ชีวิตกับครอบครัว

Page 1



ชีวิตกับครอบครัว วศิน อินทสระ


คํานํา ครอบครัวเปนพื้นฐานสําคัญของชีวิตคนตัง้ แตเกิดจนตาย เปนเหมือนกระถางหรือแปลงเพาะเมล็ดพืช คืออุปนิสัยของคนเราใหเปนไปตางๆ นอยคนนักที่เกิดมาโชคดี อยูในครอบครัวที่ดี เปนสัมมาทิฏฐิ เปนแบบอยางที่ดีของผูที่เกิดมาในครอบครัวนั้น แตบางคนไมมีบุญของตนเอง แมเกิดมาในครอบครัวที่ดีแลวก็ไหลไปทางชั่วจนได ตรงกันขาม บางคนมีบุญของตนเอง แมเกิดมาในครอบครัวที่ไมดี เขาก็ไหลไปในทางดี เขาทางที่ถูกตอง เจริญรุงเรืองตอไปไดเหมือนดอกบัวเกิดในโคลนตม แตไมติดตม หรือเกิดในกองหยากเยือ่ แตชูดอกพนจากกองหยากเยือ่ สงกลิ่นหอมรื่นรมยใจ ปญหาชีวิตที่เกี่ยวกับครอบครัวอาจยอลงไดเปน 3 เรื่อง ดังนี้ 1. ความไมเขาใจกันของคนในครอบครัว 2. ปญหาเรื่องเศรษฐกิจ รายไดไมเพียงพอหรือรายจายมากเกินไป 3. ปญหาเรื่องโรคภัยไขเจ็บของคนในครอบครัว ซึ่งทําใหโยงไปถึงขอที่ 2 ดวย ปญหาดังกลาวนี้ ลวนแตปองกันและแกไขได ถาคนในครอบครัวมีธรรม ปรองดองสามัคคีกัน เขาใจ ใหอภัยกันและบากบั่น พากเพียรเพื่อเอาชนะปญหาอุปสรรคตางๆ เหลานั้น หนี้สินเปนอันตรายและทําลายความสุขของครอบครัว ถาไมจําเปนจริงๆ ก็อยาสรางหนีส้ ินใหเปนดินพอกหางหมู มันแกะยาก หรือเปนหลมลึก ตกลงไปแลวขึน้ ยาก เปนมูลเหตุแหงการทะเลาะวิวาทของคนในครอบครัว ถาจําเปนตองมีหนี้สินบาง ก็ตองมีทางใชหนี้เขาและรีบใชใหหมดไปโดยเร็ว คนที่เคยมีหนี้สินและหมดหนีแ้ ลว จะเห็นดวยตนเองวาทุกขสุข เพราะมีหนี้กับไมมีหนี้นนั้ ตางกันอยางไร หนักและปลอดโปรงตางกันอยางไร ครอบครัวเปนปญหาที่หนักหนวงของสังคมปจจุบัน ปญหาตางๆ ที่เกี่ยวกับครอบครัว และวิธีแกไขได ไดพูดไวพอสมควรแลวในหนังสือเลมนี้ หวังวาคงเปนประโยชนแกทานผูอานไมนอย ขาพเจาขอบใจคณะศิษยผูชว ยเหลือใหหนังสือเลมนี้ออกมาไดอยางประณีตสวยงาม อยางที่เห็นอยูน ี้ และขอตั้งความปรารถนาดีตอทานผูอานทุกทาน ขอใหทานมีชีวิตครอบครัวที่ผาสุก ผานพนปญหาอุปสรรคตางๆ ดวยดีตลอดกาลทุกเมื่อ วศิน อินทสระ


สารบัญ การปรองดอง ความรับผิดชอบ ปญหาเรื่องลูก เศรษฐกิจในครอบครัว ครอบครัวเปนรากฐานสําคัญของสังคม การยอมกัน มีเธอดีกวาไมมีเธอ อยาเอาน้ํารอนไปรดตนไม บานสงบสุข การศึกษาในบาน ชีวิตตองการชีวิต เสียสละตนเอง ชีวิตตองการชีวิต การฝกฝน และการควบคุมตนเองของคนในครอบครัว พูดใหฟง ทําใหดู เปนอยูใหเห็น นะหนาทองทางพุทธศาสตร ระวังวาจา สมชีวิธรรม ศรัทธา สมสีลา สมจาคา สมปญญา ฆราวาสธรรม สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ปญหาชีวิตที่เกี่ยวกับครอบครัว

1 3 4 4 4 9 10 10 12 13 15 17 19 21 21 23 25 26 26 34 37 38 39 39 47 68 72 84


ชีวิตกับครอบครัว วันนีจ้ ะพูดปญหาชีวิตที่เกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งสืบเนื่องมาจากปญหาเรื่องความรักนั่นเอง เพราะวาโดยธรรมดาเมื่อมีความรักในแบบเสนหา ผลที่ตามมาก็คือชีวติ ครอบครัว ซึ่งมีความสําคัญและยุงยากกวาปญหาเรื่องความรักเสียอีก เพราะวามันเปนเรื่องยืดเยือ้ ไปตลอดชีวติ แมคนใดคนหนึ่งในครอบครัวจะตายไป ก็ยังทิ้งปญหาไวใหคนอยูขางหลังอีก เชน ความเศราโศกเสียใจ ปญหาเรื่องมรดก มรดกนี่ตองหมายถึงทรัพยสินของคนตายนะครับ ภาษาบาลีเรียกวา มตก แปลวามรดก ถายังไมตาย ยังไมเปนมรดก คดีมรดกในศาลสืบเนื่องมาจากชีวิตครอบครัวนั่นเอง บางทีก็มีกรณีพิพาทเรื่องมรดกจนพี่นองตองแตกแยกกัน มุงรายประหารกันก็มีชวี ิตครอบครัวเปนชีวิตของคนหลายคน คือตองรับผิดชอบรวมกัน สุขทุกขดวยกัน เพราะฉะนั้นความเสื่อมหรือความเจริญของคนใดคนหนึง่ ในครอบครัวก็จะมีผลกระทบกระเทือนถึงครอบครัว โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นแกหวั หนาครอบครัวมีผลมาก มีความหมายมาก ชีวิตครอบครัวเปนชีวิตที่ภาษาบาลีเรียกวา สหโสกี สหนนฺที สหโสกีคือโศกดวยกัน ทุกขดวยกัน สหนฺนที คือเพลิดเพลินดวยกัน สุขดวยกัน

1. การปรองดอง หัวหนาบางคนเปนผูใหญ บอกวาไมคอยมีกําลังใจทําอะไรที่เปนประโยชนแกสังคม แกประเทศชาติเทาไหรนกั เพราะวามีปญหาหนักใจเกีย่ วกับครอบครัว ทําใหทอถอยหมดกําลังใจ หรือไมมีกําลังใจ ถาครอบครัวอยูในสภาพปกติเรียบรอย ลูกเตาอยูในโอวาท ทําหนาที่ของตนดี กําลังก็มีมาหรือมีมากขึ้น ปญหาอันดับหนึ่งของครอบครัวก็คือการไมปรองดอง ความแตกแยกในครอบครัวเปนความทุกขอยางมาก ทั้งของผูมีครอบครัวเอง ทั้งของลูกหลาน ทัง้ ของญาติพี่นอง แตความ ปรองดองกัน ไมทะเลาะวิวาทกัน เห็นอกเห็นใจกัน ใหอภัยซึ่งกันและกัน เปนสิ่งสําคัญในครอบครัว ถาคนในครอบครัวมีความสมานสามัคคีกันดี ก็พอตอสูปญหาอื่นได เหมือนคนที่มีรางกายแข็งแรงกําลังวังชาดี แมจะมีภาระหนักก็พอเข็นไปได แตตรงกันขาม ถารางกายไมดี กําลังวังชาไมดี แมมีของเล็กนอยก็เข็นไป ไมไดไมมกี ําลัง บางคนก็เกง คือทําอะไรตางๆ คนเดียว แมวาครอบครัวไมคอยจะปรองดอง ไมคอยเรียบรอย ปกติสขุ แตก็เกง มีกําลังใจ เข็นภาระไปได มีลูกก็เลี้ยงลูกคนเดียวได อันนี้ตองเปนขอยกเวน คือวากฎทุกอยางตองมีขอยกเวน ซึ่งผมจะพูดในรายละเอียดตอไปขางหนา ตอนนี้จะพูดเฉพาะโครงสราง หรือเรื่องที่จะนําเขาไปกอน

1 ชีวิตกับครอบครัว


ความเรียบรอยราบรื่นในครอบครัวยอมจะหมายไปถึงความมั่นคงของชาติ เพราะวาครอบครัวก็คือหนวยยอยของชาตินั่นเอง ความมั่นคงของครอบครัวมีความสําคัญที่สุดของมนุษยในสังคม อีกประการหนึ่ง ครอบครัวที่ดีตองพยายามสั่งสอนบุตรหลานใหมีความรัก กลมเกลียวกัน เสียสละใหกันและกัน การชวยเหลือกันระหวางพีน่ องก็ตาม ระหวางสามีภรรยาก็ตาม เปนเรื่องนารักนาเอ็นดูในสายตาของคนทั้งหลาย ผมขอยกตัวอยางที่ไกลตัวออกไปสักหนอย เปนเรื่องของสตรีผูมีชื่อเสียงมาก และเปนประโยชนแกโลก ชีวิตครอบครัวของมาดามมารี คูรี นักวิทยาศาสตรสตรีที่รุงโรจนที่สุดคนหนึ่ง ในโลก ซึ่งเราทราบประวัติของทานแลวตองยกมือไหว เธอเปนผูคนพบแรเรเดียม คูปรับของมะเร็ง เธอเปนสตรีที่ไดรับการยกยองจากทั่วโลก แมศาสตราจารยไอนสไตนเองก็ยังตองใหเกียรติยกยองวา มาดามมารี คูรี เปนสตรียิ่งใหญคนเดียวในโลก ที่ชื่อเสียงไมมีราคีเศราหมองเลย ทั้งนี้เพราะวาสตรีที่ยิ่งใหญเปนสวนมาก โดยเฉพาะอยางยิ่งที่ยิ่งใหญทางการเมือง มักจะมีเรื่องเศราหมองทางความโหดราย มือไมไดสวมถุงแพร คือมือหนึ่งถือเงิน มือหนึ่งถือดาบ หรือมิฉะนั้นก็มีเรื่องเศราหมองทางกามารมณ มีสตรีหลายคนที่รุงโรจนอยูใ นประวัติศาสตร แตวามักจะเศราหมองในเรื่องโหดราย หรือกามารมณ หรือทั้งสองอยาง มาดามมารี คูรี เปนชาวโปแลนด เกิดเมื่อ พ.ศ. 2410 และตายเมื่อ พ.ศ. 2477 รวมอายุได 67 ป เธอเกิดในตระกูลที่ยากจนเปนชาวนา ชื่อเดิมคือ มันยา มีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ บรอนยา บิดาสงใหเรียนไดแคมัธยมเทานั้น เพราะยากจนไมสามารถจะสงลูกใหเรียนสูงกวานัน้ ได แตเด็กทั้งสองอยากเรียนตอ จึงขออนุญาตพอไปเรียนทีป่ ารีส ก็มีเงินพอเสียคาเดินทางเทานั้น มารี คูรี เรียนวิทยาศาสตร สวนบรอนยา เรียนแพทย แตเงินไมมีจะทําอยางไร จึงตกลงกันวาใหบรอนยาพีส่ าวเรียนกอน มันยาจะหางานทําสงเงินใหพี่สาว เมื่อพี่สาวเรียนจบแลวก็สงใหตนเรียนบาง มันยาหรือมาดามคูรี ไปไดงานรับจางเลี้ยงเด็ก ตองอดทนอยางมากเพราะนายจางปากราย และก็ใจดําเหลือเกิน เมื่อพี่สาวเรียนจบไดทํางานแลว ถึงคราวมันยาเรียนบาง เธอเรียนวิทยาศาสตรอยางทรหดอดทน อดมื้อกินมื้อ บางมื้อไดกินเพียงผักจิ้มเกลือเทานั้น แตมนั ยาถือวาพี่สาวเคยลําบากมาอยางไร ตนก็ควรจะลําบากอยางนัน้ ในที่สุดความสําเร็จก็มาถึง เมื่อจบปริญญาตรีแลวก็ทําปริญญาโทตอ สําเร็จปริญญาโทสองสาขา คือทางฟสิกส และคณิตศาสตร สําเร็จทางฟสิกสกอน ตอมาอีกปหนึ่งจึงสําเร็จทางคณิตศาสตร

2 ชีวิตกับครอบครัว


เธอไดแตงงานกับ ปแอร คูรี และคนควาเรื่องแร เรเดียมดวยกัน กลมเกลียวรักใครเปนน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ใชความพยายามอยางมาก และอยางมองไมเห็นผลอะไรเลยอยูถึง 4 ปเต็ม ถาเปนสามีภรรยาที่ไมไดรักใครปรองดองกันจริง ไมออมชอมกันจริง ก็คงจะเลิกความพยายามไปแลว แตทั้งสองไมยอมเลิก ในที่สุดก็ไดพบแรเรเดียม ซึง่ เปนประโยชนแกโลกอยางเหลือหลาย อยางที่พวกเราไดรูกันอยูแลว การชวยเหลือกันระหวางพีน่ องก็ดี การกลมเกลียวกันระหวางสามีภรรยาก็ดี เปนความนารักนาเอ็นดู และเปนเรื่องตืน้ ตันใจ เปนตัวอยางอันดีสําหรับครอบครัวทั่วไป สภาพครอบครัว ที่ดีเปนกําลังใจของคนในครอบครัว ใหมีความพยายามเพือ่ ความกาวหนาไมหยุดยั้ง นักปราชญชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ ลาคอรแดร กลาวไววา ครอบครัวนั้นมิใชอะไรอื่น คือรัฐบาลที่นานิยมสรรเสริญที่สุดนั่นเอง มองในแงนี้ครอบครัวก็คือ รัฐนอยๆ ซึ่งมีหัวหนาครอบครัวเปนผูนํา และเปนราชาก็ได คือเปนหัวหนาคณะรัฐบาล ซึ่งประกอบไปดวยความเมตตาปรานี ไมมีที่สิ้นสุดตอราษฎร คือบุตรหลานของตน

2. ความรับผิดชอบ ปญหาในครอบครัวแมจะมีมากเรื่องก็จริงอยู แตถา สรุปลงเปนเรื่องใหญๆ ก็คงจะมีอยูสัก 3-4 เรื่อง เชน ความอึดอัด ขัดใจของภรรยาที่เห็นวาสามีไมเปนสามีที่ดี ใชจายเงินเปลือง ไมเปนพอที่ดีของลูก ไมรับผิดชอบครอบครัว เอาแตกินเอาแตเที่ยวสนุกสนานอยูกับเพื่อนๆ ไมสนใจครอบครัว หรือวาเรื่องสามีไมชอบใจภรรยา เห็นวาภรรยาไมเปนแมบานที่ดีพอ จูจี้ขี้บนเอาเรื่อง ไมมีเวลาจัดบานชองหองหับใหนาอยูนาอาศัย ไมเปนแมที่ดีของลูก ไมรับผิดชอบตอครอบครัว ความรับผิดชอบนี่เปนเรื่องใหญหลวงอยางยิ่งสําหรับปญหาครอบครัว เพราะถาไมมคี วามรับผิดชอบแลวทั้งฝายสามี หรือฝายภรรยา คนใดคนหนึ่งไมรับผิดชอบ หรือไมรับผิดชอบทั้งสองฝาย ปญหาใหญๆ ก็จะตามมา แตถามีความรับผิดชอบอยางเดียว ความดีอยางอืน่ ก็จะตามมาดวย เพราะความรับผิดชอบมันเปนตัวหลัก พอเขารับผิดชอบมันก็ทําหนาที่ที่ดีได เพราะฉะนั้น นั่นคือความรับผิดชอบนั่นเอง และรูจักวาควรจะทําอะไร ไมควรจะทําอะไร

3 ชีวิตกับครอบครัว


3. ปญหาเรือ่ งลูก ตอมาก็ปญหาเรื่องลูกไมอยูในโอวาทของพอแม ขาดความอุตสาหะในการเลาเรียน คบเพื่อนชั่ว

4. เศรษฐกิจในครอบครัว ปญหาสําคัญขอสุดทาย ก็คือปญหาเรื่องเศรษฐกิจการเงิน ซึ่งเวลานี้ดจู ะเปนปญหาเรื่องใหญมากนะครับ ถาไมมีปญหาเรื่องเศรษฐกิจ อยางอื่นก็พลอยดีไป ดวยเหมือนกัน มันอาศัยกันแตกไ็ มแน คือหมายความวา มีขอ ยกเวน แมคนที่มีเศรษฐกิจดี มีบานใหญ มีอะไรมากมาย แตหาความสุขในครอบครัวไมได ก็มีอยูมากมาย ไมใชมีคนสองคน บางทีความมั่งมีนั่นแหละ ทําใหเสียคน บางทีเปนคนดีอยูไดเพราะจน ถาเปนคนมั่งมีหรือมีสตางคมากๆ มีอะไรมากๆ มันก็เสียคนไดงายเหมือนกัน ไมใชวาเศรษฐกิจดีแลวก็จะเปนคนดี หรือจะมีครอบครัวที่ดีกห็ ามิได เปนบางคน มันขึ้นอยูก ับปจจัยหลายอยาง เปนอิทปั ปจจยตา เปนปฏิจจสมุปบาท นี่คือเรื่องที่จะนําเขามาสูรายละเอียด สูปญญาเปน introduction ตอไปจะลงรายละเอียดเกีย่ วกับเรื่องปญหาชีวิตที่เกีย่ วกับครอบครัว ครอบครัวเปนรากฐานสําคัญของสังคม

5. ครอบครัวเปนรากฐานสําคัญของสังคม หลักทางรัฐศาสตรไดบอกเราวา ครอบครัวเปนรากฐานสําคัญของสังคมและของรัฐ ถาครอบครัวไมดี เปรียบเหมือนตนไมที่รากเนา ทานลองนึกภาพดูตน ไมทรี่ ากเนา แมจะรดน้ําตนไมสกั เทาไหร บํารุงมันสักเทาไหร อยางไร รากมันเนาเสียแลว ถาแกไขที่รากไมไดกห็ มดหวัง ที่จะใหตนไมตนนั้นเจริญเติบโตตอไปได มีแตตายกับตายอยางเดียว หรือบางทีเราเปรียบเรื่องบางเรื่องเหมือนกับเอาน้ําไปรดตนไมที่ตายแลว จะรดสักเทาไหร จะใสปุยสักเทาไหร จะทําอะไรกับมัน มันก็ไมฟน มันตายแลว ครอบครัวไมดีก็เหมือนตนไมที่รากเนา คราวนี้ตรงกันขาม ถาครอบครัวดีก็เหมือนตนไมที่รากมั่นคงแข็งแรง ดังที่ พระพุทธเจาทานตรัสถึงเรื่องตนไม ถายังมีรากมั่นคง แมเราจะตัด กานลิดกิ่งมันก็ขึ้นไดอีก แตถารากมันเนาเสียแลวก็เปนอันวาลม ทั้งตน ตอไปเราจะพูดกันในรายละเอียดกันวาเราจะทําอยางไร มีหลักธรรมอะไรมาเปนธรรมโอสถ ที่จะใหครอบครัวอยูได ใหสังคมอยูได ใหประเทศชาติอยูได อยูไดดไี มใชอยูไดอยางกระจองอแง ไมใชอยูไดเหมือนกับชางใหญที่นอนปวยอยู ไมใชอยางนั้น แตใหอยูไ ดอยางดี

4 ชีวิตกับครอบครัว


คนในสังคม มีที่แตงงานบางไมแตงงานบาง มีทั้งคนแตงงานและคนโสด อยางไหนดีกวากัน แตงงานกับไมแตงงาน อยางไหนดีกวากัน อันนี้ตอบไมได ไมสามารถจะวางเปนกฎตายตัวได มันมีเงื่อนไขเยอะ คือวาตองมีคําวา “ถา” ถาแตงกับคนที่ดี แตงแลวดี อะไรมันก็ดี มันก็ใชได แตถา ไปแตงงานกับคนไมดี ก็ยุงใหญ ยุงกันไปตลอดชีวิต ตองโทษที่เราคบคนผิดนั่นแหละ เลือกคนผิดคบคนผิด อยาไปคิดถึงเรื่องกรรมเกา กรรมอะไรใหมากนักเลย เกีย่ วกับเรื่องพวกนี้ ตองนึกถึงวาเราคบคนผิด เราดูคนผิด เราตองแกปญหากันไปเทาทีส่ ติปญญาจะบอกใหเราแกได มีครอบครัวนอยนักทีจ่ ะประสบความสําเร็จในชีวิตครอบครัว อยูอยางผาสุกตลอดชีวิตการสมรส บางคนถึงกับพูดวา ยิ่งกวาซื้อล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง คนที่จะซื้อล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึง่ มันยาก ยากแสนยาก แตยังสูการเสีย่ งแตงงานไมได คือการเสี่ยงแตงงานมันยังยากกวานัน้ อีก มัน ยากที่จะใหประสบความสําเร็จในชีวิตสมรส มันยากกวาการที่จะใหถูกล็อตเตอรี่เสียอีก นี่ไดยินมาไมกี่วนั มานี่เอง เขาก็เลยอยูเ ปนโสดมาจนบัดนี้ ก็สบายดีไมไดเดือดรอน ถาแตงงานมันตองเดือดรอนไปตลอดชีวติ ก็ไมแตงดีกวา เพราะโอกาสที่จะประสบความสําเร็จมีนอ ย อยางที่พูดมาในปญหาเรื่องความรักวา คนเรานี่ชอบที่จะรัก แตศิลปะในการดําเนินความรักเปนอยางไรไมรู ชีวิตครอบครัวมันอยูท ี่ศิลปะในการดําเนินความรัก เปนชีวิตที่อยูดว ยกันหลายคน เพราะฉะนัน้ มีครอบครัวนอยนักที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตสมรสอยางผาสุก อยูกับลูกกับหลานกับภรรยา สามีดวยความพออกพอใจหรือสบายใจ เรือนที่ครองไมดีนี่เปนทุกขมาก พระพุทธเจาทานตรัสเอาไว ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา เรือนที่ครองไมดีเปนทุกข แสดงวาเรือนทีค่ รองดีก็พอใหความสุขอยูบ าง ตามประสาของฆราวาส คือความสุขแบบฆราวาสก็พอมี แตวาตองครองเรือนดีคือครองเปน การแตงงานโบราณเขาถือวา ที่ตองมีงานเลี้ยงกัน เหมือนกับในหลายประเทศ ทานบอกวา คลายกับวาเปนการเลี้ยงอําลาความสุขเสรี เพราะวาตอไปนี้จะตองอยูก ับกฎแหงชีวติ สมรส จะเสรีเหมือนตอนเปนโสดไมไดแลว เคยไปไหนมาไหนไดตามใจชอบ กลับเมื่อไหรก็ได เพราะอยูคนเดียว แตพอแตงงานแลวจะทําอยางนั้นไมได แมวามีสิทธิ์จะทําได แตวาอีกคนหนึ่งเขาเปนหวงวาไปไหน ไปอยูอยางไร มีอุบัติเหตุหรือเปลา มีเรื่องอะไร นี่ละครับที่เรียกวากฎแหงชีวิตสมรส ถาลูกไปไหนไมกลับตามเวลา พอแมก็เปนหวงโดยเฉพาะลูกผูหญิงเวลานี้ ถาผิดเวลาไปหนอยพอแมก็เปนหวงแลว

5 ชีวิตกับครอบครัว


นี่คือความผูกพันของครอบครัว ที่มีแลวก็ตองมีกันตอไป นอกจากวาจะเลิกรางกันไป นั่นเปนสภาพชีวิตที่ผูกหยอนๆ แตแกไดยาก พระพุทธเจาทานตรัสวา สิถิลํ โอหารินํ ทุปฺปมุฺจํ ผูกหยอนๆ แตแกไดยาก ถาเผื่อวาผูกใหแนนๆ บางทียงั แก งายกวา อาจารยที่สอนภาษาอังกฤษผมทานบอกวา “เพราะเขาปลอยเรา เราจึงตองอยู” นั่นแปลวาผูกหยอนๆ นั่นเอง ถาผูกตึงเขาเขมงวดมาก เราก็จะไมอยู ทานพูดทํานองนั้น และเปนการยากเหลือเกินที่จะหาคูสมรสที่มี สมชีวิธรรม และมีฆราวาสธรรม ซึ่งไปถึงตอนนั้นผมจะอธิบายรายละเอียดวา สมชีวธิ รรม เปนอยางไรปฏิบัติอยางไร ฆราวาสธรรม ที่เราพูดกันอยูเสมอนั้น สําคัญอยูที่วิธีปฏิบัติ ทองใหจําไดวา มีอะไรนั้นไมยากมัน 3-4 ตัวเทานัน้ เอง แตวิธีปฏิบัติวาขอนี้ๆ เราจะปฏิบัติอยางไร นี่แหละยากมาก ที่ยากเพราะวาไมรูวิธี ถารูวิธีแลวไมยาก เหมือนกับเขาใหเครื่องกระปองเรามากระปองหนึ่ง แลวก็ใหเครื่องเปดเรามา ถาเราไมรูจัก วิธเี ปด มันก็เปดไมได ยิ่งไมมีเครื่องมือเปด ก็เปดไมไดเลย เหมือนกับหมาจะกินมะพราว มะพราวทั้งลูกไมรูจะกินอยางไร เพราะฉะนั้น วิธีการนั้นสําคัญ What is นั้นไมสําคัญเทากับ How to จะทําอยางไรกับสิ่งนั้น ในเรื่องธรรมะนี่ก็เหมือนกัน ถาเราพูดกันถึงเรื่องวา นั่นคืออะไรๆ เราพูดกันแตเรื่องนัน้ คืออะไร ถาเผื่อวาไม How to จะเอามาปฏิบัติอยางไร ทําอยางไรกับธรรมะนั้น ธรรมะองคนั้นจะเปนองคก็ได เชน องคธรรม ทําอยางไรกับ รอนไปตลอดชีวิต ก็ไมแตงดีกวา เพราะโอกาสที่จะประสบความสําเร็จมีนอย อยางที่พูดมาในปญหาเรื่องความรักวา คนเรานี่ชอบที่จะรัก แตศิลปะในการดําเนินความรักเปนอยางไรไมรู ชีวิตครอบครัวมันอยูท ี่ศิลปะในการดําเนินความรัก เปนชีวิตที่อยูดว ยกันหลายคน เพราะฉะนัน้ มีครอบครัวนอยนักที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตสมรสอยางผาสุก อยูกับลูกกับหลานกับภรรยา สามีดวยความพออกพอใจหรือสบายใจ เรือนที่ครองไมดีนี่เปนทุกขมาก พระพุทธเจาทานตรัสเอาไว ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา เรือนที่ครองไมดีเปนทุกข แสดงวาเรือนทีค่ รองดีก็พอใหความสุขอยูบ าง ตามประสาของฆราวาส คือความสุขแบบฆราวาสก็พอมี แตวาตองครองเรือนดีคือครองเปน การแตงงานโบราณเขาถือวา ที่ตองมีงานเลี้ยงกัน เหมือนกับในหลายประเทศ ทานบอกวา คลายกับวาเปนการเลี้ยงอําลาความสุขเสรี เพราะวาตอไปนี้จะตองอยูก ับกฎแหงชีวติ สมรส จะเสรีเหมือนตอนเปนโสดไมไดแลว เคยไปไหนมาไหนไดตามใจชอบ กลับเมื่อไหรก็ได เพราะอยูคนเดียว แตพอแตงงานแลวจะทําอยางนั้นไมได แมวามีสิทธิ์จะทําได แตวาอีกคนหนึ่งเขาเปนหวงวาไปไหน ไปอยูอยางไร

6 ชีวิตกับครอบครัว


มีอุบัติเหตุหรือเปลา มีเรื่องอะไร นี่ละครับที่เรียกวากฎแหงชีวิตสมรส ถาลูกไปไหนไมกลับตามเวลา พอแมก็เปนหวงโดยเฉพาะลูกผูหญิงเวลานี้ ถาผิดเวลาไปหนอยพอแมก็เปนหวงแลว นี่คือความผูกพันของครอบครัว ที่มีแลวก็ตองมีกันตอไป นอกจากวาจะเลิกรางกันไป นั่นเปนสภาพชีวิตที่ผูกหยอนๆ แตแกไดยาก พระพุทธเจาทานตรัสวา สิถิลํ โอหารินํ ทุปฺปมุฺจํ ผูกหยอนๆ แตแกไดยาก ถาเผื่อวาผูกใหแนนๆ บางทียงั แก งายกวา อาจารยที่สอนภาษาอังกฤษผมทานบอกวา “เพราะเขาปลอยเรา เราจึงตองอยู” นั่นแปลวาผูกหยอนๆ นั่นเอง ถาผูกตึงเขาเขมงวดมาก เราก็จะไมอยู ทานพูดทํานองนั้น และเปนการยากเหลือเกินที่จะหาคูสมรสที่มี สมชีวิธรรม และมีฆราวาสธรรม ซึ่งไปถึงตอนนั้นผมจะอธิบายรายละเอียดวา สมชีวธิ รรม เปนอยางไรปฏิบัติอยางไร ฆราวาสธรรม ที่เราพูดกันอยูเสมอนั้น สําคัญอยูที่วิธีปฏิบัติ ทองใหจําไดวา มีอะไรนั้นไมยากมัน 3-4 ตัวเทานัน้ เอง แตวิธีปฏิบัติวาขอนี้ๆ เราจะปฏิบัติอยางไร นี่แหละยากมาก ที่ยากเพราะวาไมรูวิธี ถารูวิธีแลวไมยาก เหมือนกับเขาใหเครื่องกระปองเรามากระปองหนึ่ง แลวก็ใหเครื่องเปดเรามา ถาเราไมรูจัก วิธีเปด มันก็เปดไมได ยิ่งไมมีเครื่องมือเปด ก็เปดไมไดเลย เหมือนกับหมาจะกินมะพราว มะพราวทั้งลูกไมรูจะกินอยางไร เพราะฉะนั้น วิธีการนั้นสําคัญ What is นั้นไมสําคัญเทากับ How to จะทําอยางไรกับสิ่งนั้น ในเรื่องธรรมะนี่ก็เหมือนกัน ถาเราพูดกันถึงเรื่องวา นั่นคืออะไรๆ เราพูดกันแตเรื่องนัน้ คืออะไร ถาเผื่อวาไม How to จะเอามาปฏิบัติอยางไร ทําอยางไรกับธรรมะนั้น ธรรมะองคนั้นจะเปนองคก็ได เชน องคธรรม ทําอยางไรกับ ฝายสามีไมไปเบียดเบียนเขา เทานั้นเขาก็เลี้ยงตัวได พาครอบครัวไปได คือใหดีสักคนหนึ่ง คนแขนขาดไปขางหนึ่ง ถาอีกขางหนึ่งยังดี ยังแข็งแรงอยู ก็ยังทําอะไรตออะไรได ถาขาดไปทั้งสองขางมันก็ลําบากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นทีก่ ลาวมาวาใหยอมกัน ไมใชใหยอมกันอยางหลับหูหลับตา ยอมอยางไมใชปญญา แตมันตองยอมอยางใชปญ  ญา ควรยอมในสิ่งที่ดี ถาไมดีก็ไมตองยอม แมแตสาวกของพระพุทธเจา คือ พุทธบริษัท หรือบริษทั ศาสนิก พระพุทธเจาทานสอนวาศาสนิกที่ไมปฏิบัตติ าม คําสอนของศาสดาที่สอนผิด เปนความดี แตถาไมปฏิบัติตามคําสอน ของศาสดาที่สอนถูก ไมเปนความดี อันนี้เทียบดูนะวา แมแตศาสดาผูประกาศศาสนา ผูตั้งศาสนา มีคนนับถือมาก มีคนเคารพมาก แตถาศาสดานั้นสอนผิด คนพวกใดไปปฏิบัติตาม คนพวกนั้นก็จะไดรับความเดือดรอน เดินทางไปสูหายนะ แตถาศาสดาใดสอนถูกตองแลว แตศาสนิกไมปฏิบัติตาม

7 ชีวิตกับครอบครัว


ก็พบกับความเสื่อมเหมือนกัน ไมพบกับความดี ไมพบทางแหงความดี เพราะวาเขาไมไดเดินตามทางที่พระศาสดาผูสอนถูกไดสอนเอาไว ในวิถีชวี ิตครอบครัว ตองระมัดระวังเปนอยางยิ่ง อยาใหลม วิถีชีวิตครอบครัวมันเหมือนคนเดินทางลื่น ตองระมัดระวังอยางมาก อยาใหพลาด อยาใหลม เพราะวาโดยธรรมดา ครอบครัว อื่นหรือคนอื่นๆ เขาก็พยายามชวยตัวเองอยางสุดฤทธิ์อยูแลว โอกาส เวลา ทรัพยสิน กําลัง อะไรตางๆที่เขาจะมาชวยเรานั้นมันชวยไดนอย แมจะชวยไดบางแตกช็ วยไดนอย แลวถาเราเคยรุงเรือง การลมแตละครั้งนี่เหมือนตนไมใหญลม ลําบากเหมือนกัน คือวาประคับประคองใหขึ้นมาไดลําบากเหมือนกัน ตองอยาประมาทในวิถีชวี ิต มันเหมือนเดินอยูบนทางลื่น เมื่อเราหัวเราะโลกทั้งหมดก็จะหัวเราะกับเราดวย แตเมื่อทานรองไหทานจะรองไหคนเดียว อันนี้จํามาจากสุภาษิตภาษาอังกฤษที่ทานพูดเอาไว “When you laugh, the world laughs with you. When you weep, you weep alone.” เวลาสุข เวลาเจริญรุงเรือง เวลากาวหนา เวลารุงโรจน คนทั้งหลายทัง้ ปวงก็จะมาหอมลอมพลอยแสดงความยินดี ถือเอาเปนทีพ่ ึ่ง ถือเอาเปนที่เกาะที่พึ่งพิง บางทีก็ถึงกับรุงรังไปหมด แตวาเมื่อใดถึงคราววิบัติขัดของ จะรองไหคนเดียว รับความเดือดรอนคนเดียว การแพการชนะในกีฬาเชน ฟุตบอล เลนกันเปนทีม เวลาแพกแ็ พกนั ทั้งทีม ชนะก็ชนะกันทั้งทีม แตในกีฬาชีวติ ในการเดินทางชีวิตเราแพคนเดียว ถาชนะก็จะมีผูรวมชนะดวย แตในเวลาแพเราจะแพคนเดียว หายากผูที่ประกอบดวยคุณสมบัติของมิตรที่จะมารวมแพดวย คนที่ประกอบดวยคุณสมบัติของมิตรแท 7 ประการนั้นหาไดยากในโลก คุณสมบัติ 7 ประการ มีดังตอไปนี้ 1. ใหของที่ใหไดยาก 2. รับทํากิจที่ทําไดยาก 3. อดทนตอถอยคําที่อดทนไดยาก 4. บอกความลับของตนแกเพื่อน 5. ปดความลับของเพื่อนไมใหแพรงพราย 6. ไมละทิ้งในยามวิบัติ 7. เมื่อสิ้นโภคทรัพยไมดหู มิ่น ตั้งใจชวยเหลือ อันนี้คือมิตรที่ประกอบดวยคุณสมบัติ 7 ประการซึ่งหาไดยาก เพราะฉะนั้นในวิถีชีวิตจึงตองระมัดระวังเปนอยางยิ่งไมใหพลาด ไมใหลม แตถาเกิดพลาดเกิดลมขึน้ มา

8 ชีวิตกับครอบครัว


ก็ตองมีจิตใจอดทน แลวก็ตองสรางครอบครัวใหม เมื่อยามวิบัติไมเสียกําลังใจ อะไรจะเสียก็เสียไป แตวาไมเสียกําลังใจ และรักษาสุขภาพจิตเอาไวใหได

6. การยอมกัน ทีนี้มาพูดถึงเรือ่ งการยอมกันอีกสักหนอยนะครับ ทางที่ดคี ูสมรสจะตองเกรงใจกัน ถนอมน้ําใจกัน เสียสละใหแกกันอยางเสมอตนเสมอปลาย ไมเอารัดเอาเปรียบกัน ความราบรื่นหรือไมราบรื่นของครอบครัวนี้จะมีผลกระทบถึงลูก ถึงอุปนิสัยของลูก เด็กจะมองโลกในแงใด ในแงดีหรือในแงราย ก็อยูที่วา เขาอยูในชีวิตครอบครัวอยางไร ถาเขาอยูในชีวิตครอบครัวที่ดี เขาก็จะมองโลกในแงดี ถาเขาอยูในชีวิตครอบครัวที่ราย เขาก็จะมองโลก ในแงราย สิง่ ที่เด็กไดซึมซับ (absorb) ไวในวัยเด็กเปนสิ่งที่ถอนยาก ลบยาก ผมมีลูกศิษยไมนอย ที่เคยอยูในครอบครัวที่ลําบาก และมีปญหาครอบครัวเปนอันมาก จนบัดนี้เขาโตแลว เปนผูใหญ แลว สิ่งที่เคยไดรับเมื่อวัยเด็กก็ไมลบเลือนไป มันฝงจิตฝงใจทําใหเขามองโลกในแงราย และทําใหเขาเปนคนดีไดยาก เปนคนไมดไี ดงาย นานๆ ถึงจะมีมหาบุรษุ เกิดขึน้ สักคนหนึ่ง ที่แมจะอยูที่ครอบครัวไมดี แตวาเปนคนดีได คนประเภทนั้นก็ตองถือวาเปนคนพิเศษ เปนอาชาไนย เปนดอกบัว แมจะเกิดในโคลนตม แตมนั ก็ชูดอกโผลพนออกมาจากโคลนตมได สงกลิ่นหอมได แตคนสวนมากไมเปนอยางนั้น คนสวนมากเปนดินธรรมดา ถาเผื่อถูกน้ําก็เหลว ถูกแดดก็แหงทํานองนั้น เพราะฉะนั้น สถานะทางครอบครัวจึงเปนสิ่งที่มีความสําคัญอยางยิ่งตอเด็กตอเยาวชน แตถึงอยางไรเยาวชนก็ตองรับผิดชอบตัวเองเหมือนกัน จะไปโยนความผิดใหแกครอบครัวทั้งหมดก็คงไมได ตัวของตัวเองนั่นแหละที่โตพอสมควรแลว ก็ควรตองสํารวจตัวเอง พิจารณาตัวเองวาเรามีอะไรจะแกไขบาง ก็ตองแกไข ไมใชมัวแตโยนความผิดใหครอบครัว โยนความผิดให แกสิ่งแวดลอม แลวตัวเองไมตอ งทําอะไร นั่นก็ขาดความรับผิดชอบไปเหมือนกัน นี่ก็เกีย่ วกับเรือ่ งความราบรื่นของครอบครัว ผูใหญทําเปนสวนมาก เชน แหลงอบายมุขผูใหญทําขึ้น แลวเด็กก็ไปเสพ ยาเสพติดผูใหญก็ทํา เด็กก็ไปเสพ สถานเริงรมยอะไรตางๆ ที่เปนที่สูบเงิน สูบทรัพย ผูใหญกท็ ํา เด็กก็ไปมั่วสุมกันอยู ลําพัง สติปญญาอยางเด็ก ความสามารถอยางเด็ก ทําอะไรไมไดมากมายอยางนั้น แตผูใหญที่เห็นแกตวั ทําขึ้น แลวเด็กก็ไดรบั ผลของการเห็นแกตัวของผูใหญ

9 ชีวิตกับครอบครัว


เพราะฉะนั้น ถาจะเริ่มตนแกปญหาสังคม และก็เริ่มตนจากเด็กไมมีทางสําเร็จ จะไปสอนเด็กใหดีสักเทาไหร ถาผูใหญยังไมดี ยากมากที่จะใหเด็กดี แตถาผูใหญดี แมจะไมตองสอนเด็กเทาไหร เด็กก็จะดีมากขึ้น อันนี้ขอฝากเอาไวดวยวา ที่จะไปเริ่มตนจากเด็ก เราจะสอนเด็กชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยมใหเปนเด็กดี ก็สอนไปเถอะ แตมนั จะไดผลนอย เพราะสิ่งที่เด็กเห็นมันชัดกวาคําสอนที่เขาไดยิน มันเปนนิทรรศการประจําวันที่ชัดกวา ตัวอยางที่ไดเห็น มันเดนชัดกวาคําสอนเสมอ คําพูดสักสิบหนา ยี่สิบหนา สามสิบหนา หรือรอยหนากระดาษก็ได บางทีมันสูภาพเพียงภาพเดียวก็ไมได แตถามีคําอธิบายดวย มีภาพใหดดู วย ก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น ก็จะประสบความสําเร็จมากขึ้น อันนีเ้ ปนเรื่องที่ขอฝากเอาไวในชวงแรกนี้

7. “มีเธอดีกวาไมมีเธอ” สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ไดใหโอวาทลูกสาวของทาน ผูทจี่ ะแตงงานวา “เธอจะทําอยางไรก็ได ใหเขารูสึกวามีเธอดีกวาไมมีเธอ” นี่เปนคําสั้นๆ แตคมและครอบคลุมไดมาก ผมก็ขอตอทายวา ถาผูชายจะแตงงานก็ขอใหโอวาท จะเปนลูกชายหรือใครก็แลวแตก็ได ดวยประโยคเดียวกัน คือวา “ใหผูหญิงเขารูสึกวามีเราดีกวาไมม”ี อันนั้นคือ “คา” หมายความวาเขาไดเห็นคา เขาไดมีความรูสึกในคา แตถาใหเขาเกิดความรูสึกวา ไมมีดีกวา มีเมียอยางนีไ้ มดี หรือวา มีผัวอยางนี้ มีสามีอยางนี้ไมมดี ีกวา ถาเขารูสึกอยางนั้นเมื่อไหรกไ็ ปไดแลว แสดงวาคุณคาหมดแลว ไมมีความหมายสําหรับเขา เพราะฉะนั้น ทําอยางไรใหเขารูสึกวามีเราดีกวาไมมี

8. “อยาเอาน้าํ รอนไปรดตนไม” มันมีสิ่งหนึ่งทีค่ วรระมัดระวังอยางยิ่ง ก็คือวา อยามีการกระทําทํานองเอาน้ํารอนรดตนไม ธรรมดาเราตองเอาน้ําเย็นรดตนไม แตถาเปนน้ํารอน ตนไมมันจะตายหมด ตัวอยางเชน เราอุปการะเด็กที่เปนญาติหรือไมใชญาติกต็ าม ผูใหญนี่จะทําอะไรดวยความหวังดีตอผูอื่น แมจะมีความหวังดี แตถาทําลงไปดวยความโงเขลาขาดสามัญสํานึก เอาแตใจตัว มีความหวังดีตอ เด็กก็จริง แตดุดาวากลาว ทีนี้การดุดาวากลาวนั้นรุนแรงเกินไป ผิดกาลเทศะ กอใหเกิดความขมขื่น แกผูรับคําสอนหรือแกผูฟง การตักเตือนกันก็ตองเปนไปอยางละมุนละมอม ถาพูดถึงยิ่งเปนผูใหญ ยิ่งมีความจําเปน ตักเตือนกันดวยความละมุนละมอม ตองมีชนั้ เชิงในการตักเตือน ถาเปนเด็กนอกจากเด็กจะไมเชื่อฟงแลว บางทีก็ยังเกลียดชังคนที่ตกั เตือนสั่งสอนแบบนั้นไดอกี ดวย 10 ชีวิตกับครอบครัว


ถาเปนอยางนี้ พยายามทําดีตอ ใครก็มักจะไมขึ้น แลวก็มกั จะบนวา ทําดีไมมีใครเห็นใจ พวกลูกหลานที่อุปการะก็ไมมีใครสํานึกคุณ เพราะวาขณะที่เขาทําความดีนั้น ก็ทําความไมดีควบคูก ันไปดวย กลายเปนการหักกลบลบลางกันไปหมด เพราะฉะนั้น การปฏิบัติตอผูอื่น ในครอบครัวหรือใครตอใครก็ตาม ก็ตองเวนลักษณะทีว่ า เอาน้ํารอนไปรดตนไม เราตองปฏิบัติอยางเหมาะสม การตักเตือนสัง่ สอนผูอื่นเราจะตองทําอยางละมุนละมอมเสมอ งดเวนการถากถางผูอื่นอยางเด็ดขาด เพื่อใหเปนการเอาน้ําเย็นไปรดตนไม ผูที่ทําไดอยางที่วามานี้ ผูที่อยูใตปกครองก็จะรัก เพื่อนฝูงก็จะชอบ ผูใหญก็มีเมตตากรุณา เปนผูกลาหาญ เปนการแสดงออกอยางสงบเสงี่ยม เจียมตัว ขอยกตัวอยางผูใหญสักทานหนึ่ง ทานลินคอลน มหาบุรุษสหรัฐอเมริกา และเปนแบบอยางของผูใหญดี โลกยกยองทาน เมื่อยังหนุมทานก็เคยบกพรองในเรื่องนี้เหมือนกัน คือ พูดจาถากถางคนอื่น ชอบเขียนจดหมายดาคน แลวก็แกลงทําใหตกไปตามถนนหนทาง ชอบเขียนบทความลงหนังสือพิมพเยาะเยยถากถางนักการเมือง ถึงกับครั้งหนึง่ ทานลอนักการเมืองไมมีภูมิ ไมมีภูมิรู มีนสิ ัยพาลเกเร ชือ่ เจมส ชิน เปนชาวไอริช ชินเปนคนใจนอยและหยิ่งทะนง เดือดดาลมาก สืบหาตัวผูเขียนจดหมายฉบับนั้นลงในหนังสือพิมพ Spring field Channel เมื่อทราบวาใครเปนคนเขียนแลว ก็ควบมาตรงไปหาลินคอลน ก็ทาดวลกัน ความจริงลินคอลนไมตองการสูรบตบมือกับนายชินนั้นเลย แตเพื่อเกียรติยศของลูกผูชาย เขายอมรับการทาดวล แลวก็เลือกดาบทหารมาชนิดใบคว่ําเปนอาวุธ ขณะที่ทั้งสองกําลังจะประหัตประหารกัน ไดมีผหู ามแลวก็ขอรองให เลิกกัน เหตุการณครั้งนั้นเปนบทเรียนที่มีคาที่สุดของลินคอลน ตั้งแตนั้นมา ทานก็เลิกดาวาเยาะเยยถากถางผูอื่นโดยเด็ดขาด ประกอบดวยเหตุการณและความสํานึกอืน่ ๆ ดวย ไดชว ยหลอหลอมใหลินคอลนมีอุดมคติ ซึ่งโลกยังเรียนรูจดจําก็คือ ดวยปราศ-จากเจตนารายตอผูใ ดดวยเมตตากรุณาตอเพื่อนมนุษยทกุ คน พูดกันไปแลวทุกอยางมันมีประโยชน ไมดานใดก็ดานหนึ่ง หากวาผูรับรูจะพิจารณาและนําเอาไปใชใหถูกทาง

11 ชีวิตกับครอบครัว


คําติเตียนก็เชนเดียวกัน อยานึกวาจะไรประโยชน เมื่อไดยิน ไดฟงแลวควรจะนําเอามาพิจารณาวาเปนจริงอยางที่เขาวาหรือเปลา หากเปนจริงก็ตั้งใจแกไข คนอื่นอาจมองเห็นตัวเราไดดีกวาเรา แตหากพิจารณาแลวไมเปนจริงอยางเขาวา ก็หาทางแกความเขาใจผิดของผูอื่นดวยวิธีละมุนละมอม หรือไมเอาใจใสเสียก็ได พยายามทําความดีตอไป ในที่สุดคนทั้งหลายก็จะเห็นเอง กาลเวลา เปนสิ่งตัดสินทีย่ ุติธรรมที่สุด เพราะฉะนั้นขอใหเราใหเกียรติแกกาลเวลา ทุกอยางจะเรียบรอยเอง เราคอยๆ กาวไปขางหนาทีละนอย ผมชอบยกสุภาษิตจีนอยูบ ทหนึ่ง “ผูกาวอยางละมุนละมอมยอมกาวไดไกลเสมอ” ชาติจีนเปนชาติโบราณ กอนที่ปราชญจะกลาวคํานี้ออกมา ก็ยอมจะผานการพิสูจนมาแลวเปนพันๆ ป เพราะฉะนัน้ ในการศึกษาเลาเรียนก็ดี การมุงความกาวหนาในการงานก็ตาม ขอใหพยายามกาวอยางละมุนละมอม ขอใหกาว ไปอยางสม่ําเสมอ นิทานเตากับกระตายที่เราเคยทองเปนนกแกวนกขุนทองกันมาเมื่อสมัยยังเด็ก ก็ยังใชไดอยูนะครับ นี่คือเรื่องของการอยาเอาน้ํารอนไปรดตนไม เพื่อความสงบในครอบครัว เพื่อความสงบเรียบรอยในสังคมที่เราอยู อยาพยายามเอาน้ํารอนไปรดตนไม แมวาเราจะสะใจบาง มันมีผลรายเกินไป ไมคุมกันกับความสะใจของเรา

9. บานสงบสุข พูดถึงเรื่องบานนิดหนึ่ง บานเปนวิมานของชีวิต ครอบครัวจะตองมีบา น ถาเผื่อบานสงบสุข จะเปนบานเชาหรือบานของตัวเองก็ตาม ก็ขอใหเราอยูไดอยางสงบสุขก็พอแลว แตวา บานเชา กับบานของตัวเราเองมันผิดกัน นกมันมีความสุขอยูในรังเล็กๆ ที่มันสรางเอง บานจะเล็กจะนอยสักเพียงไร แตถาเปนบานของเราก็จะใหความรูสึกที่ดหี ลายอยาง แตเอาเถอะ ถาเผื่อวายังไมมีบานของตัวเองอยู บานเชาก็ไมเปนไร แตวาขอใหเปนบานที่สงบสุข แตก็นนั่ แหละ มนุษยเราอยูรว มกัน มีคนดีบาง คนไมดีบา ง ถาเราไดเพือ่ นบานที่ดีก็คอ ยยังชัว่ หนอย คอยสงบสุขหนอย แตถาเราไดเพื่อนบานไมดี มันกวนเหลือเกิน ก็แยหนอย อยูใ นที่ทาํ งาน ถาไดเพื่อนรวมหองที่เปนคนพาลเกเร เอาแตใจก็แยหนอย เราก็แย ถาไดเพื่อนรวมหองทํางานที่ดีกด็ ีไป รูสึกวาสบายอกสบายใจ ชุมชื่น เปนกัลยาณมิตร ถาไดเพื่อนรวมหองที่อยูหองเดียวกัน เกเรเปนพาลเอาแตใจตัว ไมใหเกียรติผอู ื่น อะไรตางๆ ทํานองนั้นเราก็แย แตถึงอยางไรเราก็ตองอยู ถาเราตองอยูเราก็ตองเอามาเรียนเอามาศึกษา คนชั่วก็เปนครูเราไดเหมือนกัน วาความชั่วเปนอยางนี้เอง มันเปนนิทรรศการใหเราเห็นชัดๆ โตงๆ วาคนชั่วเปนอยางนี้เอง

12 ชีวิตกับครอบครัว


ความชั่วมันไมไดอยูเฉพาะในหมูฆราวาส แมในหมูพ ระก็มี พระชัว่ ก็มี คนชั่วก็มี เด็กชั่วก็มี ผูใหญชั่วก็มี พระดีก็มี ผูใ หญดีก็มี เด็กดีกม็ ี มันก็มีอยูอยางนี้ เรามีหนาที่ตองศึกษา เราเกิดมาเพื่อจะศึกษาเรียนรู โลกมันจะใหบทเรียนแกเรามากมาย เหลือที่จะคณานับ ถือวาเปนบทเรียนโลก โลกจะใหบทเรียนแกเรา เราจะเห็นหรือไมเห็น จะรูหรือไมรู แตโลกจะสอนเราอยูทุกวัน เหมือนกับคนตาดีมองเห็นปายเขาประกาศเอาไววานั่นคืออะไร นี่คืออะไร แตคนตาบอด หรือคนอานหนังสือไมออก แมจะมีปายบอกอยูทุกหนทุกแหงก็ไมรู ปายคอยบอกวาไปทางนั้น ไปทางนี้ ไปทางโนนมันก็ไมเห็น มันตาบอดหรืออานหนังสือไมออก เพราะฉะนั้น เราจะทําตัวเปนคนตาบอดหรืออานหนังสือไมออก หรือจะทําตัวเปนคนตาดี และก็อานหนังสือออก อะไรมันผานเขามาในชีวติ เอามาเรียนเสียใหหมด แลวเราก็ฉลาดขึ้น แลวในที่สุดเราก็ทิ้งโลกไว มันมีอะไรนักหนาในโลกนี้ อยูกันไปทําไมนานๆ วนเวียนวายอยูในสังสารวัฏ เกิดแลวเกิดอีก ตายแลวตายอีก เจ็บแลวเจ็บอีก วนเวียนก็อยูอยางนี้อยูพ อสมควร แลวก็พน จากสังสารวัฏไป ก็หมดเรื่องไป

10.

การศึกษาในบาน

คนมีครอบครัวก็ตองมีลูก และก็ตองใหลูกไดรับการศึกษา หรือถาไมมีครอบครัวก็มีหลาน มีญาติพี่นอง หรือแมแตสามีภรรยาเองก็ตอ งมีการศึกษา การศึกษานีไ่ มไดจํากัดอยูเฉพาะ หรือวาจะตองไปศึกษาที่โรงเรียน หรือที่วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเสมอไป การศึกษาในบาน การเรียนรูใ นบานก็เปนสิ่งสําคัญอยางยิ่งยวด การศึกษาในบานที่ถูกตองสําคัญกวาการศึกษาภายนอก เพราะวาบานเปนสถานที่บมความดีงามในจิตใจ หรือทําลายจิตใจของมนุษยกไ็ ด แลวแตวิธีการที่ใหการศึกษาในบานวาเปนอยางไร บานเปนสถานที่เหมือนแปลงเพาะนิสัยคน คือบม ความดีงามลงในจิตใจของมนุษย หรือถาเผื่อวาไมดีก็จะเปน การทําลายจิตใจของมนุษยไดแลวก็ยั่งยืนดวย การศึกษาในหลายๆ เรื่อง เชน การศึกษาเรื่องศาสนา การไดเรียนรูเรื่องศาสนาที่ถูกตอง ก็เปนสิ่งสําคัญในครอบครัว เพราะศาสนาเปนสิ่งที่เขาถึงจิตใจสวนลึกของมนุษย เมื่อเขาถึงแลวก็จะเปนสิ่งที่ถูกทําลายไดยาก ไมมีใครที่จะมาสลายไดโดยงาย เพราะฉะนั้นก็ตองใหเด็กในครอบครัวของเราสดับตรับฟงเรื่องราวที่เกีย่ วกับศาสนา ปลูกฝงเขาใหสนใจในศาสนา 13 ชีวิตกับครอบครัว


ใหฟงเทศนฟงธรรม ใหอานนิยาย หรือใหอานชาดกก็ได ในศาสนาพุทธนี่มีชาดกเยอะ มีหนังสือที่มีเรื่องราวชาดกเยอะ ชาดกเปนเรื่องเกี่ยวกับอุดมคติ และมีการสรุปความตอนทายวา นิทานเรื่องนี้สอนใหรวู า แมทานจะไมพูดเอาไววา นิทานเรื่องนี้สอนใหรูวา แตมันก็เปนอยางนัน้ เปนอุดมคติ เพราะฉะนั้น เด็กหรือจะเปนผูใหญก็ตาม ไดตัวอยางที่ดีในการที่จะบําเพ็ญคุณงามความดี มันคอยๆ แทรกซึมเขาไปในสวนลึกของจิตใจ และไมถูกทําลายไปโดยงาย บางทีเคยสอนเด็กเหมือนกัน เปนเด็กมัธยม ธรรมดาวันอาทิตยในบานเมืองเรานี่ ก็นานปแลวเหมือนกัน วันอาทิตยก็จะใหมีพระมาเทศนทางสถานีวทิ ยุกระจายเสียงแหงประเทศไทย ถายทอดทุกสถานี ตอนนั้นไมมีอะไรจะฟงหรอก นอกจากฟงเทป เมื่อไปสอนเด็กเคยถามเด็กวา วันอาทิตยนี้มใี ครไดฟงเทศนตอนเชาบาง ยกมือขึ้น ปรากฏวาไมมี ไมมีเลย กี่หองๆ ก็ไมมีเลย ก็ประหลาดใจ อันนี้จะไปวาเด็กก็ไมได ตองอยูที่ผูใหญนะ คือผูใหญไมไดฟง ทีนี้พอผูใหญไมไดฟง ก็ไมสามารถที่จะแนะนําเด็ก หรือเรียกรองเด็ก เรียกเด็กใหมาฟงได แตถาครอบครัวที่เขาตองการจะปลูกฝงเด็ก เขาก็ตองใหฟง รูเรื่องมั่งไมรูเรื่องมั่งก็แลวแต ใหฟงไปก็รูบางแหละ 100 สวนรูสัก 5 สวนหรือ 10 สวน ก็พอแลว เปนการปลูกฝงศาสนาลงไป และสรางทัศนคติที่ดี เด็กจะไดมีทัศนคติที่ดีตอศาสนา แตวาผูใหญกต็ องนําหรือวาพอใจในการทีจ่ ะฟงดวย ไมใชบังคับใหเด็กฟงแลวผูใหญก็ไมฟง แลวก็คอยสรุปใหเขาแลวก็อธิบายอะไรทีเ่ ขาไมเขาใจก็อธิบายใหเขาฟงใหงายขึ้น เด็กก็จะรูสึกงายขึ้นในการฟง เมื่อเขาเปนหนุม แลวก็โตขึ้น และฟงไดตลอดไป ยิ่งถาเขามีเชื้ออยูบางแลวมันก็สบาย ถาเอาใจใสดแู ลก็ทําใหเปนคนที่มีจิตใจออนโยน ไมแข็งกระดาง มีความรูสึกรักความดี แลวก็จะใชชวี ติ ในทางศีลธรรมไดโดยงาย นี่คือการศึกษาในบาน ใชชีวติ ทางศีลธรรมไดงาย แลวก็จะเปนวิถีชีวิตทีด่ ีตอไปในภายหนา มีสุภาษิตทางจริยศาสตรซึ่งผมชอบอางถึงอยูเสมอ เมื่อพูดมาถึงเรื่องเหลานี้ที่วา The simplest life is the best life. ชีวิตที่เรียบงายที่สดุ เปนชีวิตที่ดที ี่สุด Morality is the best way of life. ชีวิตทางศีลธรรมนั่นแหละเปนวิถีชีวิตทีด่ ที ี่สุด ลองนึกดูวาถาคนในครอบครัวตางก็มศี ีลธรรมดี มีจิตใจออนโยน มีความเขาใจซึง่ กันและกัน ปญหาและสิ่งที่ไมดีตางๆ ที่มันจะเกิดขึ้น มันก็ไมเกิด เปนทั้งการปองกันและเปนการเยียวยาแกไขไปในตัว ธรรมะนั้นเปนทัง้ สิ่งปองกันและเปนทั้งสิ่งแกไข ปองกันไมใหสิ่งรายเกิดขึ้น และถามันเกิดขึ้นแลว ก็เปนสิ่งที่แกไขได เยียวยาได มันเปนสาธารณสุขมูลฐานไปดวย แลวก็เปนยาแกโรคไปดวยในตัว

14 ชีวิตกับครอบครัว


นี่คือเรื่องที่ผมพูดถึงการศึกษาในบาน และนอกจากจะศึกษาเลาเรียนตามขั้นตามตอนของพัฒนาการของเขาแลว ก็ยังใหมีการศึกษาเรื่องศาสนาใหมีความเขาใจเกีย่ วกับเรื่องการดํารงชีวิตอยูโดยธรรม หรือดวยธรรมะ คนก็จะเขาใจ เด็กก็จะเขาใจ ถาเด็กในครอบครัวของเราขาดผูแนะนํา แกก็เควงควางไมรูทิศทางของชีวิต และไมรูวาชีวติ จะดําเนินอยางไร ยิ่งสิ่งภายนอกมันสับสนดวยก็เขวเควงควาง ทําใหเด็กตัดสินใจไมไดวาอะไรคือสิ่งที่ถูก อะไรคือสิ่งที่ผิด เพราะมันมีความขัดแยงในพฤติกรรมตางๆ ในคนหรือในสังคม แตวาถาไดผูใหญที่เปนหลักอยู แลวก็ชี้นํา วานัน่ คือสิ่งที่ถูก นี่คือสิ่งที่ผิด อยางนี้เขาก็มนั่ ใจ ดําเนินชีวิตดวยความมั่นใจ

11.

ชีวิตตองการชีวิต

มนุษยเราตองการอะไรบางครับ ก็ตองการทรัพยบาง อันนี้ตองหามาดวยความขยันหมั่นเพียร ศาสนาก็สอนเรื่องการหาทรัพยโดยธรรม คนเราตองการทรัพย ตองการยศ ยศไมไดหมายถึงการเปนใหญอยางเดียว เชน เพื่อนฝูง บริวาร อันนี้กย็ ศ เรียกวาบริวารและยศ และก็เกียรติคณ ุ ความดีเปนที่ยอมรับ ตองการการยอมรับ คนที่มีเกียรติคณ ุ มีความดี ก็เปนที่ยอมรับของสังคม ทรัพยยศไมตรี ไมตรีก็คือความมีน้ําใจตอกัน ตั้งแตในครอบครัว แลวก็ขยายขอบเขตออกไปถึงญาติพี่นอง ถึงเพื่อนฝูง ถึงคนหอมลอมอยู ถึงคนใกลตัวแลวก็ไปถึงคนไกลตัว แลวก็มาถึงการตองการสุขภาพ อันนี้เรารูกนั อยู สุขภาพนีธ่ รรมะหรือศาสนาก็ชวยไดเยอะ ในคําสอนทางศาสนา ความกินอยูแ ตพอดี หรือความพอดีทุกอยางนั่นแหละ เปนบอเกิดอันสําคัญของสุขภาพดี ทั้ง 4 อยางที่กลาวมาโดยยอนี้ คือ ทรัพย ยศ ไมตรี สุขภาพ เปนบอเกิดของความสุขในชีวิตปจจุบัน เวลานี้คนในสังคมของเราอายุยืนขึน้ เพราะมียาหลายอยาง ที่มาตอชีวิตใหยนื ยาวออกไป คนชราก็มีมากขึ้น ทานลองนึกดูวา คนชราในสังคมของเรา มีความอบอุนดีอยูห รือ ไดรับการเอาใจใสจากลูกหลานอยางไรบาง หรือถูกทอดทิ้งใหวาเหวเงียบเหงาอยูคนเดียว โดยที่ลูกเตาทั้งหลายก็มวั สาละวนวิ่งวุน อยูก ับเรื่องธุรกิจ การงานอะไรตางๆ จนขาดการดูแลผูหลักผูใหญ ขาดการดูแล คนชรา คนชราของเราสวนมากก็จะเงียบเหงาวาเหว มีความรูสึกคลายๆ ชีวิตไรความหมายลงไปทุกที ยิ่งไมมีการมีงานทํา และก็อยูคนเดียวดวยยิ่งนาสงสารมากขึ้น เคยไปบางแหง อันนี้ตองขออภัยที่จะพูดเรื่องนี้นิดหนอยวา เคยไปบางแหงในบางประเทศ ก็รูสึกวาคนแกคนชราของเขาสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี 15 ชีวิตกับครอบครัว


อันนี้อาจจะเปนปญหาเกีย่ วกับเรื่องสวัสดิการสังคมดวยก็ได เพราะวาประเทศเขามีสวัสดิการสังคมดี ทําใหคนชรามีความหวัง และก็ไมรูสึกวาเหวเดียวดายเกินไป การเอาใจใสคนอื่น และการไดรับการเอาใจใสจากคนอืน่ เปนสิ่งที่ชีวติ ตองการ ผมขอเรียนทานผูฟงวา ชีวิตตองการชีวิต หมายความวา ถึงแมจะมีทรัพยสินสมบัติมากมาย ที่เปนสังหาริมทรัพย อสังหาริมทรัพยบางมากมาย มีบานชองใหญโต มีทรัพย มีเงินในธนาคาร มีรถยนต มีอะไรสารพัดอยาง มีปจจัยสี่ มีอะไรครบบริบูรณที่จะสนองความตองการ แตวาไมมีสิ่งที่มีชีวิตคอยดูแลคอยเอาใจใส คนจะรูสึกอยางไร คนจะรูสกึ วาเหว เหมือนสิ่งที่ไม มีชีวติ มันมีก็จริง แตมันไมมีชวี ติ ชีวา มันก็อาศัยไดเล็กนอย ชั่วครั้งชั่วคราว แตมนั ไมมชี ีวิตชีวาเหมือนกับสิ่งมีชีวิต เหมือน กับคน บางคนหาสิ่งที่มีชีวิตที่เปนคนไมไดทจี่ ะมาเอาใจใสเขา ก็เลยเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวเปนเพื่อน เลี้ยงนกบาง เลี้ยงปลาบาง เปนสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหว ก็ทําใหรูสึกมีชวี ิตชีวาขึน้ มันพูดไมไดแตเราพูดกับมันได มันพูดไมได ดูตามันรูวามันมีความรูสึกอยางไร หรือถาเรามีวัตถุสวยๆ สักอยางหนึ่ง สวยไมเทาไหร เราก็เบื่อ แตวาสิ่งมีชวี ิตมันจะมีคณ ุ ลักษณะ มีคุณภาพ และก็ใหความรูสึกอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนที่อยูดว ยกันจึงตองเอาใจใสกัน เขาใจกัน ไมโหดรายตอกัน ไมเฉยเมยตอกัน ไมใชไมพดู กัน อยูบานเดียวกัน แตก็ไมพดู กัน มีอะไรก็คยุ กันได ปรับความเขาใจกันได เปนเรื่องที่ทาํ ได เราไดทําอะไรบางอยางเพื่อคนอื่นบางในชีวิตประจําวัน บางทีเราก็หวังวาคนอื่นจะมาทําอะไรใหเรา แตเราไดทําอะไรบางสิ่งบางอยางเพื่อคนอื่นบางไหม แลวเคยตัง้ ใจวาเราจะทําอะไรเพื่อคนอื่นบางไหม ในที่สุดผมขอยกตัวอยางนะครับ วันหนึ่งๆ เราไดมีเศษอาหารใหกับสุนขั หรือแมวเราก็รูสึกชื่นใจ แมเราไมไดเลี้ยงมัน แตมันก็มาหากินอยูหนาบาน ขางบาน พอมีเศษอาหารเหลือก็รวบรวมไปใหมันแลวดีกวาทิ้งไปเยอะๆ ทิ้งไปเฉยๆ ซึ่งก็ไมมีประโยชนอะไรอีกแลว มันก็เปนสิ่งมีชีวิต มองตามันก็รูวามันตองการอะไร คนที่อยูในสังคม ถาเปนคนมีจิตใจออนโยน เขาใจผูอื่นก็จะทําอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหลานี้ไดดี และคนอื่นเขาก็จะทําใหเรา ถาเขาไมทําใหเรา เราก็ยังรูสึกดีใจวาเราไดทําหนาที่ของเราไดพอสมควรแลว มีชีวิตเพื่อกันและกัน เมื่อเรารูสึกวาเรามีชีวิตเพื่อกันและกัน ใครก็ไดที่เขาเปนคนดี ถาทําใหเราไมเบื่อชีวิต และ

16 ชีวิตกับครอบครัว


ทําใหเรารูสึกวาชีวิตไมนาเบือ่ สักเทาไหร เพราะโดยสภาพของชีวิต มันเปนสิ่งนาเบื่ออยูแลว มีอะไรสารพัดอยางที่ทําใหนา เบื่อ ถาเราไดวางชีวิตไวใหดี หมุนใจใหตรงตอความเปนจริงของชีวิต จะชวยเราไดเยอะ ชวยใหเราชุมชื่น อยูกับคําแนะนํา สั่งสอนของนักปราชญบาง อยูกับการบําเพ็ญประโยชนบาง เหนื่อยกายหนอย เหนื่อยสมองหนอย แตก็มีความปติชุมชื่นใจดี สบายดี ชีวิตของคนมีประโยชน ถึงจะอายุสั้นสักหนอยมันก็ดกี วาชีวิตทีไ่ มมปี ระโยชนอยูรอ ยป อันนี้พระพุทธเจาทานตรัสเอาไว ดีกวาชีวิตที่ไมมีประโยชน และถามันไมมีประโยชนมันก็ตองเปนโทษละครับ แนนอน เพราะวามันตองกินตองใช ตองผลาญทรัพยากรของสังคมใหหมดสิ้นไปแตละวัน แลวคนที่ไมมปี ระโยชนก็มกั จะกินมากใชมากเสียดวย มักจะเปนอยางนั้น เพราะวามันไมรูจะทําอะไร ก็เลยใชเวลาผลาญทรัพยากรใหหมดไป สิน้ ไป และทําใหคนมีประโยชน ตองกินนอยใชนอยลงไปอีก เพราะมันหายาก

12.

เสียสละตนเอง

คนในครอบครัวตองรูสึกในคุณคาของกันและกัน จิตใจ ที่ดีที่สุดของมนุษยก็คือจิตใจที่พรอมจะสละตนเองเพื่อความดีงามของครอบครัว เพื่อความดีงามของสังคม และในที่สุดก็เพื่อ มนุษยชาติ ผมขอย้ําตรงนี้อีกสักนิดนะครับวา คนในครอบครัวตองรูสึกในคุณคาของกันและกัน ใหคาแกกนั และกันตามสมควร จิตใจทีด่ ีที่สุดของมนุษยก็คือจิตใจซึ่งพรอมที่จะเสียสละตนเอง อันนีก้ ต็ องเปนคนกลาไดกลาเสียนะครับ เมื่อถึงคราวจําเปนคับขันก็พรอมที่จะสละตนเองเพื่อความดีงามของครอบครัว ของสังคม และก็เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด ก็ไปเขากับพุทธศาสนสุภาษิตในพุทธศาสนา ซึ่งเราจําขึ้นใจกันอยู ขอนํามากลาวในที่นี้อีกทีหนึ่ง เพื่อใหสอดคลอง กัน ทีว่ า “พึงสละทรัพย เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” พึงสละทั้งทรัพย อวัยวะ และชีวิต เพื่อรักษาธรรมหรือความถูกตอง จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ เพื่อรักษาอวัยวะพึงสละทรัพย พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต คือรักษาสิ่งที่ดีกวา หรือสูงกวา มีคุณคามากกวา แตถาคนที่ไมมีธรรมเปนทางดําเนินของชีวิต เขาจะยอมสละธรรม ซึ่งเปนสิ่งที่มีคาสูงสุดนั่นเอง แมเพียงเพื่อสิง่ ที่มีคานอยทีส่ ุดคือทรัพย เรามีตัวอยางใหเห็นกันอยูทวั่ ไปในสังคม เขายอมสละธรรมเพื่อเห็นแกทรัพยสินภายนอก ซึ่งมีคานอยที่สุด 17 ชีวิตกับครอบครัว


การยอมสละความสุขสวนตัวเพียงเล็กนอยเพื่อผูอื่น ก็ถือวาเปนการสละตนเอง ความสุขสําราญของตน ความพอใจของตน ก็ถือเปนการสละตนเอง หัดสละตั้งแตเล็กๆ นอยๆ ไปจนถึงสามารถจะสละไดมาก แลวก็สบาย คือหมายความวา มันตัดใจไดงาย เพราะวามันเคยทํามาอยูเปนประจํา ทําอยูเสมอ มันตัดใจไดงาย ทําความดีไดงาย ในสังคมหรือชุมชนที่เต็มไปดวยความโลภ ความเห็นแกตัว เราเคยสอนกันอยางนีไ้ หม ไมสอนโดยตรง ไมสอนดวยวาจา แตสอนดวยการกระทํา ทําใหดูเปนอยูใ หเห็น คือมีความโลภและความเห็นแกตวั คนที่จะมีความสุขเราสอนกันโดยการกระทํา วาคนที่จะมีความสุขก็คือคนที่มีความโลภและคนที่เห็นแกตัว ไมไดสอนดวยวาจา เวลาพูดเราก็พูดใหคนเสียสละ ใหคนไมเห็นแกตัว แตวาในภาคปฏิบัติมันไมไดเปนอยางนัน้ เปนทํานองวา คนที่ จะมีความสุขมันตองมีความโลภความเห็นแกตวั ซึ่งอะไรมันจะชัดกวา คําสอนกับตัวอยางเห็นชัดกวา เพราะฉะนั้น ถาตองการใหมนุษยเรามีความสุข มันตองลดสิ่งเหลานี้ คือความเห็นแกตัว ความโลภ ตั้งแตในครอบครัวผมไดเรียนแลววา ครอบครัวนั้นเปนกระถางหรือเปนแปลงเพาะมนุษย หรือเปนสิ่งที่ทําลายมนุษยกไ็ ด ทําอยางไรจึงใหสิ่งเหลานี้ คําเหลานี้เขาไปในครอบครัวกอน เพราะวาเปนรากฐานสําคัญของสังคม ดังที่กลาวมาแลววา ครอบครัวเปนรากฐานสําคัญของสังคม ถาสังคมรากเนาเสียแลวจะทําอยางไร จะพัฒนาไปอยางไร จะตอยอดขึ้นไปอยางไร พื้นฐานมันไมมี มันจะรับน้ําหนักที่จะตอขึ้นไปไดอยางไร เราจะพัฒนาคนไดอยางไร เราจะพัฒนาเด็กไดอยางไร คนที่มีคุณคาตองกาวหนาอยูเ สมอนะครับ ไมทางใดก็ทางหนึ่ง พุทธศาสนาไมไดหามไมใหรวย รวยได เศรษฐกิจดีได แตวาที่ทานขอรองก็คือ ขอใหไดมาโดยชอบธรรม เพราะวาคนทีม่ ีเศรษฐกิจดีนี้ มีโอกาสที่จะทําประโยชนไดมากเหมือนกัน ถาเขามีจิตใจที่จะทํา เขาก็จะทําประโยชนไดกวางขวางเหมือนกัน มีความกาวหนาทางใดทางหนึ่ง คือทางเศรษฐกิจ ทางจิตใจ ทางความรู ความสามารถ ซึ่งรวมแลวก็เปนการพัฒนาตน เปนการพัฒนาคน ถาเราหยุดเรื่องเศรษฐกิจ เราหยุดไวเพียงแคนี้ เพียงพอแลว เราก็ตองมาพัฒนาจิตใจ กาวหนาทางจิตใจ กาวหนาทางความรูความสามารถ ทานที่รูสึกวาเหงา มาจับธรรมะเขาสิ จับศึกษาเรื่องธรรมะเขา มีเรื่องใหศกึ ษาใหเรียนรูเยอะแยะไปหมดเลย มีพระ-ไตรปฎกอานเขาไป อรรถกถาอานเขาไป บทความขอเขียนของใครตอใครอานเขาไป แลวทําความเขาใจ

18 ชีวิตกับครอบครัว


นั่นครับไมเหงาแลวคราวนี้ ทานก็จะอยูก บั สิ่งที่มีคุณคาที่สุด เปนเครื่องมือในการพัฒนาชีวิต ในการพัฒนาคน และยังทําใหกา วหนาไดอีกดวย ไมหยุดอยูแ ตเพียงชาตินี้ เปนกําไรของชีวิต ผมขอพูดตอไปวา ความเขาใจ และความไมเขาใจระหวางพอ แม ลูก มันเปนปจจัยสําคัญของความสุข หรือความทุกขของครอบครัว อันนี้มีตัวอยางใหเห็นเยอะแยะมากมาย ลูกบางคนแมจะอายุมากแลวก็รสู ึกชีวิตแยเต็มที เพราะวาพอแมไมเขาใจ เขาโตแลวเปนผูใหญแลว แตพอ แมไมไดปฏิบัติตอเขาอยางที่เขาเปน ผูใหญ และไมเขาใจลูกซึ่งเปนผูใหญแลว ไมใหเกียรติลูกซึ่งเปนผูใหญแลวอะไรอยางนี้ ก็ทําใหลูกรูสึกเจ็บเหมือนกัน ในทํานองเดียวกันกับลูกที่ไมเขาใจพอแมที่ทําถูกตอง อันนี้อยูทวี่ าใคร เปนผูถูกตอง แลวฝายที่ไมถกู ตองก็ตองทําความเขาใจ แตวานั่นแหละคนเรามักเขาขางตัว มีอคติเขาขางตัว ก็นึกวาสิ่งที่ตวั ทํามันถูกตองแลว ไมมีธรรมเปนมาตรฐานวัด ไมมีธรรมเปนเครื่องวัด มันก็เลยไมเขาใจกัน ก็เปนความลําบาก แมจะมีทรัพยสินเงินทองอะไรมากมาย แตก็ไมมีความสุขในชีวิตครอบครัว

13.

ชีวิตตองการชีวิต

ผมไดพูดไปหลายเรื่องแลว จะขอย้ําในเรื่องที่วา ชีวิตตองการชีวิต หมายความวาถาเราอยูกับสิ่งที่มชี ีวิต เราก็จะมีชวี ิตชีวาขึ้น และถาอยูกับสิ่งไมมชี ีวิต แมจะเปนสิ่งที่มีคามีราคามากมายสักเทาไหรก็ตาม มันก็ไมมีชวี ิตชีวาสดชื่นเหมือนกับ สิ่งมีชีวิต อยางตนไมเปนสิ่งมีชีวิตนะครับ แมจะพูดไมไดแตเราก็รูสึกวามันสดชื่น จากการที่มันมีชีวิต เพราะวามันเกิดแลวก็แก แลวมันก็ตายไดเหมือนกับเรา แตสิ่งที่ไมมีชวี ิตมันก็ทื่อๆ ไปอยางนั้น แมแตทองคําแมวา จะเปนสิ่งที่มีคามีราคา ถาเผื่อทุกสิ่งทุกอยางมันเปนทองคําไปหมด ก็แยเหมือนกัน ทองคํามันก็มีประโยชนอยางทองคํา แตถาทุกสิ่งทุกอยางมันเปนทองไปหมด เราจะทําอยางไร มีเรื่องเลาเกี่ยวกับพระราชาคลั่งทอง เครื่องใชไมสอยอะไรตางๆ เปนทองไปหมด และก็มหี องสําหรับเก็บทองคํา เครื่องอะไรตางๆ ของทานก็ทําดวยทองคํา คือชอบไปอยูในหองนัน้ ไปพลิกไปดู เพลิดเพลินอยูก ับทองค พระราชธิดาก็รูสึกวา พระราชบิดาจะหมกมุนกับเรื่องทองคํามากเกินไป วันหนึ่งก็เลยขอรองพระราชาวา ใหเวลากับสิ่งอื่นบาง ราชการงานเมือง เรื่องอะไรตางๆ หรือแมแตกับลูกใหเวลากับลูกบาง พระราชบิดาก็ทําเฉย คงเพลิดเพลินอยูกับทองคํา พระราชธิดาก็ไปนั่งรองไหอยูในพระราชอุทยาน 19 ชีวิตกับครอบครัว


มีเทพธิดาปรากฏตนขึ้น ถามวา มีความทุกขเรื่องอะไรถึงมานั่งรองไหอยู พระราชธิดาก็เลาใหฟง เทพธิดาก็บอก เอาละจะชวย จะชวยใหพระราชาเปลี่ยนพระทัย จึงไปพบพระราชาบอกวาจะประทานพรใหพระราชา ถาตองการทองมากจริงๆ ก็จะใหพร วาถาเอานิ้วแตะสิ่งใดก็จะใหสิ่งนั้นเปนทองทั้งหมดเลย พระราชาก็ดีพระทัย แหมเปนคนชอบทองอยูแลว เอานิ้วแตะสิ่งใดสิ่งนัน้ จะเปนทองไปหมด ก็เที่ยวแตะสิ่งนั้นสิ่งนี้ อะไรตออะไรก็กลายเปนทองหมดจริงๆ คราวนี้ลูกสาวก็กังวลวา เอ! อะไรๆ มันก็เปนทองไปหมด เดี๋ยวขาวเดีย๋ วน้ํา ทานไปแตะเขามันก็เปนทองไปหมด ทานจะเสวยอยางไร ก็เลยวิ่งเขามาจะขอรองพระราชบิดาวา อยาไปแตะอะไรอีกเลย คราวนี้พระราชาตองการจะหามลูกสาววาอยาเขามา แตไมทนั เสียแลว ลูกสาวเขามาถึงตัว ถูกแตะดวยนิว้ ก็กลายเปนทองไป พระราชาเสียพระทัยมาก เอ...จะทําอยางไรดี ตอนนี้ลูกสาวซึ่งเปนผูมีชีวิตชีวา ทําใหพระองคทรงรื่นรมย และก็ทรงพระสรวลได เวลานี้ลูกสาวก็กลายเปนทองแนนิ่งไปเสียแลว ก็ไมรจู ะทําอยางไร เรื่องก็จบแคนี้นะครับ จะไปหาเทพธิดาขอคืนพรหรืออะไรก็ไมทราบ แตวาเรื่องจบแคนี้ ทราบมาแคนี้ นี่ก็แสดงอะไรครับเรื่องนี้ ทานตองการจะแสดงอะไร ตองการจะแสดงใหเห็นดังทีพ่ ดู มาทั้งหัวขอวา ชีวิตตองการชีวิต พอเอาเขาจริงพระราชาซึ่งหลงทองเปนนักหนานั้น พอลูกสาวกลายเปนทองขึ้นมา ก็ไมตองการใหเปนเชนนั้น เกิดความเศราโศกเสียใจ อันนี้ก็เปนเรื่องสําคัญเรื่องหนึ่ง คนที่ไปใหคากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กับสิ่งที่ไมมีชีวิตหรืออะไรมากเกินไปเสียจนทอดทิ้งสิ่งที่มีชีวิต หรือไมเอาใจใสกับสิง่ ที่มีชีวิต ซึ่งอยูใกลตัวพอที่จะทําได หรือชวยเหลือได สมมุติวาคนคลั่งเงิน บาเงิน หาแตเงินก็ได วันหนึ่งๆ ก็คิดหาแตเงิน คนที่ไมมีก็ชางเขาเถอะนะ คนไมมีก็เห็นใจเขาวาเขาไมมี หรือวาไมพอใชจาย เศรษฐกิจตกต่ํา หรือวาเขาลําบากเรื่องการเงิน ไมพอใช ไมพอจาย ไมพอสงลูกใหศึกษาเลาเรียน ไมพอรักษาคาพยาบาล เขาก็ตองคิดเรือ่ งนี้เปนธรรมดา แตสําหรับคนที่มีมากอยูแลว แลวก็ยิ่งหาใหมากขึ้นๆ จนไมรูวาเอาเงินไปทําอะไร เพราะมีมากมายอยางนี้ ถาเผื่อวาทุมเทกับมันมากเกินไป ก็ทําใหทางครอบครัวเปนหวงเหมือนกันวา เขาใชเวลากับสิ่งนั้นมากเกินไปจนไมมเี วลากับครอบครัว

20 ชีวิตกับครอบครัว


เวลานี้กพ็ ูดกันอยูเสมอนะครับวา พอแมไมคอยมีเวลาใหลูก แตบางครอบครัวมันกลับตรงกันขาม คือลูกไมมีเวลาใหพอแม พอพอแมมีเวลาใหลูก แตลูกกลับไมมีเวลาใหพอแม เพราะวามัวสาละวนอยูกับการทํางานทําการ กับการศึกษาเลาเรียน กับอะไรของเขา อยางนี้ก็มีเหมือนกัน ก็มีทั้งสองแบบ เอาเถอะครับ สําหรับเรื่องนี้ก็ผานไป ใหเราเห็นความสําคัญของสิ่งที่มีชีวิต เราจะไดปฏิบัติใหถูกตองกับสิ่งที่มีชีวิต

14.

การฝกฝน และการควบคุมตนเองของคนในครอบครัว

จะทําใหครอบครัวกาวหนาและรมเย็น มิฉะนั้นแลวครอบครัวก็จะรอน แลวก็ทอถอยสิ้นหวัง ที่เปนอยางนัน้ เพราะ วาไมไดฝกฝน ไมไดควบคุม ไมไดอบรมตนเอง หรือคนในครอบครัวไมไดมีการอบรมตนเองก็ไมกาวหนา เราจะตองกาวหนาอยูเ สมอ ไมวาในทางเศรษฐกิจหรือทางจิตใจ หรือทางความรูความสามารถ

15.

พูดใหฟง ทําใหดู เปนอยูใหเห็น

การอบรมฝกฝนคนในครอบครัว หรือผูใกลชิด วาจา คําพูด เปนสิ่งสําคัญคือ เราพูดใหฟง ทําใหดแู ละเปนอยูใหเห็น อันนี้เปนสิ่งสําคัญที่เขาจะตองถายทอดไป คือ ถายทอดซึ่งกันและกัน บางทีเด็กๆ เขาก็เปนตัวอยางกับผูใหญได เด็กทีด่ ีมีวาจาดี มีมารยาทดี มีคําพูดดี มีสาํ นึกดี มีความรูสึกดี มีจิตสํานึกดี เขาก เปนตัวอยางใหกับผูใหญได เพราะวาบางทีผูใหญก็รอน พูดอะไรดวยความเรารอน แตเด็กเขาเย็น เขารับได อยางนี้ผูใหญก็ควรละอายเด็ก ที่เขาเด็กกวา ที่เขาเย็นไดมากกวา คําพูดหรือการสั่งสอนอบรมพูดใหไดยินไดฟงโดยเฉพาะอยางยิ่งเด็กเล็กๆ นี่นะครับ เขาจะเห็นการกระทํา คําพูด พฤติกรรมอะไรตางๆ ของผูใหญนี่มนั เปนคําสอนไปหมด เปนการสอนไปหมด ในนิทานชาดก มีเรื่องพวกนี้สอนไวเยอะ คนเลี้ยงมาเดินขาเขยก มาเขาใจวาใหมนั ศึกษา ก็เลยเดินขาเขยก ทีนพี้ ระราชาก็ตองใหสัตวแพทยไปตรวจ ตอนนั้นเขาก็มีสัตวแพทย ใหสัตวแพทยไปตรวจดูวามามันเปนโรคอะไร ก็ไมมีโรคทางกาย สังเกตดูก็ ออ! นี่เองตนเหตุคอื วา คนเลี้ยงขาเขยก มาเขาใจวานัน่ คือการสอนมัน มันก็เลยเดินขาเขยกตามไปดวย ทีนี้พอเปลี่ยนคนเลี้ยงมา เดินขาตรง เดินสงาผาเผย มาก็กลับเปนเดินดี เดินปกติดี

21 ชีวิตกับครอบครัว


นี่เรื่องสัตว เรือ่ งชางก็มี ชางเปนชางที่มีศีลมีธรรม มีมารยาทดี คราวหนึ่งมีพวกโจรไปนั่งคุยกันใกลๆ โรงชาง “จงฆามัน จงจับมัน จงฟาดลงไป” เลาเรื่องที่เขาไปปลนไปจี้ไปทําอะไรตออะไรมาตามประสาโจร ชางเขาใจวานัน่ คือเขาสอนใหตัวทํา ชางดีก็กลายเปนชางดุราย ผานมาวันหนึ่ง ควาญชางเขามา ก็จับควาญชางฟาดลงไปถึงตาย พระราชาก็ใหพระโพธิสัตว ปุโรหิตไปสอบดูวามีอะไรเกิดขึ้นกับชาง ก็ตรวจดูโรคทางกายหรือโรคประสาทอะไร มันก็ไมมี แตจับไดวามีคนไปนั่งคุยกันทุกคืนถึงเรื่องพวกนี้ เปลี่ยนเสียใหม ใหบณ ั ฑิตไปนั่งคุยกันถึงเรื่องศีลเรื่องธรรม เรื่องเมตตากรุณา เรื่องการไมทํารายผูอื่น หลายๆ คืนเขาชางก็สําเหนียกวา เขาใหเราศึกษาแลวก็กลับเปนชางดี มีมารยาทดี นี่ก็เรื่องชาง เรือ่ งมา เรื่องนกก็มี นกแขกเตาสองตัว โดนลมพัดไป ลมหัวดวนหรือลมอะไรที่มันพัดไปหลายๆ ทิศนะครับ พอลมพัดไป ตัวหนึ่งไปตกที่สํานักโจร อีกตัวหนึ่งไปตกที่สํานักฤาษี สองตัวพี่นอง ตัวที่ไปตกอยูส ํานักโจรก็โตขึ้นมา ใครเดินผานมา พระราชาผานมาก็สั่งคนครัวใหจับ ใหปลน เอาพระราชาไปฝงดินฆาเสียเอาใบไมกลบ ก็พูดจาหยาบคายเหมือนโจร ทีนี้พระราชาก็หนีไป ไปเจอสํานักฤาษี ฤาษีไมอยูไปหาผลไม เจอแตนก นกมันก็ตอ นรับปราศรัยดี พูดดีเชิญใหนงั่ เชิญใหดื่มน้าํ เชิญใหพกั ผอนดวยวาจาทีไ่ พเราะ นกสองตัวเกิดจากพอแมเดียวกัน แตโดนลมพัดไปตกอยูใ นทีต่ างกัน การอบรมตางกัน พฤติกรรมมันก็เลยตางกัน เด็กนีน่ ะครับเวลาผูใหญคุยกัน เด็กเขาฟง บางคนเขาไมพูดแตเขาฟง เขาฟงแลวก็สําเหนียก เขาคิดวาผูใหญสอนเขา ถาผูใหญเนนอยูแ ตในเรื่องใด พูดอยูแ ตในเรื่องใดบอยๆ เด็กก็จะรูสึกวาผูใหญสอนเขาในเรื่องนั้น เขาก็จะมีจิตใจโนมเอียงไปในทางนั้น คือดูดซับคําพูดเหลานั้น พฤติกรรมเหลานั้นไวในตัว เพราะฉะนั้น เวลาผูใหญคุยกัน ถาเด็กอยูดว ยตองระวังนะครับ เรื่องอะไรที่ไมอยากใหเด็กไดยินไดฟง ก็ไมควรจะพูดเวลาที่เด็กอยูดวย เด็กนี่ปญญาเปนเครื่องกรองจะไมมี เขาใจวานั่นคือคําสอนที่ผูใหญใหเขา เพราะฉะนั้น ทานสังเกตดูวา เราก็บนกันอยูว า พอแมไมคอยมีเวลาเลี้ยงเด็ก เวลานี้เด็กก็จะอยูกับลูกจาง ลูกจางนิสัยเปนอยางไร เด็กแกก็มกั จะเปนอยางนัน้ ไปสักระยะหนึง่ เปนเหมือนกับลูกจางที่เลีย้ งแกนั่นแหละ

22 ชีวิตกับครอบครัว


นี่คือการฝกฝนการควบคุมตนเอง การใหคําสอนในครอบครัว การทําตัวอยางใหดู หรือเปนอยูใ หเห็นในครอบครัว ยอมมีความสําคัญเปนอันมาก แมแตตน ไมกม็ ีนะครับ ทานก็เลาเรื่องตนไม มะมวงตนหนึ่งมีรสอรอย ตอมามีคนคิดจะทําลายมะมวงที่หวานหอมอรอยนั้น ก็เอาสะเดามาปลูกลอมรอบ เอาเถาบอระเพ็ดมาปลูกรอบๆ ตนมะมวง พอสะเดาโตขึ้น บอระเพ็ดโตขึน้ รากมันก็พันกับราก กิ่งมันก็พนั กับกิ่งในที่สุดตอมามะมวงก็กลายเปนรสขม เจาของมะมวงก็ประหลาดใจวา ทําไมจูๆ มะมวงก็กลายเปนรสขมไป ทําไมมะมวงนัน้ ไมทําใหสะเดาหรือบอระเพ็ดนั้นมีรสหวานบาง ก็ลักษณะดอยลักษณะเดน มันผิดกัน คือรสขมมันไปขมรสหวาน เมื่อทราบเหตุแลวก็โคนตนสะเดาออก ขุดรากออก เอาบอระเพ็ดออก และก็พรวนดินใหมรดน้ําใหม ในที่สุดมะมวงนั้นก็มีรสอรอย หวานหอมอยางเดิม อันนี้คือโทษและคุณของการเสวนาเขาเรียกวา อาเสวน-ปจจัย การเกีย่ วของนี่มีหลายอยาง เกี่ยวของดวยการเห็น เกี่ยวของดวยการบริโภค เกี่ยวของดวยการไดยนิ ไดฟงอยางนีน้ ะครับ เพราะฉะนั้นเมื่อทราบวาการอบรมในครอบครัว ดวยการควบคุมตนเอง การสั่งสอน การไดยินไดฟง การทําตัวอยางใหดู นั้นเปนสิ่งสําคัญ เราก็ควรจะตองจัดกันใหม เพื่อจะใหมีปญหาครอบครัวนอยลง หรือปองกันปญหาครอบครัว แลวก็ใสสิ่งที่ดีให เพิ่มสิ่งที่ดีให เหมือนกับเราจัดการกับตนไมอยางที่วามานี้

16.

นะหนาทองทางพุทธศาสตร

เรามาชวนกันลงนะหนาทองกันทุกคนในครอบครัว แตนะหนาทองทีผ่ มวานี้ มันไมเหมือนกับที่เขาไปลงๆ กัน แตเปน ดังนี้ ทุสฺสติ ไมประทุษรายกัน กุชฺฌติ ไมโกรธกัน วิหิสติ ไมเบียดเบียนกัน พยาปชฺชติ ไมพยาบาทไมปองรายกัน อาทิยติ ไมถือเอาของที่เขาไมไดให อีกคนหนึ่งเขาก็ยังไมยอมอนุญาตให ไมวาจะเปนคนอยูในครอบครัวเดียวกัน แตวาเปนสิทธิของเขาที่จะมีของสวนตัว ถาเขาไมยินยอมใหหรือเขาไมอนุญาตใหกไ็ มไปถือเอา ถาถือเอาโดยวิสาสะ ถือเอาแลวรูวาเขาจะไมพอใจก็ตองบอกเขาใหทราบในภายหลัง ไมงั้นเขาหากันตายเลย วาเอ...มันหายไปไหน ของนี้มันหายไปไหน ทีแ่ ทก็ไมมีใครหรอก คนในบานนั่นแหละถือวิสาสะ ถาเผื่อมีขโมยในบานดวยละก็ยิ่งยุง กันใหญเลย มันปองกันอยางไรละ ขโมยเกิดขึ้นในบาน 23 ชีวิตกับครอบครัว


ขโมยนอกบานนี้มันยังปองกันไดงายกวา อยางสามีชอบขโมยเงินของภรรยาอยางนี้ หามาไดเก็บเอาไว ซุกเอาไวที่ไหนก็คนหาเจอหมด เอาไปกินเหลาเมายา เลนการพนัน เอาไปซื้อยาเสพติด ทํายังไงครอบครัวพังพินาศหมด แลวก็มีอกี สอง นะ คือ อตฺตานุกฺกเํ สติ ไมยกตน ปรํ วมฺเภติ ไมขมผูอื่น ทั้งหมดเจ็ดนะดวยกัน นี่แหละครับนะหนาทองทาง พุทธศาสตร พอนึกถึงนะหนาทองเจ็ดนะแลวก็เลยนึกถึงเรื่องการรดน้าํ มนตเจ็ดวัด มีคนเขาชอบพูดวา เออ...ไปทําอยางนี้แลวซวย ซวยก็ตองไปรดน้ํามนตเจ็ดวัด แตคนฟงก็พาซื่อนะครับ ก็เที่ยวไปรดน้าํ มนตเจ็ดวัด วัดที่หนึ่ง วัดทีส่ อง วัดที่สาม ก็ไปใหพระเจ็ดวัดรดน้ํามนต ก็เพื่อวาจะหายซวย ที่จริงเจ็ดวัดนีม้ ันมีในบทสวดมนตเปนวัตรนะครับ เวลาพระทานใหพร น้ํามนตขันเดียว บาตรเดียวนั้นนะ แตเวลาทานสวดทําน้ํามนต หรือทานใหพรทานจะมีคําวา วฑฺฒโก มีอยู เจ็ดวฑฺฒโก ดวยกัน ผมลองวาใหฟง นะครับ ทานใหพรวา อายุวฑฺฒโก ขอใหเจริญดวยอายุหรือขอใหอายุเจริญ ถาเปนผูหญิงก็เปลี่ยนเปนอายุวฑฺฒกา ธนวฑฺฒโก ใหเจริญดวยทรัพยสิน สิริวฑฺฒโก ใหเจริญดวยสิริ สิรินั้นคือมิ่งขวัญ บุญความสงาผาเผย ความดี ยสวฑฺฒโก ใหเจริญดวยยศ ยศนี่มีหลายอยางเหมือน กันนะครับ คุณงามความดี เกียรติยศ บริวารยศ และก็อิสริยยศ ความเปนใหญ พลวฑฺฒโก เจริญดวยกําลัง วณฺณวฑฺฒโก เจริญดวยวรรณะ วรรณะนี่จะหมายถึง ผิวพรรณ ก็ได คนสุขภาพดีกผ็ ิวพรรณดี สุขวฑฺฒโก เจริญดวยความสุข โหตุ สพฺพทา จงมีทุกเมื่อ 1. อายุวฑฺฒโก 2. ธนวฑฺฒโก 3. สิริวฑฺฒโก 4. ยสวฑฺฒโก 5. พลวฑฺฒโก 6. วณฺณวฑฺฒโก 7. สุขวฑฺฒโก เจ็ดพอดีนะครับ เจ็ดวัดพอดี ก็ใหเจริญดวยสิ่งเหลานี้ ไมตองไปรดน้ํามนตที่เปนน้ํา โดยวิธีปฏิบัติคอื เจริญดวยอายุนี่ทําอยางไร มันตองมีเหตุ สิ่งทั้งหลายความเจริญทั้งหลายมันตองมาจากเหตุ ใหเจริญดวยอายุนี่มนั ทําอยางไร ในคําสอนของพระพุทธเจาทานก็ตรัสเอาไว เหตุใหอายุสั้น 5 อยาง เหตุใหอายุยาว 5 อยาง

24 ชีวิตกับครอบครัว


ยกตัวอยางเหตุใหอายุสนั้ เชน บริโภคสิ่งที่แสลงแกตน อายุยาวเชน ไมบริโภคสิ่งที่แสลงแกตนเปนตน หรือเที่ยวไมรจู ักเวลา อันนี้กท็ ําใหอายุสั้น คือเที่ยวทั้งวันทั้งคืนไมรูจักหลับจักนอน และก็กินไมรจู ักประมาณ อันนี้ก็ทําใหอายุสั้น รูจักประมาณในสิ่งที่ เปนประโยชนแกรางกาย แมในสิ่งที่เปนประโยชนตอ รางกายก็กินอยางรูจักประมาณอันนีก้ ็ทําใหอายุยืน ทานก็ตองปฏิบัติตามอยางนีเ้ ปนตนนะครับ เจริญดวยทรัพย เจริญดวยสิริ เจริญดวยยศ เจริญดวยกําลัง เจริญดวยวรรณะ เจริญดวยสุข จะทําอยางไรก็ตองหาเหตุวา ทําอยางไรถึงจะเจริญดวยสิ่งนีก้ ็ทําอยางนั้น นี่พูดถึงคนที่ชอบไปรดน้ํามนต 7 วัด เอาวัตรนี้แหละวัตรบท ไมใชวดั ที่เปนสถานที่

17.

ระวังวาจา

อีกเรื่องหนึ่งทีส่ ําคัญคือวา ในการอยูรวมกันของครอบครัว ของเพื่อนฝูงอะไรนี่ คนเราพอสนิทกันแลวก็มักจะไมระวังวาจา มักจะลามปามอะไรไป ซึ่งบางทีมันก็ทําใหสะเทือนใจคนอื่น เพราะฉะนั้นก็ตองระมัดระวังอยูเสมอในเรือ่ งกิริยาวาจา ตองระวังอยูเ สมอ ไมใชวาทําอะไรเกินขอบเขต หรือวาลามปามเกินขอบเขตอะไรไป ซึ่งทําใหอีกฝายหนึง่ ไมพอใจหรือเปนที่สะเทือนใจ แตบางทีเขาก็ไมกลาพูด อะไรทํานองนัน้ ก็ตองสุภาพออนโยนอยูเ สมอ ถาเราตองการน้ําผึ้ง เราก็อยาไปเตะรังผึ้ง เตะแลวมันก็เดือดรอนเพราะผึ้งมันก็กระจายออกมา คอยๆ เก็บมันไป คอยๆ ทํามันไปอยางนั้น หรือน้ําผึ้งเพียงหยดเดียวจับแมลงวันหรือจับแมลง

ไดมากกวาน้ําบอระเพ็ดเปนแกวๆ

คนที่จะทําอยางนี้ไดตองเปนคนที่อุปนิสัยดี ความเลอเลิศของอุปนิสัยจะตองเปนคนมีคุณธรรมดี ทีนี้คนที่มีอุปนิสัยดีซึ่งสามารถที่จะควบคุมตนเองไดเทานั้น จึงจะเขาใจผูอื่น แลวก็ยนิ ดีใหอภัยตอผูอื่น ยินดีใหอภัยซึง่ กันและกัน การทําความผิดเปนเรื่องธรรมดาของมนุษย การใหอภัยเปนเรื่องของเทวดา ผูหญิงบางคนฉลาด ผูหญิงที่ฉลาดแลวก็รักลูกรักสามี จะมีวิธีการชวยเหลือลูกและสามีไดอยางแนบเนียน อันนีพ้ ดู ถึงคนฉลาดและมีอุปนิสยั ดี ก็จะสามารถทีจ่ ะชวยคนที่ตนรัก เชนลูกและสามีไดอยางแนบเนียน มีตัวอยางมากมายนะครับ ลองยกตัวอยางใหดูสักเรื่อง เชน ทานที่เคยอานบทละครเรื่องนางสาวิตรี กับพระสัตยวาน เปนพระราชนิพนธของลนเกลารัชกาลที่ 6 พระสัตยวานนี่ไดรับคําทํานายวาจะอายุสั้น คือหลังแตงงานแลว 1 ป ก็จะตองสิ้นพระชนม แตพระนางสาวิตรีกย็ อมแตงงานดวย ทีนกี้ ็เปนจริงอยางนั้น พอแตงงานได 1 ปแลว พระสัตยวานก็สิ้นพระชนม พระยมมารับวิญญาณของพระสัตยวานเอง ธรรมดาก็จะไมมาเอง จะใหลูกนองมา แตนี่มาเอง 25 ชีวิตกับครอบครัว


นางสาวิตรีเศราโศกเสียใจตามไปดวย ในขณะที่พระยมรับวิญญาณไปก็ตามไปดวย วิงวอนใหคนื ชีวิตของพระสัตยวานให พระยมสงสาร อนุญาตใหขอพรได 5 อยาง ยกเวนอยางเดียวคือวา อยาขอชีวิตของพระสัตยวาน นางสาวิตรีขอพรใหพระราชบิดา ของพระสวามีหายตาบอด และไดครองราชยดังเดิม นี่ขอ 1 พระยมก็ให แลวก็มาถึงขอที่ 4 ขอใหไดบุตร 100 พระองคกับพระสัตยวาน พระยมก็ให คราวนี้นางสาวิตรีก็เลยขอชีวิตของพระสัตยวานคืน พระยมวา อาวก็บอกวาไมใหคืน นางสาวิตรีก็บอกวา ถาไมใหทีนี้ขอ 4 จะเปนไปได อยางไร ที่วาขอใหไดบุตร 100 พระองคกับพระสัตยวาน พระยมตองยอมแพ ตองคืนชีวิตให นี่คือความฉลาดรอบคอบและมีนิสัยดี ออนโยน ละเมียดละไมของนางสาวิตรี สมชีวิธรรม

สมชีวิธรรม 1. ศรัทธา ผมไดเกริ่นเอาไวแลววาจะพูดเรื่องธรรมสําหรับผูที่อยูในครอบครัว จะพึงปฏิบัติ เชน สมชีวิธรรม 4 ฆราวาสธรรม 4 อยางนี้เปนตน วันนี้กจ็ ะขอเริ่มเสียเลยวา สมชีวิธรรม แปลวา ธรรมสําหรับผูที่จะมีชีวิตอยูรว มกันโดยความเปนสุข สมชีวะแปลวามีชีวิตอยูรว มกันเพื่อใหเปนสุข ใหเกิดความสุขในการอยูรว มกัน ธรรมนี้แปลวาหลักก็ได หลักสําหรับ ผูที่จะมีชีวิตอยูรว มกัน ใชชีวิตอยูรว มกันใหเปนสุข ประการที่ 1 ทานกลาวถึงศรัทธา สมสัทธา มีศรัทธาเสมอกัน ประการที่ 2 สมสีลา มีศีลเสมอกัน ประการที่ 3 สมจาคา มีการบริจาคมีการเสียสละเสมอกัน ประการที่ 4 สมปญญา มีปญญาเสมอกัน 1. ศรัทธา ทานแสดงอานิสงสของศรัทธาไวมากมาย เชน สทฺธา สาธุปติฏฐิตา ศรัทธาที่ตั้งมั่นแลว ยังประโยชนใหสําเร็จ สาธุ แปลวาดี ศรัทธาที่ตั้งมั่นแลวเปนสิ่งที่ดี หรือวา สทฺธา พนฺธติ ปาเถยฺยํ ศรัทธารวบรวมไวซึ่งเสบียงคือกุศล และในสังสารวัฏนะครับ

26 ชีวิตกับครอบครัว


คือทองเที่ยวอยูในสังสารวัฏเหมือนกับคนเดินทางตองมีเสบียง เดินทาง มันก็คอยอุนใจหรือสบายใจสักหนอย ไปในที่กันดารเรามีเสบียงเอาไวมันก็คอยสบายสักหนอย เวลานี้คนขับรถในกรุงเทพฯ ตองมีของติดรถเอาไว ก็ไมรูจะไปเจออะไร ไมรูจะไปเจอรถติดที่ไหน เมื่อไหร ติดสักเทาไหร มันกําหนดหมายไมได ก็เลยตองมีเสบียงติดรถเอาไวเปนอาหาร เล็กๆ นอยๆ บาง เปนเครื่องดื่มบาง น้ําบาง อยางนี้จะไดอนุ ใจวารถติดก็ไมเปนไร เหมือนกับเรามีน้ํามันรถไวเยอะ ถึงรถจะติดบางก็ไมกลัว แตถามีน้ํามันรถอยูนิดเดียว เข็มมันลงมาเกือบจะหมดแลว เกือบจะต่ําสุดแลว พอรถติดก็เริ่มไมคอยสบายใจ กลัวน้ํามันหมดไมมีเสบียง เพราะเราทองเที่ยวอยูในสังสารวัฏ นี่มันตองมีเสบียง ในที่นี้ทานพูดถึงศรัทธา เพราะศรัทธาจะเปนตัวนําไปสูการกระทําอยางอื่นที่เปนกุศล ศรัทธาที่ถูกตอง สุขา สทฺธา ปตฏฐิตา ศรัทธาที่ตั้งมั่นแลวนําสุขมาให อีกขอหนึ่งวา สทฺธีธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฏฐํ ศรัทธาเปนทรัพยเครื่องปลื้มใจที่ประเสริฐทีส่ ุดของคนบนโลกนี้ อันนี้ก็มาจากคําถามที่มีผูถามพระพุทธเจาวา อะไรเปนทรัพยเครื่องปลื้มใจที่ประเสริฐที่สุด ตอบวา ศรัทธาเปนทรัพยเครื่องปลื้มใจที่ประเสริฐที่สุดของคนบนโลกนี้ คือถามีศรัทธาแลวมันทําได ศรัทธาที่จะทําก็ทําได ทานลองนึกดู ถาไมมีศรัทธาที่จะทํามันทําไมได ไมวาจะทําอะไร อยางพวกอาสาสมัครนี่มาจากศรัทธาทั้งนั้น อาสาสมัครที่จะทํานัน่ ทํานี่ตางๆ ไมวาจะเล็กนอยหรือมากมายแคไหน เมื่อศรัทธาที่จะทําก็ฝาฟนไปได มันก็รูสึกวาไดทําแลวก็ปลื้มใจ ถาไมไดทําก็รูสึกพรองในใจ บางคนรูสึก guilty คือรูสึกผิด ถามวาทําไมจึงรูสึกผิด บอกวาไมไดทําอะไรใหคนที่ควรจะทํา ที่เขาอยากจะทําให แตเขาไมไดทําอะไร เขาก็รูสึกไมสบายใจ คือขาดทรัพยที่ประเสริฐที่สุดของคนไป เขารูสึกอยางนัน้ พอมีความรูส ึกอยางนั้นเขาก็ตองแสวงหาชองทางที่จะทํา ทีนี้ยังมีอีก เชน สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ ศรัทธาเปนเพือ่ น ของคน ทุติยา นี่แปลวาเพื่อน สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ ตามตัวแปลวาเปนที่ 2 ความหมายก็คือเปนเพื่อนของคน แลวไดความเชื่อมั่น เดี๋ยวผมจะพูดในรายละเอียดลงไป อันนี้พดู ถึงความดีของศรัทธา ที่ทานพูดเอาไว ทานสอนเอาไว ที่กลาวมานี้เปนพระพุทธภาษิตทั้งนั้น และก็มีจาก ขุททกนิกายธรรมบท อยูขอเดียว 27 ชีวิตกับครอบครัว


เมื่อทราบคุณคาของศรัทธาอยางนี้แลว ขอตอไปอีกนิดวา ศรัทธานี้จะนําไปสูการเขาไปหา เขาไปหาแลวก็ไปนั่งใกล เพื่อจะฟงธรรม ถาคนในครอบครัวก็เขาไปใกลเพื่อจะไดฟงและยินดีในสิ่งที่อีกคนหนึ่งตองการจะพูด เขาพูดอะไรก็ยินดีจะฟง ไมใชไมยินดีฟง ที่เขาเรียกเอาหูทวนลม ไมยินดีฟง ไมเห็นสิ่งที่เขาพูดเปนสิ่งสําคัญที่จะตองฟง แตยินดีที่จะฟง ฟงแลวก็ตรึกตรอง อันนี้พูดถึงการฟงธรรม ฟงแลวก็ตรึกตรองรูอรรถ รูธรรม รูธรรมนั้นคือหัวขอ รูอรรถนั้นคือความหมาย รูหัวขอรูความหมาย และก็ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม และก็แทงตลอดธรรมดวยปญญา แทงทะลุธรรมดวยปญญา คือเขาใจทะลุปรุโปรงดวยปญญา ทานที่ชอบฟงชอบคนควา อยากจะไปคนตามก็มีอยู ทานผูฟงที่ ชอบคนควา ฟงเสร็จแลวเวลาผมอางอะไรก็มักจะตามไปดูไปคนควา จังกีสูตรในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณณาสก พระไตรปฎกบาลี เลมที่ 13 จังกีพราหมณอยูที่หมูบาน โอปาสาทะ เปนหัวหนา หมูบาน โอปาสาทะ หมูบานหนึ่งไมใชเล็กนะครับ บางทีก็เปนเมืองใหญๆ แลวก็เรียกหมูบานก็มี คือชนบทของอินเดียมันเปนโกศลชนบท เปนรัฐมหาราชมหารัฐเลยทีเดียว ก็เวลานี้พลเมืองไมทราบเทาไหรเปนพันลาน รัฐเดียวรัฐยูพ=ี อุตรประเทศ เมื่อ 20 กวาปกอนนี้มพี ลเมือง 75 ลาน รัฐเดียวมากกวาประเทศไทยทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นหมูบานหรือที่เขาเรียกชนบทหรือนิคมอะไรตางๆ นี่ก็ใหญโตมโหฬาร แตตอนนี้ก็เรียกเปนเมืองๆ เหมือนกัน ก็ไปเฝาพระพุทธเจากัน ขณะที่จะสนทนากันก็มีเด็กหนุม คนหนึ่งอายุแค 16 ป ชื่อ กาปทิกะ จบไตรเวท ทํางานในคัมภีร โลกายัต คือคัมภีรเกี่ยวกับโลก โลกายัต คัมภีรเกี่ยวกับโลก โลกายตศาสตร ศาสตรที่วาดวยเรื่องโลก ภูมิศาสตร ประวัติศาสตร อะไรๆ ที่มันเกีย่ วกับโลกเปนพหูสูตไดฟงมาก ไดสดับมากก็ไดรับ การยกยองวาเปนบัณฑิต เวลาที่พราหมณแกเขาคุยกันกับพระพุทธเจาก็พูดแทรกขึน้ มาเปนระยะๆ พระพุทธเจาก็ตรัสหามวาอยาพูดแทรกขึน้ มา พราหมณแกพราหมณอายุมากกําลังสนทนากับพระองคอยู อยาพูดแทรกขึ้นมา จังกีพราหมณ หัวหนาพราหมณ ซึ่งเปนผูใหญบอกวา พระผูมีพระภาค พระโคดมอยาไดหามกาปทิกะเลย ขอใหกาปทิกะ เด็กหนุมคนนีพ้ ูดเถอะ เขาอายุ 16 ป แตวาจบไตรเวท ทํางานในคัมภีรโลกายัต เปนพหูสูต เปนบัณฑิต เมื่อพราหมณผูใหญพดู อยางนัน้ พระพุทธเจาก็ทรงอนุญาตใหสนทนาได

28 ชีวิตกับครอบครัว


กาปทิกะ มานพเด็กหนุมวัย 16 ก็ทูลถามพระพุทธเจา วา พวกพราหมณทั้งหลายยืนยันสิ่งที่พวกเขาถืออยูวา นี่แหละเ ความจริง อยางอื่นเปนเท็จทั้งหมด ขอนี้พระสมณโคดมเห็นอยางไร ยกตัวอยางเพิม่ เติมนะครับ เชน ถือวามีพราหมณ ถือวาสิง่ ทั้งหลายทั้งปวงพรหมเปนผูสราง ขอนี้พระสมณโคดมเห็นอยางไร พระพุทธเจาตรัสตอบวา พวกพราหมณทุกรุนไดเคยรูเองเห็นเองไหม เรื่องที่เขายืนยันนั้น เขาตอบวาไมไดรูเองเห็นเอง ก็เลาสืบๆ กันมา พูดตอๆ กันมา ถือตอๆ กันมา เชื่อตอๆ กันมา พระพุทธเจาทานก็ตอบวา ถาอยางนั้น เมื่อไมไดรูเองเห็นเอง ตางก็เชื่อตามๆ กันมา ก็เหมือนแถวคนตาบอดที่จูงคนตาบอดเดินตามกันไปเปนแถวๆ มีคนตาบอดคนหนึ่งเปนหัวหนาแลวก็เดินจูงกันไป ลวนแตเปนคนตาบอดทั้งนัน้ แลวจะเห็นอะไร พระพุทธเจาตรัสตอไปวา กาปทิกะ ขอใหพิจารณาดูสิ่ง ทั้ง 5 อยางตอไปนี้ มีผลเปน 2 อยางคือ จริงก็มี ไมจริงก็มี 5 อยางนั้นคือ ศรัทธาความเชื่อ ความพอใจ อนุสวะ การที่ไดฟงตามๆ กันมา อาการปริวิตก การตรึกตามอาการ ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติ ความพอใจ การทนตอการเพงพินจิ ของทิฏฐิ คือวาไดเพงมาแลว ไดพิจารณามาแลววาสิ่งนีจ้ ริง แตมันไมจริงก็มี พระพุทธเจาตรัสวาอยางนี้นะครับ ทีนี้ธรรมทั้ง 5 อยางนี้เคยศรัทธากันมาเคยชอบใจกันมา เคยยอมรับกันมาวาไมจริง แตเปนจริงก็มี เพราะฉะนั้น เมื่อจะรักษาความจริง ก็ยังไมควรตกลงใจโดยสวนเดียววาสิ่งนี้จริงสิ่งนี้เปนเท็จ อยาเพิ่งตกลงใจ เพราะเหตุทไี่ ดเชื่อกันมาไดชอบใจกัน มา ไดฟงกันมา ไดตรึกตามอาการ ไดเพงพินิจมาแลว อยาเพิ่งตกลงใจเขาถามวาดวยเหตุเพียงเทาใด จึงชื่อวาตามรักษาสัจจะ ที่เรียกวาสัจจานุลกั ขณา พระพุทธเจาตรัสตอบวาเทานีแ้ หละ 29 ชีวิตกับครอบครัว


สัจจานุลักขณาคือตามรักษาสัจจะ แปลวาอยาเพิ่งเชื่อ อยาเชื่องาย เขาก็ถามตอไปวา เพียงเทานี้ ก็ยังไมเชื่อวาเปนผูรูสัจจะ อยางไรเรียกวาเปนผูรูสัจจะ พระพุทธเจาตรัสตอบวา เมื่อเขาไปหาบุคคลใดหรือภิกษุใด ใครครวญดูวามีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยูมากนอยเทาใด และชักชวนผูอ ื่นเพื่อประโยชนและความสุขสิ้นกาลนานอยางไร ทานแสดงธรรมใดธรรมนั้นลึกซึ้ง รูไดยาก เห็นตามไดยาก สงบ ประณีต ไมเปนวิสัยของตรรกะหรือคิดเอาไมได แตวาบัณฑิตพอรูได จึงเกิดศรัทธา เมื่อเกิดศรัทธาแลวก็เขาไปหาเขาไปนั่งใกล ไดฟง ธรรมเปนตนตามที่วามาแลว แตยังไมชื่อวา บรรลุสัจจะ อันนี้เปนสัจจานุโพโธ แตวายังไมเปน สัจจานุปตติ ยังไมเปนการบรรลุสัจจะ เขาถามตอไปวา ดวยเหตุเพียงเทาใดจึงไดชื่อวาเปนผูรูสัจจะ พระพุทธเจาก็ตรัสตอบวา การทําใหมาก อบรมใหมากซึง่ สิ่งที่กลาวมานี้แหละชื่อวาเปนการบรรลุสัจจะ สิ่งที่กลาวมานีค้ ืออะไร ก็คือการเขาไปหาเขาไปนั่งใกล ฟงธรรม ตรึกตรองธรรม รูอรรถ รูธรรม ปฏิบัติตามธรรมสมควรแกธรรม แทงตลอดธรรมดวยปญญา และแทงทะลุธรรมดวยปญญา อันนี้แหละเรียกวา การทําใหมาก เจริญใหมาก อบรมใหมากซึง่ สิ่งเหลานั้นจึงชื่อวาบรรลุสัจจะหรือเปนการรูสัจจะ เรียกวาสัจจานุปตติ เขาถามตอไปวาธรรมที่มีอุปการะมากตอการบรรลุสัจจะนั้นคืออะไร อะไรเปนสิ่งทีม่ ีอุปการะมากตอการบรรลุสัจจะ พระพุทธเจาตรัสตอบวา ธรรมที่มีอุปการะมากตอการบรรลุสัจจะก็คือ ความเพียร เขาก็ถามไปทีละตอนๆ ทีละขอๆ เรื่อยไป ถามเรื่อยไป ทีนี้ก็สรุปลงมาวา ตรัสตอบอยางนี้วา ธรรมที่มีอุปการะมากตอความเพียรคือปญญา ธรรมที่มีอุปการะมากตอปญญาคืออุตสาหะ ก็ไลเรื่อยไปนะครับ ฉันทะการเพงพินจิ ความใครครวญ ความทรงจําธรรม การฟงธรรม การเงี่ยโสตลงฟงธรรม การเขาไปนั่งใกล การเขาไปหา และก็ศรัทธา ทีนี้ก็ไลเรื่อยขึน้ มาจากขางลางก็คือศรัทธา และก็เขาไปหา เขาไปนั่งใกล และก็เงีย่ โสตลงฟงคือตั้งใจฟง และก็การฟง ความทรงจําธรรม

30 ชีวิตกับครอบครัว


ปญญาเปนเครื่องใครครวญธรรม การเพงพินิจธรรม ฉันทะอุตสาหะปญญา และก็ความเพียร ไลเรื่อยขึ้นไป นี่คือสิ่งที่มีอุปการะมากตอการบรรลุสัจจะเพื่อใหบรรลุสัจจะ กาปทิกะ มานพเด็กหนุมไดชมเชยพระพุทธเจาวา ทรงตอบคําถามไดหมดจด เปนที่พอใจ เมื่อกอนนี้เคยนึกดูหมิ่นพระสมณศากยบุตร แตบัดนี้ไดทรงทําใหเลื่อมใสศรัทธา เกิดความรักในพระศากยบุตร ขอแสดงตนเปนอุบาสก นี่เลาเรื่องประกอบใหฟงวามันมีความเปนมาอยางไร เกี่ยวกับเรื่องศรัทธาวามีศรัทธาแลวทําใหเกิดอะไรขึ้น ไปจนถึงไดปญญาไดบรรลุสัจจะ เขาถึงสัจจะก็สืบเนื่องมาจากศรัทธา และตองไมเชื่องาย ตองไตรตรองเพงพินิจ ตองพยายามทีจ่ ะหาขอบกพรองตางๆ แลวทําศรัทธานั้นใหเปนเมล็ดพืช สําหรับที่จะปลูกฝงคุณธรรมตางๆ ตามพระพุทธพจนทวี่ า สทฺธา พีชํ ตโป วุฏฐิ ศรัทธาเปนเหมือนพืช ตบะเปนเหมือนฝน ศรัทธาเปนเหมือนเมล็ดพืช ปลูกลงไปในเรื่องอะไร มันงอกงามในเรื่องอะไร ก็ในเรือ่ งกรรม ใหเชื่อในเรื่องกรรม กรรมดีกรรมชั่วมีอยู และวิปากสัทธา เชื่อลงไปวาผลของกรรมดีกรรมชั่วมีอยู และกัมมัสสกตาสัทธา เชื่อลงไปวาสัตวทั้งหลายมีกรรมเปนของของตน ใครทําดีกไ็ ดรับผลดี ใครทําชั่วก็ไดรับผลชั่วและก็ปลูกลงไปในตถาคตโพธิสัทธา ในพระปญญาตรัสรูของพระพุทธเจา เดิมทีเดียวก็มแี ตศรัทธาขอสุดทายนี่นะครับ มีแตตถาคต- โพธิสัทธา เชื่อในพระปญญาตรัสรูของพระตถาคต ในพระบาลีทุกแหง คําวาพระบาลีหมายถึงในพระไตรปฎก ในพระพุทธพจน ทุกแหงที่กลาวถึงศรัทธา ก็จะพูดถึง ตถาคโพธิสัทธา คือเชื่อในพระปญญา พระตรัสรูของพระตถาคต ตอมาไดมีการขยายความออกไปเปนเรื่องกรรม เปนเรื่องผลของกรรม และก็เรื่องกัมมัสสกตา สัตวทั้งหลายมีกรรมเปนของของตน เพราะวาพระพุทธเจาทรงเปนกรรมวาที คือตรัสเรื่องกรรมเปนกรรมวาที ทีนี้ถาคนเราเชือ่ ลงไปในเรื่องกรรมไดสักอยางหนึ่ง ผลของกรรมอีกสักอยางหนึ่ง ความที่สัตวทงั้ หลายมีกรรมเปนของของตนอีกสักอยางหนึ่ง โดยที่วามีพื้นฐานอยูที่เชื่อในเรื่องพระปญญาตรัสรูของพระพุทธเจา ปญหาตางๆ ก็จะลดลงเยอะเพราะวาคนก็จะกลัว กลัวที่จะทําความชัว่ ทําความผิด แลวก็กลาที่จะทําความถูกทําความดี 31 ชีวิตกับครอบครัว


ผมขอสรุปเรื่องของศรัทธา ดังตอไปนี้ การเชื่องายทําใหครอบครัวแตกแยกกันไปมากแลว ทั้งผูห ญิง ทั้งผูชาย ทั้งพอ ทั้งแม ทั้งลูก ที่อยูกันในครอบครัว อยาเปนคนหูเบา ถาหูเบาแลวคนนัน้ กระซิบทีคนนี้กระซิบที คนโนนกระซิบที ไปขางนอกก็ไดยินมาอยางหนึ่ง อยางนี้ราวและก็แตกแยกกันมาก มีเรื่องอะไรก็ตองถามเขากอน ไดยนิ ขาวอะไรไมวา ทางสามีหรือภรรยาตองถามเขากอนวาไดยนิ มาอยางนี้ เรื่องจริงเปนอยางไร ศรัทธาและใหมีความเชื่อมั่น ถาเขาเปนคนดี หมายความวา คนในครอบครัวของเราเปนคนดี ก็ใหมีความเชือ่ มั่นในตัวเขา ใหเกียรติ มีการประพฤติหรือมีการกระทําอยางใหเกียรติ อยางที่พูดใหฟงวา สิ่งที่ไดฟงมา สิ่งที่เชื่อมา สิ่งที่ชอบใจกันมา สิ่งที่ตรึกตามอาการวานาจะเปนไปได สิ่งที่ทนตอความเพง ที่วาจริงไมจริงก็มี ทีค่ ิดวาจริงไมจริงก็มี ที่เชื่อวาจริงไมจริงก็มี ที่ฟงมาวาจริงไมจริงก็มี ที่ฟงมาวาไมจริง เชื่อมาวาไมจริง เรื่องนี้ไมจริง จริงก็มี เพราะฉะนั้น พระพุทธเจาจึงตรัสวา สทฺธา สาธุ ปติฏฐิตา ศรัทธาตั้งมั่นแลวยังประโยชนใหสําเร็จ แตตองเปนศรัทธาที่ถูกตอง เปนศรัทธาที่เปนสัทธาญาณสัมปยุตต คือประกอบดวยญาณ ประกอบดวยความรู ถาศรัทธาไมถูกตองก็พาไปลงเหวหมด ตัวอยางที่เห็นงายๆ เชน มีศรัทธาหรือมีความเห็นไมเสมอกัน ศรัทธาคนละวัดคนละศาสนา คนละศาสนานี่ก็ศรัทธาคนละอยาง มันก็ลําบากเหมือนกัน คนละศาสนากันแตอยูใ นครอบครัวเดียวกัน มันก็ลําบากเหมือนกัน แตบางคนเขาก็ทําได คือประนีประนอมได เรียกวาสงวนจุดตางๆ เอาไว รวมกันในสิ่งที่จะรวมกันได ไมตองรวมกันในสิ่งที่รวมกันไมได อยางนี้ตองเรียกวาเปนคนที่จิตวิทยาสูงหนอย อันนี้เกีย่ วกับเรื่องศรัทธา เมื่อไดปลูกศรัทธาลงไปในเรื่องกรรมเรื่องผลของกรรม เรื่องความที่สัตวทั้งหลายมีกรรมเปนของของตนเปนอยางนี้แลวนะครับ อะไรเปนเครื่องรดตนไม หรือรดเมล็ดพืชใหเจริญเติบโต ทานก็แสดงตอบมาเรื่อง ตโป วุฏٛ ิ ตบะเปนเหมือนฝน ตบะในทีน่ ี้หมายถึงความเพียรเครื่องเผาบาป ก็คือ อินทรียสังวร ความสํารวมอินทรีย สํารวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความสํารวมนีถ่ าเผื่อวาในครอบครัวใด คนใดหรือประเทศใดที่ชักจูงประชาชนมาใหสาํ รวมอินทรีย ใหระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมเปนทาสของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะชวยปญหาเศรษฐกิจในครอบครัวไดเยอะ บางทีครอบครัวพินาศไปก็เพราะพอบานแมเรือน โดยเฉพาะพอบานไปเปนทาสของตาบาง หูบาง จมูกบาง ลิ้นบาง 32 ชีวิตกับครอบครัว


บางทีเพียงเปนทาสของลิ้นอยางเดียว มันก็พาครอบครัวไปพินาศแลว ไปกินเหลาเมายา เที่ยวเสเพลสนองความตองการทางตา ทางลิ้น ทางหู ดูหนัง ฟงเพลง เที่ยวกลางคืน เสพอบายมุขทุกอยาง มันก็อยูทกี่ ารขาดสํารวมอินทรียนั่นแหละคือไปเปนทาส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือมีแลวฝกมันไมได มีอินทรีย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แลวฝกมันไมได เพราะวาไปเปนทาสของมัน พอไปเปนทาสของมันแลว มันก็ใชเราเปนทาส ใชอยางทาส เศรษฐกิจในครอบครัวก็พังพินาศไป เมื่อเศรษฐกิจพังพินาศไปหลายๆ ครอบครัว ก็เปนหมูบาน เปนตําบล มันก็พังกันไปหมด ผมขอสรุปสั้นๆ ในเรื่องของศรัทธาคือ อยาเชื่องาย แลวผมพูดมาถึงเรื่องที่วาเอาตบะหรืออินทรียสังวร นั่นแหละเอาไปเปนน้ํารดตนไม รดพืชคือศรัทธา เปนเหมือนพืชก็เอาตบะเปนฝน นี่เปนพระพุทธพจนทตี่ รัสเอาไว ในสํารวมอินทรียท ี่ผมเคยพูดเอาไววา มันชวยปญหาเศรษฐกิจ มีการกินอยูแตพอดี คนสํารวมอินทรีย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สํารวมระวังอินทรีย ก็จะกินอยูแตพอดี ถาไมสํารวมมันก็จะอยูเกิน กินเกิน สนองความตองการทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางลิ้นอยางเดียวนีก่ ็แยแลว ทางกายแลวก็ทางใจ มันไปจากใจกอนก็คอื ใจ มันอยาก พอถามวาจําเปนมั้ย ก็ไมจําเปน ถามวาสมควรมั้ยก็ไมสมควร สมมุติคําตอบมันออกมาวาจําเปน แลวถามตอไปวา สมควรมั้ย ตอบวา สมควรก็เอา ถามีคําตอบวาไมสมควร ก็หยุดยั้งไปได คือวาเบรกไวได มันไมจําเปนและไมสมควร คําถามเหลานี้ คําตอบเหลานี้ มันจะชวยปญหาเศรษฐกิจไดเยอะเลย บางคนนี่ของถูกของลดราคา ก็ซื้อกันใหญเลย มันอยากได ถามวาจําเปนไหม ก็ไมจําเปน เห็นวาเปนของลดราคาก็เลยซื้อมาไวใหญเลย เสร็จแลวก็กลายเปนซือ้ ของแพง ทําไมถึงวากลายเปนซื้อของแพง เพราะวามันไมจําเปน พอเห็นวามันเปนของถูก ใจมันก็อยากไดก็ไปซื้อมาไมไดใช บางทีก็เกาเก็บจนใชไมไดตามที่ตอ งการจะใช มันก็กลายเปนของแพงสูญเปลา เพราะฉะนั้น ถาจําเปนเทาไหรเทากัน ถาไมจําเปนถูกก็ไมซื้อ นี่เห็นไหมคือการรูจักบังคับตัวเอง เอาอินทรีย-สังวรไปรดเมล็ดพืชคือศรัทธา และเราก็สามารถจะควบคุมอะไรตออะไรได การใชจายอะไรตางๆ ในบาน ในครัวเรือน มันควบคุม ไดหมด แลวก็ไมมีความลําบากเรื่องเศรษฐกิจ แมวาในสมัยไอเอ็มเอฟ ที่บางคนหรือบางพวกลําบากกัน คนประเภทนั้นจะไมลําบาก เพราะวาเขาเตรียมตัวพรอมเอาไวไมเคยอยากไดอะไรนอกจากจําเปน เขาแสดงอะไรตออะไรกันก็ไมตองไปดู มันมีอยูแลวในตลาด ในหางสรรพสินคา มันมีเยอะแยะไปหมดเลย จะไปดูวนั ไหนก็ได แตพอเขามีอะไรแสดงที่ไหนก็ไปดูกันเหลือเกินไปดูกันมาก เสร็จแลวก็ไปดูกันแลวไมซอื้ ก็ไมได มันยัว่ ยวนเหลือเกิน ยั่วยวนใจตองซื้อติดไมติดมือพะรุงพะรังมา

33 ชีวิตกับครอบครัว


มันเสียไปโดยที่ไมจําเปนตองเสีย เพราะวาเราไมควบคุมอินทรีย ไมสํารวมอินทรีย ไมเอาตบะมาเปนฝนสําหรับที่จะรดน้ํา เมล็ดพืชคือศรัทธาใหดี เพราะฉะนั้น ความสํารวมอินทรียจึงเปนไปเพื่อการ ชวยเหลือในเรื่องเศรษฐกิจ ชวยเหลือสังคม ผมเรียนมาหลายครั้งแลววา ครอบครัวมันเปนรากฐานสังคม ถาครอบครัวดี สังคมก็ดี ทุกครอบครัวพออยูพอกิน พออยูพอใช สังคมมันก็ไมเดือดรอน จิตใจมันก็มีความสงบสุข พอสงบสุขมันก็ไมอยากไดอะไร อยากเปนอะไร จะเปนอะไรก็เปนเทาที่จะเปน ไดอะไรมาก็ควรจะไดตามที่จะได ไมดิ้นรน จิตใจมันก็ดี ก็เปนไปเพื่อการพัฒนาคุณธรรม คุณธรรมของคนก็จะดีขึ้น นี่เรื่องศรัทธา เรื่องเดียวพูดไปสักเทาไหรกพ็ ูดได มันมีอะไรยืดโยงเยอะแยะไปหมดเลย

สมชีวิธรรม 2. สมสีลา ตอมาก็เรื่องศีล เรื่องศีลสมสีลา มีศีลเสมอกัน ถามีศรัทธาเสมอกันอยางหนึ่งแลว ก็มีศีลเสมอกันไดงายขึ้น ศีลคือระบบความประพฤติตางๆ พอนึกถึงศีลก็อยาไปนึกถึงศีลหาเพียงอยางเดียว ตองนึกถึงระบบความประพฤติตางๆ ถานึกถึงศีลหาเพียงอยางเดียว คุณแมบานแมเรือนหรือพอบานพอเรือนวา เอ...เราก็อยูในศีลหานี่นา ทําไมจึงเดือดรอนทั้งลูกทั้งพอทั้งแม มันเกี่ยวกับระบบความประพฤติมันไมดี ไมถูกตอง ความประพฤติ ศีลที่เปนหลัก อยางเชน ศีลหา ศีลแปด อะไรที่เปนหลักอยูควบคุมอยู มีศีลอีกประเภทหนึ่ง เขาเรียกอภิสมาจาร อภิสมาจาริกศีล อันนี้แหละคือระบบของความประพฤติที่ดีงาม บางทีศีลหาไมผิดหรอก แตวาไปพูดกระทบกระทั่งกัน ไปพูดเสียดสีกัน ไปพูดอะไรใหมันไมสุภาพ พูดคําหยาบตอกัน พูดเพอเจอตอกัน อะไรที่ไมควรพูดก็เก็บมาพูดอะไรอยางนีม้ ันก็คอยๆ สะสมมากขึ้นทุกวันๆ แลวมันก็สรางปญหาขึ้นมาเพราะคําพูดเพียงคําเดียว บางทีคําพูดเพียงคําเดียวไมไดผิดศีลหาหรอก ไมไดพดู เท็จหรอก แตมันพูดสอเสียด พูดคําหยาบที่เขาฟงไมได อันนี้กเ็ ปนพวกอภิสมาจาร แปลวาสมบัติผูดี ศีลที่เปนสมบัติผูดีอันนี้แหละตัวสําคัญ เพราะฉะนั้น ศีลเปนระบบความประพฤติ คนที่อยูในครอบครัวเดียวกัน คนที่เกี่ยวของติดตอกันตองระวัง

34 ชีวิตกับครอบครัว


เมื่อกอนนี้เขามีสมบัติผูดีสําหรับใหนักเรียนเรียน เดี๋ยวนีท้ ราบวาไมไดเรียนแลว เสขียวัตรของพระพุทธเจานัน่ แหละคือ ศีลในสวนทีเ่ ปนอภิสมาจารของพระพุทธเจา มีเยอะแยะหารอยหกรอยขอ มีวัตรตางๆ ขอปฏิบัติตางๆ ที่บุคคลแตละประเภทควรจะติดตอเกี่ยวของกัน ควรจะทําตอกัน อันนี้แหละ อภิสมาจาร อภิสมาจาริกศีลอันนี้แหละซึ่งชาวบานตองการความสงบสุขในครอบครัว ในสังคม ในที่ทํางาน ควรจะนําเอามาใช ก็ดูส.ิ ..ศีลในวัดในวาตั้งเทาไหร แมชีกศ็ ีล 8 ในวัดในวาในสํานักชีมนั สงบดีอยูหรือ หรือวาไมมีปญ  หาอะไร บางทีก็ลืมนึกถึงอภิสมาจารไป ถามีสิ่งเหลานี้อยูมันจะชวยไดมากเลย เปนคนที่นิ่งเปน ไมจําเปนก็ไมพดู เวลามีความโกรธขึ้นมาก็นิ่งเปน ถาเวลาโกรธขึ้นมาก็พูดๆ เอาละคราวนี้ละเกิดสงครามวาจาขึ้น ทั้งลูก ทัง้ พอ ทั้งแม ทั้งอะไรก็ทะเลาะวิวาทกันแตกราวกันไป นี่ก็อภิสมาจาริกศีล อาชีวปาริสุทธิศีล นี่ก็สําคัญ อาชีพตองบริสุทธิ์สะอาด หรือมีอาชีพที่สุจริต อีกคนหนึ่งประกอบอาชีพสุจริต อีกคนหนึง่ ประกอบอาชีพทุจริต สองคนผัวเมียจะอยูก ันไดอยางไร มีศีลไมเสมอกัน มันก็รังเกียจกันดวยอาชีพ จะอยูก ันไดอยางไร จะตองมีสมสีลา เลานิทานใหฟงสักเรื่องหนึ่งก็ได คนที่มีศีล ศีลดีจนแก ศีลทําใหไดสิ่งที่ควรได เรื่องอาจารยตองการจะทดลองลูกศิษย อาจารยทิศาปาโมกข ตองการจะทดลองลูกศิษยก็เลยบอกลูกศิษยวา เรียนจบกันแลวจะยกลูกสาวให แตทุกคนตองไปขโมยของมาจากบาน คือใครขโมยของที่ลูกสาวชอบที่สุดเอามาได คนนั้นจะไดแตงงานกับลูกสาว ลูกศิษยทั้งหลายตางก็อยากจะไดแตงงานกับลูกสาวอาจารย ก็กลับไปบานไปขโมยของพอแมบาง ญาติพี่นองบาง ที่ตัวนึกวาลูกสาวอาจารยจะชอบที่สุด จะไดแตงงานดวย ก็ขโมยกันมาคนละอยางสองอยาง มีลูกศิษยคนหนึ่งกลับมามือเปลา อาจารยกถ็ าม อาว...ทําไมกลับมามือเปลาละ จะไดแตงงานไดอยางไร แกบอกอาจารยครับ ผมตั้งทาหลายหนแลวทําไมได ใจมันไมยอม มันบอกวาทําไมได มันเปนความผิดขโมยไมได ถึงผมอยากจะไดลูกสาวอาจารยก็จริง แตกท็ ําไมได ไมไดอะไรมาเลย อาจารยวนิ ิจฉัยวา เอาละ...ลูกศิษยคนนี้แหละสมควร จะแตงงานกับลูกสาว เห็นไหมครับ อีกคนหนึ่งพาซื่อไปขโมยของเขามาไดทคี่ ิดวาดีที่สุด เจาสาวเขาจะชอบใจที่สุด เปนเพชรนิลจินดาเปนแหวนอะไรก็แลวแต เสื้อผาอาภรณสวยๆ อีกคนหนึ่งทําไมได อันนี้แหละอาจารยตองการจะไดลูกเขยที่มศี ีลเปนที่ไววางใจได มอบลูกสาวไวได และลองนึกดูวา บางคนขโมยแมแตของเมีย ของลูกก็ขโมย ของคนใชก็ขโมย พอหนักเขาเปนเพราะวาใจมันไปบาการพนัน

35 ชีวิตกับครอบครัว


ไปบาอบายมุขของอยางนี้มันอยูที่ใจ ควบคุมใจไดอยางเดียว มันก็ควบคุมไดหมด เรื่องศีลเรื่องธรรมอยางเดียวนี้ควบคุมใจได มันก็ควบคุมไดหมด มีราชปุโรหิตอีกคนหนึ่ง ตองการจะทดลองศีลเหมือนกัน อันนี้มาจาก สีลวิมังสกชาดก ตองการจะทดลองศีลเหมือนกัน ถึงเวลาก็ไปเดินผานกองเงินกษาปณหลวง พอเดินผานมาวันหนึ่งก็หยิบมาอันหนึง่ รุงขึ้นพอเดินผานก็หยิบมาเสียอันหนึ่ง คนเฝาทรัพยเห็นวาคนนี้เปนราชปุโรหิต สั่งสอนธรรมแกพระราชา หยิบเงินของหลวงไปเรื่อยวันละเล็กวันละนอย ก็เกรงใจไมกลาพูดอะไร วันหนึ่งเหลือทนก็เลยจับไปถวายพระราชา บอกราช-ปุโรหิตขโมยทรัพยมาหลายวันแลว แตราชปุโรหิตทานก็กราบทูลพระราชาวา ทานไมไดตั้งใจจะขโมยทรัพย แตทานตองการจะทดลองวาที่เขานับถือเรานี่เพราะอะไร เพราะวาเรามีคุณงามความดี หรือเพราะเราเปนราชปุโรหิต ตกลงทานก็พิสูจนทดสอบไดวา เพราะคุณงามความดีของทานเขาจึงนับถือ ทานก็เลยตองการจะทําคุณงามความดีใหยงิ่ ๆ ขึ้นไป ทานขอลาออกจากราชปุโรหิต ไปบําเพ็ญเพียรในปา คืนหนึ่งทานเดินออกมาจากบานของทาน ไปเจอนกตัวหนึ่งไดเนื้อมาชิน้ หนึ่ง นกตัวอื่นก็ตามจิกตามตี เพราะตองการจะแยงเนื้อ พอนกตัวไหนไดเนื้อก็ถูกตี มีนกตัวอื่นมารุมตีเพื่อจะเอาชิน้ เนื้อ ตัวไหนปลอยเนื้อเสียก็สบายไมถูกตี ทานก็สลดใจวา คนมีลาภมีสิ่งของก็ถูกแยงถูกชิงถูกตี และก็ไมมีอะไร ของเหลานี้เปนอันตราย อยางนี้เปนตนนะครับ ซึ่งก็เลาไวแคนกี้ ็พอแลวเพื่อจะเสริม ที่จริงมีเรื่องตอไปอีกก็มี แตวาเลาไวเชนนี้เพื่อจะเสริมวา ศีลทําใหเปนที่ไววางใจซึ่งกันและกัน แมราชปุโรหิต แตวาพอไปลวงศีล ประพฤติผิดศีล พอมากๆ เขาเขาก็ไมยอมแลว อยางนีใ้ หเปนที่ไววางใจกัน เปนคนที่ไววางใจได คนที่คบหาสมาคมกันอยูด วยกันก็ตองทําตนใหเปนที่ไววางใจไดดวยอาศัยศีล อาศัยธรรม แลวถายิ่งมีศีลเสมอกัน สีลสามัญญตาก็ยิ่งดีขนึ้ ทําใหเปนคนที่สามัคคีกันไดสะดวกขึน้ พูดถึงเรื่องศีล เด็กของเราเวลานี้ เด็กหนุมเด็กสาวบางทีไมคอยจะเห็นความสําคัญของเรื่องพวกนี้ ทั้งอาทิพรหม-จรรยคือศีลที่เปนหลัก รวมทั้งอภิสมาจาร ก็เลยสรางความเดือดรอนใหกับตัวเองและสังคมมิใชนอ ย คือไมถือเปนสําคัญ โบราณทานก็สอนอะไรไว ยกตัวอยางเชน 36 ชีวิตกับครอบครัว


มีเด็กผูหญิงวัยรุนบางคน ประพฤติตนแบบผูชาย สูบบุหรี่ กินเหลา เทีย่ วกลางคืน นิยมรักใครในเพศเดียวกัน พยายามทําตัวเปนชายมากขึน้ ก็ไปเที่ยวกินเหลากับผูชายหลายคน จนถึงทาแขงขันกันในการดืม่ เหลา เมื่อดืม่ จนเมา ก็ถูกชายหลายคนกลุมนั้นขมขืน หรือรวมเพศ ภายหลังก็ตั้งครรภขึ้น ก็ไมมผี ูชายคนใดรับวาเด็กเปนลูกเขา หญิงคนนัน้ ตองไดรับความทุกขทรมานไปเปนอันมาก นี่ก็เปนเพราะวาไมคํานึงถึงศีลของเด็ก ทําใหดไู มงามแลวก็เดือดรอน พอเดือดรอนเรื่องพวกนี้มนั ก็จะเดือดรอนไปงาย เขามีศีลไวสําหรับเด็ก พรหมจารีอาศรม พวกพราหมณ นี่เขามีอาศรมสี่ ในวัยเด็กก็ตองประพฤติพรหมจรรย ถาถึงคราวจะมีเหยามีเรือนก็มีไป ถาจะมีไมมีกแ็ ลวไป แตพอไมคํานึงถึงเรื่องศีลทั้งในดานศีลที่เปนหลัก และศีลที่เปนความประพฤติขึ้นมามันก็กอความเดือดรอนเสียหาย

สมชีวิธรรม 3. สมจาคา หัวขอที่ 3 คือ สมจาคา มีความบริจาค มีการเสียสละเสมอกัน อยูในครอบครัวเดียวกัน คนหนึ่งตระหนี่เหนียวแนนมาก อีกคนหนึ่งมีนิสัยในความเสียสละมาก มันก็ไปกันไมได คนหนึ่งเสียดาย อีกคนหนึ่งก็ทําไปเรื่อย เสียสละไปเรื่อย หรือบางทีก็เสียสละอยูข างเดียว แตอีกคนไมเสียสละเลย ก็ไมชอบธรรม ไมยุติธรรม เกิดปญหาทางใจขึน้ หรือวาสละออกไปขางนอกทําบุญสุนทาน ชวยเหลือเด็กยากจนคนพิการอะไรก็แลวแต ถาอีกคนหนึ่งทําไปๆ อีกคนหนึ่งก็ไมสบายใจตลอดเวลา ที่อีกคนหนึ่งทําอยู ก็มีความเดือดรอนอยูขางใน ภายในไมสงบสุข เพราะฉะนั้นถาปรับได ก็ปรับ ใหมีจิตใจในความเสียสละเสมอกัน ก็อยูกนั ไดเปนสุขสบาย จาคะความเสียสละจนถึงสละสิ่งที่ไมดีตางๆ ที่มีอยู นิสัยไมดี อะไรที่รวู ามันไมดี ก็กาํ จัดออกไป อันนี้ก็เปนจาคะเหมือนกัน สมจาคา มีจาคะเสมอกัน มีการเสียสละเสมอกัน

37 ชีวิตกับครอบครัว


การเสียสละมันเริ่มตนในครอบครัวอยางนี้ แลวก็แผขยายออกไปถึงวงศาคณาญาติ ตลอดถึงเพื่อนรวมสังคมเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ประเทศเดียวกัน แลวก็โลกเดียวกัน เราก็เห็นกันอยูวามีการสละทรัพยสินชวยเหลือกันในระดับชาติ ในระหวางชาติบางก็มีอยู พอมีภัยอันตรายตางๆ ในสังคมอะไรพอชวยกันไดก็ชวยกันไป นีก่ ็เรียกวาความเสียสละเสมอกัน คนเสียสละมากๆ เสียสละอะไรไดทุกอยาง นี่ก็หายากนะครับ ในสุภาษิตที่วา ในรอยคนหาผูกลาไดหนึ่งคน ในพันคนหาคนเปนบัณฑิตไดหนึ่งคน ในแสนคนหาคนพูดจริงทุกอยางไดหนึ่งคน ก็คนที่เสียสละไดทุกอยาง จะมีหรือไมมีก็ไมรู

สมชีวิธรรม 4. สมปญญา มาถึงเรื่องปญญา มีปญญาเสมอกัน มีความรอบรูคลายๆ กัน อันนี้หมายถึงคนที่ครองเรือนอยูในครอบครัวเดียวกัน ถา วามีสติปญญาอยูในระดับเดียวกัน ไมมีมานะเขาหากัน และพยายามควบคุมปญญาใหอยูในสัมมาปญญา ซึ่งเปนปญญาชอบ มันคุยกันรูเรื่อง สงลูกรับลูกกันได แตถาปญญาหางกันมาก คนหนึ่งพูดอะไร อีกคนหนึ่งก็ไมรูเรื่อง อีกคนหนึ่งทําอะไรดวยสติปญญาของตัว แตอีกคนหนึ่งก็แย เพราะวาปญญามันไมพอกัน คือบางทีเขาก็ทําไปดวยความหวังดี แตวาเขาเปนคนโง ทีนี้ความหวังดีของคนโงมันก็เปนสิ่งที่นา กลัวเหมือนกัน เขาทําไปดวยความหวังดี แตเขาไมมีปญญาพอที่จะทํา เขาก็ทําไปดวยความโง มันทําใหเสียไดเหมือนกัน เพราะฉะนัน้ คนโงหวังดีก็ตองระวังเหมือนกัน สามี ภรรยา ลูกหลาน อยูด วยกันในบาน ก็ทําดวยความหวังดี แตความคิดเขาไมพอ ความคิดเขาไมถึง แลวก็สิ่งที่คนหนึ่งคิดดวยสติปญญาที่สูงมาก ละเอียดลออสุขุมมาก แตอีกคนหนึ่งตามไมทัน ตามความคิดไมทนั มันก็ขัดใจกันบอยๆ เพราะฉะนั้น ถาสามารถจะปรับไดใหมีสมปญญา ใหมปี ญญาใกลเคียงกัน และไมมีทิฐิมานะเขาหากันอยางนี้กจ็ ะสําเร็จประโยชนไดมาก ถึงจะไมใชสติปญญาในทางเดียวกัน ไป 38 ชีวิตกับครอบครัว


คนละทางก็ได คนหนึ่งมีสติปญญาทางหนึง่ อีกคนมีสติปญญาไปอีกทางหนึ่ง แตก็มสี ติปญญาที่ใกลเคียงกัน ก็คุยกันรูเรื่อง คนที่คุยกันรูเรือ่ งนี่จะคุยสนุกและคนทีจ่ ะสนิทสนมกันไดมากจะตองเปนคนที่มีอุปนิสัยคลายๆ กัน

ฆราวาสธรรม 1. สัจจะ ตอไปผมจะขอพูดเรื่อง ฆราวาสธรรม คือธรรมสําหรับฆราวาส ฆราวาสก็คือผูครองเรือน บางทีเรียกวา คฤหัสถผูครองเรือน ก็จะตองมีธรรมของผูครองเรือน และเปนธรรมะสําหรับครอบครัวที่ทุกคนจะตองมี คนทีอ่ ยูในครอบครัวทุกคนจะตองมีหลักธรรมเหลานี้ ธรรมสําหรับฆราวาสที่พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมไวนนั้ จุดประสงคก็เพื่อยกระดับฆราวาสใหเปนฆราวาสที่ดี ไมใชฆราวาสทีเ่ ปนปุถุชนรอยเปอรเซ็นต แตตองการใหเปนฆราวาสจนถึงขั้นที่เรียกวา อริยฆราวาส เปนฆราวาสที่เปนอริยะ แลวก็สามารถจะเปนไดอยูไดถึงอนาคามี เปนอริยะถึงขัน้ อนาคามี หรือพระอริยบุคคลในระดับที่ 3 เกือบจะเปนพระอรหันตอยูแ ลวสามารถจะอยูครองฆราวาสไดตลอดชีวิต แลวก็ครองฆราวาสไดอยางดี มีชีวิตฆราวาสไดอยางดี มีตัวอยางในสมัยพุทธกาลมากมาย ที่ทานเหลานั้นใชชวี ิตแบบฆราวาส และก็สามารถจะบรรลุธรรมไดจนถึงพระอนาคามี เชน จิตตคหบดี เปนพระอนาคามี ที่อยูครองเรือน ฆราวาสธรรมมี 4 หัวขอ ตอไปนี้ ขอที่ 1 คือ สัจจะ หมายถึงความจริง จริงทางกายบาง จริงทางวาจาบาง จริงทางใจบางที่ไมเปนโทษ ดํารงมั่นอยูในความจริงที่รูจกั ดวยปญญา สัจจะ มี 2 อยาง ดังนี้ 1. สัจจานุรักษ คือการรักษาสัจจะ อะไรที่เปนสัจจะก็รกั ษาสิ่งนั้นเอาไว

39 ชีวิตกับครอบครัว


2. สัจจาภินเิ วส คือรักษาดวยอุปาทาน ยึดถือดวยอุปาทานวาสิ่งนี้จริง สิ่งอื่นไมจริง รักษาสัจจะอยางงมงาย เคยถือกันมาอยางไร ก็ถือกันไปอยางนั้น โดยไมคํานึงถึงเหตุการณ เหตุผลความเปนจริงที่เปนปจจุบนั นั่นเรียกวา สัจจาภินเิ วส เปน doctrine magicism ไมใช protection of the truth ไมใชการรักษาสัจจะแตเปน doctrine magicism เปนการถือกันตามปรัมปราประเพณี คือสัจจะแบบนั้นมันไมไดทดสอบไมไดพิสูจนความจริง อยางนี้เรียกวา สัจจาภินเิ วส แตวาสัจจานุรกั ษ นั้นตองไดเห็นเหตุผล เปนความจริงที่มเี หตุผลทดสอบได และทานผูที่จะรักษาสัจจะ ตองเปนสัจจะตามพระวังคีสะ พุทธสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจาที่ไดกลาวไวตอหนาพระพักตร ของพระผูมีพระภาคเจาวา สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฐิตา สัตบุรุษทั้งหลายดํารงมั่นอยูในสัจจะที่เปนประโยชนและเปนธรรม อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฐิตา แปลวาเปนประโยชนธรรมะ นั่นคือเปนธรรม ดํารงอยูในสัจจะที่เปนประโยชน และเปนธรรมคือยุติธรรม แตถาเปนสัจจะที่ไมเปนประโยชนและก็ไมยุติธรรมก็ไมเอา ตองเปนประโยชนและเปนธรรมหรือยุติธรรม ความจริงบางอยางมันไมเปนประโยชนกบั ใคร พูดไปก็เทานั้น และไมยุติธรรม ก็ไมเอา ไมพูด มันตั้งอยูในสัจจะอยางนั้น ไมเปนประโยชนแลวก็ไมเปนธรรม ขอใหจําเอาไววา ขอใหเราประพฤติอยูในสัจจะ และตองเปนสัจจะที่เปนประโยชนและเปนธรรม จริงทางกาย จริงทางกายนัน้ ก็คือ ประพฤติสิ่งใดก็ประพฤติใหไดจริง ทําอะไรในทางที่ถูกที่ชอบ ทําใหไดจริง ไมเหลาะแหละโลเล ไมเปนคนจับจด ตรงกันขาม เปนผูม ีความพากเพียรบากบั่นมัน่ คง กาวไปขางหนาอยางมัน่ คง ไมถอยหลัง ทําความดีและความเพียรอยางไฟสุมขอน ไมใชอยางไฟไหมฟาง คือลุกวูบวาบขึน้ ชั่วคราวและก็ดับไป ทานเห็นไหมครับวาฆราวาสจําเปนตองมีคุณธรรม เชนนี้ จึงจะทําอะไรไดสําเร็จ ทําจริง ประพฤติสิ่งใดก็ใหไดจริง ไมเหลาะแหละโลเล ไมเปนคนจับจด มุงลงเปนหนึ่ง เมื่อจะจับทําอะไรแลวดูเหมือนวาสิ่งอื่นจะเปนสิ่งที่ไรสาระไปสําหรับเวลานั้น คือวา แหวกเอาไวกอ น เอาออกไปกอน แตจะทําสิ่งนี้ใหดีที่สุดในเวลานี้ ลักษณะแบบนี้ทานจะเห็นวา เปนลักษณะของคนทําจริง เมื่อทําจริงมันก็ไดจริง สําเร็จจริง ทําสิ่งที่ทําไดยาก ทุกฺกรํ กโรติ ทําสิ่งที่ทําไดยาก ทุกฺขมํ ขมติ อดทนตอสิ่งที่ทนไดยาก ทุชฺชหํ ชหาติ ละสิ่งที่ละไดยาก ทุชฺชยํ ชยติ เอาชนะสิ่งที่เอาชนะไดยาก ทุลฺลภํ ลภติ ผลออกมาเปนสิ่งที่ไดโดยยาก 40 ชีวิตกับครอบครัว


อะไรที่มันงายเกินไปคนอืน่ เขาทํากันไดทวั่ บานทั่วเมือง ก็อยาไปทํามันเลย ทําสิ่งที่ทําไดยาก ยิ่งยากยิ่งดี ใฝรูสูสิ่งยาก ไมกลัวความยาก มีความเพียรพอที่จะทําสิ่งใดใหสําเร็จลงได มีความพากเพียรพอ มีความบากบัน่ มั่นคงพอ กาวไปขางหนาอยางมั่นคงเพียงพอ ไมถอยหลังอยางที่พระพุทธเจาตรัสถึง อุปญญาตธรรม คือธรรมที่พระองคทรงบัญญัติขึ้น เนื่องจากที่ไดปฏิบตั ิเห็นผลมาแลว แลวก็ทรงบัญญัติขึ้น 2 อยาง ดังนี้ 1. อสนฺตุฏฐิ​ิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ ความไมสันโดษในกุศล-ธรรมทั้งหลาย คือไมพอใจไมหยุดอยูเพียงแคนั้น พยายามเจริญกุศลธรรมใหยงิ่ ๆ ขึ้นไป ไมพอใจอยูเ พียงเทานั้น แตคนสวนมากมักจะพอใจในกุศลธรรมแคนี้พอแลว ทําแคนี้พอแลว รูธรรมะแคนี้พอแลว ไมตองรูอีกทํานองนั้น ปฏิบตั ิธรรมแคนี้พอแลวไมตองปฏิบัติอีก อยางนี้เรียกวาพอใจในกุศลธรรม พระพุทธเจาไมทรงสรรเสริญ แตทรงสรรเสริญ อสันตุฏฐิตา ความไมสันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย แตทรงสรรเสริญความสันโดษ ในปจจัยสี่ ปจจัยสี่นี้คนมักจะไมคอยสันโดษ จะมักมากเสียอีก มักมากในปจจัยสี่ ซึ่งพระพุทธเจาทรงสอนใหพอใจหรือสันโดษ มักนอยในปจจัยสี่ แตไมใหสันโดษในกุศลธรรม 2. อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมิ ความไมถอยกลับในความเพียร มีความเพียรรุกไปขางหนา กาวไปขางหนา แมจะกาวทีละนอย แตใหไดกาวไปทีละกาว ผูกาวอยางละมุนละมอม ยอมกาวไดไกล กาวไปอยางละมุนละมอมไมถอยกลับในความเพียร รูวา อะไรเปนความเพียร เปนการกระทําที่ชอบ กาวไปชาๆ แตมั่นคง ทําใหชนะการแขงขัน ตัวอยางเตากับกระตายในนิทานอีสป เอามาอานเอามาใสใจ เอามาใชเปนคติชีวิตได กระตายมันวิ่งเร็ว เตาคอยๆ คลานไปไมหลับ กระตายมัวนอนหลับเสีย เตามันเลยถึงกอน กระตายตื่นขึน้ มารีบวิ่งใหญเลยไปถึง อาว! เตาถึงแลว เราไปอยางเตาแตก็ไมหยุด พระพุทธเจาทานตรัสสอนเอาไว อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสุ เมื่อคนอื่นประมาทอยู เราไมประมาท เมือ่ คนอื่นเขาหลับอยูเราตื่นอยู สุตฺเตสุ พหุชาคโร เมื่อคนอื่นเขาหลับอยู เราตื่นอยูโดยมาก ยอมเอาชนะได เอาชนะคนเกียจครานเสียได เหมือนกับมาฝเทาดี เอาชนะมาฝเทาเลว นี่ฆราวาสลองนึกดูวา คุณธรรมของฆราวาสแคไหน ถาเผื่อคิดอะไรสั้นๆ ตื้นๆ ไมไดรสปฏิบัติไมได ไมรูแนวทางทีส่ ําหรับจะปฏิบัติ จริงวาจา

41 ชีวิตกับครอบครัว


จริงวาจาก็คือ พูดสิ่งใดก็ใหไดจริงตามที่พูด อะไรไมแนใจไมพูด เปนคนพูดยาก แตทําตามที่พดู ใหสัญญาอะไรเอาไวกับคนอื่น หรือกับลูกหลาน ครอบครัว ทําตามที่บอก ทําตามที่พูด ถาไมรูอะไรไมรูจริงก็บอกไมรู หรือนิ่งเสีย ไมอวดรูในสิ่งที่ตนไมรู ไมพูดอวดฉลาดในสิ่งที่ตนยังโงอยู โงใหนา รัก ดีกวาฉลาดใหนาชัง เราไมจําเปนตองพูดทุกสิ่งที่รู แตเราตองรูทุกสิ่งที่พูด ไมจําเปนตองพูดทุกสิ่งที่รู เก็บๆ ไวบางก็ได แตวาเราจําเปนตองรูทุกสิ่งที่เราพูด เพราะวาเราตองรับผิดชอบคําพูดของเรา จะพูดจะจาอะไรก็ไตรตรองรอบคอบแลวจึงพูด ไมพดู เท็จเพื่อทําลายประโยชนผูอนื่ ไมสอเสียดใหเขาแตกกัน ไมพูดคําหยาบใหบาดหูบาดใจ ไมเพอเจอเหลวไหล พูดฟุงไปหาสาระมิได ทําใหผฟู งเบื่อหนาย เอือมระอาเสียเวลา วันหนึ่งๆ เราตองเสียเวลากับคนเพอเจอมิใชนอยเหมือนกัน บางคนงานการจะทําก็ไมคอยมี ก็มัวเทีย่ วเพอเจอโตะนั้นทีโตะนี้ที ทํางานกันอยูห ลายโตะ ในกรมในกองในแผนกอะไร ก็ไมมีอะไรจะทํา เที่ยวไปเพอเจอทําใหคนอื่นเขาเสียเวลา อยางนี้เรียกวาไมระวังวจีทุจริต มันเปนวจีทุจริต คนทะเลาะกันเพราะเพอเจอนี่เยอะ สาเหตุทะเลาะกันเพราะพูดเพอเจอ ตรงกันขามเราก็ตองพูดจาพูดจริง พูดออนหวาน พูดประสานสามัคคี พูดมีประโยชน คําพูดที่มีประโยชนที่เขาฟงๆกันเขาฟงคําพูดที่มีประโยชน แลวมันก็อยูยั่งยืน ลองดูพระดํารัสของพระพุทธเจา ยั่งยืนมา 2,000 กวาปแลว เราก็ยังเรียนกันอยู อานกันอยูดว ยความซาบซึ้ง ดวยความไมเบื่อหนาย เปนเพราะวาเปนวาจาที่มีประโยชน มันดืม่ ด่ํา เอิบอิ่ม ไดอานพระพุทธพจนซึ่งชี้นําไปในทางทีด่ ี วาอยางนีด้ ีอยางนี้ไมดี ลึกซึง้ กวางขวาง ดืม่ ด่ํา เพลิดเพลินไปกับคําที่มปี ระโยชน บางทีอานแลวก็ไมอยากวาง บางทีก็เหนื่อยสมองบาง เหนื่อยลูกตาบาง ยิ่งคนอายุมากขึ้นอานหนังสือไดไมมากนัก ใครที่บอกวาจะเก็บธรรมะเอาไวอานตอนแกนะ เปลี่ยนความคิดเสียใหมเถอะ ตอนแกแลวอานไดไมเทาไหรหรอกตามันไมยอมใหอาน ก็เจ็บมั่งปวดมั่ง เคืองบางอะไรหลายๆ อยาง เพื่อนผมบางทานบอกอานสัก 5 นาที 10 นาที ก็แยแลว เพราะฉะนั้น ตองอานเสียตัง้ แตตอนนีน้ ั่นแหละ ตอนนีอ้ ายุเทาไหรกอ็ านไปเถอะ แกแลวก็ไมคอ ยไหวแลวก็เสียเวลาไปเยอะ การพูดจาพาทีนี่เปนสิ่งสําคัญ ควรจะยึดมั่นอยูในคําสัตยที่เปนประโยชนและเปนธรรมตามที่กลาวมาแลววาไมใสรา ยใคร ไมปายสีใครใหกระทบกระเทือนเขา ไมพดู จากระทบกระเทียบเปรียบเปรย ไมแดกดัน แตวาพูดจริง พูดดวยเมตตากรุณา สัจจะวาจานั้นเปนประโยชนทั้งแกตัวเอง ทั้งแกผูอื่นทั่วหนากัน พยายามระวังนะครับ

42 ชีวิตกับครอบครัว


ระวังจิตไมใหโกรธ เพราะวาวาจาที่พดู ออกมาในขณะทีโ่ กรธ จะเปนวาจาหยาบและก็ทิ่มแทงทํารายผูอื่นดวยวาจา บางทีมันก็เกินเหตุไป คนที่ระวังวาจาตองระวังใจใหดดี วย ระวังอยาใหโกรธ ในครอบครัวถาโกรธกันและพูดจากาวราวกัน พูดจาทิ่มแทงกัน นําอะไรตางๆ ที่ไมสมควร มาพูดกันก็ทะเลาะบาดหมางกัน ทําใหแตกแยก ทําใหเสียความรูสึกอะไรตางๆ สูวาจาที่จริง และออนหวาน ประสานสามัคคี และมีประโยชนไมได อันนี้พูดถึงแนวการปฏิบัติ ความจริงใจ ความจริงใจก็คือ ความจริงใจตอคนทั้งหลายในการคบหาสมาคม คือวาไมคิดหลอกลวงผูใดและมีความจริงใจ แสดงออกทางกาย หรือทางวาจา ก็พลอยจริงไปดวย หรือ แสดงออกทางกาย วาจา ดวยความจริงใจ ไมมีเจตนาที่จะหลอกลวงใครไมมีมายา ผูที่เห็นพฤติกรรมทางกายหรือวาจา ยอมจะอานเขาไปถึงใจวาผูพดู หรือทําสิ่งนั้น มีความจริงใจแคไหน เพียงใด อันนี้เปนสิ่งที่เราเรียกรองกันอยู ตองการความจริงใจ ถาเราพูดแลวทําดวยความจริงใจคนฉลาดหนอยก็จะดูออก แลวก็จะยอมรับนับถือ แตถาเราทําหรือพูดดวยความไมจริงใจ บางทีเขาก็อานเราออกยิ่งกวาตัวเราเองเสียอีก แตเพราะเหตุที่วาคนสวนมากมีอคติเขาขางตัวเองก็เลยคิดวาเขาดูไมออก ที่จริงเขาดูออก แมแตเด็กนักเรียน เขาก็ดูครูเขาออกวาครูเปนอยางไร ไมตองพูดถึงนักเรียนที่เปนผูใหญ พูดถึงนักเรียนเด็กๆ เขาก็ดูครูออก คนที่ดูหมิ่นผูอ ื่น จึงมักจะเปนคนโงเสมอ ดูหมิ่นผูอื่นวาไมเขาใจ หรือดูเขาไมออกอะไรทํานองนี้ ก็จะเปนคนโง เพราะฉะนั้นเราก็สํานึกอยูเสมอวาเขารูวาเราเปนคนเชนไร จริงใจหรือไมจริงใจ เรามีความรูสึกจริงๆ อยางไร ความจริงใจแสดงถึงความเปนสุภาพบุรุษ และก็แสดงถึงความเปนสุภาพสตรีอีกดวย คือแสดงถึงความเปนคนดี เรียกรวมๆ วาสุภาพชน เราไดยนิ ในภาษาอังกฤษที่เขาเรียกวา gentleman ความเปนสุภาพชน หรือ สัปปุริสชน เปนศัพททางพุทธศาสนานะครับ หมายถึงบุคคลที่มีสัปปุริสธรรม คือธรรมของคนดี บางทีเรียก สัตบุรุษ ก็มี ไมอาน สัด-ตะ-บุ-รุด นะครับ อาน สัด-บุ-รุด ถาอาน สัด-ตะ-บุ-รุด เดี๋ยวจะเปนผูชาย 7 คน หรือคน 7 คน คนพวกนี้จะมีคุณธรรม และก็รูจักเหตุ รูจักผล รูจักตน รูจักประมาณการและรูจักชุมชน รูจักการคบบุคคลวาคนไหนควรคบ คนไหนไมควรคบ บางทีเราไมไดโกรธไมไดเกลียดอะไรหรอก แตวาเปนคนไมควรคบ จะไปคบทําไม ก็ทาํ ตามที่พระพุทธเจาทานสอนในมงคล 38 ไมคบคนพาล

43 ชีวิตกับครอบครัว


ถาเห็นวาเปนคนพาลจะไปคบทําไม ไมคบคนพาล คบบัณฑิต บูชาคนที่ควรบูชา ไมบูชาคนที่ไมควรบูชา อันนี้ก็เปนลักษณะของสัปปุริสชน บุคคลที่ทําหรือพูดดวยความจริงใจ แมจะผิดพลาดไปบางมันก็ยังมีผูใหอภัย และเห็นเปนคนซื่อตรงนาเคารพนับถือ แตผูที่มีความจริงใจก็ไมควรถือเอาความจริงใจของตนเปนบรรทัดฐาน แลวเทีย่ วทําหรือพูดระรานผูอ ื่น โดยไมเลือกกาลเทศะ นีถ่ าทําอยางนั้นก็ไมพนโงนะครับ เพราะวาความจริงใจที่ไรกุศโลบาย กุศโลบายหมายถึงวิธีการที่ถูกตอง วิธีการที่ดี ความจริงใจที่ไรกุศโลบาย มักจะใหโทษมากกวาใหคณ ุ เพราะฉะนัน้ ขอใหมีความจริงใจดวย และก็มีกุศโลบายดวย ตัวอยางเชน การเตือนผูอื่น เชนเพื่อน หรือคนที่เราหวังดี เมื่อจะเตือนเขาก็ควรจะใหถูกกาลเทศะ ไมใหเขาอับอายขายหนา เพราะวาคนทุกคนก็รักเกียรติ รักหนาของตัว เพราะฉะนัน้ ถาจะเตือนก็ควรจะเตือนเมือ่ เห็นกาลเทศะเหมาะสมแลว กระซิบเตือนก็ได ไมใหใครไดยิน แตถาจะชมก็ชมดังๆ ก็ได ชมในหมูเพื่อนฝูงก็ได หรือในโอกาสอื่น ที่คนจะรูไ ด มันก็เปนลักษณะหนึ่งของสัปปุริสชน ที่รูจักกาลเทศะ รูจักเวลาวาควรจะทําอะไร ไมควรจะทําอะไร สัจจานุรักษ กับ สัจจาภินเิ วส ผมขอเนนย้ําเรือ่ ง สัจจานุรักษ กับ สัจจาภินิเวส อีก สักหนอยหนึ่งนะครับ คือวา นอกจากที่ไดพูดมาแลวนี้ ผูที่ตองการจะรักษาสัจจะก็ควรจะประพฤติตนใหเปนผูทพี่ ระพุทธเจาทรงเรียกวา สจฺจานุรกฺขี แปลวา ผูตามรักษาสัจจะ คนรักษาสัจจะในที่นี้เปนคนไมเชื่องาย วันกอนผมพูดไปแลวในเรื่อง สัจจานุรักขนา ตามรักษาสัจจะ สัจจานุโพโธ รูสัจจะ สัจจานุปตติ บรรลุสัจจะหรือเขาถึงสัจจะ หมายความวาอะไรเปนจริงอยางไรก็รักษาเอาไวอยางนัน้ ไมฝนความจริง ไมดื้อรั้น หรือทิฐิดวยความยึดมั่นวา เคยถือมาอยางนี้ เปลี่ยนไมได การยึดมั่นหรือทิฐิผิด ทําใหคนดื้อรั้นไมยอมรับความจริง ทําตนเปนคนคับแคบ เขากับคนอื่นไดยาก ขาดสมานัตตตา adaptability คือวา adapt ไมได ปรับตัวไมได ขาดการวางตนที่เหมาะสมแกกาลเทศะ ฐานะและเหตุการณ ตองใหมสี ิ่งหนึ่งที่เรียกวาสมานัตตตา การยึดมั่นดวยความจริง ทิฐผิ ิดเรียกวา สัจจาภินเิ วส หรือเรียกเต็มวา อิทังสัจจาภินเิ วส แปลวายึดมั่นวาสิ่งนี้เทานั้นจริง สิ่งอื่นเปนเท็จทั้งหมด ทีนี้เมื่อยึดมัน่ อยูอยางนีก้ ็ทําใหไมยอมรับความจริงที่คนพบใหมๆ ทําใหเปนคนที่มีความรูแคบ ขวางความเจริญกาวหนาของตน และมีบอยๆ เหมือนกันนะครับ ผูที่มีอํานาจบริหารทัง้ ฝายศาสนจักร และฝายอาณาจักร ยึดมัน่ อยูใ น อิทัง สัจจาภินิเวส ก็เปนเหตุใหขวางความเจริญกาวหนาของผูนอย หรือผูอยูใตปกครอง เพราะวาไมยอมเปลี่ยนแปลงอะไร เคยถือกันมาอยางไร เคยทํากันมาอยางไร ก็ทํากันไปอยางนั้น ยึดติดอยูก ับประเพณี ลัทธิเกาๆ เชน ระบบการศึกษา ระเบียบวินยั 44 ชีวิตกับครอบครัว


บางขอบางประการที่เปนธรรมเนียม แตโบราณ ซึ่งเมื่อเหตุการณกาลเวลาผานมามากแลวอะไรมันเปลี่ยนแปลงไปมากแลว ก็ไมจําเปนจะตองประพฤติจะทําในสมัยปจจุบัน ทีนเี้ มือ่ ยังตองพยายามรักษาไวก็เปนการฝนความจริง ไมยอมรับความจริงใหมๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากไมไดรับประโยชนอะไร ในการประพฤติเชนนั้นแลว ก็ยังจะทําตนและผูอื่นใหลําบากดวย คือสักแตวาทําไปอยางนั้น มันก็ไรความหมาย ทําไปตามประเพณี หรือรักษาประเพณี แตความหมายทีแ่ ทจริงมันไมมี มันไรความหมาย หรือไมตรงตามจุดมุงหมายของขอปฏิบัตินั้นๆ อันนี้เขาลักษณะสัจจาภินิเวส ไมใช สัจจานุรักษ ทีนี้พอบานแมเรือนหรือคนในครอบครัวก็เหมือนกัน มันตองรูเทาทันเหตุการณ และก็พลิกแพลงสถานการณใหเปลี่ยนแปลงไปไดตามที่เห็นสมควร ที่เคยพูดถึงวาเหมือนนักรบเขาสูสงคราม ก็ตองดูทาทีของขาศึกวาเขามาทางไหน เขามาอยางไร เขาเลนเพลงอะไร ก็ตองพลิกแพลงกลวิธีในการรบ หรือในการยุทธใหทันทวงที ไมใชเลนอยูเ พลงเดียว ไมวา ขาศึกเขาจะมาทาไหนก็เลนอยูเพลงเดียว อยางนั้นมันไมเทาทันเหตุการณ ทําใหไมเจริญกาวหนาเทาที่ควร ก็ตองเปนสัจจานุ-รักษ ไมใชสัจจาภินเิ วส ก็ใชไดทกุ ระดับตั้งแตระดับครอบครัวไป จนถึงระดับการปกครองหมูบาน ตําบล อําเภอ จังหวัด ทัง้ ฝายศาสนจักร ทั้งฝายอาณาจักร ยกตัวอยาง เชน นักวิทยาศาสตร เปนตัวอยางอันดีของบุคคลประเภทนีน้ ะครับ คือวาเปน สัจจานุรักขี เปน protecter of the truth คือนักวิทยาศาสตรนจี่ ะยึดถือไวเฉพาะความจริงที่คนพบใหมที่สุดเทานั้น และยึดถือไวในฐานะที่เปนถือไปพลางๆ กอน จนกวาจะพิสูจนไดวาอันนี้ผิด มีความจริงอื่นที่ถูกกวานี้ มัน คลายๆ การสอบไมใชการสอบไล แตเปนการสอบแขงขัน สอบไลนั้นพอไดถึงเปอรเซ็นตไดถึงขนาดที่เขากําหนดไวก็เปนอันผาน แตการสอบแขงขันเขาจะตองคัดเลือกเอาคนที่ดีที่สุด ในกลุมนั้นเอาไว จะรวงไปสักรอยคนก็ยังมีอยูถึงสิบคน แตวารอยคนทีร่ วงไปนั้นไมใชวาไมมีความรู ไมมีความสามารถ ไมใชวา คะแนนไมถึง แตวาสูคนอื่นที่เขาเกงกวาไมได นี่คือลักษณะของการสอบแขงขัน ไมใชสอบไล เพราะฉะนั้นในการสอบแขงขันมันตองคัดเลือกคนที่ดที ี่สุด คนที่เกงที่สุด คนที่เหมาะสมที่สุดเอาไว คนที่ยังไมเหมาะสมก็ตองออกไป เพราะฉะนั้นดวยเหตุนี้ กฎเกณฑทางวิทยาศาสตรจงึ ไดเปลี่ยนไดเสมอ ถาใครสามารถพิสูจนไดวา ความจริงที่ยดึ ถือกันมากอนนี้ผิด ของใหมนี่ถูกกวา แตในสังคมของเราตั้งแตบานเล็กๆ ไปจนถึงประเทศ หรือในสังคมศาสนจักรก็เหมือนกัน มันตองพยายามเลือกเฟน พยายามแสวงหาสัจจะ แสวงหาความจริงที่เรียกวาใชไดที่สุด ในระยะนั้น ในเวลานั้น ในกิจการนั้น แลวก็ถือไวกอน คือวาทําไปพลางกอน ปฏิบัติไปพลางกอนเปน pragmatism คือปฏิบัติได ทําได หลักเกณฑ กฎเกณฑอันนัน้ ทําไดปฏิบัติได และก็มีผลอันนั้นออกมาดี อยางนี้นะครับ

45 ชีวิตกับครอบครัว


พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาของเรานี่ ทรงเปน ผูหนึ่งที่เปนสัจจานุรักขี คือวา ทรงทดสอบความจริงอยูเสมอ ทรงทดลองดวยพระองคเองวาอะไรจริง อะไรไมจริง และก็ทรงละทิง้ สิ่งที่ไมจริงเสีย แมจะถือกันมากอนหนาพระองคเปนพันๆ ปแลวก็ตาม ทรงรักษาไว ถือไวเฉพาะสิง่ ที่ทดสอบพิสูจนแลววา เปนความจริงเทานัน้ แลวก็ทรงสอนใหสาวกปฏิบัติตามนั้นดวย ขอความใน กาลามสูตร หรือเกสปุตตสูตร นะครับที่วา อยาไดรับเชื่อหรือปฏิบัติเพียงเพราะเปนสิง่ ที่ถือสืบๆ กันมา มา ปรัมปรายะ จะยืนยันไดอยางดีวา พระองคทรงเปน สัจจานุรักขี เพียงใด ตําราที่เกี่ยวกับพุทธประวัตนิ ะครับ ก็บอกใหเราทราบวาพระองคทรงเปน สัจจานุรักขี ทรงทดสอบความจริงตางๆ ตั้งแตยังเปนราชกุมารนอยๆ เชน ทรงทดลองนั่งสมาธิ เขาฌาน ทรงทดลองโลกียสุข หรือกามสุข จนเห็นแจงดวยพระองคเองวาเปนสุขนอยทุกขมาก ถายิ่งไมระวัง ขาดความระวัง ก็มีเรื่องจะตองกังวลมาก เมือ่ ทรงออกผนวช ก็ทรงทดลองความจริงตางๆ ที่เชื่อถือกันอยูในสมัยนัน้ ทรงเห็นวาไมเปนทางพนทุกขแลวก็ทรงเลิกเสีย ทรงคนหาทางดวยพระองคเอง เมื่อทรงพบวาอะไรเปนสัจจะก็ทรงถือสิ่งนั้นไว และก็ประกาศสั่งสอนใหผูอื่นทราบ เชนอริยสัจสี่ เปนตน เพราะฉะนั้น ตามที่ไดกลาวมานี้ จะไดเห็นสัจจะนั้น เปนคุณแกชีวิต ตั้งแตระดับครอบครัว ไปจนถึงระดับสูงสุดคือระดับประเทศ หรือแมระดับโลกก็ได คือใหเราถือเอาความจริง ถือเอาสัจจะเปนทางดําเนินของชีวิต สําหรับทานมหาตมะ คานธี นั้นทานถือวา พระเจาคือสัจจะนัน้ เอง ถาพระเจาจะมีพระเจาก็คือ สัจจะนั้นเอง และถาเราจะถือความจริงในระดับตนๆ จนถึงระดับสูงสุด แสวงหาสัจจะ เชนวา อริยสัจ อันนี้ก็จะไดพบความจริงที่เปนประโยชนแกชีวติ ยิ่งๆ ขึน้ ไปวาอะไรเปนทุกข อะไรเปนเหตุใหเกิดทุกข อะไรเปนความดับทุกข อะไรเปนทางปฏิบัติใหถึงความดับทุกข อยางนี้เราก็จะมีความทุกขนอ ย แมจะครองเรือนเปนฆราวาสอยู แตวารูธรรมะ รูสัจจะ ยอมรับสัจจะ ยอมรับความจริง แมจะเปนฆราวาสครองเรือนอยูก็จะแกปญหาตางๆ ไดเยอะ และก็ปอ งกันปญหาตางๆ ไดดวย ทําใหมีความทุกขนอย เปนฆราวาสที่มีความทุกขนอย หรืออยางที่ทานกลาววา การยอมรับความจริงนั้น เปนการแกปญหาไปไดครึ่งหนึ่งแลว ถาไมยอมรับความจริงมันก็แกปญหาไมได เชน คนเปนโรค และยอมรับวาตัวเปน เปนโรคอะไรก็ยอมรับวาตัวเปน มันก็สามารถจะหลีกเลีย่ งของแสลง และก็หายาที่จะเปนประโยชนแกการบําบัดโรคนั้นมาได คือถาไมยอมรับวาตัวเปน มันก็แกปญหาไมได หรือฐานะของตนเปนอยางไร ก็ยอมรับตามที่เปน มันก็ใชชีวิตไดเหมาะสมแกฐานะของตน แคนี้ก็เปนการยอมรับความจริง เปนการประพฤติอยูในสัจจะเหมือนกัน

46 ชีวิตกับครอบครัว


ตามที่ไดกลาวมาโดยยอนะครับ ก็คือเกี่ยวกับเรื่องสัจจะ เปนธรรมะขอที่ 1 ในฆราวาสธรรม ผมเรียนไวตั้งแตตนแลววา ฆราวาสธรรมนั้นพระพุทธเจาทานทรงแสดงไมใชเพื่อฆราวาสใหเปนฆราวาสอยางธรรมดา แตเพื่อยกระดับของฆราวาสใหสูงขึ้นจนเปนถึงอริยฆราวาส หรือเปนอริยชน ก็จะปฏิบัตใิ หละเอียดลึกลงไปในเรื่องของสัจจะ ก็จะไดรับผลที่ละเอียดประณีตลงไป ถาเราปฏิบัติอยางหยาบๆ มันก็ไดรับผลอยางหยาบๆ หัวขอที่ 2 ของฆราวาสธรรม ก็คือ ทมะ ทมะนี้ในตําราก็มักจะแปลกันวา การขมใจ แตวา ขยายความหรือความหมายทีแ่ ทจริงของทมะ ก็คือการฝกตน ทมะ คือการฝก ทมถายะ เพื่อการฝก ทนฺโต โส ภควา พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นทรงฝกพระองคแลว ทมถาย ทมะนัน่ แหละทรงประกอบเปนศัพทตามไวยากรณมาเปน ทมถาย ธมฺมํ เทเสติ ทรงแสดงธรรมเพื่อการฝก ทรงฝกพระองคแลว ทนฺโต เสฏโฐ มนุสฺเสสุ ในบรรดามนุษยดวยกัน มนุษยที่ฝกตนแลวเปนผูที่ประเสริฐที่สุด ทนฺตํ จิตฺตํ สุขาวหํ จิตที่ฝกดีแลวนําความสุขมาให จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ การฝกจิตเปนเรื่องดี อยางนี้เปนตนนะครับ มันแสดงใหเห็นถึงความหมายของคําวาทมะ คือการฝก ฝกตน ฝกจิต และนอกจากการฝกตน ฝกจิตแลว ฝกอะไรไดบาง ก็ฝกอินทรียนะครับ อินทรียคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จริงถาฝกใจแลวอยางอืน่ ก็ฝกไดหมดทุกอยาง ที่ลําบากก็คือเรื่องจิต เพื่อขยายขอบเขตของคําอธิบายใหเห็นไดวา เราจะฝกกันอยางไร มันก็ตอ งฝก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คืออินทรีย 6 นั้นเอง การสํารวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใหสามารถที่จะควบคุมมันได นี่ถาควบคุมมันไมไดมนั ก็เหมือนสัตวเลีย้ งที่เราเลี้ยงมันเอาไว แลวก็ควบคุมมันไมได ถาเปนสัตวรายมันก็จะเทีย่ วกัดใครตอใครใหเดือดรอน ถาเปนสัตวไมรายมันก็ไมกัดใคร แตใชประโยชนอะไรไมได ก็เสียขาวสุกขาวสาร เสียอาหารการกินที่เลี้ยงมันไปแตละวัน แตละเดือน แตละปก็เยอะแยะ เสร็จแลวก็ใชประโยชนอะไรมันไมไดเพราะมันไมไดฝก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราก็เปนเชนนั้น คือวาเราเลี้ยงรางกายทุกวัน ตาเจ็บก็ตองหายาหยอดตา หู จมูก ลิ้น กาย อะไรถามันเจ็บไขไดปวยเราก็ตองดูแลมัน โดยเฉพาะอยางยิ่งมันปรารถนาที่จะเสวยอารมณ ตาอยากจะดูสงิ่ ที่สวยงาม หูก็อยากจะฟงอะไรตางๆ ดีบางไมดีบาง จมูก ลิ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งคือลิ้น เสพอาหาร แตถาตามใจลิน้ อยางที่ลิ้นตองการอยากเสพอาหารโดยทีค่ วบคุมมันไมไดก็ขาดทุนยอยยับไปเลย เพราะมันพาไปกินอะไรตออะไรมากมาย ไมวาราคาแพงเทาไหร ที่ไหนไปไกลๆ แลวก็กนิ ไดนิดเดียว แลวกลับดวยความทุกขยากลําบาก รถก็ติด รอนก็รอน

47 ชีวิตกับครอบครัว


เมื่อวานนี้คยุ กับทานผูหนึ่งก็คุยถึงเรื่องนี้เหมือนกัน บอกวามันไมคุม ถาเผื่อจะนั่งรถไปกินอาหารไกลๆ มันไมคุมกับความเหน็ดเหนือ่ ยกับการเตรียมตัวทีจ่ ะไป ไปแลวก็กินอิม่ เดียว นิดเดียวแลวก็กลับ ดวยความทุกขทรมาน รอนก็รอน รถก็ติด อันนี้คือวาไมไดฝกตน ไมไดฝกอินทรีย ลิน้ มันก็อยากกินนั่นกินนี่ แลวมันก็พาไปตามใจมัน ตามที่ไดกลาวมานี้ ก็จะเห็นวา การฝกตน หรือการฝกอินทรียนี้เปนความจําเปนสําหรับฆราวาสเพียงไร และสําหรับบรรพชิตยิ่งจําเปนมากขึ้น ในการที่จะตองฝกอินทรีย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมใหดูในสิ่งที่ไมควรจะดู หรือวาไมใหฟงในสิ่งที่ไมควรจะฟง ไมใหไปในที่อโคจร เรียกวา อาจารโคจรสมฺปนฺนา เปนผูสมบูรณดวย อาจาระ อโคจร ที่ที่ไมควรไปก็ไมไป สิ่งที่ไมควรฟงก็ไมฟง ฟงเฉพาะสิ่งที่ควรฟง อยางนีก้ ็เปนการควบคุมตัวเอง หัดฝกควบคุมตัวเอง อยางนีก้ ็จําเปนทั้งฆราวาสจําเปนทัง้ บรรพชิต ถาเผื่อขาดการควบคุมตัวเอง หรือควบคุมตัวเองไมได มันก็เหมือนมาพยศ ที่เราทําอะไรกับมันไมไดเลย เลี้ยงมันไวเปลืองขาวเปลืองน้ํา เปลืองอาหารเปลืองหญา ก็นาเสียดาย การสํารวมอินทรีย เปนสิ่งหนึ่งที่นําไปสูความสวัสดีของชีวิต เคยมีผูมาถามพระพุทธเจาวา จิตนี้สะดุงอยูเปนนิจ ใจนีห้ วาดเสียวอยูเปนนิจ ทั้งในกิจทีย่ ังไมเกิดและในกิจที่เกิดขึ้นแลว และถาความไมตองสะดุงมีอยู ขอพระองคตรัสบอกสิ่งนั้นเถิด พระพุทธเจาก็ตรัสตอบวา เวนปญญา ความเพียร และการสํารวมอินทรีย นี่ก็คือการฝกอินทรียนะครับ และความปลอยวางโดยประการทั้งปวงแลว ตถาคตมองไมเห็นความสวัสดีของสัตวทั้งหลาย อันนี้ก็ธรรมเปนเหตุใหประสบความสวัสดีในหลายขอเชน การสํารวมอินทรีย หรือการฝกอินทรียเปนธรรมขอหนึ่งที่จะนําไปสูความสวัสดี ทานพิจารณาดูก็จะเห็นความจริงนะครับวา จิตของคนธรรมดา สะดุงอยูเ ปนนิจ หวาดเสียวอยูเปนนิจ กลัวอยูเปนนิจในกิจที่จะตองทําทั้งที่กําลังทําอยู และที่จะทําตอไป กลัววาจะผิดพลาดถึงลมจมลมละลาย ความกลัวนี้นะครับ ทําใหหมอดูตางๆ มีชื่อ มีชีวิตอยูได หรือมีอาชีพอยูได โดยเฉพาะอยางยิ่ง คนที่ประกอบกิจการใหญๆ กลัวขาดทุน กลัวไมไดกําไรอยางที่หวังไว ถึงหนาสมัครผูแทน ผูที่สมัครผูแทนก็กลัวทีจ่ ะไมไดรับเลือก นักปราชญกลัวไมประสบความสําเร็จในการพูด ชายผูพอใจหญิง หญิงผูพอใจชาย กลัวอีกฝายหนึ่งจะไมรักตัว หรือวารักแลวจะไปรักคนอื่นอีกหรือเปลาทํานองนี้ แลวเมื่อความรักสมหวังแลวจะแตงงานกันอยางไร เงินทองฐานะยังไมคอยดี แตงแลวจะไปอยูที่ไหน วันแตงก็ยงั กลัววางานจะเรียบรอยหรือเปลา ก็สารพัดที่จะกลัวไป 48 ชีวิตกับครอบครัว


เพราะฉะนั้น การแตงงานของคนจะเริ่มตนดวยความกลัว จนถึงมีลูกมีเตาอะไร ในครอบครัวก็กลัวไปตางๆ กลัววาจะมีโรคภัยไขเจ็บ กลัวแก กลัวพิการ กลัวตาย มีแตเรื่องหวาดสะดุงทั้งนัน้ จะไปไหนก็กลัวขโมยจะเขาบาน กลัวอุบัตเิ หตุ กลัวถูกปลน ถูกจี้ กลัวถูกตีหัว กลัวถูกจับไปเรียกคาไถ ยิ่งเปนผูหญิงยิง่ ตองมีเรื่องกลัวมาก ผูชายก็มีบางพวกบางคนมีจํานวนไมนอยเหมือนกัน นากลัวยิ่งกวาเสือซะอีก นากลัวไมนาไววางใจ เพราะฉะนั้น คนจึงอยูในโลกของความกลัว เพราะเราเกิดมาในโลกของการเบียดเบียน บีบคั้น เราอยูรวมกับสัตวเดรัจฉานในรางของคนบาง ในรางของสัตวเดรัจฉานจริงๆ บาง เชน เหลือบ ยุง บุง ริ้น งู ตะขาบ เสือ สิงโต ก็เปนอันตรายตอมนุษยทั้งนั้น มนุษยเองก็เปนอันตรายตอสัตวอื่น เอาชีวติ มันมาเปนอาหารบาง ยิงมันเลนเพลินๆ บาง จับมาขังไวดูเลนบาง เอาไวเก็บเงินคนดูบาง สัตวเดรัจฉานจึงกลัวมนุษยเหมือนกัน หวาดระแวง เห็นมนุษยเขาก็หนี เจองูนี่ตางคนตางก็กลัวกัน คนก็กลัวงู งูกก็ ลัวคน งูกลัววาคนจะตีมนั คนกลัวงูจะกัด ตางคนตางก็กลัวกัน มนุษยดวยกันก็อยูดว ยความหวาดระแวง ถาไมรูจักกันจริงๆ ก็ไมไวใจกัน เขาใหขาวใหน้ําก็ไมกลากิน เด็กเวลานี้ใหอะไรก็ไมคอยรับเพราะวากลัว ที่มีตัวอยางเยอะแยะใหของพอเปนเครื่องลอ แลวก็นําเด็กไปทําอะไรไมถกู ไมตองมิดีมริ าย สุจริตชนที่หวังอนุเคราะหเด็กจริงๆ ก็ขาดโอกาส เด็กเขาก็ไมรับอะไรที่จะอนุเคราะห ทั้งๆ ที่สุจริตชนตองการจะสงเคราะหจริงๆ ก็ไมไดทําการสงเคราะห เพราะวาเขาหวาดระแวง ทําใหเสียโอกาส ใหขาวใหน้ํา ใหของอะไรก็ไมกลากิน เพราะเคยมีมนุษยใจทรามใสยานอนหลับบาง ยาอะไรตออะไรบางใหกนิ แลวก็ดําเนินการตามความประสงครายของตัว คนเราจึงหวาดระแวงกัน คนดีๆ ก็พลอยถูกระแวงไปดวย มันทําใหศกั ดิศ์ รีของมนุษยตกต่ําลงอยางมาก เมื่อจะทําสิ่งใด ยิ่งถาเปนเรือ่ งใหญกิจใหญก็ยิ่งตองเตรียม การใหญ เพื่อปองกันความลมเหลวและผิดพลาด เพราะความสะดุงกลัวตอความลมเหลว ผิดพลาดนั่นเอง มนุษยเราที่มั่นใจตัวเองรอยเปอรเซ็นตนั้นหายาก บางทีมั่นใจอยางหนึง่ แตไมมั่นใจอีกอยางหนึ่ง บางคราวมั่นใจ บางครั้งก็ไมมั่นใจ บางชุมชนเรามั่นใจ แตบางชุมชนเราก็กลับไมมั่นใจ คนที่สุขภาพไมคอยดี สามวันดี สี่วันไข ยิง่ ไมมั่นใจ ตัวเองใหญ ก็ไมรวู าวันสําคัญ กิจสําคัญนั้นไปตรงกับวันดีหรือวันรายของตน คนที่สุขภาพดีบางคนก็ไมมั่นใจในความสามารถของตน ประหวัน่ พรั่นพรึงในกิจที่จะตองทําเหมือนกัน คนที่มีสุขภาพดี ความรูด ี ถาตั้งความหวังไวมาก หวั่นเกรงวาจะไมบรรลุผลตามที่หวัง ก็สะดุงกลัวไปตางๆ รวมความวา ตราบใดที่เรายังมีกิเลสตัณหา 49 ชีวิตกับครอบครัว


ที่เปนเหตุใหสะดุง ตัวนี้มันเปนเหตุใหญนะครับ ทําใหสะดุงกลัวแลวจะไมพนจากความสะดุง ความหวาดกลัว รูสึกวาไมประสบ สวัสดิภาพอยางแทจริง โดยเฉพาะอยางยิ่ง คนที่ยังทําความชั่วอยูกจ็ ะหวั่นไหววิตกตอผลชั่วทีจ่ ะเกิดขึ้นแกตนเสมอ ผูถามพระพุทธเจาในเรื่องความสะดุงกลัวนี้ แมจะเปนเทพบุตร เปนเทวดาก็ยังหวั่นกลัว จึงไดทูลถามพระพุทธเจาวา ถาความไมสะดุงมีอยูของพระองคจงตรัสบอกสิ่งนั้นเถิด เพื่อจะไดนําไปใชใหหายสะดุ ธรรมะ 4 อยาง เปนเหตุใหหมดความสะดุง ตอไปก็เปนคําตอบพระพุทธเจาตรัสตอบบอกธรรม 4 อยาง เปนเหตุใหหมดความสะดุง และถึงความสวัสดี ดังนี้ 1. ปญญา 2. ความเพียร 3. อินทรียสังวร 4. การปลอยวางโดยประการทั้งปวง 1. พูดถึงปญญากอน ไมวาจะเปนปญญาทางโลก หรือปญญาทางธรรม ก็จะมองเห็นสิง่ ตางๆ ทั้งที่เปนปรากฏการณ และสิง่ ที่อยูเบื้องหลังของปรากฏการณตามความเปนจริง คือ เมื่อเห็นจริงเสียแลวก็หมดความสะดุงกลัว ที่เรากลัวนั้นเพราะเราไมเห็น อยางเราเดินอยูในความมืด ความมืดทําใหคนกลัว แตพอสวางขึ้นมาก็หายกลัว หรือวาครึ่งมืดครึ่งสวาง มันเห็นอะไรไมชัดเจนก็ทาํ ใหกลัว ปญญามันมีลักษณะเปนแสงสวาง เมื่อมีปญญาก็จะสามารถแกปญหาไดโดยสวัสดี ไมตองอื่นไกลหรอกครับ ตัวอยาง ความรูเรื่องไฟฟา คนที่ไมมีความรูเรื่องไฟฟานี่จะไมกลาไปแตะมันเลย กลัวแมเมื่อฟวสขาดเพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง ถาคนไมมีความรูจะไมกลาไปแตะ คนที่มคี วามรูจะตอหรือเปลี่ยนฟวสไดโดยงายและก็ไมกลัว รูดวยวาฟวสขนาดไหน เพียงใด จึงจะพอกับกระแสไฟทีจ่ ะใช มีความสามารถที่จะดัดแปลงแกไขฟวสทจี่ ะขาดแลวใหกลับใชไดดีกวาเกาโดยไมตอ งลงทุนซื้ออะไรใหมเลย เจาของบานซึ่งไมมีความรูเรือ่ งไฟฟา ไมกลาทํา และไมสามารถทําได เพราะวาไมมปี ญญาในทางนั้น จึงไมสามารถจะดําเนินการใหถึงความสวัสดี คือความปลอดภัยเกี่ยวกับเรื่องไฟฟาได

50 ชีวิตกับครอบครัว


ในเรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน ทานลองนึกขยายความออกไปก็ได ผูมีปญญาในเรื่องอื่นๆ ก็ทํานองเดียวกัน เขาจะสามารถปรับปรุงแกไขสิ่งบกพรองใหดี และสามารถขจัดอุปสรรค ความขัดของในเรื่องนั้นๆ ใหสําเร็จลุลวงไปไดโดยสวัสดี เชนความรูใ นเรื่องเครื่องยนต เปนตน ยิ่งในเรื่องศาสนายิ่งไปกันใหญเลย ถาไมมีความรูจะถูกชักจูงถูกเหวีย่ งไปเหวี่ยงมา สับสนไปหมดเลยไมรูอะไรเปนอะไร เพราะฉะนัน้ พอเขาทางถูกรูจริงเขาคราวนี้ละ เดินหนาอยางเดียว ไมตองสับสนเดือดรอนอะไรแลว เพราะรูจริงขึ้นมา ขอยกตัวอยางอีก เชน เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นกับรางกาย เพราะเชื้อโรคหรือเพราะความบกพรองของรางกายก็ตามนะครับ แพทยผูที่มีปญ  ญาในเรื่องนีจ้ ึงจะสามารถชวยแกไขได ดวยการชวยบอกยาและวิธีปฏิบัติตนใหแกคนไข เมื่อมีปญหาทางจิต ผูมีปญญาทางจิต เชน พระพุทธเจา สาวกของพระพุทธเจา และ ผูที่สนใจใฝรู มีประสบการณ มีปญญา จะสามารถชวยบอกชวยแกไข ชวยชี้แจงชี้ทางแหงความสวัสดีใหได ปญญาจึงเปนหลักหนึ่งเพื่อใหถึงความสวัสดี และก็เปนหลักสําคัญดวย ประการที่ 2 ที่พระพุทธเจาตรัสตอบวาเปน สวัสดีธรรม ก็คือ ตบะ หรือความเพียร ผูใดมีมากมีอยูอ ยางสม่ําเสมอ ก็จะทําใหผนู ั้นมีเรี่ยวแรงกําลังในการทํากิจตางๆ ใหสําเร็จลุลวงไปไดดว ยดี มีความพอใจที่จะทําเรียกวา ฉันทะ แลวก็ลงมือทํา เมื่อทําไปก็เกิดรสในการทํา แลวก็ทําอยางสําเร็จ การทําสําเร็จนั้นเปนกําลังใจ เปนแรงบันดาลใจใหทํายิ่งขึน้ และก็สําเร็จมากขึ้น ความสําเร็จผลตามที่ตองการนั้นเอง เปนการบรรลุถึงความสวัสดีในสิ่งที่ทํา สามารถที่จะเอาชนะอุปสรรคตางๆไดดวยปญญา และความเพียร ตบะนี้ เปนธรรมเครื่องเผาผลาญบาป เผาผลาญอกุศล-ธรรม กิเลสนั้นเกิดขึ้นในใจและก็เผาใจใหเรารอน เหมือนไฟเกิดที่ฟนหรือหญา ก็เผาไฟเผาฟนหรือหญานัน้ ใหรอน แลวก็มอดไหม ไป ตบะเผากิเลสใหไหมวอดวายไป ถาไมเอาตบะมาเผากิเลสมันก็เผาคน ถาเอาตบะมาเผากิเลส ใจก็เปนสุขสงบเยือกเย็นอยูเพราะไมมกี ิเลสเผา พอใจเราสงบเยือกเย็นเพราะวาสิ่งที่เผาใหรอ นมันหมดไป มันสิ้นไป กุศล-ธรรม ความดีทั้งหลายทั้งปวงมันเปนตบะทั้งนัน้

51 ชีวิตกับครอบครัว


ขยับเขามาใหใกลตัวอีกสักหนอยหนึ่ง สําหรับผูที่มีความเพียรเพื่อทําตนที่เปนหนาทีก่ ต็ าม หรือเพื่อเผากิเลสก็ตาม ก็ขอตั้งใจใหมั่นบากบั่นพยายามใหเปนไปติดตออยางสม่ําเสมอ เปรียบเหมือนเข็มทิศซึ่งชี้ไปทางทิศเหนืออยูตลอดเวลา พยายามยกจิตใหอยูเ หนือความเกียจคราน เหนือความชัว่ ที่เปนเหตุนําทุกขมาใหภายหลัง ทําอยางสงบหนักแนนเหมือนรากไมงัดภูเขา อยากลัวความไมสําเร็จ ขอใหทําเถิด จะสําเร็จหรือไมสําเร็จเปนเรื่องที่เหตุมันจะบันดาลใหเปนไปเอง และเปนเรื่องที่บัณฑิตจะพิจารณาดวยใจเปนธรรมในภายหลัง ผูมีคุณสมบัติอยางนี้นะครับ บานเรือนของทานก็เปนเหมือนปาสําหรับบําเพ็ญตบะ เพราะฉะนั้นทานอยูที่ไหนก็ไดถาทานมีคณ ุ สมบัติอยางนี้ ที่นั้นก็เปนเหมือนปาสําหรับบําเพ็ญตบะ ประการที่ 3 คือ อินทรียสังวร อันนี้ละครับเปนการฝกอินทรียที่กลาวมาตรงตัวมากกวาขออื่น อินทรียสังวร นี้ก็ไดยินกันโดยทัว่ ไปเปนสํารวมอินทรีย 6 ก็คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อินทรียมาจากคําวา อินทะ ทีแ่ ปลวาเปนใหญนะครับ คือเปนใหญในกิจหรือหนาที่ของตน เชน ตา เปนใหญในการดู หู เปนใหญในการฟง เปนตนครับ เปรียบเหมือนคนสําคัญ 6 คน ซึ่งถาไดรับการควบคุมฝกฝนใหดี ก็จะทําไดมาก ถาไมไดรับ การคุมครองรักษา หรือไมไดฝกฝนใหดเี ปนคนรายขึ้นมา ก็จะทํารายไดมาก เพราะวาเปนคนสําคัญ เปรียบเสมือนสัตวที่เราเลี้ยงมันไว ถาเราฝกใหมันใชงานไดมนั ก็เปนประโยชน เราไมฝกมัน มันก็ไมเปนประโยชน มีแตกินอาหารไปอยางเดียว และก็รบกวนดวย เพราะฉะนั้น ทานจึงกลาววา อินทรียของมนุษยยอมมีประโยชนบาง ไมเปนประโยชนบาง ที่ไมรักษาไมเปนประโยชน ที่รักษาเปนประโยชน อันนี้กเ็ ปนขอความใน ปาราสิริยเถรคาถา ในพระไตรปฎก เลมที่ 26 ทานพระปาราสิริยเถระ ไดกลาวตอไปวา บุคคลผูรักษาคุมครองอินทรียนั้นแล ชื่อวาไดกระทํากิจของตน และชื่อวาไมเบียดเบียนใคร ผูใดไมสํารวมอินทรียคือ ตา อันเปนไปในรูป ไมสํารวม หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อันเปนไปในรสโผฏฐัพพะ และธรรมารมณ โดยลําดับแลว ผูนั้นจะพนจากทุกขไมไดเลย รูปเสียงเปนตน ที่นาปรารถนานาชื่นใจนั้นเปนประดุจมีดโกนที่ฉาบไวดว ยน้าํ ผึ้ง ผูมีความเพียรกั้นกระแสตัณหาในอารมณเหลานั้น ตั้งอยูในธรรมมีปญญาเปนเครื่องพิจารณา เวนกิจอันไรประโยชนเสีย ทําแตกิจที่มีประโยชน

52 ชีวิตกับครอบครัว


มีความยินดีอนั ประกอบดวยธรรม ความยินดีในธรรมนัน้ แลเปนความยินดีอนั สูงสุด บุคคลเมื่อผาไมยอมตอกลิ่มดวยลิ่มฉันใด ผูฉลาดยอมฝกอินทรียดว ยอินทรียฉันนัน้ ที่ทานปาราสิริยเถระ ไดกลาวไว ทีว่ าฝกอินทรียดว ยอินทรียก็คือ ฝกอินทรีย 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดวยอินทรีย 5 คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปญญา อินทรีย 5 หรือบางทีเขาเรียกวา พละ 5 คือถาแยกกันอยูเ ราเรียกวา อินทรีย แตที่นพี้ อรวมกันก็เรียกวาพละ เหมือนนิว้ เรา 5 นิ้วนีน่ ะครับ แยกกันอยูก็เรียกวา อินทรีย เปนใหญในกิจของงาน แตพอรวมกันมันเปนกําปน มันมีกําลังที่จะชก เวลาที่เราจะ เหนี่ยวอะไร หรือจับอะไรใหมั่นคงมันตองเอานิ้วทั้ง 5 นิ้ว มารวมกัน แลวก็ทําสิ่งนัน้ ได หรือดึงสิ่งนั้นก็ได แตเอานิ้วแตละนิว้ ดึงมันดึงไมได ตองรวมกันทัง้ 5 นิ้ว แลวถึงจะดึงได หรือทําอะไรทีจ่ ะตองใชกําลังได เพราะฉะนั้น ธรรม 5 อยางคือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปญญา เวลาแยกกันอยู มันก็ยังไมมีกําลังพอ แตก็มีหนาที่ทาํ ไปตามหนาที่ของตน พอรวมกันแลวก็เปนพละ เปนกําลัง ก็จะมีกําลังมหาศาลในการทีจ่ ะแกไขปญหา และทําลายความชั่วรายอะไรตางๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได เมื่อเปนเชนนี้ ก็จะเปนผูไมมที ุกข ผูฉลาดยอมฝกอินทรียด วยอินทรีย และเมื่อเปนเชนนี้กย็ อมเปนผูไมมีทุกข ตั้งอยูในธรรม ชื่อวาไดกระทําตามคําสั่งสอนของพระพุทธเจาดวยประการทั้งปวง ไดรบั ความสุขเปนสิ่งตอบแทน อันนี้เปนขอความที่พระเถระรูปหนึ่งไดกลาวไว อินทรียสังวรเปนประโยชนในการปฏิบัตธิ รรมทุกอยาง จะรักษาศีล จะเจริญสมาธิ จะอบรมปญญา ก็ตองใชอินทรียสังวร เปนอุปการธรรมทั้งนั้น การสํารวมอินทรียนอกจากจะชวยปองกันบาปอกุศลไมใหไหลเขามายังจิตของเราแลว ก็ยังจะชวยพัฒนาคุณงามความดีตางๆ ทีม่ ีอยูใหเจริญยิง่ ๆ ขึ้นไปดวย นี่พูดถึงเรื่องการสํารวมอินทรีย ซึ่งเปนหลักสําคัญในการฝกตน ขอที่ 4 การปลอยวางโดยประการทั้งปวง อันนี้เปนสวัสดีธรรมขอที่ 4 คือการที่ไมยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเปน ตัวตน หรือโดยความเปนของตน เพราะวาการที่ถือไวเชนนั้น ก็จะเปนการเขาไปขวางกับความเปนจริงโดยธรรมชาติ คือ โดยธรรมดาแลวสิ่งทั้งหลายนั้นเปนกระบวนการของเหตุปจจัย ตามทีท่ านกลาววา ยถาปจฺจยํ ปวตฺตนฺติ 53 ชีวิตกับครอบครัว


สิ่งทั้งหลายเปนไปตามเหตุปจจัย ไมเปนตัวของตัวเอง และไมเปนของใคร ที่วาไมเปนตัวของ ตัวเองก็คือวา สิ่งทั้งหลายประกอบดวยเหตุปจจัยก็ยอมจะเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปจจัยนั้น สมมุติวา น้ําแกวหนึ่ง ในอากาศธรรมดามันเปนน้ําเย็นพอประมาณ เมือ่ อยูในตูเย็นสักระยะหนึ่ง มันก็จะเย็นจัด ถาเย็นถึง 0 องศาเซลเซียส มันก็จะกลายเปนน้ําแข็ง พอออกจากตูเย็นวางไวในอากาศธรรมดา มันจะคอยๆ ละลาย แลวกลายเปนน้ําเย็นธรรมดาเอง คราวนี้เราเปลีย่ นเงื่อนไขหรือเหตุปจจัยใหม เราเอาน้ํานัน้ ใสกาตม ก็วางไวบนเตาไฟ มันจะคอยๆ รอนจนเดือด แลว กลายเปนไอไปสูอากาศ เหมือนน้ําทัว่ ไปที่ถูกแสงแดดแผดเผาใหกลายเปนไอไป แลวก็ไปรวมตัวกันเปนเมฆ ตอมาก็ตกลงเปนฝน เปนน้ําธรรมดาอีก น้ํานั้นโดยธรรมดาไมมสี ี แตเปลี่ยนเปนสีตา งๆ เพราะการปรุงแตงภายหลัง อันนี้ก็จะเห็นวา สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปจจัยอยางนี้ คราวนีเ้ มื่อมันเปนอยางนี้มันจึงไมมตี ัวตน หรือเปนตัวตนที่แทจริงที่พอจะใหเรายึดถือได ใครไปยึดถือเขาก็มีแตความทุกข ความรอนใจ เพราะมันไมอยูในอํานาจ มันฝนความปรารถนาของเราเสียแทบทุกอยาง เราจึงตองปลงใจใหได ปลอยวางใหไดวา มันเปน เชนนัน้ เอง ตถตา มันเปนเชนนั้นเอง อนัญญตา มันไมเปนอยางอื่นหรอก มันเปนเชนนัน้ แหละ มันเปนอยางที่มันอยากจะเปน ตามเหตุปจจัยของมัน ไมใชมันจะเปนอยางที่เราอยากจะใหมนั เปน ถาเราปลงใจไมได ปลอยวางไมไดกเ็ หมือนกับไปกอด งูพิษเอาไวและมันจะขบกัดเอา มันจะกัดเจาของ เราเลี้ยงงูพิษ เอาไว เพราะความยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละครับ มันเปนงูพษิ ที่เราไปยึดเปนเจาของ มันจะกัดเอา เพราะฉะนั้น ตองทําใจใหปลอยวางไดในทุกสิ่งทุกอยาง การทํางานก็ตอ งทําไปตามหนาที่ หนาที่เพื่อหนาที่ และก็หนาที่เพื่อทําความถูกตองเหมาะสม หรือเพื่อผดุงธรรมไวในโลก เรียกวาทํางานเพื่อบูชาธรรม ทานใชคําวา ธรรมยาคะ ไมใชเพื่อบูชาเงินหรือลาภยศชื่อเสียง ซึ่งถาทําอยางนั้นมันจะยอนกลับมาเปนพิษเปนภัยภายหลัง หัวขอธรรมทั้ง 4 หัวขอ ซึ่งพระพุทธเจาทานตรัสเปนสวัสดีธรรมนี่สําคัญไมใชนอย แมสําหรับฆราวาสผูครองเรือน เพราะฆราวาสผูครองเรือนก็มีเรื่องที่จะตองยึดมั่นถือมั่นเยอะ ถาไมรูความจริงก็หลงไปยึดมั่นถือมั่นมันเขา มันก็กัดเอาแยเลย เดีย๋ วสิ่งนั้นกัด เดีย๋ วสิง่ นี้กัด เดี๋ยวสิ่งโนนกัด การที่ไปยึดถือมันไวนั่นแหละ 54 ชีวิตกับครอบครัว


ถาปลอยวางเปน เหมือนคนแบกของหนักอยูมันตองวางเสียบาง ไมใชแบกอยูตลอดเวลา ถึงคราวที่จะตองนําไปก็แบกไป แตไมใชแบกอยูตลอดเวลา มันก็ตองวางบาง ถาวางโดยมากมันก็เบาโดยมาก มีชีวิตที่เบาสบายรื่นรมยไมรจู ะพูดอยางไร แตวารูสึกได ถาใครไดสัมผัสกับสิ่งเหลานัน้ มันก็รูสึกได ผูที่ประกอบดวยธรรม 4 ประการคือ ปญญา ความเพียร อินทรียสังวร การปลอยวางในทุกสิ่งทุกอยาง ก็จะไดรับผลตอบแทนคือความโปรงใจ ประสบความสวัสดีในทุกที่ทกุ สถานในทุกกาลทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นผูท ี่มุงความสวัสดี จึงควรจะตองพอกพูนธรรม 4 ประการนี้ใหเจริญงอกงามขึ้นในตน เมื่อตนบริบูรณดว ยธรรมแลว ธรรมก็จะคุมครองใหมีความสุขสวัสดีเหมือนคนทีส่ มบูรณดวยอาหาร อาหารนั้นก็จะหลอเลี้ยงใหเขามีรางกายแข็งแรง ตอสูโรคภัยไขเจ็บบางอยางได เชนโรคที่เกิดจากการขาดอาหารเปนตน นี่ก็จวนจะขึ้นวันปใหมของไทยแลว วันสงกรานตนะครับ ก็มีปใหมจนี ปใหมฝรั่ง ซึ่งเราเอามาบาง โบราณเราก็ถือเอาวันสงกรานตเปนวันปใหม การใหพรกันในวันปใหม หรือในวันสงกรานต ผูมุงจะรับพรก็ควรจะประพฤติคุณงามความดีอยางใดอยางหนึ่ง แลวก็อธิษฐานขอพร การขอนั้นอาจจะสําเร็จไดบนพื้นฐานของเหตุ คือ คุณงามความดี ไมใชพรจะสําเร็จไดลอยๆ โดยปราศจากเหตุปจจัย การที่จะสงความปรารถนาดีใหแกกัน หรือการรดน้ําสงกรานตกัน ก็เปนการใหพรและเปนการรับพร ถามนุษยเรามีความปรารถนาดีตอกัน มีเมตตาตอกัน อันนั้นก็เปนพรของชีวิตอยูแลว ถามนุษยเรามีความปรารถนาดีตอกันอยางสม่ําเสมอแลว ภัยอันตราย ตางๆ ก็จะไมมี เปนอันวาสัตวทั้งหลายก็ถึงความสวัสดีโดยทัว่ หนา ทั้งนี้ก็โดยมีปญญาเปนตัวนํา และมองเห็นอยางชัดเจนวา ความไม เบียดเบียนกันเปนความสุขในโลก หรือความสํารวมในสัตวทงั้ หลาย เปนความสุข การกําจัดความทะนงตนเสียได จะเปนความสุขอยางยิ่ง อันนี้ก็เปนพุทธสุภาษิตในพุทธอุทาน พระไตรปฎก เลมที่ 25 เพราะฉะนั้น คนที่ตองการความสวัสดี ก็ตองดําเนินตามทางของความสวัสดี ก็จะประสบความสวัสดี เหมือนผูที่ตองการดอกไม ถาเขาไปในสวนดอกไมกจ็ ะไดดอกไม ผูท ี่ตองการความสวัสดี ก็ตองเดินไปตามทางของความสวัสดี ตามที่พระพุทธเจาทานทรงสอนเอาไว ธรรมของฆราวาสธรรม ในประการที่กําลังกลาวอยูน ี้คือ ทมะ การควบคุมตนเอง หรือการสํารวมอินทรีย เพื่อจะใหอยูกบั รองกับรอย กับสิ่งที่ควรจะเปน ในการควบคุมตัวเองนี้ 55 ชีวิตกับครอบครัว


เราจะตองระมัดระวังไมใหมคี วามสะดวกสบายทางกายมากเกินไป ความสะดวกสบายทางกาย แมจะจําเปนตองมีอยูบาง แตถามีมากเกินไปก็จะเปนโทษมากกวาเปนคุณ ทําใหฟุงเฟอฟุมเฟอย แลวมันก็จะดึงใจของเราไมใหขึ้นสูง มันจะดึงใจของเราใหตกต่ําลงไป ถาเผื่อมีมากเกินไป และถาเราอยูอยางต่ํา เราก็ทําอะไรอยางสูงไดมาก ทําอะไรอยางสูงก็คือการบําเพ็ญประโยชนแกมวลมนุษยชาตินั่นเอง ทําแตละวันแตละเดือน แตละปมันก็เต็มไปดวยประโยชน การบําเพ็ญประโยชนแกมวลมนุษยชาติควรจะเปนจุดมุง หมายอันยิ่งใหญของเรา หรือของมนุษยทุกคน ถาเผื่อเขามีจิตสํานึกอันนี้ เขาก็จะทําแตสิ่งที่ดีงาม ทมะ คือการฝก คือฝกตนบาง ชวยผูอื่นใหไดรับการฝกบาง มันก็ขยายขอบเขตของการฝกออกไปจากครอบครัวไปสูหมูบาน ตําบล อําเภอ จังหวัด หรือประเทศ ถาเราทําไดพรอมๆ กัน สวัสดิภาพแกครอบครัว แกสังคม ก็จะเกิดขึน้ มาก นี่เบื้องแรกก็เพื่อความสวัสดีของครอบครัว เราจะตองชวยกันควบคุมลิ้นไมใหตดิ ในรสจนเกินประมาณ คนที่สามารถจะควบคุมลิ้นได ก็จะสามารถควบคุมอยางอื่นไดอีกหลายอยาง แมแตสามารถจะควบคุมความรูสึกทางเพศได ในการควบคุมนี้ หัวหนาครอบครัวจะตองเปนผูนํา ถาหัวหนาครอบครัวเปนผูน ําสม่ําเสมอแลว ผูท่อี ยูในครอบครัวก็จะไดเห็นแบบอยางที่ดี เขาก็จะเอาอยาง ทําตามไดโดยไมยาก เด็กๆ ในครอบครัวนีโ่ ดยธรรมชาติเด็กๆ เปน Good Imitator เปนนักเลียนแบบที่ดี เขาตองการแสวงหาแบบ ใครพอจะเปนแบบได พอเปนวัยรุนมาจะไปคลั่งดาราหรืออะไรตางๆ แตถาเขามีแบบในใจของเขา ในครอบครัวไดแลวเขาจะไมไปทําอยางนัน้ ความรูสึกอยางนั้นอยางนอยก็จะลดนอยลง ธรรมชาติมีความยุติธรรมเสมอ บางทีคนไมลงโทษ แตธรรมชาติจะลงโทษ ถาเราตกเปนทาสของลิ้นมากเกินไป เทีย่ วแสวงหาชีวิตวันหนึ่งๆ ก็มีแตเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเลน ธรรมชาติมันจะลงโทษเอา และธรรมชาติมีความยุติธรรมเสมอ แตวาเราไมรู มันคอยเปนคอยไป เพราะฉะนั้น ถาควบคุมลิ้นได คาใชจายในครอบครัวก็จะลดลงทันที ลดลงเยอะดวย อะไรไมจําเปนก็เลิกไปทิ้งไป ถาจะไปกินขาวราคาแพง ก็ลองถามตัวเองวา จําเปนไหม สมควรไหม ทีนี้คําตอบมันจะออกมาวาไมจําเปน ไมสมควรก็ไมไป กินกันในครอบครัวก็สบายดี มีอาหารอะไรนิดๆ หนอยๆ พอกินใหชีวติ เปนไปได ทีไ่ ปรับประทานขางนอกมากๆ ราคาแพงๆ แตละมื้อมันเกีย่ วกับความสนุกเพลิดเพลินในรส แตเอาเถอะถาเผื่อนานๆครั้งมันก็ไมเปนอะไรหรอก แตก็ตองถือวาเราก็ไดตามใจกิเลสไปบางแลว

56 ชีวิตกับครอบครัว


ในครอบครัวอยาชวยเหลือลูกมากเกินไป อยาตามใจลูกมากเกินไป ใหเขาอยูไปตามสมควร เสมอวาสมควรแคไหน ถึงแมวาเราจะมีทรัพยสิน มีสิ่งทีจ่ ะอํานวยใหเขาเพียงพอ แตก็ตองนึกถึงความสมควรแคไหน วาเขาควรจะไดรับความสมควรแคไหนตามสมควรแกเขาไมเกินตัว ไมใหใชชีวิตเกินตัว ใหใชชวี ิตใหพอดีกับตัว เราเปรียบเหมือนการสวมเสื้อผา ก็คือวา ไมสวมเสื้อผาคับเกินไป ซึ่งเปนเหตุใหอึดอัด และเสือ้ ผามันก็ขาดเร็ว และก็ไมหลวมเกินไปจนดูแลวมันนาเกลียด ก็ใหพอดีตัว ใหเขาทําอะไรใชอะไรใหพอดีตัว ใหเหมาะสมกับตัว อยางนั้นทุกอยางมันจะลงตัวพอดี เด็กๆ บางทีก็อยากไดจนเกินขอบเขตไปบาง ผูใหญในครอบครัวก็ตองเอาใจใสดูแล อธิบายเหตุผลชี้แจงแนะนํา ถาเขาศรัทธาในตัวผูนําอยูแลว ปญหามันก็ไมมี เขาก็เชือ่ ฟง นี่พูดถึงการเอาชนะ หรือการควบคุมอายตนะ ผูที่สามารถเอาชนะความรูสกึ ได ถือวาเปนผูประเสริฐสุดในโลก วาเปนที่รวมคุณสมบัติที่เลอเลิศทุกประการ ขอใหทบทวนดูอีกทีนะครับวา ถาตองการใหมีคุณลักษณะเปนที่รวมคุณสมบัติที่เลอเลิศทุกประการ ก็จะตองเอาชนะความรูสึกใหได คําวาเอาชนะความรูสึกในทีน่ ี้ก็หมายความวา ใหดําเนินชีวิตอยูใ นแนวแหงเหตุผล ไมใชดําเนินชีวิตไปตามความรูสึก เอาชนะความรูสึกได โดยเฉพาะความรูสึกที่เกี่ยวกับ อายตนะ ไมตามใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ทีก่ ิเลสมันจะชักนําไป ตามความอยากและความรูสึกมันชักนําไป ไมใชตามเหตุผลหรือตามความควร บางอยางเราก็ไมรวู า ถูกหรือผิด จับผิดก็ไมได เอาถูกก็ไมได ไมรูวาอะไรถูกหรือผิด แตวา เราเอาความควรเขาไปจับได มันมีตัวอยูอกี ตัวหนึ่ง oughtness ความควร ความที่สมควรแกเหตุ สมควรแกตน สมควรแกครอบครัว มันจะลงตัวหมดทุกอยาง การฝกตนโดยแกไขขอบกพรองของตนเอง ผูที่ฝกฝนตนเองจะตองพยายามหาขอบกพรองของตนอยู เสมอ แลวก็พยายามแกไขขอบกพรองนั้นใหได มันแกได ที่แกไมไดคือไมไดแก ไมตั้งใจทีจ่ ะแก ถาตั้งใจจะแกตองแกได หรือขอใหเราไดแสดงใหเห็นวา เราไดใชความพากเพียรพยายามอยางยิ่งแลวในการแกไขขอบกพรอง ในการควบคุมตนเอง ในการแกไขปรับปรุงตนเอง จะไดสักเทาไหรก็เปนอีกเรื่องหนึ่ง บัณฑิตไมตําหนิ ไมมีใครติเตียน ถาใครตอใครรูและไดเห็นวาเราพยายามอยูแลว คนที่ฝกฝนตนเองได ก็จะทําใหเปนทีน่ าบูชา ทั้งของเทวดาและมนุษย อยาพูดแตของมนุษยเลย แมเทวดาก็ตองการจะบูชาบุคคลเชนนั้น อยางที่กลาวชมเชยพระผูมีพระภาคเจาทีว่ า อตฺตทนฺตํ ผูฝกฝนตนไดแลว 57 ชีวิตกับครอบครัว


สมาหิตํ มีจิตใจมั่นคง จะใชศัพทอีกศัพทหนึ่งก็ไดวา อตมฺมยํ เปนผูทถี่ ูกอะไรชักจูงไปไมได เปนผูที่คงที่ อันอะไรๆ จะชักจูงไปไมได อตฺตหนตํ สมาหิตํ อตมฺมยํ เทวาปนํ นมสฺสนฺติ เทวดาทั้งหลายยอมจะนอมนมัสการบุคคลเชนนั้น ขอย้ําพระพุทธสุภาษิตอีกทีหนึ่งวา ทนฺโต เสฏโฐ มนุสฺเสสุ ในหมูมนุษยดว ยกัน ผูที่ฝกตนไดแลวเปนผูที่ประเสริฐที่สุด ที่วา มนุษยเปนสัตวประเสริฐนัน่ ไมไดหมายความวา เกิดมาแลวก็ประเสริฐเลย แตก็ตองเปนคนที่ไดฝกตนแลว จึงจะเปนผูป ระเสริฐ มนุษยทไี่ มไดฝกตนใหประเสริฐ กลับจะเลวกวาสัตวเดรัจฉานดวยซ้ําไป เราจะเห็นมนุษยบางพวก บางคน เอามาตรฐานสัตวเดรัจฉานมาวัด ก็ยังต่ํากวาดวยซ้ําไป ยังไมไดฝกฝนตน มีแตสัญชาตญาณสัตวทมี่ ีอยูในตัว มันแสดงออก มันขมความรูส ึกความเปนมนุษย แลวก็ใหเหลือแตสัญชาตญาณสัตวกแ็ สดงออกมาอยางนั้น กดขี่ขมเหงเบียดเบียนผูอื่น ดวยวิธีการนานาประการ เชน ผูชายตั้ง 13 คน ไปฉุดคราอนาจารผูหญิงคนเดียว ซึ่งหนีลงไปในหนองน้ําแลวก็ยังตามขึ้นมา ฉุดกระชากลากถูไปกระทําอนาจาร แบบนี้จะใหเรียกวาอยางไร มันมีอะไรอยูใ นตัวเขาในจิตใจของเขา การฝกใหเปนคนพูดนอย มีการฝกฝนตนอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ ฝกฝนตนใหเปนคนพูดนอย นี่ก็เปนอีกวิธีการหนึ่งทีจ่ ะฝกฝนตน ควบคุมอินทรีย ฝกฝนตนใหเปนคนพูดนอย ลิ้นมีหนาที่อยูส องอยางคือ รับรสอยางหนึ่ง และมีหนาที่ในการพูดอีกอยางหนึ่ง เราควบคุมลิ้นนอกจากในเรือ่ งรสแลว ก็ใหเปนคนพูดนอย หรือวาพูดเมื่อจําเปนตองพูด และก็หยุดพูดเมื่อหมดความจําเปนแลว ในที่บางแหงเราจะพบวามีคนพูด แตไมคอยมีคนฟง คนพูดกันขรมไปหมด ไมคอยมีคนฟง แมในที่ที่ตองการความสงบอยางยิ่ง ก็มีคนพูด เขาอดไมได ไมไดฝก ไมไดควบคุมตนเอง ไมไดฝกฝนตนเอง ในเวลาฟงธรรมเปนเวลาที่ตอ งการความสงบที่สุด ตองการความเรียบรอยที่สุด ในสถานที่นั้นก็มีบอยๆ ที่ทานจะเห็นวามีคนพูดกัน คุยกันเปนกลุม ๆ ก็มี มันเสียบรรยากาศ มันทําลายความสงบของผูอื่นที่เขามีความตัง้ ใจ ฝกฝนตนใหเปนคนพูดนอยหรือพูดเมื่อจําเปนเทานัน้ และแมในเรื่องทีจ่ ําเปนตองพูด ก็พูดแตพอประมาณ และหยุดพูดเมือ่ หมดความจําเปนแลว

58 ชีวิตกับครอบครัว


สําหรับพระภิกษุนนั้ พระพุทธเจาไดตรัสสอนเอาไวอยางดีมากวา สนฺนิปติตานํ โว ภิกฺขเว ภิกษุทั้งหลายเมื่อพวกเธอมาประชุมกัน ทวยํ กรณียํ ธมฺมกี ถา วา พูดธรรมะ สนทนาธรรมกัน หรือวาอริโย วา ตุณฺหภี าโว นิ่งเสียยังดีกวา เมื่อเธอทั้งหลายมาประชุมกัน มีกิจที่จะตองทําอยูสองอยางคือ พูดธรรม สนทนาธรรม คือถาจะพูดก็พูดธรรม สนทนาธรรม หรือมิฉะนั้นก็นิ่งเสียดีกวา อริโย วา ตุณฺหภี าโว นิ่งเสีย ดีกวา ถาไมพดู ธรรมก็อยาพูดอะไรเลย นี่สําหรับภิกษุทั้งหลายมีบาลีพระพุทธพจน เตือนไวอยางนี้ ยืนยันอยูอยางนี้ ถาเผื่อพระภิกษุของเราทําไดอยางนี้ เรื่องเพอเจอก็ไมมี สิ่งที่ไมควรพูดก็ไมมี มีแตสิ่งดีงามตางๆ ก็นาเลื่อมใส หรือวาแมจะพูดเรื่องอื่นบาง ก็พูดแตนอย ทํานองนี้นะครับ ตอมาแสดงใหเห็นถึงวา ความคิดคําพูด ประสิทธิภาพของคําพูดมีความสัมพันธกัน คําพูดที่กลั่นกรองออกมาจากความคิดที่สขุ ุมลุมลึกนั้นแหละก็ทรงอานุภาพเปนอันมาก คือแมจะพูดแตนอย แตคําพูดนัน้ กลั่นกรองมาแลวจากความคิดที่สุขุมลุมลึก มันก็จะเปนคําพูดที่ทรงอานุภาพเปนอันมาก นี่คือประสิทธิภาพ ของคําพูด ที่มีความสําคัญเปนอันมาก คําพูดของคนที่ฝกตนแลวและก็พูดใหเราฟง กับคําพูดของคนที่อานตํารามาพูดใหเราฟงนั้น จะมีความบันดาลใจที่ผิดกันมาก คือเราจะรูสึกไดดวยตนเองวาตางกัน คําพูดของคนที่ฝกตนแลวก็พูดออกมาจากการฝกตน ไดประสบความสําเร็จในการฝกตนแลว แมจะพูดเพียงสั้นๆ แตจะมีลักษณะลึก คม และกินใจ ที่สําคัญก็คือทําใหจิตสํานึกของเราสวางไสวตามไปดวย ถาเผื่อทานไดพบบุคคลเชนนั้น กิริยาอาการของเขาก็จะแสดงถึงความบริสุทธิ์ และความสวางอยูภายในอยางนาอัศจรรย อันนี้เกีย่ วกับการฝกในเรื่องคําพูด คนที่ควบคุมใจหรือความคิดได การควบคุมกาย วาจาก็เปนของงายเหลือเกิน บางคนนี่ลําบากเหลือเกินในการควบคุมทีจ่ ะไมใหพดู แตสําหรับคนที่ควบคุมใจไดแลว การไมพูดเปนเรื่องที่สบายมาก คือวาอยูไ ดเปนวันโดยทีไ่ มตองพูดก็ได หรือเกือบ ไมอยากจะพูดอะไรเลยถาเผือ่ วาไมจําเปน และอยูก ับความรูสึกนึกคิดทีส่ ุขุมลุมลึก อันนั้นมันก็เปนความสุข ความเพลิดเพลินเพียงพออยูแ ลว สําหรับบุคคลอยางนั้น และก็สิ่งยัว่ ยวนตางๆ ที่ชาวโลกเขาติดใจหลงใหลกันอยู ก็ไมอาจที่จะครอบงําใจของบุคคลอยางนั้นได เขาจะมีความสุขและมองโลกไปอีกแงมุมหนึ่ง สามารถที่จะครองตัวอยูไดอยางสบาย

59 ชีวิตกับครอบครัว


เมื่อเปนเชนนี้ ถาทานสังเกตก็พบเห็นวามีคนเปนจํานวนมากยินดีที่จะเขาใกลคบหาสมาคมกับบุคคลเชนนั้น คบหาสมาคมอยางสนิทชิดใกลได เพราะรูวาเขาสามารถที่จะควบคุมตนเองได ไมใหกระทําสิง่ ใดที่ไมตองการจะทํา และก็ไมหลอกลวงผูที่จะคบหาสมาคมดวย นี่เปนคุณลักษณะพิเศษสําหรับบุคคลที่ฝกฝนตนเอง และก็ไดฝกฝนตนเองตามสมควรทานลองนึกดูวา พระสัมมาสัมพุทธเจาของเราไดประสบความสําเร็จอยางสูงในเรื่องเหลานี้ จะมีพลังและอํานาจดึงดูดบุคคลไดเพียงใด และพระวาจาของพระองคนนั้ จะทรงประสิทธิภาพเพียงใด เพราะฉะนัน้ ถาทานศึกษาพระพุทธศาสนา ผมขอแนะนําในฐานะที่ไดเดินทางนี้มาพอสมควร ขอแนะนําใหทานอานพระพุทธพจนใหมากๆ และอานหนังสืออื่นที่ดๆี บาง แตวาอยา ทิ้งพระพุทธพจน เพราะนัน่ เปนสิ่งสําคัญและเปนแรงบันดาลใจที่สําคัญที่สุดในพุทธศาสนา ทานไดตรัสออกมาจากสิ่งทีท่ านมีประสบการณ และก็ไดฝกมาแลว ทํามาแลว ที่พูดถึงวันกอนเรื่อง อุปญญาตธรรม ธรรมที่ทรงบัญญัติขึ้นสอนวา ไดปฏิบัติไดผลมาแลว แลวก็นํามาบัญญัติขึ้นสอน เรื่องความไมสันโดษในกุศลธรรม และความไมถอยหลังในความเพียร วาแมจะมีชีวติ อยูในระยะสั้น ก็ยังดีกวาคนทีม่ ีชีวิตอยูด วยความเกียจคราน การสํารวมอินทรีย กลับมาถึงเรื่องการสํารวมอินทรียตอไปอีกสักหนอย ใน ทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต นีค่ ือหมวด 10 นะครับ คัมภีรอังคุตตรนิกาย พระพุทธเจาทรงแสดงเอาไววา การไมสํารวมอินทรีย ไมฝกอินทรียเปนอาหารของทุจริต 3 คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และไดทําใหทจุ ริต 3 ไดอาหาร เมื่อทุจริต 3 ไดอาหารคือความไมสํารวมอินทรีย เมื่อไดอาหารมากขึ้นเมื่อไหร มันก็จะเจริญเติบโตมากขึ้นเทานั้น ทานลองนึกดูสิครับ ทุจริตในสังคมของเรามันมีมากมาย ก็จากการที่คนไมสํารวมอินทรียนั่นแหละ มันมีอาหารอยูม ากมาย ทําใหอวนพี ทุจริตอวนพี ถาเราไดสํารวมอินทรียกันเสียหนอย ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะใจมันเกิดละอายที่จะทําเชนนัน้ มันก็ทําไมได ทุจริตมันก็เจริญเติบโตไมได อะไรพอเลี่ยงไดก็เลี่ยง การฝกอินทรียม ีหลายวิธี เชน 1. วิธีเลี่ยงสิ่งที่คิดวาจะเอาชนะไดยาก

60 ชีวิตกับครอบครัว


อะไรที่เราคิดวาจะเอาชนะไดยาก เวลานี้กําลังเรายังไมพอที่จะเอาชนะมันได ก็เลี่ยงเสียบาง โดยวิธีเลี่ยง เชน คนชอบซื้อเสื้อผาสวยๆ ชอบกินอาหาร อรอยๆ โดยไมจําเปน ก็ฝกไมไปดู ไมไปเห็น เลี่ยงเสียอยาไปดู เขาแสดงเสื้อผาอะไรที่ไหนสวยๆ ถาไปเห็นแลวมันอดไมได เราก็เลี่ยงเสียไมไปดูมนั มีงานอะไรทีไ่ หน แสดงที่ไหน มีสินคาอะไรที่ไหน ถาเผื่อเราคิดวาเห็นแลวมันอดไมได ทีจ่ ริงมันไมจําเปนตองซื้อหรอก แตเห็นแลวมันอดไมไดก็เลีย่ งเสีย รถก็ติด รอนก็รอน เหนื่อยก็เหนื่อย เงินก็เสีย ดูแลวมันเสียทั้งนัน้ ก็เลี่ยงเสีย 2. ใหมีสติเมื่อตองเผชิญหนา เมื่อจําเปนตองเผชิญหนา ถาสมมุติวาเอาละมันไปแลว เมื่อจําเปนตองเผชิญหนาก็ใหมีสติ พิจารณาโทษของมันและก็พยายามเอาชนะความตองการนั้นใหได เขาลดราคาเยอะเลยถาไมจําเปนก็ไมเอา ถาไมจําเปนเอามาก็ทิ้งเอาไวเฉยๆ ไมไดใชอะไร มันก็เทากับวาซื้อของแพงอยูดี แพงกวาที่เราจะไปซื้อของเมือ่ ยามจําเปนเสียอีก เพราะวาไมไดใชมนั ซื้อมาทิ้งเฉยๆ เปนแตเพียงอยากไดเทานั้นเอง คราวนี้เมื่อชนะไดครั้งหนึ่งแลวก็จะเปนพืน้ ฐาน หรือเปนบารมีใหชนะในคราวตอๆ ไปแนนอน เหมือนนักรบที่เคยชนะ ไกตัวที่มันเคยตีไมเคยแพ มันก็จะไมคอยแพ อันนี้เปนอีกวิธีหนึ่ง หรืออีกวิธีหนึง่ ก็คือฝก ฝกโดยทรมานใจอยางตรงไปตรงมา ไมใหสิ่งที่อยากทํา อยากได อยากบริโภค แตเห็นวาไมสมควร เชน อาหารที่ชอบแตรูสึกวามันไมสมควรจะกิน มันไมถูกกับโรค ก็ฝกทรมานใจอยางตรงไปตรงมา คือไมให ชอบก็จริงแตไมให คือไมใหตามที่อยากจะได 3. ถาแพ ตองพยายามเอาชนะคืนใหได เปนธรรมดาของการตอสูชนิดนี้ มันตองมีการแพบาง ทีแรกก็ตองมีการแพบาง ชนะบาง คราวชนะเราก็รักษาความชนะเอาไว แตถึงคราวที่แพลงคราวใด ก็ใหรูสึกเสียใจที่เราตองพายแพกับความรูสึกอันนั้น ไมสามารถที่จะบังคับตัวเอง หรือไมสามารถที่จะเอาชนะตัวเองได เชน คนตั้งใจจะฝกตนเปนคนไมโกรธ ใน 7 วันนี้เราจะฝกตัวเปนคนไมโกรธ ถามันตองแพบาง คราวใดที่โกรธลงไปแลว ก็ใหรูสึกเสียใจวาคราวนีก้ ารตอสูไดพายแพลงไปแลว แตตองคิดที่จะเอาชนะกลับคืนมาใหไดในคราวตอไป ในเหตุการณอยางเดียวกันนัน้ หรือในเหตุการณอยางอื่นก็แลวแต เราจะตองพยายามทีจ่ ะเอาชนะกลับคืนมาใหได ไมยอมแพตลอดไป และก็ตองพยายามถอนตนขึน้ มาจากหลมคือ หายนะ คือความเสื่อม มีอุปายโกศล ความฉลาดในการที่จะหลีกความเสื่อม เดินไปตามทางของความเจริญ และถอนตนขึน้ มาจากหลม

61 ชีวิตกับครอบครัว


พระพุทธเจาทานสอนวา “ทานทั้งหลายจงเปนผูยนิ ดีในความไมประมาท” อปฺปมาทรตา โหถ “จงตามรักษาจิตของตน” สจิตฺตมนุรกฺขถ ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตานํ จงถอนตนขึ้นมาจากหลม คือกิเลสตางๆ ซึ่งมันเปนหลมเลน ปงฺเก สนฺโนว กุฐ ฺชโร เหมือนชางศึกตกลงไปในหลม แลวถอนตนขึ้นมาจากหลมจนได มีเรื่องเลาไววา ชางศึกของพระเจาปเสนทิโกศล ไปตกหลมและก็ถอนตนขึ้นมาไมได คงอยูในหลมเปนเวลานาน หลมคงลึกมาก ไมรูจะทําอยางไร มีผูฉลาดบอกวา ชางมันเปนชางศึก ตองตีกลองศึก พอไปตีกลองศึก ชางมันไดยินกลองศึกมันก็รวบรวมกําลังทั้งหมดเทาที่ตนมีอยู ถอนตนขึ้นมาได พระภิกษุไปบิณฑบาต ไดทราบเรื่องนี้วาชางศึกตกหลม และมันก็ถอนตนขึ้นมาไดดว ยการไดยินเสียงกลองศึก มันเปนชางศึก ก็มากราบทูลพระพุทธเจา วามันเปนเรื่องอัศจรรย เปนเรื่องแปลก พระพุทธเจาทานก็เอาอันนีแ้ หละเปนสิ่งประกอบการสอน พระองคเลยตรัสวา “เธอทั้งหลายก็เหมือนกัน จงเปนผูยินดีในความไมประมาท จงตามรักษาจิตของตน และก็จงถอนตนขึ้นมาจากหลม คือกิเลส เหมือนกับชางศึกตัวนั้นแล” พระพุทธเจาไปพบเห็นอะไรเขา ไดทราบเรื่องอะไรเขา ทานก็จะเอามาเปนอุปกรณการสอนพระภิกษุ หรือวาอุบาสก อุบาสิกา พุทธบริษัท เพราะฉะนั้น ถาเกิดพายแพขึ้นมา ก็ตั้งใจวาคราวตอไปเราจะเอาชนะ พยายามทีจ่ ะเอาชนะสิ่งนั้นใหได ไมตกอยูใ นอํานาจของอะไรที่มันทําใหเราพายแพอยูเรื่อย อันนีก้ ็ตองฝกตน บัณฑิตทัง้ หลายยอมฝกตน ที่พระพุทธเจาทานตรัสวา อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา บัณฑิตทั้งหลายยอมฝกตน 4. ฝกตนใหเปนคนพูดหรือทําอยางที่สอนเขา การฝกผูอื่นก็เปนของที่ทําได หรือเปนผูควรที่จะฝกผูอนื่ เพราะวาตนนั้นแหละเปนสิ่งที่ฝกไดยาก นี่เปนพระพุทธภาษิตใน ธรรมบท ขุททกนิกาย พระไตรปฎก เลมที่ 25 เปนพระพุทธ-ภาษิตทีว่ า ฝกตนใหเปนคนทําแลวพูดอยางที่สอนเขา ฝกตนดีแลวก็ควรจะฝกผูอื่น เพราะวาตนนั้นแหละเปนสิ่งที่ฝกไดยาก หรือวาตั้งตนไวในคุณอันสมควรกอน ตอมาจึงสอนผูอื่นก็จะไมเศราหมอง มีเรื่องประกอบในอรรถกถาธรรมบท เรื่องของพระอุปนนท หรือพระอุปนันทศากยบุตร เรื่องเหลานี้เปนเรื่องที่สนุกดีนะครับ ฟงดูก็สนุกดี ทํานองวา พระอุปนนท ดีแตสอนคนอืน่ แตตวั เองไมทํา ไมไดฝกตน ก็มีเรื่องเลาวาพระอุปนนท เปนผูฉลาดในการกลาวธรรมกถาโนมนาวจิตใจผูอื่นใหประกอบดวยคุณ มีความปรารถนานอย เปนตน ภิกษุหลายรูปฟงธรรมกถาของทานอุปนนทแลว เกิดความเลื่อมใส และอยากปฏิบัติตาม จึงบูชาทานดวย บริขาร มีสบง จีวร เปนตน และสมาทานธุดงค ธุดงคนี่ก็คือคุณธรรมเครื่องกําจัดกิเลส 62 ชีวิตกับครอบครัว


พระอุปนนทรบั เอาของทั้งหมดที่ภิกษุสละแลวไวแตผูเดียว นีเ่ ห็นไหมครับ รับเอาของที่ภิกษุทั้งหลายสละแลวไวแตผเู ดียว มีอยูระยะหนึ่งจวนจะเขาพรรษา พระอุปนนทเที่ยวไปในชนบท คือจาริกไปในชนบท ภิกษุสามเณรในอาวาสหนึ่ง มีความรักในความเปนธรรมกถึกของทานอุปนนท จึงนิมนตใหทา นอยูจําพรรษาในอาวาสนัน้ ทานถามวา ในวัดนี้พระไดผาจํานําพรรษากี่ผืน ผาจํานําพรรษานี้ตรงกับคําบาลีวา วัสสาวาสิกสาฎก คือผาที่ถวายพระภิกษุผูอยูจําพรรษาครบ 3 เดือนแลว ออกพรรษาแลวจึงได สวนผาอาบน้ําฝนเขาเรียกวา วัสสิกสาฎก ทายกจะถวายผาอาบน้ําฝนกอนเขาพรรษา แตผาจํานําพรรษานั้นเปนผาวัสสาวาสิกสาฎก ถวายแกพระภิกษุผูที่อยูจ ําพรรษาครบ 3 เดือนแลว สวนมากบางทีก็เรียกผิด เรียกผาอาบน้ําฝนเปนผาจํานําพรรษา มันคนละตอนคนละระยะกัน พระอุปนนทถามวาในวัดนี้พระไดผาจํานําพรรษากี่ผืน พระทั้งหลายก็ตอบวา ไดผาสาฎกองคละผืน พระอุปนนทกเ็ ลยวางรองเทาไวในวัดนั้น พอเปนเครื่องหมายวา ทานอยูจ ําพรรษาในอาวาสนั้น แลวก็ไปยังวัดที่ 2 ทราบวาพระภิกษุทั้งหลายไดผาจํานําพรรษา 2 ผืน จึงวางไมเทาไว ในอาวาสที่ 3 ทราบวาพระภิกษุทั้งหลายไดผาจํานําพรรษา 3 ผืน จึงวางลักจั่นน้ําไว ลักจั่นน้ําก็คือหมอน้ํามีหูสําหรับถือคลายกับกาน้ํา เปนบริขารที่จําเปนอยางหนึ่งของนักบวชอินเดีย ปจจุบันนีก้ ็ยังเห็นนักบวชฮินดูใชอยู เมื่อไปที่ใดก็จะตองมีสิ่งนี้ติดมือไปดวย ปจจุบันเทาทีเ่ ห็นก็ทําดวยทองเหลืองเปนสวนมาก เมื่อวางลักจัน่ น้ําไวแลวก็ไปยังอาวาสที่ 4 เมื่อทราบวาพระภิกษุทั้งหลายไดผาจํานําพรรษา 4 ผืน ก็ตกลงใจอยูจาํ พรรษาในอาวาสนั้น ดูพระธรรมกถึกที่แสดงธรรมกลาวถึง คุณความเปนผูมักนอย ในพรรษาตั้งแตวันเขาพรรษาทีเดียว พระอุปนนทกก็ ลาวธรรมอันเกี่ยวดวยความเปนผูมักนอยสันโดษเปนตน ใหภกิ ษุและอุบาสก อุบาสิกาฟง แลวเลื่อมใส ถวายปจจัยมีจีวร เปนตน แกตนเปนอันมากเลยทีเดียว เมื่อวันออกพรรษามาถึงพระอุปนนทก็สงขาวไปยังวัดตางๆ ที่ทานวางบริขารไววา ขอใหสงผาจํานําพรรษาไปใหทาน ทานมีสิทธิ์รับผาจํานําพรรษานั้น เพราะทานวางบริขารเอาไวแลว

63 ชีวิตกับครอบครัว


เจาอาวาสตางๆ ทั้ง 3 วัด ไดสงผาจํานําพรรษามาถวายพระ-อุปนนทรวมกับที่ทานไดในวัดที่อยูจ ําพรรษาอีก จึงเปนบริขารจํานวนมาก แสดงวาพระอุปนนทนี่มีอิทธิพลครอบงําเจาอาวาสตางๆ พระอุปนนทกร็ วมบริขารตางๆ เปนจํานวนมาก บรรทุกใสยานนอย ขับไปเจอภิกษุหนุม 2 รูป ซึ่งไดผาสาฎกมา 2 ผืน ผา กําพลผืนหนึ่ง ก็ไมสามารถจะแบงกันได นั่งเถียงกันอยู เธอทั้งสองเห็นพระอุปนนทจึงขอรองใหชว ยตัดสิน พวกคุณแบงกันเองเถิดผมไมเกี่ยว พระอุปนนทวางทาวาไมสนใจ พวกผมนั่งแบงกันอยูนานแลวครับ ไมสําเร็จ ทานชวยหนอยเถิด พวกภิกษุก็ออนวอน พวกคุณตองเชื่อผมนะ เชื่อแนนอนครับทาน ถาอยางนั้นดีแลว พระอุปนนทบอกยิ้มอยูใ นหนา ผมจะตัดสินใหยุติธรรม พวกคุณ 2 คน แบงผาสาฎกกันคนละผืน สวนผากําพลมีอยูผืนเดียว ใหผมซึ่งเปนผูต ัดสินให เปนสิทธิ์ของผมซึ่งเปนผูตัดสิน วาแลวพระอุปนนทก็เอาผากําพลไป ภิกษุ 2 รูป ก็ยืนอาปากคาง แลวก็พากันไปเฝาพระศาสดากราบทูลเรื่องนั้นใหทรงทราบ พระพุทธเจาทานตรัสวา พระอุปนนททาํ ใหพวกเธอทัง้ สองเดือดรอนเพียงในบัดนีเ้ ทานั้นก็หาไม แมในกาลกอนก็เคยทํามาแลวเหมือนกัน ก็ทรงเอาอดีตกรรมของพระอุปนนทมาเลา ทานก็เลาเรื่องนาก 2 ตัว ไปหาปลา แลวก็ไดปลามาตัวหนึ่ง ก็ไมรูจะแบงกันอยางไร ตัวหนึ่งก็จะเอาทอนหัว อีกตัวหนึ่งก็จะเอาทอนหัวเหมือนกัน ก็แบงกันไมได ก็เห็นหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินมาก็ขอรองใหหมาจิ้งจอกชวยแบงให หมาจิ้งจอกก็บอก โอ! พระราชาตั้งเราไวในตําแหนงผู พิพากษา แตนั่งวินิจฉัยคดีมานานเมื่อยจึงเทีย่ วออกเดินเลน ไมมีเวลาพอที่จะตัดสินเรื่องของทาน โมอยางนี้ละก็รายไหนก็รายนั้นละครับ ขี้โกง หลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ตลบตะแลง ปลิ้นปลอน สารพัดอยาง ไมวาจะเปนสุนัขจิ้งจอก หรือคนที่เปนเหมือนสุนัขจิ้งจอก ถาขี้โมแบบนี้ละก็ รายไหนรายนั้นหมายหัวไดเลย นากสองตัวรูไมทันเลหเหลีย่ มหมาจิ้งจอก จึงออนวอนขอใหชวยตัดสินแบงให สุนัขจิ้งจอกก็บอกวา ถาอยางนั้นสองตัวก็เอาทอนหัวไปหนอยหนึ่ง เอาทอนหางไปหนอยหนึ่ง ทอนกลางนี่มีเนื้อมากเปนของเราในฐานะผูต ัดสิน ก็เปนอยางนั้น พระศาสดาก็นาํ เรื่องอดีตมาตรัส แลวจึงตรัสวา แมในอดีตกาล พระอุปนนทกท็ ําใหเธอทั้งสองเดือดรอนมาแลว แลวพระพุทธเจาทานก็ตรัสวา ธรรมดาผูจะสอนผูอื่นควรจะตั้งตนอยูในที่ที่สมควรจะสอน แลวจึงตรัสตามพระพุทธภาษิตตามที่กลาวมาแลว ที่วา “บัณฑิตพึงตัง้ ตนไวในคุณอันสมควรเสียกอน แลวจึงสั่งสอนผูอื่นในภายหลัง จึงจะไมเศราหมอง” 64 ชีวิตกับครอบครัว


ก็โชคดีวาเมื่อจบเทศนาแลว ภิกษุทั้งสองรูปก็ตั้งอยูในโสดาปตติผล 2 รูป ที่พระ-อุปนนททานเอาผากําพลไป ไมไดผากําพล แตไดโสดาปตติผลดีกวาตั้งเยอะเลย พระพุทธเจาทรงเปนตัวอยางที่ดีมากสําหรับเรื่องการฝกตนหรือทรงทําอยางที่พูด ทรงพูดอยางที่ทาํ และตรัสอยางไร ทรงทําอยางนั้น อยางที่มคี ําสรรเสริญวา ตถาวาที ตถาการี “ทรงตรัสอยางไร ทรงทําอยางนัน้ ” และก็ยถาการี ตถาวาที “ทรงกระทําอยางไรก็ตรัสอยางนัน้ ” และทรงฝกพระองคดแี ลวจึงฝกผูอื่น ดวยเหตุนี้แหละครับ พระพุทธเจาจึงทรงประกอบไปดวยธรรมแหงผูกลา ที่เรียกวา เวสารัชชกรณธรรม เพราะไมทรงมองเห็นชองทีใ่ ครจะทวงติงได ทั้งในเรื่องศีล สมาธิ และปญญา และเปนตัวอยางอันดีแกพุทธสาวกทุกพวกทุกเหลา มาถึงสมัยปจจุบันนี้ ก็มกั จะไดยินเสียงบนเรื่องทุจริต และความไมยุติธรรมในสังคม แตทวาคนใดที่บนในเรื่องนีแ้ ลวก็ทําเสียเอง หรือวาพอมีโอกาสเขาบางก็ทําทุจริตเสียเอง พอเปนใหญเปนโตขึ้นมาก็ประกอบกรรมซึ่งเปนอยุติธรรมเสียเอง อยางนี้ก็เรียกวาไมไดทําอยางทีพ่ ูด หรือไมไดทําอยางที่บนเขา และคนที่บนเรื่องทุจริตแลวทุจริตเสียเอง เมื่อมีโอกาสก็ไมควรจะพูดอีกตอไป เพราะวาตัวเองก็ทําไมไดเหมือนกัน ฝกตนยังไมได ปราบตนยังไมได จะฝกคนอืน่ จะปราบคนอืน่ ไดอยางไร เปรียบไปก็เหมือนกับทหารที่ยังฝกตนเองแบบทหารไมได และจะฝกทหารอื่นได อยางไร เพราะฉะนั้น เบื้องแรกก็ควรจะฝกฝนตนเองกอน โดยปกติการสอนผูอื่นเปนเรื่องงาย และงายกวาทําเอง และการสอนใหคนมักนอยสันโดษ อยางเรื่องพระอุปนนทที่เลามาสักครูนี้ มันก็งายกวาที่พระอุปนนทจะทําเอง ดวยเหตุนี้แหละครับ เราจะเห็นวานักสอนนักพูดก็มีมาก แตวาคนทีจ่ ะสามารถปฏิบัติตนไดอยางทีส่ อน อยางที่พูดมีนอ ย คนที่มีใจเปนธรรม เมื่อติเตียนผูอื่นในการกระทําอยางใด ก็ไมควรกระทําอยางนัน้ และติเตียนกรรมอันใด ก็ไมควรทํากรรมอันนั้น หรือวาทีเ่ ขาชอบลอเลียนกันอยูเสมอ เรามักไดยินกันแทบทุกคนวา “จงทําอยางที่ฉันพูด แตอยาทําอยางที่ฉนั ทํา” ไมควรจะนําเอามาใช ไมมีใครเขาเห็นดีดว ย และไมมีใครเขายกยอง เพราะฉะนั้น ผูมีปญญา เมื่อฝกตนไดแลว ควรจะตั้งจิตเมตตาปรารถนาดีตอผูอื่น ชวยฝกผูอื่นดวยอยางที่พระพุทธเจาทานเคยกระทํามาแลว สาวกของพระพุทธเจาก็ควรจะตองเปนอยางนัน้ คือฝกตนไดแลว ชวยฝกผูอื่น อยางไรก็ตาม ตัวเองนัน้ เปนสิ่งที่ฝกไดยาก ตัวของตัวเองสวนมากก็ดื้อ และคอยใหอภัยตัวเองอยางไมรูจักสิ้นสุด และใหอภัยในสิ่งที่ไมยอมใหอภัยผูอื่น 65 ชีวิตกับครอบครัว


และถาคนอื่นทําก็จะเปนความผิดมาก แตพอตนเองทําอยางนั้นเขาบาง ก็คอยหาเหตุผลเขาขางตัวเอง ชวยตัวเอง ตัวของตัวนี่มนั ฝกยากอยางนี้ เพราะวามันจะคอยมีอคติเขาขางตัวเอง มันไมยอมลงโทษตัวเองอยางที่ตองการจะลงโทษผูอื่น ใครที่มีใจเปนธรรม ติเตียนตนเองในสิ่งที่ควรติ ก็ยอมจะปรับปรุงตัวเองใหดีขึ้นได พระพุทธเจาทานตรัสสอนเอาไววา “ภิกษุเปนโจทกดวยตนเอง หรือโจทกตนดวยตน” โจทกในทีน่ ี้หมายถึงเตือน เตือนตนดวยตน พิจารณาตนดวยตน ผูมีสติคุมครองตนไดแลว ยอมอยูเปนสุข รวมความวา ทรงสอนใหเปนโจทก เปนจําเลยและก็เปนผูพิพากษาดวยตนเอง เปนผูมหี ิริโอตตัปปะ คนที่มีหิริโอตตัปปะ ยอมจะมีความละอายที่จะใหใครมาโจทกและพิพากษาตน และใครจะเปนอยางนัน้ ไดก็ตองปกครองตนได หลักความจริงมันมีอยูวา คนปกครองตนเองไมไดยอมถูกปกครอง คนปกครองตนเองไดจงึ ไดรบั เกียรติใหปกครองผูอื่น การฝกตนเปนกิจของบัณฑิต เปนกิจทีพ่ ระพุทธเจาทรงสรรเสริญถึงกับทรงยกยองวาประเสริฐที่สุดในหมูมนุษย ตามที่พูดบอยๆวา ผูที่ฝกตนดีแลวเปนผูที่ประเสริฐในหมูมนุษย หรือบัณฑิตยอม ฝกตน อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา บัณฑิตยอมฝกตน 5. ฝกตนใหพน จากความหวัน่ ไหวในโลกธรรม การฝกตัวยอมจะทําใหผูฝกดีขึ้น เปนขั้นๆ จนถึงขั้นสุดทาย คือฝกตนใหพน จากความหวัน่ ไหวในโลกธรรม อะไรเกิดขึ้นก็เพียงแตสักวาเกิดขึ้น ไมใหใจถูกครอบงําดวยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ประสบทุกข คือบรรลุถึงความเปนบัณฑิตทีแ่ ทจริง และเปนมหาบุรุษหรือเปนมหาปราชญ หรือเปนภูเขาศิลาลวนไมหวั่นไหวดวยแรงลม บัณฑิตยอมไมหวั่นไหวในโลกธรรม มีนินทาและสรรเสริญ เปนตน ก็พิจารณาแตเฉพาะกิจทีต่ นทําวาถูกตองดีงามแลว ใครจะตําหนิบาง ใครจะชมบางก็ปลอยใหเปนเรื่องของคนเหลานั้นไป มีเรื่องเลาเกี่ยวกับเรื่องเหลานี้อยู นํามาเลาใหฟงเทาทีเ่ วลามีอยูนะครับ เรื่องพระติสสะ ในอรรถกถาธรรมบทเหมือนกัน ติสสะผูท ําความเพียร ก็ลองดูวาทานทําอยางไร พระติสสะเรียนกรรมฐานในสํานักของพระพุทธเจา และก็พระภิกษุจํานวน 500 รูป ไปจําพรรษาในปา กลาวสอนภิกษุเหลานั้นอยูเสมอวา ทานทัง้ หลายเรียนกรรมฐานในสํานักของ พระศาสดาผูยังทรงพระชนมอยูแ ลว จงเปนผูไมประมาท บําเพ็ญสมณธรรมเถิด สมณธรรมก็คือธรรมของสมณะ และทานเองก็ไปนอน

66 ชีวิตกับครอบครัว


พระภิกษุเหลานั้นก็จงกรมในปฐมยาม เขาสูที่พักใน มัชฌิมยาม พระติสสะตื่นขึ้นก็ไปยังสํานักของพระภิกษุเหลานั้น เตือนวา พวกทานมานอนกันอยางนี้หรือ จงลุกขึ้นไปทําสมณ-ธรรมเถิด วาแลวตัวทานเองก็ไปนอน พวกภิกษุจงกรมในมัชฌิมยาม แลวเขาไปสูที่พักในปจฉิมยาม พระติสสะตื่นขึ้นตอนนั้น แลวไปยังที่อยูข องภิกษุ เตือนใหบําเพ็ญสมณธรรมอีก ภิกษุเหลานั้นก็ออกจากที่อยูแลวก็จงกรมตลอดปจฉิมยาม สวนพระติสสะกลับไปนอนจนรุง เมื่อทานทําอยูอ ยางนี้เนืองนิตย พระภิกษุทงั้ หลายก็ไมอาจทําการสาธยาย หรือทําสมณธรรมใดๆ ได ไมอาจที่จะพักผอนไดในกาลอันควร จิตก็ฟงุ ซานไมสามารถดิ่งลงไปในสมาธิ ภิกษุเหลานั้นก็ปรารภวาอาจารยของพวกเรามีความเพียรเหลือเกิน พวกเราจะคอยดูทาน เมื่อคอยจับตาอยู ก็ไดเห็นกิริยาของพระเถระนั้นแลว จึงกลาววา ทานทั้งหลาย พวกเราแยแลว! อาจารยของพวกเรารองไปไมมีแกนสารอะไรในคําพูดของทาน หรืออะไรในชีวิตของทานเลย เพราะความเปนอยูอยางลําบากเกินไป ภิกษุเหลานั้นจึงไมอาจยังคุณวิเศษอยางใดอยางหนึ่งใหเกิดขึ้นได เมื่อออกพรรษาแลว จึงชวนกันไปเฝาพระศาสดา เมื่อพระพุทธองคตรัสถามถึงเรื่องการบําเพ็ญสมณธรรม จึงกราบทูลเรื่องของพระติสสะผูเปนอาจารยใหทรงทราบ พระพุทธเจาก็ตรัสวา ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุติสสะนั้นทําอันตรายแกพวกเธอในบัดนี้เทานั้นก็หาไม แมในอดีตกาลก็ทํามาแลวเหมือนกัน เมื่อภิกษุเหลานั้นกราบทูลออนวอนจึงทรงนําชาดกบางชาดกมา เชน อกาลราวิชาดก แปลวาชาดกซึ่งวาดวยไก ซึ่งขันไมเปนเวลา มาแสดงใจความวา ไกตวั นีเ้ ติบโตขึ้นในสํานักของ ผูมิใชมารดาบิดา มิใชอยูในสกุลของอาจารยจึงไมรูจักกาลที่ควรขัน หรือไมควรขัน พระศาสดาตรัสตอไปวา ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อจะสอนคนอื่นพึงฝกตนใหดีเสียกอน ดังนี้แลวจึงตรัส พระพุทธพจนที่วา บุคคลสอนผูอื่นอยางไรจงทําตนอยางนั้น เมื่อฝกตนดีแลวจึงคอยฝกผูอื่น เพราะตนเองนั้นแหละ เปนสิ่งที่ฝกไดยาก

67 ชีวิตกับครอบครัว


ขอความที่วาไกตัวนี้ อมาตาปตุสํวฑฺโฒ มิไดเจริญเติบโตอยูกับพอแม ไมไดเจริญอยูใ นสํานักอาจารย ไม รูจักกาลที่ควรขัน มันก็เลยถูกบีบคอตาย เพราะวาทําใหเขาเดือดรอน ทําใหเด็กนักศึกษาที่อยูใ นสํานักอาจารยเขา เดือดรอน เพราะเขาไมรูจะลุกขึ้นศึกษาศิลปวิทยาตอนไหน เดีย๋ วมันก็ขันตอนดึก เดีย๋ วมันก็ขันตอนรุงสวาง มันนึก จะขันตอนไหนมันก็ขัน ไมเปนเวล่ําเวลา พวกเด็กก็ชวนกันจับมาบีบคอเสีย ไกตวั นี้เด็กไปเจอมันทีป่ าชา มีคนเอาไปปลอยเอาไวที่ปาชา ไกตัวที่ขนั เปนเวลามันเกิดตายขึ้นมา มีเด็กไปหาฟนในปา ก็เจอไกตวั นี้เขาก็เลยเอา มาใหขัน แตมนั ขันไมเปนเวลา คือ เมื่อไปไดไกในปาชามันก็อยูของมันตัวเดียว และมันก็ไมไดรับการอบรม ถา พูดกันในสมัยใหมนกี้ ็เรียกวา พอแม ครูบาอาจารยไมไดสั่งสอน ไมไดเจริญในสํานักของพอแม ไมไดรับการอบรม ในสํานักของครูบาอาจารย ก็ขันไมเปนเวลา ตามชาดกพระพุทธเจา ทานทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ที่ทานก็ขันไมเปนเวลาเหมือนกัน คือลุกขึ้นมาตอน ไหนก็เอะอะโวยวายตอนนัน้ จนเพื่อนภิกษุดวยกันไมเปนอันหลับอันนอน ไมเปนอันศึกษาเลาเรียน นี่คือคนที่ ไมไดรับการอบรม ไมไดเจริญในสํานักของอาจารย เพื่อนๆ ผมหลายๆ คนที่เคยเรียนเรื่องพวกนี้มา พอไปเห็นใครหรือไปพบเหตุการณอะไรทํานองนี้ ก็มักจะ พูดกันเสมอวา ไกตัวนี้ไมไดเจริญในสํานักของอาจารย ทํานองนี้ ก็เปนอันเขาใจกัน รูก ันวามันเปนไกที่ใชไมได คนก็เหมือนกันนะครับ ถาไมไดรับการฝกฝน มันก็ฟุงซานไปไมอยูใ นระเบียบวินยั ไมฝกฝนตนเอง เรื่องของ การฝกตน หรือทมะ ก็นาจะจบเพียงเทานีน้ ะครับ อันนีก้ ็อยูในหัวขอที่สองของฆราวาสธรรม 3. ขันติ หัวขอที่ 3 คือ ขันติ ความอดทน ความอดทนนีม้ ีความจําเปนมากสําหรับคนทุกคน ไมวาจะเปนฆราวาส หรือจะเปนสมณะ สําหรับฆราวาส นั้น ที่อยูด วยกันเปนครอบครัว โดยเฉพาะอยางยิ่งก็คือสามีภรรยา ก็มีความจําเปนที่จะใชธรรมะขอนี้มาก คือจะตอง อดทนตอกัน ก็อยูดว ยกัน 5 ป 10 ป 20 ป 30 ป อยูกันไปนานๆ ก็ตองมีถูกใจบาง ไมถกู ใจบาง คนเรามันมี ขอบกพรองกันทุกคน ดีไมทั่ว ชั่วไมหมด มันก็ตองถูกใจเราบาง ไมถูกใจเราบาง มันก็ตองอดทน ถาไมอดทนก็ ทะเลาะกันตาย บางรายที่ไมไดรับการอบรมในสํานักของครู ถึงกับลงไมลงมือตีกัน เพราะความไมอดทน มีความ โกรธเกิดขึ้น ไมอดทนตอกัน ไมดับไฟเสียแตตนลม เริ่มกาวราวกัน และไมใหเกียรติกันและทะเลาะกัน หามไมอยู มีโทสะพลุงพลานขึ้นมาก็ตกี ัน เพราะวากิเลสมันออกมาในระดับพฤติกรรม กิเลสมันมีอยู 3 ชั้นดวยกัน คือชั้นลึก ที่เรียกวา อนุสัย มันอยูลึกอยูภ ายใน และกิเลสที่เปนสวนทีห่ อ หุมจิต อยู ทานเรียกวา ปริยุฏฐานกิเลส เชนพวกนิวรณ 5 ตอมาก็ระดับพฤติกรรมคือ วีติกกมกิเลส ถาเผื่อวามันอยูภายใน มาก มันเต็มอัดอยูขางในมาก ไมไดกวาดลางไมไดชําระ ไมไดทําความสะอาดจิตใจ ก็แนนอนนะครับ ตองพลุง 68 ชีวิตกับครอบครัว


พลานออกมาภายนอก มันตองออกมาระดับพฤติกรรม ถาเปนทางดีมีคณ ุ ธรรม มันก็ออกมาดี ถาไมมีคุณธรรม มีแต กิเลสหมักหมมอยูภายใน มันก็ออกมาเปนพฤติกรรมที่เปนกิเลส ที่เปนการประหัตประหาร ทําอะไรตามอํานาจของ กิเลสไป พระพุทธเจาทานจึงแสดงธรรมะขอนี้เอาไวอีกขอหนึ่ง คือความอดทน คือวาตองอดทน สําหรับบรรพชิตมี สุภาษิต บอกวาบรรพชิตหรือนักบวช สําคัญที่ความอดทนเหมือนกัน ขมา รูป ตปสฺสินํ นักบวชผูบําเพ็ญพรตสําคัญ ที่ความอดทน วิชฺชา รูป ปุริสานํ ผูชายสําคัญที่วิชชา มีวิชชาเปนสิ่งสําคัญสําหรับผูชาย โกลิกานํ สทฺทํ รูป นก โกกิลาหรือนกดุเหวา สําคัญที่เสียง สําหรับผูหญิงมีอะไรเปนสิ่งสําคัญ ทานก็มีไวอยูเ หมือนกัน แตทานก็มสี องตํารา ตําราหนึ่งบอกวา นารีรูป สุรูปตา นารีมีรูปเปนสําคัญ ความเปนคนมีรูปสวยเปนสิ่งสําคัญของนารี แตอีกตําราหนึ่งบอกวา นารีรูป ปติพฺพตา การปรนนิบัตดิ ี การชางปรนนิบัตินนั้ เปนสิ่งสําคัญของผูหญิง ใครจะเลือกเอาอันไหนก็ตามใจ แตวาใครไดทั้งสอง อยางก็เกง ไดทั้งมีรูปดีดวย และก็มกี ารปรนนิบัติดดี วย ถาใครมีคุณสมบัติทั้งสองอยาง หรือมีคุณสมบัติอื่นๆ ดวยก็ ยิ่งดี ยิ่งมีคณ ุ สมบัติมากเทาไหร มันก็ดีมากเทานั้น เพราะวาคนจะดีที่คณ ุ สมบัติ ไมใชอะไรภายนอก มันเปนของดี ชั่วคราวไมยั่งยืน คุณสมบัติเปนสิ่งสําคัญของคน เรื่องความอดทนนี้ในทางพุทธศาสนาทานแสดงเอาไว 3 ลักษณะ ดังตอไปนี้ 1. การอดทนตอความลําบากตรากตรําในการทํางาน ธีติขันติ เปนลักษณะหนึ่งของความอดทน ลําบากตรากตรําในการทํางาน อดทนตอหนาวรอน หิวกระหาย มีพระบาลีที่แสดงถึงฆราวาสธรรม 4 นั่นแหละครับ ในอาฬวกสูตร สังยุตตนิกาย พระไตรปฎก เลมที่ 25 มีของดีๆ เยอะเลยครับตรงนี้ ที่วาผูครองเรือนใดเปนผูมีศรัทธา มีธรรม 4 ประการ คือ สัจจะ ความจริง ทมะ การขมอินทรีย ธี ติ ความอดทน และจาคะ ความเสียสละ ผูนั้นลวงลับไปแลวยอมไมเศราโศก เชิญเถิด เชิญทานลองไปถามสมณ พราหมณเปนอันมากดูวา มีบางไหมในโลกนี้ ที่มีคุณคายิ่งกวานี้ มีธรรมอยางอื่นบางไหมในโลกนีท้ ี่มีคุณคายิ่ง กวานี้ มีผูมาถามพระพุทธเจา พระพุทธเจาทานก็ตรัสตอบอยางนี้ และก็ขอใหลองไปถามสมณพราหมณเหลาอื่น ดูวา จะมีธรรมเหลาอื่นบางไหมโดยเฉพาะอยางยิ่งสําหรับฆราวาส ที่จะมีคุณคายิ่งไปกวานี้ ผมเคยตั้งปญหาถามวา ฆราวาสธรรมนี้จําเปนสําหรับพระหรือไม เพราะชื่อมันเปนฆราวาสธรรม จําเปน สําหรับผูบวชไหม? ใครจะตอบอยางไรก็แลวแต ถาใหผมตอบผมก็ตอบวา จําเปนอยางยิ่ง เมื่อจําเปนสําหรับ ฆราวาสแลว แมในระดับฆราวาสก็เปนสิง่ จําเปน ทําไมจะไมจําเปนสําหรับบรรพชิต ซึ่งควรจะมีภูมิธรรมที่สูงกวา

69 ชีวิตกับครอบครัว


ในหมูฆราวาสเวลานี้การครองชีพคอนขางจะฝดเคือง หาเงินไดลําบาก กวาจะไดมาตองเหน็ดเหนื่อย เหลือเกิน เพราะฉะนัน้ ก็ตองมีความอดทนในการประกอบอาชีพการงาน ทํามาหากิน หนักเอาเบาสู ทําไปไดเงิน นอยก็เอา เพื่อจะไดมีเงินมาเลี้ยงชีพบาง และเพื่อเจริญคุณธรรมอยางอื่นบาง การทํางานมันเปนการเพิ่มพูนคุณธรรม ทํางานไดคน คือถาเราทํางานดีก็ไดเพื่อน ไดนายดี ลูกนองดี ได งานไดการฝกฝนตนเองใหเปนคนรับผิดชอบ คนที่มีความรับผิดชอบสูง ก็จะไดงานสูงยิ่งๆ ขึ้นไป แลวก็ทํางานได บุญ บางทีไดเงินนอยหนอย แตไดบุญมากหนอย ทํางานเอาบุญก็แลวกัน ดีกวาไมมีอะไรจะทํา อันนี้คือเรื่องของ การอดทนตรากตรําในการทํางาน 2. การอดทนตอการเจ็บปวย อาพาธ ทุกขเวทนา อันนี้ทานเรียกวา อธิวาสนขันติ อันนี้ก็มีขอความในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปฎก เลมที่ 10 นะครับ ที่วาครั้งนั้นแล พระผูมีพระภาคเจาทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงอดทนตออาพาธ ไมทรงเดือดรอน อันนี้ทานใชคาํ วา อธิวา-เสสิ อวิหฺฐ มาโน ตตฺร สุทํ ภควา สโตสมฺปชาโน อธิวาเสสิ อวิหฺฐ มาโน ครั้งนั้นพระผู มีพระภาคทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลัน้ อาพาธไมทรงเดือดรอน อธิวาเสสิ ก็คือ อธิวาสนะ นัน่ เอง พอมาเปน รูปนามศัพท อันนี้เปนกิริยาศัพทมันก็เปนอยางนั้น มีความจําเปนเหมือนกันวาคนที่มีความอดทนตอทุกขเวทนาอาพาธ อาพาธนิดหนอยเหมือนอาพาธมาก อาพาธมาก ก็ยงิ่ ทําอะไรไมไดเลย เพราะวาไมมีความอดทน รางกายของเรามันเปนรังของโรคอยูแลวครับ พระพุทธเจาทานใชคําวา โรคนิทฺธํ เปนรังของโรค เปนที่นอนของโรค มันก็สารพัดโรค แตละคนก็แบงๆ กันไป เราไมเปนโรคนี้คนอื่นก็เปน คนอื่นไมเปนโรคนี้ แตเราเปน อะไรก็แบงๆ กันไป ไมมารุมสุมอยูที่คนคนเดียว เพราะฉะนั้น เราตองยอมรับความจริงวา รางกายมันเปนรังของโรค คนที่มีสุขภาพกายดี แตบางที สุขภาพจิตก็ไมคอยดี เวลาสุขภาพกายดีกไ็ มระมัดระวังเพลิดเพลินไป หลงใหลไป เปนคนที่โลดแลนเกินไป ประมาทเกินไป คิดวารางกายดีกไ็ มมีอะไรเตือน เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตวทางมหายานทานไมปรารถนาความไม มีโรคทางกาย ทานบอกวาโรคทางกายนี้มาชวยใหเรามีสติคิดถึงอะไรตออะไรที่เปนธรรมะที่ดีคอยเตือนอยู แตวา อยางไรก็ตองมีความอดทน 3. การอดทนตออารมณที่ยั่วยวนตางๆ มาพูดถึงวา มนุษยเราที่อยูรว มกันในสังคม มีจิตใจไมเสมอกัน เพราะมีอินทรียยิ่งหยอนกวากัน บางพวกก็มี กิเลสเบาบาง บางพวกก็มีกิเลสหนา บางคนก็สุภาพออนโยน บางคนก็กาวราวรุนแรง ดวยอํานาจการผลักดันของ กิเลส เพราะฉะนั้น เรามีความจําเปนที่จะตองมีความอดทนอีกชนิดหนึ่งก็คือ คําดาวาเสียดสี อดทนตออารมณที่จะ มากระทบกระเทือนใจ หรือวาคําแสลงใจ 70 ชีวิตกับครอบครัว


อันนี้ทานเรียกวา ตีติกขาขันติ ความอดทนที่เปนตบะ ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ตีติกขานั้นเปนตบะอยางยิ่ง ความอดทนตอคําปรามาส ตีติกขา ก็คืออดทนตออารมณที่ยวั่ ยวนตางๆ เชน ยั่วยวนใหรักบาง ใหโกรธบาง ใหหลง บาง มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสกับพระอานนทวา “เราจะอดทนตอคําลวงเกินของผูอนื่ เหมือนชางศึกกาวลงสูสงคราม และอดทนตอลูกศรซึ่งปลอยมาจากสี่ ทิศ เพราะวาคนสวนมากในโลกเปนคนชั่ว” ทานใชคําวาทุศีล ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน คนสวนมากเปนคนทุศีล หรือเปนคนชั่ว เพราะฉะนัน้ ก็ตองมีความ อดทน บางทีเราอยูกับคนพาลก็ตองอดทนกับคนพาล เขายังไมไดรับการฝก เขายังเปนคนพาลอยู และเรามีความจํา เปนจะตองอยูส ังคมเดียวกับคนพาล มันก็โทษของการอยูร วมกับคนพาลนั่นแหละ ไมตองไปโทษกรรมเกากรรม อะไรหรอก ถาเผื่อยังอยูรวมกับคนพาล มันก็ตองเดือดรอนไปอยางนัน้ เราแกไดโดยวิธีที่วา เลี่ยงไดก็เลี่ยงเสีย หรือไมอยูเสียก็ได ถาคนมีกิเลสมาก มันก็กระทบคนอื่นมาก กระทบกระทั่งกัน จวงจาบเสียดสีกัน ทะเลาะกันบาง ผูที่ ตองการจะปฏิบัติธรรมจึงตองใชธีติขันติ ความอดทนตอคําเสียดสี คําดาวาของผูอื่น เพื่อจะไดไมตอ ความยาวสาว ความยืด เรื่องจะไดระงับไปโดยเร็ว คือวาไมเปนไปเพื่อความฟุงซาน เดือดรอนแกคนหมูมาก พระพุทธเจาทานตรัสเตือนพระรูปหนึ่งดูเหมือนวาชื่อโกณทัตถ วาทานอยากลาวคําหยาบกับใครๆ เพราะวาเมื่อเขาถูกดาวา เขาก็จะดาวาทานตอบกลับมาดวย การกลาวแขงดีกันก็เปนเหตุใหเกิดทุกขโทษตางๆ ก็จะ พึงหวนกลับมาถูกตองทานเอง เพราะฉะนัน้ ถาทานทําตนมิใหหวัน่ ไหว อยูอยางสงบเสงี่ยมไมมีปากมีเสียงกับ ใครๆ ก็เหมือนกังสดาลที่ปากขาดเสียแลว ทานก็จะถึงนิพพาน การกลาวแขงดีกนั ก็จะไมมแี กทาน อันนี้ พระพุทธเจาทาน ตรัสกลาวโอวาทภิกษุรปู หนึ่ง ซึ่งโตตอบไปทะเลาะกับภิกษุดว ยกัน มีทานผูรู ใครก็ไมทราบแตงเอาไว จําไดวา “ปากดั่งปู หูดงั่ ตะกรา ตาดั่งตะแกรง ปากไมแพรง หูไมอา ตาไมเห็น เปนหลักธรรม นําให หัวใจเย็น คนควรเปน เชนนั้นบาง ในบางคราว ไมบอดทําเหมือนบอด ไมหนวกทําเหมือนหนวกเสียบางเราก็จะสบายขึ้น

71 ชีวิตกับครอบครัว


โลกของเรานี้ก็มีอารมณยวั่ ยวนมากมาย ทัง้ ฝายที่นาปรารถนาที่ทานเรียกวา อิฏฐารมณ และสวนทีไ่ มนา ปรารถนา เรียกวา อนิฏฐารมณ มันไมใชดีหรือไมดใี นตัวมันเอง แตมันอยูที่วาเราตองการหรือไมตองการ ถาเรา ตองการก็เปน อิฏฐารมณ สําหรับ เราไมตองการก็เปนอนิฏฐารมณสําหรับเรา แตมันอาจจะเปน อิฏฐารมณสําหรับ คนอื่นก็ไดที่เขาตองการ แตสิ่งเหลานี้มนั มีอานุภาพ ใหผูมีจิตใจไมมั่นคงเสียคนไดทั้งนั้น เพราะฉะนัน้ ผูที่ตอ งการประคับประคอง ตนเอาไวในคุณธรรม จึงตองอดทนตออารมณที่มายัว่ ยวนใหโลภบาง ใหโกรธบาง ใหหลงบาง ไมเปนทาสของ อารมณเกินไป เรียกวาประคับประคองตนไวในเหตุผลและคุณธรรม แลวก็ตองทนไมใชนอยจริงๆ เพราะวาเรายิง่ มี คุณธรรมสูงขึ้นเทาไหร สิ่งยัว่ ยวนมันก็จะสูงตามขึ้นมาดวย แลวก็ละเอียดขึ้นมาดวย ตองใชความอดทนหรือปญญา มากขึ้น ละเอียดขึ้น สุขุมขึ้น ทั้งสวนที่นาพอใจ และสวนที่ไมนาพอใจ นักปราชญบางทาน Christmas Humphrey ในหนังสือ Concentration And Medication ไดกลาวไววา it is said that many of weak things can put up with failure but only a strong man can withstand success. ถือเอาความ เปนภาษาไทยวา คนออนแอ พออดทนตอความทุกขความลมเหลวได แตคนเขมแข็งเทานั้นที่จะทนตอความสุข ความสําเร็จได หมายความวาระหวางคนที่อดทนตอสิ่งที่นา ปรารถนาไดกับคนที่อดทนตอสิ่งที่ไมนา ปรารถนาไดนั้น คน ที่อดทนไดตอสิ่งที่นาปรารถนานั้นเปนคนที่เขมแข็งกวา เพราะวาสิ่งที่ไมนาปรารถนาเราจําตองทนอยูแลว อยางวา นายกับลูกนอง หรือ นายกับคนใชที่บาน หรือลูกจางทีบ่ าน คือลูกจางที่บานจําตองอดทนอยูแ ลว แตก็อดทนดวย ความจําใจ ตองอดทนไปเถียงเขาไมได เดี๋ยวเขาไลออก แตผูที่เปนนายหรือผูที่เปนเจาของบาน ถาเผื่ออดทนตอการลวงเกินบางของลูกนองหรือของลูกจางที่บาน ไดนั่นแสดงวาอดทนจริง เพราะวาไมจําเปนตองอดทน แตก็อดทน เพราะฉะนัน้ คนทีอ่ ดทนตอความสุข อํานาจ ยศ ชื่อเสียง ไมใหสิ่งเหลานี้ครอบงําจิตใจได ไมหลง ไมติดอยู นั่นก็เปนคนเขมแข็งอยางแทจริง เมื่อประสบความสําเร็จแลวไมหลงระเริง เปนความดีอยางหนึ่ง เมื่อประสบความทุกขมีกําลังใจในการตอสู เปนความดีอยางหนึ่ง แตถาเทียบกับคนที่อดทนตอความทุกข ความผิดหวังแลว คนทีอ่ ดทนตอความสุข ความ สมหวังได เปนคนที่มีกําลังใจเหนือกวา มีสติปญญารุงเรืองกวา 4. จาคะ มาถึงหัวขอสุดทายนะครับคือ จาคะ ความเสียสละ

72 ชีวิตกับครอบครัว


ความเสียสละก็ถือวาเปนสิ่งที่สําคัญและจําเปน สําหรับผูที่มีชีวิตอยู ไมวาจะเปนผูครองเรือนหรือไมครอง เรือน เปนสิ่งสําคัญและจําเปน เพราะวาไดอาศัยจาคะ ทําใหทุกคนมีความสุข มีความสะดวกสบายขึ้น ถาแตละคน นั้นมีแตความตระหนี่ ก็จะทําใหทุกคนลําบากขึ้น ทํานองนั้นนะครับ ความตระหนี่ 5 อยาง เราลองมาดูเรื่องความตระหนี่ วามีความตระหนี่เรื่องอะไรบาง เชน (1) ลาภมัจฉริยะ ความตระหนีล่ าภ อัน นี้ก็เปนธรรมดาของคนโดยทัว่ ไป มักจะตระหนี่ลาภ แตกม็ ีบางคนที่เปนคนเสียสละ มีความเสียสละลาภ ถาไมมคี น เสียสละลาภ คนไดลาภมันก็ไมมี นอกจากจะไปโกงเขา มันอยูที่ความรูสึกครับ วาเรารูสึกวาไดลาภ ถาเราไม ตองการ ไดมามันก็ไมใชลาภ อยางคนไมกินหมู เขาเอาหมูมาให มันก็ไมใชลาภ ลาภนี่มันอยูที่ความรูสึก ถาเรามีความรูสึกอยากได เราตองการไดมามันก็รูสึกวาเปนลาภ แลวก็มีเปนจํานวนมาก ที่สํานวนไทยเขา เรียกวาทุกขลาภ ไดมามันก็เปนทุกข ถาพูดในแนวธรรมะมันก็ทกุ ขลาภทั้งนั้น ทีเ่ ขาเรียกวาสหคตทุกข ทุกขทไี่ ป ดวยกัน ไดลาภก็ทุกขเพราะลาภ ไดยศก็ทกุ ขเพราะยศ นีม่ องในแงของพระพุทธเจานะครับ สหคตทุกข ไดอะไรมันก็เปน สังขตธรรม มันเปนโลกธรรม เพราะทานสอนใหพิจารณาวาไมเที่ยงเปน ทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาในโลกธรรมสูตร นี่พูดถึง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แมในทางฝายดี ทางฝายที่นา ปรารถนานั้นแหละ ทานก็บอกวา อนิจฺโจ ทุกฺโข วิปริณามธมฺโม ไมเที่ยงเปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา เพราะวาสุขเวทนา ทานใหพจิ ารณาโดยความเปนทุกข ถาพูดเรื่องนี้ไปใหละเอียดจุใจผูพูด มันก็ยาวอีก พูดถึงเรื่อง (1) ลาภมัจฉริยะ คนที่ตระหนี่ลาภ พอมีลาภมันก็ไมอยากที่จะเสียสละ คนที่ไมตระหนี่จึงจะเสียสละได (2) ตระหนี่ตระกูล ไมคอยอยากใหใครเขาไปเกี่ยวของกับตระกูลที่ตนเกี่ยวของ หรือจะหมายความถึงวา เกิดในตระกูลใหญแลว รูสึกภาคภูมใิ จในตระกูลที่ตัวเกิด ก็รังเกียจผูอื่นที่เกิดในตระกูลอื่น ไมอยากจะใหใช นามสกุลของตัว อยางนี้ก็ตระหนี่ตระกูลเหมือนกัน (3) ตระหนี่ที่อยู อาวาสมัจฉริยะ ไมอยากใหใครมาอยูไมเปนอปริหานิยธรรม ที่พระพุทธเจาทานบอกวา ใครที่ยังไมมาสูอาวาสขอใหมา ที่มาแลวขอใหอยูเปนสุข ตั้งจิตปรารถนาวา ใครทีย่ ังไมมาสูอาวาสขอใหมา ที่มา แลวขอใหอยูเปนสุขๆ อันนี้ก็เปน อปริหานิยธรรม คือธรรมที่เปนไปดวยความไมเสือ่ มขอหนึ่ง พูดถึงทางบานนี้ก็ไมตองเปนหวง เขาก็ตองหวงแหนเปนธรรมดา อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี่ที่อยู ที่จริงก็ แบงๆ กันกิน แบงกันอยู สังคมมันก็พออยูไ ด ถาเผื่อวามีจาคะ มีความเสียสละตามสมควร ไมหวงแหนไวแตผูเดียว 73 ชีวิตกับครอบครัว


ไมกอบโกยไวแตผูเดียว เผื่อแผถึงผูอื่นบาง นึกถึงคนอื่นบาง นึกถึงวาคนอื่นเขาจะอยูอ ยางไร พอเรานึกถึงอยางนี้ ก็ ทําใหเราเผื่อแผได คือวาถาเขาอยูมากเกินไป คนอื่นเขาจะอยูอยางไร ทํานองนี้นะครับ อันนี้ก็เปนการลดความตระหนี่ในอาวาส โดยเฉพาะในทางวัด ตรงตัวเลย อาวาส ถามีเสนาสนะก็แบงกัน อยู มีเรื่องประหลาดบางอยาง ไมคอยเขาใจ พระที่จะมาศึกษาเลาเรียนนักธรรมบาลี เรียนศาสนศาสตรบัณฑิต เรียน พุทธศาสตรบัณฑิตอะไรตางๆ นี่ ก็ไมคอยจะมีที่อยู หาทีอ่ ยูกันแทบแย แตพอถึงเขาพรรษามีพระใหมมาบวชเยอะก็ มีที่อยู อันนีก้ น็ าคิด และก็ไมเขาใจวาเปนเพราะอะไร หรือวาอาวาสมีนโยบายอยางไร ก็ลองถามๆ ดู (4) ธรรมมัจฉริยะ ตระหนี่ความรู อันนี้ในเด็กนักเรียนบางทีจะเห็นชัด คือ มีความรูแลวก็ไมอยากจะใหใครมีความรูเสมอตัวเทาตัว หวง ความรู ไมไดตระหนักไมเขาใจวา ความรูย ิ่งใหยิ่งได เรายิ่งใหความรูกบั ผูอื่น ก็จะยิ่งได ยิ่งบอกเพื่อนบอกฝูงได อะไรมาก็บอก ขยันบอก ขยันกลาว ขยันใหความรู มันก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น เราก็ตองคนควาดวย และยิง่ ตั้งใจจะให ความรูกับผูอื่นดวยความจริงใจ มีความรูก อ็ ยากจะเผยแพรความรูใหคนอื่นเขาไดมีความรูอยางที่เรารู เราก็ตองหา มากขึ้น หามากขึ้นเราก็ตองไดมากขึ้น ในขณะทีใ่ หความรูกับผูอื่น มันก็เปนการทบทวนไปในตัว ก็แมนยําขึน้ ได มากขึ้น สิ่งเหลานี้ยิ่งใหยิ่งได แมแตเรื่องลาภ เงินทองขาวของ ถาเผื่อเราใหเปน ใหแตพอสมควร ใหเปน ใหถูกตอง ยิ่งใหมนั ก็ยิ่งได อยางนอยมันก็ไดความรูส ึกที่ดี วาเราไดทําในสิ่งที่ควรทํา บางคนก็กลัวคนอื่นเขาจะรูเทาตัว อันนีก้ ็เลยไมอยากจะใหใครบอกใครก็เลยอุบเงียบ แตวาบางคนเขามี นิสัยในทางทีอ่ ยากจะแจกความรู รูอะไรมาก็อยากจะบอกคนอื่น อันนี้ถือเปนจาคะ ความเสียสละเหมือนกัน ได อาศัยความกรุณาเปนที่ตั้ง ก็ใหเขา อยากจะใหเขารูอยางที่เรารู คือถาใหกันไดอยางสิ่งของก็จะใหหมดเลย มีเทาไหร เอาไปหมดเลย บางคนเขาก็มคี วามรูสึกอยางนั้น แตคนรับรับไมไหว ภาชนะไมพอทีจ่ ะรับ หรือวาอินทรียไม พอที่จะรับ เขาก็รับเทาที่จะรับได คนเรานี่รบั ความรูเทาทีต่ ัวจะรับได เหมือนเด็กวัยตางๆ จะกินอาหารเหมาะสมกับ วัยของตัว ก็มีอีกขอหนึ่งคือ (5) วรรณมัจฉริยะ ตระหนีว่ รรณะ ในสมัยพระพุทธเจาที่ทรงแสดงเรื่องนี้ มันก็เห็นชัดวา คนสมัยกอนนีม้ ีวรรณะ ถือวรรณะกัน กษัตริย พราหมณ ไวศยะ ศูทร นีก่ ็ตระหนีว่ รรณะกัน ฉันเปนวรรณะพราหมณ แกเปนศูทร แกมายุงกับวรรณะฉันไมได มา แตงงานกันไมได หวงวรรณะ ยกยองวรรณะของตัว เหยียดหยามวรรณะของผูอื่น

74 ชีวิตกับครอบครัว


พอมาถึงสมัยของพระพุทธเจา ทานสละวรรณะหมดเลย วรรณะไมมี เรามีจุดนัดพบกันที่ศีลธรรม มี มาตรฐานกันที่คุณงามความดี ใครมีคุณงามความดีมากคนนั้นเปนคนดีมาก ไมใชดีเพราะชาติตระกูล หรือวรรณะ อันนี้เปนการปฏิวัติของพระพุทธเจาอยางไดผลมาจนถึงปจจุบันนี้ เราไดรับพุทธศาสนามาก็ทําใหเราตระหนักและ ก็ซึ้งถึงเรื่องพวกนีว้ า แมทานจะเปนกษัตริยแตทานก็ไมไดถือวรรณะ ลงมาอยูกับคนทุกชั้น วรรณะแปลวาคําสรรเสริญก็ได บางคนก็ตระหนี่คําสรรเสริญ คือวาไมอยากใหใครสรรเสริญผูอื่น อยาก แตจะใหสรรเสริญตน และก็มีความริษยาเขามาดวย ถามีการสรรเสริญผูอื่น ความริษยาเขามา อันนี้ก็จัดเขาไดใน ความตระหนีว่ รรณะ ผมพูดเรื่องจาคะ ก็มาพูดเรื่องความตระหนีก่ อน ที่จริงก็ไมไดคิดที่จะพูดเรื่องความตระหนี่ แตวาพอมันพูด ถึงความตระหนี่ ก็เลยนึกถึงความตระหนี่ 5 อยางขึ้นมา ก็เลยพูดมาเสียหลายนาทีเหมือนกัน คือมันตองละความ ตระหนีไ่ ปดวย และก็จาคะเสียสละไปดวย ทําไปพรอมๆ กัน มันเปนเหตุเปนผลของกันและกัน จาคะ เสียสละมันก็ละความตระหนี่ไปในตัว เมือ่ ละความตระหนี่มันก็ตองจาคะไปในตัว มันทําไปพรอมๆ กัน ทีนี้ขอลงลึกไปอีกนิด จาคะ ความเสียสละ คือวาเสียสละเทาที่เห็นดวยปญญาวาควรเสียสละ ตั้งแตสละ ทรัพยสิน ทรัพยสิน ที่เคยถือไว เคยชินแตไมตรงกับความเปนจริง ขัดตอหลักเหตุผลและความผาสุกอันชอบธรรม แตวาเปนสละกิเลสอันเปนเหตุของความยุง ยากทั้งปวง การเสียสละนี่เปนกิจกรรมสําคัญอยางหนึ่งในสังคมมนุษย นะครับ เริ่มตั้งแตครอบครัวไปทีเดียว พอแม ตองเสียสละ กําลังกาย กําลังทรัพย สติปญญา สละเวลา สละความ ผาสุกสําหรับตนใหแกลูก จนกวาลูกจะเติบโตพึ่งตัวเองได สามีภรรยาก็จะตองเสียสละความสุขสวนตัวใหแกกนั และกัน เสียสละทรัพยสิน ที่หาไดมาดวยความเหนื่อยยากใหแกกันและกัน เมื่อใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเจ็บปวยลง ทุกคนในครอบครัวตองคอยวิตกกังวล ตองเสียสละเวลา นอน เวลาเทีย่ วเตร ตลอดถึงแรงกายและกําลังทรัพย คอยชวยเหลือรักษาพยาบาลจนกวาจะหาย นีอ่ ยูที่ความ เสียสละทั้งนั้น พูดถึง ฆราวาสธรรม และการเสียสละ ก็เริ่มตนในครอบครัวกอน อยางนี้แลวก็แผขยายไปในวงศาคณา ญาติ ตลอดถึงเพื่อนรวมสังคมเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ประเทศเดียวกัน แลวก็โลกเดียวกัน เราไดเห็นตัวอยางอยู บอยๆ ที่มีการเสียสละทรัพยสิน ชวยเหลือกันในระดับชาติ ระหวางชาติ เมื่อมีภัยพิบตั ิเกิดขึ้นกับคนกลุมใดกลุม หนึ่ง หรือชาติใดชาติหนึ่ง บางทีเราก็ชวยเหลือกันในระดับชาติ

75 ชีวิตกับครอบครัว


ความเสียสละทําใหเกิดอะไรขึ้น ความเสียสละนี่กอใหเกิดความชื่นชมยินดีกันและกัน ทั้งผูใหและผูรับ วา เปนทางผูกไมตรีดังพระพุทธภาษิตที่วา ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผูใหยอมจะผูกมิตรไวได ชวยขจัดสนิมในใจคือความ ตระหนี่ ความเห็นแกตัวมัจฉริยะ ความตระหนีน่ ี่เปนมลทินอยางหนึ่งในมลทิน 9 ความเห็นแกตวั ซึ่งก็เปนตนตอของการเอารัดเอาเปรียบ กันในสังคม สังคมมนุษยเราจะไมวิกฤติอยางที่เห็นอยูทกุ วันนี้ ถาแตละคนสละความเห็นแกตวั ใหมากที่สุด คือนึก ถึงตัวเองใหนอ ยลง และนึกถึงคนอื่นใหมากขึ้น เห็นแกผูอื่นใหมากทีส่ ุด หรืออยางนอยก็เห็นแกผูอื่นเทาๆ กับเห็น แกตวั นอกจากนี้ยังจะชวยปองกันผูอื่นไมใหทําความผิด ไมใหเห็นแกตัว เชน ไมใหสินบนแกเจาหนาที่ราชการ พนักงานตางๆ ที่วาถาตัวเองเปนเจาหนาที่ทางราชการก็ไมรับสินบน ไมคอรรัปชันทุกรูปแบบ แตวาฝกตนใหเปน คนเสียสละ ตัง้ คําถามใหแกตัวเองอยูเ สมอวา เราไดใหอะไรแกสังคมที่เราอาศัยอยูบ าง แทนคําถามที่วา เราไดอะไร จากสังคม หรือวาอยางนอยก็ควรจะไดพอๆ กัน คือไมเอาเปรียบกัน ไมเอาเปรียบสังคม เราไมชอบคนอื่นที่เอา เปรียบสังคมอยางไร เราก็ควรจะไมชอบตัวเองมากกวานัน้ ถาจับตัวเองไดวา เราเปนคนเอาเปรียบสังคม เราควรจะไมชอบตัวเองใหมากกวาทีไ่ มชอบคนอื่นที่เอาเปรียบสังคม ในสาราณียธรรมสูตร สูตรที่วาดวยขอธรรมที่เปนมูลฐานใหบุคคลระลึกถึงกัน ผูกใจกันไวดว ยคุณธรรม พระพุทธเจาทรงแสดงการเสียสละวาเปนธรรมขอหนึ่ง ที่เปนเหตุใหระลึกถึงกัน เรียกวา สาราณียา แปลวาทําให ระลึกถึงกัน ใครเขาใหอะไรเรา และถาเมื่อเห็นสิ่งนั้น ก็มกั จะระลึกถึงผูใหเมื่อเห็นสิ่งนั้น และก็สรางความรัก ปย กรณา สรางความรัก สรางความเคารพ ครุกรณา เปนไปเพื่อการสงเคราะหกนั ไมวิวาทกัน เปนไปเพื่อความสามัคคี สรางเอกภาพ ความเปนน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ธรรมที่เปนเครื่องสงเคราะหกัน ในขอธรรมสังคหวัตถุ คือธรรมที่เปนเครื่องสงเคราะหกนั ผูกน้ําใจกัน พระพุทธเจาก็ทรงแสดงการ เสียสละไว 4 ประการดังนี้ 1. ทาน ไวเปนขอตน ในฐานะที่เปนธรรมที่มุงสามัคคี ตองการใหมีความสามัคคีกัน ผูที่มุงสามัคคีควร จะตองประพฤติปฏิบัติ 2. ปยวาจา คือการพูดจาทีน่ ารักดูดดื่มใจจับจิต 3. อัตถจริยา การบําเพ็ญประโยชนตอผูอื่น ซึ่งจะตองอาศัยความเสียสละอยูเปนอันมาก 4. สมานัตตตา ความวางตนเหมาะสมแกฐานะแกภาวะของตน ในสังคหวัตถุนี่ไดกลาวถึงทาน การเสียสละ จาคะ แตใชคําวา ทาน เปนไวพจนของคําวาจาคะได

76 ชีวิตกับครอบครัว


อนุปุพพิกถา ทีนี้ก็มาถึงในบารมี 10 และทศพิธราชธรรม 10 เริ่มตนดวยความเสียสละเหมือนกัน แสดงเอาความเสียสละ ไวเปนขอตนเหมือนกัน ลองดูอนุปุพพิกถา ถอยคําที่แสดงโดยลําดับ หรือหลักธรรมที่พระพุทธเจาจะทรงแสดง เสมอแกฆราวาส ผูที่ยังครองเรือนอยู อนุปุพพิกถา 5 มีดังตอไปนี้ 1. ทานกถา เรื่องทานกลาวถึงการให การเสียสละแบงปน ชวยเหลือกัน 2. สีลกถา เรื่องศีล กลาวถึงความประพฤติที่ถูกตองดีงาม 3. สัคคกถา เรื่องสวรรค กลาวถึงความสุขความเจริญ 4. กามาทีนวกถา เรื่องโทษของกาม 5. เนกขัมมานิสังสกถา เรื่องอานิสงสของการหลีกออกจากสิ่งยั่วยวน ก็เริ่มตนดวยทาน ความเสียสละนั้นเอง ก็ดหู มวดธรรมเยอะๆ ทานจะใหความสําคัญของการเสียสละอยู มิใชนอยเลยทีเดียว รวมความวาการเสียสละเปนเรื่องสําคัญของการอยูรวมของกันมนุษยในสังคม ตั้งแตสังคมเล็กๆ ในครอบครัว หรือตั้งแต 2 คนขึ้นไป อยูก นั สองคนแลวก็ใหกันไปใหกันมาชื่นใจดี บางทีอยูกันตั้งหลายป อยูใ น หองเดียวกัน ทํางานอยูดว ยกันตั้งหลายป ไมมีใครหยิบยืน่ อะไรใหใครเลย มันก็ขําดี คนอื่นจะเห็นอยางไรไมทราบ แตผมเองก็เห็นวาขําดี แปลกดีวาอยูกนั อยางไรไมเคยใหอะไรกัน บางคนเขาก็เปนอยางนั้น เขาไมใหอะไรใคร และ เขาก็ไมตองการอะไรจากใคร คือเขาไมใหอะไรใคร แลวเขาก็ไมตองการอะไรจากใคร มันก็ดีไปอยาง แตวามันสู ใหซึ่งกันและกันไมได มีนิดมีหนอยติดไมติดมือไปใหกนั และกันดีกวา มันเปนเครื่องสมานไมตรีที่พระพุทธเจา ทานตรัส ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ ผูใหยอมผูกมิตรไวได แลวก็ลักษณะเชนนั้น ปยวาจาก็ไมมีอีก มันมีแตอัปปยวาจา วาจาที่ไมนารัก พูดจาไมนา รัก อัตถจริยา ไม ประพฤติประโยชนตอกัน และก็สมานัตตตาไมมี ประพฤติตนไมเหมาะสมแกภาวะฐานะ แกความเปนอยูคือธรรม มันหมดไปเลย คนพอมันไมมธี รรม มันหมดไปแลว จะเอาอะไรมันเหลือแตเนื้อหนังเปนเปลือกคน เปนเปลือกที่ใชไมได มันไมมีความหมายอะไร ไมมีคาอะไร เพราะฉะนั้น การใหมันเปนทางสงเคราะหกัน มันเปนทางบําเพ็ญประโยชนแกผูอื่น และประโยชนที่ บําเพ็ญไปแลวมันไปไหนเสีย มันก็มาหาคนที่ทํานั่นแหละ ถาเรายังเห็นแกตวั ยังอยากไดตอบแทนอยู มันก็ไมไป ไหน จะเรียกวาเห็นแกตวั ก็ไมได มันเปนกระบวนการธรรมชาติ คือผูใหคือผูได ผูไมใหคอื ผูไมได มันตองให

77 ชีวิตกับครอบครัว


อะไรสักอยางในชีวิตคนเรา มันตองเปนผูให ใหมีความรูส ึกภูมิใจ มีความรูสึกปลื้มใจวาเราไดเปนผูใ หอะไรสัก อยางหนึ่ง การใหคือการเอาชนะความตระหนี่ และเปนการฝกตนอยางดีเยีย่ ม การใหเปนการฝกคน มีขอความที่มาจากอรรถกถา ที่วาการใหเปนการฝกคนทีย่ ังไมเคยฝก อทนฺตทมนํ ทานํ การใหเปนเครื่อง ฝกคนที่ยังไมไดฝก อทานํ ทนฺตทูสกํ การใหไมเปนการประทุษรายผูท ี่ฝกตนแลว ทานลองนึกดู ทานพูดไวดแี คไหน คือคนที่ฝกตนแลวเปนคนดี เปนประโยชนแกโลก เปนประโยชนแก สังคม เปนแบบอยางแกมนุษย การไมใหไมสงเคราะหคนเชนนั้น การปลอยใหคนเชนนั้นลําบาก มันเปนการ ประทุษราย ยกตัวอยาง พอแมไดฝกตนมาดีแลว เอื้อเฟอชวยเหลือลูกมาจนเติบโต ใหศึกษาเลาเรียน ใหตั้งตนดี เสร็จแลวลูกก็ ไมไดใหอะไรแกพอแมเลย แมแตวาจาที่ไพเราะ หรือการปลอบประโลมใจ การไมไดสงเคราะหในสิ่งที่ควร สงเคราะห ไมชวยเหลือในสิ่งที่ควรชวยเหลือ ประทุษรายทั้งนั้น หรือนักบวชทีอ่ ยูในศีลในธรรม ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ สุปฏิปนฺโน อุชุปฏิปนฺโน ฐายปฏิปนฺโน สามี จิปฏิปนฺโน ปฏิบัติอยูในคุณสมบัติของพระสงฆอยางครบถวน แลวฆราวาสไมไดจุนเจือ ไมไดชว ยเหลือทานบาง เปนการประทุษรายผูที่ฝกตนดีแลว ผูใหยอมบันเทิงอยูดวยการให ผูรับออนนอมถนอมน้ําใจดวยปยวาจา แลวก็มีอกี นัยหนึ่ง เทวดามาทูลกับ พระพุทธเจาและทานทรงเห็นดวยคือ ทานฺจ ยุทฺชฺจสมานมาหุ นักปราชญทั้งหลายเห็นพองตองกันกลาววา การ ใหทานและการรบเสมอกัน คือตองรบกับศัตรู มีแพ มีชนะ ศัตรูของการใหคือตองรบกับความตระหนีไ่ ปดวยจึงจะ ใหได ระดับของคนเสียสละ คนที่เสียสละไดทุกอยาง ทั้งทรัพย-สิน ทั้งเลือดเนื้อ ทั้งชีวิตเพือ่ ความดีนหี้ าไดยาก มาก มีนักปราชญทานกลาวเอาไววา สเตสุ ชายเต สูโร ในรอยคนหาคนกลาได 1 คน สหสฺเสสุ จ ปณฺฑิโต ในพัน คนหาบัณฑิตได 1 คน วากฺยํ สตสหสฺเสสุ ในแสนคนหาคนพูดจริงทุกอยางได 1 คน จาโคภวติ วา น วา สวนคน ที่จะเสียสละไดทุกอยางจะมีหรือไมก็ไมรู คือวาไมรูจะหาจากกี่คน จากเทาไหร ถึงจะไดสักหนึ่งคน ถาจะให ยกตัวอยางที่เห็นชัดๆ ก็คือ พระบรมศาสดาของเรานี่แหละครับ ทานเสียสละไดทุกอยาง ลองนึกดูวาสักกี่คน ตัง้ แต มีมนุษยมา ผูทเี่ สียสละไดอยางพระพุทธเจามีกี่คน คือ ตั้งแต 7,000 ป 7,500 ป มาก็แลวกัน ซึ่งเปนสมัย ประวัติศาสตรนี่ก็ลองนึกดู วามีพระราชา พระองคใดเสียสละไดอยางพระพุทธเจาของเราบาง ก็ยังไมมี ยังไมเห็น

78 ชีวิตกับครอบครัว


โดยธรรมดานี้ ความสุขของสังคมมนุษย มักจะไดจากความเสียสละอยางสูงของคนใดคนหนึ่ง ผลของการ เสียสละของเขานั่นแหละ ก็ตกทอดมาเปนมรดกแกสังคม ชุมชน และก็ประเทศ นัน้ ๆ แกมวลมนุษยชาติทั้งหมด สําหรับชาวยิว สมัยโบราณก็ความเสียสละของโมเสส ความเสียสละของพระพุทธเจา ความเสียสละของ พระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต ความเสียสละของลินคอลน ความเสียสละของทานมหาตมะ คานธี เรื่อยมานะ ครับ มีคนที่เสียสละเพื่อความสุขของมวลชน มีเยอะแยะเหมือนกัน ทีนี้ทางจริยศาสตร ไดถามเราวา ทําไมเราจึงควรเสียสละตนเอง หรือความสุขของตนเองเพื่อผูอื่น และถา เราเวนการกระทําที่มีผลรายตอเราก็จะไมเปนของแปลก แตทีนี้ทําไม เราจึงเวนการกระทํา ที่มีผลรายตอผูอื่น ถาเรา ทําสิ่งที่มีผลดีตอเราโดยสวนเดียวก็ไมใชของแปลก แตทําไมเราจึงตองทําสิ่งที่มีผลดีตอผูอื่น อันคําถามของจริย ศาสตรถามเรา คําตอบมีวา ระบบจริยศาสตรทุกระบบ บอกเราวา การทําความดีตอผูอนื่ นั้น มันจะเปนผลดีตอตัวเรา เองในระยะยาว ทรรศนะอยางนี้นะครับ รูจ ักกันในชื่อของศัพททางจริยศาสตรวา สุขนิยม ซึ่งถือเอาความสุขของ ตนเปนหลัก ทีเ่ ขาเรียกวา Hedonism หมายถึงความสุขสวนบุคคล และก็หมายรวมไปถึงความสุข ความพอใจที่เกิด จากความรักทีไ่ มเห็นแกตวั และความรักทีเ่ กี่ยวกับไมตรีจิตมิตรภาพ อันนี้ก็เปน คําตอบของจริยศาสตรวา ทําไม คนเราจึงตองเสียสละความสุขสวนตัวหรือเสียสละตนเอง บางทีถึงกับเสียสละตนเองเพื่อผูอื่น คําตอบก็มีอยูอยางนี้ คราวนี้ถาเผื่อเปนนักปฏิรูปสังคม หรือศาสนา ก็จะตองเสียสละกันใหญเหมือนมันจะตองเสียสละตนเอง และก็จะตองลงมือปฏิบัติดวยตัวเองกอน คือวาไมคอยใคร ไมตองรอขออนุญาตจากใคร จากผูใด เห็นวาอะไรควร ทิ้งก็ทิ้งไป เห็นวาอะไรควรทําก็ทําไปเลย ทําไปกอน ใครจะทําตามหรือไมทําตามก็ชา งเขา เรียกวากลาเสี่ยงทําดวย ตนเอง ใครจะเดินตามหรือไมเดินตาม เรียกวายกธงถือธงนําหนาไป นักปฏิรูปสังคม หรือศาสนาก็จะตองลงมือทํา ไปกอนไมรอใคร การเสียสละความสุขสวนตัวเพื่อผูอื่น โดยเฉพาะอยางยิง่ เพื่อผูที่ตนรักและศรัทธาแลว นักปราชญหลาย ทานยอมรับวา หญิงสามารถเสียสละไดมากกวาชาย และก็ในดานกําลัง ถาพูดถึงกําลังใจกันแลว หญิงก็มีกําลังใจ มากกวาชาย และก็ยังมีความอดทนสูงกวาดวย ผูชายสวนมากมีรางกายแข็งแรงกวาก็จริง ก็ทําทาไปอยางนั้น จริงๆ ก็ไมคอยเขมแข็งเทาไหร อันนี้ลองพูดใหดถู ึงเรื่องผูหญิง ที่มีจิตใจเขมแข็งและก็เสียสละสูง ดูเรื่องลูกก็แลวกัน ก็ เสียสละเพื่อลูกไดมากกวา โดยทัว่ ไปนะครับ ไมใชทุกคน มีคําหนึ่งที่เกีย่ วกับความเสียสละ ซึ่งเราไมคอยไดนําเอามาใชกัน แตวา ใชในความหมายอื่น คือคําวา โศกนาฏกรรม เราเอามาใชกนั ในความหมายของความเศราสลด หรือสิ่งที่เศราสลดเกิดขึ้น หรือเหตุการณที่นาเศรา สลดเกิดขึ้น แตวาคําวาโศกนาฏกรรม ที่เรียกในภาษาอังกฤษวา tragedy มันมีความหมายอีกความหมายหนึ่งทีเ่ รา ไมคอยไดเอามาใชกัน นั่นคือ ละครหรือภาพยนตรทแี่ สดงถึงความเสียสละอันยิ่งใหญของตัวเอกในเรื่อง โดยยอม 79 ชีวิตกับครอบครัว


ทนทุกขทรมานเสียเอง โดยเฉพาะอยางยิ่ง ก็คือความทุกขทางใจ เพื่อความสุขของคนสวนมากในกลุมนั้นในสังคม นั้น ในประเทศนั้น คนประเภทนี้จึงไดรับความนิยมสูงมาก เพราะเหตุที่เขายอมเสียสละเปนจาคะอยางหนึ่งนะครับ คือการยอมเสียสละตน ยอมทนทุกขทรมานเสียเอง เพื่อความสุขของคนสวนมาก อันนี้ก็เกีย่ วกับเรือ่ งจาคะความ เสียสละ ซึ่งฆราวาสก็ใชไดดีในเรื่องเหลานี้ ซึ่งจะตองเผชิญกับปญหามากมาย ในเพศของฆราวาส ตองเผชิญกับ ความทุกขยากลําบากมากมาย การสละละทิ้ง ปลอยวาง ในความเสียสละ จาคะ อีกอยางหนึ่งนะครับ เกี่ยวกับการสละละทิ้ง ปลอยวางสิ่งที่เคยถือไวอยางเคยชิน แตไมตรงตามความเปนจริง ขัดตอเหตุผลและความผาสุกอันชอบธรรม ขอยกตัวอยางพระสัมมาสัมพุทธเจากอน วาไดทรงดําเนินพระองคและทรงสั่งสอนสาวกในลักษณะดังกลาวมานี้ ในสมัยของพระองคไดมีการยึดถือสิ่งตางๆ ที่เคยถือกันมา เชื่อกันมาอยางเคยชิน เชนการลางบาปในแมน้ํา ศักดิ์สิทธิ์ การถือวรรณะ การมอบตนใหอยูในกํามือเทพเจาตางๆ เชน พระพรหมเปนตน จนเกิดลัทธิพรหมลิขิตขึ้น การบําเพ็ญตบะการทรมานกาย ดวยวิธีตางๆ ที่เรียกวา อัตตกิลมถานุโยค พระพุทธเจาไดทรงพยายามคนควาหา เหตุผลในเรื่องเหลานี้อยูเปนเวลานานปทีเดียว อยางนอยก็ 6 ป ในที่สุดก็ทรงสรุปไดวา สิ่งดังกลาวไมมีผลจริง ขัดตอเหตุผลและความผาสุกอันชอบธรรม จึงไมทรงยึดถือ ปฏิบัติตาม และทรงสอนใหสาวกและมนุษยทั้งหลายเลิกกระทําเชนนัน้ ทรงเสนอแนวทางใหใหมคือ การปฏิบัติ ตนใหสอดคลองกับความเปนจริง และมีเหตุผลพิสูจนไดปฏิบัติได เชน เรื่องการลางบาป พระองคกท็ รงแสดงใหเห็น ทรงชี้แจงใหเห็นใหแจมแจงวา ถาการลางบาปในแมน้ํา ศักดิ์สิทธิ์เปนไปไดจริง สามารถที่จะทําหรือทําไดจริง สามารถทําคนผูลางบาปใหหมดบาปและขึน้ สวรรคไดจริง แลว พวกสัตวน้ําในแมน้ําทีถ่ ือกันวาศักดิส์ ิทธิ์นั้น ก็จะมีโอกาสหมดบาปและมีโอกาสขึ้นสวรรคไดมากกวามนุษย เปนแนแท แตความจริงไมไดเปนอยางนั้น บาปยอมจะลางไดดว ยการทําความดี และไมทําบาปเพิม่ ขึ้นมาอีก เหมือนบุคคลทําความเค็มของเกลือใหเจือจาง โดยการเพิ่มน้ําจืดลงไปในเกลือ เมื่อน้ํามากเกลือนอย ความเค็มก็จะไมปรากฏเลย นี่แนวของพระพุทธเจาที่ทรงปฏิรูปบาง ปฏิวัติบาง ความ คิดเห็นในสมัยนั้น คนทีเ่ ปนหัวหนาคน หัวหนาสังคม หรือผูนําสังคมทุกระดับชัน้ ตองเปนคนที่มหี ัวในทางปฏิรูป หรือปฏิวัติไดก็ปฏิวัติเลย ความคิดตางๆ พระพุทธเจาไดเคยตรัสสอนพุทธบริษัทเอาไววา ความพยายามความเพียรของบุคคล ที่จะมีผลไดก็ตอ เมื่อ

80 ชีวิตกับครอบครัว


ประการที่ 1 ไมเอาทุกขมาทับถมตนที่ไมมที ุกข อันนี้เปนการปฏิเสธลัทธิอัตตกิลมถานุโยค คือลัทธิที่ทําตนใหลําบากโดยไรประโยชนอยางพวก นิครนถ ตัวเองไมมีทกุ ขเทาไหร แตวา เอาทุกขมาทับถมเอาไว แกผายังไมพอ นอนบนดินยังไมพอ แลวก็โกนผมยังไมพอ ก็ ตองถอนผมดวยหิน เอาแหนบหินมาถอนผมใหเลือดซิบๆ เขาถือวาเปนการบําเพ็ญตบะแลวก็ไดบญ ุ แรง ไดบุญมาก อันนี้เปนการปฏิเสธลัทธิอัตตกิลมถานุโยค วาทําตนใหลําบากโดยไรประโยชน ทรงสอนไมใหเอาทุกขมาทับถม ตนที่ไมมีทุกข ใหเดินทางสายกลาง ไมถึงกับหละหลวมเกินไป หรือวาตามใจตัวเองเกินไป ประการที่ 2 ไมละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม ความสุขใดทีช่ อบธรรมก็รักษาความสุขอันนั้น หรือวายอมรับ ความสุขอันนัน้ ได ประการที่ 3 ไมหมกมุนไมตดิ อยูในความสุขเชนนั้น หาความสุขที่สงบประณีตยิ่งๆ ขึ้นไป เทาที่จะหาได จนถึงที่สุด อันนี้ก็เปนทรรศนะของพระพุทธเจาที่ทรงสอนดีเหลือเกิน ตอไปถึงเรื่องการถือวรรณะ และก็เหยียดหยามกันในเรือ่ งชาติกําเนิด พระพุทธเจาทรงใหเลิกการถือ เชนนั้น นี่เปนการปฏิวัติเลยทีเดียวนะครับ ไมใชปฏิรูปแตปฏิวัติเลยเลิกเลย ทรงแสดงวาบุคคลจะดีหรือเลวไมใชชาติกาํ เนิด แตจะดีหรือเลวเพราะการกระทําของตน ทําดีก็เปนคนดี ไดดี ทําเลวก็เปนคนเลวไดสิ่งที่ไมดี ทรงตั้งสังคมใหม โดยการจัดตั้งสังฆมณฑล วารับบุคคลทุกวรรณะเขามาบวช ใหความเคารพนับถือ ใหทุก คนเคารพนับถือกันโดยอายุพรรษา และโดยคุณธรรม เรื่องเทพเจาผูบ ันดาลชีวิตของมนุษย เปนอีกเรื่องหนึ่ง ที่พระพุทธเจาไดทรงปฏิเสธ ตรัสวา มนุษยเปนผู กําหนดวิถีชีวติ ของตนเองโดยการกระทําและความคิดของตน หรือมิฉะนั้นก็มนุษยดว ยกันนัน้ แหละ เปนผูกําหนด วิถีชีวิตของมนุษยขนึ้ เอง แลวก็ทรงยืนยันวา มนุษยสามารถที่จะกลายเปนเทพเจาไดในชีวิตนี้ โดยการทําตนให บริสุทธิ์ ซึ่งเรียกวา วิสุทธิเทพ สูงกวาเทพชนิดอื่นทั้งหมด ซึ่งเทวดาและพรหมทั้งหลายตองเคารพยําเกรง เรื่องการบําเพ็ญตบะทรมานกายดวยวิธีตางๆ นี้ ก็ไดทรงทดลองทดสอบดวยพระองคเองเปนเวลาหลายป แลวก็พิสูจนไดวา ไรผลจึงทรงเลิกเสีย ทรงสอนสาวกไมใหทําเชนนัน้ และพระองคเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยา ทรมาน 81 ชีวิตกับครอบครัว


กายที่ตําบลพุทธคยา ปญจ-วัคคีย นัน้ ไดคลายความเชือ่ มั่นในพระองค แลวก็ทอดทิ้งพระองคไป เพราะยึดถือมาแต กอนดวยความเคยชิน วาทางแหงการตรัสรูค ือการทรมานกาย มองโลกคนละแงกนั พระพุทธเจาทรงมองโลกดวย ความเปนจริง คืออะไรปฏิบัติแลวไมไดผลก็ไมเอา แตปญ  จวัคคีย นัน้ มองโลกดวยความยึดมั่น คือติดอยูกับลัทธิ ประเพณีทเี่ คยทํากันมาวา เคยทําอยางนีก้ ันมาก็ทําไปตามที่เคยทํากันมา พระพุทธเจาไดทรงเสนอแนะทางสายใหม คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางคือไมหยอนเกินไปในทางกามสุขัลลิกานุโยค และก็ไมตึงเกินไปในทางอัตตกิลม ถานุโยค และการทําตนใหลําบากโดยไรประโยชน ไมมเี หตุผลโดยสมควร สูญเสียความผาสุกโดยชอบธรรม ทรง สอน ใหดําเนินตนพอดีพองาม เปนทางแหงความผาสุก ทั้งในปจจุบันและอนาคต มองดูที่สังคมไทยปจจุบัน ไดมีการยึดมั่นในสิ่งที่เคยถือ ไวอยางเคยชินอยูไมใชนอย เชน การยึดถือเรื่อง โชคลาง การยึดติดในลัทธิพิธีที่ไดทําสืบๆ กันมา โดยไมคํานึงถึงเหตุผล และความเปนจริง แลวก็ไมไดคํานึงถึงสิ่ง ตางๆ วามันขึน้ อยูกับกาลเวลา ของลัทธิพิธีนั้นๆ ความเชื่อความยึดถือ ที่อยูในลักษณะที่พระพุทธเจา ทรงเรียกวา สีลัพพตปรามาส คือเขาไปเกี่ยวของกับศีลและขอวัตรปฏิบัติ ไมตรงตามจุดมุงหมาย เชน รักษาศีล เพื่อใหคนนิยม สรรเสริญ หรือเพื่อใหไดลาภสักการะ บําเพ็ญขอวัตรปฏิบัติเพื่อลาภสักการะ ความสรรเสริญ และชื่อเสียงเชนเดียวกัน ตามความเปนจริงแลวการรักษาศีลก็เพื่อความบริสุทธิ์ของกาย วาจา การประพฤติขอวัตรปฏิบัติก็เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยใจคอใหประณีต ขัดเกลาจิตใจใหสงบ มีกิเลสเบาบาง นี่คือจุดมุงหมายของการรักษาศีล และการประพฤติวัตรตางๆ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่งมงาย ทั้งเชื่อทัง้ ถือ ที่งมงายในรูปแบบตางๆ อีกมาก ที่ขัดตอหลักเหตุผลและความเปนจริง เพื่อความถูกตองเหมาะสมและความผาสุกโดยชอบธรรม คนเราก็ควรจะสละละทิ้งความเชื่อถือผิดๆ ตางๆ ตามที่เคยเชื่อถือกันมา แลวก็ถือไวเฉพาะสิ่งที่สอบสวนดวยปญญาแลววาเปนสิ่งที่ถูกตอง และไมมีความหนักใจในสิ่งที่ถือเหลานั้นไว มีแตความสุขใจ โปรงใจสวาง สงบทางใจ อันนี้ก็เปนจาคะนะครับ บางทีก็ทะเลาะกันในเรื่องจาคะในครอบครัว แบงเปน 2 พวกในครอบครัว พวกหนึ่งก็ถืออยางหนึ่ง อีกพวกหนึ่งก็ถืออยางหนึ่ง บางทีก็งมงายทั้งสองพวก บางทีพวกหนึ่งงมงายอีกพวกหนึ่งไมงมงาย มันก็ไปกันไมได แตถาใชปญญามันก็ไปกันได

82 ชีวิตกับครอบครัว


การละกิเลส จาคะก็หมายถึงการละกิเลสที่เปนเหตุของความยุงทั้งปวง และเปนหนาที่สําคัญอยางหนึ่งของมนุษย ที่จะตองพยายามทําลายกิเลส ละกิเลส อยางนอยก็ทําใหเบาบางลง ที่มนุษยยุงๆ กันอยู ก็เพราะกิเลสทั้งนั้น ใครมีกิเลสมากก็ยุงมาก ใครมีกิเลสหนามากก็เดือดรอนมาก ลองสังเกตดูกไ็ ดครับ ที่ใดคนที่มีกิเลสหนาอยูรวมกัน หรือจะมาอยูรวมกัน ที่นั่นยุงมาก การยุงเรื่องงานก็ไมลําบากใจเทากับยุงเรื่องคน เพราะวางานยุงพอหยุดทําพักผอนเสียหนอยก็หายยุงหายเหนื่อย แตความยุงใจและก็เหนื่อยใจเรื่องคนนี่สิครับ มันยุงเหยิงยืดเยื้อยาวนาน บางรายก็ยุงไปตลอดชีวิต และก็ยังยุงติดตอไปถึงชาติหนาอีกดวย คนมีกิเลสนอยก็ยุงนอย คนมีกิเลสมากก็ยงุ มาก ไมมีกิเลสก็ไมยุงนะครับ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปนกิเลสสําคัญที่เปน อกุศลมูล เปนรากเหงาของอกุศล เมื่อสามอยางนี้มีอยางอื่นมันก็โผลขึ้นมาเปนดอกเห็ดเลย เพราะฉะนั้นก็พยายามลดละพยายามที่จะใหนอยลง ตัวเองและสังคมก็จะดีขึ้น หรือวาอยางนอยขอใหเรามีความสํานึกอยูเ สมอ หรือคิดอยูเสมอวา เราเกิดมาเพื่อกําจัดกิเลสใหหมดสิ้น หรือพัฒนาตนไปสูค วามดีจนถึงที่สุดคือ ไมมีความชั่วหลงเหลืออยูเลย คนไทยโบราณเขาใจเรื่องนีด้ ีนะครับ เพราะฉะนัน้ เวลาทําบุญอะไรทานก็อธิษฐานวา ดวยอํานาจบุญทานอันนี้ ก็ขอใหละกิเลสได ขอใหเปนปจจัยแกพระนิพพาน นิพพฺ านปจฺจโย โหตุ และนอกจากนี้ก็ยังมีจิตใจเผื่อแผถึงสรรพสัตวทั่วหนา ดวยการแบงสวนบุญสวนกุศลให ฝกอัธยาศัยใหเปนคนไมเห็นแกตวั แตเพียงผูเดียว เพราะฉะนั้น จาคะการสละกิเลสเปนภารกิจสําคัญของมนุษยทกุ คน ที่จะไดไมตองเวียนวายตายเกิดอะไรซ้ําๆ ซากๆ ตายแลวตายอีก เรื่องจาคะความสละก็คงจะจบเพียงเทานี้กอ นนะครับ

83 ชีวิตกับครอบครัว


บทสรุป ผมไดเริ่มตนเอาไววา ครอบครัวเปนรากฐานสําคัญของสังคม ถาประเทศใดที่ไดครอบครัวดี ครอบครัวมั่นคง สังคม ก็จะมั่นคง เปนรากฐานของสังคม ทีนี้ครอบครัวจะอยูกนั หลายคน พอแมลกู หรืออาจจะไมมีลูก การจะขาดไปอยางใดอยางหนึ่ง หรือบุคคลผูใดผูหนึ่ง ประเภทใดประเภทหนึ่งก็แลวแต แตวามันตองอยูดวยกัน แมในวัดนั้นก็มกี ารเปนอยูอยางครอบครัวก็มี คืออยูกันกับพระดวยกัน ฉันดวยกัน มีลูกศิษยก็คลายๆ วาอยูด วยกันแบบครอบครัว เวลาไปฉันเขาก็พูดวา ไปฉันครัวนั้นครัวนี้อะไรเหมือนกัน สําหรับชาวบาน หรือคูสมรสที่เขาใจกัน เกรงใจกัน ดีกวาความรักที่ปราศจากความเขาใจ หรือเกรงใจ เพราะวาความรักที่ไมเขาใจ มักจะจบลงดวยความรุนแรง แลวนําไปสูความทุกข แตถาความรักที่มีความเขาใจ แมจะรักนอยหนอย แตวามีความเขาใจมาก ก็จะมีความประนีประนอมสูง และไมเปนไปเพื่อความรุนแรง ความรุนแรงในสังคมไทยก็มีมากขึ้นทุกวันตามวันเวลาที่ลวงไป เด็กในครอบครัวไดถูกทําทารุณกรรมมากมาย จากหนังสือที่เกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชน มีลูกศิษยทํางานอยูที่นนั่ เขานํามาใหหลายเลม พอไดอานดูก็รูสึกวาเด็กไดรับการทารุณกรรมในครอบครัวมาก ไมทราบเปนเพราะอะไรไปลงที่เด็ก เด็กก็รับบาปรับกรรม รับความทุกขจากความไมดีของผูใหญ หรือความไมสมบูรณ ครอบครัวที่แตกแยก ครอบครัวที่ไมสงบ ผูใหญก็ระบายอารมณลงที่เด็ก ตอไปเด็กจะกาวราว ทารุณกับคนอื่น ตอไปอีก เด็กไมไดตระหนักรูถึงวา เราไดรับความทุกขอยางนีจ้ ากการกระทําอยางนี้ของผูอื่นแลว เราจะเวนการกระทําเชนนี้กับ ผูอื่น เด็กไมไดตระหนักอยางนั้น เพราะวาเด็กยังไมไดศกึ ษาธรรม คนที่จะมีความคิดอยางนี้ได ตองเปนคนศึกษาธรรม วาเราไดรับความทุกขอยางใดจากผูใด เราก็จะไมทําความทุกขอยางนั้นแกผอู ื่น อันนี้เปนสภาพจิตของบุคคลที่ไดรับการศึกษาธรรมดีแลว ตอไปนะครับ คนพัฒนานอยคือในครอบครัวนี้ อาจจะมีคนที่ไดรับการพัฒนามานอยบาง มากบางปนกันอยู คนที่พัฒนามานอย มีความรูนอย มีความเขาใจอะไรตออะไรนอย ก็ควรจะเดินตามผูที่พัฒนามาก คือวาดึงกันขึ้นไปไมใชดึงกันลงมา ใหมลี ักษณะดึงกันขึ้นไป อยางนีถ้ าใครในครอบครัวที่เปนคนพัฒนามาก คนอื่นตองเดินตาม ไมใชมาเดินตามผูที่พฒ ั นานอย มีความรูความสามารถนอย มีสมรรถนะวิสัยนอย มีอะไรที่นอ ย แลวถาเผื่อมาตามใจผูอยางนั้น ก็เปนการดึงกันลงมา ไมใชดึงกันขึ้นไป ขอเนนย้ําโอวาทของสมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ นักปราชญใหญของเมืองไทย ที่ทานไดทรงใหโอวาทแกธิดาสาวของทานวา “อยางไรก็ตาม ขอใหเธอทําสิ่งที่ใหเขาไดมีความรูสกึ วา 84 ชีวิตกับครอบครัว


มีเธอดีกวาไมมี” หรือวาถาเปนผูชายก็ใหทางฝายผูหญิงเขาเห็นวา มีเราดีกวาไมมี มีเขาดีกวาไมมี นั่นแสดงวายังมีคุณคาอยู ที่เขามีความรูสึกวามีดีกวาไมมี และในครอบครัวควรจะเต็มไปดวยความออนโยน ละมุนละไม ไมควรจะทําอะไรที่เปนทํานองเอาน้ํารอนไปรดตนไม ตนไมมันตายหมด เพราะความโง คิดวาเราไดรดตนไมแลว แตก็ไมไดตระหนักวา น้ําที่เอาไปรดมันเปนน้ําอะไร เปนน้ํารอนหรือน้ําเย็น ตนไมชอบน้ําเย็น เราเอาน้ํารอนไปรดตนไมอยูตลอดเวลา และนั่นคือความกาวราว รุนแรง ความรูสึกที่เอาแตใจตัว ฉันอยากจะพูด ฉันอยากจะทําฉันก็ทําโดยไมเกรงใจผูอื่น ไมนึกถึงความรูสึกของผูอื่น ศิลปะในการอยูรวมกันของคนก็คือ นึกถึงความตองการของอีกคนหนึ่งมากกวาความตองการของเรา อันนี้เปน อริยวัฒนธรรม ที่พระเถระเชนพระอนุรุทธะ พระกิมพิละ ทานอยูรวมกันในปาแหงหนึ่งพระพุทธเจาทานเสด็จไปถามวา “เธออยูกันสบายดีหรือ” ทานก็กราบทูลวา “อยูกันสบายดี” “แลวเธออยูกันอยางไร” ก็กราบทูลวา “ขาพระองคนกึ ถึงความตองการของอีกฝายหนึ่ง ของอีกคนหนึง่ มากกวาความตองการของตัว” ถาทุกคนที่อยูร วมกันคิดอยางนี้ คิดถึงความตองการของอีกฝายหนึ่ง มีความเขาใจและก็ประนีประนอม ทานลองนึกดู ทางตรงกันขามกับอันนี้ทานก็จะเขาใจวา ถาทุกคนที่อยูใ นครอบครัวหรืออยูในสังคมเดียวกัน นึกถึงแตความตองการของตัว แลวอะไรจะเกิดขึ้น อีกคนหนึ่งจะนอน อีกคนหนึ่งก็จะดูโทรทัศนอยูใ นหองเดียวกัน คนหนึ่งบอกฉันจะนอน อีกคนหนึ่งบอกก็ตามใจสิฉันจะดูโทรทัศน อีกคนดูชองหนึง่ แตอกี คนบอกจะดูอกี ชองหนึ่ง โทรทัศนมีอยูเครื่องเดียวตีกันตาย ทะเลาะกันทุกวัน แตถาตรงกันขาม ตางคนตางก็อนุโลมตามอีกคนหนึ่ง มันก็เอาใจของกันและกันมันก็ดี แมจะมีคนใชอยูในบานคนใชก็รัก ใครอยูดว ยคนนั้นก็รัก ใครเขาใกลเขาก็รัก เพราะวาเรานึกถึงแตความตองการของคนอีกคนหนึ่ง นี่คอื Art of Living ศิลปะในการใชชวี ิต ศิลปะในการมีชีวิตอยูรว มกันของคนในสังคม ก็ตอมาถึงเรื่อง คนที่อยูดว ยกันโดยเฉพาะอยูกันอยางครอบครัว มันตองมีธรรมเปนหลัก ธรรมที่ใหไวมี 2 หมวด หมวดที่ 1 เรียกวา สมชีวิธรรม 4 อยาง ศรัทธา คือ มีศรัทธาดวยกัน ศรัทธาเสมอกัน สมสัทธา มีศรัทธาเสมอกัน มีศรัทธาในสิ่งเดียวกันไมตองทะเลาะกันดวยเรื่องศรัทธา ปญญาในขอที่ 4 มันจะคลุมอยู และก็มีศลี เสมอกัน คือมีความประพฤติดีดวยกัน ไมใชคนหนึ่งเปนบัณฑิต อีกคนหนึ่งเปนโจร มันก็อยูด วยกันไมได แลวมีจาคะเสมอกัน เปนคนที่มีนิสัยเสียสละ มีความเสียสละทรัพยสิน ที่เห็นวาจําเปนหรือควรจะเสียสละ 85 ชีวิตกับครอบครัว


หรือเสียสละความไมดี เสียสละสิ่งที่ยึดถือกันมาเปนเวลานาน แตมนั ไมถูกตอง มันเปนสัจจาภินิเวส ไมใชสัจจานุรกั ษ เพราะฉะนั้น ก็ใหมกี ารเสียสละ อะไรที่ไมถูกไมควร ไมเหมาะก็สละมันเสีย เอาที่ถกู ที่ควรที่ดี ที่เปนความจริง ซึ่งทดสอบได อะไรไมดีกท็ ิ้งไป และก็สละความชั่วตางๆ ที่มีอยูในใจ ความริษยา ความพยาบาท ความโกรธ หรือวานะหนาทอง ที่เคยพูดถึงลงนะหนาทอง น กุชฺฌติ ไมโกรธ น ทุสฺสติ ไมประทุษราย น พยาปชฺชติ ไมพยาบาท นะอะไรอีกหลายตัว ไมยกตนไมขมผูอื่น แลวก็ไมเอาของของคนอื่นเปนของของตัว คือไมมีโจรในบาน นี่จาคะและก็สละใหแกกันและกันเทาที่จะสละได สละออกไปจากขางใน ออกไปขางนอก ไมใชเที่ยวสงเคราะหใครตอใครเขาเยอะไปหมด แตวาในบานไมใหใคร เปนคนขี้เหนียวในบาน เที่ยวชวยเหลือใครตอใครนอกบานมากเต็มไปหมด มันก็ไมถูกตอง แตมันก็ตองพิจารณาเงื่อนไขอีกสักหนอยเหมือนกันนะครับ วาคนในบานเปนอยางไรสมควรไดรับการสงเคราะหไหม บานมีคุณความดีอะไรที่ควรไดรับแคไหน อันนี้เปนเงื่อนไขที่แทรกเขามา เพราะฉะนัน้ ก็ตองพิจารณาเงื่อนไขดวยเหมือนกัน คือทุกอยางมันมีเงื่อนไขและปญญานี้จะเปนตัวคุมอยู สมปญญา มีปญญาเสมอกัน คําวามีปญญาเสมอกัน ไมไดหมายความวา จะตองมีความรูเทากันหรืออะไรหรอกครับ ไมใชอยางนัน้ แตวาพอรูผิดรูถูก รูดีรูชั่ว รูอะไรที่พอจะไปกันไดในดานนี้ และก็คุยกันรูเรื่อง นี่เปนชุดหนึ่งของธรรมสําหรับครอบครัว เรียกวา สมชีว-ิ ธรรม อีกชุดหนึ่งคือ ฆราวาสธรรม ธรรมสําหรับฆราวาสผูครองเรือน พัฒนาไปๆ ก็จะเปนฆราวาสระดับสูง หรือวาเปนฆราวาสที่ไมใชฆราวาสก็ได สัจจะมีความจริง จริงกาย จริงใจ จริงวาจา แลวก็รักษาไวซงึ่ ความจริง เปนสัจจานุรกั ษอยางที่พดู แลว ไมเปนสัจจาภินเิ วส คือยึดมั่นดวยอุปาทาน เคยถือกันมาอยางไร ก็ถือกันไปอยางนั้นโดยไมใชปญญาพิจารณา ยึดถือไวดว ยอุปาทาน สัจจานุรักษนนั้ รักษาไวแตความจริงพอสอบใหมอยูตลอดเวลาวาอะไรจริง อะไรไมจริง อะไรถูกตอง ทมะ การฝกตน ฝกอินทรีย ฝกหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรที่เกี่ยวกับการพัฒนา ใหฝก ใหพัฒนาไปเรื่อยๆ

86 ชีวิตกับครอบครัว


ตอมาก็ ขันติ ความอดทน ใหความอดทนไว 3 อยาง ธีติ ความอดทนตอความเหน็ดเหนื่อย ลําบาก สูงาน ก็อธิวาสนะ อดทนตอความเจ็บไขไดปว ย และก็ ตีตกิ ขา อดทนตออารมณที่มายัว่ ยวน คําดาวาเสียดสีตางๆ นี่ก็ใหไวอยางนั้น มาถึงจาคะก็มาซ้ํากันกับสมชีวิธรรม 4 นะครับ ก็เนือ้ หาเดียวกัน การฝกตน ผมมีความรูสึกพอใจที่จะพูดเรือ่ งนี้ และก็อยากจะใหมีสิ่งนีเ้ กิดขึ้นในสังคม ในชุมชนในบานในทุกแหงใหมีการฝกตน ฝกอินทรีย ก็ใหแนวเอาไวเชนอะไรเลี่ยงไดก็เลี่ยง ถาเลี่ยงไมไดกต็ องเผชิญหนา มีสติพิจารณา หรือฝกลงไปตรงๆ คือวา ไมตามใจตัวเอง มีเรื่องหนึ่งที่ผมเตรียมเอาไวสําหรับจะพูด แตวายังไมไดพูดในคราวนัน้ ในคราวทีพ่ ดู อยูก็คือ การฝกอินทรีย ตามแนวของ อินทรียภาวนาสูตร ในคัมภีรม ัชฌิมนิกาย อุปปริปณณาสก ในพระไตรปฎก เลมที่ 14 นะครับ อันนีก้ ็ดีมากเลย แตวาคอนขางสูงนะครับ คือทานสอนใหพิจารณาถึงเรื่องความพอใจ และความไมพอใจ วาเปนของหยาบ คือยังหยาบอยู และทุกครั้งที่เกิดความพอใจ หรือความไมพอใจ ก็ใหมีความรูสึกวา สิ่งนี้ยังหยาบอยู ทานตองนึกเกีย่ วกับอายตนะ ความพอใจหรือไมพอใจที่เกีย่ วกับอายตนะ ไมใชความพอใจในธรรม ถาเทียบกับความพอใจในธรรม ความพอใจทางอายตนะยังหยาบอยู สวนความวางเฉยเปนสิ่งประณีต สงบระงับความพอใจ ความไมพอใจดับไป และความวางเฉยดํารงอยูไดโดยงาย ทานวาหลับตาแลวเหมือนลืมตาขึ้น คือวาฝกไปๆ ก็จะมีความรูสึกวาความวางเฉยนี้ เปนสิ่งทีเ่ กิดขึ้นไดงาย เหมือนกับหลับตาแลวลืมตาขึ้น พระพุทธเจาไดตรัสย้ําไวในตอนสุดทายวา นี่คือการอบรมอินทรียอยางยอดเยี่ยมในวินัยของพระอริยะ คําวาวินยั ของพระอริยะหมายถึง ระเบียบประเพณีของพระอริยะวาเปนอยางนี้ แตวาโดยทัว่ ไปหรือปุถุชนทั่วไปหรือคนทัว่ ไป การที่จะระงับความพอใจหรือไมพอใจ เปนสิ่งที่ทําไดยาก แตวาตองฝก ก็ฝกทําไป หรืออยางนอยที่สดุ ในเวลาจําเปน หมายความวาในความจําเปนที่จะตองทํา มันมีปญหาเกิดขึ้นในชีวิต มันมีเรื่องเกิดขึน้ อะไรเกิดขึ้น ทําใหเราตองฉุกคิดวา เอ! เรื่องนี้ถาจะตองวางเฉยแลว คือวาอยาใหเกิดความพอใจหรือไมพอใจสําหรับเรื่องนี้ เพราะวาพอใจก็เปนทุกข ไมพอใจก็เปนทุกข มันตองมาทางการวางเฉย ก็เปนการอบรมอินทรียอยางหนึ่ง พระพุทธเจาทานก็รับรองวานี่คือการอบรมอินทรีย อยางยอดเยีย่ มในวินัยของพระอริยะ

87 ชีวิตกับครอบครัว


อันนี้เปนการฝกฝนตนเองอยางที่พระพุทธเจาไดทรงกระทํา มาดวยและก็ทรงสั่งสอนดวย ตามพระพุทธพจนหรือวาตามนัย ที่กลาวไวในพระไตรปฎกที่วา ทนฺโต โส ภควา ทมถาย ธมฺมํ เทเสติ พระผูมพี ระภาคเจาพระองคนั้น ไดทรงฝกพระองคแลว และก็ทรงแสดงธรรมเพื่อการฝก ใครจะฝกก็สูตนเองฝกตนเองไมได แมผูอนื่ จะชวยฝก แตก็ไดแตชวยนัยหรือใหแนวทาง แตวากิจกรรมที่จะตองทํา และสิ่งที่จะตองปฏิบัติ บุคคลผูนั้นจะตองฝกเองหรือทําเอง ความเพียรเปนเครื่องเผาบาป ความเพียรที่จะละลายความไมดีตางๆ เราตองทําเอง ครูทั้งหลายมีพระพุทธเจาเปนแตเพียงผูชที้ างใหเทานั้น คือถาเผื่อเจาตัวไมเอาเสียอยาง ใครจะบอกดีอยางไรมันก็ไมไดผล อันนี้เรื่อง ทมะ เรื่องการฝกตนในชุดของฆราวาสธรรม ผมมีความรูสึกวา ฆราวาสมีความจําเปนจะตองฝกในเรื่องเหลานี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะอยางยิ่ง คือ เรื่องการควบคุมลิ้น ไมใหอยูในอํานาจของความทะยานอยากในเรื่องการกินการอยู หรือวาสามารถที่จะควบคุมลิ้นได วาอยูกนิ เพียงพออยู พออยูไ ด และก็เปนการประหยัด เปนการชวยเหลือเศรษฐกิจ ในยุคที่เศรษฐกิจกําลังตกต่ําอยู แลวก็บน กันไปทั่ววา รายไดไมพอรายจาย มีปญหามากมายเกีย่ วกับเรื่องเศรษฐกิจอยูห ลายปแลว 2-3 ปมาแลว ถาเผื่อวา ประชาชนของเราจับหลักใหได หรือวาผูนําสังคมของทุกระดับชั้นจับหลักใหได ตามแนวของพุทธศาสนา แลวก็ใหประชาชนรวมทั้งตนเองดวย มีความเปนอยูแ ตพอดี ควบคุมลิ้นไมเดือดรอนกับเรือ่ งเหลานั้น อยูนอยกินนอยใชนอย แตวาทํางานไดมาก คนที่อยูมาก กินมาก เลนมาก อะไรมาก มันก็เพลิดเพลินไปในทางผลาญทรัพยสินสมบัติทั้งของตัว ทั้งของสังคม และก็ไดงานนอย เพราะเวลามันไปจายใหเรื่องการกินการเลนไปเสียหมด เวลาที่สําหรับทําคุณประโยชน สิ่งที่เปนประโยชนก็ เหลือนอย แตคนที่เขาใชนอยกินนอย อยูอยางควบคุมในเรื่องเหลานี้ได เวลามันก็เหลืออยูเยอะสําหรับที่จะหาความรู สําหรับที่จะทําประโยชน สําหรับที่จะพัฒนาตน เวลามันก็จะเหลืออยูเยอะจนถึงกับวาบางคนนี่ก็มีคนถามวา เอาเวลาที่ไหนมาทํางานมากมาย ไดงานมากมาย เอาเวลาที่ไหนมาทํา ก็ไมใชเวลาที่ไหนหรอกครับ ก็เวลาเทาๆ กันกับคนที่ไมมีเวลา แตเขาใชเวลาเปนสิ่งควบคุมตนเองได และมีความสุขอยูด วยการใชเวลาใหเปนประโยชน นึกถึงแตประโยชนของคนอืน่ แตไมไดนกึ ถึงประโยชนของตัว เพราะวาประโยชนของคนอื่น มันยั่งยืนกวาประโยชนของตัว ในชีวิตของคนคนหนึ่ง มันอยูอีกไมกปี่  มันก็ตองตายไป แตวาประโยชนที่ทิ้งไวใหสงั คม ผลงานที่ทิ้งไวใหสังคม มันยั่งยืน เปนรอยป เปนพันป มันเปนประโยชนกับคนหมูม าก เขาคิดไดอยางนั้นเขาก็ทําได แตวาถาคิดไมได อยางนัน้ เราจะไดอะไร หรือเรามีความสุขอยางไร 88 ชีวิตกับครอบครัว


นึกถึงแตความสุขของตัว เมื่อนึกถึงความสุขของตัว มันก็ไมแผความสุขไปถึงผูอื่น ทําอะไรไมได พอทําอะไรขึน้ มา มันก็ไปติดขัดตรงที่วาเราจะไดอะไร ไมไดนึกถึงวาคนอื่นเขาจะไดอะไร แตถาตางคนตางนึกถึงคนอื่น ถาเปนกันอยางนั้นมากๆ สังคมมันก็อยูก ันเปนสุข ตางคนตางก็นกึ ถึงคนอื่นกอน อันนี้ก็เปนนัยทีใ่ หไว และก็ตอมาคูกนั สําคัญอยูดวยกันทั้งหมดทัง้ สามสี่ขอ ที่พูดมานี่ก็คือฆราวาสธรรมนี่ละครับ ที่สําคัญอยางยิ่งก็คอื ตีติกขาขันติ ความอดทนตอสิ่งที่จะมายัว่ ยวนกระทบกระทั่ง ไมวาสังคมไหนละครับ มันหนีไมได มันหนีไมพน มันตองมีการกระทบกระทั่ง เราอยูในโลกมันเหมือนกับเราลงเรือไปในมหาสมุทร อยูในโลกมันตองถูกคลื่นของโลกเหมือนกับเราลงเรือไปในมหาสมุทรใหญทะเลใหญ มันตองถูกคลื่น มีทะเลที่ไหนบางไมมีคลื่น ไมมีเมื่อลงไปในมหาสุมทรแลว ทางเดียวที่เราจะทําไดก็คือทําเรือของเราใหแข็งแรง ถาเรานั่งอยูในเรือที่แข็งแรงไมแตกไมสลาย ไมลม ไมจมเราก็ไปได เราก็ฝาคลื่นไปได และเรือบางลํามันใหญเสียจนรูสึกเหมือนนอนอยูก ับบาน แมจะโดนคลื่นลมอยางนั้นแหละ นั่นก็เปนเพราะวา เรือเขาใหญ เพราะฉะนั้น บางคนก็อยูใ นโลก ถูกคลื่นของโลกซัดสาดอยูตลอดเวลา นั่นคือโลกธรรม แตวาเขามีธรรมสําหรับควบคุม ก็เหมือนกับเรือใหญที่แลนอยูในมหาสมุทรอยางนั้น ก็ไมเปนไร บางคราวก็โดนคลื่นใหญบางแตมันไมแตก มันฝาคลื่นลมไปได เหมือนเราอยูในโลก ก็ใหคดิ วาเหมือนกับเราลงไปในมหาสมุทร ไมใหโดนคลื่นไมได แตวา เราตองมีธรรมสําหรับคุมครองรักษาใจ ผมขอจบเรื่องธรรมสําหรับครอบครัว ปญหาชีวิตเกี่ยวกับครอบครัว และก็ใหอะไรไวหลายๆ อยางที่เกีย่ วกับครอบครัวก็จบลงดวยธรรมสําหรับครอบครัว วาไปแลวโลกเราก็เปนครอบครัวใหญ สังคมเราก็เปนครอบครัวใหญ เราก็ใชธรรมเหลานี้ตั้งแตครอบครัวเล็กไปจนถึงครอบครัวใหญ ไปถึงประเทศใชไดทั้งหมด ในที่สุดนี้ ขอความสุขสวัสดี ความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม พึงมีแดทานผูฟงทั้งหลายโดยทัว่ กัน สวัสดีครับ

89 ชีวิตกับครอบครัว



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.