงฆ ราคาไมแพง สรางงาย อยูงาย กินงาย ความงายทําให กิเลสเบาบาง ความยาก เปนยาก กินอยูยาก อยูในเสนาสนะที่หรูหราฟุมเฟอย มันทําใหกเิ ลสพอกพูนขึ้น
14 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
สําหรับชาวบานทั่วๆ ไป บานเรือนเปนที่อยูอาศัย เปนปจจัย 4 เปนสิ่งเกื้อกูลแกชีวิต เพือ่ ปองกัน หนาวรอน ลม แดด ถาอยูก ลางแจง ถาหนาวก็หนาวจัด ไมมีสิ่งปองกัน ถาอยูในเรือน ก็ทําใหหนาวนอย หรือกลางแดดรอน ถาอยูใ นเรือนก็มีเรือนเปนรมเงาก็จะรอนนอย เปนรอนอากาศ ไมใชรอนแดด ทาน สอนวาสําหรับผูปฏิบัติธรรม ที่อยูอาศัยก็ใหพอประมาณ คือใหเปนสัปปายะ ทานเรียกวา เสนาสนสัปปา ยะ มีเสนาสนะเปนที่สบาย แตคําวาสบายไมไดตรงความหมายคําวาสบายในภาษาไทย สัปปายะ หมายความ วามันเหมาะสมที่จะทํากิจที่ตองการเพื่อใหบรรลุเปาหมาย เหมือนอาหารที่สัปปายะ ไมไดหมายความวา อรอย ราคาแพง แตเปนอาหารที่เหมาะแกผูนั้นจะ บําเพ็ญเพียร อาหารที่ไมแสลงแกโรค เสนาสนสัปปายะ ก็คือ เหมาะสม (suitable) เปนสถานที่ที่เหมาะสมในการที่จะบําเพ็ญคุณงาม ความดี ที่จะทําประโยชนหรือทําจิตใหบริสุทธิ์หมดจด เรียกวา เสนาสนสัปปายะ เราไมไดมีที่อยูเพื่ออวดคน เพื่ออยางอื่น แตเพื่อเปนที่อยูอาศัย ทําประโยชนได ไมใชอวดมั่งมีจน เปนหนี้ แตถามีกําลังจะทําได ก็ทําไปเถอะพอสมควรแกตน อยางรถยนตก็เปนเสนาสนะอยางหนึ่ง เปนที่อาศัย บานเรือนที่เคลื่อนที่ได มีพระรูปหนึ่งมี ชาวบาน เอารถมาถวายราคาแพง ทานวาอยาถวายเลย เอาไปซอมกุฏิเถอะ แตชาวบานตองการจะถวาย เสนาสนะที่เคลื่อนที่ได ก็ตองใหเหมาะสมแกตน วาควรแคไหน ที่สําคัญตองเปนปฏิปทา ตองเปนจักษุ ของมหาชน ในคําบาลีทานใชคํานี้ คือ หมายความวา เบิกตาของประชาชน ใหดวงตาแกมหาชนวาเราจะ อยูอยางไร จะกินอยางไร จะใชชีวิตอยางไรก็ใหเปนตัวอยาง เปนทิฏฐานุคติ เปนทางที่ใหมหาชนดําเนิน ตามได ไมหรูหราฟุมเฟอยเกินไป ซึ่งมหาชนทําตามแลว ก็สรางความเดือดรอนเกินไป ขาดความเรียบงาย โดยเฉพาะอยางยิ่งพระสงฆซึ่งพระพุทธเจาตองการใหมีความเปนอยูอยางเรียบงาย พระสงฆบางรูปก็นา เลื่อมใสมากในเรื่องนี้ เขาถวายอะไรที่ราคาแพงเกินไป หรือวามันอยูในฐานะที่เปนเศรษฐี เมื่อใชแลวคน มองวาเปนเศรษฐี ทานก็ไมยอมรับ ทานบอกวาไมสมควรแกสมณะ สําหรับชาวบานก็เหมือนกัน พิจารณาที่อยูอาศัยใหเหมาะสมแกตน ไมถงึ กับเดือดรอน ไมถึงกับ ลําบากนักหนา บางคนมีโรคบางอยาง เชน ความดันสูง ซึ่งตองการความสงบใจอยูเสมอ ทีนี้ถาเผื่อวาไป 15 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
สราง เสนาสนะที่ใหญโตหรูหรา ตองเปนหนี้เปนสินมาก ตองผอนสงมาก เครียด อาจจะตายเสียกอนที่ จะไดอยูเสนาสนะอันนั้น ก็ตองระวัง ปจจัย 4 อาหาร เสื้อผา ที่อยูอาศัย ก็คือวา ความพอประมาณนั้นดีที่สุด ขอ 4 คิลานเภสัช คือ ยารักษาโรค เปนปจจัยเครื่องอาศัยของคน นอยคนที่ไมตองอาศัยยา อยาง นอยตอนอยูในทอง แมก็กินยาบํารุงครรภตามหมอสั่ง และไดอาศัยยาแกปญหาการเจ็บไขไดปวย ทําใหมี ความผาสุกพอสมควร เรื่องยาเปนเครื่องอาศัยทั้งของบรรพชิตและคฤหัสถ คนเราก็ตอง มีเจ็บปวยบาง แมจะหายเองได บาง พระพุทธเจาตรัสเรื่องนี้เอาไววา โรคบางอยางรักษาก็หายไมรักษาก็หาย โรคบางอยางรักษาหาย ไม รักษาไมหาย โรคบางอยางไมรักษาก็ไมหาย รักษาก็ไมหาย ทีนี้เรารักษาโรคเมื่อปวยไข ก็ดวยหวังวารักษาแลวจะหาย แมไมหายขาด ก็พอทุเลาหรือคุมไวได ไมใหกําเริบจนประสบทุกขเวทนาจนเกินไปนัก หรือวามันรบกวนจนรําคาญ รําคาญจนทําอะไรไมไหว เปนเหตุใหเสียกําลังใจ เสียงาน เสียเวลา เสียอนาคต เสียนิสัย เสียเพื่อน เสียบุคลิกลักษณะ สารพัดที่จะเสีย เพราะมีโรค บางคนทําลายชีวิตตนเองก็มี เพราะวาโรคเรื้อรังไมอาจรักษาใหหายขาดได ทางพระก็มีฆาตัว ตาย เพราะโรคเรื้อรังหลายรูป วากันที่จริง ทุกอยางในโลกก็มีของแกกัน เพียงแตเราไมคอยรูวาอะไรแกอะไรเทานั้น เวลานี้ที่ยัง หายารักษาไมไดก็คือ โรคเอดส โรคภูมิคุมกันบกพรอง มันระบาดกันอยู คนก็ไมคอยกลัว รูวาเอดสมัน เกิดจากอะไรก็ยังไปหาปจจัยเสี่ยงที่จะใหมันเปนโรค แลวหมอก็ยังหายารักษาไมได มีแตเพียงบางตัวที่ยัง พอยับยั้งไวไดบาง แตก็ไมสามารถจะทําลายมันได แลวก็ถึงระยะที่ 2 ที่ 3 ก็มีหวังตายอยางเดียว ควรจะ เห็นโทษของมัน แลวเวนปจจัยเสี่ยงเสีย มันไมไดเดินมา หาเรา สวนมากคนก็ไปหาโรคเอดสเอง ถึง อยางไรก็ปองกันไวกอนดีกวา ยารักษาโรคเอดสก็แพงมาก มาคุยเรื่องยาทั่วไปนะครับ ยาก็เหมือนมนุษย มันมีหมดอายุ ใชแลวก็ไมมปี ระโยชน มีแตโทษแก รางกาย การกินยาใชยาตองเต็มไปดวยความระมัดระวัง ดูแลวดูอีก ปรึกษาแลวปรึกษาอีกใหแน ทีข่ วดยา ที่กลองยาหลายชนิด ทานใหพิมพวายาอันตราย นั่นคือ ตองใชอยางระมัดระวัง มีกฎเกณฑ มีกําหนดเวลา 16 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
อยาเชื่อขอความในฉลากยาที่ติดมากับขวดหรือกลองใหมากเกินไป เพราะบริษัทยามุงจะขายยาใหไดมาก เทาที่จะมากได โดยไมคํานึงถึงสุขภาพของประชาชน ความ สิน้ เปลืองและความสูญเสียของประชาชน ผูบริโภคจึงเสียเปรียบอยูทุกทางอยูแลว ยาหมดอายุมีที่พอสังเกตได อยู 2 อยาง คือ 1. ดูที่ตัวยาเอง สีมันเปลี่ยนไป หรือยาเม็ดเคลือบ มีรอยเยิ้มออกมา ถาเปนแคปซูลถอดออกไดก็ ลองถอดออกดู เชน ยาเตรทตาไซคลิน ตัวยาภายในจะเปนสีเหลืองออน ถาเปลี่ยนเปนสีน้ําตาลหรือสีเทา แสดงวา ยาหมดอายุแลว ไมควรกิน อันตรายมาก เชน ทําใหทอ ไตเสีย เปนตน ยาน้ําแขวนตะกอนตามปกติ เมื่อเขยาขวด ตะกอนกับน้ําใสขางบนจะเขากันสนิท ทีนี้ถาเขยาแลว ตะกอนกับน้ําเขากันไมสนิท แสดงวายาเสียหรือหมดอายุ 2. สังเกตดูวันผลิตหรือวันหมดอายุ มียาหลายอยางบอกวันหมดอายุไวที่ขวดหรือกลอง เขาจะ เขียนตัว Exp มาจากคําวา Expiration แปลวา หมดอายุ สมมุติวา Exp 10 - 11 - 99 แปลวา หมดอายุวันที่ 10 เดือน 11 ค.ศ. 1999 ทํานองนั้น ยาบางอยางบอกเฉพาะวันผลิต แตไมบอกวันหมดอายุ เชน บอกวัน ผลิตวา 8 - 9 - 99 หมายความวา ผลิตในวันที่ 8 เดือน 9 ค.ศ. 1999 โดยปกติถา บอกวันผลิต จะไมบอกวัน หมดอายุ ถายานั้นนับจากวันผลิตไป 5 ป ก็หมดอายุ ไมควรบริโภค แพทยและเภสัชกรไดเขียนเรื่องพวกนี้เผยแพรไวมาก หนังสือที่เกี่ยวกับโรคและยา เวลานี้หาอาน ไดไมยาก ถาชาวบานเราเจียดเวลามาอานหนังสือเหลานี้กันบาง ก็จะชวยตัวเองไดมาก ราคาก็ไมแพง ซื้อ มาอานประดับความรูและปฏิบัติ ไมใชที่บางคนพูดบอกวาทฤษฎีเต็มรอย แตปฏิบัติเปนศูนย อยางนั้นมัน จะไมไดผลเกี่ยวกับเรื่องยา เรื่องโภชนาการ มันชวย ตัวเองไดมากเลย 10 ป 20 ป อาจจะไมตองไป โรงพยาบาลเลย เพราะเรารูวาควรจะทําอยางไร เมื่อเหตุการณอยางนั้นเกิดขึ้น และยังจะชวยคนใน ครอบครัว คนใกลเคียง ใกลชิด ไดดวย และยังลดภาระของแพทยพยาบาลตามโรงพยาบาล ลดภาระของ รัฐที่จะตองสรางโรงพยาบาลเพิ่ม ที่สําคัญที่สุด คือ ชวยตัวเองไดพอสมควร อันนี้มันเปนสาธารณสุขมูลฐานที่เราจะปองกัน เด็กทองรวงก็ตายไป เยอะครับ เพราะวาไมมี ความรู เพียงทองรวงเทานั้นเอง ไมมีความรูแมแต จะทําน้ําเกลือชาวบานธรรมดา เอาน้ําตาลกับเกลือผสม กันเขาไดสัดสวนพอ สมควรใสลงไปในน้ําชา เปนน้ําเกลือชาวบานธรรมดาๆ เวลาทองรวง ทองเสีย กิน 17 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
แทนน้ําไปเรื่อยๆ วันเดียวก็หาย เกลือสักชอนชาหนึ่ง น้ําตาลสัก 2 - 3 ชอนแกง โดยประมาณ มันก็ชวยได เยอะ บางทีเด็กในชนบทก็ตายไปเยอะ เพราะไมรูเรื่องเล็กๆ นอยๆ เหลานี้ นอกจากนี้แลวยังชื่อวาปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธภาษิตที่วา ตนเปนที่พึ่งของตน คนอื่นใครเลา จักเปนที่พึ่งไดหมือนกับพึ่งตนเอง บุคคลมีตนอันฝกฝนดีแลว ยอมไดที่พึ่งซึ่งไดโดยยาก ในกรณีที่เราชวย ตัวเองไดอยู หมอ ยา และอาหาร แมจะเปนสิ่งสําคัญ แตจะชวยเราไมไดเลย หรือชวยไมไดมากนัก ถาเรา ปฏิบัติตนไมเหมาะสมแกโรคที่เราเปน ถายังไมเปนโรคอะไร เมื่อปฏิบัติตนไม เหมาะสม ตอไปก็จะเปนโรคสารพัดอยาง แตถาเรา ปฏิบัติตนไดเหมาะสม รูจักประมาณในการกิน การอยู การออกกําลังกาย เวนสิ่งที่เปนเหตุใหทําลายหรือ บั่นทอน สุขภาพพลานามัยแลว เราจะพอชวยตัวเองได แมเปนโรคอยูแลวก็จะทุเลาเบาบาง บางอยางอาจ หายไปเลย นี่คือหลักการพึ่งตนเอง ชวยเหลือตนเอง เราจะพึ่ง ตนเองไดก็โดยการฝกฝนตน สิ่งที่เปน เครื่องมือในการฝกฝนก็คือ ธรรมะ ธรรมะนี่มีความหมายหลายอยาง ในที่นี้หมายถึง หลักการ กฎเกณฑ ที่ควรเวนและควรประพฤติ ดําเนินชีวิตถูกตองตามกฎธรรมชาติ ธรรมชาตินมี่ ันมีความเฉียบขาดอยูในตัว คือ ถามีใครปฏิบัติถูกตอง ตามกฎธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะใหรางวัล ถาใครปฏิบัติผิดตอกฎธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะลงโทษเอง ถึง จะไมมีใครลงโทษแตธรรมชาติจะลงโทษเอง อยางกรณีที่ผมพูดเรื่องบุหรี่ ไมตองมีใครไปลงโทษเขา แตวากฎธรรมชาติจะลงโทษเอง ตนที่ฝกดี แลวก็จะเปนที่พึ่งไดเหมือนกับชาง มา วัว ควายที่พึ่งมันได ก็เพราะวาเราฝกมัน ชาง มา วัว ควาย ที่ยัง ไมไดฝก พึ่งไมได เปลืองอาหารเปลาๆ เลี้ยงดูมันก็เปลืองแรง เปลืองอาหาร มันชวยอะไรไมไดเลย ตัวของเราเองก็เหมือนกัน ที่ยังฝกไมได นอกจากพึ่งไมไดแลว ยังจะนําความพินาศวอดวายมาสู ตนเสียอีกดวย ในกรณีที่เราปวยหนักจนชวยตัวเองไมไหว ทําอะไรไมไดเองแลว จึงคอยยอมมอบรางกาย ใหกับหมอ ใหชวยวินิจฉัยเรื่องยาและอาหารโดยประการทั้งปวง คือ มอบใหเขาไปเลย ทําตนใหเปนคนวางาย สอนงาย ก็จะไดที่พึ่งอันสําคัญเหมือนกัน เพราะวาโสวจัสสตา เปนผูวางาย เปนธรรมขอหนึ่งใน 10 ขอ ที่เปนเหตุใหไดที่พึ่งซึ่งไดโดยยาก เรียกวา นาถกรณธรรม ธรรมอันเปนที่พึ่ง 18 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ปจจัย 4 สําหรับพระ บางทีทานเรียกนิสสัย 4 นิสสัยก็คือ ปจจัยที่บรรพชิตจะเขาไปอาศัย ก็ 4 อยาง นี้ อาหารบิณฑบาต ผาบังสุกุลและจีวร รุกขมูลโคนไมหรือเสนาสนะ ยาดองดวยน้ํามูตรเนาก็คือยา ทั้งหมดที่กลาวมาในหัวขอปฏิเสวนะ คือ การเสพปจจัยนี้ ก็อยูในกายภาวนา ในภาวนา 4 กายภาวนา แปลวา การอบรมกาย การอบรมกายก็คือ การใชปจ จัย 4 เปน ใชตามจุดมุงหมาย ก็เปน ภาวนาขอหนึ่งใน 4 ขอ คือ กายภาวนา สีลภาวนา จิตตภาวนา ปญญาภาวนา วันนี้ก็มีคณะครูมาคุยดวยที่บาน ก็ไดพูดกันถึงเรื่องพวกนี้ เลยบอกวาในสังคมของเราจิตตภาวนามี นอยเกินไป แมแตสีลภาวนาก็ยังมีนอย ถาเราทําใจใหตรงดีแลว คือ มีทิฏุชุกรรม ทําใจใหตรงดีแลว สมาทานศีล ก็ดี การรักษาศีลก็ดี เกือบจะไมจําเปน เพราะวามีศีลอยูในตัวแลว ถาเปนอยางนี้ เรื่องการใช ปจจัย 4 ใหตรงตามวัตถุประสงคตรงตามจุดมุงหมาย ก็เปนเรื่องเล็ก ทําไดโดยงาย ที่ทํายาก เพราะวาเรา ไมฝกฝนตน ไมทําใจ ใหตรง ไมหมุนใจใหตรง ถาหมุนใจใหตรงแลว สิ่งเหลานี้ทําไดไมยาก เพราะเรารู จุดมุงหมาย 4. อธิวาสนะ อธิวาสนะ แปลวา อดทน การละกิเลสดวย ความอดทน การพัฒนาจิตไปสูความบริสุทธิ์ดวยความ อดทน ความอดทนที่ทานเรียกวาขันตินี้ ทานแบงเปน 3 อยาง คือ 1. ธีติขันติ แปลวา ทนตอการตรากตรําลําบาก เหน็ดเหนื่อยดวยการงาน การศึกษา การปฏิบัติ ธรรม หรืออะไรก็แลวแต ถาตองตรากตรําลําบาก โดยเฉพาะอยางยิ่งทานที่เปนฆราวาส ที่เรียกวา ฆราวาสธรรม มีขอหนึ่งเรียกวา ขันติ อดทน ในพระบาลีทานใชคําวา ธีติ ยกตัวอยางเชน ยสฺเส เต จตุโร ธมฺมา สทฺธสฺส ฆรเมสิโน สจฺจํ ทโม ธีติ จาโค สัจจะ ทมะ และในที่นี้ทานใชคําวา ธีติ แทน ขันติ ทโมก็คือ ทมะ ธีติ ก็คือ ขันติ จาโค คือ จาคะ สเว เปจฺจ น โสจติ ผูนั้น ลวงลับไปแลว จะไมเศราโศก ยสฺเส เต จตุโร ธมฺมา ธรรม 4 ประการนี้ มีอยูแกทานผูใด แกฆราวาสผูใด ผูมีศรัทธาอยูครองเรือน คือ สัจจะ ทมะ ธีติ จาคะ ผูนั้นลวงลับไปแลวจะไมเศราโศก แมมีชีวิตอยูก็ไม เศราโศก ไมตองพูดถึงลวงลับ เพราะเหตุที่มี ธรรม เหลานี้อยู โดยเฉพาะอยางยิ่ง ทมะ การฝกอินทรีย การฝกตน ก็ไดพูดมาบางแลวในปจจัย 4 พระพุทธเจาตรัสอยางนี้วา อิงฺฆ อฺเญป ปุจฺฉสฺสุ ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ทานลองไปถามสมณะ เหลาอื่นดูบางเถิด ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตยาภิยฺโยธ วิชชฺ ติ จะมีธรรมอยางอื่นบางไหมในโลกนี้ที่ 19 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ประพฤติปฏิบัติดีแลว จะมีคุณคายิ่งไปกวา สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ในที่นี้ทานใชวา ขันติ ขนฺตยาภิยฺโยธ วิชฺชติ จะยิ่งไปกวาขันติ คํานี้ใชแทนกันได บางทีก็ใชธีติ บางทีก็ใชขันติ แตถาใชธีติ ก็หมายความวา อดทนตอความลําบากตรากตรํา หนักเอาเบาสู ใฝรูสูสิ่งยาก ยิ่งยากยิ่งดี มีสุภาษิตประจําใจวายิ่งยากยิ่งดี ชอบหาสิ่งยากๆ อะไรงายๆ ใหคนอื่นเขาทํา เพราะวามันทํางาย มีคนทําไดเยอะ ใหคนอื่น เขาทํา เราไม ตองทํา ก็พยายามหัดทําสิ่งที่ทํายาก ซึ่งมีคนทําไดนอย และ จะไดรับผลที่ไดโดยยาก ทําสิ่งที่ทําไดยาก ทน สิ่งที่ทนไดยาก สละสิ่งที่สละไดยาก เอาชนะสิ่งที่เอาชนะไดยาก ก็จะไดรับผลที่ไดโดยยาก อันนี้อยูใน ฆราวาสธรรมที่พระพุทธเจาตรัสตอบแกผูที่มาถาม ถามวาสิ่งเหลานี้บรรพชิตไมตองทําหรือ ตอบวายิ่งตองทํามากขึ้น เพราะขนาดฆราวาสยังตองทํา แลว ทําไมเลาบรรพชิตซึ่งควรจะตองปฏิบัติใหเขมงวดกวา ใหประณีตกวา ทําไมจะไมตองทํา ก็ตองทํา เหมือนกับวาสิ่งใดที่สามเณรตองทํา สิ่งใดเปนธรรมของสามเณร สิ่งนั้นก็ตอ งเปนธรรมของภิกษุ ไปดวยในตัว แตวาไมไดพูดถึง พูดถึงแตวาอันนี้เปนธรรมของสามเณร ไมไดหมายความวาภิกษุไมตอง ทํา ภิกษุตองทําใหมากขึ้น เพราะวาอยูในภาวะที่ดีกวา เปนผูใหญกวา อยูในฐานะที่สูงกวา ก็ทําในสิ่งที่ สามเณรทํา เมื่อสามเณรทําได ภิกษุทําไมได นั่นนาละอาย สิ่งที่ฆราวาสทําได แตพระทําไมได ก็เปนสิ่งที่ นาละอาย มันตองทําได ก็ตองมี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เหมือนกัน ธีติขันติ คือ อดทนตอความลําบากตรากตรําในการทํางาน ในการ ศึกษา ในการทําอะไรตางๆ ยิ่ง สมัยปจจุบันดูแลวก็ยิ่งนาสงสาร ประชาชน เราตองทํางานมากขึ้น หนักขึ้น ตรากตรํามากขึ้น ผลไดเปน อยางไร ลองหาคําตอบเอาเอง 2. อธิวาสนขันติ ที่เรียกวา อธิวาสนะ อดทนตอความเจ็บไขไดปวย เกิดมาแลวไมมีใครที่ไมเจ็บ ไข ไดปวย เพราะวารางกายนี้มันเปนตัวโรคอยูแลว วาความไมมีโรคเปนลาภอยางยิ่ง ทานหมายถึงไมมี โรคทางใจ แตเราเอามาใชในความหมายวาไมมีโรคทางกาย ความไมมีโรคทางกายมันเปนไปไมได เพราะวาตัวรางกายเองมันเปนตัวโรคอยูแลว พระพุทธเจาตรัสไวอยางนี้นะครับ ในมาคัณฑิยสูตร มัชฌิม นิกาย ตรัสวา ความไมมีโรคเปนลาภอยางยิ่ง ก็หมายถึงไมมีโรคทางใจ ก็ทําใหไมมีโรคไดสําหรับใจ ก็ทํา ใหบรรเทาเบาบางลงไป ฝกฝนไป แกไขไป ขัดเกลาไป ฝกฝนไป โรคใจมันก็คอยๆ นอยลง ดวยความ อดทน ในทีส่ ุดก็จะไมมีโรคทางใจเลย มีนอยลงไป จนไมมีเลย แตวาโรคทางกาย ยิ่งเรา มีอายุมากขึ้นก็ยิ่ง 20 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
มีโรคมากขึ้น เหมือนกับรถยนต เครื่องยนตตางๆ ที่ใชไป ยิ่งนานปก็ยิ่งทรุดโทร ยิ่งตองแกไขมาก ปรับปรุงมากขึ้นเทานั้น สําหรับทางใจ สิ่งที่ควรจะเปนก็คือวา ยิ่งอายุมากขึ้นเทาไหร โรคทางใจก็ควรจะนอยลงๆ ตามอายุ ที่มากขึ้น การแกไขทางจิตใจก็นอยลง เพราะวาไดแกไขหมดแลว มีประสบการณชีวิตหลายดาน อยางนี้ก็ เคยพบ อยางนี้ก็เคยเจอมาแลว จิตใจจะคอยๆ มองเห็นเปนเรื่องธรรมดา แตสําหรับคนที่อยูในวัยตน เด็กๆ มันจะ ตื่นเตนไปหมด อันนั้นก็เรื่องแปลก อันนี้ก็เรือ่ งใหม อัน นั้นก็นาตื่นเตน อันนี้ก็นาโศก อันนั้นก็นาโกรธ อันนั้นก็นาหลง อะไรตางๆ ทํานองนั้น พอวัยมากขึ้น สูงขึ้น มันก็ไดผานอะไรตางๆ มามาก จิตใจก็คอยๆ สงบเย็นลง มีความมั่นคงมากขึ้น จิตใจมั่นคง อานสิ่ง ตางๆ ออกมากขึ้น ใชชีวติ สงบเย็นมากขึ้น สิ่งที่จะมาทําใหหวั่นไหวนอยลง ความเจ็บไขไดปวยเปนเรื่องธรรมดาของชีวิต เราก็ตองอดทน พระพุทธเจาสอนใหพิจารณาเนืองๆ วา เรามีความเจ็บไขเปนธรรมดา ไมสามารถจะลวงพนความเจ็บไขไปได เมื่อมันมาถึงเขาตามวาระ ตาม เวลา ตามโอกาส และก็มาเยี่ยมเราบอยๆ ก็คิดใหเปนเพื่อนกัน เปนกันเอง กับความพลัดพรากความ ผิดหวัง เจ็บไขไดปวย จนที่สุดถึงแกความตายพิจารณาบอยๆ นึกถึงบอยๆ จนถึงกับมีความรูสึกเปน กันเอง ความพลัดพราก ความผิดหวัง ความเจ็บปวย ก็ไมใชคนแปลกหนา ก็ไมใชของแปลก บางคนมี ชีวิตลําบากมาตั้งแตเด็กตอสูดิ้นรนมาดวยความยากลําบาก มาจนเปนผูใหญก็ยังลําบากอยู มันก็เปนกันเอง กับสิ่งเหลานั้น ก็ดูวาเปนคนมั่นคง สงบ แตที่จริงเขาก็ไดรับทุกขจากสิ่งเหลานั้นอยู แตดวยความคุนเคย กับ สิ่งเหลานั้นจนรูสึกเปนกันเอง เพราะวามันผิดหวังมาตั้งแตเด็กๆ รับความ ผิดหวังพลั้งพลาด ไมคอย ไดอะไร ตามที่ใจหวัง ก็ถือวาความผิดหวังเปนเรื่องธรรมดา แตอะไรที่ไดสมหวังเปนเรื่องพิเศษ บางทีเรามีโรคบางอยาง เปนอยูตั้ง 20 - 30 ป มันก็เปนกันเองกับโรคอยางนั้น เปนเพื่อนตายกันไป ไมตองไปเดือดรอนกับมัน อยางนี้เปนตน นี่ก็เกี่ยวกับอธิวาสนขันติ ความอดทนเกี่ยวกับเรื่องเจ็บไขไดปวย แมพระพุทธเจาเองก็ตองทรง อดทน อยางในมหาปรินิพพานสูตร ที่พระ- คันถรจนาจารยไดเลาเอาไววา ตตฺร สุทํ ภควา อาพาธํ อธิวาเส สิ ไดยินวาใน ครั้งนั้น พระผูมีพระภาคไดทรงอาพาธหนัก มรณนฺติกํ เหมือนกับวาจะ คราชีวิตไป อาพาธ หนักอยางยิ่งเหมือนกับจะคราชีวิตไป อวิหฺญมาโน ไมทรงเดือดรอนกับอาพาธนั้น เปนแบบอยางใหเรา 21 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
รูสึกวาทานมีบุญบารมี ไดบําเพ็ญมาแลวบริบูรณถงึ อยางนั้น ไดทําประโยชนแกโลกถึงอยางนั้น เปนมหา บุรุษถึงอยางนั้น แตก็ทนถึงอาพาธหนัก ประหนึง่ วาจะคราชีวิตไป แตก็ทรงอดทน ไมเดือดรอน "รางกายของเรากระวนกระวายอยู แตจิตใจไมกระวนกระวาย" เคยพูดหลายครั้งแลววา พระพุทธเจาในวันปรินิพพานก็ทรงอาพาธหนักอยู แตก็เสด็จดําเนินจาก เมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งไดไปถึงสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แลวก็ประทับอาพาธ ก็ทรงทํางาน ประกาศศาสนาจนลมหายใจครั้งสุดทาย นี่ก็เปนสิ่งที่นาอัศจรรย นาจะเปนแบบอยางสําหรับพุทธสาวก ผู ที่สืบสานเจตนารมณของพระศาสดา ผูมีความจงรักภักดีตอ พระศาสดาวา ที่ไดรับประโยชนจากพระ ศาสดา วาทานไดทํามาอยางไร และควรจะดําเนินตอไปอยางไร เพื่อประโยชนและความสุขของ ประชาชนของมหาชน 3. ตีติกขาขันติ อดทนตอความลําบากทางใจ อดทนตอความเจ็บใจ อดทนตอคําดาวาเสียดสี อดทนตอคํานินทาวาราย อดทนตอการบีบคั้นของกิเลสตางๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากภายในบาง มาจากภายนอก บาง ทําไดก็เปนตบะอยางยิ่ง เรียกวา ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ขันติ ประเภทตีติกขา อดกลั้นตอกิเลส เปนตบะอยางยิ่ง บางทีพระพุทธเจาพระองคก็ถูกดาวาเสียด สี มีคนจางไปดาหลายวัน พระอานนททนไมไหว พระพุทธ- เจาตรัสบอกวาอานนท เราเปนเหมือนชาง ศึกที่ลงสูสงคราม จะตองอดทนตอลูกศรที่พุงมาจาก 4 ทิศ เพราะวา คนสวนมากเปนคนชั่ว เพราะฉะนั้น เราจึงตองอดทน ถามีคนดีมากก็ไมตองอดทนมาก ทานอยูในที่ทํางาน อยูที่ไหนก็ตามที่มีคน ทานก็ตองอดทนตอคน ถาไมอดทนจะอยูไมได ทนฺตํ นยนฺติ สมิตึ ทนฺตํ ราชาภิรูหติ พระราชายอมขึ้นสูยานพาหนะที่ฝกแลวไปสูที่ประชุม สัตว พาหนะใดที่ไมฝก เขาไมขี่ไปที่ประชุม เดี๋ยวมันตื่นคน แลวก็วิ่งเตลิด ทําใหคนขี่ลมหกคะเมนลงมาขาหัก เขาจะขี่ชางหรือมาหรือโคที่ฝกแลวไปที่ประชุม ทนฺโต เสฏโฐ มนุสฺเสสุ โย ติวากฺยํ ติติกฺขติ ในหมูมนุษย ดวยกัน มนุษยที่ฝกตนแลว เปนผูประเสริฐที่สุด ฝกใหอดทนตอคําลวงเกินของผูอื่น โย ติวากฺยํ ติติกฺขติ ใหอดทนตอคําลวงเกินของผูอื่น ผูที่อดทนตอผูที่เสมอกัน เพราะเกรงวาจะทะเลาะกัน ผูอดทนตอผูที่สูง 22 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
กวา เพราะความกลัว ผูที่อดทนตอผูที่ต่ํากวา ความอดทนของผูนั้นเปนความ อดทนที่สูงสุด พระพุทธเจา ตรัสไวอยางนี้ ทีนี้ลองนึกดูวา ในการอยูดวยกันระหวางผูนอยกับผูใหญ ผูนอย บางคนก็โง ทั้งโงทั้งเซอ ผูใหญ จะตองอดทนตอความโงของเขาเทาไหร เพื่อจะฝกใหเขาเปนคนดีขึ้นมาได กี่เดือนกี่ปจนกวาเขาจะฉลาด ขึ้น ผูใหญบางคนเกรี้ยวกราด เอาแตใจตัว ผูนอยอยูกับผูใหญเชนนั้นจะตองอดทน เทาไหร เพื่อจะ พะเนาพนอเอาใจผูใหญ เราก็ตองอดทน ไมวาเขาจะอยูใน ฐานะอยางไร ฐานะเปนสามี เปนลูก เปนพอ เปนเพื่อน เปนลูกศิษย เปนอาจารย เพื่อนรวมงาน เปนเรื่องที่เราตองอดทนทั้งนั้น ขันติมันมาคูกับโสรัจจะ มันตองเปนคูแฝดกัน คือ อดทนอยางสงบ โสรัจจะ คือ สงบ ไมใชเขาไมเจ็บปวด เขาเจ็บปวดเหมือนกัน แตวาเขาสงบเปน เขามีโสรัจจะ บางคนก็อดทนอยางฮึดฮัด ไมพูดไมจา แตวาอาการมันออกวาทน เหมือนกัน แตวาไมพูด ไมโตเถียง ไมขัดแยง แตอาการมันออกใหรูวาไมสงบ มันปนปวน วุนวายอยู ภายใน แตคนที่มีโสรัจจะนี่มันดับไดทันทีเลย เหมือนเอาน้ํา มาดับไฟ ก็ดับได ดับอารมณที่มันกรุน อยูขาง ใน ดวยคาถาศักดิ์สิทธิ์วา "ชางมันเถอะ" แลวมันก็หายไปเอง เพราะทุกอยางมันไมเที่ยง มันเกิดขึ้นใหมๆ ทุกขมันเกิดขึ้นมาก พออยูไปอารมณตางๆ มันคลายไป จางไป แลวมันก็ดบั ไปหายไป นี่ก็เรียกวาอดทนตอกิเลส อดทนตอความ มุทะลุดุดัน อดทนตอสิ่งที่มาเราใหเกิดโทสะบาง เกิด โลภะบาง เราใหเกิดกิเลสตางๆ อันนี้แหละเปนตบะ อยางยิ่ง พระพุทธเจาตรัสเอาไวมากมายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ก็นาสนใจมาก อยางในกกจูปมสูตร มัชฌิม นิกาย พระพุทธเจาก็ตรัสไวนาสนใจมาก ที่วาคําที่ผูอื่นจะพึงกลาวตอเธอ 5 ประการตอไปนี้ 1. กลาวในกาลอันสมควรหรือไมสมควร 2. กลาวเรื่องจริงหรือไมจริง 3. กลาวถอยคําประกอบดวยประโยชนหรือไมมีประโยชน 4. กลาวคําออนหวานหรือหยาบคาย 5. กลาวดวยจิตเมตตาหรือกลาวดวยโทสะ เขาจะกลาวอยางไรก็ตาม ภิกษุจะตองทําใจ (ภิกษุ หมายถึง ผูปฏิบัติ คือ ทั้งฆราวาสดวย) ไววาใจ ของเราจักไมแปรปรวน คือ ทําจิตใหมั่นคง เราจักไม เปลงวาจาชั่ว เราจักอนุเคราะหเขาดวยวาจาและสิ่ง อัน เปนประโยชน จักมีเมตตาตอบุคคลนั้น จักแผเมตตาจิตไปทั่วทั้งโลก ทําจิต ใหเปนเหมือนแผนดินที่ 23 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ใครๆ จะขุดใหหมดไมได นั่นนัยหนึง่ อีกนัยหนึ่ง แผนดินใครจะทิ้งของดีบาง ทิ้งของไมดีบาง ลงไปบน แผนดิน ทิ้งของสะอาดบาง ไมสะอาดบาง ลงไปบนแผนดิน แผนดินก็คงรับได แผนดินนี่มีคุณลักษณะ พิเศษที่วามันทําของไมดีใหเปนของดี ขยะตางๆ นี่แผนดินทําเปนปุยไดหมด ใบไมของไมสะอาดอยูใน แผนดิน แผนดินแปรใหมนั ดีได ทําขยะใหเปนปุย ทําจิตใหเหมือนอากาศที่ใครๆ เขียนหรือระบายสีใหติดไมได ในชีวิตประจําวันคนเรามีการระบาย สีกันเยอะ บางทีไมรูอิโหนอิเหน ใครมาระบายสีไวก็ไมรู เราก็ไปคิดตามที่เขาระบาย มันก็สบายของคน ระบายสี ก็อยาเพิ่งเชื่อ ทําจิตใหเหมือนอากาศเอาไวกอนวาไมรูความจริงเปนอยางไร เพราะความจริงเปน สิ่งที่รูยากอยางหนึ่ง ในบรรดาสิ่งที่รูยากหลายอยาง เวลานี้มีคดีหลายอยางเกิดขึ้น ก็ยังไมรูวาความจริง เปนอยางไร สืบกันไปสืบกันมายังไมรูความจริงเปนอยางไร ทําจิตใหเหมือนแมน้ํา ที่ใครเอาคบเพลิงใดๆ ไปจุดใหติดไมได คบเพลิงนั้นก็ดับไปเอง แมน้ําไม เปนอะไร ไมเปนเชื้อ แตถาไปจอเขากับเชื้อก็ลุกขึน้ มาทันที ในคัมภีรบอกวา ทําจิตใหเหมือนถุงหนังแมวที่นายชางฟอกดีแลว ออนนุม เหมือนสําลี ใครๆ จะตี ใหดังไมได ความที่มันนุมมันไมดัง พระพุทธเจาทานเปรียบเหมือนกังสดาลที่ปากขาดแลว ตีไมดัง คนที่ทะเลาะกัน มีเปนจํานวนมาก คนมาตีขางโนนที ตีขางนี้ที เดี๋ยวก็ดัง เพราะปากมันไมขาด มัน ไมเปนถุงหนังแมว ก็เปนขอคิดที่พระพุทธเจาเตือนภิกษุทั้งหลายเอาไวในกกจูปมสูตรมีรายละเอียด มากมาย แตนี่ดึงเอามาบางตอน ใหเห็นวาทานสอนใหมีความอดทนอยางไร ใหมีความสงบเสงี่ยมอยางไร ความอดทนกับความเพียรจะตองเปนของคูกัน คือมีความเพียร ตองประคับประคองความเพียรไว ดวยความอดทน ถาไมมีความอดทนแลว ความเพียรมัน ตั้งไมได มันลม เดี๋ยวก็ทอถอย เบื่อ มีเรื่องเขามา ทําใหเบื่อเยอะแยะ ถาไมมีความอดทนมาประคับประคอง ความเพียรมันอยูไมได ในนิทานชาดกก็มี สอนลูกใหอดทน ลูกก็มี ฤทธิม์ าก มีอานุภาพมาก ลูกนาคมาเที่ยวในเมือง มนุษย พอก็สั่งวาเมื่อไปในเมืองมนุษยแลว หามทํารายใคร เด็กก็มาแหยเลน จับเลน ลูกนาคมีฤทธิ์มากจะ พนพิษใหตายหมดก็ได แตวาเชื่อคําของพอวาอยาทํารายใคร ใหใชความอดทน เพราะถาไมมีความอดทน ลูกก็อยูไมได นี่เปนเรื่องชาดก สอนลูกใหอดทน 24 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
คนจะทํางานใหญดวยความพากเพียร อุปสรรคมันเยอะ อุปสรรคจากตัวงานเองบาง อุปสรรคจาก เพื่อนฝูงบาง อุปสรรคจากเทวบุตรมารบาง คือผูใหญ ที่เขาไมสนับสนุนงานนั้น ไมสงเสริม บางทีก็ไมได วางเฉย กีดกันเสียอีก อันนี้คือ เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร หรือเทวบุตรในความหมายหนึ่งนะครับ ในกรณีอยางนี้ ผูที่ทําความเพียรก็ตองอดทน อดทนทําไปเทาที่กําลังความสามารถของเรามีอยู ได เทาไหร ก็เทานั้น ทีนี้ก็ลองดูอีกอยางหนึ่งในการแขงขัน ไมวาจะเปนการแขงขันชนิดใด ยกตัวอยางเชน วิ่งแขง บาง คนก็วิ่งไดเร็ว แตวาความทนทานนอย คือไม อดทน เปนลมเสียกอน วิ่งไดเร็วแตไมทน คนที่วิ่งไปอยาง ชาๆ ทีแรกก็ ดูเหมือนถูกทิ้งระยะไป คือถูกผูอื่นนําไป ตัวก็อยูขางหลัง แตก็รักษาระยะตลอดเวลา สม่ําเสมอ นั่นแหละจะชนะ คือตองอาศัยความทนทาน นอกจากจะเร็วดวยและทนทานดวย ก็จะชนะใน การแขง เคยเห็นเขาชกมวยกัน บางคนชกฝมือดี ไหวพริบดี แตขาดความทนทาน ชกไปๆ หมดกําลัง เสียกอน คนที่มีกําลังดีก็ชนะ ตอนผมเด็กๆ เคยเห็นเขาตีไก ไกบางตัวมันตีเกงมาก อีกตัวพอใชได มันยืนหยัดอยูเฉยๆ ไมวิ่งไม หนี อีกตัวก็ตี ตีไปๆ ตัวที่ตีมันวิ่งหนีเสียเอง ไมรูมันคิดอยางไร มันตีเสาหรืออยางไร อีกตัวมันยืนหลับตา ใหตี นี่เรียกวาในการแขงขัน คนที่มีความอดทนหรือทนทาน ยิ่งระยะไกลเทาไหรก็ยิ่งอาศัยความ ทนทานมากเทานั้น ทานลองสังเกตดูคนที่ทํางาน ไดยั่งยืนสม่ําเสมอ ก็ทํามาเปนเวลา 10 ป 20 ป 30 ป 40 ป ทํางานมา 40 ป 50 ปกม็ ี ทํางานอยูอยางเดียว 50 ป บางคน ก็ทําอยูอยางนั้น ไมใชไมมีอุปสรรค ไมใช ไมมีปญหา ไมใชไมมีความรูสึกเสียใจ ไมใชไมมีความรูสึกนอยใจ แตวาอาศัยความอดทน อุปสรรคตางๆ มันก็ผานพนไป แลวก็ไดประสบความสําเร็จในการงานตามสมควรแกงานที่เขาทํา ขอสรุปวา ในการแขงขันก็ดี ในการทํางานก็ดี คุณสมบัติที่สําคัญประการหนึ่งที่ขาดไมไดก็คือ ความอดทนหรือความทนทาน ถาขาดอันนี้ เสียแลว เราจะแพเรื่อยไป ฉะนั้นก็ใชขันติคือความอดทน มี คุณคา แตวาเราตองอดทนดวยสติปญญานะครับ ถาขาดสติปญญา ก็อดทนไมไดประโยชนอะไร มันตอง 25 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ใชปญญาไตรตรองดูแลว วาความอดทนนี้มีคุณคามีประโยชน นํามาซึ่งประโยชนทั้งแกตนแกผูอื่น สามารถยังประโยชนใหสําเร็จทั้งแกตนและแกผูอื่น อันนี้เราก็ควรจะอดทน มีพระพุทธภาษิตมากมายที่แสดงถึงคุณคาของความอดทนผมจะกลาวบางเล็กนอย สีลสมาธิคุณานํ ขนฺติปธานการณํ ขันติ คือ ความอดทน เปนประธานของคุณทั้งหลาย คือ ศีลและ สมาธิ สพฺเพป กุสลา ธมฺมา ขนฺตยาเยว วฑฺฒนฺติ เต กุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวงยอมเจริญเพราะขันติ คือ ความอดทน เกวลานํป ปาปานํ ขนฺติ มูลํ นิกนฺตติ ขันติ คือ ความอดทนยอมตัดเสียไดซึ่งมูลรากของบาปทั้งปวง กลหครหาทีนํ มูลํ ขนติ ขนฺติโก ผูมีความ อดทนยอมขุดเสียไดซึ่งเหตุรายทั้งหลาย มีการติเตียน และการทะเลาะวิวาท เปนตน ขนฺติ ธีรสฺสลงฺกาโร ขันติเปนอลังการ เครื่องประดับของนักปราชญ ขนฺติ ตโป ตปสฺสิโน ขันติเปนตบะของผูบําเพ็ญตบะ ขนฺติ พลํ ว ยตีนํ ขันติเปนกําลังของนักพรตทั้งหลาย ขนฺติ หิตสุขาวหา ขันตินําประโยชนสุขมาให ขนฺติโก เมตฺตวา ลาภี ยสสฺสี สุขสีลวา ผูมีความอดทน เปนผูมีเมตตา อันนี้ก็เปนธรรมคูแฝดเหมือนกัน ความอดทน กับความเมตตา ผูมีความอดทน มีเมตตา ยอมมีลาภ มียศ มีปกติอยูเปนสุข ปโย เทวมนุสฺสานํ เปนที่รักของเทวดาและมนุษย มนาโป โหติ ขนฺติโก ผูมคี วามอดทนยอมเปนที่รักที่พอใจของเทวดาและมนุษย อตฺตโนป ปเรสฺจ อตฺถาวโห ว ขนฺติโก ผูมีความอดทนยอมนําประโยชนมาใหทั้งแกตนและแก ผูอื่น สคฺคโมกฺขคมํ มคฺคํ อารุฬฺโห โหติ ขนฺติโก ผูมีความอดทนยอมขึ้นสูทางอันนําไปสูสวรรคและ นิพพาน สตฺถุโน วจฺจโนวาทํ กโรติเยว ขนฺติโก ผูมีความอดทนชื่อวาไดทําตามพระโอวาทของพระศาสดา ปรมาย จ ปูชาย ชินํ ปูเชติ ขนฺติโก ผูมคี วามอดทนชื่อวาไดบูชา พระชินะ คือ พระพุทธเจาดวยการ บูชาอยางยิ่ง 26 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
นี่ก็เปนชวงหนึ่งของการพรรณนาอานิสงสของความอดทน เชน กลหครหาทีนํ มูลํ ขนติ ขนฺติโก ผูมีความอดทนยอมขุดเสียไดซึ่งมูลราก แหงการติเตียนและการทะเลาะวิวาท ทานสังเกตดูวาในสังคม ของเรามีบอยๆ ที่ติเตียนกันไปติเตียนกันมา แลวก็ทะเลาะวิวาทกัน เพราะความไมอดทน บางทีไปนั่งกินขาวรานเดียวกัน มองหนากันคนละทีสองที ก็ชักปนมายิงกัน หรือเอาขวดตีกัน สายตาไมกินกันและไมอดทน ไมมีเมตตา ทะเลาะวิวาทกัน ถาคนมีความอดทน มีความเมตตา มันก็ตัดมูล รากของ สิ่งเหลานั้นเสียได ไมมีปญหา สวนมากคนที่เปนนักเลงซึ่งไมมีความอดทนนั้นเอง ก็จะไปเจอ นักเลง นักเลงสื่อนักเลง ถาเราเปนคนดี ก็มักจะไปเจอคนดี อีกขอหนึ่งที่วา ความอดทนเปนอลังการหรือเปนเครื่องประดับของนักปราชญ นักปราชญอาจเปน พระหรือฆราวาสก็ตาม มีความอดทนเปนเครื่องประดับ ถาขาดความอดทนเสียแลว แปลวา ขาด เครื่องประดับ ไมมีเครื่องประดับ และยังจะเปนตบะของผูบําเพ็ญตบะ อยางนักพรตบําเพ็ญตบะ ก็ตองเอา ความอดทนนั้นแหละเปนตบะ ตองหนาวรอน หิวกระหาย ตองเจ็บปวด เจ็บปวย อารมณตางๆ ที่มา ยั่วยวนใหเขาออกไปนอกทาง ฉะนั้น อาศัยขันติเปนกําลังนักพรต แลวก็จะนําประโยชนสุขมาใหแกผู บําเพ็ญ มีขันติ มีเมตตา ก็ทําใหไดลาภ ไดยศ อยูเปนสุข เปนที่รักของ เทวดาและมนุษยทั้งหลาย ซึ่งเปนที่ ตองการของใครตอใคร โดยที่สุดก็จะนําไปสูทางที่จะนําไปสูสวรรคและนิพพาน ไดชื่อวาบูชาพระศาสดาดวยการบูชา อยางยิ่ง บูชาดวยความอดทน เอาความอดทนเปนเครื่องบูชาพระศาสดา ซึ่งพระพุทธเจาก็ทรงยกยองเรื่อง นี้ 5. ปริวัชชนะ ประการที่ 5 ปริวัชชนะ เวนสิ่งที่ควรเวน ในชั้นพระพุทธพจน คือในพระไตรปฎกไดพูดถึงเรื่องการเวนอโคจร คือ ไมไปในที่ไมควรไป แลวเวนบุคคลที่ไมควรคบ ในที่นี้ขอกลาวเฉพาะภิกษุกอน 27 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ตอไปนี้จากหนังสือวินัยมุข เลม 2 ตอนที่วาดวยเรื่องอโคจร พระนิพนธในสมเด็จพระมหาสมณ เจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระองคทานไดทรงพระนิพนธ ไวอยางนี้ บุคคลก็ดี สถานที่ก็ดี อันภิกษุไมควรไปสู เรียกวา อโคจร ทานแสดงไว 6 ประเภท คือ หญิง แพศยา 1 หญิงมาย 1 สาวเทื้อ 1 ภิกษุณี 1 บัณเฑาะก 1 รานสุรา 1 อันนี้เปนอโคจร 6 ทานอธิบายไววา หญิงแพศยานั้นหมายเอาหญิงหากินในทางกาม ทุกชนิด แสดงอาการเปดเผยก็ดี แสดงอาการซอนเรนก็ดี อยูเปนโสดตามลําพัง ตนก็ดี อยูในหมูก ็ดี นับเขาในชื่อหญิงแพศยาทั้งนั้น คือ โสเภณีในปจจุบันนะครับ ภิกษุชอบพอไปมาหาสูกันเนืองๆ กับหญิงแพศยายอมเปนที่รังเกียจของสหธรรมิกดวยกัน (คือ ผู ประพฤติธรรมรวมกันนะครับ) ทั้งหญิงแพศยายอมจะจูงไปสูอํานาจ ดังมีเรื่องเลาถึงพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อ สุนทรสมุทร เปนบุตรของสกุลผูมั่งคั่ง มีศรัทธาออกบวช ทั้งยินดีใน พรหมจรรย มารดาบิดาหาอุบายจะ ใหลาพรหมจรรยไมสําเร็จ หญิงแพศยาคนหนึ่งรับอาสา ตามไปตั้งสํานักอยูในเมืองที่พระเถระอยู ในเวลาแรกคอยถวายบิณฑบาตในเวลาที่ พระเถระออกภิกขาจาร พอคุนกันเขาโดยฐานไดรับ บาตรอยูเนืองๆ คราวนี้นิมนตใหฉันที่เรือน แตแรกก็ใหฉันในที่เปดเผย ตอมาหญิงนั้นหาอุบายใหเด็กมาเลนบาง ทํารกบาง พออางเปนเหตุ ใหพระเถระเขาไปฉันในหอง เรือน แสดงอาการสนิทสนมเขาทุกที ยั่วยวนพระเถระในทางกาม จนทานรูสึกตัว จึงไดหลีกไปเสีย ทาน เปนผูมีสติ และมั่นอยูในธรรมของภิกษุ จึงเอาตัวรอด แตวามีภิกษุที่เอาตัวไมรอดเยอะเหมือนกัน คือ ถูกเขาทํานองพระสุนทรสมุทรนี้ แตสติไมมั่น พอที่จะอยูในธรรมของภิกษุ และก็เอาตัวไมรอด ตองเปนปาราชิก ไปก็มไี มนอย สมเด็จฯ ไดทรงพระนิพนธตอไปวา แตมิใชวาทานสาปหญิงประเภทนี้เสียทีเดียว จะรับนิมนตไปเปนกิจจะลักษณะได มีภิกษุรับ นิมนตแลว ไปทําภัตกิจที่เรือนของนางสิริมาเปนตัวอยาง แตควรตั้งสติระวังมิใหเสียสังวร 28 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
เรื่องทํานองนี้ ทานอาจารยพุทธทาสไดเขียนไวเหมือนกันในหนังสือ "ตามรอยพระอรหันต" ที่วา ดวยอินทรียสังวร สําหรับพระภิกษุทานก็แนะนําวา ถาเลี่ยงไดก็ควรเลี่ยง คือ อยากลาเผชิญหนากับ อารมณที่คิดวาอาจจะพายแพได ถาเลี่ยงไมไดก็ตองมีสติมั่นอยูในธรรมของภิกษุจริงๆ จึงจะเอาตัวรอดได ตอไปพูดถึงหญิงมาย เปนอโคจรสําหรับภิกษุอยางหนึ่งเหมือนกัน หญิงมายนั้นทานหมายเอาทั้ง หญิงที่สามีราง หยาขาดจากกัน หญิงเทื้อ หมายเอาหญิงโสด หาสามีไมได อยูลําพังตน ภิกษุคบหาสนิทสนมกับหญิง 2 ประเภทนี้ คือ หญิงมาย หรือหญิงเทื้อ หญิงโสด ไปมาหาสูไมเปน กิจจะลักษณะ หรือผิดเวลา ยอมจะเปน ที่รังเกียจของสหธรรมิกดวยกัน ทั้งลอแหลมตออันตรายแหง พรหมจรรยดวย แตมิใชวาจะเปนคนไมควรคบเสียเลย จะรูจักหรือไปมาหาสูกัน โดยเปนกิจจะลักษณะได อยู แมจะรับบํารุงของเขาก็ได แตควรประพฤติพอดีพองาม ดังภิกษุรูปหนึ่งที่ไปพํานักอยู ณ บานมาสิกคาม แควนโกศล ไดรูจักกันกับมารดาของนายบาน และไดรับบํารุงของเขา ไดความสะดวก บําเพ็ญสมณธรรมจนสําเร็จ คบกันแตพอดีพองาม เชนนี้ไมมี โทษ กลาวถึงภิกษุณี เปนอโคจรอยางหนึ่งของภิกษุเหมือนกัน เปนพรหมจาริณี คือ ผูที่ประพฤติ พรหมจรรยดวยกัน จัดวาเปนหญิงโสด แมเปน สหธรรมิกดวยกัน ก็ยังสมควรจะคบกันแตพอดีพองาม พระศาสดาไดทรงบัญญัตสิ ิกขาบท เนื่องดวยการคบภิกษุณีไวหลายมาตรา ก็เพื่อจะไดตั้งอยูในความ พอประมาณนั่นเอง บัณเฑาะก หมายถึง บุรุษที่เขาตอนเสียแลว ไดยินวาในราชสํานักแหงประเทศจีนและประเทศตุรกี ในกาลกอนแตนี้ ไดใชพวกบัณเฑาะกชนิดนี้เปนคนเขาขางในออกขางนอกได ภาษาไทยที่เปนคําพังเพย – เขานอกออกใน
29 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ในเมืองจีนเรียกวา ขันที พวกบัณเฑาะกนี้เปนที่สวาทในหมูบุรุษจึงเปนที่รังเกียจของภิกษุ พึงเห็น ในสิกขาบทสังฆาทิเสส เนื่องดวยหญิง คงจัดบัณเฑาะกเปนวัตถุแหงถุลลัจจัย คือ รองลงมาจาก สังฆาทิเสส ในลําดับรองลงมาจากสังฆาทิเสส ภิกษุผูคบหาสนิทสนมกับบัณเฑาะกยอมเปนที่รังเกียจของ สหธรรมิก ดวยกันในทางเลนสวาท รานสุรา คือ ที่ขายสุรา เปนที่อโคจร แมโรงกลั่นสุรา ก็นับเขาในชื่อนี้ ภิกษุเขาไปในรานสุรา เขา คงเขาใจวามีความตองการดื่ม อันการดื่มสุรายอมเปนอุปกิเลสหรือมลทินของสมณะ ยอมจะเปนที่รังเกียจ ของผูที่ไดเห็นหรือไดยิน รานฝน โรงฝน อันเปนของเกิดขึ้นในภายหลัง สงเคราะหเขาในสถานนี้ เปน อโคจรของภิกษุเหมือนกัน ภิกษุผูไปสูบุคคล ก็ดี สถานที่ก็ดี ดังกลาวแลว ดวยอาการไมดีไมงาม เปนที่ รังเกียจ ไดชื่อวา โคจรวิปนโน แปลวา มีโคจรวิบัติ โคจร คือ สถานที่ไปวิบัติ ภิกษุผูเวนอโคจร 6 นี้ ไปหาใครหรือจะไป ที่ไหน เลือกบุคคล เลือกสถานที่อันสมควร ไปเปน กิจจะลักษณะ เวลาอันควรไมไปพร่ําเพรื่อ กลับในเวลา ประพฤติตนไมใหเปนที่รังเกียจของสหธรรมิก เพราะการไปเที่ยว ไดชื่อวา โคจรสัมปนโน แปลวา ถึงพรอมดวยโคจร เปนหลักคูกับมารยาท ในสีลนิท เทส คือ หัวขอที่อธิบายเรื่องศีล รวมเรียกวา อาจารโคจรสัมปนโน แปลวา ผูถ ึงพรอมดวยมรรยาทและ โคจร เปนคูกับ คุณบทวา สีลสัมปนโน ผูถึงพรอมดวยศีล สมบูรณดวยศีล ภิกษุผูถึงพรอมดวยศีล ถึง พรอมดวยมารยาทและโคจร ยอมประดับพระศาสนาใหรุงเรือง อันนี้เปนพระนิพนธในสมเด็จพระมหา สมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เรื่องอโคจร ปรากฏในวินัยมุข เลม 2 กัณฑที่ 22 นี่สําหรับ ปริวัชชนะ การเวนสถานที่ที่ควรเวน บุคคลที่ควรเวนสําหรับภิกษุ สําหรับฆราวาสทั่วไป อโคจรของฆราวาส คือ สถานที่ที่ไมควรไปและบุคคลที่ไมควรคบ สถานที่ ที่ไมควรไป เชนวา รานสุรา หรือโรงสุรา โรงฝน สถานการพนัน สํานักโสเภณี ทานดูอบายมุข 4 อบายมุข 6 ก็ได สถานที่สําหรับคนเที่ยวกลางคืน สถานที่กอใหเกิดอันตรายและปญหามาก สิ้นเปลืองเงิน ทอง สถานที่ เลนการพนัน มีอบายมุขทุกประการก็เปนสถานที่อโคจรของฆราวาส
30 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
สําหรับบุคคลที่เปนอโคจร ก็คือบุคคลที่ไมควรคบ ก็คือคนชั่ว หรือมิตรชัว่ ซึ่งเปนอบายมุขขอ หนึ่งในอบายมุข 6 คือ การคบมิตรชั่ว เปนอบายมุข ควรละเวน สําหรับคนที่ไมควรคบ พระพุทธเจาก็ทรงแสดงไวหลายจําพวก ดูจากพระไตรปฎกวา พระพุทธเจาตรัสอะไรไวบางเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ขอพูดเปนตอนๆ ไปนะครับ บุคคล 3 จําพวก มีดังตอไปนี้ 1. เปนผูมีจิตเหมือนแผล อรุกูปมจิตฺโต 2. บุคคลผูมีจิตเหมือนสายฟา วิชฺชูปมจิตฺโต 3. บุคคลผูมีจิตเหมือนเพชร วชิรูปมจิตฺโต พวกที่ 1 หมายถึง ผูมีจิตมักโกรธ เต็มไปดวยความคับแคน ใครวากลาวนิดหนอยก็โกรธ กระทบกระทั่งไมได คลายบุคคลที่เปนแผลมากอน เนื้อเปนแผลถูกไมหรือกระเบื้องกระทบกระแทกเพียง เล็กนอย ก็เจ็บมาก บุคคลที่มีจิตเปรียบเหมือนเปนแผล พวกที่ 2 ทรงหมายถึงบุคคลผูรูอริยสัจตามความเปนจริง คลายสายฟาที่แลบเพียงแวบเดียวใน ภาวะอันธกาล ทําใหเห็นรูปได สายฟาแวบเดียว ก็ทําใหเห็นอะไรไดเยอะเลย พวกที่ 3 ทรงหมายถึงบุคคลผูทําใหแจงซึ่งเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ หาอาสวะมิได เจโตวิมุตติ คือ หลุดพนดวยกําลังญาณ และก็มาตอวิปสสนา ทําใหเกิดปญญาวิมุตติ ก็แปลวา ได 2 อยาง คือ ไดทั้งเจโต วิมุตติและปญญาวิมุตติ คือ สิ้นกิเลส และก็เปน อุภโตภาควิมุตติ เปนผูหลุดพนโดยสวนทั้ง 2 คือ ทั้งเจโต วิมุตติและปญญาวิมุตติ บุคคลอีก 3 จําพวก มีดังนี้ 1. บุคคลที่ไมควรคบ ไมควรเขาใกล 2. บุคคลที่ควรคบ ควรเขาใกล 3. บุคคลที่ควรเขาใกล ควรคบ และควรเคารพสักการะ
31 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
พวกที่ 1 หมายถึง บุคคลผูเลวกวาเราทั้งโดยศีล ทัง้ โดยสมาธิ ทั้งโดยปญญา แตทรงมีขอยกเวนอยู อยางหนึ่งวา หากจะคบหรือเขาใกล ก็ดวยจุดมุงหมายที่จะอนุเคราะหเขา เอ็นดูเขา เพื่อชักนําใหเขามีศีล สมาธิ และปญญา ดีขึ้นอันนี้ทรงอนุญาตใหคบได พวกที่ 2 หมายถึง บุคคลผูเสมอกับเราทั้งโดยศีล สมาธิ และปญญา ทรงอธิบายวาทั้งนี้เพื่อจักได สนทนากันดวยเรื่องศีล สมาธิ และปญญา พวกที่ 3 หมายถึง บุคคลที่ยิ่งกวาเราโดยศีล สมาธิ และปญญา คบบุคคลเชนนั้นไวเพื่อจะยังศีล สมาธิ และปญญา ที่ยังไมสมบูรณใหสมบูรณ พระพุทธเจาตรัสเรื่องนี้เอาไวในตอนทายของพุทธพจนวา บุคคลคบคนเลวก็จะเลวลง คบคนเสมอกันก็ไมเสื่อม คบคนประเสริฐกวายอมดีขึ้นโดยพลัน ฉะนั้นผูมี ปญญาพึงคบคนที่ยิ่งกวาตนโดยคุณธรรม ชุดที่ 3 บุคคลอีก 3 จําพวก มีดังนี้ 1. บุคคลที่ควรรังเกียจไมควรคบ ไมควรเขาใกล 2. บุคคลที่ควรวางเฉยไมควรคบ ไมควรเขาใกล 3. บุคคลที่ควรคบ ควรเขาใกล พวกที่ 1 หมายถึง บุคคลทุศีล มีธรรมอันทราม มีกรรมที่ตองปกปด ถาหากคบบุคคลเชนนั้นเขา อาจไดรับตัวอยางไมดี หรือมิฉะนั้นก็จะมี ชื่อเสียงฟุงไปวามีมิตรเลวหรือสหายเลว เปรียบเหมือนงูที่ตก ลงไปในหลุมคูถ เมื่อใครจับเขาก็อาจจะกัดผูนั้นถึงตาย หากไมกัด มือของผูนั้นก็ตองเปอน คูถอยาง แนนอน พวกที่ 2 หมายถึง ผูมักโกรธ มากไปดวยความคับแคน ใครคบเขาก็เดือดรอนมาก เหมือนเอาไม สั้นไปตีหลุมอุจจาระหรือหลุมคูถก็กระเด็นถูกคนตี พวกที่ 3 หมายถึง บุคคลผูมีศีลดี มีธรรมงาม ใครคบเขายอมจะไดตัวอยางที่ดี หากมิไดดําเนินตาม ตัวอยางที่ดีนั้น ก็ยังมีชื่อเสียงอันดีฟุงวามีมิตรดี มีสหายดี
32 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
นี่เปนบุคคลที่ควรคบหรือไมควรคบอยางใด เปนปริวัชชนะ หรือควรจะเขาไปคบหาสมาคม ก็มี บุคคลบางพวกที่พระพุทธเจาตรัสวา บุคคลที่ควรเขาใกล ควรคบ และควรเคารพสักการะดวย ซึ่งทรง หมายถึงบุคคลที่มีศีล มีสมาธิ และมีปญญาดี เมื่อคบแลวก็ทําใหศีล สมาธิ และปญญา หรือคุณธรรมตางๆ ของเราดีขึ้น บุคคลอยางนี้ก็เปนบุคคลที่ควรคบ เปนโคจร ไมใชเปนอโคจร สําหรับเราควรเขาไปหาดวย ความเคารพนับถือ เชื่อฟง ทําใหไดอะไรเยอะเลย ทําใหไดในสิ่งที่ไมคิดวาจะได จากการที่ไดคบคนดี เวน คนชั่ว ในมงคลทานก็หามไมใหคบคนชั่ว ใหคบคนดี บูชาคนที่ควรบูชาตั้งแตชุดแรกของมงคล 38 ประการ 3 อยางนั้นถือวาเปนมงคลอันสูงสุด ฉะนั้นก็ปริวัชชนะคือการเวนสถานที่หรือ สิ่งที่ควรเวน ไปในสถานที่ที่ควรไป และบุคคลที่ควร คบหา สมาคม ตามที่กลาวมานี้ก็เปนขอหนึ่งใน 7 ขอ ที่จะเปนเหตุใหมีอาสวะนอยลง เปนไปเพื่อการละ อาสวะ เปนอุบายในการพัฒนาจิตหรือวิญญาณไปสูความบริสุทธิ์ 6. วิโนทนะ ประการที่ 6 วิโนทนะ แปลวา บรรเทา คําวา บรรเทา ในที่นี้ พระพุทธองคไดทรงอธิบายวาหมายถึง การบรรเทาวิตก 3 ตอไปนี้ 1. กามวิตก ความตรึกในเรื่องกาม 2. พยาบาทวิตก ตรึกในเรื่องพยาบาท 3. วิหิงสาวิตก ตรึกในเรือ่ งการเบียดเบียน ใหบรรเทาความตรึกหรืออกุศลวิตกเหลานี้เสีย เพื่อความบริสุทธิ์ แหงจิต ขอ 1 การบรรเทากามวิตก กามวิตก คือ ความตรึกเรื่องกาม คําวากามในภาษาธรรมะมี ขอบเขตกวางกวาภาษาชาวบาน ทั่วไป ภาษาชาวบานพอพูดถึงเรื่องกามก็มักจะนึกถึงเรื่องทางเพศ เปน Sexsual desire ความตองการหรือ ความเพลิดเพลินในทางเพศ แตคําวากามในความหมายทางธรรมะมี ความหมายกวางกวานั้นมาก คือ มี ความหมายไปถึงสิ่งที่นาใคร นาปรารถนา ทั้งปวงในโลก ซึ่งปรากฏในทางสื่อ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ลวนแตเปนกาม อิฏฐา ตัณหา มนาปา นาปรารถนา นาใคร นาพอใจ รูปา สัทธา คันธา รสา โผฏฐัพพา รูป 33 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่นาใคร นาปรารถนา นาพอใจ อันใดในโลก อันนั้นคือกาม ซึ่งโดยทั่วไปก็จะ กลาวไว 2 อยาง คือ 1. วัตถุกาม หรือกามวัตถุ หรือที่ตั้งแหงกาม วัตถุกาม ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่นา ปรารถนา นาใคร นาพอใจ 2. กิเลสกาม คือ ตัวความใครนั่นเอง ซึ่งอยูที่ใจ อยูภายในใจอันนั้นเรียกกิเลสกามหรือกามกิเลส กามที่เปนตัวกิเลส วัตถุกามนั้นเปนสื่อใหเกิด มันไมใชตวั กิเลสโดยตรง แตเปนสื่อใหเกิดกิเลสกามขึ้นมา ทานสอนใหบรรเทากามวิตก ความตรึกเรื่องกาม คือโดยปกติจิตใจ ของคนมันก็จะเปนไปในสิ่งที่ นาใคร ที่พระพุทธเจาตรัสวา ยตฺถ กามนิปาตินํ มักจะตกไป ในอารมณที่นาใคร เมื่อเปนอยางนั้น ถาเผื่อ ไมตองการ ก็บรรเทา มีวิธีการมากมายที่จะบรรเทา เชน พิจารณาถึงโทษของมัน สิ่งใดที่ใหความสุข ความรื่นรมยกับเราได มันก็ใหความทุกขโทมนัสกับเราไดเหมือนกัน สุขโสมนัสอันใดเกิดจากกาม อัน นั้นเรียกวา คุณของกาม ทุกขโทมนัสอันใดเกิดจากกาม อันนั้นก็เปนโทษของกาม ใหมองเห็นทั้งดานคุณ และดานโทษ การที่จะบรรเทาใหเบาบางลงไปก็จะทําไดงาย เมื่อพิจารณาเห็นโทษก็จะทําไดงาย สวนมาก คนเรามักมองดานเดียว ถาเห็นอะไรเปนคุณก็มองแตดานคุณ ไมมองดานโทษ ถามองอะไรเปนโทษ ก็ มองแตดานโทษ ไมมองดานคุณของมัน ที่จริงสิ่งในโลกนี้มันมีทั้งคุณและโทษปะปนกันอยู แลวแตเราจะ มองในดานใด มองในคุณก็มีคุณอยู มองในดานโทษก็มีโทษอยู เคยคุยกับเด็กนักศึกษาวัยรุนเกี่ยวกับความรัก เพราะเด็กในวัยนั้นมักจะหมกมุนอยูกับความรัก ไมใชนอยทีเดียว แมจะศึกษาเลาเรียน แต จิตใจเขาแวะเวียนไป หรือตกไปในเรื่องของความรักความ ใครอยูเสมอ เมื่อเขามาปรึกษาในเวลาที่ผิดหวังก็บอกวาใหนึกถึงโทษวา นี่คือโทษที่ปรากฏชัดเจนอยูแลว ทําไมไมพิจารณา ทําไมจึงไปมองทางอื่นเสีย นี่เห็นชัดๆ อยูแลว คือวาบางคราวเขาก็ใหความสุขแกเรา บางคราว เขาก็ใหความทุกขแกเรา ใหความกังวลแกเรา อะไรทํานองนี้ ก็แนะนําไป ใหทําบัญชีดูวาสวนดีมีเทาไหร สวนที่เปนโทษมีเทาไหร ทีนี้ถาเผื่อมันเทากัน อะไรก็เจากันไป เมื่อไดคบหาสมาคมกัน ก็ไดประโยชนตอกันไป ถาตองพลัดพรากจากกันไป สวนที่เปน โทษก็หายไปดวย สวนที่เปนคุณมันก็หายไป เขาเศราโศกเสียใจ เพราะมองแตที่เปนคุณ แตวาสวนที่เปน โทษก็มีอยู เมื่อหายไปก็หายไปทั้ง 2 สวน คือ ทั้งสวนที่เปนคุณและสวนที่เปนโทษ ถามองเห็นทั้ง 2 สวน แบบนี้ เราก็สามารถที่จะ positive thinking ได คือ คิดไปในทางบวกไดตลอดเวลาวา เออ มันก็ดี 34 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
เหมือนกัน ทํานองนั้น อะไรเกิดขึ้นในชีวิต เราก็มองสวนดีได จิตใจก็จะสบาย คือ ปรับใจไดเร็ว บางคนก็ พูดถึงวา remote control คือ สามารถจะเปลี่ยนชองไดตามที่ตองการ ขอเลาเรื่องที่พระพุทธเจาตรัสเรื่องเหลานี้สักหนอย พระพุทธเจาตรัสเรื่องกามวิตกหรือกามคุณ คราวหนึ่ง พระพุทธเจาประทับอยูที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี พวกภิกษุเขาไปบิณฑบาตในเมืองสา วัตถีแตเชา เมื่อยังเชาอยูจึงแวะเขาไปในอาราม ของปริพาชกเพื่อสนทนาดวย หรือวาเพื่อรอเวลาอัน สมควรในการไปบิณฑบาต เมื่อสนทนาปราศรัยถามทุกขสุขพอสมควรแลว พวกปริพาชกไดกลาววา พระสมณโคดม คือหมายถึงพระพุทธเจา ตรัสการกําหนดรูรูป กําหนดรูกาม กําหนดรูเวทนา พวก เราก็กลาวเชนนั้นเหมือนกัน อะไรคือขอแตกตางระหวางของเรากับของพระสมณโคดม คําวา กําหนดรู ในที่นี้หมายถึง การทําความเขาใจอยางถูกตอง เชน ทําความเขาใจในเรื่องโทษของ กาม เปนตน ภิกษุเหลานั้นไมโตตอบดวยกับปริพาชกเหลานั้น คิดวาจะกลับไปถามพระศาสดาดีกวา เมื่อกลับ จากบิณฑบาตแลวจึงทูลถามพระศาสดาในเรื่องนี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา พวกเธอควรจะถามปริพาชกเหลานั้นวา อะไรเปนคุณ อะไรเปนโทษ ของกาม อะไรเปนคุณ อะไรเปนโทษของรูป ของเวทนา แลวก็จะถายถอนตนออกจากสิ่งเหลานั้นได อยางไร คือวาทําอยางไรจึงไมติดไมยึดมั่นกับสิ่งเหลานั้น พระพุทธเจาตรัสกับภิกษุทั้งหลายวา เมื่อถามอยางนี้พวกปริพาชกจะตองอึดอัดคับแคนแนนอน ตอบไมได เพราะวาไมใชวิสัยของพวกเขาที่จะตอบได แมใครๆ ในโลกก็ตอบไมได นอกจากพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต หรือผูที่ไดยินไดฟงจากทั้ง 2 แหลงนี้เทานั้น ตอจากนั้นก็ทรงแสดงคุณและโทษของกาม รูป และเวทนา พรอมทั้งการถายถอนตนออก อุบาย วิธีในการสลัดตนออก มีใจความสําคัญ ดังนี้ 35 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
กาม กามคุณ คือ กลุมกาม ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือสิ่งสัมผัสอันนาใครนา ปรารถนา นาพอใจ เปนที่ตั้งแหงความกําหนัด สุขโสมนัสอันใดเกิดเพราะอาศัยกามคุณ 5 สุขโสมนัสอัน นั้นแหละเปนคุณของกาม ทานใชคําวา กามัสสาทะ หรือรสของกามคุณ อันนั้นแหละเปนคุณของกาม อัน นี้ขอใหทานผูฟงกําหนดใหดีนะครับ สวนโทษของกาม ที่เรียกวา กามาทีนวะ นั้น ทรงแสดงไวมาก แตเมื่อกลาวโดยสรุปก็คอื วา ทุกข โทมนัสอันใดเกิดจากกาม เกิดเพราะกามเปนเหตุ นั้นถือวาเปนโทษของกาม ทุกข คือ ทุกขทางกาย โทมนัส คือ ทุกขทางใจ สุข คือ สุขทางกาย โสมนัส คือ สุขทางใจ สุขนี่ถา มาโดดๆ ไมมีโสมนัสตามมาดวย ใหหมายถึงสุขทั้งทางกายทางใจ แตถามีโสมนัสตามมาดวย สุขนั้น หมายถึง สุขทางกาย โสมนัส หมายถึง สุขทางใจ ทุกขก็เหมือนกัน ถามาโดดๆ ไมมีโทมนัสตามมาดวย ทุกขนั้นใหหมายถึง ทุกขทางกายและใจ แตถามีโทมนัส ตามมาดวย ทุกขใหหมายถึง ทุกขกาย โทมนัส หมายถึง ทุกขใจ ฉะนั้น ทุกขโทมนัสอันใดเกิดขึ้นเพราะกาม อันนั้นถือวาเปนโทษของกาม เชน ตองตรากตรํา ทํางานหนัก เพราะทนตอเหลือบยุง ลมแดด สัตวเลื้อยคลานเปนกองทุกขที่เห็นอยูอยางชัดแจง นี่เพราะ กรรมเปนเหตุ ถางานที่ทํานั้นไมไดผลสําเร็จตามที่หวังไว บุคคลก็ยอมจะเศราโศก ลําบาก คร่ําครวญรําพันวา ความเพียรของเราสูญเปลา ดังที่พระพุทธเจาเคยไปโปรดพราหมณคนหนึ่งที่นาลม คือ ทํางานดวยความ บากบั่นพากเพียร ตั้งแตเตรียมดิน เตรียมพันธุขาว ไถ คราด หวาน ดํา ขาวกลาก็เจริญ เติบโตพอสมควร แลว เกิดน้ําหลากนาลมหมดเลย รองไหคร่ําครวญเสียดายมาก พระพุทธเจาก็เสด็จไปเยี่ยม ตรัสปลอบใจ เพราะวาเสด็จไปทําความ คุนเคยตั้งแตเขาเริ่มทํานาแลว ทรงทราบวาตอไปขางหนาจะเปนอยางไร ทรง ปลอบใหเขาหายโศก ในอาชีพอื่นๆ ก็เหมือนกัน ไมใชเฉพาะทํานา อาชีพอื่นๆ ก็ลงทุน ไปเยอะแยะและก็ลมเหลว พวก เลนหุนลมเหลว กระโดดตึกตายไปก็มี พวกหางรานลงทุนไปมาก มีเหตุการณตางๆ ทําใหผลงานไม บังเกิด หรือวาขาดทุนยอยยับ ตองฆาตัวตายบาง ไปฆาผูอื่นบาง ที่คิดวากลั่นแกลงใหตัวไดรับความ 36 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ลําบาก เหลานี้เปนตน ตองตรากตรําทํางานหนัก บางทีก็เพื่อจะได รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณที่นาพอใจ นักเรียนก็ตองเรียนอยางหนัก ก็เคยถามนักเรียนผูหญิงวา ทําไมตองเรียนหนังสือมากมายขนาดนี้ เขาบอกวาตอไปเพื่อจะไดมีสามีดีๆ บางคนก็บอกวา เพื่อจะไดงานทําดีๆ ถามวา ไดงานทําเพื่ออะไร บอก วาเพื่อจะไดเงินเยอะๆ ถามวา หาเงินไปทําอะไร บอกวาเพื่อไปไดกิน ไปไดซื้อ ไดทํานั่นทํานี่ตามตองการ ก็รวมอยูในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งนั้น สิ่งที่เขาตองการก็รวมอยูในกามคุณหรือกามวัตถุ หรือ วัตถุกามทั้งนั้น ฉะนั้นจึงตองตรากตรําทํางานหนัก เพื่ออานิสงสเปนกามคุณ นักพรตบางพวกในสมัยพระพุทธเจา บําเพ็ญตบะตางๆ พระพุทธเจาทรงถามวาตองการอะไร ก็ บอก วาเพื่อไปเกิดบนสวรรค บนสวรรคมีอะไร ก็มีรูป เสียง กลิ่น รสที่เปนทิพย เอาเปนวาตองการ กามารมณ เปนผล เปนอานิสงสนั่นเอง ที่ตองบําเพ็ญตบะมากมายถึงขนาดนั้น บางทีแมแตชาวบาน แมแตในหมูพระสงฆที่ ทําอะไรตออะไรมากมาย บางคนนะครับไมใช ทั้งหมดก็ เพื่ออานิสงสเปนวัตถุ เพื่อใหไดวัตถุ เพื่อใหไดทรัพยสิน เพื่อใหไดอะไรตางๆ มาสนองความ ตองการ อันนี้ก็มองเห็นชัด มองดวยปญญาจักษุใหดี ก็จะเห็นชัดมาก เมื่อตรากตรําทํางานหนัก ไดทรัพยมาแลวก็เปนทุกขดวยการรักษาไมใหพินาศไปดวยเหตุตางๆ เชนวา โจรปลน ไฟไหม น้ําทวม หรือทายาทอันไมเปนที่รักมาฉกฉวยไป ถาทายาทเปนที่รักก็ไมเปนไร เต็มใจจะใหอยูแลว เรื่องทายาทนี่ก็ยุงๆ เหมือนกัน ถาไมมีสมบัติก็ไมยุง เคยเห็นมาหลายราย พอแมมี สมบัติมาก ลูกมีหลายคนแบงกันแลวก็มักไมเปนที่พอใจของผูที่ไดรับ ถานึกเสียวาทานใหเรามาแตตัว ให แตชีวิตมา ใครอยากไดอะไรอยางอื่นก็เอาไป แตมันก็ทําใจยาก ถาเผื่อมันมี มันลออยูขางหนา คนที่ไมมี ทรัพยสินอะไรของพอแม ก็คงพูดได แตถาพอมีอะไรมายั่วอยูขางหนา มันเปนกามคุณ เปน อิฏฐา กนฺตา มนาปา นาใคร นาพอใจ ทรัพยสินสมบัติตางๆ มากมาย เขาคิดวา เขาไดแลวมันจะสบาย ทํานองนั้น พูด ไปก็ไมสิ้นสุดนะครับ แตวาถาใครทําใจใหสันโดษได มีเทาไหรก็เทานั้น ยินดีเทาที่ได ยินดีตามกําลัง ยินดีตามสมควร ทําใจสันโดษได ก็สงบสบาย ถาไมได ก็เดือดรอนแยงชิงกันไป และตามที่โบราณวา สมบัติผลัดกันชม เราก็ชมอยูไดไมเทาไหร เราก็ทิ้งไวใหคนอื่นชมตอไป ยิ่งมีมากมันก็ยิ่งชมไมหมด ตอง ทิ้งใหคนอื่นชม 37 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
พระพุทธเจาตรัสตอไป เพราะกามเปนเหตุ พระราชาก็ทะเลาะกับ พระราชา มหาอํามาตยก็ทะเลาะ กับมหาอํามาตย เสนาบดีทะเลาะกับเสนาบดี มารดาบิดากับบุตร พี่ชายนองชาย พี่หญิงนองหญิงแกงแยง สิ่งเหลานี้เปนวัตถุกาม การศึกษาของเราสวนมากก็มีอานิสงส มีผลสําเร็จเปนวัตถุ คือ ทําอยางไร มันถึงจะไดวัตถุมาก เรื่องการที่จะทํางานเพื่อพัฒนาจิตใจ ก็ไมคอยมี สวนมากก็จะมุงไปที่ความสําเร็จ ที่ วัตถุวาใครไดมากไดนอยเทาไหร ไมไดวัดความสําเร็จกันที่ความสงบสุข ก็นาเสียดายที่ชีวิตขาดสิ่งสําคัญ ไป เพราะไปตั้งเข็มไวผิด ไปตั้งจิตไวผิด เพราะกามเปนเหตุ มีการเขาสูสงครามดวยการทําลายลางตางๆ ตายบาง บาดเจ็บบาง นี่ก็ดู สงคราม ที่มีอยูในประเทศตางๆ ติมอรตะวันออก มีขาวทุกวัน ไมรูวาเขาตองการอะไร ตองการ ครอบครองดินแดน ดินแดนนั่นมันมีอะไรเขาก็เลยตองการ สมมติวาเรามีเพชรติดตัวอยูมากมาย เราก็ถูกฆา ไมใชเขาฆาเพื่อจะเอาตัวเรา เขาฆาเพื่อจะเอาเพชร ถาไมมีเพชรติดตัว เขาก็ไมรูจะเอาอะไร นอกจากเขาจะโกรธเรา เกลียดเรา นั่นก็คือวัตถุกามนั่นเอง คนก็ ยอมทําทุจริตตางๆ ก็เพื่อวัตถุกาม เขาสูสงคราม ทําลายลางกันดวยอาวุธตางๆ ตายบาง บาดเจ็บบาง มากมาย นับไมไหว เพราะกามเปนเหตุ มนุษยจํานวนมากประพฤติทุจริต ดวยกาย วาจา ใจ เมื่อสิ้นชีพแลวก็เขาถึงนรก มนุษยจํานวนมาก ทุจริตในหนาที่ เพียงเพื่ออยากไดทรัพย อยากไดตําแหนง อยากไดอะไรตออะไร ก็คอรรัปชั่นมากมาย เพียงเพื่อจะไดทรัพย จะไดสิ่งที่นํามาบํารุงบําเรอ คิดดูแลวก็นาสังเวชในความเปนไปในสังคมในชีวิต มนุษย บางพวกก็ร่ํารวยเหลือเกิน เพราะวามีโอกาสมาก แตบางพวกที่นอนอยูตามถนน เที่ยวหากิน ตามกองขยะก็มี ก็คิดดูใหดีวาจะกอบโกยกันไปเทาไหร ถาคิดถึงคนอื่นใหมาก เราก็กอบโกยมากไมได มันละอายที่จะทําอยางนั้น มันนึกถึงเพื่อนมนุษยที่ลําบากอยูมากมาย เราจะมีความสุขอยูบนความทุกข ของผูอื่นอยางไร หรือวาเราจะผูกเปลบนกองไฟไดอยางไร คงทําไมได พระพุทธเจาทรงแสดงตอไปวา การถายถอนกาม ก็คือ การกําจัดการละความพอใจ ความกําหนัด ฉันทะราคะในกามทั้งหลาย ทานผูฟงโปรดขยายคําวากามออกไปใหไกล ใหกวางนะครับ วาหมายถึงสิ่ง ทั้งหลายทั้งปวงที่นาใครนาพอใจ 38 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
สมณพราหมณเหลาใดไมรูคุณและโทษของกาม ไมรูการถายถอนตนออกจากกาม พวกนั้นนะ หรือจะกําหนดรูไดดวยตนเอง หรือวาจะสามารถชักจูงผูอื่นเพื่อกําหนดรูกามทั้งหลายได ยอมเปนไป ไมได สวนสมณ-พราหมณเหลาใดรูคุณและโทษของกาม และรูการถายถอนตนออกจากกาม พวกเขาก็จะ สามารถกําหนดรูกามดวยตนเอง และสามารถชักจูงผูอื่นใหรูเชนนั้นดวย ตอจากนั้น พระพุทธเจาก็ทรงแสดงคุณและโทษของรูป โดยใจความสําคัญวาเมื่ออยูในวัยหนุม สาว บุคคลก็จะมีรูปงามเปนหลัก ความงามเปลงปลั่งนั้นเองเปนคุณของรูป แตตอมาเมื่อความแกชราเขา ครอบงํา อายุ 80 - 90 ป เปนคนแกมากมีซี่โครงคดงอ ถือไมเทากระงกกระเงิ่น เดินไป กระสับกระสาย ฟนหลุด ผมหงอก ศีรษะลาน เนื้อเหี่ยว ตัวตกกระ นี่คือโทษของรูป หรือ 50 - 60 ป ก็เห็น ทุกขของรูปแลว ยิ่งแกมากลงเทาไหร รูปขันธมนั ก็แยลงเทานั้น นามขันธอาจจะดีขึ้น พัฒนาจิต พัฒนา วิญญาณอาจจะดีขึ้น สะอาดขึ้น ผองใสขึ้น แตสิ่งที่ตองแยลงแนๆ ก็คือ รูปขันธ รางกาย บางคนก็แยมาตั้งแตอายุนอยๆ คนพิการก็ไดเห็นโทษของรูปมาแตอายุยังนอย มันมีรสของรูปเล็กๆ นอยๆ แฝงอยู ก็ทําใหติดใจและหลงในรูป ก็ไมไดเห็นโทษของมัน ยิ่งไมได สําเหนียกก็ยิ่งไมเห็นโทษของมัน พยายาม จะหาอะไรมาปกปด มาตกแตง มาทําใหเดือดรอนมากขึ้น วันๆ ก็เดือดรอนอยูกับรูปกาย เปนทาสของมัน เพียงแตไมตองแตงก็ยุงยากอยูแลวทั้งวัน นี่โทษของรูป ตองใหกินใหดื่ม ตองเจ็บตองปวดทั้งวัน ยิ่งอายุมากขึ้นเทาไหร ก็ยิ่งเห็นมากเทานั้น ยิ่งกวานั้น บางคราวเมื่อเจ็บปวยหนักชวยตัวเองไมได นอนซม อุจจาระปสสาวะของตัวเหมือน เด็กออน และตองใหคนอื่นพยุงลุกพยุงนั่ง ตองประคับประคองกัน นี่ก็เปนโทษของรูป วันนี้ก็มีลูกศิษยคนหนึ่งมาเลาใหฟงวา คุณยา อายุ 101 ป ตอนนี้ก็ลําบากมาก รูปขันธลําบาก อายุ มากก็เปนไปตามนั้น มันจะใหดีไมได ตองทรุดโทรมไปตามเรื่องตามราว มันหมดสภาพที่จะใชงาน เหมือนรถยนตหมดสภาพก็แยไปเอง อะไรเปนคุณของเวทนา
39 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
เมื่อใดจิตใจสงบ ปราศจากเรื่องความตรึกของกามหรืออกุศลตางๆ เมื่อนั้นก็ไมคิดทําลายผูอื่น เวลานั้นบุคคลผูนั้นยอมจะเสวยเวทนาอันไมมีความเบียดเบียนเลยทีเดียว นีค่ ือคุณของเวทนา คุณของเวทนามีความไมเบียดเบียนเปนอยางยิ่ง หมายความวาความไมเบียดเบียนเปนความสุข อยางยิ่ง เทียบพระพุทธภาษิตที่วา อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก ความไมเบียดเบียนเปนความสุขในโลก ในพระ สูตรนี้พระพุทธเจาตรัสเปนความสุขในฌาน 4 วาเปนคุณของเวทนา คือ ไดเสวยสุขเวทนา อันเปน ความสุขจากความสงบในฌาน สวนโทษทางเวทนาก็ตรัสวา เวทนาเปนสิ่งไมเที่ยง มีความแปรปรวนเปนธรรมดา นี่ก็คอื โทษของ เวทนา ในที่บางแหงตรัสวา ใหเห็นสุขเวทนาโดยความเปนทุกข ใหเห็นทุกขเวทนาโดยความเปนลูกศร เสียบแทง และใหเห็นอทุกขมสุขเวทนาโดยเปนความ ไมเที่ยง การถายถอนรูปและเวทนา พระพุทธเจาตรัสวาเปนวิธีเดียวกันกับวิธีถายถอนกาม คือ การกําจัดและการละฉันทะในรูปและ เวทนานั้นเสีย คือ เฉยกับมันเสีย เมื่อพิจารณาดูใหดี เรื่องกามเรื่องเวทนาก็เปนเรื่องใหญ มันทําใหมนุษยตองดิ้นรน เรารอน รําพัน เหน็ดเหนื่อย ทุกขยาก ยุงเหยิงนานาประการ วัยหนุมสาวก็เปนวัยที่กําหนัดในกามรุนแรง กามนั้นก็มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เปนเหยื่อลอกอใหเกิดสุขเวทนาเพียงเล็กนอย แลวก็กอใหเกิดทุกขเกิดโทษ มากมายยืดเยื้อ โดยเฉพาะอยางยิ่งผูที่ไมไดกําหนดรูโทษของมัน มองเห็นแตคุณของมันเพียงเล็กนอย เหมือนปลาที่ติดเบ็ด เพราะเห็นแกเหยื่อเล็กนอยที่ติดอยูกับเบ็ด พอติดเบ็ดแลวก็มีความทุกขมากมายจนถึง เสียชีวิต ก็มีปลานอยตัวนักที่ฉลาดกินแตเหยื่อโดยไมกลืนเบ็ดเขาไป คนในโลกนี้ก็เหมือนกัน มีนอ ยคนที่ จะเกี่ยวของกับกามคุณโดยไมเปนทุกข หรือวาเกี่ยวของโดยที่มีทุกขนอยที่สุด คือ เปนผูรูเหมือนปลาที่ ฉลาด ในการนี้ก็ตองใชคุณธรรมคือปญญาเปนหลัก ใชสติ ใชโยนิโสมนสิการเปนเครื่องมือในการ พิจารณา ใชความไมประมาทเปนทางดําเนิน ถายังเกี่ยวของอยูกับกามคุณ ใหเกี่ยวของโดยมีทุกขนอย ที่สุด 40 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ก็เปนอยางนี้ คือ มันมีความสุขเล็กๆ นอยๆ อยู ก็ทําใหคนไมรูโทษของมันเทาไหร ก็เพงเล็งแต เรื่องคุณ ไมดูสวนที่เปนโทษ ก็ใหดทู ั้งสองอยาง คือ สวนที่เปนคุณและสวนที่เปนโทษ นี่คือการบรรเทากามวิตก 7. ภาวนา ภาวนา คือ การอบรม ทานหมายถึง การอบรมโพชฌงค 7 โพชฌงค แปลวา องคธรรมเพื่อการตรัสรู หรือวาองคธรรมเพื่อปญญาที่เรียกวา โพธิ โพชฌะ แปลวา ปญญา พุชฌะ ธาตุเดียวกับพุทธะ มาจาก รากศัพทเดียวกับพุทธะ พุชฌะ โพธิ แลวบวกดวย อังคะ ก็คือ องค ถาเปนบาลีก็จะเปนโพชฌังโค มาเขียนเปนไทยก็คือ โพชฌงค แปลวา องคแหงปญญา องค แหงธรรมที่ใหเกิดปญญา องคแหงธรรมที่นําไปสูโพธิ คือการตรัสรูหรือความรูแจงเห็นจริง โพชฌงคนี่มี คุณลักษณะพิเศษอยูอยางหนึ่ง คือ ในสมัยพุทธกาล มีเถระบางทานที่ทานเจ็บไขไมสบาย แลวก็เมื่อมีผูไปสวดโพชฌงคใหฟงก็ ปรากฏวาหาย บางคราวพระพุทธเจาเองก็ทรงอาพาธ และรับสั่งใหสาวกมาสวดโพชฌงคใหทรงสดับก็ ทรงหายจาก อาพาธ ประวัติของอันนี้ก็เลยเปนธรรมเนียมเปน ประเพณี เปนอะไรอยางหนึ่งในสังคมไทย วา เมื่อคนเจ็บหนักปวยหนักก็มักจะนิมนตพระไปสวดโพชฌงค ก็หายบาง ดีขึ้นบาง ตายบาง ไมแนนอน แตวา พระอรหันตแตโบราณนั้นทานหาย ที่ทานหายก็เพราะวาทานมีคุณธรรมเหลานี้อยูพรอมและทานก็ รูเรื่อง ทีนี้คนธรรมดาฟงก็ไมรูเรื่อง คุณธรรมที่เปนโพชฌงค 7 ประการนั้นก็มีบางไมมีบาง บางคนก็ไม รูจักดวยซ้ําไป เมื่อเปนอยางนี้ การสวดก็เลยไมคอยไดผล เพราะความไมเขาใจไมรู ปติมันไมมี นอกจาก วาบางคนเขาอาจจะนอมใจใหเลื่อมใสในคําสวดนั้น ก็พอไปได ถือเอาคําสวดนั้นเปนอารมณ ถาเผื่อดับ จิตในขณะนั้นก็อาจไปสุคติได หัวขอของโพชฌงคก็คือ สติ ธัมมวิจยะหรือธัมมวิจัย วิริยะความเพียร ปติความอิ่มใจ ปสสัทธิ ความสงบหรือการผอนคลาย สมาธิความ ตั้งใจมั่น หรือจิตใจมั่นคง อุเบกขาความวางเฉย 41 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
โพชฌงค 3 ขอ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปติ เปนปฏิปกษตอความหดหู คือเมื่อใดจิตใจหดหู ก็ใหเจริญ โพชฌงคทั้ง 3 ขอ ธัมมวิจยะ คือ การเลือกเฟนธรรม การใครครวญธรรม วิริยะความเพียร และปติ 3 ขอหลังเปนปฏิปกษตอความฟุงซาน เมื่อใดเกิดความฟุงซานขึ้นมาก็ใหเจริญโพชฌงค 3 ขอหลัง ปสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา สวนสตินั้นเปนอุปการะตอโพชฌงคทุกขอ
42 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
สรุป สรุปหัวขอ สัพพาสวสังวรสูตร สูตรที่วาดวยการละกิเลสละอาสวะดวยวิธีตางๆ 1. การละอาสวะวิธีที่ 1 คือ ละดวยการเห็น ในที่นที้ านหมายถึงเห็นดวยโยนิโสมนิการ คือ ความคิด ที่แยบคาย ละอโยนิโสมนสิการ 2. สังวร หมายถึง การสํารวมระวัง ในที่นี้หมายถึง สํารวมระวังจิต ระวังอินทรียทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมใหรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งที่ถูกตองไดดวยกายและธรรมารมณ สิ่งที่คิดดวย ใจ ครอบงําได ดํารงตนเปนอิสระ จากการครอบงําของ รูป เสียง กลิ่น รส เปนตน เรียกวา สังวร คือ สํารวมอินทรีย 6 3. ละอาสวะดวยการเสพ หมายถึง การพิจารณาปจจัย 4 แลวจึงเสพ หรือบริโภคใชสอย ไม บริโภคใชสอยเพื่อเลนเพื่อเมา แตบริโภคใชสอยปจจัย 4 ตรงตามจุดมุงหมาย คือ ใชอาหาร เสื้อผา เครื่องนุงหม ใชอาหาร บริโภคเพื่อรางกายพออยูได ใชเสื้อผา เครื่องนุงหม เพื่อปกปดรางกายใหดู เรียบรอย ปองกันหนาวรอน บริโภคอาหารเพียงพอไมใหอึดอัด ไมให เวทนาใหมเกิดขึ้น คืออึดอัดและ บรรเทาเวทนาเกาคือหิว พิจารณาเห็นโทษของอาหารที่มากเกินไปอยูเสมอ ใชเสนาสนะที่อยูอาศัย เพื่อปองกันลมแดดเหลือบยุงสัตวเลื้อยคลานตางๆ กินยาเพื่อบําบัดโรค ไมใชเพื่อรางกายสวยงาม เรียกวา เสพปจจัย 4 ดวยเหตุผลบริสุทธิ์จริงๆ เพื่อ ความตองการขั้นพื้นฐาน หรือขั้นปฐมภูมิเปน primary need ไมใชเพื่อความตองการที่เกินจําเปน ที่เปน artifi-cial หรือ secondary need อันนี้เปนกายภาวนา ในภาวนา 4 คือ การอบรมกายใหดี 4. ความอดทน ละอาสวะดวยความอดทน เรียก อธิวาสนะ 3 อยาง 1) อดทนตอความหิวกระหาย อดทนหนาวรอน เรียกธีติขันติ อดทนตอถอยคําตางๆ ของ ผูอื่น 2) อดทนตอสิ่งยั่วยวนตางๆ เรียกวา ตีติกขา ขันติ 3) อดทนตอทุกขเวทนากลาแข็ง ความเจ็บปวย แมจะเบาหรือหนักเพียงไร ก็มีความอดทน 43 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
5. ปริวัชชนะ ละอาสวะดวยการเวน คือเวนสถานที่ที่ไมควรไป เรียกวา อโคจร และเวนบุคคลที่ ไมควรคบ 6. ละอาสวะดวยการบรรเทา ไดแก บรรเทากามวิตก ตรึกเรื่องกาม พยาบาทวิตก ความตรึกใน เรื่องพยาบาท วิหิงสาวิตก ความตรึกในเรื่องการเบียดเบียน 7. ภาวนา ละอาสวะดวยภาวนา คือ การอบรม อบรมโพชฌงค 7 คือ สติ ธรรมวิจัย การวิจัยธรรม วิริยะ ความเพียร ปติ ความอิ่มใจ ปสสัทธิ ความสงบกาย สงบใจ สมาธิ การที่มีจิตใจมั่นคง ตั้งมั่น อุเบกขา ความเฉยในสุขและทุกข เมื่อมีวิธีการทั้ง 7 วิธีนี้อยูก็จะละอาสวะไดดวยวิธีนั้นๆ ตามสมควร จนสามารถจะละอาสวะได จนหมดสิ้น จนเปนผูสิ้นอาสวะ เรียกวา ขีณาสโว หรือพระขีณาสพ นี่คือเรื่องการพัฒนาจิต พัฒนาวิญญาณหรือวิญญาณบริสุทธิ์ และวิธีปฏิบตั ิเพื่อไปสูวิญญาณ บริสุทธิ์ โดยตามแนวธรรมที่พระพุทธเจาไดทรงแสดงไว แตบางทีฟงแลวยังสูงอยู ตอนนี้ผมจะผอนลงมาสักเล็กนอย เพื่อคนที่ไมไดเขาวัดเขาวาหรืออยูตามบานเรือนตางๆ พอจะ นํามาใชไดในชีวิตประจําวัน วิธีพัฒนาจิตหรือวิญญาณที่พอจะทําไดโดย ทั่วไปก็คือ ประกอบกรรมดีอยูเสมอ เพื่อใหวิญญาณ หรือจิตของเราไดรับอาหารที่บริสุทธิ์ อาหารที่ดีที่สุดของจิตก็คือ กุศลกรรม เปนอาหารที่ไมมีโทษ คน ประกอบกรรมดียอมจะมีความสุขใจ มีกําลังใจดีกวาคนทําชั่ว พระพุทธเจาตรัสวาคนทําชั่วหาความสุขไดยาก พระพุทธพจนมีวา น หิ ตํ สุลภํ โหติ สุขํ ทุกฺกฏกา รินา แปลวา ความสุขอันบุคคลผูทําชั่วหาไดโดยงายมิไดเลย นี่แปลโดยพยัญชนะนะครับ ความดีสงคนให ลอย ความชั่วกดคนใหจมลง ทานลองนึกดูก็ไดครับ ถาในสถานการณเดียวกัน ประสบปญหาอยาง เดียวกัน ถาคนไหนที่ประกอบกรรมดีอยูเสมอ เขาจะมีกําลังใจดีกวาคนที่ไมไดทําความดี หรือคนที่ทํา ความชั่ว มีความมั่นใจอยูเสมอวา ถามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เขาไม 44 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
กลัวความเปลี่ยนแปลง เพราะเขาเชื่อผลของกรรมดีวา ถามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีแนนอน สวนคนที่ไมแนใจในการทําดีไดดี ทําชั่วไดชั่วนั้นอาจเปนเพราะวาเขาทําดีนอยเกินไป หรือทําดี นิดหนอยแลวก็หวังผลมากเกินไป หรือวาเขาไมไดละชั่วเสียกอน แลวก็ทําดี จึงทําดีไมคอยขึ้น หรือบาง คน ก็ทําดีไปดวย ทําชั่วไปดวย ความดีความชั่วจึงหักกลบลบกันไปหมด เหลือเปนศูนย บางทีก็ติดลบเสีย อีก เพราะความชั่วเห็นงายกวาความดี ถาจะทําความดีใหไดผลเต็มเม็ดเต็มหนวย จงละความชั่วเสียกอน ถายังละความชั่วไมได ก็หวัง ความดีใหเต็มเม็ดเต็มหนวยไดยาก ตองเตรียมตัวรับ ความผิดหวังไวบาง เชน ถาเราใหของเด็กแตละครั้ง เราก็ดาเขาใหเจ็บใจเสียกอนทุกครั้งไป อยางนี้ก็ไดผลบางแตก็มีผลลบติดมาดวย บางคนมีความรูดี แตก็มี ความประพฤติราย ความรูนั้นก็ไมไดประโยชนเทาที่ควร ในหนังสือหิโตปเทศ กลาวไววา สิริของคนผูดื้อ ดาน มีแตจะตกอับ สิรินคี่ ือมิ่งขวัญหรือบุญ หรือความดี มีแตจะตกอับ ไมตรีของผูกลับกลอก มีแตจะ วิบัติ ผลแหงความรูของผูประพฤติรายมีแตจะรวงหลน ฉะนั้น ถาเราทําดีใหเปน มีความรูแลวใชให เปนก็จะไดรับผล คุมเหนื่อย มีพระพุทธภาษิตวา ความรูเกิดแกคนพาล เพื่อความพินาศของคนพาลอยางเดียว ความรูนั้นจะฆา สวนดีของคนพาลเสีย ทําปญญาของเขาใหตกไป แตถาความรูเกิดแกคนดี ก็จะเปนประโยชนแกคนดี ฉะนั้น โบราณทานใหคนเรียนความดีกอน แลวคอยเรียนความรูทีหลัง หรืออยางนอยก็ควบคูกันไป แตวาสมัยตอมาดูเหมือนวาเราจะไปเรงเอา ความรูใหมาก กอบโกยเอาความรูใหมาก แตละเลยระบบของความดีมากมาย ละเลยมากไป ความรูเกิด ขึ้นกับคนชั่ว มันก็พาไปสูความชั่วตางๆ ผมเคยนึกถึงคนที่เคยบวชเรียนมานานๆ ควรจะเปนคนฉลาดในการทําความดี เพราะในคําสอน ของพระพุทธเจามีหลักในการทําความดีเยอะ แตบางคนไมไดเปนอยางนั้น ไมฉลาดในการทําความดี แต ไปฉลาดในการทําชั่วก็มี เพราะวาเขาไมไดตระหนักใหเห็นความสําคัญของระบบที่จะทําความดี ไมขัด เกลา มีความเห็นแกตัวมาก ไมเอาสวนที่ดีมาใช ทีจ่ ริงสวน ที่ไมดี ทานก็ไมไดสอน ทําเอาเอง 45 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
การพัฒนาจิตหรือวิญญาณใหดียิ่งขึ้น คือเรา ตองไมวิตกตอการเปลี่ยนแปลงในหัวเลี้ยวหัวตอของ ชีวิตอยูเสมอวา ถาจะมีการเปลี่ยนแปลง เราจะตองเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไมใชเลวลง เรื่องนี้ทําใหเราสบายใจตอการเปลี่ยนแปลง ไดทุกๆ กรณี บางเรื่องบางทีสิ่งที่เราไดรับ ดูเหมือน จะเปนขาวรายสําหรับเรา แตวาพอมองใหดีจะตองมีผลดี แอบแฝงในเหตุการณเหลานั้นบางไมมากก็นอย อยางนอย ที่สุดเราก็มีกําไรสุทธิ คือการไดบทเรียนและไดความรูจากเหตุการณนั้นเอง แมจะเปนความ ผิดพลาดบกพรองของเรา ก็เปนประโยชนและผลกําไรสําหรับใชวิเคราะหเหตุการณ ใหเรารักษากําลังใจ เอาไวใหดี และหมั่น ประกอบกรรมดีเอาไวเสมอ ศึกภายนอกเขาสูกันดวยกําลังอาวุธ เสบียง กําลังพล แตศึกภายในเราตองสูกันดวยกําลังใจ ศึกชีวติ สงครามชีวิต ตองสูดว ยกําลังใจ ถามีกําลังใจอยูก็มีหวังชนะ เราจะแพก็เมื่อหมดกําลังใจ บางทีสิ่งที่ดู เหมือนรายในเบื้องตน จะดีในเบื้องปลายก็ได ขออยาไดกลัวความเปลี่ยนแปลงของชีวิต จะตองนึกมั่นใจอยูเสมอวา เราจะตองเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น ใจของเราจะไมเดือดรอน เปนการรักษาจิตอยางดีที่สุด อีกประการหนึ่ง ขอใหเราฝกความคิดความสํานึก หรือฝกจิตของเราใหคุนกับสิ่งที่เรียกวา พหุลานุสาสนี คือ คําสอนที่พระพุทธเจาทานทรงสอนอยู เสมอวา "ทุกอยางไมเที่ยง ทุกอยางเปนทุกข ทนไมได และทุกอยางเปนอนัตตา ไมมีตัวตนที่จะยึดถือได บังคับบัญชาไมได" นี่ก็เปนเรื่องเหนือจริยธรรมเหนือจริยศาสตร ก็มีหลักฐานจากคัมภีรบางแหงวา น หิ สีลวตํ เหตุ อุปฺปชฺชนฺติ ตถาคตา อฏฐกฺขรา ตีณิ ปทา สมฺพุทฺเธน ปกาสิตา แปลวา พระตถาคตเจาทั้งหลาย ไมไดอุบัติ ขึ้นเพื่อทรงสอนศีลธรรมเทานั้น แตทรงอุบัติขึ้นเพื่อทรงประกาศ 3 บท 8 อักษร 3 บท ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง 8 อักษร ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แตวามันออกเสียง อะ เมื่ออนิจจังก็ 3 แลว ทุกขังก็ 2 อนัตตา ก็ 3 เปน 8 อักษร
46 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
การอบรมไตรลักษณ ทําใหจิตใจสบายอยูเสมอ และเพิ่มพูนปญญาในทางธรรมอยางมาก นอกจากนี้ เราก็ควรจะสนใจศึกษาใหเขาใจปฏิจจสมุปบาท คือ กลุมธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ทุก อยางอยูในปฏิจจสมุปบาท มันเปน cosmic law ครอบจักรวาล ทุกอยางมันอาศัยกันเกิดขึ้น ไมเปนอิสระ แกตัว ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ชีวิตมนุษยและสัตวทั้งหลาย ไมใชสัตวบุคคล ที่วามันจะเปนไดเองโดย ไมมีเหตุปจจัยใหมันเกิดขึ้น มันตองมีเหตุปจจัยใหเกิด แตในระดับสูง ทานใหพิจารณาใหเห็นเปนความวางหรือสุญญตา เปนเพียงกลุมธรรมลวนๆ เปนไปอยู อยางสุภาษิตที่ทานกลาวไว อันนี้หมายถึงระดับสูงนะครับ ไมใชระดับจริยธรรม ถาระดับ จริยธรรม ทานตองพูดอีกแบบหนึ่ง เชนวา กลฺยาณการี กลฺยาณํ ผูทําดียอมไดรับผลดี ปาปการี จ ปาปกํ ผูทําชั่วยอม ไดรับผลชั่ว แตวาเหนือจริยธรรมขึ้นไป ในระดับของ สุญญตา ในระดับของปฏิจจสมุปบาท ทานจะพูดใหม วา ผูกระทํากรรมไมมี ผูเสวยผลของกรรมไมมี ธรรมลวนๆ เปนไปอยู นี่คือความเห็นที่ถูกตอง เอเวตํ สมฺ มทสฺสนํ นี่คือทัศนะที่ถูกตอง นี่ก็ในระดับปรมัตถธรรม หมายถึงวา ธรรมที่ เปนประโยชนอยางยิ่งเอามาดับทุกขได คําวา สุทธธัมมา หรือธรรมลวนๆ หมายถึง กลุมปฏิจจสมุปบาท เปน dependent origination หรือ The Law of causa-tion บางทีเรียกวา The Law of dependent origina-tion อาศัยกันเกิดขึ้น เปนเหตุเปนผลของกันและ กัน คําสอนที่วากรรมไมมี ผูเสวยผลของกรรมไมมี เปนตน ก็เล็งถึงธรรมระดับสูงที่เปนโลกุตตรธรรม เหนือบุญเหนือบาป ไมไดมุงใหปฏิเสธเรื่องกฎแหงกรรม หรือการทําดีไดดี ทําชั่วไดชั่ว นั่นเปนหลัก จริยธรรมพืน้ ฐาน พระพุทธเจามีพระประสงคที่จะทรงยกระดับพุทธสาวก ที่ทําจริยธรรมขั้นพื้นฐาน สมบูรณแลวใหขึ้นไปอีกระดับหนึ่งซึ่งอยูเหนือระดับศีลธรรม จึงทรงแสดงเรื่องกลุมธรรมหรื อปฏิจจสมุปบาท ผูที่เขาใจเรื่องอยางนี้ดีก็จะสามารถถอนตัณหานุสัยหรือตัณหาอุปาทานไดงาย เปนไป เพื่อความบริสุทธิ์ของจิตหรือวิญญาณ เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะตั้งจุดมุงหมายของชีวิตไววา เพื่อความบริสุทธิ์ของจิตหรือวิญญาณ จะ เร็วจะชากวากันบางก็ตามเหตุปจจัยนะครับ และก็แลวแตอุปนิสัยหรือบารมีของแตละคน แตในที่สุดก็ ตองขึ้น ใหถึงความบริสุทธิ์ใหได ซึ่งเปนความตองการสูงสุด เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราชาวพุทธตองระลึก 47 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์
ถึงพุทธคุณเอาไวใหมาก เพราะวาทามกลางความมืดคืออวิชชา ทามกลางความสับสนวุนวายเพราะตัณหา อุปาทานตางๆ พระพุทธเจาไดทรงเปนพระศาสดาองคแรกที่ไดนําจิตหรือวิญญาณมนุษยไปสูแสงสวาง ก็ขอจบเพียงเทานี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแดทานผูอุปถัมภรายการ และทานผูฟงโดยทั่วกัน สวัสดี ครับ.
48 วิธีทําจิดใหบริสุทธิ์