ทางดําเนินของมุนี วศิน อินทสระ
สารบัญ โมไนยปฏิปทา.................................................................... 1. เปนผูอุปถัมภตน..................................................................... 2. เปนผูมั่นคงในการทําความเพียรไมยอหยอน................. 3. เห็นการดาและการไหวของชาวบานเปนสิ่งเสมอกัน...... 4. ไมตกอยูใ นอํานาจของสตรี.......................................... 5. มีเมตตาตอสัตวทั้งปวงเสมอดวยตน............................. 6. ละความปรารถนาและความโลภในปจจัย 4.................. 7. เปนผูมีทองพรอง....................................................... 8. ยินดีในที่สงัด พอใจในฌาน......................................... 9. คิดอยูเสมอวา ไดก็ดี ไมไดก็เปนกุศล........................... 10. ไมใบทําเปนเหมือนใบ................................................. 11. มีจิตใจเขมแข็ง........................................................... 12. ทําศรัทธาและหิริใหยิ่งๆขึ้นไป.....................................
10 10 11 11 11 11 13 14 19 21 22 25 27
คํานํา มุนี หมายถึงทานผูรู ผูสงบ กวาจะเปนมุนไี ด ตองฝกฝนตนใหดําเนินตามทางของมุนีอยางสม่ําเสมอ อยางเห็นคุณคา ภาษาทางธรรม ทานเรียกวา โมไนยปฏิปทา ซึ่งมีรายละเอียดอยูใ นหนังสือเลมนี้แลว มุนีที่เปนฆราวาสทานเรียกวา ฆราวาสมุนี หรือ อาคา ริยมุนี แปลวา มุนีผูครองเรือน สวนมุนีทเี่ ปน บรรพชิต ทาน เรียกวา อนาคาริยมุนี แปลวา มุนีผูไมครองเรือน ทั้งสองมุนีเสมอกันโดยความรูและความสงบใจ ตางกันแตเพียงการครองเพศเทานั้น ในสมัยพุทธกาล มี อุบาสกอุบาสิกาเปนอันมาก ผูบรรลุความสงบใจถึง อนาคามี แตยังครองเพศฆราวาส เชน ฉัตตปาณิอุบาสก, จิตต คหบดี เปนตน ลวนเปน ผูแ ตกฉานในธรรม และอยูอยางสงบตามแบบของผูเปนมุนี สมเด็จพระบรมศาสดาของพวกเรานัน้ ไดพระนามวา มุนิมุนี แปลวาทรงเปนมุนีเหนือมุนีทั้งหลาย แปลวา เปนยอดแหงผูรูและผูสงบ ขอใหพวกเราผูเปนพุทธสาวกดําเนินตามทางของมุนีเถิดก็จะพบเห็นสิ่งที่ทานผูเปนมุนีไดพบเห็นมาแลว ไดรับคุณคาของสิ่งที่มีคุณคาตอชีวิตจริงๆ ขอขอบใจคณะศิษยผูชวยกันทําหนังสือเลมนี้ออกสูสายตาของมหาชน ขอใหพวกเธอไดความรูและความ สงบใจ เชนมุนีทั้งหลาย ขอพระสัทธรรม จงตั้งอยูยนื นาน เพื่อประโยชนสุขแกพหูชนตลอดไป วศิน อินทสระ ทางดําเนินของมุนี
(โมไนยปฏิปทา) สวัสดีครับ มาพบกันในรายการธรรมะรวมสมัยนะครับ มีทานผูฟงทานหนึ่งไดพูดเรื่อง ความเจริญของ ศาสนา วาการดู ความเจริญของศาสนา ทําไมตองไปดูขา งนอก ทํานองนั้น ผมก็ อยากสนับสนุนความคิดอันนี้ นะครับ ความเจริญของศาสนาตอง ดูกนั ทีพ่ ุทธศาสนิกชน ไมใชไปดูที่โบสถ วิหาร การเปรียญ หรือ ศาสนวัตถุ ที่หรูหรา ที่เขาพูดถึงวาสรางกําแพงวัดหรูหราแตวารอบ วัดมีแตคนติดยาเสพติด ถาชาวพุทธเรายังเสพยอบายมุข กันอยูมาก ยังขโมย โบสถหรูหราหรือวัดราคาแพง มันก็ไมมีประโยชน เพราะตัวศาสนาจริงๆไมไดอยูทวี่ ัตถุ แต วาอยูที่คน ดูศาสนาก็ตองดู ที่คน แตเวลานี้รูสึกวาเราจะพลาดเปาไปมาก คือไปดูศาสนา หรือ เรื่อง ทางดําเนินของมุนี เรียบเรียงจากบทสนทนาในรายการธรรมะรวมสมัยสถานีวทิ ยุ อ.ส.ม.ท. โดยมี พันเอก(พิเศษ)ทองขาว พวงรอดพันธุ เปนพิธีกรสนทนากับอาจารยวศิน อินทสระ วิทยากร ชักชวนคนใหบํารุงศาสนาในทางวัตถุเสียมาก ไมไดบํารุงคนให มีศาสนา หรือวามีบางทีก็มีผิดๆ หรือ สิ่งที่สงเสริมในสวนนี้ พระทานบางทีการกําหนดยศฐาบรรดาศักดิ์ ก็เอาเรื่องนี้เปนเกณฑดวย เปนขอพิจารณา อยางหนึ่ง ก็ทาํ ใหทานใชเปนขอที่จะทําเปนหลักฐานวา นี่ทานสรางถาวรวัตถุอะไรกันบาง แทนทีจ่ ะบอกวาสราง คนรอบวัดใหเลิกยาเสพติดเปนรอยเปนพัน ไมกลาหรือไมทําเอาเลยอยางนี้ ในขณะเดียวกันคนที่อยูรอบวัดหรือ ขางๆวัดอยูอยางอดๆอยากๆ แตภายในวัดก็ยังหรูหรา ก็เปนสวนหนึ่งที่นาพิจารณาเหมือนกัน ชาวพุทธสวนมากก็ยังไมเขาใจเรื่องนี้ ก็นาสงสารเขา เพราะวาเขาถูกชักจูงไปทางนัน้ มากกวาที่จะชักจูง มาใหรูจักศาสนาที่แทจริงของตัว แตถูกชักจูงไปทางที่ไปสรางนั่นสรางนี่ใหหรูหรา ใหญโต แลวก็ถือวาเปนบุญ ใหญ ทีนี้บุญที่จะตองเอาเขาตัว หรือพัฒนา ตนใหเปนคนดีทํานองนีก้ ็ไมคอยจะมี พระพุทธเจาทานตองการอันนี้ ใหพุทธบริษัทพัฒนา ตนใหดี ดีกวาที่จะไปทํานัน่ ทํานี่ใหมนั มากมาย ก็ ถาทําอยางนั้น ไดละก็ทั้งสะดวก ทั้งงาย ทั้งตรงตามวัตถุประสงค สําเร็จ ประโยชนไดมาก คือถาคนมีศีลธรรมดี โดยทั่วถึง ศาลาการเปรียญ ไมตองหรูหราหรอกครับ อยูอยางงายๆก็มีความสงบสุข มีความ สุขได ถาเราจะยอนกลับไปดูอุดมการณอุดมธรรมเดิมที่พระบรม ศาสดาของเราไดวางเอาไววา จรถ ภิกฺขเว จา ริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย (3/39 มหาวรรค วินยั ปฎก) ก็คือเปน ไปเพื่อประโยชนสุขของ มวลชน อนุเคราะหเอ็นดูสัตวโลก พระองคเองจริงๆแลว กอนที่จะสงพระภิกษุสงฆของพระองคออกไปเผยแพร พระพุทธศาสนา ก็เนนในเรื่องที่วา ทําอยางไรจะไปใหประโยชนตอประชาชน ใหเขาอยูกันอยางมีความสุข รมเย็น เปนสุข ไมใชทรงสงออกไปเพื่อ เธอจงไปสรางถาวรวัตถุ เธอจงไปสรางเจดีย วิหาร โบสถ ศาลาการ เปรียญก็เปลา แตมาระยะหลังๆ อุดมการณหรืออุดมธรรมตรงนี้มันชักจะเปลี่ยนแปรไป พระภิกษุมาขวนขวาย ในสิ่งที่ควรจะขวนขวายนอย แลวไปขวนขวายมาก ทีนี้สงิ่ ที่ควรขวนขวายมากไปขวนขวายนอยมันกลับกันเสีย
เชน โบสถ วิหาร การเปรียญ เปนสิ่งที่ควรขวนขวายนอยไปขวนขวายมาก สิ่งที่ควรขวนขวายมากคือ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สั่งสอนพุทธศาสนิกใหเปนผูป ฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อประโยชนสุขใหเขา ก็กลับเปนขวนขวายนอย อีกเรื่องหนึ่งคือ เคยไดยินทางวิทยุไหมครับที่พระสงฆ ออกมารักษาโรคทางอากาศ จะใหการ บําบัดรักษา ซักประวัติ อาการโรคของญาติโยมทางอากาศ ใหการรักษากันทางอากาศ เลย ใครเปนโรคอะไรก็ บอกยาบอกอะไรให หรือมิเชนนั้นก็ลองไปที่วัดนี้ ผมก็ฟงหลายรายการ ก็มีหลายรูปนะครับ
อาจารยพีระพลเลาวา ตอนนี้ที่นากลัวที่สุด ทานอาจารยวศินครับ ผมไดรับขอมูลลับ จริงๆก็ยังไมอยากจะเปดเผยออกมาอยูที่ สระบุรี ครับ เปนอันตรายตอญาติโยมที่เปนสุภาพสตรีอยางรายแรงเลย นะครับ ขอเบอรโทรศัพทไว ถาเปน นางสาวนี่บุกยันบานเลย โทรฯ ไปดึกดืน่ ยังไงผมขอปดขอมูลตรงนี้กอนแลวกัน แตถา อาจารยถามวา ไดฟงบางไหม ผมไดอัดเทปไว ประมาณมวนสองมวน ก็รสู ึกวา ถามองในแงของหลักศาสนาแลว แลวก็สถานการณของศาสนาของเรา ผมคิด วาไมเหมาะเลย เวชกรรมนี่ ธรรมดาทานก็หามอยูแลว เวลานี้แพทย แผนปจจุบนั เราก็เจริญมาก ถาเปนแผนโบราณก็ ตองมีใบอนุญาต (ใบประกอบโรคศิลป) ทีนี้ทานไปมีความรูมาจากไหน อันนี้ที่ผม สงสัยวา ทําไมถึงกลาทํา ผูบริหารทางคณะสงฆทราบบางหรือเปลาวาเวลานีพ้ ระของทานมาออกรักษาโรคทางอากาศอยางนี้สมควรทําไหม ในแงของพระธรรมวินัยก็ไมถูก มองในแงของกฎหมายบานเมือง เขาก็มีคณะกรรมการคุมครองผูบริโภค ตัวยา การบําบัดรักษา ก็ตองมีใบอนุญาต ใบประกอบโรคศิลป ตัวสินคา ผลิตภัณฑ ก็ตองไดรบั การอนุญาตจาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา สิ่งเหลานี้ไดรับการตรวจสอบหรือยัง แลวการบําบัดรักษา ถาเกิดการ ผิดพลาด ประชาชนที่ไดรับความเสียหายเขาจะไปรองเรียนกับใคร คณะกรรมการคุมครองผูบริโภคไปอยู ตรงไหน โรคแตละโรคนะครับ หมอเรียนกันมาตั้งนาน นานปกวาจะชํานาญ กวาจะรักษาได พระคุณเจาทานไป มีความรูมาจากไหน ภาษาแพทย เขาเรียกวาซัก history ทางอากาศ แลวก็ diagnosis กัน วิเคราะหโรคแลวก็สั่ง จายยากัน บางรายก็บอกวา ถาอยางนี้ตองไปที่วัด รูสึกฟงแลวมันสังเวชนะครับ ผมก็ปรารภขึ้นมาเพื่อใหผูที่มี ความเกีย่ วของไดดําเนินการ แลวผูปกครอง พระก็ควรจะทราบบาง เรื่องพวกนี้ ไมใชไมทราบเสียเลย เพราะวา ชาวบานเขาทราบกันทั่วไป ผูปกครองไมทราบเลยไมนา จะเปนไปได เมื่อสถานการณมันเปนอยางนี้ ก็ขอใหทาน ผูฟงที่ฟงรายการอยูในคืนนี้ คงตองสังวรกันไววาอะไรควรอะไรไมควร คือผมปรารภในฐานะที่เปนชาวพุทธนะ ครับ นี่ก็ทําใหคนบางทีเขากลัวพระนะครับ เหมือนคนกลัวตํารวจ ลองนึกดูอะไรจะเกิดขึ้น เห็นตํารวจแลวกลัว อยางนี้ แมวน้าํ ธรรมดามันอยูในน้ําเกิดในน้ํา เกิดวันรายคืนราย แมวน้าํ มันเกิดกลัวน้าํ ขึ้นมา มันตองมีอะไร ผิดปกติในน้ํา จึงทําใหแมวน้ํากลัวน้ํา นี่ขา วไอทีวนี ะครับ เวลา 12.00 น. แมวน้ํามันเกิดกลัวน้ําขึ้นมา ไมทราบ
เกิดอะไรขึ้น ถาชาวบานเกิดกลัวพระขึ้นมา จะมาทาไหนกันแน ไมไวใจขึ้นมาเหมือนในวินยั ที่เลาวา พระขอกัน จนหวาดกลัว ชาวบานวิ่งหนีไปกันหมด เห็นวัวแดงเดินมาก็วิ่งหนี คิดวาเปนพระ วันนี้ประเด็นธรรมะผมคอนขางยาว ทางดําเนินของมุนี โมไนยปฏิปทา ผมขอเลาเรื่องกอนที่จะมาถึงหัวขอธรรมสักหนอย คือ เรื่องโมไนยปฏิปทา แปลวา ปฏิปทาของทานผู เปนมุนี พระพุทธ เจาทรงประทานแกพระนาลกะ ผูเปนหลานของอสิตฤาษี หรืออสิต ดาบส อสิตฤาษีเคยเปน ปุโรหิตของพระเจาสีหนุ พระชนกของพระเจาสุทโธทนะ แลวก็เปนพระอาจารยของพระเจาสุทโธทนะ พระ พุทธบิดา ตั้งแตยังไมไดรับอภิเษกเปนพระราชา ตอนหลัง อสิตปุโรหิต ไดทูลลาออกจากตําแหนงไปถือบวช เปนฤาษี หรือ ดาบส จึงเรียกวาอสิตดาบส อยูในพระราชอุทยาน ไดญาน 8 อภิญญา 5 ดวย เมือ่ พระสิทธัตถะ ประสูติ ก็ไดเขาเฝาถวาย พระพร ไดเห็นพระลักษณะของพระราชกุมารแลว ทราบวาทานผูนจี้ ะไดเปน พระพุทธเจาในอนาคต สํารวจดูอายุของตนแลวเห็นวาไมทันแน จึงไปสั่งหลานคือนาลกะไว คือนาลกะเปนลูก ของนองสาว วาเมื่อพระสิทธัตถะออกบวชไดสําเร็จเปนพระพุทธเจา เจาจงไปเฝาแลวก็บวชประพฤติพรหมจรรย ในสํานักของพระองค ตอนนี้ใหบวชเปนดาบส อบรมอินทรียไปกอน นาลกะจึงบวชเปน ดาบสรอคอยอยู ตอมาไดทราบการตรัสรูของพระพุทธเจา จึงไป เฝาทูลถามโมไนยปฏิปทา ซึ่งตนไดเคยอบรมมาบางแลวในสมัย พระพุทธเจาพระนามวา ปทุมุตตร พระพุทธเจาทรงแสดง โมไนยปฏิปทาหลายขอ ทานไดฟงแลวก็เริ่มดําเนิน ชีวิตแบบโมไนย-ปฏิบัติ คือ มีความมักนอยอยางยิ่ง ดวยความมักนอย 3 อยาง คือ 1. ในการเห็นพระศาสดา 2. ในการฟง 3. ในการถาม เมื่อฟงเทศนาจบแลว พระนาลกะเถระ มีจิตเลื่อมใส อยางยิ่งในพระศาสดา ถวายบังคมแลว เขาไปอยูปา มิไดคิดอีกเลยวา 1. ไฉนหนอเราจะพึงไดเขาเฝาพระผูมีพระภาคเจาอีก 2. ไฉนหนอเราจะพึงไดฟงธรรมของผูมีพระภาคเจาอีก 3. ไฉนหนอเราจะพึงไดถามโมไนยปฏิปทาอีก คือขอหนเดียว ทานทําเพียงหนเดียว เขาเฝาหนเดียว ฟงหนเดียว ถามหนเดียว ทานก็เขาไปสูเชิงเขา ไม ยอมอยูที่เดียว ตลอด 2 วัน คืออยูแหงละวันเทานั้น ไมเขาไปบิณฑบาตที่บานเดียวเปนครั้งที่ 2 ทานจึงเที่ยวจาริก จากปานี้สูปาโนน จากตนไมนี้สูตนไมโนน จากบานนีส้ ูบานโนน มิไดซ้ํากัน ภิกษุผูบําเพ็ญโมไนยปฏิปทาอยางเขมงวดนั้นจะมีชีวิตอยูไดเพียง 7 เดือน เพราะอาหารที่รับประทานก็ ลําบาก ที่อยูก ็ไมสะดวกสบายตองยายไปเรื่อย เกิดการบีบคั้นทางสังขาร ผูบําเพ็ญอยางกลางจะมีชีวิตอยูได 7 ป ผูบําเพ็ญอยางออนจะมีชวี ิตอยูได 16 ป พระนาลกะเถระนี้บําเพ็ญอยางเขมงวด จึงมีชีวิตอยูไดเพียง 7 เดือน ทาน
รูวาอายุจะสิ้นแลวจึงอาบน้ํานุงผา คาดผาพันกาย คือประคดเอว หมผาสังฆาฏิ 2 ชั้น หันหนาไปทางพระ ศาสดา ถวายบังคมแลวก็ประคองอัญชลี ยืนพิงภูเขาหิงคุลิกะ ปรินิพพาน พระศาสดาทรงทราบวา พระนาลกะปรินพิ พานแลว จึง เสด็จไปยังภูเขานั้นใหทําฌาปนกิจ แลวใหเก็บ อัฐิธาตุไปบรรจุยัง เจดียเ พื่อเปนที่ระลึกถึงของพุทธศาสนิกชนตอไป แลวเสด็จกลับ อันนี้ผมเก็บความจาก อรรถกถานาลกสูตร สุตตนิบาต ในขุททกนิกาย (25/388-389) อันนี้เปนขอความ เบื้องตนโดยยอเกี่ยวกับพระนาลกะผูถือโมไนยปฏิปทา คราวนี้ขอพูดถึงโมไนยปฏิปทา คือตัวของโมไนยปฏิปทา
โมไนยปฏิปทา 1. เปนผูอุปถัมภตน คือชวยเหลือตนเอง ทําความเพียร ซึ่งบุคคลอื่นทําไดโดยยากใหสําเร็จ โดยปกติพระที่เปนอยางนี้ ทานก็ไมหวังการอุปถัมภ คือ ไมเลี้ยงคนอืน่ อุปถัมภตนคือเลี้ยงตน อยางที่ พระมหากัสสปก็ เหมือนกัน ทานเปนแตเพียงแคเลี้ยงตน ไมมภี าระในการทีจ่ ะตอง เลี้ยงผูอ ื่น แลวก็ ชวยเหลือตนเองดวยการบิณฑบาต และมีธรรม 10 ขอในการชวยเหลือตนเอง ธรรม 10 ขอคือ นาถกรณธรรม ผมขอฝากสําหรับสมาชิกหรือทานผูฟงธรรมรวมสมัยหนอยนะครับ คือสําหรับผูที่หวังการพึ่งตนเอง ตองการ พึ่งตนเอง ก็ใหมีหลัก 10 ประการสําหรับพึ่งตนเอง ที่พระพุทธเจาทานประทานไวใหคือ นาถกรณธรรม ธรรม เปนที่พึ่ง 1. ศีล คือมีความประพฤติดี 2. เปนคนมีความรู หรือวา พาหุสัจจะ 3. เปนคนมีมิตรดี เรียกวา กัลยาณมิตตตา 4. เปนคนวางาย สอนงาย ไมเปนคนดื้อ รับฟง โสวจัสสตา 5. ขยันในกิจการตางๆ กิงกรณีเยสุ ทักขตา 6. เปนผูใครในธรรม ธัมมกามตา 7. มีความเพียร วิริยะ วิรยิ ารัมภะ 8. มีความสันโดษ สันตุฏฐี 9. สติ 10. ปญญา ถามีธรรม 10 ขอนี้แลวก็พึ่งตนเองได พึ่งธรรมแลว ถาใครเขาจะใหที่พึ่งเราก็ใหเอง โดยหลักแลว พึ่งธรรม นี่ก็ทํา ความเพียรซึ่งบุคคลอื่นทําไดโดยยากใหสําเร็จตองอาศัยคุณสมบัติ ที่พระพุทธเจาทานใชคําวา ถามวา (อานวา ถา-มะ-วา) แปลวา ดวยเรีย่ วแรงกําลังทัง้ หมด แลวก็มีความบากบัน่ มั่นคงไมถอยหลัง มีความ รับผิดชอบ ไมทอดธุระในกุศลธรรม เพื่อใหความเพียรซึ่งบุคคลอื่นทําไดโดยยากใหสําเร็จ ก็ตอ งมีคุณสมบัติ อยางนี้แลวก็มคี วามมุงมั่นเปนหนึ่ง คือเมื่อจะทําความเพียรในสิ่งใดแลว คลายๆกับวา ไมมีอยางอื่นนอกจากสิ่งนี้ เอาใจใสในสิ่งนั้นจริงๆ แลวก็จะสามารถทําความเพียรซึ่งบุคคลทําไดโดยยากไดสําเร็จ
2. เปนผูมั่นคงในการทําความเพียรไมยอหยอน อดกลั้น ตอสิ่งที่ อดกลั้นไดยาก คือความยินดีและความยินราย คือวาอดกลั้นตอความพอใจและความไมพอใจ องคธรรมที่จะมาชวยใหสําเร็จประโยชนในที่นี้คือ เปนผู วางเฉยในอารมณทั้ง 6 เมื่อไดยนิ ไดฟง ในอริยวังสิกสูตร ไดพูดถึงวา นักปราชญยอ มจะเปนผูอดทนตอสิ่งที่ไม ยินดีและสิ่งทีย่ ินดี แปลวาอดกลั้นตอสิ่งทีอ่ ดกลั้นไดยาก ทั้งความยินดีและความยินรายไมอาจจะครอบงําได
3. เห็นการดาและการไหวของชาวบานเปนสิ่งเสมอกัน เมื่อถูกดาก็ไมทําใจใหคิดประทุษราย เมื่อเขาไหวก็ไมเยอหยิ่งจองหอง ลืมตัว ขอนีค้ อนขางสําคัญ มัน เขาลักษณะที่วา เขาดาดีกวาเขาตี เขาตีดวยฝามือดีกวาเขาตีดวยทอนไม เขาตีดวยทอนไมดีกวาเขาแทงดวยศัสตรา เขาแทงดวยศัสตรา ดีกวาเราฆาตัวเอง ทําใจอยางนั้นไดก็จะรูสึกวา การดากับการไหวเปนสิ่งที่เสมอกัน ที่จริงเขาดาเพราะเขาไมชอบ เขาชมเพราะเขาชอบ เขารัก ทํานองนี้ ที่จริงคนเรามันก็มีความทุกขทั้ง สองทาง คนเกลียดมากก็เปนทุกข ถาคนรักมากก็เปนทุกขเหมือนกัน ผมเคยไปเฝา สมเด็จพระสังฆราชที่วัดมกุฏ ฯ นะครับ ตอนที่ทานยังมีพระชนม อยู ทานแขกเยอะนะครับ คุยไปๆ ทานบอกวา คนเกลียดไม กลัวหรอก กลัวคนรัก ทานมีคนนิยมมาก คนไปมาหาสูไมได ขาด ทานก็เหนื่อย เหน็ดเหนื่อยกับการตอนรับขับสู ฉะนั้น ควรทําจิตใจอยางพระนาลกะ อยางทีว่ านีท้ ี่พระพุทธเจาทรงโอวาทพระนาลกะ เรื่องวาเห็นการดาและการไหว ของชาวบาน เปนสิ่งเสมอกัน
4. ไมตกอยูในอํานาจของสตรี ถาเปนสตรีก็ไมตกอยูในอํานาจของบุรุษ คือเปนอิสระจากความรักใคร ไมตกอยูในอํานาจของสัตว อัน นารีทั้งหลายประเลาประโลมไมได ไมสําเร็จดังปรารถนา เวนจากกามคุณไดทั้งอยางหยาบและประณีต กามคุณ ที่หยาบก็คือ กามคุณของมนุษย ของสัตวเดรัจฉานอะไรพวกนี้ กามคุณที่ประณีตคือ กามคุณของเทวดา มีพทุ ธ ศาสนสุภาษิตวา ปฺาย ติตตฺ ินํ เสฏฐํ ตณฺหา น กุรุเต วสํ บรรดาความอิ่มทั้งหลาย ความอิ่มดวยปญญาประเสริฐ ที่สุด เพราะวาตัณหาทําบุคคลผูอิ่มดวยปญญาไวในอํานาจไมได บาทหลังเปนการแสดงอานิสงสของการ อิ่มดวย ปญญา อิ่มอยางอื่นสูอิ่มดวยปญญาไมได มีสุภาษิตในชาดกอยูชาดกหนึ่งที่ดีมาก เตชวาปฉิห นโร วิจกฺขโณ สกฺก โต พหุชนสฺส ปูชิโต นารีนํ วสงฺคโต น โสภติ ราหุนา อุปหโต ว จนฺทิมา บุคคลแมจะมีปญญาวิจักขณ อันคน ทั้งหลายสักการบูชาแลว แตวาตกอยูในอํานาจของนารีแลวยอมไมงาม ไมรุงโรจน เหมือนกับพระจันทรที่ถูก ราหูจับ สุภาษิตในกุณาลชาดก
ถานารีตกอยูในอํานาจของบุรุษก็ไมคอยสูก ระไรเทาไร แต ถาบุรุษตกอยูในอํานาจของนารี หมดความ เปนตัวของตัวเอง ตก อยูใ ตอํานาจเขาทุกอยางก็ดไู มดี ผนวกเรื่องดาบสตางๆที่มีอยูใน ชาดก ที่เคยตกอยูภายใต อํานาจของสตรี แลวก็ตองเสื่อมตบะ เสื่อมอะไรตออะไรไปหมดเลย ก็ในทางดําเนินของมุนีก็มีอยูขอวา ไมตก อยูภายใตอํานาจของสตรี
5. มีเมตตาตอสัตวทั้งปวงเสมอดวยตน อันนี้ฝกอยางไร ถึงทําไดใหมีเมตตาตอสัตวทั้งหลายเสมอ ดวยตน ตัวเรารักสุข เกลียดทุกขฉันใด คนอื่น ก็รักสุขเกลียด ทุกขฉันนั้น ฉะนั้นผูรักตนจึงไมควรเบียดเบียนผูอื่น ตองทองสุภาษิตอันนั้นไวเสมอ สพฺพา ทิสา อนุปริคมฺม เจตสา เนวชฺฌคา ปยตรมตฺตนา กฺวจิ มองไปทั่วทิศแลวไมเห็นใครที่ไหนอื่นที่จะรักยิ่งไปกวาตน ตน ของผูอื่นก็เปนที่รักของเขาเชนเดียวกัน เพราะฉะนัน้ ผูรักตนจึงไมควรเบียดเบียนผูอนื่ ถาเผื่อแผเมตตามากๆ แลว เมตตามันจะเออทนขึ้นมา ทําเมตตาใหสัตวทั้งปวงเสมอดวยตน นี่ทําไดนะครับ อาจารยทองขาวเลาวา ผมเคยมีประสบการณนะครับเคยโกรธคนหนึ่งตอนเปนรอยตรีใหมๆ โกรธเสร็จ นอนก็ไมหลับ มันยังเดือดปุดๆอยู ไมรูวาไอคนที่เราโกรธมันไปนอนยิม้ อยูที่ไหน แลว ตอนหลังก็มาแผเมตตาให นานเขาๆมันก็นอนหลับครับ มันก็ลืม กอนนอนก็แผเมตตาใหศัตรูกอน คนที่เราเกลียดนี่สง ใหกอ นเลย เวลาแผ เมตตาเราตองนึกชื่อเห็นหนาเขาดวย สมมุติ วานาย ก. ทําใหเราเจ็บช้าํ เหลือเกิน แผเมตตาแลวก็นกึ ชื่อเขาขอ ให เขาเปนสุขๆเถอะ อยามีเวรแกกันและกันเลย ตอนแรกมันก็ ยากเหมือนกันนะครับ ยากครับ เพราะอาจารยลัดลําดับไปเลย ทีแรกเขาใหแผ ใหตัวเองกอน แลวก็แผใหคนกลางๆเฉยๆ หรือ ผูมีพระคุณ แต อาจารยลัดไปแผใหเขาเลย พอทําไปๆ มันจะไปถึงเมตตาสีมสัมเภทนะครับ คือเมตตา ที่ไมมีเขตแดนคือวาไมมีเขตแดนระหวางเรา แลวก็คนที่รกั เรา คน ที่เกลียดเรา และคนที่เฉยๆกับเราจะเสมอกัน เพราะทําลายเขต แดนออกแลว อยางที่ พระพุทธเจาทานไดรับยกยองวา สพฺพตฺถ สมมานโส มีพระทัยเสมอกันกับคนทั้งปวง วธเก เทวทตฺตมฺหิ ทั้งใน พระเทวทัต ทัง้ ในพระราหุล ทั้งในชางธนบาล เสมอกัน ก็อยูที่การฝกนะครับ สรุปวาวิธีปฏิบัติกอ็ ยูที่การฝก ถา ฝกไดก็จะทําใหเราอยูสบายขึ้น คือถาเราไมมีเวรกับใคร มองไปไหนก็ไมมีผูที่มีเวร เพราะวาใจไมมีเวร ถาเรามี เวรกับใครมองไปทางไหน ก็เจอแตคนที่มีเวร
6. ละความปรารถนาและความโลภในปจจัย 4 อันปุถุชนสวนมากของอยู ขามพนความทะเยอทะยานในปจจัย อันเปนเหตุแหงมิจฉาชีพเสียได สําหรับฆราวาสก็ทําได ก็เปนอาชีวปริสุทธิ ก็ไมรูจะโลภ ไปทําไมมากมาย อยางทีพ่ ูดกันวา แมแตเงิน ปากผีก็เอาไปไมได ก็ไมรูจะโลภไปทําไม เอาพออยูพอกินพอแลว ถาจะมีกใ็ หหาได มาดวยความสุจริต ก็พน จากความทะเยอทะยานในปจจัยอันเปน เหตุแหงมิจฉาชีพ ใหไดมาโดยสุจริต ถึงไดมาโดยสุจริตทานก็ สอน ใหรูจักประมาณ ใหมีเพดานในการได ไมใชไดมาโดยสุจริต แตก็ไดเยอะเหลือเกิน มันเกินจําเปน และไปตัด รอนทางไดของผู อื่น คนอื่นก็เสียโอกาสแทนที่จะไดโอกาส ก็ไมมีโอกาสที่จะได สมมุติวา ในแงของฆราวาสเราก็อยากจะทําโนนทํานี่ เพือ่ ใหไดผลกําไรตางๆ มันจะไดเปนการชวย พัฒนาครอบครัวหรือ พัฒนาชาติได ก็คือพอประมาณ ทุกคนตองรูจักขอนี้ทั้งหมด สมมุติวาเปนนักธุรกิจ ที่จะ พัฒนาประเทศชาติ พัฒนาครอบครัว อยางนอยก็ตองมีธรรมะขอนี้ ตองมีทุกคนครับ ไมจํากัด คือปองกันการ โกง การคอรรัปชั่น อาจารยทองขาวเลาวา ผมไปอินเดียคราวนี้ ทานเจาอาวาสวัดไทยพุทธคยาทานเลาใหฟง มีขาราชการ บางคนของอินเดียเขาคอรรัปชั่น ทํางบประมาณซื้อปูน 100 ลูก ปรากฏวา ไดรับปูนมา 100 ลูก วันหนึ่งเราก็มา หาหลวงพอ ถามหลวงพอ จะเอาปูนไหม ผมขายให 50 ลูก ราคาเทานี้ หลวงพอก็ถามวา คุณเอาปูนมาจาก ไหน บอกผมทํางบประมาณเพื่อสรางถนนตรงนี้ใชปูน 100 ลูก แตผมใชแค 50 เทานั้นแหละ สวนอีก 50 ขายให หลวงพอ ทานบอกโอโฮ! คอรรปั ชั่น ไมใช 20-30% แต 50% เลย อยางนี้ถือวาโลภแนนอน โลภในปจจัย 4 โลภในปจจัย 4 อันเปนเหตุใหเปนมิจฉาชีพ ถาทุกคนคิดวาเราทําอาชีพเพื่อผูอื่น มันจะอยูไดหมดครับ อยางพอคา แมคาเรียกวา ทําเพื่ออํานวยความสะดวกแกคนอยูใกล เขาจะได ไมตองไปซื้อของไกล ผูไปซื้อก็ เห็นแกผูขายก็ใหกําไรเขาพอสมควร ใหเขาอยูได เขาอยูไดก็เพื่อความสะดวกของเรา อยางนี้มันก็ เอื้อเฟออาทร ตอกัน ทางดําเนินของมุนี ฆราวาสก็ปฏิบัติไดนะครับ เขาเรียก ฆราวาสมุนี เปนพระในเพศของฆราวาส
7. เปนผูมีทองพรอง (โอโนทโร) คือไมเห็นแกปากแกทอง พอประมาณในอาหาร มีความปรารถนานอย ไมโลภ ดับความเรารอนเพราะ ความอยากเสียได ไมพดู เพื่อไดลาภ ผมนึกถึงสุภาษิตในชาดกที่วา ทาน ผูใดเปนผูมีทองพรอง ทนตอความหิว ได เปนผูมีความเพียร เปนผูพ อประมาณในขาวและน้ํา ไมทําบาปเพราะอาหาร เราเรียกบุคคลเชนนั้นวาเปน สมณะ โอโนทโร โย สหเต ชิฆจฺฉํ ทนฺโต ตปสฺสี มิตปานโภชโน อาหารเหตุ น กโรติ ปาป ตํ เว นรํ สมณมาหุ โลเก (27/274) ในแงของที่บอกวาเปนผูมีทองพรองจริงๆแลว ในฐานะที่เราไมพูดถึงฆราวาส ฆราวาสอยางพวก เราหิวเวลาไหนก็กนิ เวลานัน้ ความยับยั้งไมคอยมีเทาไร ในสมณเพศจริงๆก็คือ ฉันวันละ 2 มื้อ ก็มีคนสงสัยอยู วา พระพุทธเจาฉันอาหารวันละ 1 มื้อหมดบาตร ไปนึกถึงบาตรที่พระเราถืออยูทุกวันนี้ พระพุทธเจาฉันอาหาร วันละ 1 บาตร ก็ตองอิ่มอยูแลว แสดงวาทองไมพรอง บางคราวก็ครึ่งบาตร บางคราวก็เสมอขอบ ปากบาตร อันนี้ตรัสไวในมหาสกุลุทายิสูตร แตวาสาวกของ เรา หมายถึงพระพุทธเจานะครับ บางรูปฉันเพียงวันละขันเล็กๆ ตรัสไวนะครับ ถาสาวกจะนับถือเราดวยเหตุที่ มีอาหารนอยก็ไมได เพราะวามีสาวกบางทานที่ทําดีกวา พระพุทธเจาตรัสนะครับ แตที่สาวกนับถือเราโดยไม เสื่อมคลาย เพราะวาเราเปนผูมีปญญา ที่จะบอกทางพนทุกขใหแกสาวกได แลวก็สาวกผูที่มีความเดือด รอน มาหาก็สามารถแกปญหาใหแกสาวกได นีค่ ือเหตุที่ทําใหสาวก มีความเลื่อมใสไมเสื่อมคลาย แมจะละสมณเพศ ไปแลวก็ตาม คือบางคราวอาจจะฉันมากหนอย บางคราวอาจจะฉัน นอยหนอย พระพุทธเจาบิณฑบาตก็ไมแนเสมอไป วาจะไดเต็มบาตร ทุกวัน แลวก็ไมแนวาจะเสวยหมดทั้งบาตร อาจารยทองขาวสนทนาวา มีขออาจจะนอกเรื่องนิดหนึ่ง ตําราในพระไตรปฎกมีบอกไว ไหมวา มีคนเอาเนื้อหมู เนื้อไก เนื้อปลา ไปถวาย เคยมีปรากฏ ไหมครับอาจารยวศิน มี ในชีวกสูตร หมอชีวกนําเนื้อวัวไปถวาย พระพุทธเจาเสวย แลวพวกนิครนถก็ติเตียนวาทรงฉันเนือ้ โพ ทะนาวากิน ของที่มีกลิ่นคาว (อามคนฺโธ) พระพุทธเจาทานก็ตรัส แตไมไดอยูใ นชีวกสูตร อยูในอามคันธสูตร พระพุทธเจาทานตรัสวา เราไมไดกลาวสิ่งนี้วากลิ่นคาว แตกลาวกายทุจริต วจีทจุ ริต มโนทุจริต วาเปนกลิ่นคาว ทานตรัสอยางนั้น เหมือนกับมีคนไปถามทานพุทธทาสวา ฉันมังสวิรัตฉันเนื้อ อะไรจะดีกวากัน ทานพุทธทาสก็บอกวา การกินไมใชจะไปชี้ วาเปนคนดีคนชัว่ จะดีจะชัว่ มันอยูที่การกระทํา ทานบอกวา กิน แตผักก็เปนคางเปนลิง ถาไปยึดติดวากินเนื้อก็เปนยักษเปนมารไป ก็ไมไดไปยึดมั่นวาเปนเนื้อหรือเปนผัก แตคิดวาเปนอาหาร ทานวา
อยางนั้น หมอชีวกก็ไปกราบทูลวา เดียรถียต ิเตียนวาพระผูมีพระภาคยังเสวยเนื้อ มิสมควร พระพุทธเจาทานก็ บอกวา พวก นี้ก็อยางนั้นแหละ หมอชีวกก็กราบทูลวา เดียรถียนิครนถคอยแตจะหาทางติเตียนทานอยูเรื่อย พระพุทธเจาก็ตรัสกับหมอชีวก วาอนุญาตใหบริโภคเนื้อสัตวที่บริสุทธิ์โดยสวนสาม คือไมรู ไมเห็น ไมไดยิน ไมไดเห็นวาเขาฆาเพื่อตน ไมไดทราบวาเขาฆามาเพื่อตน หรือไมไดรงั เกียจสงสัยวาเขาฆามาเพื่อตน แตวาเปน ของที่ทํา โดยปกติอยูแลว เปนตวัตมังสะ ไมใชอุทิสมังสะ ตวัตมังสะ แปลวาเนื้อทีม่ ีอยูโดยทัว่ ไป อุทิศมังสะ เปนเนื้อที่เขาฆาเจาะจง อาจารยทองขาว เทาที่สังเกตดูในเมืองไทยของเรา สมมุติวาผมจะบวชลูกผม ก็ตองมีงานเลี้ยง สมมุติ พรุงนี้จะนิมนตพระมาฉันเพลที่บาน ก็ลมวัวสักตัวหนึ่ง คิดตั้งใจจะ แกงเนื้อวัวไปถวายพระอยางนี้ จะมีปญหา กับพระไหมอาจารย ถาพระทานไมทราบ เขาเกณฑอันนั้นก็ไมเปนไรครับ ถือ วาเขาทํากินกันเลี้ยงแขก เลี้ยงชาวบาน แตวา นิมนตพระไปดวย ก็ถวายพระดวย ไมไดตั้งใจวาจะตองทําถวายพระโดยเฉพาะ อาจารยทองขาว ในแงของพระเองก็หมดปญหาเรื่องนี้ ไป ไมมีสวนตองเขาไปรับผิดชอบเรื่องบุญเรื่อง บาปของเขา แลวก็ไมไดทําตัวใหเปนคนเลี้ยงยาก เขาเลีย้ งอยางไรก็ ฉันอยางนัน้ ก็หมดปญหาไป บางทีทานที่ฉันอาหารมังสวิรัติ เวลานิมนตไปที่ไหนเขา จะตองสงสัญญาณไปลวงหนาวา อาตมาไมฉัน เนื้อ อยางนี้ถอื วาผิดไหม ก็ไมสมควรทําอยางนั้นนะครับ ไมไปเสียก็ได ถาไป ก็ระงับไวชวั่ คราวก็ได ถาทาน สันโดษในธุดงค นี่เปนวัตรสันโดษ ในวัตร ก็เก็บธุดงคหรือวัตรนี้ไวชั่วคราวก็ได เก็บวัตรไวชวั่ คราว มีเรื่องเลาในอรรถกถา คือพระเถระสองพี่นอง พี่ก็ถือธุดงคฉันหนเดียว วันหนึ่งนองชายก็เอาน้ําออยไป ถวาย พี่ชายก็บอกวาวางไวที่นั่นแหละ นองชายก็ถามวาทานถือธุดงคขอฉันหนเดียวหรือ พอนองชายถามอยาง นั้น เพราะวาตองการปกปดขอธุดงคของตัว ก็เลยบอกเอามาเถิด เอามาเถิด แลวก็ฉนั เมื่อนองชายกลับแลวก็ สมาทานธุดงคใหม คือไมตอ งการใหรูแมแตนองชาย เปนพระดวยกันนี่แหละ วาถือธุดงคขอนี้ที่วาฉันหนเดียว อันนี้ก็เปนปฏิปทาของผูขัดเกลา ถึงแมจะไปปฏิบัติเครงครัดอยางไรก็ไมตองการใหแมแตพระดวยกันรูวาตัวเอง ปฏิบัติอยางนัน้ คือเกรงไปในทางวาจะเอียงไปในทางโออวด ก็เลยตองการปกปด ยอมระงับหรือเก็บธุดงค ชั่วคราว แลวคอยสมาทานใหม ก็เปนปฏิปทาที่ดี ทานเรียกวา ธุตังคอัปปจโฉ มีความปรารถนานอยในธุดงค แมจะถือธุดงคขอใดขอหนึ่งอยางเครงครัดแตก็ไมปรารถนาที่จะใหใครรู
อยางมังสวิรัติ เปนวัตรนะครับไมใชธุดงค ถาจะถืออยางนั้นจะเก็บวัตรเสียชั่วคราวก็ได เพราะวาธรรมดา ไมไดมีคนนิมนตไปฉันทุกวัน เปนบางวันเทานั้น ก็เก็บวัตรได แลวฉันไปตามปกติ หลังจากนั้น วันอื่นๆคอยถือ มังสวิรัติตอไป อยางนั้นก็ทําได คือ ปฏิปทาของพระเถระแตโบราณ สมัยพุทธกาลหรือหลังพุทธกาลที่ทานปฏิบัติ กันเขมงวดและเครงครัดกับเรื่องพวกนี้มาก ความโออวดนี่ทานพยายามตบหัวมันลงไป ตอนที่พระคุณทานพระศรีรัตนโมฬี ทานขยายความวา แมแตการมานั่งหมจีวรใหเรียบรอย ใหเขาถายรูป ลงในหนังสือพิมพ ก็ไมสมควร ทานวาอยางนั้น ก็ใหดทู ี่เจตนาวาจะใหเขาคิดอยางไร มันจะกลายเปนอิริยาบถ กุ หนวัตถุ สิ่งที่มีเจตนาหลอกลวง มีอยูอยาง คือแสรงทําอิริยาบถใหเรียบรอย ใหนา เลื่อมใส แตจริงๆ ไมไดเปน อยางนั้น แกลงทําก็เปนกุหนวัตถุ ในเรื่องอิริยาบถ พูดถึงโอโนทโร เปนผูมีทองพรอง ไมเพียงแตพระและ สมณะเทานัน้ นะครับ แมแตคฤหัสถก็ตอง ปฏิบัติเชนนั้นเหมือนกัน แมจะทานหลายมื้อก็จริงแตก็ตอ งใหพรองอยู คือไมใหเต็มนะ ครับ ถาเต็มแลวมันอึดอัด ฆราวาสอยางเรารูเลย กินเชา กิน กลางวัน กินเย็น นั่งกินกัน 3-4 ชั่วโมง อยูอยางนัน้ มีบางทานเลา ใหฟง สั่ง อาหารมาเยอะมากเลย ทานไมหมดเสียดาย เขาหองน้ํา ไปลวงคออวกออกเสียดาย บางคนก็ลดความอวนดวยวิธี นี้ กิน เพราะอยากกิน แลวก็ไปลวงคออวกออก ลดความอวนก็อนั ตราย นะครับ สูการควบคุมไมได เราตองอยู กับความพรอง ถึงจะทาน วันละ 5 มื้อก็ได แตวาไมใหเต็ม มันตองพรองอยูเสมอ ทานแตพอหายหิว เหมือนที่ ทานเปรียบวาเหมือนน้ํามันหยอดเพลา ในสังยุตนิกาย พระเจาปเสนทิโกศลก็เปนคนอวน พระพุทธเจาทานใหยาลดความอวนมา ใหเปนคาถา เวลาพระเจาปเสนทิโกศลเสวย พอทานไดยนิ พระดํารัสของพระพุทธเจา ทานก็ระลึกได วางชอน คอยๆลดลงๆ ในที่สุดก็วิ่งจับเนื้อได ในแงของเปาหมายจริงๆก็คือ ไมตองการใหพระถือเอาเรื่องปากเรื่อง ทองเปนสําคัญ เปน เพียงปจจัยสิ่งอาศัยไปวันๆหนึ่งเทานัน้ เอง มีพระทานหนึง่ เลาวา ฉันอาหารวันหนึ่งอดวันหนึ่ง ฉัน วันหนึ่งอดวันหนึ่ง เขาบอกวาที่นนั่ อาหารนอย พระเยอะอาหารไมคอยพอฉัน พระทั้งวัดตองผลัดเวรกันอด สมมุติวา 10 องควันนีฉ้ ันพรุงนี้จะหยุด อีก 10 องคก็ จะฉัน เปลีย่ นเวรกันอด เปลี่ยนเวรกันฉัน ฉันวันเวนวัน สมมุติมีพระ 30 องค 15 องคแรกฉันวันนีร้ ุงขึ้นก็อด อีก 15 องคก็จะฉันสลับกันอยูอยางนี้ เดือนหนึ่งก็จะฉัน 15 วัน อาหารมีนอย แตทานก็ปรับตัวให เขากับ สังคมไดคือไมไปทําใหชาวบานเขาเดือดรอน เขามีมาถวายแคไหน ก็ฉันกันพออยู เรื่องรับประทานเปนเรื่องใหญ แตถาชาวบานมาใชปฏิปทาแบบที่พระพุทธเจาสอน คือรูจักประมาณใน อาหาร โภชเน มตฺตฺตา แลวก็ไมกนิ เพื่อเลน ไมกินเพือ่ เมา ไมกินเพื่อความสนุกสนาน กินเพือ่ อยูตามความ ตองการขั้นปฐมภูมิ มันจะชวยเศรษฐกิจไดเยอะ ทั่วประเทศเลย
พระธรรมปฎกทานบอกวา เรื่องของคุณคาอาหาร คุณคาแทกับคุณคาเทียม คุณคาแทเรากินเพื่อให รางกายมีพละกําลัง แตสวนมากเราไปติดที่คุณคาเทียม กินเพื่อเมา เพือ่ อรอย เพื่อสนุกสนาน เพือ่ อวดรวยซึ่งทํา ใหเศรษฐกิจแยกันอยูทุกวันนี้ อยางที่พระพุทธเจาทานใหพระทานพิจารณากอนทีจ่ ะฉันนะครับ ปฏิสังขาร โยนิโส ทั้งปจจัย 4 ถาฆราวาสเอามาใชดวยไดประโยชนมากเลยครับ หรือเสื้อผาอาภรณอะไรเหมือนกันจริงๆ ปฏิสังขา โยนิโส ทั้งกิน ทั้งอาหาร ทั้งเสื้อผา เสนาสนะที่อยูอาศัย ยารักษาโรคอะไรนี่ ถาใชตามที่พระพุทธเจา สอน จะไดประโยชนมากๆเลย ก็หลักสันโดษของพระพุทธเจา ทานสอนมา 2,000 กวาปแลว เปนสิ่งที่ดีมาก มี ประโยชนแกครอบครัว สังคมทั้งหมด พุทธบริษัททั้งหมด ถาไปดูคําที่พระพุทธเจาทานตรัส ทานใชคําวา ภิกขเว ภิกขเวบางครั้งก็รวมฆราวาส ดวย อรรถกถาอธิบายอยางนั้นครับ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ไมไดหมายความวา ภิกษุที่เปนบรรพชิต แตมีฆราวาส ดวย หมายถึงผูที่ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พุทธบริษัท พุทธบริษัท 4 หรือผูปฏิบัติธรรม พระองคก็เรียกภิกขเว ภิกษุ ทั้งหมด ตอนที่ปจวัคคียย ังไมไดบวช ทานก็เทศนธรรมจักรครั้งแรกเรียกภิกขเวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นที่ พระพุทธเจาสอนพระ ถาฆราวาสนําไปพิจารณาก็เปนประโยชนแกฆราวาสเหมือนกัน เรื่องความเปนผูมีทองพรองนี่สําคัญ มันจะตัดปญหาเรื่องโรคอวน โรคไขมัน โรคความดัน โรคเบาหวาน อะไรตออะไรสารพัด ที่สําคัญคือปญหาเศรษฐกิจ มันจะชวยไดเยอะ เราอยูไดโดยไมตองไปพึ่ง ตางประเทศ ถาชาวพุทธเราใชชวี ิตแบบพุทธ เราจะเปนพลเมืองที่ดี เปนพุทธบริษทั ที่ดี จะดีไปหมดครับ แตคน จํานวนไมนอยที่ดําเนินชีวติ แบบอื่นไมใชแบบพุทธ คือเปนพุทธก็จริง แตวิถีชีวติ ไมใชพุทธ ถาหากจะให กลมกลืนก็ตองเปนชาวพุทธและใชวิถีชีวิตแบบชาวพุทธดวย อยางวัฒนธรรม ความหมายของวัฒนธรรมก็หมายถึงวิถีชีวิต แตพอแสดงวัฒนธรรมเราก็มารําใหดูวานี่ คือวัฒนธรรมของไทย จริงๆแลววัฒนธรรมก็คือวิถีชีวติ วาชาวไทยมีวิถีชีวิตอยางไร เปนอยูอยางไร เปนอยู อยางพุทธ ก็โภชเนมัตตัญุตา มักนอย สันโดษ ขยันหมั่นเพียร ใชเวลาเปนประโยชนมากที่สุด นี่คือวิถีชีวิต ของพุทธ ทีนี้เรากลายเปนวา การพักผอนคือการไมทํางาน เห็นการทํางานเปนความเหน็ดเหนื่อย การพักผอนคือ การไปเที่ยว ไปกิน ไปเลน ไปเมา คือการพักผอน ที่จริงการทํางานก็เปนการพักผอน ถาเผื่อวาเปนงานที่เรา ชอบ แลวเราก็ทําไปเรื่อยๆ เมื่อเราชอบปติกับงานนัน้ มันก็เปนการพักผอน ไดทงั้ ผลงานทั้งการพักผอน ไดทั้ง ประโยชนเยอะแยะ การไมเห็นแกปากแกทอง ที่เราเคยเรียนในนวโกวาท เขียนวาอันตรายแกภิกษุผูบวชใหม แตใน พระไตรปฎกทานไมได บอกวาสําหรับผูบวชใหม บอกวาอันตรายสําหรับภิกษุสามเณร ทั้งหมดเลย 1. อดทนตอคําสั่งสอนไมได ขี้เกียจทําตาม คือตอน เปนฆราวาสบางทีก็เปนใหญเปนโตมา พอมา บวช บางทีพระเณร รุนลูกรุนหลานบวชกอน พอมาบอกไอนั่นควรไอนี่ไมควรก็ไม เอาแลว ไมอยูดกี วา 2. เห็นแกปากแกทอง อดทนตอความอดอยากไมได
3. เพลิดเพลินในกามคุณ อยากไดสุขยิ่งๆขึน้ ไป 4. รักผูหญิง นี่ก็เปนอันตรายของภิกษุสามเณร พุทธบริษัทของเราก็จะ เห็นในหนากฐินนีแ่ หละ จะเห็นที่หนาวัด ทาน จะเขียนเปนภาพ จระเขบาง คลื่นบาง น้ําวนบาง ปลาฉลามบาง เอาไวหนาวัด อันนี้คืออุปมาแสดงออกมาเปน รูปธรรมของอันตรายของภิกษุ สามเณร 4 อยาง คือ 1. อดทนตอคําสั่งสอนไมไดทานเปรียบคือ อูมิภยัง 2. เห็นแกปากแกทอง ทนความอดอยากไมได ทาน เปรียบเปนจระเข กุมภีลภยัง 3. เพลิดเพลินในกามคุณ อยากไดสุขยิ่งๆขึน้ ไป ทาน เปรียบดวยน้าํ วน อาวัฏฏภยัง 4. รักผูหญิง ทานเปรียบดวยปลาฉลาม สํ สุกาภยัง ในสํานวนกอนเขาก็เปรียบวา ถูกลากเอาไปกิน เปรียบมาตุคาม เหมือนกับรากษส มีขอความอีกนิดที่ผมจะขอสอนในขอนี้ คือ ไมพูดเพื่อไดลาภ อันนีส้ ําคัญมาก เวลานี้รูสึกวาไมคอยจะถือกันเทาไร มักเห็นเปนเรื่องธรรมดาเปนการพูดเพื่อไดลาภไป เพื่อหาลาภ อันตรายเหมือนกันนะครับ อันตรายตอพระพุทธศาสนา เพราะมันไมใชโมไนยปฏิปทา จริงๆพระพุทธเจาทานก็ เขมงวดมากนะครับ ทานหามมาก อยางกฐินมีบางวัดขึน้ ปายไวเลยวาเชิญชวนทอดกฐิน เพียงแตพูดวา ปนี้ที่วดั อาตมายังไมมใี ครทอดกฐิน แคนี้ก็เปนปริกถาชัดเจน ไมตองไปขึ้นปายอะไร ฉะนั้น ทานผูฟงที่ขับรถผานไปวัดไหนเห็นขึ้นปาย เชิญชวนทอดกฐินก็เลยไปเลยนะครับ ไมตอ งแวะไป กฐินที่เราไปทอดจะไมเปนกฐิน ไมไดประโยชนตามพระธรรมวินัย บางรูปเห็นอุบาสกเขาหาบน้าํ ตาลสดมา สวนทางกันก็ถาม วา โยมหาบอะไรมา หาบน้ําตาลครับทาน คงไมใชแลวมัง้ ถาใชน้ําตาลพระคงไดฉนั บาง อุบาสกก็รูแลว ออ! นีป่ ริกถา ก็เลยวางหาบลงถวายซะเลย ทานที่ สนใจเกีย่ วกับเรื่องนี้ผมแนะนําใหอานวิสทุ ธิมรรคตอนที่วาดวยศีลและคาถา สีลนิทเทสหัวขอที่วาดวยอาชีวปาริ สุทธิ ก็นาสนใจนะครับ ไมพูดเพือ่ ใหไดลาภ ทีท่ ําไปเพื่อให ขัดเกลากิเลส เราพูดกันงายๆวาตอนนี้ วัด ตางๆก็สรางวัตถุกัน ใหญโตมโหฬาร มันก็จําเปนตองหาเงิน ถาหากเราไปดูวัด ในสมัยโบราณ อยางวัด พระเชตุพน พระก็ไมไดสราง แต พระมหากษัตริยเ ปนผูสราง สมัยกอนฆราวาสเปนผูสรางวัด ตอนนี้ เปนพระสรางวัด เพื่อใหตวั เองเปนเจาอาวาส มันก็ตองหาเงินมาหลายวิธีอยางทีว่ า โดยหลักจริงๆแลวฆราวาส เปนผูถวายปจจัย 4 สมณะก็เปนผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แลวก็ใหธรรม สงเคราะหคฤหัสถดวยธรรม
8. ยินดีในที่สงัด พอใจในฌาน ขยายความนิดหนึ่ง อันนีก้ ็เปนหนึ่งในโอวาทปาติโมกข ที่วา ปนฺตฺจ สยนาสนํ ทีน่ อนที่นั่งอันสงัด อธิ จิตฺเต จ อาโยโค พอใจในฌาน ความสงบ สงัดมันมีรสในตัวเอง ทานเรียกวา อเสจนโก มีรสในตัวเอง ไมตอง ปรุง คลายรสผลไมมันมีรสของมันเอง ถาเราจะไปกินกวยเตี๋ยวมันตองปรุง ไมมีรสในตัวเอง เพราะ ฉะนั้น ความสงบ หรือสันติมันมีรสในตัวเอง ไมตองปรุงแตง แตถารสของสิ่งอื่นซึ่งไมใชรสของสันติมันตองปรุง เชน รสของความสุขมันก็ตองปรุงแตง ฉะนัน้ ผูที่ยินดีในที่สงัดสงบนี้ ถาใจคุนกับความสงบแลวก็จะมีรสในตนเอง แปลวาอยูไ ดดว ยตนเอง โดยไมตองมีใครก็ได ก็เปนขอที่นาจะนําไปใชไดในคนทั่วไป ฝกใหคนุ กับความสงบ สงัด ที่นั่ง ที่นอน ที่สงบสงัด แลวก็อยูไดมีความยินดีในที่สงัด แตบางคนอยูไมได เคยมีเพื่อนบางคนบอกวาอยู คนเดียวไมได อยูสงบไมได ตองอยูกับหมูค นเพื่อนฝูง ตองไดยินเสียงรถทํานองนี้ แลวพอใจในฌานก็สงบอีก ฌานมี 2 แบบ คือ 1. อารัมมณูปนิชฌาน หมายถึง การเพงอารมณ เพง อารมณคือสมถะ 2. ลักขณูปนิชฌาน คือ เพงลักษณะ ก็คือไตรลักษณ เพงไตรลักษณเปนวิปสสนา พอพูดถึงฌานใน ลักษณะนี้ ก็เปนสมถะก็ได เปนวิปสสนาก็ได ขอยอนกลับไป เราไปเฉพาะเจาะจงยังไงถึงเรียกวาสงัด ที่นั่งที่นอนสงัด ก็ไปพูดถึงวิเวกหนอยนะครับ กายวิเวก คือ ไดที่สงัดกาย ไมเปนที่พลุกพลาน หางไกลการพลุกพลาน ใครที่ยินดีในที่เชนนัน้ ถือวา ยินดีในที่สงัด นี่เปนการสงัดกาย จิตตวิเวก สงัดจิต อันนี้อยูท ี่ไหนก็ไดถาเผื่อวาใจสงบ ก็ถือวาไดความสงัดจิต ถาไดฌานดวยก็จะเต็มรูป เพราะความหมายเต็มรูปของจิตตวิเวกหมายถึงฌาน ถาผอนลงมาก็ถาจิตสงบไดในที่ใด แมจะนั่งอยูทามกลางคน จํานวนมากก็ถือวาไดจิตตวิเวก ไดความสงบจิต อุปธิวิเวกคือสงัดกิเลส ถาไมมีกิเลส อยูที่ไหนก็ตามก็ได อุปธิวิเวก เหมือนที่ทานกลาวไววา พระ อรหันตอยูทใี่ ดจะเปนบานหรือเปนปาก็ตาม ที่นั่นก็เปนรมณียสถาน พูดตรงนี้ผมนึกถึง อารฺคโต วา สฺุาคารคโต วา รุกฺขมูลคโต วา การไปปาก็ดี รุกฺขมูลคโต วา โคนไม ก็ดี สฺุคารคโต วา สุญญาคารก็ดี สุญญาคารสวนมากเราจะแปลวาเรือนวาง เรือนราง ถาพูดตามไวยากรณก็ เปนวิเสสนปุพพบท ผมคิดวาหายากนะ แตถาแปลอีกอยางหนึ่งก็นาจะเหมาะสมกวา คือแปลวา สถานที่ที่วาง จากเรือน วิเคราะหเปนวา ที่ใดวางจากเรือนที่นั้นเปนสุญญาคาร คือที่ๆไมมีเรือน หรือหางไกลจากบานเรือน จะดีกวาเหมาะสมกวา เหมือนสุญญากาศที่แปลวาไมมอี ากาศ สุญญาคารก็สถานที่ที่ไมมีอาคาร ทํานองนั้นนะ ครับ ขอเสนอนะครับ
มีภาษิตอยูบทหนึ่งจะขอนํามาผนวกในทีน่ ี้นะครับ ความสุขอยางอื่นยิง่ กวาสมาธิไมมี ความสงบสงัดนี่ก็ เปนสมาธินะครับ ไมมีทั้งในโลกนี้และโลกหนา ผูที่มีใจสงบแลวยอมไมเบียดเบียนผูอื่นและไมเบียดเบียนตน น สมาธิปโร อตฺถิ อสมิ โลเก ปรมฺหิ จ อยูในสีลวิมังสชาดกคือ สุขอื่นยิ่งกวาสมาธิไมมีทั้งในโลกนี้และโลกหนา เพราะวาผูที่มใี จสงบแลวยอมไมเบียดเบียนตนและไมเบียดเบียนผูอื่น มันมีขอคิดที่วา ตามธรรมดาแลวเราถือวาปญญาเปนคุณ ธรรมที่สูงสุด ไมใชสมาธิ สมาธิตองเปนไปเพื่อ ปญญา คือสมาธิ เปนฐานใหเกิดปญญา แตไมใชจบแคสมาธิ แตในทีน่ ี้ถาคนมาอาน เฉพาะตรงนี้กจ็ ะเชิดชูสมาธิขึ้นมา วาไมมีธรรมอยางอื่นยิ่งกวาสมาธิ นี่เปนคําเปลง อุทานของพราหมณปุโรหิตที่เปลงอุทาน เมื่อเดินไปเจอผูที่กําลังนั่งสมาธิอยู คือทานตองการหนีความวุนวายไป หาความสงบ พอไปเจอคนที่นั่งสมาธิอยูทานก็รูสึกวาความสงบและความสุข ยิ่งกวาสมาธิ คงจะไมมีทั้งในโลก นี้และโลกหนา ทานเปนพราหมณปุโรหิต แลวทานก็ลาพระราชาออกบวช ระหวางทางก็เจออะไรตออะไร เยอะแยะ แลวชวงหนึ่งก็มาเจอผูที่กําลังนั่งสมาธิอยู ก็เปลงอุทานออกมา ถือวาเปนธรรมสัจจะ ไมใชสัจธรรม คือมันเฉพาะเรื่อง เฉพาะคน เฉพาะกรณี จะเอาภาษิตนี้ไปเปนสากลไมได เทาที่เราปฏิบัติสมาธิกันทุกวันนี้ บางทีเราก็ดูวาไปที่ สํานักไหนก็สอนใหหลบทุกข ไมใชแกทุกข ให หลบทุกขไปนัง่ สมาธิ สมมุติเกิดปญหาที่บา น แกปญหาไมไดกห็ ลบไปนั่งสมาธิ พอจิต สงบก็อาจไปติดสมาธิ แตปญหามันแกไมได สวนใหญก็จะเปน อยางนั้น ไมไดแกปญหา มีคนหนึ่งรูจกั คุนเคยกัน ตอนนั้นเขากําลังวาวุน เพื่อนเขาก็แนะนําใหไปนั่งวิปสสนา ถามวาทําไมเพื่อน เราแนะนําอยางนั้น เขาบอกวาเพื่อจะไดไปดูตัวตน เห็นตัวตน ทีนี้เขาโทรฯมาปรึกษาผม ผมก็บอกวาทํา วิปสสนาเพื่อจะไดไมมีตัวตน คือไปทําวิปสสนาเพื่อละลายตัวตนจะไดไมมีตวั ตน ไมใชเพื่อไปดูตัวตน คนที่มีความทุกขแลวไปทําสมาธิ ที่จริงถากําลังมีความทุกข อยู ไปทําสมาธิจะไมคอ ยไดผลนะครับ คนที่ มีความทุกขตอ งเจริญ วิปสสนา วิปสสนามันจะเกีย่ วของกับไตรลักษณ ใหพิจารณาความ ไมเที่ยง พิจารณาทุกข พิจารณาความไมมี ตัวตน อีกประการคือ ความสุขเปนเบื้องตนของสมาธิ ไดสุขแลวจึงไดสมาธิ มันไล กันมา ตองมีสุขนํากอน จึงมีสมาธิได ถากําลังมีความทุกขอยูสมาธิ ไมเกิด นีเ่ ปนอะไรลับๆอยูที่คนไมคอยรู พอมีความทุกขขึ้นมาก็ ไป นั่งสมาธิ มันไมได จะไมไดสมาธิ ตองทําวิปสสนา แตคนที่มี ความสุขนั่นแหละตองนั่งสมาธิ เพราะสุขเปน เบื้องตนของสมาธิ แลวคนที่มีความสุขมักจะเพลิดเพลิน ราเริง หลงใหล ไมสงบ ไปทําสมาธิใหสงบหนอย ดีกวาวิปสสนานี่ทําอยูบานก็ได ที่สําคัญใหรูหลักวา วิปสสนา เขาทําอยางไร ไมตอ งนั่งอยางเดียว เดินก็ได นอนก็ได ยืนก็ได พิจารณาไตรลักษณ สมมุติวาปญญาที่เกิดมันก็เปนไตรลักษณ อยู สักวันสองวัน เดี๋ยวมันก็ไป
แลว มันไมเทีย่ ง ความทุกขก็ไมเที่ยง ความสุขก็ไมเที่ยง ถายอมรับสภาพอยางนี้ไดเราก็สบาย ทีนี้ถา หากพอมี ทุกขขึ้นมาหลบไปนั่งสมาธิ ปญหามันก็แกไมได ยังไมไดแก ไปนานๆเขาก็เปนดินพอกหางหมูเขาไปอีก ตอง ใชปญญาคือวิปสสนา พิจารณาความจริงตามที่มันเปนจริง
9. คิดอยูเสมอวา ไดก็ดี ไมไดก็เปนกุศล อันนี้เปนคาถาศักดิ์สิทธิ์ (เปนหัวใจสําคัญ) ที่จะทําใหเกิดความสงบใจ สวางโลง ปลอดโปรง เปนผูคงที่ ในการไดและไมได เหมือนคนเขาใกลตนไมเมื่อไมตองการผลและอะไรๆจากตนไม จะไดหรือไมไดก็ไม เดือดรอน เหมือนกับถาเราจะคบใครสักคน ถาเราไมตองการอะไรจากเขา เราก็คบคนไดทุกคน แลวทุกคนจะมี อานุภาพในตัวเอง จะมากหรือนอยเทานัน้ อยางเชนหนู กับราชสีห หนูก็ชว ยราชสีหไดในนิทานอีสป นก กระสาก็ชวยหมาจิ้งจอกไว สัตวเล็กชวยสัตวใหญ แตในการคบคน ถาเราไมตองการอะไรจากเขา เราตองการจะ อนุเคราะหเขา เราก็คบคนไดทุกคน ฉะนั้นก็คงเปนผูที่คงที่ในการไดและไมได ในสังคมเราคบกับใคร บางทีก็มองวาเราจะไดอะไรจากเขา เราควรเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม แทนที่เราจะตั้งใจวาทํายังไงเราจะไดเพื่อนที่ดี สักคน เราตั้งใจเสียใหมวา ทํา ยังไงเราจะเปนเพื่อนที่ดีของใครสักคน คือไมตองนึกวาใหเขามาดีกับเรา เมื่อเราคิดอยางนี้ ก็ไมไดคาดหวังวาเขา จะดีกับเราแคไหนอยางไร แตเราอยากจะ เปนเพื่อนที่ดีกับเขาสักคนหนึ่ง อยางนัน้ เราก็ไม Complain วาอยาง นั้นอยางนี้ ปญหาก็อยูที่ตวั เราอีก การที่จะไปเปนเพื่อนที่ ดีกับใคร ก็ตองอยูที่ตวั เรา ถาเราคิดอยางนี้นะครับ เราจะเริ่มสรางคุณสมบัติของเพื่อนที่ดี คุณสมบัติของเพื่อนที่ดีเปนอยางไร เราก็ พยายามทําอยางนั้น แตถาเราตองการวาทํายังไง เราจะไดเพื่อนที่ดี เราก็เล็งไปที่คุณสมบัติของเพื่อน ไมใช คุณสมบัติของเรา ถาเปลี่ยนใหม เราก็จะสบายขึ้น เพราะเรามุงไปในทางให ไมตองการไดจากเขา ตั้งจิตจะเปน เพื่อนที่ดีของผูอ ื่น เมื่อเราเปนเพื่อนที่ดกี ับคนอื่น ทุกๆคนที่มาเกีย่ วของกับเรา เราดีกับเขาหมด ก็เทากับวาเรามี เพื่อนเยอะ แตถาเราไปตั้ง Spec ไว บางทีมันก็ลําบากเหมือนกัน เราไปกําหนดคุณสมบัติของเขา โดยที่บางทีเราไมไดคํานึง ถึงคุณสมบัติของเราวาเราจะเปนเพื่อนที่ดีของ เขาไดแคไหน แตถาเราตั้งใจเสียใหมแลวเราจะมีคุณสมบัติที่ดี ใครมาเขาใกลเราก็จะมีคุณสมบัติที่ดี มาถึงที่วาเปนผูคงที่ในการไดและรับ เหมือนคนเขาใกล ตนไม เมื่อไมตองการผลและอะไรจากตนไม ไดหรือไมไดก็ไม เดือดรอน อยางนีแ้ สดงวาตองการเห็นความสุขของผูอื่น เห็น ความสุขของคนอื่นมากกวาที่ จะใหคนอื่นทําความสุขใหกบั เรา เปน เรื่องของคนเสียสละ เปนสัจธรรม
ถาเราไปดูปฏิปทาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ถาพระองคมีความยินดีในลาภสมบัติทานก็จะมี ความสุขสบายไปตลอดชีวิต แตทานก็เสียสละความสุขสวนพระองคออกผนวช เสด็จพระบาทเปลาๆรอนแรมไป เนิ่นนาน แสดงวาเห็นประโยชนสุขของคนอื่นมากกวาของตัวเอง โลกัตถจริยา ทีท่ รงประพฤติประโยชนแกโลก บางทานอาจจะสงสัยเรื่องไดก็ดี ไมไดกเ็ ปนกุศล ขอขยาย ความวา บางทีเราไดมามันก็ดีถาเราจัดการ มันดี ถาจัดการไมดีมันก็เปนโทษ ที่เราเรียกวาทุกขลาภ
10. ไมใบทําเปนเหมือนใบ ไมหมิ่นทานวานอย ไมดแู คลนผูให บริโภคปจจัยเหมือนเลียหยาดน้าํ ผึ้งจากมีดโกน ดวยความ ระมัดระวังเกรงจะบาดลิ้น รักษาจิตใหพน จากกิเลสในการบริโภค กดเพดานปากไวดวยลิน้ คือบรรเทาความ อยากในรส เปนผูสํารวมทอง คือไมเสพปจจัยที่เกิดในทางอันเศรา หมอง ไมบริสุทธิ์ และไมชอบธรรม เริ่มจากไมใบทําเปนเหมือนใบ ก็มีคํากลอนที่ทานวา ปากเหมือนปู หูเหมือนตะกรา ตาเหมือนตะแกรง ปากไมแพรง หูไมอา ตาไมเห็น เปนหลักธรรม นําให หัวใจเย็น คนควรเปน เชนนั้นบาง ในบางคราว คือไมใบทําเหมือนใบ ปากเหมือนปูพูดไมได หูเหมือน ตะกรา หูตะกราไมไดยิน ตาเหมือนตะแกรง ไมเห็น ควรเปนบาง คราวนะครับไมใชตลอดไป บางคราวจําเปนตองเปนอยางนี้ ก็ทําอยางนี้ ทําเปนไมเห็นบาง ไมไดยนิ บาง ชวงไหนควรทํา ดูที่ประโยชนนะครับ ตัง้ ประโยชนเปนหลัก พูดไปก็ไมมีประโยชน ฟงไปก็ไมมี ประโยชน ทํานองนี้ครับ สมมุติวาเราเปนหัวหนาครอบครัว เราจะไปถือวาไมพูด พอเราเห็นวาลูกทําอยางนัน้ อยางนี้ เราทําเฉย เสีย มันเขาในขอนี้ไหม บางคราวครับ เชน บางทีเรากําลังโกรธอยู เราก็พูดกระทบกันบาง เราก็ทําไมรูไมเห็น เสียบาง ไมงนั้ ก็ตอปากตอคํา ทะเลาะกัน พออารมณเราเย็นแลวคอยพูดกัน เดีย๋ วเขาก็มาขอโทษเราเอง ครอบครัวๆหนึ่ง พอมักเปนคนอารมณฉนุ เฉียวเห็นลูกทานขาวหกเม็ดสองเม็ดก็ตี อยางนี้ก็เกินไป ลักษณะอยางนี้ลูกอาจจะผิดจริง แตเราเปนพอนี่ชวงนี้เราอาจทํามองไมเห็นเสีย พอมีโอกาสไหนที่จะพูด ไดก็มาพูดกับลูกวา อยางนีไ้ มดีนะ อยางนี้ไมไดนะ ก็จะเรียกวาเปนลักษณะใบเปนบางครั้งบางคราว ยิ่งใน ครอบครัวยิ่งจําเปน ไมหนวกทําเปนหนวกเสียบาง ไมบอดทําเปนบอดเสียบาง จะสงบรมเย็นยิ่งขึ้นนะครับ
ทีนี้มาถึง ไมหมิ่นทานวานอย คือใครจะใหอะไรเทาไร ก็ไมดหู มิ่นวาเขาใหนอยเหลือเกิน เพราะวาเขามี กําลังนอยก็ใหนอย ถาเขามีกาํ ลังมากแตใหนอยก็ไมวา ทีส่ ําคัญคือ ไมดูแคลนผูให เขาก็ใหตามกําลังตามสภาพ ของเขา แตหนาที่ของผูรับคือ รูจักประมาณในการรับ ใหดูปจ จัยกับทายก ทายกมีปจจัยมาก ตองการจะใหมากก็ รับแตพอประมาณ ถาเขามีปจจัยนอย แตตองการจะใหมากก็รับแตนอ ย ที่สําคัญไมตําหนิของที่เขาให เขาจะให ของดีหรือไมดี ใหมากหรือนอยไมตําหนิ เพราะการตําหนิของที่เขาใหแสดงถึงการขาดน้ําใจ มีปฏิปทาของพระรูปหนึ่ง วันหนึ่งมีชาวบานใกลๆวัดเขาไปคุยกับทาน นั่งคุยโดยที่ไมแสดงความ รังเกียจ ขณะนั้นก็มีเศรษฐีผูหนึ่ง เอาที่ไปใหทานดูเพือ่ จะถวายที่ราคาแพง ทานก็รูวาเศรษฐีมารอแลว แตทานก็ ยังคุยกับชาวบานที่มาพบอยู ปรากฏวาคนที่มาถวายที่รออยูประมาณ 1 ชั่วโมง ชาวบานก็จากไป พอเขาไปทานก็ ดูที่แลวทานก็บอกวามันก็ดี แตวาไมเปนประโยชน ตอการไปสรางสํานักปฏิบัติ ทานก็ไมรับ คือวาไมเปน ประโยชน ไมรับก็ได แตชาวบานบางทีกเ็ ขาใจผิดวาพระปฏิเสธไมได ที่จริง ทานใหดูความสมควร เปนสันโดษ อยางหนึ่ง ยถาสารุปปสันโดษ สันโดษตามสมควร ถาเผื่อเขาเอาของมาให ของมันไมสมควรก็ไมรับก็ได หรือ บอกใหเขาไปทําอะไรที่เปนประโยชนมากกวา ก็จะดูดี ในสังคมไทยปจจุบัน ไมวาใครก็จะ โอโฮ! คนมีเงินมีทอง ทั้งตอนรับทั้งอะไร แตถาเปนชาวบาน ธรรมดา คือมองไมเห็นเลย อันนี้ตองฝกใจใหเปนธรรม วาผูที่มาปรากฏเฉพาะหนาเราเปนผูมีเกียรติ ไมวาเขาจะ เปนคนมั่งมีหรือยากจน เขาจะมียศศักดิห์ รือไมมี ตองดูตัวอยางพระพุทธเจา ถาอานในธรรมบท จะเห็นวา บางครั้งพระเจาแผนดินไปรอนิมนตพระพุทธเจา ยาจกไปรอนิมนตพระพุทธเจา พระพุทธเจารับนิมนตคนจน กอน จะมีอยางนี้บอยนะครับ แมแตเทวดามาดักถวายอะไรทาน ทาน บอกวาไมรบั ทานมุงหนาไปโปรดคน จน วรรคตอมา บริโภคปจจัยเหมือนเลียหยาดน้ําผึ้งจากมีดโกน นี่ก็ถาเราจําเปนตองบริโภคน้ําผึ้ง แตมนั ติด อยูที่ปลายมีดโกน คนนัน้ จะบริโภคอยางไร ก็ตองระวังเต็มที่ใชไหมครับ ไมใหมีดโกนบาดลิ้น ก็บริโภคปจจัย นั้นๆดวยความระมัดระวัง ไมเลน ไมเมา ไมเพื่ออยางอื่น แตเพื่อหลอเลี้ยงชีวิตใหอยูไดเพื่อบําเพ็ญประโยชน ตอไปเทานั้น ถาไปบอกวาโยมทุมสุดตัวเลย มีบานขายบาน มีควายขายควาย ทําบุญใหหมด ไมไดไมสมควร อยางยิ่ง พระอริยะทานไมเคยทําอยางนัน้ ทานมีแตบอกวาใหรูจักประมาณ พอประมาณ ในการทําบุญก็ให พอประมาณ พระหรือมุนีทจี่ ะรับ จะตองรับเหมือนกับวาไปเลียหยาดน้ําผึ้งจากมีดโกน พระพุทธเจาทานสอนวา มุนีเขาบานใหเหมือนกับแมลงภู ที่บินเขาสวนดอกไม ไมทําใหสี รส กลิ่น ดอกไมเสียไป เอา แตรสของดอกไมแลวก็บินไป มุนีเขาบานก็ทําตนเชนนั้น คือไม กระทบศรัทธา ไมกระทบ โภคะของทายก รับอาหารแตเพียงพอ เลีย้ งชีวิตแลวจากไป ถาไปมักมากก็จะไปกระทบโภคะของเขา กระทบ ศรัทธาของเขา ทําใหเขาเสียศรัทธา ซึ่งเริ่มจะมีอยูแ ลว และทําใหคนที่เลื่อมใสไมเลื่อมใส คนที่เลื่อมใสแลว คลายความ เลือ่ มใสลง พอพูดถึงหยาดน้ําผึ้งก็นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ทานเลา เปนนิทานเปรียบเทียบเอาไว
ชายผูหนึ่งหนีชางวิ่งลงน้ํา ไปเจอจระเข จึงปนขึ้นตนไมพบงู 2 ตัวกําลังชูคอจองอยู เขาเหนื่อยแลวก็ ออนเพลียมองเห็นรวง ผึง้ กําลังหยดอยูร ะหวางปากงู ก็ตัดสินใจเอาปากรองน้ําผึ้ง ตาก็เหลือบดูงทู ั้งสอง มอง ไปที่โคนไมมชี างเฝาอยูก็ไมกลาลง ลงน้ําก็เจอจระเข ขึน้ ไปขางบนตนไมก็เจองู แลวมองไปขางหนาก็เปนเหว ลึก ทีนี้เขาจะทําอยางไร เขาก็ตัดสินใจกระโดดลงเหว บังเอิญจับไดเถาวัลยที่ปกคลุมปากเหว เขาก็ไตเถาวัลยไป เพื่อใหพนจากเหว ก็เหลียวดูอีกดานหนึ่งของเถาวัลยก็เห็นหนูตัวใหญกําลังกัดเถาวัลยคอดกิว่ เขาไปทุกทีจะขาด เขาก็ตองรีบใหพนไปจากปากเหวกอนเถาวัลยจะขาด ขอถามทานผูฟงวานิทานเรื่องนี้สอนอะไร ฝากไวกอนนะ ครับ พูดถึงเมื่อกี้วา บริโภคปจจัยเหมือนเลียน้ําผึ้งจากปลายมีดโกน ก็เลยนึกถึงนิทานเรื่องนี้ได รักษาจิตใหพน จากการบริโภค อันนี้ก็สําคัญมากนะครับใน ปจจุบนั เพราะตอนนี้ปญ หาเศรษฐกิจมัน รุมเราอยู ถาหากคนไทย ดําเนินชีวิตแบบพุทธแลวก็กินนอยใชนอย มีความมักนอย ไม มักมากในปจจัย ปญหา เศรษฐกิจก็ลดลงไดเยอะครับ ชวยไดเยอะ ที่วา กดเพดานปากไวดว ยลิ้น หมายถึงวาระวัง คือบรรเทา ความอยากในรส ไมใหความอยากในรสครอบงําได เอาชนะลิ้น เอาชนะตัณหา เมื่อเปนอยางนัน้ ก็ไมมีความ จําเปนตองแสวงหา ปจจัย ไมเสพปจจัยที่เกิดในทางอันเศราหมอง ไมบริสุทธิ์ ไม ชอบธรรม ก็ชวยลด ปญหาได ชวยตัวเอง ชวยครอบครัวดวย ในชีวิตของคนเรา ถาหากจะกินพอใหมีชวี ิตอยู กินเพราะ ความหิว ทุกคนไมเดือดรอนหรอก แตวาที่ ทุกคนเดือดรอนเพราะ ไมรจู กั กิน กินในสิ่งที่อยาก อยากนี่ไมหิวหรอก แตมันอยากจะ กิน ความอยากนี่ พระพุทธเจาทานก็บอกวา นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แมน้ําเสมอดวยตัณหาไมมี ที่เราเดือดรอนเพราะไปสนองความ อยากของตัวเอง ไมใชทางนี้ทางเดียวนะครับ ทั้งหมดนั่นแหละ สนองมันทุกทาง รางกายนี้มนั ก็ทรยศ ปรนเปรอ เทาไหรก็ไมสนใจ เลีย้ งดีเทาไหรก็กบฏในบั้นปลาย ซื้อนาฬิกาผูกขอมือเรือนละเปนลาน แตตอไปขอมือมันก็ เหี่ยวมันก็แหง คือไมคุมคา ถาเลี้ยงจิตจะคุม ทําใหจิตดี พัฒนาจิต เลีย้ งจิต ดวยธรรมะ ดวยคุณธรรม เลี้ยงดวยจิตสํานึกที่ดี แตถา เผื่อมาเอาใจแตตา หู จมูก ลิ้น กาย ไมคมุ
11. มีจิตใจเขมแข็ง ไมทอแท ไมเกียจคราน มัน่ คง ในการบําเพ็ญคุณธรรมเปนนิจ ไมคดิ ฟุงซาน ไมมกี ลิ่นคาว คือ บาป อกุศลตางๆ มุงหนาสูพรหมจรรยอันไมมีตณ ั หาและทิฏฐิแฝงเรนอยู มีปกติอยูผูเดียว ประกอบการอบรมจิตอยู เสมอ มีจิตใจเขมแข็ง คือมีใจเขมแข็งพอที่จะตอสูกับสิ่งที่ไมดี พัฒนาสิ่งดี เขมแข็งพอทีจ่ ะอบรมใหสิ่งที่ดีงาม เกิดขึ้น ไมทอแท ไมเกียจคราน ในการที่จะละเวนความชั่วหรือ พัฒนาคุณธรรม มั่นคงในการบําเพ็ญคุณธรรมเปนนิจ เพราะถาไมมั่นคง แลวก็เกิดทอแท เกิดเกียจคราน ทําไปประเดี๋ยว ก็เกียจคราน ก็ ทอแท มั่นคงในการบําเพ็ญคุณธรรมเปนนิจ แมวาจะประสบทุกข ก็ไมทิ้งธรรม มีภาษิตโบราณที่ ทานพูดถึงวา ไมจันทนแมแหงก็ไมทิ้งกลิ่น สุกฺโขป จนฺทนตรุ นชหาติ คนฺธํ หัสดินทรกาวลงสูสงครามก็ไมทิ้งลีลา นา โค คโต รณมุเข น ชหาติ ลีลํ ออยเขาสูหีบยนตกไ็ มทิ้งรสหวาน ยนฺเต คโต มธุรสํ น ชหาติ อุจฺฉุ ทุกฺโขป ปณฺฑิตช โน น ชหาติ ธมฺมํ คนผูเปนบัณฑิตแมประสบทุกขก็ไมทิ้งธรรม นอกจากไมทิ้งธรรมแลวเราจะบําเพ็ญธรรมมากขึ้น เพราะเห็นวาที่เราประสบทุกขเพราะยังบําเพ็ญ ธรรมไมพอ ก็บําเพ็ญ ธรรมมากขึ้น ประพฤติธรรมมากขึ้น คนสวนมากเมื่อประสบสุข จึงประพฤติธรรม เมื่อ ประสบทุกขมักจะทิ้งธรรม แลวก็จะบนกระปอดกระแปดวาทําดีมาตลอด ทําไมความดีจึงไมสนองเรา ไมเอา แลว แตบณ ั ฑิตเขายิ่งประสบทุกขยิ่งประพฤติธรรมมากขึ้น คลายวาเมื่อพบกับความรอนยิ่งแสวงหาความเย็นมาก ขึ้น นี่เปนลักษณะของคนที่มั่นคงในการบําเพ็ญคุณธรรมอยูเปนนิจ คือไมหวั่นไหวในโลกธรรม ไมวา อิฏฐารมณ อนิฏฐารมณ เขามากระทบจิตใจก็สามารถยืนตานสิ่งเหลานี้ได เหมือนภูเขาศิลาลวนไมหวั่นไหวดวย แรงลม แลวแรงลมมันก็พัดผานไปเอง ถาเผื่อวาไมมั่นคง บางทีมันก็ยาก คนทีไ่ มเคยฝกมาเลย พอกระทบกับสิ่งตางๆที่จะทําใหเกิดความ ผิดหวังที่มนั ไมรูจะแกปญหายังไง ก็จะคิดที่จะทําในสิ่งที่นาหวาดเสียว คือเราเริ่มจะรวนเร คลอนแคลน แลวก็ หันไปหาทางที่เปนอธรรม แตคนที่มีจิตใจมั่นคงจริงๆยิง่ มีสิ่งเหลานี้กย็ ิ่งมั่นคง คลายกับมาทดสอบจิตใจวาเปน
อยางไร แลวเขาไมคิดฟุงซานไปตางๆถึงสิ่งที่ไมควรคิด ในสิ่งที่ไมควรได อะไรที่ควรได ยอมจะได อะไรที่ไม ควรไดกไ็ มได ที่สําคัญอีกอันคือ ไมมีกลิ่นคาว นิรามคนฺโธ ไมมีกลิ่นคาวคือบาปอกุศลตางๆ ถาทานผูใดตองการทราบ วากลิ่นคาว ในวินยั ของพระอริยะคืออะไร ก็ขอใหดใู น อามคันธสูตร ที่พระพุทธเจาตรัสไวในสุตนิบาต ขุททก นิกาย พระไตรปฎกเลม 25 ขอ 315 พระพุทธเจาตรัสไวละเอียดวามีอะไรบาง แตกลาว โดยสรุปเปนบาปอกุศล อาจารยทองขาวเรียนถามวา คือเรื่องนี้ไหมครับอาจารย คือเมื่อ 2 วันนี้ผมไปอุบลฯมา ไปนมัสการพระ ฝรั่งที่วัดปานานาชาติ ทานเลาใหฟงวาทานเปนคนออสเตรเลีย ทานมาบวชที่วดั ปานานาชาติได 6 พรรษาแลว แลวทานก็กลับไปอยูออสเตรเลียไดพรรษาหนึ่ง หมดพรรษาทานก็กลับประเทศไทย ในชวงนั้นพอดี ประเทศไทยกําลังฉลอง 200 ปกรุงเทพฯ ทานก็เห็นฝรั่งผูชาย 2 คนนัง่ ขางหนา ขางหลัง ถัดมาก็เปนทาน พอเขาเขตดอนเมืองทานก็เห็นประดับไฟสวยงาม ทานวาก็เออขณะนี้เราไดมาถึงดินแดนที่มี ความสวยงาม มีพระพุทธศาสนา มีความงดงามประดับประดาดวยไฟและอะไรตางๆ เมื่อมาถึงทานก็รีบไปปฏิบัติ ธรรม ทานก็คิดอยางนัน้ นะ แตในขณะเดียวกันฝรั่ง 2 คนมันก็มองไปทีห่ นาตางเดียวกันนั้น บอกเออเรามาถึง เมืองบาปแลว เดี๋ยวเครื่องบินลงเราจะไปพัฒนพงศเลย 2 คนมองไปที่จุดเดียวกันแตความคิดแตกตางกัน นี่จดั เปน บาปอกุศลตางๆหรือเปลา ใชครับ แลวแตจิตของเขา จิตเขาหมุนไปในทางนั้น มุงหนาสูพรหมจรรย พรหมจรรยคือ ระบอบการประพฤติคุณงามความดี ไมใชหมายถึงการประพฤติ พรหมจรรยอยางเดียวนะครับ หมายถึงมุงหนาสูคุณงามความดีที่ไมมที ิฏฐิตัณหาแฝงเรนอยู คือทําแบบบริสุทธิ์นะ ครับ ไมประพฤติธรรมใหทุจริต แลวมีอกี แหงหนึ่งที่ตรัสเอาไวดีวา ไมพึงเปนผูมีแผลประพฤติธรรม คือบางคน ประพฤติธรรมเหมือนกับปดแผลเอาไว ถาเปดแผลออกมาแลวเหวอะหวะก็ปดแผลเอาไว ก็ประพฤติธรรมให บริสุทธิ์ ไมมีแผลใหหวาดหวั่นวาใครจะมากระทบ แลวโดนแผลอยางนั้น มุนีนี่เปนฆราวาสก็ไดนะครับ หมายถึงปฏิปทาของผูที่มี ปญญา ผูดําเนินชีวิตดวยปญญา
12. ทําศรัทธาและหิริใหยิ่งๆขึน้ ไป เมื่อไดฟงเสียงสรรเสริญของนักปราชญทั้งหลาย ยอมสดับตาม ผูเพงฌานแลวก็ทําศรัทธาและหิริให ยิ่งๆขึ้นไป คือ มีศรัทธาในโมไนยปฏิปทาอยางหนักแนน เพราะปฏิปทามานี้เปนทีส่ รรเสริญของนักปราชญ ให ทานแกนักปราชญผูกอปรดวย ประ โยชนดําเนินไปอยางสงบเหมือนการไหลของหวงน้ําใหญไหลนิ่ง สวนน้ําใน หวยในหนองในเหมืองไหลเสียงดัง คนพาลเปรียบเหมือนหมอน้ําที่พรอง บัณฑิตเหมือนหมอน้ําหรือหวงน้ําที่ ใหญที่เต็ม แมรูมากก็สํารวมตน กลาวแตถอยคําที่จะนําแตประโยชนและความสุขมาแกสัตวทั้งหลาย ทานเปน มุนีไดศีลธรรมแหงความเปนมุนี สมควรเรียกวาเปนมุนี นี่ก็จบเทานี้แหละครับขอ 12 ทีนี้ขอบอกที่มาหนอยนะครับ เรียบเรียงขอความทั้งหมด ทั้ง 12 ขอนี้ เรียบเรียงจากนาลกสูตร สุตนิบาต พระไตรปฎกเลม 25 ขอ 388 เรียบเรียงไวตงั้ แตวนั ที่ 7 กันยายน 2538 ที่บอกวาคนพาลเหมือนกับหมอน้ําที่ยังไมเต็ม เวลาเดิน ทางไปไหนมันก็ดงั โคลงเคลงๆ ถาเต็มแลวจะ ไมมีเสียง กระบอก น้ําตาลของคนทําตนตาลเห็นชัดเลยครับ เวลาไปเขาจะแขวน กระบอกตาลไวกับเอว แลว ก็ไปขึ้นตนตาล ขาไปนี่กระบอกเปลา กระบอกเปลาก็จะกระทบกันเสียงดังมาก เรื่องโมไนยปฏิปทา ก็จบลงเพียงเทานี้นะครับ สําหรับปญหานิทานที่อาจารยวศิน อินทสระ ไดเลาไว มีผูฟงโทรศัพทเขามาในตอนทายรายการ เพื่อ ตอบปญหาดังนี้ คุณสุชาดา : สวัสดีทานอาจารยวศิน จากเรือ่ งราวทั้งหมด ดิฉันมองวาเปนนิทานอิงธรรมะนะคะ บุคคลผูนี้คือหนีปญหาตลอด เวลา ไมเคยสูป ญหาเลย พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาสอน ใหสูปญ หา เพราะฉะนั้น ดิฉันจะใชหลักธรรมในขอไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญา เขาแกปญ หานี้ เพื่อใหบุคคลผูนี้ไดแก ในสิ่งที่เขาพลาด คือเขาผิดศีลขอไหน ในขอสมาธิคือเขาตองคิดไตร ตรองทบทวนปญหาดู วาจะตองพิจารณาดี ชั่ว มีเหตุผลเพียงไรก็เปนปญหาจาก 3 แนวทาง จากศีล สมาธิ ปญญา ทําใหเขาพอคลายปญหา เปนแสงสวาง นําทางเขาออกจากที่มืดไดตาม ลําดับ แลวมีหลักธรรมที่เสริมอีกอยางก็คือที่วา ธรรมทั้งหลายยอมเกิดจากเหตุ และตถาคตใหแกที่เหตุ นี่เปนคําที่พระอัสสชิบอกกับพระสารีบุตรกอนที่จะทรงออกบวช นีเ่ ปนธรรมะเสริม หมายความวาใหแกที่เหตุ ขอตอบเพียงเทานี้คะ คุณสะเทื้อน : สวัสดีครับ กราบสวัสดีทานอาจารยวศิน ผมขอเรียนสั้นๆไมเชิงตอบปญหา ผมเดาเอานะ วาไอการหนีปญ หามันหนีไมพนหรอก แตอยาไปสรางปญหาซ้ําเติมใหกับตัวเอง หาทางออกดวยปญญา เอา สั้นๆแคนี้ สวัสดีครับผม
คุณสินรถ : จะตอบปญหานะครับ ก็อาจจะเปนเหมือน นิทานเรื่องพระมหาชนกของในหลวง คือความ พยายามอยูที่ไหนความสําเร็จอยูที่นนั่ เราก็ตองพยายามไปเรื่อย เพราะวาปญหามันหนักมาก ไมใชเราจะหนี เราก็ แกเทาที่เราจะแกได อยางทีม่ ีหนูมากัดเถาวัลย เราก็ตองพยายามดิ้นรนอยาทอถอย คุณทองหลอ : สวัสดีครับ อาจารยทองขาว, อาจารยกมล, อาจารยวศิน คือภรรยาผมเขาไมยอมตอบ เขา ใหผมมาตอบแทน เขาบอกวา คนเราไมมใี ครหลีกหนีความตายไดพน ฉะนั้นกอนตายควรไดรับรู ดื่มด่ําในรส พระธรรม แมจะนอยนิดถึงไมทั้งหมด ก็ยงั ดีกวาไมไดรรู สแหงพระธรรมเลย เฉกเชนไดรับรูรสหวานของน้ําผึ้ง ทีละหยด แมจะไมดื่มน้ําผึ้งหมดทั้งรวง คุณสมศักดิ์ : ผมขอตอบปญหาเลยนะครับ ทางไปสูความ สําเร็จที่เกี่ยวกับปรินิพพานซึ่งคือน้ําผึ้ง, ความ หวานเปรียบเหมือน ปรินิพพาน ที่ตองหนีอะไรตางๆ ผมเดาวาคงตองเอาชนะกิเลส แคนี้นะครับ สวัสดีครับ คุณปราโมทย : ผมขอตอบปญหาของทานอาจารยวศินนะครับ ผมมองในแงวาชายคนนี้แมประสบภัย มากมาย แตเขาก็ยังมีชวี ิตรอดอยูได แสดงวาเขามีสติระมัดระวังตนอยูต ลอดเวลา เขาถึงสามารถอยูรอดปลอดภัย ถึงมีภัยตางๆมาแตก็สามารถเอาตัวรอดในทีต่ างๆได คุณสุชาติ : สวัสดีครับทานอาจารยวศิน ก็มีคนถามเหมือนกัน แตวายังตอบไมได ในเรื่องทานบารมีก็ได กลาวถึง พระเวสสันดรที่เสียสละมเหสี เสียสละลูกใหกบั คนอื่น เพื่อบําเพ็ญ ทานบารมี อันนี้มีคนถามมาวา ทานที่ใหนี้ตั้งอยูบนฐานของความ ทุกขของคนอื่น คือทั้งลูกทั้งเมียเดือดรอน ทีนี้ผมก็พยายามคน หาคําตอบ เมื่อคืนก็ download ขอมูลจากมิลินทปญหาจาก เว็บไซตธรรมะรวมสมัยก็มีเจออยูเ หมือนกันในมิลินทปญหา พอดี อาจารยวศินทานศึกษาคนควาเรื่องนี้มาโดยเฉพาะ ก็เลยอยากถามอันนีก้ อนนะครับ อ.วศิน : พอดีทานเปนตํารวจใชไหมครับ ก็นึกถึงตํารวจ เวลาปฏิบัติหนาที่งานเสี่ยงภัย ก็นาเปนหวงลูก เมียเหมือนกัน แต ก็ตองตัดใจทําไปทั้งๆทีว่ าครอบครัวก็ไมใชเปนสุข หมายความวา ทําหนาที่ถึงแมครอบครัวจะ เปนทุกข เหมือนทหารออกศึกออกรบ ก็อยูบนพื้นฐานความทุกขของครอบครัวเหมือนกัน แตวาเปนสิ่ง ที่มี ประโยชนแลวเปนสิ่งที่ดี เรียกวาเปนการชวยครอบครัวทางหนึ่ง ก็ทําไป อยางที่พระพุทธเจาหรือพระเวสสันดร ทําอยางนั้น วาให ชวยกันบําเพ็ญบารมี ชวยทานบางในการบําเพ็ญบารมี เพื่อไดผล ตนเองและสรรพสัตวใหพน จากวัฏฏสงสารในอนาคต
คุณสุชาติ : คือหมายความวาทั้งเมียทั้งลูกก็มีความเต็มใจ ถึงแมจะเปนความทุกขวิปโยคอยางไรก็มีความ เต็มใจที่จะใหสามีได บรรลุเปาหมาย คือบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ อ. วศิน : ชวยกันครับ ทีนี้สมมุติวาไมเต็มใจนะครับ แต สิ่งที่เปนประโยชนเราก็ตองเปนทุกขบาง ตอง เสียสละ คุณสุชาติ : เลยนึกถึงตอนทีเ่ ฮลิคอปเตอรตก ที่นายทหาร หลายคนตาย ก็เห็นภรรยาทุกคนก็มีความเศรา ความสลด แต ก็มีความภูมิใจวาสามีไดปฏิบัติหนาที่สมเกียรติสมศักดิศ์ รีแลว เรื่อง ปญหาวันนั้นผมไดตอบไปที แลว บัณฑิตยอมพนทุกขดว ยธรรม เทานี้แหละครับ อ.วศิน : ที่จริงที่ทานตอบมาทั้งหมด โดยปริยายหนึ่งก็ ถูกนะครับ แตวาไมตรงคําเฉลย คําเฉลยก็คือ ทานตองการจะสอนถึงภัยของสังสารวัฏ ใหเห็นภัยของสังสารวัฏวา คนที่ทอง เที่ยวอยูในสังสารวัฏ ตองผจญภัย หรือมีภัยอยูรอบดาน แมจะไดอะไรที่เปนสุขที่อรอยสักครั้งหนึ่งก็ตองอยูทามกลางภัย ทาม กลางปากงูทํานองนี้ นะครับ ใหเห็นภัยของสังสารวัฏ มีผูโทรศัพทเขามาแลวมีความเครียดนะครับ ผมก็นึกถึง อุบายคลายเครียดมี 5 อยาง ขอฝากไวตรงนี้ สําหรับทานที่เครียด 1. ทานบอกวาคิดในแงขบขันเสียบาง หัวเราะออกมา สมน้ําหนาตัวเองเสียบาง อ.ทองขาว : มีผูหญิงคนหนึ่งเขาถามวา อาจารยนรกสวรรค มีจริงหรือเปลา ผมก็บอกวาคุณลองแตงงานดู สิ เขาก็หัวเราะกาก เลย อ.วศิน : 2. พูดระบายออกมากับคนที่เราคิดวาไมเปนภัย ผมทราบวาทานลินคอลน ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกาทานเครียดทานก็โทรศัพทหรือโทรเลขเรียกเพื่อนมา มานั่ง ทานก็เลาๆๆใหฟง เพื่อนก็หวังวา ประธานาธิบดีจะปรึกษาอะไร พอทานเลาจบ ทานบอกวา คุณกลับได ทานไดระบายออกมาแลวทานก็สบายใจ แตตองเลือกคนหนอยนะ อยาเก็บอัดเอาไวคนเดียวเดีย๋ วอกมันจะระเบิด อ.ทองขาว : ก็เคยมีคนลักษณะที่ทานอาจารยวาก็มาพูด มาเลาอะไรใหฟง พอพูดเสร็จบอกผมยกภูเขา ออกจากอกเรียบรอย แลว ไดระบาย มีคนมารับรูความทุกขยากของเขา อ.วศิน : ในทางกลับกัน ทานที่รับการระบายก็ขอใหใจเย็น และคิดซะวาเราทําบุญ พอนึกถึงทําบุญคนก็ มักนึกถึงวาตองเสียเงินเสียทอง ตองไปวัด นั่นก็เปนทางหนึ่ง แตก็มีอกี ทางหนึ่ง การรับฟงความทุกขของผูอื่นก็
เปนบุญอยางยิง่ ทําใหเขาสบายใจ เปนการเกื้อกูลกันทั้งสองฝาย ฝายที่มีทุกขก็ระบายออกมา ฝายที่รับก็เรียกวา เปนการทําบุญทางหนึ่ง 3. หายใจชาๆลึก ๆ จะสวดมนตก็ได พุทโธก็ได 4. เดิน เดินไปเรื่อยๆ ทานบอกวาเดิน 10 นาทีดีกวากินยาระงับประสาท หมอก็เคยแนะนําวาเวลามี ปญหาอะไรขึน้ มา สิ่ง ที่แกปญหาไดกอนอยางอื่นคือเดิน ถาไดเดินในที่รื่นรมยดว ย มันก็จะดีกวา อ.กมล : เครียดนี่อยาไปนอนใชไหม อ.วศิน : ถานอนก็ใหหลับไปเลย อีกวิธีทงี่ ายที่สุด คืออาบน้ําอุน ก็เปนอุบายคลายเครียด พยายามมอง โลกในแงดี คนมองโลกในแงดีสุขภาพจิตจะดีกวาคนมองโลกในแงรา ย คนบางคนวิตกเรื่องน้ํามันขึ้นราคา เขา มาคุยใหผมฟง ผมก็บอกวาไมเปนไรหรอกเดี๋ยวมันก็ลงเอง มันขึ้นไดเดียวมันก็ลงได อ.ทองขาว : มีคนหนึ่งเขาไปรับราชการ ปรากฏวาถูกจับติดคุก แกก็เขาไปอยูในคุก ถามเขาไปอยูในคุก แลวเปนยังไง มีอยูวันหนึ่งพระราชาก็เกณฑคนไปลาสัตวก็ไปมีเรื่องมีราวกัน คนนีอ้ ยูในคุกไมถูกเกณฑไป ปรากฏวาไมมเี รื่องนี่ก็ดีเหมือนกัน คราวนี้ออกจากคุกมาปรากฏวาไปทําอีทาไหนเกิดบาดแผลขึ้นมา เขาบอก เปนไงเปนบาดแผลอยูที่ใบหนา บอกวาดีเหมือนกัน บอกวาอยูมาวันหนึ่งไปลาสัตวกับพระราชาถูกเสือหรือ สิงโตมันไล แตวาแกก็ทําเปนสลบ เขาบอกวาสิงโตมันจะกินสัตวที่มีรา งกายสมประกอบ นายนี่มแี ผลมีอะไรตอ อะไรมันไมกนิ มันก็ดมๆแลวก็เลยไป เปนแผลมันก็ดเี หมือนกัน รวมๆแลวเปนอะไรก็ดีหมด เหมือนหลวงพอดี หนอ จังหวัดอุดรฯ อะไรๆก็ดีเนาะๆ ดีกด็ ี ไมดีกด็ ี อ.วศิน : แลวก็พยายามจําสุภาษิตไวบางไวเตือนใจ เชน ความทุกขสรางคน ความจนสรางบัณฑิต ความคิดสรางปญญา คือถาเราจะคิดอะไรเราคิดใหเกิดปญญา อยาไปคิดใหโงเปลาๆ ถามีความทุกขก็คิดวา ความทุกขมันก็สรางคนมาเยอะแลว ถาเขาไมมีความทุกขเขาก็ไมดีเทานี้ ไมเกงเทานีห้ รอก ไปดูเจาพระยายมราช ไปดูครอบครัวก็ยากจน พระไป เทศน โยมก็ตดิ กัณฑเทศนมา พอติดกัณฑเทศน มาเลย ทําไปทํามา ก็เปนผูส ําเร็จราชการแทนพระองค เปนอาจารยของราชกุมารเยอะแยะ อ.วศิน : ถาเรารูสึกวาคิดมากก็ตะลอมความคิดไปในทาง ปญญาใหมันเกิดปญญา ก็ตอ งพยายามไมมีอคติ เขาขางตัวเอง ตอง ซื่อตรงไมเขาขางตัวเอง พูดตามภาษาของเบคอนวาไม Idol มันเปนอุปสรรคของ ความกาวหนาของมนุษย
1. อคติเกี่ยวกับชาติ พวกพองเรา เราจะเขาขางเสมอ บางทีคนบางคนอคติเขาขางชาติของตัวจนหลงชาติ แลวก็เพอฝน แตอดีตวาเคยใหญเคยโตเคยอะไร แตเวลานี้มันไมเปนอยางนั้นแลว มันแยแลวก็ตองยอมรับความ จริง 2. อคติสวนตัวหรือประสบการณสวนตัว เคยมีประสบการณสวนตัวมาอยางไร ก็ยอมรับแตสิ่งนั้นเทานั้น อิทเมว สจฺจํ โมฆมญํ อันนี้เทานั้นที่เปนจริงอยางอื่นเปนเท็จทั้งนัน้ คลายเปน สัจจาภินเิ วส ของพระพุทธเจา ไมใชสัจจานุรกั ษ 3. อคติหรือความไมเขาใจเกีย่ วกับภาษาพูดหรือเขาใจผิด หรือไปยึดติดกับภาษา เชื่อความหมายที่ไม ถูกตอง ภาษาเชน ภาษาคนพูดอยางนี้ ภาษาธรรมพูดอีกอยางถาไปติดที่ภาษาแลวทําใหความหมายมันเขวไป เชน คําวา เวทนา ชาวบานทัว่ ไปจะเขาใจไปอยางหนึ่ง ภาษาธรรมก็หมายความอีกอยางหนึ่ง นี่เปนอุปสรรคทาง ความหมาย เพราะไปติดอยูก ับภาษาพูดทีไ่ มใชความหมายที่แทจริงของสิ่งนั้น 4. ขนบประเพณี ไมมีความเปนจริงถาวร ขนบประเพณี เกิดขึ้นเพื่อประโยชนชวั่ คราว หมดประโยชน แลวก็ควรเลิกยึดมั่นถือ มั่นตอไป อยางทีพ่ ระพุทธเจาทานตรัสไววา สิ่งที่เคยเชื่อกันมา เคยถือกันมา เคยฟงกัน มา เคยยินดีกนั มาวาถูก ผิดก็มี วาจริงไมจริงก็มี สิ่งที่เคยเชื่อกันมา เคยถือกันมา เคยฟงกันมา เคยยินดีกันมาวา ผิด ถูกก็มี ตองทบทวน, พิจารณาใหมเสมอ ไมใชยอมรับ แตเพียงวาเคยถือกันมา เคยเชื่อกันมา เคยฟงกันมาวา อันนี้ถูก อันนีผ้ ิดโดยไมไดมกี ารทดสอบกันใหม ในอดีตอาจจะถูก ในปจจุบันอาจจะใชไมได มันเปนของ ชั่วคราวนะครับ เปนกาลิกะ ไมใชอกาลิกะ เปนสิ่งที่เปนไปเพียงชั่วกาลหนึ่ง อ.ทองขาว : อยางเมื่อสมัยกอน บรรดาขาราชการทั้งหลาย มีบรรดาศักดิ์ มีคุณหลวง อะไรตออะไร เมื่อกอนเหมาะ แตสมัยนี้ไมเหมาะ อ.วศิน : อันนีก้ ็ถาเผื่อวาเวนอคติเสียได แลวก็ทําใจให ตรง หมุนใจใหตรง ยอมรับตามที่เปนจริง มัน ก็คลายเครียดได ทําใหเราไมไปยึดมัน่ ถือมั่นกับอะไรมากเกินไป แต flexible นะครับยืดหยุนได ก็พยายามที่จะ ใหตรงตามความเปนจริง คือปฏิบัติตนตามเปนจริง อยางที่อาจารยทานเจาคุณธรรมปฎกทานพูดเสมอวา ไมนํา ตนเขาไปขวางกับความเปนจริง เพราะมันสูความเปนจริงไมได เราเปนเรือนอยแลวคลื่นแรง เอาเรือไปขวางคลื่น ก็จบ นี่ผมก็ขอแสดงความเห็นไวเกีย่ วกับการคลายเครียดนะครับ อ.ทองขาว : เปนประโยชนมากครับทานอาจารย กําลังเครียดๆอยูนะครับ ถาหากนําไปพิจารณาไตรตรอง จะทําให ทานนั้นอยูสบายขึน้ นอนสบาย กินสบาย เวลาเครียดอยูตรงไหน ก็ไมมีสุข นั่งก็ไมมีสขุ นอนก็ไมมี สุข เหมือนกับสุนัขขี้เรื้อน นั่งตรงไหน นอนตรงไหนก็รําคาญตองลุกไปเรื่อย มันคันไปหมด ก็นึกวาไอสถานที่ มันคันแตทแี่ ททันคันตัวมันเอง
อ.วศิน : พอหายเปนโรคเรื้อนแลว นั่งทีไ่ หนนอนทีไ่ หน มันก็หายคัน อ.ทองขาว : ไอความเครียดความทุกขอะไรมันก็อยูที่เรา ถารักษาหายแลว จริงๆแลวมันก็เหมือน หญาปากคอก พอมัน ตันก็ไมรูจะไปทางไหน คิดไมออก ที่พระพุทธเจาวา ไดกัลยาณมิตรคอยชี้แนะคอย ตักเตือนก็จะดี มันตองคอยๆแกปญหาไป ชีวิตคนเราแกอยางอื่นมันแกงาย แกปญหาชีวิตนี่บางทีมันยาก เหมือนกัน อ.วศิน : คือถาหมุนถูกทางมันจะออกงาย เหมือนขวด เกลียว ถาหมุนผิดทางหมุนเทาไรมันก็ไมออก อ.ทองขาว : วันนั้นที่เลาใหฟงที่ไปวัดปานานาชาติ พระฝรั่งชาวออสเตรเลียทานก็เปนนักชีวะ นักวิทยาศาสตร นักอนุรักษ ทานก็รูสึกวาเหลือเกินนะ ตัวแกจน วันหนึ่งทานอาน หนังสือพุทธศาสนาเกี่ยวกับ อริยสัจ 4 ก็มาซึ้งเลยวา ออนี่เรามัน บาไป ตั้งแตนั้นเลยหันมานับถือพระพุทธศาสนา พอจะออกปุบ มันออกมา ไดงายๆเหมือนกัน การสนทนาในรายการธรรมะรวมสมัย หัวขอ โมไนย ปฏิปทา ไดยุติลงเพียงเทานี้ ขอความสวัสดีจงมี แดทุกทาน