วิถีแหงความรูแจง (พระปราโมทย ปาโมชฺโช แนะนําการปฏิบัติวิปสสนา)
1 วิถีแหงความรูแ จง
ความในใจ ผูเ ขียนไดเขียนหนังสือเรื่อง “วิถีแหงความรูแจง ๒” ไวเมื่อ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เมื่อเวลาผานมาผูเขียนเห็นสมควรปรับปรุงหนังสือเรือ่ งนี้ใหสมบูรณยงิ่ ขึ้น เพื่อประโยชนแกเพือ่ นนักปฏิบัติทั่วไป พระปราโมทย ปาโมชฺโช ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙
2 วิถีแหงความรูแ จง
ใจความ ๑. สิ่งใดคือจุดมุงหมายของพระพุทธศาสนา – ความพนทุกขสิ้นเชิง ๒. ความทุกขคืออะไร – คือ (๑) ความไมสบายกายและความไมสบายใจ (๒) ความทนอยูไมไดของสิ่งปรุงแตงทั้งปวง (๓) ความอึดอัดขัดของหนัก หนวงและดิ้นรนของจิตดวยอํานาจของความอยากในเวทนาและความ ยึดถือในขันธ และ (๔) อุปาทานขันธ/ชาติ/รูปนาม/กายใจเปนทุกขโดยตัว ของมันเอง ไมวา จิตจะมีความอยากและความยึดถือหรือไมกต็ าม ๓. ความทุกขเกิดจากอะไร – เกิดจาก (๑) ความไมสมอยาก (๒) ความอยาก หรือตัณหา และ (๓) ความไมรอู ริยสัจจ ๔. ทางแหงความดับทุกข – ทางเดียวสําหรับการดับทุกขสิ้นเชิงคือมรรคมี องค ๘ หรือศีลสมาธิปญญา ยอลงมาเปนการเจริญสติ หรือการตาม สังเกตการณกายใจของตน จนเกิดปญญาเขาใจความเปนจริงวา กายกับใจ เปนตัวทุกข จิตก็จะหมดตัณหา อุปาทาน (ตัณหาทีร่ ุนแรง) ภพ (การทํา กรรมทางใจ) ชาติ (ความไดมาซึ่งรูปนาม/อายตนะ) และปลอยวางทุกข (รูป นาม) โดยอัตโนมัติ ๕. การเจริญสติคืออะไร - คือการระลึกรู (ขอ ๖) ถึงสภาวธรรม (ขอ ๗) ทีก่ ําลัง ปรากฏ (ขอ ๘) ตามความเปนจริง (ขอ ๙) ๖. การระลึกรูทําอยางไร – ตองหมั่นตามรูรูปนาม/กายใจเนืองๆ จนจิตจดจํา สภาวะของรูปนามไดแลว สติจะเกิดขึ้นเองเมือ่ รูปนามที่จิตรูจ ักแลวปรากฏ ขึ้น ศัตรูของการระลึกรูที่ถูกตองไดแกความสุดโตงสองดาน คือการหลง ตามกิเลสไปแสวงหาอารมณทางทวารทัง้ ๖ และการบังคับกดขมกายใจ ของตนเอง 3 วิถีแหงความรูแ จง
๗. สภาวธรรมคืออะไร – คือรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบกันขึ้นเปน รางกายจิตใจอันเปนกองทุกขนี้ ไมใชสงิ่ ที่เปนความคิดฝนหรือจินตนาการ เอาเอง ๘. ที่กําลังปรากฏหมายถึงอะไร - หมายถึงสภาวธรรมที่ปรากฏเปนอารมณ ปจจุบันในขณะจิตตอหนานี้ ผูปฏิบัติตอ งไมหนวงอาลัยถึงสภาวธรรมใน อดีต และไมกังวลถึงสภาวธรรมในอนาคต ๙. ตามความเปนจริงหมายถึงอะไร – หมายถึงรูลักษณะของสภาวธรรมตรง ตามที่มันเปน (เปนไตรลักษณ) และไมเขาไปแทรกแซงสภาวะเหลานั้นดวย ความอยาก(ตัณหา) และความเห็นผิด (ทิฏฐิ) ๑๐. ระลึกรูแลวไดอะไร – (๑) ไดความอยูเปนสุขในปจจุบันของจิตผูรู ผูต ื่น ผู เบิกบาน (๒) ไดความละอายและเกรงกลัวตอบาป (๓) ไดความสมบูรณ แหงศีล (๔) ไดความตั้งมั่นของจิตหรือสัมมาสมาธิ (๕) ไดสัมมาทิฏฐิ เขาใจตนเอง เขาใจผูอ ื่น และเขาใจธรรม (๖) ไดความเบาบางจางคลายจาก ความยึดถือทั้งหลาย (๗) ไดความหลุดพนและ (๘) ไดความรูเ กี่ยวกับธรรม แหงความหลุดพน
4 วิถีแหงความรูแ จง
๑. จุดมุงหมายของพระพุทธศาสนา ๑.๑ พระพุทธศาสนาเปนศาสตรที่มุงตอบปญหาที่วา ทําอยางไรเราจะเขาถึง ความพนทุกขอยางสิ้นเชิงได ๑.๒ คนทัง้ หลายมักมองขามเรือ่ งความพนทุกข แตมุงความสนใจไปที่การ แสวงหาความสุข เพราะไมรูความจริงวารางกายจิตใจนี้เปนกองทุกขแทๆ ไมมีทาง ทําใหเกิดความสุขถาวรไดจริง ยิ่งดิ้นรนหาความสุขหรือหนีความทุกขมากเพียงใด จิตใจก็ยิ่งมีภาระและความทุกขมากขึ้นเพียงนั้น เพราะไมวา จะดิ้นรนเพียงใด ความสุขทีไ่ ดมาก็ไมเคยเต็มอิ่มหรือมิฉะนั้นก็จืดจางไปอยางรวดเร็วเสมอ ความสุข เหมือนสิ่งที่รอการไขวควาชวงชิงอยูขา งหนา เหมือนๆ จะควาได แตกจ็ ะหลุดมือไป รออยูขางหนาตอไปอีก เปนเครื่องยั่วและเรงเราใหเกิดการดิ้นรนอยูต ลอดเวลาโดย หวังที่จะไดครอบครองความสุขอันถาวรใหได ๑.๓ แทจริงความสุขที่พวกเราเที่ยวแสวงหานั้นเปนเพียงภาพลวงตาที่ไขวควา ไมถึง เรามักคิดวาถาไดสิ่งนัน้ ถามีสิ่งนี้ ถาไมเจอสิ่งโนนก็จะมีความสุข เราไปหลง วาความรู ทรัพยสินเงินทอง ครอบครัว ญาติมิตร ชื่อเสียง อํานาจ ความสนุกสนาน สุขภาพ ฯลฯ คือตัวความสุข เราเอาแตดนิ้ รนแสวงหาความสุขโดยไมรจู ักความสุขที่ แทจริง ๑.๔ พระพุทธศาสนาไมไดสอนใหแสวงหาความสุขชนิดที่เปนภาพลวงตานั้น แตสอนใหเรียนรูทกุ ขซึ่งเปนความจริงของชีวิต มีแตพระพุทธศาสนาเทานัน้ ที่ตอบ ปญหาเรื่องทุกขไวโดยตรง รวมทั้งบอกสาเหตุของความทุกข และบอกวิธีปฏิบัติเพื่อ 5 วิถีแหงความรูแ จง
ความพนทุกขสิ้นเชิงเอาไวดว ย ถาเราศึกษาเรื่องทุกขจนเมื่อใดเขาถึงความพนทุกข เมื่อนัน้ จะไดพบกับความสุขอันเต็มบริบรู ณปรากฏอยูตอหนาตอตานี้ทนั ที ๑.๕ บางคนอาจมองเลยไปอีกวา พระพุทธศาสนามองโลกแงรายเกินไป คือ มองวาชีวติ มีแตความทุกข ประเด็นนี้ตอ งขอแขวนไวกอนเปนการชั่วคราว เพราะถา อธิบายกันในขณะนีก้ ็จะกลายเปนขอถกเถียงทางปรัชญาไป เพียงอานหนังสือเลมนี้ ใหจบแลวลงมือเรียนรูทุกขตามแนวทางที่พระพุทธเจาทรงสอนไว ก็จะเห็นความ จริงไดโดยไมตองเสียเวลาถกเถียงกันเลย
๒. ความทุกขคืออะไร ๒.๑ พระพุทธศาสนามองความทุกขไวอยางลึกซึ้งและหลายแงมุม มากกวา ความทุกขที่พวกเรารูจักกันทั่วๆ ไป กลาวคือ ๒.๑.๑ ทุกขเวทนา คือความทุกขทั่วไปที่พวกเรารูจกั กันอยูแลว ไดแก ความทุกขกายทุกขใจนั่นเอง สําหรับผูที่ไมเคยเจริญสติอาจรูสกึ วา นานๆ ทุกขเวทนาจึงเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง แตผูที่เจริญสติอยูจะพบวา ทุกขเวทนา เกิดขึ้นบอยมาก เชนถาเรามีสติรูกายอยู จะพบวาความทุกขเหมือนสัตวรายที่ วิ่งตามทํารายเราอยูต ลอดเวลา ทําใหตองคอยเปลีย่ นอิริยาบถ ตองกิน ตองดื่ม ตองขับถาย ตองอาบ ตองเช็ดลาง ตองเกา ตองหายใจเขา ตองหายใจออก ฯลฯ แทบไมไดหยุดพักเลย บางคราวมีความปวยไขอันเปนความบีบคั้นที่รนุ แรง และทายทีส่ ุดเมื่อหมดกําลังวิ่งหนีทุกข เราก็จะถูกความทุกขทํารายเอาจนตาย 6 วิถีแหงความรูแ จง
ยามใดที่ทกุ ขเวทนาบรรเทาลง เราจะรูสกึ วาเปนสุข แตไมนานเลย ความ ทุกขก็ตามมาทันอีกคราวหนึ่งหากมีสติรูอยูที่จิตใจก็จะพบวา จิตของเราเกิด ความเครียดขึ้นแทบตลอดเวลา ยามใดมีความเครียดนอยลงก็รูสึกเปนสุข ยาม ใดมีความเครียดมากขึ้นก็รูสึกเปนทุกข ๒.๑.๒ ทุกขลักษณะ ทุกขชนิดนี้ไมใชความทุกขในความหมายทั่วไปที่ ใครๆ ก็รูจัก แตมันเปนลักษณะทั่วไปของสิ่งที่เปนสังขาร(คือรางกายจิตใจและ สิ่งปรุงแตงทั้งหลาย) ที่วา สังขารทัง้ หลายไมอาจคงทนอยูไดตลอดไป ดังนัน้ ตามความหมายนี้ กระทั่งความสุขก็มีลักษณะเปนทุกขเชนกัน คือมีความทน อยูไมได เรื่องทุกขลักษณะนี้จะเห็นชัดขึน้ เมือ่ ไดลงมือเจริญสติแลว ในชั้นนี้ จึงควรทราบไวเพียงนี้กอน ๒.๑.๓ ทุกขเพราะตัณหา ทุกขชนิดนี้เปนทุกขที่เกิดขึ้นกับคนและสัตว ทั้งหลายอยูแทบจะตลอดเวลา แตหาผูมองเห็นไดนอ ยนัก สวนนักปฏิบตั ิพอจะ มองเห็นทุกขชนิดนีไ้ ด โดยเฉพาะอยางยิง่ ผูเ จริญสติโดยใชอารมณในฝาย นามธรรม ซึ่งจะเห็นวา “สมุทัยเปนเหตุใหเกิดทุกข คือเห็นวาหากจิตเกิดความ อยาก(ตัณหา) และความยึดถือ(อุปาทานคือตัณหาที่มีกําลังกลา)ในรูปนามและ อารมณทั้งหลายแลว จิตจะเกิดความทุกขคือความอึดอัดขัดของทั้งหลายขึ้นมา ทันที หากจิตปราศจากความอยากและความยึดถืออารมณ จิตจะไมทุกข แต กลับจะทรงตัวอยูอยางเดนดวง มีสภาพรู ตื่น เบิกบานและมีความสุขอยูโ ดยตัว ของมันเอง ผูปฏิบัตทิ ี่จิตเกิดปญญาเต็มทีใ่ นระดับนีจ้ ะมีสมาธิบริบูรณ คือจิต จะตั้งมั่นอยูไดโดยไมตองระวังรักษาอีกตอไป อันเปนภูมิธรรมในระดับพระ อนาคามีนนั่ เอง ทานที่เขาถึงภูมิธรรมขั้นนี้บางทานจะเกิดความนิ่งนอนใจไม 7 วิถีแหงความรูแ จง
ขวนขวายปฏิบัติตอไป เพราะมีจิตที่ตั้งมั่นเดนดวงนั้นเปนทีพ่ ึ่งที่อาศัยอัน ปลอดภัยและมีความสุขมากอยูแ ลว ๒.๑.๔ ทุกขสัจจหรือขันธคือทุกข ทุกขชนิดนี้เปนทุกขที่ลึกซึ้งที่สุด ผูที่ เขาใจความทุกขชนิดนี้อยางแจมแจงเทานั้นจึงจะพนจากการเวียนวายตายเกิด ได เพราะการรูจักเพียงทุกขเวทนาเปนเรือ่ งสามัญที่ใครๆ ก็รูจัก การรูจ ักทุก ขลักษณะก็เปนสิ่งทีผ่ ูเจริญวิปส สนากรรมฐานแมเมื่อยังเปนปุถุชนอยูก ็รูจัก การรูจักทุกขเพราะตัณหาก็ยังไมใชปญญาที่ถงึ ทีส่ ุด เพราะยังเห็นวาจิต บางอยางเปนสุขและจิตบางอยางเปนทุกข อยางมากที่สุดก็เขาถึงธรรมไดใน ระดับพระอนาคามี เพราะจิตมีปญญาเขาใจวาถาเกิดความอยากและความ ยึดถือ จิตจึงจะเปนทุกข จิตจึงพอใจที่จะตั้งมั่นไมแสวงหาอารมณภายนอกอัน เปนที่ตั้งแหงความอยากและความยึดถือ แตกลับหันมายึดมั่นในตัวจิตที่เปนผูร ู ผูตื่นผูเบิกบานเสียเอง ตอเมือ่ เจริญวิปสสนากรรมฐานตอไปจนปญญาแกรอบถึงทีส่ ุดอยาง แทจริง จึงจะเห็นทุกขสัจจอยางแจมแจงวา ขันธหรือรูปนามหรือกายใจนั่น แหละคือทุกข จะมีความอยากและความยึดมั่นหรือไม รูปนามนี้กเ็ ปนทุกขอยู โดยตัวของมันเองอยูแลว นอกจากทุกขไมมีสิ่งใดเกิดขึ้น และนอกจากทุกขไม มีสิ่งใดดับไป ไมใชวา กายนี้จิตนี้เปนทุกขบางเปนสุขบาง หากแตเปนทุกข ลวนๆ เลยทีเดียว เพียงแตทุกขมากหรือทุกขนอยเทานั้นเอง เมื่อปญญาแกรอบ จนเขาใจวาขันธเปนทุกขแลว ก็เปนอันเขาใจอริยสัจจแจมแจง คือรูวา เพราะมี สมุทัยจึงเกิดทุกข และเพราะไมรูทุกขจึงเกิดสมุทัย เกิดเปนวัฏจักรที่หมุนวน อยางไมมที ี่สิ้นสุด ตอเมื่อรูแจงทุกขจนปลอยวางทุกขไดแลว สมุทัยก็เปน 8 วิถีแหงความรูแ จง
อันดับไปโดยอัตโนมัติ และนิโรธหรือนิพพานจะปรากฏแจมแจงอยูตอ หนา ตอตา วัฏจักรก็เปนอันคว่ําทําลายลงในขณะนั้นเอง ผูเห็นแจงวาขันธหรือรูปนามเปนทุกข(มีวิชชา-ละอวิชชาได) จะสามารถ ปลอยวางความยึดถือในขันธหรือรูปนามลงไดอยางเด็ดขาดและหมดจด เหลือ แตสภาวะที่เปนทุกข แตไมมีผทู ุกข ทําใหความอยาก(ตัณหา-อุปาทาน)ที่จะให “รูปนามของเรา” เปนสุขและปราศจากทุกข หมดไปโดยอัตโนมัติ จิตจึงหมด ความดิน้ รนหรือการทํางานทางใจ(สังขาร/ภพ/กรรมภพ)ที่จะแสวงหาความสุข และหลีกหนีความทุกข จิตจะปลอยวางและไมหยิบฉวยรูปนาม(ชาติ)ใดๆ ขึ้นมาเปนตัวตนของตนอีก และเห็นถึงสภาวะแหงนิพพานคือความสิ้นทุกข เพราะจิตพรากหรือสํารอกออกจากกิเลสและขันธไดดวย การเจริญสติปฏฐานเปนทางสายเดียวทีจ่ ะทําใหเรารูแจงถึงสัจจธรรม เหลานี้ได และเมื่อเขาใจแจมแจงในความจริงดังกลาวนี้แลว จิตก็จะคลายความ อยากและความยึดถือในสิ่งอืน่ ๆ ที่จิตไปรูเขาเปนลําดับๆ จนถึงขั้นปลอยวาง ความยึดถือในทุกขคือกายและจิตไดในที่สุด ๒.๒ ความทุกขที่พระพุทธเจาทรงสอนใหมุงปฏิบัติเพื่อใหพนไป ไดแกขันธ นี่เอง เมื่อใดละอวิชชาคือความไมรูทุกขลงไดเพราะเห็นความจริงแทวา รูปนามมี ลักษณะเปนของไมเที่ยง เปนทุกข(ลักษณะ) หรือเปนอนัตตา จิตจะสลัดคืนทุกข (ขันธ/รูปนาม/กายใจ)ใหกับโลกทันที และไมหยิบฉวยทุกขหรือรูปนามใดๆ ขึ้นมา อีก สวนทุกขเวทนาทางกายในชาติปจจุบันเปนเรือ่ งที่หลีกเลี่ยงไมได จําเปนตอง แกไขผอนปรนตามสถานการณเปนคราวๆ ไป โดยอยูในสภาพที่วา “แมกายทุกข 9 วิถีแหงความรูแ จง
แตใจไมทุกขดวย” ตอเมือ่ สิ้นขันธและไมมีขันธใหมเกิดขึ้นนั่นแหละ จึงเขาถึงความ พนทุกขอยางสิ้นเชิงไดอยางสมบูรณแบบ
๓. ความทุกขเกิดจากอะไร ๓.๑ สําหรับบุคคลและสัตวทั่วไปแลวมักรูสึกวา ความไมสมอยากทําใหเกิด ทุกข เชนอยากเปนหนุมสาวแลวตองแกก็ทุกข อยากแข็งแรงแลวตองเจ็บปวยก็ทุกข อยากเปนอมตะแลวตองตายก็ทุกข อยากไดแลวไมไดก็ทุกข ไมอยากไดแลวตองไดก็ ทุกข แตถาปรารถนาสิ่งใดก็ไดสิ่งนั้นจะรูสึกวาเปนสุข ๓.๒ สําหรับผูปฏิบตั ิจะเห็นความจริงไดลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปวา ความอยากตางหาก ที่ทําใหเกิดทุกข เพราะความอยากทําใหจิตตองดิน้ รนทํางานหนักทั้งวันทั้งคืนเพือ่ จะ ให “เรา” เปนสุขและพนจากความทุกขทั้งปวง ถาปราศจากความอยาก จิตก็ไมตอง ดิ้นรนกระวนกระวาย มีแตความสุขสงบอยูในตัวเองเทานัน้ ๓.๓ สําหรับผูร ูแจงอริยสัจจแลวจะพบวา ขันธนั่นแหละเปนตัวทุกขโดยตัว ของมันเอง จะมีความอยากหรือไม ขันธก็เปนทุกขตลอดเวลาอยูแลว แตเพราะ อวิชชาหรือความไมรูแจงวาขันธเปนทุกข กลับไปคิดวากายนี้ใจนี้เปนทุกขบางเปน สุขบาง จึงเกิดสมุทัยคือความอยากจะใหกายใจเปนสุขถาวร หรืออยากใหกายใจพน ทุกขถาวร แลวเกิดความดิน้ รนทางใจ กอเปนความทุกขมาเผารนจิตใจอยูแทบ ตลอดเวลา แมเมือ่ รางกายนี้แตกสลายลง ความไมรูก็จะกระตุนใหจิตปรุงขันธใหม ขึ้นมาเปนภาระใหตอ งแบกรับทุกขตอไปอีก ดังนัน้ ความไมรูอริยสัจจหรืออวิชชา หรือความไมรูความจริงของรูปนามนี้แหละ จึงเปนรากเหงาของความทุกขอยาง 10 วิถีแหงความรูแ จง
แทจริง เพราะทําใหเกิดการหยิบฉวยรูปนามอันเปนกอนทุกขขึ้นมาถือไว แลวเกิด การดิน้ รนทางจิตใจตั้งมากมายเพื่อจะขจัดความทุกขออกจากรูปนาม และหา ความสุขมาใหรูปนาม ตลอดจนกอใหเกิดขันธใหมสืบตอไปอยางไมมีที่สิ้นสุด จึงกอ เกิดเปนความทุกขซ้ําซอนที่ไมรูจักจบสิ้นไดเลย
๔. ทางแหงความดับทุกข ๔.๑ เมื่อทราบแลววาความทุกขเกิดจากอะไร ยอมไมเปนการยากที่จะทําความ เขาใจวา ความดับทุกขเกิดขึ้นไดอยางไร ซึ่งก็ไมมีอะไรมากไปกวาการดับอวิชชา หรือความไมรูอริยสัจจ โดยเฉพาะอยางยิง่ ความไมรูทุกขหรือความไมรคู วามเปนจริง ของรูปนาม/กายใจวาไมใชตัวตนของตน อันเปนตนเหตุใหเกิดตัณหาหรือความ ทะยานอยากที่จะแสวงหาความสุขและหลีกหนีความทุกขทมี่ ากระทบกายใจของตน การรูความเปนจริงของรูปนามเปนเรื่องสําคัญมาก สมดังพระพุทธวัจนะที่วา “เมื่อรู ตามความเปนจริงยอมเบื่อหนาย เมือ่ เบือ่ หนายยอมคลายกําหนัด (โลภะ/ตัณหา) เมื่อ คลายกําหนัดยอมหลุดพน เมือ่ หลุดพนยอมรูว าหลุดพนแลว ชาติ (ความเกิด) สิน้ แลว พรหมจรรย (การศึกษาปฏิบัตธิ รรม) อยูจ บแลว” ๔.๒ วิธีทจี่ ะทําใหจิตรูสภาวธรรมตามความเปนจริงที่ตรงไปตรงมาทีส่ ุดก็คือ การมีสติ ระลึกรู สภาวธรรม ทีก่ ําลังปรากฏ ตามความเปนจริง (ในบทความนี้ สติ หมายถึงสัมมาสติซึ่งตองเกิดรวมกับสัมมาสมาธิและสัมมาทิฏฐิหรือปญญาเสมอ แต ที่ไมไดแยกแยะรายละเอียดในชั้นนี้ ก็เพราะตองการใหผูแรกสนใจพระพุทธศาสนา ศึกษาไดโดยไมซับซอนนัก) นี่เปนเหตุผลที่ตรงไปตรงมาทีส่ ุดแลว ทํานองเดียวกับ เมื่อเราอยากรูจักตัวจริงของใครสักคนหนึ่ง เราก็ตองหมั่นตามรูพฤติกรรมของเขาไป 11 วิถีแหงความรูแ จง
เนืองๆ โดยปราศจากอคติ จึงจะรูจักและเขาใจผูนนั้ ไดตรงตามความเปนจริง ทั้งนี้ พระพุทธเจาทรงยืนยันวา การเจริญสติรรู ูปนาม/กายใจนี้แหละคือทางสายเดียวทีจ่ ะ นําไปสูความบริสุทธิ์ เพราะสามารถถอดถอนตัณหาและทิฏฐิ (ความเห็นผิดจาก ความจริง) ตลอดจนความยินดียินรายในโลกเสียได ทั้งนี้คําวาโลกก็หมายถึงรูปนาม/ กายใจนั่นเอง ๔.๓ พวกเราบางคนอาจสับสนกับแนวความคิดทีว่ าการเจริญสติรรู ูปนาม/กาย ใจคือทางแหงความดับทุกข เพราะไดยนิ คําสอนที่วา ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข ไดแกการเจริญอริยมรรคมีองค ๘ รวบยอลงมาก็คอื การศึกษาปฏิบัติในเรื่องศีล สมาธิ และปญญา สิ่งที่ไดยนิ มานี้ถูกตองเชนกัน แตควรทําความเขาใจใหยิ่งขึน้ ไปอีกวา การเจริญอริยมรรคหรือการรักษาศีล การทําสมาธิ และการเจริญปญญา ชนิดไหนที่ เกื้อกูลตอความรูแจง และชนิดไหนไมเกื้อกูลตอความรูแจง ๔.๔ แทจริงการบําเพ็ญคุณงามความดีทงั้ หลาย เปนสิ่งที่พระพุทธเจาทรงยก ยอง พระองคเองก็ทรงบําเพ็ญบารมีมามากมายกอนที่จะตรัสรู( เขาใจธรรมตามความ เปนจริงดวยพระองคเอง) เชนทรงบําเพ็ญทานอยางยิ่งยวดเมือ่ เสวยพระชาติเปนพระ เวสสันดร บางชาติทรงถือศีลแบบยอมสละชีวิต บางชาติทรงทําสมาธิจนไดอภิญญา ๕ เมือ่ สิ้นชีพแลวไดไปเกิดในพรหมโลก บางชาติเชนพระชาติที่เปนมโหสถบัณฑิต ก็ทรงสะสมปญญาบารมีอยางยิง่ ยวด แตเหตุใดพระองคจงึ ไมทรงตรัสรูพ ระอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณในพระชาติเหลานัน้ กลับมาทรงตรัสรูเ อาในพระชาติสุดทาย และ ทรงตรัสรูด วยการเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐานในอริยสัจจบรรพ จริงอยูถา พระองคไมทรงบําเพ็ญพระบารมีใหเต็มเปยม พระองคยอ มไมสามารถตรัสรูไดดวย พระองคเอง แตถาทรงบําเพ็ญพระบารมีโดยไมทรงเจริญสติ พระองคกท็ รงตรัสรู ไมไดเชนกัน ทั้งนี้เพราะการบําเพ็ญบารมีทั้งหลาย เปนการปรับพื้นฐานทางจิตใจ 12 วิถีแหงความรูแ จง
ของพระองคใหพรอมสําหรับการแสวงหาหนทางเจริญสตินนั่ เอง ตัวอยางเชน เพราะ พระองคเคยฝกสละพระโอรสธิดาและพระชายาเพื่อพระโพธิญาณในพระชาติทเี่ ปน พระเวสสันดรมาแลว จึงทรงเขมแข็งพอที่จะสละพระนางพิมพาและพระราหุลซึง่ เปนที่รักยิง่ เพือ่ ไปแสวงหาพระโพธิญาณ เปนตน ๔.๕ การทําความดีทั้งหลาย ทั้งทาน ศีล สมาธิ และการเจริญปญญาบางระดับ ไมไดเกื้อกูลตอการรูธรรม เพียงแตนําความสุขมาใหดวยกุศลวิบากหรือผลแหงความ ดีเทานั้น และบางกรณีเมื่อทําความดีอยู จิตกลับพลิกไปเปนอกุศลก็ไดดวย ตัวอยางเชน ๔.๕.๑ การทําทาน หากทําโดยไมประกอบดวยสติปญญาก็อาจเปนการ พอกพูนกิเลสใหหนาหนักยิ่งขึน้ เชนทําไปดวยมิจฉาทิฏฐิวา "เรา" ทําทานแลว เมื่อ "เรา" เกิดในชาติตอไป "เรา" จะไดเสวยผลทานนี้ หรือ “เรา” จะไดบรรลุ มรรคผลนิพพานเพราะการทําทานนี้ หรือทําไปดวยความโลภวา เราทําทานนี้ ขอใหไดรบั ดอกผลมากมายอยางนี้ๆ เปนตน ๔.๕.๒ การถือศีล หากไมมีสติปญญากํากับยอมเปนการงายที่ผูถือศีลจะ ถือศีลบําเพ็ญพรตอยางงมงาย(สีลัพพตปรามาส) เชนหลงผิดวา การบําเพ็ญขอ วัตรที่กดขมจิตใจมากๆ จะทําใหกิเลสเบาบางลง หรือยิ่งถือศีลก็ยิ่งพอกพูน กิเลส เชนเกิดมานะมากขึ้น คือเกิดความสําคัญมัน่ หมายวา เราดีกวาคนอืน่ เพราะเราถือศีล สวนคนอืน่ เลวกวาเราเพราะไมมศี ีล เปนตน ๔.๕.๓ การทําสมาธิ หากไมประกอบดวยสติปญญา ยิ่งทําสมาธิ จิตก็ยิ่ง นอมเขาหาความสงบหรือความสุขสบายจนลืมเนือ้ ลืมตัว หรือเกิดมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดมากขึ้นๆ ดวยอํานาจของโมหะและราคะ เชนทําสมาธิแลวเกิด 13 วิถีแหงความรูแ จง
ความเคลิบเคลิ้มขาดสติ หรือเกิดนิมิตตางๆ มากมาย บางคนถึงขนาดเห็น" นิพพาน"เปนบานเมืองหรือเปนดวงแกว บางคนเกิดความรูความเห็นตางๆ แลวหลงภูมิใจอยูกับความรูเ หลานั้น และบางคนจะรูสึกวาจิตเปนอัตตาคือเปน สิ่งที่บังคับควบคุมใหอยูในอํานาจได เปนตน ๔.๕.๔ การเจริญปญญา หากไมประกอบดวยปญญาสัมมาทิฏฐิก็จะเกิด ความผิดพลาดในการเจริญปญญาไดมากมาย เชนผูท ี่จําแนกไมออกระหวาง สมถกรรมฐานกับวิปส สนากรรมฐาน ก็เปนการงายที่จะหลงทําสมาธิแลวคิด วากําลังเจริญปญญาอยู เชน บางทานมุง ใชความคิดพิจารณาสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา วัตถุสิ่งของ ผูคน ฯลฯ ใหเปนไตรลักษณ การกระทําเหลานั้นเปนเพียง การทําสมถกรรมฐาน เปนไปเพื่อความสงบของจิต บางครัง้ แทนที่จะเกิดความ สงบ กลับเกิดความฟุง ซานในธรรมแทนก็ได บางทานยิ่งคิดพิจารณาไตร ลักษณ มานะอัตตากลับยิ่งพอกพูนขึ้นก็มี ทั้งนี้เพราะไตรลักษณนั้น คิดเอา ไมได แตตองประจักษชัดถึงสภาวะที่แทของรูปธรรมและนามธรรม ดวยความ มีสติ และดวยจิตที่มคี วามตั้งมัน่ (สัมมาสมาธิ) จึงจะเห็นไตรลักษณดว ยปญญา ไดจริง และบางทานแทนที่จะเจริญปญญาดวยการรูร ูปนาม กลับพยายามสราง หรือพยายามไปรูความวางหรือมหาสุญญตาแทนรูปนาม เพราะไมทราบวาการ เจริญวิปสสนากรรมฐานตองใชรูปนามเปนอารมณ แตกลับคิดวาการสลัดทิ้ง รูปนามแลวไปรูความวางเปนทางลัดในการปฏิบัตธิ รรม เปนตน ๔.๖ การทําความดีที่เกื้อกูลตอการรูธรรม ตองเปนการทําดีที่เกือ้ กูลตอการ เจริญสติทถี่ ูกตอง หรือเจืออยูดว ยสติปญญาในขณะที่ทําความดีนั้น เชน
14 วิถีแหงความรูแ จง
๔.๖.๑ การทําทาน ควรมีสติปญญากํากับจิตใจของตนไว ทั้งกอนทํา ระหวางทํา และหลังทํา หากเปนการกระทําดวยศรัทธาที่ประกอบดวยปญญา ทําแลวตนเองหรือผูอ ื่นไมเดือดรอนก็ควรทําตามความเหมาะสม หรือทําแลว จิตใจแชมชื่นเบิกบาน ก็มีสติระลึกรูความสุขความเบิกบานนัน้ ไป การทําทาน จึงเปนเครือ่ งมือฝกการเจริญสติไดเหมือนกัน แตถา ทําดวยความเมาบุญดวย อํานาจโลภะและโมหะ ทานนัน้ ก็ไมเกื้อกูลใดๆ ตอการเจริญสติ ๔.๖.๒ การรักษาศีล ศีลบริสุทธิ์ไดยาก หากไมมีสติกํากับอยูทจี่ ิต แต หากมีสติกํากับรูอยูท ี่จิตใจตนเอง ศีลชนิดที่เรียกวา “อินทรียสังวรศีล” ยอม เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ กลาวคือเมื่อโทสะเกิดขึ้นก็มีสติรูวาโทสะเกิดขึ้น โทสะ ยอมครอบงําจิตไมได ศีลขอ ๑ ก็เกิดขึ้นเต็มบริบูรณเพราะจิตไมคิดฆาหรือทํา รายใคร ถาโลภะเกิดขึ้นแลวมีสติรูทัน ยอมไมทําผิดศีลขอ ๒ และขอ ๓ โดย อัตโนมัติ เปนตน ๔.๖.๓ การทําสมาธิ สัมมาสมาธิหรือความตั้งมั่นของจิตเปน องคประกอบหนึ่งของอริยมรรคมีองค ๘ ดังนั้นสมาธิในพระพุทธศาสนาจึง ตองประกอบดวยองคมรรคอื่นๆ ดวย เชนตองมีสติและปญญากํากับอยูเสมอ สมาธิที่ขาดสติปญญา เปนสมาธิที่ใหความสุขหรือของเลนอืน่ ๆ ไดก็จริง แต ไมมีประโยชนตอ การเจริญสติ เพราะจิตไมตั้งมั่นในการรูกายรูใ จไดจริง และ เมื่อจิตไมตั้งมั่น ศีลและปญญาก็ไมอาจเกิดใหบริบูรณได ๔.๖.๔ การเจริญปญญา การเจริญปญญาที่ถูกถวนสมบูรณทสี่ ุดจะกลาว ในหัวขอเกี่ยวกับการเจริญสติตอไป สวนในหัวขอนี้จะกลาวเฉพาะการเจริญ ปญญาในขั้นตน ไดแกการศึกษาปริยัติสัทธรรม ซึง่ ชาวพุทธแมจะเปนนัก 15 วิถีแหงความรูแ จง
ปฏิบัติก็ไมควรทอดทิ้ง อยางนอยควรเรียนใหรูหลักการขั้นพืน้ ฐานของ พระพุทธศาสนาไวบาง มิฉะนั้นอาจกลายเปนผูน บั ถือลัทธิศาสนาอื่นๆ ทั้งที่ คิดวาตนเปนชาวพุทธก็ได ๔.๗ การเจริญศีล สมาธิ ปญญา ซึ่งดูวามีหลายอยางนั้น ถาเจริญสติไดถูกตอง ศีล สมาธิและปญญาจะเกิดขึน้ เอง เชนในหนังสืออรรถกถาธรรมบท กลาวถึงภิกษุ รูปหนึ่งไปทูลลาสิกขาจากพระพุทธเจาเพราะรักษาศีลจํานวนมากไมไหว พระพุทธเจาทรงสอนใหทานเจริญสติแทนการตามรักษาศีลจํานวนมาก ทานทําแลว สามารถทําศีลของทานใหบริสทุ ธิ์บริบูรณได ทัง้ ยังบรรลุมรรคผลนิพพานไดดว ย หรือหากเรามีสติจนสามารถระลึกรูสภาวธรรมที่กาํ ลังปรากฏไดจริงๆ ในขณะนัน้ เรา จะเกิดสัมมาสมาธิโดยอัตโนมัติ คือจิตจะเกิดความตั้งมั่นแลวมีสติระลึกรูสภาวธรรม ที่กําลังปรากฏโดยไมหลงเขาไปแทรกแซง สิ่งที่ตามมาก็คอื ปญญาที่รลู ักษณะของรูป และนาม คือรูถงึ ความเปนไตรลักษณของรูปและนาม และรูไดแมกระทั่งอริยสัจจ ๔ ปญญาเหลานี้เกิดจากการเจริญสติดวยจิตที่มีสัมมาสมาธิทั้งสิ้น ดังนั้นจะ กลาววา การปฏิบัติตามทางแหงความพนทุกข จะตองเจริญอริยมรรคมีองค ๘ ก็ได ยอลงมาเปนการเจริญไตรสิกขาคือศีล สมาธิและปญญาก็ได หรือถายอลงใหถงึ ที่สุด การเจริญสตินั้นแหละคือการเจริญไตรสิกขาและมรรคมีองค ๘
๕. การเจริญสติคืออะไร ๕.๑ ดังที่ไดกลาวแลววา รากเหงาของความทุกขในทัศนะของพระพุทธศาสนา คือความไมรูความจริงของทุกขคือรูปนาม/ขันธ/กายใจ อันเปนตนเหตุใหเกิดความ อยาก(ตัณหา) ความยึดถือ(อุปาทาน)และความดิ้นรนทางใจ(ภพ)เพื่อจะใหกายใจนี้ 16 วิถีแหงความรูแ จง
เที่ยง เปนสุข และบังคับไดตามใจปรารถนา ความดิ้นรนนั้นทําใหเกิดความทุกขทาง ใจซ้ําซอนขึ้นมาอีกชัน้ หนึ่ง นอกเหนือจากความทุกขของรูปนาม/ขันธ/กายใจที่เปน ทุกขโดยตัวของมันเองอยูแลว หากสามารถรูเ ห็นความจริงของรูปนาม/ขันธ/กายใจ ไดวาเปนของไมเทีย่ ง เปนทุกขและไมใชตัวตนของตนที่บงั คับได จนจิตปลอยวาง ความยึดถือกายใจ จิตจะหมดความอยาก ความยึดถือและความดิ้นรนทางใจโดย อัตโนมัติ ความทุกขทางใจเพราะความอยาก ความยึดถือและความดิน้ รนก็จะหมดไป จิตจะเปนอิสระจากขันธ พรากออกจากขันธอันเปนกองทุกข และเขาถึงสันติสุขอัน แทจริงหรือนิพพาน ดังนัน้ การจะทําลายรากเหงาของความทุกขจึงตองมีวิชชาหรือ ปญญา ทําลายความไมรูความเปนจริงของรูปนาม/ขันธ/กายใจ อันเปนตนเหตุของ ความทุกขลงไปใหได ๕.๒ การทําปญญาหรือความรูใหเกิดขึน้ นั้น พวกเราเคยชินที่จะเรียนรูดวย วิธีการเกาๆ ไดแก (๑) การรับถายทอดความรูหรือประสบการณของผูอนื่ ดวยการ อานและการฟง และ (๒) การขบคิดใครครวญในเรือ่ งนัน้ ๆ ซึง่ วิธีการทัง้ ๒ นี้ใชได สําหรับการเรียนรูวิชาการอื่นๆ แตการทําความเขาใจหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จําเปนตองอาศัยการหาความรูโ ดยอีกวิธีการหนึง่ เพิ่มเติมจาก ๒ วิธีแรกคือ (๓) การ เฝาสังเกตปรากฏการณของรูปและนามตามความเปนจริง ทั้งนี้เพราะการรับฟง ความรูข องทานผูอ ื่นใหเราไดเพียงความจํา สวนการคิดก็ใหเราไดเพียงความคิด ทั้ง ความจําและความคิดอาจไมใชความจริงก็ได แตทั้งนี้ในเบือ้ งตน เราตองศึกษา หลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจาดวยการอานและการฟง แลวนํามาขบคิด ใครครวญเพื่อใหรูถงึ แนวทางของการเฝาสังเกตปรากฏการณของรูปและนามได อยางถูกตองตอไปเสียกอน
17 วิถีแหงความรูแ จง
๕.๓ การแสวงหาความรูด วยการอาน การฟง และการคิด เปนเรือ่ งธรรมดาๆ ที่ พวกเรารูจกั กันดีอยูแลว ในที่นจี้ ึงจะขามไปกลาวถึงการแสวงหาความจริงดวยการ เจริญสติ อันไดแก การเฝาสังเกตปรากฏการณของรูปและนาม โดย การระลึกรู (ขอ ๖) ถึงสภาวธรรม (ขอ ๗) ที่กาํ ลังปรากฏ (ขอ ๘) ตามความเปนจริง (ขอ ๙)
๖. การระลึกรูทําอยางไร ๖.๑ มนุษยโดยทัว่ ไปสามารถระลึกรูปจจุบันอารมณ(อานเพิม่ เติมในขอ ๘)ได อยูแลวตามธรรมชาติ เชนในขณะนี้ยืน หรือเดิน หรือนั่ง หรือนอนก็ทราบได ในขณะนีม้ ีความสุข หรือความทุกข หรือเฉยๆ ก็ทราบได ในขณะนี้มีความรัก โลภ โกรธ หลง สงสัย ฟุงซาน หดหู เกียจคราน ศรัทธา วิรยิ ะ หรือมีความสงบ ฯลฯ ก็ ทราบได แตมนุษยมีจุดออนสองประการคือ (๑) มนุษยมักละเลยที่จะรูปจจุบัน อารมณ เพราะมัวแตหลงอยูกับเรือ่ งราวอันเปนความคิด หรือหลงอยูกับสิ่งที่ไปรูไป เห็นทั้งหลาย จนลืมกายลืมใจที่กําลังปรากฏในปจจุบันของตนเอง และ (๒) มนุษย มักรูอารมณเหลานัน้ ดวยความหลงผิด คือแทนที่จะเห็นปรมัตถอารมณซึ่งเปนของ จริง(อานเพิ่มเติมในขอ ๗) กลับเห็นแตอารมณบญ ั ญัติอนั เปนความคิดฝนของตนเอง เชนคิดวาเรายืน เราเดิน เรานัง่ เรานอน ทัง้ ที่ความจริงแลวรูปหรือกอนธาตุตางหากที่ ยืนเดินนัง่ นอน หรือคิดวาเรากําลังโลภโกรธหลง ทั้งที่ความจริงแลวนามหรือจิต ตางหากทีก่ ําลังโลภโกรธหลง ทั้งนีเ้ พราะมองไมเห็นปรมัตถอารมณหรือสภาวธรรม ที่แทจริงคือรูปกับนาม แตคุนเคยวากายนี้ใจนี้คือตัวเราซึ่งเปนอารมณบญ ั ญัติหรือสิ่ง ที่คิดเอาดวยความเห็นผิดเทานัน้ เอง 18 วิถีแหงความรูแ จง
แมกระทั่งพวกเรานักปฏิบัติก็มักนึกไมถึงดวยวา การเจริญสติที่แทจริงก็คอื การ ใชจิตใจที่เปนธรรมชาติธรรมดานีเ้ อง ไปรูปรมัตถอารมณที่กําลังปรากฏเปนปจจุบัน อารมณ แตมักเกิดความเขาใจผิดวา การเจริญสติหรือการระลึกรูนั้น เปนสภาพอะไร อยางหนึ่งที่พิเศษเหนือธรรมดา ดังนัน้ แทนที่จะใชจิตใจธรรมดาไปรูอ ารมณ พวกเรา กลับพยายามสราง "รู" แบบผิดธรรมดาขึ้นมาแทน และอารมณกรรมฐานที่ใชอยูก็ไม คอยถูกตองนักดวย หัวขอนี้จะกลาวถึงลักษณะของจิตที่เหมาะแกการเจริญวิปสสนา ซึ่งเปนจิตที่มี สติ สัมมาสมาธิ และปญญา หรือที่นักปฏิบัติบางทานเรียกวาจิตรูนั่นเอง ๖.๒ การบงชี้สภาวะวา การมีสติ หรือการมี รู ที่ถกู ตองเปนอยางไรนัน้ เปน เรือ่ งยากมาก เพราะเพียงแตเราเติมความคิดเห็นของเราลงไปวามันเปนอยางนัน้ อยาง นี้ เราก็จะเริ่มเขาใจผิดทันที แตหากเรามาพูดกันถึงสภาวะของการรูที่ไมถูกตอง เสียกอน (ซึ่งลวนแตเกิดจากตัณหาหรือความอยาก และทิฏฐิหรือความเห็นผิด ทั้งหลาย) เราก็จะเขาใจถึงสภาวะรูที่ถูกตองไดไมยากนัก สภาวะผิดพลาดที่สําคัญ ไดแก ๖.๒.๑ รู ไมใชไมรู (เผลอ/ลืมตัว) ๖.๒.๑.๑ สภาวะรู เปนสิ่งที่ตรงขามกับสภาวะไมรู อันไดแกความ เหมอ ความเผลอ ความลืมตัว ความใจลอย หรือความฝนกลางวัน นั่นเอง เปนสภาวะของการปลอยจิตใจใหหลงเพลิดเพลินไปตามอารมณ ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย แมกระทั่งเพลินไปในโลกของความคิดฝน และจินตนาการของตนเอง ตัวอยางเชนเมื่อตามองเห็นรูปบางอยางแลว เกิดจําไดวา นั่นเปนรูปผูหญิงสวย/ผูชายหลอ ก็มัวหลงเพลินมองตาม 19 วิถีแหงความรูแ จง
อยางลืมเนือ้ ลืมตัว หรือเมื่อนัง่ อยูคนเดียว ก็ใจลอยคิดฟุงซานไปเรื่อยๆ โดยบางคราวก็ทราบถึงเรื่องราวที่คิด แตบางคราวก็ไมรูชัดวาคิดเรือ่ ง อะไร เปนตน ๖.๒.๑.๒ สภาวะที่เรียกวาเผลอหรือลืมตัวนี้ เปนสภาวะที่เราลืม รางกายของตนเองเหมือนกับวามันหายไปจากโลก รวมทั้งลืมจิตใจของ ตนเอง คือในขณะนัน้ จิตใจจะมีสุขหรือทุกข จะดีหรือชัว่ อยางไรก็ไม สามารถจะรูได กลาวไดวาในเวลาที่เราเผลอหรือขาดสตินั้น เราไม สามารถรูก าย เวทนา จิต และธรรมไดนนั่ เอง ๖.๒.๑.๓ ขณะใดที่เราเผลอ แลวเกิดรูตวั วากําลังเผลออยู ขณะนั้น ความเผลอจะดับไป และจะเกิดสภาวะของความรูต ัวขึ้นมาแทนที่ทันที ดังนัน้ เพียงแครูวา กําลังเผลอ ก็เกิดการรูทถี่ ูกตองแลว ๖.๒.๒ รู ไมใชคิด ๖.๒.๒.๑ สภาวะรู ไมเหมือนกับสภาวะคิด ในขณะที่คิดนั้น เรารู เรือ่ งที่กําลังคิดเปนอยางดี แตเราลืมตัวเองคลายกับเวลาที่เผลอนั่นเอง การรูเปนการตามสังเกตปรากฏการณตา งๆ ตามทีม่ ันเปนจริง ในขณะที่ การคิด เปนการคาดวาความจริงมันนาจะเปนอยางไร (แตทงั้ นี้หากมีกิจ จําเปนตองคิด เชนตองคิดเพื่อการเรียนหรือการทํางาน เราก็ตองคิดไป ตามหนาทีข่ องตน)
20 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๒.๒.๒ นักปฏิบัตจิ ํานวนมากไมเขาใจการเจริญสติ โดยมี ความสําคัญผิดวาการคิดหรือการตรึกตรองเรือ่ งกายและใจตนเอง วา "เปนอสุภะ ไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา หรือเปนรูปนาม" เปนการทํา วิปสสนา แทจริงการเจริญสติหรือการเจริญวิปสสนาจะตองรู สภาวธรรมที่กําลังปรากฏตามความเปนจริง ไมใชการคิดถึงสภาวธรรม นั้นๆ เพราะความคิดของปุถชุ นยอมปนเปอนดวยอคติเสมอๆ หรือคิดอยู ในจุดยืนของความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิชนิดตางๆ เชนคิดวา “รางกาย นี้ไมเที่ยงแตจิตนี้เที่ยง พอรางกายนี้ตายลงจิตก็ออกจากรางไปเกิดใหม” หรือคิดวา “ตัวเรามีอยู แตพอตายลงก็สญ ู ไปเลย” เปนตน การคิดพิจารณาไมใชวิปสสนา ดังที่หลวงปูเทสก เทสรังสี ซึง่ เปน ศิษยอาวุโสสูงรูปหนึ่งของหลวงปูมั่น ภูริทัตโต ไดสอนไววา "การคิด พิจารณากายวาเปนอสุภะก็เพื่อแกนิวรณ (เปนสมถะ) การคิดพิจารณา ความตาย (มรณสติ) และการคิดพิจารณากายวาเปนธาตุเปนขันธ ก็เพื่อ แกอาการของจิตบางอยาง (เปนสมถะ) เชนกัน ตอเมื่อใดปฏิบัติจนถึงจิต ถึงใจตนเอง จึงไดแกนสารของการปฏิบตั ิธรรม" นอกจากนี้หลวงพอพุธ ฐานิโยก็เนนย้ําเสมอวา “สมถะเริ่มเมือ่ หมดความตั้งใจ วิปสสนาเริ่มเมือ่ หมดความคิด” และหลวงปูดูลย อตุโลก็สอนไววา “คิดเทาไรก็ไมรู หยุดคิดถึงจะรู” ซึ่งก็ตรงกับพระปริยัติธรรมทีร่ ะบุวา “อุทยัพพยญาณ อันเปนวิปส สนาญาณเบื้องตนนั้นตองปลอดจากความคิด” ๖.๒.๒.๓ ขณะใดที่เราคิด แลวเกิดรูตัววากําลังตัง้ อกตั้งใจคิดอยู ขณะนั้นความคิดจะดับไป และจะเกิดสภาวะของความรูตวั ขึ้นมาแทนที่ ทันที ดังนัน้ เพียงแครูวากําลังคิด ก็เกิดการรูที่ถูกตองแลว 21 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๒.๓ รู ไมใชการตั้งทาปฏิบตั ิ ๖.๒.๓.๑ รูไมมีการตั้งทากอนจะรู แตนกั ปฏิบัติเกือบรอย ละรอย เมือ่ คิดจะปฏิบัติธรรมก็ตองรีบตั้งทาปฏิบัติ เพราะไปแปล ความหมายของ "การปฏิบัติ" วาเปน "การกระทํา" ทั้งที่การปฏิบัติ นั้นไมตองทําอะไรมากกวาการรูรูปนามที่ปรากฏเขาไปตรงๆ ตาม ธรรมชาติธรรมดา เชนเดียวกับเมื่อเราตองการดูภาพตรงหนา เราก็ แคลืมตาขึน้ ดูเทานั้น หรือเมื่อถูกยุงกัดจนเกิดความคัน เราก็แค รูสึกวาคันเทานัน้ สภาวะรูทเี่ ปนธรรมชาตินนั้ เรามีอยูแลว แต เพราะไมเขาใจหลักการเจริญสติ เราจึงตั้งทาปฏิบตั ิ เหมือนนักวิ่ง ๑๐๐ เมตรที่กําลังเขาเสนสตารท คือเกร็งทั้งกายและจิตใจ แทนที่ จะรูอารมณที่ปรากฏเฉพาะหนาไปอยางสบายๆ ตามธรรมชาติ ธรรมดา ๖.๒.๓.๒ เมื่อคิดปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติมักบังคับใจตนเอง และเริ่มสรางพฤติกรรมของจิตบางอยาง เชนการใชสติจองมองดู จอภาพในใจของตน แลวเที่ยวควานหา (scan) อยูในจอภาพ นั้น เพื่อหาอะไรสักอยางเอามาดู หรือการสงจิตออกไปนิ่งอยู ขางหนา แลวคอยดูสิ่งที่กําลังปรากฏขึน้ สิ่งเหลานีเ้ ปนความ ผิดพลาดอยางยิ่ง เพราะเปนการปฏิบัติไปดวยตัณหาคือความ อยากจะปฏิบัติธรรม และทิฏฐิคือความเห็นผิดวาการปฏิบัติธรรม จะตองทําอยางนัน้ อยางนี้ เพื่อให "เรา" รูธ รรม
22 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๒.๓.๓ เมื่อคิดปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติบางทานทีน่ ิยมใช รูปหรือกายเปนอารมณกรรมฐาน มักเริม่ ดวยการแทรกแซง พฤติกรรมตามธรรมชาติของกาย เชนเมือ่ คิดจะรูลมหายใจก็เขา ไปควบคุมจังหวะการหายใจ เมื่อคิดจะรูค วามเคลือ่ นไหวของ รางกายก็ไปกําหนดจังหวะการเคลือ่ นไหวของมือ เทา และทอง บาง การกระทําเหลานี้ไมผิด ถาเปนการทําสมถะหรือตองการใช กายเปนจุดเริ่มตนของการปฏิบัติกอนพัฒนาไปสูการรูที่แทจริง แตถาจงใจกอพฤติกรรมทางกายโดยคิดวานั่นคือการเจริญสติ และรูไมทันตัณหาและทิฏฐิทกี่ ําลังครอบงําจิตจนกอพฤติกรรม ดังกลาวขึน้ มา นั่นก็เปนความผิดพลาดทีร่ ายแรงมากอีกประการ หนึ่ง ๖.๒.๓.๔ ความจริงแลวถาเราจะเจริญสติหรือ รู อยาง สมบูรณแบบที่สุด เราไมจําเปนตองตัง้ ทาอะไรเลย ไมวาทางจิต หรือทางกาย เชนเมือ่ ตาเห็นรูปก็รูรูป(สี)นั้น หากจิตเกิดปฏิกิริยา ยินดียนิ รายตอรูปก็รทู ันอีก หรือขณะนี้อยูในอิริยาบถใดก็รูไปเลย เชนเมื่อยืนอยูกร็ ูวาวัตถุกอนนี้ยืนอยู ยืนแลวเมื่อยอยากเปลีย่ น อิริยาบถก็รูทันความอยากของตนเอง รูทนั แลวจะเปลี่ยนอิริยาบถ เพราะมันจําเปนก็ได หรือจะไมเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อดูความจริง ของทุกขเวทนาไปกอนก็ได หรือนัง่ อยูเฉยๆ เกิดความคิดแลวรูวา จิตคิดก็ได หรือเมื่อคิดแลวจิตเกิดกุศลหรืออกุศลอยางใดก็รูไปเลย ก็ได เปนตน
23 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๒.๓.๕ อยางไรก็ตาม หากนักปฏิบัติคนใดไมสามารถรู ปจจุบันอารมณไปตามธรรมชาติธรรมดาไดก็ไมตองตกใจ ใน เบื้องตนจะตั้งทาปฏิบัติเสียกอนก็ได เชนถาจิตฟุงซานนักก็ทํา ความสงบเขามากอน แตตองระวังอยาใหเคลิ้มลืมตัว และอยาให เครียดขึ้นได ใหรูอารมณอนั ใดอันหนึง่ ไปอยางสบายๆ จะเปน อารมณอะไรก็ได แมกระทั่งการรูคาํ บริกรรมก็ได เมื่อจิตใจสงบ สบายแลวจึงคอยระลึกรูความเปลี่ยนแปลงของจิตใจไปตาม ธรรมชาติธรรมดาอีกชั้นหนึ่ง หรืออาจจะเริ่มจากการรูทองพอง ยุบ รูการเดินจงกรม รูการเคลือ่ นไหวมือเปนจังหวะ ฯลฯ รวม ความแลวในเบื้องตนจะทํากรรมฐานใดก็ได แลวจึงคอยพัฒนา ไปสูการรูแ บบไมตั้งทา หรือไมจงใจตอไป ๖.๒.๓.๖ ขณะใดที่เราตัง้ ทาปฏิบัติ แลวเกิดรูตัววากําลังตัง้ ทา ขณะนัน้ การตัง้ ทาจะดับไป และจะเกิดสภาวะของความรูต ัว ขึ้นมาแทนที่ทันที ดังนัน้ เพียงแครูวา กําลังตั้งทา ก็เกิดการรูที่ ถูกตองแลว ๖.๒.๔ รู ไมใชกําหนดรู ๖.๒.๔.๑ รูไมใชการกําหนดรู หรือการตรึกพิจารณาถึง อารมณวา เปนรูปนาม แตเปนการระลึกรู (มนสิการ) ปจจุบัน อารมณไปตามธรรมชาติธรรมดา นักปฏิบัติจํานวนมากคิดวา รูคือ การกําหนดรู เพราะมักไดยินคําพูดเกี่ยวกับการกําหนดรูร ูปนาม หรือการกําหนดรูปจจุบันอารมณ จึงคิดวา การรูตองมีการกระทํา 24 วิถีแหงความรูแ จง
คือการกําหนด หรือการพิจารณาดวย ดังนั้นพอรูอ ารมณแลวจึงรีบ บริกรรมตอทายการรูทันที เชนยกหนอ ยางหนอ โกรธหนอ เสียง หนอ ฯลฯ นี่คือการบริกรรมไมใชการรู (เบื้องตนอาจจําเปน สําหรับบางทานที่ตอ งบริกรรมกอน แตพงึ ทราบวาจะหยุดการ ปฏิบัติอยูเพียงขั้นการตามบริกรรมไมได เพราะยังไมใชวิปสสนา) หรือบางทานนิยมการพิจารณากํากับซ้ําลงไปอีกชัน้ หนึ่ง ซึ่งก็ ไมใชการรูเชนกัน เชนเมือ่ ตาเห็นรูปตามธรรมชาติแลว ก็จงใจ พิจารณารูปซ้ําลงไปอีก วา "รูปนี้เปนเพียงสี ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา ฯลฯ" หรือพิจารณาวา "สีเปนรูป รูเปนนาม" อัน เปนการกระทําดวยความจงใจกําหนด และเปนการกระทํา ตามหลังการรูอารมณที่เปนปจจุบัน จึงยังไมใชการรูที่บริสทุ ธิ์ตาม ธรรมชาติธรรมดา ๖.๒.๔.๒ แทจริงคําวา “สติ” ในพระไตรปฎกแปลวา ความระลึกได และพระอภิธรรมอธิบายเพิ่มเติมวา สติมีความไม เลื่อนลอยเปนลักษณะ รวมทัง้ บอกดวยวา สติมีการจําสภาวธรรม ไดแมนยําเปนเหตุใกลใหเกิด แตพวกเราชั้นหลังชอบไปแปลคําวา สติวา “การกําหนดรู” ทั้งที่การกําหนดไมใชความระลึกได แต เปนการจงใจกระทําสิ่งบางสิง่ ที่เกินจากการรูดวยอํานาจบงการ ของโลภเจตนา และเจือดวยทิฏฐิวาการกําหนดคือการเจริญ วิปสสนา ทั้งที่การกําหนดนัน้ เจือดวยความคิดซึ่งจะเปนวิปสสนา ไปไมไดเลย อีกอยางหนึ่งการกําหนดนอกจากจะไมใชสติแลว ยัง ไมไดเปนเหตุใกลใหสติเกิดดวย แตการตามรูสภาวธรรมเนืองๆ 25 วิถีแหงความรูแ จง
หรือการเจริญสติปฏฐานตางหาก ที่เปนเหตุใหจิตจดจํา สภาวธรรมคือรูปนามไดแมนยําแลวเปนเหตุใกลใหสติเกิดขึ้น ๖.๒.๔.๓ ขณะใดที่เรากําหนดรู แลวเกิดรูตัววากําลังจงใจ กําหนดรู ขณะนั้นการกําหนดรูจะดับไป และจะเกิดสภาวะของ ความรูตวั ขึ้นมาแทนที่ทันที ดังนัน้ เพียงแครูวา กําลังกําหนดรู ก็ เกิดการรูทถี่ ูกตองแลว ๖.๒.๕ รู ไมใชเพง ๖.๒.๕.๑ รูไมใชการเพง แตนกั ปฏิบัติจํานวนมากชอบเพง แมแตคนที่ไมชอบทําสมถะเพราะอยากเจริญวิปส สนาอยางเดียว ก็มักเพงโดยไมรูทันจิตใจของตนเอง แทจริงการเพงเปนสภาวะที่ สืบเนื่องมาจากการจงใจและการตั้งทาปฏิบัติ คือพอคิดถึงการ ปฏิบัติก็จงใจปฏิบัติ แลวเกิดการตัง้ ทาปฏิบัติ มีอาการสํารวมกาย ใจเขามาใหมั่นคง ถัดจากนั้นจึงเพงหรือจดจองอยางเอาเปนเอา ตายตออารมณทั้งหลาย เปนผลใหลืมตัว และบางคนจิตใจดานชา ไมสามารถเกิดปฏิกริ ิยาตอบสนองตออารมณตามที่ควรจะเปน หรือบางคนจงใจเพงรูปจนลืมนาม จะรูส ึกวาสิ่งทั้งปวง เคลื่อนไหวเกิดดับแสดงไตรลักษณได ยกเวนแตมสี ภาวะ บางอยางที่นิ่งวางคงที่อยู กลายเปนเห็นวาสิ่งทัง้ ปวงตกอยูใตไตร ลักษณ ยกเวนจิตเทานั้นที่เที่ยง หรือบางคนจงใจเพงนามคือ ชองวาง แลวไปหลงแชอยูกับความวางนัน้ ไมสามารถเจริญปญญา ตอไปได หรือบางคนพอรูกเิ ลสใดก็เพงใส พอกิเลสนั้นดับไป 26 วิถีแหงความรูแ จง
(เพราะเหตุของมันดับ) ก็เกิดความสําคัญผิดวา เราสามารถดับ กิเลสไดทุกครั้ง หรือบางคนพอรูอ ารมณแลว ก็หลงเพงจองเอาสติ ตามจี้อารมณที่เคลื่อนหนีลึกเขาไปภายใน นี่ก็เปนการเพง เหมือนกัน แตเปนการตามเพงความปรุงแตงที่เคลือ่ นไหวไดใน จิตใจตนเอง อนึ่งการเพงนี้ถาไมจงใจรุนแรงเกินไป ก็ทําใหจิตสงบเปน การทําสมถะหรือสมาธิไดเชนกัน แตมกั ไมใชสัมมาสมาธิซึ่ง จําเปนสําหรับการทําวิปสสนา ๖.๒.๕.๒ วิธีทําความรูจักกับการเพงไมยากเลย ลองยก นิ้วหัวแมมือของตนเองขึ้นมา แลวเพงจองใหจิตใจจดจออยูท ี่นิ้ว นั้นอยางเดียว เพียงไมนานจะรูสึกวา เราเห็นแตนิ้วหัวแมมือ เทานัน้ เพราะจิตจดจออยูที่จุดเดียวนั้นดวยความจงใจอันเกิดจาก โลภะ ในขณะนั้นเห็นแตนิ้ว กายจะเปนอยางไรก็ไมทราบ เวทนา คือความรูส ึกจะสุขหรือทุกขก็ไมทราบ จิตจะเปนกุศลหรืออกุศลก็ ไมทราบ จิตเคลื่อนไปอยูที่หัวแมมือก็ไมทราบ รวมความแลวจะ ทราบไดเฉพาะหัวแมมือ แตไมทราบ กาย เวทนา จิต ธรรม ขอให ผูปฏิบัติจําสภาวะของการเพงไวใหดี เวลาที่เจริญสติรูอารมณที่ เปนรูปธรรมหรือนามธรรม ก็ใหสังเกตรูท ันใจตนเอง อยาใหหลง ไปเพงจองรูปหรือนามนั้นเหมือนที่จองหัวแมมือตนเอง มิฉะนั้น จะเปนการหลงทําสมถะ ทั้งทีค่ ิดวากําลังทําวิปสสนาคือรูร ูปนาม อยู ๖.๒.๕.๓ ขณะใดที่เราเพง แลวเกิดรูตวั วากําลังเพงอยู ขณะนั้นการเพงจะดับไป และจะเกิดสภาวะของความรูตวั ขึน้ มา 27 วิถีแหงความรูแ จง
แทนที่ทันที ดังนั้นเพียงแครูวา กําลังเพง ก็เกิดการรูท ี่ถูกตองแลว อยางไรก็ตามสําหรับผูที่จิตติดสมถะมากนั้น แมรวู าเพงอยู การ เพงก็ไมคลายออก แตหากรูทนั จิตวาอยากเลิกเพง ก็อาจหลุดออก จากการจมแชในอารมณเพราะการเพงได หากยังไมหลุดอีกก็อาจ ตองอาศัยอุบายเขาแกไข ดวยการใหลืมการปฏิบัตเิ สียชั่วคราว เมื่อจิตหลงไปสูอารมณอื่นเชนหลงไปในเรือ่ งราวที่คิดแลว การ เพงจะดับลงโดยอัตโนมัติ แลวคอยรูทันวาหลงไปแลว จิตก็จะเกิด การรูที่ถูกตองขึน้ ได การที่ตองกลาวถึงอุบายแกการเพง ทั้งทีผ่ ูเขียนไมนิยมการ ใชอุบาย แตนิยมใหปฏิบัติไปตามหลักการของวิปส สนาคือการรู รูปนามตามความเปนจริง ก็เพราะผูป ฏิบตั ิจํานวนมากติดการเพง จนแทบถอนตัวไมขนึ้ และไมอาจหลุดออกจากการเพงไดเปน สิบๆ ป จึงจําเปนตองหาอุบายมาใชเพือ่ แกปญหาเฉพาะหนา ซึ่ง หลักการสําคัญของอุบายแกการเพงก็คอื การเปลี่ยนอารมณจาก อารมณเดิมที่ติดอยู เพียงเทานีจ้ ิตก็หลุดออกจากการเพงไดแลว ๖.๒.๖ รู ไมใชนอม ๖.๒.๖.๑ รูไมใชการนอม เพราะอาการนอมก็เปนอีกอาการ หนึ่งที่นักปฏิบัติจํานวนมากชอบทํากัน มันเปนการเสแสรงแกลง ทําขึ้นมาเมื่อคิดวาจะปฏิบัติธรรมเชนเดียวกับการเพง เพียงแตการ เพงมุงจะรูอ ารมณอนั เดียวใหชัดและพยายามตรึงอารมณนั้นไว สวนการนอมเปนการหลีกหนีอารมณเขาหาความสงบสุข เคลิบเคลิม้ ลืมเนือ้ ลืมตัว เพราะตองการใหจิตสงบ กลายเปนการ 28 วิถีแหงความรูแ จง
ปฏิบัติดวยโลภะ จนจิตเกิดราคะเพลิดเพลินในความสงบสุข หรือ เกิดความซึมเซาคือถีนมิทธะขึ้น วันใดซึมไดที่หรือเคลิ้มไดที่ก็ สําคัญผิดวาวันนัน้ ปฏิบัติดี วันใดปฏิบัติแลวไมซึมหรือเคลิ้มก็ เสียใจวาวันนั้นปฏิบตั ิไดไมดี การนอมจิตนี้นักปฏิบัติบางทานจะ มีอุปกรณชวยคือการเปดเทปธรรมะคลอไปดวยระหวางนัง่ สมาธิ จะชวยนอมจิตใหซึมไดที่คือครึ่งหลับครึ่งตื่นไดโดยเร็ว ๖.๒.๖.๒ ขณะใดที่เรานอมจิตเขาหาความสงบ แลวเกิดรูตวั วากําลังนอมจิตอยู ขณะนั้นการนอมจะดับไป และจะเกิดสภาวะ ของความรูตัวขึ้นมาแทนที่ทันที ดังนั้นเพียงแครูวา กําลังนอม ก็ เกิดการรูทถี่ ูกตองแลว ๖.๒.๗ รู ไมใชจงใจรูอะไร ๖.๒.๗.๑ รูไมใชจงใจจะรูอะไร ดังนัน้ ถานักปฏิบัติคนใด ถามวา ทีส่ อนใหรนู ั้น ควรจะรูอะไร หรือควรจะรูตัวทั่วพรอมคือ รูทั้งตัวตัง้ แตปลายผมถึงพื้นเทา ผูที่ยังสงสัยเชนนี้แสดงวายังไม รูจักการรูท ี่แทจริง เพราะการรูแทจริงนัน้ ไมมีความจงใจวาจะ เลือกรูสงิ่ หนึ่งแลวไมรับรูสิ่งอืน่ ๆ เนื่องจากความจงใจเหลานัน้ เปนไปเพราะตัณหาและทิฏฐิลว นๆ ๖.๒.๗.๒ การรูคือสภาพที่จิตตื่นขึ้นจากโลกของความคิด ความฝน ทั้งนี้คนสวนใหญจะตื่นเฉพาะรางกายแตใจยังหลับฝน อยางที่เรียกวาฝนกลางวัน ภาวะรูคือภาวะที่จิตตื่นจากความฝน 29 วิถีแหงความรูแ จง
จิตมีความตื่นตัวพรอมที่จะรับรูอารมณทงั้ ปวงทีเ่ ขามากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อรูอารมณแลว ก็พรอมที่จะ เกิดปฏิกิรยิ าตอบสนองตออารมณนั้นตามธรรมชาติ และ ยิ่งกวานั้นก็คือ สามารถรูเ ทาทันปฏิกิริยาตอบสนองเหลานั้นได เปนอยางดีดวย รูช นิดนี้ไมมคี วามจงใจวาจะตองรูอารมณใด แต อารมณใดปรากฏทางทวารใดก็รูอารมณนั้นอยางถูกตองเปน ปจจุบัน โดยไมหลงไปกับอารมณนั้น นีแ่ หละคือความรูตวั ทัว่ พรอม ไมใชพยายามรูตัวทั้งตัว เพราะนัน่ เปนความจงใจกระจาย ความรูสึกไปจับที่กายทั้งกาย ๖.๒.๗.๓ ขณะใดที่เราจงใจ แลวเกิดรูตวั วากําลังจงใจอยู ขณะนั้นความจงใจจะดับไป และจะเกิดสภาวะของความรูตวั ขึ้นมาแทนที่ทันที ดังนัน้ เพียงแครูวา กําลังจงใจ ก็เกิดการรูที่ ถูกตองแลว ๖.๓ สรุปแลว ขณะใดพยายามจะรู หรือแสวงหาการรูที่ถูกตอง หรือแมกระทั่ง การพยายามรักษารูใหตอเนือ่ ง(ดูขอ ๖.๖) ขณะนัน้ เราจะพลาดไปสูความหลงผิด ทันที เพราะการกระทําใดๆ ทีเ่ กินจากการรูตามปกติ อันเปนการกระทําดวยอํานาจ ของตัณหาและทิฏฐินั่นแหละ เปนเครื่องปดกั้นความสามารถในการระลึกรูอารมณ ซึ่งมีอยูแลวเอาไวอยางสนิททีส่ ุด ดังนั้นไมควรพยายามทํารูใหถูกตอง ขณะใดรูวา รู ผิด ขณะนัน้ จะเกิดการรูที่ถูกตองโดยอัตโนมัติ แตมีนักปฏิบัติจํานวนมากทีเดียวที่แม จะไดฟงคําสอนเกี่ยวกับการเจริญสติหรือการระลึกรู แตก็ยังปฏิเสธที่จะระลึกรู สภาวธรรมที่กําลังปรากฏไปตามธรรมชาติ เพราะมีความคิดเอาเองวา ตนเองยังมีบุญ วาสนานอยขอทําบุญทําทานไปกอน หรืออินทรียต ัวนั้นตัวนี้ยังออนเกินไป หรือยัง 30 วิถีแหงความรูแ จง
ไมสมดุลกัน จะตองพัฒนาอินทรียกอ น เชนจะตองเพิ่มปญญาใหสมดุลกับศรัทธา เพิ่มสมาธิใหสมดุลกับวิริยะ ทั้งนี้เพราะไมทราบวา หากเจริญสติหรือรูไดแลว นั่น แหละจะทําใหอินทรียทั้งหลายแกกลายิ่งขึ้นและสมดุลกันดวย ๖.๔ สภาวะรูที่ถูกตองจะเกิดไดงาย ดวยการเกื้อกูลของสติและสัมมาสมาธิ กลาวคือ ๖.๔.๑ หากจิตสามารถจดจําสภาวธรรมตางๆ ไดแมนยํา เชนจําสภาวะ ของความรัก โลภ โกรธ หลง ปติ สุข ฯลฯ ไดแมนยํา เมือ่ สภาวะเหลานั้น ปรากฏขึน้ ก็จะเกิดสติรูเทาทันอยางรวดเร็วเพราะเคยรูเคยประจักษชัดอยูกอน แลว สวนสภาวธรรมใดไมรูจกั คุนเคย ก็ตองใชเวลาเรียนรูไปชวงหนึง่ กอน จน จิตจดจําสภาวะนั้นไดแมนยําแลว จึงเกิดสติรูไดงา ย ๖.๔.๒ หากจิตมีสัมมาสมาธิ จะชวยใหสภาวะรูถูกตองงายขึน้ จิตที่มี สัมมาสมาธิคือจิตมีลักษณะตั้งมั่นทรงตัวไมหวั่นไหวเลื่อนไหลไปตามอารมณ ที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) มีความสงบระงับคือไมฟูหรือ แฟบไปตามอารมณ มีความเบาสบายแตไมใชเบาหวิวเหมือนจะลอยไปใน อากาศ มีความออนโยนนุมนวลไมแข็งกระดางแกรงเกร็ง มีความพรอมและ ความวองไวที่จะรับรูอารมณไมถูกกดขมใหนิ่งเฉยซึมทื่อหรือเคลิบเคลิ้มติด สุขเหมือนคนติดยาเสพติด และมีความซื่อตรงตอหนาที่การรูอ ารมณโดยไม เขาไปแทรกแซงอารมณ เหมือนผูพิพากษาที่ทํางานโดยไมลําเอียงเขาขาง โจทกหรือจําเลย จิตที่มีสัมมาสมาธิสามารถเกิดขึ้นไดไมยาก หากเขาใจธรรมชาติที่วา จิต ปกติธรรมดาที่ไมถูกอารมณครอบงํา หรือนัยหนึง่ จิตที่มีศลี นั่นแหละคือจิตที่มี 31 วิถีแหงความรูแ จง
สัมมาสมาธิอยูในตัวเอง อยางไรก็ตามหากจิตของผูใ ดยังไมมสี ัมมาสมาธิจริงๆ ก็สามารถฝกฝนอบรมได โดยในเบื้องตนใหตั้งใจรักษาศีลภายนอกเสียกอน คือรักษาศีล ๕ และศีล ๘ เปนตน จากนัน้ จึงฝกฝนจิตใหมีศีลภายในดวยการ ฝกสมาธิ อันไดแกการมีสติระลึกรูอารมณอันเดียวโดยตอเนือ่ ง อารมณนั้นจะ เปนอะไรก็ไดที่ไมยั่วกิเลส เชน การกําหนดลมหายใจ การกําหนดจังหวะเดิน จงกรม การกําหนดจังหวะเคลือ่ นไหวมือ การกําหนดความเคลื่อนไหวของ ทอง และการกําหนดคําบริกรรม เปนตน ใหจงใจกําหนดรูอ ารมณนั้นอยาง สบายๆ อยาเครงเครียดหรือตัง้ ใจมากนัก ถึงตรงนี้จติ มีทางแยกที่จะดําเนินไป ได ๒ ทางคือ ๖.๔.๒.๑ หากโมหะหรือโลภะเขาแทรก จิตจะเกิดความออนแอ นอมเขาหาความสงบสบาย เกิดความเคลิบเคลิ้มบาง เกิดนิมติ ตางๆ บาง นี้เปนทางของมิจฉาสมาธิ ๖.๔.๒.๒ หากในขณะที่กําหนดรูอ ารมณอยูนนั้ ผูป ฏิบัติมีสติ ตื่นตัวอยูเ สมอๆ ถาจิตขาดสติทิ้งอารมณกรรมฐานเผลอไปคิดเรือ่ งอื่นก็ รูทัน หากจิตเกิดการเพงอารมณก็รูทัน หากจิตสักวารูอ ารมณก็รูทัน ทั้งนี้ ธรรมชาติจิตของบุคคลทั่วไปมักฟุงซานหลงไปตามอารมณนั้นบาง อารมณนบี้ าง โดยไมรูเทาทัน จึงตองหัดรูอารมณอนั เดียวกอน พอจิต เคลื่อนจากอารมณนั้นก็ใหคอยรูทนั ดวยวิธีนี้เอง ในเวลาไมนานผู ปฏิบัติก็จะเริ่มรูทนั จิตใจที่สงสายไปตามอารมณตางๆ พอรูท ัน จิตก็หยุด การสงสายแลวตั้งมัน่ อยูโ ดยไมไดบังคับ ถัดจากนัน้ เมื่อมีอารมณใด ปรากฏ จิตก็จะรูทันโดยสักวารู คือไมเขาไปแทรกแซงหรือหลงและ ไหลตามอารมณนั้นไป 32 วิถีแหงความรูแ จง
หากจะกลาววาอาการกําหนดรู( ดวยตัณหาและทิฏฐิ) เปน เครือ่ งมือของการทําสมถะ สวนอาการระลึกรูหรือรูทัน(อยางสักวารู) เปนเครื่องมือของการทําวิปสสนา ก็กลาวได ๖.๕ หากจะจําแนกสภาวะรูอ อกใหแจมชัดก็สามารถกลาวไดวา รู คือการเจริญ อริยมรรคมีองค ๘ นั่นเอง กลาวคือ ๖.๕.๑ จิตรูเปนจิตทีต่ ั้งมั่น เปนตัวของตัวเองไมถูกความยินดียินรายตอ อารมณใดๆ ครอบงํา นั่นคือจิตที่มีสัมมาสมาธิ ๖.๕.๒ จิตรูเปนจิตทีว่ องไวควรแกการงาน คือเมื่ออารมณกระทบทาง ทวารใด สัมมาสติจะระลึกรูสภาวธรรมทีก่ ําลังปรากฏตามความเปนจริงทันที ๖.๕.๓ จิตที่ตั้งมั่นเปนสัมมาสมาธิจะเปนจิตที่รูตัว ซึ่งความรูต ัวนั้นเปน ตัวสัมมาทิฏฐิหรือสัมปชัญญะ (ชนิดทีเ่ รียกวาอสัมโมหสัมปชัญญะ) แตถาจิต ไมตั้งมั่น จิตจะเลื่อนไหลตามอารมณ ถูกอารมณครอบงําและไมรูตัว เมื่อไม รูตัวก็ไมสามารถรูสภาวธรรมตามความเปนจริงไดแจมชัด ไมเห็นความเกิดดับ ของรูปนาม และไมเห็นอริยสัจจ ดังนัน้ จึงกลาวไดวา สัมมาสมาธิเปนเหตุใกล ใหเกิดปญญา ๖.๕.๔ จิตที่มีสติ สมาธิ ปญญาอบรมอยู ยอมมีความคิดที่ถูกตองหรือ สัมมาสังกัปปะ และสงผลใหสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวะ บริบูรณดว ย 33 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๕.๕ การพากเพียรเจริญสติอยูนั้น ยอมเปนการคุมครองอินทรียอ ัน เปนการปดกั้นบาปอกุศลทั้งปวง และเปนการทําใหกุศลธรรมทั้งหลายเจริญ ขึ้น นี้คอื สัมมาวายามะ ๖.๖ ในเมือ่ การรูคอื การเจริญอริยมรรค ดังนัน้ เราควรทราบวา กิจตอการรูหรือ การเจริญอริยมรรคไดแกการทําใหเจริญ หรือทําใหเกิดบอยๆ คือใหมีสติบอยที่สุด แตทั้งนี้ไมไดหมายความวาใหมีสติยาวนานที่สุดเปนนาที เปนชั่วโมง หรือเปนวัน เพราะสติเองเปนเจตสิกธรรมที่เกิดดับไปทีละขณะพรอมกับจิต ดังนั้นเราจะทําสิง่ ที่ ไมเที่ยงใหเที่ยงอยูน านๆ ไมได แตทําใหเกิดบอยๆ ได เหตุใกลที่ทําใหสติเกิดบอยก็ คือการสามารถจดจําสภาวะของธรรมะตางๆ ไดมากและแมนยํา (ตองจําตัวสภาวะ ได ไมใชจาํ ชือ่ และลักษณะตามตําราไดเทานั้น) เมือ่ สภาวธรรมอันใดเกิดขึ้น สติจึง สามารถระลึกรูเทาทันไดอยางรวดเร็ว จนรูไดบอ ยแบบถี่ยิบ แลวอกุศลก็จะมีโอกาส เกิดนอยลงตามลําดับ จนหมดโอกาสเกิดในที่สุด ๖.๗ การฝกใหจิตรูจักและจดจําสภาวธรรมไดมากและแมนยํา สามารถกระทํา ไดดวยการรูอ ารมณอันใดอันหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องดวยกายหรือจิต ซึ่งบรรดากรรมฐาน ทั้งหลายทีส่ อนกันอยูในยุคนี้ สวนมากก็ใชเปนเบือ้ งตนในการเรียนรูสภาวธรรมได เชนการรูล มหายใจ การรูทองพองยุบ การทําจังหวะในการเดินจงกรม การทําจังหวะ ในการเคลือ่ นไหวมือ การรูอริ ยิ าบถ ๔ การบริกรรมพุทโธ การรูเวทนา และการตาม รูจิต เปนตน เพียงแตพวกเราตองปรับคุณภาพของการรูอ ารมณกรรมฐานเหลานี้ เล็กนอย เพราะคุณภาพของการรูที่แตกตางกันยอมใหผลที่แตกตางกัน ซึ่งสวนมาก ในยุคนี้เพือ่ นนักปฏิบัติมักทําไดเพียงการเพงตัวอารมณและนอมจิตไปสูการทําสม ถกรรมฐานโดยไมรตู ัว ตัวอยางคุณภาพของการรูอ ารมณกรรมฐานที่มผี ลแตกตางกัน ก็เชน 34 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๗.๑ การรูลมหายใจ หากรูลมหายใจแลวเกิดเคลิบเคลิ้มขาดสติก็ใช ไมได หากเพงจนจิตแนบเนียนอยูกับลมหายใจก็เปนการทําสมถกรรมฐาน หากเห็นกายหายใจอยูโดยมีจิตเปนผูดอู ยูต างหากก็เปนการเจริญวิปสสนา กรรมฐานดวยการรูก าย และหากหายใจแลวจิตหลงไปคิดก็รู หลงไปเพงลม หายใจก็รู เปนสุขก็รู เปนทุกขก็รู เฉยๆ ก็รู เกิดกุศลก็รูและเกิดอกุศลก็รู เหลานี้ เปนการหัดรูสภาวธรรมในฝายนามธรรม อันเปนตนทางใหเกิดสติในการ เจริญวิปสสนากรรมฐานดวยการดูจิตตอไป ๖.๗.๒ การรูทอ งพองยุบ หากรูท องพองยุบแลวเกิดเคลิบเคลิ้มขาดสติก็ ใชไมได หากเพงจนจิตแนบเนียนอยูกบั ทองก็เปนการทําสมถกรรมฐาน หาก เห็นกายไหวอยูโดยมีจิตเปนผูด ูอยูตา งหากก็เปนการเจริญวิปสสนากรรมฐาน ดวยการรูก าย และหากรูทองพองยุบแลวจิตหลงไปคิดก็รู หลงไปเพงทองก็รู เปนสุขก็รู เปนทุกขก็รู เฉยๆ ก็รู เกิดกุศลก็รูและเกิดอกุศลก็รู เหลานีเ้ ปนการ หัดรูสภาวธรรมในฝายนามธรรม อันเปนตนทางใหเกิดสติในการเจริญ วิปสสนากรรมฐานดวยการดูจิตตอไป ๖.๗.๓ การทําจังหวะในการเดินจงกรม หากเดินจงกรมแลวเกิด เคลิบเคลิม้ ขาดสติกใ็ ชไมได หากเพงจนจิตแนบเนียนอยูกบั เทาหรือรางกายที่ เดินอยูก็เปนการทําสมถกรรมฐาน หากเห็นกายเดินอยูโดยมีจติ เปนผูด ูอยู ตางหากก็เปนการเจริญวิปสสนากรรมฐานดวยการรูกาย และหากเดินอยูแลว จิตหลงไปคิดก็รู หลงไปเพงก็รู เปนสุขก็รู เปนทุกขก็รู เฉยๆ ก็รู เกิดกุศลก็รู และเกิดอกุศลก็รู เหลานี้เปนการหัดรูสภาวธรรมในฝายนามธรรม อันเปนตน ทางใหเกิดสติในการเจริญวิปสสนากรรมฐานดวยการดูจิตตอไป 35 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๗.๔ การทําจังหวะในการเคลื่อนไหวมือ หากตามรูมอื แลวเกิด เคลิบเคลิม้ ขาดสติกใ็ ชไมได หากเพงจนจิตแนบเนียนอยูกบั มือก็เปนการทําสม ถกรรมฐาน หากเห็นกายเคลือ่ นไหวอยูโ ดยมีจิตเปนผูดอู ยูต างหากก็เปนการ เจริญวิปสสนากรรมฐานดวยการรูกาย และหากเคลื่อนไหวมือแลวจิตหลงไป คิดก็รู หลงไปเพงก็รู เปนสุขก็รู เปนทุกขก็รู เฉยๆ ก็รู เกิดกุศลก็รูและเกิด อกุศลก็รู เหลานี้เปนการหัดรูสภาวธรรมในฝายนามธรรม อันเปนตนทางให เกิดสติในการเจริญวิปสสนากรรมฐานดวยการดูจติ ตอไป ๖.๗.๕ การบริกรรมพุทโธ หากบริกรรมแลวเกิดเคลิบเคลิ้มขาดสติก็ใช ไมได หากบริกรรมจนจิตแนบเนียนอยูก ับคําบริกรรมก็เปนการทําสมถกรรม ฐาน หากบริกรรมแลวเห็นกายยืนเดินนัง่ นอนอยูโดยมีจิตเปนผูดอู ยูตา งหากก็ เปนการเจริญวิปสสนากรรมฐานดวยการรูกาย และหากบริกรรมแลวจิตหลง ไปคิดก็รู หลงไปเพงก็รู เปนสุขก็รู เปนทุกขก็รู เฉยๆ ก็รู เกิดกุศลก็รูและเกิด อกุศลก็รู เหลานี้เปนการหัดรูสภาวธรรมในฝายนามธรรม อันเปนตนทางให เกิดสติในการเจริญวิปสสนากรรมฐานดวยการดูจติ ตอไป แมอารมณกรรมฐานอื่นก็เทียบเคียงคุณภาพของการรูและผลที่เกิดขึ้น ไดเชนเดียวกับอารมณที่กลาวมาเปนตัวอยางนีน้ ั่นเอง ๖.๘ ในขอ ๖.๒ ไดกลาวถึงสภาวะที่ไมใชรูไปแลว ในขอนีจ้ ะไดกลาวถึง องค ธรรมของจิตที่เปนจิตรู อันเปนเครือ่ งชวยตรวจสอบไดอีกชัน้ หนึ่งวา การรูในขณะนี้ ถูกตองแลวหรือไม องคธรรมดังกลาว เชน
36 วิถีแหงความรูแ จง
๖.๘.๑ จิตรูไดแกจิตที่เปน มหากุศลจิต ชนิดที่ประกอบดวยปญญา (ญาณสัมปยุตต) และเกิดขึ้นเองโดยไมตอ งชักชวนหรือหาทางทําใหเกิดขึ้น (อสังขาริก) ดังนัน้ ๖.๘.๑.๑ ขณะใดจิตมีอกุศล ขณะนั้นยังไมมีจิตรู ๖.๘.๑.๒ ขณะใดจิตมุงใชกําลังมากกวาปญญา เชนออกแรงดิ้นรน หาทางละทุกขหรืออกุศล หรือดิ้นรนรักษาสุขหรือกุศล ขณะนั้น ยังไมมีจิตรู ๖.๘.๑.๓ ขณะใดมีความพยายามอยางหนึ่งอยางใดที่จะทําใหจิตรู เกิดขึ้น ขณะนั้นพลาดจากรูเสียแลว เพราะจิตรูนั้น ยิ่งอยากยิง่ ไมได ยิ่งแสวงหายิ่งไมเจอ ๖.๘.๒ จิตรูเปนเพียงจิตที่มนสิการ คือกระทําอารมณไวในใจ หรือทําใจ ใหรูอารมณเทานั้น ไมใชเผลอ คิด ตัง้ ทา กําหนด เพง ฯลฯ (ดูขอ ๖.๒) สภาวะ ของมนสิการนัน้ เปนการรูที่ ไรน้ําหนัก บางเฉียบ และเงียบกริบ ไมมคี วามจง ใจหรือเจตนาจะรูดว ยอํานาจของตัณหาและทิฏฐิใดๆ ทั้งสิ้น ๖.๘.๓ จิตรูตองประกอบดวยโสภณสาธารณเจตสิก หรือสภาวธรรมที่ เกิดรวมกับจิตที่ดีงาม องคธรรมที่นํามาสังเกตจิตไดงายไดแก ๖.๘.๓.๑ อโลภะ คือจิตในขณะนั้นไมมีความอยาก ความโลภ หรือความกระหาย แมแตในการแสวงหาธรรม ถาขณะใดจิตเกิดความ 37 วิถีแหงความรูแ จง
อยากปฏิบตั ิ จงใจปฏิบัติ หรือพอใจในความสุขและกุศล ขณะนั้นมีโล ภะ จิตดวงนั้นไมใชจติ รูที่ถูกตอง ๖.๘.๓.๒ อโทสะ คือจิตในขณะนั้นไมมีความขุนของขัดเคืองใน อารมณใดๆ ถาขณะใดจิตเกลียดทุกขหรืออกุศลเชนเกลียดความฟุงซาน ของจิต แลวพยายามละทุกขหรืออกุศลนั้น ขณะนั้นมีโทสะ จิตดวงนั้น ไมใชจิตรูท ี่ถูกตอง ๖.๘.๓.๓ ความเปนกลางในอารมณ (ตัตรมัชฌัตตตา) คือจิต ปราศจากความยินดียินราย ไมมีอคติตออารมณคอื ไมพยายามรักษา อารมณบางอยาง หรือพยายามละอารมณบางอยาง ถาขณะใดจิตหลง ยินดียนิ ราย หรือกวัดแกวงไปตามความยินดียนิ รายตออารมณ ขณะนัน้ จิตไมเปนกลาง จิตดวงนั้นไมใชจิตรูที่ถูกตอง ๖.๘.๓.๔ ความสงบระงับ (ปสสัทธิ) คือเมื่อจิตรูอ ารมณใดก็รดู วย ความสงบระงับ ไมแสสายดิ้นรนไปตามอารมณนั้นๆ แมตัวอารมณที่ เปนความรูสึกตางๆ เมื่อถูกรูแลวก็สงบระงับเพราะไมถูกเติมเชื้อให ฟุงซานหรือดิ้นรนมากขึ้น หากจิตรูอารมณแลวเกิดความแสสายตางๆ จิตดวงนัน้ ไมใชจิตรูท ี่ถูกตอง ๖.๘.๓.๕ ความเบา (ลหุตา) คือจิตรูจะเบาสบาย ไมมีน้ําหนักใดๆ เกิดขึ้นเพราะการรูอ ารมณแมแตนอย ขณะใดปฏิบัติแลวเกิดความหนัก หรือมีนา้ํ หนักขึ้นในใจแมแตเพียงเล็กนอย (ทั้งนี้รวมถึงน้าํ หนักที่ติดลบ 38 วิถีแหงความรูแ จง
คือความรูส ึกเบาหวิวผิดธรรมชาติทงั้ หลายดวย) แสดงวาพลาดจากรูเสีย แลว จิตดวงนั้นไมใชจิตรูที่ถูกตอง ๖.๘.๓.๖ ความออนโยนนุมนวล (มุทุตา) คือจิตรูจะเปนจิตที่ ออนโยนนุมนวล ไมแข็ง ไมกระดาง ถาปฏิบัติแลวเกิดความรูสึกแข็ง กระดาง แสดงวาพลาดจากรูเสียแลว จิตดวงนั้นไมใชจิตรูที่ถูกตอง ๖.๘.๓.๗ ความควรแกการงาน (กัมมัญญตา) คือจิตรูเปนจิตที่ พรอมสําหรับการเจริญวิปสสนา ไมถกู เจือปนครอบงําดวยนิวรณใดๆ (แตถานิวรณเกิดขึ้นก็สามารถรูชัดและเอานิวรณนั่นแหละมาเปนทุกข สัจจที่ถูกรู คือมีนวิ รณ รูน ิวรณ แตนิวรณไมครอบงําจิต แบบนี้ก็ใชได เหมือนกัน) แตหากจิตถูกครอบงําดวยนิวรณ จิตดวงนั้นไมใชจิตรูที่ ถูกตอง ๖.๘.๓.๘ ความคลองแคลว (ปาคุญญตา) คือจิตรูจะมีสติปราด เปรียวคลองแคลว ขณะใดรูสกึ เฉื่อยเนือย ซึมเซา เกียจคราน แสดงวา พลาดจากรูเสียแลว จิตดวงนัน้ ไมใชจิตรูท ี่ถูกตอง ๖.๘.๓.๙ ความซื่อตรง (อุชุกตา) คือจิตจะทําหนาทีร่ ูอารมณอยาง ซื่อๆ ตรงๆ ไมทําหนาที่เกินกวาการรูอ ารมณ หากจิตไมทําหนาทีร่ ูไป อยางซื่อๆ ตรงๆ แตพยายามเสพยหรือแทรกแซงอารมณดวยอํานาจของ กิเลส จิตดวงนั้นไมใชจิตรูที่ถูกตอง .๘.๔ จิตรูเ ปนจิตที่ประกอบดวยสัมปชัญญะ / ปญญา / ปญญินทรีย / อโมหะ คือ สามารถเจริญวิปส สนาอยูโดยรูชัดวา จะทําอะไร (จะเจริญสติ) เพือ่ อะไร (เพื่อความ 39 วิถีแหงความรูแ จง
เขาใจสภาวธรรมตามความเปนจริง) จะทําอยางไร (จะตามรูป จจุบันอารมณตาม ความเปนจริง) และจะเจริญสติอยูดวยความรูสึกตัว ไมหลงไมเผลอตามอารมณใดๆ ไปดวยอํานาจของโมหะ รวมทั้งตองมีปญ ญารูและเขาใจลักษณะของสภาวธรรมที่ กําลังปรากฏเปนอารมณของวิปสสนากรรมฐานนัน้ ดวย วามีลักษณะไมเที่ยง เปน ทุกข หรือเปนอนัตตาอยางใดอยางหนึง่ หากจิตมีสติรูสภาวธรรมเฉยๆ โดยขาด ปญญาที่จะเขาใจลักษณะของสภาวธรรมนั้น ก็ยงั ไมใชจิตรูท ี่จะเจริญวิปสสนาได อยางแทจริง
๗. สภาวธรรมคืออะไร ๗.๑ การเจริญสติคอื การรูทุกขหรือรูปนาม/กายใจ เพื่อถอดถอนความเห็นผิด วารูปนาม/กายใจเปนตัวตนของตน และในที่สุดจะเกิดการปลอยวางความยึดถือรูป นาม/กายใจอันเปนกองทุกขไดอยางเด็ดขาด ดังนั้นการเจริญสติที่ถูกตองจะตอง ระลึกรูถงึ สภาวะของรูปนาม ไมใชการรูน ิพพาน หรือรูอารมณบัญญัตอิ ันเปนสิ่งที่ เราคิดฝนขึ้นมาเอง ทั้งนี้แมแตการคิดถึงรูปนามวามีลักษณะเปนไตรลักษณก็ยงั เปน อารมณบญ ั ญัติ เพราะไมใชการรูสภาวะของรูปนามและไมใชการเห็นลักษณะของ รูปนามนัน้ ๗.๒ ตัวรูปนาม/กายใจนี้แหละคือสภาวธรรมที่สติจะตองระลึกรู และปญญา จะตองทําความเขาใจลักษณะของสภาวะนั้น นอกเหนือจากสติปญญาแลวเครือ่ งมือ ที่ใชในการรูร ูปนามก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจธรรมดาๆ นี้เอง กลาวคือตัว รูปธรรมนัน้ รูไดดวยตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ สวนนามธรรมรูไดดวยใจ 40 วิถีแหงความรูแ จง
๗.๓ การรูร ูปทําไดทกุ ๆ ทวารดังนี้คอื ๗.๓.๑ รูปที่เรารูไดดว ยตานัน้ มีมากมายนับไมถวนวากี่แสนกี่ลานรูป เชนผูหญิง ผูช าย เด็ก คนแก เสือ ลิง ปลา นก ทะเล แมน้ํา ภูเขา ตนไม ดอกไม อัญมณี ฯลฯ แตในจํานวนรูปที่นับจํานวนไมถวนนั้น เอาเขาจริงสิ่งที่ตา มองเห็นก็คือสีเทานัน้ เอง แลวอาศัยสัญญาคือความจําไดหมายรูเ ขามาปรุงแตง จิต จึงเกิดการจําแนกวา กลุมสีอยางนี้เรียกวาผูหญิง ผูชาย … อัญมณี สีจึง เปนรูปตัวจริงที่เรารูไ ดดวยตา ๗.๓.๒ รูปที่รูไดดวยหูคือเสียง รูปที่รูไดดวยจมูกคือกลิ่น รูปที่รูไดดวย ลิ้นคือรส รูปที่รูไดดว ยกายมี ๓ ชนิดคือ ธาตุไฟหรือความเย็น-รอน ธาตุดิน หรือความออน-แข็ง และธาตุลมหรือความตึง-ไหว ๗.๓.๓ รูปที่รูไดดวยใจมีจํานวนมากกวารูปทีร่ ูไดดวยตา หู จมูก ลิ้น และกาย ไดแกปสาทรูป ๕ หรือประสาทสําหรับรับสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย กับรูปละเอียดหรือสุขมุ รูป ๑๖ เชนรูปคือสารอาหาร รูปที่กําหนดเพศ รูปคือการเคลื่อนไหวกายและวาจาเพื่อสือ่ ความหมาย เปนตน ๗.๔ สิ่งทีร่ ูไดดวยใจนอกจาก รูปจํานวนมาก (๒๑ รูป) ตามขอ ๗.๓.๓ แลว ยัง มีอีกหลายอยางคือ (๑) เจตสิก ๕๒ ชนิด เชน สุข ทุกข อุเบกขา ความจําไดหมายรู โลภะ โทสะ โมหะ ปติ ศรัทธา วิริยะ ปญญา ฯลฯ (๒) จิต คือธรรมชาติที่รูอารมณ ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง (๓) นิพพาน และ (๔) บัญญัติธรรม หรือสิ่งที่เปนความคิดความ ฝนซึ่งไมมตี ัวจริง (อางอิงอภิธมั มัตถวิภาวินี) ใจจึงเปนอายตนะที่รูอารมณได กวางขวางหลากหลายที่สุด 41 วิถีแหงความรูแ จง
๗.๕ ถาจะกลาวอยางงายๆ การเจริญสติจะตองระลึกรูอารมณปรมัตถซึ่งเปน ตัวแทหรือตัวจริงของธรรมชาติ ไมใชไปรูสิ่งที่คดิ นึกเอาเอง(บัญญัตธิ รรม) เชนเมื่อ เราเขาใกลกองไฟ ความรอนทีร่ ูไดทางกายนั่นแหละคืออารมณปรมัตถ สวนคําพูดวา รอนๆ เปนสมมุติบัญญัติ ผูปฏิบัติมีหนาที่รูถงึ ความรอนที่มากระทบกาย ไมใชไปใช ความคิดวาไฟเปนของรอน เหมือนไฟกิเลสหรือไฟนรก เปนตน นอกจากนี้ จําเปนตองทราบดวยวาอารมณชนิดใดรูไดทางทวารใด เชนถาจะรูอ ริ ิยาบถ ๔ คือรู รูปยืน เดิน นั่ง นอน จะตองรูด ว ยใจ ไมใชรูดว ยตาหรือดวยกาย เปนตน ๗.๖ หากผูปฏิบัติสามารถรูร ปู นามอันเปนอารมณปรมัตถไดแลว จะสามารถ ถอดถอนความเห็นผิดวามีสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขาลงได เพราะอารมณปรมัตถที่ใช ในการเจริญวิปสสนามีแตรูปกับนามซึ่งไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา บรรดาสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา ลวนแตเกิดจากการคิดหรือการบัญญัตเิ อากลุมของรูปนามมา เปนสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขาทั้งสิ้น ๗.๗ ในทางปฏิบัติจริงมีประเด็นเกี่ยวกับสภาวธรรมที่ควรทราบอีกบางอยาง คือ ๗.๗.๑ จิตยอมรูอ ารมณทั้งที่เปนปรมัตถและบัญญัติ จะเจาะจงเลือกรู อยางหนึ่งอยางใดตามความอยากไมได ดังนั้นขณะใดจิตระลึกรูอารมณ ปรมัตถก็รทู ัน ขณะใดจิตรูอารมณบัญญัติก็รูทัน เพราะแมแตพระอรหันตทาน ก็ยอมรูอ ารมณทั้ง ๒ ชนิด ไมใชรูเฉพาะอารมณปรมัตถอยางเดียว
42 วิถีแหงความรูแ จง
๗.๗.๒ ในการเจริญวิปสสนานั้น ผูปฏิบัติจะเริ่มตนดวยการมีสติระลึกรู รูปหรือนามอยางใดกอนก็ไดแลวแตความถนัด โดยจะเลือกเจริญสติปฏ ฐาน บรรพใดกอนก็ได และไมจําเปนตองรูร ูปนามหรือเจริญสติปฏ ฐานใหครบทุก อยาง หากผูปฏิบัติพยายามทําสติปฏฐานทุกฐาน/ทุกบรรพ นอกจากจะไม ไดผลแลว ยังจะเกิดความฟุงซานเพราะความจับจดในการปฏิบัติไดดวย ทั้งนี้ พระพุทธเจาทรงสอนใหรู “กายในกาย” “เวทนาในเวทนา” “จิตในจิต” และ “ธรรมในธรรม” คือใหรูรูปบางอยาง เวทนาบางอยาง จิตที่เปนกุศลและ อกุศลบางอยาง และธรรมเพียงบางอยาง เมื่อเขาใจรูปนามบางอยางนัน้ แลว ก็ จะเขาใจรูปนามอืน่ ทั้งหมดดวย นีเ้ ปนการศึกษาวิจัยรูปนาม(ธรรมวิจัย)อยางมี การสุมตัวอยาง อันเปนกระบวนการศึกษาที่ลา้ํ สมัยมาก ตัวอยางเชนถาเห็นแจงวารูปยืนรูปเดินรูปนั่งรูปนอนไมใชตวั เรา ก็จะรู แจงวารูปทั้งหมดไมใชตัวเรา และถาเห็นวาจิตที่หลงกับจิตที่รูสึกตัวเปนสิ่งไม เที่ยงและบังคับไมได ก็จะรูแจงวาจิตทัง้ หมดไมเทีย่ งและบังคับไมไดดว ย ๗.๗.๓ แมในเบื้องตน ผูปฏิบตั ิอาจตองจงใจระลึกรูสภาวธรรมอยาง หนึ่งอยางใดเปนเครือ่ งรูเครื่องอยูของจิต(วิหารธรรม)ไปกอนก็จริง แตในขั้นที่ สติพัฒนามากขึ้นจนเปนสติอัตโนมัติแลว ผูปฏิบัติจะเลือกรูอ ารมณไมได หาก มีอารมณปรากฏทางทวารใดสติก็รูชัดทางทวารนั้น โดยจิตจะระลึกรู รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือธัมมารมณ หรือรู กาย เวทนา จิต หรือธรรม ไปตาม ธรรมชาติทีละขณะ มิหนําซ้ําผูป ฏิบัติยังจะไดพบความจริงดวยวา จะบังคับให จิตรูเฉพาะอารมณใดอารมณหนึ่งไมได เพราะจิตเองก็เปนอนัตตาคือเปนของ ที่บังคับเอาตามใจอยากไมได
43 วิถีแหงความรูแ จง
๘. ที่กําลังปรากฏหมายถึงอะไร ๘.๑ การมีสติระลึกรูส ภาวธรรมทั้งหลายนั้น มีหลักสําคัญวา ตองรูสภาวธรรม คือรูปนามที่กําลังปรากฏเปนปจจุบันเทานั้น ไมใชตามคิดถึงสิ่งที่ลวงมาแลว หรือคิด ล้ําไปถึงสิง่ ที่ยังมาไมถึง ทัง้ นีพ้ ระพุทธศาสนาเนนการทําประโยชนในปจจุบันเปน สําคัญ ดังที่พระศาสดาทรงแสดงไวในภัทเทกรัตตสูตร (พระไตรปฎก ๑๔/๕๒๗) ความวา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ไมควรมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง สิ่งใดลวงไปแลว สิ่งนั้นก็เปนอันละไปแลวและสิ่งที่ยังไมมาถึง ก็เปนอันยังไม ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจงธรรมปจจุบนั ไมงอนแงน ไมคลอนแคลนในธรรมนัน้ ๆ ได บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ใหปรุโปรงเถิด พึงทําความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเลาจะรูความตายในวันพรุง เพราะวาความผัดเพีย้ นกับมัจจุราชผูมเี สนาใหญนนั้ ยอมไมมีแกเราทัง้ หลาย พระมุนีผสู งบยอมเรียกบุคคลผูมีปรกติอยูอยางนี้ มีความเพียร ไมเกียจครานทัง้ กลางวันและกลางคืน นัน้ แลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ ๘.๒ คําวารูปนามทีก่ ําลังปรากฏในปจจุบันมีความหมายดังนีค้ ือ
44 วิถีแหงความรูแ จง
๘.๒.๑ รูปนั้นตองเปนรูปที่กําลังปรากฏในปจจุบันจริงๆ เชนรูรูปที่กาํ ลังยืน หยุดนิ่ง หรือรูรูปที่กาํ ลังเคลื่อนไหว เปนตน ๘.๒.๒ นามนั้นตองตามรูอ ยางกระชั้นชิดถึงนามที่เพิ่งดับไปสดๆ รอนๆ เปนปจจุบันสันตติคือตอเนือ่ งกับปจจุบัน ไมใชนามที่กําลังปรากฏใน ปจจุบันจริงๆ ทัง้ นี้เพราะธรรมดาของจิตยอมรูอ ารมณไดเพียงครัง้ ละอยาง เดียว ในขณะที่จิตรูอารมณอนั ใดอันหนึ่งจึงไมสามารถจะรูต ัวจิตเองได เชน ขณะที่รูรปู นั่งอยูนนั้ จิตเกิดหลงไปคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในขณะนั้นจิตจะลืมรูป นั่งเกิดเปนโมหมูลจิตชนิดฟุง ซาน อาจจะหลงคิดอยู ๕ นาทีแลวจึงเกิดความ ระลึกได(สติ)วาหลงไปแลว ในขณะที่ระลึกไดวาเมื่อกี๊หลงไปแลว ในขณะนั้น ความหลงจะดับไปแลว เปนตน หรือโกรธเพื่อนมา ๕ นาทีแลว จึงเกิดระลึกได วากําลังโกรธอยู ความโกรธจะดับลงในทันทีที่รู อยางนี้ก็ใชได ไมใชโกรธ เพื่อนเมื่อวานนี้แลวมาวันนีเ้ พิง่ นึกไดวา โกรธ จากนั้นก็นั่งเสียใจวาไมนาโกรธ เพื่อนเลย อาการเชนนี้ลวนแตไมเปนปจจุบัน คือขณะที่โกรธเมื่อวานนี้ก็ไมรู ขณะนี้กําลังเสียใจทีโ่ กรธเพื่อนก็ไมรูอีกเพราะมัวคิดถึงเรือ่ งเมื่อวาน หรือพอ นึกไดวาโกรธเพื่อนไปเมื่อวาน ก็คิดวาจะตองไปงอเพือ่ นสักหนอย จากนั้นก็ กังวลวาเราไปงอแลวเขาจะคืนดีไหมหนอ นี่กเ็ ปนความกังวลในปจจุบันที่เรา ไมรูทัน เพราะมัวไปคิดถึงอนาคตเสียแลว ๘.๓ ธรรมดาของจิตยอมรูอ ารมณไดทลี ะอยางเทานั้น และหนาที่ของผู ปฏิบัติก็คือการระลึกรูอารมณที่กําลังปรากฏในปจจุบัน(สําหรับรูป)หรือใน ปจจุบันสันตติ(สําหรับนาม) อยาพยายามหนวงอารมณที่เปนอดีตไวดนู านๆ เพราะกลัววาจะไมเห็นไตรลักษณ ตัวอยางเชนเมื่อตาเห็นสีกลุมหนึ่งก็ใหรสู ี นั้นตามทีม่ ันเปนจริง เพราะสีนั้นเปนปจจุบันอารมณที่เรียกวารูปารมณ ตอมา 45 วิถีแหงความรูแ จง
สัญญาเกิดจํารูปไดวา นั่นเปนรูปคนรักของเรา จิตเกิดความชอบใจอันเปนราคะ ขึ้น ความชอบใจนัน้ เปนอารมณใหมที่รูดวยใจ(ธัมมารมณ) หนาที่ของผูปฏิบัติ คือรูเ ขาไปที่สภาวะของความชอบใจที่กําลังปรากฏนั้น ไมใชยอนกลับไปคิด พิจารณารูปคนรัก วาเปนปฏิกูลอยางนัน้ อยางนีเ้ พื่อละราคะ เพราะรูปคนรัก กลายเปนอดีตไปแลว สวนราคะเปนอารมณปจจุบันที่กําลังแสดงความตั้งอยู และดับไปใหเรารูได เปนตน ๘.๔ เมื่อกลาววาใหเรารูอารมณปจจุบัน บางคนอาจเกิดความสับสนวา ถาเชนนัน้ ชาวพุทธคงไมสามารถวางแผนงานในอนาคตได การคิดเชนนี้ไม ถูกตอง ในยามใดเรามีหนาที่ตอ งวางแผนงานก็ตองวางแผนงาน แมแต พระพุทธเจาทานก็ทรงพิจารณาลวงหนาทุกเชาวา วันนี้ทานควรแสดงธรรม โปรดใคร ดวยเรื่องอะไร โปรดแลวจะเกิดผลอยางไร นับวาทานเปนนัก วางแผนชัน้ เลิศ คือ (๑) ทรงกําหนดบุคคลเปาหมาย (๒) กําหนดวิธีการ (๓) กําหนดเนือ้ หาธรรมที่จะสื่อสารกับผูนนั้ และ (๔) พิจารณาถึงผลประโยชนที่ บุคคลนั้นจะไดรับดวย ผูปฏิบตั ิตองรูจักเลือกใชธรรมใหถูกกาละเทศะ ยามใด มีหนาที่วางแผนก็ตอ งวางแผน มีหนาที่เรียนก็ตองเรียน มีหนาที่ทํางานก็ตอง ทํางาน จุดใดควรเจริญสติก็เจริญสติ จุดใดตองใชสมาธิในการทํางานก็ใช สมาธิ จุดใดควรใชความคิดพิจารณาไตรตรองก็ตองใชความคิด ไมใชเจริญสติ รวดเดียวโดยไมรูจักทําความสงบใจหรือใชความคิดพิจารณาตามหนาทีข่ อง ตน ๘.๕ มีขอ ควรสังเกตประการหนึ่งก็คือ คําวา “ปจจุบัน” นั้น ไมได หมายถึงวันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ หรือแมกระทั่งวินาทีนี้ แตหมายถึง การระลึกรู 46 วิถีแหงความรูแ จง
รูปที่กําลังปรากฏตอหนาตอตาในขณะจิตนี้ หรือการรูนามที่เพิ่งดับไปสดๆ รอนๆ ซึ่งการรูนั้นเปนเวลาทีส่ ั้นที่สุดจนทําอะไรมากเกินกวารูไมได
๙. ตามความเปนจริงหมายถึงอะไร ๙.๑ ขอ ๖ ของบทความนี้มุงทําความเขาใจวา จิตทีร่ ไู ดถูกตองนั้นมีสภาพ อยางไร ขอ ๗ เปนการทําความเขาใจเกีย่ วกับสภาวธรรมซึ่งเปนสิ่งที่ถกู รู ขอ ๘ เปน การชีว้ าการรูตอ งรูสภาวธรรมที่เปนปจจุบันอารมณ สวนหัวขอนี้เปนเรื่องที่วาเมือ่ รู สภาวธรรมที่เปนปจจุบันอารมณไดแลว ตองระลึกรูสภาวธรรมนั้นตามความเปนจริง ตรงตามทีก่ ําลังเปนอยู โดย (๑) ไมเขาไปดัดแปลงและแทรกแซงอารมณ (ดังมี สาระสําคัญในขอ) ๙.๒ – ๙.๓) (๒) ไมเขาไปปรุงแตงจิตที่ไปรูอารมณเหลานัน้ (ดังมีสาระสําคัญ ในขอ ๙.๔) และ (๓) ตองรูลกั ษณะของอารมณรปู นามนัน้ ตรงตามคําสอนของ พระพุทธเจา (ดังมีสาระสําคัญในขอ ๙.๕) ๙.๒ การดัดแปลงอารมณ ผูปฏิบัติจํานวนมากชอบดัดแปลงรูปนามอันเปน อารมณกรรมฐานใหแตกตางไปจากสภาวะปกติ ที่สําคัญมี ๒ ประการคือ (๑) การ พยายามหนวงอารมณใหชาลง และ (๒) การแบงซอยหรือเพิม่ ขั้นตอนรายละเอียด ของอารมณใหมากขึ้น กลาวคือ ๙.๒.๑ ผูปฏิบัติจํานวนมากพยายามหนวงอารมณใหชาลง เชนพยายาม เคลื่อนไหวชาๆ โดยหวังวาสติจะตามรูสภาวะอันแชมชานั้นไดทัน แทจริงแม 47 วิถีแหงความรูแ จง
จะเคลื่อนไหวใหชาเพียงใด กิเลสก็ไมไดชาตามการเคลือ่ นไหวนั้นไปดวย เชน บางคนเดินกาวละ ๕ นาที แมจะตามเพงจองอาการเคลื่อนไหวไดชดั เจน แต กลับไมเห็นความจริงวา จิตในขณะนั้นถูกโลภะคือความอยากปฏิบัติธรรม ครอบงําอยู หรือไมรูวาในเวลา ๕ นาทีนั้น จิตขาดสติคือคลาดเคลื่อนไปจาก การรูไปสูการคิดหลายสิบครัง้ แลว หรือแมจิตจะไมขาดสติคลาดเคลื่อนไปจาก อารมณนนั้ แตจิตก็กําลังเพงจองดูอารมณจนแนบสนิทอยูกบั อารมณเชนมือ เทา และทอง อันเปนการทําอารัมมณูปนิชฌานซึง่ เปนการทําสมถกรรมฐาน ไมใชวิปสสนากรรมฐานอยางที่คิดจะทํา เปนตน ๙.๒.๒ ผูป ฏิบัติบางทานแบงซอยหรือเพิม่ ขั้นตอนรายละเอียดของ อารมณใหถี่ขึ้น เชนเมื่อจะรูลมหายใจก็รกู ารกระทบของลมตัง้ แตจะงอยปาก หรือปลายจมูก ไลเรือ่ ยไปตามการเคลื่อนของลมจนถึงทอง โดยกําหนดฐาน ลมไวหลายๆ ฐาน หรือการทําจังหวะการเดินใหมีขั้นตอนหลายๆ ขั้น เปนตน การกระทําดังกลาวเปนผลดีในการผูกมัดจิตไวกับอารมณ ซึง่ ก็คือวิธีการเจริญ สมถกรรมฐานเพื่อใหจิตสงบอยูกับอารมณกรรมฐาน เมือ่ ปฏิบัติดวยวิธีการ เชนนี้แลว จิตก็มักเกิดปติหรือนิมิตอันเปนผลจากการเจริญสมถกรรมฐาน แต ผูปฏบัติมกั หลงคิดวาตนเกิดปญญาหรือญาณ เพราะนึกวาตนกําลังเจริญ วิปสสนาอยู เปนตน ๙.๓ การแทรกแซงสภาวธรรม การเจริญวิปสสนานัน้ เราทําเพือ่ ใหเกิดปญญารู ความจริงของสภาวธรรมคือรูปนาม ไมไดทําเพือ่ ใหเกิดความสุข ความสงบ หรือ ความดี แตผูปฏิบัตสิ วนมากกลับไมตองการความจริง ดังนัน้ เมื่อรูสภาวธรรมแลวก็ มักพยายามแทรกแซงปรุงแตงสภาวธรรมอันเปนปจจุบันอารมณนนั้ ใหสุข ใหสงบ ใหดี ดวยวิธีการตางๆ คือ 48 วิถีแหงความรูแ จง
๙.๓.๑ เมือ่ รูอ กุศลธรรมก็พยายามละ เชนเมื่อพบวาจิตฟุงซาน ก็พยายาม บริกรรมพุทโธบาง บริกรรมฟุงซานหนอบาง เพื่อใหหายฟุงซาน เมื่อพบวาจิต มีกามราคะก็พยายามพิจารณาอสุภะบาง เมื่อพบวาจิตมีโทสะก็พยายามแผ เมตตาบาง หรือเมื่อพบวาจิตเปนทุกขก็พยายามละทุกขนั้นดวยวิธีการตางๆ บาง ฯลฯ การกระทําเหลานี้เกิดไดจากหลายสาเหตุ เชน ๙.๓.๑.๑ เพราะเกิดความเห็นผิดเนื่องจากเคยไดยนิ คําสอนวา ให ละความชัว่ บาปทั้งปวง พอพบเห็นอกุศลธรรมจึงพยายามละ หารูไมวา การเจริญวิปสสนานัน้ เลยขัน้ การละบาปและการเจริญกุศลมาแลว แต เปนขั้นการทําจิตใหผองแผวเหนือดีเหนือชัว่ จึงตองรูสภาวะและ ลักษณะของทัง้ อารมณที่ดีและชั่วดวยความเปนกลาง ไมใชรักอันหนึง่ เกลียดอันหนึ่ง หรือบางทานตีความคําสอนของพระศาสดาคลาดเคลื่อน เชนอานมหาสติปฏฐานสูตร ธัมมานุปส สนาสติปฏฐาน นีวรณบรรพ แลวเขาใจวาพระศาสดาทรงสอนใหรูและละนิวรณดวย จึงเขาใจผิดวา การเจริญสติที่แทจริงมีทงั้ การรูและการละสภาวธรรม จะรูอ ยางเดียว ไมได ๙.๓.๑.๒ เพราะไมทราบวา กิจตอทุกขสัจจไดแกการรู ไมใชการ ละ เมื่อพบทุกขจึงพยายามละทุกข อันเปนการกระทําที่สอดคลองกับ จิตใจที่รักสุขเกลียดทุกข ๙.๓.๑.๓ เพราะไมเขาใจหลักการเจริญวิปสสนาที่ใหรูสภาวธรรม ตรงตามความเปนจริง จนรูว าธรรมทั้งหลายไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา 49 วิถีแหงความรูแ จง
เขา และบังคับเอาตามใจอยากไมได เมือ่ รูความจริงแลวจิตจึงปลอยวาง แลวพนทุกขไดดวยการปลอยวาง ๙.๓.๑.๔ เพราะคุนเคยกับการทําสมถะ หรือคิดวาการปฏิบัตธิ รรม คือการทําความสงบเทานัน้ สมถะใหความสุขไดประณีตยิ่งกวากามสุข ผูทําสมถะมีความสงบในจิตใจบาง เกิดความรูความเห็นตางๆ เปนเรือ่ ง สนุกและนาภูมิใจบาง จึงเปนที่นิยมยกยองกันมากในหมูนักปฏิบัติ ดังนัน้ พอพบธรรมอันใดเปนขาศึกตอความสงบ จึงพยายามละธรรมอัน นั้น ๙.๓.๒ เมือ่ รูกุศลธรรมก็พยายามรักษาหรือพัฒนาใหดียิ่งขึ้น โดยหวังวา เมื่อพัฒนาใหดีไดอยางตอเนือ่ งแลว จิตจะหลุดพนในสักวันหนึ่งขางหนา เพราะพระอรหันตคอื "คนที่จติ ใจดีเลิศนิรันดร" ทัศนะเชนนี้ผิดพลาดมาก เพราะจิตก็ดี กุศลเจตสิกก็ดี เปนสังขารทัง้ สิ้น ยอมมีความแปรปรวนและ บังคับบัญชาไมได เมื่อรูความจริงเชนนีแ้ ลวตางหาก จิตจึงปลอยวางความยึด มั่นจิต แลวหลุดพนเพราะความไมถือมัน่ ไมใชหลุดพนเพราะทําจิตทีไ่ มเที่ยง ใหเที่ยงได หรือทําจิตที่เปนทุกขใหเปนสุขได หรือทําจิตที่เปนอนัตตาใหอยู ในอํานาจบังคับได ๙.๔ การปรุงแตงจิต การจะรูร ปู นามไดตรงตามความเปนจริงนั้น นอกจาก จะตองไมดัดแปลงอารมณรูปนามแลว ยังตองไมดัดแปลงจิตที่ไปรูอารมณรูปนาม ดวย แตนกั ปฏิบัติเกือบรอยละรอยเมื่อคิดจะปฏิบัติธรรม มักจะเริ่มตนดวยการ ดัดแปลงจิตใหผิดธรรมดาเสียกอนจึงจะเริ่มจงใจรูร ูปนาม หรือไมยอมรูรูปนามเลยก็ มี ตัวอยางการดัดแปลงจิตก็เชน 50 วิถีแหงความรูแ จง
๙.๔.๑ การขมจิตใหนิ่ง ผูปฏิบตั ิเกือบทั้งหมดเมื่อคิดจะปฏิบัติธรรมก็ มักจะเริ่มตนดวยการดัดแปลงจิตใหตางไปจากสภาวะปกติ โดยการทําจิตให นิ่งหรือสงบสํารวมผิดความเปนจริง แทจริงเราเจริญวิปสสนาก็เพื่อรูความเปน จริงของกายและใจ หากไปดัดแปลงจิตใจใหตางไปจากสภาวะปกติเสียแลว จะ เห็นความจริงของจิตใจไดอยางไร มีแตจะนอมจิตเขาหาความนิ่ง ซึง่ แมจะเห็น สิ่งอื่นที่จติ ไปรูเขาแสดงไตรลักษณใหดูได แตกลับรูสึกวาตัวจิตเองนิ่ง สงบ ไมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง และไมแสดงไตรลักษณใดๆ เลย จึงไมอาจละ ความเห็นผิดวาจิตเปนตัวตนของตนได สักกายทิฏฐิจึงไมขาดและผูปฏิบัติไม อาจบรรลุโสดาปตติผลได ๙.๔.๒ การทําจิตใหวาง นักปฏิบัติบางทานไดยนิ ครูบาอาจารยกลาววา “เมื่อปฏิบตั ิไปถึงทีส่ ุดแลว จิตจะวางจากกิเลสและวางจากขันธ” ก็มุงตรงเขา หาความวางเลยทีเดียว ดวยการประคองจิตใหนิ่งและปรุงแตงความวางขึ้นมา อันเปนการพยายามเลียนแบบปลายทางของการปฏิบัติ โดยไมคํานึงวา พระพุทธเจาทรงสอนตนทางของการปฏิบัติดวยการใหรูรูปนาม/กายใจ ตอเมือ่ เขาใจความเปนจริงของรูปนามและปลอยวางความถือมั่นในรูปนามไดแลวนั่น แหละ จิตจึงเขาถึงความวางจากกิเลสและวางจากขันธในที่สุด การจงใจทําจิต ใหวางอยางมากที่สุดก็เปนเพียงการทําจิตใหรูชองวาง (อากาสานัญจายตนะ) หรือรูค วามไมมีอะไรเลย (อากิญจัญญายตนะ) ซึ่งเปนเพียงการทําสมถกรรม ฐานเทานัน้ บางทานจิตถึงกับสวาง ปลอดโปรง คงที่อยูอ ยางนัน้ นานๆ จน สําคัญผิดวาบรรลุพระอรหันตแลวก็มี ทัง้ ที่จิตยังหลงปรุงแตงภพที่วางเปลา แลวติดอยูใ นภพนั้นนั่นเอง 51 วิถีแหงความรูแ จง
แทจริง “จิตวางจากกิเลส” เพราะมีปญ ญาเห็นแจงในรูปนามจนหมด ความยึดถือในรูปนาม และกิเลสตัณหาไมสบชองที่จะเกิดไดอีก จิตจึงสามารถ รูรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและธัมมารมณใดๆ ก็ไดโดยไมตองเลี่ยงการรู อารมณอนื่ ๆ ไปรูเ ฉพาะความวาง สวน “จิตวางจากขันธ” นั้น ไมใชไมใหรู ขันธ แตทั้งที่รูขนั ธอยูนั่นแหละ กลับรูแจงแทงตลอดวาขันธเปนของวางจาก ความเปนสัตวบุคคลตัวตนเราเขา ๙.๔.๓ การละทิ้งจิต นักปฏิบัติบางทานพยายามละทิ้งจิตดวยวิธีการ ตางๆ เชน(๑) การเพงรูป ดวยการรูการเคลื่อนไหวของกายโดยละทิ้งความ สนใจจิต แทนที่จะแยกรูปนามโดยเห็นวา “รูปเคลื่อนไหว ใจเปนผูร ”ู กลับ เอาสติแนบเขากับรูปจนนิ่งสนิทหมดความคิดนึกปรุงแตง นั่นคือการเพง อารมณหรืออารัมมณูปนิชฌานอันเปนการทําสมถกรรมฐานนัน่ เอง การเพงรูป นั้นเมือ่ เพงจนถึงที่สดุ จะไดจตุตถฌานหรือฌานที่ ๔ เมือ่ ประกอบกับความไม สนใจนาม จิตจะพลิกเขาอสัญญสัตตาภูมิ คือดับสัญญาลงได จิตก็ดับลงใน ขณะนั้นเหลือแตรางกายแข็งทื่ออยู ดังที่เรียกกันวาเปนพรหมลูกฟกนั่นเอง บุคคลที่ฝก กรรมฐานแนวนี้เมือ่ จิตถอดถอนออกมาสูโลกภายนอกแลว จะ สามารถเห็นโลกวางเปลาจากความเปนตัวตนไดเหมือนกัน เพราะเมื่อรูเห็นสิ่ง ใดก็ไมคิดเติมความสําคัญหมายใดๆ ลงในการรู บางทานคิดวาตนเองสําเร็จ เปนพระอรหันตแลวเพราะไมมีกิเลสใดๆ เกิดขึน้ เลย แตนั่นไมใชสภาวะของ ความหลุดพนจริงๆ เพราะเปนสภาวะความวางจากความเปนตัวตนที่จิตปรุง แตงขึ้น เปนการขมกิเลสไดชั่วคราวดวยการเพงรูป จนจิตติดตรึงอยูในอารมณ นิ่งโดยไมตองเพงเทานั้น จึงรูส ึกวาหมดกิจแลวเพราะไมตองเพงไมตอ ง กําหนดอีกตอไปแลว นอกจากนี้สภาวะของรูปนามยังแยกออกเปนสองสวน 52 วิถีแหงความรูแ จง
คือสวนของจิตภายในถูกทําใหกลวง/วางเปลาและไมรับรู ในขณะที่จิตหลง แนบนิ่งอยูกับอารมณภายนอก เมื่อใดทีก่ ําลังจากการเพงลดลง กิเลสจะกําเริบ รุนแรงกวาคนปกติหลายเทานัก การละทิ้งจิตยังทําไดอีกวิธีหนึ่ง ไดแก (๒) การเพิ่มแรงกดดันใหจิตจน เครียดสุดขีด แลวจิตจะสลัดตัวหนีทุกขออกไปปรุงแตงความวางขึน้ มา แลว เขาไปอยูกบั ความวางนั้นโดยไมสนใจที่จะรูจิตเลย วิธีนี้ทําไดหลายอยางเชน (ก) การกําหนดอารมณตอเนื่องกันไมใหขาดสายจนจิตเครงเครียดสุดขีด และ (ข) การปฏิบัติอยางหักโหมเชนนั่งหรือเดินตอเนือ่ งกันทั้งวันทั้งคืนคราวละ หลายๆ วัน เมื่อเกิดความเครียดถึงขีดสุด บางทานถึงกับเกิดอาการผิดปกติทางจิต หรือเกิดการเจ็บปวยทางกาย แตบางทานจิตจะหลบออกไปหาความวาง ภายนอกเพื่อหนีทุกขซึ่งปรากฏอยูที่จิต จนนึกวาจิตหลุดพนแลวเพราะจิตหลุด ออกไปอยูภ ายนอก จิตจะสวางไสวอยูภายนอก มีความสบายเบิกบาน เห็นโลก ภายนอกวางเปลาจากความเปนตัวตน แตไมเห็นจิตตนเอง จะรูสึกวาภายใน กลวงและจิตไมอาจยอนเขามาดูภายในได มีแตไปหลงสบายอยูภายนอก เทานัน้ ผูท ี่ปฏิบัติแนวนี้บางทานจิตมักจะปรุงความเมตตาขึน้ มา แลวอยูกับ ความเมตตานั้น ๙.๔.๔ การพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการรู เกิดจากความไมมั่นใจวา การตามรูเ พียงเทานีจ้ ะไดผลเพียงพอแกการรูธรรม จึงตองพยายามเพิม่ ประสิทธิภาพของการรับรูน ั้น ดวยวิธีการตางๆ เชน 53 วิถีแหงความรูแ จง
๙.๔.๔.๑ การชวยคิดพิจารณาสภาวธรรมที่กําลังถูกรูนั้น เชนเมื่อรู โทสะก็พยายามคิดวาโทสะไมดี นําความทุกขมาให โทสะมีโทษมาก อยางนัน้ อยางนี้ เปนตน ๙.๔.๔.๒ การเพงจองอยางเอาเปนเอาตายตอสภาวธรรมนั้น เพื่อ จะรูไดชัดเจนยิ่งขึ้น หรือเพือ่ เพงใหดับ หรือบางทีถึงกับตามจองจนลืม ตัวถลําเขาไปในจิตสวนลึกซึ่งในขณะนั้นยังรูอ ารมณอันนัน้ ไดอยู แต เปนการรูแ บบคนที่ชะโงกดูสิ่งของในน้าํ จนตนเองตกน้ําแลวยังไมรูตวั วาตกน้ํา ก็มี ๙.๔.๔.๓ การเพิ่มคุณธรรมแบบปรับสมดุล เกิดจากการคิดวาเรา ยังขาดคุณธรรมอยางนั้นอยางนี้ เชนขาด ทาน ศีล หิริ โอตตัปปะ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เนกขัมมะ ศรัทธา สติ วิริยะ ปติ ปสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ปญญา ฯลฯ และจะตองเพิ่มคุณธรรมเหลานั้นใหเพียงพอและ สมดุลกับคุณความดีอื่นๆ เสียกอนจึงจะเจริญสติได แทจริงถามีความรู ความเขาใจ(มีสัมมาทิฏฐิ)จนรูจ ักเจริญสติไดแลว คุณธรรมฝายดี ทั้งหลายจะเกิดขึ้นไดโดยงาย หากมุงเพิม่ บารมีตา งๆ โดยละเลยการ เจริญสติ ก็เหมือนคนที่เตรียมเสบียงเพือ่ เดินทางไกล แตไมยอมกาวเทา ออกจากบานสักที อีกกี่ปก็ไปไมถึงจุดหมายที่หวังไว ๙.๕ ตองรูส ภาวะและลักษณะของรูปนามนั้นตรงตามคําสอนของพระพุทธเจา การรูตามความเปนจริงตองรูต รงกับคําสอนของพระพุทธเจา ไมใชรตู รงสภาวะที่ คาดคะเนเอาเอง หรือตรงตามที่อาจารยสอนแตขัดหรือแยงกับคําสอนของ พระพุทธเจา กลาวคือ 54 วิถีแหงความรูแ จง
๙.๕.๑ สภาวะที่สติระลึกรู รูปนามที่สติไประลึกรูน ั้นตองมีสภาวะตรง ตามคําสอนในทางพระพุทธศาสนา เชนสติมีลักษณะเปนความระลึกไดไมใช การกําหนด ปญญาหรือวิปสสนาญาณเปนความรูจ ริงของจิตไมใชอาการ แปลกๆ ทางรางกาย และทุกขเปนความรูส ึกทุกขไมใชรูปธรรมเปนดวงกลมๆ สีแดง เปนตน ๙.๕.๒ ลักษณะที่ปญญารู หากสติระลึกรูส ภาวธรรมไดถูกตอง จิตจะ เกิดอาการรู ตื่น และเบิกบานดวยขณิกสมาธิขึ้นมาเองชั่วขณะ และอารมณรูป นามจะตองแสดงไตรลักษณอยางใดอยางหนึ่งใหจติ เห็น เชนรูปแสดงความ เปนทุกขและความเปนธาตุใหเห็น และนามแสดงความไมเที่ยงและการบังคับ ไมไดใหเห็น โดยเฉพาะนามธรรมในฝายอกุศลจะตองดับทันทีที่สติเกิดขึ้ ๙.๖ เหตุผลที่ตองรูสภาวธรรมตามความเปนจริงก็เพราะวา เราจําเปนตองรู ความเปนจริงของสภาวธรรมเหลานั้น ไมใชตองการดัดแปลงหรือควบคุม สภาวธรรมเหลานัน้ ทั้งนี้ตามหัวขอที่ ๓ และ ๔ ของบทความนี้ก็ไดกลาวไวแลววา ความไมรจู ักสภาวธรรมตามความเปนจริงหรืออวิชชา ทําใหเกิดตัณหาอันเปนเหตุ แหงทุกข หากทําลายความไมรูเสียได ตัณหาและทุกขจะไมมีโอกาสเกิดขึ้นไดอีก ๙.๗ การพยายามเขาไปแทรกแซงการรูสภาวธรรมจะกอใหเกิดความหลงผิด หนักยิ่งขึน้ เชนเมื่อกิเลสคือความฟุงซานเกิดขึ้น แลวผูปฏิบัติพยายามละกิเลสนั้น ดวยการบริกรรมวา "ฟุงซานหนอๆ" ไมนานความฟุงซานก็จะดับไปได (เพราะการ บริกรรมไปยับยั้งความคิดอันเปนตนตอของความฟุงซาน) ผูป ฏิบัติก็จะเกิด ความสําคัญผิดวา กิเลสเปนสิ่งที่บังคับควบคุมได (เปนอัตตา) หรือจิตนี้เปนตัวตน 55 วิถีแหงความรูแ จง
ของเราทีส่ ั่งไดตามใจชอบ(เปนอัตตา) ยิง่ ปฏิบัติยงิ่ ชํานาญในการเพงจองหรือ บริกรรมแกกิเลส ความหลงผิดก็ยิ่งพอกพูนกอใหเกิดมานะอัตตามากกวาเกาเสียอีก รวมทั้งไมมีโอกาสรูข อเท็จจริงวา ธรรมใดเกิดจากเหตุ ถาเหตุดับธรรมนั้นก็ดับ กลายเปนวาเราดับธรรมนั้นไดตามใจชอบเพราะเราฝก "วิปสสนา" จนเกงแลว ๙.๘ โดยธรรมดาของปุถุชนแลว อกุศลจิตยอมเกิดอยูแทบตลอดเวลา สวน กุศลจิตเกิดขึ้นนอยมาก เชนเรามักนัง่ ใจลอยทีละนานๆ อาจจะเปนชัว่ โมงๆ (ดวย อํานาจของโมหะ) จึงเกิดระลึกรูทันวากําลังใจลอยอยู ขณะใจลอยนั้นจิตเปนอกุศล แตขณะที่มีสติรูทันและความใจลอยดับไปโดยอัตโนมัตินนั้ จิตเปนกุศลเรียบรอย แลว (ทันทีที่เกิดสติ/รู อกุศลจะดับไปเอง เมือ่ มีสติ/รู จึงไมมอี กุศลจะใหละ แตสิ่งที่ ถูกละไปไดแกอนุสยั หรือกิเลสที่ซอนลึกอยูในจิตใจ ดวยเหตุนี้แหละ หนาที่ของเรา จึงมีเพียงการรู ไมตอ งละกิเลส เพราะในขณะที่มีสติบริบูรณนนั้ ไมมีกิเลสจะใหละ แมแตความทุกขก็ไมตองไปคิดละมัน หากมันมีเหตุมันก็เกิด หากหมดเหตุมันก็ดับ หนาที่ของเราคือรูทุกขเทานัน้ ก็พอแลว) จุดออนของผูเจริญสติก็คือจับหลักการเจริญ สติไดไมแมนยํา จิตจึงพลิกไปเปนอกุศลอีกไดในพริบตาเดียว คือพอเกิดความรูตวั เพียงวับเดียว แลวก็อาจหลงคร่าํ ครวญถึงอดีตวา "ตายละ เราหลงมาตัง้ ชั่วโมงหนึง่ แลว อยางนี้จะเอาดีในทางธรรมไดอยางไร" หรือเกิดหวงกังวลถึงอนาคตวา "ทํา อยางไรเราจะไมหลงไปเหมือนที่เคยหลงมาแลว" การพยายามทําอะไรมากกวารูไ ป ตามธรรมดาทีละขณะๆ นี้แหละ เปนความผิดพลาดอยางสําคัญทีเดียว ๙.๙ การรูน ั้น หากบริสุทธิ์บริบูรณถงึ ขีดสุดจะมีสภาพที่เรียกวา "สักวารู" เปน สภาวะรูอ ารมณที่กาํ ลังปรากฏตามความเปนจริงอยางแทจริง โดยไมเติมแตงสิ่งใดลง ในการรับรูนั้นแมแตนอย เชน (๑) ไมเติมความจงใจที่จะคิดคํานึงถึงสภาวธรรม (อารมณ) นั้นๆ วา "นี้คือรูป นีค้ ือนาม ชือ่ นี้ๆ ทํากิจอยางนี้ มีผลอยางนี้ มีเหตุใกล 56 วิถีแหงความรูแ จง
อยางนี้ เปนของไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน ไมงาม และที่กําลังรูอยูนี้ก็เปนสักวา รู" และ (๒) ไมเติมความจงใจที่จะหมายรูจิตแมแตนอย ๙.๑๐ เจตนจํานงหรือความจงใจหรือโลภเจตนาทีจ่ ะหมายรู(อารมณ)ของใจ ซึ่งครอบคลุมทั้งการหมายรูอ ารมณและการหมายรูจิตนี้เอง เปนอาหารหรือเปนปจจัย ใหเกิดการกระทํากรรมหรือกอพฤติกรรมทางใจ (และพฤติกรรมทางกายในขั้น ตอมา) ที่เรียกวา "การปฏิบัติธรรม" หรือ "การทํากรรมฐาน" ขึ้น สิ่งที่อยูเบือ้ งหลังของการเกิดความจงใจก็คือตัณหาหรือความอยากจะให “กายใจ ของเรา” มีความสุขและพนจากทุกขอยางถาวร สิ่งที่อยูเบือ้ งหลังตัณหาก็คืออวิชชาโดยเฉพาะอยางยิง่ (๑) ความไมรทู ุกข คือ ความไมรวู า “รูปนามนี้ไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตวั เราของเรา หากแตเปนสมบัติของ โลก” จึงเกิดความอยากจะให “กายใจของเรา” นีม้ ีแตความสุขและพนทุกขถาวร และ (๒) ความไมรสู มุทัย คือไมรูวาการดิ้นรนหนีความทุกขและหาความสุขดวยการ แสวงหาอารมณทเี่ พลิดเพลินพอใจบาง ดวยการบังคับกายบังคับใจบาง และดวยการ หลีกเลี่ยงการกระทบอารมณบาง จะกอภพ กอชาติ และกอทุกขขึ้นมา (นักปฏิบัติ สวนมากจะมียางใยแหงความยึดจิต จึงอยากให “จิตของเราหลุดพน” จึงตองเที่ยว แสวงหาธรรมเรือ่ ยไป โดยไมรูวาการดิน้ รนแสวงหานั้นเองคือความปรุงแตงฝายดี หรือปุญญาภิสังขาร หรืออัตตกิลมถานุโยค ซึ่งมีรากเหงามาจากอวิชชาเชนเดียวกับ ความปรุงแตงฝายชัว่ หรืออปุญญาภิสังขาร หรือกามสุขัลลิกานุโยคนัน่ เอง) ความปรุงแตงเหลานี้ไดปดบังธรรมอันบริสุทธิ์ที่ปราศจากตัวตน (นิพพาน) ไว โดย ปดกั้นญาณทัสสนะของผูปฏิบัติไวไมใหประจักษถึงนิพพานอันเปนอมตธาตุที่ ปรากฏเต็มบริบูรณอยูตอหนาตอตาได 57 วิถีแหงความรูแ จง
๙.๑๑ อาการ “สักวารู” นั้นเกิดเพราะปญญา ซึ่งมีหลายระดับคือ (๑) จิตมี ปญญารูทนั ความสุดโตงสองดานคือการหลงตามกิเลสไปแสวงหาอารมณภายนอก กับการเพงจองบังคับกายบังคับใจตนเอง (๒) จิตมีปญญารูเ ทาทันความยินดียนิ รายที่ เกิดขึ้นเมือ่ มีการกระทบอารมณทางทวารทั้ง ๖ และที่สําคัญก็คือ (๓) จิตมีปญ ญาเขา ใจความเปนจริงของอารมณทั้งปวงวาเปนของชั่วคราว เชนสุขก็ชั่วคราว ทุกขก็ ชั่วคราว ดีก็ชั่วคราว ชั่วก็ชั่วคราว จิตก็หมดความอยากไดอารมณอันหนึง่ แลวเกลียด ชังอารมณอีกอันหนึง่ มีความเปนกลางตออารมณทั้งปวง เขาถึงการสักวารู คือสิง่ ใด ปรากฏใหรูก็รูไปดวยความไมยินดียนิ ราย เพราะมีปญญา(สังขารุเปกขาญาณ)รูเ ทา ทันวาความปรุงแตงทุกอยางเปนของชั่วคราว ๙.๑๒ เมือ่ ปราศจากความจงใจที่จะหมายรูอารมณแตรูอารมณ(ปรมัตถ) และ ปราศจากความจงใจที่จะหมายรูจิตแตรูจติ ก็จะสามารถรูอารมณและจิตไดตรงตาม ความเปนจริง ในทีส่ ุดปญญาก็จะแกรอบคือเกิดการรูทุกขหรือเกิดความรูแทในขันธ เบื้องตนจะเกิดความรูแทวา “ขันธไมใชเรา เราไมใชขันธ ไมมีตัวเราในขันธหรือใน สิ่งอื่นนอกจากขันธ” นี้คือปญญาเบือ้ งตนอันเปนภูมิธรรมของพระโสดาบันนัน่ เอง เมื่อตามรูร ปู นามตอไปอีกก็จะเกิดปญญาเห็นวา “เมื่อใดจิตเกิดตัณหาคือความ ทะยานอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ(กามคุณอารมณ) หรือแมแตเกิดตัณหาที่ จะคิดถึงกามคุณอารมณ เมือ่ นัน้ ความทุกขทางใจจะเกิดขึ้น เมื่อใดจิตไมเกิดตัณหา เมื่อนัน้ จิตจะมีความสงบสุขอยูใ นตัวเอง” ผูมีปญญาขัน้ กลางนี้จะพอใจในความสงบ ของจิต เห็นจิตที่สงบระงับจากกิเลสตัณหาเปนจุดหรือเปนเกาะแหงความพนทุกข กลางทะเลแหงสังสารวัฏ จึงหมดความแสสายดิ้นรนออกไปแสวงหากามคุณอารมณ จิตมีสมาธิบริบูรณคอื ทรงตัวตัง้ มั่นเดนดวงอยูโ ดยไมตองรักษา นี้เปนภูมิธรรมของ พระอนาคามี 58 วิถีแหงความรูแ จง
เมื่อตามรูร ปู นามตอไปอีกจนมีอินทรียแกรอบถึงที่สดุ แลวจริงๆ ก็จะ “รูทุกข” อยางแจมแจงในฉับพลันทันใด คือจะพบเห็นวา “จิตนั้นเองเปนธรรมชาติอันหนึ่ง ซึ่งยังตกอยูใตอํานาจของไตรลักษณ จะเอาเปนทีพ่ ึ่งที่อาศัยใดๆ ไมไดเลย” บางทาน ที่มีศรัทธากลาจะเห็นความไมเที่ยงของจิต บางทานที่มีสมาธิกลาจะเห็นความเปน ทุกขของจิต และบางทานที่มีปญ ญากลาจะเห็นความเปนอนัตตาของจิต ฉับพลันจิตก็ สลัดคืนจิตสูธรรมชาติเพราะรูแ จงแลววาจิตเองเปนกอนทุกขลวนๆ ไมใชของดีของ วิเศษอยางที่เคยรูสึกและหวงแหนถนอมรักษามาแตเดิม การรูทุกขอยางแจมแจงนี้เองทําใหสมุทัยคือตัณหาถูกละโดยอัตโนมัติ และ ฉับพลันธรรมอยางหนึ่งซึ่งมีลักษณะเปนความสงบสันติ ปราศจากกิเลสและ ปราศจากขันธ วางจากตัวตนและความปรุงแตงอยางแทจริง ก็จะปรากฏเต็มบริบูรณ อยูตอหนาตอตานัน้ เอง นี้คอื ทีส่ ุดแหงทุกข คือนิโรธ คือนิพพาน อนึ่งจิตทีบ่ ริสุทธิ์กับนิพพานเปนธรรมคนละอยางกัน คือจิตที่บริสุทธิ์เปนธรรมชาติรู ที่ปราศจากตัวตน ไรรูปลักษณ ขนาด ขอบเขตและที่ตั้ง แตก็ยังเปนสิ่งที่ตกอยูใ น กลุมธรรมที่ตองเกิดดับ สวนนิพพานซึ่งเปนธรรมที่บริสุทธิ์ ปราศจากตัวตน ไร รูปลักษณ ขนาด ขอบเขตและที่ตั้งเชนกัน แตนิพพานเปนอารมณที่จิตไปรูเขาโดยไม มีผูครอบครองเปนเจาของนิพพาน และพนจากความเกิดดับ ๙.๑๓ สภาวะ “สักวารู” อันเกิดจากปญญาเขาใจความเปนจริงของรูปนาม จน เกิดความเปนกลางตอรูปนาม จะสงผลใหเขาถึงความสลัดคืนรูปนามและถึงที่สุด แหงทุกขได สมดังคําสอนของพระบรมศาสดาที่ประทานแกทานพระพาหิยะวา ดูกร พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อทานเห็นจักเปนสักวาเห็น เมื่อฟงจักเปนสักวาฟง 59 วิถีแหงความรูแ จง
เมื่อทราบจักเปนสักวาทราบ เมื่อรูแจงจักเปนสักวารูแจง ในกาลนั้น ทานยอมไมมี ในกาลใด ทานไมมี ในกาลนั้น ทานยอมไมมีในโลกนี้ ยอมไมมีในโลกหนา ยอมไมมใี นระหวางโลกทัง้ สอง นี้แลเปนทีส่ ุดแหงทุกข ฯ (พาหิยสูตร พระไตรปฎกเลมที่ ๒๕/๔๙)
๑๐. ระลึกรูแลวไดอะไร ๑๐.๑ ผูปฏิบัติจํานวนมากเมือ่ ไดยินคําสอนวา "ใหมีสติระลึกรูสภาวธรรมที่ กําลังปรากฏตามความเปนจริง" แลวอาจเกิดความสงสัยวา การปฏิบัตเิ พียงเทานีจ้ ะมี ประโยชนอะไรในเมื่อการปฏิบัติที่ยากลําบากกวานี้ ยังไมชว ยใหรูธรรมได แทจริง การเจริญสติรูรูปนามหรือสติปฏฐานเปนสิ่งวิเศษอัศจรรยทสี่ ุด วิเศษถึงขนาดที่ พระพุทธเจาทรงยืนยันวา นีเ้ ปนทางสายเดียวที่นาํ ไปสูความบริสุทธิ์ได และไดผลเร็ว ดวย บางคนภายใน ๗ วัน บางคนภายใน ๗ เดือน และบางคนภายใน ๗ ป ก็มี ๑๐.๒ พวกเราไมจาํ เปนตองจินตนาการวาการเจริญสติมีประโยชนอยางใดบาง เพราะพระศาสดาทรงประทานคําชี้แนะไวแลวดังตอไปนี้คือ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ (๑) สติสัมปชัญญะมีอยู (๒) หิริและโอตตัปปะชื่อวามีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบุคคลผูส มบูรณดว ยสติและ สัมปชัญญะ เมื่อหิริและโอตตัปปะมีอยู 60 วิถีแหงความรูแ จง
(๓) อินทรียสังวรชือ่ วามีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบุคคลผูสมบูรณดวยหิริและ โอตตัปปะ เมื่ออินทรียสังวรมีอยู (๔) ศีลชือ่ วามีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบุคคลผูสมบูรณดวยอินทรียสังวร เมื่อศีลมีอยู (๕) สัมมาสมาธิชอื่ วามีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบุคคลผูสมบูรณดวยศีล เมื่อ สัมมาสมาธิมีอยู (๖) ยถาภูตญาณทัสนะชื่อวามีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบุคคลผูส มบูรณดว ยสัมมาสมาธิ เมื่อยถาภูตญาณทัสนะ มีอยู (๗) นิพพิทาวิราคะชื่อวามีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบุคคลผูสมบูรณดวย ยถาภูตญาณทัสนะ เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู (๘) วิมุตติญาณทัสนะชื่อวามีเหตุสมบูรณ ยอมมีแกบุคคลผูส มบูรณดว ยนิพพิทา วิราคะ (สติสูตร พระไตรปฎกเลมที่ ๒๓/๑๘๗) ๑๐.๓ จากพระพุทธวัจนะดังกลาวจะเห็นไดวา บรรดาคุณความดีชั้นเลิศทั้งหลาย จะสมบูรณได ก็เพราะความมีสติสัมปชัญญะเปนตนเหตุ กลาวคือ ๑๐.๓.๑ หิริและโอตตัปปะ (ไดแกความละอายตอการทําบาปและความ เกรงกลัวตอผลของการทําบาป) เมื่อใดมีสติสัมปชัญญะ ยอมรูเ ทาทันการเกิดขึ้น ของกิเลสทั้งหลาย และรูถึงพิษภัยของกิเลสวานําใหเกิดการกระทําผิดทางกาย ทางวาจา และทางใจ รวมทัง้ กอใหเกิดความทุกขความเดือดรอนมาสูจ ิตใจ อยางไร จิตใจยอมละอายที่จะทําบาปและเกรงกลัวตอผลของบาป โอกาสที่จะ ทําอกุศลกรรมหนักๆ จึงไมมี อนึ่งหิริและโอตตัปปะนี้เปนเทวธรรม คือเปน ธรรมที่ทาํ คนใหเปนเทวดาได 61 วิถีแหงความรูแ จง
๑๐.๓.๒ อินทรียสังวร (ไดแกความสํารวมตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ที่ เมื่อกระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สัมผัสทางกาย)และธัมมารมณแลว หากไมสํารวมระวัง บาปอกุศลก็จะครอบงําจิตได) ผูใดมีสติสัมปชัญญะ มีความ ละอายและความเกรงกลัวตอบาปแลว ยอมเกิดความสํารวมระวังอินทรียโดย อัตโนมัตทิ ีเดียว อนึง่ การมีสติระลึกรูสภาวธรรมเมือ่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ กระทบอารมณนเี้ อง ก็คือการเจริญวิปสสนากรรมฐานที่ตรงไปตรงมาที่สุดแลว ๑๐.๓.๓ ศีล (ไดแกความเปนปกติของจิต) เมือ่ มีสติสัมปชัญญะรูเทาทัน การกระทบอารมณทางทวารทั้ง ๖ อยู จิตยอมไมถกู อกุศลครอบงํา พนจากความ ยินดียนิ รายตออารมณ จิตก็เขาถึงความเปนปกติธรรมดาหรือศีล ซึ่งจิตที่เปน ปกตินี้เองมีคุณสมบัติคือความผองใส (ประภัสสร) จิตจะมีลักษณะรู ตืน่ และ เบิกบานมีสมาธิโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากเคยพบจิตอยางนี้จะทราบดีวา สามารถอยู เปนสุขในปจจุบันไดเปนอยางดี อนึง่ ศีลสามารถสงผลใหมคี วามสุข มีโภค ทรัพย และถึงนิพพานได เพราะจิตยิ่งเปนปกติเทาใด ความปรุงแตงยิ่งนอยลง เทานัน้ หากจิตพนความปรุงแตง จิตยอมสามารถรูอารมณนพิ พานซึ่งอยูเหนือ ความปรุงแตงได ๑๐.๓.๔ สัมมาสมาธิ (ไดแกความตั้งมัน่ ของจิต ซึง่ ไดกลาวไวแลวในขอ ๖.๔ ของบทความนี้) โดยธรรมชาติแลว จิตที่มีศลี นั่นแหละเปนจิตที่มี สัมมาสมาธิ และจิตที่มีสัมมาสมาธิก็คือจิตที่มีศีล เพราะศีลกับสัมมาสมาธิเปน เครือ่ งขัดเกลาสงเสริมซึ่งกันและกัน เหมือนการลางมือขวาดวยมือซาย และลาง มือซายดวยมือขวา อนึ่งการเจริญสัมมาสมาธินี้เมือ่ ทําใหมาก ยอมสงผลใหผู ปฏิบัติบางทานเขาถึงความสงบในระดับฌานได ซึง่ ใหความสุขในปจจุบัน และ 62 วิถีแหงความรูแ จง
สงผลใหผนู ั้นเขาถึงกําเนิดในพรหมโลกไดดวยหากยังไมเขาถึงนิพพานในชีวิต นี้ ๑๐.๓.๕ ยถาภูตญาณทัสนะ (ไดแกการมีความรูค วามเขาใจเกี่ยวกับรูป นามถูกตองตามความเปนจริง ภูตในที่นหี้ มายถึงรูปนาม/ขันธ ๕ ไมใชผีตาม ความหมายในภาษาไทย) การรูเห็นความจริงเปนสวนของปญญา ซึง่ ปญญามี สัมมาสมาธิเปนเหตุใกลใหเกิด คือเมื่อจิตตั้งมั่นเปนกลางและมีสติระลึกรู อารมณ (รูปนาม) ก็จะเห็นรูปนามตามความเปนจริง ไมใชตามที่อยากจะใหเปน (ดวยตัณหา) หรือตามที่คิดวานาจะเปน (ดวยทิฏฐิ) ๑๐.๓.๖ นิพพิทาวิราคะ (ไดแกความเบือ่ หนายคลายกําหนัด) เมื่อรูจักรูป นามตามความเปนจริงแลว จิตยอมเกิดนิพพิทาคือความเบือ่ หนายเอือมระอาตอ รูปนามทั้งหลาย เพราะเห็นความไมมีสาระแกนสาร สภาวะของนิพพิทาไมใช ความเบือ่ อยางโลกๆ ที่เปนการเบื่อทุกขแตอยากไดสุข นิพพิทานั้นเห็นทั้งทุกข และสุข ทั้งดีและชั่ว ทั้งหยาบและละเอียด ทั้งภายในและภายนอกนาเอือมระอา เสมอกัน เมื่อเกิดนิพพิทาแลวจิตยอมหมดความดิน้ รนทะยานอยากที่จะปฏิเสธทุกข หรือแสวงหาสุข เมือ่ เจริญสติตอ ไปจิตจะเขาถึงความเปนกลางตอรูปนามอยาง แทจริง แลวรูชดั ในรูปนามวา (๑) ในธรรมชาติไมมสี ัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา มี แตรูปธรรมและนามธรรม (๒) รูปธรรมและนามธรรมมีลักษณะเปนไตรลักษณ คือไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาหรือไมอยูในบังคับของใคร (๓) รูปธรรมและ นามธรรมมีเหตุปจจัยใหเกิด แปรปรวนไปตามเหตุ และถาเหตุดับมันก็ดับ (๔) ความยึดถือในรูปธรรมและนามธรรมจะนําทุกขมาให และ (๕) เมื่อปญญาแก รอบถึงที่สดุ ก็จะรูวา รูปนามนัน่ แหละคือทุกข นี้คอื การรูทุกขอยางแจมแจง และ 63 วิถีแหงความรูแ จง
ทําใหรูแจงอริยสัจจดวยวา “เพราะมีสมุทัยจึงเกิดทุกข เพราะไมรูทุกขจึงเกิด สมุทัย” ทุกขกับสมุทัยอิงอาศัยกันเกิดดับสืบเนื่องกันไปอยางไมมีที่สนิ้ สุด แต “เพราะรูท ุกขแจมแจงจึงละสมุทัย เพราะความดับไมเหลือของสมุทัยจึงแจง นิโรธหรือนิพพาน นีเ้ องคือมรรค” นี้เปนที่สุดแหงทุกข อนึง่ นิพพานนัน่ แหละ คือวิราคธรรม คือธรรมอันสิ้นตัณหา สรุปแลวเมื่อจิตเปนกลางตอสังขาร จนรูแ จงอริยสัจจแลว จิตจะกาว กระโดดอยางฉับพลันไปสูความหลุดพน โดยผูปฏิบัติไมไดจงใจจะใหเปนไป เชนนั้น คือพอวางขันธ ๕ ก็ไดประจักษนิโรธ หรือนิพพาน หรือวิสังขาร หรือ วิราคะ อันเปนจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา อยางปจจุบันทันดวน ๑๐.๓.๗ วิมุตติญาณทัสนะ (ไดแกความรูแจงเกี่ยวกับสภาวธรรมแหง ความหลุดพนจากเพลิงทุกขและเพลิงกิเลส) เมือ่ ปลอยวางรูปนามจนแจง นิพพานแลว ผูปฏิบตั ิจะเกิดความรูความเขาใจเกีย่ วกับกระบวนการหลุดพน และเขาใจถึงสภาวะของนิพพานดวย คือพบวานิพพานเปนสภาวธรรมที่วางจาก กิเลสและขันธ แตไมใชความวางเปลาแบบความขาดสูญ(อุทเฉททิฎฐิ) ใน ขณะเดียวกันก็ไมใชภพชนิดหนึ่งที่เทีย่ งแทถาวรทีจ่ ิตปรุงแตงขึ้น(สัสสตทิฎฐิ) นิพพานเปนสภาวธรรมที่เต็มบริบูรณอยูต ลอดเวลา สงบสงัดสันติ บริสุทธิ์ไมมี สิ่งใดปรุงแตงได และปลอดภัยจากการรบกวนทั้งปวง ผูปฏิบัติทไี่ ดพบอารมณนิพพานดวยการบรรลุมรรคผลถึง ๔ ครั้งแลว ยอมพนทุกขพนกิเลสสิ้นเชิง เพราะจิตหลุดพนจากอาสวะเหมือนลูกไกที่เจาะ ทําลายเปลือกไขออกมาไดแลว ไมมีทางยอนกลับเขาในเปลือกไขไดอีก ไดรับ 64 วิถีแหงความรูแ จง
อิสรภาพและบรมสุขอันเนื่องจากจิตหมดแรงเคนของตัณหา หมดภาระที่จะตอง ดิ้นรน และพนจากความเสียดแทงทั้งปวง มีความสุขอยูในทุกอิริยาบถ ทั้ง กลางวันและกลางคืน ทั้งหลับและตื่น อนึ่งผูท ี่เคยพบนิพพานแลวในขณะที่เกิด มรรคผล อาจพบนิพพานไดอีกเพื่อเปนเครือ่ งอยูเปนสุขในปจจุบันดวย ๒ วิธีการคือ (๑) การไมมนสิการ (ใสใจ) ถึงสังขารทัง้ หลาย พอจิตวางอารมณที่ เปนสังขารก็จะไปรูอ ารมณนพิ พาน หรือ (๒) การมนสิการถึงอารมณนพิ พาน โดยตรง ทัง้ ๒ อยางนี้เปนประโยชนสุขในปจจุบันที่ไดมาดวยการเจริญสติ เทานัน้ ๑๐.๔ สรุปแลว สตินี้แหละยิ่งเกิดบอยยิง่ ดี และนอกจากการเจริญสติปฏฐานคือ การมีสติรรู ูปนามแลว ก็ยอมไมใชทางหรืออริยมรรคที่แทจริง คําสอนใดที่มุงปรุง แตง (กุศล) เพือ่ แกความปรุงแตง (อกุศล) คําสอนนั้นเปนไปเพื่อความเนิ่นชา (แตอาจ จําเปนในเบื้องตนสําหรับบางคน) คําสอนใดใหเจริญสติรูทนั ความปรุงแตง(ทัง้ กุศล และอกุศล)จนพนจากความปรุงแตง(ทัง้ กุศลและอกุศล) คําสอนนั้นเปนทาง(มรรค) ตัดตรงเขาถึงความพนทุกขสิ้นเชิง(นิโรธ/นิพพาน) ครูบาอาจารยพระปาทั้งหลายซึ่งเปนพอแมครูอาจารยของผูเ ขียน เชน หลวงปู ดูลย อตุโล หลวงปูเ ทสก เทสรังสี หลวงพอพุธ ฐานิโย และหลวงปูสุวจั น สุวโจ เปน ตน ทานก็เนนนักหนาใหผูเขียนเจริญสติคือรูไว บางทานยกหัวใจคําสอนของหลวงปู มั่น ภูริทัตตเถระ มาสอนผูเ ขียนวา หลวงปูมั่นทานสอนวา "ทําสมาธิ (ความสงบ) มากก็เนิ่นชา คิดพิจารณามากก็ฟุงซาน สิง่ สําคัญทีส่ ุดของการปฏิบัติคอื การเจริญสติ ในชีวิตประจําวัน จะเดินจงกรมก็ตองเดินดวยความมีสติ จะนั่งสมาธิกต็ องนัง่ ดวย ความมีสติ ทําสิ่งใดก็ตองทําดวยความมีสติ เพราะเมือ่ ใดมีสติเมื่อนั้นมีความเพียร 65 วิถีแหงความรูแ จง
เมื่อใดขาดสติเมื่อนั้นขาดความเพียร" ผูเ ขียนก็ไดอาศัยคําสอนของพอแมครูอาจารย ดังกลาวนี้เปนแนวทางปฏิบัติตลอดมา (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๙) บันทึกทายเลม วัฏฏะ – “เพราะมีสมุทัยจึงเกิดทุกข เพราะไมรทู ุกขจึงเกิดสมุทัย...” วิวัฏฏะ – “เพราะรูท ุกขแจมแจงจึงละสมุทัย เพราะความดับไมเหลือของสมุทัยจึง แจงนิโรธ//”
66 วิถีแหงความรูแ จง