คุณสมบัติของผูมุงสันตบท วศิน อินทสระ
สํานักพิมพ เรือนธรรม คุณสมบัติของผูมุงสันตบท วศิน อินทสระ ISBN 974-90823-2-X พิมพ : มกราคม 2546 จัดพิมพโดย สํานักพิมพ เรือนธรรม บริษัท จีเอ็ม แม็ก มีเดีย จํากัด 290/1 ถนนพิชัย ดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท : 0-2243-9098 โทรสาร : 0-2243-1590 บรรณาธิการ : พรจิตต พงศวราภา พิมพคอมพิวเตอร : พรเพ็ญ สุภิรักษ ศิลปกรรม : ประทีป ปจฉิมทึก, พิติ แสงแกว พิสูจนอักษร : สมพร แสงสังข ประสานงานการผลิต : รัตนา โคว พิมพที่ : บริษัท โอเอส พริ้นติ้ง เฮาส จํากัด โทรศัพท 0-2424-6944 จัดจําหนายโดย : บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จํากัด (มหาชน) อาคารเนชั่นทาวเวอร ชั้นที่ 19 เลขที่ 46/87-90 ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทรศัพท : 0-2751-5888 โทรสาร : 0-2751-5051-4
คํานํา สันตบท หมายถึงทางดําเนินแหงผูสงบ “สันตะ” แปลวา สัตบุรุษหรือคนดีก็ได สุภาษิตโบราณทานวา แมลงวันชอบแผล (มกฺขิกา วณมิจฺฉนฺติ) เศรษฐีชอบทรัพย (ธนมิจฺฉนฺติ เสฏฐิโน) คนพาลชอบทะเลาะ (พาลา กลหมิจฺฉนฺติ) บัณฑิตชอบสันติ (ความสงบ) (สนฺติมิจฺฉนฺติ ปณฺฑิตา) พุทธศาสนสุภาษิตบางแหงกลาววา “สัตบุรุษหรือคนดี ยินดีในการเกื้อกูลแกสตั วทั้งปวง” (สนฺโต สพฺพหิเต รตา) พระพุทธภาษิตบางแหงตรัสถึงสภาธรรมวา “ที่ใดไมมีสัตบุรษุ ที่นั้นไมเปนสภา ผูพูดไมเปนธรรมก็ไมชื่อวาเปนสัตบุรุษ (คนดี)” (เนสา สภา ยตฺถ น สนฺติ สนฺโต สนฺโต น เต เย น วทนฺติ ธมฺมํ) พระพุทธพจนและพุทธศาสนสุภาษิตที่เกี่ยวกับสัตบุรุษมีหลากหลาย ขอนํามากลาว อีกแหงหนึ่งวา “เมือ่ สัตบุรุษใหสิ่งที่ใหไดยาก ทําสิ่งที่ทําไดยากอยู อสัตบุรุษทําตามไมได เพราะธรรมหรือทางดําเนินของสัตบุรุษทําตามไดยาก” (ทุทฺททํ ททมานานํ ทุกฺกรํ กมฺมกุพฺพตํ อสนฺโต นานุกุพฺพนฺติ สตํ ธมฺโม ทุรนฺวโย) “เพราะฉะนั้น ทางดําเนินหรือทางไปของสัตบุรุษและอสัตบุรุษจึงตางกัน อสัตบุรุษไปทางเสื่อม สัตบุรุษไปทางเจริญ” หนังสือเลมนี้กลาวถึงคุณสมบัติของผูดําเนินสูสันตบท คือทางแหงผูสงบหรือทางแหงคนดี ตามนัยแหงกรณียเมตตสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ในพระไตรปฎกเลม 25 หนา 13 ขอ 10
หวังวา ทานผูอานดวยโยนิโสมนสิการคงไดรับประโยชนไมนอยทีเดียว ขอขอบใจ บุคลากรทุกฝาย ผูมีสวนชวยเหลือใหหนังสือเลมนี้ออกมาอยางที่เห็นอยูนี้ ดวยความปรารถนาดีอยางยิ่ง วศิน อินทสระ 19 พฤศจิกายน 2545
สารบัญ คุณสมบัติของผูมุงสันตบท 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14.
สักโก เปนผูอ งอาจ กลาหาญ .......................................................... 1 อุชุ เปนผูซอื่ ตรง สุหุชุ ซื่อตรงดวยดี .................................... 5 สุวโจ เปนคนวางาย ........................................................................... 9 มุทุ เปนผูออนโยน ............................................................................. 14 อนติมานี แปลวา ไมดูหมิ่นผูอื่น .................................................... 15 สันตุสสโก เปนผูสันโดษ ................................................................... 20 สุภโร การเปนผูเลี้ยงงาย ................................................................. 26 อัปปกิจโจ เปนผูมีกิจนอย ............................................................... 30 สัลลหุกวุตติ ประพฤติตนเปนผูเบากาย เบาใจ .................... 31 สันตรินทรีโย มีอินทรียส งบ ........................................................... 31 นิปโก ผูมีปญญารักษาตน ............................................................... 32 อัปปคัพโภ เปนผูไมคนองกาย วาจา มีจิตสงบ ................. 36 กุเลสุอนนุคิทโธ ไมติดพันในตระกูลทั้งหลาย .......................... 38 อนูปวาโท ไมกลาวราย .................................................................... 39
15.
เมตตวา มีเมตตา ................................................................................ 42
คุณสมบัติของผูมุงสันตบท วันนี้ผมจะพูดเรื่อง คุณสมบัติของทานผูที่ควรจะบรรลุสันตบท สันตบท แปลวา ความสงบ อันนี้ผมเอามาจากเมตตสูตร กรณียมตฺถกุสเลน ยนฺตํ สนฺตํ ปหํ อภิสเมจฺจ ทานผูฉลาดในประโยชนพงึ ดําเนินรอยตามพระอริยะ ผูซึ่งได บรรลุสันตบทแลว หรือพระอริยะไดดําเนินปฏิปทา ไดบรรลุสันตบทแลว ผูฉลาดพึงดําเนินตามรอยพระอริยะผูบรรลุสันตบท “คุณสมบัตขิ องผูมุงสันตบท” เรียบเรียงจากบทสนทนาธรรม ในรายการวิทยุ ธรรมะรวมสมัย สถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. โดยมี พันเอก (พิเศษ) ทองขาว พวงรอดพันธุ พิธีกร สนทนากับอาจารยวศิน อินทสระ วิทยากร
1. สักโก เปนผูองอาจ กลาหาญ นี่ก็ผอนอธิบายลงมาไดทั้งทางโลกและทางธรรม อธิบายทางธรรมใหเขมงวดให อุกฤษณก็ได อธิบายทางโลกผอนอธิบายลงมาใหคนทั่วๆไปปฏิบัติก็ได ถาเผื่ออธิบายแบบปอุกฤษณ เรียกวามีจิตใจกลาหาญที่จะเลื่อยความชั่ว และกลาทําความดี ถาผอนลงมาสําหรับคนทั่วไปอีกหนอยหนึ่ง ก็คือ กลาจะตัดสินใจทําสิ่งที่ถูกที่ควรที่ตองการจะทํา อยางถาจะบอกวากลาทําในสิ่งที่ตองการจะทํา เชน กลาไปปลน อยางนี้ก็ไมใชผูที่มาในทางสันตบท แตเปนอสันตบท คือทางแหงความวุนวาย หรือบางคนที่รูวาสิ่งที่ตนกําลังทําเปนความชั่ว แตไมกลาเลิกความชั่ว ยิ่งเคยทําชั่วกันเปนกลุมมาดวยแลวละก็ยิ่งไมกลาใหญ เกรงเพื่อนจะตําหนิวาทิ้งเพื่อน เคยเลนไพมาดวยกัน เคยกินเหลา สรวลเสเฮฮามาดวยกัน มันก็ตองทํากันตอไป ไมกลาเลิก เรียกวากอดคอกันเสื่อม เรียกวาเกรงใจเพื่อนมากกวาเกรงใจความชั่ว ยิ่งพวกมิจฉาชีพ บางทีตองการจะปลีกตัวออกมากลัวเพื่อนมาตามเก็บปดปาก ก็มาปรึกษาวาจะทําอยางไรดี ถาเผื่อความเห็นผม ผมจะใหเขากลาตัดสินใจที่จะออกมาเลย เปนไงเปนกัน คือยอมเสี่ยงเอา 1 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
จะตายก็ตาย จะเปนก็ใหเปนอยูดีๆขางหนา ตองกลาตัดสินใจ ใชธรรมะขอนี้คือ สักโก ไมเกรงใจเพื่อนมากกวาเกรงกลัวความชั่ว บางคนวาทําไมไมเลิกสูบบุหรี่ ตอบวาลงทุนมาเยอะแลว คือหวนคิดถึงรสของมัน ไมกลาสลัดออก ถุงลมโปงพองจะมาถึงเมื่อไหรก็เมื่อนั้น เดินก็เหนื่อย นั่งก็เหนื่อย เหนื่อยไปหมด ถึงตอนนั้นก็ตองเลิก ในดานตรงกันขาม บางคนรูวาอะไรเปนความดี แตก็ไมกลาทํา ไมรูวาเพราะอะไร อาจกลัวถูกหาวาเชย ครึ หรือถูกหาวาทําความดีมากเกินไป อยางเวลาคนเดินเขาบารเสียงดังเชียว พอจะเขาวัดตองแอบ กลัวคนเห็น เหมือนเขาโรงจํานําเลย ฉะนั้น 2 ขอนี้ กลาเลิกความชั่ว กลาทําความดี มันตองอาศัยคุณธรรมขอจาคะ คือสละ การเสียสละความชั่ว ความไมดี และกลาทําความดี และมีความกลาอยางหนึ่งนาสนใจมาก คือกลาตัดสินใจเลือกดําเนินชีวิตตามความเหมาะสมแกตน ไมใชตามที่คนทั้งหลายนึก ถาเผื่อใครไปดําเนินชีวิตตามที่คนอื่นเขาบงการหรือกําหนดให โดยที่ตัวเองไมชอบก็จะมีความทุกขทรมานไปตลอดชาติ ไมไดผลทั้งทางผลงานและดานจิตใจ โดยเฉพาะอยางยิ่ง ทางดานจิตใจก็จะเสื่อมลง สุขภาพจิตเปนสิ่งที่ควรหวงแหนมากที่สุด ก็จะเสื่อมลง เพราะทําสิ่งที่ตัวไมชอบ ในที่สุดก็จะเสียไปหมด ที่วาภาวะผูนําตองกลาตัดสินใจ คือเรื่องนี้นี่เอง อยางจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต ทานเปนคนกลามาก ทานจะบอกวา “ขาพเจาขอรับผิดชอบแตเพียงผูเดียว” คือจะเปนไงก็เปนกัน คอยแกปญหากันอีกที แตวาทานกลาตัดสินใจ สมมุติวาจะผิดก็เปนเรื่องธรรมดา การตัดสินใจก็ตองผิดบาง ถาไมมากเกินไป แตถา ไมกลาตัดสินใจ มันก็ทาํ อะไรไมไดเลย แตการกลาตัดสินใจมันตองดูสถานการณดวย
2 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
อีเมอรสัน นักปราชญชาวอเมริกัน ทานไดกลาวไวตอนหนึ่งวา “สิ่งที่ขาพเจาทํา ก็คือสิ่งที่เกี่ยวของกับขาพเจา ไมใชสิ่งที่คนทั้งหลายคิด” What I must do is concern me, not what the people think นี่คือการแสดงความกลาหาญในการตัดสินใจ ถาเผื่อเราไปทําตามที่คนทั้งหลายคิด ถาเผื่อ 10 คนก็คิดไป 10 อยางก็ลังเล เราไมสามารถจะตัดสินใจได วาจะทําอยางไรดี ตองดูวามันเกี่ยวของกับเรา แคไหน อยางไร คนอื่นบางทีไมรูขอมูลตางๆเหมือนกับตัวเอง ปจจุบัน แตละคนในรัฐบาลก็จะมีทีม หรือคณะที่ปรึกษา ผลการตัดสินใจจะอยูที่คณะที่ปรึกษาหรือวาอยูที่ตัวเอง นี่ก็แลวแตบางทาน บางทานก็ปลอยใหเปนตามที่คณะที่ปรึกษาตกลงกัน บางทานก็ฟงความเห็นของคณะที่ปรึกษา แลวตัดสินใจเองอีกครั้งหนึ่ง อาจจะไมตรงกับที่คณะที่ปรึกษาเขาแสดงความเห็นก็ได อันนั้นก็ตองเปนคนที่จิตใจเขมแข็ง เฉลียวฉลาดมากพอที่จะเปนตัวของตัวเองได ในแงของทหารที่เขามีฝายเสนาธิการ เขาจะทําการวิเคราะหเหตุการณตางๆ เสร็จแลวจะมาสรุปเปนขอเสนอแนะเปน 2 แนวทาง แลวแตทานจะเลือกเอาแนวทางไหน ผูบังคับบัญชาก็เลือกไป ก็ตองถามดวยวา ถาปฏิบตั ิตามแนวนี้ๆจะมีผลดีผลเสียอยางไร ตอไปก็เลือกแลวยอมรับผลดีหรือเสียที่จะเกิดขึ้น ผูบังคับบัญชาตองกลาตัดสินใจเลือกเอาอยางใดอยางหนึ่ง และตองกลารับผิดชอบดวย ไมใชโยนความรับผิดชอบใหคนอื่น บางคนมีวิชาความรูดี มีโครงการยอดเยี่ยม แตไมกลาตัดสินใจทําอะไรตามวิชาความรูของตัว ตามหลักการที่คิดแลวคิดอีกวาดี ความกลัวนี้จะทําใหเขาไมสามารถเขาไปสูความสําเร็จได ไมเปนสักโก หากวาไดตัดสินใจทําแลว แตพลาดไปก็ยังดี อยางนอยความลมเหลวนั้น ก็เปนบทเรียนใหไดเรียนรูประสบการณตรงวาอยางนี้มันผิด เปนชองทางใหคนหาทางใหมตอไป ก็เริ่มดําเนินการใหม ก็จะคนพบชองทางที่ดีเขาวันหนึ่ง 3 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
พระพุทธเจาทานทรงกลาลองผิดลองถูก ทดลองทุกอยางวาอะไรเปนอะไร และไดผลยังไง ทีหลังทานจึงสามารถตรัสไดเต็มพระโอษฐวา ความทุกขยากอยางนี้ พระองคไดผานมาทุกอยางแลว แตก็ไมสําเร็จ พระพุทธเจาทานมุงเอาอุดมคติเปนที่หมาย ไมไดมุงเอาสิ่งที่คนทั้งหลายเขาคิด อยางปญจวัคคีย หลีกหนีจากพระพุทธเจาไป เพราะวาคิดอยางที่คนทั้งหลายเขาคิด วานักบวชจะตองอยูอยางทุกขทรมาน จึงจะสําเร็จผลที่ตองการ แตพระพุทธเจาไมไดคิดอยางที่คนทั้งหลายคิด ทานคิดตามแนวอุดมคติของทาน วาหนทางทั้งหมดไดทดลองเดินมาเยอะแลว ไมมที างที่จะไปถึงอุดมคติได ทานก็เปลี่ยนวิธีการโดยไมคํานึงถึงเสียงของคนรอบขางวาจะคิดอยางไร ในแงของหลักการ มันมีปรโต โฆษะ แตปรโต โฆษะ นีม้ ีทั้งดีและเสีย เราตองฟงไวบางเปนการเก็บขอมูล ฉะนั้นก็อยูที่โยนิโสมนสิการ ในหลักธรรมของเราที่พูดถึงสัมมาทิฐิ กับมิจฉาทิฐิ ก็มีปรโต โฆษะเหมือนกัน ถาปรโต โฆษะเสีย และมีอโยนิโสมนสิการดวยก็เปนมิจฉาทิฐิ เห็นผิดไป ถาไดปรโต โฆษะที่ดี แลวไดโยนิโสมนสิการที่ดี ทีถ่ ูกตอง ก็จะเปนเหตุใหเกิดสัมมาทิฐิ ความเห็นถูก และตัดสินใจถูก ปรโต โฆษะ ความหมายมันกวางมาก หมายถึงสิ่งแวดลอมทั้งหมด ทั้งตํารา ครูบาอาจารย เพื่อนฝูง ดินฟาอากาศ รวมหมด เกี่ยวกับเรื่องความกลาหาญนี้ มันมีประการหนึ่งที่สําคัญก็คือ ขอใหมั่นคงในอุดมคติของเราพอสมควร จับทําอะไรเขาก็อยาเลิกงาย เมื่อเห็นวาทางนี้เปนทางของเราถูกใจเรา ถูกอัธยาศัยของเรา แมจะลมเหลวบางในเบื้องตน ก็ตองพยายามตอไป ความสําเร็จก็คงคอยอยูขางหนา พอคาวาณิชใหญๆโตๆ ลองศึกษาประวัติของเขาดู เขาจะตองเคยลมเหลวมาไมนอย จนกวาจะมาจับอะไรเขา ถูกทางของตัว แลวก็ประสบความสําเร็จดวยดี 4 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
มีความกลาอีกชนิดหนึ่งที่ดีมาก คือความกลาเผชิญหนากับความทุกข กลาเผชิญหนาอุปสรรค เห็นอุปสรรคเปนสิ่งทาทายนาทดลอง เห็นความทุกขเปนเทพธิดาที่ปลอมแปลงมในรูปของมารราย และกลาเผชิญหนาความทุกขวาทาทายดี เหมือนการเรียนก็เรียนกันหามรุงหามค่ํา ตอมาเทพธิดาก็เผยตัวจริงออกมาใหเห็นเมื่อเรียนสําเร็จ อีกเรื่องหนึ่งที่นาสงสารสําหรับเด็กของเราคือไมกลาออกนอกแถวเพื่อน เวลานี้เด็กวัยรุนของเราจะทําอะไรตามกัน มีแฟชัน่ ตามกันไมกลาเดินออกนอกแถว เคยพูดกับเด็กวาทําไมเราไมเปนผูนําในทางดีเสียบาง ทําไมตองไปตามเขาในสิ่งที่ตัวเองก็รูสึกไมดี แตไมกลาฝน ตองทําตามเขาไป เชน สมัยที่เด็กเขาไวผมยาว ถือยาม นุงกางเกงยีน เอะ ทําไมเราไมทําแบบอยางในทางที่ดี ทําไมตองไปเอาอยางเขาเรื่อยๆ แมในสิ่งที่เราเห็นวาไมถูก แตไมกลาแตกแถวออกมา กลัวเพื่อนวาเชย แตเด็กบางคนเมื่อไดรับคําแนะนําจากผูใหญก็ทําได ไมกลัว เลยกลายเปนผูนําในทางที่ดี บางทีก็สงสารเด็กเหมือนกัน คือเด็กไมไดยินไดฟงในสิ่งที่ดี ปรโต โฆษะไมดี ผูใหญไมไดยืนยันในสิ่งที่ดี เขาก็ลังเล เลยไปตามเพื่อน นี่นาเสียดาย นี่คือความไมกลาหาญที่จะตัดสินใจทําในสิ่งที่ควรจะทํา และถูกชักจูงไปดวยปรโต โฆษะที่ไมดี ความรูสึกบางอยางที่ไมกลาเพราะกลัวถูกวาเชย ไมกินเหลากลัวเพื่อนวาเชย ความรูสึกอยางนี้ทําใหเสียคนกันไปเยอะแลว อยากจะมาถึงจุดที่วา แมจะเชย แตก็ไมทําชั่ว นาจะดีกวา ยอมเชยดีกวายอมชั่ว อยายอมชั่วเพราะกลัวเชย อยางบางคนวาถามัวสันโดษก็จนตาย จนเปนจน แตจะใหแสวงหาในทางทุจริต ไมสันโดษ หรือเปนขาศึกกับสันโดษ ไมเอา จนเปนจน มันตองกลาหาญอยางนี้
2. อุชุ เปนผูซื่อตรง สุหุชุ ซื่อตรงดวยดี 5 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
อรรถกถาของพระสูตรนี้ ทานอธิบายวา ซื่อตรงคือวาเวนจากมารยา ไมมีมารยา อุชุ เวนจากการคดทางกาย ทางวาจา สุหุชุ เวนจากการคดทางใจ ที่แยกตัวนี้เพราะบางคนอาจรักษาศีลทางกาย ทางวาจาได แตสมาธิทางใจไมมั่นคง ยังวอกแวกอยู ความซื่อตรง ก็ซื่อตรงตอตนเอง และซื่อตรงตอผูอื่น คนซื่อตรงตอตนเอง ไมสามารถทําอะไรที่ขัดความรูสึกของตนเองได ตนมีความรูสึกอยางหนึ่ง แลวใหไปทําอะไรที่ขัดกับความรูสึกนี่ทําไมได ถาชมใครก็ชมจริง ถาจิตใจไมนิยมชมชอบก็ชมไมได เรียกวาเปนคนซื่อตรงตอตนเอง อยาง มารติน ลูเธอร คนที่ตั้งนิกายโปรเตสแตนต ทานบอกวาถาทางสังฆราชจะตัดหัวทานก็ยอม อยาวาแตมีหัวเดียวเลย มีสัก 500 หัวก็จะใหตัดใหหมดเลย แตจะใหพูดตรงกันขามกับความรูสึกจะไมพูด ทานไมเห็นดวยกับการกระทําของสังฆราชกรุงโรม จะใหพูดวาเห็นดวย ทานทําไมได นี่เรียกวา ซื่อตรงตอตัวเอง มีความนับถือตัวเอง อันนี้อุชุ และสุหุชุดวย อันนี้ไปดวยกันเลย คือใจก็ตรง อยางที่นายเปสสะ บุตรของนายควาญชาง ไดกราบทูลพระพุทธเจาประโยคที่วา คหนํ นาเมตํ มนุสฺสา มนุษยนี้รกชัฏ ไมเหมือนกับสัตวเดรัจฉานซึ่งตื้น มีความรูสึกอยางไร มันก็แสดงอาการอยางนั้น มนุษยนี้รกชัฏดูยาก พูดอยางหนึ่ง ใจอยางหนึ่ง ความคิดอยางหนึ่ง พูดไปอยางหนึ่ง ก็กราบทูลพระพุทธเจาวา แมแตคนงานที่บานของเขา เขาก็ไมรูวาเขาคิดอยางไร เขาพูดออกมาอยางหนึ่ง แตวาไมรูเขาคิดอยางไร แตสัตวเดรัจฉานที่เขาเลี้ยงไวนี่ มันแสดงความโกงออกมาใหชัดเจนถามันโกง ถามันเชื่อง มันก็แสดงความเชื่องออกมาอยางชัดเจน นี่เรียกวาสัตวเดรัจฉานนั้นตื้น มนุษยรกลึก ทํานองนั้น
6 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
แลวเขาก็ชมพระพุทธเจาวา มนุษยเปนอยางนี้ พระพุทธเจาก็ทรงฝกใหดีได เขาเปนคนฝกชาง ไมสามารถฝกคนได แตพระพุทธเจาฝกคนได โดยไมตองใชอาชญาเลย ไมตองใชศัสตรา นี่เปนขอความที่ปรากฏใน กันฑรกสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณณาสก ซื่อตรงตอผูอื่น นี่ก็มีความจําเปนมาก ในการติดตอเกี่ยวของ เวลาไปทําอะไรกับคนอื่น เชนไปซอมอะไรสักอยาง ก็ไมคอยแนใจวาเขาซอมใหเราจริงหรือเปลา หรือเขาเพียงแตดูๆแลวก็สงมา ไมรูซอมหรือเปลาเพราะเราดูไมเปน อยางรถยนตเปนตน ถาคนซอมเปนคนซื่อสัตยไวใจได ซื่อตรงตอลูกคาก็มีความสุขกันขึ้นเยอะ อยางรานนาฬิกา ความจริงซอมนิดเดียว แตบอกวาพรุงนี้ถึงจะมารับได และคิด 600 บาท ฟงดูแลวเหมือนมันเสียมาก อยางนี้ก็ไมซื่อตรงตอลูกคา หรือขายของลงทุน 100 บาท ถาอยากไดกําไร 20% ก็ใหตั้งราคาไปเลย คืออยาเอากําไรเกินไป และของที่เอามาขายตองเปนของแท ความจริงคําพูดก็บอกอยูแลว พอคา แมคา เขาเรียกพอเรียกแม ลูกคาก็เหมือนลูก พอคาแมคาคาขายดวยจิตอนุเคราะหวาเขาไดรับความสะดวกในการคาขาย อยางรานอยูใกลบาน เราก็สะดวกเวลาซื้อ และก็เกื้อกูลกันวาเขาอยูไดเราอยูได ลูกคาก็ทําตัวเหมือนลูก คบกันอยางนั้นก็ซื่อตรงสบายใจ ทุกคนอยูได ไมใชพอคารวยเหลือเกิน แตลูกคายังแหงเหมือนเดิม ยิ่งพระยิ่งตองมีเรื่องนี้ ในบทสวดสังฆคุณก็มีอยูแลว สุปฏิปนฺโน อุชุปฏิปนฺโน สวนมากก็จะไปนึกถึงสุปฏิปนฺโนเสียมากกวา ความจริงอุชุปฏิปนฺโน นี่สาํ คัญไมนอยทีเดียว ยิ่งเปนพระยิ่งจําเปน ตั้งใจเด็ดเดี่ยว เปนไงเปนกัน
7 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ซื่อตรงตอหนาที่การงาน การงานในบานเมือง ไมคอยมีประสิทธิภาพ เพราะคนไมคอยซื่อตรงตอการงาน ถือเอาการงานเปนเพียงเครื่องมือหาเงินมากกวาที่จะรักงาน คือถามหาเงินมากกวาถามหางาน ถามวาใหเงินเทาไหร แทนที่จะถามวามีอะไรใหทําบาง หรือวาทํานอยใหเงินมากยิ่งดี คนที่ทํางานมากไดเงินนอยแลวพอใจ ไมคอยมีเทาไหร เรื่องโทรศัพทมือถือ ตางประเทศเขาขาย 10,000 บาท มาเมืองไทยก็ 30,000-40,000 บาท แพง ก็ถามวาทําไมเปนอยางนั้น จริงๆแลวมาดูเมืองไทยมันมีตนทุนหลายอยาง การคาในเมืองไทยที่มันแพงกวาปกติ สมมุติวาจะอนุมัติใหเซ็นก็เขาไป 20-30% แลว แลวยังบรรดาเสมียนไตขึ้นไปอีกไมรูเทาไหร เขาก็ไปบวกกับคนซื้อ ทําใหของแพง เรียกวาไมซื่อตรงตอหนาที่ พูดถึงงบประมาณ ถาไดมาเทาไหรก็ใชหมดไปเทานั้น บานเมืองก็เจริญเร็วนะ มันไมพัง อยางพอคาที่สรางถนน บอกวาที่จริงคาสรางถนนไมถึง 50% อยาง 100 บาท ไมถึง 50 บาท อยางพอคาจะไปทําถนน เวลาผานคนอนุมัติก็ 20% แลว เหลือเงิน 80 บาท ก็เอางานไปใหบริษัทอื่นรับเหมาตอ ตัวเองเอาไว 20% แลวก็ผานอะไรอีกหลายตอ อยางถนนเสนหนึ่ง 100 ลาน คาถนนจริงๆ 40 ลานอยางนี้ มันถึงไมไดคุณภาพเทาที่ควร เปรียบเหมือนสงน้ําผึ้งไปแลวก็ถายหลายที ติดขวดไปหมด หรือเหมือนไอศกรีม ผานหลายที ไปถึงปลายทางเหลือแตไม ญี่ปุนเขาเกง อยางเงินมิยาซาวาที่เขามา เขาบอกวาถาจะซื้อของตองเปนของญี่ปุน หามซื้อของชาติอื่น ก็หมายความวาเงินเขาก็มาเราก็เปนหนี้เขา แลวก็ไปซือ้ สินคาญี่ปุน เงินกลับญี่ปุนหมดแหละ
8 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ดังนั้น ปญหาของคนไทย ก็คือซื่อตรงตอหนาที่เทานั้นเอง แลวมันสัมพันธกันทั้ง 3 ประการนี้ ซือ่ ตรงตอตนเอง ซื่อตรงตอผูอื่น ซื่อตรงตอหนาที่ มีความสัมพันธกันอยางใกลชิด ถาคนซื่อตรงตออะไรสักอยางหนึ่ง ก็พลอยใหอยางอื่นดีไปดวย พระพุทธเจาตรัสวา อัตตสัมมาปณิธิ ถาตั้งตัวถูก การพูดการทําอะไรก็จะดีไปหมด
3. สุวโจ เปนคนวางาย พระพุทธเจาทรงแสดงเอาไวถึงพุทธบริษัทที่เปนผูวายาก คือไมเชื่อคําสอนของพระพุทธเจา ก็จะพลัดตกไปจากพระพุทธศาสนา แตถาเปนพุทธบริษัทผูวางาย ก็จะเชื่อฟงคําสอนของพระพุทธเจา เปนผูวางายกับผูวายากมันผิดกันเยอะ คือบางทีเวลาพูดก็ฟงแตไมยอมทําตาม ไปทําอยางอื่น ไมทําตามพระพุทธเจาสอน อยางพระฉันนะก็อยูในขายเหมือนกัน คือพระพุทธเจาตรัสก็ฟง แตไมทําตาม ลูกที่ดื้อ พอแมเรียกมาอบรมสั่งสอนนั่งตาแปว พอกลับไป ปรากฏวาเหมือนเดิม อยางนี้เรียกดื้อดาน อยางนี้ดื้อคนเดียว อีกพวกหนึ่งดื้อดึง คือไมดื้อคนเดียว ดึงคนอื่นไปดวย มีพี่นองเพื่อนก็ดึงไปหมดเลย ทําใหเหมือนอยางที่เขาทํา ลักษณะของการเปนผูวางาย พระพุทธเจาแสดงไวในนาถกรณธรรมสูตร ธรรมที่สําหรับทําที่พึ่งแกตน แกผูอนื่ ดวย มี 10 ขอ ใน 10 ขอนั้นมีขอหนึ่งคือ สุวโจ อยูดวย ประกอบดวยธรรมที่ทําใหเปนผูวางาย ขโม เปนผูอดทน ปทกฺ ขิณคฺคาหิ อนุสาสนิน รับโอวาทดวยมือขางขวา นี่เปน idiom คือรับโอวาทดวยความเคารพ ที่วาประกอบดวยธรรมที่ทําใหเปนผูวางาย คือเปนคนมักนอย สันโดษ มีความอดทน มีความเพียร อันนี้เปนธรรมที่ทําใหเปนคนวางาย ถาเปนคนวายาก ก็ตรงขามคือเปนคนมีความมักมาก มีความปรารถนาเลว ไมสันโดษ ไมมีความอดทน เกียจคราน
9 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
คนโงมักจะสําคัญตนวาฉลาด ใครเตือนก็ไมได มักโกรธ แตคนฉลาดก็จะรองขอใหเตือน รับคําเตือน ทําตามที่รับคําเตือนไป ไมดื้อดานและไมดื้อดึง ปกติพระเวลาออกพรรษา ก็จะมีการปวารณาวา ทิฏเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา วทนฺตุ มํ ถาหากวาการกระทําของกระผมถาหากทานสงสัย เห็นก็ดี ไมเห็นก็ดี สงสัยก็ดี ดวยความอนุเคราะหก็ขอใหวากลาวตักเตือน อันนี้ถือวาเปนคุณธรรมของผูวางาย ใหวากลาวตักเตือน แตถาพอมีผูไปวากลาวตักเตือนกลับโกรธ อันนี้จะไปเขาใน อนุมานสูตร ในมัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก ที่พระพุทธเจาทานทรงแสดงเอาไววา ถาแมภิกษุจะปวารณา เปดโอกาสใหตักเตือนวาทานจงกลาวตักเตือนผมเถิด แตพอใครตักเตือนเขาก็กลับเปนคนวายากสอนยากไมอดทน ไมรับคําเตือนโดยเคารพ เพื่อนพรหมจรรยทั้งหลายก็จะเบื่อหนาย ไมอยากจะวากลาวตักเตือนอีกตอไป เพราะวาทําตนเปนคนไมควรกับการตักเตือนสั่งสอน แลวก็ไมตองการจะคบหาสมาคมและคุนเคยกับเธอ แตถาภิกษุบางรูป แมจะไมปวารณาวา ทานผูมีอายุจงกลาวตักเตือนผมเถิด ผมซึ่งทานตักเตือนแลว สั่งสอนแลวก็จะมีความปติพอใจ พอเขาเตือนก็เปนคนมีความวางาย มีความอดทน อยางนี้ใชได ตัวอยางพวกวายาก เชน พระอัสสชิ บุนัพพสุกะ ไมใชพระอัสสชิในปญจวัคคีย ก็อยูใน กิฏาคีรี แถวเมืองราชคฤห นี่ก็เรื่องเยอะ พระฉัพพัคคีย ก็มี พวกนี้มีทั้งดื้อดานและดื้อดึง ก็มีเยอะในสมัยพุทธกาล ตัวอยางผูที่เมื่อตักเตือนแลวก็รับดวยดี ก็มีพระราธะ ที่ยกเปนตัวอยางกันบอย พระอานนทก็มี พระกัสสปตําหนิทาน 4-5 เรื่อง ตอนปรินิพพาน แตพระอานนทก็ขอบคุณ บอกวาผมไมเห็นโทษในเรื่องนี้ แตเมื่อทานเห็นวาผมผิด ผมก็ยอมแสดงอาบัติ นี่ก็ถอื วาเปนผูวางาย และพระมหากัสสปก็รักทานมาก จนพระอานนทศีรษะหงอกแลว 10 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
พระมหากัสสปยังเรียกทานวาเด็กนอยอยู เพราะชอบพอ พระมหากัสสปแกกวา ก็เหมือนคนหนึ่งอายุ 80 อีกคน 60 ก็ดูยังเด็กอยูเรื่อย คนวางาย ไมเหมือนกับพวกคนหัวออน พวกนี้จะไมมีหลักการ ไมมีจุดมุงหมาย คือใครชักไปไหนก็ได จูงไดงาย ลมเพลมพัดหรือที่เขาวายอดไผตองลม หรือไมหลักปกขี้เลน นี่พวกหัวออน ถาเปนคนวางาย จะเปนคนที่มีหลักการและมีจุดมุงหมาย คือ คนพวกนี้ถาผิดหลักการและจุดมุงหมาย จะแข็งขึ้นมาทันที ดูปกติเปนคนสุภาพ ก็คือออนนอกแข็งใน ก็กลายเปนไมวางายแลวถาผิดหลักการ ไมเอาดวยแลว ถึงใครจะไมสนับสนุนใหกาวหนาก็ยอม แตมีความภูมิใจ มีความสุข เพราะมีหลักการและมีจุดมุงหมาย คนวางายเพราะเห็นแกปจจัย 4 กับคนวางายเพราะเห็นแกธรรมอันนี้ตางกัน นี่ขอความปรากฏใน กกจูปมสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก พระไตรปฎกเลม 12 คนวางายเพราะเห็นแกปจจัย 4 ก็คือวา ถาไดปจจัย 4 จึงจะเปนคนวางาย ถาไมไดปจจัย 4 จะเปนคนวายากขึ้นมาทันที แตคนวางายเพราะเห็นแกธรรม สักการธรรม เคารพธรรมนี้เปนอีกแบบหนึ่ง คือถึงเอาปจจัย 4 มาลอก็ไมเอา แตถาทําไปเพื่อความถูกตองตามธรรมแลวก็เอา มีผูถามเสมอวาดื้อกับพอแม ถือวาเปนคนดีไหม ดูก็วานาจะไมเปนคนดี แตผมก็ถามกลับวา สิ่งที่พอแมสอนนั้นถูกหรือผิด ถาเผื่อสิ่งที่พอแมสอนนั้นผิด ก็ดื้อได เพราะถาไปทําตามพอแมที่สอนผิด ก็แยกวาดื้อเสียอีก อยางพอแมสอนใหเปนโจร ถาลูกปฏิบัตติ ามก็กลายเปนแย ตองไมปฏิบัติตาม
11 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
อันนี้คือความมีเงื่อนไขของธรรมะ ไมไดหมายความวาจะวาไปตามตัว จะวางายก็คือใครสอนอะไรก็ทําตาม มันมีเงื่อนไขคือวาใครสอนผิดหรือสอนถูก หรือโดยที่สุด ครูบาอาจารยหรือสํานักสอนผิดหรือสอนถูก ถาสอนผิดก็ไมเอา ถาสอนถูกก็เอา ในพระไตรปฎก ก็มีพูดถึงเรื่องนี้ ศาสดาที่สอนผิด ถาสาวกปฏิบัติตามมากเทาใด ก็ชั่วมากเทานั้น ถาศาสนาสอนถูก สาวกปฏิบัติตามมากเทาใด ก็ดมี ากเทานั้น ฉะนั้นก็ดูเหมือนวาจะดื้อกับศาสดา แตสาวกที่เปนคนมีโยนิโสมนสิการและฉลาด เขารูวาศาสดาสอนผิด เขาก็ไมเอา สาวกคนอื่นที่ไมฉลาด ก็นกึ วาคนนี้ดื้อ เปนผูวายากสอนยาก ที่จริงไมใช ในเรื่องทํานายฝนของพระเจาปเสนทิโกศล 16 ขอ พระพุทธเจาทานเลาใหฟง วามีลูกศิษยอยูคนหนึ่ง ไมทําตามอาจารยที่หลอกลวง หมายถึงอาจารยตองการจะหลอกลวงพระราชาในการที่จะไปทําพิธีบูชายัญ เพราะพระราชาฝนราย ไดทูลพระราชาไววาฝนแบบนี้ตองบูชายัญดวยแพะดวยสัตวตางๆ แตมีศิษยคนหนึ่งของคณะพราหมณ บอกวาทานอาจารยในตําราของเราเคยมีบอกไหมวา การที่จะสะเดาะเคราะห เอาชีวิตของเรารอด ดวยการเอาชีวิตของสัตวอื่นมาแทน อาจารยบอกไมมี ถาอยางนั้นอาจารยกราบทูลพระราชาทําไมใหบูชายัญสัตว อาจารยบอกวา แกยังเด็กไมรูอะไร นี่เปนทางไดลาภของพวกเรา ลูกศิษยก็บอก แลวแตอาจารยเถอะ ผมไมเอาดวย ขอลาแลว นี่พระพุทธเจาก็ตรัสเลาใหฟง วาในอดีตก็เคยมีเรื่องอยางนี้มาแลว เพราะฉะนั้น สรุปวา ความดื้อความวางายนี้มันก็อยูที่ความถูกตองดวย
12 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
การหลอกลวงไมใชมีแตในพุทธกาล ปจจุบันก็ยังมี สําคัญคือวาทางศาสนาก็ดี ทางผูใหญก็ดีที่ปกครองบานเมืองตองสาดแสงสวางทางปญญาใหกับประชาชน ใหเขามีปญญา ใหเขาไดแสงสวาง แลวเขาก็จะไมเชื่อ ไมงมงาย ถาคนฉลาดแลว ความงมงายมันหมดไปได คนมันมีจุดบอดอยูที่วา คนมีทิฐิมานะ จะมีทิฐิอยูวาเราก็เกงเหมือนกัน เราก็รูเหมือนกัน ก็ไมยอมใหสอน นี่เปนจุดบอดอันหนึ่ง แขงดี และไมยอมฟงสิ่งที่ถูกตอง ไปตาม กระแสเสียมาก มีเรื่องที่เลากันซ้ําๆ ก็เรื่องฝนตกขี้หมูไหล ก็มีคนบอกวาอยางนั้นถูกอยางนี้ผิด พระเจาปยาสิ ก็ยอมรับ ยอมแพพระกุมารกัสสป เมื่อถกปญหาทางปรัชญากัน เรื่องตายแลวเกิด ตายแลวสูญ ชาติเดียวหรือหลายชาติ พระเจาปยาสิก็ยอมแพ แตบอกวาผมเปลี่ยนความคิดไมได เพราะวาใครๆเขาก็รูกันมานานแลว วาพระเจาปยาสิคิดอยางนี้เห็นอยางนี้ เปลี่ยนไมได พระกุมารกัสสป ก็เลานิทานใหฟง คนไปหาอาหารหมูไปเจอขี้หมู นึกวาเปนอาหารหมู ก็ใสกระสอบแบกกลับบาน เดินมากลางทางฝนตกขี้หมูไหล ก็ไมยอมทิ้ง บอกวาแบกมานานแลวเสียดาย เหมือนคนที่มีทิฐิมานะ มีอหังการจัด ถือมานานแลว คิดมานานแลว ก็ไมยอมปลอยไมยอมทิ้ง พระกุมารกัสสป ก็เทียบวาพระองคแบกทิฐิผิดมานานแลว และก็ไมยอมทิ้งไมยอมปลอย ก็เทียบหลายเรื่อง จนในที่สุดพระเจาปยาสิก็ยอมเปลี่ยนความเห็น อีกรายหนึ่ง คือสญชัยปริพาชก อาจารยของพระสารีบุตรนี่ก็แบกขี้หมูเหมือนกัน แตเหตุผลทานก็เขาที ยังใชไดจนบัดนี้ คือวา คนฉลาดก็ไปหาพระพุทธเจา คนโงก็มาหาเรา ตราบใดที่ยังมีคนโงอยู อาจารยก็ยังมีทางหากินอยู หลักการในพุทธศาสนาของเรานี่ลึกซึ้งอยางนี้ พอมีประสบการณแลวกลับไปดูคําพูดตางๆ เอามาคิดแลวชัดเจน อยางที่วา “มันเปนชองทางหาลาภของเรา” คืออาจารยก็รูวามันไมถูก 13 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
แตเปนชองทางทํามาหากิน ก็เลยรักษาไว ใจไมสูงพอที่จะละทิ้งสิ่งที่เห็นวาไมถูกตอง แลวก็มาทําสิ่งที่ถูกตอง เคยมีเรื่องเลาที่ลูกศิษยไปเรียนวิชากับอาจารยพอจะจบแลว อาจารยบอกวามีอีกวิชาหนึ่งจะเรียนไหม ทําอะไรก็ไดใหเปนทอง ลูกศิษยก็บอกวามันเปนทองแลวอยูไดกี่ป อาจารยบอกวาอยูได 500 ป ลูกศิษยก็บอกวาถาอยางนั้นผมไมเรียน อาจารยบอกวา ถาอยางนั้น เธอเรียนสําเร็จแลวกลับได ทําไมอาจารยจึงบอกวาจบแลว อาจารยตองการจะทดลอง ลูกศิษย ถามเหตุผลวาทําไมถึงไมเรียน ลูกศิษยก็บอกวา ทําไปแลวถามันเปนทองไป 500 ป มันก็กลายเปนเหล็ก ตอนอีก 500 ป ไมรูมันไปอยูในมือใคร ทองมันเปลี่ยนมืออยูเรื่อย ถาไปอยูในมือใคร คนนัน้ จะขาดทุนแย เพราะทองกลายเปนเหล็กไป อาจารยก็มองเห็นคุณธรรมของลูกศิษยวามีคุณธรรมสูง และมองเห็นการณไกล ไมไดมองแคปนี้ ถามีวิชาความรูอยางนี้และมีคุณธรรมอยางนี้ ก็ใชไดตรงกับที่เราสวดมนตสรรเสริญพระสังฆคุณที่วา วิชฺชา จรณสมฺปนฺโน โส เสฏโฺ เทวมานุเส ขตฺติโย เสฏโฺ ชเนตสฺมึ เย โคตตปฏิสาริโน ในบรรดาคนที่ยังรังเกียจกันดวยโคตร ยังถือโคตรอยู ผูที่เปนกษัตริยประเสริฐที่สุด แตคนที่ถึงพรอมดวยความรูและความประพฤติ ประเสริฐทั้งในเทวดาและมนุษย อยางทานเจาคุณพระธรรมปฎกพูดอยูเสมอวา ธรรมตองเหนือเทพ คนบูชาเทพกันมาก แตเทพก็ตองยอมใหแกผูมีธรรม
4. มุทุ เปนผูออ นโยน คนในสังคมสวนใหญ จะมองแควาสิบเบี้ยใกลมือ เหล็กเปนทองวันนี้ก็เอาไวกอน อีก 500 ปจะเปนยังไงก็ชาง นี่ก็คือมองใกลไมมองไกล และก็ใฝต่ํา ไมใฝสูง พระธรรมปฎกใหเอาไว 3 ขอ ใจแคบ มองใกล ใฝต่ํา ทานใหกลับเสียคือใหทําตรงขาม คือใจกวาง มองไกล ใฝสูง
14 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ออนโยน นี่เปนกิริยาทางกาย ออนหวานเปนกิริยาทางวาจา มีสุภาษิตบทหนึ่งกลาววา คนที่กลาหาญที่สุด คือคนที่ออนโยนที่สุด คนทีเ่ ปนผูดีที่สุด ยอมจะสุภาพที่สุด หรือคนกลาหาญที่สุดยอมออนหวานที่สุด คนที่เปนผูดีที่สุด ยอมออนโยนที่สุด นี่เปนการขยายใหเห็นภาพของผูออนโยนไดดีขึ้น ออนโยนเปนกายกรรม ออนหวานเปนวจีกรรม ความออนโยนหรือออนนอม เปรียบเหมือนรวงขาวที่เมล็ดเต็มมันก็จะนอมลง สวนเมล็ดขาวลีบก็จะตั้งโดขึ้นไป เหมือนคนที่มีคุณธรรม มีคุณสมบัติมากก็จะนอมลงมา ออนนอมถอมตัวทํานองนั้น แตถาแข็ง
5. อนติมานี แปลวา ไมดหู มิน่ ผูอื่น กระดางก็จะเปนคนที่ไมคอยมีอะไร ทานเปรียบเอาไวอยางนั้น กิริยาที่ออนโยนหรือวาจาที่ออนหวานเปนเครื่องหมายที่บงใหรูถึงสภาพจิตใจที่ราบเรียบสงบ ลองเทียบดูวาเวลาโกรธ จิตใจก็ไมอยูในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะผิด ปกติไป หยาบขึ้น ถาจิตใจราบเรียบ ก็จะออนโยนออนหวาน คือ ไมมีกิเลสประเภทดูหมิ่น ดูถกู ดูแคลนผูอื่น ในเรื่องอริยวังสะ ปฏิปทา ปฏิปทาของผูที่เดินตามอริยวงศ มี 4 ขอ คือ 1. สันโดษดวยอาหาร ถาเปนพระก็คืออาหารบิณฑบาต ถาเปนฆราวาส ก็คืออาหารทั่วไป 2. สันโดษในจีวร หรือเสื้อผา 3. สันโดษในที่อยูอาศัย หรือเสนาสนะ 4. ยินดีในภาวนา
15 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ตอนสุดทาย ทานจะบอกไวทุกขอวา แมจะเปนผูสันโดษอยางนี้ มีคุณสมบัติอยางนี้ เมื่อไมไดก็ไมเดือดรอน เมื่อไดก็ไมหมกมุน ไมติดอยูในปจจัยที่ไดนั้น และไมดูหมิ่นผูอื่น ไมยกตนขมผูอื่น เพราะคุณธรรมอันนั้น เนวตฺตานุกฺกํเสติ โน ปรํ วมฺเภติ ไมยกตนขมผูอื่น พระพุทธเจาทานเปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่ออกไปบิณฑบาต แลวก็ไดบิณฑบาตเต็มบาตร ยังไดรับนิมนตวันรุงขึ้นอีก กลับมาวัดก็มาดูหมิ่นภิกษุที่มีลาภนอย มีอาหารนอย ไมเหมือนตัว พระพุทธเจาก็เปรียบวาเหมือนแมลงกุดจิขี้ ที่มันกินอุจจาระจนเต็มทอง แลวปนเปนกอนกลมๆหอบติดหนาทองไวอีก ไปไหนก็หอบไปดวย พระพุทธเจาทานก็ทรงแสดงเพื่อไมใหภิกษุหรือใครก็ตาม ที่จะยกตนขมผูอื่นหรือดูหมิ่นผูอื่น เปนขอหนึ่งในสันตบท หรือธรรมที่เปนไปเพื่อสันตบท เพื่อจะไมดูหมิ่นผูอื่น แมในคุณสมบัติที่ตนมี ไมตองพูดถึงไมมีคุณสมบัติ มีสุภาษิตที่เรามักจะไดยินกันอยูเสมอวา คนที่เห็นคนเปนคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไมเปนคนใชคนไม ก็คือวาเมื่อเราเปนคนเหมือนกัน ถาไมเห็นคนอื่นเปนคน ก็ไมใชคนดวยคือ ไปดาลูกนองวาไอควายอยางนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเปนใคร ก็ตองเปนควายดวย บางคนก็ดูหมิ่นผูอื่น เพราะเห็นวาเขามีการศึกษานอยกวา มียศนอยกวา มีตําแหนงฐานะนอยกวา ยากจนกวา หรือวาความสวยงามทางรางกายนอยกวา มีชาติตระกูลที่ต่ํากวา เปนตน ก็ดหู มิ่นเขาดวยเหตุเหลานี้ อติมานี อนติมานี
คือ คือ
ยกตนขมผูอื่น ไมยกตนขมผูอื่น
ที่จริงคนที่เขามีการศึกษานอยกวาเรา เปนเพราะวาเขามีโอกาสนอยกวาก็ได แตมันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไมไดดอยกวาคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบานนอกนี่นาดูนะครับ แตเขาไมมีโอกาสไดเรียน พอไดเรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ 16 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ที่เปนผูใหญบริหารคณะสงฆอยูเวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แมแตขาราชการผูใหญก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีนอย เพราะฉะนั้น ไมควรจะดูถูกกัน ดวยเหตุที่เขามีการศึกษานอยกวา พระพุทธเจาบางทีทานนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยูใตตนไม มีคนเขาไปถามพระองควา ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจาตรัสวา มา ชาติ ปุจฺฉ จรณฺจ ปุจฺฉ อยาถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกวา ที่จริงทานก็ไมไดมีปมดอยเรื่องชาติตระกูล บอกวาไฟที่เกิดจากเชื้อตางๆ แมจะเกิดจากไมบาง แกลบบาง อื่นๆบางมันก็ลวนแตเปนไฟ หุงขาวสุกเหมือนกัน สําเร็จประโยชนที่ใชไฟได มันตางกันที่เชื้อเทานั้น อาจารยทองขาวเลาวา “มีเรื่องเลากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนทานเรียนที่อังกฤษ ก็ไดทราบวาทานเปนคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แตตอมาเมื่อทานไดรับสถาปนาเปนสยามมกุฎราชกุมาร ทานก็ไมคอยเลนแลว ทานก็ชกั ถือตัว ผูที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 วา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ตอมารัชกาลที่ 5 ก็ไดเขียนโคลงบอกวา ฝูงชนกําเนิดคลาย ใหญยอมเพศผิวพรรณ ความรูอาจเรียนทัน
คลึงกัน แผกบาง กันหมด
มีสุภาษิตที่เรามักจะไดยินกันอยูเสมอวา คนที่เห็นคนเปนคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไมเปนคนใชคนไม ก็คือวาเมื่อเราเปนคนเหมือนกัน ถาไมเห็นคนอื่นเปนคน ก็ไมใชคนดวยคือ ไปดาลูกนองวาไอควายอยางนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเปนใคร ก็ตองเปนควายดวย บางคนก็ดูหมิ่นผูอื่น เพราะเห็นวาเขามีการศึกษานอยกวา มียศนอยกวา มีตําแหนงฐานะนอยกวา ยากจนกวา หรือวาความสวยงามทางรางกายนอยกวา มีชาติตระกูลที่ต่ํากวา เปนตน ก็ดหู มิ่นเขาดวยเหตุเหลานี้ 17 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
อติมานี อนติมานี
คือ คือ
ยกตนขมผูอื่น ไมยกตนขมผูอื่น
ที่จริงคนที่เขามีการศึกษานอยกวาเรา เปนเพราะวาเขามีโอกาสนอยกวาก็ได แตมันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไมไดดอยกวาคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบานนอกนี่นาดูนะครับ แตเขาไมมีโอกาสไดเรียน พอไดเรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เปนผูใหญบริหารคณะสงฆอยูเวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แมแตขาราชการผูใหญก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีนอย เพราะฉะนั้น ไมควรจะดูถูกกัน ดวยเหตุที่เขามีการศึกษานอยกวา พระพุทธเจาบางทีทานนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยูใตตนไม มีคนเขาไปถามพระองควา ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจาตรัสวา มา ชาติ ปุจฺฉ จรณฺจ ปุจฺฉ อยาถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกวา ที่จริงทานก็ไมไดมีปมดอยเรื่องชาติตระกูล บอกวาไฟที่เกิดจากเชื้อตางๆ แมจะเกิดจากไมบาง แกลบบาง อื่นๆบางมันก็ลวนแตเปนไฟ หุงขาวสุกเหมือนกัน สําเร็จประโยชนที่ใชไฟได มันตางกันที่เชื้อเทานั้น อาจารยทองขาวเลาวา “มีเรื่องเลากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนทานเรียนที่อังกฤษ ก็ไดทราบวาทานเปนคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แตตอมาเมื่อทานไดรับสถาปนาเปนสยามมกุฎราชกุมาร ทานก็ไมคอยเลนแลว ทานก็ชกั ถือตัว ผูที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 วา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ตอมารัชกาลที่ 5 ก็ไดเขียนโคลงบอกวา ฝูงชนกําเนิดคลาย ใหญยอมเพศผิวพรรณ ความรูอาจเรียนทัน
คลึงกัน แผกบาง กันหมด
ถาเธอเห็นคหบดีมั่งคั่งสมบูรณ เห็นพระราชามหากษัตริย เห็นใครตอใคร ขอใหคิดวาอยางนี้เราก็เคยเปนมาแลว ในสังสารวัฏที่ยาวนานนี้ ถาไปเห็นคนยากจนเข็ญใจ 18 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
คนทุพพลภาพ กําพรายากจน ก็ใหนกึ วาอยางนี้เราก็เคยเปนมาแลว โดยที่สุดแมจะไปเห็นสุนัขขี้เรื้อน อยางนี้เราก็เคยเปนมาแลว” มันเพื่อนเกาเราทั้งนั้น ขางบนขางต่ําเราเคยเปนมาแลว ก็เลยไมริษยาและก็ไมดูหมิ่นดูถูกใคร อาจารยทองขาวเลาวา “ไดทราบวา สมเด็จพระ พุทธาจารยโตทานเดินไปผานเจอสุนัขนอนขวางทาง ทานบอกวาพอเจาประคุณเอยขอลูกผานไปหนอยเถอะ คนก็วา เอา ทําไมไปทําอยางนั้นละ ทานก็บอกวา ไมแนหมาตัวนี้อาจจะเปนพระโพธิสัตวก็ได” นี่ก็แสดงวาทานก็ไมมีอติมานะ มีอยูคราวหนึ่ง ที่วัดของทาน ตอนเย็นๆก็จะเตะตะกรอ ชาวบานไปฟองทานก็เฉย มาวันหนึ่ง ทานเขาวังไดจีวรผาไหมมา ตอนเย็นทานก็เอาผาไตรใสพานไปไวกลางวงตะกรอเลย แลวกราบ บอกวาโอย พอเจาประคุณเอย เตะตะกรอสวยเหลือเกิน ลูกไมมีอะไรจะใหรางวัล ขอถวายไตร ตั้งแตนั้นพระเลิกเตะตะกรอเลย” นี่คือเอาชนะดวยอุบาย บางคนก็ดูถูกคนยากคนจน เห็นคนจนก็เหยียดหยาม ถาคนที่คิดเปน เขาก็จะคิดวาเขาอาจมีดี มีความพยายามเหนือเราก็ได แตเนื่องจากเขาทํางานทีหลัง หรือไมมีมรดกจากบรรพบุรุษก็ได ฉะนั้นเขาก็ยังยากจนอยู คิดไดอยางนี้ก็ไมดูถูกคนจน ยิ่งรวยนี่คนจนเปนฐานใหเขา ไดอาศัยแรงงานคนจนเปนฐานใหทําอะไรตออะไรได ถาคนรวยเทาเขาหมดแลว จะไปจางใคร ถาคิดเปนจะมองอะไรไดเห็นชัด ปญหาอยูตรงที่คิดไมออกเพราะกิเลสตัวนี้มันปดหูปดตาหมด บางคนเกิดมาสวย ก็หลงตัวเองแลวก็ดูหมิ่นคนขี้เหร แตถาเขาคิดเปน เขาตองคิดวา เออ คนขี้เหรดี มันทําใหเราดูสวยยิ่งขึ้น และเขาก็อาจมีคุณสมบัติอื่นๆเหนือเราก็ได
19 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
มันอยูที่ความคิดเปน ถาคิดเปนแลว กิเลสตัวนี้จะลดลงไดงาย เพราะในสังคมเราตองมีคนทุกจําพวก คนกวาดถนน คนขนขยะ ทําอะไรทุกอยาง คนขับรถเมล คนขับแท็กซี่ คนเปนนายกฯ ตองหลากหลายแลวแตวาใครจะไปอยูตรงไหน เทานั้นเอง แตวาทุกคนก็ทําหนาที่ใหสังคมนี้อยูได ตางคนตางก็ทําหนาที่ ถาเขาทําหนาที่ไดดีที่สุด อันนั้นแหละคือเกียรติของเขา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาจึงสรุปเอาไววา คนจะดีหรือเลวเพราะชาติตระกูลก็หามิได คนจะดีหรือเลวก็เพราะการกระทําของตน น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ ชาติตระกูลก็เหมือนกัน บางคนก็เกิดในตระกูลต่ํา แตวาเขาเปนบุคคลอาชาไนยได เหมือนไฟที่เกิดจากเชื้อที่กลาวมาแลว ฉะนั้น การคิดเปน และการไมดูหมิ่นผูอื่นจึงสําคัญ ในสมัยพุทธกาล พระอุบาลีก็เปนชางตัดผม ทานราธะก็เปนคนยากจน พระยสะก็เปนลูกเศรษฐี แตเขามาบวชแลวก็กลมกลืนกัน ทานไมมีความรังเกียจกันวาคนนั้นเปนอยางนั้น เขามาบวชแลวละลายพฤติกรรมหมด ทานเขาถึงหัวใจของ พุทธศาสนา วาพระพุทธเจาเองก็ตองการปกครองสงฆใหเปนแบบอยางของสังคม เปนสังคมตัวอยาง จึงไมใหมีวรรณะ เหลือแตความเปนสมณศากยบุตร ในฐานะที่เปนมนุษย เกียรติของมนุษยเปนสิ่งที่สูงสุดซึ่งใครจะเหยียดหยามไมได อยางคนที่ไมมีอะไรเลย ขี้เมาหยําเป โดยคุณธรรมแลวเขาไมคอยมีอะไรเทาไหร แตถาลองไปขับรถชนเขาเขาสิกฎหมายเอาเรื่อง ในฐานะที่เขาเปนมนุษยคนหนึ่ง เหนือเชื้อชาติ เหนือสิ่งอื่นใดก็มีความเปนมนุษย ตองใหเกียรติในฐานะที่เขาเปนมนุษย ถึงเขาจะเปนอะไรไมเปนอะไร แตศักดิ์ศรีที่เขามีอยู ก็คือความเปนมนุษย
20 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ปจจุบัน มีคําวาสิทธิมนุษยชน ทุกคนมีสิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด แตทางพุทธเรากวางกวานั้นอีก คือเวลาแผเมตตา จิตจะแผกวางออกไปถึงสัตวโลกทุกชนิด บอกวาสัตวทั้งหลายที่เปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตาย ดวยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราแผออกไปจนถึงสัตวทุกชนิดทุกจําพวก ไมควรจะเบียดเบียนกัน ใหอยูเปนสุข ในกรณียเมตตสูตร มีอยูต อนหนึ่งที่พูดเอาไวดีที่วา น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ นาติ มฺเญถ กตฺถจิ นํ กิฺจิ คนอื่นไมควรจะขมเหงคนอื่นในที่ใดๆเลย พฺยาโรสนา ปฏิฆสฺญา นาฺฺมสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยย ไมควรปรารถนาทุกขแกผูอื่น เพราะความโกรธ ความเคียดแคนชิงชัง ฉะนั้น เราควรจะสวดเมตตสูตรกัน จะทําใหเรามองเห็นคนอื่นมีคุณคาเหมือนกันหมด เราใชคําวาสัตวทั้งหลาย คือทั้งหมดใน 31 ภูมิ ตัวเองรักสุขเกลียดทุกอยางไร คนอื่นก็อยางนั้น ก็ไมควรจะไปรังเกียจรังแกทํารายซึ่งกันและกัน ไมดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ใหเกียรติตามฐานะของเขา เชน มีคนใชอยูในบาน ก็ใหเกียรติตามฐานะของเขา ไมใชจะไปยกมือไหวเขา แตวาเราใหเกียรติที่เขาเปนเชนนั้น พระพุทธเจาจึงบอกวาให “ใหทานโดยเคารพ” แมแตใหกับสัตวเดรัจฉาน ก็ใหดวยความตั้งอกตั้งใจ ดวยความเอื้ออาทร ดวยจิตใจที่เปยมดวยเมตตา ไมใชตองไปเคารพสุนัขอะไรทํานองนั้น ใหโดยเคารพ คือวามีจิตใจออนโยน เอื้ออาทรตอมัน ใหโดยเคารพคือใหดวยเมตตา เอื้ออาทรวาเปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตายดวยกัน มีนายทหารหญิงคนหนึ่ง ตอนเชาหุงขาวใสถุงมาเต็มเลย ขับรถมาเผื่อจะเจอสุนัขที่ไหนบาง ถาเจอก็จอดรถเอาขาวไปใหกิน แสดงวาใจดี ใจถึง ทําไดยาก นานๆจะมีสักคน นโปเลียนเปนคนที่ใหเกียรติเพื่อนมนุษยมากเลย ทานอาจจะมาจากระดับต่ํา ทานเขาใจมนุษยดีพอสมควร ทานจะใหเกียรติคนที่ทํางานหนัก พวกกรรมกร เปนตน ไปเยี่ยมโรงงานกอนจะกลับ ทานจะโคงใหคนงานเปนการอําลา หรือแมเวลาเดินอยูในวัง 21 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ถามีคนแบกของหนักผานมา ทานก็หลีกทางให มีคนบอกวาหลีกใหเขาทําไม เขาเปนคนงาน ทานบอกไมได เขาทํางานหนัก คนทํางานเปนคนมีเกียรติเสมอ หลวงพอปญญานันทะ ทานเดินทางไปใต ทานนัง่ รอรถไฟอยู คนงานที่กวาดทําความสะอาดอยูที่สถานีรถไฟ บนบอกวา พวกนี้มาทําใหสกปรก ทิ้งขาวทิ้งของเต็มไปหมด นาเบื่อหนาย หลวงพอก็ถามวา โยม เขาจางโยมมาทําอะไร เขาตอบวา มาทําความสะอาด หลวงพอก็บอกวา แลวถาพวกนี้เขาไมมาทําสกปรกไว เขาจะจางโยมมาทํางานไหม นี่ทานจี้จุดดี ทําใหเขาระลึกถึงเรื่องนี้ได ทานปญญา สมัยที่ไปพมากับทานโลกนาถ ไปขอพักที่วัดพระไทยดวยกันไมใหพัก เลยไปพักที่วัดพระจีน พระจีนตอนรับดี ที่หลับทีน่ อนดี ตื่นเชามาเลี้ยงขาวตมดี พอจะลากลับ ทานยกมือไหว เพื่อนพระดวยกันบอก อาว ไหวไดยังไง เขาเปนพระจีน ทานบอกวา ไมไดไหวพระจีน ไหวคุณธรรมของทาน พระไทย ไมใหพักเลย อยาวาแตจะเลี้ยงขาวตม ทานปญญาทานมีคําพูดที่คมๆ เวลามีอะไรเกิดขึ้น ขอนี้ก็รูจักกันแพรหลาย พอพูดคําวาสันโดษ ทุกคนก็รูแตไมคอยจะเขาใจความหมาย ในทางปฏิบัติก็ไมรูจะปฏิบัติอยางไร จนถึงกับผมเคยฟงผูพูดออกทีวีบางคราวก็พูดบอกวา เมืองไทยนี่พัฒนาบานเมืองไมได พัฒนาการเมืองไมได เพราะวามีหลักธรรมทางพุทธศาสนา วาพุทธศาสนาเปนอุปสรรคในการพัฒนาการเมือง พัฒนาบานเมือง หลักธรรมทีว่ ิทยากรผูนั้นยกขึ้นมาพูดก็มี 2 หัวขอ คือ
22 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ขอ 1 สันโดษ วาสันโดษสอนใหคนพอใจในสภาพที่เปนอยู ไมกระตือรือรน เปนเหตุใหคนพวกหนึ่งฉกฉวยทางการเมือง และเสวยผลแหงการไดโอกาสนั้น ขอ 2 เรื่องกฎแหงกรรม การสอนเรื่อง กฎแหงกรรมนี้ทําใหเชื่อกรรมแลวยอมรับสภาพที่ต่ําตอยของตน ไมดิ้นรนตอสู เปนเหตุใหพวกที่ดิ้นรนตอสูไดอํานาจ และครองอํานาจอยูตลอดเวลา นี่คือความไมเขาใจหรือเขาใจผิดของพิธีกรคนนั้น ผมจะคุยเรื่อง สันโดษ กอน สันโดษ เปนหลักธรรมที่เปนพื้นฐานใหคนงดเวนทุจริต ปองกันอทินนาทาน และปองกันคอรรัปชั่นทุกรูปแบบ ถาคนประพฤติธรรมขอสันโดษ ประกอบอาชีพสุจริตมีสัมมาอาชีวะ คําวาสันโดษในที่นี้ตองหมายความวา การพอใจในสุจริต มีความหมายของสันโดษอยูคําหนึ่งคือ สมํ ตุฏฐิ คือพอใจในสุจริต สนฺตํ ตุฏฐิ พอใจในสิ่งที่เปนของตน ไมพอใจของผูอื่น ถาทําไดอยางนี้ ขโมยก็ไมมี เมื่อขโมยไมมี คอรรปั ชั่นไมมี มันก็เปนพื้นฐานใหเราพัฒนาบานเมืองไปเทาไหร ประกอบดวยสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ เขามา มันก็ไปไดเร็ว ไมมีเครื่องถวง มาดูอีกดานหนึ่งวา เราลงทุนทางเศรษฐกิจสูญเปลา เพื่อปองกันคนไมสันโดษมีเทาไหร เหล็กดัดทั่วประเทศ เหมือนอยูในกรง เราทําเพื่ออะไร ถาไมจําเปนใครอยากจะทํา ก็ทําเพื่อปองกันขโมย ขโมยคือพวกไมสันโดษ ไมสมํ ตุฏฐิ ไมยินดีในของของตน เราก็ตองทําเหล็กดัดทั่วประเทศ แลวกุญแจก็แพงเหลือเกิน กุญแจก็ทําเพื่อปองกันขโมย ยังมีรั้วอีก เรามีการลงทุนทางเศรษฐกิจที่สูญเปลา เพื่อปองกันทรัพยสินสูญหายเยอะแยะไปหมด
23 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
มีรถยนต ก็ตองมีเครื่องกันขโมย เปนการเพิ่มรายจาย ถาคนมีสันโดษ อาจจะไมตองมีการฟองรอง ไมตองมีอัยการ หรือไมตองมีคุก ไมตองมีกรมราชทัณฑ ตํารวจก็อาจจะมีแตตํารวจจราจร แลวเอาเงินทั้งหมดนี้ไปพัฒนาบานเมืองได คดีฟองรองในศาลเวลานี้ 80% เปนเรื่องของอทินนาทาน ฉะนั้นสันโดษนี่เปนการปองกันอทินนาทาน ปองกันการคอรรัปชั่นทุกรูปแบบ ดังนั้น ขอใหเขาใจเถอะวาสันโดษเปนสิ่งที่ดีกับสังคม และดีกับตัวบุคคลเอง มันทําใหมีความสุขสําราญใจอยูเรื่อยๆเสมอๆ คืออิ่มใจ ไดอะไรมาก็พอใจ เหมือนกับหมอน้ําที่มันเต็มอยูดวยน้ํา มันชุม แตถาหมอน้ําที่มันแหง ก็เหมือนกับคนที่ไดอะไรมาก็ไมพอใจ ไมมีความพอใจ จิตใจมันก็รอนอยูเรื่อย กระวนกระวายอยูเรื่อย ไมสันโดษ แตทานไมไดหามความเพียรพยายาม เพราะวาทานสอนสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ ทานสอนวาไมใหสันโดษในกุศลธรรม นี่เปนเรือ่ งที่ชาวพุทธควรทําความเขาใจกันใหดี ถาเราพัฒนาประเทศโดยไมมีสันโดษ เราอยาพัฒนาดีกวา เพราะโครงสรางมันสั่นคลอนไปหมด มันจะพัฒนาไปสูระบบการโกงกินกันเปนทีม และระบบการรับสินบน ขูดรีดโดยไมมียางอาย ใครมือยาวสาวไดสาวเอา ไมแยแสกับความอดอยากแรนแคนของผูอื่น นี่คือการพัฒนาโดยไมมีสันโดษเปนตัวควบคุม มันจะมีทุจริตเต็มไปหมด ขอพูดถึงเรื่องกรรมหนอย เพราะวาพิธีกรคนนั้นเขาพูดถึงเรื่องกรรมวา คําสอนในพุทธศาสนาในเรื่องกรรมนี้ เปนอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ทําใหคนไมมีคุณภาพ เพราะวาคนที่เชื่อเรื่องกรรมนี่ ยอมรับสภาพของตัว เชน ชาวนาที่ยากจน พอคิดวาเราเปนชาวนาที่ยากจน เพราะเหตุที่ชาติกอนทํากรรมไวไมดีมา ไมไดใหทานมา ตองมาเปนคนยากจน เพราะฉะนั้น ตองกมหนารับกรรมไป ไมตองดิ้นรนขวนขวาย เปนการเปดโอกาสใหคนที่ดิ้นรนขวนขวายเขาครอบครอง มีอํานาจอยูตลอดเวลา
24 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
มีลัทธิที่วา บุพเพกต เหตุวา เปนลัทธิที่เชื่อวา จะทุกขสุข จะดีชั่วอยางไรก็แลวแตกรรมเกา ถาเปนอยางนี้ พระพุทธเจาถือวาเปนมิจฉาทิฐิ ทั่วไปเรามักย้ํากันมากวา คนที่เกิดมายากจน เพราะไมเคยใหทาน คนที่เกิดมาร่ํารวย เพราะใหทานไวเยอะ สมมุติวาเราคิดวาเรื่องนี้เปนเรื่องจริง แตไมใชจริงทั้งหมด สมมุติวาสาเหตุที่ทําใหคนยากจนมีอยู 10 สวน อันนี้ยอมรับวาเปนสวนหนึ่ง คือ 1 ใน 10 อีก 90 ทําไมไมพูดวาเขายากจน เพราะเขาขี้เกียจทําการงาน เขาฝกใฝอบายมุขทุกชนิด ซึ่งเปนการปฏิบัติผิดหลักธรรมของพระพุทธศาสนา และระบบสังคมไดเอื้ออํานวยใหเขาเงยหนาอาปากไดไหม ระบบสังคมไดเอารัดเอาเปรียบเขาหรือเปลา ทํานองนี้นะครับ ซึ่งสามารถจะแจงออกไปไดเปน 10 อยาง 20 อยาง ถาเขาตั้งตัวไวดี ตั้งตัวไวชอบ อัตตสัมมาปณิธิ แลวรวมกับกฎอนิจจัง ไมเที่ยง คือวาจนได แตถาตั้งตนไวชอบ ก็เปลีย่ นเปนรวยได ถาประกอบเหตุปจจุบันดี และระบบสังคมเอื้ออํานวยใหเขาตั้งเนื้อตั้งตัวได ไมเปนระบบที่เอารัดเอาเปรียบ ทํานองนี้ ก็สามารถทําใหคนที่เกิดมาจน พอมีพอกินได ระบบสังคมนี่ก็ตองเอามาพิจารณาดวย ไมใชเอาแตตอกย้ํากันวาเกิดมาจน เพราะวาชาติกอน ไมไดใหทานเอาไว ความเปนอยูดีหรือไมดีของคนในสังคม ขึ้นอยูกับเหตุปจจุบันเปนสวนใหญ ไมใชเหตุในอดีตเปนสวนใหญ ถาแบงเปน 4 สวน เหตุในอดีตก็เปน 1 ปจจุบันเปน 3 ผมยกตัวอยางจากหลักธรรม ธรรมที่เปนเหตุใหบุคคลหมุนไปสูความเจริญมี 4 ขอ คือ 1. ปฏิรูปเทสวาสะ อยูในถิ่นที่เหมาะตอกิจการนั้น 25 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
2. สัปปุริสูปสังเสว หรือ สัปปุริสูปส สยะ คบคนดี 3. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไวชอบ
7. สุภโร การเปนผูเ ลี้ยงงาย 4. บุพเพกตปุญญตา ไดทําบุญไวกอน ตามหลักธรรมนี้ เหตุปจจุบัน 3 สวน เหตุในอดีต 1 สวน เขาไดอยูในถิ่นที่เหมาะกับกิจการ เขาทํานา นานั้นดินดีไหม มีน้ําหรือเปลา แหงแลงเกินไปหรือเปลา น้ําทวมหรือเปลา ทํานองนี้ พืชพันธุตางๆมันดีไหม ที่จะทําใหนาดี ตัวประกอบมันดีไหม ปจจัยตางๆมันตองพรอม หรือคาขาย ประการที่หนึ่งก็ตองทําเลดี ตอมาก็กัลยาณมิตร ตัวเองก็ตองตั้งตนไวชอบ เปนคนดีดวย นี่ก็ชี้แจงใหเห็นวา คําสอนเรื่องหลักกรรมของพุทธศาสนานี้ ถาเราเขาใจไมถูกตอง ก็จะทําใหคนเห็นวาคําสอนเรื่องกรรมหรือกฎแหงกรรมนี้ ทําใหคนยอมรับสภาพตามที่ตนเปนอยู และก็ไมดิ้นรนขวนขวาย งอมืองอเทา ทําใหถูกกดขี่ ที่สําคัญ ความเชื่อเรื่องกรรม ทําใหคนเวนความชั่วไดอยางตั้งอกตั้งใจที่จะเวน และตั้งหนาตั้งตาทําความดีดวยความสนิทใจ ความเต็มใจ ไมลังเลที่จะทําความดี นี่ก็เปนคุณเปนประโยชนแกสังคมมากมาย ฉะนั้น ถาคนในสังคมทําไดในเรื่องสันโดษและเชื่อเรื่องกรรมในทํานองที่ถูกตอง ก็จะทําใหประเทศมีความสงบรมเย็น เทาที่พบหลักตัดสินธรรมวินัย 8 ประการ ก็มีอยูข อหนึ่งใน 8 ขอคือ ธรรมใดเปนไปเพื่อความเปนผูเลี้ยงงาย ธรรมนั้นเปนธรรมเปนวินยั เปนคําสั่งสอนของพระศาสดา ธรรมใดเปนไปเพื่อความเปนผูเลี้ยงยาก ธรรมนั้นไมใชธรรมไมใชวินัย ไมใชคําสั่งสอนของพระศาสดา
26 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ความเปนผูเลี้ยงงาย อยางไรเรียกวาเปนผูเลี้ยงงาย ถาเปนเด็กก็เปนนัยหนึ่ง เด็กเลี้ยงงาย เด็กเลี้ยงยาก ก็ไมตองพูดถึง ไมใชในความหมายนี้ ความเปนผูเลี้ยงงาย โดยใจความสําคัญก็คือเปนผูอยูงายกินงายตายยาก อยูยากกินยากตายเร็ว ก็เปนคนงาย ภรรยานายทหารคนหนึ่งถามวา เอะ อยูกันมาสามสี่สิบปไมเคยบนเรื่องอาหารเลย เขาตอบวา เธอทําใหกินก็ดีแลว อยางนี้ก็เรียกวาเลี้ยงงาย มีพระพุทธภาษิตอยูแหงหนึ่งที่นาจะนํามาพิจารณาเรื่องเลี้ยงงาย เลี้ยงยาก สุชีวํ อหิริเกน กากสูเรน ธํสินา ปกฺขนฺทินา ปคพฺเภน สงฺกิลิฏเฐน ชีวิตํ หิรมิ ตา จ ทุชฺชีวํ นิจฺจํ สุจิคเวสินา อลีเนนาปคพฺเภน สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา คนไมมีหิริ กลาเพียงดังกา มีปกติกําจัดคุณของคนอื่น แลนไปเอาหนา คนองกายวาจา เปนผูเศราหมอง ยอมเปนอยูงาย สวนผูมีหิริ แสวงหาปจจัยที่สะอาดอยูเสมอ ไมหดหู ไมคนอง มีอาชีวะบริสุทธิ์ เห็นแจงอยู ยอมเปนอยูยาก นี่ไมใชเลี้ยงงาย เปนอยูงาย เลี้ยงยากแตเปนอยูงาย คือถาเปนอยางนี้แลวละก็สะดวกสบาย สวนคนมีหิริ แสวงหากรรมอันสะอาดอยูเปนนิจไมหดหู ไมคนองกาย วาจา เลี้ยงชีพดวยปจจัยที่บริสุทธิ์ เห็นอาชีวะหมดจดวาเปนสาระ ยอมเปนอยูยาก แตเลี้ยงงาย หมายความวาคอนขางจะแรนแคน คือวาไมกลาดังกา ภาษิตที่ยกมานี้ พูดถึงพระ ที่เปนคนเลี้ยงยาก แตวาเปนอยูงาย คือสะดวกสบาย เชน มีรถ มีกุฏสิ ะดวกสบาย เปนตน
27 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ที่วากลาดังกา หมายความวา กามันกลาที่จะลักขโมย คือทําเปนไมสนใจในเนื้อหรือปลาที่ชาวบานเขาตากเอาไว นั่งเฉย แตพอเจาของเผลอ ก็โฉบลงมาทันที จับเอากอนเนื้อหรือปลาเต็มปากแลวก็บินไป ฉันใด คนกลาเพียงดังกา ก็เหมือนกัน อาจจะทําทีไมสนใจตอเงินทองบางอยาง ในเมื่อไมมีโอกาส แตพอมีโอกาสเมื่อใดก็ทําทุจริตทันที นี่หมายถึงชาวบานนะครับ พระอรรถกถาจารยก็พูดถึงบรรพชิตวา เขาไปในบานกับภิกษุทั้งหลาย กําหนดที่ตั้งของอาหาร เมื่อภิกษุผูมีความละอายเที่ยวบิณฑบาตในบาน ไดอาหารพอยังอัตภาพใหเปนไปแลวไปสูโรงฉัน พิจารณาแลวดื่มยาคูแลว ทํากรรมฐานไวในใจ สาธยายพระพุทธพจน ปดกวาดโรงฉัน แตบุคคลผูกลาเพียงดังกาไมทําอะไร มุงหนาตรงไปยังบาน เขาไปสูเรือนหลังหนึ่ง บรรดาเรือนที่กําหนดเอาไวแลว เมื่อชาวบานแยมประตูไว ทําการของตนอยู เอามือขางหนึ่งผลักบานประตูเขาไปขางใน เจาของเรือนเห็นภิกษุนั้นแลวแมไมปรารถนา ก็นมิ นตใหนั่งบนอาสนะ ถวายขาวยาคูที่ตนมีอยู เขาบริโภคตามตองการแลว ถือเอาสวนที่เหลือแลวก็หลีกไป บุคคลดังนี้เรียกวากลาเพียงดังกา นี่พูดตามตําราที่ทานใหไว ตองขออภัยพระคุณเจาที่เปนพระสํารวมระวัง มีอินทรียสังวรดีแลว อยาไดกระทบกระเทือนใจแตอยางใด อเนสนา แสวงหาหรืออาชีพที่ไมบริสทุ ธิ์มี 5 อยาง คือ 1. กุหนา หลอกลวง 2. ลปนา พูดจาพิรี้พิไร 3. เนมิตกตา พูดจาหวานลอม 4. นิเปสิกตา พูดทาทายใหเจ็บใจเพื่อใหเขาให 5. ลาเภนะ ลาภัง ชิคิงสนตา ตอลาภดวยลาภ หรือหากําไรทางออม
28 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
1. กุหนา หลอกลวง ทานใหดูกุหนวัตถุ 3 อยาง 1. แกลงปฏิเสธปจจัย ทั้งๆที่อยากไดอยู เพื่อใหเขาเห็นวาเปนผูไมมีความตองการ แลวในที่สุดก็รับ ทําทีเหมือนวาเพื่ออนุเคราะหเขา เชน โยมเอาของมาถวาย ก็ไมรับ เขาก็คะยั้นคะยอ ยิ่งปฏิเสธมากโยมก็ยิ่งเลื่อมใส ในที่สุดก็บอกวาเอา รับก็รับ ก็ดูเหมือนวาอนุเคราะหเขา แตใจจริงอยากได 2. พูดเลียบเคียงหรือพูดออมคอมใหเขาเขาใจวา คุณวิเศษสูงสุดมีอยูในตน เชน ที่ทานยกตัวอยางไวในตําราวา “เมื่อมีคนมาหา ถาเปนเจาของกุฏิที่อยูก็วา ผูใดอยูในวิหารของทาน ผูนั้นเปนโสดาบัน เปนสกทาคามี หรือวาไดฌาน ไดวิปสสนา ทํานองนี้ พูดเลียบเคียง ไมบอกตรงๆ” ถาสมมุติวา โยมเจาของกุฏิมาหา พระก็บอกวา “กุฏิที่โยมสรางนี่ พระที่อยูสวนมากอยางนอยก็ไดฌาน” พูดเลียบเคียงใหเขาเขาใจวาผูที่อยูนี่ไมใชพระธรรมดา แตที่จริงก็หมายถึงตนนั่นแหละ 3. แตงอิริยาบถใหนาเลื่อมใส ทําเปนเครง จริงๆแลวไมไดเครง คือตอหนาอยางหนึ่ง ลับหลังอีกอยางหนึ่ง 2. ลปนา พูดจาพิรี้พิไร ทานยกตัวอยางวา ชอบทักขึ้นกอน คือชอบคุย ขี้คุย เสนอตัว ชอบพูดวาคนใหญคนโตมาหาตัว นี่เรียกวาเสนอตัว วิธีการนีพ้ วกหมอดูชอบใช การพูดเอาใจก็เปน ลปนาเหมือนกัน พูดยกยอ พูดผูกมัด พูดประจบ พูดเหมือนแกงถั่วคือพลามมากเพอเจอมากแตจริงนอ 3. เนมิตกตา ธรรมนิมิต เชน บอกใบ เปนทํานองวา เห็นเขาถืออะไรมา ก็ถามวาถืออะไรมา เขาตอบวาถืออาหารมา ก็พูดบอกใบวาพระควรจะไดฉันบาง หรืออยางโยมมา บอกวาจะมานิมนตพระไปฉันที่บาน พระก็บอกวา “หนึ่งอาตมาแลวสองใครหรือโยม” นีค่ ือบอกใบ 29 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ตอมาก็พูดเคาะ เชน ถามวาถืออะไรมา ตอบวาถือ นมมา พระบอกวาคงไมใช เพราะถาใช พระคงไดฉันบาง เรียกวาพูดเคาะ พูดเลียบเคียง หนากฐินมีกันบอย พูดเลียบเคียงใหไปทอดที่วัด ทํานองวาที่วัดยังไมมีใครทอดกฐิน 4. นิเปสิกตา พูดขม เพื่อใหเขาเจ็บใจแลวก็ให เชน “บานนี้เมื่อกอนนี้ ผูหลักผูใหญเคยทําบุญใหทาน พอมาถึงรุนนี้ไมเห็นมีใครทํา” นี่ก็พูดใหเขาเจ็บใจ เพื่อใหเขาให พูดใสราย พูดเยาะเยย พูดประชด พูดหวานตอหนา นินทาลับหลัง นี่ก็อยูในนิเปสิกตา
8. อัปปกิจโจ เปนผูม ีกิจนอย 5. ตอลาภดวยลาภ คือใหของเล็กนอย เพื่อหวังวาจะไดของมาก ทางหลักศาสนา ถือวาผูที่ประกอบอเนสนา เปนผูเลี้ยงยากไมใชคนเลี้ยงงาย ไมอยูในสุภโร หางไกลจากสันตบท ในกรณีที่บอก “โยม อาตมาอยากฉันน้ําพริกปลาทู” อยางนี้ถาไมใชญาติ ไมใชปวารณา ก็เปนอเนสนา เพราะทําไมไดอยูแลว ในกรณีที่พระทานเดินทางไปถึงเวลาเพล ก็เขารานอาหาร รานก็จะถามวาจะฉันอะไร พระก็บอกวากวยเตี๋ยวตมยํา ถาโดยกิริยาของพระ ก็ไมควรจะระบุ ควรแลวแตเขาจะจัดมาถวาย แตถาเปนซื้อฉันเอง ก็บอกได เพื่อเขาจะไดจัดใหถูก ซื้อฉันเองบอกไดไมเปนอเนสนา
30 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
สุภโร เปนคุณธรรมสูสันตบทคือความสงบ ฆราวาสยิ่งทําไดงาย เพราะเลี้ยงตนอยูแลว ทําอยางไรจึงจะเปนคนเลี้ยงงาย กินอยูธรรมดาๆ กินเพื่ออยู ไมใชอยูเพื่อกิน กินอยูแตพอดี ไมไดมีจุดมุงหมายในการอยูดีกินดี สวนชีวิตพระตองอาศัยชาวบาน ก็ยิ่งตองทําตัวใหเขาเลี้ยงงาย มีอยูขอหนึ่งในหลักธรรมที่ใหพระพิจารณา ปรปฏิพทฺธา เม ชีวิกา ชีวิตของเราเนื่องดวยผูอื่น ฉะนั้น เราตองทําตัวใหเขาเลี้ยงงาย เปนหลักธรรมที่ใหพระสงฆพิจารณาเนืองๆ
9. สัลลหุกวุตติ ประพฤติตนเปนผูเบากาย เบาใจ ถือวาเปนคุณธรรม ที่ทาํ ใหยิ่งนาเคารพมากขึ้น คือไมไปยุงกับเรื่องการกิน กินมากเกินเหตุเกินควร อันนี้ตองนึกถึงวา ทานพูดวาเปนทางสูสันตบทนะครับ คือสูนิพพาน สันตบทก็คือนิพพาน ถาไมพิจารณาใหดี จะดูเหมือนวาสอนใหคนขี้เกียจ ความจริงไมใช แตเพื่อใหมีจิตผองแผวไปนิพพานไดเร็ว เพราะเปนทางสูนิพพาน มีกิจมาก คือวุนไปหมด รับนิมนต มีการกอสราง มีกิจธุระเยอะแยะ โอกาสที่จะไปบําเพ็ญสมณธรรมก็ไมมี หาความสงบไดยาก
10. สันตรินทรีโย มีอินทรียสงบ ทานมุงไวสําหรับผูที่กําลังปฏิบัติเพื่อจะกาวขึ้นสูโลกุตตรธรรมพอไดบรรลุแลว ทานก็จะกลับมาสูสังคม มาทํางานใหสังคมอีก เหมือนเด็กนักเรียน งานอยางอื่นก็พักไวกอน เรียนจบแลวคอยมาทํางานหนักขึ้น
31 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
มีกิจนอย ไมใชการเกียจคราน เพราะพระพุทธเจาไมทรงสรรเสริญคนเกียจคราน ทรงตําหนิตลอด ผูที่มักหลับผูที่คุยมาก มักหลับ มีการงานมาก ยอมหางไกลจากการสิ้นอาสวะ นี่พระพุทธเจาทานตรัสเอาไว เปนการยืนยันวา การมีกิจนอย นี่ทรงมุงถึงผูที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุสันตบท มีแหงหนึ่งที่นาสนใจที่วา นิทฺทาสิลี คนที่ชอบหลับ สภาสิลี ชอบคุย อนุฏฐาตา จ โย นโร เกียจครานไมขยันลุกขึ้น อลโส เกียจคราน โกธปฺญาโณ มักโกรธ ก็เปนทางของความเสื่อม ตํ ปราภวโต มุขํ ทานมุงสําหรับผูที่กําลังอยูในชวงบําเพ็ญตนเพื่อบรรลุ สันตบท คือไมทําตนใหเปนคนหนักอกหนักใจอยูเสมอ ภาระอะไรที่ไมจําเปน ก็ตัดทิ้งไปบาง มีธุระอะไรที่หลีกไมพนก็ทําไป แตก็ไมเก็บมาหนักอกหนักใจ จนกินไมไดนอนไมหลับ ไมขวนขวายไขวควาเอาภาระที่ยังไมมาถึง ใหรุงรังสมองรุงรังใจ ภาระใดที่มาถึงเขาก็ทําไป ไมไขวควาหาภาระที่ยังไมมาถึง และไมผลักภาระที่มาถึงแลว เมื่อเบากายเบาใจ จิตก็ผองใส เปนกัมมะนียัง ควรแกการงาน มีสมาธิไดเร็ว มองชีวิตปลอดโปรง ไมรุงรัง สบาย ถึงจะเปนฆราวาสก็ทําตัวใหเบากายเบาใจ
11. นิปโก ผูมีปญ ญารักษาตน ได โดยวิธีทวี่ าอะไรไมจําเปนก็ตัดทิ้งไป เอาที่จําเปนไว นอกจากตัวเราเองจะเบากายเบาใจแลว คนอื่นใกลตัวเราก็จะพลอยเบากายเบาใจไปดวย จะตรงกันขามกับอีกตัวหนึ่งคือ ปากตินฺทฺริโย มีอินทรียปรากฏคือมีอินทรียไมสงบ ถาเผื่อทานผูฟงไปอานพระไตรปฎก เขาพูดถึงพระที่ไมเครง พระที่ลอกแลก เขาจะใชคําวา ปากตินฺทฺริโย
32 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
สันตรินทรีโย กายสงบ คือ ตา หู จมูกลิ้น กาย ฝกมาดีจนเชื่อง เหมือนมาหรือชางที่เขาใชงานแลวเขาฝกมาดี มันจะดูดีกวาสัตวที่ยังไมไดรับการฝก มันจะสงบและสงา บางทีมาศึกนี่ เขาจะทดลองมัน เดินทางไกลใหกระหายน้ํา เอาน้ํามาไวใกลๆ แลวตีกลองศึกขึ้นมา มันจะผละจากน้ําที่มันกินทันที พุงไปยังเสียงกลอง เขาฝกมาดี หรือชางของพระเจาปเสนทิโกศลไปติดหลม ทํายังไงก็ไมขึ้น ปุโรหิตก็ใหไปตีกลองศึก พอไดยินกลองศึก ก็มีเรีย่ วแรงถอนตัวขึ้นมาจากหลมได หรือทานเจาคุณพระธรรมปฎก ทานบอกวาไมสบาย พอไปใหทานเทศน ใกลเพลแลว ทานบอกวา พอไดพูดแลวไมตองฉันก็ได นี่ทานก็มีลักษณะเปนเหมือนชางศึกมาศึก คือคนที่ทําประโยชน พอทําไปก็ปติลืมเหนื่อย มีความอิ่มใจในหนาที่การงาน คนที่มีอินทรียสงบ เริ่มตนก็จะสํารวมอินทรียทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฝกใหมันทําไดตามที่อยากจะทํา เรียกวามีอินทรียที่ไดรับการฝกดีแลว และสงบได พระพุทธภาษิตที่นาสนใจตอนหนึ่งวา อินทรียของสัตวในโลกนี้ ทั้งที่เปนประโยชนและไมเปนประโยชน ที่ฝกแลวเปนประโยชน ที่ไมไดฝกไมเปนประโยชน มีอินทรียก็ตองรักษาอินทรีย สํารวมอินทรียเพื่อใหเปนประโยชน ปญญามีหลายแบบ 1. สชาติกปญญา ปญญาที่ติดมาแตกําเนิด บุคคลประเภทที่มีปญญาดีที่สืบเนื่องมาจากกรรมเกา ไดสะสมปญญาบารมีมามาก ก็ติดมาตั้งแตเกิด ที่เรียกวามีไอคิวสูง คนเราเกิดมาฉลาดไมเหมือนกัน สชาติกปญญา แสดงถึงความฉลาดมาตั้งแตเกิด แตถาเขาไดเรียนนอย ความฉลาดนั้นอาจจะนอยลง หมายความวาไมมีตัวเสริม เปนไปเองเทาที่มีมาแตกําเนิด intelligent จะเล็งไปทาง mental ability ความสามารถทางจิตที่จะรูอะไรไดมาก ถาเผื่อวาคนมีสชาติกปญญามาดี 33 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
แลวก็มาไดศึกษาเลาเรียนดีดวย อีกคนไมมีสชาติกปญญา ไดแตโยคปญญาอยางเดียว คือความรูที่ไดจากการเลาเรียน การสดับตรับฟง มันก็สูคนที่เขามีทั้งสองอยางไมได คนสมองดี จะจําไดหมายรูเร็ว แตคนมีปญญาดี จะคิดเหตุผลไดทะลุปรุโปรง คนปญญาดีเรียกวาเฉลียวฉลาด คนที่สมองดี ปญญาดี ความเพียรดี ก็จะไปไดไกลมาก ความฉลาดของคนไมเทากัน เหมือนความสูงของตนไม อยางเอากระถินกับตนสักปลูกดวยกัน มันสูงไมเทากัน หรือลูกลิงกับลูกชาง โตเต็มที่ของลิงกับชางมันผิดกัน ฉะนั้น การที่ไดอะไรสะสมมาแตชาติกอนก็มีสวนเยอะเหมือนกัน และก็มาเพิ่มเอาในชาตินี้ดวย พระปญญาบารมีของพระพุทธเจา ตามที่เราไดศึกษากันมา อยางในชาติที่เปนมโหสถ ก็มีปญญามาตั้งแตเด็กๆ ผูใหญสูไมได ผูใหญคิดไมออกทานคิดออก 2. โยคปญญา โยคะ แปลวา ประกอบหรือกระทํา ปญญาที่เกิดจากการประกอบ การกระทําในปจจุบัน ขยันหมั่นเพียรหมั่นฟงหมั่นคิด หมั่นอบรมฝกฝน ปญญาชนิดนี้ ถาเผื่อคนฟงเทากันคิดเทากัน อบรมเทากันก็จะไดรับมาเทาๆกัน 3. เนปกกปญญา นี่คือนิปโก ปญญาที่รูจักรักษาตัวไมใหตกไปในความชั่ว ผูมีปญญาอยางนี้ จะตองประกอบดวยโกศล 3 อยาง คือ 1. อายโกศล ฉลาดรูเรื่องความเจริญ 2. อปายโกศล ฉลาดรูเรือ่ งความเสื่อม อะไรคือความเจริญ อะไรคือความเสื่อม 3. อุปายโกศล ฉลาดรูอุบายที่จะหลีกจากความเสื่อม ดําเนินไปสูความเจริญ
34 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
คําวา อุบาย ในภาษาธรรมะ แปลวา วิธีการ เวลาเราเรียนหนังสือ เราเนนไปที่พุทธิศึกษา คือสอนใหคนเกง แตไมไดสอนใหคนดี สอนใหรูเรื่องความเจริญ ความเสื่อม ที่จะรูจักหาวิธีหลีกจากความเสื่อมไปหาความเจริญก็ยังนอยอยู เรื่องความดีความชั่ว ความถูกความผิด ความควร ไมควร อะไรพวกนี้มันตองเรียนกันตางหาก สังเกตดูคนทําความดีกันไมคอยเปน เราขาดการสอนเรื่อง เนปกกปญญา มาตรฐานความสําเร็จในชีวิต เรามุงเอาทางวัตถุกันเกินไป ใครที่ไดวัตถุมากก็กลายเปนความสําเร็จในชีวิตในสายตาของสังคมไป ที่จริงมันไมใช แตมันก็เห็นยาก วัตถุตางๆมันเห็นงายก็เลยเอาไวกอน ที่จริงมันไมใช ทีใ่ ชก็คือความสงบสุขในชีวิต และการไดทําประโยชนกบั ผูอื่น อันนั้นเปนความสําเร็จในชีวิตที่ดีกวาตั้งเยอะเลย 4. นิเพธิกปญญา หมายถึงปญญาที่แทงทะลุ โดยเฉพาะอยางยิ่งแทงทะลุอริยสัจ 4 แจมแจงความเปนจริง ซึ่งประกอบดวยรอบ 3 อาการ 12 ที่มาคูกับนิเพธิกปญญาอยูเสมอคือ อุทยัตถคามินีปญญา คือปญญาที่รูความเกิดและความดับของสังขารและนามรูป เปนคนละอยางกัน แตจะมาคูกันเสมอ ทานจะแสดง อุทยัตถคามินีปญญากอนคือรูจักความเกิด ความดับของสังขาร และนามรูป เปนญาณตางๆ ตอมาก็ถึงแทงทะลุอริยสัจ คือ นิเพธิกปญญา แทงทะลุอริยสัจตามความเปนจริง ซึ่งประกอบดวยรอบ 3 ไตรปริวัฏ อาการ 12 ในแนวทางของพระศาสนา ในการทีจ่ ะเสริมสรางปญญาทั้ง 4 นี้ มีวิธีการยังไง ก็มีวิธีตางๆกันไป โดยเฉพาะอยางยิ่งที่เปนหัวขอธรรมรวมที่ใชไดกับปญญาทั่วๆไป ก็คือปญญาวุฒิธรรม คือธรรมที่ทําใหปญญาเจริญ หรือเปนไปเพื่อความเจริญ ปญญามี 4 อยาง 1. สัปปริสูปสังเสวะ การคบคนดี คบคนดีก็ไดปญญาเยอะ 35 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
2. สัทธัมมัสสวนะ ฟงธรรม ฟงคําสั่งสอนของคนดี 3. มีโยนิโสมนสิการ 4. ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรมนั้นปฏิบตั ิอยางไร อันนี้มี 2 ความหมาย
12. อัปปคัพโภ เปนผูไมคนองกาย วาจา มีจิตสงบ 1. ปฏิบัติธรรมใหเหมาะสมแกฐานะของตน วาอยูในฐานะอยางไร ควรจะทําอยางไร ปฏิบัติธรรมแคไหน จึงจะเหมาะสมแกฐานะของตน อยางจะใหทาน ก็รูวาฐานะของตนเปนอยางไร ควรจะใหทานเทาใด รักษาศีลก็เหมือนกัน รักษาใหเหมาะแกฐานะของตน ไมอยางนั้นอยูไมไดหรืออยูลําบาก ถามีอาชีพเปนชาวประมง ก็ถือศีลขอ 1 ไมได ก็ไปถือขออื่นใหเครง ถืออทินนาทานใหเครง อยาไปขโมยของคนอื่น อยางนายอริยะพรานเบ็ด ตกปลาอยู พระพุทธเจาถามวาเธอชื่ออะไร เขาวาชื่ออริยะ พระพุทธเจาตรัสวา ถายังทําอยางนี้อยูยังไมใชชื่ออริยะ ถาพระจะไปเทศนชาวประมง ก็เทศนเรื่องอื่นไมตองไปเทศนใหเลิกฆาสัตว สมเด็จพระมหาสมณเจากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทานเคยตําหนิพระที่ไปเทศนใหชาวประมงฟง แลวทานไปเทศนเรื่องปาณาติบาต ทานก็เรียกมาเตือน ทานบอกวาเทศนอยางนี้ไมได เหมือนกับไปหักดามพราดวยเขา ทําไดอยางไรมันเปนอาชีพของเขา ไปเทศนเขาก็คงเวนไมได ศาสนามีคุณกับเขาอยางไร เขาก็รูอยู เขาจึงไดลงทุนบํารุงศาสนา อุตสาหนิมนตพระไปเทศน ก็มเี รื่องอื่นจะเทศนเยอะแยะไป ทานก็ติงแบบนี้ 2. ปฏิบัติธรรมนอยคลอยตามธรรมใหญ หมายความวา ในศาสนาจะมีหลักใหญอยู เหมือนกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูกตองไมขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ 36 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
เชน หลักกรรมเปนหลักของพุทธศาสนา การทําอะไรตองไมขัดกับหลักกรรม ถาขัดกับหลักกรรมก็ตองถือวาไมปฏิบัติธรรมนอยคลอยตามธรรมใหญ เชน พระพุทธเจาทานตรัสวา ฤกษดี ยามดี ขณะดี อยูท ี่สุจริตกาย วาจา ใจ เราบอกจะยายที่ทํางาน ดูฤกษเสียหนอย เรียกวาขัดกับหลักกรรม หรือวาทําดีตอนเชา เชานั้นก็เปนฤกษดี ทําดีตอนบาย บายนั้นก็เปนฤกษดี นี่หลักของพระพุทธเจา ถาเราไมถืออันนี้ ไปดูฤกษดูยามในการทําอะไร ก็ไมถกู หรือถาไปบนบานศาลกลาว ก็ถือวาขัดกับหลักใหญแลว เมื่อจิตสงบ กายวาจาก็พลอยสงบไปดวยตามธรรมชาติ จิตเปนสิ่งที่สงบยากกวากายวาจา เราจึงสอนเรื่องศีลกอน ใหกายวาจาสงบ เอาจากขางนอกมากอน แลวก็ไปสอนเรื่องสมาธิใหจิตสงบ ในทางปฏิบัติ ถาเผื่อยังไมสามารถทําใหจิตสงบได ก็ใหสํารวมกาย วาจาไวกอน เหมือนจะขุดตนไม ถาเห็นวาตนไมมันใหญนัก รากมันลึกนัก ก็ตัดกานรานกิ่งไวกอน แลวคอยตัดลําตนทีหลัง ก็จะงายขึ้น ผมนึกถึงชาดกหนึ่ง ที่พระโพธิสัตวไถนาแลวไปเจอแทงทองใหญมาก จะแบกก็ไมไหว หรือแบกมาก็กลัวคนเห็น ทานฉลาด คอยๆเลื่อยเอามาทีละเล็กนอย เอาไปขายบาง เอาไปทําธุระบาง แลวแตจะทํา ก็อยูสบายไปทั้งชาติ อะไรที่มันใหญโตเกินไปเหลือกําลัง ก็คอยๆตัดทอนไปทีละเล็กทีละนอย พระพุทธเจาทานปรารภพระที่ทานบนวา สิกขาบทนี่มันเยอะเหลือเกิน รักษาไมไหว ไหวกายไหววาจาอะไรไมได เปนอาบัติไปหมด พระพุทธเจาทานวา ถาอยางนั้นไมตองรักษามาก รักษาจิตอยางเดียวไดไหม ทานตอบวาได แลวก็รักษาจิตอยางเดียว แลวทานก็ไดสําเร็จ พอสําเร็จแลว ทานก็คิดวาอาจารยเราตอนที่แนะนําทีแรกมัวแตแนะนําเรื่องวินัย สิกขาบทนั้น สิกขาบทนี้ ทําอะไรไมไดไปหมดเลย แตพอพระพุทธเจาแนะนําบอกรักษาจิตอยางเดียว รูสึกมันเบาสบายดี
37 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
พระพุทธเจาทานตรัสวา เรื่องทํานองนี้มันเคยมีมาแลว ก็เลาเรื่องบัณฑิตไปเจอทองนี่แหละครับ ถาฉลาดก็คอยๆแบงเอาไป ก็ไปได
13. กุเลสุอนนุคิทโธ ไมติดพันในตระกูลทั้งหลาย การคนองกาย คืออาการที่กายหลุกหลิกลุกลน ไมอยูในสภาพที่เรียบรอย อันนี้ก็เปนบททดสอบ คนที่เขมแข็งกายเขาจะมั่นคง จะนั่ง จะเดิน รูสึกทาทางมั่นคง แตถาคนที่จิตใจไมมั่นคง การนั่งการเดินจะหลุกหลิก ลุกลี้ลกุ รน นักปราชญทานใหสังเกตดู บางทีพระคุณเจาทานเรียนหนังสือ นั่งไขวหางกระดิกขาไปดวย พอกลับกันหมดแลว ผมก็ขอนิมนตใหอยูกอน เรียนถามทานวา ขาทานเปนอะไร ทานบอกวาปกติ ผมก็วาผมเห็นกระดิกอยูเรื่อย ตั้งแตวันนั้นมาก็เรียบรอย ทานศาสตราจารยรอยตํารวจโทแสง มนวิฑูรย ทานกําลังสอนอยู เห็นองคไหนกระดิกขานี่ ทานเดินมาดุเลย ทานจะลุกจากเกาอี้เลย จะหลับจะอะไรทานไมถือ แตนงั่ กระดิกขานี่ถือมาก ทานบอกวาที่ทานเตือนพระหนุมเณรนอยนี่ ก็เหมือนกับพระพุทธรูป มีฝนุ ก็เอามาเช็ดมาถู มาขัดเพื่อเอาไวกราบไหว แลวทานเปนอาจารยคนเดียวที่เวลาเขาสอน จะกราบพระพุทธรูป ในสวนของฆราวาส ก็แลวแตบุคคล อาจจะไดเหมือนกัน ถาไดโอกาสเหมาะ ตามสมควร การคนองวาจา พูดออกไปโดยไมระมัดระวัง ไปบาดใจคนอื่น ใหโทษแกตัวเอง ที่สําคัญก็คือ ไมมีเรื่องจะพูดก็พูด หรือหมดเรื่องจะพูดแลวก็ไมหยุดพูด ตรงกันขามกับคนที่สํารวม ซึ่งจะมีลักษณะอีกแบบหนึ่ง ถาในระดับสูงขึ้นไป การไมคนองกายก็หมายถึงการไมทําทุจริตทางกาย การไมคนองวาจาก็หมายถึง การไมทาํ ทุจริตทางวาจา ทําใหเปนคนที่มีกายวาจาเรียบรอย นาเคารพนานับถือนารัก นาคบหาสมาคม 38 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
การพูดหยอกเยา ก็ตองดูบุคคล ดูกาลเทศะหลายอยาง
14. อนูปวาโท ไมกลาวราย ถาพระเจอผูหญิงแลวบอกวา “โยมหนาใสเชียววันนี้” อยางนี้ คนองกายมากเกินไปทีเดียว ไมเหมาะ คําวา อปฺปคพฺภ เปนศัพทเฉพาะ แปลวาไมคนองกายวาจา คํานี้เราจะไปแยกแปลไมได อปฺป แปลวานอย คพฺภ แปลวาครรภ ถาผสมกันจะมีความหมายอีกอยางหนึ่ง เหมือนกับคําวา season คําวา sea แปลวาทะเล คําวา son แปลวาลูก แตรวมเปน season แลวแปลวาฤดูกาล ไมไดแปลวาลูกทะเล คุณสมบัติขอนี้ ถาเปนพระสงฆก็เห็นไดงาย เพราะทานสอนไมใหคลุกคลีกับตระกูล ไมใหติดพันตระกูล ใหชกั กายชักใจออกหาง มองเห็นตระกูลเปนอันตรายเหมือนมองเห็นภูเขาที่โตรกชัน เหมือนบอน้ําที่ปากเปนหลมเลน ไมกลาเขาไปใกลกลัวจะตกลง ประพฤติตนเหมือนดวงจันทรใหแสงสวางแกโลก แตไมลงมาคลุกคลีกับโลก จันทูปมา ปฏิปทา พระมหากัสสป ไดรับยกยองมากในเรื่องนี้ และมีพระติสสะเถระผูหนึ่งที่เขาไปคลุกคลีกับนายชางแกวเปนประจํา และถูกหาวาไปขโมยแกวมณีเขา ในเรื่องนกกระเรียน จากวันนั้นมาทานบาดเจ็บแลว ทานก็อธิษฐานใจวาไมยอมเขาสูรมชายคาของบานใด ถายังมีปลีแขงอยู ก็จะเที่ยวบิณฑบาตไปตามประตูบาน คือจะไมเขาบานใคร เพราะวาประสบภัยพิบัติจากการเขาสนิทสนมในตระกูล ถาเปนคฤหัสถ ถาจะทําตัวใหสอดคลองกับขอนี้ คือวา ไมคลุกคลีกับเพื่อนบานมากเกินไป แมในหมูญาติก็ไมคลุกคลีมากเกินไป เพราะเปนเหตุใหทะเลาะวิวาทกัน บาดหมางกันไดงาย มีสุภาษิตที่วา “มิตรภาพยอมจืดจางเพราะหางเหินกันเกินไป หรือเพราะคลุกคลีกันเกินไป”
39 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
1. อัจจาภิกขณสังสัคคา คลุกคลีกันมากเกินไป 2. อสโมสรเณน จ หางเหินกันมากเกินไป คือไมสโมสรกันเลย 3. อกาเล ยาจนาย จ ขอใหกาลที่ไมควรขอ เอเตน มิตฺตา ภิชฺชนฺติ มิตรทั้งหลายยอมจะจืดจางไปเพราะเหตุนี้ 3 ขอนี้เปนเหตุในการรักษามิตรภาพ คือวางจังหวะใหพอดีๆ น จ ขุทฺทํ สมาจเร กิฺจิ เยน วิญู ปเร อุปวเทยฺยุ แปลวา ติเตียนผูอื่นอยางไร ก็ไมควรทําอยางนั้น วิญูชนติเตียนชนทั้งหลายอื่นไดดวยการกระทําอยางใด ก็ไมถึงกระทํากรรมหรือการกระทําอยางนั้น ผมก็เลยขอรวบเปนวา ไมทําอยางที่ตําหนิผูอื่น และขอรวบเปนศัพทวา อนูปวาโท ไมกลาวราย คือแตงศัพทขึ้นใหม จากการรวบบาลียาวๆ โดยทั่วไป เปนนิสัยที่ไมดีอยางหนึ่งของคนบางคน หรือโดยมากก็ได อาจจะตําหนิผูอื่นในแบบที่วา “โทษคนอื่นมองเห็นเปนภูเขา โทษของเรามองไมเห็นเทาเสนขน” ตามอุทานธรรมของทานศาสนโสภน แจม จตฺตสลฺโล ถาตําหนิผูอื่นในสิ่งที่ตัวเรา หรือตนเองไมไดทําก็ไมเปนไร ไมสูกระไรนัก ถาทําอยางที่ตําหนิผูอื่นไว ก็จะนาขายหนาเพราะเขาจะชี้หนาเอาได วาแตเขาอิเหนาเปนเอง ตัวอยางที่เห็นชัด อยางคอรรัปชั่นในวงราชการก็จะมี วงการทั่วๆไปก็จะมี หรือผูใหญในวงการราชการพูดถึงการปราบคอรรปั ชั่นสั่งปราบคอรรัปชั่น ถาหากวาผูใหญเองไมคดโกงก็ดีแลว ก็คงจะเปนไปไดเรียบรอยสะดวกดี ถาหากผูสั่งเปนผูทุจริตเสียเอง ก็ไมรูจะไปปราบไดอยางไร หรือเจาอาวาสที่เปนปาราชิก ก็จะเลี้ยงลูกวัดที่เปนปาราชิกเอาไวเพื่อเปนพวกพองของตัว ก็เปนเรื่องธรรมดาของคนหาพวก
40 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
ตัวอยางก็คือพระอุปนนท เทศนาใหคนทั้งหลายภิกษุทั้งหลายสันโดษ แตทานไปที่วัดไหน เวลาเขาพรรษา ทานก็อยากไดของออกพรรษา ทานก็ไปวางรองเทาไวบาง วางรมไวบาง เพื่อทานจะมีสวนดวย พอออกพรรษาแลวทานก็เดินเก็บไปทีละวัด นี่ก็เห็นชัด กลาวยกยองความมักนอยสันโดษ แตตัวเองกลับไปทําตรงกันขาม แตบางเรื่องก็มีขอยกเวน เชนพระแก ทานหวังดีแกลูกศิษย ตื่นมาตี 4 ก็เที่ยวเดินปลุกใหพระหนุมเณรนอยขึ้นมาทองหนังสือ เสร็จแลวทานก็ไปนอนตอ เพราะทานแกแลว อยางนี้ ก็ยกเวนใหดวยสุขภาพของทาน ไมควรตําหนิทาน ในพุทธพจนมีวา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ตนทีฝ่ กดีแลว ยอมไดที่พึ่งที่ไดโดยยาก ตองฝกตนกอนแลวฝกผูอื่นภายหลังก็ไมเศราหมอง อีกบทหนึ่งวา อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาป นหาปเย ไมควรพราประโยชนตนเพราะประโยชนผูอื่นใหมาก รูประโยชนของตนแลว พึงทําประโยชนของตนใหบริบูรณ พึงขวนขวายในประโยชนของตน แตอันนี้ไมไดสอนใหเห็นแกตัว เพียงแตวาทําตัวใหดี แลวก็ชวยผูอื่นใหดีดวย คือไปพรอมๆกัน แตถาเผื่อฝกตนไดแลวก็จะดียิ่งขึ้น เกี่ยวกับเรื่องวาจา ที่วาไมควรทําอยางที่ตําหนิผูอื่น หรือไมควรกลาวรายผูอื่นโดยไมมีขอเท็จจริง มีพุทธภาษิตในสังยุตนิกาย พรหมสังยุต อยูตอนหนึ่ง ซึ่งผมเห็นวาจะเปนประโยชนกับผูสนใจอยูมาก พระพุทธเจาทานตรัสวา คนที่เกิดมาทุกคน มีขวานติดปากมาดวย สําหรับใหคนพาล ผูที่ชอบพูดราย พูดชั่วๆ ไวเชือดเฉือนตนเอง ผูใดสรรเสริญคนที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ ผูนั้นเรียกวาเกลี่ยโทษลงดวยปาก เขาก็จะไมไดรับความสุขเพราะโทษนั้น
41 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
การเสียทรัพยเพราะแพการพนัน สิ้นเนื้อสิ้นตัวก็ยังโทษนอยกวา การทําใจใหประทุษรายในพระสุคต การทําใจใหประทุษรายในพระสุคตคือพระพุทธเจานี้มีโทษมากกวา มีโทษติดตามไปหลายชาติ นากลัว บุคคล 4 จำพวก 1. ยกยองคนที่ควรยกยอง ตําหนิคนที่ควรตําหนิ 2. ไมยกยองคนที่ควรยกยอง ไมตําหนิคนที่ควรตําหนิ 3. สรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญ แตไมติเตียนคนที่ควรติเตียน 4. ติเตียนคนที่ควรติเตียน แตไมสรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญ พระพุทธเจาคุยกับ โปตลิย ปริพาชก ปริพาชกก็ตอบวา คนที่เฉยๆแหละดี คือไมติเตียนใคร ไมสรรเสริญใคร เขาชอบใจคนพวกนี้ เพราะวาตั้งอยูในอุเบกขา พระพุทธเจาทานไมเห็นดวย ทานบอกวาเรานิยมคนที่ติคนที่ควรติ สรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญ ตามความเปนจริง ตามกาลอันควร เพราะวาตั้งอยูใน กาลัญุตา ในสังคมเรา บางทีก็พลาด คนไปใหคากับคนที่เฉยๆ ไมวาใคร วาทานดีเหลือเกินไมวาใครเลย ทําผิดทําถูกก็ไมวาใครเลย อันนี้มันเปน concept ที่ผิด เอาหลักพระพุทธพจนมาเทียบ ก็ตองตําหนิคนที่ควรตําหนิ ยกยองคนที่ควรยกยอง พระพุทธเจาทานไมเฉย ใครควรตําหนิทานก็ตําหนิ ใครควรยกยองทานก็ยกยอง ถาเปนคนมีสาระเอาจริงเอาจังทนตอคําสอนเขาก็จะอยูได คือพระพุทธเจาทานทรงตองการแกน มีอีกพุทธพจนที่วา ยถาวาที คถาการี ทําอยางที่พูด พูดอยางที่ทํา อันนี้ก็ดคี รับ ทานมหาตมะ คานธี มีคนไปถามทานวา ทานอยู ในปจฉิมวัย ทานมีคําพูดอะไรสักหนอยหนึ่งไหม 42 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
จะฝากเอาไวสําหรับใหคนรุนหลังถือเอาเปนแบบอยางปฏิบัติตาม ทาน บอกวา “ชีวิตของขาพเจาทั้งหมดนั่นแหละคือคําพูดของขาพเจา” หมายความวา ถาอยากรูวาขาพเจาจะพูดอะไร ก็ดูชวี ิตของขาพเจาก็แลวกัน แปลวา ทําใหดู เปนอยูใหเห็น แทนคําพูดของทาน ในสังคมเรา บางคนสอนเกง ไดรับยกยองวามี วาทศิลปแตตัวเองทําตรงขามกับที่สอน ถาจะตัดสินก็คือวา ก็ดีที่สอนได แตก็แยที่ทําไมได แตก็ไมทําใหเกิดความประทับใจตอผูที่ถูกสอน ลองอานจากพระไตรปฎกก็ไดนะครับ คอนขางยาว เดี๋ยวคอยพูดกันไปทีละตอนก็ได “พึงแผเมตตาจิตไปในหมูสัตววา ขอสัตวทั้งปวงจงเปนผูมีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตวมีชีวิตทั้งหลายเหลาใดเหลาหนึ่งมีอยู ยังเปนผูสะดุง ยังมีตัณหาอยู หรือเปนผูมนั่ คง ไมมีตณ ั หา” คือแผเมตตาไปใหหมดเลย ทั้งสัตวที่ทั้งยาวหรือสั้นหรือใหญ หรือเล็ก ผอม อวน ที่ไดเห็นหรือไมไดเห็น อยูไกลหรืออยูใกล ที่เกิดแลว หรือแสวงหาที่เกิดอยู ภูตาวา สัมภเวสีวา ขอใหสัตวทั้งหลายมีความสุข ภูตา นี่ในความหมายหนึ่ง หมายถึงพระอรหันต สัมภเวสี หมายถึง ทั้งหมดยกเวนพระอรหันต ตั้งแตพระอนาคามีลงมา ยังเปนสัมภเวสี คือยังมีภพอยู สัตวอื่นไมพึงขมเหงสัตวอื่น ไมพึงดูหมิ่นอะไรๆ เขาในที่ใดๆเลย ไมพึงปรารถนาทุกขแกกันและกัน เพราะความกริ้วโกรธ และเพราะความคุมแคน มารดาถนอมบุตรคนเดียวผูเกิดในตนดวยชีวิตฉันใด พึงเจริญเมตตาในใจไมมีประมาณไปในสัตวทั้งปวงฉันนั้น 43 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท
พึงเจริญเมตตามีในใจไมมีประมาณ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ พึงเจริญเมตตามีในใจไมมีประมาณในโลกทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องลางเบื้องขวาง เปนธรรมอันไมคับแคน ไมมีเวร ไมมีศัตรู ผูเจริญเมตตานั้น ยืนอยูก็ดี เดินอยูก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี เปนผูปราศจากความงวงคือยังไมงวงนอนเพียงใด ก็พึงตั้งสติไวเพียงนั้น ปราชญทั้งหลายเรียกการอยูนี้วา พรหมวิหาร ในพระศาสนานี้ผูมีเมตตาไมเขาถึงทิฏฐิ คือสักกายะทิฏฐิ เปนผูมีศีล ถึงพรอมดวยทัสนะ หรือสัมมาทิฏฐิ ในโสดาปตติมรรค นําความหมกมุนในกามทั้งหลายออกไปได ก็ยอมไมเขาถึงการนอนในขันธอีกโดยแท นี่คือขอความทั้งหมดเกี่ยวกับเมตตา การแผเมตตา เราแผใหตัวเองกอน อหัง สุขิโต โหมิ ขอขาพเจาจงมีความสุขเถิด เราแผใหตัวเองกอน เพื่อเปนพยานวาเรารักสุขเกลียดทุกขฉันใด คนอื่นสัตว
44 คุณสมบัติของผูมุงสันติบท