คํานํา โชคลาภเปนผลสืบเนื่องมาจากเหตุคือ คุณสมบัติ 7 ประการดังที่กลาวไวในหนังสือเลมนี้ ถาเหตุสมบูรณ ผลก็สมบูรณ เหตุ บกพรอง ผลก็บกพรอง คนสวนมากตองการผลเต็มเม็ดเต็มหนวย แตไมคอยประกอบเหตุใหเต็มเม็ดเต็มหนวย เขาสันโดษในเหตุแตมักมากในผล ตรงกันขามกับคําสอนของนักปราชญซึ่งทานสอนใหสันโดษในผล ไมสันโดษในเหตุ คือทําเหตุใหมาก สวนผลจะไดสักเทาไรสุด แลวแตเหตุจะบันดาลใหเปนไป ไมเขาไปบงการเสียเอง ความคิดตามแนวอริยสัจ ทําใหเราเปนผูหนักในเหตุผล ไมตองการผลในสิ่งที่เราไมไดทําเหตุไว แมทําเหตุไวแลวก็ไม เรียกรองหาผล ปลอยใหเหตุและกาลเวลาจัดการกันเอง ผูทําคงอยูอยางสงบ ไมวุนวาย บางคราว กาวขึ้นไปถึงระดับที่เรียกวา ทําโดย ไมมีผูทํา (การโก น กิริยา ว วิชฺ ชติ การกระทํามีอยูแตผูทําไมมี) เทียบคําในภาษาอังกฤษวา Doing Without doer = มีการกระทําแต ไมมีผูกระทํา แปลวาละลายตัวตนเสีย ไมมีตัวตนผูกระทําใหตองผิดหวัง เมื่อไมไดอยางใจ ทางมาแหงโชคลาภ 7 ประการในหนังสือเลมนี้ ไดนําหัวขอมาจากขอความตอนหนึ่ง ในหนังสือหิโตปเทศ ซึ่งหนังสือหิโตป เทศนี้เต็มไปดวยคําสุภาษิตและเรื่องเลาอันนาสนใจยิ่ง เปนนิยายอิงคติธรรม คติชีวิตที่บัณฑิตแตโบราณไดทําไวเปนประโยชนแกคน รุนหลังตลอดมา ขาพเจาเองไดคติธรรม คติชีวิตจากหนังสือเลมนี้เปนอันมาก ขาพเจาขอนอบนอมตอทานอาจารยเสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมาน ราชธน) แปลหนังสือหิโตปเทศอวดสูภาษาไทย ทําใหเปน ประโยชน กวางขวางในวงวรรณกรรมไทยตลอดมา ขอตั้งจิตอธิษฐานอวยพรใหทานผูอานมีโชคลาภอันประกอบดวยธรรม มีพลานามัยสมบูรณมีความสุขในชีวิตตามสมควรแก เหตุนั้นๆ ทุกประการ ขอใหคณะศิษยผูจัดทําหนังสือนี้พึงไดโชคลาภแหงชีวิต มีจิตสดชื่นแจมใส มีพลานามัยดี มีความสุขเพื่อไดบําเพ็ญประโยชน ตอไปตลอดกาลนาน วศิน อินทสระ 16 พฤศจิกายน 2545
สวัสดีครับทานผูฟงที่เคารพทุกทาน นี่คือรายการธรรมและทรรศนะชีวิตนะครับ มาพบกับทานผูฟงทุกวันจันทรถึงวันศุกร เวลา 2 ทุม 35 นาที ผมไดคุยกับทานผูฟงในเรื่องธรรมะสําหรับตอนรับปใหม แลวก็ไดพูดถึงเรื่อง การปูทางไปสูความสุข พูดถึงเรื่อง ความดี 4 ประการ แลวก็เบ็ดเตล็ดอะไรอีกหลายๆอยางที่เกี่ยวกับการสรางสรรคจิตใจใหดี เพื่อสุขภาพจิตที่ดี ทีนี้ถาตองการทรัพยสิน สมบัติ ตองการโชคลาภ ตองการใหเปนผูมีโชคลาภ ทานก็บอกคุณสมบัติสําหรับผูที่จะไดโชคลาภเอาไวเหมือนกัน โชคลาภจะหลั่งไหลมาสูบุคคลผูสมบูรณดวยคุณสมบัติ 7 ประการ ดังจะกลาวตอไปนี้
1. มีความอุตสาหะ มีความพากเพียรไมหยุดหยอน หนังสือเด็กสมัยโบราณ เด็กนักเรียนชั้นประถมมีเรื่องการฝนทั่งใหเปนเข็ม อันนั้นเปนการสอนเรื่องความอุตสาหะ ความ พากเพียรความพยายาม เพื่อใหเห็นอิทธิพลหรืออานุภาพของความเพียรพยายาม วาเขาสามารถทําไดถึงขนาดนั้น ไมมีอะไรเกินความ เพียรพยายามของคนไปได เคยเลาใหฟงถึงเรื่องชาดก เรื่องที่สองเมืองเขารบกัน แลวแมทัพคนหนึ่งก็มาถามฤาษี ถามวาฝายไหนจะ ชนะ ฤาษีก็บอกวาเดี๋ยวขอถามเทวดาดูกอน เทวดามาหาทานเปนประจํา มาคุยกับทานอยูเปนประจําเวลาลับคน เมื่อเทวดามาทาน ก็ถาม เทวดาบอกวา สมมุติเปนฝาย ก ฝาย ข ฝาย ก จะชนะ แลววันตอมาแมทัพฝาย ก นี่ ก็มาถามฤาษี ฤาษีก็บอกวาเทวดาบอกวา ฝาย ก จะชนะ ฝาย ก ไดยนิ ดังนั้นก็ดีอกดีใจ ไปบอกพรรคพวกวา เทวดาบอกวาฝายเราจะชนะ ก็ประมาทมัวเมากินเหลาเมายาเตนรํา สนุกสนานครื้นเครงกัน ไมเปนอันระแวดระวังเพราะเชื่อเทวดา ทางฝาย ข นี่ ก็ไดทราบขาวเหมือนกัน ก็ทราบจากฝาย ก นั่นแหละ ฝาย ก ก็เอะอะโวยวายรองลั่นวาเขาจะเปนฝายชนะเทวดา บอกแลว ฝาย ข แมทัพฉลาดมีความอุตสาหะและความเพียร ชวนทหารที่สําคัญๆขึ้นไปบนยอดเขา มีเหวอยู บอกวาพรุงนี้เราจะตอง รบใหญ ทานพรอมที่จะกระโดดลงเหวไหม คือวาการที่เราจะแพเรากระโดดลงเหวเสียกอนดีกวา ทุกคนพรอมที่จะกระโดดลงเหว ประมาณ 500 คนพรอมที่จะกระโดดลงเหว นายทัพเขาก็หามเอาไวบอกวาไมตองๆ ก็เปนอันวาเราตายไปแลวเราสละชีวิตแลวตาย ไปแลว เพราะฉะนั้น พรุงนี้จะตองรบ รบเหมือนคนตายแลว คือไมเสียดายชีวิต เพราะวาเราไดสละชีวิตกระโดดลงเหวแลวทุกคน ไมตองกลัวตาย วันรุงขึ้นก็ออกรบ ฝาย ก นั้นทั้งประมาททั้งเมาหลายอยาง ไมเปนระเบียบ รบสูฝาย ข ไมได ฝาย ข ชนะ ฝาย ก ก็แพวิ่งหนี กันไป หนีไปก็ดาฤาษีไป วาฤาษีทําไมพูดโกหกมดเท็จ เทวดาก็โกหก ฤาษีก็โกหก เขาเปนฝายแพ วันตอมาก็มาถามฤาษีวาทําไมพูดเท็จอยางนั้น เทวดาก็พูดเท็จ ฤาษีถามเทวดา เทวดาบอกวา ใครจะไปตอสูกับความเพียร พยายามของคนได แมเทวดาก็สูความพยายามของคนไมได คือหมายความวาถาเหตุการณปกติ เขาก็ทายถูกวาฝถามันเปนไป 1 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ตามปกติโดยที่ไมมีอะไรเปลี่ยนแปลง แตนี่อีกฝายหนึ่งไมมีความเพียร ไมมีความอุตสาหะมัวประมาท อีกฝายหนึ่งเขามีความเพียรมี อุตสาหะ เขาก็ประสบชัยชนะ ก็เปนโชคลาภ อยางหนึ่ง อันนี้เรียกวาโชคลาภยอมจะหลั่งไหลมาสูผูที่สมบูรณดวยคุณสมบัติคือความอุตสาหะพากเพียรพยายาม
2. ไมผัดเพี้ยนเวลา สิ่งใดที่ควรจะทําวันนี้ก็ตองทําวันนี้ สิ่งใดที่ตองทําตอนเชาก็ทําตอนเชา สิ่งใดควรจะทําบายก็ทําตอนบาย สิ่งใดที่ควรจะทํา เวลาไหนก็ทําเสียเวลานั้นไมผัดเพี้ยนเวลา สุภาษิตก็มีวา “ผัดเพี้ยนเปนพรุงนี้ก็ยิ่งเสื่อม ถาผัดเพี้ยนเปนมะรืนนี้ ก็ยิ่งเสื่อมใหญ” สิ่งที่ ควรจะทําวันนี้ผัดเพี้ยนวาคอยพรุงนี้เถิดแลวจึงทํา ก็ยิ่งเสื่อม ก็ยิ่งผัดเพี้ยนไป 2 วัน วามะรืนนี้เถิดจึงคอยทํา ก็ยิ่งเสื่อมใหญ เพราะฉะนั้น คนที่ตองการใหโชคลาภหลั่งไหลมาสูตัว ตองมีคุณสมบัติประการที่ 2 คือไมผัดเพี้ยนเวลา ดูนักเรียนนักศึกษา เปนตัวอยางก็ไดครับ เขาใหเวลาเรียนทั้งเทอม สมัยกอนนี้อยางการเรียนของพระนี่นะครับ การเรียนของพระสงฆ นี่เขาใหเวลาทั้งป เลย ปหนึ่งสอบหนเดียว ไมใชในระบบมหาวิทยาลัย ในระบบนักธรรมบาลี เพราะใหเวลาทั้งป ปหนึ่งสอบหนเดียว เขาเรียกวาสอบ สนามหลวงคือสนามใหญ บางทานก็เที่ยวไปๆ มาๆ หรือตัวอยางเอานักเรียนทางโลกกอนก็ได เหลืออีก 7 วันจะสอบก็มามุงเอา ตอนนี้ มาบุกเอาตอน 7 วันจะสอบ กอนหนานั้นก็เที่ยวกินเที่ยวเลนเที่ยวบารเที่ยวคลับ เที่ยวสํามะเลเทเมาเที่ยวสรวลเสเฮฮา แลวมา บุกเอาตอนนั้น มาบุกเอาตอน 7 วันจะสอบนั่นแหละ หามรุงหามค่ําไมเปนอันหลับอันนอน ไมเปนอันกิน แลวมันจะเอาสมองที่ไหน ไปสอบ คนที่เขาเปนนักเรียนดี พอ 7 วันจะสอบนี่เขาเลิกดูหนังสือแลว เพราะวามีความพรอมเต็มเปยม ยิ่งในระบบการศึกษาของพระ ที่สอบนักธรรมบาลี เปรียญ 3 เปรียญ 9 เขาใหเวลาทั้งป หนังสือก็มีอยู ตําราก็มีอยู Text book เขาก็มีอยู ดูไดตั้ง 10 เที่ยว 20 เที่ยว กวา จะเขาสอบ บางคนไมไดเลยสักเที่ยวเดียว บางคนอีก 7 วันจะสอบหยุดดูหนังสือแลว แลวก็สอบไดทุกป สมองมันก็สดใส สมองมัน ไมลา อะไรมันพรอม เตรียมพรอมทีจ่ ะเขาสนาม วาใชเวลาทั้งปในการหาความชํานาญในตํารับตํารา นี่เพราะวาเขาไมผัดเพี้ยนเวลา คนที่ผัดเพี้ยนเวลาก็คอยใกลๆสอบกอนเถอะ แลวก็คอยทําคอยดูหนังสือ อันนี้ยกตัวอยางนักเรียนกอนนะครับ สําหรับคนทํางาน เรื่องอื่นก็ทํานองเดียวกันครับ ก็คลายๆกัน
2 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
3. รูเทาทันชั้นเชิงกิจการ อันนี้ถาเปนพอคาพาณิชยเปนนักเสี่ยงในการประกอบกิจการก็สําคัญ เพราะวาถาเล็งผิดมันก็จะขาดทุนมากถึงกับยอยยับไป เลย ถาเล็งถูกก็จะไดกําไรมาก ถาเล็งผิดก็เสียมาก เพราะฉะนั้น คนที่ทํางานเกี่ยวกับเรื่องการเสี่ยงไดเสีย ตองมีวิจารณญาณ วิจารณ ปญญารูเทาทันชั้นเชิงกิจการวาจะทําอยางไรตอไป ในเมื่อเหตุการณเปนอยางนี้ เราควรจะทําอยางไรตอไป ก็เปน การณวสิกตา นั่นเอง คือความเปนผูเขาใจเหตุการณ อยูในอํานาจของเหตุการณเขาใจเหตุการณ ยืดหยุนได ไมดื้อดึงไมดันทุรัง หรือวาเปนการณ มนสิการ ความเขาใจในเหตุการณหรือมีปญญา เรือ่ งคนตั้งตัวไดตางๆ ก็ลวนอยูในลักษณะนี้ทั้งนั้น ตองรูเทาทันชั้นเชิงกิจการมี วิ จักขโณ หรือ วิจักขณา เล็งไปไดจะเปนอยางไร ถาคาดการณถูกก็จะไดอะไรเยอะ ถาคาดการณผิดก็จะเสียอะไรเยอะ มันแลวแตการ ลงทุนวาลงทุนไปมากหรือลงทุนนอย ถาขึ้นที่สูงมากถาตกลงมามันก็เจ็บมาก ถาขึ้นไมสูงมากก็ไมเจ็บเทาไหร อันนี้ก็สําคัญอยูตรงที่ การณวสิกตา การณมนสิการ มีวิจารณปญญา วิจักขโณ มีปญญาเล็งไปไดไกล มีพุทธสุภาษิตที่วา ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฐาตา วินฺทเต ธนํ คนที่ขยันประกอบธุระใหเหมาะเจาะก็จะหาทรัพยได ถาไมขยันดวย ประกอบธุระไมเหมาะเจาะก็จะหาทรัพยไดยาก มีอยูเรื่องหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีคนหนึ่งซึ่งเปนคนฉลาด แลวก็จะเรียกวารูเทาทันชั้นเชิงกิจการ รูวาในโอกาสอยางไรควรจะ ทําอยางไรขอเลาใหฟง มันเปนคติตัวอยางพวกนี้ เรื่องเลาตางๆ นี้ ทุกกาลทุกสมัยมันจะมีคติแฝงอยูใหเราไดคิด ขอใหทานผูฟงไดฟง ดวยความพินิจพิเคราะห มีผูชายคนหนึ่งเปนบุตรเศรษฐีที่เมืองราชคฤห มีทรัพยอยู 40 โกฏิ 40 โกฏินี่ก็ 400 ลาน กหาปณะ คราวหนึ่งอหิวาตกโรค ระบาดหนัก อหิวาตกโรคนี่ไมตรงกับอหิวาตที่ใชอยูในภาษาไทย ผมเองก็สงสัยวามันเปนโรคอะไรกันแน ก็ไดลองสอบดูใน พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ทานแปลอหิวาตกโรควาเปน Plague ซึ่งคือกาฬโรค ก็ไมตรงกับอหิวาตในความหมายของภาษาไทยของเรา เพราะวามันมีอะไรแปลกๆ ทานใชคาํ วาอหิวาตกโรโค อหิวาตระบาดหนักสัตวเล็กๆตายกอน ตอมาจึงถึงมนุษยในพวกมนุษยก็พวก ทาสและกรรมกรตายกอน เจาของบานตายทีหลัง เมื่ออหิวาตกโรคหรือกาฬโรคก็แลวแต มาถึงเศรษฐีและภรรยา เขาทั้งสองก็รองไห ดวยวามีหนานองดวยน้ําตา มองดูบุตรซึ่ง อยูใกลๆ แลวก็กลาววา การหนีโรคชนิดนี้ทานวาตองพังฝาเรือนไป เจาจงทําอยางนั้นเถิด อยาไดหวงใยพอและแมเลย เมื่อยังไมตายก็ จงกลับมาขุดเอาทรัพยที่พอและแมฝงไว 40 โกฏิเลี้ยงชีวิตตอไป ก็สงสัยตอไปวาทําไมตองพังฝาเรือนไป คํานี้เปนสํานวนเปน idiom หรือวาเปนความหมายตรงๆ วาตองพังฝาเรือนไป หรือ วามันมีความหมายอะไรแฝงอยูเปนเพียงสํานวน แตความหมายจริงๆ อาจไมใชความหมายอันนี้ก็ได ยังไมไดคนหาใหแนนอนก็ยัง บอกไมไดตอนนี้ วาความหมายตรงตัวหรือวาเปนความหมายที่เปนสํานวน 3 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
เด็กนอยเชื่อมารดารองไหแลวก็ไหวทานทั้งสอง แลวก็พังฝาเรือนหนีไป ไปอยูที่ภูเขาลูกหนึ่งเปนเวลาถึง 12 ป จึงกลับมา เมื่อเขากลับมาใครๆก็จําเขาไมได เพราะวาตอนไปยังเด็กกลับมาเมื่อตอนเปนหนุมแลวมีหนวดเครารุงรัง คราวนี้เด็กหนุมคนนี้ไป ตรวจดูที่ฝงทรัพย เห็นยังเรียบรอยดีทุกอยาง เขาก็คิดตอไปวาใครๆก็จําเราไมได ถาเราขุดเอาทรัพยออกไปใชสอยคนทั้งหลายก็จะ ประหลาดใจวา คนเข็ญใจนี้ไปเอาทรัพยมาจากที่ไหนก็จะจับตัว เราก็จะถูกจับแลวคนทั้งหลายก็จะเบียดเบียนเรา อยากระนั้นเลยเรา เก็บทรัพยไวอยางเดิมกอน แลวไปรับจางทํางานเลี้ยงชีพดีกวา เขาตกลงใจอยางนี้แลวก็ออกหางานทํา ไปไดงานรับจางปลุกคนงาน ในที่แหงหนึ่ง หนาที่ของเขาก็คือตื่นแตเชามืดเที่ยวปลุกคนงานใหลุกขึ้น เตรียมเกวียน หุงขาว หุงขาวตม ขาวสวย เปนตนนะครับ ก็ ไดเรือนหลังเล็กๆหลังหนึ่งเปนที่อยู แลวอยูคนเดียว รวมความวาไปไดงานเปนแขกยาม เขาไดทําหนาที่นั้นอยางดีที่สุดไมบกพรอง ไมเคยนอนตื่นสาย เชาวันหนึ่งพระเจาพิมพิสารไดสดับเสียงของเขา พระเจาพิมพิสารมีพระคุณสมบัติพิเศษนะครับ คือทรงรูเสียงสัตวทุกชนิด เมื่อทรงสดับเสียงของชายหนุมคนนี้จึงไดตรัสวา เสียงของคนคนนี้เปนเสียงของคนมีทรัพยมาก นางสนมคนหนึ่งที่ยืนอยูใกล คิดวา พระราชาคงไมไดตรัสอะไรเหลวไหลเปนแนแท จึงรีบสั่งคนผูหนึ่งใหไปสืบดู แตความจริงกลับปรากฏวาเปนเสียงของชายเข็ญใจ คนหนึ่ง รับจางเปนแขกยามคอยปลุกทุกคนใหตื่นขึ้นทํางาน พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแลวก็ทรงเฉยเสีย ในวันที่ 2 และวันที่ 3 เมือ่ ทรงสดับฟงเสียงของชายผูนั้นอีกก็ทรงตรัสเชนเดียวกัน นางสนมก็คิดวาพระราชาไมเคยตรัสอะไร เหลวไหล จะตองมีอะไรลี้ลับอยูเปนแน จึงทูลพระราชาวา หากขาพระองคไดทรัพยสักพันหนึ่ง ขาพระองคก็จะไปทําอุบายเอาทรัพย จากชายคนนั้นมาใหราชสกุลใหจงได พระเจาพิมพิสารพระราชทานทรัพยหนึ่งพันใหนางสนม นางและลูกสาวแกลงแตงตัวปอนๆ ทําทีเปนคนยากจนไปยังถนนเปนที่อยูของคนรับจาง เขาไปขอพักอาศัยในเรือนหลังหนึ่ง แตเจาของบานปฏิเสธ บอกวามีคนอยูมาก แลวใหไปขออาศัยชายคนหนึ่งชื่อกุมภโฆสก ซึ่งอยูคนเดียว นางสนมไปขออาศัยอยูกับบานของกุมภโฆสก คือผูชายคนที่กําลังพูดถึง อยูนี้ เขาปฏิเสธหลายครั้งแตนางก็ออนวอนจนได กุมภโฆสกยอมใหพักอยางเสียไมได วันรุงขึ้นเมื่อกุมภโฆสกจะออกไปทํางานนอกบาน นางไดขอคาอาหารไวสําหรับทําอาหารให กุมภโฆสกปฏิเสธบอกวาไม ตองก็ได ฉันทํากินเองได ฉันทํากินของฉันมาตลอด แตนางสนมก็ยังคงออนวอนจนได แตไมไดใชทรัพยของกุมภโฆสกไปซื้อหา อะไรเลย เพียงสักแตวารับไวเทานั้น นางไดไปซื้อเครื่องแกงเครื่องครัว ขาวสารอาหารอยางดีมาปรุงอาหารใหอรอยอยางชาววัง อาหารนั้นรสเลิศสมควรแกพระราชาเสวย เมื่อกุมภโฆสกกลับมาไดลิ้มรสอาหารเชนนั้น ก็ชื่นชมเบิกบาน นางรูอาการนั้นแลวจึงขอ พักตอไป คราวนี้กุมภโฆสกก็อนุญาตดวยความพอใจ นางไดหุงตมอยางดีใหกุมภโฆสกและก็ขอพักอาศัยยืดเยื้อเรื้อรังเรื่อยมา นาง วางอุบายเพื่อใหกุมภโฆสกตกหลุมรักกับบุตรีของตน จึงแอบตัดเชือกเตียงของกุมภโฆสก
4 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
อันนี้ทานผูฟงตองเขาใจนะครับ วาเตียงนั้นเปนเตียงโครงไมถักดวยเชือก ในอินเดียเขาจะใชเตียงแบบนั้น โครงไมแตถักดวย เชือก จึงไดไปแอบตัดเชือกเตียงนอนของกุมภโฆสกจนเขานอนไมได เมื่อกุมภโฆสกถามก็บอกวาพวกเด็กเขามาเลนจนเตียงขาด เมื่อกุมภโฆสกบอกวาเขาไมมีที่นอนแลวจะทําอยางไร นางก็ใหไปนอนกับบุตรีของตน ทั้งสองก็ไดเสียกันในคืนนั้น กุมารีรอ งไห บอกวาสิ่งนี้ไดเกิดขึ้นแลว ผูเปนแมก็บอกวาชางเถอะๆ เจาทั้งสองก็เหมาะสมกันดีแลว กุมภโฆสกนี่ก็มีเมียเพราะเชือกเตียงขาดแทๆ ตอมาอีก 2-3 วัน นางสนมก็สงสารไปถึงพระราชา วาขอใหมีพระบรมราชโองการใหจัดงานมหรสพในยานถนนพวกรับจาง ทํางาน คนใดไมจัดทํามหรสพในเรือนคนนั้นจะตองถูกปรับ พระราชาทรงมีพระบรมราชโองการอยางนั้น นางจึงพูดกับกุมภโฆสก วา พระราชาทรงจัดใหมีมหรสพทุกบานเรือน ใครไมทําจะถูกปรับ พวกเราจะตองทําตามพระบรมราชโองการขัดขืนไมได กุมภโฆ สกบอกแมยายวา เขาทํางานรับจางก็เพียงไดรับอาหารรับประทานไปมื้อๆเทานั้น จะเอาเงินที่ไหนมาจัดงานมหรสพ แมยายก็บอกวา ธรรมดาผูอยูครองเรือนตองมีหนี้บาง เพราะฉะนั้น เมื่อเจาไมมีก็ไปยืมใครมากอนใชหนี้เขาทีหลังก็ได ไป เถอะไปยืมมาสัก 1 กหาปณะหรือ 2 กหาปณะก็พอ กุมภโฆสกติเตียนแมยายพึมพําแลว ออกจากบานไปนํากหาปณะที่ฝงไวมา 1 กหาปณะแลวก็มอบใหแมยาย นางก็ไดแอบสงกหาปณะไปถวายพระราชา พอลวงไปอีก 2-3 วัน นางก็ขอใหพระราชารับสั่งใหมี มหรสพอีก กุมภโฆสกจึงตองไปนํากหาปณะมา 1 กหาปณะอีก นางไดสงกหาปณะนั้นไปถวายพระราชาเชนเคย ตอมาอีก 2-3 วัน ผูหญิงคนนั้นไดสงขาวไปขอใหพระราชาสั่งคนมารับกุมภโฆสกเขาไปในพระราชนิเวศน พระราชาก็ไดสั่ง ราชบุรุษใหไปรับ พระราชบุรุษก็มาที่ถนนเปนที่อาศัยอยูของพวกคนรับจาง ถามหากุมภโฆสก เมื่อพบตัวแลว จึงไดบอกวาพระราชา รับสั่งใหเขาเฝา กุมภโฆสกไมปรารถนาที่จะไป บอกวาพระราชาไมเคยรูจักตัวเขาเรื่องอะไรจะตองรับสั่งใหเขาเฝา เมื่อไมยอมไปโดยดี พระ ราชบุรุษก็ฉุดไปโดยพลการ นางสนมเห็นอยางนั้นจึงทําทีเปนขุนเคืองแลวก็ขูตะคอก บอกพระราชบุรุษพวกนี้ไมมีมารยาท ไม สมควรฉุดบุตรเขยของตน แลวก็หันมาปลอบกุมภโฆสกวา ไปเถิดลูก ไปเถิด เมื่อไปถึงพระราชวังแลว แมจะกราบทูลพระราชาให ตัดมือตัดเทาของคนพวกนี้เสีย นางไดรีบพาบุตรีลวงหนาไปกอน เมื่อไปถึงพระราชวังก็รีบเปลี่ยนเครื่องแตงตัวเสียใหม แตงแบบ ชาววังยืนเฝาพระราชาอยู กุมภโฆสกถูกฉุดกระชากลากถูมาเฝาพระราชาจนได พระราชาก็ตรัสถามวาเจาชื่อกุมภโฆสกใชหรือไม เขาทูลตอบวาใช พระราชาตรัสวาทําไมจึงปกปดทรัพยเปนอันมากไว เขาทูลวา เขาไมมีทรัพย เปนคนยากจนหาเลี้ยงชีพดวยการรับจาง พระราชาก็ ตรัสวาอยาหลอกลวง เรารูวาเจามีทรัพย เสียงของเจาบอกวาเจามีทรัพย ขาพระพุทธเจาเปนคนยากจน ไมมีทรัพยเลย เขายังคงยืนยัน กับพระราชา แลวพระราชาก็ชูกหาปณะใหดู ตรัสวานี่เปนกหาปณะของใคร 5 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
กุมภโฆสกจํากหาปณะของตนได คิดวากหาปณะมาถึงพระหัตถของพระราชาไดอยางไร มองดูไปทางโนนทางนี้จึงไดเห็น หญิงทั้งสองแตงกายสวยงามอยางชาววังยืนเฝาอยูริมพระทวารหอง เขาจึงเขาใจเหตุการณที่เกิดขึ้นโดยตลอด พระราชาจึงไดตรัสถามตอไปวา พูดไปเถอะกุมภโฆสก พูดไปเถอะ ทําไมเจาจึงทําอยางนี้ ทําไมเจาจึงปกปดทรัพยสินอัน มากไว กุมภโฆสกจึงเลาความคิดของตนเองใหพระราชาทรงทราบโดยตลอด แลวสรุปวา ขาพระพุทธเจาไมมีที่พึ่งจึงปกปดทรัพย เอาไว พระราชาตรัสวาคนอยางพระองคพอจะเปนที่พึ่งไดหรือไม “ไดแนนอน ไดแนนอนพระเจาขา” ถาอยางนั้นทรัพยของเจามีเทาไหร ก็ทูลบอกวามี 40 โกฏิพระเจาขา ถา 40 โกฏิ ก็ควร จะตองเอาเกวียนไปบรรทุกมา พระราชารับสั่งใหเอาเกวียนไปขนทรัพยของเขามากองอยูหนาพระลานหลวง รับสัง่ ใหคนในเมืองรา ชคฤหมาประชุมกัน แลวก็ตรัสถามวาในเมืองนี้มีใครมีทรัพยเทานี้บาง ราษฎรก็กราบทูลวาไมมี พระราชาตรัสถามวาควรจะทํา อยางไรกับกุมภโฆสก ประชาชนกราบทูลวาควรจะยกยองใหเปนเศรษฐี พระราชาจึงไดแตงตั้งใหดํารงอยูในตําแหนงเศรษฐี กุมภ โฆสกไดเปนเศรษฐี แลวพระราชทานบุตรีของนางสนมนั้นใหเปนภรรยา และก็เสด็จไปสํานักของพระพุทธเจาพรอมดวยกุมภโฆสก พระราชาไดถวายบังคมพระผูมีพระภาคเจาแลวก็กราบทูลวา นี่คือกุมภโฆสกเศรษฐีคนใหมของขาพระองค คนมีปญญาอยาง นี้ขาพระองคไมเคยเห็นเลย มีทรัพยถงึ 40 โกฏิ ก็มิไดมีอาการเยอหยิ่ง มิไดอวดตน มิไดมีความทะนงตัว ทําตนประดุจคนเข็ญใจ นุง ผาเกาๆ ทํางานรับจางอยูที่ถนนเปนที่อาศัยอยูของคนรับจาง เปนผาขี้ริ้วหอทองหรือหอเพชร เปนคนที่รูจักรักษาตัวรูจักถนอมตัว วา ในสถานการณแบบนี้ควรทําอยางไร พระราชาไดทรงเลาเรื่องทั้งปวงถวายพระผูมีพระภาคเจาแลวก็สรุปลงวา ไมเคยเห็นคนที่มี ปญญาแยบคายอยางนี้ พระพุทธเจาก็ตรัสสนองพระดําริ คือทรงเห็นดวยกับคํากราบทูลของพระเจาพิมพิสาร แลวก็ตรัสวา มหาบพิตร ชีวิตของคนผูเปนอยูอยางกุมภโฆสกนี้ชื่อวาประกอบดวยธรรม มีความสุขความเจริญเปนผล สวน โจรกรรม เปนตน เปนไปเพื่อการเบียดเบียนบีบคั้น มีความทุกขเปนผล ในคราวเสื่อมทรัพย การประกอบอาชีพเชนทํานา การรับจาง ชื่อวาเปนการกระทําที่ประกอบดวยธรรม ความเปนใหญหรือยศยอมเจริญแกบุคคลผูถึงพรอมดวยความเพียร บริบูรณดวยสติมีการ งานบริสุทธิ์ ใครครวญดวยปญญาแลวจึงทํา สํารวมระหวางกายวาจาใจดวยดี เลี้ยงชีวิตโดยธรรมไมประมาท นี่เปนพระพุทธดํารัสที่ ตรัสกับพระเจาพิมพิสารและกุมภโฆสก นี่คือตัวอยางยกมาใหดู วาคนที่มีความรูเทาทันชั้นเชิงกิจการ วาในสถานการณอยางไรควรจะทําตัวอยางไร ถาเขาเปนคนโอ อวดเปนคนไมเจียมเนื้อเจียมตัวแบบที่ทําไปแลวอยางกุมภโฆสกนี่ ก็คงจะถูกกลาวหาวาลักทรัพย คงจะถูกเบียดเบียนบีบคั้น ถูก
6 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
อะไรหลายๆอยางที่ไมเปนไปเพื่อสวัสดิมงคลหรือเพื่อความสวัสดีแกตัวเขา เพราะฉะนั้น เกี่ยวกับเรื่องการมองอะไรใหชัดเจน แลวก็ ปฏิบัติไปใหเหมาะสมกับสถานการณ เรียกวารูเทาทันชั้นเชิงกิจการ ก็เปนทางไหลมาของโชคลาภหรือความดีงามทั้งหลาย
4. ไมเกลือกกลัว้ ในทางฉิบหาย คือไมฝกใฝอบายมุข ไมคบคนพาล เชนไมคบคนพาล ไมดื่มสุรา ชนิดที่วาสุรากินคน ไมใชคนดื่มสุราอยางเดียวสุรามันกลับ เปนนาย และคนก็กลับเปนทาสของสุรา ไมคบคนพาล ไมดื่มสุรา ไมคบคนชั่วเปนมิตร ไมเที่ยวกลางคืน ไมเลนการพนัน ไมเกียจ คราน ไมคบหญิงเสเพล หรือถาเปนหญิงก็ไมคบชายเสเพล นี่ก็เรียกวาไมเกลือกกลั้วในทางฉิบหาย ใชปญญาพิจารณาดูเอาก็แลวกัน วาอะไรมันเปนทางเสื่อมเปนทางฉิบหาย ก็อยาไปเกลือกกลั้วกับมัน เพียงการพนันอยาง เดียว ไปเกลือกกลั้วกับการพนันอยางเดียวก็พากันวอดวายไปเยอะแลว คนในสังคมของเรานี่ ก็แปลกนะคนในบานเมืองเรานี่ชอบ เลนการพนัน คือวาเอามาเปนการพนันเสียหมด ไมเรื่องอะไร ก็เอามาเปนการพนันเสียหมด เอามาเปนวัตถุแหงการพนันเสียหมด ตอนนี้ก็ยังยุงอยูทางภาคใตเกี่ยวกับเรื่องพรรคการเมือง ทราบขาววาที่ยุงมากก็เพราะวาไปเลนการพนันกัน พนันกันวาใครจะ ได อีกคนเลนทางพรรคหนึ่ง อีกคนก็ไปเลนกันอีกพรรคหนึ่ง แลวมีกองทุนในการพนันกันเปนหลายๆลาน เปนสิบๆลาน นี่ไดยิน ขาวมานะครับ พอแพขึ้นมามันก็มีเรื่องกันวุนวาย จะแพหรือจะชนะก็แลวแต มันก็มีปญหาเกิดขึ้นเยอะถาไปเลนการพนัน การชก มวยกันมันเปนกีฬา มันก็เอาไปพนันกันเลนการพนัน คือวาไมจะทําอะไรที่พอจะพนันไดก็พนัน ฟุตบอลก็ไปเลนพนันกัน เขา เรียกวาเกลือกกลั้วในทางฉิบหายในทางเสื่อม ในภาษาที่ใชอยูที่ทานใหหัวขอไวนั้นทานใชคํานี้ ทานใชคําวาไมเกลือกกลัว้ ในทางฉิบหาย คือวาไมฝกใฝในอบายมุข ไมคบ คนพาล ไมดื่มสุรา สุรานั้นก็เปนตนเหตุเหมือนกัน เปนตนเหตุของความพินาศวอดวายมากมาย บางคนกินเหลาเมาแลวก็มานอนสูบ บุหรี่ แลวขี้บหุ รี่ตกลงมาที่หมอนตัวเองนอนเมาไมรูสึกตัว ไฟก็ลามไปไหมนั่นไหมนี่จนไหมบานหมดทั้งหลัง เพราะดื่มสุราเมามาย นี่ก็เรียกวาเกลือกกลั้วในทางเสื่อม เที่ยวกลางคืน มันก็มีเยอะที่เที่ยวกลางคืน คนที่ชอบเที่ยวมันก็เสี่ยงอันตรายตางๆ ทานผูฟงก็รูเรื่องพวกนี้ดีอยูแลวก็ไมตองพูดกันมากนะครับ อะไรที่คิดวามันจะไปในทางเสื่อมก็พยายามเวนเสีย แลวก็ขยัน ทํามาหากินตั้งหนาตั้งตาทํามาหากิน ขยันทํามาหากิน คนที่ไมขยันทํามาหากิน หวังลาภลอยเชนการพนัน ฝกใฝในอบายมุข คนที่เขา มีจิตใจดีจิตใจมั่นคง คือวาอยูกับรองกับรอยมีเหตุมีผล ก็เปนคนมีเหตุผลเขาก็ไมหวัง ไมหวังลาภที่มันลอยจริงๆ เขาตองการลาภที่ มันไดมาดวยกําลังของเขาเองดีกวาตั้งเยอะ บางทีดวยความที่ออนแอนั่นเอง ควายตายลงก็ยังไปขูดเอาตัวเลขก็มี ความที่จิตใจ ออนแอคิดแตจะไดอะไรมาลอยๆ โดยที่ไมตองใชความเพียรพยายาม 7 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
มีผูหญิงจีนคนหนึ่ง เสียงเปนคนแกมีประสบการณ โทรฯเขามาในรายการวิทยุรายการหนึ่ง บอกวาคนไทยยากจนเพราะวา ฝกใฝในอบายมุข คนจีนคนอินเดียเสื่อผืนหมอนใบเขามาในเมืองไทย มาเห็นเมืองไทยแลวยิ้มออกเลย สบายมาก มีทรัพยากรอยางนี้ คนอยูขนาดนี้สบายมาก 2 ป 3 ป เขาตั้งตัวได 10 ป 20 ป เขาเปนเจาสัวร่ํารวยมั่งคั่ง คนไทยซึ่งเปนเจาของที่เจาของถิ่น ก็ทจี่ ริงมันก็ คุนเคยกับที่วาควรจะทําอยางไร แตวาทําไมถึงทําไมได อยางนอยแมจะไมร่ํารวย แตก็ไมนาจะถึงกับยาก จน ไมควรถึงกับยากจน เราลองไปดูในชนบท คนในชนบทยากจนดวยสาเหตุหลายอยาง ตองพูดกันเปนชั่วโมงๆ ถึงจะครบถวนดวยสาเหตุหลาย อยาง แตสาเหตุหนึ่งก็คือการฝกใฝในทางเสื่อมนั่นเอง ในหลายๆสาเหตุโอกาสมากบางนอยบางดวยสาเหตุสําคัญ หนาใหญใจโตแต วาเงินนอย มีงานมีการทีหนึ่งตองไปกูหนี้ยืมสินมา 2 หมื่น หมืน่ เอามาทํางานบวชนาคใหใหญ ทํางานศพใหใหญ ทํางานอะไรๆ ตองใหญ แลวเงินไมมีครับ รายไดเดือนละรอย สองรอย สามรอย พันหนึ่ง เลี้ยงในครอบครัว แตพอจัดงานตองไปยืมเงินเขามาตั้ง 3 หมื่น 4 หมื่น ลมวัวลมควายฆาหมูฆาเปดฆาไกอะไรมากมาย เพื่อจะเอาหนา ใหไดหนา แลวก็เลนการพนันกันทั้งงานอยางนี้ละครับ เวลามีงานมีการอะไรขึ้นมาคนไทยก็ไปจายเงิน คนจีนไปหาเงิน แลวลองนึกดูวาในสภาพการณอยางนี้ ใครจะจนใครจะรวย ชอบจัดงานใหญแลวคนไทยก็ไปจายเงิน การจายเงินถือเปนการพักผอน แตคนจีนเขาไปหาเงินไปพักผอน เขาจัดงานกันไปหาเงิน พูดไปก็อยาวาผมอยางโนนอยางนี้เลยครับ ก็เปนอยางนี้จริงๆ ในสังคมของเรา เราตองแกไขตัวเราเอง อยาไปหวังพึ่งรัฐบาลอะไรให มากนักเลย เราทุกคนตองพึ่งตัวเองครับ ทุกคนถาพึ่งตัวเองไดแลว รัฐบาลไมตองไปพึ่งก็ได แตนี่เราไปมอบความไววางใจหรือไป มอบที่พึ่งใหกับรัฐบาลไปเสียหมด การไมเกลือกกลั้วในทางเสื่อม คือถาเวนอบายมุขเสียไดก็ ชวยไดเยอะ เพิ่มความขยันขึ้นมาอีกหนอยหนึ่งก็เวนอบายมุขเสีย ได อบายมุขนั้นพระพุทธเจาทานตรัสวา เปนรูรั่วของโภคทรัพยเปนรูรั่วของโภคะทั้งหลาย ก็เหมือนกับเราตักน้ําใสตุมรั่วหรือใส อะไรที่มันรั่วแลว ถึงจะมีความขยันหมั่นเพียรมีวิริยะอุตสาหะในการตักน้ํา แตถามันรั่วมากก็ไหลออกมาก โอกาสที่มันจะเหลืออยู มันก็นอย ก็เหมือนกับเราเสียแรงเปลา เพราะฉะนั้น ถาเราอุดรูรั่วเสียได ตักน้ําครั้งละนิดละหนอย ตักน้ําใสโองใสตุมใสภาชนะ น้ํา ครั้งละนิดครั้งละหนอยที่ทานเรียกวาเก็บออม ครั้งละนิดครั้งละหนอยมันก็ไดมากขึ้น เพราะมันไมรั่วและถาเราตักกินเทาที่จําเปน มันก็ไมเทาไหร ที่เกินจําเปนนะมันมาก กินเลนกินเมากินเที่ยวกินอะไรตางๆ มากมายมันเกินจําเปน นี่ละครับ หลักมันก็ไมยาก เปนหลักงายๆ แตก็ทํายาก เทาที่สังเกต คนที่เวนอบายมุขแลวก็ประกอบสัมมาอาชีวะ ประกอบ สัมมาชีพแลวก็มีความเปนอยูอยางมัธยัสถก็อยูไดทุกคนนะครับ คือมีชีวิตที่ดี ไมตองพูดถึงรวยกัน พูดถึงวาอยูไดไมเดือดรอน บางคนก็ร่ํารวยไดดวยวิธีการอันนี้ วารายไดมันไมสําคัญเทากับรายเหลือ อยางที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ (อวน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส ที่ทานไดลวงลับไปนานแลว ไดเขียนคติสั้นๆเอาไว ชื่อวา ลบไมศูนย เปนหนังสือเลมบางๆ ลบไมศูนยมีคติเยอะ ในคติเหลานั้นก็มี อยูคติหนึ่งที่วา “รายไดไมสําคัญเทารายเหลือ” ใหลูกหลานไดจําเอาไว คําของผูหลักผูใหญ มีประสบการณมาก 8 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
อันนี้ละครับที่นาเปนหวง เรื่องอบายมุข อบายมุข 4 อบายมุข 6 คบคนพาล ดื่มสุราเมรัยเปนประจํา เที่ยวกลางคืน เลนการ พนัน เกียจคราน คบคนเสเพล คบหญิงเสเพล คบชายเสเพล มันเปนไปเพื่อความเสื่อมทั้งนั้น ที่จริงของพวกนี้มันไมใชของยากที่จะ เลิก เดี๋ยวจะพูดในหัวขอตอไปนะครับ ไมใชของยากที่จะเลิก มันของงายแตทําไมมันถึงเลิกไมได ผมผูพูดนี่ก็จนใจเหมือนกันครับ มันไมใชของยากที่จะเลิก ไมใชของยากที่จะไมไปยุงกับมัน แตทําไมมันถึงเลิกไมได หรือวาเราเปนนกไสกันหมดแลว เปนนกไส พระพุทธเจาทานเรียกวานกไส นกตัวเล็กๆ มันโดนเถาวัลยมาพันขา เอาเถาวัลยเล็กๆมาผูกขา มันก็ไมหลุด มันก็ถูกพันธนาการอยู กับเถาวัลยเล็กๆ ดิ้นไมหลุด แตถาเปนชาง เถาวัลยแคนั้นมันไมรูสึกรูสาอะไร เหยียดขานิดเดียวมันก็หลุดหมดแลว ถูกทําลาย หมดแลว นี่ละครับ สิ่งเหลานี้มันไมใชของยากที่จะเลิก มันไมใชของยากที่จะไมไปเกี่ยวของกับมัน คนที่ไมไปเกี่ยวของกับมันแลว มัน ก็ไมใชของยากที่จะเลิก บุหรี่ เหลา สิง่ เสพติดใหโทษอะไรตางๆ ที่มันฆาคนไทย ฆาคนทั้งหลายทั้งปวงอยูอยางเลือดเย็น เรียกวาฆา อยางเลือดเย็นคอยๆใหตายไปทีละนอย มันไมใชของยาก แตแลวเมื่อเราพึ่งตัวเองไมได หวังพึ่งรัฐบาล ร่ํารองจะใหรัฐบาลชวย รัฐบาลก็คือคน คนที่ประกอบเปนคณะบุคคลที่ไดอํานาจมาบริหารประเทศ ทานเหลานั้นไมไดมีฤทธิ์ ไมไดมีปาฏิหาริย ไมไดมีอํานาจศักดิ์สิทธิ์ที่จะไปชวยใครได โดยที่เขาไมไดชวยตัวเอง เขาก็ทํางานบริหารอยูในระดับสูง คนสวนมากก็อยูในระดับ ชาวบาน ธรรมดาๆ เปนอยางทานเปนอยางผม 90 ถึง 95% ก็อยูอยางชาวบานธรรมดา ถาเราไมชวยตัวเอง โดยการเวนไมเกลือกกลั้ว กับทางเสื่อม แลวก็ขยันหมั่นเพียรรูจักเก็บออม แลวก็รัฐบาลไหนจะมาชวยได ผมไดสังเกตเห็นคนที่เขาชวยตัวเอง โดยลักษณะที่กลาวมานี้ คือตั้งหนาตั้งตาชวยตัวเอง เวนอบายมุขไดหมด แลวก็ตั้งหนาตั้ง ตาทํางานทําการดวยสัมมาชีพ เก็บหอมรอมริบ ตั้งตัวไดไมเดือดรอน แมเศรษฐกิจกําลังตกต่ํากําลังพังอยู ก็อยูได อันนี้ผมตองขออภัยทานที่เดือดรอนในยามที่เศรษฐกิจตกต่ํายอมจะตองมีอยูบาง เพราะวามันมีปจจัยหลายอยางที่ทําใหตอง เปนอยางนั้น คือผมไมไดเหวี่ยงแหไปทั้งหมด ผมพูดเฉพาะคนที่ไมรูจักพึ่งตัวเอง แลวหวังพึ่งแตคนอื่น หวังพึ่งรัฐบาล พอถึงเวลา ปกติเวลาวันธรรมดา ก็มวั แตเสเพลเฮฮากินเหลาเมายา ติดยาเสพติด งานการไมรูจักทํา แลวก็ร่ํารองวาเทวดา วารัฐบาลไมชวยอะไร อยางนี้ สุภาษิตฝรั่งก็มีลักษณะนี้วา “พระเจาจะชวยเฉพาะคนที่ชวยตัวเอง” เห็นไหมครับ แมแตผูที่นับถือศาสนาคริสต ทานก็ยัง เตือนเรื่องนี้เอาไวเหมือนกันวา พระเจาจะชวยแตเฉพาะผูที่ชวยตัวเอง ถาเผื่อทานไมชวยตัวเอง ถึงทานจะออนวอนพระเจาสักเทาไร พระเจาก็ชวยทานไมได ทั้งๆที่ศาสนาคริสตนั้นเขาก็ยกยองพระเจามากทีเดียวหวังพึ่งพระเจามากทีเดียว แตสุดทายตอง conclusion วาพระเจาจะชวยเฉพาะผูที่ชวยตัวเอง ถาทานไมชวยตัวเองแลว พระเจาก็ชวยทานไมได 9 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
พระพุทธเจาในศาสนาพุทธทานก็บอกวา “ตนเปนที่พึ่งของตน” แตถาเราไมพยายามพึ่งตัวเองแลว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ก็พึ่งไมได เราจะออนวอนสักเทาไรตอพระพุทธรูปองคไหน ตอพระธรรมทีไ่ หน ตอพระสงฆที่ไหน จะออนวอนสักเทาไร ทานก็ชวยไมได ถาทานชวยไดทานชวยแลว แตวาทานชวยไมไดทานก็บอกไวตรงๆ วาตถาคตเปนแตเพียงผูบอกทางเทานั้น ความ เพียรทานทั้งหลายตองทําเอง ตุมฺเห หิ กิจฺจํ อาตปฺป ความเพียรทานทั้งหลายตองทําเอง อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตทั้งหลายเปนแต เพียงผูบอกเทานั้น ถาเผื่อบอกแลวไมเดินไป ไมดําเนินไปทานก็ชวยอะไรไมได ทานเคยตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ทานเปรียบกับเมืองราชคฤหในสมัยของทาน เมืองราชคฤหก็มีอยู ผูบอกทางก็มีอยู หนทางก็มี อยู แตเมื่อเขาไมเดินไป เขาจะถึงเมืองราชคฤหไดอยางไร เดี๋ยวนี้มาถึงบานเราก็เอาเมืองไหนก็ไดสักเมืองหนึ่ง กรุงเทพฯก็ได สําหรับคนที่อยูตางจังหวัด ทางที่ไปกรุงเทพฯก็มีอยู ผูบอกทางที่จะไปกรุงเทพฯก็มีอยู แตเมื่อเขาไมไปแลวเขาจะถึงไดอยางไร มันก็ ถึงไมได คนที่ดนดั้นไปดวยซ้ําไป ทั้งๆที่ไมรูวาทางไหนเปนทางที่ถูกตอง คนบอกก็ไมมี แตวามีความเพียรพยายาม หมั่นถาม หมั่น สอบ หมั่นหา ก็ไปเจอได ดีกวาคนที่ทางก็มีอยู ผูบอกทางก็มีอยู ที่นั้นก็มีอยู แตไมกระดิกกระเดี้ยตัวเลย จะไปไดอยางไร ก็ไปไมได นี่แหละครับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ก็คือความเพียรพยายามของทานนั่นแหละ ความเพียรพยายามความบากบั่น ไมทอดธุระ รับผิดชอบ นั่นแหละคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาทําใหทานประสบความสําเร็จในสิ่งที่ประสงค เพราะฉะนั้น ผมก็ขอสรุปไวในที่นี้ ใน เรื่องนี้วาขอใหใชความเพียรพยายามใหมากที่สุดดวยตัวของทานเอง แลวทานจะไมผิดหวังหรอกครับ เมื่อ 2-3 วันนี้ก็ดูรายการหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องความเพียรพยายาม มีผูหญิงคนหนึ่ง ขอเอยชื่อเขาเพราะวาเขาออกอากาศมาแลว ออกทีวีนะครับ ชื่อวิจิตรา คุณวิจิตราเขาเปนคนพิการ เรียนก็จบนะ ทีนี้ไปสมัครงานที่ไหนก็ไมมีใครรับ เพราะเขาเห็นเปนคนพิการ ทีแรกก็ดูใบประกาศนียบัตร ดูใบอะไรตอใบอะไรกอน ดูเสร็จแลวก็เรียกใหไปแสดงตัวใหไปติดตอ แตพอเห็นตัวเห็นเขาก็ไมรับ เพราะเห็นเปนคนพิการ ไดแตบอกใหไปคอยฟงผลที่บาน ตอมาในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทํางานของตัวเอง คือบริษัท ว.วิชั่นเฟอรนิเจอร ของคุณวิจิตรา จันทรเพชร เขาออกรายการมาแลว ผมนําเอามาพูดอีกทีหนึ่งก็คงไมเปนไรนะครับ สองคนกับสามีชวยกัน ทําพากัน ลมลุกคลุกคลานกันมากอน ในที่สุดเวลานี้ดีแลวครับ คือทําเฟอรนิเจอรขายดวย แลวก็รับออกแบบดวย เวลานี้ก็ดีแลวคือประสบ ความสําเร็จ ไดรับเชิญใหมาออกอากาศทางทีวี นี่คือความเพียรพยายาม ความบากบั่นความอดทน มันชวยคนไดมาก อันนี้ก็ขอฝากเอาไว
10 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
5. มีความกลาหาญ อันนี้ก็สําคัญตรงที่วาเรารูจักกลาหาญที่จะทํา กลาหาญที่จะเลิก คือจะทําอะไรก็กลาที่จะทํา ไมกลัวเกินไปจนไมกลาทําอะไร เลย แตก็ไมใชกลาจนบาบิ่น บาบิ่นนั่นก็เปนสวนสุดขางหนึ่งมันไมดี แลวก็ขี้ขลาดเกินไปจนไมกลาทําอะไร ไมกลาตัดสินใจทํา อะไร มันก็เปนสวนสุดขางหนึ่งก็ไมดี ความกลาหาญเปนคุณธรรม คุณธรรมนี้อยูทามกลางคือเปน มัชฌิมาปฏิปทา เปนทางสายกลาง ความขี้ขลาดไมเปนคุณธรรม ความกลาจนบาบิ่น คือวากลาในสิ่งที่ไมควรกลา อยางนั้นก็ไมเปนคุณธรรม ความกลาหาญอยูตรงกลางเปนคุณธรรม กลาเลิกสิ่งที่ ควรเลิก กลาทําสิ่งที่ควรทํา กลาในเวลาที่มีอันตราย อยางที่พระพุทธเจาทานตรัสวา ความกลาหาญมีกําลังหรือไม รูไดเมื่อมีอันตราย ถาเผื่อวาเอาแตคุยคือหมายความวาพูดมาก วากลาอยางนั้นกลาอยางนี้ แตเวลามีอันตรายหรือมีปญหาที่จะตองทําตองเสี่ยง ก็ไมกลา อะไรสักอยาง อยางนั้นไมใชผูกลาอยางแทจริง อันตรายมีหลายอยางและมีอยูรอบดาน มันเปน สพฺพติภโย มีภัยอยูรอบดาน อันตราย สูงสุดก็คืออันตรายชีวิต ในเวลาปกติเราก็ไมอาจจะรูไดวาใครกลาหาญหรือขี้ขลาด มีกําลังหรือเรี่ยวแรงมากหรือนอย แตพอมี อันตรายเกิดขึ้น มีเหตุการณที่ตองแสดงความกลาหาญเกิดขึ้น ก็จะพิสูจนไดวาใครขลาดใครกลา แตความกลาก็มีอยูสองอยาง คือกลาแทและกลาเทียม ผูที่กลาแทจริงยอมประกอบดวยคุณสมบัติของผูกลา แตผูกลาเทียมก็ จะปราศจากคุณสมบัติของผูกลา เชนวาชายที่มีกําลังมากกลารังแกผูหญิงผูดอยกําลังกวา รังแกเด็กหรือคนพิการเปนตนนะครับ แม คนพิการเอง สวนมากก็แสดงความกลาโดยขาดคุณสมบัติของผูกลา เชนชอบรังแกเด็กเล็กๆ เพื่อชดเชยปมดอยของตนที่ไมเหมือน ผูใหญอื่นๆ พวกเด็กๆ จึงมักจะกลัวคนพิการ นอกจากกลัวหนาตาทาทางที่นากลัวของเขาแลว ยังกลัวความโหดรายของเขาดวย สําหรับคนพิการบางคน แตวาคนพิการจะเปนอยางนั้นไปเสียทุกคนก็ไมใช ที่มีเมตตากรุณาถือเอาความพิการของตัวเปนเครื่องสังเวชสลดใจ แลวก็ ประกอบแตกรรมดีก็มีอยู สําหรับผูกลาหาญแทจริงจะแสดงความกลาหาญใหปรากฏ เมือ่ ถึงคราวจําเปนคือ เมื่อมีอันตรายแกตนแกพวกพอง แกผูที่ตน รับผิดชอบ หรือวาแกสังคมแกประเทศชาติ ถาโดยปกติธรรมดาก็มักจะอยูปกติเฉยๆ เรื่อยๆ บางคนในบางคราวก็มีอาการเหมือน หนึ่งวาเปนผูขลาดดวยซ้ําไป แตเมื่อมีเหตุการณที่จําเปนที่จะตองแสดงความกลาหาญเขาจึงจะแสดงออกมา เขาจะแสดงออกมาทาง กายบาง ทางวาจาบาง ไมกลัวแมแตการสูญเสียชีวติ ทรัพยยศ สิ่งที่ตองหวงแหนทั้งหลายทั้งปวง ในการตอสูนั้นผูกลาแทจริงจะไม เอาเปรียบคูตอสู คือวาใหโอกาสคูตอสูเทาๆกับตนหรือวาเหนือตน เพราะฉะนั้น นักรบเขาจะไมทํารายคูตอสูที่วางอาวุธหรือไรอาวุธ เพราะวาเขาแสดงความกลาหาญ เมื่อคูตอสูวางอาวุธยอมแพแลว เขาจะไมทําราย หรือผูที่ไมมีอาวุธก็จะไมทําราย 11 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
คนที่กลาหาญอยางแทจริงจะรักหนาที่ ทําอะไรเพื่อหนาที่เห็นวาเปนหนาที่แลวก็ไมกลัว บางคราวแมรูวาจะตองเสี่ยงชีวิตแต ก็ไมกลัว ตัวอยางบุคคลในประวัติศาสตรโรมัน ปอมเปยคนสําคัญคนหนึ่งของโรมัน เมื่อจะเขาไปกรุงโรมมีคนหาม บอกวาถาเขาไป จะไดรับอันตราย แตปอมเปยมีหนาที่ที่จะตองเขาไปทําจึงไมสะทกสะทานตอความตาย เมื่อเพื่อนฝูงหามปอมเปยก็ตอบวา เปนการ จําเปนที่ฉันจะตองเขาไป แตไมจําเปนที่ฉันจะตองมีชีวิตอยู อันนี้เขาถือหนาที่เปนสําคัญกวาชีวิต มันเปนหนาที่ที่เขาจะตองเขาไปทํา แตวาไมจําเปนจะตองมีชีวิตอยูก็ได อันนี้ก็มีลักษณะที่วา ยอมเสียชีวิตก็ได ยอมเสียอะไรตออะไรก็ได คือกลาเสี่ยงตอความสูญเสีย ถาเผื่อคํานึงถึงหนาที่หรือ ความรับผิดชอบ อยางเชนสุภาษิตในพุทธศาสนา ในสุตโสมชาดกคือสละทรัพยเพื่อรักษาอวัยวะ ยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เมื่อ ระลึกถึงธรรมคือความถูกตอง ยอมสละไดทั้งทรัพย ทั้งอวัยวะ ทั้งชีวิต ยอมสละไดถาเพื่อประโยชนเปนใหญ เพื่อประโยชน สวนรวม สละแลวไดประโยชนแกคนหมูมาก คือวาเปนความถูกตองที่จะตองทําอยางนั้น จะเห็นวามันเปนการพิสูจนวาคนกลาหาญ ดูไดในเวลามีอันตราย อีกเรื่องหนึ่งคือการตัดสินใจ การตัดสินใจทําอยางกลาหาญในชวงจังหวะตางๆของชีวิต ซึ่งตองอาศัยกําลังใจหนุนเปนอยาง มาก คนที่ไมมีกําลังใจและคนขลาดทําไมได ถาทานผูฟงสังเกต จะเห็นวาชีวิตคนเรานี่มีปญหามากและก็มีอันตรายมาก มีหัวเลี้ยว หัวตอของชีวิตอยูเสมอ ผูกลาหาญตองกลาตัดสินใจเลือกทางดําเนินชีวิตของตัวเองที่เห็นวาเหมาะสมแกตน ไมใชตามที่คนทั้งหลาย นึก เพราะวารอยคนก็นึกไปรอยอยาง เราจะตองทําทั้งรอยอยางที่คนอื่นเขานึกอยากใหเราทํา จะทําไดอยางไร ทําไมเราไมเปนตัว ของตัวเอง กลาหาญพอที่จะตัดสินใจดําเนินชีวิตตามที่เราเห็นสมควร และกลารับผิดชอบตอความผิดพลาดทั้งหมดถาจะเกิดขึ้น เพราะการตัดสินใจของเรา อยางนอยความผิดพลาดลมเหลวนั้น ก็เปนบทเรียนใหเราไดเรียนรูโดยตรง คือเปนชองทางใหเราได คนหาหนทางใหม เริ่มดําเนินชีวิตใหมหรือดําเนินการใหม มันจะตองพบชองทางที่ดีเขาสักวันหนึ่ง นั่นแหละคือทางของเรา ทาง แหงความสําเร็จในชีวิต คนกลาหาญในทางแหงชีวิตจะตองกลาตัดสินใจ กลาไดกลาเสีย สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่งคือ ขอใหเรามั่นคงในอุดมคติของเราพอสมควร จับทําอะไรเขาแลวก็อยาเลิกเสียงายๆ เมื่อเห็นวา ทางนี้แหละเปนทางของเรา ถูกใจเรา ถูกอัธยาศัยของเราแลว แมจะลมเหลวบางในเบื้องตนก็ตองพยายามตอไป ความสําเร็จจะรอ คอยอยูเบื้องหนา ถาเราสังเกตจะพบวา คนในอดีตที่ประสบผลสําเร็จในชีวิตมาแลว ลวนแตเปนผูที่กลาตัดสินใจทั้งนั้น บางคนก็ถึงกลับกลาออกนอกแนวทางที่คนทั้งหลายเคยเดินกันมา และก็ฉีกแนวออกมาเลย คนขลาดไมกลาทําอะไรก็เดิน ตามกันไปเปนแถวๆ ถาพูดอยางที่เขาพูดกันก็คือ เดินกันไปเปนฝูงๆ เหมือนสัตวเลี้ยง เหมือนแพะแกะวัวควายหรือแมแตชาง เฮไหน เฮนั่น ใครวาอะไรดีก็ทํากันไปเปนพักๆ ใครๆ ก็ทําแตอยางนั้น เพราะไมกลาคิดไมกลาทําอะไรที่จะออกนอกแนวไป แตวาการทํา
12 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
แบบนั้นมันก็ปลอดภัย เพราะวาใครๆ เขาก็ทํากัน แตวาไมมีทางที่จะประสบความสําเร็จที่ยิ่งใหญได และที่วาปลอดภัยนั้นก็ไมแนอีก อาจจะยอยยับไปทั้งหมดก็ได ถาเปนสัตว มันตามนายฝูง แลวถานายฝูงมันนําไปผิด มันก็อาจจะยอยยับไปทั้งฝูงเลยก็ได ในเวลานี้ถาเราสังเกตจะเห็นวา เด็กหนุมเด็กสาวของเรายังทําอะไรตามกันเปนพวกๆ อยูเหมือนกัน คือวาไวผมทรงเดียวกัน นอกจากโรงเรียนบังคับใหตัดผมสั้น นอกนั้นก็จะไวผมยาว ไวผมทรงเดียวกัน ทําอะไรทําเหมือนๆกัน แฟชั่นเสือ้ ผารูปลักษณอะไร ก็คลายๆกัน คือวาเดินตามแฟชั่นเหมือนชางโขลงพากันเขาเพนียดหมด เพนียดก็คือแฟชั่น แฟชั่นทีข่ ังคนเอาไววายัดเยียด กันอยูใน นั้น ไมมีใครคนใดใจกลาพอที่จะตัดสินใจ ทําอะไรตามความเหมาะสมแกตนโดยไมตองเดินตามแฟชั่น เพราะเขากลัวอันตรายคือ การไมยอมรับของเพื่อนฝูง แตอันตรายคือความเกียจคราน อันตรายคือความโงเขลา ความไมเปนตัวของตัวเอง ซึ่งเปนอันตรายตออนาคตของชีวิตเปน อยางยิ่งเพราะเขาไมกลัว ที่จริงบุคลิกและคุณลักษณะของคนเราก็ไมเหมือนกัน และการทําอะไรทําตามกันไปหมด ก็เปนเรื่องไม เหมาะสมกับบุคลิก คือคุณลักษณะของแตละคน เพราะฉะนั้นควรจะเลือกทําและก็ดําเนินชีวิตไปตามความเหมาะสมแกตน จึงจะ เรียกวาเปนผูกลาในการตัดสินใจ อันนี้พูดถึงเรื่องความกลาหาญนะครับ แลวก็ไดเนนย้ําเอาไววาคนกลา ตองกลาเลิกสิ่งที่เห็นวามันไมถูกตอง ควรจะเลิกก็เลิกไป และก็อะไรที่ควรจะทําก็ทําไปคือ กลาในสิ่งที่เห็นวาควรจะทํา มันอาจจะมองไมเห็นผลอะไรในเบื้องแรก เหมือนวายน้ําอยูกลางมหาสมุทรไมเห็นฝง แตวาทําไปทําไป มันก็คอยๆชินไปทีละนอย ถากลาทํา
6. รูจักอุปการคุณของทาน คือกตัญูกตเวทีนั่นเอง คนหาไดยากในโลกมีอยู 2 จําพวกบาง 3 จําพวกบาง คือพระพุทธเจาทรงแสดงเอาไว 2 จําพวกก็คือ บุพการี คนที่ทําอุปการะใหกอน แลวก็กตัญูกตเวที ผูที่รูอุปการะที่ทานทําใหแลวและตอบแทน กตัญูคือสํานึกคุณ เพียงแตสํานึกคุณของทาน คือกตัญู การตอบแทนโดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเรียกวา กตเวที บุพการีนั้น เปนเจาหนี้ กตัญูกตเวทีเปนลูกหนี้ เพราะวาในชีวิตของคนเรามันก็มีทั้งสองอยางคือ เปนลูกหนี้บาง เปนเจาหนี้บาง เรามีอุปการะ ตอผูอื่นเราก็เปนเจาหนี้ของเขา เราไดรับอุปการะจากผูใดเราก็เปนลูกหนี้ ซึง่ จะตองใชหนี้ตอบุคคลผูนั้น สําหรับหนี้สินทั่วๆไปนี่เขาบอกวา เปนมิตรเมื่อกูเปนศัตรูเมื่อทวง เมื่อเขามากูเงินกูทอง เขาก็เปนมิตร ยืมเงินยืมอะไรเขาก็ทํา ทาทีเปนมิตรที่ดี แตวาถาทวงหนี้เขา เขาก็เปนศัตรู บางคนถึงกับฆากันก็มี 13 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
เพราะฉะนั้น เราคนหนึ่งก็อยูในฐานะทั้งสองอยาง คืออยูในฐานะเปนเจาหนี้ คือใหหนี้ไวกอนแลวเปนบุพการีทําอุปการะ เอาไวตอลูกตอหลาน ตอศิษย ตอใครๆก็แลวแต ลูกหนี้ของเราก็มี เรียกวาคนที่เราทําอุปการะไวใหก็เปนลูกหนี้ของเรา เขาจะใชหนี้ หรือไมใชหนี้ก็เปนเรื่องของเขา เปนเรื่องของคนที่เปนลูกหนี้ หนี้สินนี่ใชกนั หมดไดงาย แตวาหนี้บุญคุณนี่ใชใหไดหมดยาก แตวา ใชไมหมดก็ดีเราจะไดสํานึกวาเขามีบุญคุณตอเรา คือไมจําเปนอะไรที่จะตองใชใหหมด ใชไปเรื่อยๆ เทาที่โอกาสจะอํานวยไมตอง รีบใชก็ได แตวาคอยสอดสองหาโอกาสอยูที่จะใชหนี้ของทาน เรียกวากตัญูกตเวที เวลานี้ผูหลักผูใหญผูเฒาผูแกก็บนกันมากวาลูกหลานไมคอยเอาใจใส ลูกหลานก็สาละวนอยูกับเรื่องหาเงินใหตัวเอง ไมใช หาเงินใหพอแมปูยาตายายอะไรหรอก หาเงินเพื่อตัวเอง ไมมีเวลาที่จะดูแลพอแมผูใหญที่มีอุปการะมากอน ถามีเวลาก็ทุมไปกับการ หาเงินสาละวนอยูกับการหาเงิน เพราะวาอะไรๆ ตางๆ มันถีบตัวสูงขึ้นเขาก็ตองถีบตาม อะไรมันราคาแพงไปหมด ที่ดินราคาแพง บานราคาแพง รถราคาแพง อะไรๆมันก็แพงมันถีบตัวสูงขึ้นเขาก็ตองถีบตาม มันก็เหนื่อยมาก ยิ่งของแพงขึ้นคาของคนก็ถูกลง เพราะวาคนไปใหคากับวัตถุ คนไปใหคากับสิ่งของมาก มันก็แพงขึ้น แลวใหคากับชีวิตคนความเปนไปของคนนอยลง ชีวิตคนก็ถูก ลง อีกสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับบุคคล ที่มีอุปการะตอเราคือบุญ บุพการีของเราอีกอยางหนึ่งก็คือบุญ เราไดทําบุญมา บุญไดสงใหเปนคนอยูดีมีสุข คือวาทานดูบุคคล 4 จําพวกกอน แลวก็รูวา เราควรจะกตัญูตอบุญอยางไร ไม ควรดูหมิ่นบุญ คือวาเราอยูดีมีสุขอยูไดก็เพราะบุญชวยเหลือค้ําจุนคุมครองอยู ก็นึกถึงพระพุทธสุภาษิตที่วา ยทา ปฺญกฺขโย โหติ สพฺพเมตํ วินสฺสติ เมื่อใดบุญสิ้นไป เมื่อนั้นสิ่งทั้งปวงทรัพยสมบัติทั้งปวงก็พินาศหมด สพฺพเมตํ วินสฺสติ ทรัพยสินสมบัติทั้งปวงก็ พินาศหมด เพราะฉะนั้น คนฉลาดเขาจึงเพิ่มบุญสั่งสมบุญเอาไวเสมอ ไมลืมบุญคุณของบุญ แลวคนที่ไดดีมีสุขอยูสบายๆ แลวก็มักจะ ลืม ทําบุญตอ เพราะวานึกวาสบายแลว คนที่ชอบแสวงหาการทําบุญก็มักจะเปนคนที่กําลังทุกข กําลังลําบาก นึกวาเราไมมีบุญก็หมั่น ทําบุญสรางบุญ คนที่อยูสบายๆ ก็นึกวามีบุญพอแลวก็ไมอยากจะทํา มันขี้เกียจดวยแหละ แลวก็สุขสบายไมมีอะไรมากระตุนเตือน ใหตองทํา มันก็หมดไปเหมือนกับทรัพย เรามีทรัพยแลวก็ไมไดหาเพิ่มมีแตจายไปอยางเดียว วันหนึ่งมันหมด เหมือนชาวนาที่มีขาวในยุงฉาง เสร็จแลวก็นึกวาเออ... เราก็มีขาวในยุงฉางเยอะแลว ไมไดทําเพิ่ม ก็กิน กินขาวเกามันก็หมดไปๆ ขาวใหมไมไดทํามันก็หมด รูสึกซาบซึง้ ประทับใจตอพระ พุทธสุภาษิตที่วา เมื่อใดบุญหมดไปสิ้นไปเมื่อนั้นทรัพยก็พินาศหมด เพราะฉะนั้น ก็ไมควรประมาทเรื่องบุญ อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปฺุญกิริยาสุ ปณฺฑิตา บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญความไมประมาทในบุญ 14 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
บุคคล 4 จําพวก 1. ตโม ตมปรายโน มืดมาแลวมืดไป คือชาติกอนก็ไมไดทําบุญไวมืดมาแลว ตอมาถึงชาติใหมก็ไมไดทําบุญเอาไวก็มืดตอไป มืดมาแลวก็มืดไปขางหนา 2. ตโม โชติปรายโน มืดมาแลวสวางไป คือวาไมไดทําบุญไวไมมีบุญ ไมไดประพฤติสุจริตไว มืดมา เกิดมาอยูในฐานะที่ ลําบากไปหมดทุกอยาง แตวาเขาไมประมาทในบุญ แลวก็หมั่นสะสมบุญ หมั่นทําความเพียร หมั่นศึกษาเลาเรียน หมั่นสรางเนื้อตั้ง ตัว โชติปรายโน สวางไป 3. โชติ ตมปรายโน สวางมามืดไป เรียกวามีบุญมาดีเกิดดีมีความสุข รุงเรืองมาตั้งแตในวัยตน แตวาประมาทไมทําความดี คิด วาพอแลวๆ ไมทําความดีเพิ่มเติม มันก็มืดไป คราวก็หมดไป ของใหมก็ไมไดทําเพิ่มขึ้น ก็มืดไป สวางมามืดไป 4. โชติ โชติปรายโน สวางมาแลวสวางไป คือวาดีทั้งตอนตนและตอนปลาย เมื่อมองดูบุคคล 4 จําพวกนี้แลวก็จะเห็นประโยชนและคุณคาของบุญ แตวาเราตองทําดวยความฉลาด ทําบุญทําดีตองทําดวย ความฉลาด ถาทําดวยความโง มันก็ถกู หลอกใหทาํ คือวามันไปเปนประโยชนกับคนที่เขาหลอก คนที่ทําไปมันก็ไมไดอะไร ไมใช ปญญา ตองใชปญญาในการทําบุญ ในการทํากุศล ในการทําความดีทุกอยาง มันตองใชปญญาพิจารณาในการไตรตรอง ใชโยนิโส มนสิการ ใชปญญากํากับอยูเสมอ มีศรัทธาอยางยิ่งแตวาปญญาไมมีคือมีนอย ก็จะงมงาย มีปญญาอยางยิ่งแตวาขาดศรัทธาที่ถูกตอง บางทีมันก็แลนเกินไปไมเชื่ออะไรเสียเลย บางทีไมเชื่ออะไรเสียเลยมันก็เปนความงมงายอีกชนิดหนึ่ง เชื่อหมดทุกอยางใครมาบอก อะไรก็เชื่อหมดทุกอยาง ก็เปนความงมงายอีกชนิดหนึ่ง มันตองเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ รูสิ่งทีค่ วรรู สิ่งที่ไมจําเปนตองรูก็ไมตองรู สิ่งที่ จําเปนตองรูก็รูเทาที่จําเปน อยางนี้ก็จะสบายคืออยูสบาย ไมหนักไมรอน มีแตความเบาความเย็น เพราะฉะนั้น ใหมีความกตัญูกตเวทีตอบุญ ถือวาบุญนั้นเปนบุพการีตอเรา และก็โยงไปถึงบุคคลอีกหลายจําพวกเชน อุฏ ฐานผลูปชีวี คนที่มีชีวิตอยูดวยความเพียร กมฺมผลูปชีวี บุคคลที่มีชีวิตอยูดวยบุญ แลวก็ เนว อุฏฐานผลูปชีวี น กมฺมผลูปชีวี ไมไดมี ชีวิตอยูดวยความเพียร ไมไดมีชีวิตอยูดวยบุญ แตมีชีวิตอยูดวยบาป นี่ก็มีแตความทุกขโดยสวนเดียว ไมไดมชี ีวิตอยูดวยบุญ ไมไดมี ชีวิตอยูดวยความเพียร มันก็มีชีวิตอยูดวยบาป มีความทุกขลวนๆ อยางพวกนรกคือทุกขลวนๆ ดูภาพยนตรขาวเรื่องเอธิโอเปย เห็นแลวเศราสลดใจ เออ...มันไมเคยเห็นนรกตามที่กลาวไวในคัมภีร แตวาพอเห็นความทุกข ยากลําบากในเอธิโอเปยของประชาชนเปนจํานวนหลายสิบลานคน ก็รูสกึ วา โอ...ทําไมมันกองทุกขมหึมาขนาดนี้ อันนี้พูดถึงเรื่อง ความกตัญูกตเวที รูจักอุปการคุณของทาน การทําอุปการะและการตอบแทน ตองใหเปนไปพอเหมาะพอควรกัน คือวาถารูสึกทาน มีอุปการะมาก ก็ตองตอบแทนกันมาก ถาทานมีอุปการะพอสมควรก็ตอบแทนพอสมควร ถาตอบแทนมากก็ได แตวาใหพอสมควร 15 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
แกอุปการะของทาน อยาใหนอยกวาอุปการะของทานหรือเกินกวาที่ทานทําให อันนั้นก็ไมเปนไร มันเปนการใชหนี้ที่ใหเกิน เหมือนกับวาเปนการใหดอกเบี้ยดวย ใชหนี้พรอมดอกเบี้ย นั่นคือวาเกินเงินตนทุนของทาน ถาเปรียบดวยการกูหนี้เปนเงินเปนทองอะไรพวกนี้ ก็ใหเกินกวาที่ทานทําให มันก็เปนความสบายใจ ลูกบางคนก็ทําไดคือวา ทําใหเกินกวาที่พอแมทําใหก็มี เพราะวาพอแมทําใหไมไดเทาไหร เพราะวากําลังความสามารถของทานมีเทานั้น แตวาลูกบางคน กําลังความสามารถมีมากก็ตอบแทนใหเกิน แตวาสวนมากไมพอ คือวาไมเพียงพอ นี่พูดสวนมากไมใชทุกคน ในชุดอื่นๆก็ เหมือนกัน ครูบาอาจารยกับศิษยก็เหมือนกัน ครูบาอาจารยบางคนก็มีอุปการะมากตอศิษย ศิษยบางคนก็ตอบแทนใหไดมาก แตบางคนก็ ตอบแทนพอสมควร บางคนก็ตอบแทนนอยเกินไป จะเปนเพราะวาไมมีโอกาส หรือวาไมไดสํานึกหรือจะเปนเพราะอะไรก็แลวแต ก็มีอยูอยางนี้ คือนอยเกินไปพวกหนึ่ง พอสมควรพวกหนึ่ง ตอบแทนใหมากพวกหนึ่ง ไมเหมือนกันทุกคนไป อยางไรก็ตาม อุปการคุณของทานตองรู ตองสํานึกรู ตระหนักในพระคุณของทานไมเปนคนเนรคุณ ไมเปนคนอกตัญู กตเวที มิฉะนั้นแลวจะไมเจริญ ถาเปนคนอกตัญูกตเวทีแลวจะเปนคนไมเจริญ ตอไปพูดถึงความกตัญู หรือรูอุปการคุณของทานหนักไปในทางศาสนาที่เกี่ยวกับ อุปชฌายอาจารย สัทธิวิหาริก อันเตวา สิก อุปชฌายะ คือทานผูใหบวช เปนประธานในการใหบวช ความสําเร็จอยูที่สงฆผูมาประชุมกัน แตอุปชฌายะนั้นเปนผูใหบวช เรียกวาถาไมมีอุปชฌายะก็บวชไมได ผูบวชจะตองมีอุปชฌายะ ที่เปนประธานสงฆ เวลาบวชจะตองอางอุปชฌาย วาใครเปน อุปชฌาย ชื่ออะไร ที่นิยมกันอยูเวลานี้ก็นิยม นามฉายา นามฉายานั้นเปนอางชื่อของทานผูนั้น เชน อุปชฌายะ นามฉายาวา อนุภาโส ก็อางชื่อทานวาอนุภาโส วาเปนอุปชฌายะ ผูที่บวช ลูกศิษยของอุปชฌายะ ทานเรียกวา สัทธิวิหาริก ทานผูฟงคงจะเคยไดยินเวลาเขาพูดถึงกันวา เปนสัทธิวิหาริกของ ใคร ทานผูนั้น ทานผูนี้ เปนสัทธิวิหาริกของใคร ก็บอกไดวาทานเปนสัทธิวิหาริกของทานผูนั้น ผูนี้ นั่นคือหมายถึงเปนอุปชฌาย อุปชฌายะนี้ตามตัวแปลวาทําตัวเขาไปเพง คําวาเพงนี้หมายถึง เพงโทษ คําวาเพงโทษไมใชแสหาโทษ คือหมายความวา ดูแล เห็นโทษนอยใหญและก็ตักเตือนใหระลึกถึงความผิด อยางนี้เรียกวาอุปชฌาย อุปชฌายตามตัวแปลวาเพง เพงโทษ แตไมไดมี ความหมายอยางเดียวกับที่ชาวบานเขาใจเพงโทษ ไมใชอยางนั้น เปนเพียงแตวาดูแลเห็นโทษแลวก็ตักเตือน แลวก็ใหระลึกถึงโทษ 16 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
สําหรับอาจารย อาจารยนั้นก็แปลวา ผูที่ลูกศิษยจะพึงประพฤติโดยเอื้อเฟอ ดวยความอาทร อยางนี้คือความหมายของอาจารย อาจารยก็มีหลายประเภทในศาสนานะครับ อยางตามตัวก็วาใหดํารงอยูในธรรมที่ควรศึกษา ในศาสนานี้ทานเรียกวาอาจารย คําวา อาจารยเมื่อกอนนี้ก็ใชไดทั่วไป คนฝกชาง ฝกมาก็เปนอาจารยเหมือนกัน ก็เรียกวาหัตถาจารย หัตถาจารยคนฝกชาง อัสสาจารยคน ฝกมา เวลานี้ก็ใชกันทั่วไป สอนดัดผมก็เปนอาจารย สอนอะไรก็เปนอาจารยไดหมด คําอาจารยก็เปนคําสามัญทั่วไป เมื่อกอนนี้คํา วาครูนั้นสูงกวาอาจารย อยางพระพุทธเจานั้นเปนครูของเทวดาและมนุษย เปนบรมครู อยางพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระ อานนท พระอะไรตออะไรนั้นไมมีศักดิ์เปนครู แตวาเปนอาจารย เปนอาจารยไมเปนครู ผูที่เปนครูมีอยูผูเดียวคือพระพุทธเจา แลวก็ เปนบรมครู ตอมาในเมืองไทยนี้ ความหมายก็สลับกันคือ ผูที่สอนในชั้นประถมก็เรียกกันวาครู พอเลื่อนขึ้น สอนมัธยมสอนมหาวิทยาลัย เขาเรียกอาจารย ตอไปก็ไปตอเปนผูชวยศาสตราจารย เปนรองศาสตราจารย ก็คืออาจารยนั่นแหละ แลวก็ศาสตราจารย รอง ศาสตราจารย แลวก็ศาสตราจารย มีคนเปนจํานวนมากที่ออกเสียงผิด ออกเสียงเปนศาสดาจารย เมื่อไดยินทีไรก็มักจะขอใหพูดใหม ถาคนที่พอจะตักเตือนได ถาคนที่ตักเตือนเขาไมไดก็แลวไป ถาคนที่ตักเตือนไดก็บอกวาไมใชศาสดาจารย ศาสดาจารยนั้นคือพระพุทธเจา พระบรมศาสดา บางทีก็ตอดวยคําวาศาสดาจารย หรือวาอาจารยที่เปนศาสดา เปนเจาลัทธิ เปนเจาของศาสนา ศาสดา พระศาสดา ทีนี้ตําแหนงทาง วิชาการในมหาวิทยาลัยนี้ เขาเรียกวาศาสตราจารย ศาสตรา นั้นแปลวา คัมภีร ถาเปนศัสตรา นี่แปลวาอาวุธ แตถาเปนศาสตรานั้นคือ คัมภีรหรือตํารา เพราะฉะนั้น จึงเอาชื่อนี้มาใชกับผูที่มีตําแหนงทางวิชาการเขียนตํารา เขียนตําราไดเลมหนึ่งก็เปนผูชวยศาสตราจารย เขียนตําราได 2 เลมเปนรองศาสตราจารย แลวแตเขาจะกําหนดวาจะใหเขียนกี่เลม สวนมากก็ 2 เลม หรืออยางมากก็ไมเกิน 3 เลม ก็ เปนศาสตราจารย บางทีก็เลมเดียว แตวาเปนเลมที่คอนขางจะสลักสําคัญ หรืออะไรทํานองนั้น ก็แลวแตผูตรวจดวย วาใครเปนผู พิจารณา อันนี้ขอพูดเปนเกร็ดความรูเอาไว บางทีพูดผิดกันบอยเปนศาสดาจารยไปเรื่อย อาจารยในศาสนานี้ก็ไดแบงอาจารยเอาไวเปน 4 จําพวก ที่ศิษยจะตองมีความกตัญู อันนี้กําลังพูดกันถึงเรื่องกตัญูกตเวที คือวาคนเรานี้มีบุญคุณตอกัน ศิษยมีบุญคุณตออาจารย อาจารยมีบุญคุณตอศิษย อุปชฌายะมีบุญคุณตอสัทธิวิหาริก ถาสัทธิวิหาริก นั้น ปฏิบัติดปี ฏิบัติชอบตออุปชฌายะก็คือวาเปนผูมีอุปการะ เปนผูมีอุปการะ ตออุปชฌายะเหมือนกัน เกื้อกูลซึง่ กันและกัน เคยมีเรื่องพระอานนท พระอานนทมีลูกศิษยมาก วันหนึ่งทานก็ไดจีวรมา 500 ผืน แลวทานก็มอบผาทั้ง 500 ผืนใหแกพระลูก ศิษยรูปหนึ่ง พระก็เขาไปเฝาพระพุทธเจาทูลถามวา อคติยังมีแกพระโสดาบันอยูหรือ พระพุทธเจาทานตรัสถามวาเรื่องอะไรภิกษุ มี เรื่องอะไรเกิดขึ้น ภิกษุก็กราบทูลใหทรงทราบ วาพระอานนทไดจีวรมา 500 ผืน แลวก็ใหกับลูกศิษยคนเดียว พระอานนทนั้นเปน พระโสดาบัน อคติยังมีแกพระโสดาบันอยูหรือ 17 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
พระพุทธเจาทานก็ตรัสบอกวา ไมใชหรอก ลูกศิษยคนนั้นมีอุปการะมากตอพระอานนท อานนทระลึกถึงอุปการะของศิษย คนนั้น แลวไดมอบจีวรทั้ง 500 ผืนใหแกลูกศิษย ดวยระลึกถึงอุปการะของลูกศิษยคนนั้น ที่ทําอุปการะตอทานมากกวาลูกศิษยคน อื่นๆ ทานทําไปตามเหตุ พระที่เปนลูกศิษยไมเขาใจก็ไปติเตียนทาน ไปกราบทูลพระพุทธเจา พระพุทธเจาทานทราบ อันนี้เรียกวามี อุปการะตอกันและกัน อาจารยมีอุปการะตอศิษยแลวลูกศิษยกม็ ีอุปการะตออาจารยในหนาที่ของตน ถาทําหนาที่ของตนดี ก็ถือวามี อุปการะตอครูอาจารย อาจารยทําหนาที่ของตนดีก็มีอุปการะตอศิษย อาจารย 4 จําพวก ทานจําแนกไว 4 จําพวก พวกที่ 1 เรียกวา อุทเทสาจารย คืออาจารยผูสอนธรรม บางทีก็เรียกวา ธรรมาจารยก็มี พวกที่ 2 เรียก ปพพัชชาจารย อาจารยผูใหบวชเปนสามเณร ผูที่ใหบวชเปนสามเณร ทานวาอาจารยผูใหสิกขาบท สามเณรก็ รับสิกขาบท 10 ขอที่ 1 ถึงขอที่ 10 ศีล 10 ของสามเณรในการบวชของสามเณร เขาจะมีอาจารยผูใหศีล นอกจากอุปชฌายะแลวมี อาจารยผูใหศีลนี้เรียกวา ปพพัชชา แปลวา บวชสามเณร พวกที่ 3 คืออุปสัมปทาจารย อาจารยผูใหอุปสมบทคืออาจารยที่สวดกรรมวาจาในการอุปสมบท คือสวดประกาศใหทราบ กันวา ทานผูนี้ขอบวชมีทานผูนี้เปนอุปชฌายะ ถาสงฆเห็นดวยก็ใหนิ่งอยู ถาสงฆไมเห็นดวยก็ใหพูดขึ้น ประกาศทํานองนี้นะครับ เรียกวา อุปสัมปทาจารย พวกที่ 4 เรียกวา นิสสยาจารย อาจารยผูใหนิสัย ใหนิสัยคือผูที่บวชแลวอาศัยทานผูใดอยูเปนเวลา 5 ป อาจารยนั้นเรียกวา นิสสยาจารย อาจารยผูใหนิสัยคือเปนที่พึ่งพิง อาจารยเปนที่พึ่งพิง พอเลย 5 พรรษาไปแลว เรียกวาพอเลี้ยงตัวเองได พอพึ่งตัวเองได เรียกวา นิสสัยมุตตกะ คือพนจากนิสัย ใหปกครองตัวเองได แตถายังต่ํากวา 5 พรรษา ก็ยงั อยูในปกครองของอาจารยอยางใกลชิด ดูแลอยางใกลชิด นิสสยาจารย นิสสยะ บางทีก็มาเปนนิสิต รากศัพทเดียวกัน มาถึงสมัยของเราเวลานี้ บางทานบางคนเรียนความรูทางโลกมา ไดปริญญาหรืออะไรมีความรูมาแลวมาบวช พอบวชแลวก็ปลีกตัวออกไปอยูตามลําพังไมอาศัยอาจารยอยู แตไปตั้งตัวเปนอาจารย เลย เรียนธรรมะไมกี่ป ป 2 ป ก็ไปตั้งตัวเปนอาจารย คิดวารูเยอะแลว ความรูทางศาสนานี่ไมใชเลน ไมใชเรียนกันวัน 2 วัน ป 2 ป แลวจะรอบรู ตองใชเวลานานเกือบจะทั้งชีวิตก็วาได ถึงจะรอบรูแตกฉานพอสมควร ถาเผื่อวามีความรูทางโลกมา ไดปริญญามาทํางานทําการ มีประสบการณทางโลกมาแลวก็เลื่อมใสมาบวชสัก 2-3 ป ก็ปลีกตัว ไปตั้งตนเปนคณาจารย คณาจารยแปลวาอาจารยของคณะ เมื่อเปนอาจารยของคณะแลว เปนเจาสํานักแลวจะไมรูก็ไมได จะบอกวา สิ่งนั้นสิ่งนี้ไมรูก็ไมได ตองรู บางทีก็ดําน้ําเอา
18 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
มีเหตุไมเหมาะไมสมควร มีเรื่องไมดีงามเกิดขึ้นมากมายในศาสนา เพราะผูที่ตั้งตัวเปนอาจารย หรือเจาสํานักเร็วเกินไป ยังไม พรอม เหมือนเด็กสมัยนี้อายุ 13-14 ก็มีลูกมีทองแตแลวความพรอมที่จะเลี้ยงเด็กไมมี เรียกวาชิงสุกกอนหามมีลูก คราวนี้ปญหาเรื่อง เด็ก บางคนก็ไปทําแทง บางคนก็ยอมใหคลอดแลวก็ไมสามารถจะเลี้ยงได มอบใหโรงพยาบาลบาง บางคนก็เอาไปทิ้งไวตามซอก ตามมุมตามถนนหนทาง เผื่อวามีคนมาพบเขาจะเอาไปเลี้ยง บางคนอํามหิตถึงขนาดเอาไปวางไวใตทองรถ เพื่อใหคนถอยรถมาโดย ไมเห็น แลวก็ขยี้ไปเลยบี้ไปเลย ใหเอาลอรถเปนฆาตกรถึงขนาดนี้ คือเรามองดูวาเขาอํามหิต แตวาในใจของเขาคิดวาคงจะบอบช้ํา แลวก็มีความรูสึกเกลียดชังตอโลกและสังคม มีความรูสึกชอกช้าํ บอบช้ําตอโลกและสังคม ไมรูจะทําอยางไรก็เลยออกอยางนั้น มัน เปนบาปเปนกรรมเปนเวรติดใจของตัวไปตลอดชีวิต เปนการทําลายอนาคตของตัวไป อันนี้ก็เปนตัวอยางเปรียบเทียบใหดูวาไมพรอม ที่จะมีลูกแลวก็ไปมีโดยบังเอิญ หรือโดยตั้งใจ หรือโดยหลงใหลเพลิดเพลิน หรือโดยคิดวาไมเปนไร หรือโดยอะไรก็แลวแต แตมันยังไมถึงเวลาอันควร ทํานองเดียวกับผูที่เรียนไมกี่วัน แลวก็ตั้งตัวเปน คณาจารย แลวก็นําหมูคณะไปสูความเดือดรอนวุนวาย เสียหายตางๆ มากมาย นากลัว สมัยโบราณแมทานเปนพระอรหันตแลว แตถาเผื่อทานไมเชี่ยวชาญจริงๆ ทานจะถอมตัว วาอาตมามาสูธรรมวินัยนี้ใหมๆ ยัง ไมรูอะไรมากนัก ทานก็จะพูดอยางนี้ พระอัสสชิเปนตัวอยาง ลูกศิษยมี 4 เหมือนกัน เขาเรียก อันเตวาสิก 1) ปพพชันเตวาสิก แปลวา ลูกศิษยผูไดรับบรรพชาเปนสามเณร 2) อุปสัมปทันเตวาสิก แปลวา ลูกศิษยผูไดรับอุปสมบทเปนภิกษุ 3) นิสยันเตวาสิก แปลวา ผูไดรับนิสัย 4) ธัมมันเตวาสิก แปลวา ลูกศิษยผูเรียนธรรม พูดถึงเรื่องของศาสนากับศาสนิก ศาสนามีคุณอยางไร มีอุปการคุณตอศาสนิกอยางไร อันนี้ก็แลวแตแตละคนจะมีความรูสึก หรือวาไดรับประโยชนจากศาสนาเพียงไร บางคนก็ไดรับประโยชนจากศาสนามาก เรียกวาเกือบจะทั้งชีวิต ตั้งแตเด็กจนแกเฒา เรียกวาอยูกับศาสนา ไดรับประโยชนจากศาสนา ทีนี้ถาเขาเปนคนกตัญู มีกตัญูแนบแนน เรียกวารูจักอุปการะของทาน ก็ตองทํา อะไรที่จะเปนประโยชนกับศาสนา เพราะวาไดพึ่งพาอาศัยศาสนามาโดยตลอด บางคนไมคอยไดเกี่ยวของกับศาสนาเทาไหร อาจจะ ไมเห็นคุณคาของศาสนามากนัก เพราะวาไมไดเกี่ยวของกับศาสนามาตั้งแตเด็ก หรืออายุมากแลว บางคนแกแลวก็ยังชนโคอยู ชนวัว ตีไก กัดปลาอยู ยังไมไดเขาหาศาสนาเลย ถาเขาหาศาสนา บางทีก็เขาหาศาสนาไปในทางที่ไมเหมาะไมควรไมถูกตอง เพราะบางคน ไมไดเกี่ยวของกับศาสนาเทาไหร เขาก็ไมคอยรูสึก
19 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ตามความเห็นของผม คนเรายิ่งเขาหาศาสนาไดเร็วเทาไหร ก็มีประโยชนมากเทานั้น แลวก็เปนประโยชนที่ยั่งยืนถาวร ยาวนาน ถาคิดวาคอยเขาหาศาสนาตอนแก ตอนนี้อายุยังนอยอยูเลนกอน เที่ยวกอน ทําอะไรที่มันไมเปนประโยชนไปกอน พอแก แลวจึงคอยมาศึกษาธรรมะ มาเขาหาศาสนา พอจะรูเรื่องของศาสนาบางนิดหนอยก็ถึงเวลาตายแลว บางทีก็แกจนเดินตองคลานแลว เดินไมไหว ตาก็มองไมเห็น อานหนังสือธรรมะก็อานไมไดตามันไมยอม วา ชราชชฺชริตา โหนฺติ หตฺถปาทา อนสฺสวา ยสฺส โส วิหตตฺถาโม กถํ ธมฺมํ จริสฺสติ แปลวา มือเทาคร่ําคราเพราะชรา วาไมฟง กําลังก็ถูกกําจัดเพราะชรา จะประพฤติธรรมไดอยางไร ชาวพุทธที่นับถือศาสนาพุทธ ถาเขาหาธรรมะในทางที่ถูกตอง เขาหาศาสนาโดยศึกษาธรรมะ ศึกษาคําสอนของพระพุทธเจา โดยตรง อานพระพุทธพจนใหมากๆ เรียกวาศึกษาพุทธศาสนาโดยตรง อาจารยที่สอนธรรมะก็เปนแตเพียงนําเขาไปใหพบ พระพุทธเจาเทานั้น เราก็ไดพบพระพุทธเจาเองโดยการอานพระพุทธพจนใหมากๆ แลวจะเขาใจศาสนาไดมาก ไมฟุงซานดวย เพราะพระพุทธพจนนี้มีลักษณะความสงบเย็น สวาง สงบ แลวก็ไดประโยชนมาก เพราะฉะนั้น ศาสนาเปนสิ่งที่มีประโยชน แลวก็มอี ุปการะมากตอมวลมนุษย ถาเรารูจักอุปการคุณของศาสนา แลวก็ทํานุ บํารุงศาสนาในทางที่ถูกตอง ศึกษาพระธรรมใหเขาใจใหถูกตอง แลวนํามาปฏิบัติ นํามาใชประโยชนใหไดใหดี เราเรียกวาเปนผู กตัญูตอศาสนา มิฉะนั้นแลวก็จะกลายเปนกบฏตอศาสนาเสียหมด นับถือศาสนานั่นแหละ แตเปนกบฏตอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆโดยไมรูตัว ไมไดประโยชนแถมจะใหโทษเสียอีก อันนี้พูดถึงศาสนิกกับศาสนา ถาเปนคนที่รูอุปการะของศาสนาและทํานุบํารุงศาสนาในทางที่ถูกตองแลว ศาสนาก็ไมเลอะเทอะ ตัวเองก็ไดรับประโยชน ไดรับความสุข เปน Peaceful and useful life ชีวิตเรามีความสงบมีประโยชน อยูอยางสงบ แลวก็ทาํ ประโยชนได จะพูดถึงเรื่องตัวอยางของคนที่ไมกตัญู ไมรูอุปการคุณของทาน การพูดอยางนี้ถือวาเปนการกลาวธรรมโดยวิธีรุนแรง แต พระพุทธเจาเวลาทานแสดงธรรม ทานแสดงธรรมโดยวิธีละมุนละมอมบาง แสดงโดยวิธีรุนแรงบาง ทั้งละมุนละมอมและรุนแรง บาง ที่วาละมุนละมอมนั้นคือพูดถึงกุศล พูดถึงความดี พูดถึงคุณของความดี ฉะนั้นถาพูดถึงเรื่องกตัญูกตเวทีนี่ก็พูดถึงคุณของความ กตัญูกตเวที ผูที่ปฏิบัติอยูในธรรม คือกตัญูกตเวทีนี้มีคุณอะไร ไดรับประโยชนอยางไร อยางนี้เรียกวาแสดงธรรมโดยบุตรมีผา ทอนเกาหออยู ก็ตั้งชื่อเด็กวาโปติกะ มหาเศรษฐีก็ขอเด็กทั้งสองคนมาเปนเพื่อนเลนของหลานชายของตัว ที่ชื่อนิโครธ แปลวาตน ไทร เด็กทั้ง 3 คนเติบโตมาดวยกัน เมื่อถึงวัยที่พอจะไปศึกษาเลาเรียนได ก็ไดสงไปเรียนที่เมืองตักสิลาจนสําเร็จ
20 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
พอเรียนสําเร็จศิลปะแลวก็ใหเดินทางทองเที่ยวไปกอนที่จะกลับเมืองราชคฤห เหมือนกับคนสมัยนี้ลูกเศรษฐีลูกคนมีสตางค ไปเรียนเมืองนอก พอเรียนจบแลวเขาก็ใหเดินทางรอบโลก กอนจะมาถึงบาน นี่ก็เดินทางทองเที่ยวไป ที่จริงก็ไมเชิงทองเที่ยวทีเดียว เพราะวาจากตักสิลา ซึ่งเปนอินเดียเหนือแลวก็มาถึงพาราณสี พาราณสีนั้นเปนอินเดียกลาง อยู ระหวางตักสิลากับราชคฤห ฉะนั้นก็ตองผานอยูดี ถามาราชคฤหก็ตองผานพาราณสี เวลานี้เปนอุตรประเทศ ที่รองลงมาทางใตก็เปน ราชคฤห หรือแควนพิหารในปจจุบัน แควนพิหาร อุตรประเทศที่มีพาราณสีอยูดวยนี่ เมื่อ 30 ปกอนนี้ อุตรประเทศหรือแควนอุตร ประเทศเขามีพลเมือง 75 ลาน แควนเดียวมากกวาคนในประเทศไทยทั้งประเทศ 75 ลาน เมื่อ 30 ปกอน เดี๋ยวนี้ไมทราบเทาไหรแลว เมื่อมาถึงใกลเมืองพาราณสีก็นอนโคนตนไม ที่ตนไมตนนี้นะครับ ขางบนก็มีไกหลายตัวอาศัยนอนอยู แลวก็มไี กตัวหนึ่งที่ อยูขางบนถายอุจจาระลงมาถูกตัวของไกที่นอนอยูขางลาง ไกตัวที่นอนอยูขางลางก็โกรธมากๆ ถามวา ใครโวยถายอุจจาระรดเรา ไอ ไกที่อยูขางบนก็บอกวา เพื่อนอยาโกรธเลย ขอโทษดวยไมรูจริงๆ ไมรูวาเพื่อนนอนอยูขางลาง ก็ถายตามปกตินั่นแหละ ไอเจาอยู ขางลางก็บอกวาไมยอม ไมยอมยกโทษให เห็นตัวเราเปนสวมหรือยังไง เปนที่ถายอุจจาระหรืออยางไร แลวก็คุยอวดเสียเลยวาเจานะไมรูจักอานุภาพของเรา วาผูใดไดกินเนื้อของเราแลวพรุงนี้เชาตรูก็จะไดทรัพยพันหนึ่ง ไกที่อยู ขางบนก็บอกวา เราก็บอกแลวเพื่อนเอย บอกแลววาไมรู ไมรูจริงๆ ก็ยังโกรธ เพียงเทานี้ก็ยังทําอัสมิมานะ อหังการมากเหลือเกิน คิด วาเราไมมีอานุภาพหรืออยางไร เรามีอานุภาพเหมือนกัน ใครไดกินเนื้อล่ําของเรา ผูนั้นจะไดเปนพระราชาพรุงนี้ แลวก็ใครไดกินเนื้อกลางๆของเรา ผูนั้นจะไดเปนเสนาบดี ถาใครกิน เนื้อติดกระดูก ผูนั้นจะไดเปนขุนคลัง วาอยางนั้น เนื้อกลางๆ นีไ่ มรูเนื้ออยางไร เนื้อล่ําก็คือเนื้อที่เปนกอนเปนล่ํา เนื้อกลางๆ หรือวา ทามกลางระหวางเนื้อล่ํากับเนื้อติดกระดูก คงเปนอยางนั้น เด็กหนุมโปติกะที่เปนลูกของชางชุน ลุกขึ้นตอนเชานวดเทาใหกับนิโครธกุมารอยู ไดยินคําที่ไก 2 ตัวนั้นคุยกัน ก็คอยๆไต ขึ้นไป คอยๆปนขึ้นไปจับเอาไกตัวบน เอาตัวเดียวจับเอาไกตัวบน แลวก็เอามาฆาแลวก็ปง แลวก็แบงเนื้อล่ํา เอาเนื้อล่ําใหนิโครธ กุมาร เอาเนื้อกลางใหกับสาขะ สวนตัวเองก็เอาเนื้อติดกระดูก เสร็จแลวก็บอกความจริงใหทราบวา อานุภาพของเนื้อไกนี้จะเปน อยางไร ตามที่ไกเขาคุยกัน ทานฟงนิทานตองฟงอยางนิทานนะครับ อยาเพิ่งคิดวาเปนไปไมไดแลวก็ไมฟง ตองฟงอยางนิทานแลวเดี๋ยวทานจะพอทราบ วานิทานเปนของดี มีคติ มีคติอยูในสังคมมนุษย
21 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ทั้ง 3 คนกินเสร็จแลวก็เขาไปในเมืองพาราณสี ไปกินขาวในเรือนของชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ออกจากที่นั้นแลวก็ไปยัง พระราชอุทยาน นิโครธกุมารนอนอยูบนแผนศิลา แผนหินนะครับ นอนเลนอยูบนแผนหิน เพื่อน 2 คนนั้นก็นอนอยูขางลาง นอน ใกลๆ กัน ตามเรื่องวาเวลานั้นพระเจากรุงพาราณสี สวรรคตได 7 วันแลว ทีนี้ทานก็ไมมีพระราชโอรสที่จะสืบราชสมบัติ ก็เปน หนาที่ของ อํามาตยราชปุโรหิตปลอยมา รถมาเรียกบุษปะ มาสีขาว รถเทียมดวยมาสีขาว เปนมามงคลใหไปเสี่ยง ใครคือวามาตัวนี้ ไปหยุดอยูที่ใครก็เชิญคนนั้นเปนพระราชา รถมาก็วิ่งมาที่พระราชอุทยาน แลวก็มาเกยอยูที่ที่นอนของนิโครธกุมาร ราชปุโรหิตได ตรวจดูลักษณะของนิโครธกุมารที่พระบาทที่ฝาเทา แลวรูวาคนนี้เปนผูมีบุญไดใหประโคมดนตรีขึ้น แลวก็เชิญไปอภิเษกเปน พระราชาครองราชยสมบัติในกรุงพาราณสี เรื่องทํานองนี้ในสมัยปจจุบันก็มี ไมใชไมมี แตวามันคนละแบบกัน เมื่อกอนนี้เขาใชรถมาแตเวลานี้เขาใชรถเกง ใชรถเบนซ ไปเชิญคนมาเปนอะไรตออะไร เชิญคนมาเปนรัฐมนตรี ไปเชิญมาเปนนายกรัฐมนตรีกม็ ี อยูๆ ก็ไมไดไปสมัครเปนผูแทน ไมเลน การเมือง ไมไดไปทําอะไรเขาก็ไปเชิญมาเปนนายกรัฐมนตรี จนถึงกับวากษัตริยบางพระองค เขาก็ไปเชิญมาใหเปนพระเจาแผนดิน อันนี้ก็เหมือนกับราชรถมาเกย เรียกวาราชรถมาเกยก็ทํานองเดียวกัน เมื่อพระเจานิโครธเปนพระราชาแลว ก็พระราชทานตําแหนงเสนาบดีใหกับสาขะกุมาร สวนโปติกะนี่ก็ยังไมไดตําแหนง อะไร ยังคงเปนสหายของพระราชา วันหนึ่ง พระราชานิโครธทรงระลึกถึงพระราชมารดาพระราชบิดาที่อยูเมืองราชคฤห ขอรองใหโปติกะไปเมืองราชคฤห เพื่อ ไปรับบิดามารดาทั้งสองมาที่เมืองพาราณสี โปติกะก็ไป ไปกราบเรียนทานทั้งสองใหทราบเรื่องราวตางๆ แตทานทั้งสองไมยอมมา ดวยเหตุผลอะไรก็ไมทราบได โปติกะกลับมาคนเดียวที่เมืองพาราณสี ราชคฤหกับพาราณสีนี่ไกลกัน ก็คิดวาเราเดินทางมาเหน็ด เหนื่อย จะไประงับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยลาในการเดินทางที่เรือนของเสนาบดีกอนที่จะไปเขาเฝาพระราชา ไปที่เรือนของสาขะ เสนาบดี แลวใหคนไปบอกวาโปติกะผูเปนสหายมาหา สาขะเสนาบดีนี่เปนคนไมดี เปนคนอกตัญู ไดผูกเวรผูกใจเจ็บในโปติกะ วาโปติกะนี้ลําเอียงมีอคติไมใหเขากินเนื้อไกที่ เปนเนื้อล่ํา ถาเขาไดกินเนื้อล่ําแลวเขาก็จะไดเปนพระราชา แตวากลับใหเนื้อล่ําแกนิโครธกุมาร ก็โกรธผูกใจเจ็บมาตั้งแตนั้น แลวก็ บอกทูตที่มาติดตอนั่นแหละ บอกวา ใคร...ใครเปนสหายของเขาใครเปนสหายของเจาคนนี้ มันเปนคนบา มันเปนลูกทาสี ใหจับมัน ไวแลวก็ใหคนใชไปทุบตีโปติกะ ทั้งเตะทั้งขึ้นเขาทั้งลงศอกแลวก็ไลออกไป
22 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
โปติกะคิดวาสาขะนี้เปนคนอกตัญูประทุษรายมิตร นิโครธนั้นเปนสัตบุรุษ เราก็จะไปยังที่สํานักของทานบัณฑิตนิโครธ แลวก็ไปกราบทูลพระราชาใหทรงทราบวา มารดาบิดาไมยอมมา ฝายเสนาบดีสาขะก็คิดวา โปติกะคงจะไปยุยงพระราชาใหเกลียด ตัว ก็เลยรีบไปเหมือนกันไปเฝาพระราชา โปติกะก็ไดกราบทูลตามความเปนจริงวา เสนาบดีไดกระทําอยางไรกับตัว พระราชาก็ทรงเชื่อ โปติกะนั้นเปนคนดีเปนคนซื่อสัตย แลวทรงกริ้วรับสั่งใหประหารชีวิตสาขะเสนาบดี แตโปติกะนั้นเปน คนดี เปนคนมีเมตตาปรานีแนบแนนในสันดาน ซึ่งจะพูดในขอตอไป เปนคนที่มีความเมตตาปรานีแนบแนนในสันดาน จึงไดขอ ชีวิตของสาขะเสนาบดีเอาไว วาขอใหพระองคทรงยกโทษกับอสัตบุรุษดวยเถิด คือเปนคนไมดี พระราชาก็ทรงยกโทษใหกับสาขะ แลวก็ไมปรารถนาจะเลี้ยงตอไป มีพระประสงคจะพระราชทานตําแหนงเสนาบดีใหกับโปติกะ แตโปติกะไมปรารถนาไมตองการ ตําแหนงเสนาบดี จึงไดพระราชทานตําแหนงขุนคลังให ถาเปนสมัยนี้ก็คือเปนรัฐมนตรีกระทรวงคลัง มีอํานาจสิทธิขาดในการพิจารณางบประมาณหรือจัดกิจกรรมงบประมาณอะไร ตางๆ เพราะเปนตําราทานก็บอกทํานองนั้น ในกาลตอมาโปติกะ ซึ่งเปนภัณฑาคาริก ก็เจริญดวยบุตรธิดา เมื่อจะสั่งสอนบุตรธิดาก็ กลาวขอความทํานองนี้ บอกวาควรคบบัณฑิตเชนนิโครธเทานั้น ไมควรคบคนเชนสาขะเสนาบดี ตายในสํานักของโครธประเสริฐก วา มีชีวิตอยูในสํานักของสาขะ การมีชีวิตอยูในสํานักของสาขะ ไมประเสริฐอะไรเลย เรื่องนี้จบนะครับ เรื่องสหาย 3 คนนี้จบ ชาดกนี่ เราตองรูจักเลือกเอา เหมือนกับวาเราสั่งแกวจากตางประเทศมา หรือสั่งแกวหรือถวยชามจาก กรุงเทพฯ ไปตางจังหวัด เขาไมไดสงไปเฉยๆ หรอกครับ เขาตองใสลังไป แลวก็มีกระดาษหนังสือพิมพ มีฝอยอะไรตออะไรใสไป ดวย เพื่อกันไมใหถวยชามแตก เวลาเราเอาถวยชามซอนๆกันนี่ แหม! เราก็ยังเอากระดาษหนังสือพิมพมาหุมเปนชั้นๆกันไมใหมัน กระแทกกันแตก จุดประสงคก็คือสงถวยชามหรือสงแกว ยิ่งเปนของที่บอบบางมีราคามาก เขายิ่งใชเครื่องปองกันที่หนามาก เปนลัง ที่หนาแนนเปนอะไรที่ดีมากและเมื่อเราไดรับแลว เราจะเอาอะไร เราจะเอาขี้ฝอย จะเอากระดาษหนังสือพิมพ จะเอาลังหรือจะเอา แกวหรือถวยชาม เขาสงถวยชามมาใหเรา เราคงไมโงพอที่จะเอาถวยชามทิ้งไป เอาแกวทิ้งไปแลวก็เอาขี้ฝอย เอากระดาษ หนังสือพิมพแลวก็เอาลังใชไหมครับ เราก็ตองคิด เราตองรูวานี่คือเขาตองการจะรักษาแกว ตองการจะรักษาถวยชาม เขาจึงใสสิ่ง เหลานี้มาดวย บางเรื่องชาดกนี่ทานเลาเอาไว ไกพูดไดอะไรพูดได เรื่องมันก็เปนทํานองนั้น แตวาทานคงต คติใหอะไรแกเรา ไมควร ปฏิเสธเรื่องเหลานี้ เพราะวาเปนองคหนึ่งในนวังคสัตถุศาสน หรือเรียกวา (ชา-ดะ-กะ) คราวนี้ผมจะถอดความคือ ความเปนผูมีบุญ ก็คือคนมีบุญอยางเด็กคนนั้น แมจะเปนลูกของผูหญิงเข็ญใจ เขาคลอดแลวก็ทิ้ง ไวที่ใตตนไทร แตเนื่องจากวาเปนคนมีบุญ ไดทาํ บุญไวมาก เปนพระโพธิสัตว ก็ใหคนมีบุญมาเจอเขา เปนลูกสาวเศรษฐีเปน ลูกสะใภใหญ มาเจอเขา เขากําลังตองการลูกอยูพอดี ก็เอาไปเลี้ยง แลวพอดีเขาก็เปนคนดี ตอมาไดเปนพระราชาเพราะวาสนาดี เพราะมีบุญดีนั่นเอง 23 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
อีกคนหนึ่งเพื่อนของเขาคือสาขะ ไดเปนเสนาบดี นี่ก็เบื้องตนเปนผูมีบุญเหมือนกัน ความเปนผูมีบุญที่ไดทําไวกอน เปน มงคลอันสูงสุดอยางหนึ่ง คําวากอนอาจจะหมายความถึงตั้งแตเมื่อวานนี้แลวก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ ไปจนถึงเมื่อชาติกอนนี้ก็ได กี่ชาติ มาก็ไมรู ถอยหลังไปเรื่อยๆ ก็ถือวาไดทําไวกอน เพราะฉะนั้น ก็ตองหมั่นทําบุญวันละเล็กละนอยเทาที่จะทําได ไดเทาไหรก็เอาเทานั้น มันเปนการสะสมบุญวันละนอย นาน วันเขามันก็มากขึ้น เหมือนกับน้ําหยดลงทีละนอยทีละหยด ก็เต็มภาชนะเต็มตุมเต็มใบได อยาประมาทบุญกรรมหรืออยาดูหมิ่นบุญ กรรมจํานวนนอย จะไมตอยต่ําตองสนองผล ดูตุมน้ําเปดหงายกลางสายชล ยอมเต็มลนไปดวยอุทกที่ตกลง นี่เปนกลอนที่จําเขามา ไมทราบใครเปนคนเขียน ไดฟงทางวิทยุบอยๆ เมือ่ กอนนี้จําเขามา ที่สําคัญประการหนึ่งก็คือ นิโครธเขาเปนคนที่ตั้งตนไวชอบ เพราะอัตตสัมมาปณิธิ เปนมงคลอีกขอหนึ่งเหมือนกัน ตั้งตนไว ชอบตั้งตนไวดี เมื่อตั้งความดีประกอบไปดวย ปุพเพกตปุญญตา หนุนเขาดวยมันก็ยิ่งไปไดมาก เพียงแตตั้งตัวดีอยางเดียว แมไมมีปุพ เพกตปุญญตา ก็ยังไมได แตวาตรงกันขามแมจะมี ปุพเพกตปุญญตา แตวาตั้งตนไวไมชอบก็พินาศได เพราะฉะนั้น ขอสําคัญมากก็ตั้ง ตนไวชอบในปจจุบัน นั่นเปนประการแรกที่ไดจากนิทานชาดกเรื่องนี้ ประการตอมาเรื่องไกที่มันทะเลาะกัน ไกตัวที่อยูขางลาง เมื่อถูกถายเวจหรืออุจจาระรดแลว มันก็อวดอานุภาพของมัน ไกตัว บนก็อวดบางวารูหรือไม วารูหรือเปลาวาเรามีอานุภาพอยางไร ถาใครไดกินเนื้อล่ําของเราจะไดเปนพระราชา ใครไดกินเนื้อกลาง ทามกลางก็จะไดเปนเสนาบดี ใครไดกินเนื้อติดกระดูกก็จะไดเปนขุนคลัง ก็อวดกันไปกันมา โปติกะที่อยูขางลาง ก็ยองไปจับ จับมา ปงเสีย แลวก็เอาเนื้อล่ําใหกับนิโครธ ซึ่งเปนหัวหนาเปนเจานายเขาโดยตรง แลวยังมีน้ําใจเอาเนื้อกลางใหกับสาขะ แลวตัวเองยอม กินเนื้อติดกระดูก ทําใหเราไดคติวามีดีแลวอยาอวด ก็เก็บไวใชเมื่อจําเปนจริงๆ ถึงเอาออกมาใช เหมือนคนมีดาบคมมีมีดคมเขาตองใสฝกเก็บ ไวใหดี อยาเที่ยวแกวงดาบหรตัวเอง อันตรายแกผูอื่น ก็เก็บไวใหดี และถึงคราวจําเปนคอยเอามาใช มีดีก็อยาอวด เอาไวใชเวลา จําเปน อวดแลวก็อาจถึงตายเหมือนไกตัวบน สาเถยยะ แปลวา โออวด เปนอุปกิเลสอยางหนึ่ง ซึ่งคนโดยทั่วไปก็มี อยากจะอวด มีอะไรแลวไมไดอวดมันก็ขลุกขลิกอยูขาง ใน อยากจะอวด แตวาผูที่ศึกษาธรรมแลวก็สําเหนียกดีแลว ตระหนักดีแลว เขาก็ตบมันลงไป มันคิดอยากจะอวดแตเขาก็พยายามตบ มันลงไป ไมใหมันโผลขึ้นมา คนที่อวดมั่งมีอวดทรัพยสมบัตินี่ก็อันตราย เวลานี้มีทองหยองสายสรอยตองเก็บไวใหดี ถาไมมี
24 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
อารักขาดีๆ แลวก็เที่ยวใสอวดคน มันอันตรายลอหูลอตาพวกโจรขโมย พวกนักเลงเยอะ เอาไวใชเวลาจําเปนคิดวาจะปลอดภัย ก็มี เรื่องนาคิดนะครับ มันมีเรื่องนาคิด ทางโลกนี่เขาพยายามปดความชั่วแลวเปดเผยความดี เราปกปดความชั่ว อวดความดี มีดีอะไรก็เอามาอวดกัน แตวาทางธรรมนี่ พระพุทธเจาทานใหเก็บความดี แลวก็เปดเผยความชั่วของตัว แลวก็เปดเผยความดีของผูอื่น ก็ปกปดความดีแตวา เปดเผยความชั่วของตัว แตวาใหเปดเผยความดีของผูอื่น ตัวอยางเชน ถามีคุณวิเศษอะไร อยางพระสงฆนี่ถามีคุณวิเศษอะไร เชน ได ฌานไดวิปสสนา ไดสมาธิสมาบัติ ไดมรรคผล นิพพานอะไรนี่ทานใหปดเอาไว ไมใหบอกใคร ถาบอกเปนอาบัตินะ บอกแก ชาวบาน บอกแกประชาชน แมแตสามเณรก็บอกไมได เขาเรียกวา อนุปสัมบัน คือผูที่ยังไมบวช จะบอกไดบางก็เฉพาะพระภิกษุ ดวยกัน บอกไดบางดวยเจตนาที่จะใหเปนแนวทางในการที่จะปฏิบัติ ถามีดีทานใหปกปดเอาไว แตถาไปทําความชั่วไปทําความผิดทานใหเปดเผย เชนไปทําไมดีแลวก็เปนอาบัติ เปนอาบัตินี่ตอง มาเปดเผยอาบัติ ที่เรียกวาแสดงอาบัติ มาเปดเผยใหพระอยางนอยรูปหนึ่งไดรู ถาเปนความชั่วหนักหรืออาบัติหนักก็ตองเปดเผยกับ พระเปนจํานวนมาก อยางนอยก็ 20 รูป แลวก็ตองกักบริเวณ ตองทําโทษ ลงโทษตัวเอง กักบริเวณหามไมใหใครกราบใครไหว หาม ตั้งหลายอยาง นี่ก็ทําความผิดแตตองเปดเผยตอหนา ปดความดีแลวก็เปดเผยความไมดี แตถาเปนความดีของคนอื่นก็ใหเปดเผยความ ดีของผูอื่น อันนี้เปนคติที่เราไดจากชาดก เรื่องนี้วามีดีแลวอยาอวดตองพยายามเก็บเอาไว อวดความรู อวดมั่ง อวดมี อวดเดชศักดา อวด อะไรตออะไรมันไมดีทั้งนั้น เจียมเนื้อเจียมตัวดีกวา สงบเสงี่ยมเจียมตัวดีกวา ความออนนอมถอมตนเปนสิ่งที่ลงทุนนอยที่สุด แตก็ ไดผลมากที่สุด แลวก็ใหชวยกันจําเอาไวแลวก็นําไปใช ความออนนอมถอมตนเปนสิ่งที่ลงทุนนอย แตวาไดผลมากที่สุด มาดูเรื่องของสาขะเสนาบดี ก็ไดตําแหนงเสนาบดี เพราะโปติกะเปนคนขึ้นไปจับไกแลวเอามาแบงให เอาเนื้อล่ําใหกับ นิโครธ เอาเนื้อกลางใหกับสาขะ ใครไดกินเนื้อกลางจะไดเปนเสนาบดี สาขะไดตําแหนงเสนาบดีก็เพราะโปติกะ แตกลับทํารายโปติกะเพราะความไมพอใจ ที่ไมใหเนื้อล่ําซึ่งเปนเหตุใหตนจะได เปนพระราชาแตกลับไปใหคนอื่น ในที่สุด ตําแหนงเสนาบดีนั้นก็หลุดรวง แลวตนเองก็ตกต่ํา ตกต่ําเหลือเกิน แลวพระราชาสั่งให ประหารชีวิต แตวาโปติกะเปนคนหามเอาไว ขอรองวาอยาใหถึงชีวิตเลย พระราชาเห็นแกโปติกะซึ่งเปนคนดีเปนบัณฑิต ก็ยอมแตวา ไมเอาแลวไมคบแลวไมเลี้ยงแลว
25 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
นี่ครับมันนาจะพอ วาตามความเปนจริงแลวอยูเฉยๆ ไมตองขวนขวายไมตองดิ้นรนอะไรแลวไดเปนถึงเสนาบดี ก็ควรจะ พอใจ มันเกินพอเสียดวยซ้ําไป สําหรับคนที่เปนคนดี รูจักมักนอยสันโดษ รูจ ักเพียงพอ รูจักพอก็นาจะพอ มากเกินไปดวยซ้ําไป เพราะฉะนั้น ทานจึงกลาวเอาไวในที่แหงหนึ่งในชาดก วา อกตฺุสฺส โปสสฺส นิจฺจํ วิวรทสฺสิโน สพฺพฺเจ ปฐวิ ทชฺชา เนว นํ อภิราธเย แมจะใหแผนดินทั้งหมดแกคนอกตัญู มีปกติแสหาโทษของคนอื่นอยูเสมอแลว ก็ไมทําใหเขาพอใจได ไมตองให เล็กนอยหรืออะไร ใหแผนดินทั้งหมดก็ทําใหพอใจไมได อีกแหงหนึ่งทานบอกวา อคฺคิกฺขนฺโธ สมุทฺโท จ กองไฟมหาสมุทร คนมักมากแมจะใหปจจัยเต็มเลมเกวียน ใหสิ่งของ มากมายก็ทําใหอิ่มไมได หรือกองไฟไมอิ่มดวยเชื้อ ใสลงไปเทาไหรมันกินหมด ไหมหมด มหาสมุทรไมอิ่มดวยน้ํา แลวคนมักมาก มหิจฺโฉ ปาปปุคฺคโล คนมักมากใหเทาไหรไมรูจักพอ แตตรงกันขามคนที่มักนอย ไดนอยก็เหมือนไดมาก มันอยูที่ความพอใจ รูจัก พอดวยความตองการ เราตองการนอย ไดนอยก็เหมือนไดมาก ถาตองการมาก ไดมากก็เหมือนไดนอย อีกคนหนึ่ง ที่เปนคนสําคัญในเรื่องนี้คือโปติกะ เปนนองกวาผูอื่น แตวาเปนบัณฑิต เปนคนนารัก แมจะเปนลูกชางชุน แตก็ เปนคนที่มีอุปนิสัยที่ดีงาม มีธรรมมีความกตัญูกตเวที มักนอย ขนาดตัวจับไกไดเอง ถาไมบอกผูอื่น กินซะคนเดียวก็ได แตก็ อุตสาหเอาของดีๆ สวนที่ดีๆ ใหคนอืน่ แลวตัวเองก็กินสวนที่เรียกวานอยที่สุด อยูในฐานะที่ต่ําตอยที่สุด แตในที่สุดคนดี ความดีก็จะ คอยๆ สงขึ้นมาใหไดตําแหนงที่ดี ใหไดอะไรที่ดี แลวในที่สุดโปติกะก็ไดดี เพราะความเปนคนดี อันนี้ก็วิเคราะหหรือวิจารณเรื่องที่ เลามา มันมีคติอยูมากมาย จะขอเลาอีกเรื่องหนึ่งเปนเรื่องของ 1 คน 3 สัตว แตวาตามสํานวนบาลีทานเรียกสัตวทั้งหมดเลย บางทีก็ใชคําวา 4 คน หรือ ชน 4 คน ในเรื่องก็มีคน 1 คน กับสัตวอีก 3 ชนิด สมัยกอนโนนนานมาแลว พระโพธิสัตวเปนดาบส อาศัยอยูที่บรรณศาลาใกลฝงแมน้ําคงคา ครั้งนั้นพระราชโอรสของพระ เจากรุงพาราณสี ไดพระนามโดยเปนเนมิตกนาม คือชื่อที่คนเขาตั้งให ทุฏฐกุมาร ถาพอแมตั้งไมมีใครเขาตั้งชื่อแบบนี้ ทุฏฐกุมาร แปลวาคนประทุษรายคน แลวก็เปนคนกักขฬะ เปนคนหยาบคาย ไมเปนที่ชอบใจของใครตอไป คนทั้งหลายไมชอบ ไมพอใจวาเห็นพระราชกุมารแลวก็เหมือนผงธุลีเขาตา หรือวาเหมือน ปศาจ ที่มาเพื่อจะกินตับกินปอด กินเนื้อกินตัวอะไรทํานองนั้น
26 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
วันหนึ่งพระราชโอรสองคนี้ทรงเลนในแมน้ําคงคา ตรัสเรียกขาราชบริพารใหพาไปกลางแมน้ํา แลวก็ขอใหพากลับดวย ราช บริพารเห็นไดทีอยางนั้น ก็นําไปกลางแมน้ําแลวก็พากันหนี พระราชกุมารนั่นก็ถูกน้ําพัดไปลําพังผูเดียว ไดเห็นทอนไมทอนหนึ่ง ลอยมา ก็เกาะทอนไมนั้นไปกรรแสงไปดวย เวลานั้นเศรษฐีชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่ง ฝงทรัพยไว 40 โกฏิไวริมฝงแมน้ํา ทีนี้ก็ติดในทรัพย ตายแลวไปเกิดเปนงูอยูที่ บริเวณที่ฝงทรัพยเอาไว แลวก็มีเศรษฐีอีกคนหนึ่งฝงทรัพยเอาไว 30 โกฏิ ใกลๆกันนั้นเหมือนกัน แลวก็ติดใจในทรัพย ผูกพันใน ทรัพย ตายแลวไปเกิดเปนหนูอยูบริเวณนั้น ที่อยูของสัตวทั้งสองนี่นะครับ ก็จมลงไปในน้ํา หมายความวารูของมันจมน้ําลงไป มันก็ ออกมาจากรู แลวก็เห็นทอนไมที่พระราชกุมารเกาะอยู ก็ขึ้นไปนอนบนทอนไมเหมือนกัน ที่ฝง แมน้ํานั่นเองมีตนงิ้วอยูตนหนึ่ง มีลูกนกแขกเตาตัวหนึ่งอยูที่ตนงิ้ว ตนไมนั้นก็โคนลมลงบนผิวน้ํา ลูกนกแขกเตาเห็น ทอนไมก็เขาเกาะแอบอยูเหมือนกัน ตกลงวาทั้ง 4 ชีวิต คน 1 คน แลวก็สัตว 3 ตัว 3 ชนิดก็เกาะขอนไมไป ไดไปใกลกับบรรณศาลา ของดาบสในเวลาเที่ยงคืน ดาบสไดยินเสียงกรรแสงของพระราชกุมาร ก็ไปยังฝงน้ํา มีความเอ็นดูในสัตวหรือคน 1 คนกับสัตว 3 ตัว นั้นก็ยกขึ้นจากแมน้ํา แลวพาไปที่อาศรม กอไฟใหผิง ให 3 สัตวนั้นผิงกอน เพราะคิดวามันมีกําลังนอยกวา ภายหลังก็ใหพระราช กุมารผิง ใหผิงทีหลัง เมื่อใหอาหารก็ใหอาหารแก 3 สัตวกอน แลวก็ใหแกพระราชกุมารภายหลังเหมือนกัน พระราชกุมารนั้นรูเทาไมถึงการณก็คิดอยางเด็ก บอกวาดาบสองคนี้ไมนับถือเรา เพราะวาใหเกียรติหรือนับถือพวกสัตว เดรัจฉานมากกวา แลวก็ผูกอาฆาตในดาบส พักอยูได 2-3 วัน กอนที่จะไปก็คิดในใจวาเราจะฆาดาบสคนนี้ใหได ถาไปหาเราใน ภายหลัง แลวก็กลาวดวยคําหวานวา เมื่อขาพเจาไดอยูในราชสมบัติไดดํารงราชสมบัติแลว ขอใหทานไปหาขาพเจา ขาพเจาจะ อุปฐากบํารุงทานดวยปจจัย 4 ใหบริบรู ณแลวก็จากไป มาถึงงู งูก็ไหวดาบสเปนเหมือนกัน วิธีไหวของงูก็คือ ผงกหัวนั่นแหละ แลวก็กลาวลาบอกวา ทานไดอุปการะแกขาพเจามา ขาพเจาไดฝงทรัพยเอาไว 40 โกฏิ เมื่อทานมีธุระหรือมีกิจธุระที่จะตองใชจายทรัพย ก็ใหไปหาขาพเจาที่นั่น แลวก็เรียกชื่อวา ทีฆะ ทีฆะแปลวายาวนะครับ งูเปนสัตวที่ยาว บางทีก็เรียกทีฆชาติ แลวก็จากไป หนูก็เหมือนกันก็บอกดาบสเหมือนกัน ใหเรียกวาอุนทูระ (อุน-ทู-ระ) วา อุนทูระ อุนทูระ ใหไปหาเขาถาตองการทรัพยเขาก็ ฝงเอาไว 30 โกฏิ ก็มาถึงเรื่องนกแขกเตา นกแขกเตาก็ไห ดาบสดวยวิธีผงกศีรษะนั่นแหละ แลวก็บอกวาทรัพยสมบัติของขาพเจาไมมี แตเมื่อทานตองการขาวสาลีสุก ก็ขอใหไปหาเขา เขามีขาวสาลีสุกที่จะตอบแทนไดบางแลวก็จากไป 27 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
พระราชกุมารจากไปแลวตอมาไมนานนัก ก็ไดดํารงอยูในราชสมบัติ พระโพธิสัตวคือดาบส ผูทําอุปการะเปนบุพการีนี่ใคร จะทดลองสัตวทั้ง 3 กอน มีงูเปนตนนะครับ ก็ไดไปที่อยูของสัตวทั้ง 3 ตัว สัตวทั้งหมดก็ไดออกจากที่อยูของตน แลวก็มาไหวพระ โพธิสัตวคือดาบส พระโพธิสัตวก็กลับจากที่นั่นก็อยากจะทดลองราชกุมาร ซึ่งตอนนี้เปนพระราชาแลว ก็ไปยังพระราชอุทยาน พัก อยูที่นั่น วันรุงขึ้นไดเขาไปยังพระนคร เพื่อภิกขาจาร คือไปขออาหาร ทราบวาในขณะนั้นพระราชาประทับบนคอชาง กําลังจะทํา ประทักษิณพระนคร ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตวนั้นแตไกล ทรงดําริวาดาบสโกงรูปนี้ คงใครจะกินอยูในสํานักของเราจึงไดมา เราจะใหตัดศีรษะของมันเสีย เมื่อมันยังไมทันไดประกาศคุณความดีที่ไดทําไวแกเรา แลวก็รับสั่งกับพวกราชบุรุษใหไปทําตามที่ตัว คิด พวกราชบุรษุ ก็ยังดี ไปแลวก็ไปไหวพระดาบส แลวเฆี่ยนตี แลวก็นําไปที่ทางสี่แพรงนําไปตะแลงแกงที่ฆาคน ทุกแหงทุก ครั้งที่พระโพธิสัตวนั้นถูกเฆี่ยนตี ทานก็จะกลาวอยูอยางเดียววา ไมลอยน้ํามาประเสริฐกวา จริงทีเดียวคนบางพวกในโลกนี้ กลาววา ไมที่ลอยน้ําไปประเสริฐกวาบางคน ทุกครั้งที่ถูกเฆี่ยนถูกตีถูกทําราย ทานก็จะพูดแตคํานี้ เมื่อเปนอยางนี้ คนที่เปนบัณฑิตในจํานวนคนเหลานั้นไดฟงคํานั้นแลวก็เกิดเฉลียวใจขึ้นมาก็ถามทานวา ทานมีคุณมีบุญคุณ อะไรไดทําไวกับพระราชาของพวกเราหรือ พระโพธิสัตวก็ไดบอกความจริงทั้งหมด พวกมนุษยพวกนั้นไดฟงแลวก็รูสึกโกรธมาก วาพระราชาองคนี้เปนผูประทุษรายมิตร ไมรูแมสักวาคุณของผูที่ใหชีวิตแกตน พวกเราอาศัยพระราชานั้นจะใหความสุขแกเราได อยางไร แลวก็ชวนกันจับพระราชา ตางก็ลุกฮือขึ้นสําเร็จโทษพระราชานั้นเสีย แลวก็วิธสี ําเร็จโทษนั่นก็ประชาทัณฑนั่นแหละ หลาว บาง หอกบาง กอนหินบาง ไมคอนบาง แลวก็จับเทาทั้งสองลากไปไวที่หลังคูน้ํา แลวก็อัญเชิญพระโพธิสัตวขึ้นเปนพระราชา พระโพธิสัตวทรงครองราชยโดยธรรม แลวเสด็จไปยังที่อยูของสัตวทั้ง 3 มีงูเปนตนนะครับ ทรงรับเงิน 70 โกฏิทั้งงูและหนู ไดถวาย แลวก็พาสัตวทั้ง 3 นั้นไป ภายหลังก็รับสั่งใหทําที่อยูใหสัตวทั้ง 3 คือ ใหทําปลองทองเปนที่อยูของงู ถ้ําแกวผลึกเปนที่อยู ของหนู กรงทองเปนที่อยูของนกแขกเตา แลวก็รับสั่งใหพระราชทานขาวตอกมีรสหวานแกงูและนกแขกเตา ขาวสารที่มาจากขาว สาลีที่หอมแกหนู นี่ก็เปนความกตัญูอีกอยางหนึ่งของพระราชาองคใหมนะครับคือทานที่เปนดาบส เรื่องก็จบเทานี้นะครับ เรื่องนี้มีคติอยางไรลองมาดูวา เรื่องคนเรื่องสัตวที่เปนชาดกอยางนี้มีคติอยางไร ละมุนละมอม อีกวิธีหนึ่งก็คือกลาวโทษ กลาวถึงโทษของความไมกตัญู โทษของความอกตัญู อยางนี้เรียกวาแสดงธรรมโดยวิธีรุนแรง รุนแรงไมไดหมายถึงดาวา แตหมายถึงแสดงโทษใหดู แสดงโทษใหดูอยางนี้เรียกวาแสดงโดยวิธีรุนแรง จะกลาวถึงโทษของผูที่ไมมี 28 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ความกตัญู และเปนตัวอยางที่เราดึงเขามาใชประโยชนในชีวิตประจําวันได นํามาเลาเฉพาะบางเรื่อง เปนเรื่องโบราณๆ แตเอามาใช ในปจจุบันนี้ได เหมือนนิทานอีสป เพราะเลากันไมเบื่อและสนุก ในสมัยกอนมีมหาเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห นําเอาหญิงสาวซึ่งเปนธิดาของเศรษฐีในชนบทมาแตงงานกับบุตรชายของ ตน โชครายหนอยหนึ่งหญิงคนนั้นเปนหมัน ก็รูสกึ วาเดือดรอน เดือดรอนกับเรื่องที่ตัวเปนหมัน เลยคิดจะยอมแมวโดยหลอกวา ตั้งครรภ ทุบหลังมือหลังเทาทําใหบวมขึ้น ทําใหทองโตขึ้น ดวยวิธีเอาทอนผามาพันเขาที่ทองทุกๆวัน ก็ไมมีใครรูหรอกครับ มีแต หญิงรับใชคนหนึ่งที่รู เปนอันรูกัน หญิงรับใชนี่เรียกวาใจเดียวคอเดียวกัน พอลวงไป 9 เดือน ก็ลาพอผัวลาแมผัวลาสามีวาจะไป คลอดที่บานเดิมที่ชนบท ที่บานพอแมของตัวเอง ในขณะที่เดินทางไป ขณะนั้นมีผูหญิงเข็ญใจคนหนึ่งเดินทางไปเหมือนกัน เดินทางดวยเกวียน แลวคลอดบุตรที่โคนตนไทร ตนหนึ่งในระหวางทาง เกวียนจะตองออกเดินทางแตเชาตรู ผูหญิงคนนี้คิดวา เราจะไมไปกับพวกเกวียนก็ไมได จะตองไปกับพวก เกวียน จะอุมลูกไปดวยก็ลําบาก ก็เลยทิ้งลูกเอาไวพรอมรก ทิง้ ลูกเอาไวที่ใตตนไทร ทานบอกวาเทวดาที่อยูที่ตนไทรชวยรักษาเด็ก เอาไว แลวก็โชคดีที่เด็กคนนั้นเปนพระโพธิสัตว เด็กที่ถูกทิ้งเปนพระโพธิสัตว หรือเปนอดีตของพระพุทธเจา พระพุทธเจาเรานี่ เปนมาทุกอยาง กระทั่งคนรวยทั้งคนจน ทั้งไดรับการประคบประหงม ทั้งถูกทิ้ง อะไรเปนมาทุกอยาง ดูสิคนที่มีบารมีดีอยางนี้ ฟง ตอไปก็รูวาบางทีเกิดมาในสถานะที่ลําบาก แลวก็ถูกแมทิ้ง ฝายธิดาเศรษฐี เดินทางไปถึงที่นั่น คิดวาเราจะไปทําธุระสวนตัวสักหนอยจะหนักหรือจะเบาก็ไมรู ก็เขาไปที่โคนตนไทร เห็นเด็กนอนอยูผิวพรรณสวยมาก เลยบอกหญิงรับใชวา เอาละ เราไดเรื่องแลวสิ่งที่เราจะตองไปที่ตระกูลญาติหรือที่บานดวยกิจอัน ใด กิจอันนั้นสําเร็จแลว เราไดเด็กแลว แลวก็เอาทอนผาออก คือเปลื้องผาของตัวเองออก เอาเลือดเอาอะไรที่ติดเด็กอยูมาทาที่ ทองนอย ทําทีเปนวาเหมือนคลอด ก็เลยกลับไปบานสามีบานพอผัวแมผัว อุมเอาเด็กกลับไป แลวก็บอกวาคลอดลูกแลว บังเอิญจริงๆ ในวันนั้นหญิงสะใภของเศรษฐีนอยหรือไมใชมหาเศรษฐี เปนอนุเศรษฐี หญิงสะใภของอนุเศรษฐีคนหนึ่งก็ได คลอดบุตรเหมือนกัน แตวาคลอดที่ใตกิ่งไมแหงหนึ่ง ตั้งชื่อวาสาขะ คนที่คลอดใตตนไทรที่เขาทิ้งนั้น ชื่อนิโครธ และในวันนั้นเอง ภรรยาของชางชุน ที่อาศัยมหาเศรษฐีอยูก็คลอดบุตร คลอด เบื้องแรกประการแรก เราลองพิจารณาดูวา พระราชกุมารนี่เปนคนกักขฬะหยาบคายหยาบชา ไมเปนที่พอใจของใครๆ เมื่อ ไดโอกาสเขาก็เหมือนพระราชกุมารคนนี้ คือธรรมดาคนกักขฬะ คนหยาบชาหยาบคายก็ไมมีใครชอบ เขาชอบคนที่นุมนิ่ม นุม นวล ออนหวานเปนคนดี เปนคนที่ใหเกียรติผูอื่นไมใชใชอํานาจบาตรใหญหรือกักขฬะ อยางพระกุมารที่ถือตัววาเปนพระราชกุมารแลวก็ ขมเหงคนอื่น พอไดโอกาสเขาก็ทํารายเอาบาง 29 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ประการที่สองนะครับ เมื่อถึงคราวจําเปน แมทอนไมก็พึ่งพาอาศัยได อยางที่ทอนไมทอนหนึ่ง เมื่อฝนตกน้ําทวม หรือวา พระราชากับราชกุมารไดอาศัยเกาะทอนไมไป ก็รอดชีวิตได เพราะทอนไมนอยๆ สัตว 3 ตัวนี้ก็ไดอาศัยทอนไมนั้นไป จนไดผูใหญผูมีความกรุณาที่ชวยเหลือเอาไว หรือวาจะชะลอชีวิต เอาไว จนกวาจะไดผูมีความกรุณาชวยเหลืออีกทีหนึ่ง เขาเรียกวา ลอยเรือนอยคอยเรือใหญ เหมือนกับวาถึงคราวจําเปนเราก็อาศัย อะไรไปกอนเล็กๆ นอยๆ คอยเรือใหญที่จะขึ้นเรือใหญ กอนที่จะขึ้นเรือใหญได เพราะฉะนั้น อยาดูถูกดูหมิ่นสิ่งเล็กนอย บางทีเงิน เล็กนอยก็พอเลี้ยงชีพได อาหารเล็กนอยทรัพยเล็กนอย ขาวเล็กนอย ก็พออาศัยประทังชีวิตไปได ทรัพยคนดีมีนอยพลอยไดพึ่ง เหมือนน้ําบึงน้ําบอพออาศัย ทรัพยคนชั่วมากมีตระหนี่ใน ดื่มไมไดน้ําสมุทรมันสุดเค็ม พึ่ง ไมไดก็เหมือนน้ําสมุทรอันสุดเค็ม คือเหมือนน้ําในมหาสมุทร แมจะมีมากแตก็ดื่มไมได ถาเปนทรัพยคนดี แมจะมีนอยก็พึ่งได หรือ ถาเปนทรัพยของเราเอง แมจะมีนอยก็พึ่งไดก็คือใชเมื่อไหรก็ใชได มีทรัพยใชเมื่อไหรก็ใชได ไมใชวาจะมีความรูอยูในตํารา มีทรัพย อยูในมือผูอื่น เวลาใชทรัพยก็ไมเปนทรัพย ความรูก็ไมเปนความรู มีเพื่อนดีเพียงหนึ่งไมถึงรอย ดีกวารอยเพื่อนคิดริษยา เกลือหยิบ หนึ่งแมนอยดอยราคา ยังดีกวาน้ําเค็มเต็มทะเล อันนี้กลอนจํานะครับ ไมไดแตงเองหรอกกลอนจําเขามา เจออะไรที่ดีๆ คนเขาแตง เอาไว แตวาไมทราบวาใครเปนคน หาชื่อคนแตงไมได ไมอยางนั้นก็จะไดออกชื่อเขาดวยเปนการใหเกียรติเขา ดานผูใหญที่ใจกรุณาเชนดาบสก็ทนดูความทุกขของผูอื่นไมได จึงชวยเหลือดวยความเต็มใจ แลวก็ชวยดวยเหตุผลอันสมควร วา ใครควรจะชวยเหลือกอนหรือหลัง แตผูไดรับการชวยเหลือไมเขาใจ จึงคิดประทุษราย เชน ราชกุมารไมเขาใจเขาไมถึงเหตุผล ทําไมทานดาบสจึงชวยสัตว 3 ตัว คือคิดถึงแตตัวไมคิดถึงผูอื่น แลวก็ประทุษรายทานในภายหลัง แตผูมีใจกรุณามีความรู มีหลักมี ความคิดมีเหตุผล ทานจะใชวิธีการตางๆของทาน ใครควรจะชวยกอน ใครควรจะชวยหลัง ใครควรจะชวยเทาไหร ควรจะไดรับ อะไร ทานก็ใหไดรับสิ่งนั้นไป แตวาผูที่ไดรับความชวยเหลือไมเขาใจ ก็กลายเปนโทษไป ไปใหรายทานอยางราชกุมาร ประการตอมาคือ ทุกคนมีอานุภาพของตนมากหรือนอย เชนนกแขกเตามีอานุภาพ งูนั้นก็มีอานุภาพก็มีเงินเยอะ หนูนั้นก็มี เงินเยอะเหมือนกัน แตวานกแขกเตานี่เขาไมมีเงินมาก เขามีอานุภาพในการที่จะใหขาวสาลีได ทุกคนมีอานุภาพของตนมากหรือนอย เทานั้น มีอานุภาพประจําตน เพราะฉะนั้น การตอบแทนผูมีพระคุณก็ควรตอบแทนตามอานุภาพของตน คือเรามีอยางไรก็ตอบแทน ไปอยางนั้น เชน นกแขกเตาไมมีเงินก็ตอบแทนดวยรวงขาวสาลี เปนตนนะครับ หรือวาผูใหญที่มีบุญคุณกับเรา ผูใหญบางทีก็มี บริวารเยอะลูกศิษยเยอะมีคนที่ทานเลี้ยงมาเยอะ บางคนก็ร่ํารวย บางคนก็ยากจน บางคนก็สูงศักดิ์ บางคนก็ต่ําศักดิ์ เราก็ชวยทานตอบ แทนทานไปตามฐานะของเรา เรามีอยางไรมีมะพราวก็เอามะพราวมาให มีหนังสือก็เอาหนังสือมาให มีอะไรก็เอาอันนั้นมาใหทาน ตามฐานะของเรา ไมตองคิดวาของเราเล็กนอย เออ...คนมั่งมีศรีสุขกวาเรา คิดอยางนั้นไมถูก เวลาทานทําอุปการะตอเรา ทานไมได
30 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
คิดวาเราเปนใคร แตทานใหความอุปการะอันเหมาะสมแกเรา เราก็ตอบแทนทานตามความเหมาะสมฐานะของเรา เรามีอะไรเราก็ทํา ไปตามฐานะของเรา อันนี้ประการสุดทายนะครับ หลักการสุดทายคํากลาวของทานดาบสวา ไมลอยน้ํามันดีกวาคนบางคนคือวาไมที่มันลอยน้ํามา ถาเก็บเอาไวแลวตากใหแหงก็ยังเปนเชื้อเพลิงได ทําเปนฟนผิงไฟก็ได หรือวาทําเปนขอนรองเหยียบก็ได ทําเปนไมเทาก็ได ทําอะไร ไดหลายอยาง แลวแตเราจะดัดแปลงทําไป แตคนบางคนนี่ สูไมลอยน้ําไมได คือไดรับความชวยเหลือ แลวกลับมาประทุษรายผูที่ ชวยเหลือ แตถาเปนคนอยางนั้น ก็ถือวาเปนคนอกตัญูกตเวที ในที่สุดตนเองก็ไดรับภัยพิบัติหรือไดรับความพินาศ อยางที่พระราช กุมารนี้ไดรับจากประชาชน ก็ถูกประชาทัณฑ ที่จริงก็ไดดีแลวแตวารักษาไวไมได เพราะเปนคนไมกตัญู เพราะฉะนั้น คุณสมบัติประการหนึ่งที่ทานบอกวา เปนที่ไหลมาแหงโชคลาภ หรือวาสิ่งที่ดีงามทั้งหลายก็คือ การเปนผูรูอุป การคุณของทาน คือความเปนผูกตัญูกตเวที
7. มีความปรานีแนบแนนในสันดาน คําวาสันดานนี่ไมใชคําหยาบนะครับ ในภาษาธรรมะทานใชเสมอ แตในภาษาไทยที่เอามาใชอยู ดูเหมือนจะเปนคําที่ไมคอย ไพเราะ บางทีก็ติดไปถึงเปนคําหยาบ เพราะบางคนเขาบอกวาสันดาน พอเขาบอกวาสันดานก็เจ็บแลว ที่จริงคํานี้เปนคําที่หมายความ วาติดตอกันมา ทําอะไรติดตอกันมา สันตติ แปลวา ตอเนื่อง ทีนี้ที่เปนสันดานนี่มาจากคําสันตานะ ภาษาบาลีเปน สนฺตาน แลวเราก็ มาใชเปนภาษาไทยวาสันดาน กับพระพุทธเจาก็ยังใช ยังมีใชกบั พระพุทธเจา วามีพระสันดานอันบริสุทธิ์ สพฺพโส สุทฺธ สนฺตาโน พระพุทธเจานั้นมีพระสันดานบริสุทธิ์โดยประการทั้งปวง คือไมวาทานเกิดในชาติใด ในสมัยใด เกิดเปนอะไร ทานก็จะเปนคนดี เปนสัตวก็เปนสัตวที่ดี เปนคนก็จะเปนคนที่ดี มีสันดานบริสุทธิ์ หัวขอที่วามีความปรานีแนบแนนในสันดานแลว คือวาไดบําเพ็ญอบรมความปรานีติดตอกันมาเปนเวลานาน จนแนบแนนอยู ในจิตสันดาน คําวา ปรานี หมายความวากระไร มีเขียนอยู 2 แบบ คนที่ชื่อปรานี คือวา แบบ น กับ ณ ถาตามภาษาศาสตร ปรานี ตัวนี้ตอง เขียนดวย น ถาเขียน ณ ก็จะแปลวา ผูมีปราณ แปลวา มีลมหายใจ แตถาปรานีแปลวามีจิตใจออนโยน มีความเอ็นดูตอผูอื่น คือวา รวมเอาเมตตาและกรุณาเขาดวยกัน อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟาสุราลัยสู แผนดิน นี่ก็เปนของลนเกลารัชกาลที่ 6 เทาที่จําไดนะครับ แปลวาตองออกมาจากใจ เปนสิ่งที่ออกมาจากใจ
31 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ปรานีนี่ตรงขามกับทารุณ โหดราย และคนที่มีจิตใจทารุณโหดรายแนบแนนอยูในสันดาน ก็จะแสดงออกในทางทารุณ โหดรายอยูเปนประจํา จะใชคนก็จะใชอยางไมปรานี ตามที่เรามีคําพูดในภาษาไทยวา ใชอยางไมปรานีปราศรัย คือวาใชอยาง โหดราย แลวก็ไมถามไถสุขทุกข ไมอาทร คุณเปนอะไรหรือเปลา คุณเปนไขหรือเปลา คุณไมสบายหรือเปลา คุณหิวหรือเปลา ไมรู ไมเขาใจไมปราศรัยใชอยางเดียว อันนี้เรียกวา ใชอยางไมปรานีปราศรัย ปรานีนี่ก็นาจะรวมเอาเมตตากรุณาเขาดวยกัน ถามตอไปวา เมตตาคืออะไร กรุณาคืออะไร เมตตามีรากศัพทเดียวกับคําวามิตรหรือไมตรี ก็คือมีเมตตา มีเมตตาก็คือ มีไมตรี หรือมีไมตรีจิต มิตรภาพ เมตตานี่เปนสภาพจิตที่มีความออนโยน ปรารถนาสุขตอผูอื่น หวังความสุขตอผูอื่น นําความสุขเขาไปให นี่ คือลักษณะของเมตตา นําความสุขไปให ถึงเขาจะสบายอยูแลว เราก็อยากจะใหเขามีความสุขมากขึ้น ก็เพิ่มความสุขให เวลาเราแผ เมตตา เราก็จะแผวา สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ ขอใหสัตวทั้งหลาย จงมีความสุขเถิด อันนี้แปลวาแผไมเจาะจงเปนสากลหรือทั่วไป เรียกเปนศัพทธรรมะวา อโนทิสผรณา แผไมเจาะจง คราวนี้กรุณา สภาพจิตที่ตองการจะนําเอาความทุกขออก เมตตานั้นนําความสุขเขาไปให กรุณานั้นนําเอาความทุกขของเขา ออก มีความหวั่นใจตอความทุกขของผูอื่น เห็นใครไดรับความทุกขความเดือดรอนก็ทนไมได อยากจะชวยเหลือ การทนไมไดเพราะ ความกรุณาเปนลักษณะของมหาบุรุษ มหาปุริสภาวสฺส ลกฺขณํ กรุณาสโห การทนไมไดเพราะความกรุณาเปนลักษณะของมหาบุรุษ คําวามหาบุรุษในที่นี้หมายถึงผูหญิงดวย หมายถึงวา เปนบุคคลที่ยิ่งใหญ คําวาบุรุษนั้นไมไดหมายถึงผูชายอยางเดียว ถาเปนภาษา ธรรมะแลวก็มาโดดๆ ไมคูมากับอิตถีหรือนารี ก็ใหหมายรวมทั้งผูหญิงผูชาย อยางเชนคําวา ปฺุญฺเจ ปุริโส กยิรา กยิราเถนํ ปุนปฺ ปุนํ ถาคนพึงทําบุญ ก็ใหทําบอยๆ ปาปฺ เจ ปุริโส กยิรา ถาบุคคลพึงทําบาปก็ไมพึงทําบอยๆ อยางนี้นะครับ ปญหาก็คือวา เราจะปลูกฝงอยางไร จึงจะมีความปรานีแนบแนนในสันดาน ขอใหคิดอยางนี้ เราจะมีอะไรแนบแนนอยูในใจ เราตองทําบอยๆ ตองทําบอยๆที่เรียกวา อาเสวนะ คือเสพคุน เสพบอยๆ ทํา บอยๆ แลวหมั่นเจริญอบรมเมตตากรุณาอยูเสมอ เมื่อเราหมั่นอบรมเมตตากรุณาอยูเสมอ จะเขามาอยูในอุปนิสัยสันดาน มันสืบตอ กันเรื่อยๆ ไมขาดสายไมขาดระยะ ถามตอไปวา เจริญอบรมอยางไร ขอใหนึกอยางนี้นะครับ คือเราจะทําอะไรที่เกี่ยวของกับผูอื่นก็ใหทําดวยเมตตา อยาทําดวย ความหวังราย ทําดวยความกรุณา อยาทําดวยความคิดเบียดเบียน วจีกรรม เมตตาวจีกรรม เราจะพูดอะไรกับใครก็ตั้งเจตนาที่จะพูด ดวยเมตตากรุณา ตองการที่จะนําสุขไปใหเขา แลวก็บําบัดทุกขที่เขามีอยู
32 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ประการที่ 3 คือ เมตตามโนกรรม จะคิดอะไรตอใครก็คิดดวยเมตตา คิดดวยกรุณา ไมปองราย ไมหวังราย มีแตความหวังดี แลวคิดจะชวยความทุกขของเขานี้เรียกวา เมตตามโนกรรม พอบานแมเรือนหรือผูหลักผูใหญ ที่ตองการใหลูกหลานเปนคนมีเมตตา ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ ก็ตองพยายามทําตัวเองซึ่งเปนผูใหญใหเปนคนที่มีเมตตา ทั้งทางกาย วาจา และทางใจอยูเสมอ เมตตาตอ เขา เมตตาตอผูเกี่ยวของตลอดจนไปถึงสัตวเดรัจฉาน มีทางที่จะสงเคราะหเอื้อเฟอก็ชวยเหลือมัน ตามฐานะที่จะทําได พวกเด็กเขาจะ เห็นสิ่งเหลานี้อยูทุกวัน แลวเขาก็จะมีจิตใจออนโยน มีเมตตากรุณาเชนเดียวกัน ไมใชใหเขาเห็นแตความโหดรายทารุณ หรือวาความ รุนแรง เวลานี้ทางสื่อมวลชนก็พยายามพูดกันอยูนะครับ วาสังคมของเรามีความรุนแรงกันมากขึ้น ทั้งในกลุมเด็ก ทั้งในกลุมผูใหญ แมแตในวัดบางทีก็มีความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม ถาเผื่อทานติดตามขาว ทางหนังสือพิมพบาง ทางวิทยุบาง ทางโทรทัศนบาง ก็จะ พบความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกวันวา ทําไมสังคมของเรา จึงมีความรุนแรงมากมายขนาดนั้น เพราะวาการอบรมเจริญเมตตากรุณานอยไป แมเราจะไปเนนย้ํากันใหคนมีศีล 5 ใหมศี ีล 5 สักเทาไหรก็ตาม คนก็มีไมได ถา พื้นฐานที่จะใหมีศีล 5 ไมมี พื้นฐานที่จะใหมีศีล 5 ก็คือธรรมะนั่นเอง เมตตากรุณานั้นเปนพื้นฐานของศีลขอ 1 ถาคนไมมีเมตตา กรุณา มันรักษาศีลขอหนึ่งไมได คนตองมีเมตตากรุณาถึงจะรักษาไดโดยไมตองฝน รักษาไดเอง ศีลขออื่นๆ ก็เหมือนกัน ทานมี ธรรมะเปนคูไวแลว ที่เรียกวาเบญจศีลเบญจธรรม เพราะฉะนั้น ก็ตองเนนไปที่ธรรม ใหเขาไดศึกษาธรรม ใหไดเรียนธรรม ใหได ปฏิบัติในสิ่งที่เรียกวาธรรม แลวศีลก็จะรักษางาย ก็มีมาเอง การชวยเหลือดวยเมตตาเปนสิ่งสําคัญ ดังคํากลาวที่วามือที่ชวยเหลือดีกวาคําที่ออนวอน ถามีใครทีเ่ ราพอชวยเหลือได เราก็ ยื่นมือเขาไปชวยเหลือ แทนที่จะนั่งออนวอนแผเมตตาวา ขอใหสัตวทั้งหลายมีความสุขเถิด ก็ไดอยางนั้น แตวาความสําเร็จประโยชน มีนอยกวา อยางถามีขอทานอดขาวโซมาหนาบานเรา เราจะนั่งแผเมตตาวา ขอใหมีความสุขความสุขเถิด มันไมสําเร็จประโยชน เหมือนเอาขาวราดแกงไปใหเขาสักจาน นั่นเขาเรียกวามือที่ชวยเหลือดีกวาคําที่ออนวอน แตก็เอาเถอะถาทําอะไรไมไดก็ออนวอนแสดงความปรารถนาดี คําวาออนวอนในที่นี้คือแสดงความปรารถนาดี เชน ขอให เขามีความสุขเถิด ขอใหเขาพนจากความทุกขเถิด เรียกวาเปนเมตตามโนกรรม ถาเผื่อทําไดก็ทําเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม พรอมดวยเมตตามโนกรรม หลักมีอยูวา เราใหสิ่งใดแกผูอื่นสิ่งนั้นก็จะยอนกลับมาหาเรา ถาเราใหความเกลียดชังแกผูอื่น ความเกลียดชังนั้นก็จะ ยอนกลับมาหาเรา ถาเราใหความหวังดี ความปรารถนาดีแกผูอื่น ความหวังดีความปรารถนาดีนั้นก็จะยอนกลับมาหาเรา การที่เรา
33 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
นอมจิตใหมีความเมตตาปรานีตอผูใด ก็พึงเลือกความดีอยางใดอยางหนึ่งของเขาขึ้นมานึก ถาเราจะมีเมตตาปรานีตอผูใดแลว ก็ตอง เลือกความดีอยางใดอยางหนึ่งของเขาขึ้นมานึก คือวา ดีก็ดีไมทั้งหมดหรอก ชั่วก็ชั่วบางแตก็ไมไดชั่วทั้งหมด อยางที่ทานอาจารยพุทธทาสบอกวา จะหาคนดีโดยสวนเดียว อยามัวเที่ยวคนหาสหายเอย มันหาไมไดมันไมมี ตองมีสวนไม ดี โสภาคฺยํ แปลวา สวนดี โทภาคฺยํ สวนไมดี ก็มีอยูท ุกคนนะครับ จะมากหรือนอยเทานั้น แตวามีในสวนที่เราอภัยใหได หรืออภัยให ไมได ถามีสวนที่ไมดีสวนที่เราไมไดถือสา มันก็งายในการที่จะนึกถึงความดีของเขา และก็ลืมความไมดีของเขาเสีย แตถาเขามีสวน ไมดีที่เราถือมากๆ มันก็ยาก ยากที่เราจะลืมไดหรือที่จะแผเมตตาไปยังเขาไดโดยงาย ถึงอยางไรก็ลองพยายาม เพราะวาจะหาคนถูกใจมากๆ ก็หายากมาก ตามที่ทานเจาคุณศาสนโสภณ (แจม จตสลฺโร) ไดเขียน เปนกลอนไววา จะหาคนถูกใจที่ไหนเลา ตัวเราเองยังไมถูกใจเราหนา ตัวเราเองก็มีสวนที่ไมถูกใจเราอยูเปนอันมาก ซึ่งเรามีทัศนคติ ที่เขาขางตัวเองอยูมากแลว ก็ยังไมถูกใจตัวเอง ทีนี้จะหาใครถูกใจที่ไหนเลา มันหาไมได วาถูกใจทุกอยาง ถูกใจรอยเปอรเซ็นต อาจจะหาไดแตหายาก ถาเผื่อไปหาไดก็โชคดี แตวา หายาก มีเหตุปจจัยปรุงแตง ปรุงแตงไปอยางไรมันก็ไปอยางนั้น แตก็มองสวนดี เอาไว เราจะไดแผเมตตากรุณาไปไดสะดวก พระสารีบุตรอัครสาวก ทานก็บอกเอาไววา เหมือนกับจะดึงผาที่หมกโคลนหรือคลุกฝุนอยูออกมา เพื่อจะไดนําไปทําเปนจีวร หรือสบง ไปเย็บปะติดปะตอเขา ทําเปนจีวรหรือสบง สวนไหนดีก็ตัดเก็บเอาไว สวนไหนใชไมไดก็ทิ้งไป แลวนําเอาสวนดีมา ปะติดปะตอกันเขา ก็เปนผาไดผืนหนึ่ง เปนสบงบางเปนจีวรบาง เปนผาอาบน้ําฝนบาง อะไรก็แลวแต คนเราก็เปนอยางนี้ บางคน ความประพฤติทางกายไมดี แตทางวาจาดี บางคนทางวาจาไมดีแตทางกายดี บางคนไมดีทั้งสองอยางแตใจดี ก็เลือกสวนที่ดี คราวนี้ถาพยายามแลวไมเห็นความดีของเขาเลย ก็ถึงเวลาที่จะตองแผกรุณาไปใหเขา แผกรุณาไปใหเขาเพราะเขาเปนคนที่ ขาดคุณสมบัติ ที่จะเปนเหตุใหตนมีความสุข เราผูแผกรุณาก็เหมือนกับคนที่มั่งมีทรัพย เผื่อแผทรัพยแกคนยากจน คนไมมีคุณความ ดีหรือคนที่ไมมีคุณสมบัติ เปนคนที่ขาดแคลนคุณธรรม ควรทีผ่ ูที่ประพฤติธรรม ผูที่มีธรรมพึงเกื้อกูลดวยเมตตากรุณา พระพุทธเจา ทานบอกวา คนชั่วหาความสุขไดยาก เขาหาความสุขไดยากอยูแลว เราอยาไปเพิ่มเติมทุกขใหเขาอีกเลย น หิ ตํ สุลภํ โหติ สุขํ ทุกฺกฏ การินา วาจะเกลียดชังคนอยางนั้น ก็เหมือนจะเอาทองคําไปขูดกับกระเบื้อง มันไมคุมคา ไมสมคากัน คราวนี้ถากรุณาไมไดอีก แมจะ ขมใจใหกรุณาสักเทาไหรก็ยังทําไมได คราวนี้ก็ตองปลงใจวาสัตวทั้งหลายมีกรรมเปนของของตน เขาจักปรากฏดวยกรรมของเขา เอง แลวก็วางอุเบกขาเสีย เพื่อความสงบสุขของเรา
34 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
การพิจารณาถึงกัมมสกตาญาณที่วา สัตวทั้งหลายมีกรรมเปนของของตน เปนสิ่งที่มีคากับการปฏิบตั ิธรรมมาก ขอให พิจารณาบอยๆ มันเปนอยางนั้นจริงๆ คือไมวาจะเปนเพื่อนเรา เปนญาติเรา เปนพอแมของเรา เปนลูกเรา เปนอะไรของเรา คือเขา เปนของเราโดยความสัมพันธกันทางสายเลือด ทางเชื้อชาติ ทางเชื้อสาย ทางอะไรตางๆ ที่นับกันโดยสมมุติ แตวาจริงๆแลว แตละคนมีกรรมเปนของตนมาทั้งนั้น ใครจะเปนอยางไร จะเปนดี เปนชั่ว จะไดสุข ไดทุกขอะไร เขามีกรรม เปนของของตนมา เราก็ชวยเขาไดบางตามสมควร เราก็ชวยเขาไดบางตามความสามารถที่เราจะชวยได แตความสามารถ ของเราก็มี ขอบเขตจํากัด ไมใชวาเราจะสามารถชวยเขาไดทุกอยาง อันนี้ก็เปนขอที่ผูปฏิบัติธรรมก็ควรจะหมั่นพิจารณาไตรตรอง แลวก็นํามาใช ใหเกิดประโยชนแกชีวิตของตน การแผเมตตากรุณาโดยเจาะจงบุคคล ที่เรียกวา โอทิสผรณา มันก็มีสวนดี คือวามันเปนไปโดยแรงกลา ทําใหเราชวยเหลือกัน ไดมาก สวนที่ไมดีก็คือวา เปนไปในทางแคบ การแผโดยไมเจาะจงนั้นดีตรงที่เปนไปในทางกวาง แตวากําลังอาจจะออน คลายๆ เหมือนน้ําที่ไหลบาทั่วไปหมด มันก็ไหลไมแรง ถาน้ําไหลไปทางเดียวก็จะไหลแรง แตก็มีเงื่อนไขอีก คือวาถาเปนน้ําจํานวนมากก็แรงไดอีกเหมือนกัน อยางน้ําทวมมันก็ไหลหลากทั่วไปหมด แตมันแรง มันก็ จะไหลไดแรงไดเหมือนกันถามันจํานวนมาก คนที่ทําไมดีตอเราก็ยอมจะมีอยูบาง บางทีเพราะวาเขาใจผิด บางทีก็เพราะ รูเทาไมถึงการณ เราก็เอามาเปนบทเรียนเพื่อฝกฝนตนเอง แลวก็ทําตัวใหดียิ่งๆขึ้นไป จิตใจไมขุนมัวมีแตเมตตาปรานี เมื่อเปนเชนนี้ ความโกรธจะเผาลนจิตใจไมได เมื่อความโกรธเผาลนจิตใจไมได จิตใจก็แชอิ่มอยูดวยความเมตตา เรียกวามีความเมตตาปรานีแนบ แนนอยูในสันดาน ก็เปนทางมาของโชคลาภ อยางนอยที่สุด ทําใหเปนคนมีเสนหในตัวมาก คือวาใครเขาใกลก็มีความสุขแลวก็รัก เพราะอะไรครับเพราะวาคนเรานี้ อยากจะมีความสุขกันทุกคน และถาเผื่อวาคบหาสมาคมกับใคร เขาใกลใครแลวเขามีความสุข เขาก็อยากจะคบหาสมาคมกับคนนั้น เขาใกลคนนั้น กระแสเมตตาที่มีอยูในตัวนั้นเองมากระทบกับความรูสึกของผูที่เขาใกล ทําใหเขารูสึกชุมเย็น ที่เรียกวาเปนผูมีฉายาคือ รมเงาอันรมเย็น อบอุน มีความรูสึกอบอุน มีความรูสึกเปนสุข มีความรูสึกดี อันนี้เปนสิ่งสําคัญประการหนึ่ง ซึ่งเปนประการที่ 7 ของ คุณสมบัติ 7 ประการ อันเปนที่ไหลมาของโชคลาภ เพราะฉะนั้น ขอใหชวยกันปลูกฝง แลวก็พอกพูนสิ่งนี้ใหเกิดขึ้นในสันดาน ก็จะมีประโยชนทั้งแกตัวเองทั้งแกครอบครัว ทั้ง แกสังคม ทั้งแกบานเมือง ก็จะไดอยูกันรมเย็นเปนสุข มีเมตตาเอื้ออาทรตอกัน ไมหวังรายตอกัน ไมทํารายตอกัน
35 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
ทานผูฟงที่เคารพครับ เรื่องคุณสมบัติ 7 ประการทีพ่ ูดมาตอนปใหม ก็คิดวาจะใหเปนพรปใหม คงจะยุติเพียงเทานี้นะครับ ขอ ความสุขสวัสดีพึงมีแตทานผูอุปถัมภรายการและทานผูฟงโดยทั่วกัน
36 คุณสมบัติของผูมีโชคลาภ-7-ประการ
คํานํา โชคลาภเปนผลสืบเนื่องมาจากเหตุคือ คุณสมบัติ 7 ประการดังที่กลาวไวในหนังสือเลมนี้ ถาเหตุสมบูรณ ผลก็สมบูรณ เหตุ บกพรอง ผลก็บกพรอง คนสวนมากตองการผลเต็มเม็ดเต็มหนวย แตไมคอยประกอบเหตุใหเต็มเม็ดเต็มหนวย เขาสันโดษในเหตุแตมักมากในผล ตรงกันขามกับคําสอนของนักปราชญซึ่งทานสอนใหสันโดษในผล ไมสันโดษในเหตุ คือทําเหตุใหมาก สวนผลจะไดสักเทาไรสุด แลวแตเหตุจะบันดาลใหเปนไป ไมเขาไปบงการเสียเอง ความคิดตามแนวอริยสัจ ทําใหเราเปนผูหนักในเหตุผล ไมตองการผลในสิ่งที่เราไมไดทําเหตุไว แมทําเหตุไวแลวก็ไม เรียกรองหาผล ปลอยใหเหตุและกาลเวลาจัดการกันเอง ผูทําคงอยูอยางสงบ ไมวุนวาย บางคราว กาวขึ้นไปถึงระดับที่เรียกวา ทําโดย ไมมีผูทํา (การโก น กิริยา ว วิชฺ ชติ การกระทํามีอยูแตผูทําไมมี) เทียบคําในภาษาอังกฤษวา Doing Without doer = มีการกระทําแต ไมมีผูกระทํา แปลวาละลายตัวตนเสีย ไมมีตัวตนผูกระทําใหตองผิดหวัง เมื่อไมไดอยางใจ ทางมาแหงโชคลาภ 7 ประการในหนังสือเลมนี้ ไดนําหัวขอมาจากขอความตอนหนึ่ง ในหนังสือหิโตปเทศ ซึ่งหนังสือหิโตป เทศนี้เต็มไปดวยคําสุภาษิตและเรื่องเลาอันนาสนใจยิ่ง เปนนิยายอิงคติธรรม คติชีวิตที่บัณฑิตแตโบราณไดทําไวเปนประโยชนแกคน รุนหลังตลอดมา ขาพเจาเองไดคติธรรม คติชีวิตจากหนังสือเลมนี้เปนอันมาก ขาพเจาขอนอบนอมตอทานอาจารยเสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมาน ราชธน) แปลหนังสือหิโตปเทศอวดสูภาษาไทย ทําใหเปน ประโยชน กวางขวางในวงวรรณกรรมไทยตลอดมา ขอตั้งจิตอธิษฐานอวยพรใหทานผูอานมีโชคลาภอันประกอบดวยธรรม มีพลานามัยสมบูรณมีความสุขในชีวิตตามสมควรแก เหตุนั้นๆ ทุกประการ ขอใหคณะศิษยผูจัดทําหนังสือนี้พึงไดโชคลาภแหงชีวิต มีจิตสดชื่นแจมใส มีพลานามัยดี มีความสุขเพื่อไดบําเพ็ญประโยชน ตอไปตลอดกาลนาน วศิน อินทสระ 16 พฤศจิกายน 2545