ค ติ ชี วิ ต วศิน อินทสระ
3 คติชีวิต
สํานักพิมพ เรือนธรรม ค ติ ชี วิ ต วศิน อินทสระ ลายเสนพวงดอกไมบนปก : ชวง มูลพินิจ ISBN 974-90995-8-3 พิมพ : มีนาคม 2546 จัดพิมพ : สํานักพิมพเรือนธรรม บริษัท จีเอ็ม แม็ก มีเดีย จํากัด ๒๙๐/๑ ถนนพิชัย ดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท : ๐-๒๒๔๓-๑๒๗๙-๘๐ โทรสาร : ๐-๒๒๔๓-๑๕๙๐ บรรณาธิการ : พรจิตต พงศวราภา พิมพคอมพิวเตอร : พรเพ็ญ สุภิรักษ ศิลปกรรม : ประทีป ปจฉิมทึก, พิติ แสงแกว, กานตพิชชา คงอยู พิสูจนอักษร : สมพร แสงสังข ประสานงานการผลิต : รัตนา โคว พิมพที่ : บริษัท โอเอส พริ้นติ้ง เฮาส จํากัด โทรศัพท ๐-๒๔๒๔-๖๙๔๔ จัดจําหนายโดย : บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จํากัด (มหาชน) อาคารเนชั่นทาวเวอร ชั้นที่ ๑๙ เลขที่ ๔๖/๘๗-๙๐ ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ ๑๐๒๖๐ โทรศัพท : ๐-๒๗๕๑-๕๘๘๘, ๐-๒๓๒๕-๑๑๑๑ โทรสาร : ๐-๒๗๕๑-๕๐๕๑-๔ http://www se-ed.com 4 คติชีวิต
สารบัญ คติชีวิต ปญญาสัมปทา.............................................. รวมสวนหรือแยกสวน................................. ความคิดในดานดี........................................ สติสัมปชัญญะ............................................. ทําดี ดีกวา ขอพร...................................... ไมเปนไปตามที่ออนวอน............................. องคสําคัญของศาสนา................................. ลวงทุกขไดดวยความเพียร.......................... กรรม......................................................... ปริศนาธรรม............................................... อุปสรรคของการพัฒนาปญญา.................... คุณสมบัติของทูต 8 ประการ....................... ความยุติธรรม............................................ ปรารภเรื่องพระบิณฑบาต........................... การพัฒนาคน............................................ สวดมนตเพื่ออะไร.....................................
5 คติชีวิต
7 12 16 19 23 25 27 33 42 48 56 67 89 96 102 108
คํานํา คติชีวิตเลมนี้ สําเร็จไดดวยความพยายามของคณะศิษยผูชวยกันทําเทปและถอดเทปคําบรรยายทางวิทยุของขาพเจา เพื่อทําความเห็นใหถูกตองบาง เพื่อเพิ่มเติมเสริมสรางคุณธรรมบาง เพื่อใชชีวิตใหดีและมีความสุขบาง คติชีวิตเปนสิ่งจําเปนสําหรับชีวิตเหมือนหางเสือเรือหรือพวงมาลัยรถหมุนไปทางใดเรือหรือรถย อมหันไปทางนั้น คนเรามีคติชีวิตหรือปรัชญาชีวติ อยางไร ชีวติ ของเขายอมดําเนินไปทางนั้น คนดี มีคติดี คนชั่ว มีคติชั่ว สมดังพระพุทธพจนที่วา เมื่อคนดี ใหสิ่งที่ใหไดยาก ทําสิ่งที่ทําไดยากอยู คนไมดี ทําตามไมได เพราะธรรมของคนดีทําตามไดยาก เพราฉะนั้นคนดีกับคนไมดีจึงมีคติตางกัน คนไมดีไปทางเสื่อม คนดีไปทางเจริญ (สุคติ) (ตสฺมา สตฺจ อสตฺจ นานา โหติ อิโต คติ อสนฺโต นิรยํ ยนฺติ สนฺโต สคฺคปรายนา) มีพระพุทธภาษิตอีกแหงหนึ่งวา “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ อตฺตา หิ อตฺตโน คติ” แปลวา ตนเปนที่พึ่งของตน ตนเปนคติของตน (25/66) คําวา “ตนเปนคติของตน” นั้น ขยายความวา “ทางใคร ทางคนนั้น” มนุษยเราสรางทางของตนเอง จึงมีคติเปนของตนเอง คนดีไปสุคติ คนชั่วไปทุคติ ตางก็สรางเอาเองทั้งนั้น พอแมญาติพี่นอง สามี ภรรยา ลูกหลาน เมื่อดําเนินชีวิตตางกัน มีคติชีวิตตางกัน ก็แยกทางกันแลวตั้งแตมีชีวิตอยู ไมตองกลาวถึงคติสัมปรายภพ หวังวา หนังสือเลมเล็กๆนี้ จะมีสวนชวยใหทานมีคติชีวิตที่ดี มีความสดชื่นสมหวังในปจจุบัน มีความสุขความเจริญเปนปลายทางแหงชีวิต ดวยความปรารถนาดีอยางยิ่ง วศิน อินทสระ 3 กุมภาพันธ 2546 6 คติชีวิต
ปญญา สัมปทา สวัสดีครับ ทานผูฟงที่เคารพทุกทาน นี่คือรายการ ธรรมและทรรศนะชีวิต ทุกวันจันทรถึงวันศุกร ผม-วศิน อินทสระ จะไดมาพบกับทานผูฟงในรายการนี้ เรื่องที่กําลังคุยกับทานผูฟงอยูตอนนี้ก็คือเรื่อง ปกิณกะคติชีวิต คือเรื่องเบ็ดเตล็ด ปกิณกะแปลวาเบ็ดเตล็ด เรื่องเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวกับชีวิตเล็กๆ นอยๆ ตอไปผมจะพูดถึงเรื่องปญญาสัมปทา ความสมบูรณหรือถึงพรอมดวยปญญา นี่เปนขอที่ลี้ลับสักหนอย ที่วาในหลักธรรมของพระพุทธเจาทรงแสดงวา สิ่งที่บุคคลปรารถนา หรือความหวังมีอยูหลายอยาง เชน ปรารถนาใหอายุยืนนาน ปรารถนาใหตนและพวกพองอายุยืนนาน ปรารถนาทรัพย ยศ ใหแกตนและญาติพี่นอง ปรารถนาสวรรค อยางนี้เปนตน ความปรารถนาเหลานี้ เปนความปรารถนาที่ใหสําเร็จไดโดยยาก พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมหรือหลักที่จะใหสม ปรารถนาเอาไว 4 อยาง คือ 1. ศรัทธา สัมปทา มีศรัทธาสมบูรณ 2. สีล สัมปทา มีศีลสมบูรณ 3. จาคะ สัมปทา มีจาคะสมบูรณ 4. ปญญา สัมปทา สมบูรณดวยปญญา โดยทั่วไปก็จะพูดถึงปญญาในการทํามาหากิน หรือ อะไรตออะไรตางๆ ลองมาดูปญญา สัมปทาที่พระพุทธเจาทรงแสดงไวโดยตรง ตามนัยพระพุทธพจน พระไตรปฎกเลม 21 จตุกกนิบาต ขอ 61 ปญญา สัมปทาในธรรมที่เปนเหตุใหสมหวัง 4 อยาง เปนขอสุดทายมีพุทธาธิบายวา บุคคลเมื่อมีจิตถูกอภิชฌาวิสมโลภะ แปลวาความโลภอยากไดของผูอื่น ความละโมบในทางทุจริต บุคคลเมือ่ มีจิตถูกอภิชฌาวิสมโลภะ, พยาบาท, ถีนะมิทธะ งวงงุน, 7 คติชีวิต
อุทธัจจะ กุกกุจจะ ฟุงซานและรําคาญ, และวิจิกิจฉา ครอบครองหรือครอบงําแลว ยอมจะทําสิ่งที่มิใชหนาที่ อกิจฺจํ กโรติ ทําสิ่งที่ไมใชหนาที่ และพลาดในสิ่งที่เปนหนาที่ กิจฺจํ อปราเธติ โปรดสังเกตอยางหนึ่งวา นิวรณ 5 นี้ เมื่อพระพุทธเจาทรงแสดงแกฆราวาส จะเปลี่ยนคําวา กามฉันทะ ความพอใจในกาม มาเปนอภิชฌาวิสมโลภะ มาเปนความโลภในทางทุจริต แตถาทรงแสดงแกภิกษุก็จะแสดงเปนกามฉันทะ ความพอใจในกาม เปนนิวรณอยางหนึ่ง พอทรงแสดงแกฆราวาส ทรงยักยายพระธรรมเทศนาใหเหมาะสมในฐานะที่เปนธรรมราชา และธรรมเทศนาโกศล ฉลาดในการแสดงธรรมและทรงยักยาย เปลี่ยนกามฉันทะ มาเปนอภิชฌาวิสมโลภะ สวนพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ กุกกุจจะ วิจิกิจฉานั้นเหมือนกันทั้ง 4 ขอหลัง เมื่อเปนเชนนี้ ก็ยอมจะพลาดจากยศและสุข ยศนี้มีหลายอยาง พอไดยินคําวายศ คนสวนมากก็นึกถึงแตอิสริยยศ ซึ่งเปนอยางหนึ่งใน 5 อยาง บางแหงก็มีกลาวไว 3 คือ อิสริยยศ ความเปนใหญ เกียรติยศ ความเปนผูมีเกียรติ และบริวารยศ มีบริวารดี แตบางอยางกลาวถึงยศไว 5 อยาง คือ อิสริยะ ความเปนใหญ โภคะ โภคทรัพย หรือทรัพยส สัมมานะ การไดรับความนับถือจากประชาชน กิตติ เกียรติ เปนคนมีเกียรติ วัณนะภณนะ การไดรับสรรเสริญ ในพระพุทธพจนที่วา ยศยอมเจริญในบุคคลผูหมั่นขยัน มีสติ อุฏฐานวโต สติมโต มีการงานสะอาด เปนคนสํารวมระวัง ใครครวญแลวจึงทํา ไมประมาท ยศยอมเจริญแกบุคคลเหลานี้ คําวายศทานหมายถึง 5 อยางตามที่กลาวมานี้ ไมไดหมายถึงความเปนใหญ เปนเจาคนนายคน อยางที่เขาใจกันเพียงอยางเดียว 8 คติชีวิต
เมื่อเปนเชนนี้ ยอมพลาดจากยศและความสุข อริยสาวก คือสาวกของพระอริยะ รูวาอภิชฌาวิสมโลภะ เปนตน เปนอุปกิเลสเครื่องเศราหมองของจิต ซึ่งละอภิชฌาวิสมโลภะ เปนตนนั้นเสีย เมื่อละไดแลวเขาจึงเรียกอริยสาวกนั้นวาเปนผูมีปญญามาก มีปญ ญาหนาแนน เปนผูเห็นทางแหงพระนิพพาน อาปาถทโส นี่คอื ปญญาสัมปทา ถาทานนักศึกษาทางธรรม เมื่อเห็นพระพุทธพจนจาก ที่มีผูรวบรวมเรียบเรียงมาให ถาเขาอางหลักฐานที่มาก็ควรจะตามไปดูถึงตนตอของพุทธพจนวาทานทรงอธิบายอยางไร จะไดความรูเพิ่มขึ้นเยอะ สวนมากทานก็พูดไวสั้นๆวา สัทธาสัมปทา ถึงพรอมดวยศรัทธา สีลสัมปทาถึงพรอมดวยศีล จาคะสัมปทา ถึงพรอมดวยการบริจาค ปญญาสัมปทาถึงพรอมดวยปญญา แตวาไมมีคําอธิบายวาขอนั้นๆมีความหมายอยางไร แตจะมีอยูในพระไตรปฎก พระพุทธาธิบายก็มี พุทธาธิบายอยูในนั้น แตบางทีทานผูเรียบเรียงหนังสือธรรม ทานก็ไมมีเวลามากในการเรียบเรียงพระพุทธพจนใหตลอด อาจจะใหแตหัวขอมา สําหรับผูที่ศึกษาเลาเรียน ผูที่ศึกษาไปหลายๆปแลวก็ควรจะตามไปดู ถามีเวลามีโอกาสควรจะตามไปดูวาเรื่องนี้มีพุทธาธิบายอยางไร ปญญา สัมปทา อยางที่กลาวมานี้ ก็รูสึกวาละเอียดสุขุมลึกซึ้งพอสมควรทีเดียว แตถาเรียนไปตามหัวขอ ผูอธิบายก็ไมเคยเห็นพระพุทธาธิบาย ก็จะอธิบายไปตามความเขาใจของตน การไดปญญาทําใหไดความสุข ที่วา สุโข ปฺญาปฏิลาโภ การไดปญญาทําใหไดความสุข และเปนความสุขที่เกิดจากปญญา บรรดาความอิ่มทั้งหลาย ความอิ่มดวยปญญาประเสริฐที่สุด ปฺญาย ติตฺตินํ เสฏฐํ ตณฺหา น กุรุเต วสํ คนที่อิ่มดวยปญญานั้น ตัณหาทําเขาไวในอํานาจไมได นี่คืออานิสงสของการอิ่มดวยปญญา ฉะนั้น ก็ควรจะเพิ่มพูนปญญา แสวงหาปญญา สดุดีปญญา สรรเสริญปญญา คลุกอยูกับเหตุใหเกิดปญญาและจะไดปญญามาเปนไฟสองทางชีวิต
9 คติชีวิต
รวมสวนหรือแยกสวน ในเรื่องรวมสวนหรือแยกสวน ลองดูเรื่องเครื่องยนตแยกสวนออก ไมทําใหเครื่องยนตหรือรถยนตวิ่งไปได หรือทํางานได แตพอรวมสวนอยางถูกสวน ก็ทําใหรถยนตวิ่งไดหรือเครื่องยนตทํางานได สวนตางๆของนก เมื่อแยกสวนก็ไมทําใหนกบินได แตพอรวมสวนเปนตัวนก ทําใหนกบินได ขอนี้ฉันใด สังคมมนุษยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อแยกกันอยูแยกกันทํา ไมทําใหสังคมดําเนินไปได แตพอมารวมกัน แลวก็คิดแบบรวมสวน ไมใชแบบแยกสวน สังคมก็ดําเนินไปไดดวยดี คือทุกคนในสังคมก็มีอานุภาพของตัวทุกคนทุกจําพวก เขาก็ทําหนาที่ของเขาไป คือเราจําเปนตองมีบุคคลประเภทนั้นๆ แตวาใครจะไปอยูตรงนั้นเทานั้น เราจําเปนตองมีหัวหนา จําเปนตองมีผูรองลงมา จําเปนตองมีผูเปนมือเปนเทา จําเปนตองมีผูชวย จําเปนตองมีคนขับรถเมล จําเปนตองมีคนกวาดถนน คนขนขยะ เปนตน ถาแยกกันอยู สังคมก็ไมเปนสังคม บานเมืองก็ไมเปนบานเมือง เรามารวมกันอยู ตางคนตางก็ทําหนาที่ของตนไป ก็เปนสังคม ถาคนในสังคมแตละกลุมแตละพวกนั้นมีคุณภาพ ก็ยิ่งทําใหสังคมมีคุณภาพมากขึ้น อวัยวะในรางกายของคนเราแตละสวน แตละชิ้นก็ทําหนาที่ของมัน ถาตับทําหนาที่ดี ปอดดี หัวใจดี อะไรดีหมดทุกอยาง สุขภาพก็ดี แตถาอยางใดอยางหนึ่งทําหนาที่บกพรองไปสักอยาง จะพลอยกระทบถึงอยางอื่นไปดวย แนนอนวาตับกับไตไมดี อยางอื่นมันก็พลอยแยไปดวย หัวใจไมดี อยางอื่นก็พลอยแยไปดวย การทํางานรวมกันของอวัยวะตางๆ ก็ทําไดดีทําอยางมีคุณภาพ ก็ทําใหมีสุขภาพดี ถาเผื่อวาอยางใดอยางหนึ่งมันเสื่อมไปเสียไป อยางอื่นก็พลอยเสียไปดวยได การคิดแบบรวมสวน เรียกวาการคิดแบบบูรณาการ ถาเราคิดแบบบูรณาการ ดีกวาคิดแบบไมมีบูรณาการ integrate integration แปลวาบูรณาการ คือทําสิ่งที่ไมสมบูรณใหสมบูรณดวยการรวมสวนตางๆเขาดวยกัน หรือคิดถึงผูอื่น ในการคิดก็ไมไดคิดถึงสวนของตัวอยางเดียว แตไปคิดถึงสวนของผูอื่น ไปคิดแบบรวมสวน 10 คติชีวิต
สมมุติวาคนที่ทํางานเมรุในวัดตองการใหเมรุเจริญรุงเรืองมาก มีรายไดมาก มีอะไรมากใหญโต มันก็ตองคิดใหคนตายเยอะๆ มีศพเยอะๆ เขาจะไดเอาศพมาเผา มาสวดอยางนี้เรียกวาเห็นแตสวนของตัว ไมคิดถึงสวนของผูอื่น อยางนี้ไมบูรณาการ ถาหมอไปตั้งคลินิกแลวอยากรวยมากๆ อยากใหมีคนไขเยอะๆ เพื่อตัวจะไดมีรายไดเยอะ จะไดรวย อยางนี้เรียกวาคิดแตสวนของตัว คลินิกใหญโตมโหฬารโออาหรูหรา แตตองมีคนไขเยอะ คิดอยางนี้มันไมถูก คิดแบบเห็นแกตัว ไมคิดแบบรวมสวน แตคิดแบบแยกสวน คิดถึงแตสวนที่เปนของตัว มุงแตความเจริญของตัว ไมคิดถึงความเสื่อมของผูอื่น หรือความเดือดรอนของผูอื่น อยางนี้ไมเปน Public mind ไมมีจิตใจสาธารณะ คือไมเอื้อเฟอแกสาธารณชน คิดถึงแตตัว หมูของตัว พวกของตัว มหาวิทยาลัยของตัว ไมไดคิดถึงคนอื่นเลย อยางนี้คิดแบบแยกสวน ไมบูรณาการ ฉะนั้น ถาเผื่อใหเจริญสมบูรณ ก็ตองคิดใหถึงทุกสวนเหมือนกับความเจริญของรางกาย มันตองเจริญไปพรอมๆกันทุกสวน ไมใชอวนอยูเฉพาะสวนใดสวนเดียว แลวสวนอื่นก็ผอม กะรองกะแรง มันก็นาเกลียดไมนาดู
ความคิดในดานดี ไมวาในยามสงครามหรือยามสงบ ความคิดในดานดีและดานราย มีความแตกตางที่สําคัญ คือความคิดทางดี มันจะเกี่ยวกับเหตุและผล ไมใชเหตุผลนะครับ เหตุและผล cause and effect ไมใชเหตุผล reason และจะนําไปสูความคิดอยางมีเหตุผล reason หรือ logical thinking และวางแผนการอยางสรางสรรค เรียกวา constructive planning สวนความคิดในทางราย ก็จะนําไปสูความตึงเครียด และเปนโรคประสาท หมดกําลัง ตอไปนี้เปนขอคิด หรือวาทะของโรเบิรต หลุยส สตีเวนสัน นักประพันธเอกชาวสก็อต ขอความตอไปนี้นะครับ
11 คติชีวิต
“ทุกวันเปนชีวิตใหมของเรา ผูที่มีชวี ิตเต็มไปดวยความสุข จะตองเปนผูรูจักอดทนตอภาระความรับผิดชอบของตนเองตลอดทั้งวัน แมจะหนักสักปานใดก็ตาม จะตองสามารถปฏิบัติงานของตนตลอดวัน จะตองมีชีวิตดวยความราเริง แจมใส พากเพียรจนกวาพระอาทิตยจะตกดิน” ผมจะยอนกลับไปหาขอความตอนตนนิดหนึ่งนะครับ ความคิดในดานดีและความคิดในดานราย มันจะมีผลที่แตกตางกัน คือ ถาเราคิดในดานดี มันจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น เพราะความคิดของเราและทําใหเราคะเนผลจากเหตุ และทําใหเราเมื่อรับผลแลวก็สาวไปหาเหตุมักจะแนนอน และเปนบทเรียนไดดีมาก เหตุและผลที่เราจับไดวา เหตุอันนี้จะกอใหเกิดผลอยางนี้ แลวผลอยางนี้มาจากเหตุอันนี้ มันจะนําไปสูความคิดที่มีเหตุผล ทําใหเราเปนคนที่คิดอยางมีเหตุผล ตอไปก็จะมีการวางแผนอยางสรางสรรค ทําใหเปนคนที่ทําอะไรไดมาก ทํางานไดมากและมีคุณภาพ เพราะวามีการวางแผนอยางสรางสรรค คิดในดานดี การคิดในดานดี มันทําใหกําลังใจดี คือไมทอถอยงาย แมจะประสบเหตุรายหรือผลรายอะไร ก็ยังคิดวามันยังมีสวนดีใหเราคิด ใหเราทํา เปนครู หรือเปนวัคซีน หรือเปนโรคเล็กๆนอยๆที่จะมาเตือนใหเราระวังที่จะเปนโรคใหญ ถาเราไมระวังมันจะมีโรคใหญ หรือจะมีสิ่งที่ไมดีมากมายเกิดขึ้น
ความคิดในดานดี มันจับเอาสิ่งดีๆจนได ความคิดในทางราย มันตรงกันขาม พอเจออะไรเขาก็คิดไปในทางราย มีเรื่องรายนิดหนึ่งก็คิดไปมาก เหมือนกับรายมาก ถารายกลางๆมันก็มากมายกายกองเหลือเกิน เพราะเหตุที่วาเราคิดไปในทางราย และจะกอใหเกิดความตึงเครียด ความตึงเครียดก็จะนําไปสูปญหาตางๆมากมาย ทัง้ ทางรางกายและจิตใจ และไมปลดปลอย เปนโรคประสาท หมดกําลัง 12 คติชีวิต
วิธีหนึ่งที่ทําใหเรามีความหวัง และมีความสุขแบบงายๆในชีวิตประจําวันของเราก็คือคิดวาทุกวันเปนชีวิตใหมของเรา ตามที่หลุยส สตีเวนสัน บอกเอาไว Everyday is a new life to a wise man ทุกวันเปนชีวิตใหมสําหรับคนฉลาด อะไรที่มันผิดพลาดไปแลวก็แลวไป ชางมัน ตั้งหนาตั้งตาทําใหม ทําสิ่งที่ดีๆใหม สิ่งใหมก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ก็จะเปนคุณประโยชนแกชวี ิตของเราอยางมากเลย ทําใหเรามีชีวิตที่เต็มไปดวยความสงบสุข มีความอดทนตอภาระหนาที่ที่จะตองทํา เราสามารถปฏิบัติงานไปไดอยางมีคุณภาพ ยิ้มแยมแจมใส อยางมีความพากเพียรพยายาม เหนียวแนนมั่นคง
สติสัมปชัญญะ สติแปลวาความระลึกได สัมปชัญญะแปลวาความรูตัว ถือเอาใจความสําคัญวา ระลึกไดวาเราทําอะไรไปบางแลว พูดอะไรไปบางแลว และรูตัววากําลังทําอะไรอยู สติสัมปชัญญะ ทานถือวาเปนธรรมที่มีอุปการะมากในการดําเนินชีวิต คนที่ขามถนนอยางเหมอลอย ไมมีสติสัมปชัญญะ อาจจะถูกรถชนไดงาย หรืออาจจะสะดุดนั่นสะดุดนี่ ในขณะเดินอยูตามทางเดินก็ได ในขณะที่อานหนังสือ ถาใจลอยไปคิดถึงเรื่องอื่น เรียกวาขาดสติสัมปชัญญะเหมือนกัน ทําใหอานหนังสือไมรูเรื่อง ไมเขาใจ สติสัมปชัญญะดีทําใหสมาธิดี บางทีเราไปฝกสติ เรียกวาไปทําสมาธิ ทําอานาปานสติ คนที่มีสติสัมปชัญญะดี ก็ทําใหสมาธิดี นักเรียนทุกคนตองการมีสมาธิในการอาน ในการเรียน และในเวลาทํางาน เชน ทําการบาน เปนตน จึงควรบํารุงสติสัมปชัญญะใหดีอยูเสมอ คนที่ไมมีสติหรือขาดสติไปนานๆ ก็จะเสียคนไปเลย เขาเรียกวาเสียสติ ถาเปนนานๆติดตอหรือตอเนื่องกัน คนธรรมดาก็ขาดสติเปนชวงๆ ขาดบางแตตอติด ก็ไมถึงกับเสียสติ แตบางทีก็ทําอะไรไปโดยที่ขาดสติยับยั้งก็มี แตสกั ประเดี๋ยวหนึ่งก็ดึงสติกลับมาไดใหม มีสติขึ้น ก็ทําใหม เรียกวายังตอสติไดติดไมถึงกับขาดไปเลย 13 คติชีวิต
คนมีสติสัมปชัญญะ จะแสดงออกในลักษณะตอไปนี้ ระลึกไดอยูเสมอวาไดทําอะไรไปแลวบาง อยางนอยก็ในระยะเวลาสั้นๆ และกําลังทําอะไรอยู ปฏิบัติตามหลักและกฎเกณฑที่ชอบธรรม สติชวยใหเราคิดไดวาหลักการอะไร กฎเกณฑอะไร ชอบธรรมหรือไมชอบธรรม บางทีทําอะไรเผลอไปแลวกลับมาคิดไดใหม เรียกวาเผลอสติ บางทีก็โกรธจนเกือบจะหามไมอยู แลวมีคติประจําใจอยู เชน เคราะหรายเสมอดวยโทสะไมมี ก็ระงับใจได เรียกวาไดสติ หรือบางคราวอาจจะทําอะไรพลั้งเผลอผิดพลาดไป พลาดจากหลักการและกฎเกณฑที่ดีงาม แตพอไดสติก็เปลี่ยนเสียใหมใหถูกตองตามทํานองคลองธรรม ยกตัวอยาง นักเรียนประพฤติลวงละเมิดกฎของโรงเรียน เพราะคิดอยางเขาขางตัววา กฎหรือระเบียบของโรงเรียนเปนเรื่องรุงรังหยุมหยิม แตพอมีคนใหสติวา ระเบียบของโรงเรียนตั้งขึ้นเพื่อความสงบเรียบรอยของนักเรียนทุกคน เพื่อประโยชนแกนักเรียนทุกคน เมื่อคิดไปก็เห็นจริง พรอมทั้งระลึกไดวา เคยมีนักเรียนลวงละเมิดระเบียบของโรงเรียน แลวกอใหเกิดความวุนวายขึ้นทั้งโรงเรียน จนถึงตํารวจตองเขามาสอบสวน บางคนถูกจับกุมคุมขัง บางคนถูกไลออก เสียชือ่ เสียงของตนและวงศสกุล เสียอนาคตที่ควรจะสดใสดีงามไปอยางนาเสียดาย นักบวชบางคนขาดสติสัมปชัญญะ ลวงละเมิดระเบียบวินัยของสงฆแลวไมยอมรับผิด ทําใหสังคมวุนวาย ทําศาสนาใหมัวหมอง และทําความเดือดรอนแกคณะสงฆและศาสนิกชน มากมาย อันที่จริง ความผิดเปนเรื่องที่ปุถุชนทุกคนหลีกเลีย่ งไดยาก แตถาทําผิดแลวไดสติ ยอมรับผิดแลวพรอมที่จะแกไขใหถูกตองตามธรรม พระพุทธเจาก็ทรงสรรเสริญ คนทั้งหลายก็เห็นใจ และพรอมที่จะใหอภัย และเปนทางของความเจริญของตัวผูทําผิดเอง การทําผิดเปนเรื่องธรรมดาของมนุษย แตการที่รสู ึกผิดแลวขอโทษทําคืน เปนเรื่องที่นาสรรเสริญ การทําความผิดเปนเรื่องธรรมดา ตองขอโทษเปน รูจักกลับตัว คนที่เดินทางผิดยังรูจักกลับมาเดินทางใหม รูวาเดินทางผิดแลวก็ไมดื้อ รีบกลับตัวมาเดินเสียใหม ก็ไปใหถึงจุดหมายปลายทางได 14 คติชีวิต
แตถาเดินทางผิด แลวก็ไมรูจักกลับแลวเดินตอไป คิดเสียวาเดินมานานแลว เสียดายระยะทางที่เดินมานานแลว ก็เดินตอไป แตก็เดินผิด ก็ไมมีทางที่จะไปใหถึงจุดหมายปลายทางที่ตองการได ยิ่งเดินไปก็ยิ่งไกลจากจุดหมายปลายทาง อยางที่โบราณบอกวา ยิ่งวายยิ่งลึก เหมือนวายลงทะเล ยิ่งวายยิ่งลึกลงไปทุกที ฉะนั้น การวายกลับก็ไมเสียเวลาเทาไหร และยังจะปลอดภัยดีดวย
ทําดี ดีกวา ขอพร ทราบวาเปนพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จ-พระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว มีพระราชนิพนธวา ทําดี ดีกวา ขอพร ทําชั่ว จะวอน ใหเขาชวย บมิไหว ทําดี นิรทุกข สุขใจ ทําชั่ว นั้นไซร ไมชาตองดิ้น ดับแด ทําดี ไดดี แนแท ทําชั่ว มัวแก เมื่อใดจะพนโทษา ดีอยู ผูใด นินทา ผลความอิจฉา ก็กลับ กระทบคนพาล ทานเปนนักปราชญในทางแตงกลอน ดีมาก นาสนใจ ตอนหลังทราบวาอาจารยพุทธทาส ก็มาแตงกลอนทํานองนี้เหมือนกัน ทําดีดีกวาขอพร แตวาตอนนี้ไมมีตนฉบับของทานอยู ขอความไมเหมือนกัน แตหัวเรื่องเหมือนกัน เรื่องนี้ก็จะใหไวเพียงวา อยากไดอะไรก็ใหทําเอา ดีกวาขอพร หรือคอยออนวอน ขอนั่นขอนี่จากอะไรตางๆ จากคนบางจากสิ่งที่ไมเห็นตัวบาง
15 คติชีวิต
ไมเปนไปตามทีอ่ อนวอน อันนี้ก็รับกับขอที่แลวพอดี ผมมีความเห็นวาคําสวดที่เปนคาถาที่นิยมเชื่อถือกันวาขลังและศักดิ์สิทธิ์ และมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริยที่จะบันดาลใหผูสวดไดนั้น สวนมากพอแปลออกมาแลวก็เปนคําออนวอนเสียทั้งนั้น พิจารณาตามหลักพุทธศาสนา ผลยอมจะเกิดตามเหตุไมใชตามที่ใครออนวอน ถาออนวอนเอาได ใครจะพลาดจากสิ่งที่ตนประสงค เพราะวาทุกคนมีสิทธิ์สวดออนวอนดวยกันทั้งนั้น แตเพราะเหตุที่วาออนวอนเอาไมได เราจึงตองลงมือทําเอง ใหตรงกับผลที่เราตองการ จะออนวอนใหเปนไปสักเทาไหรก็ไมเปนไปตามที่ออนวอน เมื่อเปนอยางนี้ เราจะมัวเสียเวลาทําไมกับการออนวอน ก็เอาเวลานั้นไปทําเหตุใหตรงกับผลที่เราตองการ ดวยการใชสติปญญา ใชความรอบคอบ ความอดทนไมดีกวาหรือ ถาจะออนวอน ก็ขอใหออ นวอนวา ขอขาพเจาอยาไดออนวอนสิ่งใดเลย อันนี้ดี ผูมีนิสัยพึ่งตัวเอง จะไมนิยมการออนวอน นิสัยนี้เปนสิ่งที่พระพุทธเจา ผูประกาศพุทธศาสนาทรงประสงคที่จะปลูกฝงใหงอกงามขึ้นในจิตใจของพุทธสาวกตั้งแตสมัยเริ่มแรก ทามกลางศาสนาพราหมณและลัทธิตางๆ ซึ่งอุดมไปดวยการออนวอนและฝากตัวไวกับเทพเจา ผูไดรับความนิยมวาศักดิ์สิทธิ์ ถาพูดไดเทพเจาเหลานั้นก็คงจะพูดอยางเดียววา พวกเจาจงเสียสละเพื่อขา แลวพวกเจาตองชวยตัวเอง และชวยกันเอง จึงจะอยูรอดได ก็เปนอยางนั้นแหละครับ ไมวาจะอยูในสังคมประเทศไหน ถาเกิดอุปทวเหตุ เกิดขัดของ เกิดภัยพิบัติตางๆขึ้น คนก็ตองชวยกัน เทพเจาตางๆที่เขาออนวอน ไมรูหายไปไหนหมด ไมไดมาชวยมนุษยเลย เทพเจาที่เขาออนวอนกันอยู ที่เขาถือวาศักดิ์สิทธิ์ ขลัง ไมทราบไปอยูที่ไหน ไมไดมาชวย ฉะนั้น สิ่งที่มนุษยควรจะปฏิบัติตอมนุษยดวยกัน ดวยความเขาใจ ดวยความนอบนอมตอมนุษยดวยกัน ก็จะสําเร็จประโยชนไดมาก เรื่องมีปรากฏชัดเจนอยางที่เราเห็นๆกันอยู 16 คติชีวิต
องคสําคัญของศาสนา องคสําคัญของศาสนาคือ การศึกษาเลาเรียน การอุทิศตนเพื่อประโยชนสวนรวม การฝกจิต ความเขมแข็งในการตอสูอุปสรรค ศาสนาไมไดสอนใหคนออนแอ การศึกษาเลาเรียน บางคนเขาใจผิดคิดวาไมตองศึกษาเลาเรียน ถาไมศึกษาเลาเรียนจะรูไดอยางไรวาศาสนาสอนอะไร ศาสนาที่ทานนับถืออยูนั้นสอนอะไรก็ไมรู ถาไมรูจะปฏิบัติได ถูกตองอยางไร หลายคนนะครับที่ผมไดยินวา เมื่อกอนก็ไดรับฟงมาวาไมตองศึกษาเลาเรียนก็ได กมหนางุดๆปฏิบัติไป ทีนี้เขารูไดอยางไร วาเขาปฏิบัติถูกหรือปฏิบตั ิผิด ในเมื่อไมไดศึกษาเลาเรียน และก็นากลัว นากลัววาปฏิบัติผิดแลวก็ไมรูวาปฏิบัติผิด ทางผิดแลวก็ไมรูวาผิด คิดวามีประทีปสองทาง ทีนี้ไฟมันดับเมื่อไหรก็ไมรู เดินถือตะเกียง แตไฟดับเมื่อไหรก็ไมรู อันนี้นากลัวเหมือนกัน แลวจะรูไดอยางไรวาพระพุทธเจาสอนอะไร คําสอนของอาจารยนั้นถูกหรือผิด ที่วาเชื่อถืออาจารยนั้นคําสอนของอาจารยถูกหรือผิด เราไมรู เพราะไมไดเลาเรียน การศึกษาเลาเรียนเปนสิ่งสําคัญเปนองคหนึ่งของศาสนาอยางสัทธรรม 3 ก็เริ่มจากปริยัติคือการศึกษาเลาเรียน ขั้นที่ 2 ก็คือปฏิบัติ แลวก็ปฏิเวธ คือการไดรับผลตามที่ปฏิบัติตามสมควรแกการที่ไดปฏิบัติ ปฏิบัติไดระดับไหนก็ไดรับผลในระดับนั้น ปฏิบัติอยางไรก็ไดรับผลอยางนั้น แตวาถากลาวถึงสิกขา 3 สีลสิกขา จิตตสิกขา ปญญาสิกขา อันนี้ทานมีการศึกษาอยูในนั้น ศึกษาและปฏิบัติอยูในคําวาสิกขานั่นเอง ไมตองมีปริยัติ เพราะคําวาสิกขานั้นรวมเอาการศึกษาและปฏิบัติอยูในนั้น สีลสิกขา ก็คือศึกษาคือเรียนรูและปฏิบัติเรื่องศีล ทานอยาดูถูกการเลาเรียน เปนองคสําคัญองคหนึ่งของศาสนา
17 คติชีวิต
การอุทศิ ตนเพือ่ ประโยชนสวนรวม อันนี้ก็เปนสิ่งสําคัญ ไมใชตัดชองนอยแตพอตัว เอาตัวรอดอยางเดียว มีการอุทิศตนเพื่อประโยชนของสวนรวม พระศาสดาของเราก็ทรงทําอยางนั้น พระสาวกผูใหญที่เราเคารพนับถือก็ทาํ อยางนั้น คือถาทานบูรพาจารยทั้งหลายไมทําอยางนั้น ศาสนาก็มาไมถึงเรา ไมมีการอุทิศตน เพื่อประโยชนสวนรวม เห็นแกตัว เห็นแกความสุขสวนตัว ศาสนาก็จะมาไมถึงเรา
การฝกจิต เรื่องนี้ก็เปนเรื่องสําคัญ เพราะวาถาไมมีการฝกจิต จิตของเราจะกวัดแกวง ไมมั่นคง แมแตการที่จะอุทิศตนเพื่อประโยชนสวนรวมก็ทําไมได เพราะวาพอเจออุปสรรคปญหาอะไรเขา จิตมันถอยมันทอทําไมได ความประณีตของจิตไมมี เมื่อความประณีตของจิตไมมี การสอนการทําประโยชนสวนรวมอะไร มันแฝงไปดวยเรื่องอื่นทั้งหมด มันไมบริสุทธิ์ คําสอนไมบริสุทธิ์ ไมตรงไปตรงมา เพราะวาจิตมันเขวออกนอกทาง ถาจิตมันเห็นแกลาภ เห็นแกสักการะ เห็นแกความนับถือ เห็นแกการยกยอง จิตมันแกวงไปแกวงมาในทางโนน แลวมันจะพูดอยางไร จะสอนอยางไร จะอุทิศตนเพื่อสวนรวม มันก็อดที่จะดึงเขาตัวไมได เพราะจิตมันยังไมไดรับการฝก ฉะนั้น การฝกจิตเปนสิ่งสําคัญ ในโอวาทปาฏิโมกข พระพุทธเจาทานก็ทรงแสดงเรื่อง อธิจิตฺเต จ อาโยโค การฝกจิตเปนประการสุดทายในองคคุณ หรือคุณสมบัติของผูเผยแผศาสนา หมายความวาตองจิตดี ตองใจดี ในพระสูตรบางพระสูตร พระพุทธเจาตรัสวา ถาทานทั้งหลายไมฉลาดในกระบวนการเรื่องจิตของผูอื่น ก็ใหฉลาดในจิตของตน รูจักจิตของตน รูจักฝกจิตของตน คนที่ฝกจิตไดแลว อะไรๆมันก็จะดีไปหมด เรื่องการฝกจิต เราก็มองขามไมได สําหรับผูที่เขามาสนใจศาสนา มันเปนองคธรรมสําคัญของศาสนา 18 คติชีวิต
บางทีก็มีบททดสอบสําหรับผูที่ฝกจิต หรือยังไมไดฝกจิต เรื่องก็จะยาวออกไป
ความเขมแข็งในการตอสูอุปสรรค นี่ก็จะตอเนื่องกันมา วาคนที่ฝกจิตไดดีแลว จะมีความเขมแข็งในการตอสูอุปสรรค เชิญใหอุปสรรคเดินเรียงหนากันเขามา แลวก็จะฝาฟนอุปสรรคใหดู ศาสนาไมไดสอนใหคนออนแอ สอนใหตอสูอุปสรรค ทุกๆคนมีอุปสรรค ไมวาเราจะไปจับทําอะไรเขา มันมีอุปสรรคแทบทั้งนั้น ความสําเร็จที่ไมมีอุปสรรค ก็เปนความสําเร็จที่ไมนาไววางใจ คนที่เกงก็คือคนที่ฝาฟนอุปสรรคไดดี และสามารถเอาชนะอุปสรรคได ไมกลัวอุปสรรค เคยเลาเอาไวในเรื่องคนยายภูเขา ความจริงเขาก็ไมไดคิดวามันจะสําเร็จ แตก็ทําไป คนที่มีอานุภาพเขาก็จะมาชวยใหสําเร็จ เพราะเห็นความพยายาม เห็นความเพียรของคนผูนั้นแลว เห็นใจ มาชวยใหประสบความสําเร็จ นี่ก็คือตอสูอุปสรรคนั่นเอง มันนาเอ็นดูกวาคนที่เหยาะแหยะไมกลาตอสูอุปสรรค ยิ่งศาสนาก็ยิ่งมีแนวโนมในทางที่จะใหเขมแข็ง และตอสูในอุปสรรคที่เกิดขึ้นนี้มาก บางทีคนไมเขาใจ นึกวาศาสนาสอนใหเราออนแอ ศาสนาสอนหลักการในการดําเนินชีวิต เนนใหปฏิบัติตามหลักการนั้น ใหสอดคลองเปนหนึ่งเดียวกัน หลักการที่ขาดการปฏิบัติยอมจะไมบังเกิดผล สวนการปฏิบัติที่ไมมีหลักการกับการควบคุมจะกลายเปนยุงเหยิงสับสน ไมอาจใหสําเร็จประโยชนไดเชนเดียวกัน ตรงนี้ขอใหกําหนดใหดี คือเปนนักปฏิบัติ แตวาไมรูวาหลักการอยูที่ไหน ปฏิบัติดุยๆไปไมมีหลักการ ไมมีหลักเกณฑ ไมมีจุดยืน จับหลักไมได อยางบางทีมีเหตุการณยุงเหยิงขึ้นในสังคมของเรา โดยเฉพาะอยางยิ่งคือในสังคมศาสนา แลวชาวพุทธก็จับหลักไมได วาหลักมันอยูที่ไหน ก็เลยปฏิบัตกิ ารไปตามรูสึกนึกคิดไปตามอารมณ 19 คติชีวิต
ไปตามพวกมาก ไมมีหลักการ ไมมหี ลักเกณฑที่จะควบคุม ก็เลยกลายเปนยุงเหยิงและสับสน ไมรูอะไรเปนอะไร นี่เรื่องสําคัญของศาสนานะครับ สําหรับผูที่มาสนใจศาสนา จะตองยึดหลักใหไดวาหลักของพุทธศาสนาคืออะไร และปฏิบัติการใหเกิดผลตามหลักการ ก็จะไมยุงเหยิงไมสับสน พอมีเหตุการณอะไรเกิดขึ้น เราเอาหลักมาจับไดเลยวาหลักมันอยูที่ไหน และเขากับหลักไดไหม ขัดกับหลักหรือเปลา ทํานองนี้ ก็จะไดประสบผลสําเร็จ นี่เปนองคสําคัญของศาสนา
ลวงทุกขไดดวยความเพียร เรื่องนี้จะรับกันกับเรื่องกอน ในเรื่องการฝกจิตและความเขมแข็งในการตอสูอุปสรรค พระพุทธภาษิตที่เราไดฟงกันอยูเสมอก็คือ วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ บุคคลลวงทุกขไดเพราะความเพียร พระพุทธภาษิตนี้แสดงถึงคุณคาของความเพียร มีความทุกขอะไรบางที่จะลวงพนไดดวยความเพียร ก็ตอบวา ความทุกขทุกอยางลวงพนไดดวยความเพียร ยกตัวอยาง 1. ความทุกขจากความยากจน หลายคนยากจนเพราะความเพียรนอย หรือเกียจคราน ฝกใฝในอบายมุขทําใหชีวิตตกต่ํา แตพอรูสึกตัวเปลี่ยนวิถีชวี ิตเสียใหม กลับหาทรัพยไดมั่งมีขึ้น สมกับที่พระพุทธเจาทานตรัสไววา อุฏฐาตา วินฺทเต ธนํ แปลวา ผูมีความเพียรขยันลุกขึ้น มีธุระอยูเสมอ ยอมหาทรัพยได ไมอยูวาง ไมเกียจคราน ทําการงานใหเหมาะสมยอมจะหาทรัพยได อันนี้ก็ไมไดวาทุกคนที่จนวาขี้เกียจ มันมีสาเหตุเยอะแยะของความยากจน และก็ไมใชคนขยันแลวจะไมจน คนขยันจนก็มี คือวาเขาทําทุกอยางแลว แตวาสิ่งแวดลอมไมอํานวย 20 คติชีวิต
หรือวาเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ ระบบไมเอื้ออํานวยใหเขาพออยูพอกินได อันนี้ตองดูหลายๆดานดวย แตถาทุกดานดีแลวแตเขายังลําบากอยู อาจจะเปนเพราะเขาเกียจคราน ฝกใฝอบายมุข เลนการพนันเสเพล ไมเอาเรื่องเอาราวกับการงาน อยางนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง สาเหตุของความขัดสนจนทรัพยนี่มันมีเยอะ พอพูดกันถึงเรื่องทรัพย เคยคุยกับใครหลายคนวา ดูเหมือนวาเวลานี้และในอนาคตเรื่องทรัพยเปนเรื่องที่ทําใหคนวุนกันเหลือเกิน หาทรัพยกันวุนไปหมด บางคนหาเทาไหรก็ไมพอใชไมพอจาย บางคนก็หาเทาไหรก็ไมพอใจ บางคนไมพอจาย เพราะรายจายมากรายไดนอย มีคนในความรับผิดชอบมาก ผูหญิงในสังคมของเราเวลานี้ ตองทํางานหนักมาก ทั้งทํางานนอกบานทั้งทํางานในบาน ดูแลคนรอบขาง ดูแลพอแมปูยาตายาย หลานเหลน เยอะแยะเลย ยังตองทํางานในบานนอกบานลําบากมาก ขยันเหลือเกินทํางานไมมีวันหยุดแลว บางคนก็ยังไมพอจาย เพราะวามีคนที่อยูในความรับผิดชอบมาก ก็นาเห็นใจ ในสังคมเอเชียเรา ผูหญิงคนหนึ่งทํางานเลี้ยงคนตั้งหลายคน 3-4 คน โดยเฉพาะในเมืองไทย ถาเขาลมลงเสียคนหนึ่ง ก็แปลวาลมกันไปเยอะเลย ก็อยูในความรับผิดชอบ อันนี้นาเห็นใจ ผูชายรุนนี้เวลานี้ไมคอยจะรับผิดชอบเทาไหร เปนวัยรุนก็มัวแตเลนมัวแตเที่ยว พอโตขึ้นมาหนอย เวลามันไมทันกับเรื่องอะไรตางๆที่เปนธุระของเขา ความสามารถมันไมพอ เพราะไปมัวใชเวลาเลน เปลืองไปกับการเลนเสียเยอะ หาความสุขสนุกสนาน เพราะมันมีสิ่งยั่วยวนเยอะ นี่ก็ไปโทษสิ่งภายนอก ความจริงก็คือตัวของตัวเองนั่นแหละไมเอาเรื่อง คือไมรูจักคิด คิดไมเปน เด็กวัยรุนของเราเวลานี้นาสงสาร ผูใหญนั่นแหละสรางสิ่งยั่วตายั่วใจขึ้นมาเยอะ ทําใหเขาตองไปแสวงหาความสุขจากสิ่งเหลานั้น ก็หาเงินนั่นแหละ ผูใหญหาทรัพยกับเด็ก อะไรที่ทําใหเด็กลุมหลงไดก็รวย แตวามันเปนบาป รวยแตเปนบาป อยูอยางจนๆและไดบุญดีกวา แตคนที่มาฟงรายการอยางนี้ก็เปนคนที่ไมทําบาปสวน มากใฝในบุญ คนที่เดินทางบาปก็ไมไดมาฟง เคยพูดกับ หลายคนวา ในสังคมเรา 21 คติชีวิต
ถาผูหญิงทํางานนอยกวานี้สักหนอย แลวใหผูชายขึ้นมารับผิดชอบมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องรายไดรายจายในครอบครัว หรือถึงเขาจะทํางาน แตไมใชใหเขาทํางานเพื่อเปนภาระรับผิดชอบในครอบครัวที่มากเกินไป ใหเขาทํางานเพื่อบริหารสมอง บริหารรางกาย บริหารจิตใจ ใชวิชาความรูที่เรียนมาใหเกิดประโยชนแกสังคมอยางนั้น ไมใชใหทํางานแบบเปนภาระที่หนักเหลือเกิน ก็ขอฝากเอาไวเผื่อมีทางที่จะถายทอดกันไปได เพื่อวาสังคมเราจะไดดีขึ้น มีพุทธศาสนสุภาษิตอยูวา กาลาคตฺจ น หาเนติ อตฺถํ คนขยันยอมไมทําประโยชนที่มาถึงเขาแลวใหเสื่อม บางทีประโยชนมาถึงแลว แตวาไมขยันก็เลยทิ้งไป คือไมอยากทํา เลนสนุกดีกวา เรียนก็ไมเรียน มีเด็กหลายคนพอแมมีเงินทองสงเรียนได แตเด็กไมเรียน นี่เรียกวาทําประโยชนทมี่ าถึงแลวใหเสื่อม มีเด็กเปนอันมากที่ดิ้นรนขวนขวาย ทั้งเรียนทั้งทํางาน ทั้งรับจางเพื่อจะใหไดเรียน เด็กพวกนี้นาสงสารนาเห็นใจ นาชวยเหลือ แตมีเด็กบางพวกเหลวไหล เอาแตเที่ยวเอาแตเลน เรียกวาทําประโยชนที่มาถึงแลวใหเสื่อม พออายุมากขึ้น พอแมก็มฐี านะเพื่อนฝูงก็ฝากงานใหทําได แตเรียนก็ไมสําเร็จ ความสามารถก็ไมมี แลวเขาจะชวยไดอยางไร ผูใหญก็เหมือนกัน รูวาอะไรเปนประโยชนก็รีบทําอยาใหประโยชนที่มาถึงแลวใหเสื่อม และในบรรดาสิ่งที่เปนประโยชนดว ยกัน ตองมีปญญาไตรตรองวาอะไรมันมีประโยชนมากกวา ก็ขวนขวายทําสิ่งนั้นใหมาก อะไรที่เปนประโยชนนอยกวา ก็ทิ้งเสียบาง เพราะเราไมสามารถจะทําทุกสิ่งทุกอยางไดทั้งหมด บางคนโอกาสดีแตไมจับฉวยเอาไวไดก็นาเสียดาย เมื่อทํากิจโดยเบื่อหนาย ประโยชนยอ มจะไมสําเร็จโดยชอบ ทานตองการใหทํากิจโดยไมเบื่อหนายโดยมีฉันทะ วิริยะ มีความพอใจ มีความชอบที่จะทํา เรียกวา 22 คติชีวิต
กัตตุกัมมยตา ฉันทะนั้นคือ กัตตุกัมมยตา ใครทจี่ ะทํา ปรารถนาที่จะทํา อยากที่จะทํา อยางที่ทานพยอมพูดวา เห็นงานแลวมือไมมันสั่นอยากจะทํา พึงไดประโยชนในที่ใดโดยประการใด บุคคลพึงบากบั่นในที่นั้นโดยประการนั้น นี่ก็ตองใชปญญาสอดสองวาประโยชนมันเกิดขึ้นในที่ใด โดยประการใด ก็บากบั่นโดยประการนั้นใหสําเร็จประโยชน มีคนยากจนไมนอย ไดเปนคนที่มีชื่อเสียง มีคนนับถือ มีทรัพยสินสมบัติ บางคนมั่งมี เพราะขยัน ประกอบการงานเหมาะสม ผมยังเชื่อวาถาเปนคนฉลาด หมัน่ สะสมปญญา หมั่นแสวงหาปญญา ทํากิจใหเหมาะสม ทําการงานดวยความขยันหมั่นเพียร ก็สามารถสรางตัวได และใหมีความมั่นใจอยางนั้น อยาลังเลและอยาโลเล ความมั่นใจนั่นแหละจะทําใหทานประสบความสําเร็จ นี่พูดถึงความยากจน ก็สามารถที่จะเอาชนะได เรียกวาลวงทุกขไดดวยความเพียร 1. ความทุกขจากความเจ็บปวย อันนี้ก็คอนขางลวงไดยาก แตถามีความเพียรดี ก็สามารถจะเอาชนะไดเหมือนกัน บางคนเกียจคราน เอาแตนั่งๆนอนๆจนปวย เรียกวาปวยทั้งทางกายและทางจิต คิดฟุงซานไปตางๆ ทําใหมีความเครียด รางกายเจ็บปวย อันสืบเนื่องมาจากปวยทางจิตกอน ทานเรียกในภาษาจิตวิทยาวา Psychopatic illness ซึ่งหมายถึงความทุกขที่มาจากโรคทางใจ และมีอาการออกมา ก็ทําใหตื่นเตนงาย ตกใจงาย กระวนกระวายไมมีความสุข ไมสงบ ถาคนประเภทนี้ใชความเพียรไปทางใดทางหนึ่งใหสม่ําเสมอเปนระบบ ก็จะหายจากความเจ็บปวยเหลานี้ได หรือทําใหบรรเทาลงได สวนคนที่ปวยทางกายจริงๆ โดยไมเกี่ยวกับทางจิตเลยนั้น ถามีความเพียร ก็มีความบากบั่นมั่นคงในการรักษาตัว ใหแพทยชวยดูแลบาง ชวยตัวเองใหมาก ชวยตัวเองใหดี ประกอบดวยความรูความเขาใจเรื่องอาหารและยา เวนของแสลงแกโรค บริโภคแตของที่เปนสัปปายะ คือสิ่งที่เหมาะสมแกโรคแลว ตอไปอาจไมตองไปหาหมอหรือหาแตนอย 23 คติชีวิต
แตตองยอมรับความจริงวาเราเปนโรคอะไรอยู แมจะไมบอกกับคนอื่น แตตองยอมรับกับตัวเองวาเราเปนโรคอะไร และตองยอมรับความจริงวาโรคบางอยาง มันรักษาไมหาย เพียงแตคุมไวไดเทานั้น ตองอยูกับมันไปตลอดชีวิต ทําใจใหสบาย เปนเพื่อนกันไป ตายไปดวยกัน แลวก็ไมเปนไรเพราะวาเรายอมรับมันแลว คนปวยตองมีกําลังใจที่เขมแข็งสักหนอย และควบคุมตัวเองใหได ดูแลตัวเองใหได ยอมรับความจริง ไมใชไปกินยาบางอยาง โรคมันทุเลาลงไป ก็คิดวาหายแลว อยูอยางคนไมมีโรคอยางนี้ก็ไมได ตองยอมรับวามันเพียงทุเลา มันรักษาไมหาย เราตองระวังดูแลตอไป ตองยอมรับความจริง ความทุกขจากความเจ็บปวยเชนนี้ ลวงพนไดดวยความเพียรเหมือนกัน มีความเพียรที่จะรักษาโรคสม่ําเสมอ ไมประมาทโรค แตก็ไมกลัวมันเกินไป มาถึงเรื่องความทุกขในสังสารวัฏ ความทุกขในอบายภูมิ นี่ก็เปนความทุกขใหญเหมือนกัน ความทุกขในอบายภูมิตองเกิดในนรก ในภพของเปรต อสุรกายหรือสัตวเดรัจฉาน ซึ่งมีบาปเปนแดนเกิด มีบาปเปนตนเหตุ ผูใดที่มีความเพียรพยายามเวนบาป เพียรในการบําเพ็ญบุญกุศล มันก็มีชองทาง ผูนั้นก็จะพนจากความทุกขในอบายภูมิ แมแตความทุกขในโลกมนุษยนี้ก็จะเบาบาง คือจะเปนคนอีกแบบหนึ่งในโลกมนุษย เหมือนกับเปน มนุสสเทโว เปนมนุษยเทวดา เปนมนุษยพรหม ไมใชมนุษยธรรมดา, หรือมนุษยที่ต่ํากวามนุษยที่เรียกวา มนุสสเนรยิโก มนุษยนรก, มนุสสตีรจฺฉาโน มนุษยเดรัจฉาน, มนุสสเปโต มนุษยเปรต ไมใชอยางนั้น และก็พน จากมนุสสมนุสฺโส ขึ้นไปอีก พนจากมนุษยที่เปนมนุษย เปนอภิมนุษย เปน superman ในทางที่เพียบพรอมดวยคุณธรรม ดวยคุณงามความดี มนุษยเหนือมนุษย ไมใชมนุษยธรรมดา 24 คติชีวิต
ถาถึงขั้นที่กาวเขาสูอริยภูมิ ตั้งแตโสดาปตติผลขึ้นไปแลว ก็จะยิ่งสบายใหญ เรียกวาปดอบายภูมิ 4 ไดหมดปดสนิท พากเพียรตอไปจนถึงอรหัตผล ทุกขในสังสารวัฏอันยืดเยื้อยาวนานก็เปนอันสิ้นสุดลง ความทุกขในสังสารวัฏ ความทุกขในอบายภูมิก็ลวงไดดวยความเพียรเหมือนกัน ขอสรุปในเรื่องนี้วา ขอใหเราใชความเพียรใหเต็มที่ ความสามารถของมนุษยเรานี่มีมาก สมองก็มีความสามารถมาก พลังของมนุษยก็มีมาก แตสวนมากเราใชสิ่งที่เรามีอยู ไมมากเทาที่มันมีอยู สมมุติวาเรามีพลังความเพียร 90 แตเราใชมันจริงๆถึง 30 หรือเปลา สวนมากไมถึง แลวก็มาคิดวาเราไมสามารถ โดยทีย่ ังไมไดลองทํา พอคิดวาเราไมสามารถ ความเพียรพยายาม ความคิดที่จะทํา ความคิดที่จะตอสู มันก็จะไมมี ก็ดูเสมือนเปนผูที่ไรความสามารถ เพราะขาดความเพียร ปโยคสมบัตินี่สําคัญมากเลยในเรื่องสมบัติ 4 คือคติสมบัติ ไดกําเนิดดี ไดรางกายดี ไดกาลเวลาดี ถึงจะได 3 อยางดี แตถา ขาดความเพียรที่เพียงพอ แลวสิ่งเหลานั้นก็อํานวยประโยชนใหนอยกวาที่มันมี แตคนที่ขาดสิ่งเหลานั้น ขาดทั้งคติสมบัติ ขาดทั้งกาลสมบัติ ขาดทั้งรางกาย ก็ไมคอยจะดีเทาไหร แตวามีความเพียรมาก เขาก็จะได และเขาจะกาวหนากวาคนที่มีสมบัติ 3 อยาง แตขาดสมบัติที่ 4 คือปโยคสมบัติ เพราะฉะนั้น ความเพียรนี้เปนสิ่งสําคัญมาก ตองใจเย็น และรอคอยได
25 คติชีวิต
กรรม กรรมในอดีตสรางเรามาก็จริง แตผูที่มีความรูเรื่องชีวิตดี ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนใหดีขึ้นได ดวยการสรางกรรมใหมใหดี เปรียบไปก็เหมือนเราเขาอยูอาศัยในบาน ซึ่งเขาสรางไวแลว แตถาเรามีความรูเรื่องการกอสราง เราก็จะสามารถดัดแปลงแกไขสวนบกพรองใหดีขึ้นตามความตองการของเราใหเหมาะสมกับกิจการของ เรา แตถาเราไมมีความรูในการกอสรางหรือสามารถใหชางมาดัดแปลงได ก็ตองทนอยูไปอยางนั้น เรื่องของชีวิตก็เหมือนกัน แมวากรรมในอดีตจะสรางเรามาบางแลว ก็ยังสามารถแกไขไดดวยความรูความเขาใจในเรื่องชีวิต ไมควรทอถอย บางคนก็โยนไปใหกรรมในอดีตเสียหมด หรือวาเชื่อดวงเชื่อโชคชะตา แลวแตชะตาชีวิตจะใหเปนไป ที่จริงชะตาชีวิตเปนสิ่งที่เราสรางเองไมใชชะตาชีวิตสรางคน แตคนเปนผูสรางชะตาชีวิต ชะตาชีวิตจะดีหรือไมดีอยางไรก็แลวแตเราจะสราง กรอบในอดีตนั้นมีสวนอยูบางก็จริง แตวาเหตุในปจจุบันเปนสิ่งที่มีความสําคัญมาก การตั้งตนไวชอบ ความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเลาเรียน ในการประกอบคุณงามความดี รูจักเขาหาคนดี คบหาสมาคมกับคนดี สิง่ เหลานี้ก็มีความสําคัญยิ่งกวากรรมในอดีตเปนอันมากเลยทีเดียว ทานลองดูเรื่องนี้อีกสักเรื่องหนึ่งก็ได ผมบันทึกเอาไวตั้งแตวันที่ 20 ธันวาคม 2534 เปนขาวทางวิทยุบันทึกเอาไววา คนชาวหรรษา แถบเทือกเขาหิมาลัยในประเทศอินเดีย มีอายุยืนโดยเฉลี่ยถึง 140 ป มันเกินอายุกัปปของคนในสมัยพุทธกาลเสียอีก ในสมัยพุทธกาล ทานใหอายุคนอายุกัปป 120 ป พระอานนท พระมหากัสสป ผูมีอายุยืนก็อายุ 120 ป พระพุทธเจาไมถึง แค 80 ป ฉะนั้น อายุของคนชาวหรรษานี่ ใน 100 คนมีอายุยืน 140 ปถงึ 60 คน เทากับ 60% ทั้งนี้ดวยเหตุ 3 ประการ คือ
26 คติชีวิต
1. ตั้งบานเรือนอยูบนภูเขา ตองลงมาทําเกษตรที่เชิงเขา ตองขึ้น-ลงภูเขาทุกวัน ทําใหรางกายแข็งแรง 2. อากาศดี ไมมีมลพิษ 2. กินอาหารธรรมชาติที่ปลูกเอง ไมมีสารพิษในพืชผัก กินปลาเปนสวนใหญ ไมคอยมีเนื้อสัตวอยางอื่น ปลาก็เปนอาหารดี หันมาดูคนไทย โดยเฉลี่ยในปจจุบันมีอายุเฉลี่ย 65 ป ทั้งๆที่การแพทย การสาธารณสุขเจริญกวาชาวหรรษา และนาแปลกที่วาอายุยืนถึง 100 ปเศษ มีเพียง 16 คนในจํานวน 57 ลานคน (เมื่อ พ.ศ. 2534) จํานวนนี้เปนคนภาคอีสาน 50% ภาคที่เราพูดกันวาเปนภาคที่แหงแลง อดอยากหรือคอนขางฝดเคือง แตคนกลับมีอายุยืนถึง 50% ภาคใตและภาคเหนือ ภาคละ 25% ภาคกลางไมมีเลย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่เรียกวาเจริญรุดหนา ทุกอยาง ทานจะเห็นวา เหตุที่ทําใหอายุยืนเปนเหตุของปจจุบัน เปนสวนมาก พวกเราแทบทุกคนก็คงเคยไดยินที่เทศนกัน สอนกันเสมอในเรื่องวาที่อายุสั้นเพราะกรรมในอดีตไมดี อายุยืนเพราะกรรมในอดีตดีก็เอาเถอะ ไมเถียงละครับ แตวาอยาละเลยการกระทําในปจจุบัน เพราะการกระทําในปจจุบันนี้มีความสําคัญมากกวาเรื่องในอดีตเปนอันมาก อยาโยนไปใหกรรมในอดีตเสียหมด จะทําใหขาดกําลังใจ หรือขาดการกระทําที่เหมาะที่ควรในปจจุบัน ลองดูที่พระพุทธเจาทรงแสดงเอาไว เรื่องเหตุที่ทําใหอายุสั้น อายุยืน เปนเหตุในปจจุบันทั้งนั้นเลย 5 อยางนี่เปนขอความจากพระไตรปฎก อังคุตรนิกาย ปญจกนิบาต เลม 22 หนา 163 ขอ 166 พระพุทธเจาทรงแสดงเหตุที่ทําใหอายุสั้น 5 อยาง คือ 1. ชอบทําในสิ่งที่แสลงแกตน เรียกวา อสัปปายะการี ทําในสิง่ ที่ไมเหมาะ กินของแสลง ไดอากาศที่แสลง ทําอะไรที่มันไมถูกกับสุขภาพ เปนสิ่งแวดลอมไมดี ทําใหอายุสั้น
27 คติชีวิต
2. ไมประมาณในสิ่งที่ไมแสลง เชน อาหาร แมจะ ไมแสลงกินได แตไมรูจักประมาณในการกิน ไปไหนก็ไปได เที่ยวไดแตก็ไมรูจักประมาณในการเที่ยว อยางนี้ก็ทําใหอายุสั้นเหมือนกัน 3. ชอบบริโภคอาหารที่ยอยยาก ทําใหรางกายตองใชกําลังมากเปนพิเศษ 4. เที่ยวไปรูจักกาล อกาลจารี ไมรูจักกาลเวลา ไมไดหลับไดนอน เปนเหตุหนึ่งที่ทําใหอายุสั้นเหมือนกัน 5. ไมประพฤติพรหมจรรย สังเกตดูผูที่ประพฤติ พรหมจรรย จะอายุยืนมากกวาผูไมประพฤติพรหมจรรย อยางพระโดยเฉลี่ยแลวอายุจะยืน เพราะวาประพฤติพรหมจรรย และถาไมเปนผูประพฤติพรหมจรรย ก็รูจักประมาณในการประพฤติในการใชชีวิตเกี่ยวกับเรื่องที่ไมเปนพรหมจรรย ทั้ง 5 ขอ เปนเหตุปจจุบันทั้งนั้นเลย เหตุที่ทําใหอายุยืนก็ทําตรงกันขาม คือชอบทําสิ่งที่เหมาะสม คือไมแสลงแกตน รูจักประมาณในสิ่งที่ไมแสลง บริโภคอาหารที่ยอยงาย รูจักกาลเวลาในการเที่ยวไป และประพฤติพรหมจรรยตามสมควร นี่ก็เปนขอคิดเล็กๆนอยๆเกี่ยวกับเรื่องกรรม คือการกระทําของคนเราแตละคน ซึ่งเรามีสิทธิ์ในชีวิต จะทําอยางไรกับชีวิตของเราได เราจะหมุนชีวิตไปทางใด หรือวาตองการใหชีวิตเปนอยางไร เราก็หันเหเข็มของชีวิตไปทางนั้น แลวก็จะได พูดถึงเรื่องนี้ แลวก็ขอพูดตอมาถึงเรื่องชวงของชีวิตชวงละ 10 ป ก็มีชวงเด็กออน ชวงวัยคึกคะนอง วัยสวยงาม วัยมีกําลังสมบูรณ วัยมีปญญา วัยเสื่อม วัยที่รางกายเงื้อมไปขางหนา วัยคดงอ วัยหลง วัยนอน เปนตน ทานใชคําบาลีวา มันททสกะ แปลวา 10 ปของเด็กออน กีฬทสกะ แปลวา 10 ปของวัยคะนอง วรรณทสกะ แปลวา 10 ปของที่สวยงาม 28 คติชีวิต
พลทสกะ ปญญาทสกะ หานิทสกะ ปภารทสกะ วังกทสกะ โมหทสกะ ไสยนทสกะ
แปลวา แปลวา แปลวา แปลวา แปลวา แปลวา แปลวา
10 ปของที่มีกําลัง 10 ปของที่ปญญาสมบูรณ 10 ปของวัยเสื่อม 10 ปของวัยที่มีรางกายเงื้อมไปขางหนา 10 ปของวัยคดงอ 10 ปของวัยหลง 10 ปของวัยนอน
ถาพูดเปนปก็ตั้งแต 1-10 ป เปนวัยเด็กออน 11-20 ป เปนวัยคึกคะนอง 21-30 ป เปนวัยสวยงาม 31-40 ป เปนวัยที่มีกําลังสมบูรณ 41-50 ป เปนวัยที่มีปญญาสมบูรณ 51-60 ป เปนวัยเสื่อม 61-70 ป เปนวัยที่รางกายโนมไปขางหนา เดินไมตรง 71-80 ป เปนวัยที่รางกายงอคดโคง 81-90 ป เปนวัยหลง กินแลววายังไมไดกิน 91-100 ป เปนวัยนอน แตถามีเหตุปจจัยที่ดี อยางชาวหรรษาที่กลาวแลว 100 ปยังขึ้นภูเขาได นี่ก็เหตุปจจัยทําใหเปนอยางนั้น ถาเปนคนทํางานหนัก ชนิดทีอ่ อกแรงมากอยางชาวนา เคยเห็นชาวนาหลายหมูบานอายุแค 40 ป ก็แยแลวครับ ดําเกรียม ฟนหักหมดแลว ขอความในชวงวัยละ 10 ที่พูดมานี้ ไดนํามาจากอรรถกถาจิตสัมภูตะชาดก อสีตินิบาต อรรถกถาเลม 3 ภาค 7 หนา 48 ฉบับของมหามกุฎราชวิทยาลัย ฉบับภาษาไทย
29 คติชีวิต
ปริศนาธรรม ผมจะตอดวยเรื่อง ปริศนาธรรมแตโบราณ ทานวาไวอยางนี้ “ทางใหญอยาเที่ยวจร ลูกออนอยาอุมรัด หลวงเจาวัดอยาใหอาหาร ไมโกงอยาทํากังวาล ชางสารอยาผูกกลางเมือง ถาจะเปนลูกใหเอาไฟสุมตน ถาจะใหลมบรรทุกแตเบา (หมายถึงเรือ ถาจะใหลมบรรทุกแตเบา) ถาจะเรียนโหราใหฆาอาจารย ทั้ง 4 เสีย”
คําแกปริศนา ทางใหญ คือกามสุขขัลลิกานุโยค กับอัตตกิลมถานุโยค ทางใหญอยาพึงจร กามสุขขัลลิกานุโยค คือการทําตนใหหมกมุนพัวพันอยูในกามสุข เพลิดเพลินหลงใหลอยูในกามสุข เกี่ยวกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เห็นเปนความสุขที่ยิ่งกวาความสุขใดๆ หมกมุนพัวพันอยูจนไมมีเวลาทําอยางอื่น อัตตกิลมถานุโยค ประกอบตนใหลําบากโดยไรประโยชน คือวาเครงเกินไป จัดการกับตัวเองรุนแรงเกินไป ไมถนอมตนในสมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจาทานยกตัวอยางพวกฤาษีชีไพรที่ทรมานตน นอนบนหนาม แกผาคลุกขี้เถา ลงคลาน 4 ขากินอาหารอยางสุนัขบาง อยางนี้เรียกวาอัตตกิลมถานุโยค แตมา สมัยนี้บานเราก็ไมมีแลว เราก็คิดดูเอาเองวา การทําตนใหลําบากโดยไรประโยชน เครงครัดกับตัวเองมากเกินไป ไมผอนปรนใหตนเองบางตามสมควร อยางนี้ก็เปนอัตตกิลมถานุโยค ก็เปนทางใหญสองทางที่ไมพึงจร ในปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระพุทธเจาทานก็เริ่มตนดวยเรื่องนี้ วาภิกษุทั้งหลายที่สุดทั้งสองนี้ บรรพชิตไมพึงเกี่ยวของ คือกามสุขขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ลูกออนอยาอุมรัดเอาไว คําแกปริศนา คําวาลูกออนคือปญจขันธ หรือขันธ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเปน 2 คือรูปกับนาม รูปเปนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เปนนาม วิญญาณก็คือจิต
30 คติชีวิต
ลูกออนไมพึงอุมรัด คือ ไมพึงเขาไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ 5 ไมพึงเขาไปกอดรัดขันธ 5 โดยความเปนตนและของตน คือพึงปลอยวาง ไมยึดถือในขันธ 5 วาเปนเราหรือเปนของเรา แตวาโดยวิสัยปุถุชน มันก็อดไมไดที่จะยึดถือในขันธ 5 ถาเผื่อเรารูเทาทันธรรมดาบาง ก็มีเวลาที่จะปลอยวางไดบาง ในเวลาที่จําเปนหรือวาถึงคราวที่จะตองปลดปลอย ปลอยวางไดบาง หรือวาไมแบกไวมากเกินไป เหมือนเราแบกหินอยู ก็รูสกึ วาหนักๆ และมีคนบอกวาใหวางกอนหินลงเสีย ก็ไมไดวาง ถาวางมันก็เบา ถาไมไดวางมันก็หนัก แบกไปก็บนไปวาหนัก วิ่งไปก็บนไปวาหนัก มีคนบอกใหปลอยเสีย ใหวางเสียก็ไมวาง มันก็หนักเรื่อยไป เหมือนกับคนกลิ้งหินขึ้นภูเขา พอถึงยอดเขาแลวก็ปลอยลงมา แลวก็ตามลงมาจากยอดเขา แลวก็กลิง้ ขึ้นไปใหม เปนเรื่องของปรัชญา หลวงเจาวัด อยาใหอาหาร หลวงเจาวัด คือวิญญาณขันธ อยาปรนเปรอดวยอาหาร 4 มีกวฬิงการาหาร เปนตน จิตหรือวิญญาณอยาไปปรนเปรอมากเกินไป จะตองใหอดอาหารเสียบาง ใหจิตมันอดอาหารเสียบาง ถาเผื่อไมใหอดอาหารเสียบาง คือเราฝกมันไมได มันอยากไดอะไรใหมันได ปรนเปรอทุกอยาง เหมือนเราใหเชื้อกับไฟ ไฟมันไมรูจักอิ่มดวยเชื้อ มหาสมุทรไมรูจักอิ่มดวยน้ํา ไฟไมอิ่มดวยเชื้อ แปลวาจิตไมอิ่มดวยตัณหา ถาปรนเปรอมันมากมันก็ยิ่งเดือดรอนใหญโต ไมโกง อยาทํากังวาล กังวาลคือเรือสําหรับตานทานลมพายุ ตองใชไมตรง ไมโกงไมคดใชไมได คําไขปริศนาก็คือ อยาเอาคนคดมาเปนมิตร คดกายบาง คดวาจาบาง คดใจบาง ถาไมคด เรียกวาอุชุ เปนผูซื่อตรง ไมคดกาย ไมคดวาจา ถาไมคดทางใจเรียกวาสุอุชุ ตามคำอธิบายของอรรถกถากรณียเมตตสูตร อยาเอาคนคดมาเปนมิตร เพราะเขาจะตองคดโกงสักวันหนึ่งเหมือนกับเราเลี้ยงอสรพิษเอาไว ใหอาหารมันก็ตาม วันไหนไมไดอาหารมันตองกัดคนใหนั่นแหละ หรือโบราณที่เขาวา คนเลี้ยงผีเอาไวเปนเพื่อน ไวใชงาน แลวก็ตองเซนอาหารมันทุกวัน ถาวันไหนไมมีอาหารใหมัน มันก็จะมาเลนงานคนเลี้ยงมัน เลี้ยงผีนี่เสี่ยงมาก 31 คติชีวิต
เลี้ยงโจรก็เสี่ยงเหมือนกัน ถาเผื่อมันปลนที่ไหนไมได มันก็จะมาปลนบานเรา ฉะนั้น ก็อยาเอาคนคดมาเปนมิตร พระพุทธเจาตรัสสอนวา ถาหาคนที่มีปญญามาเปนมิตรไมได ไมมีคนดีมีปญญาเปนสหายแลว ก็อยูคนเดียวดีกวา อยูคนเดียว ไปคนเดียวดีกวา สําหรับคนชั่วคนพาลหรือคนคด บางแหงพระพุทธเจาทานเปรียบเอาไวเหมือนกับงู ที่ตกลงไปในหลุมคูถ หรือหลุมอุจจาระ ทั้งเนื้อทั้งตัวมันเปอนไปดวยอุจจาระ ถาเราไปจับมัน ถามันไมกัดถึงตายหรือปางตาย มือเราก็เปอนคูถหรือวาเผลอๆอาจจะไดทั้งสองอยาง คือถูกกัดถึงตายหรือปางตาย และมือยังเปอนคูถดวย ทานก็ใหหลีกคนคดคนพาล นี่ก็เปนปริศนาธรรมขอที่ 4 ชางสารอยาผูกกลางเมือง ธรรมดาชางสารยอมจะพอใจในปา ไมพอใจในเมือง แมจะใหอยูในเมือง ปรนเปรออยางดี โดยธรรมชาติของชางไมพอใจ มันชอบอยูในปาหรืออยูที่สระ ขอนี้ฉันใด ผูปฏิบัติธรรมไดนิพพิทาญาณ คือญาณที่เกี่ยวกับความเบื่อหนายในสังขาร ในนามรูปแลว ยอมจะไมพอใจในสังขาร หนายในสังขาร พอใจในพระนิพพาน เหมือนชางสารพอใจในปา ไมพอใจในเมือง ถาจะใหเปนลูกใหเอาไฟสุมตน คําวาลูกในที่นี้ทานหมายถึงมรรค 4 ผล 4 ตนในที่นี้ก็คือกิเลส เอาไฟสุมกิเลส มีอวิชชา ตัณหา อุปทาน เปนตน ไฟก็คือสมถกรรมฐาน หรือวิปสสนากรรมฐาน สําหรับเผาลําตนคือกิเลสใหเรารอน ถาไดมรรค 4 ผล 4 แลว นิพพานก็ตองไดอยูดี เพราะวามันเปนสิ่งที่ตอเนื่องกัน ไมมีการถอยกลับ ไดมรรคแลวตองไดผล ไมตองถึงมรรคหรอกไดโคตรภูญาณแลวก็ตองไดมรรคแนนอน ไมมีทางที่จะถอยกลับไปอยางเดิม ตองกาวไปขางหนาเรื่อยไป ไดมรรคแลวก็ไดผลและก็ไดนิพพาน
32 คติชีวิต
ถาจะใหลมใหบรรทุกแตเบา นี่ก็หมายถึงเรือ ถาใหเรือลมก็ใหบรรทุกแตเบา ก็เปน paradox อยู ธรรมดาเรือมันจะลมมันตองบรรทุกหนัก เพียบเกินอัตราเกินกําลัง อันนีก้ ลับตรงกันขาม คําไขปริศนาคือ ถาจะใหเรือคือตัวเรานี้ถึงอมตะมหานิพพาน ไมตองแลนวนเวียนอยูในสังสารสาครแลว ก็ใหบรรทุกอกุศลแตนอย แลวก็ไมขนเอาลาภสักการะและอกุศลมากมายนั้นไป ใหพยายามลดละ โยนทิ้งอกุศลและลาภสักการะเสีย พวกนี้มันเปนภาระหนัก เมื่อโยนทิ้งสิ่งเหลานี้เรือมันก็เบา มีพระพุทธภาษิตบางแหงที่ตรัสวา สิฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ ดูกรภิกษุ ทานจงวิดเรือนี้ สิตฺตา เต ลหุเมสฺสติ เรือที่ทานวิดแลวจักถึงเร็ว ทานละราคะโทสะโมหะไดแลว จะถึงพระนิพพานโดยเร็ว เรือคืออัตภาพ เมื่อวิดเรือแลวเรือจะถึงเร็ว เมื่อละราคะ โทสะ โมหะ แลวก็จะแลนไปสูนิพพานไดเร็ว ปริศนาธรรมที่วา ถาจะใหลมบรรทุกแตเบา คือวาไมตองแลนวนเวียนอยูในสังสารวัฏ ถาจะเรียนโหราใหฆาอาจารยทั้ง 4 เสีย อาจารยโหราในที่นี้หมายถึงวิชชา 3 คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได จุตูปปาตญาณ คือทิพจักษุ คือรูอุบัติและจุติของสัตวทั้งหลาย อาสวักขยญาณ ญาณที่ทําใหสิ้นกิเลส นี่กร็ ะบุไปถึงการรูอริยสัจ ก็ถามวาการรูอาสวักขยญาณ คือรูอะไร เพราะวาตามตัวแปลวาญาณที่เปนเหตุใหสิ้นอาสวะ ถาถามวาญาณที่ทําใหสิ้นอาสวะ คือญาณอะไร รูอะไร ในนิทเทศของอาสวักขยญาณทุกแหงในพระไตรปฎก พระพุทธเจาจะตรัสถึง อาสวักขยญาณ ก็จะตรัสถึง ทุกฺเข ญาณํ รูทุกข ทุกฺขสมุทเย ญาณํ รูสมุทัย ญาณในสมุทัย ทุกฺขนิโรธ ٛ าณํ ญาณในนิโรธ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทาย ٛ าณํ ญาณในทาง ปฏิบัติใหถึงความดับทุกข ทั้งนั้นเลยทุกแหง ฉะนั้น ถาเขาถามวา อาสวักขยญาณหมายถึงอะไร ที่แปลกันก็คือแปลตามตัววา อาสวักขยญาณคือญาณที่ทําใหกิเลสสิ้นไป แตถาถามความหมายวาหมายถึงอะไร 33 คติชีวิต
ก็ตองตอบวาหมายถึงญาณในอริยสัจ 4 ซึ่งประกอบดวยรอบ 3 อาการ 12 ไตรปริวัตร ทวาทสาการ เรียกวารูอริยสัจจริง มีอาสวักขยญาณ ถาจะเรียนโหรา หมายถึงวิชชา 3 ก็ใหฆาอาจารยทั้ง 4 เสีย อาจารยทั้ง 4 ก็คืออาสวะทั้ง 4 คือ กามาสวะ อาสวะคือกาม ภวสวะ อาสวะคือภพ ความติดในภพ ความยินดีในภพ ความอยากเกิดอีก ทิฐาสวะ อาสวะคือทิฏฐิ ความเห็นผิดตางๆ อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา ความไมรูคือรูไมจริง รูไมจริงกับไมรู อันไหนจะดีกวา รูผิดกับไมรู อันไหนจะดีกวา อวิชชามันเปนทั้งสองอยาง คือทั้งรูผิดและทั้งไมรู อาจารยทั้ง 4 หรืออีกนัยหนึ่งทานกลาววา อาจารยทั้ง 4 คือ โลภะ โทสะ โมหะ และมานะ อาจารยอยางนี้ตองฆาเสียเอาไวไมได สอนใหเสียคน ตองฆาเสีย แลวถึงจะเรียนโหราคือวิชชา 3 ได นี่เปนปริศนาธรรมแตโบราณ
อุปสรรคของการพัฒนาปญญา ลองสังเกตดูวาเด็กที่เกิดใหม ก็ตองยึดพอแมเอาไวเปนที่พึ่ง เมื่อเขายังออนสอนเด็กหัดเดิน ตองคลานกอน เมื่อยืนตองเกาะเปลหรือราง เมื่อหัดเดินก็ตองเกาะรางหรือมือของแมเดินไป แมหรือพี่เลี้ยงก็ไมปฏิเสธเด็กในระยะนั้น เห็นเปนเรื่องนารักนาเอ็นดู ถาเด็กคนใดเกาะแมหรือพี่เลี้ยงอยูตลอดเวลา แมวาอายุจะหลายขวบแลว จะเดินและวิ่งเองไดแลว เด็กคนนั้นก็ไมเจริญเติบโตเหมือนเด็กอื่นๆ พอแมพี่เลี้ยงญาติพี่นองก็ไมมีใครตองการใหเปนเชนนั้น เพราะวาเปนภาระเหลือเกิน พอแมคนใดพอใจใหลูกเปนเชนนั้น เพื่อจะไดอยูใกลตัวตลอดเวลา พอแมนั้นก็ปญญาออนดวย ขอนี้ฉันใด ลองคิดดูใหดีๆวา ในสังคมของเรามีพฤติกรรมทัง้ ทางบานเมืองและทางศาสนา ที่เปนเหมือนพอแมและเด็กออนนั้นอยูมากหรือนอยเพียงใด 34 คติชีวิต
เราชวนกันยึดติดทั้งในตัวบุคคลและในวัตถุที่คิดวาขลังและศักดิ์สิทธิ์กันมากมายเพียงใด ลองคิดดู เมื่อเปนเชนนี้ จะเจริญเติบโตทางสติปญญาและจิตใจไดอยางไร การพัฒนาปญญาเปนหนทางสําหรับผูถือพุทธศาสนาและของมนุษยทั่วไป การพัฒนาปญญาถือวาเปนหลักสําคัญ เปนมรรคาสําคัญ ของผูที่นับถือพุทธศาสนา และของมนุษยทั่วไป การยึดติดในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ควรเปนการชั่วคราว เหมือนเด็กสอนเดินเตาะแตะก็ชั่วระยะเวลาอันสั้น เพื่อใหเขมแข็งพอหรือเพื่อกาวไปขางหนาดวยตัวเองเทานั้น ถาพอสมควรแลว แตก็ยังยึดติดอยูตอไป ก็จะเปนอุปสรรคของการพัฒนาปญญาอยางแนนอน ไมมีปญ หา ของเหลวที่ใครจะทําใหแข็งและไดรูปไดรางดีตามที่เขาตองการ เขาทําอยางไร เขาก็ตองเอาเขาเบากอน ทําเบาใหดและเอาของเหลวนั้นเทลงไปในเบา พออยูในเบารูปทรงมันก็จะเปนเหมือนเบาที่ตองการ เราตองการใหเปนอยางไร เราก็ทําเบาอยางนั้น ของเหลวที่อยูในเบามันก็จะเปนอยางนั้น พอแข็งแลว เขาจะเอาเบาไวหรือเปลา เขาไมเอาไว ของเหลวนั้นเปนของแข็งดีแลว เขาก็ตองทุบเบาทิ้ง เพราะถาเอาเบาไวมันไมสําเร็จประโยชน ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราในระยะแรก ก็ยึดถือนั่นถือนี่อะไรไป เปนขนบประเพณี เปนวินัย เปนอะไรหลายๆอยาง ยังไมสามารถที่จะเปนตัวของตัวเองได ก็ตองทําเบา ใหอยูในเบาไปกอน แตพอไดที่แลวก็ตองทิ้งเบา จึงจะสําเร็จประโยชน ความสําเร็จประโยชนมนั อยูตรงนั้น เราตองนึกดูวา ในสังคมของเรา มันมีอะไรที่เปนเบาหลอมบาง และเรายังอยูในเบาตลอดเวลา มันก็ไมสําเร็จประโยชน เหมือนสัตวตัวเล็กตัวนอยกําลังมันไมพอที่จะเอาตัวรอดได เขาก็ขังคอกไวกอน มีผูดูแล แตวาถามันเติบโตแลว ก็ตองปลอยมันไป เปนนกมันก็ตองบินไปดวยตัวของมันเอง ทํานองนี้ แตถามันยังนอนอยูในรังแบบนกออน มันก็ใชไมได
35 คติชีวิต
มันตองพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ไมใชไปติดอยูกับพิธีรีตอง พิธีกรรมอะไรตออะไร ที่มันเปนของเหมือนกับราวที่ใหเด็กไตไปในระยะตนๆ เมื่อไมรูจักโต หรือบางคนใชคําวา ยังเปนชาวพุทธอนุบาลอยูเรื่อย ไมยอมเลื่อนชั้นขึ้นเปน ป 1. ป 2. ไปจนมัธยม คือเปนอนุบาลอยูเรื่อย คือเปนสัจจาภินิเวส ยึดมั่นถือมั่นดวยอุปาทาน มันเปน Dogmaticism ไมเปนไปเพื่อการพัฒนาปญญา และมันเปนการขัดขวางตอการพัฒนาปญญา ไมกาวหนาไป มีแตศรัทธาอยางเดียว และย่ําเทาอยูกับที่ ไมยอมกาวไปขางหนา พระพุทธเจาตรัสวา เพียงแตการหยุดอยู เราก็ยังตําหนิ ไมตองพูดถึงวาการไมกาวไปขางหนา เพราะฉะนั้น อะไรที่เปนอุปสรรคตอการพัฒนาปญญา เราตองเขี่ยออกไปเสียบาง มันรุงรัง เหมือนที่พระกุมารกัสสปพูดกับพระเจาปายาสิวา ถือรุงรังไปหมดเลย เหมือนกับแบกขี้หมู ฝนตกขี้หมูไหล ก็ไมยอมทิ้งขี้หมู เพราะวาแบกมานานแลวก็เสียเวลา เสียประโยชนมาก เพื่อเปนการพัฒนาปญญา เราจะตองละทิ้งอะไรที่มันควรจะทิ้งเสียบาง พิธีรีตองอะไรตางๆที่มันมากมายกายกอง เยอะแยะไปหมดเลย ทิ้งเสียบาง เปลือกของผลไม มันมีไวเพื่อจะรักษาเนื้อ แตถามันมีแตเปลือก มันก็ไมไดประโยชน ทุเรียนเปลือกมันมีหนามดวย แตมันมีไวสําหรับรักษาเนื้อ ถามีแตเปลือกแลวไมมีเนื้อ ก็ไมรูจะซื้อไปทําไม เขาก็ไมซื้อ ทุเรียนมันแพงเพราะเนื้อขางใน ฉะนั้น เราก็ตองรูวาอะไรมันเปนเปลือก อะไรมันเปนเนื้อ หรือวามันรักษาเนื้อเอาไว ก็เอาเถอะ แตตองรูวาที่ประสงค จริงๆก็คือเนื้อของมัน ไมใชติดอยูกับเปลือก ไมรูวาเนื้อมันคืออะไร หรือเนื้อมันหายไปหมดแลว มีแตเปลือกแลวก็มาบูชาเปลือก หรือวาหมกมุนกันอยูแตเปลือกของมัน เปลือกของศาสนา อะไรทํานองนั้น มันก็ตองไปใหถึงเนื้อหรือแกนของมันเพื่อพัฒนาปญญาอยางมีหลักเกณฑ เราก็ตองใชหลักธรรมเปนเครื่องพัฒนา ที่พระพุทธเจาทานสอนเอาไว ในหมวดธรรมที่เรียกวา ปญญาวุฒิธรรม ธรรมที่เปนไปเพื่อทําใหปญญาเจริญ หรือเจริญดวยปญญา 1. คบคนดี เขาหาคนดี ทานเรียกวา สัปปุริสูปสังเสวะ รูจักคบคนดี คนที่มีปญญา จะตองเริ่มตนดวยศรัทธา มีความศรัทธา นิยมชมชอบคนดี เขาหาคนดี แลวก็เงี่ยโสตลงฟงทาน 36 คติชีวิต
2. สัทธัมมัสสวนะ ฟงคําสั่งสอนของทานดวยความ เคารพ ขอเลานิดหนึ่ง ผมไปบรรยายถวายความรูพระธรรมทูต ที่วัดปากน้ําภาษีเจริญชั่วโมงครึ่ง ทานนั่งฟงเงียบตลอดชั่วโมงครึ่ง ไมคุยไมรบกวนผูบรรยาย ไมรบกวนกันเอง เงียบอยางนี้ดี เมื่อวันเสารที่แลวก็ไปบรรยายถวายความรูกับพระธรรมทูตที่จะไปตางประเทศ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ ทานก็เงียบดีเหลือเกิน แลวพอใหถามปญหาก็ถามเยอะเหลือเกินจนตอบไมไหว อันนี้ก็คือทานอยูในหลักของปญญาวุฒิธรรม ฟงดวยความเคารพในธรรม คือวาไมตองเคารพผูพูดก็ได แตวาเคารพในธรรม ใหเกียรติธรรม อยางที่เคยเลาบอยๆ แมองคพระพุทธเจาเองก็ทรงเคารพในธรรม เวลาเสด็จไปพระแสดงธรรมอยู พระพุทธเจายืนฟงจนจบ แลวจึงเสด็จเขาไป เธอเทศนดี ทรงยืนฟงจนจบ ไมเขาไปในตอนนั้นคือเคารพธรรม เราตองหมั่นฟงคําสั่งสอนของคนดี อันนี้หายากนะครับ สิ่งที่หายากมี 4 อยาง ในปริยายหนึ่ง 1. ทุลฺลภฺจ มนุสฺสตฺตํ ความเปนมนุษย การไดอตั ตภาพเปนมนุษยเปนของยาก บางคนอาจจะเถียงวาไมจริงหรอก เวลานี้คนจะลนโลกอยูแลว ลองเทียบกับสัตวเดรัจฉาน เอาพวกปลวกกับแมลงเอา 2 อยางนี้ก็พอแลว มันจะมากกวามนุษยทั่วโลก ไมตองพูดถึงปลาในทะเล ไมตองพูดถึงสัตวชนิดอื่น ฉะนั้น การไดอัตตภาพมาเปนมนุษยเปนของยาก ถาเปนคนใจสูง ตามศัพทของมนุษย มนอุษยะ แปลวาคนใจสูง จึงเรียกวาเปนมนุษย ถาใจไมสูงก็เรียกวาเปนคน เกิดมาก็เปนคน ภาษาบาลีเรียกวาชน มวลชน ถาเปนชนที่ใจสูงก็เรียกมนุษย นี่ตามพยัญชนะแตโดยความหมายทั่วไป มนุษยก็หมายถึงคน 2. พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลลฺ โภ การเกิดขึ้นของพระพุทธเจาเปนของยาก อันนี้ก็ไมตองอธิบาย เพราะวารูๆกันอยูวากวาจะไดเปนพระพุทธเจาสักองคหนึ่ง ลําบากแคไหน และเปนบุคคลที่หายากในโลก ในโลกธาตุหนึ่งมีองคเดียว ไมเกิดพรอมกัน 2 องค ลองนึกดูวามีมนุษยอยูเทาไหร และชวงเวลาที่พระพุทธเจาเกิดขึ้นตั้ง 2,000 กวาปมาแลว ยังไมมีพระพุทธเจาเกิดขึ้นเปนองคที่ 2 หายากแคไหน
37 คติชีวิต
3. ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ การถึงพรอมดวยขณะเปนสิ่งที่หายาก ขณสมฺปตฺติ ในที่นี้หมายถึงโอกาส พรอมดวยโอกาสมีโอกาส เชน มีโอกาสไดฟงธรรม มีโอกาสไดทําบุญ มีโอกาสไดศึกษาเลาเรียน คนที่ไมมีโอกาสมีเยอะ บางคนมีศรัทธาแตไมมีโอกาสที่จะไดฟงธรรม บางคนมีโอกาสที่จะไดฟงธรรมแตไมมีศรัทธา คนที่จะถึงพรอมดวยศรัทธา วิริยะ และปญญาหาไดยาก โอกาสเปนสิ่งสําคัญเหมือนกัน บางคนมีความรูมีความสามารถ แตวาไมมีโอกาส ไมไดโอกาส หรือเขาไมใหโอกาส ก็ทําอะไรไมได เพราะฉะนั้น การถึงพรอมดวยโอกาสเปนของยาก บางคนแมแตจะศึกษาธรรมก็ไมมีโอกาส ไมมีชองวาง ไมมีเวลา หายาก 3. สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ การไดฟงพระสัทธรรมเปนของยากอยางยิ่ง เพราะฉะนั้นขอที่ 2 ที่วาเปนปญญาวุฒิธรรม เปนสิ่งที่ทําใหเกิดปญญา ทําใหปญญาเจริญที่เรียกวาสัทธัมมัสสวณะ การไดฟงพระสัทธรรมเปนของยาก พระสัทธรรมนี่หมายถึงธรรมแท ธรรมดี ธรรมของสัตบุรุษ สัตบุรุษมีพระพุทธเจา เปนตน ไมใชธรรมปลอม ไมใชธรรมขี้โคลน แตเปนธรรมที่บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนน้ําที่สะอาดอาบแลวชื่นใจ ดืม่ แลวชื่นใจ ไมใชน้ําโคลน น้ําโคลนมันก็อาบไดเหมือนกัน เย็นๆแตก็ไมสะอาด มันทําใหสกปรก เมื่อคบสัตบุรุษ คบคนดีแลวก็หมั่นฟงธรรมของคนดีก็จะไดปญญา เปนเหตุเพิ่มพูนปญญา คุยกับเขาสักครึ่งชั่วโมงก็ไดปญญาเยอะแลว คนที่เปนคนดี เปนสัตบุรุษ เปนคนที่มีภูมิรูภูมิธรรม 3. โยนิโสมนสิการ การทําไวในใจโดยแยบคาย มีความคิดที่ถูกตอง เปนระบบ Systematic thought คนที่มีโยนิโสมนสิการกับคนที่ไมมีมันผิดกันเยอะ คือฟงสิ่งเดียวกัน คนที่ไมมีโยนิโสมนสิการก็ไมไดอะไรเทาไหร แตถาคนมีโยนิโสมนสิการมันจะไดเยอะ และเขาก็คิดเปน คิดตอไปๆ แตกออกไป ไดฟงหนึ่งเขาสามารถแทงทะลุเปนรอยนัยพันนัย ทานยกตัวอยางในพระสาวก เชน พระสารีบุตร ไดฟงอะไรแลวทานแทงทะลุไปรอยนัยพันนัย เพราะวามีโยนิโสมนสิการ มีปญ ญาเฉียบคม
38 คติชีวิต
ตรงกันขามก็คืออโยนิโสมนสิการ ไมมีโยนิโสมนสิการก็จะถูกชักจูงไปในทางผิด และคิดไมเปน ก็ตามไปในทางผิด ฟงแลวก็ไมเกิดปญญา ฉะนั้น เวลาฟงอะไรทานวา โอหิตโสโต เงี่ยโสตลงสดับ และ มนสิการิตวา ทําไวในใจโดยแยบคาย อัตถิกัตตะวา จับสาระสําคัญได อัตถิกัตตะวา ตามตัวมันแปลวากระดูก ทําใหเปนกระดูก นั่นเปนการแปลตามตัว ความหมายก็คือจับสาระสําคัญใหไดวาเขาพูดอะไร เขาพูดเยอะๆ เปนชั่วโมง ตองจับสาระสําคัญใหไดวาเขาพูดอะไร โยนิโสมนสิการ คนพวกนี้จะไดปญญามาก เพราะวาจับสาระสําคัญไดเกง และขอสุดทายคือธัมมานุธัมมะปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม คือหมายความวาไมใชเพียงแตคบคนดี หรือฟงธรรมของคนดี แลวก็มโี ยนิโสมนสิการอยางเดียว แตวาลงมือทําตามที่ไดรูไดเขาใจ คํานี้ถาเปนคุณศัพทก็จะเปน ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน เปนผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ยังยากอยู มันมี 2 ความหมาย ความหมายที่ 1 วา ปฏิบตั ิธรรมตามฐานะของตน คือวามองดูฐานะของตนวาควรจะปฏิบัติอยางไร ก็ปฏิบัติอยางนั้น ปฏิบัติใหเหมาะสมแกภาวะแกฐานะ อยางเปนคฤหัสถก็ปฏิบตั ิธรรมใหสมกับเปนคฤหัสถ ไปทําอยางพระไมได เพราะวาบิณฑบาตไมได ไมมีใครใหกนิ ก็ตองประกอบอาชีพบาง ปฏิบัติธรรมบาง จะไมประกอบอาชีพก็ไปขอใครไมได เขารังเกียจ เขาไมให ตองประกอบอาชีพมีรายไดไปดวย ปฏิบัติตามฐานะของตน เพราะถาไมปฏิบัติตามฐานะของตนแลวอยูไมได อันนี้สําคัญ นี่ความหมายหนึ่งของการปฏิบัติธรรมใหสมควรแกธรรมของตน วาเราอยูในฐานะอยางไร อยูในภาวะอยางไรใหเหมาะสมแกภาวะแกฐานะของตน ความหมายที่ 2 ปฏิบัติธรรมนอยคลอยตามธรรมใหญ 39 คติชีวิต
อันนี้ตองเทียบกับกฎหมาย กฎหมายรัฐธรรมนูญเปนกฎหมายใหญ กฎหมายอื่นๆจะออกมากี่รอยกี่พันมาตรา จะตองไมขัดรัฐธรรมนูญ จะตองคลอยตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในพุทธศาสนามีหลักใหญ แลวก็มีธรรมปลีกยอยที่จะตองไมขัดกับหลักใหญ ตัวอยางเชน หลักกรรมที่เปนหลักใหญหลักหนึ่งของพระพุทธศาสนา ใหเชื่อกรรม การกระทํา ไมเชื่อมงคลภายนอก บุคคลจะประสบความสําเร็จ ก็เพราะการกระทํา จะดีจะชั่วก็เพราะการกระทํา จะเปนคนประเสริฐ หรือคนดอยคนเลวก็เพราะการกระทํา นี่คือหลักใหญ เปนหลักกรรม ถามีอะไรที่ชาวพุทธเรานํามาปฏิบัติแลวมันขัดกับหลักธรรม อันนี้ใชไมได เรียกวาไมคลอยตามธรรมใหญ เชน จะไปสอบเขาอะไรสักอยาง แลวตองไปรดน้ํามนตเพื่อจะใหสอบเขาได หรือวาจะตองแขวนพระเครื่ององคนั้นองคนี้เพื่อจะใหบันดาลใหสอบเขาได หรือวาตองเอาปากกาไปใหเขาเสกเสียกอน อยางนี้มันขัดกับหลักกรรม ถาเปนชาวพุทธที่เขาใจในเรื่องเหลานี้ ทําไมไดหรือไมทํา นี่เปนความหมายที่ 2 ของ ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน หรือธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติ ปฏิบัติธรรมใหสมควรคือ ปฏิบัติธรรมนอยคลอยตามธรรมใหญ ถาจะทําก็ทําไปเถอะ สมมุติวาใจมันยังอยากจะทําอยูก็ทําไป แตวาอยาอางเอาศาสนาพุทธ บางคนชอบอางวาเปนพุทธทั้งที่ก็ตองดูฤกษยามเสียหนอย จะยายที่ทํางาน ยายหองหรือเลื่อนยายโตะไปอีกทิศหนึ่ง ก็ตองไปดูฤกษยามเสียหนอยเปนพุทธทั้งที อันนี้ไมใช อางผิด ถาพระพุทธเจาทานทราบ ทานจะตรัสวานี่กลาวตูเราดวยธรรมไมจริง เราไมเคยสอนอยางนั้น นี่คือปฏิบัติธรรมนอยคลอยตามธรรมใหญ คือวาไมใหขัดกับหลักใหญของพุทธศาสนา ถาเปนชาวพุทธที่อยากจะดําเนินตามทางของชาวพุทธ
40 คติชีวิต
นี่ผมพูดถึงปญญาวุฒิธรรม ที่จะเอื้ออํานวยใหมีปญญาเจริญขึ้น หรือวาเจริญดวยปญญา ก็ยังมีนัยอื่นๆอีก แตคิดวาเพียงพอแคนี้ นอกจากนั้นก็หมั่นสดับตรับฟง หมั่นคิด หมั่นไตรตรอง หมั่นอบรมกุศล
คุณสมบัติของทูต 8 ประการ ผมจะเพิ่มเรื่องใหมเขามา เรื่องที่พระพุทธเจาชมเชยพระสารีบุตรวามีคุณสมบัติของทูต 8 ประการ จะเปนทูตธรรมดาก็ได จะเปนธรรมทูตก็ได เปนเรื่องที่พระพุทธเจาทรงชมเชยพระสารีบุตรวาเปนผูมีคุณสมบัติ 8 ประการที่เหมาะ เพราะวามีคุณสมบัติของทูต พูดถึงทูตเราทุกคนก็เปนทูตกันอยูทุกคน จะเปนทูตใหญทูตเล็ก เปนสวนตัวหรือวาเปนทูตของทางการก็แลวแต วาจริงๆแลวเราทําหนาที่หรือปฏิบัติตนเปนทูตอยูทุกคน มันตองเกี่ยวของกับผูอื่น ติดตอกับผูอื่น ความสําเร็จหรือไมสําเร็จมันอยูที่คุณสมบัติแหงทูตของเราเหมือนกัน 1. โสตา แปลวาฟงเปน และมีศิลปะในการฟง สวนมากเราจะไดยินแตวาทศิลป คือศิลปะในการพูด ตองเขาโรงเรียน ตองฝกฝนตองอบรม ทีม่ หาวิทยาลัยสงฆนี่ก็มีทุกป จะมีวิทยากรมาอบรมวาทศิลป เชิญคนที่เขาพูดเกงๆมาพูด แต โสตศิลป ศิลปะในการฟงเราไมคอยไดสอนกัน คนที่จะเกี่ยวของกับผูอื่น ตองโสตา ตองฟงเปน คือหัดเปนผูฟงเสียบาง ถาเผื่อตองการใหผูอื่นเขาชอบทาน ทานตองหัดฟงเปน มีศิลปะในการฟง พวกวิทยาศาสตรมันมีหลักการ มีกฎเกณฑ มีอะไรใหเรียนตั้งหลายอยาง แตศิลปะในการฟงมันไมมีกฎเกณฑ มันตองอาศัยไหวพริบ ตองอาศัยการสังเกต คนที่ฟงเปน เขาที่ไหนจะมีคนรักมีคนชอบ เขาตั้งหนาตั้งตาฟง แตไมใชฟงเปนอยางเดียว ตองถามเปนดวย ถามจุดที่ควรจะถาม ถามแลวเปนที่ถูกใจของผูถูกถาม
41 คติชีวิต
บางคนคุยกัน ถาใครถามไมเปน ไมตอบ แตถาโดนคนที่ถามเปน เหมือนกับเอาเหล็กแหลมที่เขาแทงขาวสารแทงเขาไป ขาวสารมันทะลักออกมาจากกระสอบ โดนคําถามแบบนั้นเขา ความรูความเขาใจ ประสบการณอะไรตางๆพรั่งพรูออกมา คนที่เขาฟงเปนเขาก็นั่งฟง ฟงไป ตั้งอกตั้งใจฟง มันยั่วยุใหคนพูดตอไป แลวก็โยนคําถามออกมาอีกสักครั้งหนึ่ง คราวนี้คนพูดก็พูดใหญเลย แลวเขาจะบอกวา แหมคนนี้คุยสนุกจัง ที่จริงเขาคุยไมกี่คําหรอก เขาตั้งคําถามและตั้งใจฟง นี่เรียกวาโสตา ฟงเปน 2. สาเวตา ทําใหผูอื่นฟงได แตวาไมพูดใหเขาเบื่อ รูตัวอยูเสมอวาเรากําลังพูดอะไร คนที่เราพูดดวยเขาเบื่อเราหรือเปลา ถาพูดในที่ชุมนุมชนก็สังเกตได ปาฐกถาหรือบรรยายธรรม ถาเห็นผูฟงอยูตอหนาก็สังเกตไดวาเขาเบื่อหรือเขาไมเบื่อ ถาเห็นวาเขาเบื่อก็รีบเลิกเสีย อยาใหเขาเบื่อ หรือวาคุยกันตัวตอตัว หรือในกลุม 4-5 คน ก็ระวังใหเขาฟงเราได ไมใชพูดไปๆเขาก็เบื่อ เขาไมอยากฟงเราแลว แตวาคนพูดก็ยังอยากพูดอยู คนที่นาเบื่อพวกหนึ่งก็คือไมมีเรื่องจะพูดก็พูด หมดเรื่องจะพูดแลวก็ยังไมหยุดพูด นี่ก็นาเบื่อเหมือนกันเขาไมอยากฟง ฉะนั้น ตองพยายามรูตัวอยูเสมอ พระเถระในสมัยพุทธกาล พระอานนทไดรับยกยองวาเปนผูที่แสดงธรรมใหพุทธบริษัทไมอิ่มไมเบื่อในการฟงพระอานนท เมื่อพระอานนทยังไมแสดงธรรม ก็อยากใหพระอานนทแสดงธรรม ไดเห็นพระอานนทก็ชื่นใจแลว เมื่อไดฟงพระอานนทพูดก็ชื่นใจ และก็ยังไมอิ่มไมเบื่อในการฟงธรรมของพระอานนท พระอานนททานก็เลิกเสียกอน อยางนี้ก็ไดรับการยกยองวาเปนที่ชื่นชมของผูฟงธรรมที่เลากันบอยๆ ก็มี อตุลอุบาสก ไปใหพระอานนทเทศนใหฟง ทานเทศนนิดเดียว แลวทานก็เลิก อุบาสกก็นินทา “พระอะไรเทศนนิดเดียว เลิกเสียแลว” ไปหาพระสารีบุตร พระสารีบุตรทานเทศนใหญเลย เทศนมาก อุบาสกก็เบื่ออีกมาติเตียนพระสารีบุตรวาเทศนเยอะไป ทํานองนั้น ผูที่จะเปนทูตตองมีคุณสมบัติขอที่ 2 คือ สาเวตา ใหผูอื่นฟงได คนที่พูดนาเบื่อ สวนมากจะมีลักษณะอยางนี้ 42 คติชีวิต
1. พูดแตเรื่องของตัว ไมรูใครเขาจะยังไง ก็พูดแตเรื่องของตัว เลาซ้ําแลวซ้ําอีก ไมรูตั้งกี่ครั้ง ไมสนใจเรื่องของคนอื่น หลักการสนทนาที่ดี ตองสนใจเรื่องของผูอื่น แตวาไมไดหมายความวาไปละลาบละลวง หรือสอดรูสอดเห็นเรื่องของเขา แตวาพยายามที่จะสนใจเรื่องของผูอื่นบาง ไมใชเลาแตเรื่องของตัว พูดแตเรื่องของตัว หรือวายกตัวอยูตลอดเวลา อยางนี้คนฟงเขาก็เบื่อ ไมอยากฟง 2. นินทาคนอื่นมากเกินไป พร่ําเพรื่อ เอาเรื่องคนนั้นมานินทา เรื่องคนนี้มานินทา ทุกครั้งที่เจอหนาตองมีเรื่องมานินทาพร่ําเพรื่อ ไมเปนกิจจะลักษณะ นี่คนฟงเขาก็เบื่อเหมือนกัน 3. ติเตียนคนที่เขารัก อันนี้บางทีก็ไมรูวาใครเปนใคร แลวก็ไปติเตียนเสียหลายกระบุง ติเตียนคนที่เขารัก คนที่นั่งฟงเขาก็บิดแลวบิดอีก เบือนหนาแลวเบือนหนาอีก ไมรูจะวาอยางไร คนเขาขี้เกรงใจ ไปติเตียนคนที่เขารัก เขาก็ไมอยากฟง 4. สรรเสริญคนที่เขาไมพอใจ สรรเสริญคนที่เขาไมชอบ เราแหยเขาไปหนอยหนึ่งก็รู ถาเผื่อเขาชอบเขาก็ตอ เราสรรเสริญใครถาเผื่อเขาชอบเขาพอใจ เขาก็ตอ แตถาเขานิ่ง พอเราสรรเสริญทีไรเขานิ่ง เขาไมพูดอะไรเลย ก็แสดงวาเขาไมสนใจตอบุคคลผูนั้น หรือเขาไมรูจัก หรือเขารูจักแตเขาไมชอบ หรือเขาไมเห็นดวยกับเรา กับการที่เราสรรเสริญ เขาไมเห็นดวยแตเขาก็ไมพูด เราตองคอยสังเกต เปนคนชางสังเกต 5. การติเตียนคนที่เขารัก สรรเสริญ คนที่เขาไมพอใจ ไมทําใหเขาฟงเรียกวาขาดคุณสมบัติสาเวตา พูดอะไรคนอื่นฟงได เห็นเปนเรื่องที่ควรฟง นี่ก็เปนคุณสมบัติขอที่ 2 3. เรียนดี อุคฺคเหตา คุณลักษณะของคนที่เรียนดีเปนยังไง ลองดูสัก 2-3 อยาง ไมทําใหอาจารยลําบาก คนที่เรียนดีไมทําใหอาจารยลําบาก คืออาจารยสอนนอยๆก็ได แลวตัวเองก็คนควาขวนขวายมาก ไมทําใหอาจารยลําบาก 43 คติชีวิต
คือเตรียมบทเรียนลวงหนาไปวาจะไปเรียนเรื่องอะไร ถามเจาะเฉพาะที่สงสัย เรียกวา คนควาเอาอานเองมาก ไมทําใหอาจารยลําบากที่จะตองอธิบายมากมาย คุณสมบัติสําคัญที่เราไดยินไดฟงกันมาตั้งแตไหนแตไร ก็คือ สุจิปุลิ คนทีเ่ รียนดีตอง สุจิปุลิ สุก็คือฟง สุตะ หมั่นฟงอยูเสมอ ตั้งอกตั้งใจฟง ถาเราตั้งใจครึ่งเดียวมันก็ไดครึ่งเดียว ถาตั้งใจมากก็จะไดมาก บางคนทําเกง ทําโนนบางทํานี่บาง ฟงบาง มันก็ไดไมเทาไหร ยิ่งฟงไปคุยไปก็ยิ่งไมไดใหญเลย เรียกวาไมไดตั้งใจฟง จิ คือจินตา เอามาคิดวาสมเหตุสมผลไหม ที่เราไดฟงมานั้นเชื่อถือไดไหม เปนจริงไหม ถูกตองไหม คิดแลวถาคนควาเพิ่มเติม ไมใหอะไรมันติดสงสัยอยู บางทีเรื่องที่คุนเคยอยูตั้งนาน 20-30 ป พอมีคนมาถามก็ไปคนควาใหมวาเรื่องมันเปนอยางไร เรื่องจริงๆมันเปนอยางไร คือเขาเปนคนชอบคิด ก็ไดความรู เปนคุณสมบัติของผูที่เรียนดี แตไมใชคิดนอกเรื่อง เพอเจอ ฟุงเฟอไป แตวาคิดเปนระบบ ปุ คือปุจฉา คิดแลวหมั่นถามคนอื่นบาง ถามนี่มีลกั ษณะหลายอยาง ถามเพื่อเทียบเคียงความคิดเห็นก็ได ถามเพื่อจะรูสิ่งที่ยังไมรูก็ได ลักษณะของคําถามก็มีหลายอยาง ลองถามดู บางทีคําถามเดียวแตผูตอบเปนผูเชี่ยวชาญ จะมีความรูจากคําถามเยอะ อยางเรื่องของโสตา ฟงเปน ฟงเปนก็ตองถามเปนดวย ถามเปนคนตอบก็ตอบเปน มันก็ไดเยอะ ลิ คือลิขิต เขียนบันทึก จดแลวก็จํา จดแลวเอาไปหมั่นทองหมั่นสาธยาย คนที่ฟงแลวก็คิด แลวก็ถาม ถาไมเขียนแลวก็ลืม คนที่จดเกงแลวหมั่นดูที่จดเอาไว จะไดเปรียบ ไดกําไรกวาคนที่ฟง แลวก็ไมคิดแลวก็ไมถาม แลวก็ไมจดบันทึก การจดบันทึกมีประโยชนหลายอยาง อยางคติชีวิตที่ผมพูดนี่ ก็จดๆเอาไวทั้งนั้น รื้อๆดูแลวก็นํามาเลาสูกันฟง หมั่นจดบันทึกแลวมันชวยความจําไดเยอะ ทําใหความจําดีดวย เพราะการเขียนทําใหแมนยํามากขึ้น ถาเผื่อทานสังเกตทานจะเห็นวาคนเกงเรียนดวยตัวเอง เรียนในชั้นก็เรียน ฟงก็ฟง หมั่นฟง แตวาสวนมากที่ไดมากก็คือเรียนดวยตัวเอง เรียนในชั้นหรือเรียนกับครูพอเปนพื้นฐาน นอกจากนั้นก็เรียนเอง คนควาเอง สอบสวนเอง หมั่นทดสอบเปรียบเทียบทํานองนี้ นี่เรียกวาเรียนดี 44 คติชีวิต
สุภาษิตทางภาษาบาลีก็มี แตเปนบาลีที่ผูกขึ้นเรียกวา สุจิปุลิวินิมุตฺโต กถํ โส ปณฺฑิโต ภเว พนจากสุจิปุลิเสียแลว จะเปนบัณฑิตไดอยางไร ถาไมมีสุจิปุลิแลวจะเปนบัณฑิตไดอยางไร บัณฑิตในที่นี้ หมายถึงคนฉลาด สุจิปุลิสุสมฺปนฺโน ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ เพราะเปนผูที่สมบูรณดวยสุจิปุลิ ทานจึงเรียกวาเปนบัณฑิตเปนคนฉลาด นี่เปนคําบาลีที่ผูกขึ้นเพื่อขยายความสุจิปุลินั่นเอง 4. ธาเรตา จําไดดี ไมใชเรียนดีอยางเดียว ตองจําไดดีอีกดวย บางคนก็จําอะไรไดเยอะ สัญญาดี นึกอะไรขึ้นมาก็นึกได จําไดวาได บางคนก็จําอะไรไมคอยได จําไดเล็กๆนอยๆไมคอยสมบูรณ ไมคอยจะเต็มตกๆหลนๆ เรียกวาจําไมดี ทําอยางไรจึงจะจําไดดี ไมมีอะไรดีเทากับหมั่นดูบอยๆ สอบสวนบอยๆ ตรวจสอบบอยๆ ทองบอยๆ จะจําไดดี ลองนึกดูงายๆ คนที่เราจําไดดี คือคนที่เราพบบอยเราก็จําไดทั้งหนาตา รูปราง สุมเสียง ชื่อ นามสกุลเราจําได เพราะเราพบบอยเราคุนเคย แตถานานๆเห็นที เห็นเขาเมื่อ 2 ปกอนแลวก็ไมไดเห็นอีกเลย มันจําไมได จําชื่อก็ไมได จําหนาก็ไมได คลับคลายคลับคลา มันก็ไมแมนยํา ถาเราคลุกคลีกับเรื่องใดบอยๆ เราก็จะจําเรื่องนั้นไดดี ถาจะจําดีก็ตองหมั่นทอง มีทางเดียวที่จะจําดี ก็คือทองบอยๆ แลวก็อยาใหความสงสัยมันคางอยู พอสงสัยก็รีบไปเปดไปดู ซ้ําแลวซ้ําอีกแลวก็จะจําไดดี ความจํานี่เปนของสําคัญ ใครบอกวาไมสําคัญ เดี๋ยวนี้เขามีคอมพิวเตอรแลว เราแบกคอมพิวเตอรไปไดทุกแหงหรือเปลา ไมได เราก็ตองใชความสามารถที่มีอยูคือ เราพึ่งสมองพึ่งความจําของตัวเอง คอมพิวเตอรก็พึ่งไดบางเปนครั้งคราว ถาจะเอาอะไรตองมากดคอมพิวเตอรเสียหมด เทากับวาเราก็ไมมีอะไร ตองฝากไวกับคอมพิวเตอร ก็หมั่นทองนะครับก็จะจําได ความจํามันเปนสัญญา มันเปนการเก็บขอมูล ถาจําไดเยอะมันก็พัฒนาปญญาไดเยอะ ปญญาเปนเครื่องวินิจฉัยสุตะ สุตะทําใหปญญาเจริญขึ้น มันเปนทางใหเราพัฒนาปญญาไดเร็วขึ้น เปนขอมูลเหมือนคนตาดีหูดี ก็เก็บขอมูลทางตาทางหูไดเยอะ 45 คติชีวิต
5. วิٛ ฺ าตา รูเองดวย หมายถึงเขาใจ เปนคนที่เขาใจอะไรไดงาย เขาเรียกวามี tendency คือถามีความโนมเอียงไปทางไหน ก็จะเขาใจเรื่องนั้นๆไดงาย เชน คนทีม่ ี tendency ทางดนตรี ก็จะเขาใจดนตรีไดงาย หรือทางเศรษฐศาสตร คนที่มี tendency ทางเศรษฐศาสตร พอพูดเรื่องทางเศรษฐศาสตรก็จะเขาใจอะไรไดงาย คนที่มีทางภาษาก็จะเขาใจภาษาไดดี วิฺٛ าตา เรียนรูไดเอง เขาใจอะไรไดงาย มีคําอยู 2 คํา ที่แปลวารูเหมือนกัน แตวาคนละอยาง คําวามุตา ก็แปลวารู วิญญาตะ แปลวารูเหมือนกัน เคยเห็นในตํารา ทิฏเฐ ทิฏฐมตฺตํ เห็นสักแตวาเห็น สุเต สุตมตฺตํ ฟงสักแตวาฟง มุเต มุตมตฺตํ (รูทางจมูก ลิ้น กาย) รูสักแตวารู วิٛ ٛ ฺ าเต วิٛ ٛ ฺ าตมตฺตํ รูทางใจ แปลวารูแจ นักศึกษาหรือผูเรียนสงสัยวา รูกับรูแจงตางกันอยางไรแปลตามตัว แตความจริงที่ทานใชคํานี้มันมีความหมายอยู แตนักเรียนบาลีบางทีก็ไมสามารถเจาะลงไปถึงความหมายของอันนี้ ก็เลยแปลกันไปวา มุตะแปลวารู วิญญาตะแปลวาทราบ รูก ับทราบมันตางกันยังไง ก็ไมรูอีก ความแตกตางมันอยางนี้ครับ ทิฏฐะ คือเห็น สุตะคือไดยินไดฟง มุตะนี่รูแตวารูทาง อายตนะ 3 อยางคือรูกลิ่นทางจมูก รูรสทางลิ้น รูโผฏฐัพพะ หรือที่ชาวบานเรียกวาสัมผัสนั้นทางกาย ทานใชคํารวมวามุตะ รูทางใจ ทานใชวาวิญญาตะ พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจาทรงแสดงแกทานพาหิยะในขุทกนิกายอุทาน พระไตรปฎกเลม 25 ที่ทานพาหิยะขอรองใหพระพุทธเจาทรงแสดงธรรม พระพุทธเจาทานหามแลวก็ไมฟง ขอใหแสดงเถอะ ในละแวกบานที่พระพุทธเจาไปบิณฑบาตอยู พระพุทธเจาก็ยืนแสดงธรรมในที่นั้นวา พาหิยะ ทานจงเห็นสักแตวาเห็น จงฟงสักแตวาไดฟง จงรูสักแตวารู อันนี้ก็แปลวา อายตนะทั้ง 6 ก็ใชคํา 4 คํา คือ ทิฏฐะ สุตะ มุตะ วิญญาตะ 46 คติชีวิต
ขอทบทวนอีกที ทิฏฐะ คือเห็นดวยตา สุตะ คือฟงดวยหู มุตะ คือรูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย วิญญาตะ คือรูทางใจ ขอแถมใหวา คุณสมบัติของผูเปนทูตประการที่ 5 ก็คือวิญญาตะ รูเขาใจ มีความรูมีความเขาใจ concept ดี มี concept ดี เพราะวา 5 ตัวขางตนใชวา perception ตา หู จมูก ลิน้ กาย มาถึง conception ก็คือใจ ความเขาใจขยายความวา Understanding conception คือ Understanding เขาใจอะไรไดงาย ไมเปนคนซื่อบื้อ 6. วิฺٛ าเปตา แปลวา ทําใหผูอื่นรูไดดวย นอกจากเขาใจ รูดวยตนเอง เขาใจดวยตนเอง ยังสามารถทําใหผูอื่นเขาใจไดดวย อันนี้สําคัญ บางคนก็รูไปคนเดียว ไมสามารถจะถายทอดได ไมมีศิลปะในการถายทอด เมื่อตัวเองไมมีศิลปะในการถายทอดแลว พูดอะไรคนอื่นเขาไมรูเรื่อง คนอื่นเขาไมเขาใจ ก็ไปโทษเขา อยางที่ทานเจาคุณพระศาสนโสภณ แจม สาตสนฺโร อดีตเจาอาวาสวัดมกุฏ ที่ทานเขียนไวในอุทานธรรมวา พูดอะไรเขาไมรูก็ขูเขา วาโงเงาซมเซอะเงอะนักหนา ตัวของตัวทําไมไมโกรธา วาพูดจาใหเขาไมเขาใจ บางทีก็อยูที่ศิลปะของการถายทอด บางทีไมมีศิลปะ บางคนเรียนสูง มีความรูเฉพาะตัวพอสมควร แตวาพอถายทอดแลวคนอื่นไมรูเรื่อง ถายทอดไมเกง มันตองมีศิลปะในการถายทอด 47 คติชีวิต
ในที่นี้ ผมจะลองเสนอดูวา คนที่มีศิลปะในการถายทอดจะตองมีคุณสมบัติอยางไรบาง 1. ตัวผูถายทอดตองมีความรูแจมแจงในเรื่องนั้นๆ อันนี้สําคัญเปนขอที่ 1 เลย ตองแจมแจงชัดเจนในเรื่องนั้น อยางคนอธิบายธรรมะ ถาตัวเองคลุมเครืออยู ก็ไมมีทางทําใหคนอื่นเขาใจแจมแจงได ตัวเองตองแจมแจงชัดเจนกอน Clear มากๆเลย เขาใจแจมแจงชัดเจนมาก และสามารถจะโยงอะไรตออะไรเขาได ถามีคุณสมบัติอันนี้ ก็เรียกวาไดหลักหรือไดสิ่งสําคัญในการถายทอด 2. ถึงจะพูดไมคอยเกง แตถามีความรูจริง อยางคนที่มีความรูเรื่องเครื่องยนต ถึงเขาไมใชนักพูด พูดไมเกง แตไปถามเขาเถอะเขาอธิบายได แตถาคนไมมีความรูทางเครื่องยนต ถึงจะเปนนักพูด แตก็งงคลุมเครือ ตัวเองก็ไมชัดเจนแจมแจง จะทําใหคนฟงแจมแจงไดอยางไร บางคนแมจะแจมแจงดวยตัวเอง แตก็ยังถายทอดใหผูอื่นฟงใหไดดีไมได ก็มีเหมือนกัน แตคนที่จะถายทอดไดดี ตองมีความแจมแจงชัดเจนอันดับหนึ่ง 3. จะเขียนหรือจะพูดก็ใหนึกถึงคนอื่นเสมอ คือวาเขียนใหเขาอานออก พูดใหเขาเขาใจ อันนี้ที่พระพุทธเจาใชในนิยามสูตร ที่ใชคําวา วิวรติ วิวร คือเปดเผย วิภชติ จําแนก อุตฺตานีกโรติ ทําใหตื้น จะเขียนหรือจะพูดก็ตองนึกถึงคนอื่นวาเราเขียนใหคนอื่นอาน เราพูดใหคนอื่นฟง เราไมไดพูดฟงคนเดียว หรือไมไดเขียนอานคนเดียว เพราะฉะนั้น การเขียนก็ตองชัดเจนใหคนอื่นเขาอานไดอานออก นึกถึงคนอื่นไวเสมอวาเขาจะเขาใจไหม เราเขาใจแลวแตคนอื่นเขาจะเขาใจไหม 4. กลุมเปาหมายคือใคร เขียนหรือพูดใหตรงกับกลุมเปาหมาย ถาไมมีกลุมเปาหมาย พูดสูงเกินไปเขาฟงไมเขาใจ พูดละเอียดเกินไป พูดสูงเกินไป ผาเสนผม เขางงไปหมดเลย เขาคลุมเครือไปหมดเลย จับอะไรไมได ไมจําเปนตองผาเสนผม ไมจําเปนตองเลื่อยขี้เลื่อย 48 คติชีวิต
ขี้เลื่อยมันเล็กอยูแลว ไมจําเปนตองเลื่อยมันอีก เสนผมมันเล็กอยูแลวไมจําเปนตองผามันอีก ถาเผื่อพูดต่ําเกินไป เขาเบื่อ เพราะวาไมไดความรูอะไรเพิ่มขึ้น เราจะไดยินเสียงบนจากคนเปนจํานวนมากวาย่ําอยูกับที่เดิม ไมมีอะไรเพิ่มขึ้น 5. เนนเรื่องความชัดเจน มีนักเขียนนักประพันธคนหนึ่ง ถามวามีศิลปะอะไรในการเขียน ทานก็ตอบวา ขอ 1 ชัดเจน ขอ 2 ชัดเจน เขาถามไปกี่ขอทานก็ตอบวาชัดเจน เสนหของคําพูดอยูที่ความไพเราะของภาษาและอยูที่ความชัดเจน 6. การเขียนนี้ ความไพเราะของภาษาสําคัญมาก ที่สําคัญอันหนึ่งคือความชัดเจน อะไรที่มันยากเกินใหใชอปุ มา พระพุทธเจาทานทรงใชมาก นักประพันธบางคนก็ใชมาก 7. ฉลาดในสิ่งที่เปนประโยชนและไมเปนประโยชน
กุสโล สหิตสฺสาหิตสฺส ถาจะถามวาอะไรเปนประโยชน อะไรไมเปนประโยชน อันนีโ้ ยงไปถึงเรื่องความดีความชั่ว เราจะเขาใจไดดีขึ้น ถามีคนถามทานวา ความดีคืออะไร ความชั่วคืออะไร นี่เปนปญหาทางจริยศาสตร จริยศาสตรจะเนนปญหาเรื่องนี้มาก เทาที่พอตอบไดโดยทั่วไปและไมยากนักก็คือ ความดีก็คือการกระทํา คําพูดหรือความคิดที่เปนไปเพื่อไมเบียดเบียนตนบาง ไมเบียดเบียนผูอื่นบาง ไมเบียดเบียนทั้งตนและผูอื่นบาง และก็มีประโยชน ความชั่วคืออะไร ความชั่วคือการกระทํา หรือคําพูดหรือความคิดที่เปนไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบาง เบียดเบียนผูอื่นบาง เบียดเบียนทั้งตนและผูอื่นบาง และก็ไมมีประโยชน
49 คติชีวิต
พอใหคําจํากัดความดังนี้แลว ก็จะมีขอแยงหลายอยางเหมือนกัน แตวาพอเอาคําวามีประโยชนและไมมีประโยชนเขามาก็จะแกปญหาได ถาไมมีตัวนี้ก็จะแกปญหาไมได เชน เราบอกวาการกระทําหรือคําพูดหรือความคิดที่ใหความสุขแกตนบาง ใหความสุขแกผูอื่นบาง ใหความสุขทั้งแกตนและผูอื่นบาง ถามีเพียงเทานี้ ก็จะมีคนถามวา มีหลายอยางที่เราทําแลวเรามีความสุข เชน คนที่ติดบุหรี่ ก็รูสกึ วาการสูบบุหรี่เปนความสุข คนที่ติดเหลาก็เห็นวาการกินเหลาเปนความสุข และก็ไมเห็นใครจะตองเดือดรอน คนที่ติดการพนัน ก็เห็นวาการเลนการพนันเปนความสุข ถาอยางนั้นก็เปนความดี เพราะเปนไปเพื่อความสุขของตน แลวก็เปนความสุขของคนขายดวย ความสุขของเจาของบอนดวย ก็เปนความสุขทั้งตนและผูอื่น ก็เปนความดีสิ อยางนี้นะครับ แตพอใสเขาไปอีกตัวหนึ่งที่วา “มีประโยชน” เทานี้เราก็สามารถจะถามไดแลวละวา เอาละ คุณมีความสุขที่ไดสูบบุหรี่ คุณมีความสุขที่ไดกินเหลา คุณมีความสุขที่ไดเลนการพนัน รวมทั้งคนขายบุหรี่ คนขายเหลา เจาของบอนการพนัน แตวา มีประโยชนไหม ผูนั้นก็คงจะลังเลแลวละ วามันมีประโยชนหรือไมมีประโยชน อยางนอยก็ 50-50 แตถาไปถามทานที่เปนบัณฑิตเปนนักปราชญ เปนวิญูชน ผูที่มีความรูดี และมีศลี ธรรมดี ทานจะบอกไปเลยวาสิ่งนั้นไมมีประโยชน แมจะเปนความสุขแตไมมีประโยชน แตมันเปนความสุขชั่วคราว หรือความสุขชั่วแลน เปนความสุขในเบื้องตน แตใหความทุกขในบั้นปลาย หรืออาจจะใหความทุกขอยูในขณะนั้นก็ได และก็โยงไปถึงเรื่องธรรมะสมาทาน 4 คือ • การกระทําบางอยางที่ใหความสุขในปจจุบัน แตใหความทุกขในภายหนา • การกระทําบางอยางใหความทุกขในปจจุบัน แตใหความสุขในภายหน • การกระทําบางอยางใหความทุกขทั้งในปจจุบัน และในภายหนา • การกระทําบางอยางใหความสุขทั้งในปจจุบัน และในภายหนา 50 คติชีวิต
สิ่งที่เรารูสึกวามันใหความสุขในปจจุบัน มันอาจจะใหความทุกขในภายหนาก็ได เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีหรือความดี จะตองเปนสิ่งที่เปนประโยชน บางทีมันก็ใหความทุกข สิ่งที่เราทําบางอยางมันก็ใหทุกข แตมันเปนประโยชน เราก็ยินดีทํา เชนการทํางานมากๆ มันก็เหนื่อย แตเมื่อเห็นวามันเปนประโยชนก็ทํา เหนื่อยเดี๋ยวก็หาย แตวาประโยชนมันยังอยูมันเปนความดี และเปนประโยชน แตถาการอยูอยางเกียจคราน ไมทําอะไร มันก็สบายดี แตวามันสบายประเดี๋ยวประดาว ชีวิตก็วางเปลา ไมไดประโยชนอะไร กลายเปนความชั่ว ความเกียจครานกลายเปนความชั่วอยางหนึ่ง เปนโจรปลนเวลา ผมโยงมาถึงเรื่องนี้ เพื่อจะอธิบายถึงเรื่องคุณสมบัติแหงทูต ขอ 7 ที่วาฉลาดในสิ่งที่เปนประโยชนและไมเปนประโยชน รูวาอะไรเปนประโยชน อะไรไมเปนประโยชน รูวาอะไรเปนประโยชนระยะสั้น อะไรเปนประโยชนระยะยาว ขอเลานิทานประกอบสักเรื่องหนึ่ง เพื่อจะไดมาประกอบเรื่องนี้ คือถามองระยะสั้นแลวมันเปนประโยชน แตมองระยะยาวแลวมันไมเปนประโยชน ลูกศิษยไปเรียนวิชากับอาจารย วันหนึ่งอาจารยบอกวา มันมีความรูอยางหนึ่งเรียนไหม สามารถเสกเหล็กใหเปน ทองได ลูกศิษยถามทานอาจารยวา เมื่อมันเปนทองแลว เมื่อไหรมันจะกลับเปนเหล็กอีก อาจารยบอกวาอีก 500 ป ลูกศิษยบอกวา ผมไมเรียนวิชานี้ อาจารยก็บอกวาถาอยางนั้นเธอเรียนสําเร็จแลว กลับได ออกจากสํานักได
51 คติชีวิต
นักปราชญเขาพูดกัน แคนี้เขาเขาใจกัน คําอธิบายก็คือวาที่อาจารยบอกวา เธอเรียนสําเร็จแลว ไปจากสํานักได คือวาเปนผูที่มีจิตใจสูงพอที่จะใชวิชาความรูที่เปนศิลปวิทยาที่เปนวิทยาการที่เรียนไป และมีจิตใจที่สูงพอที่จะใชวิชาพวกนี้ได เพราะวาเห็นแกผูอื่น เพราะอาจารยถามวาทําไมถึงไมเรียน ลูกศิษยบอกวาทองนี้จะตองเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ ไปอยูในมือคนนั้นบางคนนี้บาง แตพอถึงปที่ 500 ถามันไปตกอยูในมือของคนยากจนจะเปนอยางไร เขาจะเดือดรอนแคไหน เขาจะสูญเสียแคไหน ราคาทองก็แพง ตกอยูในมือคนยากจน เขาอุตสาหซื้อมาดวยราคาแพง แลวอยูๆ ทองก็กลายเปนเหล็กไปอยางนี้ เขาจะตองสูญเสียสักเทาไหร เพราะฉะนั้นไมเรียน ถามองในสายตาของคนโลภก็เอาเฉพาะหนา เปนทองเปนตั้ง 500 ป ชางเปนไร อีก 500 ปมันจะไปตกอยูในมือใครก็ชางมัน ไมเห็นเปนไร แตถาผูมีสายตายาว เปนนักปราชญเปนบัณฑิตทานไมเอา เพราะวาเห็นแกความเดือดรอนของผูอื่น อันนี้ก็เปนตัวอยางหนึ่งของผูที่รูวาอะไรเปนประโยชน อะไรไมเปนประโยชน คือถามันเปนประโยชนแกตัว แตมันไมเปนประโยชนแกผูอื่น อยางนั้นไมเอา ถาคนในสังคมของเราคิดอยางนี้เปน การคอรรัปชั่นการเบียดเบียนกันในทุกระดับชั้นที่มีอยู แลวก็ปราบกันไมคอยไหว มันจะหมดไปไหม มีโอกาสที่จะได เปนเจาหนาที่ที่เขาจะให ไมตองไปขวนขวายโกงเขาหรอก แตเขาจะให แตวามานึกถึงวาผลเสียมันตกกับประเทศชาติกับสังคม อยางนี้ไมเอา คิดเผื่อไปคิดไกลไปถึงประโยชนของประเทศชาติ ของบานเมือง ของสังคม ของประชาชนทั้งหลาย อยางนี้เขาทําไมได เขาไมเอา
52 คติชีวิต
ถามองระยะสั้น ดวยสายตาสั้น ก็เปนประโยชนแกตัวนั่นแหละ แตประโยชนอันนั้นมันไปทําลายประเทศชาติ ทําลายสังคม ก็ไมเอาอยางนี้เรียกวา ฉลาดในสิ่งที่เปนประโยชน และในสิ่งที่ไมเปนประโยชน อันนี้นาจะปลูกฝงกันใหมากในสังคม คือใหเด็กของเราไดมีสายตาไกลและสายตากวาง ไมใชสายตาแคบสายตาสั้น มองประโยชนแตระยะสั้น หรือมองแตประโยชนของตัว โดยไมคํานึงถึงประโยชนของคนอื่น ถาเราสามารถจะปลูกฝงเรื่องเหลานี้ใหสําเร็จได การพัฒนาบานเมือง พัฒนาคนก็เปนไปไดดี พูดไปแลวมันก็เศราใจ อยางเชนเทคโนโลยีที่ทันสมัยอยางอินเตอรเน็ต ไดทราบจากขาวทีวีเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง คนที่จะใชไปในการแสวงหาความรูนอยเหลือเกิน ดูเหมือนจะ 6% เทานั้น อีก 60% ใชไปในการแสวงหาภาพอนาจารทํานองนี้ นี่คือคนผลิตก็ปรารถนาดีหวังดี แตวาคนรับจิตใจมันยังไมพอที่จะใชสิ่งเหลานี้ เอาไปใชในทางที่เสื่อมเสียมากมาย ทีจ่ ริงมันเปนของดี แตจิตใจคนรับยังไมถึง เหมือนกับการใหมีดกับโจร มันก็เอาไปทําลายคน ถาเราเอาไปใหกับคนที่มีจิตใจดี เขาก็เอาไปใชประโยชน ไปถางหญาบาง เอาไปทํากับขาวบาง เอาไปใชสิ่งที่เปนประโยชนกับมนุษยจริงๆ คนโบราณทานก็ฉลาดในประโยชน ทานก็ใหความรูทางศีลธรรม ใหความดีกอนแลวคอยใหความรู ใหอบรมตนใหเปนคนดีกอนแลวคอยใหความรู ถาคนมีความรูกอนแลวยังไมมีความดี ก็เอาความรูไปใชในทางชั่ว เพราะไมรูวาอะไรเปนประโยชน อะไรไมเปนประโยชน ถาพอพูดถึงประโยชน ก็นึกถึงแตประโยชนของตัว ไมไดนึกถึงประโยชนของคนอื่น ถาเขาเปนคนดี เขาก็นึกถึงแตประโยชนของคนอื่น หรืออยางนอยก็ตองไดประโยชนดวยกันทั้งตนเองทั้งผูอื่นและมีความสุข ไมสามารถจะรับประโยชนอะไรได ที่จะไมเปนประโยชนกบั คนอื่นดวย อยางนี้ก็ดี นี่ก็เปนเรื่องที่ยิ่งใหญของสังคมเรา โดยเฉพาะอยางยิ่งในเวลานี้ เปนเรื่องสําคัญ เพราะมีสิ่งที่ไมดีอยูมากมาย ไมตองพูดถึงวาจะสรางสรรคอะไรใหมันดีขึ้น เพียงแตจะชําระสิ่งที่สกปรกรกรุงรังก็ยังไมไหว 53 คติชีวิต
เพราะฉะนั้น ถาเราสามารถพัฒนาคนกอนใหคนเปนคนดี รูจกั อะไรเปนประโยชน อะไรไมเปนประโยชน ไมสรางปราสาทใหลิงอยู ถาเราจะสรางปราสาท ตองสรางใหกับคนที่มีคุณสมบัติที่จะอยูปราสาทได ไมเชนนัน้ เราสรางปราสาทใหลิงอยู แลวลิงมันทําเสียหายหมด ที่เรียกอีกอยางหนึ่งวาใหแกวในมือลิง ลิงมันก็ไมรูคุณคา ทําสิ่งที่มีคุณคาเพื่อเกื้อกูลแกสังคม เพื่อสิ่งที่มีความรู เปนสิ่งที่เกื้อกูลวิทยาการ แตก็เอาไปปูยี่ปูยําเพราะจิตใจมันไมถึง ก็อยามีเสียดีกวา ถามีแลวเอาไปทําเสื่อมเสีย ก็อยามีเสียดีกวา 8. ไมชวนทะเลาะ น กลหการโก ทุกคนเปนทูต เพราะเราตองเกี่ยวของกับคนอื่น คนที่ไปเปนทูตตางประเทศ ก็ไมชวนทะเลาะกับเจาของบาน คนที่ไปเกี่ยวของกับใคร ก็ไมไปชวนทะเลาะกับเขา อะไรพอนิ่งไดก็นิ่ง พูดก็พูดอยางสุภาพเรียบรอย พูดดวยความปรารถนาดี ไมใชอารมณ สวนมากที่ตองทะเลาะวิวาทกันก็เพราะใชอารมณ มีอารมณเกิดขึ้นแลวขมอารมณไมได ก็ตองระเบิดออกมา อีกฝายหนึ่งเขาก็ระเบิดเปนเหมือนกัน ก็ทะเลาะกัน นอกจากไมชวนทะเลาะแลว เรายังชวนใหเขาสงบไดดวยเวลาที่ไปเกี่ยวของกับใคร ถาไมเหลือเกินจริงๆ แลวก็นิ่งได มีศิลปะในการนิ่ง นิ่งเปน ถาเผื่อเรานิ่งไมเปน ไมวาจะไปที่ไหนมันก็ทะเลาะกันที่นั่น ตองนิ่งเปน โดยเฉพาะในการไปติดตอเกี่ยวของกับคนอื่น คนขับรถก็ทะเลาะกันอยูเรื่อย เพราะวาตางคนตางก็นิ่งไมเปน ปาดกันบางนิดๆหนอยๆ ก็ไมใหอภัยกัน แลวก็ชวนทะเลาะกัน การทะเลาะกัน มันก็ไมมีอะไรดี ก็พินาศปนปไปทั้งสอง ฝาย ไมมีอะไร อดทนดีกวา กลหครหาทีนํ มูลํ ขนติ ขนฺติโก ผูทมี่ ีความอดทน สามารถจะขุดรากของสิ่งรายทั้งหลายเสียได มีการทะเลาะวิวาทกัน เปนตน นอกจากไมชวนทะเลาะแลว ชวนใหเกิดความสงบรมเย็น เมื่อเขาเห็นเราเย็น คนที่กําลังลุกเปนไฟอยูบางทีเขาก็พลอยเย็นไปดวย ก็เปนการชวยเขาทางออม หรือทางตรงก็แลวแต 54 คติชีวิต
ความยุติธรรม เปนสิ่งที่เราแสวงหาและตองการความยุติธรรม ความยุติธรรมคืออะไร อันนี้ตอบยาก ความยุติธรรมกับความเสมอภาค ไมเหมือนกัน ความยุติธรรม ตองใหคนไดรับสิ่งที่เขาควรจะไดรับ ถาเขาควรไดรับรางวัลก็ใหรางวัล ถาเขาควรไดรับโทษ ก็ใหไดรับโทษ นี่เรียกวาความยุติธรรม ความยุติธรรมจริงๆนั้นคืออะไร สวนมากใครที่ไดรับผลประโยชน คนนัน้ ก็วายุติธรรม คนเสียประโยชนเขาก็วาไมยุติธรรม ถาอยางนั้น ความยุติธรรมจริงๆคืออะไร บอกไปนิดหนึ่งแลววา ในภาคปฏิบัติ ตองใหเขาไดรับสิ่งที่ควรไดรับ ถาเขาควรไดรับรางวัลก็ใหเขารับรางวัล ถาเขาควรไดรับโทษ ตองใหเขาไดรับโทษ บางคนบอกวาความยุติธรรมจริงๆไมมี หรือมี แตไมรูอะไร ความยุติธรรมเปนสากล เปนจริงในตัวเอง หรือวาไมเปนสากล ไมเปนจริงในตัวเอง หรือวาเปนสิ่งประดิษฐ มันเปนสิ่งที่แลวแตใครเปนคนตัดสิน มนุษยเราโดยปกติ โดยทั่วไปมีอคติ เขาขางตัวเองบาง เขาขางพวกพองของตัวเองบาง ทั้งยังเกลียดชังผูอื่นและพวกอื่น อคตินี่แหละทําใหเสียความยุติธรรม ฉันทาคติพอใจลําเอียงเพราะพอใจบาง โทสาคติ ลําเอียงเพราะไมชอบบาง โมหาคติ ลําเอียงเพราะไมรูเรื่องรูราว แตก็กระทําไปตามที่ไมรูเรื่อง โมหาคติ ตามตัวแปลวาลําเอียงเพราะหลง หลงเขาใจผิด คือไมรูตนสายปลายเหตุ ไมรูเรื่องรูราว ไมรูมันเปนอยางไร แลวก็ทําไปเหมือนกับรู ภยา คติ ลําเอียงเพราะความกลัว ถามีอคติอยางใดอยางหนึ่งใน 4 อยางนี้ ความยุติธรรมหายไป หาไดยาก เรื่องที่มนุษยตัดสินวาผิด ถูก ดี หรือชัว่ แนนอนคือไมแนนอน หรือวาไมแนนอนเสมอไป เชื่อถือไดหรือเชื่อถือไมได ความรูสึกวาพวกเราหรือพวกเขา มันจะมาเปนกําแพงกั้นความยุติธรรม 55 คติชีวิต
คือปดบังดวงปญญา ทําใหผูรูทําอะไรอยางคนโง และทําใหผูมีอํานาจลงโทษคนที่ไมผิด ทําใหอาจารยทํารายลูกศิษย เชน อาจารยขององคุลิมาล ยืมมือคนอื่นประทุษราย เพราะโมหาคติ และภยาคติของตน ทําใหอาจารยผูสอนธรรม กลายเปนผูไรเสียซึ่งความยุติธรรม ความโงเขลาเบาปญญาเพราะอคติ ตามที่กลาวนี้ทําใหผูครองนคร กลายเปนฆาตกร ตัวอยางเชนพระเจาปเสนทิโกศล ในสมัยพุทธกาลวางแผนฆาพันธุลเสนาบดี พรอมดวยบุตรจํานวนมาก ผูไมมีความผิดเลยแมแตนอยนี้เรื่องยาว ยกมา พอเห็นตัวอยาง ความยุติธรรมตามธรรมชาติ เปนสิ่งที่ดีที่สุดหรือวาเชื่อถือไดที่สุด เชน การประพฤติผิดตอธรรมชาติของรางกายภายนอก ก็ไดรับผลตอบแทนมา เชน กินของเผ็ดเขาไป มันก็รอนกระเพาะ กินของเปรี้ยวจัด มันก็แสบกระเพาะ มันเปนความยุติธรรมสากล ความยุติธรรมนี้อยูที่ใด พูดถึงความยุติธรรมประดิษฐนะครับก็อยูที่คน ถาเปนความยุติธรรมที่คนตั้งขึ้น มันก็อยูที่คน ถาคนมีธรรม ความยุติธรรมก็มี ถาคนไมมีธรรม ความยุติธรรมก็ไมมี เราขอความเปนธรรมจากคนไมมีธรรม เขาจะเอาที่ไหนให เพราะวาเขาไมมีธรรม เหมือนกับเราไปคั้นเม็ดทรายเพื่อจะเอาน้ํามัน เม็ดทรายมันไมมีน้ํามัน เราไปคั้นใหตาย น้ํามันมันก็ไมออกมา เราไปรีดเขาโคเพื่อจะไดน้ํานมโค ก็เหนื่อยแรงเปลา เพราะที่เขามันไมมี เพราะฉะนั้น ความยุติธรรม มันก็อยูท ี่คน ถาคนมีธรรม ฉะนัน้ ถาเราตองการความยุติธรรม เราก็ตองพยายามฝกใหคนมีธรรม ถาคนไมมีธรรม มันก็ไมยตุ ิธรรม จะเอาที่ไหนมาให ปญหาหนึ่งวา ถาความยุติธรรมมาเผชิญหนากับเมตตากรุณา ถามันสอดคลองกันไปได ไมขัดแยงกัน มีความยุติธรรมดวย ไมเสียเมตตากรุณาดวย ไดเมตตากรุณาดวย ไดความยุติธรรมดวย อยางนั้นก็ดี ไมมีปญ แตถาเกิดขัดแยงกันขึ้นระหวางเมตตากรุณา กับความยุติธรรมเราจะเอาอะไรไวและทิ้งอะไรไป เชน ถาเผื่อประพฤติเมตตากรุณา ก็จะเสียความยุติธรรม ถาดํารงอยูในความยุติธรรม ก็จะเสียเมตตากรุณา ตองยอมขาดเมตตากรุณา จะเอาอะไรไวจะทิ้งอะไรไป เชน 56 คติชีวิต
ครูกับนักเรียน ถาบอกขอสอบกับนักเรียนบางคน เมตตากรุณากับนักเรียนคนนั้น กลัวเขาจะสอบตก แลวเขาจะลําบาก ก็บอกขอสอบเขาไป หรือตรวจขอสอบใหเขาไดคะแนนดี ทั้งที่เขาทําไมได อยางนี้แมจะสํารวจใจแลว วามีเมตตากรุณา แตวามันเสียความยุติธรรม ทานผูรูทานใหเอาอะไรไวกอน เพราะเหตุไร ในกรณีที่คุณธรรม 2 อยาง มาเผชิญหนากันและขัดแยงกัน จําเปนตองทิ้งอยางหนึ่งเอาไวอยางหนึ่ง ดูตัวอยางเปาบุนจิ้นเปนตัวอยางที่ดี ทานตองดํารงรักษาความยุติธรรมเอาไว ดูเหมือนจะขาดเมตตากรุณา แตความจริงก็ไมใชอยางนั้น ตองดํารงความยุติธรรมเอาไว เพราะวาความยุติธรรมเปนหนาที่โดยตรงของคนทุกคน เมตตากรุณา เปนคุณธรรมเหมือนกัน แตเมื่อมาพรอมกันเปนหนาที่โดยออม แตถาทําได เราประพฤติความยุติธรรม โดยไมใหเสียความเมตตากรุณา แตถาประพฤติความเมตตากรุณาอยาใหเสียความยุติธรรม ถาใหเสียความยุติธรรมแลว มันจะเสียไปหมดหลายอยาง ที่จริงเราสามารถจะผดุงความยุติธรรมไวได ดวยเมตตากรุณานั่นเอง เชน เราลงโทษคนเพื่อรักษาความยุติธรรม แลวก็เปนการเมตตากรุณาบุคคลผูนั้นไปดวย เพื่อไมใหเขาทําผิดยิ่งไปกวานั้น อันนี้ขอใหทําความเขาใจใหดี ในปรัชญากรีก มีนักปราชญคนหนึ่งของกรีกชื่อ ยูไทโฟ เปนเพื่อนของโสเครติส ฟองบิดาของตนในฐานะที่ฆาคนใชในบานตาย โดยการมัดแลวผลักลงคู คนนี้ก็จมน้ําตายอยูในคูนั้นเอง คนใชคนนี้ทะเลาะกับเพื่อนคนใชดวยกัน แลวฆาเพื่อนตาย เจาของบานรูเขาก็เลยจับมัดแลวก็ผลักลงคู ไมเอาใจใส ไมดูแล คนนี้ก็เลยตาย
57 คติชีวิต
ยูไทโฟไปศาลเพื่อฟอง ก็ไปเจอโสเครติส โสเครติส ถูกขอหาวาทําเด็กหนุมใหเสีย ดวยคําสอนที่ล้ําหนาเกินไป เขาคุยกันระหวางยูไทโฟกับยูเครติส เรื่องความยุติธรรม ก็เปนเรื่องนาสนใจ สุทธิธรรม อสุทธิธรรม อะไรบริสุทธิ์ อะไรไมบริสุทธิ์ ในกรณีของยูไทโฟนี้ ถามวาเขาควรทําหรือไมควรทํา เขาอางวาเขาทําเพื่อรักษาความยุติธรรม ไมใหบิดาเขาฆาคนตายโดยไมมีความผิด ทานผูฟงก็ลองเอาไปคิดดูเปนอาหารสมอง ทํานองนั้นจะชวยหรือจะฟอง มันเปนปญหาที่ขัดแยงกัน ระหวางเมตตากรุณา ความกตัญูกตเวที กับความยุติธรรม เมื่อมันมาเผชิญหนากันเขา สําหรับเรื่องความยุติธรรมนี้เปนสิ่งจําเปน ถาเราจะรักษาสัจจะ ก็ตองรักษาสัจจะที่เปนประโยชน และยุติธรรม ที่นกั ปราชญทานกลาววา สจฺเจ อตเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฐ ิตา ทานสัตบุรุษกลาววา สัตบุรุษทั้งหลายดํารงอยูในสัจจะที่เปนประโยชนและเปนธรรมคือยุติธรรม แมจะเปนความจริง แตความจริงนั้นตองเปนประโยชนและยุติธรรม จึงจะพูดไดหรือทําได รักษาได ทุกคนชอบความยุติธรรม แตวานอยคนนักที่จะดํารงอยูในความยุติธรรมโดยสม่ําเสมอ โดยถูกตอง เพราะวาใจมันไมเปนธรรม
ปรารภเรื่องพระบิณฑบาต ขอปรารภเรื่องที่มีผูถามวา มีปญหาเรื่องพระที่ยืนบิณฑบาตในที่แหงเดียว เชน ยืนรับบิณฑบาตที่แมคาที่ขายของสําหรับบิณฑบาตแลวก็ไมไปไหน ก็ยืนอยูตรงนั้น มีคนมาซื้อของใสบาตรทานก็รับ ไมมีคนมาซื้อ ทานก็ยืนเฝาอยู จะผิดหรือไม ก็มี 2 ความเห็น บางทานก็บอกวาได บางทานก็บอกวาไมได ผูถาม ถามวายืนเฉยๆ จะเปนอยางไร?
58 คติชีวิต
ความจริงก็ดี ก็ถูก ยืนเฉยๆ พระนี่ขอโดยการยืนเฉยๆ เวลาไปขออะไรกับคฤหัสถที่ไมใชญาติไมใชปวารณา ทานก็ใหไปยืนเฉยๆ หรือวาจะนั่งเกาอี้ก็ได ธรรมดาบิณฑบาตจะเดินก็ไดไมเดินก็ได จะนั่งอยูที่ไหนสักแหงหนึ่ง แลวก็มีคนมาใสบาตรก็ได เคยเห็นในชนบท บางหมูบานเขาจะมีศาลากลางบานเขาก็ปลูกไวใหนั่งพักผอนกันบาง มาชุมนุมกันบาง สําหรับทําบุญในหมูบานบาง ใหพระมารับบิณฑบาตบาง ในที่เชนนั้นพระมารับบิณฑบาตก็ไมตองเดินไปทุกบาน ทานก็นั่งอยูที่ศาลานั่นเอง ชาวบานรอบๆศาลาก็เอาขาวเอากับขาวมาใสบาตร ก็ดีครับ ไมตองใหพระเดินไปทุกบาน ทุกคนเขาก็เดินมาใสบาตร ทานจะยืนอยูที่ขางศาลาก็ได หรือวาจะนั่งอยูบนศาลาก็ได ไมเปนไรใชได มีสุภาษิตทางพุทธศาสนา ในเมณฑกปญหา อยูในมิลินท ปญหา มิลินทปญหานี้มีหลาย section หลายตอน บางตอนทานก็เรียกวาเมณฑกปญหา แตก็อยูในมิลินทปญหานั่นแหละ พระเจามิลินทเปนผูถาม พระนาคเสนเปนผูตอบ มีภาษิตวา น เว ยาจนฺติ สปฺปٛ ٛ ฺ า ผูมีปญญายอมไมขอ ไมขอเลย ธีรา ครหนฺติ ยาจะนํ นักปราชญทงั้ หลายยอมติเตียนการขอ อุทฺทสฺส อรยา ติฏฐนฺติ พระอริยะทั้งหลายยืนเฉพาะอยู ยืนเฉพาะก็คือ ยืนอยูเฉยๆนั่นแหละ เอสา อริยาย ยาจนา นี่แหละคือการขอของพระอริยะทั้งหลาย ยืนอยูเฉยๆนั่นแหละคือการขอของพระอริยะทั้งหลาย ฉะนั้น ทานไมออกปากขอ แตยืนแสดงอาการ ถายืนถือบาตรก็แสดงวาตองการอาหาร ถาทานมายืนเฉยๆโดยไมมีบาตร ยืนหนาบานเจาของบานตองออกไปถามวา ทานตองการอะไร นั่นแหละทานถึงจะบอกวาทานตองการอะไร ทํานองนี้นะครับ ถาใหออกปากขอกอนโดยที่วา โยม อาตมาอยากไดนั่นไดนี่ ขาดนั่นขาดนี่ ทานไมทํา ทานก็ยืนอยูเฉยๆนั่นแหละ ชาวบานที่มีศรัทธาก็ออกไปถามเองวาทานตองการอะไร สมมุติวาทานตองการขันน้ําสักใบหนึ่ง ทานก็จะบอกวาไมมีขันน้ําใช ชาวบานที่มีศรัทธา เขาก็จะถวาย ถาเขาไมศรัทธา เขาก็จะบอกวา “นิมนตโปรดขางหนาเถิด”
59 คติชีวิต
จะเลาใหฟงสักเรื่องหนึ่ง พระเถระรูปหนึ่ง กอนที่จะไดพระนาคเสนมาบวช ทานไปยืนอยูหนาบานบิดาของพระนาคเสนนั่นแหละ แตพระนาคเสนยังเปนเด็กอยู ยืนอยูตั้ง 7 ป เชาขึ้นมาก็ไปยืน เขาก็ออกมาบอกวาไปโปรดขางหนาเถิด ที่จริงไมใชตองการอาหาร แตตองการเด็กนาคเสนมาบวชเพื่อจะมากูหนาพุทธศาสนา เพราะวาพระเถระผูมีอนาคตังสญาณทานมองเห็นวา ตอไปภายหนาจะมีพระราชาพระองคหนึ่ง คือพระเจามิลินทนี่แหละ จะเกิดขึ้นและจะเที่ยวถามอะไรๆพระสงฆมากมายจนพระตอบไมได อยูไมไหว หนีไป จนเมืองบางเมืองรางพระ ไมมีพระอยู กลัวการถามของพระเจามิลินท จะใหพระนาคเสนนี่แหละไปปราบพระเจามิลินท ทานก็ไปยืน เพื่อจะไดเด็กนั้นไปบวช แตวาตอนนั้นพอแมเขาก็ยังไมไดศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนา เจาของบานก็นิมนตโปรดขางหนาเรื่อย วันหนึ่ง เจาของบานที่เปนผูชายหรือพราหมณ เดินกลับมาจากธุระขางนอก และเดินสวนกับพระรูปนี้ ถามวาทานไดอะไรจากที่บานบาง ทานบอกวาได แลวทานก็เดินเลยไป ก็ไมไดถามวาไดอะไร เขากลับมาถึงบาน เขาก็ถามแมบานวาตะกี้นี้ใหอะไรพระไปบาง เขาบอกวาไมไดใหอะไรไปเลย พราหมณนึกตําหนิวา เอะ ทําไมพระพูดเท็จ วันรุงขึ้น พราหมณก็ยืนคอยอยู เพื่อจะไดจับเท็จ พอพระเถระมายืนตรงนั้น พราหมณก็ลงมา บอกวาเมื่อวานนี้ถามวาไดอะไร บอกวาได แตพอไปถามแมบาน ก็บอกวาไมไดใหอะไรไปเลย พระทานก็บอกวาได ไดคําที่วานิมนตโปรดขางหนาเถิด นั่นแหละ อาตมาไดอันนั้น พราหมณก็เลื่อมใส เออ พระสมณศากยบุตรนี้มักนอยจริงๆ เขาไมไดใหอะไรไปเลย เพียงแตบอกวานิมนตโปรดขางหนาเถิด ทานก็ยังถือวาเปนการได ถาเผื่อวาเราไดถวายอาหารทานสักทัพพีหนึ่ง สองทัพพี ทานจะระลึกถึงวาเปนการไดมากมายอยางไร เลื่อมใสก็ถวายอาหารบิณฑบาตทุกวัน พระทานก็ไมไดแสดงอาการอะไรมากไปกวานั้นจนคุนเคยเขา เมื่อเด็กนาคเสนโต ก็ขอไปบวช ไดพระนาคเสนผูมีปญญา สามารถมากูหนาพุทธศาสนาในชวงนั้น ซึ่งเกิดคัมภีรมิลินทปญหาขึ้น และก็มีชื่อเสียงมาก 60 คติชีวิต
ผมเลาผนวกเขามากับเรื่องที่พระไปยืนเฉยๆ ก็มีสทิ ธิ์ที่จะทําได ถาทานอยูในอาการที่สํารวม สวนมากทานก็จะเปนพระแกเดินไมคอยไหว อายุมาก เดินบิณฑบาตมากไมไหว บางทานก็ปวดเขาปวดขา โรคขอบาง เปนโรคกระดูกบาง คนแก ทานก็ไปนั่งอยูอยางนั้น ถาทานสํารวมพอโดยที่ไมสรางความเดือดรอนใหแกใคร ก็ทําได อันนี้เราก็ตองเห็นใจกัน ผมขอผนวกเรื่อง ธรรมของสมณะแท 4 ประการ มาจากเมณฑกปญหาอีกเหมือนกัน ภาษาบาลีวา จตูหิ ธมฺเมหิ สมงฺคิตํ ตํ เว นรํ สมณมาหุ โลเก ตตฺรีเม จตฺตาโร ธมฺมา ขนฺติ อปฺปาหารตา รติวิปฺปหานํ อกิฺจนํ แปลวา ธรรม 4 ประการ คือ 1. ขันติ ความอดทน 2. อปฺปาหารตา ความเปนผูมีอาหารนอย 3. รติวปฺปหานํ การละความยินดี 4. อากิฺจนํ ความไมกังวล ความไมกงั วลในภาษิตที่วา อากิฺจนํ อนาทานํ เอตํ ทีป อนาปรํ ความไมกังวล ความไมยึดมั่นนั่นเอง เปนที่พึ่งไมใชอยางอื่น เปนอากิฺจนํ เชน อากิญจัญญายตนในฌาน ตรงนี้ทานใช อากิญจัญญายตนฌาน นี่เปนความรูเล็กๆนอยๆที่เอามาฝาก เพิ่มเติมใหกับขอสงสัยที่มีผูยกขึ้นมาถาม ก็คิดวาพอสมควรนะครับ
การพัฒนาคน การพัฒนาคนเปนเรื่องสําคัญยิ่งใหญในสังคมมนุษยเรา ตามรายงานขององคการยูนิเซฟ ยอมาจาก United Nations Children’s Fund คือองคการเกี่ยวกับกองทุนชวยเหลือเด็กขาดแคลนแหงสหประชาชาติ ไดรายงานไวหลายปมาแลว แตขอมูลคงยังไมหางจากขอเท็จจริงเทาไหร รายงานนี้เมื่อธันวาคม 2537 วา 61 คติชีวิต
“ในเมืองไทยมีเด็กเรรอนอยูประมาณ 10,000 คน โสเภณีเด็กประมาณ 100,000 คน การแกไขปญหาโสเภณีเปนสิ่งที่ทําไดยาก เพราะในสังคมไทยนั้น ชาวไทยนิยมเขาซองโสเภณีเหมือนเขารานกาแฟ ในประเทศเพื่อนบานของไทย ตัวเลขก็ใกลเคียงกัน ไมหางกันมากนัก ทั้งเรื่องโสเภณีเด็กและเด็กเรรอน ก็คงจะเปนเพราะพวกเราที่เปนประเทศเพื่อนบาน มีสภาพทางเศรษฐกิจ จิตใจ และสิ่งแวดลอมคลายคลึงกันก็ได เรื่องจิตใจเปนปญหาละเอียดออน กวาปญหาเศรษฐกิจและสิ่งแวดลอม ตองอาศัยการขัดเกลาและปลูกฝงมาตั้งแตเริ่มตนและตองใชเวลานาน และตองมีตัวแบบที่ดีให เพื่อใหเด็กไดดู เพื่อเด็กจะไดเลียนแบบและถายแบบ เราตองปลูกฝงอุดมคติที่ดีใหคนของเรา โดยที่ผูใหญที่มีอุดมคติ ใชเวลาใหติดตอกันสัก 50 ป ก็คงจะเห็นผล ถาเราจะปลูกตนไมใหญเราตองใจเย็น ไมเหมือนตนไมกระถางสําเร็จรูป เสร็จเร็วแลวก็ตายเร็ว มันดูสวยอยางฉาบฉวย โดยประสบการณของผมเอง ก็กลายืนยันวา ถาเราสามารถสรางจิตใจของคนไดสําเร็จ โดยปลูกฝงอุปนิสัยที่ดีใหเกิดขึ้นไดในสังคมสวนรวมของเราได เศรษฐกิจและสิ่งแวดลอมจะดีขึ้นทันที เพราะทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดลอมจะดีหรือเลวก็เพราะคนทําใหเปน มันไมไดเปนของมันเอง คนทําลายเศรษฐกิจ ทําลายสิ่งแวดลอม เพราะความเห็นแกตัว เพราะไรมนุษยธรรม มีวัฒนธรรมต่ํา มนุษยทําลายกันเอง ทําลายตัวเอง ลองสืบไปเถอะ เด็กเรรอน 10,000 คนที่องคการยูนิเซฟรายงานออกไปนั้น สภาพทางบานเปนอยางไร พอแมเปนอยางไร วาโดยธรรมชาติเด็กก็จะรักและหวังพึ่งพอแมของตัว อยากอยูบานของตัว เด็กเรรอนเปนเด็กมีปญหาทางบานทั้งนั้น
62 คติชีวิต
ปญหาทางบานเกิดจากอะไร ก็สารพัดสาเหตุละครับ เปนสาเหตุจริงบาง และเปนเพียงขออางบาง พอสืบลึกลงไปก็จะไปพบตนตอที่แทจริง คือความขาดแคลนธรรม ความไมเขาใจชีวิต ผูครองเรือนที่มีธรรม ปฏิบัติตามธรรม ตางก็ไดมีความสุขสงบกันโดยทั่วไป เรียกวาโดยทั่วหนาก็ได โดยที่ธรรมคือความถูกตองนั้นไดมอบความสุขเชนนั้นให เหมือนเราปลูกตนไมใหญไว พอนานวันเขาตนไมนั้นแหละจะใหรมเงา ใหดอกผลแกเรา เรื่องโสเภณีเด็กก็ทํานองเดียวกัน ปญหาเกิดขึ้นที่บาน ปญหาเรื่องความไมเขาใจชีวิตเกิดขึ้นกอน ทําใหพอแมและเด็กทะเยอทะยานตามเพื่อนบาน ก็ยังมีคนที่ไรคุณธรรมไปหลอกลวงชักจูงไป มีการคามนุษยกันเปนทอดๆ หวังความร่ํารวยเพื่อเอาเงินไปนรกกัน ไปแจกยมบาล และก็ยังมีผูชายเสเพลที่ชอบกินเหลาแลวก็ไปเที่ยวสนับสนุนกิจการนี้มาก เด็กหนุมเด็กวัยรุนใจแตกเอาเงินพอแมซึ่งก็ใหไวกินขาว ไวใหเลาเรียน เด็กพวกนี้ก็เอามาฟุมเฟอยมาสนองตัณหาของตัว มีคานิยมผิดๆติดกันมาจากรุนพี่ถึงรุนนอง แลวก็สืบทอดกันตอๆไป เรื่องเกี่ยวกับจิตใจ และความหลงผิดของมนุษยเราเปนสาเหตุขั้นมูลฐาน ตอไปถึงจะไปถึงเรื่องอื่นๆ เราแกปญ หากันที่ปลายเหตุ เหมือนเห็นตนไมใบเหี่ยว แลวเราก็เอาน้ํามาพรมที่ใบ ปลอยใหดินที่โคนตนมันแหงอยูอยางเดิม ตนไมจะฟนไดอยางไร รากและลําตนมันขาดน้ําหลอเลี้ยง จึงแสดงออกที่ใบ เราคิดกันตื้นเกินไป ความเปนไปในสังคมของเราก็เหมือนกัน การปวย กระเสาะกระแสะของสังคม เปนสิ่งที่ฟองวามีความผิดขั้นมูลฐานในสังคมของเราแลว เหมือนเมื่อมีอาการคันที่ตัวเราก็มาแกปญหาเฉพาะหนา ดวยการเกาไปเรื่อยๆ พอบรรเทาไปไดแตไมหาย ถาสาเหตุมันอยูที่เลือด เราคิดแบบชาวบานเกินไป ไมไดคิดแบบแพทยปริญญา แมแตพวกนักการเมืองผูบริหารประเทศก็คิดแตเพียงแกปญหาเฉพาะหนา เอาตัวรอดไปเปนคราวๆ พรอมที่จะละทิ้งสัจจะมโนธรรมและอุดมคติ เพื่อผลประโยชนของพวกต
63 คติชีวิต
จะแรงไปไหมถาจะพูดวา มนุษยเรากบฏตอศีลธรรมในศาสนาของตน เพราะความละโมบและทะเยอทะยาน ไมเวนแมแตบรรพชิตบางพวก นอกจากขายศาสนาซึ่งเปนสิ่งมีคาแกชีวิตอยางยิ่ง เพื่อประโยชนทางวัตถุแลว ยังกออาชญากรรมโดยการสงยาเสพติด ทั้งๆที่อยูใ นเพศบรรพชิตนั่นเอง นอกจากนี้ยังใชสบงจีวร ซึ่งเปนเครื่องหมายของเพศบรรพชิตมาเปนเครื่องมือหลอกลวงประชาชน มีขาวไปทั่วบานทั่วเมืองเกิดขึ้นบอยๆ ไมไดหางไมไดเวนแตละป ปหนึ่งหลายครั้ง
ดวยซ้ําไป
ความละโมบและความทะเยอทะยาน ไดลางผลาญทรัพยากรมนุษย และทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล มันไดผลักมนุษยใหจมลงไปในโคลนตมแหงหายนะ อยางยากที่จะถอนตัวขึ้นมาได มนุษยเราไดชวนกันพายแพตอมัน และชักชวนผูอื่นใหพายแพเหมือนหมาหางดวนในนิทานอีสปนั่นเอง น้ําเมาจํานวนมากมายไดถูกผลิตขึ้น เพื่อยั่วยวนยอมใจใหมนุษยเมายิ่งขึ้น ผูหญิงของเราไดตกเปนเครื่องมือของการโฆษณาทุกอยาง ทุกรูปแบบ และผูหญิงของเราสวนมากก็ไมฉลาดพอที่จะหยั่งรูวา นั่นคือหลุมพรางที่สังคมไดทําไวเพื่อใหพวกเธอไดเลื่อนไหลไปในหวงเหวแหงความเสื่อมโทรม ความยากจนที่แพรกระจายไปในชนบท การศึกษาที่ไมสมบูรณ เพราะมุงแตพุทธิศึกษาเปนหลัก พุทธิศึกษาก็คือความรู ตองการแตความรู ไมไดปลูกฝงคุณธรรมกันอยางจริงจัง การพัฒนาที่มุงพัฒนาแตเศรษฐกิจ ไมพัฒนาคน การบริหารการปกครองที่มุงแตลาภยศ เกียรติและชือ่ เสียงเฉพาะตน มิไดมุงประโยชนของมหาชนที่ตนปกครอง การศาสนาที่ผูสอนคิดผลไดออกมาเปนเงินทอง เปนวัตถุกอสราง เปนลาภสักการะชื่อเสียง มิไดสอนธรรมบริสุทธิ์ของพระพุทธเจา เปนตนเหลานี้ ลวนแตเปนขอบกพรองในสังคม ที่เราตองอาศัยปญญาและความกรุณาชวยกันปรับปรุงแกไขใหลุลวงไป
64 คติชีวิต
มิฉะนั้นแลว สังคมไทยเราก็จะกะปลกกะเปลี้ยอยางนี้ ไปไมได ไปไมรอด ผูมีปญญาขอใหระดมปญญามาใชในทางที่จะเปนประโยชนแกผูอื่นใหมาก อยาใชปญญาในทางเห็นแกตัว ซึ่งแสดงวาตนเปนคนนิสัยไมสะอาด อยางที่ทานกลาวไววา อตฺตตฺถ ปฺٛ า อสุจี มนุสฺสา มนุษยที่ใชปญญาไปในความเห็นแกตัว เปนคนไมสะอาด ผูมีใจกรุณา ขอใหแสวงหาปญญา เพิ่มพูนปญญาอยูเสมอ รูเทาทันเหตุการณ มิฉะนั้นจะกลายเปนคนโงที่ใจดี เหมือนลาโง มีแตจะตกเปนเหยื่อของพวกฉลาดแกมโกง ซึ่งมีอยูดาษดื่นในสังคมของเรา คนฉลาดแกมโกงมีอยูดาษดื่นในสังคมของเรา สวดมนตเพื่ออะไร เราสวดมนตกันมาก สวดถูกบางผิดบาง สวดสิ่งที่ควรสวดบางไมควรสวดบาง เพราะความไมรู แลวแตผูที่เคารพนับถือจะแนะนําใหสวดอะไร ก็มักจะสวดกันไป โดยไมรูความหมายดวย บางทีก็ใชเวลานานและยากที่จะจํา แตวาเชื่อ มีศรัทธาในบทสวดมนตวาขลังและศักดิ์สิทธิ์ สามารถจะบันดาลประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ตองการใหได ตามคําโฆษณาที่เขาเขียนเอาไวบางพูดเอาไวบาง ในหนังสือสวดมนตนั้นๆก็มี การสวดมนต เปนวิธีการอันหนึ่ง ในการทําจิตใหสงบไมใชพิธีการ วิธีการกับพิธีการไมเหมือนกัน เดี๋ยวจะอธิบาย การสวดมนต เปนวิธีการอันหนึ่ง ในการทําจิตใหสงบเปนบริกรรมสมาธิ ถาจุดมุงหมายอันนี้ ก็สวดอะไรก็ได เพื่อใหจิตสงบ คือทําสมาธิโดยวิธีบริกรรม หมายถึงสวดเบาๆ สิ้นมนตไปบทหนึ่งๆวาซ้ําๆจนจิตใจจดจออยูกับบทนั้น ไมวอกแวกไปที่อื่น จะสวดบทเดียวหรือหลายบทก็ได ใหจิตใจจดจออยูกับบทสวดเปนใชได เหมือนทองหนังสือ หรือทองสูตรคูณ ตัวอยางที่นิยมสวดกันทั้งฝายพระ ฝายฆราวาส และเปนบทที่ดี เชน บทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิติปโส ภควา ถาเราสวดคนเดียว ตองการใหเปนสมาธิ ก็สวดเบาๆ สวดกลับไปกลับมา 20-30 เที่ยวก็ได 65 คติชีวิต
เดิมทีเดียว คําสอนของพระพุทธเจายังไมไดจารึกลงเปนตัวอักษรในใบลาน พระสาวกนําพาพระพุทธพจนมาโดยการถายทอดจากอาจารยไปยังศิษยโดยการทองจํา ทองเปนกลุมๆ และชวยกันจํา ถาเปนหนังสือสมัยนี้ ก็เรียกวาทองกันเปนเลมๆ สมัยกอนนี้เขาบอกกันใหจํา เขาเรียกวาไปตอหนังสือ บางทีวัดหนึ่งก็มีหนังสืออยูเลมเดียวที่กุฏิเจาอาวาส ลูกศิษยไมมีหนังสือ ลูกศิษยก็ตองไปตอหนังสือ คืนนี้ไดแคนี้ พออีกคืนหนึ่งก็ไปตอ อาจารยก็วานํา ลูกศิษยก็วาตาม ทองจํา ก็จํากันไดเปนเลม สวดมนตฉบับหลวงเลมใหญ 400-500 หนา บางคนก็จําไดหมด ทองหลายป ทองไปเรื่อยๆ เพราะวาบวชอยูเรื่อยๆ คนที่ไมไดบวช หรือวาสึกแลว แตวายังมีฉันทะยังมีศรัทธา ยังมีอุตสาหะในการที่จะทองจํา ก็ทองตอไปเรื่อยๆ ก็จําไดเยอะ จําไดมากอยางไมนาจะจําได เปนที่ประหลาดใจของคนที่ไดยินไดฟงวาจําไดอยางไร ไมมีเทคนิคลี้ลับอะไรหรอก เพียงแตวามีฉันทะอุตสาหะในการทองเทานั้น ไปเห็นอะไรดีๆ ก็ทองเอาไว เพื่อเปนประโยชนกับการสวดบาง การเพงพินิจเนื้อความบาง ทองจําแลวก็งายกับการที่จะเพงพินิจเนื้อความ เพราะฉะนั้น ในองคของพหูสูตร ทานจึงมีอยูขอหนึ่งวา ธตา จําได วจสา ปริจิตา วาไดคลองปาก มนสานุเปกฺขิตา เพงพินิจในใจ เอาใจไปเพงพินิจเนื้อความ วาเนื้อความนี้มีความหมายอยางใด ไมตองไปเปดหนังสือ ก็ชว ยประหยัดเวลาไดเยอะ การทองจําพระพุทธพจนนั่นเอง ก็กลายมาเปนบทสวดมนตในภายหลัง บทสวดมนตเชา สวดมนตเย็น สวนมากแตงขึ้นในภายหลัง พระทานก็จะสวดเหมือนกัน สวดเปนบทตนๆ พอไปกลางๆ พระทานจะสวดพระพุทธพจน เชน ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร ธรรมนิยามสูตร โลกธรรมสูตร อะไรที่มีเนื้อธรรมดีๆ ทานจะสวดหลังๆของการสวดมนต
66 คติชีวิต
ทานลองเทียบดูกับการสวดปาติโมกขก็ได คือเปนการทองวินัย 227 ขอ ทามกลางสงฆทุก 15 วัน ตองทองเร็วมากเลย มีผูทบทวนอยูขางธรรมมาศ องคที่สวดก็พนมมือ ไมมองใคร สวดเรื่อยไป สวนมากโดยเฉลี่ยก็ 45 นาทีจึงจะจบ จบแลวก็เหนื่อย เพราะวาสวดไมหยุดเลยเร็วดวย เร็วกวาสวดมนต เมื่อกอนนี้ทานสวดพรอมกัน และรูค วามหมาย เพราะเปนภาษาของทานเอง ตอมาเมื่อพระพุทธศาสนามาอยูในเมืองไทย เราก็สวดเพื่อจะรักษาธรรมเนียมเดิมเอาไว นี่หมายถึงการสวดมนตนะครับ แตสวนมากไมรูความหมายวาสวดอะไร เพราะไมใชภาษาของเรา และก็ไมไดเรียน ไมเขาใจ การสวดปาติโมกขจึงกลายเปนพิธีการ ไมใชวิธกี าร เปนพิธกี าร พิธีกรรม โดยที่ผูสวดก็ไมรูเนื้อความ ผูฟงก็ไมรูเนื้อความ แตวาตองสวด เพราะเปนพิธีการ หรือเปนวินัยบัญญัติวาตองสวดปาติโมกข หรือทบทวนวินัยทุก 15 วัน เมื่อกอนนี้ ทานฟงไปๆทานรูเรื่อง ถาพระองคไหนทานรูวาตองอาบัติอะไร ก็สะกิดเพื่อนมา ไปปลงอาบัติใกลๆนั้นเอง และผูที่สวดก็ตองหยุดสวด แตวาเวลานี้ ไมมีเปนอยางนั้น เพราะวาปลงอาบัติกันไปเสร็จเรียบรอยแลว แลวคอยเขาไปฟงปาติโมกข การสวดมนตหรือสวดพระปริตรตางๆ สวนมากก็มุงไปทางพิธีการ คือทําพิธี มุงเอาความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ที่จะบันดาลใหสําเร็จผลดวยมนตนั้น แตจะสําเร็จหรือไมสําเร็จก็ไมมีใครรับรอง มีแตความเชื่อ ผูสวดเองก็ไมกลารับรอง แตเราก็นิยมเรื่องการสวดมนตเพื่อความขลังและศักดิ์สิทธิ์อยู ศักดิ์สิทธิ์ ตามพจนานุกรมแปลวาขลัง แลวขลังแปลวาอะไร ขลังแปลวามีอํานาจศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันวาอาจบันดาลใหสําเร็จไดดังประสงค จริงไมจริงไมรู แต ‘เชื่อกันวา’ บางทีก็สวดเพื่อเปนสิริมงคลในโอกาสตางๆ สวดเพื่อปองกันและทําลายทุกขโศกโรคภัย และใหสําเร็จสมบัติทั้งปวง ดังคําอาราธนาพระปริตรที่ทํากันอยู ทานวา
67 คติชีวิต
วิปตฺติ ปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติ สิทฺธิยา สพฺพทุกฺขวินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ แปลวา ขอทานทั้งหลายสวดพระปริตร วิปตฺติ ปฏิพาหาย เพื่อปองกันวิบัติ หรือตอตานวิบัติ หรือทําลายวิบัติ สพฺพสมฺปตฺติ สิทฺธิยา เพื่อใหสําเร็จสมบัติทั้งปวง สพฺพทุกฺขวินาสาย เพื่อความพินาศแหงทุกขทั้งปวง สพฺโรค วินาสาย เพื่อความพินาศแหงโรคทั้งปวง สพฺพภย วินาสาย เพื่อความพินาศแหงภัยทั้งปวง นี่คือจุดมุงหมายแหงการสวดพระปริตร เพื่อความพินาศแหงทุกขทั้งปวง แหงโรคทั้งปวง แหงภัยทั้งปวง เพื่อใหประสบความสําเร็จในสมบัติทั้งปวง จะเปนอยางนั้นหรือเปลา ไมมีใครรับรอง แตกม็ ีความเชื่อ ถาจะถามวาการสวดพระปริตรจะใหสําเร็จผลตามประสงคไดหรือไม ในคัมภีรมิลินทปญหา พระเจามิลินทตรัสถามเรื่องนี้กับพระนาคเสนเหมือนกัน พระนาคเสนก็ถวายพระพรตอบวา จะใหสําเร็จผล ตองมีเงื่อนไข 3 อยาง 1. ตองมีความเชื่อ 2. ไมมีกรรมเปนเครื่องกางกั้น เรียกวา กรรมวรณ 3. ไมมีกิเลสเปนเครื่องกางกั้น เรียกวา กิเลสาวรณ ถาไมเชื่อ พระปริตรก็ไมสําเร็จ หรือถามีกรรมเปนเครื่องกางกั้น คือกรรมชั่วมันจะใหผล ปองกันไมได เพราะนตฺถิ กมฺมะ สมงฺ พลงฺ ไมมกี ําลังใดเสมอดวยกําลังกรรม หรือวามีกิเลสเปนเครื่องกางกั้น คือวากิเลสรุนแรง เดี๋ยวจะเลาเรื่องใหฟง ใหเห็นวากิเลสรุนแรง มันปองกันไมไดอยางไร ปญหาวาองค 3 ที่วานั้นเปนของใคร คือเปนของผูสวด ผูทําพิธี หรือวาเปนของผูรับทําพิธี หมายความวาที่วาไมเชื่อนั้นใครไมเชื่อ ผูสวดไมเชื่อหรือผูรับพิธีไมเชื่อ เชน นิมนตพระมาทําพิธี ทานที่สวดเองทานก็ไมเชื่อ หรือวาคนฟงไมเชื่อ ที่วากรรม เปนกรรมของใคร กรรมของผูทําพิธี หรือกรรมของผูรับพิธี 68 คติชีวิต
ที่วากิเลสนั้นเปนกิเลสของใคร ของผูทําพิธีหรือวาเปนกิเลสของผูรับทําพิธี นี่ก็ทิ้งเอาไวใหคิดกันดูนะครับ กลาวถึงในพระไตรปฎก พบเรื่องพระมหากัสสป และพระมหาโมคคัลลานะปวย พระพุทธเจาทรงทราบเขา เสด็จไปเยี่ยมทรงแสดงหรือตรัสโพชฌงค 7 ประการ เมื่อจบลงพระมหากัสสป พระมหาโมคคัลลานะหายปวย หายจากทุกขเวทนากลาแข็ง อันนี้ปรากฏใน สังยุตนิกาย มหาวารวรรค พระไตรปฎกเลม 19 หนา 113-115 พระมหากัสสป ปวยอยูที่ถ้ําปผลิ ทานมหาโมคคัลลานะปวยอยูที่ภูเขาคิชกูฏ เมืองราชคฤห พระผูมีพระภาคเจาเสด็จจากเวฬุวัน ไปเยี่ยมทั้งสองทาน ในเมืองไทยก็นิยมสวดโพชฌงคใหกับผูปวยเหมือนกัน เมื่อผูสูงอายุปวย ญาติพี่นองมักจะนิมนตพระสงฆไปสวดโพชฌงค ผูปวยหายบาง ตายบาง สุดแลวแตเหตุปจจัยของผูปวยนั่นเอง ทําไมพระเหลานั้น ทานฟงโพชฌงคแลวทานหาย แตทําไมผูปวยในเมืองไทยนี้ สวนมากตาย สวนนอยหาย ที่หายนั้นก็คือ ถึงแมจะนิมนตพระไมสวดโพชฌงค ก็หายเองอยูไดบางแลว ที่ตายนั้นเพราะอะไร ก็เพราะวาโพชฌงค 7 นั้นมีบริบูรณอยูในพระอรหันตเหลานั้น แตวาผูปวยของเรานั้น มีโพชฌงคอยูบางหรือเปลา โพชฌงฺโค สติ สงฺขาโต มีสติ ธมฺมานํ วิจโย ตถา มีธรรมวิจยะ วิริยมฺปติ ปสฺสทฺธิ มีวิริยะ มีปติ มีปทสัทธิ โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา มีสมาธิ อุเบกขา เหลานี้มีไหม ถาไมมี ก็คือเหตุปจจัยมันไมพรอม ก็เพียงแตทําพิธีไปเทานั้นเอง บางคราวพระผูมีพระภาคเจาทรงปวยเอง รับสั่งใหพระจุนทะนองชายพระสารีบุตรสวดโพชฌงคถวาย ก็ปรากฏวาทรงพอพระทัยและหายปวยเหมือนกัน นี่ปรากฏในพระไตรปฎกเลมเดียวกัน สังยุตนิกาย มหาวารวรรค พระไตรปฎกเลม 19 หนา 116 69 คติชีวิต
ทานผูเปนมหาบุรุษทั้ง 3 นี้หายปวย เพราะฟงโพชฌงค เพราะเหตุใดฟงโพชฌงคแลวจึงหาย เพราะทานมีโพชฌงค 7 ประการอยูเต็มบริบูรณ แตคนเราธรรมดา มีโพชฌงคอยูเทาใด หรือไมมีเลยเมื่อเปนเชนนี้ จะเอาอะไรมาเปนยาหรือเปนธรรมโอสถสําหรับรักษา คุณสมบัติภายในไมเหมือนกัน แมทําอาการภายนอกใหเหมือนกัน ผลก็ไมเหมือนกัน เหมือนผลไมพลาสติกกับผลไมจริง มันดูอาการภายนอกมันเหมือน แตผลไมพลาสติกมันกินไมได ความสําเร็จประโยชนในการบริโภคไมเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การทําอะไรแตเพียงพอเปนพิธี กับการทําดวยการเขาใจความหมายอันแทจริง จึงไดผลไมเหมือนกันอยางแนนอน อีกครั้งหนึ่ง ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี พระคิริมานนทปวยหนัก พระอานนทไปเยี่ยม แลวกลับไปกราบทูลพระพุทธเจาใหเสด็จไปเยี่ยมพระคิริมานนท แตพระศาสดาไมไดเสด็จไป ทรงใหพระอานนททองสัญญา 10 ประการ สัญญาในที่นี้หมายถึงขอพิจารณา ไมใชสัญญาแบบหนังสือสัญญาในภาษาไทย ขอพิจารณา 10 ประการ มี อนิจจสัญญา เปนตน คือวาพิจารณาถึงความไมเที่ยง มีอานาปานสติเปนที่สุด ใหไปกลาวบอกเลาแกพระคิริมานนท คิริมานนทฟงแลวหายอาพาธเหมือนกัน ถาจะสงสัยวาทําไมพระศาสดาไมใหพระอานนทแสดงโพชฌงคแกคิริมานนท นี่สันนิษฐานวาทรงมีพระญาณกําหนดรูอินทรียคือความพรอม และอาศัยอนุสัยของพระสาวกวาผูใดควรโปรดดวยธรรมใด อาศัยคือความโนมเอียง อนุสัยคือความรูสึกสวนลึกหรือกิเลสที่อยูสวนลึก ควรโปรดดวยธรรมใดจึงจะสําเร็จประโยชนได เหมือนกับหมอใหยาคนไขใหถูกกับโรคของเขา ขอความในพระสูตรหลายสูตร เชน กรณียเมตตสูตรที่กลาวถึงเรื่องเมตตาและรัตนสูตร ขันธปริตร โมรปริตร เปนตน ที่พระนิยมสวดในพิธีตางๆ ก็มีเรื่องเลาประกอบถึงเหตุที่ตรัสไว 70 คติชีวิต
และปรากฏในอรรถกถาบาง และอรรถกถาชาดกบาง เชนกรณียเมตตสูตรก็รูจักกันแพรหลายที่วา พระไปอยูปาและถูกผีหลอก เพราะวาไปแยงที่อยูของเขา อยูไมไดกลับมา พระพุทธเจาประทานโอวาทในกรณีเมตตสูตร ถึงคุณสมบัติของที่บรรลุสนั ต บทหลายขอดวยกันและใหแผเมตตาใหสรรพสัตว ปรากฏวา พระไปอยูปาได ผีไมหลอก รุกขเทวดาก็เมตตา ไดคุมครองใหอยูเปนสุข รัตนสูตรนั้น ก็มีเรื่องเลาถึงวา เกิดทุพภิกขภัยขึ้นในเมืองเวสาลี พระพุทธเจาไดใหพระอานนทไปสวดรัตนสูตรภัยพิบัติก็คอยๆลดลง ขันธปริตร เกี่ยวกับการแผเมตตาใหสัตวราย โดยเฉพาะอยางยิ่งคืองู งูก็ไมกัด เรื่องก็มวี า ภิกษุถูกงูกัด พระพุทธเจาทรงประทานพุทธมนต คือขันธปริตร แผเมตตาไปใหพวกงูตระกูลตางๆ พระพุทธเจาบอกวาแผเมตตาไปใหงู แลวงูจะไมกัด ที่จริงสัตวพวกนี้กลัวคน ถึงจะมีพิษสักเทาไหร มันก็กลัวคน คนก็กลัวงู คือตางคนตางกลัวกัน คนก็กลัวงูกัด กัดแลวก็ถึงตาย หรือปางตาย งูก็กลัวคนจะตีมัน คนจะฆามัน โดยสัญชาตญาณ แตถาคนมีเมตตาก็อยูกับงูได โมรปริตร เกี่ยวกับนกยูง โมร แปลวานกยูง ก็จะเลาเกี่ยวกับนกยูงนิดหนึ่ง เปนเรื่องประกอบ โมรปริตร เปนมนตนกยูง สวดแลวใหแคลวคลาดปลอดภัย จากตัวอยางของนกยูงทอง ตามชาดก นกยูงทองสวดมนตทั้งเชาทั้งเย็น ตอนเชาก็สวดมนตนอบนอมดวงอาทิตย นอบนอมทานผูหลุดพน นอบนอมความหลุดพน และขอใหหลุดพน ปลอดภัยมาเปนเวลานาน จนพรานนกยูง เอานกยูงตัวเมียมาสงเสียงรอง นกยูงตัวนี้ก็ติดในเสียงของตัวเมีย รีบตะลีตะลานลงมา ลืมสวดมนต ดวยความพอใจในเสียงของนางนกยูง เมื่อกอนนี้เคยติดบวงเหมือนกัน แตพอติดบวงแลวรูดมันก็หลุดทุกครั้ง แตคราวนี้ไมหลุด ติดบวงนายพราน บทสวดก็มีเนื้อหาเปนการนอบนอมดวงอาทิตย นอบนอมสมณพราหมณ นอบนอมพระพุทธเจา นอบนอมทานผูหลุดพน และวิมุตติธรรม คือความหลุดพน 71 คติชีวิต
ที่ตั้งหัวขอไววา สวดมนตเพื่ออะไร ขอสรุปวา บางคนก็สวดเพื่อใหคุมครองตัวเอง ใหคุมครองบานเรือน บางคนก็สวดเพื่อใหเปนสวัสดิมงคลแกตัว บางคนก็สวดเพื่อความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ บางคนสวดเพื่อใหใจสงบ บางคนก็สวดเพื่อทบทวนความรูขอความในบทสวด เพราะเปนธรรมะ ในบทสวดมนตมีขอความที่เปนธรรมอยูเยอะ อันนี้ก็ตองรูเรื่อง คือสวดมนตไปดวย รูเรื่องไปดวย และก็ไดทั้งสมาธิ ไดปญญา ไดทั้งความปลอดโปรง ความสงบใจ คนที่รูสึกหดหูและวาเหว รูสึกไมสบายใจและฟุงซาน ลองสวดมนตสักพักหนึ่ง สวดอะไรก็ได ทีน่ ิยมกันมากก็ อิติปโส ภควา ฯลฯ สวาขาโต ภควตา ธัมโม ฯลฯ สวดคนเดียว สวดเบาๆ สวดชาๆ ก็จะไดความสงบใจ เปนบริกรรมภาวนา และถารูเรื่องไปดวยก็เปนปญญา ไดทั้งศีลดวย เพราะเวลานั้นกาย วาจา ก็เปนศีลสงบเรียบรอย กาย วาจา ไมมีโทษ สํารวมกาย วาจา รวมแลวก็ไดทั้ง ศีล สมาธิ ปญญา ก็ไดเคยทดลองเรื่องพวกนี้มาบาง ก็ไดผลจริง ถาเผื่อเกิดความไมสบายใจ ก็นั่งลงสวดมนต พุทธคุณ 9 ธรรมคุณ 6 สังฆคุณ 9 สวดกลับไปกลับมา ถาเผื่อสวดอยางอื่นดวยไดก็ดี สักพักหนึ่งก็สงบผองใส หัวเราะออก ความกังวลมันจะหายไปหมดและไดปติปราโมทย จุดมุงหมายที่คนตองการที่สุดในการสวดมนตก็คือ ตองการจะสํารวมใจใหอยูกับบทสวด และใหเกิดปญญา ใหไดศีล สมาธิ และปญญา ถาตั้งเปาหมายไวอยางนี้ ก็ไมผิดหวัง แตถาไปตั้งเปาหมายไวอยางอื่น มันอาจจะไดบางไมไดบาง คุณคาของการสวดมนต อยูที่การสํารวมกาย วาจา ซึ่งจัดเปนศีล และจิตใจสงบผองแผวอยูกับบทสวดเปนสมาธิ เขาใจความหมายของบทสวด เพิ่มพูนความคิดอานใหแตกฉานลึกซึ้ง จัดเขาในปญญา รวมความวาเราสวดมนตใหไดศีล สมาธิ ปญญา ซึ่งเปนหัวใจสําคัญของพุทธศาสนา อยาสวดใหขาดทุน คือสวดแลวเสียเวลาเปลา ไมไดอะไร นอกจากอุปาทานวาเราไดสวดแลว มีหนังสือเลมหนึ่งชื่อโลกาธิปตย เขาสงมาใหผมที่บาน เปนปที่ 3 เลมที่ 23 เดือนเมษายน พ.ศ. 2543 มีคอลัมนเล็กๆคอลัมนหนึ่งเขียนวา สวดมนตบอยๆแกซึมเศราหดหูได ขอความตอไปวาอยางนี้ สํานักขาวตางประเทศรายงานวา ทีมนักจิตวิทยาแหงมหาวิทยาลัยเซทควีน ฮัลลัม ในอังกฤษ 72 คติชีวิต
ไดศึกษาเพื่อหาวา สวนใดของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่มีอิทธิพลตอภาวะจิตใจของคนเรามากที่สุด โดยศึกษาผูชาย 251 คน กับผูหญิง 223 คน อายุระหวาง 18-29 ป วัดเหตุผลของคนเหลานี้ ที่มีความเชื่อทางศาสนา ความถี่ในการเขาโบสถ และแนวโนมในการที่จะเกิดอารมณหดหู ซึมเศรา ปรากฏวาผูหญิงจะเปนคนเครงศาสนามากกวาผูชาย แตสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันใน 2 เพศคือ คนที่สวดมนตบอยๆแลว แทบจะไมมีอาการซึมเศรา หรือกระวนกระวายใจเกิดขึ้นเลย สวนกลุมที่ไปโบสถ เพราะเหตุผลทางสังคม มีโอกาสเกิดอารมณหดหูซึมเศรามากกวา ทีมนักวิจัยไดสรุปผลลัพธที่ไดจากการวิจัยครั้งนี้วา ศาสนามีความเกี่ยวพันกับสุขภาพจิต และการสวดมนตจะชวยคลายเครียดได อันนี้แนนอน แตตองสวดเปน ถาสวดไมเปนอาจจะยิ่งเครียดขึ้นไปอีก คือไมวาอะไรตองทําเปน ถาจะถามวาทําอยางไรทําเปน ก็ตองไปลองถามทานผูรูดู ทานนึกดู อะไรก็ตาม ถาเราทําไมเปน มันจะใหผลตรงกันขาม กินยาก็เหมือนกัน ถากินเปนมันก็มีผลในทางบําบัดโรค ถากินไมเปนก็ใหโทษแกรางกาย หนังสือพิมพโลกาธิปตย กลาวตอไปวา “ทางดานมูลนิธิสุขภาพจิตอังกฤษ ยืนยันเชนกันวา ที่คนเรามีกําลังใจดี และมีปรัชญาในการดํารงชีวิต จะชวยใหเราจัดการกับความเครียดไดดี นอกจากนี้พบวา คนที่เครงศาสนา จะมีปญหาสุขภาพจิตนอยกวาคนที่นับถือศาสนาตามธรรมเนียม” ผมคิดวานี่เปนเรื่องนาสนใจ คนที่สนใจศาสนาหรือเครงศาสนา ไมไดหมายความวาเครงเครียด แตวาเปนผูที่อยูกับศาสนา ทางศาสนาตางๆ ก็ทําวิจัยไวเยอะวา ครอบครัวที่นับถือศาสนา เครงศาสนาจะอยูกันอยางสงบสุขเรียบรอยกวาครอบครัวที่ไมนับถือศาสนา หรือนับถือศาสนาแตวาไมสนใจปฏิบัติตามหลักศาสนา ก็จะประสบปญหามาก ศาสนานี้มีคุณคากับชีวิตบุคคล ชีวิตครอบครัว ชีวิตสังคมมากทีเดียว 73 คติชีวิต
มีขอเขียนอยูชิ้นหนึ่ง เขียนไวนานแลว ตั้งแตวันที่ 2 มิถุนายน 2539 เรื่องทําไมตองสวดมนตเล็กนอยกอนนอน ก็จะนํามาเลาเพื่อเพิ่มเติมใหสมบูรณขึ้นในเรื่องการสวดมนตเพื่ออะไร ทานผูฟงจะทราบความจริงอยางหนึ่งวา เมื่อเราตื่นอยู จิตสํานึกของเรา concious mind จะทํางาน แตเมื่อเราหลับจิตใตสํานึกของเรา Unconcious mind จะทํางานรับชวงจากจิตสํานึก สิ่งที่เราทํากอนนอนจะเขาไปสะสมในจิตใหสํานึกหรือในสวนลึกของจิต สิ่งที่สะสมอยูในจิตใหสํานึกนั้นจะกลายเปนแรงบันดาลใจ สนับสนุนเราเมื่อเราตื่นขึ้น แรงปรารถนาที่เราตั้งใจ เมื่อกอนเขานอน จะลงไปเกาะตัวกันอยูเงียบๆ ในจิตใตสํานึก ซึ่งจะมีอิทธิพลเปนอันมากในวิถีชีวิตของเรา โดยที่เราอาจไมรูสึกตัว กรณีปมดอยก็คือจิตใตสํานึกในทางดอยที่ไปสะสมตัวกันอยูนาน จนเปนอุปนิสัยนั่นเอง ถาเปนสิ่งที่ดีลงไปสะสมกันอยูในสวนลึกของจิต ก็จะกลายเปนอุปนิสัยที่ดี คุณธรรมก็คืออุปนิสัยที่ดี ซึ่งสถิตมั่นคงอยูในจิตของเรา และแสดงออกเปนพฤติกรรม เชน ความรับผิดชอบ ความกรุณาปรานี การอดทน เปนตน การสวดมนตกอนนอน ก็เพื่อใหจิตไดระลึกถึงสิ่งดีๆ ใหไดลงไปสะสมเปนอุปนิสัยที่ดีเปนคุณธรรม เชาขึ้นมาเมื่อจิตสํานึกเริ่มทํางานแลว รับชวงเอาสิ่งนั้นดําเนินตอไป เราตองการสิ่งใด มีอุดมคติมุงมั่นในสิ่งใดขอใหระลึกถึงสิ่งนั้น และอธิษฐานจิตกอนนอน เมื่อเรานอนหลับไป จิตใตสํานึกจะซึมซับเอาความปรารถนานั้นไว และพิจารณาหาทางใหเราประสบความสําเร็จ
74 คติชีวิต
จิตของเราจึงตื่นอยูเสมอ ทั้งขณะที่เราหลับหรือเราตื่น ความฝนนั้นเปนสวนหนึ่งแหงการทํางานของจิต คือเมื่อเราตื่นอยู จิตอาวรณของอยูกับเรื่องใด ก็ฝนถึงเรื่องนั้นเสมอๆ ความใฝฝนในทางที่ดี ทําใหเรามีความพากเพียร ความพากเพียรนําไปสูความสําเร็จ ความสําเร็จในชีวิตคนจะสืบเนื่องมาจากความคิด ความใฝฝนปลูกฝงอุดมคติและทรรศนคติอันดี เมื่อเราตื่นขึ้นตอนเชา ขอใหเราคิดวาเปนชาติใหมของเรา ขอใหคิดไปในทางที่ดี สรางจินตภาพในเรื่องความสุขความสําเร็จ เราจะไดมีพลังจิตที่เขมแข็งไปในทางบวก และทําหนาที่ที่มาถึงใหดีที่สุด ถานอนไมหลับตอนกลางคืน อยากังวลกับเรื่องนอนไมหลับ แตจงทําเวลานั้นใหเปนประโยชนดวยการสวดมนต หรืออานหนังสือดีๆที่ใหกําลังใจ พยายามสะสมหนังสือดีๆไว จะเปนเพื่อนที่ดีของเราไดเสมอ เปนที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมที่เรียกปรึกษาไดทุกเวลา ความคิดที่ดีของเราจะสรางอนาคต และผลงานแกเราอยางไมมีที่สิ้นสุด ขอความสุขสวัสดีจงมีแดทุกทาน สวัสดีครับขอเชิญฟงการบรรยายธรรมโดยอาจารย วศิน อินทสระ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร บางลําภู ทุกเชาวันอาทิตย เวลา 10.15 น. เวนวันอาทิตยตนเดือน
75 คติชีวิต